Tag : News

2400 ผลลัพธ์
ไทยแลนด์ อีลิท  เปิดรายชื่อ 57 คอนโด  ร่วมโปรแกรม Elite Flexible One

ไทยแลนด์ อีลิท เปิดรายชื่อ 57 คอนโด ร่วมโปรแกรม Elite Flexible One

ไทยแลนด์ อีลิท เปิดรายชื่อ 57 คอนโด ดีเวลลอปเปอร์กว่า 20 ราย พร้อมขนโครงการเข้าร่วมโปรแกรม Elite Flexible One กระตุ้นเศรษฐกิจ ดึงผู้ซื้อและนักลงทุนต่างชาติซื้ออสังหาฯ ไทย  คาดสร้างรายได้ทะลุ 1,000 ล้าน   จากนโยบายในการทำตลาดเพื่อดึงดูดให้ชาวต่างชาติ ได้เข้ามาจับจ่ายใช้สอยและลงทุนในประเทศ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด จึงได้มี​การจัดทำโปรแกรมพิเศษ “Elite Flexible One” ด้วยการให้ชาวต่างชาติหรือนักลงทุนต่างชาติ ลงทุนซื้ออสัง​หาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมในประเทศไทย ที่สร้างแล้วเสร็จและพร้อมเข้าอยู่อาศัย มูลค่ารวมไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท   โดยสามารถซื้อได้ทั้งในรูปแบบ 1 ยูนิต ราคา 10 ล้านบาท หรือหลายยูนิตราคารวมกัน 10 ล้านบาท  จากดีเวลลอปเปอร์รายเดียวกัน ​เพื่อได้รับสิทธิการเป็นสมาชิกบัตรไทยแลนด์ อีลิท ตามประเทศบัตรที่บริษัทกำหนด แต่หากจำหน่าย จำนอง หรือโอนกรรมสิทธิ์ให้ผู้อื่นภายในระยะเวลา 5 ปี   สำหรับโปรแกรมพิเศษ “Elite Flexible One” มีระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ 1 มกราคม 2564-31 ธันวาคม 2565 รวมระยะเวลา 2 ปี  ซึ่งทางบริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมไม่ต่ำกว่า 100 ยูนิต และมีมูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านบาท นายสมชัย สูงสว่าง ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด  ผู้ดำเนินโครงการบัตรสมาชิก ไทยแลนด์  อีลิท เปิดเผยถึงความคืบหน้าของโปรแกรมพิเศษ Elite Flexible One ว่า ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทได้เดินหน้าเจรจาร่วมจัดทำบันทึกความเข้าใจในข้อตกลงความร่วมมือพิเศษโปรแกรม Elite Flexible One กับกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทยแล้วกว่า 20  ราย โดยทุกรายต่างมีศักยภาพและความแข็งแรง ทั้งภาพลักษณ์ของแบรนด์และของสินค้า รวมถึงนโยบายการดำเนินงานที่สอดคล้องกัน จึงเชื่อมั่นว่าจะสามารถดึงกำลังซื้อของนักลงทุนชาวต่างชาติ และสมาชิกอีลิทคาร์ด มาลงทุนเพิ่มทั้งการซื้อแบบ Freehold และ Leasehold ได้   โดยปัจจุบันมีกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาฯ ส่งโครงการเข้าร่วมโปรแกรม Elite Flexible One  แล้ว  57 โครงการ และอีกหลายโครงการที่อยู่ในช่วงการเตรียมความพร้อม รวมทั้งสิ้นเป็นจำนวนกว่า 80 โครงการ (รายละเอียดเพิ่มเติมสามารถตรวจสอบได้ที่ www.thailandelite.com) โดยแต่ละกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาฯ ต่างมีกลยุทธ์ในการทำตลาดเพื่อดึงดูดลูกค้าที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นกิจกรรมการตลาดและการขายแบบเข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งแนะนำบัตร Elite Flexible One ให้เป็นที่รู้จักผ่านการโฆษณาในสื่อต่าง ๆที่ เข้าถึงกลุ่มลูกค้าระดับบนที่มีกำลังซื้อ การยกระดับผลิตภัณฑ์สู่ความเป็นเลิศ (Product Excellence) ด้วยการเลือกสรรวัสดุคุณภาพเพื่อให้ตอบทุกเหตุผลของการอยู่อาศัย รวมถึงบริการหลังการขายที่มีคุณภาพ (Service Excellence) เป็นต้น   นายสมชัย  กล่าวอีกว่า จากท่ามกลางสถานการณ์โรคระบาดไวรัสโควิด-19 และสถานการณ์เศรษฐกิจปัจจุบันนี้ บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นว่าโปรแกรมพิเศษ Elite Flexible One นั้น จะเป็นตัวแปรสำคัญ ในการเปลี่ยนแปลงให้เศรษฐกิจดีขึ้น ด้ วยการขับเคลื่อนให้กลุ่มนักลงทุนชาวต่างชาติที่มีคุณภาพ  และมีกำลังซื้อสูงเข้ามาลงทุนในประเทศไทย รวมทั้งเพื่อต้องการผลักดันให้ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาฯ ​ขายโครงการได้เร็วขึ้น เพื่อสร้างกระแสเงินสด ทำให้มีเม็ดเงินชาวต่างชาติเข้ามาลงทุน และใช้จ่ายในประเทศไทย สร้างเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศ  ทำให้ธุรกิจเดินต่อไปได้ด้วยดี  ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ ต่อภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง ผ่านบัตรสมาชิกในรูปแบบของโปรแกรมพิเศษ "Elite Flexible One" เปิดรายชื่อ 57 โครงการคอนโดเข้าร่วมโปรแกรม บริษัท ไรมอนด์ แลนด์ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วม 3 โครงการ ได้แก่ 1.The Loft Silom 2.The River 3.The Diplomat 39 บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เข้าร่วม 8 โครงการ ได้แก่ 1.Life Asoke-Rama 9 2.Life Asoke Hype 3.Life Ladprao 4.Life Ldprao Valley 5.Life One Wireless 6.Aspire Rattathibat 2 7.Aspire Sukhumvit-On Nut 8.Aspire Asoke – Ratchada บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วม 6 โครงการ ได้แก่ 1.Khun By Yoo 2.La Habana Hua Hin 3.XT Huaykwang 4.XT Ekkamai 5.Oka Huan Sukhumvit 36 6.The Best Central Phuket บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วม 5 โครงการ ได้แก่ 1.Park Origin Condominium 2.Knightsbridge Condominium 3.Kensington Condominium 4.The Origin Condominium 5.B-Loft Condominium บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) 1.Ashton Asoke 2.Ashton Asoke – Rama 9 3.Asthon Residence 41 4.Asthon Silom 5.Ideo Q Victory 6.Q Prasanmit 7.Ideo Q Sukhumvit 36 บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) 1.Wyndham Residence 2.Wyndham Garden Residence 3.Ramada Plaza Residence 4.Ramada Residence 5.Siamese Exclusive 31 6.Siamese Surawong 7.Siamese Kin 8.Blossom Condo @Sathorn-Chroenrat 9.Blossom Condo @Fashion Beyond บริษัท วรลักษณ์ พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วม 1 โครงการ ได้แก่ Sky Walk Condominium บริษัท 888 ทองหล่อ จำกัด เข้าร่วม 1 โครงการ ได้แก่ Nivati Residence บริษัท ชาญอิสสระ วิภาพล จำกัด อยู่ในเครือ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วม 1 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการดิ อิสสระ เชียงใหม่  (The Issara Chiang Mai) บริษัท ร่วมอิสสระ จำกัด อยู่ในเครือ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วม 2 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการ บลูไดมอนด์ (BLUE Diamond) 2.โครงการบ้านทิวทะเล บลูแซฟไฟร์ (Baan Thew Talay Blue Sapphire) บริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด เข้าร่วม 3 โครงการ ได้แก่ 1.Kraam Sukhumvit 26 2.Quarter 31 3.Quarter 39 บริษัท แกรนด์ ยูนิตี้ ดิเวลล็อปเมนท์ จำกัด เข้าร่วม 5 โครงการ ได้แก่ 1.Mazarine Ratchayothin 2.Condo U Kaset-Nawamin 3.De LAPIS Charan 81 4.KARA ARI-RAMA 6 5.CIELA Charan 13 Station บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จำกัด เข้าร่วม 7 โครงการ ได้แก่ 1.The Astra 2.Arise Mahidol 3.The Next Jed Yod 4.The Next 1 5.The Next 2 6.The Next 3 7.The Next Premier บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วม 4 โครงการ ได้แก่ 1.Niche Mono Baearing 2.Niche Mono Puchao 3.Niche Mono Charoen Nakhon 4.Niche Pride Taopoon Interchange
เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง  เดินหน้าธุรกิจสุขภาพ  เปิด​ “ศิริอรุณ เวลเนส” สาขา 3  

เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง เดินหน้าธุรกิจสุขภาพ เปิด​ “ศิริอรุณ เวลเนส” สาขา 3  

เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง เดินหน้าลุยธุรกิจสุขภาพ ขยายสาขา “ศิริอรุณ เวลเนส” แห่งที่ 3 รองรับสังคมไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ   นายแพทย์ สมเชาว์ ตันฑเทอดธรรม  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้ประเทศไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ จากการมีสัดส่วนของประชากรที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไปถึง 20% และแนวโน้มจำนวนผู้สูงอายุมีอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ธุรกิจการดูแลสุขภาพและการดูแลผู้สูงอายุมีโอกาสเติบโตเพิ่มมากขึ้น บริษัทจึงได้ขยายธุรกิจเวลเนส ด้วยการเปิดศูนย์ดูแลสุขภาพครบวงจรภายใต้ชื่อ ศิริอรุณ เวลเนส ภายใต้การบริหารงานของ​บริษัท เอ็น.ซี.พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จํากัด ซึ่งเป็น บริษัทในเครือ ปัจจุบันได้ขยายสาขาแห่งที่ 3 ตั้งอยู่ในทำเลศูนย์กลาง บนถนนอรุณอัมรินทร์ เป็นอาคารสูง 6 ชั้น ขนาดพื้นที่ 2,000 ตารางเมตร  เปิดบริการห้องได้ถึง 27 ห้อง 39 เตียง เทรนด์ดูแลสุขภาพและสังคมผู้สูงอายุจะมีความกังวลเรื่องสุขภาพเมื่อมีอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มที่มีความเปราะบางทางด้านสุขภาพ ได้แก่ กลุ่มผู้สูงอายุที่มีโรคประจำตัวจำเป็นต้องได้รับการดูแลมากเป็นพิเศษ โดยศิริอรุณ เวลเนส มีการรองรับให้บริการแบ่งเป็น 4 กลุ่มด้วยกัน 1.ผู้ที่อยู่ในระยะพักฟื้น 2.ผู้ที่รอพบแพทย์ตามนัด 3.ผู้ที่สุขภาพดีแต่อยู่ในช่วงของการตรวจพิเศษ หรือรักษาเฉพาะทาง 4.บริการดูแลผู้สูงอายุ  ที่ต้องการใช้บริการอย่างใกล้ชิดเป็นพิเศษ   ศิริอรุณ เวลเนส ให้บริการด้านการทำกายภาพบำบัด และทำกิจกรรมเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกาย ดูแลโดยทีมสหสาขาวิชาชีพ อาทิ แพทย์, พยาบาล นักกายภาพบำบัดการออกแบบโปรแกรมที่เหมาะสมสำหรับทุกคน  เพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรง  การดูแลโภชนาการด้านอาหารเฉพาะกลุ่ม นายแพทย์สมเชาว์ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันโรงพยาบาลและบุคลากรทางการแพทย์ ต้องรับภาระหนักในการดูแลรักษาผู้ป่วย และปริมาณเตียงดูแลคนไข้มีจำกัด ​​เมื่อผู้สูงอายุที่เข้ามารักษาและมีอาการดีขึ้นจึงจำเป็นต้องให้กลับไปฟื้นฟูต่อที่บ้าน เพื่อสงวนเตียงไว้รองรับผู้ป่วยที่มีอาการหนักกว่า แต่ปัจจุบันครอบครัวส่วนใหญ่เป็นครอบครัวเดี่ยว ซึ่งอาจจะมีข้อจำกัดในการดูแลผู้สูงอายุ ไม่สามารถดูแลได้เต็มที่ และอาจไม่มีความมั่นใจในการดูแล และฟื้นฟูสุขภาพผู้สูงอายุด้วย การมีศูนย์ดูแลผู้สูงอายุจึงเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าวได้  
2 ดีเวลอปเปอร์​ งัดกลยุทธ์ การันตรียีลด์ 6%ปลุกกำลังซื้อวิลล่า-คอนโด​ ภูเก็ต

2 ดีเวลอปเปอร์​ งัดกลยุทธ์ การันตรียีลด์ 6%ปลุกกำลังซื้อวิลล่า-คอนโด​ ภูเก็ต

ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เป็นหนึ่งในหลายธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จนทำให้ดีเวลลอปเปอร์ต้องงัดสารพัดกลยุทธ์การตลาด อัดโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม ออกมากระตุ้นยอดขาย สร้างกระแสเงินสดเข้าบริษัท โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม ที่มีความกังวลใจว่าจะได้รับความนิยมลดน้อยลง  เพราะพฤติกรรมการอยู่อาศัยของคนยุคโควิด-19 ต้องเว้นระยะห่างทางสังคม และต้องการพื้นที่ของบ้านมากขึ้น เพื่อใช้ในกิจกรรมทำงานจากที่บ้าน (Work From Home)   นอกจากนี้ ตลาดคอนโดยังได้รับผลกระทบ จากกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่เคยเป็นส่วนสำคัญในการสร้างยอดขาย ได้หายไปจากตลาดจนยอดขายเกือบเป็นศูนย์ เพราะไม่สามารถเดินทางเข้ามาซื้อคอนโดได้ ทำให้ดีเวลลอปเปอร์ต้องปรับกลยุทธ์การตลาดมากขึ้น และหันมาจับกลุ่มลูกค้าภายในประเทศแทน โดยเฉพาะตลาดคอนโดในเมืองท่องเที่ยว  อย่างจังหวัดภูเก็ต ที่ในอดีตต้องยอมรับว่าตลาดอสังหาฯ พึ่งพากลุ่มลูกค้าต่างชาติเป็นหลัก ได้เริ่มปรับกลยุทธ์หันมาจับฐานลูกค้าภายในประเทศแทน การันตีผลตอบแทนกระตุ้นยอดขาย จากรายงานล่าสุดของ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด  ซึ่งได้นำเสนอบทวิเคราะห์ตลาดอสังหาฯ ในส่วนของตลาดคอนโดในภูเก็ต ปี 2563 ที่ผ่านมา และแนวโน้มปี 2564 ว่า ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ​ผู้ประกอบการยังคงชะลอการเปิดโครงการ​  และรอดูสถานการณ์การเปิดโครงการในช่วงครึ่งปีหลังอีกครั้ง และแนวโน้มของการลงทุนจะเป็นโครงการขนาดเล็ก และอาจจะเป็นการร่วมทุนกับนักลงทุนท้องถิ่นในภูเก็ต โดยคาดว่าเศรษฐกิจภูเก็ตในปี 2564 ยังคงซบเซายาวไปถึงต้นปี 2565 ซึ่งเศรษฐกิจภูเก็ตอาจจะต้องใช้เวลาฟื้นตัวประมาณ 6 เดือน ถึง 1 ปี และการฟื้นตัวน่าจะกลับมาเพียง 50% ของนักท่องเที่ยวเท่านั้น เพราะชาวต่างชาติยังไม่สามารถเดินทางมาท่องเที่ยวได้ทั้งหมด   โดยกลยุทธ์การตลาดของดีเวลลอปเปอร์ในช่วงที่ผ่าน มีหลายหลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการลดราคา ​การนำเชนโรงแรมมาบริหารเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้ซื้อ โดยให้ผลตอบแทนกับผู้ซื้อในระยะเวลา 3-5 ปี ซึ่งเป็นสิ่งจูงใจให้นักท่องเที่ยวและนักลงทุนสนใจที่จะซื้อคอนโด  เพราะนอกจากจะมีรายได้จากการปล่อยเช่าแล้วยังสามารถเข้าพักได้ถึง 30-45 วัน ต่อปีอีกด้วย โดยมีอัตราผลตอบแทนตั้งแต่ 5-10% แต่มีบางโครงการที่ได้รับผลกระทบอย่างหนัก จนต้องหยุดการขายหรือหยุดการพัฒนาโครงการไปก่อน ยังมีให้เห็นหลายโครงการ ​​ วีไอพี เมอร์คิวรี่ จ่ายยีลด์ 6% บริษัท วีไอพี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เจ้าของโครงการ วีไอพี เมอร์คิวรี่ คอนโดมิเนียม เป็นหนึ่งในดีเวลลอปเปอร์ที่ได้นำเอากลยุทธ์การจ่ายผลตอบแทนจากการลงทุน มาเป็นจุดขายสำหรับโครงการในช่วงวิกฤตไวรัสโควิด-19 โดยรับประกันผลตอบแทนแก่ผู้ซื้อในอัตรา  6 % เป็นระยะเวลา 2 ปี หลังจากนั้นมีการบริหารห้องชุดแบบแบ่งกำไร 70 : 30 เป็นระยะเวลา 5 ปี  และยังจัดโปรโมชั่นส่วนลดสูงสุด 500,000 บาท ภายในสิ้นเดือนเมษายน 2564 นี้   นายอมรชัย แซ่ฮวง ประธานอำนวยการบริหาร บริษัท วีไอพี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เปิดเผยว่า โครงการ วีไอพี เมอร์คิวรี่ คอนโดมิเนียม เป็นหนึ่งในโครงการอสังหาริมทรัพย์ของภูเก็ต ที่เปิดจองตั้งแต่กลางปี 2560  มีพื้นที่ทั้งหมด 66 ไร่ ใกล้หาดราไวย์  แบ่งออกเป็น 3 เฟส เฟสแรกคือโครงการ วีไอพี เมอร์คิวรี่ คอนโดมิเนียม สร้างบนพื้นที่ 10ไร่ครึ่ง เป็นคอนโดมิเนียมจำนวน 8 อาคาร  รวม 516 ห้อง เฟสที่ 2 เป็น โครงการ พูล วิลล่า จำนวน 114 หลัง  บนพื้นที่ 30 ไร่  ขายไปแล้วกว่า 30% จะเริ่มก่อสร้างภายในปีนี้  ส่วนเฟส 3 บนพื้นที่อีกกว่า 16 ไร่  ทางบริษัทวางแผนจะสร้างเป็นโครงการคอนโดมิเนียม และวิลล่า ปัจจุบันโครงการมียอดขายแล้ว 78 % คงเหลือ 123 ห้อง ในขนาดพื้นที่ 28 – 156 ตารางเมตร ในระดับราคา 2.9 -16 ล้านบาท  การก่อสร้างคืบหน้าไปแล้วมากกว่า 95% โดยเฉพาะส่วนของโครงสร้างและสถาปัตยกรรมภายนอกอาคาร  คงเหลือเพียงการตกแต่งภายในและสภาพแวดล้อมรอบอาคาร  ผู้ซื้อสามารถโอนและเข้าอยู่อาศัยนับตั้งแต่กลางปีนี้   นายอมรชัย กล่าวว่า กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นชาว  ต่างชาติที่ต้องการซื้อห้องชุดพักอาศัยไว้สำหรับการลงทุน รวมถึงซื้อไว้เพื่อเป็นบ้านหลังที่ 2 สำหรับการเข้ามาพักผ่อนในจังหวัดภูเก็ต  ช่วงที่โควิด-19 ระบาดตั้งแต่ปีที่แล้วชาวต่างชาติอยากมาอยู่ที่ภูเก็ตมาก  จึงเชื่อว่าหลังจากที่สถานการณ์โควิด-19 ผ่อนคลาย และมีการฉีดวัคซีนป้องกันในวงกว้างแล้ว  เมื่อข้อจำกัดในการเดินทางลดน้อยลง  นักท่องเที่ยวและนักธุรกิจจะกลับมาสู่ภูเก็ตทันที ไอพี เกรทฮิลล์ฯ จับตลาดลงทุนปล่อยเช่า โครงการ วีไอพี เกรท ฮิลล์ คอนโดมิเนียม ภายใต้การบริหารงานของบริษัท วีไอพี เจ.ดี.กรุ๊ป จำกัด เป็นอีกหนึ่งโครงการที่ใช้กลยุทธ์การให้การันตีผลตอบแทน มาสร้างจุดขายให้กับลูกค้าและนักลงทุน โดยทางโครงการรับประกันรายได้จากค่าเช่า 2 ปีแรก หรือคิดเป็นอัตราผลตอบแทน  6% ต่อปี โดยรายได้ปีแรกผู้ซื้อจะได้รับทันทีในวันโอนห้องชุด หลังจากนั้นปีที่ 3-7 ปี ทางโครงการจะบริหารจัดการห้องชุด เจ้าของห้องชุดมีรายได้อยู่ที่ 50,000 - 90,000 บาทต่อปี  ขึ้นอยู่กับขนาดและราคาห้องชุด   โดยโครงการ วีไอพี เกรท ฮิลล์ คอนโดมิเนียม มีทั้งสิ้น 215 ยูนิต มีขนาดตั้งแต่ 20.5 - 32.8 ตารางเมตร ระดับราคา 1.2 – 2.2 ล้านบาท  เริ่มเปิดตัวในช่วงต้นปี 2563 ก่อนเกิดโควิด-19 ที่ผ่านมามียอดขายแล้ว 128 ยูนิต คงเหลือเพียง 87 ยูนิต โดยกลุ่มผู้ซื้อเกือบทั้งหมดเป็นเจ้าหน้าที่การท่าอากาศยาน ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง และตำรวจภูธร  ปัจจุบันการก่อสร้างมีความคืบหน้ากว่า 65%  คาดว่าจะแล้วเสร็จในเดือนสิงหาคม 2564 และพร้อมโอนภายในเดือนกันยายน 2564 นี้   นายธนูศักดิ์ พึ่งเดช ประธานกรรมการบริหารบริษัท วีไอพี เจ.ดี.กรุ๊ป จำกัด  เปิดเผยว่า พื้นที่ตอนเหนือของภูเก็ตบริเวณใกล้สนามบิน มีผู้ที่ต้องการที่พักอาศัยมากกว่า 20,000 คน แต่พื้นที่ดังกล่าวส่วนใหญ่ถูกพัฒนาขึ้นในรูปแบบบ้านเดี่ยว  ซึ่งมีราคาสูงเกินกำลังซื้อของคนทำงานส่วนใหญ่  จึงทำให้คนส่วนใหญ่ต้องเช่าอพาร์ทเมนท์หรือห้องเช่าแทน  โดยมีอัตราค่าเช่าเฉลี่ย 8,000  - 10,000 บาทต่อเดือน ทางบริษัทจึงเห็นเป็นโอกาสในการพัฒนาคอนโดในราคาที่คนทั่วไปจับต้องได้ออกมารองรับ โครงการนี้ยังเป็นอีกหนึ่งทางเลือก สำหรับการลงทุนในอสังหาฯ ที่สามารถเก็บเป็นสินทรัพย์ สร้างรายได้ให้กับตัวเองและครอบครัว ด้วยการปล่อยเช่าให้ผู้ที่ยังไม่พร้อมที่จะมีบ้านของตัวเอง หรือให้นักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เดินทางมาท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต นายธนูศักดิ์ กล่าวอีกว่า จังหวัดภูเก็ตเคยมีนักท่องเที่ยวมากถึง 14 ล้านคน ซึ่งหากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สิ้นสุด  น่าจะมีนักท่องเที่ยวกลับมาเที่ยวภูเก็ตเหมือนเดิม ภายในปี 2565  ขณะที่ทางรัฐบาลมีแผนเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ฉีดวัคซีนแล้วในเดือนกรกฎาคม 2564 จนถึงปลายปี 64 คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติกว่า50% ทำให้การลงทุนอสังหาฯ ในจังหวัดภูเก็ตยังน่าสนใจ    
เจ.ดี.พูลส์  ชู 3 กลยุทธ์สู้โควิด-19  ปั้นรายได้ 1,000 ล้าน

เจ.ดี.พูลส์ ชู 3 กลยุทธ์สู้โควิด-19 ปั้นรายได้ 1,000 ล้าน

เจ.ดี.พูลส์ ชู 3 กลยุทธ์สร้างการเติบโตธุรกิจสระว่ายน้ำ ออกสินค้าราคาจับต้องได้ การขยายตลาดงานราชการ และเพิ่มสาขาแฟรนไชส์  หวังสถานการณ์โควิด-19 ฟื้นตัวดีขึ้น สร้างรายได้ทะลุ 1,000 ล้าน   นายธนูศักดิ์ พึ่งเดช ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.ดี.พูลส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสระว่ายน้ำแบรนด์ เจ.ดี.พูลส์ (J.D.Pools) เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2564 ว่า ได้ตั้งเป้าหมายการสร้างรายได้ 1,000 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมามีรายได้ 950 ล้านบาท  แม้ว่าในปีนี้ยังมีสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังกระทบกับภาวการณ์ท่องเที่ยว เพราะธุรกิจสระน้ำมีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบันยังไม่ฟื้นตัวมากนัก แต่จากแนวทางการทำตลาด และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้​   สำหรับกลยุทธ์ในการสร้างการเติบโตปีนี้ บริษัทวางแนวทางการทำตลาดไว้ใน 3 เรื่อง คือ 1.การขยายตลาดสระว่ายน้ำในบ้านทั่วไป เป็นสระว่ายน้ำราคาจับต้องได้ 2.การขยายตลาดไปยังกลุ่มงานราชการ และ 3.การขยายสาขาแฟรนไชน์ โดยปีนี้เปิดตัวสินค้าใหม่เพื่อขยายตลาด ซึ่งเป็นสินค้าราคาที่จับต้องได้ ซึ่งเน้นการทำตลาดกับกลุ่มบ้านที่อยู่อาศัยทั่วไป และกลุ่มผู้สนใจรักสุขภาพ ในการใช้สระน้ำเพื่อช่วยออกกำลังกายและการบำบัดโรค โดยได้เปิดตัวสระว่ายน้ำระดับราคาประมาณ 300,000 บาท ขนาดความยาว 5 เมตร ที่สามารถติดตั้งได้ในบ้านเดี่ยว บ้านแฝด หรือทาวน์โฮม บริษัทพยายามทำราคาสระว่ายน้ำให้จับต้องได้ ซึ่งตลาดที่กำลังมาแรง คือ ตลาดสุขภาพ ที่สระว่ายน้ำช่วยด้านการรักษาโรคและช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เช่น การเดินในสระน้ำเพื่อรักษาข้อเข่า เป็นต้น   ส่วนแนวทางการขยายตลาดกลุ่มงานราชการ บริษัทได้นำเสนองานผ่านองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการกีฬา เช่น กรมพลศึกษา เพื่อนำเสนอสินค้าที่ตรงความต้องการของหน่วยงานดังกล่าว เนื่องจากปัจจุบันหน่วยงานราชการมีนโยบายด้านการส่งเสริมให้ประชาชนออกกำลังกายมากขึ้น โดยเฉพาะตามแหล่งชุมชนที่ต้องการให้มีสระวายน้ำเพื่อการออกกำลังกายมากขึ้น ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากงานราชการเพียง 50 ล้านบาท เนื่องจากเพิ่งเริ่มต้นเข้าทำตลาด แต่คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง นายธนูศักดิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนการขยายสาขาแฟรนไชน บริษัทต้องการขยายสาขาให้ครอบคลุมทั่วประเทศ  แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อม และภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งเมื่อมีโอกาสจะขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง แต่เบื้องต้นวางเป้าหมายเพิ่มบริษัทมีแผนเพิ่มศูนย์บริการและจัดจำหน่ายเพิ่มอย่างน้อย 10 แห่ง จากปัจจุบันที่มีอยู่ 22 แห่งใน 20 จังหวัด ภายในระยะเวลา 3 ปีนี้ ซึ่งในจำนวนดังกล่าวเป็นสาขาที่บริษัทลงทุนเอง 8 แห่ง   นอกจาก การทำตลาดในประเทศ ปัจจุบันบริษัทมีตัวแทนจำหน่ายและพันธมิตรในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งเมียนมา สปป.ลาว และกัมพูชา โดยในเมียนมาสามารถทำยอดขายได้มากที่สุดกว่า 20 ล้านบาท จากยอดขายโดยรวมของกลุ่มตลาดต่างประเทศกว่า 100 ล้านบาท แต่ปีที่ผ่านมายอดขายตลาดต่างประเทศได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ทำให้มียอดขายลดลงไปประมาณ 20%  
เซ็นทรัลพัฒนา ลงทุน 13,900 ล้าน ปั้นแลนด์มาร์ก 3 บิ๊กมิกซ์ยูส

เซ็นทรัลพัฒนา ลงทุน 13,900 ล้าน ปั้นแลนด์มาร์ก 3 บิ๊กมิกซ์ยูส

เซ็นทรัลพัฒนา เตรียมเปิดให้บริการ 3 โปรเจ็กต์มิกซ์ยูส ขนาดใหญ่ รวมมูลค่ากว่า 13,900 ล้าน ใน 3 เมืองศักยภาพ ทั้งอยุธยา ศรีราชา และจันทรบุรี มั่นใจเศรษฐกิจแข็งแกร่ง และกำลังซื้อเติบโต ชู 3 กลยุทธ์จับตลาดสร้างรายได้ ขณะที่ภาพรวมปี 2563 ยังทำรายได้เติบโตกว่า 32,062 ล้านบาท และกำไร 9,557 ล้านบาท   นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ยังคงเดินหน้าตามแผนธุรกิจในการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส 3 แห่ง รวมมูลค่าโครงการกว่า 13,900 ล้านบาท ได้แก่ โครงการเซ็นทรัล อยุธยา มูลค่า 6,200 ล้านบาท เซ็นทรัล ศรีราชา มูลค่า 4,200 ล้านบาท และเซ็นทรัล จันทบุรี มูลค่า 3,500 ล้านบาท แม้ว่าในปีที่ผ่านมาจะมีความท้าทายจากวิกฤตโควิด-19 และปีนี้ แต่จากการมองบวกและเชื่อมั่นในวิกฤตยังมีโอกาสในการลงทุน จึงยังคงเดินหน้าตามแผนที่วางไว้ เพื่อเป็นฟันเฟืองขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่งเสริมและยกระดับศักยภาพจังหวัด พร้อมดึงความโดดเด่นของอัตลักษณ์ท้องถิ่น และกระจายความเจริญและรายได้ในแต่ละแห่ง ​ 3 กลยุทธ์สร้างความสำเร็จ แนวทางสำหรับสร้างความสำเร็จของการพัฒนาโครงการทั้ง 3 แห่ง ได้วาง 3 กลยุทธ์แห่งความสำเร็จ คือ 1. บุกเบิกเมืองด้วยโมเดล Fully-Integrated Mixed-Use Developments ที่แข็งแกร่ง 2.Customer-Centric Design Thinking and Marketing และ 3.Tenant-Centric Business Partnership กล่าวคือ กลยุทธ์ที่ 1: บุกเบิกเมืองด้วยโมเดล Fully-Integrated Mixed-Use Developments ด้วยจุดแข็งและ Success Formula ของบริษัทฯ ที่มีมายาวนาน โดยทุกโครงการสร้าง Big Impacts ให้กับทุกจังหวัดที่ไปตั้งอยู่ ประกอบกับความเชี่ยวชาญในการพัฒนาทุกองค์ประกอบให้เป็นส่วนประกอบที่ดีที่สุดและที่เชื่อมโยงเอื้อประโยชน์ซึ่งกันและกัน อีกทั้งคอนโดมิเนียมของเราเน้นจุดแข็งที่อยู่ติดศูนย์การค้าทำให้หลายโครงการสามารถ sold out ได้อย่างรวดเร็ว อาทิ ระยอง อาคารแรก, เชียงใหม่ อาคาร 1-2, โคราช อาคารแรก  โดยปัจจุบันธุรกิจที่พักอาศัยของเซ็นทรัลพัฒนามีกว่า 18 โครงการใน 10 จังหวัด นอกจากนี้ มีโรงแรมแบรนด์ใหม่ที่จะเกื้อหนุนโครงการ ทำให้มี Business & Traffic Ecosystem ที่ดีอย่างแน่นอน กลยุทธ์ที่ 2: Customer-Centric Design Thinking and Marketing แนวคิดการพัฒนาโปรเจ็กต์ที่ รังสรรค์โครงการในทุกองค์ประกอบเพื่อทุกไลฟ์สไตล์แห่งอนาคต และชูวิถีอัตลักษณ์ของเมือง ทุกโครงการมีความพร้อม และเป็นศูนย์กลางการใช้ชีวิตที่ดีที่สุดของจังหวัด ในเรื่องต่าง ๆ ได้แก่ -การออกแบบก่อสร้างที่ทันสมัย ผนวกวิถีแห่งเมือง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม -การร่วมมือกับพันธมิตรที่พร้อมเดินหน้าลงทุนเติบโตไปด้วยกัน และสร้างสรรค์สินค้าและบริการใหม่ๆ ที่ customize ตามจังหวัดต่างๆ -แผนการตลาดที่เจาะกลุ่มพร้อมรับ Digital Disruption, การสร้าง community, และแผนดันกำลังซื้อสนับสนุนร้านค้าตลอดทั้งปี ย้ำ "กำลังซื้อชัด-ไลฟ์สไตล์ดี-สร้างเสน่ห์ท่องเที่ยว" กลยุทธ์ที่ 3: Tenant-Centric Business Partnership เซ็นทรัลพัฒนามองการลงทุนกับคู่ค้าในระยะยาว ซึ่งการที่ธุรกิจต่าง ๆ จะเข้าไปขยายการลงทุนไปกับเรา จะสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนี้ที่ธุรกิจเริ่มกลับมาฟื้นตัว เราต้องก้าวไปสู่ next success ด้วยกัน โดยทุกศูนย์การค้าของเซ็นทรัลพัฒนา เน้นที่กลยุทธ์ในระยะยาวในการเป็น Center of Life, Center of Community ในทุกที่ที่ไป ด้วยการสร้างศูนย์การค้าที่ตรงใจคนในแต่ละโลเคชั่น เป็น The best in city and the most preferred choice ของ  แต่ละจังหวัด พร้อมช่วยยกระดับจังหวัด ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้คนในทุกที่ ทำให้ถึงแม้จะมีปัจจัยระยะสั้น ก็ยังคงมีทราฟฟิกกลับมาดีต่อเนื่อง   นอกจากนี้ การนำเอา Digital Tools ต่างๆ มาเป็นเครื่องมือให้พันธมิตรร้านค้าเข้าใจ Customer Insight และทำ Targeted Marketing ได้มากขึ้น จากฐานข้อมูลของธุรกิจต่างๆ ในเครือเซ็นทรัลที่ทำธุรกิจในตลาดต่างจังหวัดทั่วประเทศมาอย่างยาวนาน และมีการพาร์ทเนอร์กับ The 1 พัฒนาโปรเจ็ค The 1 Biz เพื่อช่วยให้ร้านค้าขายได้ดีขึ้น และช่วยให้แต่ละแบรนด์สามารถทำ CRM ที่ตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น และในช่วงสถานการณ์นี้ เราคำนึงถึง Tenant Growth, Tenant Sales, Tenant Success เป็นสำคัญ จึงได้ออก Flexible Leasing Programme เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการช่วยเหลือร้านค้าผู้เช่า อาทิ -การช่วยลดภาระ ผ่อนคลายความกังวลเรื่องผลประกอบการในช่วงเปิดร้านใหม่ หรือในช่วงปีแรก -การช่วยเหลือให้เข้าถึง Soft Loans กับพันธมิตรธนาคารต่าง ๆ -ช่วย Business Matching กับ Local Investors -On-going Tenant Support ตลอดทั้งปี เช่น The 1 Biz ซึ่งจะเป็น Effective CRM เพิ่มยอดขายให้กับผู้เช่า -มี Central Pattana Serve Application พร้อมให้ความช่วยเหลืออย่างครบวงจร เหตุผลที่เซ็นทรัลพัฒนา บุกตลาด 3 เมือง โครงการ เซ็นทรัล อยุธยา เป็นโครงการมิกซ์ยูสที่ประกอบไปด้วย ศูนย์การค้า, Tourist Attraction, โรงแรม, ที่พักอาศัย, และคอนเวนชั่นฮอลล์ บนที่ดิน 47 ไร่ โดยมีพื้นที่ GFA 68,000 ตารางเมตร มูลค่าโครงการ 6,200 ล้านบาท เปิดให้บริการเดือน 27 ต.ค. 64 ซึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้เข้ามาพัฒนาโครงการในอยุธยา เป็นเพราะ 1.มีกลุ่มคนอยุธยารุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง (Young Affluent & Urban Vibes) -จากฐานข้อมูล The 1 ของกลุ่มเซ็นทรัล พบว่า มีคนจำนวนกว่า 180,000 คน เดินทางเข้ามาซื้อสินค้าในกรุงเทพฯ เฉลี่ย 6 ครั้งต่อเดือน   -มีประชากรกลุ่มเป้าหมายเป็นจำนวนมากเกือบ 2,500,000 คน ทั้งในจังหวัดอยุธยา และจังหวัดรอบข้าง ได้แก่ จังหวัดอ่างทอง, สิงห์บุรี, ชัยนาท และสุพรรณบุรี นอกจากนี้ ยังมีประชากรแฝงจากนิคมอุตสาหกรรมชั้นนำ 5 แห่งกว่า 166,000 คน ซึ่งเป็นบริษัทกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และ Hi-tech โดยมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำกว่า 56 โครงการกว่า 5,700 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 1.5-3 ล้านบาท   2.เมืองท่องเที่ยว ที่สามารถเดินทางได้แบบ Short-Trip Destination โดยอยุธยามีนักท่องเที่ยวเดินทางมากกว่า 8 ล้านคนในปี 2562 โดยเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 6.2 ล้านคน และต่างชาติ 2.1 ล้านคน ขณะเดียวกันยังมีผู้ที่ Commuters ที่เดินทางผ่านหน้าโครงการ ซึ่งอยู่ติดถนนสายหลักถึง 100,000 คันต่อวัน  ซึ่งตลาดการท่องเที่ยวอยุธยาสามารถเติบโตได้อีกมาก โดยเรามีแผนทำ International marketing กับนักท่องเที่ยวทั่วโลก   3.นักท่องเที่ยวและ Commuter มหาศาล: จับกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน -นอกจากในช่วง Weekday และ Weekend จับกลุ่มคนอยุธยา 85% ที่มีกำลังซื้อแล้ว สำหรับ Weekend ยังเน้นจับกลุ่มสำคัญคือ กลุ่มนักท่องเที่ยวทั้งไทยและเทศ อีก 15% โดยอยุธยามีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยี่ยมเยือนมากกว่า 8 ล้านคนในปี 2019 โดยเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 6.2 ล้านคน และต่างชาติ 2.1 ล้านคน  ซึ่งตลาดการท่องเที่ยวอยุธยาสามารถเติบโตได้อีกมาก โครงการเซ็นทรัล ศรีราชา เป็นโครงการมิกซ์ยูสที่ประกอบไปด้วย ศูนย์การค้า, คอนเวนชั่นฮอลล์, เซอร์วิส อพาร์ทเมนต์, ออฟฟิศ และโรงแรม บนที่ดิน 27 ไร่ โดยมีพื้นที่ GFA 71,000 ตารางเมตร มูลค่าโครงการ 4,200 ล้านบาท เปิดให้บริการ เดือน 25 ก.ย. 64 ซึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้เข้ามาพัฒนาโครงการในศรีราชา เป็นเพราะ 1.ศรีราชาเป็นเมืองดาวรุ่งอุตสาหกรรม และมี GDP เป็นอันดับ 2 ของประเทศ ศรีราชาจะมีการพัฒนาให้เป็น ​Innovation Hub โดยมีตัวเลขประมาณการจากการที่เป็นเมือง New S-Curve จะมี ตัวเลขเงินลงทุนใน EEC สะพัดกว่า 1.5 ล้านล้านบาท ในช่วงปี  2560-2565   เพื่อดึงดูด Start-Up และ Digital Nomad เข้ามาในพื้นที่ 2.กลุ่มเป้าหมายหลากหลายและมีกำลังซื้อสูง -ศรีราชา มีประชากรกว่า 580,000 คน โครงการที่อยู่อาศัยเติบโตเฉลี่ย 8% ต่อปี ปัจจุบันมีดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ เข้าไปพัฒนาที่อยู่อาศัยกว่า 61,000 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 1.5-6 ล้านบาท ทำให้มีกำลัง​ซื้อหนาแน่น และยังมีการพัฒนาโครงการโรงแรม โรงเรียน โรงพยาบาลชั้นนำ และนิคมอุตสาหกรรม 11 แห่ง -นอกจากคนไทยที่อาศัยอยู่ในศรีราชาแล้ว  ยังมีชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น ปัจจุบันมีชุมชน Japanese Expat ที่เข้มแข็ง โดยมีชาวญี่ปุ่นและชาวต่างชาติอื่น ๆ อาศัยอยู่ประมาณ 40,000 คน อีกทั้ง กลุ่มคนญี่ปุ่นในทำงานที่ศรีราชาเป็นระดับ Top management เงินเดือนสูงเฉลี่ยประมาณ 100,000-200,000 บาทต่อเดือน   โครงการเซ็นทรัล จันทบุรี เป็นโครงการมิกซ์ยูสที่ประกอบไปด้วย ศูนย์การค้า, Local market, ที่พักอาศัย, และโรงแรม รวมถึง Social Park บนที่ดิน 46 ไร่ โดยมีพื้นที่ GFA 42,600 ตารางเมตร มูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท เปิดให้บริการไตรมาสที่2/2565 ซึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้เข้ามาพัฒนาโครงการในจันทบุรีเป็นเพราะ   1.เชื่อมโยงเศรษฐกิจต่อจากพื้นที่ EEC จันทบุรี ถือเป็น The Hidden Gem of EEC Plus 2 สร้างเศรษฐกิจและวิถีท้องถิ่นแข็งแกร่งระดับประเทศ และเป็นตลาด​ Blue Ocean เพราะยังไม่การพัฒนาโครงการในรูปแบบมิกซ์ยูส  และจันทรบุรี เป้นเมืองกำลังเติบโต มีสถานศึกษาถึง 45 แห่ง โรงแรม 29 แห่ง และที่พักอาศัย 24 แห่ง   จันทบุรียังเป็นมหานครผลไม้เมืองร้อนระดับโลก มี GPP (Gross Provincial Product) อันดับ 1 ของประเทศด้านเกษตรกรรม   2.กำลังซื้อชัด ไลฟ์สไตล์ดี -มีประชากรกลุ่มเป้าหมายเป็นจำนวนมากกว่า 1,800,000 คน ทั้งในจังหวัดจันทบุรี รวมถึงจังหวัดใกล้เคียง ทั้งจังหวัดตราด, ปราจีนบุรี และสระแก้ว รวมถึงยังมีกลุ่มผู้มีฐานะจากประเทศเพื่อนบ้าน เดินทางเข้ามาใช้จ่ายในจันทบุรีด้วย   3.การท่องเที่ยวเติบโตด้วย EEC Plus 2 และความมีเสน่ห์ของเมือง -จันทบุรี เป็นแหล่งท่องเที่ยวด้านสวนผลไม้ใหญ่ที่สุดในประเทศ -เป็นศูนย์กลางการค้าพลอยและอัญมณีที่ใหญ่ที่สุดในโลก รวมช่างฝีมือไทยที่ทั่วโลกต้องส่งมาเจียระไนที่นี่ -เมืองท่องเที่ยวที่เป็น Rising star มี Local Tourism ที่แข็งแกร่งและเติบโตต่อเนื่อง โดยมีจุดเด่นทั้งธรรมชาติ วัฒนธรรม ชุมชนเก่า รวมถึงการเป็นยุทธศาสตร์สำคัญในประวัติศาสตร์ ทำให้มีคาเฟ่ และร้านอาหารสุดชิคมากมายจำนวนนักท่องเที่ยวเติบโตเฉลี่ยปีละ 10% ในระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา (ปี 2557-2561) ดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวไทยและต่างชาติกว่า 2.47 ล้านคนต่อปี (ปี 2563)   ปี 63 ยังทำรายได้กว่า 32,062 ล้าน สำหรับภาพรวมธุรกิจของเซ็นทรัลพัฒนา ของปี 2563 ยังเติบโตมีรายได้รวม 32,062 ล้านบาท และกำไร 9,557 ล้านบาท สะท้อนความเป็นมืออาชีพในการบริหารจัดการต้นทุน การปรับแผนการลงทุน รวมถึงการดูแลช่วยเหลือ Stakeholders ทุกฝ่ายอย่างต่อเนื่อง  ปัจจุบัน เซ็นทรัลพัฒนา บริหารจัดการศูนย์การค้า 34 แห่ง มีพื้นที่ให้เช่าสุทธิรวม 1.8 ล้านตารางเมตร  (อยู่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 15 โครงการ, ต่างจังหวัด 18 โครงการ และในมาเลเซีย 1 โครงการ) ศูนย์อาหาร 30 แห่ง อาคารสำนักงาน 10 อาคาร โรงแรม 2 แห่ง   นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่พักอาศัยอีก 18 โครงการ ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ ESCENT, ESCENT  VILLE, ESCENT PARK VILLE, PHYLL PAHOL 34 และ BELLE GRAND RAMA 9 และโครงการแนวราบภายใต้แบรนด์ ESCENT TOWN พิษณุโลก (ทาวน์โฮม) นินญา กัลปพฤกษ์ (บ้านแฝด) โครงการนิยาม บรมราชชนนี (บ้านเดี่ยวระดับลักชูรี่) และโครงการบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว ได้แก่ นีรติ เชียงราย และนีรติ บางนา อีกทั้งยังมีโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่อีกมากมาย อาทิ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ที่ร่วมทุนกับดุสิตธานี และโครงการ GLAND ที่เซ็นทรัลพัฒนาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อีกด้วย      
สามย่านมิตรทาวน์ เพิ่ม 11 ร้านอาหารเกาหลี-จัดอีเวนต์ทั้งปี  ดึงผู้ใช้บริการทะลุ 80,000คน

สามย่านมิตรทาวน์ เพิ่ม 11 ร้านอาหารเกาหลี-จัดอีเวนต์ทั้งปี ดึงผู้ใช้บริการทะลุ 80,000คน

สามย่านมิตรทาวน์ เดินหน้าตอกย้ำ สู่การเป็น “คลังอาหารและการเรียนรู้” ชูกลยุทธ์ “Inspiring Everyday Experiences” ดึงลูกค้าเข้าใช้บริการวันละ 80,000 คน เพิ่มร้านอาหารเกาหลีใหม่ 11 ร้าน เติมพอร์ต​ ขยับสัดส่วนเป็น 50% ของพื้นที่ทั้งโครงการ    นางธีรนันท์ กรศรีทิพา รองกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจรีเทล เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คอมเมอเชียล (ประเทศไทย) เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2564 ว่า จะใช้กลยุทธ์ Inspiring Everyday Experiences ด้วยการใช้พื้นที่รีเทล เพื่อสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าเข้ามาใช้บริการได้ทุกวัน และทำให้มีทราฟิคผู้เข้าใช้บริการในปีนี้เฉลี่ย 80,000 คนต่อวัน จากช่วงต้นปีถึงปัจจุบันมีผู้เข้ามาใช้บริการกว่า 53,000 คน หรือเทียบเท่า 84% กับช่วงก่อนไวรัสโควิด-19  ขณะที่ปีที่ผ่านมามีผู้ใช้บริการเฉลี่ย 63,000 คนต่อวัน    โดยเป้าหมายดังกล่าวเป็นการคาดการณ์ภายใต้สถานการณ์ปกติที่ไม่เกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 เพิ่มมากขึ้น ประกอบกับมีการจัดกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะซิกเนอเจอร์อีเวนต์ที่เป็นกิจกรรมที่สามย่านมิตรทาวน์จัดขึ้นมาโดยเฉพาะปีละ 4 ครั้ง  ขณะที่ยอดร้านค้าเช่าพื้นที่แล้วกว่า 97%    ตั้งแต่เริ่มเปิดสามย่านมิตรทาวน์  โครงการได้สร้างความสำเร็จผ่านการดำเนินงานที่อาศัยความเข้าใจในกลุ่มลูกค้า ร้านค้า และพนักงาน จนทำให้สามย่านมิตรทาวน์ ผ่านพ้นสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้ง 2 ระลอก สำหรับกลยุทธ์ “Inspiring Everyday Experiences”  จะมีวิธีการดำเนินงาน 3 ประการ ดังนี้ 1.เพิ่มร้านอาหารใหม่ 11 ร้าน ด้วยคอนเซ็ปต์ของสามย่านมิตรทาวน์ ที่วางตำแหน่งการเป็น คลังอาหารและการเรียนรู้ ในปีนี้จึงได้เพิ่มสัดส่วนร้านอาหารขึ้นเป็น 50% จากก่อนหน้าที่มีสัดส่วน 43% ของพื้นที่โครงการ  โดยมีร้านอาหารใหม่ที่เพิ่มเข้ามา 11 ร้าน ตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายน ซึ่งแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่  -กลุ่มร้านอาหารเกาหลี “K-strEAT” พื้นที่รวมร้านอาหารเกาหลีไว้ทุกเมนูในพื้นที่เดียวกัน  -ร้านดังจากโซเชียล การนำร้านดังทั่วกรุงเทพฯ ที่เกิดขึ้นใหม่ตลอดเวลา มานำเสนอใหม่ในซิกเนเจอร์ของสามย่านมิตรทาวน์ -ร้านอิ่มสบายกระเป๋า ราคาเริ่มต้นเพียง 40 บาท   2.พื้นที่การแห่งเรียนรู้ สามย่านมิตรทาวน์ มีพื้นที่แห่งการเรียนรู้ และสร้างแรงบันดาลใจ ที่ตรงกับความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย อาทิ โซนสามย่านโคออป (Samyan CO-OP) โคเลิร์นนิ่งสเปซที่เปิดให้บริการฟรี  และร้านมีเดียม แอนด์ มอร์ (Medium & More) ศูนย์รวมสินค้าอาร์ต แอนด์ คราฟ คอนเซ็ปต์ใหม่ ที่มีสินค้าครบสำหรับผู้สนใจด้านศิลปะ  และมีการจัดอีเว้นต์ อาทิ การเพิ่มกิจกรรมสอนวิธีการใช้งาน ฝึกปฏิบัติ รวมถึงเวิร์คช็อปเข้ากับอีเว้นต์ต่าง ๆ     3.การจัดกิจกรรมให้เกิดปฏิสัมพันธ์กับชุมชน  โดยให้บริการพื้นที่ ด้วยคอนเซ็ปต์ Placemaking เพื่อเปิดพื้นที่ส่วนกลางให้ลูกค้า และผู้มาใช้บริการได้ใช้ประโยชน์ในการทำกิจกรรมสร้างสรรค์ต่าง ๆ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ โดยให้บริการในรูปแบบพื้นที่สาธารณะ (Public Space) ที่ใครก็สามารถเข้าไปได้ มีบรรยากาศที่ผ่อนคลาย สามารถทำกิจกรรมที่อยากทำ นอกจากการช้อปปิ้ง ซึ่งจะเป็นพื้นที่ที่ต้องการตอบแทนคืนสังคมในรูปแบบหนึ่งที่โครงการตั้งใจ อาทิ การร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำจัดกิจกรรมที่เกิดประโยชน์กับสังคม การยกพื้นที่ให้นิสิตนักศึกษาได้แสดงฝีมือจัดแสดงธีสิส เป็นต้น   ปัจจุบันโครงการสามย่านมิตรทาวน์มีสัดส่วนของร้านค้า ภายใต้คอนเซ็ปต์การเป็น คลังอาหารและการเรียนรู้ ดังนี้ 1.The Eating Library (50%) พื้นที่สร้างประสบการณ์ทั้งศาสตร์ และศิลป์ในการรับประทานอาหาร นอกเหนือจากการรับประทานธรรมดาทั่วไป โดยคัดสรรอาหารที่หลากหลายตามความต้องการ 2.The Learning Library (25%) พื้นที่สำหรับเปิดกว้างสำหรับการเรียนรู้ และการเรียนเสริมทักษะที่จะเติมเต็มจินตนาการสานให้ครบทุกด้านของชีวิต 3.The Living Library (25%) พื้นที่รวบรวมสิ่งจำเป็นต่อไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของคนเมือง ทั้งนี้ ในช่วงเทศกาลสงกรานต์สามย่านมิตรทาวน์ยังคง กิจกรรม Endless Summer “หน้าร้อนสุดฟิน เช็คอินความสุข สนุกทุกองศา” เป็นกิจกรรมแรกของปี ท่ามกลางบรรยากาศการตกแต่งศูนย์ฯ ครั้งแรกที่ดึงซิกเนเจอร์ไฮไลท์ของศูนย์ฯ คือ อุโมงค์เชื่อมมิตรหรืออุโมงค์อวกาศที่หลายคนคุ้นเคย ให้กลายเป็นโลกใต้ท้องทะเลสุดอลังการเติมเต็มมิตรสายทำคอนเทนต์ทั้งถ่ายภาพ และวิดีโอคลิปที่ให้ความรู้สึกเสมือนเดินอยู่ในอควาเรี่ยมขนาดใหญ่       
เอพี ชู 2 กลยุทธ์ ปั้นแบรนด์ “อภิทาวน์” กวาดยอด​ 900 ล้านบาท

เอพี ชู 2 กลยุทธ์ ปั้นแบรนด์ “อภิทาวน์” กวาดยอด​ 900 ล้านบาท

เอพี เผยความสำเร็จ 2 กลยุทธ์ เจาะตลาดต่างจังหวัดหัวเมืองสำคัญ และการสร้างความแตกต่างในสินค้า ปั้นแบรนด์ “อภิทาวน์” โปรเจ็กต์มิกซ์โปรดักส์ สร้างยอดขายได้กว่า 900 ล้าน   เปิด 5 โปรเจ็กต์ มูลค่ากว่า 4,730 ล้าน   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากแผนดำเนินธุรกิจขยายสินค้าแนวราบของเครือเอพี สู่ตลาดจังหวัดหัวเมืองใหญ่ ภายใต้แบรนด์ “อภิทาวน์” ที่เน้นเจาะลูกค้าเรียลดีมานด์ครอบครัวรุ่นใหม่ อายุระหว่าง 30-45 ปี  ซึ่งมองหาบ้านหลังใหม่​ ซึ่งได้พัฒนาโครงการในจังหวัดขอนแก่น ระยอง และนครศรีธรรมราช   ล่าสุด ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้เปิดโครงการต่อเนื่อง ในอีก 2 จังหวัดใหม่ ได้แก่ โครงการอภิทาวน์ อยุธยา ตั้งอยู่บนถนนใหญ่ (ถนนอโยธยา) เพียง 900 เมตร ถึงเซ็นทรัล อยุธยา ใกล้ศูนย์ราชการและนิคมโรจนะ และโครงการอภิทาวน์ เชียงราย ตั้งอยู่บนถนนใหญ่ (ถนนเชียงราย-เชียงของ) ติดโฮมโปรแม่กรณ์ เพียง 15 นาทีถึงสนามบินแม่ฟ้าหลวง ซึ่งยอดขายล่าสุดของโครงการอภิทาวน์ สามารถทำยอดขายรวมได้กว่า 900 ล้านบาท สำหรับโครงการอภิทาวน์ อยุธยา  มีจำนวน 441 ยูนิต บ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม ราคาเริ่ม 1.99 - 4.39 ล้านบาท  ส่วนโครการอภิทาวน์ เชียงราย  มีจำนวน 155 ยูนิต บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ 4 ห้องนอน  4 ห้องน้ำ ราคาเริ่ม 4.49 - 10 ล้านบาท โดยสามารถปิดการขายไปได้กว่า300 ล้านบาท ในช่วงพรีเซล​ ชู 2 กลยุทธ์ “อภิทาวน์” สร้างยอดขายเกินคาด โดยความสำเร็จดังกล่าว เกิดจาก 2 กลยุทธ์สำคัญที่ เอพี นำมาใช้กับโครงการภายใต้แบรนด์อภิทาวน์ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ 1 การเจาะหัวเมืองใหญ่ที่มีศักยภาพน่าสนใจ โดยเมืองต่างจังหวัดที่มีศักยภาพของ เอพี จะครอบคลุม 4 มิติหลักสำคัญ ได้แก่ 1.ความคืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรมของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเมกะโปรเจคจากภาครัฐ 2.แนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจแบบหลายมิติ 3.ความเป็นเมืองที่ส่งเสริมการเติบโตของดีมานด์ตลาดสินค้าที่อยู่อาศัย แ 4.เมืองเซนเตอร์ทางการศึกษาหรือการแพทย์ของภูมิภาค กลยุทธ์ที่​ 2 การพัฒนาสินค้าเพื่อเป็นสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันที่มากขึ้น โดยโครงการภายใต้ แบรนด์อภิทาวน์ มีจุดแตกต่างสำคัญจากสินค้าเดิมในตลาด ทั้งการดีไซน์บ้านพร้อมผสานเทคโนโลยีการใช้ชีวิตที่ทันสมัย การจัดสรรพื้นที่ใช้สอยรูปแบบใหม่ที่มากกว่าใช้งานได้จริง พื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกตอบไลฟ์สไตล์เมือง ภายใต้การบริหารจัดการทั้งก่อนและหลังโดยทีมงานคุณภาพมาตรฐานเอพี ตลอดจนการเลือกทำเลที่ตั้งและแพ็คเกจการขายที่สอดรับกับสิ่งที่ลูกค้ามองหาในแต่ละจังหวัด ในรูปแบบโครงการมิกซ์ โปรดักซ์ ทั้งบ้านเดี่ยว 1 ชั้น บ้านเดี่ยว 2 ชั้น บ้านแฝด 2 ชั้น ทาวน์โฮม 1 ชั้น และทาวน์โฮม 2 ชั้น ที่จะเข้ามาสร้างความแตกต่างส่งมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยที่เหนือกว่าโครงการทั่วไป และที่สำคัญคือการยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดีตอบเป้าหมายที่ลูกค้ามองหา เชื่อว่าทั้ง 2 กลยุทธ์ที่เราจะนำมาใช้ จะสะท้อนไปยังสินค้าและบริการที่พร้อมเอ็มพาวเวอร์ทุกมิติของชีวิต และทำให้ ‘อภิทาวน์’ พอร์ตสินค้าใหม่เครือเอพี สามารถรักษาการเติบโตและเป็นตัวเลือกแรกที่ดีที่สุดในทุกตลาดหัวเมืองใหญ่ที่เราทำการพัฒนาได้อย่างต่อเนื่อง เปิดรวม 5 โปรเจ็กต์ กว่า 4,730 ล้าน สรุปการเปิดตัวโครงการ “อภิทาวน์” รวมทั้งสิ้น 5 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,730 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.“อภิทาวน์ ขอนแก่น” มูลค่าโครงการ 980 ล้านบาท ที่ดินขนาด 45 ไร่ จำนวน 279 หลัง เฟสใหม่ติดสวนขนาดใหญ่ – เปิดจองบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาดที่ดินตั้งแต่ 50 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 154 – 225 ตารางเมตร 4 ห้องนอน  4 ห้องน้ำ 2 ส่วนพักผ่อน ครัว และ 2 ที่จอดรถ ใกล้สนามบินนานาชาติขอนแก่นและศูนย์กลางเมือง ราคาเริ่มต้น 4.29 - 8 ล้านบาท 2.“อภิทาวน์ ระยอง” มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท ที่ดินขนาด 45 ไร่ จำนวน 286 หลัง ในรูปแบบมิกซ์ โปรดักส์ (บ้านเดี่ยว 2 ชั้น บ้านเดี่ยว 1 ชั้น และทาวน์โฮม 1-2 ชั้น) ตั้งอยู่บนถนนสุชาดา 4 เชื่อมต่อถนนสุขุมวิทเพียง 15 นาทีถึงนิคมมาบตาพุด เฟสใหม่เปิดจอง บ้านเดี่ยว 6 สไตล์โมเดิร์นดีไซน์แห่งอนาคต ฟังก์ชั่น 4 ห้องนอน บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาดที่ดินเริ่ม 50 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 154 – 190 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ส่วนพักผ่อน ครัว และ 2 ที่จอดรถ ราคาเริ่มต้น 2.99 – 6 ล้านบาท 3.“อภิทาวน์ นครศรีธรรมราช” มูลค่าโครงการ 650 ล้านบาท ที่ดินขนาด 34 ไร่ จำนวน 215 หลัง ในรูปแบบมิกซ์ โปรดักส์ (บ้านเดี่ยว 2 ชั้น บ้านแฝด 2 ชั้น และ ทาวน์โฮม 2 ชั้น) ติดถนนใหญ่  ถนนอ้อมค่ายวชิราวุธ ใกล้สนามบินฯ โดยในเฟสสองพร้อมเปิดจองบ้านเดี่ยวดีไซน์ใหม่ ขนาดที่ดินเริ่ม 50 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 225 ตารางเมตร บ้านเดี่ยว 2 ชั้น 4 ห้องนอนใหญ่ 4 ห้องน้ำ 2 ส่วนพักผ่อน ครัว  และ 2 ที่จอดรถ ราคาเริ่ม 4.2-6 ล้านบาท 4.“อภิทาวน์ อยุธยา” มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท ที่ดินขนาด 66 ไร่ จำนวน 441 หลัง ตั้งอยู่บนถนนใหญ่ (ถนนอโยธยา) เพียง 900 เมตรถึงเซ็นทรัล อยุธยา ใกล้ศูนย์ราชการและนิคมโรจนะ เพียง 10 นาที เฟสสองเปิดจองบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม โซนใกล้สวนขนาด 2 ไร่ ราคาเริ่ม 1.99 – 4.39 ล้านบาท 5.“อภิทาวน์ เชียงราย” มูลค่าโครงการ 900 ล้านบาท ที่ดินขนาด 43 ไร่ จำนวน 155 หลัง ตั้งอยู่บนถนนใหญ่ (ถนนเชียงราย-เชียงของ) ติดโฮมโปรแม่กรณ์ เพียง 15 นาทีถึงสนามบินแม่ฟ้าหลวง เปิดจองโซนใกล้สวนและคลับเอ้าส์ บ้านเดี่ยวหลังใหญ่ 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ ราคาเริ่ม 4.49 – 10 ล้านบาท  
ORIGIN NEXT LEVEL การเดินหน้าสู่ Top5 ผู้นำในทุกธุรกิจ

ORIGIN NEXT LEVEL การเดินหน้าสู่ Top5 ผู้นำในทุกธุรกิจ

เพียงระยะเวลา 10 กว่าปี บริษัทเล็ก ๆ อย่างบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเริ่มต้นธุรกิจด้วยทุนจดทะเบียนเพียง 10 ล้านบาท ในปี 2552 ก็สามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดอสังหาริมทรัพย์ ติดอันดับ Top 10 ด้วยขนาดสินทรัพย์เมื่อสิ้นปี 2563 ซึ่งมีมูลค่ามากกว่า 33,693 ล้านบาท   มีมูลค่าโครงการที่พัฒนาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมากว่า 125,278 ล้านบาท ถือเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ที่มีการเติบโตเร็วมาก เมื่อเทียบกับบรรดารุ่นพี่ในวงการ ซึ่งหลายแห่ง มีอายุการดำเนินธุรกิจที่มากกว่า 10 ปี แต่ยังไม่สามารถสร้างขนาดองค์กร และพัฒนาโครงการได้มากเท่ากับออริจิ้นแห่งนี้   ความสำเร็จของ ออริจิ้น เกิดขึ้นจากฝีมือการบริหารงานของ “พีระพงศ์ จรูญเอก” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ที่สามารถนำกลยุทธ์การบริหารธุรกิจต่าง ๆ มาใช้ขับเคลื่อนธุรกิจ ให้สามารถก้ามข้ามภาวะการแข่งขัน ปัจจัยลบ และความเสี่ยงทางธุรกิจต่าง ๆ ในช่วงที่ผ่านมา ให้ประสบความสำเร็จได้อย่างดี เห็นได้จากตัวเลขของปี 2563 ซึ่งเป็นปีที่ภาวะตลาดอสังหาฯ ต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่หลายคนมองว่าเป็นผลกระทบที่รุนแรงมากที่สุด นับตั้งแต่ดำเนินธุรกิจมาตลอดหลายปี แต่ออริจิ้นยังคงเป็นหนึ่งในไม่กี่บริษัท ที่สามารถสร้างผลงาน ทั้งด้านรายได้และกำไรเติบโต โดยในปี 2563 ที่ผ่านมา ออริจิ้น สามารถทำรายได้รวม 11,114 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากกลุ่มโครงการคอนโดมิเนียม 7,100 ล้านบาท และบ้านแนวราบ 6,200 ล้านบาท  มียอดโอนรวม 15,086 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็นยอดโอนจากโครงการร่วมทุน 5,216 ล้านบาท ขณะที่ปีที่ผ่านมามียอดขาย 25,774 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 120% โดยผลประกอบการปี 2563 มีกำไรสุทธิ 2,662 ล้านบาท วางเป้าทุกธุรกิจติด Top5 จากความสำเร็จในปีที่ผ่านมา ทำให้ ออริจิ้น ยังคงเดินหน้าลงทุนและพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง เพื่อการก้าวสู่ความเป็นผู้นำตลาดอสังหาฯ ที่ไม่ใช่แค่ติดอันดับ Top10 แต่เป้าหมายคือการก้าวสู่ผู้นำ Top5 ในแต่ละกลุ่มธุรกิจของบริษัท ที่ปัจจุบันมีหลากหลายธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม คอนโด โรงแรม และธุรกิจบริการ ซึ่งปีนี้และในอนาคต ยังได้วางแผนขยายไปยังธุรกิจต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ที่ต่อยอดและเชื่อมโยงเกื้อหนุนกัน เพื่อสร้างรายได้และทำกำไรกลับคืนมาในอนาคตอีกด้วย   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า บริษัทใช้เวลาประมาณ 10 ปีก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดคอนโด ติดอันดับ Top 3 ขณะที่บ้านเดี่ยวได้ใช้เวลา 3 ปีในการเป็นผู้นำตลาด ซึ่งปีนี้เปิดโครงการมูลค่าประมาณ​ 10,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการก้าวสู่ผู้นำตลาด Top5 ในด้านการเปิดโครงการ และคาดว่าในระยะเวลา 2-3 ปีนับจากนี้ ออริจิ้นน่าจะเป็น Top5 ในด้านยอดขายและยอดโอนในกลุ่มธุรกิจบ้านจัดสรร เราทำ Business Expansion มันเกินกว่าคำว่า Diversify เราจะโฟกัสแต่ละธุรกิจ สร้างให้แต่ละผลิตภัณฑ์ติดอันดับ Top5 หรือ Top10  2 กลยุทธ์ “ORIGIN NEXT LEVEL” หลังจากปีที่ผ่านมา ออริจิ้น สามารถสร้างรายได้และกำไรเติบโตจนเป็นที่น่าพอใจ ในปี 2564 จึงได้วางนโยบายการดำเนินธุรกิจให้มีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง  ซึ่งในปีนี้​ ออริจิ้น ได้ดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด “ORIGIN NEXT LEVEL” ด้วยการสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) ที่ตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าแบบครบวงจรในทุกช่วงเวลาของชีวิต โดยการนำความรู้ที่ได้รับตลอดปี 2563 มาใช้ภายใต้ 2 แกนหลัก ได้แก่ 1.Next Level of Business Expansion ขยายธุรกิจทั้งเชิงกว้างและเชิงลึกด้วยทำเลใหม่ (New Location) แบรนด์ใหม่ (New Brand) กลุ่มธุรกิจใหม่ (New Business) ความร่วมมือใหม่ (New Collaboration) เพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายใหม่ (New Target Segmentation) 2.Next Level of Living Solutions การสร้างสรรค์ทั้งฟังก์ชั่นใหม่ (New Function) และบริการใหม่ (New Services) ในบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียม เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมการอยู่อาศัยของคนยุค Now Normal ไปจนถึง Next Normal วันนี้เราไม่ได้มองตัวเองเป็นแค่ผู้พัฒนาที่อยู่อาศัย เรามองตัวเองสู่การเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีสินค้าและบริการต่อยอดไปได้อย่างต่อเนื่อง หรือ Beyond Property เพื่อตอบโจทย์คนทุกเจเนอเรชั่นตลอดช่วงชีวิตของเขา เพิ่ม 3 ธุรกิจใหม่จับทุกโอกาสทางการตลาด ปัจจุบัน ออริจิ้น มี 4 ธุรกิจหลักที่บริหารอยู่ ประกอบด้วย ธุรกิจคอนโด บ้านจัดสรร โรงแรม และธุรกิจบริการ ในปีนี้ เพื่อต่อยอดและสร้างระบบนิเวศ เชื่อมโยงกันทั้งหมด และสร้างรายได้เพิ่ม จึงได้ขยายไปยังธุรกิจใหม่อีก 3 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.กลุ่มธุรกิจบริการสุขภาพ (Healthcare) โดยในปีนี้ได้จัดตั้งบริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด ซึ่ง ออริจิ้น ถือหุ้น 76% และพันธมิตรที่เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพถือหุ้น 24% เพื่อดำเนินธุรกิจด้านสุขภาพและความงาม โดยมีแผนเปิดคลินิคเสริมความงาม ภายใต้แบรนด์ “Cheva Plus” สาขาเมอคิวรี่ พื้นที่ 200 ตารางเมตร โดยตั้งเป้าจะขยายครบ 10 สาขาภายในปี 2566 อีกทั้งยังมีแผนเปิดให้บริการศูนย์สุขภาพ 2 แห่ง ในทำเลรามอินทรา ขนาด 240 เตียง มูลค่าการลงทุนประมาณ 600 ล้านบาท ซึ่งคาดจะเปิดให้บริการได้ในปี 2566 และทำเลบางนา คาดจะเปิดให้บริการปี 2565 รวมถึงยังขยายตลาดไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้อง อาทิ กลุ่มธุรกิจเสริมความงาม กลุ่มศูนย์บริการสุขภาพ กลุ่มแพลทฟอร์มให้บริการสุขภาพออนไลน์และเทคโนโลยีด้านสุขภาพ นอกจากนี้ ยังมีการร่วมมือกับพันธมิตรด้านเฮลท์แคร์ต่าง ๆ เพื่อเสริมบริการ  อาทิ โรงพยาบาลสมิติเวช ที่เข้ามาเป็นพันธมิตรด้านโรงพยาบาลเสมือนจริง (Virtual Hospital) และมอบบัตร Origin Samitivej Club เข้ามาบริการตรวจสุขภาพ ให้คำปรึกษาด้านโภชนาการบำบัด วิทยาศาสตร์การกีฬา ในโครงการที่อยู่อาศัย หรือเป็น Hospital at Home อำนวยความสะดวกให้ผู้บริโภคไม่ต้องเดินทางไปถึงโรงพยาบาล ขณะเดียวกัน ยังคงจับมือกับโรงพยาบาลใกล้เคียงแต่ละโครงการ (Local Hospital) เช่น โรงพยาบาลสินแพทย์ อำนวยความสะดวกอีกทางหนึ่งให้แก่ผู้บริโภค รวมถึงมี Let’s Relax เข้ามาให้บริการสปาผ่อนคลายสุขภาพ   บริษัทยังได้จับมือกับศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางการออกแบบ สภาพแวดล้อมเพื่อทุกคน และสวางคนิเวศ เพื่อดำเนินการ Senior Living Lab ศึกษาวิจัยสภาพแวดล้อมและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่เหมาะสมกับความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุไทยในปัจจุบัน และยกระดับการออกแบบโครงการที่อยู่อาศัยให้เหมาะสมกับคนกลุ่มดังกล่าว 2.กลุ่มธุรกิจศูนย์โลจิสติกส์ (Logistic Center) ดำเนินกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโลจิสติกส์ ภายใต้การร่วมทุนกับบริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD คาดว่าจะเปิดเผยแผนธุรกิจร่วมกันได้ในวันที่ 21 เมษายน 2564 ซึ่งเบื้องต้นจะเริ่มก่อสร้างคลังสินค้าในอีก 1-2 เดือนจากนี้ บนทำเลบางนา กม. 22 ขนาด 62,000 ตารางเมตร มูลค่าการลงทุน 1,000 ล้านบาท คาดจะเริ่มรับรู้รายได้ในช่วงกลางปี 2565 เป็นต้นไป 3.กลุ่มธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company หรือ AMC) นำรากฐานองค์ความรู้และความพร้อมในเครือบริษัท มาต่อยอดสู่การดำเนินธุรกิจบริหารสินทรัพย์อย่างเข้มแข็งและครบวงจร ร่วมกันบริหารทรัพย์สินรอการขาย (NPA) และสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPL) ที่มีโอกาสเพิ่มขึ้นจากสถานการณ์ โควิด-19 โดยอาศัยความเชี่ยวชาญในการดูแลผู้บริโภค การคัดกรองทรัพย์ การพัฒนาโครงการ การรีโนเวท การขาย การตลาด มาเพิ่มมิติในการดูแลผู้บริโภคและมิติการเติบโตสู่อีกระดับของเครือ คาดว่าจะเปิดเผยแผนธุรกิจและพันธมิตรได้เร็วๆ นี้ เปิดตัว 4 คอนโดแบรนด์ใหม่ ครบทุกเซ็กเมนต์ ในจำนวนโครงการคอนโดที่ได้วางแผนเปิดตัวในปีนี้ ออริจิ้น มีแผนเปิดโครงการแบรนด์ 4 แบรนด์ เพื่อขยายตลาดไปยังกลุ่มเป้าหมายใหม่ ให้ครอบคลุมทุกเจเนอเรชั่น  ได้แก่ 1.ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play) เจาะตลาดกลุ่ม Gen Y และ Gen Z โดยเฉพาะกลุ่มที่ทำสตาร์ทอัพของตัวเอง โดยจะมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่เหมาะกับคนกลุ่มดังกล่าว 2.บริกซ์ตัน (Brixton) แบรนด์ราคาเข้าถึงง่าย สำหรับตลาดเฉพาะกลุ่ม (Affordable Niche) คอนเซ็ปต์แต่ละโครงการ อาจเจาะลูกค้าแตกต่างกันไป เช่น เจาะกลุ่มนักศึกษา-คนทำงานใกล้มหาวิทยาลัย (Campus) เจาะกลุ่มคนรักสัตว์ (Pet Lover) 3.แฮมป์ตัน (Hampton) แบรนด์คอนโดเจาะตลาดนักลงทุนโดยเฉพาะ โดยมีสิทธิพิเศษและการันตีผลตอบแทนแก่ผู้ซื้อ นำร่องในศรีราชาและระยอง 4.ออริจินอล (Original) คอนโดสำหรับเจาะตลาดผู้สูงอายุ (Silver Age) ขณะเดียวกัน บริษัทยังคงเดินหน้าในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ โดยในปีนี้จะพัฒนาโครงการวัน ออริจิ้น สนามเป้า (One Origin Sanampao) เป็นโครงการอาคารสำนักงาน ขนาดพื้นที่กว่า 56,100 ตารางเมตร ติด BTS สนามเป้า ซึ่งพร้อมตอบโจทย์ความต้องการอาคารสำนักงานในฝั่งกรุงเทพฯ ตอนเหนือที่ยังคงขยายตัวได้ดี เชื่อมั่นว่าสินค้าและบริการของเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จะตอบโจทย์คนทุกเจเนอเรชั่นในทุกช่วงเวลาของการใช้ชีวิต สรุปไฮไลท์ทางการเงิน ออริจิ้น ปี 2564 -เปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ 20 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ มูลค่า 10,400 ล้านบาท และคอนโด 9,600 ล้านบาท -วางเป้าหมายสร้างยอดโอน 12,800 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านแนวราบ 4,000 ล้านบาท และคอนโด 8,800 ล้านบาท -เป้าพรีเซล 29,000 ล้านบาท -เป้าหมายรายได้ 14,000 ล้านบาท เติบโต 26% จากปี 2563 -ยอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่า 35,834 ล้านบาท รับรู้ต่อเนื่องถึงปี 2567 รับรู้ในปีนี้ 14,410 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงร่วมทุนมูลค่า 5,000 ล้านบาท และเฉพาะของออริจิ้น 9,410 ล้านบาท ​ -วางงบลงทุนรวม 10,000 ล้านบาท สำหรับการขยายธุรกิจอสังหาฯ เพื่อขาย 8,000 ล้านบาท และขยายธุรกิจใหม่ ๆ อีก 2,000 ล้านบาท  
GRAND จัดโปร-เสริมบริการ “ไฮด์ เฮอริเทจทองหล่อ” กระตุ้นยอดขาย 600 ล้าน

GRAND จัดโปร-เสริมบริการ “ไฮด์ เฮอริเทจทองหล่อ” กระตุ้นยอดขาย 600 ล้าน

แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ฯ ผนึกพันธมิตร จัดโปรโมชั่น พร้อมเสริมบริการระดับลักชัวรี่ กระตุ้นยอดขาย 600 ล้าน พร้อมเดินหน้าทำตลาดออนไลน์จับกลุ่มชาวต่างชาติ ​ชี้จุดขายราคาถูกกว่าโครงการเปิดใหม่   นางสาวอัญชลี เลิศสุวรรณรัชต์ ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)หรือ GRAND  เปิดเผยถึงความคืบหน้าการก่อสร้างโครงการ ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ (HYDE Heritage Thonglor) ปัจจุบันได้ก่อสร้างถึงชั้นที่ 25 จากอาคารสูง 28 ชั้น โดยเป็นไปตามแผนการก่อสร้าง แม้ว่าจะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยจะก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอนสิทธิ์ได้ในช่วงต้นปี 2565   ขณะเดียวกันโครงการมียอดขายแล้ว 45% จากมูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาท  ซึ่งเพื่อทำตลาดและกระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง บริษัทได้ร่วมกับบริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTC จัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับลูกค้าผู้ถือบัตรเครดิต KTC  ที่เงินจองและทำสัญญา สามารถผ่อนชำระได้ 0% นาน 10 เดือน  และให้สิทธิพิเศษ “จองเท่าไหร่ ได้เท่านั้น” เมื่อชำระเงินจองห้องชุดด้วยบัตรเครดิต KTC ลูกค้าจะได้รับบัตรกำนัลเงินสดสูงสุด 100,000 บาท สำหรับใช้บริการที่โรงแรมทั้ง 5 แห่งในเครือ และอีก 1 แห่งพันธมิตร นางสาวอัญชลี กล่าวว่า แคมเปญดังกล่าวน่าจะทำยอดขายให้กับบริษัทประมาณเดือนละ 10 ยูนิต หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% ของมูลค่าโครงการหรือมูลค่า 600 ล้านบาท และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ จะมีสัดส่วนยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 60-70% ของโครงการ  นอกจากการจัดโปรโมชั่นดังกล่าวแล้ว บริษัทยังได้ปรับแผนทำการตลาด สำหรับกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ เนื่องจากผลกระทบของสถานการณ์ไวรัส โควิด-19 ด้วยการเน้นใช้ช่องทางออนไลน์  เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมากขึ้น โดยร่วมมือกับพันธมิตรชาวญี่ปุ่น "ซูมิโตโม ฟอเรสทรี" ซึ่งมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในกลุ่มลูกค้าไต้หวัน ฮ่องกง ญี่ปุ่น ประเทศอังกฤษ สิงค์โปร์ และไทย เป็นประเทศที่คนฮ่องกงย้ายออกไปพักอาศัยมากที่สุด และมองเป็นสถานที่พักหลังรีไทร์       ปัจจุบันฐานลูกค้าต่างชาติที่เข้ามาซื้อคอนโดมีสัดส่วน 60%  และอีก 40% เป็นชาวไทย  ขณะที่ราคาปัจจุบันปรับเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจากวันเปิดตัวโครงการขายครั้งแรก ปัจจุบันมีราคาเฉลี่ย 300,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งถือว่าต่ำกว่าโครงการที่เปิดตัวใหม่ในปีนี้ในทำเลใกล้เคียงกัน ที่มีราคาขายเริ่มต้น 350,000 บาทต่อตารางเมตร โดยโครกงารมีห้องราคาถูกสุดราคา 9.9 ล้านบาท ห้องขนาด 40 ตารางเมตร หรือราคาขายตารางเมตรละ 270,000 บาท สำหรับโครงการ ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ เป็นคอนโดมิเนียมระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ สูง 45 ชั้น บนพื้นที่ 2 ไร่ 2 งาน 18 ตารางวา ติดถนนใหญ่บนสุขุมวิท ห่างจาก BTS ทองหล่อเพียง 250 เมตร มีจำนวน 311 ยูนิต  เป็นโครงการการร่วมทุน (Joint Venture) ระหว่าง GRAND ถือหุ้นสัดส่วน 40%  บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF ถือหุ้น 11% และบริษัท ซูมิโตโม ฟอเรสทรี จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ อันดับ 1 ใน 5 ของประเทศญี่ปุ่น ถือหุ้น 49%   ล่าสุด โครงการได้ร่วมมือกับ Hyatt Regency Bangkok Sukhumvit  แบรนด์โรงแรมในเครือ GRAND เพื่อจะเข้ามาบริหารโครงการดังกล่าวแบบ On-Demand Service บนพื้นที่ส่วนกลางเต็มรูปแบบมากถึง 8 ชั้น มีพื้นที่มากกว่า 2,000 ตารางเมตร กับ 28 ฟังก์ชั่น เป็นรูปแบบบริการมาตรฐานเดียวกับแบรนด์เด็ด เรสซิเดนซ์                    
แอสเซทไวส์  ดึงมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส ปั้นแบรนด์คอนโด

แอสเซทไวส์ ดึงมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส ปั้นแบรนด์คอนโด

“แอสเซทไวส์” ชู 4 กลยุทธ์ลุยตลาดอสังหาฯ ปั้น 6 โปรเจ็กต์ใหม่ 10,850 ล้าน พร้อมบุกทำเลใหม่ทั้งบางนาและพื้นที่ EEC ขณะที่ตุนแบ็กล็อกรอโอนปีนี้กว่า กว่า 5,000 ล้าน ล่าสุดดึงมิสไทยแลนด์ยูนิเวอร์ส  2020  “อแมนด้า ชาลิสา ออบดัม” พรีเซ็นเตอร์โฆษณาชุดใหม่   นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท   แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2564 ว่า ได้วางแผนเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 6 โครงการ รวมมูลค่าโครงการทั้งสิ้น 10,850 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น โครงการคอนโดมิเนียม​ 5 โครงการ ได้แก่ โครงการ เคฟ ศาลายา (Kave Salaya), โมดิซ ไรห์ม คลาวด์ (Modiz Rhyme Cloud), แอทโมซ บางนา (Atmoz Bangna) ซึ่งถือเป็นการขยายทำเลใหม่ในการพัฒนาโครงการ , เคฟ เอวา (Kave Ava), โมดิซ ศรีราชา (Modiz Sriracha) นับเป็นครั้งแรกในการพัฒนาโครงการในต่างจังหวัด โดยเฉพาะพื้นที่ EEC และโครงการแนวราบ 1 โครงการคือ บ้านภูริปุรี โฮมออฟฟิศ ลาดพร้าว 41 (Baan Puripuri Homeoffice Ladprao 41 ) สำหรับในปี 2564 บริษัทจะมีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ 5 โครงการ มูลค่ารวม 6,694 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการ เคฟทาวน์ ชิฟท์ (Kave Town Shift), บ้านภูริปุรี คอร์ทยาร์ด พัฒนาการ (Baan Puripuri Courtyard – Pattanakarn), เคฟทียู (Kave TU), บ้านภูริปุรี โฮมออฟฟิศ ลาดพร้าว 41 (Baan Puripuri Homeoffice Ladprao 41) และโมดิซ สุขุมวิท 50 (Modiz Sukhumvit 50) โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ 7,848 ล้านบาท รับรู้รายได้ในปีนี้ 5,302  ล้านบาท ส่วนที่เหลือรับรู้รายได้ถึงปี 2556   ทั้งนี้ ในปี 2564 บริษัทยังคงมุ่งพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์และรุกตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นการดำเนินการตามกลยุทธ์สำคัญ ภายใต้แนวคิด “The NEXT Paradigm” ที่ตอบรับการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิต หลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยแนวคิดสำคัญของแอสเซทไวส์ ในการดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนใน Next Paradigm ประกอบด้วย 4 กลยุทธ์หลักสำคัญ ได้แก่ 1.Facilities for New Lifestyle การให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อรองรับกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนนยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ​ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทให้ความสำคัญกับการพัฒนาพื้นที่ส่วนกลาง ในรูปแบบที่แตกต่างกันไปในแต่ละโครงการ และมีจำนวนมากกว่าโครงการอื่น ​ 2.Health Concern ปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญในเรื่องสุขภาพ ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางของแอสเซทไวส์ ที่ให้ความสําคัญกับสุขภาพลูกบ้าน จึงได้พัฒนา “Health Station” ภายใต้แนวคิด “Health Solution”  เพื่อดูแลสุขภาพของลูกบ้าน ซึ่ง Health Station มีอุปกรณ์ในการตรวจสุขภาพเบื้องต้น ได้แก่ Tytocare ซึ่งเป็นอุปกรณ์ออนไลน์ที่แพทย์ใช้ตรวจทราบอาการของผู้ป่วยผ่านระบบออนไลน์ได้อย่างเรียลไทม์ รวมถึง เครื่อง BMI (เครื่องตรวจวัดค่าดัชนีมวลกาย)​เครื่อง AED (เครื่องกระตุกหัวใจไฟฟ้าชนิดอัตโนมัติ) และเครื่องวัดความดันชนิดสอดแขน  ปัจจุบัน Health Station  เริ่มนําร่องในโครงการแอทโมซ แจ้งวัฒนะ, แอทโมซ รัชดา - ห้วยขวาง, เคฟทาวน์ สเปซ  และเคฟทาวน์ ชิฟท์ 3.Innovation for Living แอสเซทไวส์ ได้นำเอานวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยมาไว้ในโครงการ ไม่ว่าจะเป็น Bluetooth Sound System เพื่อการฟังเพลงในห้องพัก, พื้นที่สำหรับกิจกรรม e-sports ไปจนถึงการใช้ออนไลน์แอพพลิเคชั่นต่าง ๆ 4.Strengthen Sustainability   แอสเซทไวส์ได้จัดทำโครงการหลายอย่างเพื่อสร้างความยั่งยืนทั้งด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม  โดยจัดอบรมการคัดแยกขยะ และการจัดการขยะอันตรายให้แก่นิติบุคคล พนักงาน ลูกบ้าน จัดทำพื้นที่วางถังขยะ และทำเครื่องหมายการคัดแยกทิ้งขยะไว้อย่างชัดเจน ล่าสุด แอสเซทไวส์ยังได้จัดทำภาพยนตร์โฆษณาคอนโด 3 เรื่อง ภายใต้ 3 แบรนด์ ได้แก่  โมดิซ, แอทโมซ และ​เคฟ เพื่อ​สื่อให้เห็นถึงเอกลักษณ์และแนวคิดของแต่ละแบรนด์ ที่จับกลุ่มตลาดแตกต่างกัน ซึ่งได้ดึงมิสยูนิเวอร์ส ไทยแลนด์ 2020  “อแมนด้า ชาลิสา ออบดัม” พรีเซ็นเตอร์โฆษณาชุดใหม่ของโครงการคอนโดแบรนด์แอทโมซ เป็นแบรนด์คอนโด​สไตล์ รีสอร์ท ภายใต้แนวคิด “Urban Refresh”  มีการออกแบบพื้นที่ส่วนกลาง สวนและสระขนาดใหญ่ สิ่งอำนวยความสะดวกที่หลากหลาย เพื่อรองรับกลุ่มคนทำงาน ส่วน​แบรนด์เคฟ​ แบรนด์คอนโดใกล้สถานศึกษา (Campus Condo) นอกจากนี้ยังมีภาพยนตร์โฆษณาอีก 2 ชุด   นายกรมเชษฐ์ กล่าวอีกว่า ส่วนผลการดำเนินงานใน​ปี 2563 ที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้  4,205 ล้านบาท เติบโตจากปี 2562 ถึง 60% และด้วยการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น 44.2%  ทำผลกำไรสุทธิได้ถึง 871 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 20.6%  ขณะที่สิ้นปี 2563 บริษัทได้พัฒนาโครงการไปแล้วถึง 33 โครงการ มีมูลค่าโครงการรวมทั้งสิ้นกว่า 30,400 ล้านบาท โดยในปี 2563 แอสเซทไวส์เปิดตัวโครงการ 3 โครงการ คือ โมดิซ ไรห์ม รามคำแหง  (Modiz Rhyme Ramkhamhaeng), โมดิซ ลอนช์ (Modiz Launch) และบ้านภูริปุรี คอร์ทยาร์ด พัฒนาการ (Baan Puripuri Courtyard – Pattanakarn) รวมมูลค่าโครงการ 3,637 ล้านบาท และสามารถทำยอดขายจากโครงการใหม่ที่เปิดในปีนี้ได้ถึง 2,407 ล้านบาท ปี 2563 ถือเป็นปีที่อสังหาริมทรัพย์เผชิญความท้าทายอย่างมาก แต่สำหรับแอสเซทไวส์นับเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญในการพัฒนาและเติบโต   ในปี 2563 บริษัทมีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ 4 โครงการ​ คือ บ้านภูริปุรี ทาวน์โฮม ลาดพร้าว 41 (Baan Puripuri Townhome Ladprao 41), แอทโมซ แจ้งวัฒนะ (Atmoz Chaengwattana), แอทโมซ รัชดา - ห้วยขวาง (Atmoz Ratchada - Huaikwang) และเคฟทาวน์ สเปซ (Kave Town Space)      
ตราเพชร เปิดตัวบ้านน็อกดาวน์ 1.2 ล้าน ตอบโจทย์มีสินค้าครบทั้งหลัง

ตราเพชร เปิดตัวบ้านน็อกดาวน์ 1.2 ล้าน ตอบโจทย์มีสินค้าครบทั้งหลัง

ตราเพชร เดินเครื่องผลิตสินค้ากลุ่มไม้สังเคราะห์ 55,000  ตัน ดันเป้ารายได้โต 5% พร้อมเปิดตัวบ้านน็อกดาวน์ 1.2 ล้าน ตอบโจทย์ความต้องการ สินค้าบ้านมีครบทั้งหลัง    นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT เปิดเผยถึงทิศทางธุรกิจในปี 2564 ว่า ตั้งเป้าหมายการเติบโตด้านรายได้ไว้ 5% จากปีที่ผ่านมาสามารถทำรายได้ 4,409 ล้านบาท  โดยการเติบโตจะมาจากปัจจัยหลัก คือ การเพิ่มกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มไม้สังเคราะห์ ซึ่งมีการเดินเครื่องจักร NT-11 ทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 5% หรือประมาณ 55,000 ตันต่อปี    นอกจากนี้ บริษัทยังได้เพิ่มความหลากหลายของสินค้า อาทิ นำเข้าวัสดุมุงหลังคาเมทัลชีท การผลิตผนังที่สามารถสั่งพิมพ์ลวดลายได้โดยเฉพาะ และการจัดทำบ้านสำเร็จรูป หรือบ้านน็อกดาวน์ โดยได้เปิดตัว Diamond Studio แบบบ้านน็อกดาวน์ พื้นที่ใช้สอย 75 ตารางเมตร ในราคา 1.2 ล้านบาท หรือ 16,000 บาทต่ารางเมตร  ซึ่งวัสดุเกือบทั้งหมดจะเป็นของตราเพชร ซึ่งนอกจากการก่อสร้างบ้านแล้ว ยังสามารถปรับเป็นรูปแบบร้านกาแฟ หรือคาเฟ่ต่าง ๆ ได้อีกด้วย  ซึ่งใช้เวลาการก่อสร้างเพียง 3 สัปดาห์ วัสดุโดยเฉพาะผนัง สามารถออกแบบลวดลายและขนาดตามความต้องการของลูกค้าได้โดยเฉพาะ บ้านน็อกดาวน์บริษัทมองช่องทางบริษัทรับสร้างบ้าน หรือดีเวลลอปเปอร์ในการนำไปทำตลาด  ซึ่งเป็นการตอกย้ำคอนเซ็ปต์ของบริษัท ในเรื่องการมีสินค้าครบของบ้านทั้งหลัง ปัจจุบันบริษัทมี 4 ช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า  ได้แก่ 1.ตัวแทนจำหน่าย ซึ่งถือเป็นช่องทางหลักในการสร้างยอดขายและรายได้ โดยมีสัดส่วนมากกว่า 50% ของรายได้รวม  2.ช่องทางโมเดิร์นเทรด 3.กลุ่มลูกค้าโครงการ ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และ 4.ตลาดต่างประเทศ ทั้งกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน และเอเชียแปซิฟิค   ปัจจุบันกลุ่มลูกค้ายังนำวัสดุไปใช้ในการก่อสร้างหรือซ่อมแซมบ้านแนวราบ ซึ่งบริษัทมองว่าจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการเพิ่มความหลากหลายของสินค้า เช่น ผนังดิจิตอลพริ้นติ้ง และอิฐมวลเบา จะสามารถขยายตลาดไปยังกลุ่มคอนโดมิเนียมได้ในอนาคต รวมถึงการขยายตลาดไปยังกลุ่มบริษัทรับสร้างบ้าน ในการนำเอาวัสดุก่อสร้างของบริษัทไปประกอบเป็นบ้านน็อกดาวน์ ซึ่งบริษัทจะหาพันธมิตรมาร่วมทำตลาด หรืออนาคตอาจจะขยายตลาดด้วยตนเองเพื่อสร้างการเติบโตเพิ่มมากขึ้น   โดยในปีนี้บริษัทประเมินว่าตลาดวัสดุก่อสร้างจะฟื้นตัว โดยมีการเติบโตประมาณ 5-10% เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ราคาพืชผลการเกษตรเริ่มดีขึ้น สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ เปิดขายได้ตามปกติ และผู้ประกอบการเริ่มมีการก่อสร้างบ้านมากขึ้น รวมถึงตลาดซ่อมแซมยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง​ ความท้าทายในการทำธุรกิจปีนี้ คือ สถานการณ์โควิด-19 กำลังซื้อของผู้บริโภค และการขยายตลาดใหม่ ๆ 
ชีวาทัย เดินหน้าระบาสสต็อก ตุนเงินสดสร้างรายได้​ 2,500 ล้าน

ชีวาทัย เดินหน้าระบาสสต็อก ตุนเงินสดสร้างรายได้​ 2,500 ล้าน

ชีวาทัย มั่นใจตลาดอสังหาฯ 64 ฟื้นตัว จากความมั่นใจในวัคซีนโควิด-19 เดินหน้าลงทุนซื้อที่ดิน เตรียมพัฒนาโปรเจ็กต์ใหม่ พร้อมเร่งระบายสต็อกในมือ สร้างกระแสเงินสด เพื่อทำรายได้ 2,500 ล้าน           นายบุญ ชุน เกียรติ กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA เปิดเผยถึงแผนธุรกิจในปี 2564 ว่า จะมุ่งเน้นการระบายสินค้าในสต็อก เพื่อสร้างสภาพคล่องทางด้านการเงิน โดยปัจจุบันบริษัทมีสินค้าพร้อมขาย (Inventory)  มูลค่า 3,500 ล้านบาท จาก 15 โครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา และมียอดขายรอรับรู้รายได้ สิ้นปีที่ผ่านมา 2,178 ล้านบาท เป็นยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม 95% ซึ่งในปีนี้บริษัทวางเป้าหมายรายได้ 2,500 ล้านบาท เติบโต 52% จากปีที่ผ่านมา    สำหรับปีนี้บริษัทยังไม่มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่แต่มีแผนซื้อที่ดิน 3 แปลง มูลค่าประมาณ 2,830 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการในอนาคต ซึ่งเตรียมงบประมาณการก่อสร้างไว้ 1,350 ล้านบาท โดยจะพัฒนาเป็นโครงการคอนโด​ 2 โครงการ และบ้านแนวราบ 1 โครงการ ภายใต้แบรนด์ชีวาโฮม บ้านเดี่ยวระดับราค 8-15 ล้านบาท ขณะเดียวกันเพื่อสร้างยอดขายต่อเนื่อง ในปีนี้ได้วางแผนเปิดการขายโครงการฮอลมาร์ค ลาดพร้าว โชคชัย 4 เฟส 2 มูลค่าโครงการราว 900 ล้านบาท นอกจากการพัฒนาภายใต้การบริหารงานของบริษัทแล้วปัจจุบันบริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตร 2-3 ราย เพื่อพัฒนาโครงการในรูปแบบต่างๆ อาทิ  โครงการคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว หรือมิกซ์ยูส ซึ่งรูปแบบการร่วมทุนมีทั้ง การร่วมทุนกันพัฒนาโครงการใหม่ หรือการที่บริษัทเข้าไปร่วมลงทุนกับพันธมิตรที่มีโครงการพัฒนาอยู่แล้ว ​   นายบุญ กล่าวอีกว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2564 นี้ มีแนวโน้มการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จากปัจจัยเรื่องความมั่นใจในวัคซีนป้องกันโรคไวรัสโควิด-19 ที่ได้เริ่มมีการฉีดป้องกัน แต่คาดว่าตลาดจะฟื้นตัวอย่างชัดเจนได้ตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไป ขณะเดียวกันกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ คาดว่าจะเริ่มกลับมาได้ในช่วงปลายปีนี้ หรืออย่างช้าต้นปีหน้า และตลาดจะกลับมาเติบโตอย่างชัดเจนอีกครั้งในปี 2565 อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สร้างความมั่นใจว่าตลาดอสังหาฯ ในปีนี้จะฟื้นตัวดีขึ้น เห็นได้จากยอดขายของบริษัทในช่วงไตรมาสแรกนี้ ที่มีเข้ามาจำนวนมาก    กลยุทธ์ของบริษัทในปีนี้จะเน้นระบายสต็อกขาย Inventory เพื่อเก็บกระแสเงินสดกลับมา ทำให้ ตัวเบา ​และเดินหน้าสร้างมาตรฐานการก่อสร้างให้มี zero defect เพื่อเป้าหมายการเป็นที่ 1 ด้านคุณภาพและบริการ​ สำหรับ ปี 2564 เป็นปีที่บริษัทก่อตั้งครบ 13 ปี บริษัทจึงได้จัดแคมเปญ ฉลองครบรอบ 13 ปี ตลอดทั้งปี โดยลูกค้าที่ทำการจองและโอนกรรมสิทธิ์โครงการจะมีสิทธิ์ลุ้นรับเงินฝากรวมกว่า 13 ล้านบาท จับรางวัลทุกวันที่ 9 ของ ทุกเดือน ประกาศผลทุกวันที่ 13 ของเดือน ทั้งนี้ บริษัทจะจับรางวัลทุกเดือน ต่อเนื่อง 10 เดือน ลุ้นเงินสด 1 ล้านบาท          
SENA ปิดงบ 63 สร้างกำไรนิวไฮ 1,119 ล้าน​เดินหน้ากลยุทธ์ “7 Strong” ปั้นรายได้

SENA ปิดงบ 63 สร้างกำไรนิวไฮ 1,119 ล้าน​เดินหน้ากลยุทธ์ “7 Strong” ปั้นรายได้

SENA ผ่านวิกฤตโควิด-19 จบปี 63 ทุบสถิตินิวไฮทั้งรายได้และกำไร สูงสุดตั้งแต่ดำเนินรกิจเกือบ 30 ปี  พร้อมเดินหน้าธุรกิจปี 64 วางกลยุทธ์ “7 Strong” สร้างรายได้ 10,000 ล้าน ​พร้อมเปิด 17 โครงการ รวมมูลค่า 15,700 ล้านบาท เน้นตลาดคอนโดต่ำล้าน   รอบปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 แต่สำหรับเสนาฯ ถือเป็นปีที่สามารถสร้างผลงานได้อย่างสวยงาม กับการทำรายได้และกำไรสูงสุดนับตั้งแต่ดำเนินธุรกิจเกือบ 30 ปี โดยปีที่ผ่านมาสามารถทำยอดขาย 8,600 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 1,119 ล้านบาท   ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA  เปิดเผยถึงปีที่ผ่านมา ว่า การแพร่ระบาดของโควิด – 19 ถือเป็นสถานการณ์วิกฤตที่ทำให้เศรษฐกิจหยุดชะงักไปหลายเดือน บริษัทหลายแห่งปิดตัวลง หลายแห่งเลิกจ้างพนักงาน เพราะไม่สามารถสร้างยอดขายให้บริษัทไปต่อได้ แต่เป็นความโชคดีที่เสนาสามารถฟื้นตัวได้ภายในระยะเวลาไม่นาน ซึ่งเสนาฯ สามารถทำผลงานได้ดี จนมียอดขายและกำไรสูงสุดนับตั้งแต่ดำเนินธุรกิจมา   โดยมียอดขาย 8,600 ล้านบาท เติบโตจากปี 2562 ที่มียอดขาย 7,421 ล้านบาท มียอดโอน 7,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% จากปีก่อนหน้าที่มียอดโอน 5,203 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 1,119 ล้านบาท เติบโต 25% จากปีก่อนหน้าที่มีกำไร 890 ล้านบาท  ส่วนหนึ่งเกิดจากการบริหารต้นทุนที่ดี และความระมัดระวังในการเปิดตัวโครงการ ประกอบกับที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัย 4 ถึงแม้จะเกิดวิกฤติก็ยังมี Demand อยู่เสมอ บริษัทได้พัฒนาโปรดักส์ใหม่ที่เข้ากับสถานการณ์ ไม่ว่าจะเป็นทาวน์โฮมติดโซลาร์เพื่อรับกระแส Work From Home และคอนโดต่ำล้านเพื่อคนรายได้จำกัดที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศแต่ต้องการความมั่นคงในด้านการอยู่อาศัย ทำให้สร้างยอดขายเป็นที่น่าพอใจ 7 Strong ขับเคลื่อนธุรกิจสู่เป้า หลังจากทำผลการดำเนินนิวไฮด์ ทั้งด้านรายได้และกำไร ปี 2564 เสนาฯ ยังคงเดินหน้าลงทุนและพัฒนาธุรกิจต่อเนื่องโดยได้วาง Business Direction 2021 ผ่านกรอบวิธีคิด “7 Strong”  เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมายและการเติบโตอย่างแข็งแกร่งทุกด้านของบริษัท ดังนี้ 1.Strong Step เปิด 17 โปรเจ็กต์ 15,700 ล้าน โครงการใหม่ในปีนี้ เตรียมเปิด​17 โครงการ รวมมูลค่า 15,700  ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียมในย่าน Prime Area 3 โครงการ มูลค่า 7,100 ล้านบาท แบรนด์เสนา คิทท์ ซึ่งเป็นกลุ่มคอนโดราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท จำนวน  6 โครงการ มูลค่า 2,100 ล้านบาท เสนา อีโค ทาวน์ 2 โครงการ มูลค่า 1,100 ล้านบาท และโครงการแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม 6 โครงการ มูลค่า 5,400 ล้านบาท 2.Strong Affordable Condo รอบปีที่ผ่านมาหนึ่งในสินค้าขายดีสำหรับเสนาฯ​ คือ กลุ่มคอนโดราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท หรือคอนโดต่ำล้าน ภายใต้แบรนด์เสนา คิทท์ เนื่องจากเป็นกลุ่มระดับราคาที่คนส่วนใหญ่ สามารถซื้อได้ และเป็นกลุ่มลูกค้าที่ปัจจุบันพักอาศัยในห้องเช่า หรืออพาร์ทเม้นท์ ซึ่งมีเสียค่าเช่า 3,000-5,000 บาท ที่ต้องการมีบ้านเป็นของตนเอง การซื้อคอนโดต่ำล้าน ก็ผ่อนชำระสินเชื่อในระดับเดียวกันกับค่าเช่าห้อง  คนส่วนใหญ่จึงเลือกที่จะซื้อคอนโดคอนโดต่ำล้าน ซึ่งเสนาฯ มีส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มคอนโดต่ำล้านมากถึง 38% หรือจำนวน 3,301 ยูนิต จากปริมาณคอนโดต่ำล้าน ที่เปิดขายตั้งแต่ปี 2558 ถึงช่วงครึ่งปีแรกของปีที่ผ่านมา ซึ่งมีจำนวน 8,739 ยูนิต   นอกจากทางเสนาจะเน้นโครงการแนบราบแล้ว ในปีนี้ยังหันมาโฟกัสคอนโดต่ำล้าน ภายใต้แบรนด์คอนโดน้องใหม่ “เสนา คิทท์”  เน้นเจาะกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ที่แท้จริง มองว่ายังมีกำลังซื้ออย่างต่อเนื่อง ทำเลโซนบางแค ลาดกระบัง เวสต์เกต-บางบัวทอง บางปู รังสิต-คลอง 4 และเทพารักษ์ ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี เพราะในความเป็นจริงแล้วกลุ่มคนรายได้จำกัดเหล่านี้เป็นคนกลุ่มใหญ่ และต้องการมีที่อยู่อาศัย  3.Strong Partner ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป นอกจาก เสนาฯ​ จะพัฒนาโครงการด้วยตัวเองแล้ว ยังได้จับมือกับพันธมิตรญี่ปุ่น อย่างกลุ่มฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป พัฒนาโครงการมาอย่างต่อเนื่อง​กว่า 5 ปีแล้ว ปัจจุบันร่วมมือกันพัฒนาโครงการ ทั้งสิ้น 14 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 40,000 ล้านบาท  และในปีนี้ยังมีแผนพัฒนาโครงการแนวราบ และ Affordable Condo ซึ่งข้อดีของการจับมือกัน นอกจากเรื่องของการมีแหล่งเงินทุนในการพัฒนาแล้ว  ยังมีเรื่องนวัตกรรมและเทคโนโลยีการอยู่อาศัยของญี่ปุ่น ที่ถูกนำมาใช้ในโครงการด้วย ซึ่งปีนี้จะมีการนำนวัตกรรม Geo fit+ และเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้ในโครงการกลุ่ม Affordable Condo ด้วย 4.Strong Solar เสนาฯ ได้เริ่มทำธุรกิจโซลาร์มากว่า 5 ปี มีโครงการที่ติดตั้งโซลาร์แล้ว 27 โครงการแล้วทั้งโครงการบ้านและคอนโด  ซึ่งถือได้ว่าเป็นดีเวลลอปเปอร์รายแรกที่จริงจังเรื่องการนำพลังงานโซลาร์มาใช้ในบ้านและคอนโด เพื่อช่วยประหยัดค่าไฟฟ้า และปัจจุบันขยาย segment ตอบโจทย์ Work From Home ติดตั้งโซลาร์ในโครงการทาวน์โฮมและในปีนี้ยังคงดำเนินการอย่างต่อเนื่อง วางแผนติดตั้งเพิ่ม 15 โครงการ จำนวน 538 ยูนิต  5. Strong Digitalized Service App SENA 360 ที่ทางบริษัทพัฒนา New Function อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้าให้ครบในทุกมิติ ตั้งแต่เริ่มจอง บริการหลังการขาย จนกระทั่งการขายต่อ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้านคนพิเศษ 6. Strong Agent บริการพิเศษจากบริษัท แอคคิวท์ เรียลตี้ จำกัด ที่มีความชำนาญเรื่องการฝากขายเช่า เพิ่มบริการใหม่ให้ตอบโจทย์ตลาดต่างประเทศ และตลาดนักลงทุนไทยที่ขยายตัวด้วยบริการ Tenancy Management ดูแลลูกค้าเปรียบเสมือนเลขาส่วนตัว 7. Strong Management Team ธุรกิจจะเติบโตและไปได้ไกล หัวใจสำคัญ คือ “Team Work” ที่ดี เสนามีการปรับโครงการสร้างการทำงานใหม่ให้คล่องตัวยิ่งขึ้น  รวมทั้งมีผู้บริหารทัพหน้าเข้ามาเสริมความแข็งแกร่ง พร้อมลุยในปีนี้ วางเป้ารายได้ 10,000 ล้านบาท หลังจากปีที่ผ่านมาสามารถสร้างความสำเร็จด้านยอดขายและกำไร ในปีนี้บริษัทยังคงเดินหน้าเพื่อสร้างรายได้ต่อเนื่อง โดยวางเป้ายอดขายไว้ 11,100 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายกลุ่มคอนโด 6,800 ล้านบาท แบรนด์เสนา คิทท์ 1,700 ล้านบาท และบ้านแนวราบ 2,600 ล้านบาท ส่วนรายได้วางเป้าหมายไว้ 10,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากคอนโด 6,200 ล้านบาท แบรนด์เสนา คิทท์ 1,300 ล้านบาท และบ้านแนวราบ 2,500 ล้านบาท ภายใต้ 7 กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจดังกล่าว ที่จะสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในภาวะวิกฤตให้กับบริษัท   โดยปัจจุบันมีโครงการอยู่ระหว่างการขาย 38 โครงการ รวมมูลค่า 44,263 ล้านบาท และมียอดขายรอรับรู้รายได้เกือบ 9,000 ล้านบาท จะรับรู้ภายในปีนี้ 6,000 ล้านบาท ซึ่งหากเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทอาจจะเปิดตัวโครงการเพิ่มมากขึ้นกว่า 17 โครงการ โดยได้เตรียมงบประมาณซื้อที่ดินไว้ 2,000 ล้านบาท ส่วนโครงการที่จะเปิดในปีนี้มีที่ดินรองรับไว้ทั้งหมดแล้ว   อย่างไรก็ตาม ทางเสนาเตรียมความพร้อมรับมือต่อทุกสถานการณ์และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในอนาคต ตามแนวคิด Made From Her “คิดละเอียดกว่า ก็อยู่สบายกว่า” ไม่ว่าจะเป็นการใส่ใจในทุกรายละเอียดทุกเรื่องทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน พร้อมศึกษาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ ดึงเข้ามาปรับใช้สอดรับกับธุรกิจ เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการให้มีคุณภาพออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญมีพันธมิตรชั้นนำที่เข้ามามีส่วนช่วยผลักดันให้บริษัทเติบโต จึงทำให้มั่นใจว่าจะสามารถบรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ในปี 2564 ได้อย่างแน่นอน
ออริจิ้น ฝ่าวิกฤติโควิด-19 ทำกำไรกว่า 2,662 ล. ได้แรงหนุน 4 โปรเจ็กต์ร่วมทุนสร้างเสร็จพร้อมโอน

ออริจิ้น ฝ่าวิกฤติโควิด-19 ทำกำไรกว่า 2,662 ล. ได้แรงหนุน 4 โปรเจ็กต์ร่วมทุนสร้างเสร็จพร้อมโอน

“ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” ฝ่าวิกฤตโควิด-19 ปี 63 ได้แรงหนุนจากโครงการร่วมทุน 4 โปรเจ็กต์สร้างเสร็จเริ่มโอนปีแรก ทำกำไรกว่า 2,662 ล้านบาท แต่ลดลง 12% จากปีก่อนหน้า แต่สร้างยอดโอนทำนิวไฮด์ ​ขณะที่ไตรมาสแรกของปี 64 กวาดยอดขายแล้ว 4,000 ล้าน มั่นใจสามารถสร้างรายได้และกำไรโตต่อเนื่อง   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปี 2563 ถือเป็นความท้าทายที่สุดของทุกธุรกิจและอุตสาหกรรมในรอบหลาย 10 ปี สำหรับบริษัทเองได้เดินหน้าปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2,662 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ที่ 24% ซึ่งยังคงสูงเป็นอันดับท็อปของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์   สำหรับผลการดำเนินงานสำหรับปี 2563 บริษัทสร้างนิวไฮด์ใหม่กับการโอนกรรมสิทธิ์ รวมทั้งโครงการร่วมทุนด้วย​ ซึ่งทำได้กว่า 15,086 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 23%  แบ่งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์โครงการของบริษัทจำนวน 9,870 ล้านบาทและการโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการร่วมทุน​จำนวน 5,216 ล้านบาท   อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาจากงบการเงินเฉพาะของบริษัท จะพบว่ารายได้จากการขายอสังหาฯ ที่ไม่รวมโครงการร่วมทุนในปี 2563 ที่ผ่านมา ถือว่ามีรายได้ลดลง 19.6% จากปีก่อนหน้าที่มีรายได้จากการขายอสังหาฯ 12,278 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิ 2,662 ล้านบาท ลดลง 12% จากปีก่อนหน้าที่มีกำไร 3,027 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมาบริษัทได้ปรับตัวหลายด้านพร้อมกัน ทั้งควบคุมต้นทุนค่าใช้จ่าย ส่วนที่ไม่จำเป็นและพัฒนาช่องทางและวิธีการใหม่ ๆ ให้ผู้บริโภคเข้าถึงและตัดสินใจโอนกรรมสิทธิ์โครงการได้ง่ายขึ้น  มีการจัดทำโครงการ Everyone Can Sell ให้พนักงานกว่า 1,000 คน  เป็น Micro-Influencer และปีที่ผ่านมาเป็นปีแรกที่โครงการร่วมทุนของบริษัท​ก่อสร้างแล้วเสร็จ 4 โครงการ ได้แก่ ไนท์บริดจ์ ไพร์ม รัชโยธิน ไนท์บริดจ์ คอลลาจ รามคำแหง ไนท์บริดจ์ ไพร์ม อ่อนนุช ไนท์บริดจ์ สเปซ รัชโยธิน และเริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์ได้เป็นปีแรก ทำให้มียอดโอนกรรมสิทธิ์และกำไรเข้ามาอย่างต่อเนื่อง   นายพีระพงศ์ กล่าวว่า ​​ ในปี 2563 บริษัทเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 10 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 13,300 ล้านบาท โดยมีอัตรายอดขายเปิดตัวสูงถึง 65% มียอดขายรวมทั้งสิ้น 25,774 ล้านบาท คิดเป็น 120% ของเป้าหมายที่วางไว้ และมีรายได้รวมอยู่ที่ 11,114 ล้านบาท โดยปิดการขายโครงการไปได้ถึง 6 โครงการ   จากผลการดำเนินงานดังกล่าว ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติเห็นชอบให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญจ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทงวด 3 เดือนที่เหลือของปี 2563 ในอัตรา 0.39 บาทต่อหุ้น หรือ คิดเป็น Dividend Yield กว่า 7% จากราคาปิดเมื่อวันที่ 1 มี.ค. 2564 ที่ 6.85 บาท เป็นเงินปันผลจ่ายเป็นเงินสดทั้งสิ้นไม่เกิน 957 ล้านบาท โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 10 พ.ค. 2564 ขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 7 พ.ค.2564 และกำหนดจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 18 พ.ค. 2564   นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับสถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2564 มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นเป็นลำดับ เนื่องจากมีปัจจัยบวกหลายด้านที่ทยอยเกิดขึ้นต่อเนื่อง อาทิ การต่ออายุมาตรการลดภาษีค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองที่มีผลตั้งแต่เมื่อ 3 ก.พ.ที่ผ่านมา การเริ่มทยอยฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้แก่บุคคลกลุ่มต่าง ๆ ต่อเนื่องตลอดทั้งปี อย่างไรก็ดี สภาพเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกยังคงมีปัจจัยกดดันหลายด้าน กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จที่จะช่วยให้ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยังเติบโตได้ในปีนี้ คือเรื่องขีดความสามารถในการปรับตัว และความเข้าถึงความต้องการของผู้บริโภค ปี 2564 จะเป็นอีกปีหนึ่งที่เราก้าวสู่การปรับตัวใหม่ ๆ ในอีกระดับ เพื่อการตอบโจทย์ผู้บริโภคที่หลากหลายขึ้น และเป็นหนึ่งในผู้นำตลาดที่สามารถเติบโตได้ในปีนี้และในระยะยาว   สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2564 นั้น มีแนวโน้มที่ดี สังเกตได้จากยอดขายล่าสุดถึงสิ้นเดือนกุมภาพันธ์ ที่มียอดขายแล้วถึงกว่า 4,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่เป็นยอดขายในกลุ่มโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) และมีโครงการสร้างเสร็จ พร้อมโอนกรรมสิทธิ์เพิ่มเติมในไตรมาสนี้อีก 10 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 13,150 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ ไนท์บริดจ์ สเปซ รัชโยธิน , ไนท์บริดจ์ สเปซ พระราม 9 ,ไนท์บริดจ์ เกษตร โซไซตี้, ดิ ออริจิ้น รามอินทรา 83 สเตชั่น ,เคนซิงตัน ระยอง 1 และ 2, เบลกราเวีย เอ็กซ์คลูซีฟ พูลวิลล่า บางนา-พระราม 9, ไบรตัน อมตะ สุขประยูร, ไบรตัน บางนา กม. 26 และไบรตัน คูคต สเตชั่น จึงมั่นใจว่าในช่วงไตรมาส 1/2564 บริษัทจะมีรายได้เติบโตทั้งเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา (YoY)  
โฮมโปร เจอพิษกระทบโควิด-19 ทำรายได้-กำไรลดตามคาด

โฮมโปร เจอพิษกระทบโควิด-19 ทำรายได้-กำไรลดตามคาด

โฮมโปร เผยผลงานปี 63 รายได้และกำไรลด หลังโดนผล​กระทบของ​โควิด​-19​ ทำให้ต้องปิดสาขาชั่วคราว กำลังซื้อผู้บริโภคลดลง แม้ยอดขายช่องทางออนไลน์เติบโต​ แต่ยังคงเดินหน้าขยายตลาดกลุ่ม CLMV ล่าสุด เข้าลงทุนในบริษัท Home Product Center Vietnam Company Limited ลุยธุรกิจค้าปลีกในเวียดนาม     นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ HMPRO เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานของบริษัทและบริษัทย่อย ประจำปี 2563 ว่า  มีรายได้จำนวน 61,748.99 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 8.35% และมีกำไรสุทธิ จำนวน  5,154.70 ล้านบาท ลดลง 16.54% จากปีก่อนหน้า  ปัจจัยหลักที่ทำให้ผลการดำเนินงานที่ลดลง เป็นเพราะ​การปิดสาขาในช่วงไตรมาสที่ 2  และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง แม้ยอดขายผ่านช่องทางออนไลน์เติบโตขึ้น แต่ยังไม่สามารถชดเชยผลกระทบด้านผลประกอบการของสาขาที่ปิดไปได้ โดยรายได้จากสัญญาที่ทำกับลูกค้า ซึ่งเป็นรายได้ที่ประกอบไปด้วยรายได้จากการขายสินค้า และรายได้จากการให้บริการลูกค้า (Home Service) รวมจำนวน 58,346.77 ล้านบาท ลดลง 4,699.46 ล้านบาท หรือ 7.45% ซึ่งเป็นผลมาจากยอดขายสาขาเดิมที่ลดลงของธุรกิจโฮมโปร เมกา โฮม และ โฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย และมีสาเหตุหลักมาจากการปิดสาขาชั่วคราวในประเทศไทยและมาเลเซีย   ด้านรายได้ค่าเช่า จำนวน 1,527.16 ล้านบาท ลดลง 679.92 ล้านบาท หรือ 30.81% เป็นผลมาจากการปิดร้านค้าเช่าที่อยู่ในพื้นที่สาขาของโฮมโปรและศูนย์การค้ามาร์เก็ตวิลเลจ และการลดค่าเช่าในพื้นที่สาขาของโฮมโปรและศูนย์การค้ามาร์เก็ตวิลเลจ รวมถึงการยกเลิกการจัดกิจกรรม HomePro Expo ในไตรมาสที่ 1 ปี 2563   บริษัทยังมีรายได้อื่น จำนวน 1,875.06 ล้านบาท ลดลง 245.35 ล้านบาท หรือ 11.57% โดยเป็นผลมาจากการลดลงของการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายร่วมกับคู่ค้าในสาขา การยกเลิกการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในงาน HomePro Expo ในไตรมาสที่ 1 ปี 2563  บริษัทมีกำไรขั้นต้นจากการขายสินค้าและการให้บริการลูกค้า  รวมจำนวน 14,748.51 ล้านบาท ลดลง 1,472.80 ล้านบาท หรือ 9.08% เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายลดลงจาก 25.73% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 25.28% ทั้งนี้ โฮมโปร มีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร จำนวน 10,964.70 ล้านบาท ลดลง 980.16 ล้านบาท หรือ 8.21% เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อยอดขายมีการปรับลดลงเล็กน้อยจาก 18.95% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 18.79% สาเหตุหลักมาจากการยกเลิกการจัดกิจกรรม HomePro Expo รวมถึงการลดลงของค่าใช้จ่ายผันแปรและค่าใช้จ่ายคงที่   ในปี 2563 บริษัทฯ ได้เปิดสาขาใหม่ 2 สาขาที่ รังสิตคลอง 4 และสุขสวัสดิ์ ซึ่งทั้ง 2 สาขาอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ และยังมีกำลังซื้อ โดย ณ สิ้นปี 2563 บริษัทฯ จำนวนสาขาคือ โฮมโปร 86 สาขา โฮมโปรเอส 9 สาขา เมกาโฮม 14 สาขา และโฮมโปรในประเทศมาเลเซียอีก 6 สาขา   นอกจากนี้บริษัทยังได้มีการแสวงหาโอกาสต่าง ๆ ในธุรกิจเพื่อรองรับการเติบโตในระยะยาวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยคณะกรรมการบริษัทได้มีมติอนุมัติการเข้าลงทุนในบริษัท Home Product Center Vietnam Company Limited เพื่อดำเนินธุรกิจค้าปลีกในประเทศเวียดนาม อีกด้วย   นายคุณวุฒิ กล่าวต่อไปอีกว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2563 ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ซึ่งเกิดจากสถานการณ์ ไวรัสโคโรนา 2019  โฮมโปร ได้ให้ความร่วมมือและดำเนินการสอดคล้องกับมาตรการและคำสั่งของหน่วยงานรัฐอย่างเต็มที่ โดยมีการปิดบางสาขาชั่วคราวในส่วนของโฮมโปรและเมกาโฮม ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 22 มีนาคม 2563 ถึง 16 พฤษภาคม 2563 และกลับมาเปิดครบทุกสาขาในวันที่ 17 พฤษภาคม 2563 ตามมาตรการผ่อนคลายการล็อกดาวน์ของศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) แต่ยังคงจำกัดเวลาทำการ โดยภาพรวมในปีนี้บริษัทสามารถรองรับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงจากการเกิดชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ที่ยังมีความต้องการจับจ่ายใช้สอย และรับมือกับสถานการณ์โควิด-19 ได้อย่างทันท่วงที ผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งได้มีการเตรียมพร้อมและพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง รวมไปถึงระบบขนส่งสินค้าและบริการภายในวันที่มีการสั่งซื้อ (Same Day Delivery) ยกระดับความรวดเร็วในการจัดส่ง โดยลูกค้าสามารถเลือกรับสินค้าที่สาขา (Click and collect) ได้เช่นกัน   ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มความสะดวกยิ่งขึ้นให้แก่ลูกค้าท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ทางบริษัทได้เปิดให้บริการ Shop4U ที่เสมือนมีผู้ช่วยในการเลือกซื้อสินค้าและบริการในช่วงที่ลูกค้าไม่สามารถออกมาซื้อที่สาขาได้ โดยนอกเหนือจากเว็บไซต์ของบริษัท ทางบริษัทได้มีช่องทางในการเลือกซื้อสินค้าและบริการผ่านแอพพลิเคชั่น HomePro Application และ Home Service Application เพื่อตอบโจทย์ความต้องการบริการที่จำเป็นต่อการซ่อมแซมบ้านและที่อยู่อาศัย  
แสนสิริ ทำนิวไฮด์รายได้สูงสุด​ 34,707 ล. แต่กำไรสุทธิลดลงกว่า 52%

แสนสิริ ทำนิวไฮด์รายได้สูงสุด​ 34,707 ล. แต่กำไรสุทธิลดลงกว่า 52%

แสนสิริ แจ้งผลประกอบการปี 2563 ทำรายได้สูงสุดในตลาดอสังหาริมทรัพย์ 34,707 ล้านบาท โต 34% ขณะที่มียอดขาย โตขึ้น 67% แต่กำไรลดลงทั้งในส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นใหญ่ ลดลงกว่า 30% เหลือ 1,673 ล้าน ส่วนกำไรขาดทุนเบ็ดเสร็จลดลงกว่า  52% เหลือแค่ 923 ล้าน มั่นใจปีนี้ยังทำยอดขายต่อเนื่อง หลังตุนยอดขายไว้แล้ว 28,300 ล้าน รับรู้ได้ถึง 3 ปี กลางปีเตรียมเปิดตัวแบรนด์ใหม่​บูก้าน จับตลาดไฮเอนด์   นางสาววรางคณา อัครสถาพร ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI​ เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในรอบปี 2563 ว่า  สามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมาย 35,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 67% จากปี 2562 มียอดโอนโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภท ที่สร้างเสร็จและส่งมอบให้กับลูกค้าไปถึง 45,000 ล้านบาท เติบโต 45% จากปีก่อนหน้า สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ และเป็นการโอนที่สูงสุดในรอบ 36 ปีของแสนสิริ โดยปีที่ผ่านมาสามารถปิดการขายโครงการที่อยู่อาศัย 35  โครงการ มูลค่ารวมกว่า 64,600 ล้านบาท ปี 2563 ที่ผ่านมา เป็นปีที่แสนสิริต้องเผชิญกับอีกหนึ่งความท้าทายในการทำธุรกิจ ภายใต้สถานการณ์โควิด – 19 ที่ส่งผลกระทบไปทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย นับเป็นอีกหนึ่งความท้าทายที่เราสามารถผ่านมาได้อย่างแข็งแกร่งในรอบ 36 ปีเช่นเดียวกับวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2540   ในปี 2563  แสนสิริมีรายได้รวมสูงสุดในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ด้วยรายได้ 34,707 ล้านบาท เติบโตขึ้น 34% จากปีก่อนหน้า ที่มีรายได้ 25,859 ล้านบาท เป็นผลจากรายได้จากการขายโครงการที่เพิ่มขึ้น 60% จาก 19,126 ล้านบาทในปี 2562 มาอยู่ที่ 30,559 ล้านบาทในปี 2563   จากผลงานการโอนที่โดดเด่นในปีที่ผ่านมาโดยเฉพาะไตรมาสที่ 2 ที่บันทึกการโอนสูงสุดเป็นประวัติการณ์ (All Time High)     ขณะที่บริษัทมีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทใหญ่ 1,673 ล้านบาท ลดลง 30% จากปี 2562 ที่มีจำนวน 2,392 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิรวมสำหรับปี 2563 จำนวน 923 ล้านบาท ลดลง 52% จากปีก่อนหน้าที่มีจำนวน 1,953 ล้านบาท โดยปีที่ผ่านมาแสนสิริ มีการทำการตลาดและแคมเปญต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง  อาทิ “แสนสิริผ่อนให้ 24 เดือน” ที่ช่วยให้ลูกค้าซื้อที่อยู่อาศัยและมีที่อยู่อาศัยได้ง่ายที่สุด   นอกจากนี้ ผลจาก Cash Flow Strategy ยังส่งผลให้แสนสิริเป็นบริษัทที่มีความแข็งแกร่งในด้านการเงิน จากการบริหารจัดการสต็อคที่อยู่อาศัยที่ดี สามารถบริหารจัดการให้มี Inventory หรือสินค้าพร้อมขาย ลดลงมาต่ำสุดอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท จากการขายสินค้าสร้างเสร็จได้มาก ทำให้มีเงินสดกลับมาในมือ (Cash is King) ลดอัตราหนี้สินและมีสภาพคล่องในมือ ณ ปัจจุบันกว่า 17,000 ล้านบาท Gearing Ratio ลดลงจาก 1.82 เท่า อยู่ที่ 1.42 เท่า   แสนสิริยังมียอดขายรอโอน (รวมโครงการร่วมทุน) รองรับการเติบโตระยะยาวในอีก 3 ปี อีกถึง 28,300 ล้านบาท ขณะที่มี Secured Revenue ไปแล้วถึง 62% ของเป้ารายได้ที่ 24,400 ล้านบาท เสริมความแข็งแกร่งในทุกสภาวการณ์   สำหรับแผนธุรกิจในการเดินหน้า ปีแห่งความหวัง (The Year of Hope) แสนสิริจะเปิดตัว “BuGaan” (บูก้าน) เอ็กคลูซีฟ เรสซิเดนท์ 3 ชั้น แบรนด์ใหม่ใน Sansiri Luxury Collection กับแนวคิด “My Home Speaks for Myself” บ้านที่บ่งบอกความเป็นตัวตน ความชอบและสไตล์ที่แตกต่างไม่เหมือนใคร กับดีไซน์การออกแบบในสไตล์ Modern Luxury Living  พร้อมส่วนกลางแบบส่วนตัว สระว่ายน้ำ Freshwater Swimming Pool และลิฟท์ส่วนตัวภายในบ้าน เน้นออกแบบบ้านให้มีความเป็น Private Residence สูงสุด กับทำเลใจกลางเมือง บนโยธินพัฒนา  เพียง 14 ครอบครัว ราคา 30-80 ล้านบาท เตรียมเปิดการขายในเดือนพฤษภาคมนี้
ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ส่งแบรนด์ใหม่ขยายฐานลูกค้า 5-8 ล้าน พร้อมปั้น 12 โปรเจ็กต์ลุยแนวราบ    

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ส่งแบรนด์ใหม่ขยายฐานลูกค้า 5-8 ล้าน พร้อมปั้น 12 โปรเจ็กต์ลุยแนวราบ    

“ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” ลุยตลาดอสังหาฯ ปี 64 ขยายธุรกิจต่อเนื่อง เตรียมเปิดโครงการใหม่ 10 – 12 โครงการ มูลค่า 6,000 – 7,000 ล้าน เดินหน้าขยายฐานลูกค้า 5-8 ล้านเพิ่ม พร้อมตั้งเป้า ยอดขาย 7,000 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ 6,000 ล้านบาท   นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN เปิดเผยว่า ในปี 2564 นี้ บริษัทได้ตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 7,000 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 6,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นประมาณ 7% จากในปี 2563 แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจ​โดยรวมของไทย คาดว่าจะขยายตัวได้ประมาณ 3% แต่ทั้งนี้ขึ้นกับการกระจายวัคซีนให้ประชาชนในวงกว้างทำได้รวดเร็วเพียงใดด้วย   ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์ ในปี 2564 ยังต้องเผชิญปัจจัยลบหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น กำลังซื้อภายในประเทศที่ยังอ่อนตัวตามภาวะเศรษฐกิจ  ระดับหนี้ครัวเรือนที่ปรับสูงขึ้น  ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ แต่ยังมีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐ ที่ได้มีการต่ออายุมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอน และค่าธรรมเนียมจำนอง สำหรับที่อยู่อาศัยที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทออกไปจนถึงสิ้นปี 2564 รวมถึงสินค้าแนวราบยังได้รับปัจจัยหนุนจาก New Normal ที่ผู้บริโภคบางส่วนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมจากที่เคยต้องการซื้อที่อยู่อาศัยแนวสูง มาซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบซึ่งมีพื้นที่ใช้สอยมากกว่า สามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้จริงกว่า ทั้งนี้แม้สภาวะตลาดจะไม่เอื้อมากนัก แต่บริษัทยังมีความเชื่อมั่นว่าจะสามารถดำเนินธุรกิจให้เติบโตได้ต่อเนื่องตามเป้าหมายที่วางไว้​   โดยในปีนี้บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับตลาดที่อยู่อาศัยในกลุ่มแนวราบ ที่เป็น Real Demand โดยมีแผนขยายโครงการใหม่ทั้งในทำเลใหม่ที่มีศักยภาพ และการเปิดโครงการใหม่เพื่อทดแทนโครงการเดิมของบริษัทที่กำลังจะปิดโครงการลง  ซึ่งมีแผนเปิดโครงการใหม่ 10 – 12 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 6,000 – 7,000 ล้านบาท  โดยตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 7,000 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ที่ 6,000 ล้านบาท   ทั้งนี้ บริษัทเตรียมเปิดโครงการบ้านเดี่ยวหรู รูปแบบใหม่ ภายใต้แบรนด์ บ้านลลิล The Prestige ซึ่งเป็นออกแบบในสไตล์ French Colonial  ระดับราคาจะอยู่ในช่วง 5 - 8 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขยายตลาดให้กว้างขึ้น จากที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก ภายใต้แบรนด์ Lanceo ซึ่งจะเน้นกลุ่มลูกค้าในช่วง 3 – 6 ล้านบาท   ด้านนายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิลฯ กล่าวว่า ในปีนี้ จะเป็นการต่อยอดการใช้กลยุทธ์ Lifestyle Marketing  โดยมุ่งเน้นการใช้สื่อ Digital Marketing เพิ่มมากขึ้น จากที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในปีที่ผ่านมา  โดยบริษัทมีการยกระดับการจัดการข้อมูลสารสนเทศสู่ Digital Company อย่างเต็มรูปแบบ  มีการนำ Big Data มาใช้ในการวิเคราะห์หา Customer Insights เพื่อเข้าถึง และตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างแม่นยำ ซึ่งได้ตั้งงบด้านการตลาดในปีนี้ไว้ที่ประมาณ 3% – 4% ของยอดขาย ทางด้านการเงิน บริษัทมีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก โดยบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) ที่ลดลงจาก 0.75 เท่า ณ สิ้นปี 2562 มาอยู่ที่ระดับเพียง 0.67 เท่า ณ สิ้นปี 2563  ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ราว 1.4 – 1.5 เท่า และมีเงินสดสำรองเพื่อใช้ในการขยายธุรกิจอีกราว 1,000 ล้านบาท  ตลอดจนมีวงเงินสนับสนุนทางการเงิน (Committed Line) ที่ยังไม่ได้เบิกใช้ จากธนาคารพาณิชย์พันธมิตรมากกว่า 2,000 ล้านบาท   โดยในปี 2564 นี้บริษัทวางงบซื้อที่ดินไว้ที่ประมาณ 1,000 – 1,200 ล้านบาท  โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากกระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และกำไรสะสมของบริษัท ตลอดจนมีการใช้หุ้นกู้ และแหล่งเงินกู้ระยะสั้นจากสถาบันการเงิน  โดยมีการพิจารณาออกในจำนวนและช่วงเวลาที่เหมาะสม เพื่อให้สอดรับกับการขยายธุรกิจ และการเติบโตในระยะยาวของบริษัท   สำหรับผลประกอบการปี 2563 ที่ผ่านมา บริษัทสามารถทำผลงานได้ดีกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ แม้จะเป็นปีที่เศรษฐกิจทั่วโลกและไทยได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง จากการระบาดของโควิด-19  ซึ่งมียอดรับรู้ทั้งปีที่ 5,765 ล้านบาท เติบโตขึ้น 24.2%  ในขณะที่มีกำไรสุทธิที่ 1,333.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49.5%  
ริสแลนด์ ไม่หวั่นสงครามราคาคอนโด อัพราคา 10%  “เดอะลิฟวิ่น รามคำแหง”

ริสแลนด์ ไม่หวั่นสงครามราคาคอนโด อัพราคา 10%  “เดอะลิฟวิ่น รามคำแหง”

ริสแลนด์ ไม่หวั่นสงครามราคาตลาดคอนโด เดินหน้าเปิดขายโครงการเดอะลิฟวิ่น รามคำแหง เฟส 3 พร้อมอัพราคาขายขึ้นอีก 10% มั่นใจราคาต่ำกว่าคู่แข่ง แม้มีอีก 4 โปรเจ็กต์ รวมกว่า 1,824 ยูนิต เล็งเปิดตัวโปรเจ็กต์ใหม่อีก 2-3 โครงการ มูลค่า 6,000-7,000 ล้าน หลังสถานการณ์โควิด-19 ฟื้นตัวดีขึ้น ​   นับตั้งแต่ประเทศไทยมีการพัฒนาเส้นทางรถไฟฟ้า นับตั้งแต่เมื่อกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ชีวิตของคนเมืองกรุงเทพฯ นับว่าได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางเพิ่มมากขึ้น ยิ่งแผนการพัฒนาเส้นทางรถไฟฟ้าของไทย ที่จะมีกระจายและครอบคลุมไปในทุกพื้นที่ ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ยิ่งทำให้การเดินทางของคนกรุงเทพฯ ยิ่งได้รับความสะดวกสบาย สามารถเดินทางไปได้ในทุกจุด แม้ว่าต้นทุนค่าเดินทางอาจจะปรับสูงขึ้นก็ตาม   นอกเหนือจากความสะดวกสบายในด้านการเดินทางแล้ว สิ่งหนึ่งที่ตามมาพร้อม ๆ กับการเกิดขึ้นของเส้นทางรถไฟฟ้า คือ การเติบโตของเมือง ที่ขยายตัวออกไปตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า โดยเฉพาะการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ของผู้ประกอบการได้เกิดขึ้นตลอดเส้นทางรถไฟฟ้า ไม่ว่าจะเกาะติดตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า หรือตามซอยต่าง ๆ ล้วนเกิดขึ้นมาก เพราะมองว่าเส้นทางรถไฟฟ้า คือ ปัจจัยบวกที่จะช่วยทำให้ยอดขายโครงการอสังหาฯ ประสบความสำเร็จ และได้รับความสนใจจากผู้บริโภค 4 โปรเจ็กต์คอนโดจ่อเปิดเพิ่ม​ 1,824 ยูนิต  โครงการอสังหาฯ ที่ใช้เส้นทางรถไฟฟ้าเป็นจุดขายหลัก ส่วนใหญ่จะเป็นโครงการประเภทคอนโดมิเนียม และทำเลที่มักจะมีโครงการเกิดขึ้นหนาแน่น คือ ทำเลบริเวณจุเชื่อมต่อของเส้นทางรถไฟฟ้าหลาย ๆ สาย เพราะทำให้การเดินทางของคนอยู่อาศัย สามารถมีทางเลือกได้มากขึ้น  และหนึ่งในบริเวณจุดเชื่อมต่อ ซึ่งปัจจุบันได้รับความนิยมมาก คือ ย่านรามคำแหง บริเวณแยกลำสาลี เนื่องจากอยู่ใกล้กับเส้นทางรถไฟฟ้า 3 สาย ได้แก่ สายสีส้ม สายสีเหลือง และสายสีน้ำตาล ทำเลบริเวณรามคำแหง ถือว่าเป็นอีกหนึ่งทำเลที่มีดีเวลลอปเปอร์ เข้ามาพัฒนาโครงการคอนโดจำนวนมาก หากดูตัวเลขล่าสุดในปี 2564 มีจำวนยูนิตที่พัฒนาออกมาขายมากถึง 25,900 ยูนิต โดยมี 2 โครงการใหม่ที่เปิดตัว ได้แก่ โครงการ “โมดิซ ไรห์ม รามคำแหง” (Modiz Rhyme Ramkhamhaeng)  ของบริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน)  มูลค่า 5,000 ล้านบาท และโครงการเดอะ ลิฟวิ่น รามคำแหง ของบริษัท ริสแลนด์ (ประเทศไทย) จำกัด มูลค่า 4,900 ล้านบาท ซึ่งในย่านรามคำแหงมีอัตราดูดซับออกไปแล้วถึง 40% ขณะที่ปี 2564 มีดีเวลลอปเปอร์ประกาศแผนเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อีก 4 โครงการ รวม 1,824 ยูนิต   ดร.วอลเต้อร์ หลง ผู้อำนวยการโครงการ เดอะ ลิฟวิ่น รามคำแหง บริษัท ริสแลนด์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ​ปัจจุบันบริษัทสามารถทำยอดขายโครงการเดอะ ลิฟวิ่น รามคำแหง ได้แล้วกว่า 1,300 ล้านบาท  หรือประมาณ 563 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 30% ของโครงการ หลังจากเปิดขายอย่างเป็นทางการเพียง 5 เดือน​ นับจากเดือนสิงหาคมปีที่ผ่านมา​ ซึ่งเป็นโครงการที่ทำยอดขายได้มากที่สุดในย่านรามคำแหง   โดยในปีนี้บริษัทวางแผนเปิดการขายต่อเนื่องในเฟสที่ 3 ซึ่งคาดว่าจะทำยอดขายได้ประมาณ 1,000 ล้านบาท พร้อมกับวางแผนปรับราคาขายเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 10% หรือมีราคาเฉลี่ย 80,000 บาทต่อตารางเมตร จากปีที่ผ่านมามีราคาขายเฉลี่ย 70,000 บาทต่อตารางเมตร โดยมีราคาเริ่มต้นยูนิตละ 1.6 ล้านบาท ขนาดพื้นที่ 22 ตารางเมตร และสูงสุดราคา 5 ล้านบาท ขนาด 2 ห้องนอน พื้นที่ 60 ตารางเมตร โดยราคาขายดังกล่าว ยังถือว่าถูกกว่าคู่แข่งในพื้นที่ เนื่องจากราคาขายปัจจุบันเป็นราคาใกล้เคียงกับช่วง 2 ปีที่ผ่านมา   โครงการเดอะ ลิฟวิ่น รามคำแหง เป็นคอนโดมิเนียมไฮไรส์สูง 42 ชั้น บนเนื้อที่กว่า 8 ไร่ บริเวณแยกลำสาลี  มีห้องพัก 5 ประเภท ได้แก่ ห้องสตูดิโอขนาด 22 ตารางเมตร, 1 ห้องนอนขนาด 27 ตารางเมตร, 1 ห้องนอนพลัสขนาด 32 ตารางเมตร, 2 ห้องนอนขนาด 38 ตารางเมตร และ 2 ห้องนอนขนาด 55 ตารางเมตร รวม 1,938 ยูนิต  คาดว่าจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ได้ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2567 พร้อมกับการก่อสร้างแล้วเสร็จ ซึ่งโครงการจะเริ่มก่อสร้างในวันที่ 10 มีนาคมนี้ รอจังหวะโควิด-19 จบเปิดโปรเจ็กต์ 7,000 ล้าน ด้านนายเนีย ชงเชียน ผู้อำนวยการฝ่ายการขายและการตลาด ประจำภูมิภาคไทย กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 2-3 โครงการ รวมมูลค่าไม่ต่ำกว่า 6,000-7,000 ล้านบาท แต่ทั้งนี้จะพิจารณาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และการจัดซื้อที่ดินว่ามีความเหมาะสมในการพัฒนาโครงการอย่างไรบ้าง แต่โครงการในรูปแบบรีสอร์ทซึ่งจะพัฒนาโครงการที่จังหวัดภูเก็ต บริษัทชะลอแผนเปิดตัวโครงการออกไปก่อน จนกว่าสถานการณ์และสภาพเศรษฐกิจ รวมถึงภาวการณ์ท่องเที่ยวจะฟื้นตัวดีขึ้น ​ อย่างไรก็ตาม หากปีนี้บริษัทไม่เปิดตัวโครงการใหม่ บริษัทยังมีโครงการเดิมที่เปิดตัวก่อนหน้า จะเปิดการขายในเฟสต่อเนื่อง เช่น โครงการเดอะ ลิฟวิ่น รามคำแหง เฟส 3 เพื่อสร้างการรับรู้ด้านยอดขายเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% จากปีที่ผ่านมาสามารถทำยอดขายได้กว่า 7,400 ล้านบาท จากโครงการคอนโด 4 โครงการ โครงการมิกซ์ยูส 2 โครงการ และโครงการบ้านเดี่ยว 1 โครงการ ซึ่งปีที่ผ่านมาบริษัททำยอดขายเติบโต 15% จากปี 2562 เราต้องเพลย์เซฟ และต้องวิเคราะห์ตลาดให้ดี เน้นตลาดที่มีดีมานด์ และเลือกที่ดินมาพัฒนาให้เหมาะสม
LPN วาง 4 กลยุทธ์เทิร์นอะราวด์  กลับขึ้นท็อป 5 ในปี 67 

LPN วาง 4 กลยุทธ์เทิร์นอะราวด์ กลับขึ้นท็อป 5 ในปี 67 

LPN วางยุทธศาสตร์ระยะ 3 ปี กลับมาขึ้นแท่นท็อป 5 อีกครั้ง เดินหน้าปรับองค์กร เพื่อปูทางสร้างรายได้ใกล้ 20,000 ล้าน ภายในปี 2567 ด้วย 4 กลยุทธ์สำคัญ หลังปี 63 สามารถฝ่าวิกฤตโควิด-19 ทำผลงานดีกว่าที่คาดการณ์   นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ​LPN เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในระยะ 3 ปี  (ปี  2564-2567) ว่า ได้วางยุทธศาสตร์แผน 3 ปี ให้เป็นปีของการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่การเป็นองค์กรที่มีอัตราการเติบโตในด้านของรายได้ และความสามารถในการทำกำไรอย่างยั่งยืน ผ่านการบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ การใช้ข้อมูล (Big Data) มาวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า (Customer Insight) เพื่อการพัฒนาทั้งบ้านพักอาศัย และอาคารชุดพักอาศัย ให้มีฟังก์ชั่นการใช้งาน ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าในทุกมิติในระดับราคาที่เหมาะสม (Affordable Price) สำหรับผู้ซื้อในทุกกลุ่มภายใต้แนวคิด “ความพอดีที่ดีกว่า : The Better Balance”       โดยในปีนี้ บริษัทได้มีการปรับโครงสร้างองค์กร (Reorganization) จากโครงสร้างการทำงานตามหน้าที่ (Functional Organization) สู่การบริหารงานในรูปแบบของหน่วยธุรกิจ (Business Unit) รวมถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการปรับปรุงกระบวนการทำงาน (Digital Transform)  เพื่อให้การทำงานมีความคล่องตัวในการตัดสินใจ และเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารค่าใช้จ่ายและต้นทุนในการดำเนินงาน  ซึ่งมีเป้าหมายในปี 2567 ต้องกลับมาเติบโตสร้างรายได้ให้ใกล้ 20,000 ล้านบาท หรือสูงกว่า 16,000 ล้านบาท ที่เป็นสถิติที่บริษัทเคยทำได้สูงสุดในปี 2558 และติดอันดับท็อป 5 ตลาดอสังหาริมทรัพย์   ในปีที่ผ่านมาบริษัทตั้งเป้าไว้ว่าจะทำรายได้รวม 10,000 ล้านบาท แต่เมื่อเกิดสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ระบาดรุนแรงทำให้ต้องปรับแผน และคิดว่าน่าจะมีรายได้จากการพัฒนาโครงการเพื่อขายเพียงเดือนละประมาณ 100 ล้านบาท หรือทั้งปีประมาณ​ 1,000 ล้านบาท  แต่เมื่อสถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลาย ในสุดท้ายบริษัทสามารถสร้างรายได้ 7,300 ล้านบาท เป็นรายได้จากโครงการอสังหาฯ 6,000 ล้านบาท ถือว่าบริษัทสามารถก้าวข้ามผ่านความเสี่ยงทางธุรกิจที่เกิดขึ้นในปี 2563 มาได้ และยังสามารถรักษาความสามารถในการสร้างรายได้และกำไรไว้ได้ในอัตราที่เหมาะสม บริษัทวางแผนให้กลับมาเทิร์นอะราว โดย 3 ปีข้างหน้า เราจะกลับไปในจุดที่ควรจะเป็น จะกลับมาเทิร์นอะราวด์  เพราะที่ผ่านมามาเราผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านมาทุกวิกฤต   4 กลยุทธ์กลับมาเทิร์นอะราวด์ สำหรับปี 2564 นอกจากปรับโครงสร้างขององค์กรแล้ว บริษัทได้กำหนดแผนในการทำธุรกิจโดยมุ่งให้ทุกหน่วยธุรกิจ “เพิ่มรายได้และบริหารต้นทุน” เพื่อให้บริษัทมีรายได้ตามเป้าหมาย โดยกำหนด 4 ยุทธศาสตร์หลัก ประกอบด้วย 1.การรุกตลาดบ้านพักอาศัยตอบโจทย์ผู้ซื้อในปัจจุบัน ปี 2564 บริษัทเน้นการเปิดตัวโครงการบ้านพักอาศัยเพิ่มขึ้นเพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ซื้อในตลาดที่ให้ความสนใจซื้อบ้านพักอาศัยทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮ้าส์ เพิ่มขึ้น หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยมีแผนเปิดตัวบ้านพักอาศัย 6 โครงการ มูลค่า 5,500 ล้านบาท เป็นโครงการบ้านเดี่ยว สำหรับตลาดพรีเมี่ยมในระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ภายใต้แบรนด์ “บ้าน 365” 1-2 โครงการ มูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท  โดยเน้นการเปิดตัวโครงการในย่านใจกลางเมืองในพื้นที่ขนาดเล็ก แต่มีความเป็นส่วนตัวสูงภายใต้แนวคิด “Private Resident” เพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ซื้อในกลุ่มนี้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยใจกลางเมืองและมีความเป็นส่วนตัว และโครงการบ้านพักอาศัยภายใต้แบรนด์  “บ้านลุมพินี ทาวน์เพลส” และ “บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์” ที่ระดับราคาไม่เกิน 10 ล้านบาทต่อหน่วย ประมาณ 3-5 โครงการ มูลค่าประมาณ  2,500 ล้านบาท  โดยออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งานทาวน์เฮ้าส์หน้ากว้างที่สามารถจอดรถได้ 3 คัน เพื่อสมาชิกทุกคนในครอบครัว   ส่วนโครงการคอนโดมิเนียม บริษัทวางแผนเปิดตัว  3 โครงการ มูลค่า 3,000 ล้านบาท  ซึ่งบริษัทมีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้บ้านพักอาศัยจาก 20% ในปี 2563 เป็น 30% ในปี 2564 และมีแผนที่จะเพิ่มสัดส่วนรายได้ของบ้านพักอาศัยขึ้นมาอยู่ที่ 50% ภายในปี 2567  ในขณะเดียวกันบริษัทยังคง รักษารายได้จากโครงการคอนโดในปี 2564 ให้มีสัดส่วนไม่ต่ำกว่าปี 2563 ทำให้ในปีนี้ บริษัทเปิดตัวโครงการทั้งหมด 9 โครงการ มูลค่า 8,500 ล้านาท 2.ขยายฐานรายได้จากภาคธุรกิจบริการ บริษัทรุกขยายฐานรายได้จากงานบริการเพิ่มขึ้นจากฐานธุรกิจเดิมที่มีอยู่ไปสู่กลุ่มลูกค้าใหม่นอกเหนือจากของ LPN โดยมีการนำแพลตฟอร์มธุรกิจ (Business Platform) สร้างเครือข่ายกับพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อสร้างรายได้เพิ่มให้กับกลุ่มธุรกิจบริการภายใต้การบริหารของบริษัทในเครือทั้ง บริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) บริษัท แอล พี ซี วิสาหกิจ เพื่อสังคม จำกัด (LPC) บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LPN Wisdom) และบริษัท รักษาความปลอดภัย แอลเอสเอส โซลูชั่นส์ จำกัด (LSS) โดยตั้งเป้ารายได้ในส่วนของงานบริการเติบโตไม่น้อยกว่า 20%  ในปี 2564  เทียบกับปี 2563 ที่มีรายได้จากงานบริการและธุรกิจให้เช่าที่ 1,361 ล้านบาท 3.บริหารสภาพคล่องรองรับความเสี่ยงทางธุรกิจ ปี 2564 บริษัทมีนโยบายบริหารสภาพคล่องทางการเงิน โดยชะลอแผนการซื้อที่ดินใหม่เพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาคอนโด  เนื่องจากบริษัทมีที่ดินที่ซื้อเก็บไว้ในปี 2563 ทั้งสิ้น 6-8 แปลง  สามารถนำมาใช้ในการพัฒนาโครงการอาคารชุดพักอาศัยในปี 2564 ได้ตามแผนที่วางไว้ ประกอบกับปัจจุบันบริษัทมีโครงการคอนโดที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและที่สร้างเสร็จพร้อมขายรองรับกับการเติบโตของธุรกิจได้ต่อเนื่องในปี 2564-2567 บริษัทจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซื้อที่ดินใหม่เพื่อการพัฒนาอาคารชุดพักอาศัย ทำให้บริษัทสามารถรักษากระแสเงินสดของบริษัทให้สามารถที่จะรองรับกับแผนการลงทุนในด้านอื่นๆ หรือสามารถที่จะรองรับกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากความไม่แน่นอนของการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19      ในขณะเดียวกันบริษัทมีแผนที่จะออกหุ้นกู้ประมาณ  3,000 ล้านบาท  เพื่อนำมาใช้ในการชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดชำระคืนในปี 2564 จำนวน 2,000 ล้านบาท และเพื่อลงทุนซื้อที่ดินสำหรับการพัฒนาโครงการบ้านพักอาศัยที่บริษัทมีแผนใช้งบลงทุนประมาณ 4,000 ล้านบาทในปี 2564 โดยที่บริษัทยังคงสามารถรักษาสัดส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Debt to Equity Ratio) ในสัดส่วนไม่เกิน 1:1 เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินให้กับบริษัท 4.การสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพย์สินที่มีอยู่  โดยการสร้างรายได้และ Backlog จากทรัพย์สินที่มีอยู่  ซึ่งในปี 2564 บริษัทมีแผนที่จะนำเอาทรัพย์สินที่มีอยู่ เช่น อาคารชุดพักอาศัยที่สร้างเสร็จรอขายแล้วนั้นมาปล่อยเช่าเพื่อสร้างรายได้และรวมถึงการสร้าง Backlog เพื่อขายในอนาคต ทั้งนี้ บริษัทมีแผนนำที่ดินที่รอการพัฒนาบางส่วนมาพัฒนาในรูปแบบที่แตกต่างออกไป เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับที่ดินที่บริษัทถือครองอยู่ เพิ่มเติมจากที่ดำเนินการไปแล้วในปี 2563 ที่สามารถทำรายได้เติบโตในส่วนนี้ได้ถึง 30% วางเป้าหมื่นล.ปูทางสู่ 20,000 ล. จาก 4 ยุทธศาสตร์ในการทำธุรกิจในปี 2564  บริษัทตั้งเป้ารักษาการเติบโตของรายได้ไม่น้อยกว่าปี 2563 โดยแบ่งสัดส่วนรายได้จากบ้านพักอาศัยประมาณ 30% ของรายได้รวม และรายได้จากอาคารชุดพักอาศัยประมาณ 70% ของรายได้รวม และรายได้ที่มาจากธุรกิจบริการและการเช่าเติบโตประมาณ 20% โดยมีเป้าหมายที่จะมีรายได้จากการขาย (Presale) ประมาณ 10,000 ล้านบาท ในปี 2564 ใกล้เคียงกับปี 2563 ที่มีรายได้จากการขายและบริการ 7,362 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 734 ล้านบาท   ทั้งนี้  ณ สิ้นปี 2563 บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ประมาณ 2,200 ล้านบาท ที่จะรับรู้รายได้ในปี 2564 และมีสินค้าคงเหลือที่พร้อมขายประมาณ 11,000 ล้านบาท   เรามั่นใจว่าหลังจากที่ผ่านวิกฤติ COVID-19 ในปี 2563 มาแล้ว เราได้เรียนรู้จากทุกวิกฤติที่ผ่านมาตลอดเวลา 32 ปี ทำให้เรามีความแข็งแกร่งและความพร้อมที่เราจะเติบโตอย่างยั่งยืนตามเป้าหมายที่เราได้วางไว้  
เฟรเซอร์ส ชูกลยุทธ์ Core & Flex บริการยืดหยุ่นมัดใจผู้เช่าพื้นที่ออฟฟิศ

เฟรเซอร์ส ชูกลยุทธ์ Core & Flex บริการยืดหยุ่นมัดใจผู้เช่าพื้นที่ออฟฟิศ

เฟรเซอร์ส ปรับกลยุทธ์ใช้ Core & Flex บริหารธุรกิจสำนักงานให้เช่า มัดใจลูกค้า หลังหลายธุรกิจโดนพิษโควิด-19 ทุบเศรษฐกิจ ทำให้ไปต่อไม่ไหว พร้อมเตรียมตัวรับตลาดแข่งขันรุนแรง ดีมานด์ลด ซัพพลายพุ่ง อีก 3 ปีทะลุ 6.5 ล้านตารางเมตร   การดำเนินธุรกิจในยุคปัจจุบัน อาจจะสะดวกสบายมากขึ้น เพราะมีเครื่องมือหรือเทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามาอำนวยความสะดวกสบาย แต่การดำเนินธุรกิจในยุคปัจจุบันก็ไม่ได้ง่าย หากจะทำให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย เพราะนอกจากการแข่งขันที่รุนแรง ซึ่งเกิดจากปัจจุบันการเข้ามาดำเนินธุรกิจไม่ได้ยุ่งยาก และธุรกิจสามารถเกิดขึ้นได้ทุกที่ทุกเวลา จึงทำให้มีคู่แข่งในแต่ละธุรกิจจำนวนมากมาย   นอกจากการแข่งขันที่รุนแรง  การดำเนินธุรกิจยุคปัจจุบัน ยังต้องเผชิญกับปัจจัยภายนอกจำนวนมาก ที่ส่งผลต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวของการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นสภาพเศรษฐกิจ สังคม หรือปัจจัยทางการเมือง หรือแม้แต่การเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีที่รวดเร็ว และยังไม่นับรวมกับความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นได้เสมอ อย่างเช่น การแพร่ระบาดของเชื้อโรค อย่างไวรัสโควิด-19 ในยุคปัจจุบัน ก่อนหน้านี้ ธุรกิจต่าง ๆ ต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีดิจิทัล ที่เข้ามาดิสรับธุรกิจซึ่งส่งผลกระทบให้ผู้เล่นบางราย ที่ปรับตัวรับมือไม่ทันไม่สามารถเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงได้ ต้องหยุดดำเนินธุรกิจล้มเลิกกิจการไปก็เห็นเกิดขึ้นจำนวนมาก และปัจจุบันก็ต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  ซึ่งทำให้หลายธุรกิจไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ และหลายธุรกิจต้องปรับตัวรับมือ เปลี่ยนแปลงรูปแบบการบริหารงานและดำเนินธุรกิจ ภายใต้วิถีชีวิตปกติใหม่ (New Normal) ซึ่งไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป   เมื่อรูปแบบการใช้ชีวิตและการดำเนินธุรกิจไม่เหมือนเดิม แน่นอนว่าย่อมทำให้หลายธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ต้องได้รับผลกระทบและต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการดำเนินธุรกิจตามไปด้วย อย่างธุรกิจการให้บริการพื้นที่สำนักงานให้เช่า เพราะมีประเด็นที่พูดถึงกันอย่างมาก ว่าผลกระสบสำคัญของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้เกิดการล็อกดาวน์ประเทศ และการต้องมีมาตรการเว้นระยะทางสังคม (Social Distancing) ทำให้การใช้พื้นที่ในสำนักงานอาจจะต้องปรับเปลี่ยน เพื่อเข้าสู่มาตรการเพื่อความปลอดภัย จำนวนพนักงานที่ต้องมาออฟฟิศอาจจะต้องลดน้อยลง และให้พนักงานบางส่วนทำงานจากที่บ้าน (Work from Home)    ประเด็นต่าง ๆ ที่มีการพูดถึงดังกล่าว รวมถึงบางธุรกิจที่ถูกผลกระทบจนต้องล้มเลิกกิจการ ส่วนบางธุรกิจที่ยังสามารถไปต่อได้ แต่ต้องรัดเข็มขัดบริหารงบประมาณ และต้นทุนการดำเนินธุรกิจให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ล้วนแต่เป็นปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจให้เช่าพื้นที่สำนักงาน ต้องเผชิญและหาแนวทางการรับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้น เพราะนับวันความต้องการ (Demand) การใช้พื้นที่ก็ลดน้อยลง ขณะที่ปริมาณของพื้นที่สำนักงาน (Supply) มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง   มีการคาดการกันว่าภายในปี 2566 จะมีพื้นที่สำนักงานให้เช่าเพิ่มขึ้นถึง 6.5 ตารางเมตร หากเป็นไปตามที่ดีเวลอปเปอร์ประกาศแผนการพัฒนาเอาไว้ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม... มองตลาดออฟฟิศให้เช่า Q2 หลัง COVID-19 จะไปทางไหน? ) จากช่วงปีที่ผ่านมามีพื้นที่สำนักงานให้เช่ารวมกว่า 5.33 ล้านตารางเมตร  แต่ฝั่งความต้องการในช่วงปีที่ผ่านมา ความต้องการเช่าพื้นที่สำนักงานมีเพียง 50,000 ตารางเมตร ลดลงอย่างมากจากปกติจะมีความต้องการเช่าพื้นที่ใหม่ปีละ 200,000 ตารางเมตร ซึ่งเป็นภาพสะท้อนผลกระทบอย่างชัดเจน ต่อการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง บรรดาธุรกิจหลายแห่งต้องปิดกิจการ และหลายแห่งต้องปรับลดขนาดพื้นที่การใช้งานลง รวมถึงย้ายไปใช้พื้นที่ส่วนอื่น ๆ ที่สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้ เช่นบางบริษัทมีโรงงานผลิตสินค้า ก็อาจจะย้ายสำนักงานส่วนบริหารไปยังพื้นที่ในโรงงานแทน ชูกลยุทธ์ Core & Flex มัดใจผู้เช่าพื้นที่ออฟฟิศ นายวิทวัส คุตตะเทพ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายโครงการเชิงพาณิชยกรรม เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า  ในปี 2563 ที่ผ่านมา ประเทศไทยและทั่วโลกต่างต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบแรก และภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่กระทบต่อธุรกิจและอุตสาหกรรมในวงกว้าง สำหรับตลาดอาคารสำนักงานของไทย ก็เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว ตลอดจนเทรนด์ของการทำงานจากที่บ้าน เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ความต้องการเช่าหรือขยายพื้นที่สำนักงานในปี 2563 ลดลงกว่า 50% ดังนั้นผู้ให้บริการพื้นที่สำนักงานจึงจำเป็นต้องประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะสามารถรับมือและปรับตัวได้ทันท่วงที   สำหรับปี 2564 บริษัทฯ คาดการณ์ว่าความต้องการเช่าหรือขยายพื้นที่สำนักงานจะฟื้นตัวดีขึ้นกว่าปี 2563 ซึ่งเป็นปีที่ความต้องการพื้นที่สำนักงานลดลงต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี เนื่องจากภาคธุรกิจสามารถปรับตัวและรับมือกับสถานการณ์หลังเผชิญหน้าโควิด-19 รอบแรกเมื่อปีก่อน โดยกลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตได้ดี ได้แก่ กลุ่มธุรกิจดิจิทัล อีคอมเมิร์ซ การเงิน และธุรกิจสุขภาพ   เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย) ในฐานะผู้ให้บริการพื้นที่สำนักงานเกรด A ในย่านใจกลางธุรกิจ มีพื้นที่สำนักงานที่อยู่ภายใต้การดูแล รวมทั้งสิ้น 5 อาคาร ได้แก่ อาคารมิตรทาวน์ ออฟฟิศ ทาวเวอร์ อาคารเอฟวายไอ เซ็นเตอร์ อาคารโกลเด้นแลนด์ และภายใต้ทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์โกลเด้นเวนเจอร์ (GVREIT) ได้แก่ อาคารสาทรสแควร์ และอาคารปาร์คเวนเชอร์  พื้นที่รวมกว่า 209,000 ตารางเมตร ได้มองเห็นถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว พร้อมกับเตรียมแผนรับมือรองรับกับภาวการแข่งขัน ด้วยการให้บริการพื้นที่สำนักงานแบบยืดหยุ่น (Flex) ซึ่งกำลังเป็นที่ได้รับความนิยมในต่างประเทศ   เทรนด์พื้นที่สำนักงานแบบยืดหยุ่น (Flex) เกิดขึ้นเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา  ซึ่งผู้ให้บริการจะนำเสนอพื้นที่สำนักงานแบบยืดหยุ่นควบคู่ไปกับพื้นที่สำนักงานแบบมาตรฐาน (Core) เพื่อความเป็นส่วนตัว สร้างเอกลักษณ์ และวัฒนธรรมองค์กรของแต่ละองค์กร ​​ พื้นที่สำนักงานแบบยืดหยุ่นจะให้บริการพื้นที่หลากหลาย ตัวอย่างเช่น “โคเวิร์คกิ้งสเปซ (Co-working Space)” สำหรับกลุ่มธุรกิจขนาดเล็ก สตาร์ทอัพ ฟรีแลนซ์ ที่ต้องการพื้นที่เพื่อสร้างเน็ตเวิร์คทางธุรกิจ โดยจะมีความยืดหยุ่นสูง ทั้งในเรื่องพื้นที่ และสัญญาเช่า เพราะไม่ต้องเช่าในระยะยาวอย่างเช่นในปัจจุบันที่กำหนดไว้นานถึง 3 ปี สามารถเช่าได้ตั้งแต่ 1 เดือน และการคิดค่าบริการต่อจำนวนพนักงาน จากเดิมคิดตามขนาดพื้นที่ โดยในปี 2564 นี้ บริษัทได้นำเอาพื้นที่สำนักงานแบบยืดหยุ่นมาให้บริการควบคู่กับรูปแบบมาตรฐาน “Core & Flex” มาผสานกันเพื่อตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าที่ปรับเปลี่ยนไปในปัจจุบัน โดยมีพื้นที่หลากหลายรูปแบบให้เลือกใช้งานตามความต้องการ ซึ่งบริษัทได้วางแผนพร้อมให้บริการภายใน 5 โครงการเชิงพาณิชย์เกรด A ใจกลางกรุงเทพฯ ภายในปีนี้ โดยคาดว่าด้วยบริการใหม่นี้ จะทำช่วยให้บริษัทรักษาอัตราผู้เช่าที่ 90% และยังคงอัตราค่าเช่าเฉลี่ย 900 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน รูปแบบการทำงานได้เกิดการเปลี่ยนแปลง เป็นผลมาจากนโยบายการทำงานที่บ้าน  และการทำงานจากที่ไหนก็ได้   ผู้เช่าจึงมองหาความคล่องตัวในการใช้พื้นที่ และต้องการทั้งพื้นที่สำนักงานแบบมาตรฐาน และพื้นที่สำนักงานแบบยืดหยุ่นพร้อมกัน รูปแบบสำนักงานแบบ Core & Flex จึงช่วยเติมเต็มความต้องการที่เปลี่ยนไปนี้  นายวิทวัส กล่าวอีกว่า ปัจจุบันลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่ ยังไม่ได้ขอลดพื้นที่การใช้งาน หรือขอยกเลิกสัญญา แต่มีบางบริษัทที่อาจจะไม่ต่อสัญญา จาก 2 เหตุผล คือ ต้องการพื้นที่ขนาดใหญ่ แต่บริษัทไม่มีที่ว่างรองรับ และไม่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้  ซึ่งปกติบริษัทมีลูกค้าสัดส่วนประมาณ 20-30% ในการหมุนเวียนไม่ต่อสัญญา สำหรับเหตุผลสำคัญที่บริษัทนำเอารูปแบบการบริการ Core & Flex มาใช้ เพื่อต้องการรักษาฐานลูกค้าไว้ รวมถึงสร้างความหลากหลายในการให้บริการ รองรับกับภาวการแข่งขันทั้งในปัจจุบันจากความต้องการเช่าพื้นที่ลดลง แต่มีปริมาณพื้นที่จำนวนมาก รวมถึงการแข่งขันที่จะรุนแรงในอนาคตที่จะมีพื้นที่สำนักงานให้เช่าเข้ามาสู่ตลาดอีกจำนวนมาก   ดีมานด์ออฟฟิศเริ่มปรับตัว มีความต้องการพื้นที่ที่เป็น flex  เพราะลูกค้าต้องการความยืดหยุ่น และลูกค้าไม่ต้องลงทุนในการปรับแต่งพื้นที่ ซึ่งหากลงทุนเองต้องเช่าใช้พื้นที่นานถึง 6 ปีกว่าจะคุ้มทุน ในส่วน Flex ลูกค้าสามารถใช้ในพื้นที่อาคารเตรียมไว้ให้ได้ หากธุรกิจขยายตัวต้องการเพิ่มพื้นที่ในอนาคตก็สามารถทำได้เช่นกัน ​​   ปัจจุบันบริษัทมีพื้นที่​ FIex ที่อาคารสามย่านมิตรทาวน์ในสัดส่วน 30% ในอนาคตจะขยายไปยังอีก 4 อาคารภายใต้การบริหารงานของบริษัท โดยอาจจะร่วมกับพันธมิตรให้เป็นผู้ลงทุน หรือบริษัทอาจจะลงทุนพัฒนาพื้นที่ Flex เองก็ได้ ​สำหรับผลการดำเนินงานของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คอมเมอร์เชียลปีที่ผ่านมามีรายได้ 1,000 ล้นบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มีรายได้ ​800 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนรายได้จากการให้บริการพื้นที่สำนักงาน ​70 % ​​​
เอพี วางเป้าขึ้นเบอร์ 1 อสังหาฯ ไทย ขน 147 โครงการสร้างรายได้กว่า 4 หมื่นล.

เอพี วางเป้าขึ้นเบอร์ 1 อสังหาฯ ไทย ขน 147 โครงการสร้างรายได้กว่า 4 หมื่นล.

เอพี วาง 3 กลยุทธ์ ขึ้นเบอร์ 1 อสังหาฯ ไทย หลังดำเนินธุรกิจมา 3 ทศวรรษ พร้อมขน 147 โครงการ สร้างรายได้และยอดขายปี 64 กว่า 43,100 ล้าน จากปีที่ผ่านมาทำนิวไฮด์สูงสุดในประวัติศาสตร์กว่า 46,130 ล้านบาท เติบโตกว่า 42% เดินหน้าขยายตลาดบ้านต่ำกว่า 3 ล้านและมากกว่า 10 ล้าน หลังซัพพลายเริ่มลดลง   นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ​เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ AP เปิดเผยถึงทิศทางสร้างการเติบโตของบริษัทนับจากนี้ หลังจากดำเนินธุรกิจมา 3 ทศวรรษว่า จะใช้ 3 ยุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนองค์กร ได้แก่ 1.การสร้างผู้นำอิสระ เพิ่มโอกาสในการแข่งขันที่มากกว่า (Create Independent Responsible Leaders)  2.การสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เอื้อต่อการสร้างนวัตกรรม (INNOVATIVE CULTURE) และ 3.พลิกเกมส์ธุรกิจเดินหน้าเต็มลูป ทรานฟอร์มทุกมิติด้วยดิจิทัล (eVERYTHING DIGITAL)  เพื่อเป้าหมายสู่การเป็นเบอร์ 1 ในอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทย วันนี้ เอพี ไทยแลนด์ ก้าวสู่การดำเนินธุรกิจปีที่ 30 โดยมี EMPOWER LIVING เป็นเจตจำนงสำคัญในการดำรงอยู่ของเอพี ไทยแลนด์จากอดีต ปัจจุบัน และก้าวต่อ ๆ ไปในอนาคต ภายใต้บทบาทหน้าที่สำคัญยิ่งในการเป็นผู้สร้างและจัดหาสินค้าหรือบริการที่เกื้อหนุนให้ลูกค้าและผู้ที่เกี่ยวข้องกับเอพี สามารถเลือกที่จะใช้ชีวิตที่ดี ในแบบที่ต้องการด้วยตนเอง ส่วนแผนธุรกิจในปี 2564  นายอนุพงษ์  กล่าวว่า ได้วางแผนการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 34 โครงการ มูลค่าประมาณ 43,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบจำนวน 30 โครงการ มูลค่าประมาณ 28,800 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมที่คาดว่าจะพร้อมเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลังจำนวน 4 โครงการ มูลค่าประมาณ 14,200 ล้านบาท และปัจจุบันโครงการที่อยู่ระหว่างการขายมี 113 โครงการ มูลค่าสินค้าพร้อมขายประมาณ 78,890 ล้านบาท  ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด ทำให้ปีนี้มีโครงการพัฒนาและพร้อมขายมากถึง 147 โครงการ มูลค่ากว่า 121,890 ล้านบาท โดยในปี 2564 นี้ บริษัทตั้งเป้ารับรู้รายได้ (รวม 100% JV) มูลค่า 43,100 ล้านบาท และเป้ายอดขายที่ 35,500 ล้านบาท ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาได้เปิดการขายไป 2 โครงการในโครงการอภิทาวน์ เชียงราย มูลค่า 900 ล้านบาท และอภิทาวน์ อยุธยา มูลค่า 1,400 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 โครงการสามารถทำยอดขายได้กว่า 10% ขณะที่ยอดขายตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึงวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2563 บริษัททำยอดขายได้แล้ว 4,500 ล้านบาท เติบโต 37% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยแบ่งเป็นยอดขายโครงการแนวราบ 4,100 ล้านบาท เติบโต 50% และคอนโด มียอดขาย 400 ล้านบาท   ด้านนายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์และการสร้างสรรค์ กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ หรือแบ็คล็อก มูลค่า 37,938 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 12,456 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้ได้ภายในปีนี้ และเป็นโครงการคอนโด 25,482 ล้านบาท จะรับรู้ภายใน 3 ปีนับจากนี้ และมีสินค้าพร้อมขายมูลค่า 3,100 ล้านบาท เป็นโครงการร่วมทุน มูลค่า 2,000 ล้านบาท และของเอพี มูลค่า 1,000 ล้านบาท โดยในปีนี้บริษัทจะขยายการพัฒนาที่อยู่อาศัยในกลุ่มระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท และมากกว่า 10 ล้านบาท เนื่องจากตลาดมีความต้องการ และที่อยู่อาศัยในระดับราคาดังกล่าวถูกขายออกไปจากตลาดจำนวนมาก มีเหลือขายไม่มากนัก ถือเป็นการขยายตลาดให้กว้างขึ้นจากปัจจุบันที่บริษัทพัฒนาโครงการระดับราคา 3-10 ล้านบาทเป็นหลัก   ในส่วนงบประมาณการจัดซื้อที่ดินในปีนี้ บริษัทวางงบประมาณไว้ 12,000 ล้านบาท แต่ทั้งนี้บริษัทจะพิจารณากระแสเงินสดในการจัดซื้อที่ดินในแต่ละไตรมาส ซึ่งปีที่ผ่านมาบริษัทใช้งบซื้อที่ดิน 4,000 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมีกระแสเงินสด 14,000 ล้านบาท และวงเงินเบิกเงินกู้จากสถาบันการเงินมูลค่า 11,000 ล้านบาท สำหรับใช้ในการพัฒนาโครงการ สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2563 ที่ผ่านมา  เอพีมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดสูงสุดเกินจากคาดการณ์ ทั้งในรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่น ๆ ได้สูงถึง 46,130 ล้านบาท เติบโตกว่า 42% จากปีก่อนหน้า มีกำไรสุทธิ สิ้นปี 2563 อยู่ที่ 4,225 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 38% ด้านสัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับต่ำมากเพียง 0.71 เท่า ซึ่งทั้งหมดล้วนสะท้อนถึงความสามารถใน   การบริหารจัดการภายในองค์กร ควบคู่ไปกับการบริหารพอร์ตสินค้า และการบริหารกระแสเงินสดที่รัดกุมและมีประสิทธิภาพท่ามกลางสภาวะวิกฤติที่เกิดขึ้น  
ซื้อบ้าน-คอนโด ในปี 64 อย่างไรเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด

ซื้อบ้าน-คอนโด ในปี 64 อย่างไรเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด

ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย ตั้งแต่ปี 2563 ที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ทั้งการลดจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มคอนโดมิเนียม และหันมาเร่งระบายสต็อก รวมถึงการใช้กลยุทธ์โปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม มาช่วยกระตุ้นตลาดและยอดขาย โดยเฉพาะกลยุทธ์ด้านการลดราคา รวมถึงการอยู่ฟรี เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ไม่มั่นใจต่อสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันและอนาคต ทำให้ต่างชะลอการตัดสินใจซื้ออสังหาฯ ออกไป   นอกจากบรรดาดีเวลลอปเปอร์จะพยายามกระตุ้นตลาดด้วยตัวเองแล้ว ภาครัฐเองก็มองเห็นว่ามีความจำเป็นจะต้องมีมาตรการออกมาช่วยธุรกิจ ให้สามารถดำเนินต่อไปได้ จึงออกมาตรการในส่วนของการลดค่าธรรมเนียมการโอนและการจดจำนอง ให้เหลือในอัตรา 0.01% ซึ่งเดิมกำหนดสิ้นสุดในช่วงปลายปี 2563 แต่จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระรอกใหม่ ทำให้ภาครัฐจึงต้องนำเอามาตรการดังกล่าวกลับมาใช้อีกครั้ง และมีการขยายกรอบเวลาไปจนถึงสิ้นปี 2564 นี้ มาตรการรัฐปี 64 ตัวช่วยทำให้เรามีบ้าน เป็นของตนเองง่ายขึ้น ในการจะเป็นเจ้าของบ้านหรือคอนโดนั้น นอกจาก “ราคาขาย” ที่ต้องจ่ายแล้วก็ยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อยู่อีกหลายส่วนที่ต้องรับผิดชอบ ซึ่ง​ 2 ค่าใช้จ่ายที่ถือว่าไม่น้อยเลยก็คือ “ค่าโอนกรรมสิทธิ์” และ “ค่าจดจำนอง” ​ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อราคาบ้านหรือคอนโดสูงขึ้นเท่าไร ก็จะเป็นต้องจ่ายค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองมากยิ่งขึ้นเท่านั้น และด้วยเหตุ นี้เองจึงทำให้ มาตรการรัฐมีส่วนสำคัญในการช่วยให้เราเป็นเจ้าของ บ้านหรือคอนโดได้ง่ายมากขึ้น เพราะจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายใน 2 ส่วนนี้ลงไปได้มาก โดยมีรายละเอียดในการลดหย่อน ดังนี้ 1.ลดค่าโอนกรรมสิทธิ์ เหลือเพียง 0.01% โดยปกติแล้วในการซื้อบ้านหรือคอนโด เราจะต้องเสียค่า “โอนกรรมสิทธิ์” เป็นจำนวน 2% ของราคาประเมินหรือราคาขาย ซึ่งต้องชำระให้กับกรมที่ดิน แต่ด้วยมาตรการรัฐเพื่อที่อยู่อาศัยปี 2564  จึงทำให้เราชำระค่าโอนกรรมสิทธิ์เหลือเพียง 0.01% เท่านั้น ซึ่งถือว่าช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายลงไปได้มาก ทำให้เราเหลือเงินเพิ่มมากขึ้น สำหรับนำไปใช้จ่ายในการดำเนินชีวิต ​เพราะหากบ้านหรือคอนโดราคา หลังละ 3,00,000 บาท จากเดิมที่ต้องชำระค่าโอนกรรมสิทธิ์สูงถึง 60,000 บาท แต่ผลจากมาตรการรัฐจะทำให้เหลือต้องชำระเพียงแค่ 300 บาทเท่านั้น 2.ลดค่าจดจำนอง​เหลือเพียง 0.01% ค่าจดจำนอง คือ อีกหนึ่งค่าธรรมเนียมที่จำเป็นจะต้องชำระให้กับกรมที่ดิน ​ในการซื้อบ้านหรือคอนโดเช่นเดียวกับค่าโอนกรรมสิทธิ์ โดยมีการขอสินเชื่อหรือใช้บริการเงินกู้กับธนาคาร ซึ่งปกติจะคิดอยู่ที่ 1% ของวงเงินจำนอง หรือยอดเงินกู้ในกรณีที่ขอสินเชื่อกับธนาคารมาซื้อ  มาตรการรัฐเพื่อที่อยู่อาศัยปี 2564 จะทำให้เราจ่ายค่าจดจำนอง น้อยลงกว่าเดิม เหลือเพียง 0.01% โดยหากบ้านหรือคอนโดหลังละ 3,000,000 บาท จากที่ต้องชำระค่าจดจำนอง 30,000 บาท ก็จะเหลือชำระเพียงแค่ 300 บาทเท่านั้น   ทั้งนี้ ในการกระบวนการซื้อขายบ้านหรือคอนโด เราจะต้อง ชำระค่าโอนกรรมสิทธิ์ และค่าจดจำนอง พร้อมกันซึ่ง​พอรวมกันแล้ว จะทำให้กลายเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก อย่างในกรณีบ้านหรือคอนโดราคา 3,000,000 บาท ก็ต้องชำระค่าใช้จ่ายสูงถึง 90,000 บาทเลยทีเดียว แต่ผลจากมาตรการรัฐปี 2564 ทำให้เราเหลือชำระเพียงแค่ 600 บาท เท่านั้น หลักเกณฑ์และเงื่อนไข การใช้มาตรการรัฐ เพื่อที่อยู่อาศัยปี 64 มาตรการรัฐเพื่อที่อยู่อาศัยปี 2564 สามารถช่วยให้ความฝัน ของคนที่อยากมีบ้านหรือคอนโดเป็นของตัวเอง สำเร็จเป็นจริงได้ง่าย มากขึ้น เสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ น้อยลง แต่ทั้งนี้ การจะได้สิทธิ์และ เข้าเกณฑ์ตามเงื่อนไขที่ได้รับการลดหย่อนค่าโอนและค่าจดจำนองนั้น ก็มีรายละเอียดที่ต้องปฏิบัติให้ได้ตามเงื่อนไขเช่นกัน ดังต่อไปนี้ Check List ที่ต้องใส่ใจ ซื้อบ้าน-คอนโด แบบไหน ถึงใช้มาตรการรัฐได้ -ผู้ซื้อจะต้องเป็นบุคคลธรรมดาและเป็นคนไทยเท่านั้น -ต้องเป็นการซื้อบ้านหรือคอนโดที่เป็นที่อยู่อาศัยใหม่ บ้านหรือคอนโดมือสอง รวมถึงบ้านสร้างเอง จะไม่ได้รับสิทธิ์ลดหย่อนตามเงื่อนไข -ต้องเป็นการซื้อบ้านพร้อมที่ดิน หรือคอนโดจากโครงการที่ได้รับอนุญาตให้จัดสร้างถูกต้องตามกฎหมาย -ต้องเป็นบ้านหรือคอนโดที่มีมูลค่าไม่เกิน 3 ล้านบาทเท่านั้น -ต้องเป็นการโอนจากการซื้อ-ขายเท่านั้น และเป็นการโอนจากการซื้อ-ขายพร้อมจดจำนองในคราวเดียวกัน -ใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์–31ธันวาคม2564 หากเป็นการโอนและจดจำนองหลังจากนี้ อาจไม่ได้สิทธิ์ลดหย่อน ดังกล่าว ขึ้นอยู่กับการต่อระยะเวลาของ มาตรการในอนาคต ตารางแสดง การลดค่าใช้จ่าย จากการใช้มาตรการรัฐ ตามเงื่อนไขของการลดหย่อนค่าโอนและจดจำนอง ของมาตรการรัฐเพื่อที่อยู่อาศัยปี 2564 ที่กำหนดราคาบ้านและคอนโดไว้ ไม่เกิน 3,000,000 บาท เพื่อให้มองเห็นภาพของการแบ่งเบาภาระ ค่าใช้จ่ายได้ชัดเจนมากขึ้น สามารถพิจารณาจำนวนเงินที่ประหยัด ไปได้ดังนี้ สรุปเพื่อให้เห็นภาพง่ายขึ้น คือ ทุก ๆ 1 ล้านบาทของราคาบ้านหรือคอนโดที่เราซื้อ ​จะเสียค่าโอนและจดจำนองเพียงแค่ 200 บาทเท่านั้น จากเดิมที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงถึง ล้านละ 30,000 บาท เตรียมตัวอย่างไรดี ให้ปีนี้ มีบ้าน เป็นของตนเอง ได้สำเร็จ จากมาตรการรัฐ ปี 2564 นี้ ถือว่ามีส่วนช่วยให้การ ซื้อบ้านหรือคอนโดที่อยู่อาศัยแห่งแรกได้เป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้  เพื่อความมั่นคงและให้มีความเสี่ยงน้อยที่สุด ก็ควรต้องมีการเตรียมตัวและให้รอบครอบ โดยสิ่งที่จำเป็นต้องใส่ใจในการซื้อที่อยู่อาศัย โดยใช้มาตรการรัฐสำหรับปีนี้ ได้แก่ ​ 1.ตรวจสอบความต้องการ ที่อยู่อาศัยให้เป็นไปตาม เงื่อนไขมาตรการรัฐ เงื่อนไขสำคัญที่ต้องใส่ใจเป็นอันดับแรกสุดเลย คือ เราต้องถามตัวเองให้แน่ใจว่า เราต้องการบ้านหรือว่าคอนโดกันแน่ ซึ่งควรพิจารณาแบบวางแผนระยะยาว เช่น เลือกทำเลให้เหมาะกับสถานที่ทำงาน หรือ เลือกจากขนาดของครอบครัว โดยหากอยู่คนเดียว ก็อาจเลือกซื้อเป็นคอนโด  แต่หากวางแผนจะแต่งงาน หรือเป็นครอบครัวที่มีสมาชิกมากกว่า 3 คนขึ้นไป การเลือกซื้อบ้านก็จะตอบโจทย์มากกว่า ซึ่งเมื่อตั้งเป้าหมายได้แล้ว ลำดับต่อมาก็ต้องไม่ลืมว่า การจะได้สิทธิ์ลดหย่อนตามมาตรการรัฐนั้น จะต้องเป็นบ้านหรือคอนโดใหม่ ที่มี​มูลค่า ไม่เกิน 3 ล้านบาท 2.เลือกซื้อบ้านหรือคอนโด ที่พร้อมโอนและเข้าอยู่ได้ทันที สิทธิ์ลดหย่อนค่าโอนและค่าจดจำนองตามมาตรการรัฐ จะใช้ได้ถึงภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ดังนั้น ในการเลือกซื้อบ้าน หรือคอนโดเพื่ออยู่อาศัย จึงควรเลือกซื้อบ้านหรือคอนโดที่สร้างเสร็จแล้ว พร้อมโอนและเข้าอยู่ได้เลยทันทีภายในสิ้นปีนี้ หรือหากเป็น คอนโดหรือบ้านที่ยังสร้างไม่เสร็จ ก็จะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่า จะดำเนินการก่อสร้างและโอนได้ภายในปีนี้ เพราะหากยืดระยะเวลาการโอนออกไป ก็จะไม่ได้สิทธิ์ลดหย่อนตามมาตรการ และทำให้เราต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ​​ 3.ตรวจสอบสถานะการเงิน และเอกสารในการขอสินเชื่อ ให้พร้อม แม้จะได้สิทธิ์ลดหย่อนค่าโอนและค่าจดจำนองก็จริง แต่เราจะสามารถซื้อบ้านหรือคอนโดได้จริงหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่า สถานะการเงินของเราผ่านพิจารณาตามเงื่อนไขของธนาคารหรือไม่ด้วย​ ซึ่งหากต้องการยื่นขอสินเชื่อให้อนุมัติ เราควรมีภาระผ่อนหนี้รวมกัน ต่อเดือนไม่เกิน 40% เช่นถ้ามีรายได้เดือนละ 40,000 บาท ก็ควรมี หนี้ผ่อนบ้านและอื่น ๆ รวมกันไม่เกิน​ 16,000 บาท ถ้ามากกว่านั้น ธนาคารก็อาจไม่พิจารณาอนุมัติสินเชื่อให้ เพราะเมื่อต้องรับภาระ ผ่อนบ้านอาจไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายได้   นอกจากนั้นแล้ว เราก็ควรมีเงินเก็บสำรองเผื่อฉุกเฉินไว้ด้วยก้อนหนึ่ง เพราะต้องไม่ลืมว่าเราจะเป็นต้องมีเงินก้อนประมาณ 20-30% ของค่าบ้านเตรียมไว้ด้วยก้อนหนึ่ง เนื่องจากธนาคารอาจไม่อนุมัติสินเชื่อให้ 100% เต็ม ทั้งนี้ เอกสาร สำคัญในการอนุมัติขอสินเชื่อจากธนาคารที่ต้องเตรียมให้พร้อม เพื่อ ไม่ให้เป็นการเสียเวลา และอาจทำให้สูญเสียโอกาสในการใช้สิทธิ์ ตามมาตรการรัฐ ได้แก่ -หลักฐานเอกสารประจำตัว ได้แก่ สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนสมรส สำเนาเอกสารการเปลี่ยนชื่อ-สกุล (ถ้ามี) -หลักฐานเอกสารเกี่ยวกับการแสดงรายได้ ในกรณีของผู้มีรายได้ประจำสิ่งที่ต้องเตรียม ได้แก่ ใบรับรองเงินเดือน หรือหลักฐานการรับ/จ่ายเงินเดือนจากนายจ้าง สมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร กรณีผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระ ต้องเตรียมสำเนาทะเบียน การค้า หรือหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล และบัญชีเงินฝาก พร้อมหลักฐานแสดงการเดินบัญชีย้อนหลังอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่งนอกจากนี้แล้วหากมีเอกสารรายได้หรือทรัพย์สินอื่น ๆ อีก ก็จะยิ่ง ทำให้การรับพิจารณาอนุมัติสำเร็จได้ง่ายมากขึ้น -หลักฐานเกี่ยวกับหลักทรัพย์และการซื้อขาย ได้แก่​ สำเนาโฉนดที่ดิน สำเนาหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ห้องชุด แผนที่แสดงทำเลที่ตั้งของที่ดินหลักประกัน สำเนาสัญญา จะซื้อจะขายหรือสัญญามัดจำเป็น ถ้าเป็นกรณีการซื้อห้องชุด ต้องมีสำเนาหนังสือสำคัญการจดทะเบียนอาคารชุด รวมถึงรายละเอียดทรัพย์ส่วนบุคคล และทรัพย์ส่วนกลาง ​ -กรณีมีผู้กู้ร่วม จะต้องมีหลักฐานส่วนตัว และเอกสารหลักฐานแสดงรายได้ของผู้กู้ร่วมยื่นประกอบการพิจารณาคำร้องของสินเชื่อด้วย 4.ซื้อบ้านหรือคอนโดกับใคร ต้องแน่ใจว่าน่าเชื่อถือ การจะได้สิทธิ์ลดหย่อนค่าโอนและค่าจดจำนองจาก มาตรการรัฐปี 2564 นั้น จะต้องเป็นบ้านหรือคอนโดที่ขายโดยผู้ประกอบการที่ได้สิทธิ์ดำเนินการโครงการตามกฎหมายเท่านั้น ดังนั้น ​เราจึงจำเป็นจะต้องตรวจสอบความน่าเชื่อถือของโครงการบ้านหรือ คอนโดก่อนซื้อให้ดี ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้เราได้สิทธิ์ตามมาตรการรัฐ แล้ว ก็ยังทำให้เราได้บ้านหรือคอนโดที่มีคุณภาพคุ้มค่ากับราคาที่จ่าย ไปด้วย   แม้ปี 2564 นี้ สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงไม่หายไป แต่ท่ามกลางวิกฤตก็ยังมีโอกาสสำหรับคนไทยที่ฝันอยากมีบ้านหลังแรกเป็นของตัวเองอยู่จากมาตรการรัฐเพื่อที่อยู่อาศัย​  ซึ่งหากเราวางแผนเตรียมความพร้อม และเตรียมตัวเป็นอย่างดี ตามเงื่อนไขแล้วล่ะก็ จะสามารถซื้อบ้านหรือ คอนโดได้อย่างคุ้มค่าและลดค่าใช้จ่ายลงได้เป็นจำนวนมาก อันจะส่งผลให้เรามีเงินเหลือเก็บไว้ ใช้เพิ่มมากขึ้น มีบ้านเป็นของตัวเอง และดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมี ความสุขและราบรื่นแม้จะอยู่ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน   ที่มา-ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธอส.
พฤกษา เปิดโปรเจ็กต์ 2.6 หมื่นล้าน สร้างยอดขายโต 45%

พฤกษา เปิดโปรเจ็กต์ 2.6 หมื่นล้าน สร้างยอดขายโต 45%

พฤกษาเชื่อมั่นตลาดอสังหาฯ ยังเติบโต เดินหน้าสร้างธุรกิจปีแห่งคุณภาพ “A Year of Value” พร้อม 3 กลยุทธ์ ลุยธุรกิจ หวังเพิ่มรายได้และยอดขาย เตรียม​เปิด 29 โครงการใหม่ มูลค่า 26,630 ล้านบาท พร้อมเปิดให้บริการโรงพยาบาลวิมุต สร้างรายได้ปีแรก 400 ล้าน ปูทางสร้างสัดส่วนรายได้ประจำในอนาคต 10-20%   นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2564 ยังมีหลายปัจจัยที่ต้องติดตาม ทั้งด้านเศรษฐกิจ ภาคการส่งออกและท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยโควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการจัดหาวัคซีนให้ทั่วถึงที่จะเป็นตัวแปรสำคัญ แต่ยังเชื่อมั่นว่าภาพรวมตลาดในปีนี้จะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา 9 % ที่มีมูลค่าตลาดกว่า 268,811 ล้านบาท   ส่วนแผนธุรกิจของกลุ่มพฤกษาในปี 2564  ได้วางกลยุทธ์ให้เป็นปีแห่งคุณค่า หรือ “A Year of Value” ในการสร้างสินค้าที่มีคุณภาพตอบโจทย์ความต้องการของกลูกค้า ซึ่งไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัยแต่รวมถึงไลฟ์สไตล์ด้านอื่น ๆ โดยเฉพาะด้านสุขภาพจากแผนการเปิดให้บริการโรงพยาบาลวมุตในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้  โดยมี​ 3 กลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ ได้แก่ 1.การบริหารจัดการสินทรัพย์ 2.การสร้างคุณค่าในโครงการ และ 3.การผนวกธุรกิจด้านสุขภาพ เดินหน้าอัดโปร กระตุ้นยอดขาย สำหรับกลยุทธ์ด้านการบริหารจัดการสินทรัพย์  บริษัทยังคงใช้กลยุทธ์ด้านราคาและโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำตลาดและสร้างยอดขาย ซึ่งถือว่าในช่วงปีที่ผ่านมาและปีนี้ เป็นโอกาสของผู้ซื้อเพราะราคาที่อยู่อาศัยลดต่ำลงมาอย่างมาก จากความสำเร็จจากไตรมาสที่ผ่านมา ส่งผลให้ในต้นปีนี้ พฤกษายังคงใช้กลยุทธ์ทางด้านราคาและโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่อง  ปล่อยแคมเปญในไตรมาสแรก “มหกรรมแจกฟรี PRUKSA FREE FEST”  มอบสิทธิ อยู่ฟรี นานสูงสุดถึง 36 เดือน  หรือ ดอกเบี้ยฟรี 0% สูงสุด 36 เดือน หรือ ฟรี ค่าส่วนกลาง สูงสุดนานถึง 36 เดือน (เงื่อนไขตามที่แต่ละโครงการกำหนด) สำหรับลูกค้าที่จองและโอนที่อยู่อาศัยภายใน  31 มี.ค. นี้   โดยพฤกษาเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ให้ลูกค้าทั้งหมด ซึ่งมีโครงการทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมที่เข้าร่วมแคมเปญทั่วประเทศมากกว่า 1,000 ยูนิต มูลค่ารวมอยู่ที่ 3,377 ล้านบาท และเชื่อว่าแคมเปญนี้กระตุ้นการตัดสินใจ และช่วยบรรเทาความกังวลสำหรับคนที่อยากมีบ้านได้ดี  ประกอบกับมาตรการรัฐที่ขยายระยะเวลาลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% ซึ่งถือเป็นกำไรเพิ่มอีกขั้นสำหรับลูกค้า  อย่างไรก็ตามเห็นว่าหากภาครัฐมีการขยายเพดานไปยังบ้านราคา 3-5 ล้านบาทด้วย มาตรการดังกล่าวน่าจะช่วยกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ และช่วยเหลือคนไทยที่อยากมีบ้านได้มากขึ้นไปอีก ปั้น 29 โปรเจ็กต์สร้างยอดโต 45% ส่วนการสร้างคุณค่าในโครงการ ปีนี้บริษัทวางแผนเปิดตัว 29 โครงการใหม่ มูลค่า 26,630 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการทาวน์เฮ้าส์ 17 โครงการ มูลค่า 14,680 ล้านบาท โครงการบ้านเดี่ยว 8 โครงการ มูลค่า 7,560 ล้านบาท และเปิดคอนโดมิเนียม 4 โครงการมูลค่า 4,390 ล้านบาท  ทั้งนี้ การเปิดตัวโครงการใหม่บริษัทจะมุ่งเน้นตลาดระดับราคา 2-3 ล้านบาท เนื่องจากกลุ่มลูกค้าที่สามารถซื้อที่อยู่อาศัยในระดับราคาดังกล่าวได้ เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพจะมีฐานรายได้เฉลี่ย 30,000-50,000 บาทต่อเดือน และเป็นกลุ่มราคาที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย ซึ่งปีนี้จะมีการพัฒนาสินค้ากลุ่มราคา 2-3 ล้านบาทออกมาทำตลาดกว่า 33% นายปิยะ กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ 32,000 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 45% สามารถทำยอดขายได้ 21,968 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้ 32,000 ล้านบาท เติบโต 9% จากปีที่ผ่านมา ​รายได้ 29,244 ล้านบาท ด้านผลการดำเนินงานในปี 2563 บริษัทมีกำไรสุทธิ 2,771 ล้านบาท เปิดตัวโครงการทั้งสิ้น 13 โครงการ มูลค่า 15,756 ล้าน มียอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่าสูงถึง 21,940  ล้านบาท  โดยสามารถลดสินค้าคงค้างไปได้ถึง (Inventory) 41% จากปลายปี 2562 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาส 4 ที่ใช้กลยุทธ์ทางด้านราคาผนวกกับโครงการฮีโร่โปรเจค (Hero Projects) โดยทุ่มงบการตลาดไปยังโครงการที่มีศักยภาพสูง ทำให้รายได้ในไตรมาส 4 มีมูลค่า 9,584 ล้านบาท เติบโตจากไตรมาส 3 ถึง 51% พร้อมทั้งทำยอดขาย 5,807 ล้านบาท เติบโต 409% เมื่อเทียบกับยอดขายไตรมาสเดียวกันในปี  2562 เตรียมเปิดรพ.วิมุตสร้างรายได้ 400 ล. สำหรับกลยุทธ์การผนวกธุรกิจด้านสุขภาพ ในปีนี้ได้เตรียมเปิดให้บริการโรงพยาบาลวิมุต ซึ่งได้ลงทุนกว่า 4,900 ล้านบาท ตั้งแต่ช่วงปี 2560 เป็นโรงพยาบาลทั่วไป ระดับตะติยภูมิ ขนาด 236 เตียง เน้นการดูแลรักษาโรคด้านกระดูก หัวใจ และสมอง​ตั้งอยู่บนพื้นที่ 4 ไร่ ริมถนนพหลโยธิน ติดสี่แยกสะพานควาย ซึ่งนอกจากการเปิดให้บริการโรงพยาบาลวิมุตแล้ว บริษัทยังวางแผนสร้างเครือข่ายการให้บริการด้านสุขภาพ ในพื้นที่โครงการของบริษัทและตามแหล่งชุมชนต่าง ๆ  โดยจะเปิดศูนย์ดูแลสุขภาพ  ประกอบด้วยคลีนิค ศูนย์กายภาพ ศูนย์ดูแลและบริบาลผู้สูงอายุ รวมทั้งการให้บริการดูแลสุขภาพถึงบ้าน (Home Health Care)   ด้านนายแพทย์กฤตวิทย์ เลิศอุตสาหกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิมุต โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ​โรงพยาบาลวิมุต พหลโยธิน เป็นโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ (Tertiary Care) ที่สามารถรักษาโรครุนแรง และซับซ้อนได้ มีการออกแบบตามมาตรฐานสากล JCI มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รักษาได้ตรงจุดด้วยเทคโนโลยี และเครื่องมือที่ทันสมัย โดยมีค่าใช้จ่ายที่เข้าถึงได้  มีศูนย์เฉพาะทางที่โดดเด่นคือ ศูนย์กระดูก หัวใจ สมอง  ศูนย์เบาหวานครบวงจร และจัดตั้ง ศูนย์ผู้สูงอายุ (Geriatric center) เพื่อตอบโจทย์การเป็นสังคมผู้สูงอายุ รวมทั้งให้ความสำคัญกับกลุ่มโรค NCDs (โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง) ซึ่งมีสถิติการเจ็บป่วยสูงและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อย่างรวดเร็ว มีแพทย์ประจำครอบครัว (Family Medicine Doctor) ดูแลสมาชิกในครอบครัวแบบองค์รวม มี Transitional care ฟื้นฟูหลังการเจ็บป่วย เพื่อเตรียมผู้ป่วยก่อนกลับบ้าน รวมทั้งเปิด Nursing Home ในโรงพยาบาล เพื่อการเติบโตและก้าวหน้าของธุรกิจโรงพยาบาล ล่าสุดโรงพยาบาลวิมุตได้เข้าลงทุนในโรงพยาบาล  เทพธารินทร์ ถนนพระราม 4  ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงเชี่ยวชาญในด้านโรคเบาหวานและต่อมไร้ท่อมานานกว่า 36 ปี เพื่อรวมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และองค์ความรู้มา พัฒนาศูนย์เบาหวานครบวงจรให้มีความเป็นเลิศ รวมทั้งขยายผล การป้องกัน ดูแลรักษา สู่สังคมให้กว้างขวางยิ่งขึ้นต่อไป   ทั้งนี้ พฤกษาได้วางเป้าหมายจะสร้างโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการควบรวมกิจการกับโรงพยาบาลที่มีแนวทางการดำเนินงานในทิศทางเดียวกัน ในอนาคตวางเป้าหมายมีเครือข่ายโรงพยาบาบภายใน 8 ปี อีก 2-3 แห่ง เพื่อสร้างรายได้ให้กับกลุ่มพฤกษาสัดส่วน 10-20% แต่ระยะ 3-5 ปีคาดว่าจะทำรายได้ประมาณ 5% ของรายได้รวม ส่วนในปีแรกน่าจะทำรายได้ 400 ล้านบาท  
อนันดา ขน 26 โปรเจ็กต์ ผ่อนให้ 36 เดือน ดึง “น้าค่อม” กระตุ้นยอดขาย

อนันดา ขน 26 โปรเจ็กต์ ผ่อนให้ 36 เดือน ดึง “น้าค่อม” กระตุ้นยอดขาย

อนันดา ขน 26 โปรเจ็กต์ ผ่อนให้ 36 เดือน ดึง “น้าค่อม” กระตุ้นยอดขายไตรมาสแรก หวังสร้างยอดขาย 18,570 ล้าน เล็งเปิดตัว 5 โครงการ 24,422 ล้าน พร้อมปัดฝุ่นโปรเจ็กต์ทำเลสะพานควาย รอจังหวะเปิดตัวใหม่ ​   นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2564 ยังเป็นปีที่มีความท้าทาย และความไม่แน่นอน  จากผลกระทบของไวรัสโควิด-19  โดย​บริษัทได้มีการวางแผนเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับความเสี่ยง และความไม่แน่นอนต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น  พร้อมรองรับ ปรับเปลี่ยน ยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์ เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 1 ของปี 2564 เตรียมเปิดตัวแคมเปญพิเศษ #อนันดาทุบไม่ยั้ง” เป็น “อนันดา” x “น้าค่อม” ดาราตลกอารมณ์ดี คาแรกเตอร์โดดเด่น ขวัญใจมหาชน ทุกเพศ ทุกวัย มาสร้างสีสันให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ ให้กับแคมเปญ #อนันดาทุบไม่ยั้ง” ผ่อนให้ฟรี นานถึง 36 เดือน ในราคาที่ดีที่สุด ที่ไม่เคยมีมาก่อน กับ 26 โครงการ ทั้งคอนโดติดรถไฟฟ้า บ้าน และทาวน์โฮม พร้อมเข้าอยู่ทุกทำเล   สำหรับในปี 2564  บริษัทได้วางเป้าหมายการสร้างยอดขาย 18,570 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม 16,762 ล้านบาท และบ้านแนวราบ 1,808 ล้านบาท วางเป้าหมายยอดโอน 16,008 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโด 14,311 ล้านบาท และบ้านแนวราบ 1,697 ล้านบาท โดยในปี 2563 ที่ผ่านมา บริษัทมียอดขาย 17,495 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากโครงการคอนโด 15,074 ล้านบาท และบ้านแนวราบ 2,421 ล้านบาท มียอดโอน 18,340 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดโอนจากโครงการคอนโด 16,913 ล้านบาท และบ้านแนวราบ 1,427 ล้านบาท   ด้านนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ยอดขายของตลาดคอนโดทั้งหมดในปี 2563 ดูลดลงอย่างมากจากปีก่อนหน้า เนื่องมาจากการลดลงของการเปิดโครงการ และการขายโครงการใหม่ที่มีอัตราการลดลงถึง 63% แต่ทั้งนี้เมื่อมองดูตัวเลขภาพรวมการโอนกรรมสิทธิ์ของคอนโด พบว่าลดลงจากปีก่อนหน้าเพียง 10% เท่านั้น ดังนั้น จากข้อมูลนี้ แสดงให้เห็นว่า คอนโดพร้อมเข้าอยู่ยังคงเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และยังคงมีการโอนอยู่ เพราะยอดการโอนกรรมสิทธิ์ลดลงเพียงเล็กน้อยจากปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะผ่านสถานการณ์ Lock down ประเทศ และกำลังซื้อของชาวต่างชาติที่ลดลงก็ตาม สำหรับปี 2564 บริษัทเชื่อมั่นทิศทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะดีขึ้น แม้ว่าจะยังมีความไม่แน่นอนอยู่บ้างก็ตาม โดยได้วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 5 โครงการ  มูลค่ารวม 24,422 ล้านบาท บน 5 ทำเล ได้แก่ ทองหล่อ สุรวงศ์ สะพานควาย สุขุมวิท 38 และลำสาลี ที่มาพร้อมแนวคิดใหม่ ดีไซน์การออกแบบใหม่ เพื่อตอบโจทย์วิถีการใช้ชีวิตแบบใหม่ตามสถานการณ์ปัจจุบันและในอนาคต