Tag : News

2376 ผลลัพธ์
เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ ลุยอสังหาฯ ต่อเนื่อง  เปิดตัวคอนโดใหม่ เดอะเนสท์ สุขุมวิท 71 รองรับไลฟ์สไตล์คนเมือง

เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ ลุยอสังหาฯ ต่อเนื่อง เปิดตัวคอนโดใหม่ เดอะเนสท์ สุขุมวิท 71 รองรับไลฟ์สไตล์คนเมือง

บริษัท เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในเครือของกลุ่มบริษัท พี.เอ็ม. กรุ๊ป ประกาศเดินหน้าลุยพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและโรงแรมย่าน ECBD เพิ่ม ยึดแนวใกล้รถไฟฟ้าบีทีเอส และรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT รองรับไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าในเมือง นำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพ ออกแบบเรียบหรู ทันสมัย เพื่อคุณภาพการใช้ชีวิตที่ลงตัว ในราคาที่คุ้มค่า โดยไตรมาสที่ 3/2561 จะเปิดคอนโดมิเนียมใหม่ “เดอะเนสท์ สุขุมวิท 71” ตั้งเป้าสิ้นปี 2561 มียอดขายรวมทุกโครงการ 2,500 ล้านบาท ทั้งนี้ เตรียมงบลงทุนอีกไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านบาท รุกสร้างโรงแรมบูติก 2 แห่ง ภายในปี 2566 คุณอุษณา มหากิจศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า “สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปี 2561 บริษัท เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ฯ ยังคงมุ่งสู่เป้าหมายใหญ่ในการสร้างแบรนด์ “เดอะเนสท์” ให้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในด้านการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่ตอบสนองความต้องการและ life style ของคนเมือง อย่างแท้จริง ทั้งทำเลที่ตั้งโครงการ ดีไซน์ที่เรียบหรูทันสมัย เฟอร์นิเจอร์และวัสดุตกแต่งที่มีคุณภาพ แบบแปลนที่ลงตัวเหมาะสมกับการอยู่อาศัย ครบทั้งคุณภาพ ความสะดวกสบาย และภาพลักษณ์ที่มี ความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละโครงการ ในราคาที่ลูกค้าจับต้องได้ คุ้มค่าหากเปรียบเทียบกับ โครงการที่อยู่อาศัยในเกรดเดียวกันหรือในละแวกเดียวกัน” บริษัท เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ฯ ลงทุนต่อเนื่อง หลังจาก ประสบความสำเร็จอย่างสูงจากโครงการแรก “เดอะเนสท์ เพลินจิต” ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ สูง 8 ชั้น มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท ที่เปิดขายในปี 2556 จำนวน 64 ยูนิต ผลตอบรับดีมาก ปิดการขายได้ ตามเป้าหมาย โดยกลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มนักลงทุนและผู้มีรายได้ในระดับ Middle Management ที่ทำงาน ย่านชิดลม เพลินจิต อาจจะมีบ้านอยู่แล้วและต้องการคอนโดเพื่อเป็นบ้านหลังที่สอง มีความสะดวกใน การเดินทางหรือเพื่อ การลงทุนในอนาคตสำหรับการซื้อไว้ปล่อยเช่า โครงการที่สอง “เดอะเนสท์ สุขุมวิท 22” ซึ่งป็นโครงการโลว์ไรซ์ สูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร รวม 316 ยูนิต ออกแบบโดย PAA มีมูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท เปิดขายช่วงปลายปี 2558 สร้างเสร็จเมื่อปลายปี 2560 โดยกลุ่มเป้าหมายของโครงการ ได้แก่ กลุ่มนักลงทุนและผู้มีรายได้ในระดับ Middle Management หรือพนักงานบริษัท ที่มีรายได้ 40,000 บาทขึ้นไป อาจจะทำงานในย่านสุขุมวิท หรือกำลังมองหา ที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง มีไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิตในเมือง เน้นการเดินทางที่คล่องตัวเป็นหลัก หรืออาจจะเป็นกลุ่มนักลงทุนที่มองหาคอนโดไว้เพื่อปล่อยเช่า เนื่องจากย่านนี้เป็นย่านที่ต่างชาติ ให้ความสนใจ เช่าสูงเพราะอยู่ระหว่างรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีอโศกและพร้อมพงษ์ ปัจจุบัน เหลืออีก 10% เท่านั้น คาดว่าจะปิดการขายได้ภายในปี 2561   สำหรับโครงการที่กำลัง Hot ในขณะนี้ อยู่ในทำเล Eastern Center Business District (ECBD) ซึ่ง เป็นทำเล ยอดนิยมที่กำลังมาแรง คือ โครงการ “เดอะเนสท์ สุขุมวิท 64” เป็นโครงการ โลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น มี 3 อาคาร จำนวน 439 ยูนิต ออกแบบโดย Tandem ตกแต่งภายใน โดย Paradigm Shift และออกแบบ Landscape โดย Red Landscape ภายใต้แนวคิด “Finest Nature Reflection” ออกแบบเพื่อที่สุดของชีวิตที่ลงตัว ตั้งอยู่บนเนื้อที่เกือบ 4 ไร่ สามารถเข้าออกได้ทั้งจากซอยสุขุวิท 64 ซึ่งปากซอยเป็น BTS ปุณณวิถี และซอยสุขุมวิท 66/1 ที่ปากซอยเป็น BTS อุดมสุข เปิดให้จองเมื่อปลายปี 2560 คาดว่าจะสร้างแล้วเสร็จปลายปี 2562 มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท ปัจจุบัน “เดอะเนสท์ สุขุมวิท 64” มียอดจองแล้วกว่า 80% คาดว่าปิดการขายได้ก่อนสิ้นปีนี้ โดยกลุ่มเป้าหมายของโครงการ ได้แก่ กลุ่มนักลงทุน หรือกลุ่ม first jobber พนักงานบริษัทที่มีรายได้ 30,000 บาทขึ้นไป อาจจะทำงานย่านสุขุมวิท หรือออกไปทางบางนา และกำลัง มองหาที่อยู่อาศัย เป็นของตัวเองที่สามารถเดินทางสะดวกใช้ชีวิตได้ในเมืองเนื่องจาก อยู่ใกล้ รถไฟฟ้าเพียง 600 เมตร รวมถึงกลุ่มนักลงทุนที่กำลังมองหาคอนโดให้เพื่อปล่อยเช่า คุณอุษณา กล่าวว่า “ตลาดคอนโดมิเนียม ปี 2561 มีแนวโน้มเติบโตดีกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากภาครัฐมีการลงทุนโครงการสาธารณูปโภคต่อเนื่อง ผู้บริโภค มีความเชื่อมั่น และ เริ่มกลับมาสนใจซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับ ปัจจุบันชาวต่างชาติสนใจเข้ามา ซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จีน สิงคโปร์ และ ฮ่องกง ทำให้คอนโดมิเนียมในทำเลกรุงเทพชั้นในและเขตรอบกรุงเทพชั้นในที่ใกล้แนวรถไฟฟ้าเป็นทำเลที่มาแรง มีอุปทานใหม่เกิดขึ้นมาก เชื่อว่าการแข่งขันก็เข้มข้น ด้วยจำนวนโครงการใหม่ ที่จะทยอยเปิดตัว ด้านซัพพลายที่ตอบโจทย์ตลาดระดับ กลางบนขึ้นไปยังคงได้รับการตอบรับที่ดี โดยมีเงื่อนไข ของราคาเปรียบเทียบกับคุณภาพและ ความสะดวกในการเดินทางซึ่งเป็น 3 ปัจจัยหลักในการตัดสินใจ ซื้อหรือลงทุน สำหรับลูกค้าของเดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ ส่วนใหญ่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองในสัดส่วนที่มากกว่า 50% จากยอดขายปัจจุบัน และ อีก 50% ซื้อเพื่อปล่อยเช่าเป็นการลงทุนในระยะยาว โดยมีสัดส่วนลูกค้าคนไทยและต่างชาติ คิดเป็น 70 : 30 และลูกค้าต่างชาติส่วนใหญ่เป็น ชาวจีน และฮ่องกง เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่ยังมีอยู่บริษัท เดอะเนสท์ฯ มีแผนที่จะเปิดตัวโครงการ “เดอะเนสท์ สุขุมวิท 71” ตรงสถานีพระโขนง ราวเดือนสิงหาคมปีนี้ เป็นโครงการโลว์ไรส์ 8 ชั้นเช่นเดิม จำนวน 5 อาคาร มี 515 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท เรามั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับสิ่งทีดีที่สุด มีคุณภาพที่สุดอย่างแน่นอน” สำหรับเป้าหมายการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าปิดยอดขายรวมของทุกโครงการที่ 2,500 ล้านบาท โดยปัจจุบันสามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า 1,500 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ กำลังวางแผน ที่จะรุกธุรกิจโรงแรมบูติค 2 แห่ง รวมกันประมาณ 450 ห้อง ด้วยเงินลงทุน 2,000 ล้านบาท เล็งทำเลย่านเพลินจิต และย่านนานาไว้ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างราวปี 2563 – 2566
บ้านกลางเมือง The Edition เชื่อมต่อไลฟ์สไตล์เมือง พระราม 9-พัฒนาการ เพียง 10 นาที*

บ้านกลางเมือง The Edition เชื่อมต่อไลฟ์สไตล์เมือง พระราม 9-พัฒนาการ เพียง 10 นาที*

เมื่อเราพูดถึงบ้านสักหลัง สิ่งแรกที่ทุกคนจะต้องคำนึงถึงนั่นคือเรื่องของทำเลที่สามารถเดินทางได้สะดวก ใช้ทางด่วนเพื่อเข้าใจกลางเมืองได้ง่าย ขณะเดียวกันยังคงได้พื้นที่กว้างๆ ท่ามกลางความเงียบสงบ ร่มรื่นด้วยธรรมชาติรอบตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ใครๆ ต่างก็ใฝ่หาในช่วงเวลาส่วนตัว หากมีองค์ประกอบเหล่านี้รวมกันก็จะทำให้บ้านของเรานั้นสมบูรณ์แบบ และกลายเป็นสังคมคุณภาพในบ้านของเราเอง     ตั้งแต่มีการเดินหน้าเรื่อง EEC (Eastern Economic Corridor) กันอย่างจริงจังก็ดูเหมือนกับว่า อสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ โซนตะวันออกจะกลับมาคึกคักกันไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ทาวน์โฮม หรือคอนโดมิเนียมก็ตาม เพราะเป็นจุดที่เดินทางเชื่อมต่อเข้าเมืองได้ง่ายที่สุด และยังเดินทางไปภาคตะวันออกได้ใกล้ที่สุดแค่ชั่วโมงเดียวก็ถึงชลบุรีแล้ว เผลอๆ ใช้เวลาน้อยกว่าขับรถในกรุงเทพฯ เสียอีกใช่ไหมคะ ซึ่งถนนสายสำคัญที่สุดคงจะหนีไม่พ้นถนนกรุงเทพ–ชลบุรีสายใหม่ หรือที่เรียกกันติดปากกันว่ามอเตอร์เวย์ ซึ่งเริ่มต้นถนนจากการเชื่อมต่อจากทางพิเศษศรีรัช ช่วงถนนพระราม 9 ตัดกับถนนศรีนครินทร์ แล้วตรงยาวผ่านสนามบินสุวรรณภูมิ ข้ามแม่น้ำบางปะกง แล้วเข้าสู่จ.ชลบุรี ไปจนสุดที่พัทยา รวมแล้วมีระยะทางประมาณ 125 กิโลเมตร โดยใครที่เคยขับรถบนถนนเส้นนี้ก็จะทราบกันดีค่ะว่าเป็นถนนที่ขับสบาย เพราะถนนกว้างถึง 8 เลน ไม่ว่าจะเข้าเมืองไปยังย่านพระราม 9 หรือจะออกนอกเมืองไปสนามบินสุวรรณภูมิ-ภาคตะวันออกก็สะดวกมากทีเดียวค่ะ และเชื่อว่าถนนสายนี้จะกลายเป็นหัวใจหลักทั้งในแง่ของการท่องเที่ยว และทางเศรษฐกิจอันกำลังรุดหน้าขึ้นเรื่อยๆ                      เหตุผลในความน่าสนใจไม่ได้มีเฉพาะตัวถนนกรุงเทพ–ชลบุรีสายใหม่ เท่านั้นนะคะ แต่ถนนพระราม 9 จากแยกพระราม 9 ไปจนเชื่อมต่อกับมอเตอร์เวย์ก็เป็นที่จับตามองในความเป็น New CBD มาตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา เพราะความเพียบพร้อมรอบด้านไม่ว่าจะเป็นอาคารออฟฟิศเกรด A ศูนย์การค้าหลายแห่ง ตลาดนัดรถไฟขนาดใหญ่ สถานบันเทิง โรงพยาบาลชั้นนำ และความสะดวกในการเดินทางทั้งทางด่วนและระบบขนส่งสาธาณะ ส่งผลให้มีความเติบโตของเมืองอย่างก้าวกระโดด ซึ่งจะได้มอเตอร์เวย์ในการเชื่อมต่อความเติบโตนี้ส่งไปถึงโซน EEC ต่อไปได้ไม่ยาก      นอกจากผู้ที่ใช้รถใช้ถนนแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญของการเดินทางในกรุงเทพฯ ที่จะขาดไปเสียไม่ได้นั่นคือรถไฟฟ้า เพราะความรวดเร็วจะช่วยประหยัดเวลาได้ไม่น้อย ซึ่งยังมีอีกหลายโปรเจค หลายเส้นทางที่กำลังเร่งดำเนินการให้ครอบคลุมเส้นทางในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อบรรเทาความแออัดของการจราจรลง ซึ่งหากพูดถึงรถไฟฟ้าสายหลักของย่านนี้ก็คือ Airport Rail Link ที่เริ่มต้นสายเป็น Interchange กับ BTS สายสีเขียว สถานีพญาไท ไปสิ้นสุดสายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งสายนี้จะยิ่งทวีความสำคัญเมื่อมีการขยายเส้นทางนี้ขึ้น เป็นโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อ 3 สนามบิน จากสนามบินดอนเมือง-สนามบินสุวรรณภูมิ-สนามบินอู่ตะเภา รวมระยะทาง 220 กิโลเมตร โดยจะวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 220 กม./ชม. ถือเป็น Mega Project ที่ไม่ไกลเกินรอคอย ซึ่งเมื่อเปิดให้บริการเมื่อไรก็จะใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ-สนามบินอู่ตะเภา ประมาณ 45 นาทีเท่านั้น นอกจากนี้เราจะไม่พูดถึงบริเวณสี่แยกพัฒนาไม่ได้ค่ะ เพราะในอนาคตจะเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการเดินทางออกไปได้หลากหลายเส้นทาง อาทิ Airport Rail Link กับรถไฟ สถานีหัวหมาก ที่เปิดให้บริการอยู่ทุกวันนี้แล้ว ในอนาคตกำลังจะเกิดรถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง ที่กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ทุกวันนี้ คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2563 และยังมีรถไฟชานเมืองสายตะวันออก-ตะวันตก(สายสีแดงอ่อน) ขณะนี้กำลังก่อสร้างช่วงระยะบางซื่อ-หัวหมาก แต่หากเสร็จสมบูรณ์ทั้งสายแล้วก็จะวิ่งตั้งแต่ จ.นครปฐม ช่วงศาลายา-ตลิ่งชัน-สะพานพระราม 6-บางซื่อ-พญาไท-หัวหมาก ซึ่งทั้งหมดนี้จะมีจุดตัดกันอยู่ที่สี่แยกพัฒนาการแห่งนี้                  บ้านกลางเมือง The edition พระราม9-พัฒนาการ โครงการใหม่จาก AP ที่สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการได้รอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทำเลที่สามารถเข้าไปในย่าน New CBD อย่างพระราม 9 หรือจะเข้าสู่สนามบินสุวรรณภูมิก็ใช้เวลาเพียง 10 นาที และยังห่างจาก Airport Rail Link สถานีบ้านทับช้าง ประมาณ 2.5 กิโลเมตร ด้วยทำเลที่ตั้งของโครงการบนถนนคู่ขนานมอเตอร์เวย์ เดินทางสะดวกสบายทั้งเข้าเมืองด้วยทางพิเศษศรีรัช เพียง 10 นาทีก็ถึงแยกพัฒนาการ-พระราม9 และออกนอกเมืองโดยใช้มอเตอร์เวย์ได้สะดวก โดยสามารถเข้า-ออกโครงการได้ 2 เส้นทาง คือ   -จากทางพิเศษศรีรัช เชื่อมต่อมอเตอร์เวย์ขาออก ออกทางคู่ขนานแล้วกลับรถบนสะพานเกือกม้า เมื่อลงสะพานกลับรถอีกครั้ง ตรงไปตามทางจนลอดใต้ถนนกาญจนาภิเษก ก็จะพบกับทางเข้าโครงการอยู่ทางขวามือ   -จากแยกพัฒนาการ มาตามฝั่งขาออก เลี้ยวซ้ายลงถนนอ่อนนุชจนถึงแยกประเวศแล้วเลี้ยวซ้าย ผ่าน สน.ประเวศ เลี้ยวขวาผ่านหน้า dcondo แล้วไปตามทางลอดใต้ถนนกาญจนาภิเษก ก็จะพบกับทางเข้าโครงการอยู่ทางขวามือ       โครงการนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 18 ไร่ โดยมีให้เลือกทั้งบ้านแฝด แบบบ้าน NEW X-TREND 3 ชั้น 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ ที่จอดรถ  3 คัน หน้ากว้าง 11.00 เมตร และทาวน์โฮม แบบบ้าน TERRARIA 3 ชั้น 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 2 คัน หน้ากว้าง 5.00 เมตร รวมทั้งหมด 118 ยูนิต ซึ่งทั้งตัวบ้านและสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางของโครงการ ที่แม้จะสร้างความหรูหราเพื่อคุณภาพชีวิตของลูกบ้านในโครงการ แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะใส่ธรรมชาติลงไปรอบโครงการ ไม่ว่าจะต้นไม้ใหญ่อันร่มรื่น หรือสนามหญ้าสีเขียวเพิ่มความสดชื่น สอดรับกับเส้นสายในส่วนของ Facility ที่ถูกดีไซน์เสมือนเป็นตัวแทนของสายลมพัดผ่านโครงการอยู่ตลอดเวลา   บ้านแฝด NEW X-TREND 3 ชั้น 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ ที่จอดรถ  3 คัน หน้ากว้าง 11.00 เมตร   Facility ท่ามกลางธรรมชาติภายในโครงการ   สิ่งอำนวยความสะดวกจะมีทั้ง อาคารสโมสรพร้อม Fitness, สระว่ายน้ำระบบเกลือ, สวนสาธารณะ, PLAYGROUND และ PET PARK พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยแน่นหนา อย่างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง, ระบบ Access Card สำหรับเข้า-ออกโครงการ, ระบบ CCTV ทางเข้า-ออกโครงการ และกระจายตามจุดสำคัญรอบโครงการ เป็นต้น    ความกว้างขวาง หรูหราเหนือระดับ เป็นส่วนตัว ใน PENTHOUSE MASTER BEDROOM   Living Room สถานที่พักผ่อนอย่างใกล้ชิดธรรมชาติสำหรับทุกคนในครอบครัว     เปิดจองครั้งแรกรอบ VVIP BOOKING วันที่ 21-22 ก.ค. 61 ในราคาเริ่มต้น 7.69 ล้านบาท ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ VVIP Privilege 100,000 บาท* >>> https://goo.gl/XA5NzA                      
‘เมกาโฮม’ ปูทางเติบโตแบบยั่งยืน  บุกตลาดครึ่งปีหลัง ขยายฐานลูกค้าสมาชิกกลุ่มช่างและเจ้าของบ้านคนรุ่นใหม่

‘เมกาโฮม’ ปูทางเติบโตแบบยั่งยืน บุกตลาดครึ่งปีหลัง ขยายฐานลูกค้าสมาชิกกลุ่มช่างและเจ้าของบ้านคนรุ่นใหม่

เมกาโฮม ศูนย์จำหน่ายวัสดุก่อสร้างและของใช้ในบ้าน ค้าส่ง ค้าปลีก เดินหน้าขยายฐานลูกค้าสมาชิกกลุ่มช่าง – ผู้รับเหมา เจ้าของโครงการ เต็มสปีด พร้อมทั้งผลักดันให้บรรลุเป้าหมายปลายปี พร้อมกับรีโนเวทสาขา นำเสนอสินค้าใหม่ ปรับดิสเพลย์ และติดแอร์ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าสมาชิกที่เป็นคนรุ่นใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ   นางสาวสุรางคนา ฉายประสาท ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่าย Customer Experience บริษัท เมกาโฮม เซ็นเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 นี้ เมกาโฮม ยังคงมุ่งปรับปรุงสาขา สร้างความแข็งแกร่ง ให้กับสาขาที่มีอยู่เดิม 12 สาขา ให้ทันสมัย สร้างประสบการณ์ที่ดีในการซื้อสินค้า โดยไฮไลต์หลักคือปรับสินค้ากลุ่มช่างให้มีความครบครันมากขึ้น ตั้งแต่ฐานรากถึงหลังคา และปรับสินค้ากลุ่มเฟอร์นิเจอร์ ของใช้ในบ้านให้ทันสมัย รวมทั้งได้ทยอยติดตั้งระบบปรับอากาศเพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย โดยเริ่มติดตั้งไปแล้วที่สาขารังสิต มีนบุรี และบ่อวิน ซึ่งได้รับการตอบรับจากลุกค้าสมาชิกเป็นอย่างดี   “การรีโนเวทปรับปรุงสาขาในครั้งนี้ เราเน้นไปที่การบริหารจัดการพื้นที่ภายในสาขา ให้ความสำคัญกับสินค้าเพื่อช่างและคนทำบ้าน โดยจัดดิสเพลย์กลุ่มเครื่องมือช่าง ฮาร์ดแวร์ สี อุปกรณ์ไฟฟ้า และประปา ให้ช่างหรือผู้รับเหมา สามารถเลือกและทดลองสินค้าได้สะดวกมากขึ้น ได้เห็นตัวอย่างการนำไปใช้งาน รวมถึงมีสินค้าใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ทำงานได้อย่างรวดเร็ว ประหยัดเวลา นอกจากนี้เมกาโฮมยังได้ร่วมกับผู้ผลิตเครื่องมือ วัสดุและอุปกรณ์เพื่อช่างและก่อสร้าง แบรนด์ชั้นนำ หมุนเวียนกันจัดโปรโมชั่น โดยที่ผ่านมาได้ทำ Paint Pro สินค้ากลุ่มสีและอุปกรณ์ ลดสูงสุดถึง 70% , Tools Pro และ ก่อสร้างตลาดแตก ควบคู่กับการสื่อสารการตลาดที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้า ซึ่งโปรโมชั่นดังกล่าวประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เพิ่มความถี่ในการเข้ามาซื้อสินค้าและเพิ่มยอดการซื้อต่อบิลที่สูงขึ้น ขณะที่เป้าหมายอีกส่วนหนึ่งจะอยู่ที่การดึงกลุ่มลูกค้าที่หายไปให้กลับเข้ามาซื้อสินค้าในเมกาโฮม”   การรีโนเวทในครั้งนี้ ยังเป็นการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่เป็นเจ้าของบ้าน ที่ต้องการสินค้าที่มีนวัตกรรม และตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ โดยเมื่อปีที่ผ่านมาเมกาโฮม ได้นำเสนอ บ้าน+ร้านโครงเหล็ก แบบสำเร็จรูป ภายใต้ชื่อ The Cube มาโชว์และขายในงาน ธอส expo และ Homepro Expo ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า   ที่ซื้อไปทำเป็นร้านค้า และรีสอร์ต รวมทั้งต่อขยายเป็นห้องเด็ก ห้องนั่งเล่น โดยจุดเด่นของ The Cube คือ โครงเหล็กที่แข็งแรง ทนทาน รับประกันโครงสร้างนานถึง 10ปี ซึ่งสร้างความั่นใจให้ผู้ซื้อเป็นอย่างมาก ร้านสร้างด่วนนี้รูปทรงทันสมัยและใช้เวลาติดตั้งเพียง3 วัน ทำให้ประหยัดเวลา และประหยัดต้นทุนในการก่อสร้างได้เป็นอย่างดี   ส่วนในด้านกลยุทธ์การทำตลาดนั้น จะมีการ Synergy กับบริษัทแม่คือโฮมโปรมากขึ้น โดยจะมีการนำ Best Practice ที่โฮมโปรประสบความสำเร็จในการทำตลาดมาปรับใช้ อาทิ การทำลอยัลตี้ โปรแกรม และ Customer insight มุ่งเน้นไปที่การช่วยพัฒนาทักษะในการทำงาน และเสริมองค์ความรู้ในเรื่องของการทำงาน ให้ทั้งผู้รับเหมา และช่าง เพื่อให้สามารถเติบโตไปด้วยกันกับเมกาโฮมอย่างยั่งยืนในระยะยาว รวมถึงการทำโปรโมชั่นสมาชิกช่างลดทันทีสูงสุด 5% กลยุทธ์ในการทำตลาด บริษัทยังคงมุ่งเน้นเจาะลูกค้า 3 กลุ่มหลัก คือ 1.เจ้าของโครงการ 2.ช่างผู้รับเหมา และร้านค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง 3.เจ้าของบ้านที่กำลังก่อสร้างหรือต่อเติม   “เมกาโฮมมีฐานสมาชิกอยู่ประมาณ 7 แสนราย เป็นสมาชิกช่าง ผู้รับเหมา เจ้าของโครงการ และร้านค้าปลีกวัสดุก่อสร้างประมาณกว่า 30% ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มลูกค้าที่เป็นช่างหรือผู้รับเหมาที่มีงานทุกวัน มีความถี่ในการมาซื้อสินค้าสูงมาก ภาพรวมของการเติบโตนั้น กลุ่มลูกค้าที่เป็นช่างจะเติบโตสูงขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณ 40% ความท้าทายในการทำตลาดในช่วงครึ่งหลังของปีนี้อยู่ที่จะทำอย่างไรให้เรายังคงเพิ่มฐานลูกค้าสมาชิกได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ตลาดมีการแข่งขันรุนแรง และทำอย่างไร เมกาโฮมจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับลูกค้าสมาชิกได้อย่างยั่งยืน” สุรางคนา กล่าวและเสริมว่า   “กลยุทธ์ในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มช่างค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น การช่วยพัฒนาเพื่อยกระดับฝีมือพวกเขาให้ดีขึ้น โดยจะร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐ อาทิ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน และพันธมิตรทางการค้าของเมกาโฮม ในการออกแบบหลักสูตรเพื่อช่วยเพิ่มทักษะการทำงานของช่าง การจัดอีเว้นต์อย่าง ตลาดนัดช่าง เพื่อแสดงสินค้านวัตกรรม รวมถึงเชิญชวนให้ช่างเข้าร่วมเป็นสมาชิกครอบครัวช่างของโฮมโปรและเมกาโฮม เพื่อให้บริการกับเจ้าของบ้านที่ต้องการบริการติดตั้ง ซ่อมแซม หรือต่อเติมบ้าน เพื่อให้ช่างที่เป็นลูกค้าสมาชิกของเรามีงานอย่างต่อเนื่อง โดยเรามีเป้าหมายที่อยากจะเพิ่มสัดส่วนของสมาชิกกลุ่มช่างเพิ่มเป็น 50% ภายใน 2- 3 ปีนับจากนี้ไป” ผู้บริหารของเมกาโฮม กล่าวสรุปทิ้งท้าย      
เปิดตัว “เดอะรีเซิร์ฟ สาทร” ซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่คอนโดใหม่ โครงการแรกจากพฤกษา  ใจกลางย่านสาทร Real CBD ของกรุงเทพฯ  ตอกย้ำความสำเร็จสู่ตลาดพรีเมียม

เปิดตัว “เดอะรีเซิร์ฟ สาทร” ซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่คอนโดใหม่ โครงการแรกจากพฤกษา ใจกลางย่านสาทร Real CBD ของกรุงเทพฯ ตอกย้ำความสำเร็จสู่ตลาดพรีเมียม

พฤกษา ผู้นำอันดับหนึ่งในวงการอสังหาฯ ตอกย้ำความสำเร็จสู่ตลาดพรีเมียม เปิดตัว “เดอะรีเซิร์ฟ สาทร” ซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่คอนโดโครงการแรกของบริษัทฯ บนซอยสวนพลู ทำเลทองในย่านสาทร ชูผลงานระดับมาสเตอร์พีซด้วยคอนเซ็ปต์การออกแบบสไตล์ Modern European Thai Colonial สะท้อนบรรยากาศการอยู่อาศัยรูปแบบใหม่ โดดเด่นด้วยการออกแบบห้องพิเศษดีไซน์ตามแบบโคโลเนียลสุดลิมิเต็ด “Crystal Balcony” ห้องหัวมุมเรือนกระจกโค้ง 180 องศา พร้อมใส่ใจคัดเลือกวัสดุเป็น All-European-Luxury-Brand ที่มีเอกลักษณ์และคุณภาพการผลิตในระดับสากล ราคาเริ่มต้น 13 – 42 ล้านบาท นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท-พรีเมียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ปัจจุบันที่ดินทำเลในย่านสาทรหายากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ซัพพลายของคอนโดในย่านนี้จึงมีไม่มากนัก แต่ในขณะเดียวกันดีมานด์ของการอยู่อาศัยในทำเลนี้ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ด้วยทำเลสาทรตั้งอยู่ในย่านธุรกิจที่แท้จริงแห่งเดียวของกรุงเทพฯ (Real CBD) ที่แวดล้อมไปด้วยแหล่งงาน สถานศึกษา โรงพยาบาลชั้นนำ และห้างสรรพสินค้า อีกทั้งบรรยากาศการอยู่อาศัยในทำเลย่านสาทรยังคงมีความผสมผสานระหว่างความเก่าแก่ดั้งเดิมและความทันสมัยไว้ได้อย่างลงตัว ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลให้ที่ดินในย่านสาทรมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นในทุกปี จึงมีความน่าสนใจอย่างมากสำหรับคนที่มองหาคอนโดเพื่อการอยู่อาศัย เพื่อการลงทุน หรือเพื่อเก็บไว้เป็นทรัพย์สินให้ลูกหลานในอนาคต บริษัทฯ จึงมีแผนเปิดตัว “เดอะรีเซิร์ฟ สาทร” โครงการระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่โครงการแรกของพฤกษา ตั้งอยู่บนสาทร ซอย 3 (สวนพลู) ซึ่งถือเป็นทำเลทองแห่งใหม่ในย่านสาทร ชูคอนเซ็ปต์ “Living at Your Own Pace in Sathorn’s New Luxury Residence” ที่จะมาสร้างสรรค์โครงการนี้ให้เป็นที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ในย่านสาทร นางอรนุช อิติโกศิน กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจพรีเมียมแนวสูง บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เดอะรีเซิร์ฟ สาทร เป็นซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่คอนโดโครงการแรกของพฤกษา และเป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีซของบริษัทฯ ในปีนี้ ที่จะมาเปิดประสบการณ์ชีวิตรูปแบบใหม่ในย่านสาทร ที่สะท้อนให้เห็นถึงบรรยากาศของอาคารพักอาศัยแบบคหบดีไทยในอดีต แต่ยังคงสถาปัตยกรรมความงดงามไว้ในสองกาลเวลาที่ทับซ้อนกันอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งความคลาสสิคและความโมเดิร์น โดยออกแบบอย่างเข้าใจชีวิตคนเมืองโดยผสานสองความแตกต่าง “ชีวิตที่เร่งรีบ” และ “ชีวิตที่ช้าลง” ให้อยู่รวมกันได้เป็นหนึ่งภายใต้โครงการนี้ ด้วยคอนเซ็ปต์การออกแบบสไตล์ Modern European Thai Colonial ใส่ใจความเป็นส่วนตัวของผู้พักอาศัยด้วยจำนวนยูนิตเพียง 134 ยูนิต แต่ละชั้นจะมีเพียง 4 – 8 ห้อง พร้อมวางแผนผังห้องหัน ระเบียงด้านเดียว Single Loaded Corridor เพิ่มความเป็นส่วนตัวในการใช้ชีวิตอีกระดับ โดดเด่นด้วยการออกแบบห้องพิเศษ “Limited Crystal Unit” ห้องหัวมุมที่นำรูปแบบเรือนกระจกโค้ง 180 องศายุคโคโลเนียลมาพัฒนาเป็น “Crystal Balcony” ช่วยเปิดมุมมองที่กว้างอย่างมีสไตล์ ใส่ใจพิถีพิถันด้วยวัสดุที่นำมาใช้เป็น All-European-Luxury-Brand ที่มีการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์และมีคุณภาพการผลิตเป็นที่ยอมรับในระดับสากล นอกจากนี้ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการที่ช่วยให้รู้สึกได้ผ่อนคลาย มีความเป็นส่วนตัว และไม่ต้องเร่งรีบตลอดเวลา อาทิ · Center Court Lobby – โถงต้อนรับที่ออกแบบให้โอบล้อมคอร์ทน้ำ ใจกลางโครงการ ให้เสียงและการเคลื่อนไหวของน้ำปรับบรรยากาศของทุกโสตประสาทให้ผ่อนคลายยิ่งขึ้น · Private Spa & Salon – ห้องบริการสปาและซาลอนส่วนตัว ที่สามารถนัดหมายช่างส่วนตัวมาดูแลได้ถึงที่บ้าน · Exclusive Fitness & Yoga Studio by Techno Gym · Crystal Lounge – ห้องรับรองในรูปแบบเรือนกระจกวิวเมืองที่ชั้นบนของโครงการ · Thermal Sky Pool – สระว่ายน้ำระบบปรับอุณหภูมิที่ชั้นบนสุดของโครงการ พร้อม Jacuzzi ที่แยกเป็นมุมส่วนตัวอย่างเป็นสัดส่วน · Concierge by The Reserve   “โครงการ เดอะรีเซิร์ฟ สาทร เป็นคอนโด High Rise สูง 30 ชั้น ตั้งอยู่บนซอยสวนพลู ซึ่งเป็นย่านไลฟ์สไตล์ที่เหมาะกับการอยู่อาศัยและใช้ชีวิตได้อย่างเป็นส่วนตัวที่สุด ท่ามกลางสิ่งอำนวยความสะดวกรอบโครงการที่รายล้อมไปด้วยไลฟ์สไตล์ชั้นนำทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เกต ห้างสรรพสินค้าทั้งแบรนด์ไทยและต่างชาติ รวมถึงโรงพยาบาลและสถานศึกษาชั้นนำมากมาย อีกทั้งยังสามารถเดินทางไปสู่ทุกเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วด้วยรูปแบบการเดินทางที่หลากหลาย อาทิ เดินทางด้วย BTS สถานีช่องนนทรี หรือ ศาลาแดง และ MRT สถานีสวนลุมพินี หรือหากเป็นรถยนต์ก็สามารถใช้ทางลัดสู่ซอยเย็นอากาศ พระรามสี่ และนางลิ้นจี่ เพื่อขึ้นทางด่วนศรีรัชได้โดยตรงไม่ต้องฝ่ารถติด โครงการมีแบบห้องให้เลือกถึง 5 แบบ ตั้งแต่แบบ 1 Bedroom - 2 Bedroom Duplex พื้นที่ 49 - 126 ตร.ม. ราคา 13 – 42 ล้านบาท (เฉลี่ย 280,000 บาทต่อตร.ม.) พร้อมเปิด Open House 4 - 5 ส.ค. นี้ สำหรับลูกค้าที่จองในงานรับสิทธิพิเศษสูงสุด 700,000 บาท สอบถามเพิ่มเติมโทร.1739 หรือ thereserve.pruksa.com
‘เอพี ไทยแลนด์’ เปิดตัว 2 คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ ภายใต้แบรนด์ LIFEยกระดับอสังหาฯ ศูนย์กลางธุรกิจใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ  ย่านลาดพร้าว และ อโศก – พระราม 9

‘เอพี ไทยแลนด์’ เปิดตัว 2 คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ ภายใต้แบรนด์ LIFEยกระดับอสังหาฯ ศูนย์กลางธุรกิจใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ ย่านลาดพร้าว และ อโศก – พระราม 9

เอพี (ไทยแลนด์) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยสำหรับคนเมือง เดินหน้าเจาะดีมานด์คนเมืองรุ่นใหม่กลุ่ม ‘Young Achiever’ ที่มองหาคอนโดมิเนียมใหม่ในทำเลชั้นนำใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ “เปิดตัว 2 คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ใหม่ล่าสุดภายใต้แบรนด์ LIFE - ‘Life Ladprao Valley (ไลฟ์ ลาดพร้าว แวลลีย์)’ และ ‘Life Asoke Hype (ไลฟ์ อโศก ไฮป์) ที่จะมาตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่พร้อมสนับสนุนสู่ความสำเร็จของคนรุ่นใหม่” พร้อมต่อยอดโอกาสการลงทุนที่คุ้มค่าในอนาคต ทั้งซื้อเพื่ออยู่อาศัยหรือปล่อยเช่าระยะยาว ด้วยผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าประมาณ 5 - 6% พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลางแบบจัดเต็มที่รองรับชีวิตดิจิตอลกับนวัตกรรมล้ำสมัย ยกระดับคุณภาพอสังหาริมทรัพย์ บนทำเลแห่งศักยภาพย่านลาดพร้าว และ อโศก - พระราม 9 ประเดิมครึ่งปีหลังด้วย Life Ladprao Valley ซึ่งจะเปิดขายรอบแรกผ่านระบบ AP i-Booking ในวันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคมนี้ เวลา 19.00 - 21.00 น. และมีกำหนดเปิดพรีเซลอย่างเป็นทางการพร้อมกันทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศในวันที่ 4 - 5 สิงหาคม 2561 ราคาเริ่มต้น 3.49 ล้านบาท นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กร และการสร้างสรรค์ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า “บริษัทดำเนินการภายใต้เป้าหมายหลัก คือมุ่งเป็นผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยสำหรับคนเมือง โดยมีพันธกิจสำคัญในการส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีในการอยู่อาศัย ผ่านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่หลากหลาย ทั้งคอนโดมิเนียม ทาวน์โฮม และบ้านเดี่ยว ทั้งนี้ ในปี 2560 ที่ผ่านมา เราประสบความสำเร็จอย่างมากในการเปิดตัวคอนโดมิเนียมติดแนวรถไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็น Life ลาดพร้าว Life วิทยุ Life อโศก-พระราม 9 และล่าสุดในไตรมาส 1/2018 Life สุขุมวิท 62 โดยที่ทั้ง 4 โครงการได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากทั้งลูกค้าไทยและต่างชาติ โดยสามารถปิดการขายได้ถึงประมาณ 90%” “ความสำเร็จนี้มาจากการเลือกเฟ้นทำเลที่ดีเยี่ยม ใจกลางเมืองที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทาง ผนวกกับความใส่ใจในการออกแบบเพื่อใช้ประโยชน์สูงสุดจากพื้นที่ใช้สอย การบริหารแพ็คเกจราคาขายที่เหมาะสมตรงกับดีมานด์ที่ลูกค้ามองหา ตลอดจนความมั่นใจในคุณภาพการก่อสร้าง การบำรุงรักษา และบริการหลังการขายของเอพี” นายวิทการ กล่าว “เพื่อรองรับตลาดคอนโดสำหรับลูกค้าคนเมืองรุ่นใหม่กลุ่ม Young Achiever ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เอพีจึงพร้อมเดินหน้าเปิดตัว 2 คอนโดมิเนียม โครงการร่วมทุนระหว่าง เอพี และ มิตซูบิชิ จิโช เรสซิเดนซ์ (บริษัทในเครือมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป - MECG) มูลค่ารวมประมาณ 12,000 ล้านบาท ในทำเลศักยภาพศูนย์กลางธุรกิจใหม่ของกรุงเทพฯ แวดล้อมด้วยเครือข่ายคมนาคมในวันนี้และอนาคต ได้แก่ 1) Life Ladprao Valley มูลค่าโครงการประมาณ 6,400 ล้านบาท โดดเด่นด้วยศักยภาพของทำเลแห่งอนาคต แวดล้อมด้วยเครือข่ายคมนาคมที่เป็นศูนย์กลางในการเดินทางเชื่อมต่อ ใกล้รถไฟฟ้าสถานีห้าแยกลาดพร้าว ที่คาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการปี 2563 และรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีพหลโยธิน คุ้มค่ากับการลงทุนทั้งซื้อเพื่ออยู่อาศัย หรือปล่อยเช่าระยะยาว ด้วยผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าประมาณ 5 - 6% โดยจะเปิดขายรอบแรกผ่านระบบ AP i-Booking ในวันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคมนี้ เวลา 19.00 - 21.00 น. และมีกำหนดเปิดพรีเซลอย่างเป็นทางการพร้อมกันทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศในวันที่ 4 - 5 สิงหาคม 2561 ราคาเริ่มต้น 3.49 ล้านบาท และอีกหนึ่ง โครงการที่มีแผนจะเปิดตัวในช่วงเดือนตุลาคมนี้ ได้แก่ 2) Life Asoke Hype คอนโดมิเนียมบนทำเลศูนย์กลางธุรกิจใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ สูง 40 ชั้น จำนวน 1,253 ยูนิต เพียง 300 เมตรจากรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีพระราม 9 มูลค่าโครงการประมาณ 5,700 ล้านบาท” นายวิทการ กล่าวเสริม ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าในปัจจุบัน ดีมานด์ต่อตลาดคอนโดระดับกลางถึงไฮเอนด์มีการ-ตอบรับดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในย่านใจกลางทำเลธุรกิจ เช่น ลาดพร้าว และอโศก – พระราม 9 ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นพื้นที่ CBD แห่งใหม่ในกรุงเทพฯ เนื่องจากศักยภาพทำเลทั้งความพร้อมในวันนี้และปัจจัยจากโครงการพัฒนาโครงข่ายรถไฟฟ้าในอนาคตอันใกล้ ที่จะเข้ามายกระดับความสามารถในการเชื่อมต่อเข้าสู่พื้นที่ CBD เดิมอย่างย่านสีลม สาทร และ สุขุมวิทได้โดยตรง อีกทั้งแวดล้อมไปด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ จึงเป็นที่ต้องการสำหรับผู้ซื้อที่ต้องการความสะดวกสบาย และผู้ซื้อที่ต้องการลงทุนในการปล่อยเช่าและขายต่อเป็นอย่างมาก โครงการที่จะเข้าสู่ตลาดระดับนี้ต้องสร้างความแตกต่างทั้งภายในยูนิตพักอาศัยและพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อที่จะชนะใจคนเมืองที่กำลังมองหาคอนโดในทำเลนี้ ที่นับวันจะมีแต่มูลค่าเพิ่มขึ้น สำหรับภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมเซกเมนท์กลางถึงบน ในสองทำเลศูนย์กลางธุรกิจใหม่ใจกลางเมือง ย่านเชื่อมต่อพหลโยธิน-อารีย์-ลาดพร้าว และย่านเชื่อมต่ออโศก-พระราม 9-รัชดาภิเษกนั้น พบดีมานด์ที่มองหาคอนโดใหม่ติดแนวรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 5 ปีที่ผ่านมา จากการสำรวจข้อมูลการเปิดตัวโครงการใหม่ย่านเชื่อมต่อพหลโยธิน-อารีย์-ลาดพร้าว มีคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ทั้งสิ้นจำนวน 19 โครงการ ในราคาพรีเซลเฉลี่ย 158,000 บาทต่อตารางเมตร มียอดขายรวมกว่า 85% และย่านเชื่อมต่ออโศก-พระราม 9-รัชดาภิเษก พบคอนโดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 14 โครงการ ราคาพรีเซลเฉลี่ยประมาณ 169,000 บาทต่อตารางเมตร และมียอดขายรวมแล้วกว่า 90% ซึ่งนับเป็นอัตราการตอบรับที่ดี นอกจากนี้ สำหรับผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า ระยะยาว (Rental Yeild) ของคอนโดพร้อมอยู่ทั้ง 2 ย่านที่กล่าวมานั้น พบอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน อยู่ที่ประมาณ 5 - 6% จึงนับว่าราคาคอนโดมิเนียมในทำเลนี้ ยังเหมาะสมในการซื้อทั้งเพื่ออยู่อาศัยและเพื่อการลงทุน “สำหรับเอพี (ไทยแลนด์) เรามุ่งมั่นที่จะตอบโจทย์การพัฒนาไปสู่ ‘คุณภาพชีวิตที่ดี’ ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งด้านคุณภาพ การบริการ การอำนวยความสะดวกสบาย และความปลอดภัย รวมถึงความคุ้มค่าในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการอยู่อาศัยเอง หรือการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ Life Ladprao Valley ใจกลางห้าแยกลาดพร้าว และ Life Asoke Hype ใจกลางทำเลอโศก – พระราม 9 จึงเป็นโครงการลักชัวรี่คอนโดมิเนียมที่ดีที่สุดในใจกลางทำเลแลนด์มาร์คธุรกิจแห่งอนาคต ศูนย์กลางการคมนาคมและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ที่ยกระดับการอยู่อาศัยด้วยสิ่งอำนวย-ความสะดวกที่ทันสมัย ช่วยส่งเสริมการมีคุณภาพชีวิตที่ดี และความสำเร็จให้กับผู้อยู่อาศัย พร้อมการออกแบบที่ได้แรงบันดาลใจโดยตรงมาจากรูปแบบการใช้ชีวิต เพื่อตอบดีมานด์คนรุ่นใหม่กลุ่ม Young Achiever อย่างแท้จริง” นายวิทการ กล่าวสรุป Life Ladprao Valley ลักชัวรี่คอนโดมิเนียมแห่งใหม่ล่าสุดของเอพี ภายใต้คอนเซ็ปต์การออกแบบ “Live Your Adventurous Spirit” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจการออกแบบมาจากไลฟ์สไตล์ของคนเมืองกลุ่ม Young Achiever ที่พร้อมมอบประสบการณ์ อันเป็นที่สุดในทุกมิติของลักชัวรี่คอนโดมิเนียมใจกลางเมือง สู่การต่อยอดความสำเร็จได้อย่างสมบูรณ์แบบ ประกอบด้วยอาคารที่พักอาศัยสูง 44 ชั้น จำนวนห้องชุดทั้งสิ้น 1,140 ห้อง ประกอบด้วยห้องชุดแบบ 1) สตูดิโอ ขนาด 28.80 ตารางเมตร 2) ห้องชุด 1 ห้องนอน ขนาด 35 - 37 ตารางเมตร 3) ห้องชุด 2 ห้องนอน ขนาด 48.60 – 66.50 ตารางเมตร พร้อม Triple Facilities ในชั้น 6 ชั้น 44 และชั้น Mezzanine โดยโครงการตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 5.2.33 ไร่ ใจกลางทำเลลาดพร้าว ย่านธุรกิจและศูนย์กลางคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ พรั่งพร้อมด้วยห้างสรรพสินค้าและแหล่งชอปปิ้ง โรงเรียน อาคารสำนักงาน ทั้งยังเป็นศูนย์กลางการคมนาคม สะดวกทั้งการใช้รถยนต์ส่วนตัว และระบบขนส่งสาธารณะ ตั้งอยู่บนทำเลเชื่อมต่อที่สำคัญและดีที่สุดบริเวณห้าแยกลาดพร้าว เพียงหนึ่งก้าวจากรถไฟฟ้าสถานีห้าแยกลาดพร้าว หรือเพียง 5 นาทีถึง MRT สถานีพหลโยธิน และใกล้ BTS สถานีหมอชิต และจุดขึ้น-ลงทางด่วน ตอบโจทย์ทั้งความสะดวกสบายในการเดินทางและสีสันการใช้ชีวิต Life Ladprao Valley บนพื้นที่ส่วนกลางกว่า 2 ไร่ ได้รับการออกแบบให้ผสมผสานความเป็นธรรมชาติ พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกแบบ Triple Facilities ประกอบด้วย 1) The Avalon พื้นที่สวนแบบเล่นระดับพร้อมสระว่ายน้ำในพื้นที่ชั้น 6 ที่มอบความเป็นส่วนตัวสูงสุดแม้อยู่ในพื้นที่ส่วนกลาง 2) Aqua Valley บน Rooftop ชั้น 44 เพิ่มประสบการณ์ของการออกกำลังกาย ด้วยสระว่ายน้ำพร้อมเครื่องออกกำลังกายภายใต้แนวคิดวารีบำบัด และ 3) Grand Valley Bay บนชั้น Mezzanine โดดเด่นด้วย Crystal Alley สระว่ายน้ำพื้นกระจกใสบนชั้นสูงสุด พร้อมด้วย Elevated Lap Pool ยาว 35 เมตร และ Module Lounge ที่ให้ผู้อยู่อาศัยได้สัมผัสทิวทัศน์สวนจตุจักรแบบพาโนรามา เป็นต้น ทั้งนี้ สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ในช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค. – มิ.ย. 2561) บริษัทประสบความสำเร็จอย่างมากสามารถสร้างยอดขายรวมของโครงการทั้งกลุ่มคอนโดมิเนียมและแนวราบได้มากถึง 17,300 ล้านบาท เป็นยอดขายคอนโดมิเนียม 7,370 ล้านบาท และยอดขายสินค้าแนวราบ 9,930 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้แล้วราว 52% ของเป้ายอดขายปี 2561 ที่ตั้งไว้ (เป้ายอดขาย 33,500 ล้านบาท) โดยมั่นใจว่าจากการเปิดตัว Life Ladprao Valley และ Life Asoke Hype จะสร้าง Talk of The Town และโกยยอดขายลักชัวรี่คอนโดมิเนียมล็อตใหญ่ส่งท้ายปี 2561 ได้อย่างแน่นอน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2561 บริษัทมีสินค้ารับรู้รายได้ (backlog) มูลค่ามากถึง 52,000 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบมูลค่าราว 9,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ทั้งหมดภายในปีนี้ และคอนโดมิเนียมมูลค่า 43,000 ล้านบาท (รวมโครงการร่วมทุน) โดยจะทยอยรับรู้ภายในปีนี้มูลค่าประมาณ 10,300 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะทยอยการรับรู้ไปจนถึงปี 2565 และทางบริษัทมีคอนโดมิเนียมคงเหลือขายประมาณ 10,800 ล้านบาท “เอพี ไทยแลนด์ กล้าที่จะแตกต่าง ผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยสำหรับคนเมือง”
เสนา ฮันคิว ปั้นแบรนด์ลักชูรี่คอนโด เปิดตัวครั้งแรกบนที่ดินแปลงใหญ่สุดย่านเอกมัย

เสนา ฮันคิว ปั้นแบรนด์ลักชูรี่คอนโด เปิดตัวครั้งแรกบนที่ดินแปลงใหญ่สุดย่านเอกมัย

  เสนา ฮันคิว ประกาศลุยโปรเจกต์ร่วมทุนโครงการ 3 เปิดหน้าดินย่านเอกมัย ผุดคอนโดลักชูรี่ “ปีติ เอกมัย (PITI EKKAMAI)” มูลค่ารวม 5,000 ล้านบาท ดึงหลักปรัชญาชีวิตจากแนวคิดญี่ปุ่น “lKIGAI (อิคิไก)” จุดประกายการใช้ชีวิตให้มีความสุขและมีคุณค่า พร้อมตอกย้ำศักยภาพพันธมิตรหวังเดินเกมธุรกิจระยะยาว เผยมีแผนโครงการร่วมทุนมูลค่าสูงถึง 23,000 ล้านบาท จ่อปักหมุดปีนี้   คุณยูสุเกะ คุสุ รองประธานกรรมการบริหาร ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ปเปอร์เรชั่น เปิดเผยถึงการลงทุนในเมืองไทยว่า ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ทางบริษัท ฮันคิว ร่วมทุนพัฒนาโครงการกับทางบริษัทเสนามาแล้ว 2 โครงการ ประกอบด้วย นิช โมโน สุขุมวิท – แบริ่ง และ นิช ไพรด์ เตาปูน – อินเตอร์เชนจ์ รวมมูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท ปัจจุบันทั้ง 2 โครงการมียอดขายเป็นที่น่าพอใจมาก ล่าสุดพัฒนาโครงการที่ 3 ร่วมกันเป็นโครงการระดับลักชูรี่แบรนด์ใหม่ที่มีมูลค่าสูงสุดในปีนี้ ซึ่งมีความมั่นในความเป็นมืออาชีพของทางเสนาเป็นอย่างมากและเชื่อว่าโครงการนี้จะประสบความสำเร็จเหมือนโครงการที่ผ่านๆมาอย่างแน่นอน และทางฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ปฯ เองได้มองถึงแผนการพัฒนาโครงการร่วมกันในระยะยาวต่อจากนี้ด้วยเช่นกัน ด้านผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยครึ่งปีหลัง 2561 มีแนวโน้มกระเตื้องขึ้น คาดว่าปีนี้จะโตได้ 3-5% หลักๆ มาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ ขณะที่ดีมานด์ระดับบนยังมีสัญญาณที่ดีและเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้าหรือระบบ Mass Transit ยังมีความต้องการสูงขึ้นทุกปี ดังนั้น ทางเสนา ฮันคิว พร้อมต่อยอดพัฒนาคอนโดมิเนียมร่วมกันบน Location ที่ดีที่สุดในย่านใจกลางเมือง และได้นำเอาหลักปรัชญาชีวิตจากแนวคิด “IKIGAI (อิคิไก)” มาร่วมสร้างสรรค์เอกลักษณ์ทั้งมิติด้านฟังก์ชั่นและเติมเต็มมิติด้านสุนทรียศาสตร์ภายในโครงการให้กับลูกค้า เพื่อให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการในการใช้ชีวิตของคนเมือง ณ ปัจจุบัน และรองรับความต้องการของลูกค้าระดับบนที่มองหาที่อยู่อาศัยบนทำเลศักยภาพย่านใจกลางเมือง ดังนั้นจึงเป็นโอกาสและสัญญาณที่ดีในการรุกพัฒนาคอนโดมิเนียมหรูระดับ“ลักชูรี่”และเป็นโครงการแรกของเสนาในปีนี้   “ถือว่าเป็นก้าวครั้งใหม่ของเสนากับการเปิดตลาดคอนโดมิเนียมระดับลักชูรี่เป็นครั้งแรก และเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของเสนา ซึ่งทางบริษัทก็มีความพร้อมในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นทีมงานที่มีคุณภาพ ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของลูกค้า รวมถึงพันธมิตรที่แข็งแกร่งและมีศักยภาพมาก อย่างบริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ปเปอร์เรชั่น พันธมิตรธุรกิจอันดับต้นๆ ของประเทศญี่ปุ่น โดยมีแผนพัฒนาโครงการร่วมกันปีนี้อย่างน้อย 7 โครงการ รวมมูลค่าสูงถึง 23,000 ล้านบาท” สำหรับคอนโดมิเนียมลักชูรี่แบรนด์ใหม่ “ปีติ เอกมัย (PITI EKKAMAI)” นับเป็นโครงการร่วมทุนที่ 3 ภายใต้การร่วมทุนชื่อบริษัท เสนา ฮันคิว จำกัด ที่มีมูลค่าโครงการรวม 5,000 ล้านบาท เป็นโครงการคอนโดมิเนียม บนเนื้อที่ 4 – 2 -75 ไร่ ตั้งอยู่ใจกลางเอกมัย (ช่วงบริเวณซอยเอกมัย 26) โดยลักษณะเป็นอาคารสูง 37 ชั้น 1 อาคาร รวมทั้งหมด 897 ห้อง และร้านค้า 3 ยูนิต ราคาเริ่มที่ 4.45 ล้านบาท หรือ เฉลี่ยตารางเมตรละ 170,000 บาท   โดยคีย์ไฮไลท์การพัฒนาโครงการได้มีการนำหลักปรัชญาชีวิตจากแนวคิดญี่ปุ่น “IKIGAI (อิคิไก)” เข้ามาใช้ผสมผสานทุกรายละเอียดของงาน Concept และโปรดักส์รวมถึงพื้นที่ส่วนกลางเข้าด้วยกัน เพื่อให้เป็นโครงการพักอาศัยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวพรั่งพร้อมด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานอันหลากหลายมาประยุกต์ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของคนไทยได้อย่างลงตัว ภายใต้แนวคิดใหม่ “Good LIVING is the New Luxury” ให้คุณมีชีวิตที่ดีบนทำเลคุณภาพและทุกๆช่วงเวลาของทุกวันเป็นการใช้ชีวิตที่มีความสุขและมีคุณค่าบนพื้นที่ส่วนกลางกว่า 1,900 ตารางเมตร ใหญ่ที่สุดในย่านเอกมัย   ร่วมสัมผัสประสบการณ์ใหม่และครั้งแรก "SENA Online Booking" ลงทะเบียนจองสิทธิ์ก่อนใคร ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่2ส.ค.และจองจริงพร้อมกัน2ส.ค.นี้ตั้งแต่เที่ยงวัน-22.00น.ที่ https://onlinebooking.sena.co.th สอบถามเพิ่มเติมโทร.1775
แสนสิริ เปิดตัว “XT” ไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียม แห่งแรกในไทย  หวังคว้าใจชาวมิลเลนเนียล

แสนสิริ เปิดตัว “XT” ไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียม แห่งแรกในไทย หวังคว้าใจชาวมิลเลนเนียล

  แสนสิริพลิกวงการอสังหาริมทรัพย์ เปิดตัวแบรนด์ไลฟสไตล์คอนโดมิเนียมแนวคิดใหม่ “XT Condominium” #SansiriXT รับเทรนด์การเติบโตของลูกค้ากลุ่มมิลเลียนเนียล ฉีกทุกกฎคอนโดมิเนียมด้วยแนวคิด Extend Your Style ครั้งแรกในไทยกับอิสระในการเลือกรูปแบบห้องที่ออกแบบมาเพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์ของชาวมิลเลนเนียลที่มีความหลากหลาย และแพลตฟอร์มใหม่ของสังคมกลุ่มคนที่มีความชอบเหมือนกันกับการแลกเปลี่ยนการเข้าใช้ Co-Sharing Spaces ได้ทุกโครงการภายใต้แบรนด์ XT พร้อมการใช้ชีวิตแบบสมาร์ทด้วยเทคโนโลยีใหม่ในแบบฉบับ XT ตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับลูกค้า ตามแนวคิดการสร้างสรรค์และส่งมอบประสบการณ์อยู่อาศัยสมบูรณ์แบบ #CompleteYourLivingExperience เปิดตัวพร้อมกัน 3 โครงการบนทำเลโดนใจชาวมิลเลนเนียล (Central Millennial District) ได้แก่ เอกมัย ห้วยขวาง และ พญาไท มูลค่ารวมถึง 21,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นมูลค่าการเปิดตัวโครงการพร้อมกันสูงสุดในประวัติการณ์ของแสนสิริ นับเป็นหนึ่งในการผลักดันให้เป็นปีแห่งที่สุดของแสนสิริหรือ #SansiriBestYearEver โดยจะเปิดขายครั้งแรกในงาน XT Dimensions 3 - 5 สิงหาคมนี้ ณ ลานพาร์ค พารากอน ศูนย์การค้าสยามพารากอน คุณอู้ พหลโยธิน ประธานบริหารฝ่ายสร้างสรรค์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “จากวิสัยทัศน์การพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่งในฐานะผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับลูกค้า (Human Centric) ตามแนวคิดการสร้างสรรค์และส่งมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบ #CompleteYourLivingExperience ประกอบกับการที่เศรษฐกิจมีการส่งสัญญาณในภาพรวมเป็นไปในทางบวก ส่งผลให้เกิดการพัฒนาโครงการใหม่ ของแสนสิริที่เกิดขึ้นจากการวิจัยและศึกษาพฤติกรรมเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง ทั้งนี้ หนึ่งในเป้าหมายที่แสนสิริให้ความสำคัญและต้องจับตามอง ได้แก่   “คนมิลเลนเนียล” หรือ กลุ่มประชากรที่เกิดในช่วงระหว่างปี 1980 – 2000 ที่ได้กลายมาเป็นกลุ่มคนที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เห็นได้จากพนักงานของแสนสิริเอง ก็เป็นคนมิลเลนเนียลมากถึง 60% และหากดูตามสถิติของลูกค้าแสนสิริตั้งแต่ปี 2013 – 2017 จะพบว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่อายุตั้งแต่ 21-30 ปี มาซื้อโครงการของแสนสิริเป็นจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 25% ในระยะเวลา 5 ปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต”   “กลุ่มคนมิลเลนเนียล นับเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่แสนสิริจับตามอง ด้วยความโดดเด่นทางพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นอกจากนี้เกือบ 80% ของชาวมิลเลนเนียลยังให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ หรือ Experience Over Things ใช้ชีวิตผ่านเทรนด์ Sharing Economy มากกว่าการครอบครองทรัพย์สิน เป็นที่มาของการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่จะตอบโจทย์ความต้องการคนมิลเลนเนียลและเป็นที่มาของการสร้างสรรค์แบรนด์ไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียม (New Lifestyle Condominium) ภายใต้แนวคิด “Extend Your Style” ที่เป็นมากกว่าโครงการที่พักอาศัย แต่เป็นแบรนด์เพื่อการใช้ชีวิตของชาวมิลเลนเนียลอย่างแท้จริง”   “แสนสิริจึงมีความตั้งใจที่จะให้ XT สร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่วงการคอนโดมิเนียมเมืองไทย ที่เริ่มต้นจากการทำความเข้าใจตัวตนและความต้องการของกลุ่มเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง ทั้งในด้านทัศนคติ แนวความคิด พฤติกรรม ค่านิยม และความมุ่งหมายในชีวิต ไปจนถึงบุคลิกภาพ โดยการทำวิจัยร่วมกับ TCDC ตลอดจนรวบรวมข้อมูลจากงานวิจัยอื่นๆ แล้วจึงนำข้อมูลเหล่านั้นมาผ่านกระบวนการด้านดีไซน์ หรือ Design Thinking Process จนออกมาเป็นแบรนด์ XT ที่จะมอบประสบการณ์และสภาพแวดล้อมในการพักอาศัยที่ไม่เหมือนใคร โดยยังคงรักษามาตรฐานด้านคุณภาพตามแบบฉบับแสนสิริเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ทำให้ XT เป็นคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตทุกด้านทั้งเรื่องงาน การพักผ่อน และกิจกรรมต่างๆ และเป็นคอนโดมิเนียมที่มีชีวิต เพราะ XT ไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่ล้าสมัย และมีประสบการณ์และข้อเสนอใหม่ๆ มาให้ลูกค้าอยู่เสมอ สมกับคำพูดที่ว่า “You can always expect something new in the future XT condominiums.” คุณอู้กล่าว คุณปิติ จารุกำจร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า “แสนสิริพร้อมที่จะเปิดตัวแบรนด์โครงการ XT พร้อมกันถึง 3 โครงการ บนทำเลโดนใจชาวมิลเลนเนียล หรือ Central Millennial District (CMD) ที่ตอบโจทย์ทั้งไลฟ์สไตล์และการทำงานของคนเหล่านี้ รวมมูลค่า 21,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นมูลค่าการเปิดตัวโครงการพร้อมกันสูงสุดในประวัติการณ์ของแสนสิริ และเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของปีแห่งที่สุดของแสนสิริหรือ #SansiriBestYearEver โดยทั้ง 3 ทำเล Central Millennial District ที่แสนสิริคัดสรรที่ดินแปลงเด็ดในสุดยอดทำเลที่จะช่วยให้ชาวมิลเลเนียลสามารถประหยัดเวลา มี Extra Time in Life ประกอบไปด้วย XT เอกมัย ซึ่งเป็นโครงการที่แสนสิริร่วมกันพัฒนากับบริษัท โตคิว คอนสตรัคชัน จำกัด ตั้งอยู่ห่างจากสถานี BTS เอกมัย 1.5 กม. ราคาเริ่มต้น 4.59 ล้านบาท โครงการนี้ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ไม่หยุดนิ่ง สนุกกับการทำงานและการใช้ชีวิต รักการสังสรรค์ยามค่ำคืน ชอบพบปะเพื่อนฝูง โดดเด่นด้วย Sky Lounge บนชั้นดาดฟ้าที่มาพร้อมวิวกรุงเทพฯแบบ 360 องศา พร้อมด้วยฟิตเนสและสระว่ายน้ำที่เป็น Swimming Pool Cinema XT ห้วยขวาง ตั้งอยู่ห่างจากสถานี MRT ห้วยขวาง 75 ม. และ 5 นาทีจากเซ็นทรัลพระราม 9 ราคาเริ่มต้น 3.69 ล้านบาท ซึ่งโครงการนี้พร้อมสร้างประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นให้กับชาว XT ที่จะเข้ามาค้นพบชีวิตน่าหลงใหลที่ซุกซ่อนอยู่ใจกลางห้วยขวาง พื้นที่แห่งไลฟ์สไตล์ที่รองรับทุกด้านของความชอบ โดดเด่นด้วย Hidden Skybar ที่ซ่อนอยู่หลังห้องชั้นหนังสือ ซึ่งจะสร้างประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นให้ลูกบ้านเวลาในเวลาพักผ่อน และ XT พญาไท ตั้งอยู่ห่างจากสถานีแอร์พอร์ตเรลลิงก์ราชปรารภ 500 ม. และ สถานี BTS พญาไท เพียง 600 ม. ราคาเริ่มต้น 4.9 ล้านบาท โดดเด่นด้วยทำเลแห่งศักยภาพ เชื่อมโยงความหลากหลายของไลฟ์สไตล์ รายล้อมด้วยสถานศึกษาที่มีชื่อเสียง ศูนย์การค้าชั้นนำ และการคมนาคมที่สะดวก พร้อมจุดเด่นของ Interactive Fitness ที่จะสร้างมิติใหม่ในการออกกำลังกายโดยที่ชาว XT ไม่ต้องก้าวออกจากคอนโดมิเนียม” นอกจากนี้ แสนสิริยังได้นำข้อมูลที่ได้จากการศึกษาพฤติกรรมชาวมิลเลนเนียลมาสร้างนิยามใหม่ของการออกแบบการอยู่อาศัยด้วยแนวคิด Explore your space, Expand your lifestyle ที่ชู 3 จุดเด่นซึ่งถือเป็นการพลิกวงการอสังหาริมทรัพย์ เพื่อลูกบ้านสามารถออกแบบการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิต ค้นพบไลฟ์สไตล์ได้อย่างไร้ขีดจำกัด ได้แก่ EXPLORE YOUR SPACE with Personalized Room Layouts – อิสระในการเลือกรูปแบบห้องที่ออกแบบมาเพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์ของชาวมิลเลนเนียลที่มีความหลากหลาย ผ่านรูปแบบห้อง 6 สไตล์ ได้แก่ The Fashionista ด้วย Walk-in closet ขนาดใหญ่ The Snoozy Head กับการขยายพื้นที่ห้องนอน The Visionary ที่มีพื้นที่ห้องทำงานกว้างขึ้น The Party Goer รองรับปาร์ตี้ด้วยห้องนั่งเล่นที่กว้างกว่า The Master Chef เอาใจสายทำอาหารด้วยห้องครัวที่เป็นสัดส่วน และ The Naturalist กับพื้นที่สีเขียวจากชานระเบียงร่มรื่น พร้อมด้วย Flexible Furniture ที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าผ่าน Home Service Application เพื่อปรับเปลี่ยนแปลนห้องให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ในแต่ละวัน EXPAND YOUR LIFESTYLE at Co-Sharing Spaces – แพลตฟอร์มใหม่ของสังคมกลุ่มคนที่มีความชอบเหมือนกันกับการแลกเปลี่ยนการเข้าใช้ Co-Sharing Spaces ที่แตกต่างกันได้ทุกโครงการภายใต้แบรนด์ XT ซึ่งพัฒนาขึ้นมาจากแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบวัฒนธรรม Sharing Economy ในยุคปัจจุบัน เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ทั้งการใช้ชีวิตและการทำงานที่หลากหลายของแต่ละคน ได้แก่ พื้นที่ Co Work/Play Space ณ XT เอกมัย สำหรับการทำงานร่วมกัน Creative Studio ณ XT ห้วยขวาง ที่เปิดโอกาสให้สร้างสรรค์งานศิลปะหลากแขนงร่วมกัน และ Co-Creation Space ณ XT พญาไท ที่ให้ชาว XT สามารถเข้ามาสนุกและผ่อนคลายไปกับจินตนาการเสมือนจริงด้วย VR GAME ROOM และพื้นที่ Co-Sharing Spaces จากโครงการ XT ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต Virtual Activities – นำเสนอการใช้ชีวิตแบบสมาร์ทด้วยเทคโนโลยีใหม่ในแบบฉบับ XT ไม่ว่าจะเป็นเครื่อง Virtual Exercise เทคโนโลยีการถ่ายทอดสดคลาสออกกำลังกายจากสตูดิโอฟิตเนสชื่อดัง นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี Igloo Home สำหรับขอรหัสผ่านประตูแบบใช้ครั้งเดียวผ่านสมาร์ทโฟน ระบบ Home Automation สำหรับการควบคุมและสั่งการเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ภายในยูนิตและส่วนกลาง Smart Wash เครื่องซักผ้าอัจฉริยะที่เชื่อมต่อการแจ้งเตือนกับ Home Service Application, New Concept Convenience Store, อินเทอร์เน็ต Wi-fi ในพื้นที่ส่วนกลาง, ล็อกเกอร์อัจฉริยะ และ จุดชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้า ฯลฯ   มากไปกว่านั้น แสนสิริยังได้สร้างสรรค์ XT Experience แผนส่งเสริมการตลาดที่มีการริเริ่มนำมาใช้กับโครงการ XT เป็นครั้งแรก เป็นการสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยในแบบฉบับ XT ตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าอาศัย โดยเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้เลือกโปรโมชั่นที่มีความหลากหลายและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ทั้งด้าน Health & Wellness , Travel experience, Lifestyle experience, หรือ Gadget experience เช่น สมาชิก TCDC สิทธิ์เข้าเทรนนิ่งคอร์สกับธนาคารระดับแนวหน้า สิทธิ์ร่วมปาร์ตี้เอ็กซ์คลูซีฟ สมาชิก Netflix/Spotify สมาชิก Virgin Fitness และ สมาชิก JustCo Co-Working Space เป็นต้น ซึ่งลูกค้าก็จะได้รับข่าวสารอัพเดทและสิทธิพิเศษในด้านที่สนใจอย่างสม่ำเสมอด้วยเช่นกัน ซึ่งสำหรับผู้ที่สนใจสามารถร่วมสร้างปรากฎการณ์การอยู่อาศัยของชาวมิลเลนเนียลและสัมผัสแนวคิดของแบรนด์ไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียม XT ได้ครั้งแรกในเมืองไทยที่งาน XT Dimensions ซึ่งจะเปิดการขายพร้อมกัน 3 โครงการพร้อมกันภายในงาน ระหว่างวันที่ 3 - 5 สิงหาคมนี้ ณ ลานพาร์ค พารากอน ศูนย์การค้าสยามพารากอน   “การสร้างแบรนด์ XT เพื่อให้เป็น New Lifestyle Condominium แบรนด์แรกของไทยที่จะตอบโจทย์ความต้องการในการใช้ชีวิตของชาวมิลเลนเนียล และช่วย Extend Your Style ของพวกเขาอย่างเต็มที่ ในที่สุดแล้วคือการย้อนกลับไปที่แนวคิด #CompleteYourLivingExperience ของแสนสิริ เพื่อส่งมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบที่สุดให้แก่ลูกบ้านของแสนสิริ ทั้งหมดนี้คือหัวใจสำคัญของการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในแบบของแสนสิริ ซึ่งแบรนด์ XT จะช่วยต่อยอดความสำเร็จภายใต้แนวคิดนี้ให้กับแสนสิริอย่างต่อเนื่องต่อไป เพราะ XT จะเป็นที่พักอาศัยที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่ล้าสมัย เพราะมีประสบการณ์และข้อเสนอใหม่ ๆ มามอบให้ลูกค้าอยู่เสมอ”นายปิติ กล่าวสรุป
ราคาที่ดินในกรุงเทพฯ พุ่งขึ้น 1,000% ในช่วง 30 ปี

ราคาที่ดินในกรุงเทพฯ พุ่งขึ้น 1,000% ในช่วง 30 ปี

ราคาที่ดินในย่านใจกลางกรุงเทพมหานครปรับตัวสูงขึ้นกว่า 1,000% นับจากปีพ.ศ. 2531 เมื่อซีบีอาร์อีเปิดสำนักงานในกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรกเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ราคาที่ดินเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมากในยุค “เอเชียไทเกอร์” ระหว่างปีพ.ศ. 2531 - 2539 ก่อนที่ตลาดจะหยุดชะงักเพราะวิกฤตการณ์ทางการเงินในปีพ.ศ. 2540   การเติบโตของราคาที่ดินเริ่มขยับสูงขึ้นในช่วงกลางทศวรรษปี 2540 และราคามีการปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงสองปีที่ผ่านมาสำหรับที่ดินที่อยู่ในย่านใจกลางเมืองที่สำคัญหรือในซีบีดี   ในช่วงปลายทศวรรษปี 2520 ต่อเนื่องเข้าสู่ทศวรรษปี 2530  มีการซื้อขายที่ดินขนาดใหญ่ 2 แปลงด้วยกัน คือ ที่ดินขนาด 8 ไร่บนถนนสาทร โดยผู้พัฒนาเดิมของอาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ซื้อไปที่ราคาประมาณ 125,000 บาทต่อตารางวา และที่ดินขนาด 21-1-08 ไร่บนถนนวิทยุซึ่งเป็นบ้านของผู้จัดการธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดในยุคนั้น ขายให้กับกลุ่มเอ็มไทย มูลค่าที่ดินประมาณ 250,000 บาทต่อตารางวา ซึ่งปัจจุบันพัฒนาเป็นโครงการออลซีซั่น เพลส   สำหรับการขายที่ดินแปลงล่าสุดในย่านสารทร คือ ที่ดินขนาด 8 ไร่ของสถานทูตออสเตรเลีย ซึ่งขายไปด้วยราคาประมาณ 1.45 ล้านบาทต่อตารางวาในปีพ.ศ. 2560  และในย่านลุมพินี บริษัท เอสซี แอสเสท ซื้อที่ดินขนาด 880 ตารางวาบริเวณถนนหลังสวนด้วยมูลค่าประมาณ 3.1 ล้านบาทต่อตารางวา และการซื้อขายที่ดินที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยคือการขายที่ดินสถานทูตอังกฤษขนาด 23 ไร่ในปีพ.ศ. 2561 ให้แก่บริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่มเซ็นทรัลและฮ่องกงแลนด์   การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินนั้นไม่เหมือนกันทั้งหมด และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นยังเป็นไปตามรูปแบบการพัฒนาเมืองของกรุงเทพฯ    ในอดีตศูนย์กลางทางธุรกิจตั้งอยู่บนถนนเจริญกรุง และศูนย์ราชการตั้งอยู่บริเวณเกาะรัตนโกสินทร์   ในช่วงทศวรรษปี 2490 และ 2500 ศูนย์กลางทางธุรกิจได้ย้ายไปที่ถนนสีลมและถนนสุรวงศ์   กรุงเทพฯ เติบโตมากขึ้นในทศวรรษที่ 2510 และ 2520 แต่ยังไม่มีการกำหนดศูนย์กลางของเมืองอย่างชัดเจน และการพัฒนาได้ขยายตัวออกไปเพราะมีการสร้างถนนใหม่ๆ แต่ในปัจจุบันปัจจัยเหล่านี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว   การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ 2 ประการที่มีผลกับราคาที่ดิน คือ การเปิดและขยายระบบขนส่งมวลชน โดยรถไฟฟ้าบีทีเอสสายแรกเปิดให้บริการในปีพ.ศ. 2542 และรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงินเข้มเปิดให้บริการในปีพ.ศ. 2547 ระบบขนส่งมวลชนดังกล่าวได้ทำให้วิถีชีวิตของคนในกรุงเทพฯ ทั้งในด้านการทำงานและการใช้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไป   ในช่วงปลายทศวรรษ 2560  กรุงเทพฯ จะมีระบบขนส่งมวลชนรวมระยะทางประมาณ 460 กิโลเมตร เปรียบเทียบกับกรุงลอนดอนที่มีระบบรถไฟใต้ดินรวมระยะทาง 402 กิโลเมตร   ความนิยมในระบบขนส่งมวลชนของกรุงเทพฯ ที่มีผู้ใช้มากกว่า 1.2 ล้านคนต่อวัน ได้ทำให้มูลค่าที่ดินที่อยู่ใกล้กับสถานีปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น แต่ไม่ใช่ทุกสายหรือทุกสถานีที่จะได้รับความนิยมอย่างเท่าเทียมกัน  ส่วนหนึ่งที่เป็นตัวกำหนดมูลค่าของที่ดินก็มาจากความนิยมของระบบขนส่งมวลชนแต่ละสายและแต่ละสถานี   “ปัจจัยสำคัญอีกประการที่เป็นตัวกำหนดราคาที่ดิน ก็คือ ข้อกำหนดในเรื่องผังเมืองและพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่ว่าด้วยเรื่องขนาดพื้นที่ที่สามารถสร้างได้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าถ้าสามารถสร้างพื้นที่ได้น้อย ราคาที่ดินก็จะไม่ปรับสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด” นางกุลวดี สว่างศรี กรรมการบริหาร หัวหน้าแผนกการลงทุนและที่ดิน  ซีบีอาร์อี ประเทศไทยกล่าว   ข้อกำหนดในเรื่องผังเมืองและการควบคุมการก่อสร้างอาคารมีความเข้มงวดและซับซ้อนมากขึ้น และในปัจจุบันได้กลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการกำหนดราคาที่ดิน   ในช่วงทศวรรษปี 2520 และ 2530 กรุงเทพฯ ได้ขยายตัวออกไปมากขึ้น แต่ในช่วงทศวรรษปี 2540 กรุงเทพฯ ได้กลายเป็นเมืองที่ความเจริญรวมเข้าสู่ศูนย์กลางมากขึ้น ด้วยการเกิดขึ้นของอาคารชุดพักอาศัยแนวสูงและการเติบโตของพื้นที่สำนักงานที่ทันสมัย   พื้นที่ใจกลางเมืองได้รับการกำหนดขอบเขตไว้อย่างชัดเจนมากขึ้น และเกิดการพัฒนาโครงการรอบใหม่บนพื้นที่ที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์มากนัก เช่น ที่ดินขนาด 105 ไร่ที่เป็นที่ตั้งของโครงการวัน แบงค็อก บริเวณหัวมุมถนนพระราม 4 ตัดกับถนนวิทยุ ราคาที่ดินเริ่มมีสัดส่วนที่สูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับต้นทุนโดยรวมในการพัฒนาโครงการ เนื่องจากราคาที่ดินมีอัตราการเติบโตที่รวดเร็วกว่าค่าก่อสร้าง มูลค่าโดยรวมในการพัฒนาโครงการได้เพิ่มสูงขึ้นซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้คอนโดมิเนียมมีราคาขายที่แพงขึ้นและทำให้จำเป็นต้องมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นเพื่อให้โครงการที่มีรายได้จากค่าเช่าสามารถเกิดขึ้นได้   ซีบีอาร์อีคาดการณ์ว่า ที่ดินในย่านใจกลางกรุงเทพฯ จะยังคงเป็นทำเลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดต่อไปในการพัฒนาโรงแรม อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า และอาคารประเภทอื่น ๆ เช่น โรงพยาบาล เป็นต้น กรุงเทพฯ จะมีการกำหนดขอบเขตพื้นที่ใจกลางเมืองที่ชัดเจนมากขึ้น และการพัฒนาโครงการจะขยายตัวไปตามเส้นทางการเดินรถของระบบขนส่งมวลชนบริเวณรอบสถานี   การที่ราคาที่ดินจะปรับตัวสูงขึ้นนั้นขึ้นอยู่กับระดับความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการ และผลตอบแทนที่จะได้รับจากการพัฒนาโครงการ  ซึ่งจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าสามารถพัฒนาโครงการอะไรได้ และในระดับราคาใดที่ลูกค้ามีกำลังในการซื้อหรือการเช่าเมื่อโครงการแล้วเสร็จ เนื่องจากที่ดินแบบมีกรรมสิทธิ์เต็มหรือฟรีโฮลด์ในย่านใจกลางเมืองที่มีศักยภาพในการพัฒนานั้น มีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ   ซีบีอาร์อีจึงคาดว่าราคาที่ดินจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในบางครั้ง ที่ดินมีราคาสูงกว่ามูลค่ารวมของอาคารที่ตั้งอยู่บนแปลงที่ดิน  และเราจะได้เห็นว่ามีอาคารเก่าถูกรื้อถอนและมีการพัฒนาโครงการขึ้นใหม่บนที่ดินแปลงเดิมมากขึ้น   เราได้เริ่มเห็นการรื้อถอนอาคารเคี่ยนหงวน ทาวเวอร์ 1 บนถนนวิทยุ และอาคารวานิสสา บนถนนชิดลม  รวมทั้งแผนการรื้อถอนโรงแรมดุสิตธานีและปรับปรุงพื้นที่ใหม่  แต่จนถึงขณะนี้ การรื้อถอนเกิดขึ้นกับอาคารที่มีเจ้าของเดียวเท่านั้น   ในปัจจุบัน กฎหมายอาคารชุดกำหนดให้เจ้าของร่วมต้องเห็นชอบร่วมกันทั้ง 100% ที่จะเพิกถอนอาคารเพื่อให้สามารถขายอาคารและนำมาพัฒนาใหม่ได้ ซึ่งยังไม่เคยเกิดขึ้นในบ้านเราแม้ว่าปัจจุบันจะมีคอนโดมิเนียมบางแห่งที่มูลค่าของทุกยูนิตรวมกันจะมีมูลค่าน้อยกว่าการถือครองที่ดินเปล่าที่ใช้สร้างคอนโดมิเนียมนั้นก็ตาม การขายยูนิตทั้งหมดและนำมาพัฒนาขึ้นใหม่ได้เกิดขึ้นแล้วในต่างประเทศ โดยเฉพาะสิงคโปร์ซึ่งจำนวนเจ้าของร่วมที่ต้องเห็นชอบร่วมกันในการขายทั้งอาคารมีสัดส่วนที่น้อยกว่าของไทย ซีบีอาร์อีมองว่าเป็นเรื่องยากที่จะได้รับความเห็นชอบทั้ง 100% จากเจ้าของร่วมในกรุงเทพฯ ในการขายห้องชุดทั้งหมดให้กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์   "สมมติว่าข้อกำหนดด้านผังเมืองไม่มีการเปลี่ยนแปลง และขนาดพื้นที่ที่สามารถสร้างขึ้นได้ยังคงเหมือนเดิม ที่ดินในย่านซีบีดีของกรุงเทพฯ มีแนวโน้มที่จะปรับราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง" นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าวสรุป   การปรับขึ้นราคาที่ดินจะไม่อยู่ในระดับที่คงที่ และจะมีความสอดคล้องกับวัฏจักรทางเศรษฐกิจและการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
สิงห์ เอสเตท ผุดโครงการคอนโดแบรนด์ใหม่ใจกลางสุขุมวิท “EYSE” ตอบโจทย์คนเมืองด้วยคอนเซปท์ “The Hidden Treasure”

สิงห์ เอสเตท ผุดโครงการคอนโดแบรนด์ใหม่ใจกลางสุขุมวิท “EYSE” ตอบโจทย์คนเมืองด้วยคอนเซปท์ “The Hidden Treasure”

บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดตัวโครงการคอนโดโลว์ไรซ์หรูใจกลางสุขุมวิท ภายใต้แบรนด์ใหม่ EYSE (อีส) บนแนวคิด The Hidden Treasure ขยายเซ็กเม้นท์ธุรกิจ หลังมองเห็นเทรนด์คอนโดโลว์ไรซ์โต เผยกำลังซื้อกลุ่มนี้ยังสดใส เจาะไลฟ์สไลต์กลุ่มลูกค้าระดับบนที่ชอบความสะดวกสบายแต่ได้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน เน้นโลเคชั่นใจกลางเมือง เดินทางสะดวก ประเดิมโครงการแรก “EYSE Sukhumvit 43” (อีส สุขุมวิท 43) นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันยังคงเป็นกลุ่มดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ ที่มีสัดส่วนการพัฒนาโครงการถึง 80% โดยส่วนใหญ่เป็นประเภทคอนโดมิเนียมสำหรับกลุ่มลูกค้าระดับบนขึ้นไปที่ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสินค้ากลุ่มนี้ยังคงได้รับความสนใจเป็นอย่างมากทั้งจากผู้ที่ซื้อเพื่อพักอาศัยเอง ชาวต่างชาติ และกลุ่มนักลงทุน โดยทำเลที่มีศักยภาพที่จะพัฒนาโครงการค่อนข้างมีอยู่อย่างจำกัด ทั้งนี้ ในปัจจุบันที่ดินที่ติดถนนใหญ่ หรือติดรถไฟฟ้ามีความต้องการสูง และราคาที่ดินยังมีการปรับตัวสูงขึ้นอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้แนวโน้มการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมแบบโลว์ไรซ์ในซอยบนทำเลใจกลางเมืองน่าจะมีการเปิดตัวเพิ่มขึ้น สิงห์ เอสเตท ได้มองเห็นโอกาสจากตลาดกลุ่มนี้ จึงได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมลักชัวรีโลว์ไรซ์ที่มีจุดเด่นในแง่ของความเป็นส่วนตัว พื้นที่ใช้สอยในห้องขนาดใหญ่ขึ้น และรองรับพฤติกรรมของลูกค้าที่เน้นการอยู่อาศัยจริง ภายใต้แบรนด์ใหม่ “EYSE” (อีส) เพื่อตอบสนองความต้องการของทั้งกลุ่มคนไทยและคนต่างชาติที่เข้าใจความต้องการในการอยู่อาศัยของตนเองอย่างชัดเจน รวมถึงกลุ่มนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพอีกด้วย   “สัดส่วนของกลุ่มเป้าหมาย จะเน้นกลุ่มที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองโดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ตามช่วงอายุและไลฟ์สไตล์ คือ กลุ่มแรก Single Adult เป็นกลุ่มที่ต้องการคอนโดมิเนียมเพื่อที่อยู่อาศัยจริงๆ ห้องต้องมีขนาดพื้นที่กว้าง เพราะใช้เวลาอยู่บ้านมากกว่าใช้ชีวิตข้างนอก ชอบความเป็นส่วนตัว กลุ่มที่สองเป็นกลุ่ม Small Family ที่มองหาคอนโดมิเนียมเพื่อใช้ชีวิตในวันจันทร์ถึงศุกร์โดยไม่ต้องฝ่ารถติดเพื่อมาทำงานหรือส่งลูกเรียนในเมือง และกลุ่มที่สามคือ กลุ่ม Early Stage Retirees ที่เคยอยู่บ้านหลังใหญ่ๆ นอกเมือง แล้วเริ่มรู้สึกว่าบ้านเป็นภาระที่ต้องดูแล ไม่มีลูกหรือลูกแยกย้ายไปมีครอบครัวกันหมด จึงมองหาคอนโดมิเนียมที่เดินทางสะดวกเพื่อที่จะได้ไม่ต้องขับรถเข้ามาในเมืองบ่อยๆ ส่วนกลุ่มที่ซื้อเพื่อการลงทุนจะเน้นกลุ่มนักลงทุนที่มีลักษณะเป็น Thoughtful Investor หรือนักลงทุนที่ซื้ออสังหาฯที่มีคอนเซปท์โครงการที่ตนเองชอบ โดยจะซื้อโครงการไว้เพื่อทั้งอยู่อาศัยเองและสามารถขายต่อได้ด้วย ซึ่งมีแนวโน้มที่จะลงทุนในระยะยาวมากกว่าลงทุนในระยะสั้น” นายณัฐวุฒิ กล่าวเพิ่มเติม นางสาวผดาพร มูลศาสตร์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวคิดของคอนโดมิเนียมลักชัวรีโลว์ไรซ์ของสิงห์ เอสเตท ภายใต้แบรนด์ “EYSE” (อีส) ทุกแห่งจะตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ที่มองหาโครงการคอนโดมิเนียมที่เป็น “Absolute Urban Retreat” หรือพื้นที่ผ่อนคลายใจกลางเมือง ที่มีองค์ประกอบตอบโจทย์เรื่องความปลอดภัย (Safe) ความเป็นส่วนตัว (Private) ความผ่อนคลาย (Sanctuary) และความอบอุ่นเหมือนบ้าน (Like a House) โดยทุกโครงการในแบรนด์ “EYSE” จะถูกพัฒนาภายใต้คอนเซปท์ “The Hidden Treasure” ที่มีองค์ประกอบคือ Hidden Gem Location ที่ตั้งโครงการที่มีความเฉพาะตัว เน้นความเป็นส่วนตัวสูง มีทำเลที่เงียบสงบ แต่อยู่ใจกลางเมือง เต็มไปด้วยความสะดวกสบายและไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์ Hidden Life in Nature การออกแบบที่เน้นให้ผู้อยู่อาศัยได้ใช้ชีวิตผสานไปกับความเป็นธรรมชาติ สร้างความรู้สึกผ่อนคลายแม้อยู่ใจกลางเมือง Serve Everyone Hidden Needs ตอบโจทย์ความต้องการแบบปัจเจกของผู้อยู่อาศัย และสุดท้าย คือ Hidden Function in One Space การออกแบบพื้นที่ส่วนกลางให้เป็น Multi-Function Facilities ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน แต่เพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ เพื่อความสะดวกสบายสำหรับการอยู่อาศัย ไว้อย่างครบครัน   “สำหรับโครงการแรกภายใต้แบรนด์ใหม่นี้ คือ “EYSE Sukhumvit 43” (อีส สุขุมวิท 43) มาพร้อมกับคอนเซปท์เฉพาะตัวโครงการคือ “Embrace Your Hidden Fascination หรือ ชีวิตชีวาในโลกส่วนตัว” ถ่ายทอด อารมณ์และไลฟ์สไตล์ในการอยู่อาศัย ผ่านงานศิลปะแบบ Contemporary Impressionism ที่แสดงถึงความสดใสและมีชีวิตชีวา สะท้อนถึงทุกๆ ช่วงเวลาที่มีความสุข โดยโครงการตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 43 บนพื้นที่ 1.4 ไร่ เป็นคอนโดมิเนียมแนวราบความสูง 7 ชั้น จำนวน 2 อาคาร 107 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ซึ่งจุดเด่นของโครงการ คือ ทำเลที่ตั้งย่านพร้อมพงษ์ที่เรียกได้ว่าเป็นทำเลที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว เป็นย่าน Walking community ที่ทันสมัยมากที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ เพราะเป็นย่านที่มีความเป็นศูนย์กลางธุรกิจ ศูนย์กลางของการช้อปปิ้ง และไลฟ์สไตล์ รวมถึงที่พักอาศัยในระดับลักชัวรี อีกทั้งยังมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ที่เปรียบเสมือนปอดของคนสุขุมวิท และยังสะดวกสบายในการเดินทาง โดยทำเลที่ตั้งของโครงการอยู่ในซอยสุขุมวิท 43 เป็นซอยที่เงียบสงบและรายล้อมด้วยเพื่อนบ้านคุณภาพ แต่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้า BTS พร้อมพงษ์ และศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์เพียง 550 เมตร จึงสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ต้องการทั้งความเงียบสงบและความเป็นส่วนตัวและความมีชีวิตชีวาของไลฟ์สไตล์ใจกลางเมือง โครงการถูกออกแบบให้ผู้อยู่อาศัยได้ใกล้ชิดกับความเป็นธรรมชาติ และเต็มไปด้วยประโยชน์ใช้สอย การออกแบบอย่างพิถีพิถันที่ทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน ด้วยจำนวนยูนิตที่มีเพียง 107 ยูนิต ขนาดห้องที่กว้างกว่าคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้าในราคาที่เท่ากันประกอบด้วย ห้องชุดแบบ 1 ห้องนอน ขนาด 52.25-54.50 ตารางเมตร ห้องชุดแบบ 2 ห้องนอน ขนาด 62.50-94.75 ตารางเมตร และขนาด 99.50-99.75 ตารางเมตร พร้อมที่จอดรถประจำทุกยูนิต นอกจากนั้น ลูกค้าที่ซื้อโครงการฯยังสามารถเลือก Customized Option ของ Layout และเลือกสีของวัสดุมาตรฐานภายในห้องชุดได้ตามความชอบ และที่สำคัญการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางให้เป็น Multi-Function Facilities ผสานอารมณ์ความเป็น “บ้าน” ที่ซ่อนฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ ให้สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลากหลาย และยังเพิ่มโอกาสการพบปะกันเพื่อก่อให้เกิดสังคมของผู้อยู่อาศัยในโครงการด้วย” น.ส.ผดาพร กล่าว นายณัฐวุฒิ กล่าวสรุปว่า ปัจจุบันพอร์ตโฟลิโอของธุรกิจที่พักอาศัยของสิงห์ เอสเตท ในส่วนของคอนโดมิเนียมประเภทลักชัวรีนับว่ามีครบทั้งแนวสูงและแนวราบ โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาได้มีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ THE ESSE (ดิ เอส) ไปแล้วทั้งสิ้น 3 โครงการ ได้แก่ THE ESSE Asoke (ดิ เอส อโศก) THE ESSE at SINGHA COMPLEX (ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์) และ THE ESSE Sukhumvit 36 (ดิ เอส สุขุมวิท 36) มูลค่าโครงการรวมแล้วกว่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ เนื่องจากเป็นโครงการระดับลักชัวรีที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างตรงใจ ด้วยยอดขายรวมประมาณ 80% ทั้งหมดนับเป็นความสำเร็จก้าวสำคัญที่ทำให้เกิดโครงการใหม่ล่าสุดอย่าง EYSE Sukhumvit 43 (อีส สุขุมวิท 43) ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ช่วยเติมเต็มพอร์ตโฟลิโอของธุรกิจ และเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้ามากขึ้น โดยคาดการณ์ยอดขายหลังเปิดโครงการไว้ที่ 50% ทั้งนี้ ในอนาคต สิงห์ เอสเตท ยังคงมีแผนที่จะลงทุนพัฒนาโครงการใหม่อย่างน้อยปีละ 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 8,500 ล้านบาทต่อปี ในทำเลที่มีศักยภาพทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยยังคงเน้นการทำตลาดลักชัวรี เจาะกลุ่มเป้าหมายทั้งอาศัยอยู่เองและกลุ่มนักลงทุน โครงการ EYSE Sukhumvit 43 ราคาเริ่มต้นต่อยูนิตอยู่ที่ 13.99 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 4/2561 และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4/2563 ทั้งนี้โครงการจะเปิดให้ชมห้องตัวอย่างที่สำนักงานขายของสิงห์ เอสเตท ติดรถไฟฟ้าสถานีทองหล่อ ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ค. 2561 เป็นต้นไป และจะมีงาน Pre-Sales ในวันที่ 21-22 ก.ค. 2561 สิทธิพิเศษสำหรับผู้ที่ซื้อในช่วงวันดังกล่าว จะได้รับส่วนลดมูลค่า 200,000-400,000 บาท สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.1221 หรือ www.singhaestate.co.th
GAYSORN VILLAGE เปิดประสบการณ์ LIFE & WORK Styles รูปแบบใหม่ เหนือระดับ กับ “GAYSORN URBAN RESORT” A CO-SHARING EXPERIENCE

GAYSORN VILLAGE เปิดประสบการณ์ LIFE & WORK Styles รูปแบบใหม่ เหนือระดับ กับ “GAYSORN URBAN RESORT” A CO-SHARING EXPERIENCE

GAYSORN VILLAGE เปิดประสบการณ์ LIFE & WORK Styles รูปแบบใหม่ เหนือระดับ กับ “GAYSORN URBAN RESORT” A CO-SHARING EXPERIENCE แห่งแรกในไทยใจกลางกรุงเทพฯ คอมมูนิตี้ที่ดีที่สุดของคนยุคใหม่     เกษร พร็อพเพอร์ตี้ (Gaysorn Property) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับ Luxury แนวหน้าของประเทศไทยเดินหน้าขยายอาณาจักร “เกษร วิลเลจ” (Gaysorn Village) ย่านราชประสงค์ ใจกลางกรุงเทพมหานคร กับ Integrated Design Mixed-Use Project ที่ประกอบไปด้วย เกษรวิลเลจ (Gaysorn Village) อาณาจักรธุรกิจไลฟ์และสไตล์ ในรูปแบบเออร์เบินวิลเลจแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย   ชาญ ศรีวิกรม์ ประธาน บริษัท เกษร พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด   โครงการเกษร ทาวเวอร์ (Gaysorn Tower) อาคารและสำนักงานสุดทันสมัย มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท เหนือระดับด้วยไลฟ์สไตล์ที่แปลกใหม่และแตกต่างเหนือใคร ตอกย้ำกับคอนเซ็ปต์ "Work – Live – Play – Grow" ศูนย์รวมออฟฟิศและคอมมูนิตี้ศูนย์กลางของการแลกเปลี่ยนความคิดสร้างสรรค์ที่ดีที่สุดในประเทศไทย พร้อมเปิดตัว เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท (Gaysorn Urban Resort) แล้ววันนี้! โดยเนรมิตพื้นที่กว่า 2,300 ตารางเมตร บนชั้น19-20 ของอาคาร เกษร ทาวเวอร์ ให้กลายเป็น เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท แลนด์มาร์ค CO-SHARING SPACE แห่งใหม่ใจกลางเมือง พื้นที่อำนวยความสะดวกรูปแบบใหม่ ที่ออกแบบในสไตล์รีสอร์ทสุดหรูกลางใจเมืองกรุงเทพมหานคร (Resort Style In The City) นำเสนอเอกลักษณ์ในการออกแบบพื้นที่ด้วยวิธีการ "นอกกรอบ" (Outside Of The Box) ที่ผสมผสานระหว่าง “ธรรมชาติ” และ “เมือง” เข้าด้วยกันอย่างลงตัว เพื่อเปิดประสบการณ์ผ่านสัมผัสทั้ง 5” สร้างสรรค์บรรยากาศด้วยองค์ประกอบธรรมชาติ กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ แรงบันดาลใจและไอเดียใหม่ๆ สร้างอิสระในการเชื่อมต่อ การมีส่วนร่วมและปฏิสัมพันธ์เพื่อแบ่งปันประสบการณ์ ความคิดและรสนิยม ต่อยอดระหว่างธุรกิจสู่ธุรกิจ และคนสู่คน   เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท เป็น CO-SHARING SPACE แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย ที่นำเอาทั้งการทำงานและกิจกรรมไลฟ์สไตล์หลากหลายรูปแบบมาไว้ด้วยกันในแห่งเดียว เนรมิตให้ทุกช่วงเวลาสำคัญของชีวิตและธุรกิจเป็นช่วงเวลาสุดพิเศษแสนประทับใจด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทางธุรกิจระดับเวิลด์คลาส (World Class Business Facilities) ที่ครบครันตอบสนองทุกฟังก์ชันการใช้งาน เพื่อมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์แบบ เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท แลนด์มาร์ค CO-SHARING SPACE แห่งใหม่ระดับโลก ที่ให้คุณสามารถสัมผัสได้ถึง Working Space Sharing และ Event Space Sharing ที่ไร้ขีดจำกัด ก้าวข้ามทุกอุปสรรคของการเชื่อมต่อ นำเสนอประสบการณ์และมิติใหม่ของการทำงานและไลฟ์สไตล์ที่เหนือระดับ ด้วยการออกแบบพื้นที่และสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับกิจกรรมประเภทต่างๆ และสามารถปรับเปลี่ยนได้หลากหลายรูปแบบ ให้คุณสามารถเลือกใช้พื้นที่ได้อย่างอิสระ   Working Space Sharing – เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท ยกระดับและสร้างสรรค์ประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ของการทำงานรูปแบบใหม่ ในพื้นที่อิสระที่คุณสามารถสร้างสรรค์ไอเดีย ออกแบบธุรกิจ หรือคิดกลยุทธ์ใหม่ๆ และพบปะเพื่อพูดคุยสร้างการเชื่อมต่อทางธุรกิจและสังคม ตลอดจนการจัดประชุม การสัมมนา ทุกรูปแบบ ที่ตอบสนองสนองและรองรับทุกความต้องการด้วยพื้นที่ห้องประชุมทั้งขนาดเล็กและใหญ่ที่มีพร้อมให้บริการอย่างหลากหลาย อาทิ The Lawn, The Peak, The Oak ไปจนถึง Private Office ที่เรียกว่า “Cocoon Office” และสำหรับผู้ที่ต้องการสถานที่ทำงาน (Focus Area) ที่ต่างไปจากออฟฟิศแบบเดิมๆ ก็สามารถมานั่งทำงานชิลล์ๆในโซน Hot Desk Area ได้ที่ The Horizon รวมไปถึงการออกแบบสถาปัตยกรรมกรรมทั้งภายนอกและภายใน ที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการทำงาน ด้วยการดึงความเป็นธรรมชาติมาประกอบเข้ากับ เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท   Event Space Sharing – เปิดประสบการณ์ไลฟ์สไตล์อย่างเหนือระดับเพื่อสร้างภาพลักษณ์และช่างเวลาที่สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเป็นจะเป็นการเฉลิมฉลองความสำเร็จ การจัดกิจกรรมเปิดตัวสินค้า จัดกิจกรรมเวิร์กช็อปหรือเทรนนิ่ง ได้อย่างอิสระด้วยในทุกพื้นที่ เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท ที่นำเสนอด้วยคอนเซ็ปต์“Food Theater” สำหรับเอ็กซ์คลูซีฟดินเนอร์ และการจัดรับประทานอาหารทุกรูปแบบ ด้วยศักยภาพของครัวระดับมาตรฐานโรงแรมและภัตตาคารที่เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกถึง 2 แห่ง เปิดพร้อมสำหรับเชฟที่ต้องการจะจัด Chef’s Table ของตนเอง รวมไปถึงร้านอาหารภายนอกที่ต้องการจะจัดเลี้ยง ก็สามารถเข้ามาใช้พื้นที่ของห้องครัวเพื่อประกอบอาหารมื้อพิเศษและเตรียมพร้อมให้บริการกับลูกค้าในสไตล์เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท ตอบโจทย์ความต้องการทุกช่วงเวลาของชีวิต เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท ครบครันไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกระดับเวิลด์คลาส (World Class Facilities) ตอบโจทย์ทุกความต้องการของไลฟ์สไตล์แบบเหนือระดับ   นอกจากนี้ เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท ยังมี คริสตัล บ็อกซ์ (Crystal Box) ซึ่งมีโดดเด่นด้วยกระจกใสแบบรอบด้าน ทำให้สามารถมองเห็นและรับชมวิวทิวทัศน์ จากบริบทโดยรอบของกรุงเทพมหานครได้ในทุกช่วงเวลาอย่างกว้างขวางถึง 270 องศา เติมเต็มทุกกิจกรรมได้อย่างมีลงตัว โดยเน้นการออกแบบโปร่ง โล่ง สบาย ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกระดับเวิลด์คลาส (World Class Facilities) ที่ครบครัน รองรับการจัดประชุม การสัมมนา งานแถลงข่าว และงานเลี้ยงในรูปแบบต่างๆที่หลากหลายทั้งบรรยากาศ Indoor และ Outdoor ได้ถึง 200 ที่นั่ง เชื่อมต่อกับ “Sky Terrace” พื้นที่เอาท์ดอร์ด้วย Seamless Design ที่สร้างสรรค์พื้นที่ให้กลายเป็นสวนหย่อมลอยฟ้าขนาดใหญ่บนชั้น 19 ของอาคารสไตล์ทรอปิคอลรีสอร์ท ให้คุณได้อิ่มเอมกับสัมผัสธรรมชาติพร้อมสูดอากาศบริสุทธิ์ แม้อยู่ใจกลางเมือง ท่ามกลางความสดชื่นจากธรรมชาติ ท้องฟ้า และพระอาทิตย์ตกดิน(New Sunset Spot In The City) พื้นที่สำหรับการจัดกิจกรรม เอาท์ดอร์ที่พิเศษเหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็นการสนุกสนานกับงาน After Party,การเฉลิมฉลองสำเร็จอันยิ่งใหญ่ ดื่มด่ำบรรยากาศอันสวยงามโดยรอบพร้อมกับแชมเปญชั้นดี หรือแม้แต่การพบปะกับพันธมิตรทางธุรกิจระดับเวิลด์คลาสต่างๆ ใช้เวลากับการช่วงเวลาแห่งความสำเร็จ พร้อมชื่นชมพระอาทิตย์ตกดินจากโซน Sky Terrace ของเกษร เออร์เบิน รีสอร์ท ก็สามารถทำได้อย่างลงตัว ให้ความรู้สึกสดชื่นมีชีวิตชีวา สบาย และบริสุทธิ์ ช่วยปลุกแรงบันดาลใจ สร้างสรรค์ความคิดนอกกรอบและไอเดียใหม่ๆได้อย่างอิสระ   ยิ่งไปกว่านั้นที่ขาดไม่ได้สำหรับศูนย์ของ Gaysorn Community คือ Cocoona Lounge – A Sky Lounge ด้วยพื้นที่สวยงามและมีความยืดหยุ่น พื้นที่ของผู้ที่มี Passion และความชื่นชอบหรือรสนิยมในแบบเดียวกัน ที่จะเข้ามาร่วมมีปฏิสัมพันธ์ในการแสดงออกอย่างอิสระและสร้างสรรค์ พร้อมทั้งโอกาสในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และรสนิยมที่แตกต่างกันเพื่อบ่มเพาะแรงบันดาลใจและเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ร่วมกัน (Like-Minded Community) พร้อมที่จะต้อนรับผู้ที่ต้องการหาเส้นทางแห่งความสำเร็จแบบเหนือระดับ - เกษร เออร์เบิน รีสอร์ท คอมมูนิตี้ที่ดีที่สุดของคนยุคใหม่ ตั้งอยู่ชั้น L19 อาคาร เกษร ทาวเวอร์ เปิดพื้นที่ให้ Co-Sharing Experience แล้ววันนี้!   ฮอไรซอนบาร์ (The Horizon) พื้ที่นั่งทำงานแบบไม่ประจำ พร้อมทั้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อ สนับสนุนฟังก์ชัน รวมทั้งความช่วยเหลือในการจัดเตรียมเอกสารสำหรับการนำเสนอธุรกิจ คริสตัล บ็อกซ์ (Crystal Box) ซึ่งมีความโดดเด่นด้วยกระจกใสแบบรอบด้าน บันไดยาวที่เชื่อมต่อสมาชิกทั้งสองชั้น ฮอไรซอนบาร์ และบริการสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อสนับสนุนฟังก์ชัน รวมทั้งความช่วยเหลือในการ จัดเตรียมเอกสารสำหรับการนำเสนอธุรกิจ ล็อบบี้ต้อนรับ พื้นที่อำนวยความสะดวกและให้ข้อมูลแก่สมาชิก พื้นที่ห้องนั่งเล่นส่วนกลาง เชื่อมโยงสมาชิก ให้ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์และรสนิยมที่แตกต่างกัน เพื่อบ่มเพาะแรงบันดาลใจและเป็นจุดเริ่มต้นในการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ร่วมกัน (Like-Minded Community) ห้องประชุมขนาดเล็กล้อมรอบด้วยกระจกใส เปิดรับแสงธรรมชาติ และชมทัศนียภาพของเมือง    
ออลล์ อินสไปร์ฯ บุกตลาดใจกลางเมือง ย่านรัชดาภิเษก ทำเลทองของการลงทุน

ออลล์ อินสไปร์ฯ บุกตลาดใจกลางเมือง ย่านรัชดาภิเษก ทำเลทองของการลงทุน

บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบคอนโดมิเนียม ภายใต้แบรนด์ ดิ เอ็กเซล ไรส์ และอิมเพรสชั่น บุกตลาดใจกลางเมือง ย่านรัชดาภิเษก หนึ่งในย่านศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ (New CBD) เปิดตัว โครงการ ดิ เอ็กเซล รัชดา 18 คอนโด Low Rise คุณภาพเยี่ยมบนทำเลศักยภาพสูงสุด ใกล้รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีสุทธิสาร ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.79 ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า 800 ล้านบาท ทำเลน่าสนใจสำหรับอยู่อาศัย และการลงทุน ด้วยศักยภาพที่ดี ราคาที่สมเหตุสมผล มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันที่สุดบนทำเลรัชดา จึงเป็นโครงการที่ตอบโจทย์ได้ดีที่สุดในขณะนี้     นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา แนวถนนรัชดาภิเษก - พระราม 9 เป็นทำเลที่มีการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง พื้นที่บริเวณโดยรอบเป็นทำเลที่มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ทุกปี ซึ่งแต่ละโครงการได้รับผลตอบรับค่อนข้างดี และที่สำคัญโครงการที่เปิดขายใหม่ในทำเลนี้จะมีราคาขายขยับเพิ่มขึ้นทุกปี ส่งผลให้ตลาดที่อยู่อาศัยในย่านนี้เติบโตอย่างต่อเนื่อง แสดงให้เห็นว่าความต้องการคอนโดมิเนียมยังมีอยู่จำนวนมาก ทาง ออลล์ อินสไปร์ฯ จึงเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ ล่าสุด โครงการ ดิ เอ็กเซล รัชดา 18 เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดที่อยู่อาศัยทั้งเพื่อการอยู่อาศัยและการลงทุนในอนาคต   ‘ย่านรัชดาภิเษก’ ถือว่าเป็นทำเลฮอตฮิตของกรุงเทพฯ ที่เป็นแหล่งอยู่อาศัยของทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ เนื่องจากรัชดาเป็นหนึ่งในย่านศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ (New CBD) โดยในปัจจุบันจากการประเมินราคาที่ดินของกรมธนารักษ์ในปี 2559 - 2562 ของย่านรัชดาว่า มีราคาที่ดินตกอยู่ที่ตารางวาละ 350,000 - 450,000 บาท ซึ่งถือว่าเป็นเรทราคาสูง แต่นักลงทุนกลับกว้านซื้อที่ดินเหล่านี้ เพื่อรองรับการขยายตัวของอสังหาริมทรัพย์จากย่านธุรกิจอย่างสุขุมวิท เพลินจิต สีลม - สาทร ที่มีแนวโน้มขยายตัวในด้านประชากรและการพัฒนาธุรกิจอยู่อย่างต่อเนื่อง และจะเปลี่ยนให้รัชดากลายเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจขนาดใหญ่ในอนาคตอีกด้วย   ซึ่งทำเลนี้จะมี ชาวต่างชาติกลุ่มจีน ยุโรปตะวันออก และเกาหลี อาศัยอยู่จำนวนมาก โดยจุดเด่นของทำเลนี้ ก็คือ เป็นย่านธุรกิจที่มีชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนและมาอยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่จะนิยมซื้อหรือเช่าคอนโดเป็นหลักมีการขยายตัวทางด้านการคมนาคมและศูนย์การค้าสูงมาก ที่เห็นได้ชัดก็คือโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลาดพร้าว – สำโรง ห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่หลายแห่งเช่น เซ็นทรัลพลาซา แกรนด์ พระราม 9 และเป็นที่ตั้งของอาคารสำนักงานสำคัญๆ อีกมากมาย อย่างเช่น อาคาร The Super Tower อาคารสำนักงานหลายๆบริษัทอีกด้วย และที่สำคัญมีโครงการมักกะสัน - สุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นเส้นทางรถไฟฟ้าเชื่อมต่อสุวรรณภูมิกับเขตศูนย์กลางธุรกิจชั้นใน ทำให้เกิดความสะดวกในการเดินทางจากย่าน CBD ไปยังสนามบินมากขึ้น และมีความรวดเร็วในการเดินทางอีกด้วย จึงทำให้ทำเลนี้มีศักยภาพมากขึ้น และเป็นอีกหนึ่งทำเลน่าสนใจสำหรับที่อยู่อาศัย แหล่งงาน หรือแม้แต่การลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อการปล่อยเช่า     ด้านการลงทุนคอนโดมิเนียมในทำเลถนนรัชดาภิเษก มีอัตราเฉลี่ยผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า 6% เมื่อเปรียบเทียบกับทำเลในเขตกรุงเทพฯ ชั้นในแล้ว มีอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ 3 - 5% ส่งผลให้ทำเลนี้มีความน่าสนใจในด้านการลงทุนปล่อยเช่าเนื่องจากเป็นทำเลที่อยู่ใกล้โซนออฟฟิศ และยังมีศักยภาพในการปล่อยเช่าหรือขายต่อตลาดกลุ่มลูกค้าต่างชาติอีกด้วย     โครงการ ดิ เอ็กเซล รัชดา 18 (The Excel Ratchada 18) คอนโดมิเนียมรูปแบบ Low Rise ราคาเริ่มต้นเพียง 1.79 ล้านบาท* จำนวน 270 ยูนิต 2 อาคาร ทั้งรูปแบบ 1 ห้องนอน (25 - 29 ตร.ม.) และ 2 ห้องนอน (39 – 41 ตร.ม.) มูลค่าโครงการกว่า 800 ล้านบาท ตั้งอยู่บนทำเลในซอยรัชดาภิเษก 18 ซึ่งถนนรัชดาภิเษก ซึ่งมีทำเลที่เป็นจุดขายหลัก ซึ่งสามารถตอบโจทย์ความต้องการในด้านการอยู่อาศัย และการลงทุนจากต่างชาติ อีกทั้งยังโครงการยังให้ความสำคัญในเรื่องรูปแบบดีไซน์ ที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ภายใต้แนวคิด ‘Serenity Living’ ความสุขที่เรียบง่ายถ่ายทอดผ่านความร่มรื่นของต้นไม้รอบโครงการ รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ Lifestyle Lobby โครงการออกแบบมาให้เพดานสูงโปร่ง Co – working space พื้นที่ที่เป็นจุดเริ่มต้นของความคิดสร้างสรรค์ ห้องออกกำลังกาย หน้าผาปีนเขาจำลอง สระว่ายน้ำ สวนลอยฟ้าเติมเต็มความหมายของ ‘Serenity Living’     “ออลล์ อินสไปร์ฯ มีความตั้งใจในการพัฒนาคอนโดมิเนียมและการเลือกสรรทำเลที่ตั้งที่ดีที่สุด ตอบโจทย์ความต้องการ ของการอยู่อาศัยและการลงทุนได้เป็นอย่างดี ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ด้วยการออกแบบที่ทันสมัย ความคุ้มค่าในการลงทุน” นายธนากร กล่าวตอนท้าย   พบกับ โครงการ ดิ เอ็กเซล รัชดา 18 (The Excel Ratchada 18) “คนฉลาดสร้างโอกาสมากกว่ามองหา” สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 02 029 9999 หรือ www.allinspire.co.th
ศุภาลัย เตรียมเปิดเพิ่ม 2 โครงการใหม่แนวราบ ทำเล “รามอินทรา” และ “พุทธสาคร”

ศุภาลัย เตรียมเปิดเพิ่ม 2 โครงการใหม่แนวราบ ทำเล “รามอินทรา” และ “พุทธสาคร”

บมจ.ศุภาลัย เตรียมเปิดจอง 2 โครงการใหม่ ! พร้อมกัน “ศุภาลัย วิลล์ รามอินทรา 117” และ โนโว วิลล์ พุทธสาคร Pre-Sales 14-15 กรกฎาคม 2561 นี้ ณ สำนักงานขาย พร้อมของแถมและสิทธิพิเศษมากมาย     นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 3 นี้ บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการแนวราบอย่างต่อเนื่อง โดยยังคงมุ่งมั่นพัฒนาโครงการในทำเลศักยภาพ กับราคาที่คุ้มค่า ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้า โดยมีสินค้าให้เลือกหลากหลายรูปแบบทั้งบ้านเดี่ยว บ้านรุ่นใหม่ และทาวน์โฮม ให้สอดคล้องกับกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ล่าสุดเตรียมเปิด 2 โครงการแนวราบพร้อมกัน ศุภาลัย วิลล์ รามอินทรา 117 มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท และ โนโว วิลล์ พุทธสาคร มูลค่าโครงการ 550 ล้านบาท รวมมูลค่า 2 โครงการ 1,050 ล้านบาท     ศุภาลัย วิลล์ รามอินทรา 117 บนพื้นที่โครงการประมาณ 19 ไร่ กับบ้านแบบใหม่ล่าสุด ชูแนวคิดการออกแบบ “One Design Fits All” ด้วยหลักการออกแบบ Universal Design ที่มุ่งเน้นการตอบสนองการใช้งานของทุกคนทุกวัยในครอบครัว ด้วยพื้นที่ใช้สอยที่มากขึ้น ขยายความสุขให้กว้างขึ้น บนทำเลศักยภาพที่ให้คุณเดินทางไปยังใจกลางเมืองได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว ใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีบางชัน รถไฟฟ้าสายสีส้ม สถานีมีนบุรี ใกล้ทางด่วนวงแหวนตะวันออก (กาญจนาภิเษก) แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวย ความสะดวกครบครัน อาทิ Fashion Island The Promenade Big C Lotus โรงพยาบาลนพรัตน์ราชธานี โรงเรียนเศรษฐบุตรบำเพ็ญ ฯลฯ พบกับบ้านประหยัดพลังงานสไตล์โมเดิร์น มีให้เลือกถึง 4 แบบ หลากหลายฟังก์ชั่น ทั้งบ้านเดี่ยว และบ้านรุ่นใหม่ ขนาด 3 - 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ จอดรถ 2 คัน พื้นที่ใช้สอย 128 - 199 ตร.ม. ราคาเริ่มต้นเพียง 3.99 ล้านบาท ร่มรื่นด้วยสวนส่วนกลางภายในโครงการ สะดวกและปลอดภัยกับการเข้า - ออก ด้วยระบบ Easy Pass เฉพาะลูกบ้าน พร้อมกล้อง CCTV ภายในโครงการและระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง     โนโว วิลล์ พุทธสาคร บนพื้นที่โครงการ 21 ไร่ ทาวน์โฮม 2 ชั้น ประหยัดพลังงานสไตล์โมเดิร์น ขนาด 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ จอดรถ 2 คัน พื้นที่ใช้สอย 116 ตร.ม. ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.99 ล้านบาท กับแนวคิด “ให้ชีวิตคุณ...มีแต่เรื่องดีๆ” มอบพื้นที่ความสุขและความสะดวกสบายภายในบ้าน ทั้งคุ้มค่า ทุกพื้นที่การใช้งานและตอบโจทย์ทุก Lifestyle ทุกความต้องการอย่างลงตัว มาพร้อมการออกแบบด้วยแนวคิดการประหยัดพลังงาน โปร่งสบาย เลือกสรรวัสดุที่มีคุณภาพและได้มาตรฐาน เพิ่มพื้นที่สีเขียวโดยมีสวนส่วนกลาง สบายใจกับระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมกล้อง CCTV และเข้า-ออกโครงการด้วยประตูระบบ Easy Pass โดดเด่นด้วยทำเลคุณภาพเดินทางสะดวกบนถนนพุทธสาคร เชื่อมต่อหลายเส้นทางทั้งถนนเพชรเกษม ถนนบางบอน ถนนพุทธมณฑลสาย 4 และถนนเศรษฐกิจ เชื่อมต่อติดเมืองด้วยรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีพุทธมณฑลสาย 4 แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ Big C เพชรเกษม โรงเรียนอนุบาลเลิศหล้า และโรงพยาบาลกระทุ่มแบน เป็นต้น     สำหรับผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยในย่านรามอินทรา และ เพชรเกษม - พุทธสาคร เชิญร่วมงาน Pre-Sale 14 - 15 กรกฎาคมนี้ เลือกแปลงที่โดนใจในราคาพิเศษก่อนใคร รับฟรี! ของแถมหลายรายการ ณ สำนักขายโครงการ โทร. 1720 หรือดูรายละเอียดได้ที่ http://www.supalai.com  
เอสซีฯ เดินหน้าไตรมาส 3/61 รุกเปิดแนวราบทุกระดับราคา 10 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 9,200 ลบ.

เอสซีฯ เดินหน้าไตรมาส 3/61 รุกเปิดแนวราบทุกระดับราคา 10 โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 9,200 ลบ.

นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านสนับสนุนองค์กร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SCบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ  เปิดเผยว่า“ ในไตรมาส 3/61 SC มีแผนเปิดแนวราบ 10โครงการใหม่ มูลค่ารวมกว่า 9,200 ล้านบาทในหลายทำเลทุกระดับราคา พร้อมกับเตรียมจัดงาน Grand Opening เปิดให้เข้าชม 2 โครงการคอนโดฯ ระดับ Super Luxury ที่สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ คือ โครงการ SALADAENG ONE (ศาลาแดง วัน) และ โครงการ BEATNIQ (บีทนิค) มูลค่าโครงการรวม 8,400 ล้านบาท ที่เริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์ในปีนี้ ”   โดยโครงการแนวราบ 10 โครงการใหม่  อยู่ในทำเลครอบคลุมทั่วกรุงเทพ-ปริมณฑล ได้แก่ โซนปิ่นเกล้า , ราชพฤกษ์, พระราม 9, เสรีไทย และที่ฉะเชิงเทรา ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์เพฟ, เวนิว, บางกอก บูเลอวาร์ด, แกรนด์บางกอก บูเลอวาร์ด และ เดอะเจนทริ ระดับราคาตั้งแต่ 4-50 ล้านบาท รวมถึงโครงการเวิร์ฟ ทาวน์โฮม 2 ชั้น ราคาเริ่มต้น 2ล้านบาท ซึ่งทุกโครงการได้ถูกดีไซน์และออกแบบภายใต้แนวคิดการพัฒนาเพื่อตอบโจทย์เรื่อง human-centric เพื่อให้ฟังก์ชั่นต่างๆ รวมถึง facilities สิ่งอำนวยความสะดวก ภายในโครงการให้แต่ละแห่งสอดรับตรงกับ ไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าแต่ละกลุ่ม โดยจะทยอยเปิดเข้าชมโครงการตั้งแต่เดือนสิงหาคมเป็นต้นไป   ในส่วนโครงการแนวสูง บริษัทเตรียมจัดงาน Grand Opening โครงการศาลาแดง วัน ในระหว่างวันที่ 21-22 กรกฎาคมนี้ เพื่อเปิดให้ผู้สนใจเยี่ยมชมความปราณีตพิเศษสุดของคอนโดสร้างเสร็จสมบูรณ์ที่โดดเด่นในเรื่องงานสถาปัตยกรรมภายนอกและภายในอาคาร พร้อมกับวิวความสวยงามของธรรมชาติสีเขียวของสวนลุมพินี โดยเป็นอาคารสูง 33 ชั้น จำนวน185 ยูนิต ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพที่ศาลาแดงซอย 1 ใจกลาง CBD แหล่งธุรกิจและศูนย์การค้าชั้นนำ โดยเป็นห้องขนาด 1-3 ห้องนอน พร้อมห้องDuplex และ ห้องแบบ Penthouse เนื้อที่ตั้งแต่50 ตารางเมตรถึง 442 ตารางเมตร ในราคาเริ่มต้น 15 ล้านบาท ถึง 250 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 4,400 ล้านบาท ซึ่งได้เริ่มโอนกรรมสิทธิ์เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา สำหรับโครงการบีทนิค สุขุมวิท 32 คอนโดฯ หรู ที่มีดีไซน์เอกลักษณ์เฉพาะตัวด้วยกลิ่นอายสถาปัตยกรรมในแบบ Mid-Century Modern (MCM) ที่นับเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่บนถนนสุขุมวิท  ประกอบด้วยห้องชุด  197ยูนิต ขนาด 1 – 3 ห้องนอนพร้อมห้อง Duplex  ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 42 ตารางเมตร ไปจนถึง 204 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 13 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท โดยจะเริ่มทยอยส่งมอบในเดือนสิงหาคม พร้อมกับจัดงานGrand Opening อย่างเป็นทางการในเร็วๆ นี้   นายอรรถพล กล่าวสรุปว่า “ จากการตอบรับที่ดีของลูกค้า และจำนวนโครงการที่เปิดขายทั้งหมด ในไตรมาส 3/61 รวม 46 โครงการ (รวมโครงการเปิดใหม่) มูลค่าโครงการรวมกว่า41,000 ล้านบาท รวมถึงโครงการคอนโดที่สร้างแล้วเสร็จทยอยส่งมอบ จะสนับสนุนยอดขายและรายได้ของ SC ให้ได้ตามเป้าหมาย ”   สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม และลงทะเบียนล่วงหน้าเพื่อเยี่ยมชมโครงการใหม่พร้อมรับสิทธิพิเศษได้ที่www.scasset.com  หรือ โทร. 1749
พหลฯ-ประดิพัทธ์ ทำเลใหม่ในย่านสุดคลาสสิค

พหลฯ-ประดิพัทธ์ ทำเลใหม่ในย่านสุดคลาสสิค

เน็กซัส ชี้พหลฯ-ประดิพัทธ์เป็นตลาดคอนโดมิเนียมทำเลใหม่ในย่านสุดคลาสสิค สนนราคาขายถูกกว่าทำเลใกล้เคียงกันบนถนนพหลโยธิน ในระยะการเดินทางและสิ่งแวดล้อมเดียวกัน ทำเลศักยภาพที่มีแผนพัฒนาอย่างต่อเนื่อง คุ้มค่าทั้งในแง่ของการซื้อไว้เป็นทรัพย์สินและการลงทุนในอนาคต     นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ทำเลประดิพัทธ์เป็นทำเลใหม่ที่น่าจับตามอง ภาพรวมของย่านพหลฯ-ประดิพัทธ์ยังคงความคลาสสิค เป็นที่อยู่อาศัยของชุมชนเก่าแก่ โรงแรม เต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหารชื่อดัง ซึ่งประกอบกิจการในอาคารพาณิชย์ 3-4 ชั้น เป็นช่วง ๆ ตลอดแนวถนนประดิพัทธ์ การเจริญเติบโตของเมืองในช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้ศักยภาพในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของย่านนี้เพิ่มสูงขึ้น ปัจจุบันราคาที่ดินในตลาดตลอดแนวถนนเสนอขายที่ราคาตารางวาละ 600,000 – 800,000 บาท โดยบริเวณข้างเคียง ได้แก่ บริเวณซอยย่อยในทำเลอารีย์ บริเวณถนนพหลโยธินตั้งแต่ช่วงจตุจักรไปจนถึงสถานีบีทีเอสสะพานควาย และช่วงสถานีบีทีเอสสะพานควายไปตลอดจนถึงอนุสาวรีย์ฯ เสนอขายที่ดินที่ราคาตารางวาละ 600,000 – 800,000 บาท 900,000 – 1,000,000 บาท และ 1,200,000 – 1,500,000 บาท ตามลำดับ     ราคาคอนโดมิเนียมเฉลี่ยในทำเลพหลฯ-ประดิพัทธ์ปัจจุบันเสนอขายที่ราคาตารางเมตรละ 170,000 บาท ซึ่งเป็นระดับราคาเฉลี่ยที่ต่ำกว่าราคาคอนโดมิเนียมบนถนนเส้นหลักพหลโยธินตั้งแต่ช่วงสถานีบีทีเอสสะพานควายไปจนถึงอนุสาวรีย์ที่เสนอขายในราคา 218,000 บาท/ตารางเมตร โดยทั้งสองทำเลมีสภาพแวดล้อมใกล้เคียงกัน ทั้งในแง่ของขนาดถนน การคมนาคม และสาธารณูปโภค   สำหรับคอนโดมิเนียมในบริเวณข้างเคียง ได้แก่ บริเวณซอยย่อยในทำเลอารีย์ และบนถนนพหลโยธินในทำเลจตุจักร มีระดับราคาเฉลี่ยต่อตารางเมตรอยู่ที่ 154,000 บาท และ 166,000 บาท ตามลำดับ แม้ว่าทำเลดังกล่าวจะอยู่ห่างจากทำเลพหลฯ-ประดิพัทธ์ในระยะที่ไม่แตกต่างกัน แต่ระดับราคาคอนโดมิเนียมเฉลี่ยต่อตารางเมตรต่ำกว่า ซึ่งสอดคล้องกับปัจจัยทางด้านกายภาพของบริเวณซอยย่อยในทำเลอารีย์ ที่ส่วนใหญ่เป็นโครงการขนาดเล็ก ขนาดอาคารที่อยู่อาศัยไม่เกิน 8 ชั้น และที่ตั้งโครงการคอนโดมิเนียมทำเลจตุจักรมีระยะการเข้าถึงกรุงเทพฯ ชั้นในมากกว่า เมื่อเทียบกับทำเลอื่นข้างต้น     ทำเลใกล้กัน ในสิ่งแวดล้อมเดียวกัน   ทำเลพหลฯ-ประดิพัทธ์ สามารถเข้า-ออกได้หลายเส้นทาง และหลายรูปแบบ อยู่ในระยะเดินทางไปยังเส้นทางหลักถนนพหลโยธินและถนนพระรามที่ 6 โดยใช้เวลาประมาณ 5-10 นาทีด้วยรถยนต์ หรือในระยะเดินเท้า 10-15 นาที ใช้เส้นทางลัดไปยังทำเลอารีย์ได้จากซอยย่อยต่าง ๆ การเข้าถึงสถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุดทั้งสถานีสะพานควายและอารีย์ อยู่ในระยะเวลาที่ใกล้เคียงกันกับทำเลที่ตั้งที่อยู่ระหว่างสถานีรถไฟฟ้าบนถนนพหลโยธิน นอกจากนี้การใช้บริการทางพิเศษทั้งการเดินทางเข้าสู่กรุงเทพชั้นใน กรุงเทพฝั่งเหนือหรือวงแหวนรอบนอก ก็สามารถใช้บริการได้ในระยะรัศมี 2 กิโลเมตร     พื้นที่โดยรอบทำเลมีสาธารณูปโภคอื่น ๆ ครบครัน มีห้างสรรพสินค้าและ คอมมูนิตี้ มอลล์กว่า 10 แห่ง สถานศึกษาขนาดใหญ่ 2 แห่ง โรงพยาบาล 6 แห่ง สถานที่ราชการ 7 แห่ง และอาคารสำนักงานอีกนับไม่ถ้วนทั้งขนาดใหญ่ กลาง และเล็ก ยังไม่นับรวมถึงร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านสะดวกซื้อที่กระจายตัวอยู่อีกจำนวนมาก เมื่อเปรียบเทียบกับทำเลใกล้เคียง จะพบว่าสิ่งแวดล้อมโดยรอบแทบจะเป็นสิ่งแวดล้อมเดียวกัน   ทำเลที่มีแผนพัฒนาอย่างต่อเนื่อง   เป็นระยะเวลาเกือบ 20 ปีแล้ว ตั้งแต่มีโครงการรถไฟฟ้าบีทีเอสสายสีเขียวเปิดให้บริการ ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าเส้นแรกของประเทศไทยเชื่อมพื้นที่กรุงเทพฝั่งเหนือ (จตุจักร) กรุงเทพชั้นใน และฝั่งตะวันออก (แบริ่ง) การปรับเปลี่ยนผังเมืองตามการเจริญเติบโตของเมือง พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่สีน้ำตาลและมีสีแดงเป็นบางช่วง นั่นทำให้พื้นที่โซนนี้มีศักยภาพในการพัฒนาในอัตราส่วนที่ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับขนาดที่ดิน สามารถพัฒนาได้ทั้งที่อยู่อาศัยแนวราบและแนวสูง รวมไปถึงเพื่อการพาณิชย์ โรงแรมและสำนักงาน เป็นต้น     ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างคาดว่าจะเปิดใช้บริการในปี 2563 ได้แก่ ส่วนคมนาคม คือรถไฟฟ้าสายสีแดง ตลอดแนวถนนกำแพงเพชร 5 โดยสถานีที่ใกล้กับทำเลนี้ที่สุดคือ สถานีประดิพัทธ์ ซึ่งจะทำให้การเดินทางสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น และส่วนที่เป็นอาคาร 2 โครงการ คือ เดอะไรส์ บาย ศรีศุภราช เป็นโครงการมิกซ์ ยูสของกลุ่มศรีศุภราชกรุ๊ป รวมค้าปลีก ช็อปปิ้งมอลล์และโรงแรมระดับ 4 ดาว โครงการก่อสร้างโรงพยาบาลวิมุตติ ของบริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เป็นโรงพยาบาลและศูนย์สุขภาพ บนพื้นที่รวม 7 ไร่เศษ นอกจากนี้ยังมีโครงการขนาดใหญ่อื่น ๆ ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งมีแผนจะเปิดให้บริการภายใน 5-15 ปีนี้ ได้แก่ เดอะ ยูนิคอร์น โครงการมิกซ์ ยูส ของบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) มีแนวคิดจะสร้างให้เป็นศูนย์กีฬา รวมร้านค้าปลีกและพื้นที่สำนักงานไว้ด้วยกัน และโครงการ บางกอก เทอร์มินอล อยู่ระหว่างการพัฒนาที่ดินให้เป็นมิกซ์ ยูส มีพื้นที่สำนักงาน โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ ที่จอดรถ และพื้นที่ส่วนหนึ่งเป็นสถานีขนส่ง สุดท้ายคือโครงการพัฒนาสถานีกลางบางซื่อ บนพื้นที่กว่า 218 ไร่ ตามแนวคิดการพัฒนาพื้นที่ตามโครงข่ายสถานีขนส่งมวลชนแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร ที่เป็นแหล่งศูนย์รวมคมนาคมทางรางระดับอาเซียน  
พฤกษา เปิดจอง “ภัสสร สรงประภา” บ้านเดี่ยว 3 ชั้นสุดหรูสไตล์โมเดิร์น

พฤกษา เปิดจอง “ภัสสร สรงประภา” บ้านเดี่ยว 3 ชั้นสุดหรูสไตล์โมเดิร์น

นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท แวลู บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ เร็วๆ นี้ บริษัทฯ ได้เปิดจองโครงการบ้านเดี่ยว “ภัสสร สรงประภา” บ้านเดี่ยว 3 ชั้นระดับพรีเมียม เหนือกว่าด้วยทำเลที่ดีที่สุดในย่านสรงประภา สะดวกทุกการเดินทาง ใกล้ทางด่วน และรถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต) สถานีดอนเมือง มากด้วยฟังก์ชั่นใช้สอยสำหรับชีวิตเมืองในแบบ Urban Life Style รองรับทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต โดยลูกค้าสามารถสัมผัสได้ถึงความหรูหราตั้งแต่ทางเข้าโครงการ ตัวบ้านที่ออกแบบด้วยดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ สไตล์ Modern Elegance มาพร้อมกับวัสดุตกแต่งอย่างเหนือระดับจากแบรนด์ชั้นนำ อีกทั้งยังนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ เช่น การติดสัญญาณกันขโมยแบบ Magnatic และกล้องวงจรปิดภายในบ้านทุกหลัง เข้าออกโครงการด้วยระบบ Easy Pass และพื้นที่ส่วนกลางระดับพรีเมียม เช่น Pavillion กลางสวนสาธารณะ, สนามเด็กเล่น, สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ ทั้งสระเด็กและสระผู้ใหญ่ พื้นที่โครงการกว้างขวางประมาณ 25 ไร่ ขณะที่จำนวนยูนิตมีเพียง 96 หลังเท่านั้น เป็นส่วนตัว อยู่สบายไม่แออัด ราคาเริ่มต้น 10-15 ล้านบาท     แบบบ้านให้เลือก 2 แบบ ได้แก่ Prelite พื้นที่ใช้สอย 260 ตร.ม. ขนาดที่ดินเริ่มต้น 55 ตร.ว. ประกอบไปด้วย 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ เพิ่มความหรูหรา และทันสมัยด้วยระเบียงกระจกนิรภัย เน้นประตู-หน้าต่างกระจกบานใหญ่ เปิดรับทัศนียภาพได้กว้าง โปร่งโล่ง รับแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ ห้องรับแขก, ส่วนรับประทานอาหาร, ส่วนเตรียมอาหาร, ส่วนพักผ่อนบนชั้น 2 แบบ Double Volume โปร่งโล่ง ด้วยความสูงของเพดานถึง 6.6 เมตร, ห้องครัว, ห้องแม่บ้านพร้อมห้องน้ำ จอดรถได้ 2 คัน Prelegance พื้นที่ใช้สอย 274 ตร.ม. ขนาดที่ดินเริ่มต้น 56 ตร.ว. ประกอบไปด้วย 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ ห้องรับแขก ส่วนรับประทานอาหาร ส่วนเตรียมอาหาร ห้องครัว ส่วนพักผ่อนบนชั้น 3 ที่สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นได้ตามต้องการ รองรับทุกกิจกรรมของครอบครัว, ห้องแม่บ้านพร้อมห้องน้ำ และที่จอดรถ 2 คัน     สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการครบครันทั้ง คลับเฮ้าส์, สระว่ายน้ำระบบเกลือ, ฟิตเนส, ห้องอเนกประสงค์, สวนสาธารณะขนาดใหญ่, Pavilion กลางสวน และ Jogging Track ระบบรักษาความปลอดภัยระดับพรีเมียม ด้วยการติดตั้งสัญญาณกันขโมย และกล้องวงจรปิดในตัวบ้านให้ทุกยูนิต ประตูทางเข้าแบบ Double Gate เข้าออกด้วยระบบ Easy Pass กล้องวงจรปิดที่ทางเข้าออกและถนนเมน พร้อมเจ้าหน้าที่ดูแลรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม.   โครงการตั้งอยู่บนโลเคชั่นที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในย่านสรงประภา สามารถเดินทางได้สะดวกสบายด้วยการเชื่อมต่อกับถนนสายหลักอย่าง ถนนวิภาวดีรังสิต, ถนนเลียบคลองประปา, ถนนศรีสมาน, ถนนติวานนท์ และ ถนนแจ้งวัฒนะ ใกล้ทางพิเศษอุดรรัถยา (ทางด่วนสายบางนา-ปากเกร็ด), ทางด่วนดอนเมืองโทลล์เวย์ และ โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดง สถานีดอนเมือง (โครงการในอนาคต) อีกทั้งยังตั้งอยู่บนทำเลที่ใกล้ชุมชนเมืองขนาดใหญ่ ใกล้แหล่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ สนามบินดอนเมือง, หน่วยงานราชการ, สถานศึกษา, โรงพยาบาล, ห้างสรรพสินค้า, รวมถึงร้านค้าและตลาดสดอย่างครบถ้วน สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 1739 หรือ pruksa.com”
เอ็มเพอเร่อร์ฯ โชว์ “สิ่งมหัศจรรย์ ” ตอกย้ำความเป็นผู้นำสร้าง “คฤหาสน์หรู” ชูงานสถาปัตยกรรม “เหนือกาลเวลา” ผสานความร่วมสมัยอย่างลงตัว

เอ็มเพอเร่อร์ฯ โชว์ “สิ่งมหัศจรรย์ ” ตอกย้ำความเป็นผู้นำสร้าง “คฤหาสน์หรู” ชูงานสถาปัตยกรรม “เหนือกาลเวลา” ผสานความร่วมสมัยอย่างลงตัว

  ดิ เอ็มเพอเร่อร์ เฮ้าส์ ตอกย้ำผู้นพสร้างบ้านหรู พาชม "คฤหาสน์สุดหรู" ย่านงามวงค์วาน มูลค่ากว่า 200 ล้านบาท ผ่านกระบวนการ Integrated  home  design, construction and interior decoration services for high class residence รายแรกและรายเดียวของไทย     คฤหาสน์หรูสไตล์ NEO Renaissance ขนาด 1,300 ตร.ม. หลังนี้ นับเป็นความภาคภูมิใจของเอ็มเพอเร่อร์ ฯ เพราะผลงานที่สร้างเสร็จแล้ว มีความโดดเด่นและสง่างามมาก เมื่อเทียบกับบ้านทั่วไปซึ่งได้มีกาณสกษารายละเอียดทุกขั้นตอน และให้ความสำคัญกับทุกส่วน แม้แต่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เพื่อให้ได้บ้านที่มีทั้งความหรูหรา สง่างาม ถูกต้องตามหลักสถาปัตยกรรมสไตล์คลาสสิค แต่ปรับใช้งานได้ดีกับสภพภูมิอากาศของประเทศไทย ที่ต้อมาพร้อมฟังก์ชันการใช้งานภายในที่ตอบโจทย์ ตรงกับความต้องการของผู้อาศัย เรียกได้ว่าบ้านจาก เอ็มเพอเร่อร์ ฯ ทุกหลังออกแบบพิเศษ (Customized) ตามความต้องการของลูกค้าโดยเฉพาะ  จุดเด่นของบ้าน จาก เอ็มเพอเร่อร์ ฯ คือทุกหลังยังได้เรียกว่าเป็นงานสถาปัตยกรรมทำมือ (Handmade Architecture) ที่ต้องใช้ทักษะของช่างที่มีฝีมือชั้นสูง ในการรังสรรค์งานศิลปะ และการบริหารจัดการของทีมงานก่อสร้างที่มีมาตรฐาน เพื่อให้ได้งานที่มีความสง่างามและคุณภาพที่เราให้ความสำคัญอีกด้วย บ้านหลังนี้ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้าง และตกแต่งภายในประมาณ 2 ปีครึ่ง ซึ่งงานตกแต่งภายในมีการผสมผสานทั้งงานแบบยุโรปคลาสลิก ความทันสมัย แบบโมเดิร์น และความเรียบง่ายสไตล์เซน เข้าไว้ด้วยกันอีกด้วย โดยแบ่งส่วนการดีไซน์และการตกแต่งได้อย่างลงตัว     สิ่งที่ท่านจะได้พบในบ้านหลังนี้ คือ ความสูงสง่า ยิ่งใหญ่ อลังการ ของตัวอาคารที่มีความสวยงามของงานสถาปัตยกรรมคลาสสิค Neo Renaissance  ส่วนประดับตัวอาคาร งานเสา งานเสาประดับอาคารภายนอกและหัวเสาแบบไอโอนิค ที่ถูกแบบลวดลายให้สวยงามอ่อนช้อยและขึ้นรูปเฉพาะบ้านแต่ละหลัง เมื่อเข้าสู่ตัวบ้านจะพบโถงหลักของตัวบ้านที่มีความสูง สามารถมองเห็นยอดโดมได้จากภายในบ้าน และเป็นทางเดินเพื่อจ่ายไปยังส่วนต่างๆ ของตัวบ้าน ภายในห้องต่างๆ ยังมีภาพเพ้นท์บนผนัง เทคนิคการทำสีพ่น ขาวครีมงาช้าง ปัดเหลือบทอง ซึ่งจะต้องเป็นช่างที่ชำนาญ เพื่อออกมาดูสวยงาม สีที่ถูกต้องยิ่งเสริมให้บ้านดูดีรสนิยม และงานเฟอร์นิเจอร์พร้อมส่วนประดับไฟต่างๆ ซึ่งเป็นแบรนด์หรูจากอิตาลี ก็ถูกนำมาใช้ในบ้านหลังนี้อีกด้วย จึงยิ่งทำให้ได้ความรู้สึกถึงความโดดเด่นมากยิ่งขึ้นไปอีก เพราะ เอ็มเพอเร่อร์ ฯ ไม่เพียงแค่สร้างบ้าน แต่เราสร้างสิ่งมหัศจรรย์นั่นเอง  
แอสเสท เวิรด์ รีเทล รุกทำเลทองรีเทลย่านบางนาพร้อมเปิดตัว ‘ลาซาล อเวนิว’ คอมมูนิตี้มอลล์แนวใหม่ตอบโจทย์ทุกกลุ่มไลฟ์สไตล์ 24 ก.ค.นี้แน่นอน

แอสเสท เวิรด์ รีเทล รุกทำเลทองรีเทลย่านบางนาพร้อมเปิดตัว ‘ลาซาล อเวนิว’ คอมมูนิตี้มอลล์แนวใหม่ตอบโจทย์ทุกกลุ่มไลฟ์สไตล์ 24 ก.ค.นี้แน่นอน

นายมานพ คำสว่าง ผู้จัดการบริหารทรัพย์สิน บริษัท แอสเสท เวิรด์ รีเทล จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันภาพรวมการแข่งขันในกลุ่มตลาดธุรกิจรีเทลพื้นที่กรุงเทพฯ และกลุ่มเมืองเศรษฐกิจ มีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มจะขยายตัวต่อไปอีก 1-2 ปีข้างหน้าอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามแม้การแข่งขันจะสูงขึ้นแต่ยังมีโอกาสหรือปัจจัยที่เอื้อต่อการลงทุน อาทิ การขยายตัวของเมือง รวมถึงการขยายตัวของนักท่องเที่ยวที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการดึงดูดนักลงทุน ทั้งนี้ การพัฒนาโครงการใหม่ผู้ประกอบการต้องวางกลยุทธ์ให้เกิดความแตกต่างและมีศักยภาพที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้เน้นสร้างมิติใหม่ของธุรกิจให้มีความแปลกใหม่ หลากหลายแตกต่างจากธุรกิจรีเทลอื่นๆ ด้วยการใช้โมเดลตลาดชุมชนผสมผสานความลงตัวระหว่างผู้เช่ารายใหญ่และรายย่อย เพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายสร้างการเติบโตระยะยาว รวมถึงพัฒนารูปแบบศูนย์การค้าให้มีความทันสมัย แตกต่าง ตอบโจทย์ความต้องการ จึงได้ประกาศแผนพัฒนาโครงการ ‘ศูนย์การค้าลาซาล อเวนิว’ บนทำเลลาซาล-แบริ่ง ด้วยงบลงทุนกว่า 350 ล้านบาทขึ้น และได้จัด Soft Grand Opening ไปแล้วเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน ที่ผ่านมา ท่ามกลางกระแสตอบรับจากกลุ่มคนในชุมชนเข้าร่วมงานจำนวนมาก
Spaces ผู้บุกเบิกโคเวิร์คกิ้งและพื้นที่สำนักงานพร้อมใช้สุดสร้างสรรค์  ร่วมลงนามในสัญญาเป็นผู้เช่ารายใหม่ล่าสุดของเอ็มไพร์ ทาวเวอร์

Spaces ผู้บุกเบิกโคเวิร์คกิ้งและพื้นที่สำนักงานพร้อมใช้สุดสร้างสรรค์ ร่วมลงนามในสัญญาเป็นผู้เช่ารายใหม่ล่าสุดของเอ็มไพร์ ทาวเวอร์

Spaces (สเปซเซส) ผู้บุกเบิกพื้นที่สำนักงานสุดสร้างสรรค์จากอัมสเตอร์ดัม ร่วมเซ็นสัญญาเป็นผู้เช่ารายใหม่กับเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ มุ่งขยายสาขาที่สามในประเทศไทยในย่านธุรกิจใจกลางเมืองบนถนนสาทร เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้า โดยคาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบในไตรมาสที่สี่บนพื้นที่ชั้น M และชั้น 27 ณ เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ ด้วยพื้นที่การทำงานที่มากถึง 2,974 ตารางเมตรและจำนวนที่นั่งสำหรับการทำงานกว่า 373 ที่นั่ง อีกทั้งรองรับการประชุมด้วย 3 ห้องประชุม พร้อมมอบสภาพแวดล้อมการทำงานที่ยืดหยุ่นแก่กลุ่มคนทำงานที่มีอาชีพอิสระ ผู้ประกอบการ และกลุ่มสตาร์อัพ รวมถึงบริษัทที่ต้องการพื้นที่ๆ สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของบริษัทได้ในอนาคต คุณโนเอล โค้ก ผู้อำนวยการใหญ่ สเปซเซส ประจำประเทศไทย ไต้หวัน และเกาหลี กล่าวว่า เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมลงนามในสัญญาเช่าพื้นที่กับเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ ในครั้งนี้ สำหรับการผลตอบรับที่ดีของ Spaces ทั้งสองสาขา ได้แก่ โครงการซัมเมอร์ฮิลล์ และจัตุรัสจามจุรี ถือได้ว่าเป็นสัญญาณที่ยืนยันได้ว่าเราได้ก้าวสู่ยุคแห่งการทำงานนอกสถานที่อย่างแท้จริง นอกจากนี้เหล่านักธุรกิจและผู้ประกอบการจำนวนมากยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของการนำธุรกิจตนเองไปสู่ศูนย์กลางของคอมมิวนิตี้ธุรกิจ Spaces ณ เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ แห่งนี้ จึงได้จัดสรรพื้นที่ทำงานแบบโคเวิร์คกิ้งและออฟฟิศแบบส่วนตัวให้เลือกตามความต้องการ พร้อมบรรยากาศที่สร้างสรรค์และเหมาะแก่การสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ รวมถึงความสะดวกต่อการเข้าถึงศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ ผลการสำรวจล่าสุดที่ได้รวบรวมข้อมูลจากนักธุรกิจจำนวนกว่า 18,000 คน จาก 96 บริษัท พบว่า ร้อยละ 80 ของผู้ตอบแบบสอบถามรู้สึกว่าการทำงานในรูปแบบที่ให้ความยืดหยุ่นได้ สามารถช่วยให้ธุรกิจรวมถึงการสรรหาและรักษาพนักงานมีประสิทธิผลที่ดียิ่งขึ้น ทั้งยังช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับการทำงาน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและผลการดำเนินงานอีกด้วย คุณวัลลภา ไตรโสรัส กรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มแอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ เป็นอาคารสำนักงานที่สูงที่สุดในประเทศไทยและสูงที่สุดเป็นอันดับที่ 6 ของกรุงเทพฯ จึงถือว่าเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่สำคัญ ด้วยสถานที่ตั้งในย่านใจกลางเขตเศรษฐกิจของกรุงเทพฯ จึงมอบความสะดวกในการเชื่อมต่อด้านการคมนาคมผ่านสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสช่องนนทรีและรถโดยสารด่วนพิเศษ สถานีสาทร รวมถึง Em Space ศูนย์รวมบริการแบบครบวงจรที่ช่วยเติมเต็มไลฟ์สไตล์ของทุกวันทำงานด้วยร้านค้า ร้านอาหาร ฟิตเนสและอื่นๆ อีกมากมาย ได้แก่ เวอร์จิ้น แอ็คทีฟ, ท็อปส์ มาร์เก็ต และ เอเชียบุ๊คส์ ด้านคุณโสมพัฒน์ ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มแอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น เผยว่า เรามีความยินดีที่ Spaces ได้เลือกเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ เป็นสาขาที่สามในประเทศไทย ซึ่งเราคาดว่าการมอบพื้นที่การทำงานที่ยืดหยุ่นนี้จะช่วยเติมเต็มบรรยากาศที่ดีให้แก่ออฟฟิศทำงานในย่านสาทรต่อไป Spaces ณ เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ จะพร้อมเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในไตรมาสที่ 4 นอกจากนี้ Spaces สาขาแรก ณ ชั้น 3 ของซัมเมอร์ฮิลล์ และสาขาที่สองบนชั้น 24 อาคารจัสตุรัสจามจุรี ได้พร้อมเปิดให้บริการแล้ว สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ Spaces ณ เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ สามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่ www.spacesworks.com
‘ฮาบิแทท กรุ๊ป’ ลุยเปิด 3 โครงการใหม่ มูลค่า 3,000 ลบ.  รับเทรนด์อสังหาฯเพื่อการลงทุนมาแรง  เผยครึ่งปีแรกกวาดยอดขายทะลุ 1,900 ลบ.

‘ฮาบิแทท กรุ๊ป’ ลุยเปิด 3 โครงการใหม่ มูลค่า 3,000 ลบ. รับเทรนด์อสังหาฯเพื่อการลงทุนมาแรง เผยครึ่งปีแรกกวาดยอดขายทะลุ 1,900 ลบ.

“ฮาบิแทท กรุ๊ป” รุกเปิด 3 โครงการใหม่ เจาะตลาดกรุงเทพฯ และพัทยา มูลค่ารวม 3,000 ล้านบาท รับเทรนด์อสังหาฯเพื่อการลงทุนมาแรง พบสถิตินักลงทุนเติบโตกว่า 10-20%ต่อปี ขณะที่ต่างชาติมีแนวโน้มซื้ออสังหาฯไทยปล่อยเช่าเพิ่มขึ้น เผยครึ่งปีแรกกวาดยอดขาย1,900 ล้านบาท คิดเป็น 63% ของเป้ายอดขายทั้งปี 3,000 ล้านบาท   นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด ผู้นำด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับพรีเมี่ยมเพื่อการลงทุนของไทย เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีหลัง 2561 บริษัทฯเตรียมเปิดตัว 3 โครงการใหม่ มูลค่ารวมทั้งสิ้น 3,000 ล้านบาท ตั้งอยู่ในทำเลใจกลางเมืองกรุงเทพฯ และพัทยา พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียม เพื่อการอยู่อาศัยและการลงทุน   โดยในไตรมาส 3 จะเปิดตัว 2 โครงการ ภายใต้ชื่อ ‘วาลเด้น’ (Walden) พัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ลักชัวรี่ เพื่อการอยู่อาศัยและการลงทุน นำร่องด้วยการเปิดตัวโครงการ ‘วาลเด้น’ (Walden) สุขุมวิท 39’ สูง 8 ชั้น จำนวน 116 ยูนิต บนเนื้อที่ 0-3-22 ไร่ ในซอยสุขุมวิท 39 มูลค่าโครงการ 950 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 5.6 ล้านบาท ส่วนอีกโครงการคือ ‘วาลเด้น สุขุมวิท 31’ ตั้งอยู่ในอยู่ซอยสุขุมวิท 31 บนเนื้อที่ 0-2-65.25 ไร่ มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ลักชัวรี่ สูง 8 ชั้น จำนวน 104 ยูนิต ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 5.6 ล้านบาท “สุขุมวิทนับเป็นศูนย์กลางธุรกิจที่มีความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศและมีศักยภาพที่ดีในด้านการเดินทาง จึงยังคงมีดีมานด์อยู่อย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุผลที่สุขุมวิทไม่เพียงแค่เป็นทำเลที่อยู่อาศัย แต่ยังเป็นทำเลที่มีองค์ประกอบครบถ้วน มีสำนักงานชั้นนำ โรงแรม 5 ดาว แหล่งช้อปปิ้ง ท่องเที่ยว โรงพยาบาล และสถานศึกษาชื่อดัง ทำให้เรามั่นใจว่าทั้ง 2 โครงการได้รับการตอบที่ดีจากลูกค้า เพราะด้วยศักยภาพทำเลที่ตั้งของโครงการ วาลเด้น สุขุมวิท 39 และ วาลเด้น สุขุมวิท 31 อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้า BTS พร้อมพงษ์ ทำให้การเดินทางไปยังพื้นที่ต่างๆรอบกรุงเทพฯได้อย่างสะดวกสบาย อีกทั้งยังใกล้กับสถานที่สำคัญมากมาย อาทิ ห้างสรรพสินค้าเอ็มโพเรียม, ดิ เอ็มควอเทียร์, สถานศึกษาชื่อดัง หากพิจารณาในแง่ของการลงทุนทั้งจากการปล่อยเช่าและการถือครองระยะยาว ทำเลสุขุมวิทนี้ถือว่ามีศักยภาพในแง่การลงทุนสูงจากดีมานด์ใหม่ที่เพิ่มขึ้น ทั้งชาวไทยและต่างชาติที่ย้ายมาอยู่อาศัยตามสถานที่ทำงาน โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น และชาวจีน รวมถึงนักลงทุนในอสังหาฯ ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของฮาบิแทท กรุ๊ป” ทั้งนี้ โครงการ วาลเด้น สุขุมวิท 39 และ วาลเด้น สุขุมวิท 31 จะมีโมเดลธุรกิจที่แตกต่างจากพัทยา โดยมีทั้งรูปแบบซื้อเพื่อลงทุนและซื้อเพื่อพักอาศัย แต่จะเน้นที่รูปแบบของการลงทุนเป็นหลัก โดยบริษัทฯจะ มีการบริหารจัดการการเช่าและอำนวยความสะดวกเรื่องการบำรุงรักษาห้องให้ผ่านบริษัท ฮาบิแทท ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือที่มีทีมงานมืออาชีพ มีประสบการณ์ด้านการบริหารจัดการการเช่าเป็นผู้ดูแล และอำนวยความสะดวกให้แก่นักลงทุน อีกทั้งยังกำไรจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) 3-5% ในทุกๆปี   สำหรับอีกหนึ่งโครงการ จะขยายโครงการลงทุนเพิ่มเติมในพัทยาเหนือ มูลค่าโครงการ 1,250 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4 โดยยังคงยึดโมเดลการลงทุนแบบการรันตีค่าเช่า โดยมีเชนโรงแรมที่มีชื่อเสียงจากสหรัฐอเมริกา เป็นที่ยอมรับระดับโลกเข้ามาเป็นผู้บริหารและจัดการการเช่า   ผลการดำเนินงานของฮาบิแทท กรุ๊ป ในครึ่งปีแรก สามารถทำยอดขายได้ 1,900 ล้านบาท หรือคิดเป็น 63% ของเป้าหมายยอดขายรวมที่ตั้งไว้ 3,000 ล้านบาท จากปีก่อนที่มียอดขาย 1,298 ล้านบาท เติบโตสูงถึง 131% จากปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการขายโครงการที่มีอยู่เดิมอย่างโครงการครอสทู พัทยา โอเชี่ยนเฟียร์ (X2 Pattaya Oceanphere) มียอดขายแล้ว 70%, โครงการเบสท์ เวสเทิร์น พรีเมียร์ เบย์เฟียร์ พัทยา (Best Western Premier Bayphere Pattaya) คอนโดสไตล์รีสอร์ท ติดชายหาดนาจอมเทียน มียอดขายแล้ว 100% โครงการบลูเฟียร์ พัทยา (BluPhere Pattaya) ที่ได้ใช้ เบสท์ เวสเทิร์น พรีเมียร์ คอลเลคชั่น แบรนด์โรงแรมระดับพรีเมี่ยมบริหารจัดการมียอดขายแล้ว 100%, โครงการวินด์แฮม แอทลาส วงศ์อมาตย์ พัทยา (Wyndham Atlas Wongamat Pattaya) คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ บนทำเลทอง วงศ์อมาตย์ ที่มียอดขายแล้ว 90%, โครงการ เลอรอย ร่วมฤดี (LEROY Ruamrudee) ที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี่ ตั้งอยู่ใจกลางเมืองซอยร่วมฤดี ที่ปิดการขายแล้ว 100% และโครงการใหม่ที่ทำการเปิดขายไปตอนต้นปีอย่างโครงการ วาลเด้น อโศก ซึ่งมียอดขายแล้วถึง 80%   นายชนินทร์ กล่าวว่า ภาพรวมการลงทุนอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน มีการเติบโตที่ชัดเจนมากขึ้นทุกปี ทั้งจากนักลงทุนไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา พบว่านักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในคอนโดมิเนียมจำนวนมาก เห็นได้จากโควต้าการขายในส่วนต่างชาติสามารถขายได้ค่อนข้างเร็ว และมั่นใจว่าตลาดอสังหาฯเพื่อการลงทุนมีแนวโน้มการเติบโตดีต่อเนื่องไปอีกหลายปี   “เศรษฐกิจในประเทศไทยอยู่ในทิศทางที่ดีขึ้น ดอกเบี้ยมีอัตราต่ำไม่ถึง 1% ด้านภาคอสังหาฯจึงมีทิศทางที่เป็นบวก ส่งผลให้คนหันมาลงทุนในอสังหาฯเพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีมูลค่าเพิ่มตลอด เนื่องจากการลงทุนหุ้นมีความเสี่ยงสูงและโอกาสขาดทุนมีอยู่ นักลงทุนจึงกระจายความเสี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำกว่า และผลตอบแทนสม่ำเสมอ โดยการเข้ามาลงทุนในอสังหาฯ ซึ่งสถิตินักลงทุนเติบโตขึ้นมาปีละ 10-20% ทุกปี ส่วนคนที่เคยลงทุนอสังหาฯ อยู่แล้วก็ยังลงทุนต่อเนื่อง”   ด้านนักลงทุนชาวไทยมีการเติบโตถึง 60% และในส่วนของนักลงทุนชาวต่างชาติ มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีนักลงทุนชาวสิงคโปร์ ฮ่องกง และจีนที่มีสัดส่วนมากสุดถึง 40% ก็เริ่มเห็นนักลงทุนจากประเทศอื่นๆเพิ่มมากขึ้นอย่าง ยุโรป ตะวันออกกลาง และเมียนมาร์ โดยพบว่ามีตัวเลขการเติบโตปีละ 20-30% เนื่องจากอสังหาฯในเมืองใหญ่มีราคาสูงขึ้นมาก ซึ่งหากต้องการลงทุนจำเป็นต้องใช้เงินลงทุนอย่างน้อย 20-30 ล้านบาท เพื่อซื้อคอนโดมิเนียม 1 ห้อง ขณะที่อัตราการปล่อยเช่าจะได้ผลตอบแทน (Yield) เพียง 2-3% เท่านั้น ซึ่งไม่คุ้มกับการลงทุนนัก   โดย ฮาบิแทท กรุ๊ป การันตีอัตราผลตอบแทนของค่าเช่าในโครงการอสังหาฯเพื่อการลงทุนต่างๆสูงถึง 6% นาน 5 ปี ประกอบกับโครงการมีการคำนึงถึงทำเลที่ตอบโจทย์ การออกแบบและดีไซน์ที่ดี รวมการตกแต่งบิลต์อิน เครื่องใช้ไฟฟ้า อีกทั้งยังได้กำไรจากส่วนต่างราคา (Capital Gain) จากทิศทางของราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้น 3-5% ในทุกๆปีอีกด้วย “นักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้อสังหาฯเพื่อการลงทุนมีความคึกคักมากขึ้น และนักลงทุนคนไทยก็หันมาลงทุนในตลาดอสังหาฯเช่นกัน ซึ่งในกรุงเทพฯทำเลใจกลางหรือ CBD ยังเติบโตไปได้เรื่อยๆ เนื่องจากซัพพลายยังมีค่อนข้างจำกัด เทรนด์การลงทุนส่วนมากอยู่ในเมืองจะซื้อเพื่อเป็นบ้านหลังที่สอง หรือซื้อเพื่อปล่อยเช่า ก็จะมีผู้เช่าต่างชาติที่เข้ามาทำงานในไทยทั้งคนยุโรป และญี่ปุ่น ซึ่งรูปแบบการพัฒนาอสังหาฯเพื่อการลงทุนของฮาบิแทท กรุ๊ป ถือว่าตอบโจทย์นักลงทุนเป็นอย่างมาก เพราะฮาบิแทท กรุ๊ปเข้ามาดูแลให้ทั้งหมดตั้งแต่ผลตอบแทนที่ชัดเจน ดูแลการเช่าระยะยาวเป็นสัญญาทั้ง การซ่อมแซมและบำรุงรักษา โดยในส่วนของโครงการในพัทยานักลงทุนยังสามารถเข้ามาใช้ห้องได้ปีละ 14 คืนและมีการบริหารจัดการการเช่าโดยเครือโรงแรมระดับ 5 ดาวที่ได้มาตรฐานระดับโลก” สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการต่างๆ ของฮาบิแทท กรุ๊ป ได้ที่เว็บไซต์ www.habitatgroup.co.th โทร. 02 168 8266 หรือ 081 451 0002.
เดอะคิวบ์ พลัส พหลโยธิน 56 นำห้องสวยใกล้รถไฟฟ้าสีเขียวจัดบูทจองเพียง 999 บาท*

เดอะคิวบ์ พลัส พหลโยธิน 56 นำห้องสวยใกล้รถไฟฟ้าสีเขียวจัดบูทจองเพียง 999 บาท*

เดอะ คิวบ์ พลัส พหลโยธิน 56 (The Cube Plus Phahonyothin 56) คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ (Low Rise) สูง 7 ชั้น 1 อาคาร มีความเป็นส่วนตัวสูงจำนวนห้องไม่แออัด ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว (สถานี กม.25 ในอนาคต) โดดเด่นที่เพดานห้องสูงถึง 2.70 เมตร นำคอนโดห้องสวยขนาดตั้งแต่ 25 - 34 ตร.ม. จัดบูทพร้อมโปรโมชั่นพิเศษ ‘จองเพียง 999 บาท/ยูนิต*’ ราคาเริ่มต้น 1.39 ล้านบาท พร้อมตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์สวยคุณภาพสูงจาก Modernform ครบทุกฟังก์ชั่น (Fully Furnished) ตั้งแต่วันนี้ – 15 กรกฎาคม 2561 ใกล้ร้าน McDonald's ชั้น 1 เทสโกโลตัส บางเขน เพื่อเปิดจองและให้คำปรึกษาเพื่อวางแผนซื้อคอนโดมิเนียม   สำหรับผู้ที่ต้องการที่พักอาศัยและลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต โครงการมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ โคเวิร์กกิ้งสเปซ (Co working space) ระบบอินเตอร์เน็ตไร้สาย (Wi-Fi Internet) บริเวณโถงล็อบบี้และพื้นที่ส่วนกลาง สระว่ายน้ำระบบเกลือ ห้องฟิตเนส ห้องซาวน่า (แยกชาย/หญิง) สวนหย่อม กล้องวงจรปิด CCTV รอบโครงการ คีย์การ์ด (Key Card) เข้าออกอาคาร และลิฟท์แบบล็อคชั้น ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชม. เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีที่สุดของผู้อยู่อาศัย มีความปลอดภัยสูงและให้ความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตทั้งครอบครัว ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต สังคมโดยรอบโครงการหน้าอยู่ สะอาด ปลอดภัยทั้งกลางวันและกลางคืน ทำเลมีศักยภาพสูงใกล้หน่วยงานราชการคือ กองทัพอากาศ สถาบันการศึกษาทุกระดับ สนามบินดอนเมือง โรงพยาบาล ศูนย์การค้า และแหล่งงาน สะดวกทุกการเดินทาง ติดตามความเคลื่อนไหวอื่น ๆ ของโครงการได้ทาง www.facebook.com/TheCubeCondominium เว็บไซต์ www.thecube-condo.com หรือสอบถามเพิ่มเติมโทร. 1246 กด เดอะคิวบ์ พลัส พหลโยธิน 56 (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด)
เอ็มเจ วัน กรุ๊ป เปิดเกมรุกลุยธุรกิจอสังหาฯ เมืองท่องเที่ยว  เดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ MARVEST HUA HIN

เอ็มเจ วัน กรุ๊ป เปิดเกมรุกลุยธุรกิจอสังหาฯ เมืองท่องเที่ยว เดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ MARVEST HUA HIN

บริษัท เอ็มเจ วัน กรุ๊ป บริษัทในเครือของ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย เปิดเกมรุกลุยธุรกิจอสังหาฯ เมืองท่องเที่ยว เดินหน้าเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมสุดหรู MARVEST HUA HIN (มาร์เวสท์ หัวหิน) ชีวิตอีกระดับ ณ ใจกลางเมืองหัวหิน มูลค่าโครงการรวมกว่าหนึ่งพันล้านบาท ตอบรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ที่ชื่นชอบความสะดวกสบายในการเดินทางและการพักผ่อน เพียง 450 เมตรจากตลาดไนท์มาร์เก็ต แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน โดดเด่นด้วยส่วนกลางขนาดใหญ่อันเป็นเอกลักษณ์ของเมเจอร์ฯ หวังเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ รักการเดินทางที่ต้องการมีบ้านหลังที่สอง ในราคาที่เป็นเจ้าของได้ เริ่มต้นเพียง 2.3 ล้านบาท นายสุริยน พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริษัท บริษัท เอ็มเจ วัน กรุ๊ป บริษัทในเครือของ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (MJD) บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย เปิดเผยว่า จากทิศทางการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ในทำเลเมืองท่องเที่ยวโดยเฉพาะเมืองที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ และมีการเดินทางที่สะดวกรวดเร็ว อย่าง “หัวหิน” ทำให้มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับภาครัฐได้พัฒนาระบบคมนาคมเชื่อมการเดินทาง ทั้งการลงทุนในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบินสู่ภาคตะวันออก ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา, โครงการรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หัวหิน และโครงการทางพิเศษสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวน รอบนอกด้านตะวันตก ทั้งยังมีการเชื่อมโยงเมืองท่องเที่ยว 2 ฝั่งอ่าวไทยเข้าด้วยกัน ด้วยการเปิดบริการเรือเฟอร์รี่จากหัวหิน-พัทยาตั้งแต่ต้นปี 2560 และล่าสุดการเปิดให้บริการเครื่องบินตรงจากกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย สู่หัวหิน ของสายการบินแอร์เอเชีย จากการวางระบบพัฒนาการคมนาคมขนส่ง ไม่ว่าจากทั้งภาครัฐและเอกชนที่จะเป็นการเชื่อมต่อระบบการเดินทางต่างๆ ให้สะดวกรวดเร็วสบายยิ่งขึ้น ส่งผลให้เมืองเกิดการเติบโตแบบก้าวกระโดด นับเป็นการกระตุ้นทั้งด้านการท่องเที่ยวให้มีการกระจายตัวมากขึ้น และดึงดูดภาคการลงทุนไปในตัว ส่งผลให้เกิดอุปสงค์ด้านการท่องเที่ยวและความต้องการบ้านพักหลังที่ 2 เพิ่มมากขึ้น เอ็มเจ วัน กรุ๊ป เล็งเห็นการเติบโตของตลาดในเซ็กเมนต์นี้ และบริษัทฯ มีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมสุดหรู มาราเกช หัวหิน รีสอร์ท แอนด์ สปา และโครงการคอนโดมิเนียม มิโคนอส ซึ่งได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี ทำให้ล่าสุด เอ็มเจ วัน กรุ๊ป เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ MARVEST HUA HIN คอนโดมิเนียมหรูสไตล์ Modern Coastal ชีวิตอีกระดับ ณ ใจกลางเมืองหัวหิน ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.3 ล้านบาท กับมูลค่าโครงการรวมกว่าหนึ่งพันล้านบาท ภายใต้การดำเนินงานโดยบริษัท ของบริษัท เอ็มเจ วัน กรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จุดเด่นของโครงการ MARVEST HUA HIN อยู่ที่เป็นโครงการคอนโดมิเนียมในระดับลักซ์ชัวรี่ ที่ตั้งบนทำเลที่ดีที่สุดแห่งไลฟ์สไตล์ใจกลางหัวหิน ใกล้กับซอยหัวหิน 78 เพียง 450 เมตร จากตลาดไนท์มาร์เก็ต สะดวกสบายทุกการเดินทางสู่ย่านธุรกิจ เพียง 350 เมตรถึงโรงพยาบาลซานเปาโล พักผ่อนกับชายหาดหัวหินอันลือชื่อเพียง 900 เมตรเท่านั้น พร้อมแหล่งช้อปปิ้งอีกหลากหลาย โดดเด่นด้วยออกแบบสไตล์ Modern Coastal ที่หยิบเอากลิ่นอายของชายทะเลมารังสรรค์ให้กลายเป็นคอนโดตากอากาศ เน้นการโอบล้อมด้วยธรรมชาติ บนพื้นที่โครงการประมาณ 3 ไร่ วางแผนพัฒนาเป็นอาคาร Low Rise สูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร รวม 336 ยูนิต แบบห้องออกเป็น 3 ประเภทให้เลือก ได้แก่ แบบ Type A ขนาด 1 ห้องนอน พื้นที่ 30 ตร.ม., Type B ขนาด 1 ห้องนอน + Plus พื้นที่ 39 – 40 ตร.ม. และ Type C แบบ 2 ห้องนอน ขนาด 60 ตร.ม. ด้วยแนวคิดการการออกแบบและจัดสรรพื้นที่ใช้สอยที่ให้ความสำคัญกับทุกคนในครอบครัว พร้อมด้วยวัสดุคุณภาพระดับพรีเมี่ยมในทุกรายละเอียด โดดเด่นด้วยพื้นที่ส่วนกลางและสวนขนาดใหญ่ สระว่ายน้ำยาวกว่า 50 เมตร แบบ Modern Tropical พร้อมสระเด็ก สนามเด็กเล่น ฟิตเนส อ่างจากุซซี่และระบบรักษาความปลอดภัยด้วยกล้องวงจรปิดตลอด 24 ชม. โดยบริษัทวางแผนจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างในเดือนกรกฎาคม 2561 นี้ และคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณเดือนธันวาคม 2562 “ด้วยวิสัยทัศน์ความเป็นเมจเอร์ฯ ที่ใส่ใจในเรื่องคุณภาพ จึงมั่นใจได้ว่า MARVEST HUA HIN จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ชื่นชอบความเป็น Urban Living ผู้ที่กำลังมองหาบ้านพักตากอากาศหลังที่ 2 ที่ไม่ไกลจากกรุงเทพมากนัก รวมถึงนักลงทุนที่กำลังสนใจลงทุนในคอนโดตากอากาศ เพราะด้วยราคาเปิดตัวของ MARVEST HUA HIN ที่สามารถให้เป็นเจ้าของคอนโดกลางเมืองท่องเที่ยวได้ง่ายขึ้น” สามารถเข้าเยี่ยมชม Sales Gallery ได้แล้ววันนี้ พร้อมรับข้อเสนอพิเศษสูงสุด เพียงลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.mj-one.net (เงื่อนไขตามที่บริษัทกำหนด) สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 086-842-9922
เสนา – ฮันคิว ฮันชิน เปิดให้สอยคอนโดลักชูรี่แบรนด์พรีเมี่ยม  ผ่านระบบ “SENA Online Booking” ครั้งแรก

เสนา – ฮันคิว ฮันชิน เปิดให้สอยคอนโดลักชูรี่แบรนด์พรีเมี่ยม ผ่านระบบ “SENA Online Booking” ครั้งแรก

  พลาดไม่ได้!! เสนาฯ เตรียมเปิดระบบหน้าบ้านจองคอนโดออนไลน์ "SENA Online Booking" ครั้งแรกพร้อมเปิดตัวแบรนด์ใหม่ “ปีติ เอกมัย (PITI EKKAMAI)” คอนโดมิเนียมลักชูรี่ตัวท็อปสุดแห่งปี เริ่มลงทะเบียน 5 ก.ค. ดีเดย์จองพร้อมกันทั่วประเทศ 2 ส.ค.นี้   ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึง การทำธุรกิจในปัจจุบันต้องเผชิญกับภาวะการแข่งขันที่รุนแรงในทุก Sector จากการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของเทคโนโลยี พฤติกรรมผู้บริโภคและโลกที่เชื่อมต่อกันมากขึ้นทำให้ผู้บริโภคมีทางเลือกและมีคู่แข่งใหม่ๆเข้ามาตลอดเวลา ดังนั้นการทำธุรกิจจำเป็นต้องปรับตัวให้เข้ากับโลกสมัยใหม่ที่รวดเร็วและมีการแข่งขันสูงรวมถึงการสร้างแพลตฟอร์มธุรกิจใหม่ๆเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการในโลกปัจจุบันและอนาคตได้ ด้านผู้ประกอบการเองก็ต้องพยายามเรียนรู้และปรับแนวคิดให้มีความเป็นดิจิทัลให้มากขึ้นด้วยเช่นกันเพราะปัจจุบันเทรนด์การใช้สื่อออนไลน์กับผู้บริโภคในทุกๆอุตสาหกรรมนั้นมีเพิ่มขึ้น   ขณะที่เสนาฯ เป็นหนึ่งในผู้นำด้านการพัฒนานวัตกรรมที่ต่อยอดให้กับตลาดที่อยู่อาศัยได้เล็งเห็นถึงความต้องการของผู้บริโภคและไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปของกลุ่มลูกค้าในปัจจุบัน ที่ใช้เวลาส่วนใหญ่เพื่อศึกษาข้อมูลหรือติดต่อเพื่อซื้อโครงการคอนโดบนโลกออนไลน์ และคุ้นชินเป็นอย่างดีกับการทำธุรกรรมออนไลน์ในชีวิตประจำวัน ดังนั้น ทางเสนาจึงได้พัฒนาระบบ“SENA Online Booking”ขึ้นมาเป็นครั้งแรกเพื่อรองรับดีมานด์ของลูกค้าในรูปแบบการจองคอนโดผ่านระบบออนไลน์ ที่สามารถตอบสนองพฤติกรรมกลุ่มเป้าหมายให้เข้าถึงได้ง่าย สะดวกและครบถ้วนมากที่สุด   สำหรับระบบ“SENA Online Booking” จะเป็นช่องทางหนึ่งที่เพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าเพราะระบบถูกออกแบบมาให้ลูกค้าเป็นเจ้าของห้องชุดด้วย 4 ขั้นตอนง่าย ๆ คือ 1.ค้น (Search)ทำการเลือก / ค้นหาโครงการที่ถูกใจ 2.เลือก (Select) ดูรายละเอียด Unit ให้ตรงใจคุณ โดยเลือก Floor Plan จากนั้นกดดู รายละเอียด Unit ที่คุณสนใจ 3.จอง (Book)คลิกปุ่ม Book now เพื่อจอง Unit ที่คุณเลือก และ4.จ่าย (Pay)คลิก Book & Pay เพี่อยืนยันการชำระเงินจอง จากนั้นระบบจะส่งรายงานการจองเข้า E – mail เพื่อคอนเฟิร์มการจองให้กับลูกค้า   “SENA Online Booking” จึงเป็นวิธีการจองออนไลน์ที่ช่วยให้คุณได้เป็นเจ้าของยูนิตที่ชอบก่อนใคร ในราคาพิเศษกับส่วนลดสูงสุดถึง 600,000 บาท และเพื่อตอกย้ำให้เห็นว่าการจองออนไลน์ของ เสนาฯ เป็นการจองคอนโดที่เปิดขายและนำมาขายบนโลกออนไลน์ครั้งแรก โดยคัดสรรมาเป็นอย่างดีและพิเศษสุดสำหรับช่องทางนี้โดยเฉพาะ   ล่าสุด เตรียมนำร่องเปิดจองคอนโดลักชูรี่พร้อมเปิดตัวแบรนด์ใหม่ “ปีติ เอกมัย (PITI EKKAMAI)” โปรเจกต์ร่วมทุนขนาดใหญ่ของเสนา – ฮันคิวฯ กับการพัฒนาโครงการ flagship คอนโดมิเนียม High-End บนเนื้อที่โครงการ 4 ไร่เศษ โครงการแรกของเสนาที่มีมูลค่าสูงสุดในปีนี้มากกว่า 5,000 ล้านบาท อีกหนึ่งโปรดักส์ที่อยากให้ทุกคนได้ร่วมสัมผัสพื้นที่ชีวิตที่ใหญ่ที่สุดบนทำเลเอกมัย ภายใต้แนวคิด “อิคิไก (lkigai)” ที่เชื่อในการใช้ชีวิตที่มีความหมาย และไฮไลท์ของ Third Place พื้นที่ที่ตอบโจทย์วิถีคนรุ่นใหม่ได้อย่างเต็มทุกอณูรองรับความสะดวกและสบายทุกช่วงเวลาของชีวิต   เปิดสัมผัสประสบการณ์ใหม่และครั้งแรก"SENA Online Booking" ลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิ์จองก่อนใครวันที่ 5 ก.ค. เปิดจองจริงวันที่ 2 ส.ค.นี้ ตั้งแต่เที่ยงวัน – 22.00 น.ที่ www.onlinebooking.sena.co.th สอบถามเพิ่มเติมโทร.1775
“ภิรัช คอนเวนชั่น เซนเตอร์” โซนใหม่ใต้ร่มของ ไบเทค  ชูจุดเด่นงานดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ ตอบโจทย์การใช้งานอย่างแท้จริง

“ภิรัช คอนเวนชั่น เซนเตอร์” โซนใหม่ใต้ร่มของ ไบเทค ชูจุดเด่นงานดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ ตอบโจทย์การใช้งานอย่างแท้จริง

  ตั้งแต่สมัยโบราณมา การค้าขายหรือการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ต่างๆ ระหว่างประเทศ ต้องอาศัยการเดินทางด้วยเรือเป็นหลัก ดังนั้น “เรือ” จึงเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของการค้าขาย และการเดินทาง และจากการค้าขายแลกเปลี่ยนที่นำพาความความรู้ ความเจริญรุ่งเรืองมาสู่เมืองต่างๆ นี้เอง “เรือสำเภา” จึงเป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์และความสำเร็จ และยิ่งเป็นเรือสำเภาขนาดใหญ่ ก็จะสามารถเดินทางฝ่าคลื่นลมได้เป็นระยะไกล และนำพาสินค้า ความรู้ ไปยังจุดหมายปลายทาง หรือ “ไปได้ถึงฝั่ง” บริษัทหรือองค์กรที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการค้าขายหลายๆ แห่ง จึงนิยมใช้เรือสำเภาเป็นสัญลักษณ์ประจำบริษัท   เมื่ออ้างอิงจากแนวคิดและสัญลักษณ์ดังกล่าว จึงเป็นที่น่าสังเกตว่า ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค (BITEC) ผู้นำในด้านศูนย์แสดงสินค้า นิทรรศการ และการประชุมในภูมิภาคเอเชีย ได้สอดแทรกสัญลักษณ์นี้เข้าไปในคอนเซ็ปต์การออกแบบทั้งภายในและภายนอกอย่างลงตัว   ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค เป็นศูนย์ฯ แห่งแรกในเมืองไทยที่ตั้งขึ้นมาเพื่อธุรกิจแสดงสินสินค้า และการประชุมโดยเฉพาะ ด้วยความต้องการที่จะสร้างศูนย์แสดงสินค้าที่ไร้เสาค้ำยันในอาคาร เพื่อให้ทุกตารางเมตรเกิดประโยชน์สูงสุด ผู้จัดงานสามารถจัดงานได้เต็มพื้นที่ และยังเอื้อต่อการขนถ่ายสินค้าขนาดใหญ่อีกด้วย การออกแบบและก่อสร้างจึงใช้หลักการเดียวกับการสร้างสะพานแขวน โดยใช้เทคนิคเสากระโดงขนาดใหญ่ติดตั้งเคเบิ้ลสำหรับดึงโครงทรัสหลังคามาประยุกต์ใช้กับอาคารให้ภายในปราศจากเสาค้ำ ซึ่งหากมองในมุมของคนทั่วไป จะเห็นเหมือนมีเสากระโดงเรืออยู่บนหลังคาอาคารจริงๆ จนทำให้ดีไซน์เสากระโดงดังกล่าว เป็นเอกลักษณ์ของไบเทคที่ทุกคนจดจำได้เป็นอย่างดี   เมื่อมาถึง “ภิรัช คอนเวนชั่น เซนเตอร์” โซนใหม่สุดอลังการ ส่วนหนึ่งของการขยายพื้นที่ล่าสุดของไบเทค ก็มีการออกแบบที่สอดคล้องกันกับส่วนดั้งเดิม โดยได้รับแรงบันดาลใจมาจากดีไซน์เสากระโดงซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของไบเทคเช่นเคย พร้อม สะท้อนจุดเด่นด้านการออกแบบที่มีความร่วมสมัย สะดวกสบาย และมีความยืดหยุ่นสูง ตอบรับกับความต้องการที่หลากหลายของผู้จัดงาน ไม่ว่าจะเป็นการจัดงานการประชุมระดับนานาชาติ งานสัมมนา งานเลี้ยงสังสรรค์ งานนิทรรศการ รวมถึงงานเฉลิมฉลองในวาระพิเศษต่างๆ งานออกแบบ “ภิรัช คอนเวนชั่น เซนเตอร์” เป็นการร่วมมือระหว่างสองบริษัทยักษ์ใหญ่ ได้แก่ บริษัท ดีไซน์ 103 อินเตอร์เนชั่นแนล (Design 103 International) และบริษัท พี ไอ เอ อินทีเรีย (PIA) ที่ทำงานร่วมกันเพื่อถ่ายทอดวิสัยทัศน์ของไบเทคให้กลายเป็นจริง และส่งเสริมความเป็นผู้นำด้านการจัดแสดงอุตสาหกรรมการจัดประชุมและงานแสดงสินค้านานาชาติ (MICE) และงานอีเว้นท์ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้านงานสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมของ ภิรัช คอนเวนชั่น เซนเตอร์ ถูกออกแบบและดูแลโดย บริษัท ดีไซน์ 103 อินเตอร์เนชั่นแนล นำทีมโดย คุณวิญญู วานิชศิริโรจน์ รองประธานบริหาร กล่าวถึงการออกแบบว่า “ดีไซน์เสากระโดงไร้เสาค้ำยันนี้ เป็นเทคนิคที่ประยุกต์จากการก่อสร้างสะพานและสนามกีฬา ซึ่งไบเทคถือเป็นที่แรกในประเทศไทยที่นำเทคนิคเสากระโดงขนาดใหญ่ติดตั้งเคเบิ้ลมาประยุกต์ใช้ เพื่อเอื้อต่อพื้นที่ใช้สอยด้านล่างได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โดยความล้ำหน้าในด้านสถาปัตยกรรมส่งผลให้การก่อสร้างสามารถดึงประสิทธิภาพที่สูงที่สุดของเหล็กทุกชิ้นที่ใช้ ซึ่งช่วยประหยัดทรัพยากรและอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอีกด้วย” “ความท้าทายที่สำคัญ คือโครงสร้างหลังคาเหล็กในส่วนพื้นที่โถงแสดงสินค้าและนิทรรศการ (อีเว้นท์ฮอลล์ 100) ด้วยความยาวพิเศษมากกว่า 108 เมตร และสูงถึง 25 เมตร จึงจำเป็นต้องออกแบบอาคารดังกล่าวแบบไร้เสาเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้พื้นที่จัดงานสำคัญต่างๆ ได้อย่างเต็มศักยภาพ ทั้งงานคอนเสิร์ตเวิลด์ทัวร์ระดับโลก ตลอดจนงานแสดงสินค้าและการประชุมนานาชาติขนาดใหญ่” คุณวิญญู กล่าวเพิ่มเติม   ส่วนการตกแต่งภายในของภิรัช ฮอลล์และห้องประชุมย่อยนั้น ได้รับการดูแลจากบริษัทออกแบบชั้นนำของประเทศไทย อย่าง พี ไอ เอ อินทีเรีย (PIA) โดย คุณกิตติ วัชรรัตนากุล มัณฑนากรผู้ดูแลการตกแต่งภายใน กล่าวว่า “การออกแบบตกแต่งภายในของ ภิรัช คอนเวนชั่น เซนเตอร์ นั้น เราได้รับแรงบันดาลใจจากเส้นทางการค้าสำคัญๆ ของโลก เพื่อสะท้อนถึงความเป็นผู้นำในด้านศูนย์แสดงสินค้า นิทรรศการและการประชุมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของไบเทค เปรียบเช่นเดียวกับเมืองท่าสำคัญๆ ของโลกในสมัยโบราณ ที่มีฐานะเป็นศูนย์กลางการขนย้ายผู้คน สินค้า กระทั่งความรู้จากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง และในฐานะประตูบานแรกที่เชื่อมโยงเมืองๆ หนึ่งเข้ากับโลกภายนอก” การดีไซน์ของแต่ละห้องประชุมย่อย และโซนบริเวณพื้นที่สาธารณะ เน้นการอำนวยความสะดวกให้แก้ผู้ร่วมงานเป็นหลัก ด้วยดีไซน์หลังคาสูง และเก้าอี้ที่ที่นั่งสบาย ซึ่งอำนวยให้ผู้ร่วมงานสามารถนั่งได้ยาวนานโดยไม่รู้สึกแคบหรืออึดอัด ทั้งการประชุม เวิร์คช๊อป และอื่นๆ   ส่วนโซน pre-function และบริเวณทางเชื่อมต่อห้องโถงภายนอกที่กว้างขวาง ซึ่งเชื่อมห้องคอนเวนชั่นและห้องประชุมด้วยกัน ยังได้รับแรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติที่สวยงามรอบตัว ไม่ว่าจะเป็น พระอาทิตย์ พระจันทร์ ภูเขา ดอกไม้ และท้องฟ้า ถ่ายทอดออกมาเป็นเอเทรียมโซนในเฉดสีสันสดใส ทั้งส้ม เหลือง เขียว แดง และฟ้า เพิ่มคาแรคเตอร์และชีวิตชีวาให้กับพื้นที่แต่ละบริเวณอย่างลงตัว เอื้อต่อการพูดคุยและพบปะสังสรรค์ก่อนงาน “การออกแบบตกแต่งภายในของ ภิรัช คอนเวนชั่น เซนเตอร์ จึงเน้นความเชื่อมโยงของวิถีชีวิตของผู้คนที่หลากหลาย สะท้อนให้เห็นการปะทะและหลอมรวมกันของผู้คนจากวัฒนธรรมต่างๆ ที่จะนำไปสู่การสร้างสรรค์และการเติบโตต่อไป อาทิ ห้องประชุมซิลค์ นำชื่อมาจากเส้นทางสายไหม ซึ่งเป็นเส้นทางคมนาคมขนส่งสินค้าที่สำคัญระหว่างประเทศจีนกับทวีปยุโรป ห้องประชุมแอมเบอร์ มาจากชื่อเส้นทางสายอำพัน อันเป็นเส้นทางการค้าสำหรับการขนส่งอำพันที่เชื่อมระหว่างยุโรปและเอเชีย และจากตอนเหนือของยุโรปไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และ ห้องประชุมไนล์ มาจากชื่อของแม่น้ำที่ยาวที่สุดในโลก ไหลผ่านเมืองท่าการค้าที่สำคัญในประเทศต่างๆ ของทวีปแอฟริกา นอกจากนี้ สีสันต่างๆ ที่เลือกใช้ในการตกแต่งจะเป็นโทนสีอบอุ่น (warm tone) และเลือกใช้วัสดุที่เป็นไม้เป็นหลัก เพื่อสะท้อนถึงการเจริญเติบโต และความยั่งยืน” คุณกิตติ กล่าวเสริม  
“แสนสิริ” เปิดตัว “เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ” มูลค่ารวมกว่า 6.5 พันลบ.

“แสนสิริ” เปิดตัว “เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ” มูลค่ารวมกว่า 6.5 พันลบ.

  แสนสิริ เปิดตัว “THE MONUMENT THONG LO” (เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ) คอนโดมิเนียม ระดับลักซ์ชัวรี่ล่าสุด มูลค่าโครงการกว่า 6,500 ล้านบาท ภายใต้บริษัทร่วมทุนกับ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) ต่อยอดความสำเร็จของแบรนด์ THE MONUMENT (เดอะ โมนูเมนต์) ด้วยแนวคิด “LUXURY IS SPACE” ผ่านประสบการณ์การใช้ชีวิตที่ตอบโจทย์เสมือนเป็นมรดกอันล้ำค่าที่สามารถส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น ด้วยจำนวนยูนิตสุดเอ็กซ์คลูซีฟเพียงชั้นละ 4 ห้อง รวม 127 ยูนิต กำหนดนิยามใหม่แห่งการอยู่อาศัยด้วยพื้นที่กว้างขวาง โอ่โถงเสมือนอยู่บ้านเดี่ยว และเป็นส่วนตัว บนที่ดินขนาด 2 ไร่ ติดถนนเส้นหลักของทองหล่อซึ่งเป็นทำเลที่หาได้ยากสำหรับการพัฒนาโครงการในปัจจุบัน ทั้งยังเป็นที่พักอาศัยใจกลางเมืองศูนย์รวมไลฟ์สไตล์ และการอยู่อาศัยที่เหนือระดับพร้อมสะกดทุกสายตาด้วยสถาปัตยกรรมอาคารสูงรูปทรง “Monolith” (โมโนลิธ) สูง 177 เมตร 45 ชั้น แห่งแรกในทองหล่อ เช่นเดียวกับอาคารสูงระฟ้าในมหานครใหญ่ทั่วโลก ที่จะเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่เหนือทุกอาคารสูงบนถนนทองหล่อด้วยวิวเมืองแบบพาโนรามา พรั่งพร้อมด้วยทุกองค์ประกอบของความหรูหรา สง่างาม เหนือกาลเวลาทุกตารางนิ้ว ซึ่งปัจจุบันมีราคาแนวโน้มที่ดินถีบตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 200% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา จากราคา 1 ล้านบาทต่อตารางวามาอยู่ที่2 ล้านบาทต่อตารางวา พร้อมชูจุดเด่นดีไซน์สระว่ายน้ำระดับไอคอนิคสูง 10 เมตร ที่สวยงามดุจงานประติมากรรม รายล้อมด้วยสวนสีเขียวขนาดใหญ่ เปรียบเสมือนโอเอซิสใจกลางเมืองที่ด้านหน้าโครงการร่วมด้วยบริการเหนือระดับ 24 ชั่วโมง พร้อมดึงสุดยอด 2 แบรนด์ดีไซน์ชั้นนำด้านการตกแต่ง “Chanintr Living” (ชนินทร์ ลิฟวิ่ง) และ “Jim Thompson” (จิม ทอมป์สัน) รังสรรค์ห้องตัวอย่าง     นายปิติ จารุกำจร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “แสนสิริ ร่วมกับ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) นำเสนอนิยามใหม่ของโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี “THE MONUMENT THONG LO” (เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ) ที่ผสานดีไซน์ระดับไอคอนิค โดยเราพัฒนาโครงการด้วยการมองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายเป็นตัวตั้งต้น (Customer Centric) ซึ่งเป็นเจเนอเรชั่นที่ 2 ของครอบครัวอาศัยเติบโตมาในทำเลใจกลางเมืองและกำลังขยายครอบครัวใหม่ โดยต้องการหาที่อยู่อาศัยที่ไม่ไกลจากครอบครัวในเจเนอเรชั่นแรก ด้วยการดึงอินไซต์ของครอบครัวยุคใหม่ที่ต้องการพื้นที่กว้างขวางเสมือนบ้านเดี่ยว และต้องการความสะดวกสบาย ปลอดภัยจากการอยู่คอนโดมิเนียม มีพื้นที่เพียงพอสำหรับให้ลูกๆ หรือสัตว์เลี้ยงที่รักได้ใช้ชีวิตเหมือนอยู่บ้านเดี่ยว โดยกลุ่มเป้าหมายของเรายังรวมถึงกลุ่มคนที่กำลังมองหาบ้านเดี่ยว ที่อยู่อาศัยรูปแบบอื่นๆ ที่มีพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางใกล้เคียงกับบ้าน แต่ต้องการความสะดวกสบายในด้านทำเลที่อยู่ใจกลางเมืองทั้งยังเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการสุดเอ็กซ์คลูซีฟเราจึงได้ตอบโจทย์ดีมานด์ของคนกลุ่มนี้เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ (Complete your living experience) ด้วยการออกแบบพื้นที่พักอาศัยที่มอบความโอ่โถง กว้างขวางกว่าขนาดของห้องคอนโดมิเนียมที่มีอยู่ในตลาดปัจจุบัน บนทำเลที่พักอาศัยใจกลางเมืองคุณภาพสูงที่หาไม่ได้อีกแล้ว ทว่าเป็นโลเคชั่นที่สงบและมีความเป็นส่วนตัวของทองหล่อ เพื่อให้เป็นสมบัติล้ำค่าของผู้ครอบครองที่ส่งต่อให้ลูกหลานได้อย่างภาคภูมิใจ”   “THE MONUMENT THONG LO” (เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ) เป็นโครงการลำดับที่สองของแบรนด์ THE MONUMENT (เดอะ โมนูเมนต์) คอนโดมิเนียมที่พัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์หลัก ‘The Monument to Generations’ (เดอะ โมนูเมนต์ ทูเจเนอเรชั่น) การส่งต่อทำเลที่มีคุณค่าจากรุ่นสู่รุ่น โดยโครงการแรก “เดอะ โมนูเมนต์ สนามเป้า” คอนโดมิเนียมมาสเตอร์พีซบนถนนพหลโยธินได้เปิดตัวไปแล้วเมื่อปี 2558 ที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จและสามารถเขย่าวงการอสังหาฯ ด้วยกระแสตอบรับที่ดีเยี่ยมจากดีไซน์และวัสดุที่มีคุณภาพระดับเวิลด์คลาสอย่างมีเอกลักษณ์ พิถีพิถันในทุกรายละเอียด รวมถึงทำเลในย่านที่ทรงคุณค่า และติดถนนใหญ่ที่ห่างจากบีทีเอสสนามเป้าเพียง 300 เมตร ซึ่งเราหวังว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากลูกค้าอีกเช่นเคย”     โครงการ THE MONUMENT THONG LO (เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ) นำเสนอจุดเด่นผ่านแนวคิด “LUXURY IS SPACE เติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ (Complete your living experience) ในทุกมิติดังนี้   ความโอ่โถงกว้างขวาง และฟังก์ชั่นการใช้งานเสมือนบ้านเดี่ยว โครงการประกอบด้วยห้องพัก 3 ประเภท คือ ขนาด 2 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พื้นที่ 124.25 ตรม. ขนาด 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ พื้นที่ 252.25 ตรม. และเพนต์เฮาส์ พื้นที่ 508.75 – 662 ตรม. ในราคาเริ่มต้น 300,000 บาทต่อตรม. หรือ 30 ล้านบาทต่อยูนิต นอกจากนี้ ยังออกแบบพื้นที่ภายในห้องให้โอ่โถงกว้างขวางเสมือนบ้าน อย่างห้องนั่งเล่นเพดานสูง 3.3 เมตร ห้องน้ำในห้องนอนมาสเตอร์ของทุกยูนิตเปิดรับวิวกรุงเทพฯ แบบพาโนรามาและมีระเบียงเทอร์เรซพื้นที่ถึง 20 ตรม. ในยูนิตขนาด 3 ห้องนอน   ทำเลอันเป็นมรดกทรงคุณค่า ถนนทองหล่อตั้งอยู่ใจกลางเมืองย่านสุขุมวิทที่มีศักยภาพสูงสุดอันดับต้น ๆ ของกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ซึ่งหลอมรวมประวัติอันยาวนานและวิถีชีวิตของคนยุคใหม่อย่างลงตัว เป็นทั้งที่พักอาศัยคุณภาพสูงมาตั้งแต่อดีต และแหล่งรวมร้านค้าระดับชั้นนำ ร้านอาหารและคอมมูนิตี้มอลล์ระดับไฮเอนด์มากมาย ที่สามารถตอบสนองทุกมิติของการใช้ชีวิตที่ให้ความสะดวกสบายสูงสุดด้านการเดินทางเชื่อมต่อภายในใจกลางกรุงเทพฯ และมีความพร้อมสรรพด้านทางด้านไลฟ์สไตล์ ทำให้ถนนสายนี้จึงยังคงเป็นที่ต้องการอย่างสูง สำหรับผู้ที่เคยพักอาศัยในแถบนี้และต้องการขยับขยายครอบครัวในพื้นที่ใกล้เคียงกับครอบครัวเดิม ทำเลนี้จึงเป็นพื้นที่เป้าหมายสำคัญในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่มาอย่างต่อเนื่อง ด้วยอัตราการเติบโตของราคาที่ดินในอัตราสูงมาก และแทบจะไม่มีพื้นที่ว่างติดถนนหลงเหลือสำหรับการพัฒนาโครงการใหม่ ๆ อีกแล้วในปัจจุบัน   ประสบการณ์อยู่อาศัยที่เป็นส่วนตัว (Privacy) มอบความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนยูนิตที่มีเพียง 127 ยูนิต โดยแต่ละชั้นจำกัดที่ไม่เกิน 4 ยูนิต พร้อมลิฟต์ส่วนตัวที่จอดเฉพาะชั้นห้องพักของเจ้าของห้อง รวมถึงสัดส่วนที่จอดรถกว่า 192% ของยูนิตทั้งหมดในโครงการพร้อมระบบ Cross Ventilation ในทุกยูนิตเพื่อการระบายอากาศธรรมชาติที่ดีภายในอาคาร   สถาปัตยกรรมอาคารสูงรูปทรง “Monolith” อันเป็นเอกลักษณ์ ที่จะกลายเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่ในทองหล่อ เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ ได้รับการรังสรรค์ขึ้นด้วยองค์ประกอบที่จะทำให้ผู้อยู่อาศัยสัมผัสได้ถึงความกว้างขวาง เป็นส่วนตัว และสะดวกสบายไม่ต่างจากบ้าน ในทุกพื้นที่ของโครงการขนาด 2 ไร่ ด้วยความสูงถึง 45 ชั้น สูงที่สุดบนถนนทองหล่อ โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมอาคารรูปทรง “Monolith” (โมโนลิธ) ซึ่งมีเอกลักษณ์อยู่ที่รูปทรงตึกที่สูงตรงตั้งตระหง่าน โดยสัดส่วนระหว่างความกว้างของฐานอาคารต่อความสูงของอาคารอยู่ที่ 1:10 พร้อมนำที่จอดรถลงไปไว้ในชั้นใต้ดิน เพื่อความสวยงามและโดดเด่นของตัวอาคาร เช่นเดียวกับอาคารสูงระฟ้าในมหานครใหญ่ทั่วโลก อาทิ โรงแรมมิลเลนเนียม ฮิลตัน นิวยอร์ค อาคารซีแกรม และตึก 432 พาร์ค อเวนิว ที่กรุงนิวยอร์ค หรืออัล ชาร์ค ทาวเวอร์ที่ดูไบ     ความโดดเด่นของพื้นที่ส่วนกลาง ที่ตอบโจทย์การใช้งานใกล้เคียงกับบ้านที่สุด เริ่มจากล็อบบี้ส่วนกลางเสมือนห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ของบ้าน พื้นที่ 150 ตารางเมตร โอ่โถงด้วยเพดานความสูงถึง 5 เมตร เปิดรับวิวสวนสีเขียวเต็มตา คัดสรรแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ระดับโลกอย่าง Fendi Casa และ Flexform มาประดับตกแต่ง โดยใช้ไม้ที่ใช้เวลาแปรสภาพถึง 300 ปี แชนเดอเลียร์จากแบรนด์ LASVIT ที่ได้รับการออกแบบเป็นพิเศษดุจงานศิลปะด้วยเทคนิคพิเศษที่สืบทอดเทคนิคการผลิตแก้วจากรุ่นสู่รุ่นมากว่า 200 ปี และสระว่ายน้ำดีไซน์ระดับไอคอนิกแรงบันดาลใจจากต้นไม้ใหญ่ที่มีความสูงถึง 10 เมตร ตัวสระยาว 28 เมตร กว้าง 9.5 เมตร พื้นสระปูด้วยหินไวท์ คลาวด์ (White Cloud) รายล้อมไปด้วยพรรณไม้นานาชนิด   วัสดุคุณภาพระดับเวิลด์คลาสและเทคโนโลยีเหนือระดับ มอบสัมผัสแห่งความหรูหรา กว้างขวาง ตั้งแต่ก้าวแรกที่ออกมาจากลิฟต์สู่โถงทางเข้าด้วย “Welcome Light” เปิดไฟแบบอัตโนมัติด้วยระบบโมชั่นเซ็นเซอร์ พื้นโถงปูด้วยหินอ่อนไวท์ วีนัส (White Venus) ต่อกันเป็นลวดลาย Bookmatch ประตูเข้าสู่ห้องเป็นประตูบานเฟี้ยมติดกระจกฟาบริคกลาส (Fabric Glass) นอกจากนี้ โมนูเมนต์ทองหล่อยังเพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่เติมเต็มนิยามความหรูหรา เช่น สุขภัณฑ์จาก Gessi แบรนด์ระดับท้อปของอิตาลี สวิตช์พร้อมระบบอัตโนมัติจาก Legrand แบรนด์ฝรั่งเศสที่โดดเด่นด้วยงานดีไซน์   พื้นที่สีเขียวร่มรื่นใจกลางกรุง ทางโครงการยังคำนึงถึงออกแบบให้มีพื้นที่สีเขียวขนาดถึงกว่า 1,000 ตรม. แบ่งเป็นสวนด้านหน้าและสวนด้านหลัง ต้นจามจุรีที่อยู่กับที่ดินเดิมมาเป็นเวลานานกว่า 50 ปี ยังคงถูกเก็บรักษาไว้ให้ความร่มรื่น และอีกหนึ่งความพิเศษเหนือโครงการคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่อื่นๆ คือ “Dog Park” ที่ออกแบบขึ้นมาพิเศษบริเวณสวนด้านหน้าสำหรับครอบครัวที่มีสัตว์เลี้ยง พร้อมเป็นส่วนตัวด้วยการจัดเส้นทางการใช้งานเฉพาะสำหรับสุนัขโดยสัญจรผ่านทางลิฟต์เซอร์วิส   บริการเอ็กซ์คลูซีฟเหนือระดับ 24 ชั่วโมง (Exclusive service) อาทิ บริการบัตเลอร์ประจำโครงการ บริการ Valet Parking และบริการรถลิมูซีน รองรับการใช้บริการแบบเป็นครอบครัวคอยให้บริการรับส่งตามต้องการ โดยสามารถจองการใช้งานล่วงหน้าผ่าน Home Service Application     THE MONUMENT THONG LO เปิดตัวอย่างเป็นทางการพร้อมห้องตัวอย่างที่ตกแต่งอย่างละเมียดละไมใน 2 สไตล์ ห้องแรกตกแต่งด้วยคอนเซ็ปท์ ‘The Southern Belle’ โดยชนินทร์ ลีฟวิ่ง โดดเด่นด้วยเฟอร์นิเจอร์จากแบรนด์ Hickory Chair แบรนด์คราฟท์เฟอร์นิเจอร์ลักซ์ชัวรี่ของอเมริกาซึ่งออกแบบโดยดีไซน์เนอร์ระดับโลก ‘ซูซาน แคสเลอร์’ (Suzanne Kasler) อีกห้องหนึ่งได้รับการออกแบบตกแต่งโดย ‘จิม ทอมป์สัน’ ภายใต้คอนเซ็ปท์ ‘Forbidden Colour’ โดดเด่นด้วยการเลือกใช้สีสันที่ฉูดฉาดอย่างลงตัว เช่น การใช้สีเหลืองกับสีดำ ขาว น้ำเงินเข้ม และเขียวมรกต รวมถึงการผสมผสานระหว่างเฟอร์นิเจอร์วินเทจและเฟอร์นิเจอร์แบบโมเดิร์น เพิ่มความลักซ์ชัวรี่ด้วยการกรุผนังห้อง โซฟา เก้าอี้ โครงเตียงนอนด้วยผ้าไหมแท้   “ปัจจุบัน โครงการ เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ ได้ดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จไปแล้วกว่า 70% และคาดว่าจะพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ให้กับลูกบ้านได้ภายในต้นปี 2562 โดยเราตั้งเป้าการขายไว้ที่ 50% ภายในปีนี้ พร้อมกันนี้ แสนสิริ ยังได้เตรียมพริวิเลจสุดพิเศษสำหรับลูกค้าที่จองห้องชุดในโครงการภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ด้วยการมอบโทรทัศน์แบรนด์ Bang & Olufsen รุ่น BEOVision 14 มูลค่ากว่า 6 แสนบาทให้อีกด้วย” นายปิติ กล่าวปิดท้าย     ผู้ที่สนใจเข้าชมโครงการและห้องตัวอย่าง สามารถสัมผัสประสบการณ์แห่งการอยู่อาศัยเหนือระดับบนนิยาม Luxury is space สมบัติอันล้ำค่าจากรุ่นสู่รุ่นของความหรูหรารูปแบบใหม่ผ่านพื้นที่โอ่โถงของคอนโดมิเนียม ที่ให้ประสบการณ์เสมือนบ้านเดี่ยว และความเป็นส่วนตัวสูงสุดที่ THE MONUMENT THONG LO (เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ) ได้แล้ววันนี้ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sansiri.com/en/condominium/the-monument- thong-lo/ หรือ โทร. 1685