Tag : News

2376 ผลลัพธ์
“เรียลแอสเสทฯ”เปิดตัวโครงการ AESTIQ  Thonglor  คอนโดมิเนียมแบบ Ultimate  Luxury มูลค่ารวม 4,200 ล้านบาท

“เรียลแอสเสทฯ”เปิดตัวโครงการ AESTIQ Thonglor คอนโดมิเนียมแบบ Ultimate Luxury มูลค่ารวม 4,200 ล้านบาท

  “เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์” ต่อยอดความสำเร็จของ LAVIQ Sukhumvit 57 เดินหน้าปั้นแบรนด์ Luxury ใหม่ “AESTIQ Thonglor” คอนโดมิเนียมแบบ Ultimate Luxury เพื่อเป็น Iconic Landmark ใหม่บนทำเลทองหล่อ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “A Reflection of you” สุนทรียะที่สะท้อนความเป็นตัวคุณ มูลค่ารวม 4,200 ล้านบาท เจาะกลุ่มลูกค้าระดับบนทั้งชาวไทยและต่างชาติ บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้ประกอบการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย มีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในไพร์มโลเคชั่นทั่วกรุงเทพฯ กว่า 7 ปีที่ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จนประสบความสำเร็จสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ในทุกกลุ่มโปรดักส์มากกว่า 10 โครงการ มูลค่ารวมทั้งสิ้นกว่า 12,800 ล้านบาท ล่าสุดเตรียมเปิดตัวโครงการ AESTIQ Thonglor คอนโดมิเนียมระดับ Ultimate Luxury มูลค่าโครงการรวม 4,200 ล้านบาท ในทำเลศักยภาพบนถนนทองหล่อ สุดยอดทำเลพักอาศัยในฝันของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เป็น Young Successor ทำเลพักอาศัยที่สะท้อนความเป็นตัวตนที่สมบูรณ์แบบและความสุนทรียะของผู้พักอาศัย ทั้งกลุ่มชาวไทยและต่างชาติ ฉีกแนวการใช้ชีวิตแบบเดิมด้วยพื้นที่ส่วนกลางที่ล้ำหน้าและทันสมัย ดึงจุดแข็ง Luxury Car Sharing Service เพื่อรองรับโลกในอนาคตอย่างยั่งยืน เพียงไม่กี่นาทีก็ถึงแหล่ง ช้อปปิ้ง ชั้นดี อย่าง The Em District เมืองหลวงของนักช้อป ที่รวบรวม Flagship store ของ Super Brand ชั้นนำระดับโลกไว้ที่นี่ ซึ่งกำหนดเปิดขายโครงการในช่วงเดือน กันยายน นี้ ณ สำนักงานขายโครงการ นายบดินทร์ธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะเน้นให้ความสำคัญในทุกๆด้าน ทั้งเรื่องทำเลที่ตั้งโครงการและการออกแบบโครงการที่แตกต่างไปจากคู่แข่ง ด้านคุณภาพที่เหนือกว่า การออกแบบที่ใส่ใจทุกรายละเอียด มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น การเลือกวัสดุคุณภาพเกรดพรีเมี่ยม รวมถึงการมีพันธมิตรทีมออกแบบโดยทีมสถาปนิกและบริษัทออกแบบชั้นนำของประเทศ ทำให้ทุกโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่พัฒนานั้นประสบความสำเร็จ โดยในส่วนการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมของเรียลแอสเสทนั้น หลังจากประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงการ ลาวีค สุขุมวิท 57 คอนโดมิเนียมระดับ Luxury โครงการแรกที่มีมูลค่ารวมกว่า 4,120 ล้านบาท บริษัทฯ จึงต่อยอดความสำเร็จด้วยการลงทุนพัฒนาตัวโครงการ AESTIQ Thonglor คอนโดมิเนียมแบบ Ultimate Luxury มูลค่าโครงการ 4,200 ล้านบาท เพื่อสร้าง Iconic Landmark แห่งใหม่บนทำเลทองหล่อ AESTIQ เกิดมาจากการผสานคำระหว่าง “Aesthetic” (สุนทรียภาพ) กับ “Unique” (ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว) จนกลายมาเป็นแนวคิดของโครงการคือ “A Reflection of you” เพื่อเน้นย้ำสุนทรียภาพในการใช้ชีวิตสำหรับคนรุ่นใหม่ในเมืองผ่านแกนหลักทั้งหมด 5 แกน ดังนี้   Nature – ธรรมชาติเป็นหนึ่งในแกนที่นำมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบโครงการ เพื่อต้องการผสมผสานความเป็นธรรมชาติให้แทรกซึมไปตามการใช้ชีวิตประจำวัน ผ่านการออกแบบพื้นที่ส่วนกลาง หรือ โครงสร้างตึกแบบ Organic Form และทางโครงการได้นำทรัพยากรธรรมชาติอย่าง “ลม” มาใช้ประโยชน์ในการออกแบบโครงการ เพื่อช่วยในการหมุนเวียนอากาศให้เข้ามายังพื้นที่ส่วนกลางและบริเวณที่พักอาศัย   Iconic - โครงการนี้ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเรือธงใหม่ของบริษัทเพื่อต้องการปักธงในการออกแบบตัวอาคารเพื่อสร้างความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวในย่านทองหล่อ ที่ใครๆจะต้องจ้องติดตามและกล่าวถึง   Future - ด้วยภาพลักษณ์การออกแบบสถาปัตยกรรมโครงการ รวมถึงพื้นที่ส่วนกลาง เป็นการสะท้อนถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ภายในโครงการเพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตแบบใหม่ ไม่ว่าจะเป็น Private Lift และระบบที่จอดรถยนต์แบบ Auto Parking   Sustainable - ความยั่งยืน ด้วยภาพลักษณ์ของโครงการที่ให้ความสำคัญกับธรรมชาติ สภาพแวดล้อมและเทคโนโลยี ดังนั้น โครงการ AESTIQ Thonglor จึงได้นำรถยนต์ที่มีระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% เข้ามาใช้เป็น car sharing service ภายในโครงการ เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้ชีวิตในเมืองได้อย่างยั่งยืนและลดการปล่อยมลพิษ   Fun - ความสนุกสนานในการใช้ชีวิตในย่านทองหล่อ คงหนีไม่พ้นกับการได้ลองอะไรใหม่ๆในย่านที่มีแต่เรื่องตี่นเต้นตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลากลางวันหรือกลางคืน การพบปะผู้คน การได้ลองร้านอาหารสุดชิคและแชร์ลงบน Social Media หรือการ Hang Out สบายๆในร้านกาแฟ ที่มีการออกแบบและตกแต่งภายในอย่างมีศิลปะ หรือการไปสัมผัส แสง สี เสียง ในยามค่ำคืน กลายเป็นแกนหลักในการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางของโครงการให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้ผู้อยู่อาศัยสามารถสนุกสนานได้ หากต้องการหลีกหนีความวุ่นวายในเมืองและอยากมีพื้นที่ส่วนตัวในการสังสรรค์ “ผมเชื่อมั่นว่า โครงการ AESTIQ Thonglor ถือได้ว่าเป็นโครงการที่ยกระดับทุกๆด้านในการใช้ชีวิตในเมือง ไม่ว่าจะเป็นทำเลที่ตั้งของโครงการ การออกแบบสถาปัตยกรรมที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว และมีความล้ำสมัยบนทำเลทองหล่อ โดยมาจากการนำแกนหลักทั้ง 5 แกนที่กล่าวมาข้างต้นนำมาใช้ในการเชื่อมโยงเข้าหากันและออกแบบได้อย่างลงตัว เพื่อตอบโจทย์สำหรับคนรุ่นใหม่ที่กล้าที่จะตัดสินใจในการเลือกรูปแบบการใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเราเองกำหนด เพราะสุดท้ายการตัดสินใจเหล่านี้ก็จะสะท้อนกลับเพื่อหล่อหลอมตัวตนของคุณที่แท้จริงออกมาในแบบ A Reflection of you” นายณัฏฐพร กลั่นเรืองแสง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานกลยุทธ์ธุรกิจ บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวถึงรายละเอียดของโครงการ AESTIQ Thonglor ว่า โครงการนี้ถือเป็นคอนโดมิเนียมแบบ Ultimate Luxury บนทำเลศักยภาพย่านทองหล่อ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “A Reflection of you” สุนทรียะที่สะท้อนความเป็นตัวคุณ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 – 3 – 88.9 ไร่ พัฒนาเป็นอาคารสูง 40 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 203 ยูนิต จอดรถได้ 220 คัน โดยเสนอยูนิตพิเศษในราคาเริ่มต้นเพียง 8.99 ล้านบาท หรือเริ่มต้นที่ประมาณตารางเมตรละ 269,000 บาท โครงการพัฒนายูนิตขึ้นมาให้เลือก 4 แบบ ได้แก่ แบบ 1 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอย 33-52 ตารางเมตร จำนวน 127 ยูนิต หรือคิดเป็นสัดส่วน 64 % , แบบ 2 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอย 76 – 119 ตารางเมตร จำนวน 56 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 25 % ,แบบ 3 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอย 131-158 ตารางเมตร จำนวน 18 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 10 % และห้องเพนท์เฮ้าส์ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 289-297 ตารางเมตร จำนวน 2 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 1 % โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างประมาณเดือน พฤษภาคม 2562 และจะแล้วเสร็จประมาณเดือนธันวาคม 2564   ทั้งนี้ จุดเด่นของโครงการอยู่ที่ การออกแบบอาคารให้มีรูปทรง Façade ดูโค้งและปิดกั้นด้วยกระจก Curtain Wall ในด้านฝั่งถนนทองหล่อ ที่สะท้อนรูปทรงอาคารเพื่อสร้าง Iconic Landmark แห่งใหม่ที่สะท้อนความเป็น Futuristic ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากโลกแห่งอนาคต แห่งแรกในประเทศไทย และ ในทุกห้องพักของโครงการมี Private Lift ในทุกยูนิต เพื่อตอบโจทย์ชีวิตที่หรูหราของสังคมเมือง โดยลูกค้าสามารถขึ้นมาถึงห้องพักของตนเองได้โดยไม่ต้องเดินผ่านพื้นที่ Corridor ส่วนกลางในแต่ละชั้นแต่อย่างใด   นอกจากนี้ ภายในโครงการได้จัดให้มีระบบจอดรถถึง 2 ระบบ ทั้งแบบ Auto Parking และ Conventional Parking ในสัดส่วนมากกว่า 100%ของห้องพัก รวมทั้งในส่วนของห้องพัก floorplan ได้ถูกออกแบบให้เป็น Cluster ซึ่งการออกแบบลักษณะนี้จะเกิดห้องมุมในสัดส่วนที่มากกว่าปกติ ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ในเรื่องของมุมมองจากภายในห้องพักที่กว้างและเป็นการเปิดรับการระบายอากาศธรรมชาติให้การอยู่อาศัยนั้นมีความแตกต่างจากการพักอาศัยภายในคอนโดมิเนียมทั่วไป อีกทั้งเพื่อเพิ่มมุมมองจากภายในอาคารการออกแบบจึงให้ความสำคัญกับขนาดและตำแหน่งของช่องกระจกมากเป็นพิเศษ โดยออกแบบให้ฝ้าเพดานภายในสูงสุด 3 เมตร และเน้นพื้นที่กระจกบริเวณหน้ากว้างของห้องพัก เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยสามารถชื่นชมทัศนียภาพที่งดงามของทิวทิศน์เมืองได้เต็มที่ที่สุด   โดดเด่นด้วย Reflection Pool : “สระว่ายน้ำ” ของโครงการอยู่บนชั้นที่ 30 ของอาคาร ซึ่งถือว่าเป็นชั้นที่สูงมาก เพียงพอที่จะชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของ Bangkok Skyline โดยที่สระถูกออกแบบให้เป็น Infinity - Edge Pool เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถชื่นชมความงามของธรรมชาตินั้นได้เต็มที่ และมีความยาวสระต่อเนื่องถึง 25 เมตรเหมาะสำหรับผู้ที่รักในการว่ายน้ำออกกำลังกายอีกด้วย โดยออกแบบให้ธรรมชาติแทรกซึมไปในทุกส่วนของพื้นที่แบบ Organic Form และเลือกใช้วัสดุที่สะท้อนความเป็น Reflective เพื่อสร้างความโดดเด่นอีกด้วย   Step Garden :“ บันได” เป็น Main Vertical Circulation ที่สำคัญของโครงการ ซึ่งโครงการ AESTIQ Thonglor นี้ได้นำแนวคิดที่จะนำ Terrace มา Integrate ใช้กับบันได เพื่อให้เกิดการใช้พื้นที่ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป กลายเป็นพื้นที่ส่วนกลางที่สามารถเข้ามาใช้งานได้มากขึ้น อีกทั้ง Step Garden นี้ ยังตั้งอยู่ด้านหน้าของโครงการ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถมานั่งพักผ่อนในบรรยากาศ Cityscape ของถนนทองหล่อได้อีกด้วย   Sky Private Garden for Penthouse บริเวณชั้นบนสุดของโครงการ ถูกออกแบบเป็นพิเศษและเพิ่มความเป็นส่วนตัวสำหรับห้องเพนท์เฮ้าส์โดยเฉพาะ ที่สามารถเชื่อมต่อได้ด้วยบันไดภายในห้องพักและมีส่วนของ Double Space ที่เชื่อมต่อชั้นบนและชั้นล่าง รวมทั้งมี “Sky Private Garden” พื้นที่ส่วนตัวสุดพิเศษสำหรับห้องเพนท์เฮ้าส์เท่านั้นด้วย   ยิ่งไปกว่านั้น ภายในโครงการยังเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ ที่จอดรถ Super Car & Super Bike and Bicycle , Luxury Car Sharing Service , Shuttle Service , EV Charging Station , Golf & Bike Simulator , Private Theater , Private Onzen , Panoramic Gym , Sky Social Club ฯลฯ รวมทั้งยังมีบริการเสริมอื่น ๆที่ดูแลโดย Concierge Service คอยให้บริการเพิ่มความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นอีกด้วย   “เราเชื่อมั่นในทำเลที่ตั้งและคอนเซ็ปต์ในการพัฒนาโครงการที่แตกต่างจากคู่แข่งจะสนับสนุนให้โครงการ AESTIQ Thonglor ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเช่นเดิม เพราะเราใส่ใจลงรายละเอียดในการออกแบบอาคารทั้งภายในและภายนอกเพื่อสะท้อนถึงความเป็นตัวตนที่งดงามแตกต่าง สะท้อนความทันสมัยและรสนิยม นอกจากนี้ยังเติมเต็มความต้องการในส่วนของสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการเสริมพิเศษต่างๆ อีกมากมาย ปัจจัยต่างๆเหล่านี้จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าระดับบนทั้งคนไทยและชาวต่างชาติที่ซื้ออยู่เองและเพื่อการลงทุนได้อย่างแน่นอน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.aestiq.com หรือ โทร 1232”
เสนาฯ – ฮันคิว  โชว์ความแข็งแกร่ง ลุยเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง

เสนาฯ – ฮันคิว โชว์ความแข็งแกร่ง ลุยเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง

นายธีรวัฒน์ ธัญลักษณ์ภาคย์ (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) และ ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ (ซ้าย) รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย คุณวาคาบายาซิ ทสึเนะโอะ (ที่ 2 จากขวา) ประธานบริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร๊อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ปเปอเรชั่น และ คุณมาซะฮิโกะ โทดะ (ขวา) ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ปเปอเรชั่น ผนึกกำลังร่วมพัฒนาโครงการใหม่ล่าสุด “นิช โมโน เมกะบางนา มูลค่าโครงการกว่า 2,200 ล้านบาท เป็นโครงการภายใต้การร่วมทุนโครงการที่ 4 ซึ่งถือเป็นการขับเคลื่อนธุรกิจให้เป็นไปตามแผนดำเนินงานในอนาคตที่จะร่วมทุนพัฒนาโครงการใหม่ มูลค่ามากกว่า 20,000 ล้านบาท
บมจ.มั่นคงเคหะการ เดินหน้าสานต่อแผนธุรกิจเตรียมส่ง 5 โครงการรุกตลาดครึ่งปีหลัง พร้อมประกาศร่วมทุน TPARK ผุดโรงงานให้เช่าเฟสใหม่

บมจ.มั่นคงเคหะการ เดินหน้าสานต่อแผนธุรกิจเตรียมส่ง 5 โครงการรุกตลาดครึ่งปีหลัง พร้อมประกาศร่วมทุน TPARK ผุดโรงงานให้เช่าเฟสใหม่

  นายวรสิทธิ์  โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าดำเนินธุรกิจในปี 2561 ตามแผนที่ประกาศไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยอัดงบลงทุน 5,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุนในธุรกิจเพื่อขาย 4,000 ล้านบาท และงบลงทุนในธุรกิจเพื่อเช่าและการบริการอีก 1,000 ล้านบาท ตั้งเป้าเปิด 7 โครงการใหม่บนทำเลศักยภาพ ในปี 61 นี้ คาดการณ์รายได้จากการขายโครงการรวม 3,500 ล้านบาท  โดยในครึ่งปีแรกได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วรวม 2 โครงการ ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว ‘ชวนชื่น ซิตี้ เซาท์/วิลล์-วัชรพล’ และ ‘ชวนชื่น ซิตี้ นอร์ท/วิลล์-วัชรพล’ บนทำเลทองย่านวัชรพล     ทั้งนี้ ด้านการพัฒนาโครงการเพื่อการขายในช่วงครึ่งปีหลังนั้น บริษัทฯ วางแผนเปิดโครงการใหม่อีก 5 โครงการ  รวมมูลค่า 4,540 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวรวม 3 โครงการ และโครงการทาวน์โฮมรวม 2 โครงการในทำเลศักยภาพ อาทิ กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก, กรุงเทพฯ ตอนเหนือ และกรุงเทพฯ-ปทุมธานี ซึ่งมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีด้วยจุดเด่นในด้านของทำเลและฟังก์ชั่นการออกแบบที่บริษัทฯ ตั้งใจพัฒนาขึ้น เพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยของผู้บริโภค   ด้านธุรกิจเพื่อเช่าและการบริการนั้น นายวรสิทธิ์  โภคาชัยพัฒน์ กล่าวเสริมถึงแผนและภาพรวมการดำเนินธุรกิจในส่วนดังกล่าวว่า “สำหรับ บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (PD) บริษัทในเครือผู้พัฒนาและบริหารโครงการบางกอกฟรีเทรดโซน คลังสินค้าและโรงงานเพื่อเช่านั้น ปัจจุบันมีการพัฒนาพื้นที่ปล่อยเช่ารวม 115,000 ตร.ม.  และอยู่ในระหว่างดำเนินการพัฒนาเพิ่ม 38,000 ตร.ม.ในปีนี้   ล่าสุด พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ ได้ร่วมมือกับ บริษัท ไทคอน โลจิสติคส์ พาร์ค จำกัด (TPARK) บริษัทในเครือของ บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด มหาชน (TICON) ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและบริหารโรงงานและคลังสินค้าโดยเฉพาะ เพื่อพัฒนาโรงงานและคลังสินค้าเพิ่มเติมอีกกว่า 100 ไร่  โดยมีกลุ่มสแกนเนีย กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัดเป็นลูกค้ารายแรกของความร่วมมือนี้  ได้มีการพัฒนาโรงงานให้เช่าในแบบ Built to Suit หรือสร้างตามความเหมาะสมในการใช้งานด้านการผลิตไปแล้วบนเนื้อที่ 22 ไร่ พื้นที่ใช้สอยรวม 14,000 ตร.ม. มูลค่ารวม 350 ล้านบาท  ด้าน บริษัท ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด นั้น ในช่วงครึ่งปีแรกได้รับบริหารโครงการเพิ่มขึ้นอีก 3 โครงการ โดยในครึ่งปีหลังตั้งเป้าเดินหน้าบริหารโครงการเพิ่มอีก 5 โครงการ ตามแผนที่จะขยายขอบเขตการให้บริการรวม 8 โครงการในปีนี้     อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของ บมจ.มั่นคงเคหะการ ที่หลายฝ่ายต่างจับตามองก็คือการพัฒนาโครงการ ‘พาร์ค คอร์ท (Park Court)’ อพาร์ทเมนต์และคอนโดมิเนียมใจกลางสุขุมวิทมูลค่า 3,000 ลบ. ตอบโจทย์กลุ่มตลาดระดับบน เจาะกลุ่มนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ  ก็ถือเป็นบทพิสูจน์ศักยภาพของบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี เพราะปัจจุบันสามารถขายและปล่อยเช่าไปได้แล้วเกือบ 50% และคาดว่าจะสามารถปิดการขายพร้อมปล่อยเช่าเต็ม 100% ภายในปี 2562  ส่วนธุรกิจการบริการสนามกอล์ฟ ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ ที่ปรับโฉม เปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ และ ฟลอร่าวิลล์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ทคลับ ซึ่งเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ก็ได้รับกระแสตอบรับจากผู้มาใช้บริการเป็นอย่างดี  คาดการณ์ว่าจะสร้างรายได้จากธุรกิจการบริการสนามกอล์ฟและสปอร์ทคลับดังกล่าวเพิ่มขึ้น 40% ในปี 61     “บริษัทฯ มองว่าในช่วงครึ่งปีหลัง ด้วยบรรยากาศการลงทุนและกลไกตลาดในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังมีความเคลื่อนไหวในเชิงบวกอยู่ ประกอบกับการดำเนินงานของบริษัทฯยังคงเป็นไปตามแผนที่วางไว้ และจุดแข็งในพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่โดดเด่นด้านทำเล ราคา และการออกแบบพื้นที่ใช้สอยที่ใช้ได้จริง ในทำเลที่มีศักยภาพ จะยิ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเติบโตของบริษัทฯ ในปีนี้” นายวรสิทธิ์  โภคาชัยพัฒน์ กล่าวสรุป  
นวัตกรรมแผ่นยิปซัมรุ่นใหม่ที่ทลายข้อจำกัดแบบเดิมๆ!

นวัตกรรมแผ่นยิปซัมรุ่นใหม่ที่ทลายข้อจำกัดแบบเดิมๆ!

โซลูชั่นส์ระบบผนังยิปซัมรุ่นใหม่สำหรับใช้ในพื้นที่เปียกชื้นสูง มอบประสิทธิภาพทนความชื้นดีเยี่ยม ถูกสุขอนามัย และให้ความทนทานที่คุณคาดไม่ถึง! สำหรับวงการก่อสร้าง เป็นที่รู้กันดีว่าระบบผนังยิปซัมนั้นเป็นโซลูชั่นส์ที่มีความคุ้มค่าในเรื่องของราคา ติดตั้งได้ง่ายและให้งานผนังที่สวยเนี้ยบตามมาตรฐาน อีกทั้งเป็นทางเลือกอันดับหนึ่งในการก่อสร้างบ้านพักอาศัยหรือสำนักงานตลอดช่วงศตวรรษที่ผ่านมา ระบบผนังยิปซัมยังมีขั้นตอนการทำงานที่ไม่ซับซ้อนรวดเร็ว และให้ความยืดหยุ่นในการสร้างผนังเพื่อกั้นห้อง หรือแบ่งพื้นที่ได้สะดวก นอกจากการติดตั้งง่าย ระบบผนังยิปซัมยังมีคุณสมบัติกันไฟลุกลามภายในอาคาร ทั้งยังสามารถติดตั้งได้ในอาคารทั่วไปโดยเสียค่าแรงต่ำกว่าผนังระบบอื่นมาก อย่างไรก็ดี แม้จะเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าระบบผนังยิปซัมมีข้อดีมากมาย แต่เมื่อพูดถึงพื้นที่เปียก บรรดาช่างก่อสร้างกลับปฏิเสธระบบผนังยิปซัมกันทั้งสิ้น     เนื่องจากระบบผนังยิปซัมที่เสียหายเพราะความชื้นถือเป็นฝันร้ายที่ยากเกินจะเยียวยา ซึ่งเกิดจากแผ่นยิปซัมมีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้เป็นอย่างดีนั่นเอง และแน่นอนว่าพื้นผิวกระดาษปิดแผ่นยิปซัมทั่วไปนั้นยังเอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อราเป็นอย่างมากอีกด้วย ซึ่งเชื้อรามักเติบโตได้ดีในพื้นที่อาคารที่มีความชื้นและอากาศไม่ถ่ายเท อีกทั้งการสูดกลิ่นเชื้อราหรือสปอร์ของรายังทำให้เกิดการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ ก่อให้เกิดอาการคัดจมูก จาม แน่นหน้าอก ไอและการระคายเคืองในลำคอ   เท่าที่ผ่านมา ระบบผนังยิปซัมจึงไม่ใช่โซลูชั่นส์ที่เหมาะสำหรับพื้นที่เปียกชื้นเลย พื้นที่เปียกชื้นนั้นมีการจัดประเภทตามระดับความเสี่ยงและยังมีการกำหนดว่าผนัง พื้น ทางแยก และการซึมผ่านแบบใดจะต้องเป็นประเภทกันน้ำ (waterproof) หรือทนน้ำ (water-resistant) พื้นที่เปียกชื้นที่มีความเสี่ยงสูงได้แก่ห้องอาบน้ำและห้องซักรีดที่จำเป็นต้องมีตะแกรงระบายน้ำและพื้นที่ฝักบัวอาบน้ำ พื้นที่เปียกชื้นที่มีความเสี่ยงปานกลางคือพื้นที่ในห้องน้ำนอกห้องฝักบัวและพื้นที่ใกล้ห้องอาบน้ำและสปา พื้นที่เปียกชื้นที่มีความเสี่ยงต่ำคือห้องใช้งานทั่วไปและห้องส้วมแบบแห้ง รวมไปถึงผนังใกล้อ่างล้างจานและอ่างอาบน้ำ (แม้จะมีข้อโต้แย้งในเรื่องนี้จากบรรดาช่างติดตั้งอยู่บ้างก็ตาม)   ปัจจุบัน เทคโนโลยีการผลิตแผ่นยิปซัมได้พัฒนาไปไกลมาก จนสามารถผลิตแผ่นยิปซัมรุ่นใหม่ที่ลบข้อจำกัดการใช้งานในพื้นที่เปียกชื้นสูง และสามารถเปลี่ยนความคิดที่มีต่อผลิตภัณฑ์แผ่นยิปซัมและระบบผนังยิปซัมเดิม ๆ ให้หมดไป แม้ผนังก่ออิฐฉาบปูนจะเป็นตัวเลือกมาตรฐานมาเป็นเวลานานสำหรับช่างก่อสร้าง แต่ด้วยเทคโนโลยีการผลิตวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ ทำให้ในวันนี้ ยิปรอคขอเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ผู้บริโภคในประเทศไทยที่จะพลิกโฉมการก่อสร้างระบบผนังยิปซัมภายในบ้านไปตลอดกาล ด้วยประสิทธิภาพการกันน้ำสำหรับพื้นที่เปียกอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน   และที่สำคัญ โซลูชั่นส์ระบบผนังยิปซัมต่อต้านความชื้นสูงของยิปรอคยังคงข้อดีของผนังยิปซัมแบบเดิมไว้อย่างครบถ้วน ทั้งการติดตั้งง่ายรวดเร็วและประหยัดงบประมาณ ซึ่งถือเป็นเป้าหมายหลักของยิปรอค ในฐานะผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างชั้นนำมาตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา   ยิปรอคนำเสนอผลิตภัณฑ์แผ่นยิปซัมประสิทธิภาพสูงที่ครอบคลุมการใช้งานในพื้นที่เปียกชื้นหลายประเภทพร้อมระบบการติดตั้งที่สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเพื่อการใช้งานเฉพาะตัวหรือการใช้งานทั้งระบบ ก็สามารถเลือกใช้ได้ตามความต้องการ ด้วยคุณสมบัติทนความชื้น ติดตั้งง่าย ต่อต้านการเกิดเชื้อรา หน่วงการติดไฟ มีอายุการใช้งานยาวนานและง่ายต่อการทำความเข้าใจและติดตั้งหน้าไซต์งาน ทั้งหมดนี้ล้วนถูกออกแบบมาเพื่อการบรรลุเป้าหมายสูงสุด นั่นคือการสร้างสรรค์โซลูชั่นส์ก่อสร้างระบบผนังยิปซัมภายใต้แนวคิด Multi-Comfort เพื่อยกระดับความสะดวกสบาย สุขอนามัย และความสุขของผู้พักอาศัยภายในบ้าน ผ่านการมอบสิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างที่ดีเยี่ยม     โซลูชั่นส์ระบบผนังยิปซัมทนชื้นสูงของยิปรอคมอบคุณสมบัติที่ทุกคนปรารถนา โดยสามารถลบข้อเสียของระบบผนังยิปซัมรูปแบบเดิมให้หมดไปได้ และมอบประสิทธิภาพสูงสุดแก่เจ้าของบ้าน พร้อมอายุการใช้งานที่ยาวนานยิ่งกว่า ผนังยิปซัมรุ่นใหม่จากยิปรอคมอบการปกป้องที่ดีเยี่ยมด้วยคุณสมบัติต่อต้านการดูดซึมน้ำและป้องกันการซึมผ่านของความชื้น และต่อต้านการเจริญเติบโตของเชื้อราและเห็ดราได้เป็นอย่างดี   ยิปรอค กลาสรอค  เอช โอเชียน (Gyproc® Glasroc® H OCEAN) เป็นโซลูชั่นส์ระบบผนังยิปซัมจาก ยิปรอคที่เหมาะสำหรับการก่อสร้างผนังภายในบนพื้นที่เปียกชื้นสูงซึ่งสัมผัสกับน้ำในระดับปกติ มอบความแข็งแกร่งทนทาน โดยสามารถปูกระเบื้องทับได้เหมือนผนังทั่วไปหรือทาสีเพื่อใช้งานได้โดยไม่ต้องปูกระเบื้อง ด้วยองค์ประกอบของแผ่นยิปซัมซึ่งเป็นสารอนินทรีย์ประสิทธิภาพสูงที่สามารถทนความชื้นและเชื้อราได้เป็นอย่างดี จึงมอบสุขอนามัยที่ดีกว่าแผ่นยิปซัมแบบเดิมๆ  นอกจากนี้ ยังใช้เทคโนโลยีการเคลือบผิวแบบ Glassfiber Reinforced Gypsum (GRG) โดยใช้ชั้นไฟเบอร์กลาสเคลือบแทนการปิดผิวด้วยกระดาษ อีกทั้งวัสดุแกนกลางของแผ่นยิปซัมยังมีคุณสมบัติการดูดซึมน้ำ ผสานกับชั้นสีรองพื้นสีฟ้าที่ช่วยลดการซึมน้ำจากพื้นผิวผนังได้เป็นอย่างดี อีกทั้งพื้นผิวของแผ่นยิปซัมรุ่นนี้ยังมีคุณภาพสูง พร้อมสำหรับการปูกระเบื้องทับได้ทันที หรือทาสีได้อย่างเรียบเนียน   ยิปรอค กลาสรอค  เอช โอเชียน มอบพื้นผิวผนังที่เหมาะสำหรับการปูกระเบื้องเพื่อพื้นที่เปียกชื้นสูงที่สัมผัสกับน้ำหรือความชื้นบ่อยครั้ง อาทิ ห้องฝักบัว ห้องอาบน้ำ ห้องโถงสระว่ายน้ำที่อยู่ในสภาพแวดล้อมควบคุมที่มีการระบายอากาศ หรือใช้งานในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง     3 ผลิตภัณฑ์เพื่อการสร้างสรรค์ระบบผนังยิปซัมที่เต็มประสิทธิภาพ ได้แก่ ยิปรอค กลาสรอค เอช โอเชียน (Gyproc® Glasroc® H Ocean) แผ่นยิปซัมอัจฉริยะที่มีคุณสมบัติทนความชื้นสูงและเชื้อรา พร้อมมอบความแข็งแรง ทนทานด้วยความหนาถึง 12.5 มม. ยิปรอค ไฟเบอร์ เทป ไฮโดร (Gyproc®Fibre Tape HYDRO) เทปตาข่ายใยแก้วทนชื้นเพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรงของรอยต่อของแผ่นยิปซัม ช่วยป้องกันการแตกร้าวและมอบคุณสมบัติในการทนความชื้นและต่อต้านการเติบโตของเชื้อรา เหมาะสำหรับใช้ในพื้นที่เปียกหรือสัมผัสน้ำและความชื้นตลอดเวลา  และ ยิปรอค ยิปฟิลล์ จอยท์ ไฮโดร (Gyproc® Gypfilltm JOINT HYDRO) ปูนฉาบรอยต่อที่มีคุณสมบัติทนชื้น ช่วยให้งานฉาบรอยต่อเรียบเนียน อีกทั้งใช้ตกแต่งพื้นผิวได้โดยตรง เหมาะสำหรับใช้ในพื้นที่เปียกชื้นสูงหรือสัมผัสน้ำและความชื้นตลอดเวลา กรุณาดูข้อมูลที่เว็บไซต์ http://www.gyproc.co.th/ หรือhttps://www.facebook.com/GyprocTH/  
ชินวะ เรียลเอสเตท ติดเครื่องผลิตระบบรูเนะสุในไทย  เล็งทำตลาดทั้งในและต่างประเทศหลังผ่านมาตรฐานจากบ.แม่

ชินวะ เรียลเอสเตท ติดเครื่องผลิตระบบรูเนะสุในไทย เล็งทำตลาดทั้งในและต่างประเทศหลังผ่านมาตรฐานจากบ.แม่

ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) ติดเครื่องผลิตระบบรูเนะสุในไทย ชี้ขั้นตอนสำคัญต้องส่งบริษัทแม่ตรวจสอบเกณฑ์มาตรฐาน จากนั้นเดินหน้ารุกทำตลาดทั้งในและต่างประเทศ มร.โทโมยาสุ ยามาเบะ กรรมการผู้จัดการ และ นายวิชัย จุฬาโอฬารกุล กรรมการบริหาร บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า ภายหลังการเข้ามาปักหมุดลงทุนในไทยประมาณสองปีที่ผ่านมา โดยพัฒนาคอนโดมิเนียมด้วยระบบรูเนะสุ ที่นำนวัตกรรมซิกม่าบีม (Sigma Beam) ลิขสิทธิ์เฉพาะของชินวะ กรุ๊ป-บริษัทแม่ที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ขณะนี้เดินเครื่องผลิตนวัตกรรมซิกม่าบีม ในประเทศไทย ด้วยการติดตั้งเครื่องจักร 1 เครื่อง ซึ่งจะมีกำลังการผลิตได้เพียงพอต่อการทำตลาดในช่วงเริ่มต้น โดยขั้นตอนสำคัญเมื่อผลิตชิ้นส่วนซิกม่า บีมที่โรงงานในไทย จะต้องส่งไปทดสอบเกณฑ์มาตรฐานจากบริษัทแม่ที่ประเทศญี่ปุ่น หากได้เกณฑ์มาตรฐานแล้วจะนำมาใช้ติดตั้งในโครงการเร็น สุขุมวิท39 ซึ่งเป็นโครงการใหม่ของบริษัทที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเร็วๆนี้ นอกจากนั้นมีแนวทางการทำตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยเป้าหมายคือ โครงการคอนมิเนียมในเมือง ขนาด 20 ตร.ม.เศษ ทาวน์โฮมและบ้านเดี่ยว ที่มีพื้นที่ใช้ประโยชน์ขนาดต่ำกว่า 250 ตร.ม. ส่วนตลาดต่างประเทศ ขณะนี้ประเทศที่สนใจอยู่ระหว่างการเจรจา คือ ฮ่องกง และ สิงคโปร์     “ชินวะ กรุ๊ป บริษัทแม่ของชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) ที่มีสำนักงานใหญ่ที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น มีรากฐานเติบโตมาจากงานคอนสตรัคชั่น ขณะนี้มีประวัติศาสตร์การดำเนินงานมาถึง 128 ปีแล้ว ธุรกิจในเครือแตกไลน์หลายแขนง เรามีนโยบายการพัฒนาโครงการในไทยปีละ 1-2 โครงการก่อน เพราะต้องการใส่ใจในทุกรายละเอียดเพื่อให้งานออกมาอย่างมีคุณภาพ โดยแนวทางของชินวะ กรุ๊ป แตกต่างจากกลุ่มทุนญี่ปุ่นอื่นๆที่เข้ามาลงทุนกับดีเวลลอปเปอร์ไทยในลักษณะที่เน้นการลงเงินทุน แต่นโยบายจอยท์ เวนเจอร์ของชินวะฯ คือเรานำโนว์ฮาวเข้ามาใช้ในการก่อสร้างในไทยด้วย การเข้ามาตั้งโรงงานผลิตซิกม่า บีม ชิ้นส่วนสำคัญของระบบรูเนะสุนี้ เป็นเป้าหมายที่วางไว้ตั้งแต่ต้น ทั้งนี้เพื่อต้องการให้กลุ่มเป้าหมาย ทั้งชาวไทย ญี่ปุ่น และผู้อยู่อาศัยในโครงการได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ในแบบที่บริษัทแม่ Shinwa ที่ญี่ปุ่นได้ประสบความสำเร็จ และได้ครองใจคนญี่ปุ่นมาแล้ว กว่า 128 ปี” มร.ยามาเบะ กล่าว     ด้านนายวิชัย จุฬาโอฬารกุล กรรมการบริหาร บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า การทำตลาดระบบรูเนะสุของชินวะฯ จะเป็นการขายโซลูชั่น ไม่เฉพาะการขายชิ้นส่วนซิกม่าบีมเท่านั้น แต่จะรวมถึงขั้นตอนการให้คำปรึกษาแนะนำ ออกแบบ ควบคุมงานก่อสร้าง โดยการส่งวิศวกรผู้ชำนาญงานเข้าไปร่วมดูแลเพื่อให้ได้มาตรฐานของระบบ สำหรับกลยุทธ์การทำตลาดขณะนี้มีเป้าหมายทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นคอนโดมิเนียมในเมือง ที่มีขนาดพื้นที่ประมาณ 20 ตารางเมตรเศษ ซึ่งระบบรูเนะสุ นี้จะเข้ามาช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้ประโยชน์ให้มากขึ้น โดยการกลับคานเป็นพื้น-กลับพื้นเป็นคาน เพื่อใช้พื้นที่ความต่างด้านล่างที่มีความสูง 60 เซนติเมตรเพื่อใช้ประโยชน์ในการเก็บของ ปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่น การบริหารจัดการ Death Space และสามารถทำให้ผู้อยู่อาศัยมีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้นถึง 25-40 % นอกจากนั้นยังมีโครงการแนวราบ เช่น ทาวน์โฮม บ้านเดี่ยว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบเพื่อสร้างโมเดลตัวอย่าง คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ และยังรวมถึงคอมมูนิตี้ มอลล์ และ อาคารออฟฟิศ ต่างๆ ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน ส่วนการรุกตลาดต่างประเทศ ขณะนี้ประเทศที่สนใจระบบรูเนะสุและอยู่ระหว่างการเจรจา คือ ฮ่องกง และ สิงคโปร์   สำหรับชินวะ กรุ๊ป ได้เข้ามาจอยท์ เวนเจอร์กับกลุ่มทุนไทยเพื่อดำเนินงานคอนโดมิเนียมมาแล้ว 2 โครงการ คือ รูเนะสุ ทองหล่อ 5 คอนโดมิเนียมโลวไรส์ 8 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 156 ยูนิต โดยเป็นระบบรูเนะสุ 2 ชั้น มูลค่าโครงการกว่า 1,200 ล้านบาท ปิดการขายแล้วขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จราวไตรมาส 2 ปี 62 สำหรับโครงการเร็น สุขุมวิท 39 (ซอยพร้อมมิตร) เป็นอาคารสูง 7 ชั้น 2 อาคาร จำนวนรวม 298 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 2,600 ล้านบาท โดยเป็นระบบรูเนะสุทุกยูนิต เพิ่งเปิดตัวโครงการไปเมื่อเร็วๆนี้ และจะเปิดขายอย่างเป็นทางการประมาณไตรมาส 3 ของปีนี้
บุญถาวรนำร่อง ‘Solar Roof’ พลังงานทดแทน  ช่วยธุรกิจลดต้นทุน คืนทุนใน 7 ปี

บุญถาวรนำร่อง ‘Solar Roof’ พลังงานทดแทน ช่วยธุรกิจลดต้นทุน คืนทุนใน 7 ปี

บริษัท บุญถาวรเซรามิค จำกัด ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ลดการใช้เชื้อเพลิงอย่างก๊าซธรรมชาติในการผลิตพลังงานไฟฟ้า สืบเนื่องจากปัจจัยการขยายตัวเชิงเศรษฐกิจของไทยที่ขยายตัวจากเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ กระจายตัวออกไปยังหัวเมืองใหญ่ในแต่ละจังหวัดและภูมิภาคต่างๆ ภายในประเทศฯ เป็นผลให้ความต้องการพลังงานของประเทศไทยนั้นปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งในช่วง 3 เดือนแรกของ   ปี 2561 ที่ผ่านมาประเทศไทยมีอัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงถึง 44,598  กิกะวัตต์ คิดเป็น 0.9% เพิ่มขึ้นจากระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน1 ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ภาวะวิกฤตการณ์ขาดแคลนพลังงานไฟฟ้า มีสภาวะรุนแรงยิ่งขึ้น สืบเนื่องมาจากก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยมีทีท่าว่าจะหมดลงในอีก 4 – 5 ปีข้างหน้า ซึ่งถือเป็นเชื้อเพลิงหลักในการใช้ผลิตไฟฟ้าของไทยถึง 70% ในการผลิตไฟฟ้า และหากก๊าซธรรมชาติหมดลงจะส่งผลตรงไปยังภาคเศรษฐกิจที่จะต้องทำการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้อัตราค่าการผลิตไฟฟ้าและราคาค่าไฟจะปรับตัวสูงขึ้นและมีที่ท่าว่าจะยังคงทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ หากไม่ได้รับการแก้ไขในระยะยาว จึงเป็นที่มาของ บุญถาวร ได้ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ อย่าง ‘โซลาร์รูฟ’ (Solar Roof) มาติดตั้งตามสาขาต่างๆ โดยมี บริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดูแลการติดตั้ง   การทำงานของ โซลาร์รูฟ (Solar Roof)  โซลาร์รูฟ (Solar Roof) ทำงานผ่านแผงโซลาร์เซลล์ที่ผลิตจากวัสดุสารกึ่งตัวนำที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับชิพคอมพิวเตอร์ในการเป็นตัวรับแสงอาทิตย์เข้ามาเปลี่ยนเป็นไฟฟ้ากระแสตรง ก่อนที่จะส่งไปยังเครื่องแปลงไฟ (Inverter) เพื่อเริ่มกระบวนการเปลี่ยนไฟฟ้ากระแสงตรง (DC Current) ไปเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Current) ในการดึงพลังงานไฟฟ้าไปใช้ต่อภายในครัวเรือนหรืออุตสาหกรรม ซึ่ง โซลาร์รูฟ สามารถติดตั้งได้กับหลังคาทุกประเภท อีกทั้งยังสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจ่ายค่าไฟ สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลาง ตัวอย่างเช่น บุญถาวร สาขาเกษตร-นวมินทร์ ติดตั้งขนาด 837 กิโลวัตต์ สามารถลดค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ย 20 – 25 % คิดเป็น 400,000 - 450,000 บาทต่อเดือน เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ไฟฟ้าแบบปกติ หรือเมื่อเปรียบเทียบ หากนำพลังงานที่ได้จากระบบ Solar Rooftop นี้ ไปใช้กับครัวเรือนบ้านพักอาศัยขนาดกลางโดยทั่วไป  ที่ใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยประมาณ 1,000 หน่วยต่อเดือน  สามารถใช้ได้ถึง 100 ครัวเรือน  คิดเป็นการประหยัดค่าไฟฟ้า 4,000 – 5,000 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน   โดยทาง บุญถาวร ได้ติดตั้ง โซลาร์รูฟ (Solar Roof) ทั้งสิ้นกว่า 11 สาขาทั่วประเทศ รวมขนาดประมาณ 7,226 กิโลวัตต์ สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้า มากกว่า 836,000 หน่วยต่อเดือน ประหยัดค่าใช้จ่าย ประมาณ 3,764,000 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ยังมีแผนติดตั้ง โซลาร์รูฟ (Solar Roof) สำหรับโครงการต่างๆของบุญถาวรที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ยังช่วยในการบริหารจัดการลดค่าใช้จ่าย ค่าความต้องการพลังไฟฟ้า (kVA: Demand Charge) จากการเป็นผู้ใช้ไฟฟ้าประเภท TOU Meter (Time of Use Rate หรือ อัตราค่าไฟฟ้าตามช่วงเวลาใช้) เป็นต้น ซึ่งจากการทดลองใช้งานดังกล่าวทำให้เห็นการทำงานของโซลาร์รูฟที่ช่วยในการประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้   ประโยชน์ของ โซลาร์รูฟ (Solar Roof) สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจและอุตสาหกรรมแล้ว การติดตั้งโซลาร์รูฟ (Solar Roof) นั้นสามารถช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าได้ในระยะยาวเนื่องจากสามารถผลิตไฟฟ้าใช้งานเองได้ในเวลากลางวัน ด้วยการลงทุนเพียงครั้งเดียว มีอายุการใช้งานที่ยาวนานสูงกว่า 25 ปี ประกอบกับค่าบำรุงรักษาที่ย่อมเยา และระยะเวลาในการคืนทุนที่ชัดเจนภายใน 7 ปี ติดตามรายละเอียดต่างๆได้ที่บุญถาวรทุกสาขา หรือติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.boonthavorn.com เฟซบุ๊ค https://www.facebook.com/boonthavorn/ หรือไลน์ Official Account บุญถาวร  
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ยกระดับบริการลูกค้าผ่าน “Major Development Contact Center”

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ยกระดับบริการลูกค้าผ่าน “Major Development Contact Center”

สร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง สำหรับค่ายเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ นำโดยบอสใหญ่ คุณเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร ล่าสุดสั่งทีมงานลุยกลยุทธ์ Customer Centric ยกระดับการให้บริการลูกค้าเทียบเท่ามาตรฐานสากล เปิดตัว “Major Development Contact Center” ศูนย์กลางการให้บริการลูกค้าแบบครบวงจร รองรับบริการแบบ One Stop Service ผ่านหมายเลขโทรศัพท์ 02-116-1111 เบอร์เดียวตอบสนองทุกความต้องการให้ข้อมูลและให้คำปรึกษานำเสนอโซลูชั่นที่ดีที่สุด พร้อมแล้วที่จะดูแลและมอบที่สุดแห่งความประทับใจ ตั้งแต่วันนี้ ทุกวันเวลา 8.00-20.00 น. งานนี้บอสใหญ่แอบกระซิบว่าครึ่งปีหลังนี้จะมีบริการและสิทธิพิเศษใหม่ๆ มาให้ลูกค้าเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ได้เซอร์ไพรส์กันอยู่เรื่อยๆ แน่นอน อดใจรออีกนิดนะคะ…
SINGHA COMPLEX พร้อมเปิดให้บริการตุลาคมนี้  เผยยอดจองพื้นที่ออฟฟิศพุ่งแล้วกว่า 75% – รีเทลพุ่งแล้วกว่า 80%

SINGHA COMPLEX พร้อมเปิดให้บริการตุลาคมนี้ เผยยอดจองพื้นที่ออฟฟิศพุ่งแล้วกว่า 75% – รีเทลพุ่งแล้วกว่า 80%

สิงห์ เอสเตท พร้อมเปิดโปรเจกต์แฟล็กชิปโครงการแรกย่านอโศก-เพชรบุรี “สิงห์ คอมเพล็กซ์” (SINGHA COMPLEX) ช่วงเดือนตุลาคมนี้ ปัจจุบันสร้างแล้วเสร็จกว่า 95% โดยส่วนพื้นที่ “ดิ ออฟฟิศ แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์” มียอดผู้เช่าแล้วกว่า 75% ขณะที่ส่วนรีเทลปิดการขายไปแล้วกว่า 80% นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัทชั้นนำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ (Premier Property Development and Investment Holding Company)กล่าวว่า “สำหรับโปรเจกต์แฟล็กชิป SINGHA COMPLEX ซึ่งเป็นโครงการมิกซ์ ยูส ใจกลางธุรกิจย่านอโศก- เพชรบุรี ขณะนี้งานก่อสร้างคืบหน้าแล้วกว่า 95% และคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์พร้อมเปิดให้เข้าใช้บริการได้ประมาณเดือนตุลาคม พร้อมแผนจัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี ด้านการปล่อยเช่าพื้นที่ในส่วนอาคารสำนักงานเกรดเอ “ดิ ออฟฟิศ แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ (The Office at SINGHA COMPLEX)” ปัจจุบันได้มีบริษัทชั้นนำทั้งไทยและต่างชาติสนใจเข้าทำสัญญาเช่าพื้นที่แล้วกว่า 35,000ตารางเมตร หรือคิดเป็น 75% ส่วนพื้นที่รีเทลปัจจุบันได้มีผู้สนใจเช่าพื้นที่แล้วกว่า 80% รวมแล้วกว่า 30 ร้าน ประกอบด้วย ร้านอาหารชั้นนำที่เลือกสรรมาให้มีความหลากหลาย มินิซูเปอร์มาร์เก็ตที่มีความครบครัน เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความชื่นชอบของลูกค้าได้ทุกไลฟ์สไตล์ นอกจากนั้นยังมีไฮไลต์เป็นร้านคาเฟ่และเบเกอรี่ชื่อดังระดับโลกที่มาเปิดตัวในประเทศไทยเป็นครั้งแรกอย่าง กองทาน เชอร์เรียร์ (Gontran Cherrier)รวมถึง คาเฟ่ เดล มาร์ (Café del Mar) บีชคลับชื่อดังระดับโลกที่จะมาเปิดร้านอาหารคอนเซปท์ใหม่ครั้งแรกในกรุงเทพมหานคร โครงการ สิงห์ คอมเพล็กซ์ (SINGHA COMPLEX) เป็นโครงการแบบ Mixed-use Complex ประกอบด้วย อาคารสำนักงานเกรดเอ พื้นที่ค้าปลีก และคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี ที่พัฒนาขึ้นบนพื้นที่ดิน 11ไร่ บริเวณหัวมุมถนนอโศก-เพชรบุรี โดยส่วนพื้นที่อาคารสำนักงานมีความสูง 42 ชั้น และส่วนรีเทลเป็นอาคารสูง 4 ชั้น ขนาดพื้นที่รวม 2 อาคารประมาณ120,000 ตารางเมตร และมีมูลค่าก่อสร้างรวมกว่า4,200 ล้านบาท (ไม่รวมมูลค่าที่ดิน)  
แอสเสท เวิรด์ รีเทล ผนึกพลังแบรนด์ชั้นนำบูมกระแสธุรกิจค้าปลีก เปิดตัว ‘ลาซาล อเวนิว’ เพิ่มรายได้รับไตรมาส 3 หลังปล่อยเช่าพื้นที่เต็ม 100%

แอสเสท เวิรด์ รีเทล ผนึกพลังแบรนด์ชั้นนำบูมกระแสธุรกิจค้าปลีก เปิดตัว ‘ลาซาล อเวนิว’ เพิ่มรายได้รับไตรมาส 3 หลังปล่อยเช่าพื้นที่เต็ม 100%

  แอสเสท เวิรด์ รีเทล หนึ่งในผู้นำธุรกิจรีเทลของไทย รุกธุรกิจค้าปลีกย่านบางนาด้วยการทุ่มงบ 350 ล้านบาท ผุดคอมมูนิตี้มอลล์แนวใหม่ ‘ลาซาล อเวนิว’ ระดมแบรนด์ชั้นนำพร้อมให้บริการเต็มรูปแบบสร้างเป็น Food Destination อย่างครบครัน พร้อม Green Space พื้นที่สีเขียวปอดแห่งใหม่ของย่านลาซาล บนเนื้อที่กว่า 3,000 ตร.ม. เสริมแกร่งธุรกิจรีเทลในเครือรับไตรมาส 3   นายมานพ คำสว่าง ผู้จัดการบริหารทรัพย์สิน บริษัท แอสเสท เวิรด์ รีเทล จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันการแข่งขันในธุรกิจรีเทลทั้งกรุงเทพฯ และเมืองเศรษฐกิจทั่วประเทศมีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและจะคงการเติบโตดังกล่าวไปอีก 1-2 ปีข้างหน้า และปัจจัยที่นำสู่ความสำเร็จคือ ‘การสร้างสรรค์ความต่างและศักยภาพของผู้ประกอบการ’ ที่จะพัฒนาโครงการเพื่อเติมเต็มความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบครัน ในขณะเดียวกันก็ต้องสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ลูกค้ายังไม่เคยสัมผัสที่ใดมาก่อน เพื่อกระตุ้นความสนใจในการเข้าใช้บริการ ด้วยเหตุดังกล่าว แอสเสท เวิรด์ รีเทล จึงได้ยึดแนวคิดนี้มาใช้พัฒนาศูนย์การค้าโครงการล่าสุดของเรา ‘ลาซาล อเวนิว’ เพื่อมอบความประทับใจครั้งใหม่ให้แก่กลุ่มลูกค้าย่านบางนา “ปัจจุบันตลาดคอมมูนิตี้มอลล์ยังเป็นอีกหนึ่งรูปแบบธุรกิจรีเทลที่เป็นที่ต้องการของตลาด แอสเสท เวิรด์ รีเทล เชื่อมั่นว่าคอมมูนิตี้มอลล์แนวคิดใหม่ที่เราพัฒนาขึ้นในครั้งนี้ เหมาะกับความต้องการของลูกค้าในย่านลาซาลอย่างมาก เพราะเป็นคอมมูนิตี้มอลล์รูปแบบแนวคิดใหม่ ซึ่งการพัฒนา ‘ลาซาล อเวนิว’ ในครั้งนี้ เรียกได้ว่าเป็นการบุกเบิกตลาดคอมมูนิตี้มอลล์ที่เปิดบริการในช่วงเวลาที่แตกต่างเพื่อเติมเต็มความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง” นายมานพ คำสว่าง กล่าวเสริม   ทั้งนี้ สาเหตุที่ย่านบางนาเป็นหนึ่งในทำเลที่มีอัตราการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยและเพื่อการพาณิชย์อย่างชัดเจนเป็นเพราะย่านนี้เป็นทำเลยุทธศาสตร์ที่เชื่อมสู่ศูนย์กลางแหล่งอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจ ตลอดจนการคมนาคมที่สะดวกสบาย มีความหลากหลายด้านการเดินทาง เข้าออกเมืองได้ง่ายด้วยทางด่วนขั้นที่ 1 และทางด่วนบูรพาวิถี หรือเชื่อมต่อกับมอเตอร์เวย์ ที่สำคัญยังเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าถึง 3 เส้นทาง ประกอบด้วย รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวเส้นทางแบริ่ง-สำโรง, รถไฟฟ้าสายสีเหลืองเส้นทางลาดพร้าว-สำโรง และรถไฟฟ้ารางเบาเส้นทางบางนา-สุวรรณภูมิ ซึ่งหากเปิดการเดินรถครบทุกเส้นทางแล้วคาดว่าจะมีผู้ใช้บริการเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัว โดยย่านดังกล่าวมีจำนวนประชากร อยู่อาศัยกว่า 230,361 คน โดยมีแนวโน้มอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี รวมถึงจากการสำรวจพบว่าประชากร มีรายได้ต่อครัวเรือนสูงติดอันดับ 1 ใน 10 ของกรุงเทพฯ อีกด้วย   ด้านนายธนวัฒน์ อัจฉริยวุธ ผู้จัดการทั่วไป ศูนย์การค้าลาซาล อเวนิว บริษัท แอสเสท เวิรด์ รีเทล จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ เล็งเห็นถึงศักยภาพของพื้นที่ย่านบางนาเพราะเป็นสถานที่ตั้งของสถานที่สำคัญมากมาย อาทิ โรงเรียนนานาชาติที่มีชื่อเสียงและโรงเรียนไทยที่สำคัญหลายแห่ง หมู่บ้าน อาคารสำนักงาน และอุตสาหกรรมที่สำคัญของกรุงเทพฯ และจากการสำรวจกลุ่มเป้าหมายพบว่า ย่านลาซาล-แบริ่ง เป็นแหล่งที่พักอาศัยที่มีกำลังซื้อสูงและมีความเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว จะเห็นได้จากรถไฟฟ้าที่มีการขยายการให้บริการจากเดิมสิ้นสุดที่สถานีอ่อนนุชขยายเป็นสถานีสำโรง นอกจากนี้ ยังเดินทางได้สะดวก สามารถเข้าออกได้หลายเส้นทาง ใกล้ทางด่วน จากเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมดจึงนำมาสู่การพัฒนาศูนย์การค้าให้ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า 3 ประการ ได้แก่ 1. ตอบโจทย์ทางด้านความครบทุกความต้องการของลูกค้าเรียกได้ว่ามาแล้วสามารถใช้เวลาอยู่ได้ทั้งวัน อีกทั้งยังมี International Brand แฟชั่นระดับโลกไว้ให้บริการ 2. มีกรีนสเปซ พื้นที่สีเขียวปอดแห่งใหม่ของคนย่านลาซาล ด้วยพื้นที่กว่า 3,000 ตร.ม. และ 3. มีความสะดวกสบายด้วยการออกแบบในสไตล์คอมมูนิตี้มอลล์ที่มี 1 ชั้น โดยจัดพื้นที่จอดรถไว้รอบอาคารกว่า 300 คัน สามารถจอดรถแล้วเดินเข้าร้านค้าต่างๆ ได้ทันที โดยคาดว่าจะมี traffic เข้าสู่ ลาซาล อเวนิว เฉลี่ย 6,000 คนต่อวัน และจะมียอดใช้จ่ายต่อคนอยู่ที่ 2,500 บาทต่อครั้ง สำหรับจุดดึงดูดผู้ใช้บริการเข้าสู่ศูนย์นั้นประกอบด้วย ยูนิโคล่ โรดไซด์ สาขาที่ 2 ในประเทศไทย ที่เพิ่มความสะดวกในการช้อปปิ้ง มาให้คนในย่านลาซาล แบริ่ง Orca BAKER & BUTCHER ร้านอาหารสไตล์ Modern Italian ที่ขึ้นชื่อเรื่องเนื้อนำเข้าจากฟาร์มชั้นนำทั่วโลกคุณภาพดี พร้อมกูรูเนื้อมืออาชีพที่พร้อมให้คำแนะนำการเลือกเนื้อที่ตรงตามต้องการ BY BUA ร้านอาหารไทยต้นตำรับที่นำเสนออาหารไทยจากการปรุงรสอย่างละเมียดละไมตามสูตรแบบโบราณ Salada Organic Kitchen ร้านอาหารเพื่อสุขภาพที่เน้นความสดสะอาดของวัตถุดิบปรุงอาหารให้อร่อยอย่างพิถีพิถัน Villa Market World of Foods Supermarket ที่คัดสรรวัตถุดิบคุณภาพชั้นเลิศจากทั่วโลก Glo One Stop Beauty Lounge ที่จะเนรมิตให้สวยตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าในแบบ One Stop Service และ Tsuruha Drug Store ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามอันดับ 1 จากญี่ปุ่น พร้อมร้านค้า แบรนด์ดังอื่นๆ อีกมากมาย   ทั้งนี้ ลาซาล อเวนิว ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 กรกฎาคม นี้ พร้อมกิจกรรมสุดพิเศษ Meet&Greet กับพระเอกหนุ่มมาดเข้ม ‘เวียร์-ศุกลวัฒน์’ ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นกลางสวนสวย และมินิคอนเสิร์ตจากนักร้องดีกรีคุณหมอ ‘ริท-เรืองฤทธิ์’ และต่อเนื่องในวันที่ 28 กรกฎาคม พบกับตลาดนัดอินดี้จาก Maxnet Market พร้อมด้วยมินิคอนเสิร์ตจากเกิร์ลกรุ๊ปสาวมาแรง ‘SWEAT 16’ ซึ่งได้เตรียมแผนจัด Theme Market ไว้ตลอดทั้งปี เพื่อส่งความสุขและสร้างสีสัน ความเพลิดเพลินให้แก่ลูกค้าผู้ใช้บริการ ชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/LasallesAvenue
ทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยาแหล่งที่อยู่อาศัยไฮเอนด์

ทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยาแหล่งที่อยู่อาศัยไฮเอนด์

  จับตาทำเลศักยภาพ “ริมแม่น้ำเจ้าพระยา” หลังโครงการมิกซ์ยูส ที่อยู่อาศัยไฮเอนด์ เปิดตัวพร้อมกันกับแลนด์มาร์คใหม่ๆ หนุนการท่องเที่ยวคึกคัก เพิ่มศักยภาพให้ทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยาเทียบชั้นทำเลที่มีเสน่ห์น่าอยู่อาศัย กลิ่นอายของวิถีชีวิตแบบเก่าแก่ดั้งเดิมที่ผสมผสานระหว่างหลากหลายวัฒนธรรมทั้งไทย จีน ฝรั่ง ที่กลมกลืนกันอย่างลงตัว ทำให้ไม่ว่าจะผ่านมาแล้วกี่ยุคกี่สมัย ย่าน “เจริญกรุง” ย่านชุมชนการค้าเก่าแก่ของกรุงเทพฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ยังคงมีเสน่ห์อย่างเหลือล้น เพราะนอกจากความเก๋าความเก่าแก่ที่น่าหลงใหลแล้ว ตลอดแนวถนนเจริญกรุง ถนนแห่งประวัติศาสตร์ ถนนลาดยางแห่งแรกของกรุงเทพและประเทศเทศไทยแห่งนี้ ยังมีเรื่องราวความน่าสนใจมากมายซ่อนไว้ให้ค้นหา “เจริญกรุง” แลนด์มาร์คของสายอาร์ตทิส ถนนเจริญกรุง ถือเป็นถิ่นเมืองเก่าที่เต็มไปด้วยความคลาสสิก ความเท่ และสีสันของทุกของไลฟ์สไตล์ ที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมย้อนยุคสไตล์ “ชิโน-โปรตุกีส” ตามฉบับเมืองเก่าที่ชวนหลง ในปัจจุบันย่านนี้ มีแลนด์มาร์คเกิดใหม่มากมายที่สามารถดึงดูดกลุ่มวัยรุ่น สายอาร์ตทิส ฮิปสเตอร์ รวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลเข้ามาเยี่ยมเยียนย่านนี้อย่างต่อเนื่อง อาทิ อาคาร TCDC (ไปรษณีย์กลางบางรักเดิม) ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบที่ตัวอาคารมีความโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Art Deco โทนสีน้ำตาลกลมกลืนไปกับความเก่าแก่ของย่าน แต่ภายในออกแบบอย่างทันสมัยตอบรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ นอกจากนั้นหากเดินลัดเลาะตามซอยเจริญกรุง 32 ติดกับ TCDC ยังมีศิลปะ Wall Art แหล่งร่วมงานกราฟฟิตี้ ที่ศิลปินทั่วโลกได้มาสร้างสรรค์ผลงานให้ได้เชคอิน ถ่ายภาพตามตลอดซอกซอยให้ได้ชื่นชม และในซอยเจริญกรุง 30 ยังเป็นที่ตั้งของ “Warehouse 30” โกดังสุดฮิปแห่งใหม่ของย่านเจริญกรุง เป็นคอมมูนิตี้สุดอาร์ตผลงานของสถาปนิกชื่อดังของไทย โดยภายในจะมีทั้งร้านค้า ตลาดนัดของโฮมเมด และพื้นที่อเนกประสงค์สำหรับจัดงานนิทรรศการให้ได้ชื่นชมอีกด้วย “เจริญกรุง” แลนด์มาร์คของศาสนสถาน เสพศิลป์กับสายอาร์ตแล้ว ย่านเจริญกรุงยังมีอีกหนึ่งมนต์เสน่ห์ที่รับรองว่าถูกใจคนชอบกินอย่างแน่นอน เพราะย่านเจริญกรุง รายล้อมไปด้วยร้านอาหารอร่อยๆ ทั้งร้านที่มีอายุเก่าแก่กว่า 100 ปี และร้านอาหารสุดชิคเกิดใหม่ ให้เลือกอย่างมากมาย ถนนเจริญกรุง ยังเพียบพร้อมด้วยสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ เรียกว่ามีให้ชมครบทั้งด้านสังคม ศาสนา และวัฒนธรรม โดยเฉพาะด้านศาสนา เพราะโดยรอบถนนเจริญกรุง เป็นที่ตั้งของศาสนสถานของหลากหลายเชื้อชาติ อาทิ วัดอุภัยราชบำรุง วัดของชาวญวน วัดแม่พระลูกประคำ (โบสถ์กาลหว่าร์) ของคริสต์ศาสนิกชน โบสถ์กาลหว่าร์ โบสถ์ในนิกายโรมันคาทอลิกที่มีความเก่าแก่ถึง 120 ปี และวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร หรือวัดสามจีน เป็นต้น “เจริญกรุง” แลนด์มาร์คของที่อยู่อาศัยระดับไฮเอนด์ ด้วยศักยภาพและมนต์เสน่ห์ของย่านเจริญกรุง ตลอดจนถึงเส้นทางคมนาคมที่สะดวก มีตัวเลือกที่หลากหลาย ทั้งการนั่งรถไฟฟ้า BTS สะพานตากสิน การใช้บริการท่าเรือสี่พระยา และรถสาธารณะ จึงไม่น่าแปลกหนัก หากทำเลย่านเจริญกรุงเขตเมืองที่เจริญรุ่งเรืองสูงสุดในอดีต จะถูกจับตามองว่าเป็นทำเลศักยภาพสูงเหมาะกับการอยู่อาศัยระดับลักชัวร์รี่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างอย่างโดดเด่น โดยปัจจุบันบริเวณรอบสองฝั่งริมแม่น้ำเจ้าพระยาในช่วงเอเชียทีคขึ้นไปจนถึงตลาดยอดพิมาน ทั้งฝั่งเจริญกรุงและเจริญนคร มีคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์เกิดใหม่มากมาย ต้องจับตามมองกันต่อเนื่องว่าความเจริญของย่านนี้ในอนาคตระยะ 4-5 ปีข้างหน้า ย่านเจริญกรุงน่าจะมีศักยภาพเทียบชั้นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร เพราะการเกิดขึ้นของโครงการใหม่ๆ มากมาย เช่น หอชมเมืองกรุงเทพมหานคร ซึ่งจะเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ดึงดูดด้านการท่องเที่ยวสูง 459 เมตร รวมถึงคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ที่มีอาคารสูงพิเศษจะสร้างแล้วเสร็จอีกหลายโครงการ อาทิ โครงการ Mixed Use ขนาดใหญ่อย่าง ดิ ไอคอนสยาม, Four Seasons Private Residences, เดอะเรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ เป็นต้น ในส่วนของราคาของคอนโดมิเนียมริมแม่น้ำยิ่งเติบโดสูงมากต่อตารางเมตรสูงสุดขึ้นไปแตะราว 400,000 บาทต่อตารางเมตร เป็นคอนโดมิเนียมในกลุ่มลักซ์ชัวรี่ที่กลายเป็นย่าน CBD แห่งใหม่ของกรุงเทพไปแล้ว และเราจะได้เห็นโฉมใหม่ของพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาไม่นานเกินรอ เมื่อหลายๆโครงการแล้วเสร็จและเริ่มเปิดให้บริการกันภายในปลายปี 2561 นี้ แม่น้ำ เรสซิเดนท์ คอนโดลักชัวร์รี่ราคาคุ้มค่า เมื่อเป็นที่แน่นอนว่าการเติบโตของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา ส่งผลให้ราคาปรับตัวเพิ่มสูงมากขึ้น เพราะด้วยศักยภาพทำเลที่เป็นตัวดันราคาแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งคือที่ดินริมแม่น้ำเจ้าพระยาแทบจะไม่มีเหลือให้พัฒนาอีกต่อไปแล้ว จึงเป็นโอกาสที่ดี หากจะรีบจับจองเป็นเจ้าของห้องพักคอนโดมิเนียม หรู ได้ในราคาที่คุ้มค่าสูงสุด โดยโครงการแม่น้ำเรสซิเดนท์ คอนโดมิเนียมลักชัวร์รี่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นอีกหนึ่งโครงการพร้อมเข้าอยู่ ที่ตอบทุกโจทย์ของผู้ที่ต้องการอยู่อาศัยริมแม่น้ำที่ให้ทั้งความสวย หรูหรา และสงบเป็นส่วนตัว ราคายังคุ้มค่าที่สุด โดยห้องเพนท์เฮาส์ ขนาด 274 - 285 ตรารางเมตร มีราคาเริ่มต้นของแบบ bare shell ที่ 61 ล้านบาท หรือเฉลี่ยเพียง 223,000 บาทต่อตารางเมตร นอกจากนั้น แม่น้ำเรสซิเดนท์ ยังมีความโดดเด่นด้านทำเลที่มองเห็นวิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยาที่งดงามที่สุด โดยอาคารถูกแบบในสไตล์ friendly design และใช้คอนเซปต์ single corridor ที่ทำให้สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำได้ทุกห้อง ทั้งยังมอบบริการระดับเดียวกับโรงแรมห้าดาวให้กับลูกค้า โดยเฉพาะห้องเพนท์เฮาส์ของแม่น้ำเรสซิเดนท์ ที่ตกแต่งพร้อมอยู่ ลูกค้าสามารถเข้าอยู่ได้เลย และยังเป็นโครงการคอนโดที่เปิดขายแบบฟรีโฮลด์ (Freehold) หรือขายแบบมีกรรมสิทธิ์ สนใจเข้าชมโครงการ โทร 062-796-0101 หรือ www.menamresidences.com
คอนโด 3 ล้าน ผ่อนเดือนละไม่ถึง 3 พัน มีจริง ไม่ใช่ฝัน ห้ามพลาดเด็ดขาด!!

คอนโด 3 ล้าน ผ่อนเดือนละไม่ถึง 3 พัน มีจริง ไม่ใช่ฝัน ห้ามพลาดเด็ดขาด!!

  เชื่อว่าคงเป็นความฝันของใครหลายๆ คน ที่อยากจะมีชีวิตสะดวกสบายอยู่ในคอนโดดีๆ ใกล้รถไฟฟ้า ใกล้แหล่ง Community Mall ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต แทนที่จะต้องจ่ายค่าเช่าไปเรื่อยๆ 6 พัน 7 พัน หรือบางทีก็เป็นหลักหมื่นๆ บาททุกเดือน โดยที่สุดท้ายมันก็ไม่ใช่บ้านของเรา แต่ด้วยเพราะคอนโดดีๆ สักห้องหนึ่งที่ฝันอยากได้นั้น มันก็ราคาไม่ใช่น้อยเลย ซึ่งหากจะซื้อเป็นของตัวเอง บางทีค่าผ่อนมันก็เยอะเกินไปจนทำให้เราไม่สามารถแบกรับไหว ก็เลยพลอยให้ไม่กล้าตัดสินใจซื้อคอนโดเป็นของตัวเองสักที!! แต่วันนี้ปัญหาเรื่องการผ่อนไม่ไหวจะหมดไป ด้วยโปรโมชั่นพิเศษจากออริจิ้นกับ “โปรเหนือเมฆยกกำลัง 2” ที่จะทำให้คุณฟินกับการผ่อนแบบเบาสบายสุดๆ ในแบบที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน!!   รายละเอียดโปรสุดว้าว!! เหนือเมฆยกกำลัง 2 แนวคิดสำคัญของโปรเหนือเมฆยกกำลัง 2 เกิดมาจากการที่ทางออริจิ้น ต้องการให้ผู้ที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยได้มีโอกาสเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองจริงๆ ซึ่งด้วยเพราะเข้าใจถึงปัญหาภาระค่าใช้จ่าย และค่าครองชีพในเมืองที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวัน ออริจิ้นจึงได้ออกโปรโมชั่นนี้ขึ้นมาเพื่อทำให้ฝันของคนที่ต้องการเป็นเจ้าของคอนโดดีๆ สักห้องมีโอกาสกลายเป็นความจริงได้ง่ายมากขึ้น โดยรายละเอียดของโปรโมชั่นก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน คือ สำหรับคอนโดใหม่พร้อมอยู่ที่ร่วมรายการนั้น ผู้ซื้อสามารถผ่อนรายเดือนเบาๆ โดยจ่ายเพียงแค่ ล้านละ 999 บาท* นาน 3 ปี ซึ่งนั่นหมายความว่า ถ้าเราซื้อคอนโดในราคา 1 ล้านบาท เราก็จะเสียค่าผ่อนรายเดือนใน 3 ปีแรกแค่เดือนละ 999* บาท และหากเราซื้อคอนโดในราคาสูงขึ้น เช่น 3 ล้านบาท ก็จะต้องผ่อนจ่ายรายเดือนใน 3 ปีแรก เป็นเงินทั้งสิ้นเพียง 999 x 3 = 2,997 บาท!! และที่พิเศษสุดอีกอย่างของโปรโมชั่นนี้ก็คือ มีธนาคารชั้นนำมากมายเข้าร่วมสนับสนุนโครงการนี้ ซึ่งยิ่งทำให้เรามีโอกาสเพิ่มมากขึ้นเป็น 100% ได้ในการจะได้มีคอนโดเป็นของตัวเองจริงๆ สักที   ผ่อนสบาย เหลือเงินไปใช้จ่ายในชีวิตมากขึ้น ผลลัพธ์ของการผ่อนถูกจากโปรเหนือเมฆยกกำลัง 2 จะทำให้เรามีเงินเหลือมาใช้บริหารค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้มากขึ้น อย่างที่ทราบกันดีว่า ปกติเรทของการเช่าคอนโดรายเดือนจะอยู่ที่ประมาณตั้งแต่ 6,000 บาทขึ้นไป แต่พอเมื่อเรามาซื้อคอนโดด้วยโปรเหนือเมฆยกกำลัง 2 จากออริจิ้นนี้ปุ๊บ แทนที่จะต้องจ่าย 6 พัน ถ้าคอนโดราคา 3 ล้าน เราก็จ่ายเพียงแค่เดือนละ 2,997 บาท มีเงินเหลือเก็บไว้ใช้เพิ่มขึ้นอีกเดือนละตั้ง 3,003 บาท และถ้าคอนโดที่เราซื้อราคาเพียงแค่ล้านกว่าๆ ก็เท่ากับว่าเราจะจ่ายค่าผ่อนต่อเดือนเพียงแค่พันกว่าบาทเท่านั้นเอง ทำให้เหลือเงินมากกว่า 4 พันบาทต่อเดือน ซึ่งเงินที่เหลือจากตรงนี้ ก็สามารถนำไปเก็บเป็นเงินออมก็ได้ นำมาจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าอะไรก็ได้ที่เราต้องรับผิดชอบอยู่ ซึ่งสำหรับบางคนแล้ว จำนวนเงินที่เหลือประมาณนี้ ก็สามารถ Cover ค่าใช้จ่ายต่อเดือนทั้งหมดของเขาได้เลยทีเดียว และนี่คือวัตถุประสงค์หลักของทางออริจิ้นที่ออกโปรนี้มาเพื่อผู้ที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองโดยเฉพาะ!!   3 ปีผ่านไป ก็ยังยิ้มใสๆ ได้อยู่!! ภาพรวมของโปรเหนือเมฆดูหอมหวานซะจนใครหลายๆ คนอาจมองว่า เอ๊ะ!! แล้วถ้าผ่าน 3 ปีไปแล้วล่ะ มันจะยังสดใสอยู่หรือเปล่า ตรงนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลแต่อย่างใด เพราะในความเป็นจริงแล้ว สำหรับโปรโมชั่นซื้อที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่อัตราดอกเบี้ยจะเริ่มต้นถูกเสมอ แล้วหลังจากนั้นก็จะถูกปรับให้แพงขึ้น จึงเป็นเหตุให้ เราต้องทำการ Refinance ใหม่เพื่อให้ได้ดอกเบี้ยที่ถูกลง ซึ่งก็ในทำนองเดียวกันเลย สำหรับใครที่ซื้อคอนโดกับโปรเหนือเมฆยกกำลัง 2 นี้ พอผ่านไป 3 ปี เราก็ทำการรีไฟแนนซ์เพื่อขอปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ เพื่อให้เราได้อัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่าเดิม และอีกผลพลอยได้หนึ่งที่เราจะได้ก็คือ ในการทำรีไฟแนนซ์นั้น โดยทั่วไปจะมีการประเมินราคาทรัพย์ใหม่ ซึ่งปกติ ราคาคอนโดจะปรับขึ้นทุกปีอยู่แล้ว นั่นจึงทำให้เรามีโอกาสได้ส่วนต่างจากราคาประเมินใหม่ เพื่อมานำไปใช้บริหารชีวิตเราอีกต่อหนึ่งด้วย   ยกตัวอย่างเช่น เราซื้อคอนโดมาในราคา 3 ล้านบาท ผ่านไป 3 ปี สมมติให้เฉลี่ยราคาคอนโดขึ้นปีละ 5 % (อัตราเฉลี่ยราคาคอนโดช่วงปี พ.ศ.2555-2560 จาก Nexus Property Marketing คือ 8%) จะเท่ากับว่าราคาประเมินคอนโดเราจะขยับขึ้นปีละ 150,000 บาท (3 ล้าน*5 %) เบ็ดเสร็จ 3 ปี ราคาคอนโดเราก็จะขยับไปอยู่ที่ 3,450,000 บาท ซึ่งจากราคานี้ หากประวัติทางการเงินเราดี ธนาคารใหม่ที่เราไปขอทำ Refinance สามารถอนุมัติให้เราได้สัก 90-100% ก็จะทำให้เราได้เงินส่วนต่าง 4.5 แสนมาใช้จ่าย หรือนำไปลงทุนต่อเติมซ่อมแซมห้องในจุดที่เราอยากตกแต่งเพิ่มเติมได้อีก   ระยะเวลา 3 ปี ทำให้เรามีโอกาสตั้งตัวได้ทัน ในกรอบระยะเวลา 3 ปีช่วงโปรเหนือเมฆยกกำลัง 2 ที่ให้สิทธิ์เราในการผ่อนจ่ายเบาๆ แค่ล้านละ 999* ต่อเดือนนั้น มีแง่ดีที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ทำให้ผู้อยู่อาศัยจริงได้มีช่วงเวลาหายใจหายคอ อย่างที่ทราบกันดีว่า การจะซื้อคอนโดสักห้องนั้น มันมีค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายก่อน อาทิ ค่าจอง ค่าโอน ค่าส่วนกลาง ฯลฯ ซึ่งเมื่อรวมกับค่าผ่อนรายเดือนด้วยแล้ว บางทีมันก็มากจนทำให้อาจหมุนเงินไม่ทัน และเกิดภาวะช้อตได้ โปรโมชั่นตัวนี้ จึงมาช่วยแบ่งเบาภาระดังกล่าว และทำให้เรามีเวลาตั้งตัวในการวางแผนสำหรับการผ่อนจ่ายในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งระยะเวลาดังกล่าวนั้น ก็นานพอที่จะทำให้เราตั้งตัวได้อย่างมั่นคงมากขึ้น ไหนจะบริหารเงินจากโบนัสที่ได้รับในแต่ละปี บริหารเงินจากส่วนต่างที่ได้เพิ่มขึ้นจากการผ่อนถูกกว่าเช่า บริหารจากอัตราเงินเดือนที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี และอีกประเด็นที่ช่วยผ่อนแรงเราได้ก็คือ หลังรีไฟแนนซ์แล้ว แม้เราอาจจะต้องเป็นหนี้ยาวนานขึ้น แต่เมื่อแลกกับการผ่อนเบาสบาย ไม่ต้องปวดหัวเครียดกับการหาค่าผ่อนแพงๆ และการได้เป็นเจ้าของห้องโดยชอบธรรมแล้ว นี่คือโอกาสที่ดีที่สุด และไม่ได้จะหาโอกาสแบบนี้จากที่ไหนได้ง่ายๆ   คอนโดที่ร่วมรายการ ล้วนอยู่บนย่านทำเลศักยภาพ โปรเหนือเมฆยกกำลัง 2 ไม่ใช่เพียงแค่โปรโมชั่นดีๆ ที่ทำให้เรามีโอกาสง่ายขึ้นกับการเป็นเจ้าของคอนโดเท่านั้น แต่ทุกโครงการที่ร่วมรายการโปรโมชั่นนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นโครงการที่ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ ใกล้รถไฟฟ้า และรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันทั้งสิ้น ซึ่งนั่นทำให้ผู้อยู่อาศัยได้ประโยชน์ไปโดยตรงเต็มๆ แถมยังการันตีได้ด้วยว่า การซื้อคอนโดกับโปรนี้ เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาวอีกด้วย เพราะหากวันหนึ่ง เราเกิดอยากขยับขยายครอบครัว อยากอยู่ในบ้านที่ใหญ่ขึ้น หรือคอนโดที่ใหญ่ขึ้น ก็สามารถขายต่อหรือปล่อยเช่าต่อได้ง่าย และได้กำไร เนื่องจากเป็นคอนโดที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ทำเลที่เป็นที่ต้องการ ทั้งนี้ คอนโดที่เข้าร่วมโครงการโปรเหนือเมฆยกกำลัง 2 10 โครงการ ได้แก่   1. “The Cabana condo” แรงบันดาลใจจากหมู่เกาะสวยงามระดับโลก สู่ที่พักอาศัยสไตล์ โมเดิร์นรีสอร์ท พร้อมพื้นที่ส่วนกลางรวมกว่า 2 ไร่ บนที่ดินทำเลอนาคต เพียง 2 นาทีถึง #BTSสำโรง เริ่ม 1.79 ล้าน* คลิก https://bit.ly/2uGeQAZ 2. “KnightsBridge Sky City Saphanmai” กว่า 1,500 ตารางเมตร ณ จุดสูงสุดของสะพานใหม่ 0 เมตร ติด BTS สายหยุด ตอบรับทุกคุณค่าของการใช้ชีวิตด้วยการบริการพิเศษ ระดับโรงแรม 2 ห้องนอน เริ่ม 4.69 ล้าน* คลิก https://bit.ly/2zUxL19 3. “Knightsbridge Tiwanon” คอนโด Duo Space พร้อมอยู่ดีไซน์แบบ Modern เพดานสูงสุด 4.2 เมตร ให้คุณใช้ชีวิตสะดวกสบายใกล้ชิดธรรมชาติติดสวนกว่า 1,000 ไร่ 90 เมตร จาก MRT กระทรวงสาธารณะสุข เริ่ม 3.59 ล้าน* https://bit.ly/2L4FMFG 4. "Notting Hill Phahol Kaset" 180 เมตร ถึง BTS บางบัว ศักยภาพของทำเลที่ตั้งย่านธุรกิจและความสะดวกสบายในการคมนาคม พร้อมด้วยบริการระดับโรงแรม และ Facilities พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน 2 ห้องนอนใหญ่ เริ่ม 5.39 ล้าน* คลิก https://bit.ly/2NoJK91 5. “Notting Hill Sukhumvit Praksa” คอนโดมิเนียมสูง 35 ชั้น แห่งแรกบนถนนแพรกษา เปิดรับวิวมุมสูงแบบ 360 องศา ทั้งท้องทะเล แม่น้ำ และท้องฟ้า เพียง 650 เมตรถึง BTS แพรกษา เริ่ม 1.45 ล้าน* คลิก https://bit.ly/2uAAW8h 6. “Notting Hill Tiwanon” ตอบรับการใช้ชีวิตที่มากกว่า ด้วยบริการระดับโรงแรม ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน แห่งแรก แห่งเดียวบนถนนติวานนท์-แยกแคราย แค่ 3 นาทีถึง MRT กระทรวงสาธารณสุข เริ่ม 1.89 ล้าน* คลิก https://bit.ly/2NntZ25 7. “Notting Hill The Exclusive CharoenKrung” สัมผัสกลิ่นอายวัฒนธรรมผสมผสานกับการใช้ชีวิตสมัยใหม่ กับ #คอนโดพร้อมอยู่ ที่สุดของความเป็นส่วนตัวเพียง 8 ชั้น 132 ยูนิต ในย่านเจริญกรุง 93 เพียง 140 เมตรจากเอเชียทีค และ 1 ก.ม. จากแยก ถ.จันทร์ เริ่ม 3.99 ล้าน* คลิก https://bit.ly/2KYHIiU 8. “KnightsBridge the Ocean Sriracha” สัมผัสความงดงามของวิวทะเลและภูเขาได้ในที่เดียว คอนโดที่ไม่ใช่แค่ที่พักตากอากาศ แต่เป็นทรัพย์สินศักยภาพสูงบนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก Eastern Economic Corridor เริ่ม 2.69 ล้าน*คลิก https://bit.ly/2JGYdLg 9. “Notting Hill Laemchabang Sriracha” คอนโดหรูแต่งครบพร้อมอยู่หน้า ม.เกษตร ท่ามกลางอาณาจักรแห่งไลฟ์สไตล์หน้า ซึ่งประกอบไปด้วยคอมมูนิตี้มอลล์และโรงแรม ซึ่งจะทำให้คุณเป็นเจ้าของชีวิตพรีเมียมพร้อมใช้ใจกลาง Origin District พิเศษ!! •Free Fully Furnished By Chic Republic • Free All Expenses เริ่ม 1.99 ล้าน คลิก! https://bit.ly/2NAT2Po 10. “Kensington Laemchabang Sriracha” คอนโดมิเนียม สูง 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 399 ยูนิต ออกแบบภายใต้แนวคิด “คอนโด Modern Loft” ได้แรงบันดาลใจมาจาก Irish Pub ที่เน้นการออกแบบให้มี Double Space ที่เปิดโล่ง ภายในโครงการมี Facilities ครบครันรองรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท คอนโดตรงข้าม ม.เกษตรฯ วิทยาเขตศรีราชา เริ่ม 1.59 ล้าน คลิก https://bit.ly/2uTLnnt   “โอกาส” จะเป็นของคนที่ไขว่คว้ามันไว้เท่านั้น!! ปัญหาเดียวที่เหนี่ยวรั้งเราเอาไว้จากการไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง คือเรื่องของการบริหารค่าใช้จ่าย ให้สามารถจัดการชีวิตของเราได้โดยไม่เสี่ยง ซึ่งแทบจะบอกได้เลยว่าไม่มีเหตุผลใดเลยที่เราจะปฏิเสธโปรเหนือเมฆยกกำลัง 2 นี้ เพราะนี่คือโปรที่ให้โอกาสเราได้มากที่สุดแล้ว คือ ให้โอกาสเราได้ผ่อนน้อย และให้โอกาสเราได้มีเวลาเริ่มต้นวางแผนการเงินเพื่ออนาคตนานถึง 3 ปี ซึ่งถ้าพลาดโอกาสนี้ไป บางทีเราก็อาจต้องไปเริ่มต้นใหม่กับราคาคอนโดที่สูงขึ้นไปกว่านี้อีก ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากๆ เพราะถ้าเราเริ่มต้นตั้งแต่ตอนนี้ ก็มองเห็นชัดเจนว่าเราจะมีแต่กำไรในอนาคต ไม่ว่าจะอยู่ระยะสั้นหรือระยาวก็ตาม
“โฮมโปร” สร้างปรากฏการณ์ความคึกคัก  จัดงาน “โฮมโปร แฟร์” ช้อป กิน บิน เที่ยว งานแฟร์เรื่องบ้านที่ทุกคนต้องมา

“โฮมโปร” สร้างปรากฏการณ์ความคึกคัก จัดงาน “โฮมโปร แฟร์” ช้อป กิน บิน เที่ยว งานแฟร์เรื่องบ้านที่ทุกคนต้องมา

นายวีรพันธ์  อังสุมาลี  รองกรรมการผู้จัดการ  บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร”  เป็นประธานเปิดงานเรื่องบ้านสุดยิ่งใหญ่ “โฮมโปร แฟร์” “ช้อป กิน บิน เที่ยว” งานแฟร์เรื่องบ้าน ตอบโจทย์ทุกความต้องการของทุกคนในครอบครัว ยกขบวนสินค้าแบรนด์ชั้นนำมามอบส่วนลดสูงสุดกว่า 70% พร้อมรับโปรโมชั่นพิเศษมากมาย พบไฮไลท์เด็ดภายในงานกับร้านอาหารต้นตำรับกว่า 150 ร้านค้าทั่วกรุง พร้อมชมโชว์ และการละเล่นสนุกๆ ในบรรยากาศสุดคลาสสิค ตลอด 10 วัน พบกับมหกรรมความสนุก ครบ คุ้ม พร้อมโปรโมชั่น ราคาพิเศษ รับประกันความสุขล้นมือตลอดทั้งงาน ตั้งแต่ 20-29 กรกฎาคม 2561 ณ ฮอลล์ 5-8 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
แซง-โกแบ็ง ขานรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการ  เปลี่ยนแปลงเพื่อสร้าง “คุณภาพชีวิตที่ออกแบบได้” สำหรับที่พักอาศัย

แซง-โกแบ็ง ขานรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการ เปลี่ยนแปลงเพื่อสร้าง “คุณภาพชีวิตที่ออกแบบได้” สำหรับที่พักอาศัย

  แซง-โกแบ็ง ผู้นำในตลาดการก่อสร้างระดับโลกซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการออกแบบ การผลิต และการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ก่อสร้างคุณภาพสูง ร่วมขานรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการเปลี่ยนแปลง เพื่อสร้าง “คุณภาพชีวิตที่ออกแบบได้” สำหรับที่พักอาศัย โดยแซง-โกแบ็งได้ร่วมนำเสนอโซลูชั่นส์ Multi-Comfort ภายในงาน Thai-French Smart City Forum ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพฯ เพื่อร่วมส่งเสริมแนวคิดใหม่ ๆ และการพัฒนาเทคนิคในด้านการก่อสร้างที่ยั่งยืน ความสวยงามทางสุนทรียศาสตร์ และการพัฒนาที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี   Thai-French Smart City Forum จัดโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ บิสเนส ฟรานซ์ (ฝ่ายการค้าและพาณิชย์) สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย โดยมีจุดประสงค์เพื่อการแบ่งปันองค์ความรู้และประสบการณ์ในด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะและการพัฒนาย่านนวัตกรรมในประเทศไทย ซึ่งครอบคลุมถึงการรังสรรค์ระบบนิเวศที่ส่งเสริมแนวทางสู่นวัตกรรมบูรณาการ การประชุม Thai-French Smart City Forum ครั้งนี้ยังมอบโอกาสให้แก่บรรดาผู้แทนจากประเทศไทยสามารถพบปะกับบริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเมืองอัจฉริยะชั้นนำของโลกจากฝรั่งเศส อาทิ SAINT-GOBAIN, ACOEM, ARTELIA, BOUYGUES-THAI, DASSAULT SYSTEMS, DEXTRA, EDF INTERNATIONAL NETWORKS, EGIS, ENGIE, MICHELIN, PLATT NERA-SIGFOX, SCHNEIDER ELECTRIC, SUEZ และ VEOLIA ตลอดจนมีโอกาสร่วมพูดคุยหารือในประเด็นด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับโครงการเมืองอัจฉริยะและย่านนวัตกรรม ซึ่งกำลังได้รับการพัฒนาขึ้นในประเทศไทยในปัจจุบัน ภายในงานนี้ แซง-โกแบ็ง ยังได้ร่วมการสัมมนาภายใต้หัวข้อ “Cutting-edge solutions for a smart & sustainable future” ร่วมกับบริษัท Dassault Systemes, Engie และ Schneider โดย แซง-โกแบ็ง ได้นำเสนอแนวคิด “What is building 4.0?” ผ่านโซลูชั่นส์ Multi-Comfort สำหรับเมืองอัจฉริยะ ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นส์ประสิทธิภาพสูงที่มอบความสะดวกสบายแก่ผู้พักอาศัยในอาคาร และประหยัดพลังงานเป็นเลิศ ซึ่งจะช่วยสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมในอาคารพักอาศัยที่ยั่งยืนมากยิ่งขึ้น   มร. นิโคลา โกเดท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร กลุ่มผลิตภัณฑ์ก่อสร้างประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แซง-โกแบ็ง กล่าวว่า “การยกระดับขีดความสามารถ กำลังการผลิต และนวัตกรรมการก่อสร้าง คือความมุ่งมั่นของแซง-โกแบ็ง เราเล็งเห็นถึงวิธีการก่อสร้างอัจฉริยะเพิ่มมากขึ้น (ซึ่งรวมถึงการผลิตนอกสถานที่ซึ่งช่วยลดระยะเวลาการก่อสร้างและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน) จึงนับเป็นสิ่งสำคัญมากที่เราต้องไม่ละทิ้งนวัตกรรมและการสร้างสรรค์ความยั่งยืน เราตระหนักอยู่เสมอว่านวัตกรรมคือหนึ่งในมูลค่าสูงสุดที่ทำให้เรามีความสามารถในการแข่งขัน โดยมีการคาดการณ์ว่า ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยในปัจจุบันจะเกิดการลงทุนเพิ่มขึ้นในการสร้างอาคารอัจฉริยะรุ่นใหม่ ๆ ที่มีการควบคุมการทำงานระยะไกลแบบอินเตอร์แอ็คทีฟที่ประหยัดพลังงาน แต่จะอย่างไรก็ตาม อาคารที่ดีที่สุดก็คืออาคารที่ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมอบความสะดวกสบายสำหรับผู้พักอาศัย โดยใช้พลังงานเพียงน้อยในการเริ่มต้นสร้างความรู้สึกสบายโดยรวม”   “แซง-โกแบ็ง มุ่งมั่นพัฒนาแนวทางใหม่ ๆ ในการออกแบบพื้นที่พักอาศัยด้วยแนวคิด Multi Comfort ซึ่งมอบความสะดวกสบายให้แก่ผู้พักอาศัยในอาคารมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เพื่อการพักอาศัย การทำงาน หรือความบันเทิง เป้าหมายสูงสุดของเราคือการออกแบบอาคารเพื่อชีวิตที่สะดวกสบายยิ่งกว่า โซลูชั่นส์ Multi-Comfort คือกลยุทธ์ของเราในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศและพัฒนานวัตกรรมภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล แซง-โกแบ็ง มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีมากมายเพื่อช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุถึงเป้าหมาย โดยให้ความสำคัญทั้งด้านนวัตกรรมสมัยใหม่และการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ กระบวนการ และบริการอย่างต่อเนื่อง ด้วยแนวคิดที่เปิดกว้างและใส่ใจต่อความต้องการของผู้บริโภค”
“เซ็นจูรี่ 21ฯ” ปรับโฉมแบรนด์ใหม่ ตั้งเป้าเติบโตแบบ Organic Growth

“เซ็นจูรี่ 21ฯ” ปรับโฉมแบรนด์ใหม่ ตั้งเป้าเติบโตแบบ Organic Growth

  เซ็นจูรี่ 21 (ประเทศไทย) ปรับโฉมแบรนด์ใหม่ตามบริษัทแม่ Century 21 สหรัฐอเมริกา รับมือธุรกิจแข่งเดือด-พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน ทั้งยังให้ความสำคัญกับเครือข่ายแฟรนไชส์ ที่เป็น Core Competency ของธุรกิจ Century 21 ทั่วโลกพร้อมประกาศทิศทางธุรกิจใหม่ Focus จุดเด่นเติบโตแบบ Organic Growth ร่วมมือกับ Startup จากนิวซีแลนด์ พัฒนา Back Office ซัพพอร์ตเอเจนท์ตามนโยบาย Agent Centric ไปพร้อมๆ กับ Customer Centric   นายกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ ประธานและผู้ก่อตั้ง บริษัท เซ็นจูรี่ 21 (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ว่า เทคโนโลยี โดยอินเตอร์เน็ต (IoT: Internet Of Things) จะเข้ามามีบทบาทในการทำงานให้อยู่บนโลกออนไลน์ ประกอบกับกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายในปัจจุบันนั้นคือกลุ่ม Millennials (อายุ 22-37 ปี) ที่เติบโตมากับโลกไร้สาย ดังนั้นนักการตลาดจะต้องปรับตัวให้สอดรับกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง และการตัดสินใจของคนกลุ่มนี้ต้องอาศัยข้อมูลเป็นจำนวนมากจากหลายแหล่ง อีกทั้งมีผลสำรวจพบว่าคนกลุ่มนี้จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นและมากที่สุดในโลกไปอีก 10 - 20 ปี เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด การทำงานของทุกธุรกิจต้องปรับตัว เช่นเดียวกันกับวงการอสังหาริมทรัพย์ จำต้องปรับตัว รวมถึงการคิดค้น Model ธุรกิจใหม่ที่เชื่อมโยงความเป็น Lifestyle ผ่านการทำธุรกรรมโดยใช้สกุลเงินดิจิทัลที่กำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนที่มหาศาล   โดยในส่วนของแบรนด์ Century 21 อยู่มานานกว่า 48 ปี และในประเทศไทยได้เปิดดำเนินการมา 10 ปีสำนักงานใหญ่ Century 21 สหรัฐอเมริกาถือโอกาสนี้ปรับรูปโฉมแบรนด์ใหม่ทั่วโลก สำหรับในประเทศไทย นอกจากจะปรับรูปโฉมแบรนด์ใหม่แล้ว ยังปรับโครงสร้างการบริหารโดย คุณกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ เป็น President & Regional Owner หรือประธานและผู้ก่อตั้ง บริษัท เซ็นจูรี่21 (ประเทศไทย) จำกัด และยังเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์แบรนด์ Century 21 Laos อีกด้วย   และในการนี้ยังได้แต่งตั้ง นายธิติวัฒน์ ธีรกุลธัญโรจน์ ขึ้นบริหารงานในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท เซ็นจูรี่21 (ประเทศไทย) จำกัด อย่างเป็นทางการ พร้อมทีมงานบริหารที่เสริมทัพแข็งแกร่งยิ่งขึ้น   Focus จุดเด่นเติบโตแบบ Organic Growth ด้านนายธิติวัฒน์ ธีรกุลธัญโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นจูรี่ 21 (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางของบริษัทฯ จากระยะเวลาที่ได้ประกอบธุรกิจในประเทศไทยกว่า 10 ปี ว่า Century 21 ยังคงเติบโตต่อเนื่องอย่างมั่นคง นั่นคือ “เราจะเติบโตในรูปแบบ Organic Growth โดยจะมองในแบบ Strategic Direction จะเป็นแบบ Focus จุดเด่นของ Century 21 ซึ่งยังคงมุ่งเน้นในสิ่งที่เราชำนาญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การทำการซื้อ-ขาย และเป็นที่ปรึกษาเรื่องที่ดินเพื่อการลงทุน ปัจจุบันบริษัทฯ มีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญที่สามารถตอบสนองให้กับนักลงทุน และนักพัฒนาโครงการฯ อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับเครือข่ายแฟรนไชส์ ที่เป็น Core Competency ของธุรกิจ Century 21 ทั่วโลก” การเข้ามาของผู้สนใจทำธุรกิจ แฟรนไชส์อสังหาริมทรัพย์รายใหม่ๆ ในปีนี้บริษัทฯ อาจไม่ได้ต้องการจำนวนสาขาที่เพิ่มมากขึ้น แต่จะเป็นการพัฒนาเครื่องมือเพื่อเพิ่มศักยภาพและโอกาสในการทำงานของสาขาที่มีอยู่ และการรักษามาตรฐาน การบริการของสาขาปัจจุบันที่เป็นเครือข่ายของบริษัทฯ รวมถึงทิศทางต่อจากนี้ จะมุ่งเน้นการสร้างชุมชน เครือข่ายของที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ หรือเอเจนท์ให้เกิดขึ้น โดยจะสนับสนุนเรื่อง เครื่องมือทางการตลาด เพื่อให้ง่ายต่อการทำงาน โดยเฉพาะเอเจนท์ในระบบของบริษัท และเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจใหม่ๆ ที่เรียกว่า New Comer ได้เข้ามาในระบบมากขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีแฟรนไชส์สาขาทั้งสิ้น 30 ราย   “เมื่อเราโฟกัส ไปยังสิ่งที่เราชำนาญ และสนับสนุนส่วนต่างๆ ของบริษัทฯ ในเชิงนโยบายก็จะสอดคล้องกัน โดยบริษัทฯ จะมีนโยบายในการเสริมเรื่องเทคโนโลยีในการทำงานมากขึ้น คือ Technology Driven มีนโยบายให้หาเทคโนโลยีใหม่ๆที่จะมาสนับสนุนการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพทั้งของบริษัทและ Stakeholder ของเรา” นายธิติวัฒน์ กล่าวย้ำ พร้อมขยายความต่อด้วยว่า การกำหนดนโยบายในเรื่อง Knowledge Management การสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ให้ทั้งบริษัทฯ และผู้ที่สนใจในด้านอสังหาริมทรัพย์ การพัฒนาทรัพยากรบุคคลด้วยองค์ความรู้ใหม่ ๆ อีกสิ่งที่บริษัทได้กำหนดไว้ คือ Customer Centric ไปพร้อมกับคำว่า Agent Centric โดยทั้งสองส่วนมีส่วนสำคัญในการดำเนินธุรกิจ หรือถ้าใช้คำสั้น ๆ ก็คือ ความใส่ใจ ให้ความสำคัญ นั่นเอง   ปรับตัวรับการแข่งขัน/ ร่วมมือกับ Startup จากนิวซีแลนด์ จากทิศทางที่ปรับเปลี่ยนทั้งด้านเทคโนโลยี ตลาด พฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งเราเองก็ต้องวาง Policy และปรับตัวเพื่อให้สามารถสร้างสรรค์และแข่งขันได้ ซึ่งต้องยอมรับว่า เทคโนโลยีและโลกดิจิทัลเป็นสิ่งที่ต้องคิดอยู่เสมอ เพราะส่งผลหลายๆ ด้าน ทั้งวิธีการทำงาน พฤติกรรมของผู้ซื้อ ผู้ขาย ซึ่ง Century 21 ได้มองหาพาร์ทเนอร์ และเครื่องมือที่มีศักยภาพ ดังนี้ ● บริษัทได้ร่วมมือกับ บริษัท Startup ด้าน การพัฒนา Digital Platform จากนิวซีแลนด์ ในการพัฒนา เว็บไซต์ใหม่ และระบบ Back Office ต่างๆ ที่จะช่วยซัพพอร์ต ในการทำงานและสะดวกต่อการใช้งาน ให้กับเอเจนท์ของบริษัทฯ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งตามนโยบาย Agent Centric ● มีการพัฒนา Web Application นำระบบ GIS มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการด้านที่ดิน Land & Investment โดยมีการทำงานร่วมกับ Prop Tech เพื่อพัฒนาเครื่องมือให้เหมาะสมกับวิธีการทำงานของบริษัท ● การปรับตัวให้เอเจนท์เป็นศูนย์กลาง (Agent Centric) โดยได้มีการจัดทำ Co-Working Spark ซึ่งจะเป็นพื้นที่ที่ทางเอเจนท์ และคนทำงานในเครือข่ายของบริษัทฯ สามารถมาใช้ทำงาน เกิดความคิดสร้างสรรค์ เกิดแรงบันดาลใจในการต่อยอด การทำงาน และเชิงธุรกิจได้   ศูนย์วิจัยข้อมูลอสังหาฯ “C21 Poll” อีกหนึ่งนโยบายที่ Century 21 ให้ความสำคัญเสมอมาและจะมีการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น คือ การสร้างองค์ความรู้ การนำข้อมูลจากการสำรวจวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์ นอกเหนือจากข้อมูลเชิงสถิติที่มีอยู่ในตลาด แต่ที่กำลังทำ เป็นข้อมูลที่เป็นมุมมองเชิงนโยบาย สังคม กระแส หรือความคิดเห็นจากผู้บริโภค และผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยได้จัดตั้ง ศูนย์วิจัยข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้ชื่อ “C21 Poll” ซึ่งเป็นไปตามนโยบายบริษัทฯ ที่ต้องการสร้างองค์ความรู้และมุมมองต่างๆ เกี่ยวกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับทีมงานผู้เชี่ยวชาญในการทำสำรวจวิจัยการตลาดมากว่า 20 ปี ในการดำเนินการทำผลสำรวจด้านอสังหาฯ (Poll) ซึ่งเชื่อว่า จะเกิดประโยชน์ในเชิงการทำนโยบาย ทั้งภาครัฐ ยุทธศาสตร์ชาติด้านที่อยู่อาศัย รวมทั้งเอกชน ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ และผู้บริโภค (End User) ขณะนี้การทำโพลชิ้นแรก ได้จัดทำไปแล้วกว่า 70-80 เปอร์เซ็นต์ คาดว่า ประมาณเดือนสิงหาคมน่าจะเสร็จสมบูรณ์   พร้อมกันนี้นายธิติวัฒน์ ยังกล่าวในตอนท้ายว่า บริษัทฯ ยังมีความร่วมมือในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่ บริษัทที่เป็น สตาร์ทอัพ สถาบันการศึกษา จนถึง บริษัทด้านการลงทุนทั้งในและต่างประเทศในการคิดโมเดลธุรกิจด้านอสังหาฯ ใหม่ ๆ เพื่อปรับตัวและก้าวไปต่อในสภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
เนอวานา ไดอิ เปิดตัวโครงการทาวน์โฮม ที่เป็นได้มากกว่าบ้านเดี่ยว  เนอวานา ดีฟายน์ ศรีนครินทร์ – พระราม 9 โกยยอดขายไปกว่า 500 ล้านบาท

เนอวานา ไดอิ เปิดตัวโครงการทาวน์โฮม ที่เป็นได้มากกว่าบ้านเดี่ยว เนอวานา ดีฟายน์ ศรีนครินทร์ – พระราม 9 โกยยอดขายไปกว่า 500 ล้านบาท

  บริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) เปิดตัวทาวน์โฮม 3 ชั้นแห่งใหม่บนทำเลศักยภาพกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่โครงการเนอวานา ดีฟายน์ ศรีนครินทร์ – พระราม 9 ภายใต้แนวคิด “ทาวน์โฮมที่เป็นได้...มากกว่าบ้านเดี่ยว” เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่มองหาที่อยู่อาศัยในเมือง เดินทางสะดวก แต่มีพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่าคอนโดมิเนียม โดยโครงการเปิดขาย Presales ไปช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โกยยอดขายไปกว่า 500 ล้านบาท นายศรศักดิ์ สมวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า หลังจากที่ได้เปิดตัวโครงการทาวน์โฮม 3 ชั้น ภายใต้แบรนด์ ‘เนอวานา ดีฟายน์’ ที่ทำเลถนนพระราม 9 ไปเมื่อต้นปี 2560 และทำยอดขายได้ทั้งหมดภายใน 4 วันเท่านั้น ล่าสุดจึงได้ต่อยอดพัฒนาโครงการดังกล่าว โดยเปิดตัวในทำเลใหม่ที่ย่าน ศรีนครินทร์ - พระราม 9 ภายใต้แนวคิด “ทาวน์โฮมที่เป็นได้...มากกว่าบ้านเดี่ยว” ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่ให้พื้นที่ใช้สอยที่มากกว่าการอยู่คอนโดมิเนียม โครงการ เนอวานา ดีฟายน์ ศรีนครินทร์ - พระราม 9 (Nirvana DEFINE Srinakarin-Rama9) ทาวน์โฮม 3 ชั้น ระดับไฮเอนด์ จำนวน 173 ยูนิต บนเนื้อที่ 19 ไร่ ราคาขายเริ่มต้นที่ 7.7 - 15 ล้านบาท มูลค่าโครงการรวม 1,900 ล้านบาท ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ ติดถนนใหญ่ศรีนครินทร์ – ร่มเกล้า (ถ.กรุงเทพกรีฑาตัดใหม่) ซึ่งถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่เป็นหนึ่งในถนนสายสำคัญของกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก มีช่องการจราจรกว้างถึง 8-10 ช่องทางการจราจร เชื่อมต่อกับถนนสายหลักของกรุงเทพฯ เข้า-ออกเมืองได้ง่ายและรวดเร็ว อาทิ ถนนพระราม9, ถนนศรีนครินทร์, ถนนพัฒนาการ, ถนนรามคำแหง, ถนนมอเตอร์เวย์ และถนนกาญจนาภิเษก (วงแหวนตะวันออก) โครงการยังรายล้อมด้วยรถไฟฟ้าถึง 3 สาย คือ รถไฟฟ้าในอนาคตสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) สถานีศรีกรีฑา ซึ่งโครงการอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 62, รถไฟฟ้าในอนาคตสายสีส้ม (ตลิ่งชัน-มีนบุรี) รวมไปถึงรถไฟฟ้า Airport Rail Link สถานีหัวหมาก ทำให้การเดินทางเชื่อมต่อได้สะดวกไม่ต่างจากการอยู่ในเมือง อีกทั้งทำเลกรุงเทพกรีฑา ยังรายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่พร้อมสรรพ ทั้งห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาลชั้นนำ โรงเรียนนานาชาติระดับแนวหน้า และสนามกอล์ฟที่มีชื่อเสียงถึง 2 แห่ง เพื่อตอบโจทย์ของกลุ่มผู้อยู่อาศัย โครงการเนอวานา ดีฟายน์ ศรีนครินทร์ – พระราม 9 จึงมีแบบบ้านให้เลือกถึง 4 แบบ โดยคงเอกลักษณ์การออกแบบโมเดิร์นสไตล์ตามแบบฉบับของเนอวานา ให้ผู้อยู่อาศัยได้สัมผัสกับความเป็นธรรมชาติมากที่สุดด้วยช่องรับแสงธรรมชาติ รวมถึงใส่ใจในรายละเอียดการแบ่ง ฟังก์ชัน ของตัวบ้านให้ใช้งานได้คุ้มค่าและลงตัว ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ เน้นการออกแบบที่แตกต่าง มีดีไซน์ที่เปิดโล่งด้วย Double Volume สูงกว่า 6 เมตร ทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกโปร่งโล่งมากกว่าการอยู่บ้านเดี่ยว ตามคอนเซ็ปของโครงการ “ทาวน์โฮมที่เป็นได้...มากกว่าบ้านเดี่ยว” และด้วยช่องเปิดที่มากกว่า จึงรับแสงและลมธรรมชาติได้ดี ทำให้เป็นบ้านที่อยู่สบาย อีกทั้งยังออกแบบให้ทุกห้องนอนมีขนาดใหญ่ เสมือนเป็น Master Bedroom ทุกห้อง ลูกค้าจะได้อยู่ในสังคมคุณภาพที่มีความเป็นส่วนตัวเพียง 173 ครอบครัว มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น Clubhouse, Fitness, สระว่ายน้ำระบบเกลือ รวมถึง Outdoor BBQ นอกจากนั้นเพื่อให้ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ในปัจจุบัน เนอวานา ดีฟายน์ ศรีนครินทร์ – พระราม 9 จึงได้มีการเตรียม Public WIFI ที่เดินสายด้วยระบบ Fiber Optic ทำให้สามารถใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงได้ทั้งภายในตัวบ้านและทั่วทั้งบริเวณโครงการ เพื่อเพิ่มความสมบูรณ์แบบในการใช้ชีวิต โดยหลังจากเปิด Presales ไปในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โครงการ สามารถทำยอดขายได้กว่า 500 ล้าน คิดเป็น 85% ของยอดขายในเฟสแรก หรือคิดเป็น 25% ของมูลค่าโครงการ ซึ่งถือเป็นความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง และคาดการณ์ว่าจะสามารถปิดยอดขายได้มากกว่า 50% ของทั้งโครงการภายในสิ้นปีนี้ นับเป็นก้าวแรกของการเปิดตัวสินค้าของเนอวานาไดอิ บนทำเลถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ ซึ่งบริษัทยังมีที่ดินกว่า 100,000 ตารางวา บนถนนเส้นนี้เพื่อรอการพัฒนา โดยนายศรศักดิ์กล่าวเสริมว่า บริษัทฯ มีแผนที่จะพัฒนาที่ดินบริเวณนี้เป็น Township ระดับ High-End ซึ่งจะมีทั้งพื้นที่เพื่อการพาณิชย์, พื้นที่เพื่อการอยู่อาศัยหลากหลายรูปแบบ และพื้นที่ Community Mall เพื่อรองรับกับ Lifestyle และการใช้ชีวิตของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย   โครงการเนอวานา ดีฟายน์ ศรีนครินทร์ – พระราม 9 ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 7.7 ล้านบาท เนื้อที่โครงการรวม 19 ไร่ เริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 3/2560 และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4/2562 ทั้งนี้โครงการเปิดให้ชมบ้านตัวอย่างที่สำนักงานขายของเนอวานา ดีฟายน์ ศรีนครินทร์ – พระราม 9 สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1787 หรือ www.nirvana-group.com
เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ ลุยอสังหาฯ ต่อเนื่อง  เปิดตัวคอนโดใหม่ เดอะเนสท์ สุขุมวิท 71 รองรับไลฟ์สไตล์คนเมือง

เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ ลุยอสังหาฯ ต่อเนื่อง เปิดตัวคอนโดใหม่ เดอะเนสท์ สุขุมวิท 71 รองรับไลฟ์สไตล์คนเมือง

บริษัท เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในเครือของกลุ่มบริษัท พี.เอ็ม. กรุ๊ป ประกาศเดินหน้าลุยพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและโรงแรมย่าน ECBD เพิ่ม ยึดแนวใกล้รถไฟฟ้าบีทีเอส และรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT รองรับไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าในเมือง นำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพ ออกแบบเรียบหรู ทันสมัย เพื่อคุณภาพการใช้ชีวิตที่ลงตัว ในราคาที่คุ้มค่า โดยไตรมาสที่ 3/2561 จะเปิดคอนโดมิเนียมใหม่ “เดอะเนสท์ สุขุมวิท 71” ตั้งเป้าสิ้นปี 2561 มียอดขายรวมทุกโครงการ 2,500 ล้านบาท ทั้งนี้ เตรียมงบลงทุนอีกไม่น้อยกว่า 2,000 ล้านบาท รุกสร้างโรงแรมบูติก 2 แห่ง ภายในปี 2566 คุณอุษณา มหากิจศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า “สำหรับทิศทางการดำเนินงานในปี 2561 บริษัท เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ฯ ยังคงมุ่งสู่เป้าหมายใหญ่ในการสร้างแบรนด์ “เดอะเนสท์” ให้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในด้านการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่ตอบสนองความต้องการและ life style ของคนเมือง อย่างแท้จริง ทั้งทำเลที่ตั้งโครงการ ดีไซน์ที่เรียบหรูทันสมัย เฟอร์นิเจอร์และวัสดุตกแต่งที่มีคุณภาพ แบบแปลนที่ลงตัวเหมาะสมกับการอยู่อาศัย ครบทั้งคุณภาพ ความสะดวกสบาย และภาพลักษณ์ที่มี ความเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละโครงการ ในราคาที่ลูกค้าจับต้องได้ คุ้มค่าหากเปรียบเทียบกับ โครงการที่อยู่อาศัยในเกรดเดียวกันหรือในละแวกเดียวกัน” บริษัท เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ฯ ลงทุนต่อเนื่อง หลังจาก ประสบความสำเร็จอย่างสูงจากโครงการแรก “เดอะเนสท์ เพลินจิต” ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ สูง 8 ชั้น มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท ที่เปิดขายในปี 2556 จำนวน 64 ยูนิต ผลตอบรับดีมาก ปิดการขายได้ ตามเป้าหมาย โดยกลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มนักลงทุนและผู้มีรายได้ในระดับ Middle Management ที่ทำงาน ย่านชิดลม เพลินจิต อาจจะมีบ้านอยู่แล้วและต้องการคอนโดเพื่อเป็นบ้านหลังที่สอง มีความสะดวกใน การเดินทางหรือเพื่อ การลงทุนในอนาคตสำหรับการซื้อไว้ปล่อยเช่า โครงการที่สอง “เดอะเนสท์ สุขุมวิท 22” ซึ่งป็นโครงการโลว์ไรซ์ สูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร รวม 316 ยูนิต ออกแบบโดย PAA มีมูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท เปิดขายช่วงปลายปี 2558 สร้างเสร็จเมื่อปลายปี 2560 โดยกลุ่มเป้าหมายของโครงการ ได้แก่ กลุ่มนักลงทุนและผู้มีรายได้ในระดับ Middle Management หรือพนักงานบริษัท ที่มีรายได้ 40,000 บาทขึ้นไป อาจจะทำงานในย่านสุขุมวิท หรือกำลังมองหา ที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง มีไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิตในเมือง เน้นการเดินทางที่คล่องตัวเป็นหลัก หรืออาจจะเป็นกลุ่มนักลงทุนที่มองหาคอนโดไว้เพื่อปล่อยเช่า เนื่องจากย่านนี้เป็นย่านที่ต่างชาติ ให้ความสนใจ เช่าสูงเพราะอยู่ระหว่างรถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีอโศกและพร้อมพงษ์ ปัจจุบัน เหลืออีก 10% เท่านั้น คาดว่าจะปิดการขายได้ภายในปี 2561   สำหรับโครงการที่กำลัง Hot ในขณะนี้ อยู่ในทำเล Eastern Center Business District (ECBD) ซึ่ง เป็นทำเล ยอดนิยมที่กำลังมาแรง คือ โครงการ “เดอะเนสท์ สุขุมวิท 64” เป็นโครงการ โลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น มี 3 อาคาร จำนวน 439 ยูนิต ออกแบบโดย Tandem ตกแต่งภายใน โดย Paradigm Shift และออกแบบ Landscape โดย Red Landscape ภายใต้แนวคิด “Finest Nature Reflection” ออกแบบเพื่อที่สุดของชีวิตที่ลงตัว ตั้งอยู่บนเนื้อที่เกือบ 4 ไร่ สามารถเข้าออกได้ทั้งจากซอยสุขุวิท 64 ซึ่งปากซอยเป็น BTS ปุณณวิถี และซอยสุขุมวิท 66/1 ที่ปากซอยเป็น BTS อุดมสุข เปิดให้จองเมื่อปลายปี 2560 คาดว่าจะสร้างแล้วเสร็จปลายปี 2562 มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท ปัจจุบัน “เดอะเนสท์ สุขุมวิท 64” มียอดจองแล้วกว่า 80% คาดว่าปิดการขายได้ก่อนสิ้นปีนี้ โดยกลุ่มเป้าหมายของโครงการ ได้แก่ กลุ่มนักลงทุน หรือกลุ่ม first jobber พนักงานบริษัทที่มีรายได้ 30,000 บาทขึ้นไป อาจจะทำงานย่านสุขุมวิท หรือออกไปทางบางนา และกำลัง มองหาที่อยู่อาศัย เป็นของตัวเองที่สามารถเดินทางสะดวกใช้ชีวิตได้ในเมืองเนื่องจาก อยู่ใกล้ รถไฟฟ้าเพียง 600 เมตร รวมถึงกลุ่มนักลงทุนที่กำลังมองหาคอนโดให้เพื่อปล่อยเช่า คุณอุษณา กล่าวว่า “ตลาดคอนโดมิเนียม ปี 2561 มีแนวโน้มเติบโตดีกว่าปีที่ผ่านมา เนื่องจากภาครัฐมีการลงทุนโครงการสาธารณูปโภคต่อเนื่อง ผู้บริโภค มีความเชื่อมั่น และ เริ่มกลับมาสนใจซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น ประกอบกับ ปัจจุบันชาวต่างชาติสนใจเข้ามา ซื้อคอนโดมิเนียมในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จีน สิงคโปร์ และ ฮ่องกง ทำให้คอนโดมิเนียมในทำเลกรุงเทพชั้นในและเขตรอบกรุงเทพชั้นในที่ใกล้แนวรถไฟฟ้าเป็นทำเลที่มาแรง มีอุปทานใหม่เกิดขึ้นมาก เชื่อว่าการแข่งขันก็เข้มข้น ด้วยจำนวนโครงการใหม่ ที่จะทยอยเปิดตัว ด้านซัพพลายที่ตอบโจทย์ตลาดระดับ กลางบนขึ้นไปยังคงได้รับการตอบรับที่ดี โดยมีเงื่อนไข ของราคาเปรียบเทียบกับคุณภาพและ ความสะดวกในการเดินทางซึ่งเป็น 3 ปัจจัยหลักในการตัดสินใจ ซื้อหรือลงทุน สำหรับลูกค้าของเดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ ส่วนใหญ่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองในสัดส่วนที่มากกว่า 50% จากยอดขายปัจจุบัน และ อีก 50% ซื้อเพื่อปล่อยเช่าเป็นการลงทุนในระยะยาว โดยมีสัดส่วนลูกค้าคนไทยและต่างชาติ คิดเป็น 70 : 30 และลูกค้าต่างชาติส่วนใหญ่เป็น ชาวจีน และฮ่องกง เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่ยังมีอยู่บริษัท เดอะเนสท์ฯ มีแผนที่จะเปิดตัวโครงการ “เดอะเนสท์ สุขุมวิท 71” ตรงสถานีพระโขนง ราวเดือนสิงหาคมปีนี้ เป็นโครงการโลว์ไรส์ 8 ชั้นเช่นเดิม จำนวน 5 อาคาร มี 515 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 ล้านบาท เรามั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับสิ่งทีดีที่สุด มีคุณภาพที่สุดอย่างแน่นอน” สำหรับเป้าหมายการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้าปิดยอดขายรวมของทุกโครงการที่ 2,500 ล้านบาท โดยปัจจุบันสามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า 1,500 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทฯ กำลังวางแผน ที่จะรุกธุรกิจโรงแรมบูติค 2 แห่ง รวมกันประมาณ 450 ห้อง ด้วยเงินลงทุน 2,000 ล้านบาท เล็งทำเลย่านเพลินจิต และย่านนานาไว้ คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างราวปี 2563 – 2566
บ้านกลางเมือง The Edition เชื่อมต่อไลฟ์สไตล์เมือง พระราม 9-พัฒนาการ เพียง 10 นาที*

บ้านกลางเมือง The Edition เชื่อมต่อไลฟ์สไตล์เมือง พระราม 9-พัฒนาการ เพียง 10 นาที*

เมื่อเราพูดถึงบ้านสักหลัง สิ่งแรกที่ทุกคนจะต้องคำนึงถึงนั่นคือเรื่องของทำเลที่สามารถเดินทางได้สะดวก ใช้ทางด่วนเพื่อเข้าใจกลางเมืองได้ง่าย ขณะเดียวกันยังคงได้พื้นที่กว้างๆ ท่ามกลางความเงียบสงบ ร่มรื่นด้วยธรรมชาติรอบตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ใครๆ ต่างก็ใฝ่หาในช่วงเวลาส่วนตัว หากมีองค์ประกอบเหล่านี้รวมกันก็จะทำให้บ้านของเรานั้นสมบูรณ์แบบ และกลายเป็นสังคมคุณภาพในบ้านของเราเอง     ตั้งแต่มีการเดินหน้าเรื่อง EEC (Eastern Economic Corridor) กันอย่างจริงจังก็ดูเหมือนกับว่า อสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ โซนตะวันออกจะกลับมาคึกคักกันไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นบ้าน ทาวน์โฮม หรือคอนโดมิเนียมก็ตาม เพราะเป็นจุดที่เดินทางเชื่อมต่อเข้าเมืองได้ง่ายที่สุด และยังเดินทางไปภาคตะวันออกได้ใกล้ที่สุดแค่ชั่วโมงเดียวก็ถึงชลบุรีแล้ว เผลอๆ ใช้เวลาน้อยกว่าขับรถในกรุงเทพฯ เสียอีกใช่ไหมคะ ซึ่งถนนสายสำคัญที่สุดคงจะหนีไม่พ้นถนนกรุงเทพ–ชลบุรีสายใหม่ หรือที่เรียกกันติดปากกันว่ามอเตอร์เวย์ ซึ่งเริ่มต้นถนนจากการเชื่อมต่อจากทางพิเศษศรีรัช ช่วงถนนพระราม 9 ตัดกับถนนศรีนครินทร์ แล้วตรงยาวผ่านสนามบินสุวรรณภูมิ ข้ามแม่น้ำบางปะกง แล้วเข้าสู่จ.ชลบุรี ไปจนสุดที่พัทยา รวมแล้วมีระยะทางประมาณ 125 กิโลเมตร โดยใครที่เคยขับรถบนถนนเส้นนี้ก็จะทราบกันดีค่ะว่าเป็นถนนที่ขับสบาย เพราะถนนกว้างถึง 8 เลน ไม่ว่าจะเข้าเมืองไปยังย่านพระราม 9 หรือจะออกนอกเมืองไปสนามบินสุวรรณภูมิ-ภาคตะวันออกก็สะดวกมากทีเดียวค่ะ และเชื่อว่าถนนสายนี้จะกลายเป็นหัวใจหลักทั้งในแง่ของการท่องเที่ยว และทางเศรษฐกิจอันกำลังรุดหน้าขึ้นเรื่อยๆ                      เหตุผลในความน่าสนใจไม่ได้มีเฉพาะตัวถนนกรุงเทพ–ชลบุรีสายใหม่ เท่านั้นนะคะ แต่ถนนพระราม 9 จากแยกพระราม 9 ไปจนเชื่อมต่อกับมอเตอร์เวย์ก็เป็นที่จับตามองในความเป็น New CBD มาตลอด 3-4 ปีที่ผ่านมา เพราะความเพียบพร้อมรอบด้านไม่ว่าจะเป็นอาคารออฟฟิศเกรด A ศูนย์การค้าหลายแห่ง ตลาดนัดรถไฟขนาดใหญ่ สถานบันเทิง โรงพยาบาลชั้นนำ และความสะดวกในการเดินทางทั้งทางด่วนและระบบขนส่งสาธาณะ ส่งผลให้มีความเติบโตของเมืองอย่างก้าวกระโดด ซึ่งจะได้มอเตอร์เวย์ในการเชื่อมต่อความเติบโตนี้ส่งไปถึงโซน EEC ต่อไปได้ไม่ยาก      นอกจากผู้ที่ใช้รถใช้ถนนแล้ว อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญของการเดินทางในกรุงเทพฯ ที่จะขาดไปเสียไม่ได้นั่นคือรถไฟฟ้า เพราะความรวดเร็วจะช่วยประหยัดเวลาได้ไม่น้อย ซึ่งยังมีอีกหลายโปรเจค หลายเส้นทางที่กำลังเร่งดำเนินการให้ครอบคลุมเส้นทางในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพื่อบรรเทาความแออัดของการจราจรลง ซึ่งหากพูดถึงรถไฟฟ้าสายหลักของย่านนี้ก็คือ Airport Rail Link ที่เริ่มต้นสายเป็น Interchange กับ BTS สายสีเขียว สถานีพญาไท ไปสิ้นสุดสายในท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ซึ่งสายนี้จะยิ่งทวีความสำคัญเมื่อมีการขยายเส้นทางนี้ขึ้น เป็นโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อ 3 สนามบิน จากสนามบินดอนเมือง-สนามบินสุวรรณภูมิ-สนามบินอู่ตะเภา รวมระยะทาง 220 กิโลเมตร โดยจะวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 220 กม./ชม. ถือเป็น Mega Project ที่ไม่ไกลเกินรอคอย ซึ่งเมื่อเปิดให้บริการเมื่อไรก็จะใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ-สนามบินอู่ตะเภา ประมาณ 45 นาทีเท่านั้น นอกจากนี้เราจะไม่พูดถึงบริเวณสี่แยกพัฒนาไม่ได้ค่ะ เพราะในอนาคตจะเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการเดินทางออกไปได้หลากหลายเส้นทาง อาทิ Airport Rail Link กับรถไฟ สถานีหัวหมาก ที่เปิดให้บริการอยู่ทุกวันนี้แล้ว ในอนาคตกำลังจะเกิดรถไฟฟ้าโมโนเรลสายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง ที่กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ทุกวันนี้ คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2563 และยังมีรถไฟชานเมืองสายตะวันออก-ตะวันตก(สายสีแดงอ่อน) ขณะนี้กำลังก่อสร้างช่วงระยะบางซื่อ-หัวหมาก แต่หากเสร็จสมบูรณ์ทั้งสายแล้วก็จะวิ่งตั้งแต่ จ.นครปฐม ช่วงศาลายา-ตลิ่งชัน-สะพานพระราม 6-บางซื่อ-พญาไท-หัวหมาก ซึ่งทั้งหมดนี้จะมีจุดตัดกันอยู่ที่สี่แยกพัฒนาการแห่งนี้                  บ้านกลางเมือง The edition พระราม9-พัฒนาการ โครงการใหม่จาก AP ที่สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการได้รอบด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทำเลที่สามารถเข้าไปในย่าน New CBD อย่างพระราม 9 หรือจะเข้าสู่สนามบินสุวรรณภูมิก็ใช้เวลาเพียง 10 นาที และยังห่างจาก Airport Rail Link สถานีบ้านทับช้าง ประมาณ 2.5 กิโลเมตร ด้วยทำเลที่ตั้งของโครงการบนถนนคู่ขนานมอเตอร์เวย์ เดินทางสะดวกสบายทั้งเข้าเมืองด้วยทางพิเศษศรีรัช เพียง 10 นาทีก็ถึงแยกพัฒนาการ-พระราม9 และออกนอกเมืองโดยใช้มอเตอร์เวย์ได้สะดวก โดยสามารถเข้า-ออกโครงการได้ 2 เส้นทาง คือ   -จากทางพิเศษศรีรัช เชื่อมต่อมอเตอร์เวย์ขาออก ออกทางคู่ขนานแล้วกลับรถบนสะพานเกือกม้า เมื่อลงสะพานกลับรถอีกครั้ง ตรงไปตามทางจนลอดใต้ถนนกาญจนาภิเษก ก็จะพบกับทางเข้าโครงการอยู่ทางขวามือ   -จากแยกพัฒนาการ มาตามฝั่งขาออก เลี้ยวซ้ายลงถนนอ่อนนุชจนถึงแยกประเวศแล้วเลี้ยวซ้าย ผ่าน สน.ประเวศ เลี้ยวขวาผ่านหน้า dcondo แล้วไปตามทางลอดใต้ถนนกาญจนาภิเษก ก็จะพบกับทางเข้าโครงการอยู่ทางขวามือ       โครงการนี้ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 18 ไร่ โดยมีให้เลือกทั้งบ้านแฝด แบบบ้าน NEW X-TREND 3 ชั้น 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ ที่จอดรถ  3 คัน หน้ากว้าง 11.00 เมตร และทาวน์โฮม แบบบ้าน TERRARIA 3 ชั้น 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 2 คัน หน้ากว้าง 5.00 เมตร รวมทั้งหมด 118 ยูนิต ซึ่งทั้งตัวบ้านและสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางของโครงการ ที่แม้จะสร้างความหรูหราเพื่อคุณภาพชีวิตของลูกบ้านในโครงการ แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะใส่ธรรมชาติลงไปรอบโครงการ ไม่ว่าจะต้นไม้ใหญ่อันร่มรื่น หรือสนามหญ้าสีเขียวเพิ่มความสดชื่น สอดรับกับเส้นสายในส่วนของ Facility ที่ถูกดีไซน์เสมือนเป็นตัวแทนของสายลมพัดผ่านโครงการอยู่ตลอดเวลา   บ้านแฝด NEW X-TREND 3 ชั้น 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ ที่จอดรถ  3 คัน หน้ากว้าง 11.00 เมตร   Facility ท่ามกลางธรรมชาติภายในโครงการ   สิ่งอำนวยความสะดวกจะมีทั้ง อาคารสโมสรพร้อม Fitness, สระว่ายน้ำระบบเกลือ, สวนสาธารณะ, PLAYGROUND และ PET PARK พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยแน่นหนา อย่างเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง, ระบบ Access Card สำหรับเข้า-ออกโครงการ, ระบบ CCTV ทางเข้า-ออกโครงการ และกระจายตามจุดสำคัญรอบโครงการ เป็นต้น    ความกว้างขวาง หรูหราเหนือระดับ เป็นส่วนตัว ใน PENTHOUSE MASTER BEDROOM   Living Room สถานที่พักผ่อนอย่างใกล้ชิดธรรมชาติสำหรับทุกคนในครอบครัว     เปิดจองครั้งแรกรอบ VVIP BOOKING วันที่ 21-22 ก.ค. 61 ในราคาเริ่มต้น 7.69 ล้านบาท ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ VVIP Privilege 100,000 บาท* >>> https://goo.gl/XA5NzA                      
‘เมกาโฮม’ ปูทางเติบโตแบบยั่งยืน  บุกตลาดครึ่งปีหลัง ขยายฐานลูกค้าสมาชิกกลุ่มช่างและเจ้าของบ้านคนรุ่นใหม่

‘เมกาโฮม’ ปูทางเติบโตแบบยั่งยืน บุกตลาดครึ่งปีหลัง ขยายฐานลูกค้าสมาชิกกลุ่มช่างและเจ้าของบ้านคนรุ่นใหม่

เมกาโฮม ศูนย์จำหน่ายวัสดุก่อสร้างและของใช้ในบ้าน ค้าส่ง ค้าปลีก เดินหน้าขยายฐานลูกค้าสมาชิกกลุ่มช่าง – ผู้รับเหมา เจ้าของโครงการ เต็มสปีด พร้อมทั้งผลักดันให้บรรลุเป้าหมายปลายปี พร้อมกับรีโนเวทสาขา นำเสนอสินค้าใหม่ ปรับดิสเพลย์ และติดแอร์ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าสมาชิกที่เป็นคนรุ่นใหม่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ   นางสาวสุรางคนา ฉายประสาท ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่าย Customer Experience บริษัท เมกาโฮม เซ็นเตอร์ จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งหลังของปี 2561 นี้ เมกาโฮม ยังคงมุ่งปรับปรุงสาขา สร้างความแข็งแกร่ง ให้กับสาขาที่มีอยู่เดิม 12 สาขา ให้ทันสมัย สร้างประสบการณ์ที่ดีในการซื้อสินค้า โดยไฮไลต์หลักคือปรับสินค้ากลุ่มช่างให้มีความครบครันมากขึ้น ตั้งแต่ฐานรากถึงหลังคา และปรับสินค้ากลุ่มเฟอร์นิเจอร์ ของใช้ในบ้านให้ทันสมัย รวมทั้งได้ทยอยติดตั้งระบบปรับอากาศเพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย โดยเริ่มติดตั้งไปแล้วที่สาขารังสิต มีนบุรี และบ่อวิน ซึ่งได้รับการตอบรับจากลุกค้าสมาชิกเป็นอย่างดี   “การรีโนเวทปรับปรุงสาขาในครั้งนี้ เราเน้นไปที่การบริหารจัดการพื้นที่ภายในสาขา ให้ความสำคัญกับสินค้าเพื่อช่างและคนทำบ้าน โดยจัดดิสเพลย์กลุ่มเครื่องมือช่าง ฮาร์ดแวร์ สี อุปกรณ์ไฟฟ้า และประปา ให้ช่างหรือผู้รับเหมา สามารถเลือกและทดลองสินค้าได้สะดวกมากขึ้น ได้เห็นตัวอย่างการนำไปใช้งาน รวมถึงมีสินค้าใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์ทำงานได้อย่างรวดเร็ว ประหยัดเวลา นอกจากนี้เมกาโฮมยังได้ร่วมกับผู้ผลิตเครื่องมือ วัสดุและอุปกรณ์เพื่อช่างและก่อสร้าง แบรนด์ชั้นนำ หมุนเวียนกันจัดโปรโมชั่น โดยที่ผ่านมาได้ทำ Paint Pro สินค้ากลุ่มสีและอุปกรณ์ ลดสูงสุดถึง 70% , Tools Pro และ ก่อสร้างตลาดแตก ควบคู่กับการสื่อสารการตลาดที่เข้าถึงกลุ่มลูกค้า ซึ่งโปรโมชั่นดังกล่าวประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เพิ่มความถี่ในการเข้ามาซื้อสินค้าและเพิ่มยอดการซื้อต่อบิลที่สูงขึ้น ขณะที่เป้าหมายอีกส่วนหนึ่งจะอยู่ที่การดึงกลุ่มลูกค้าที่หายไปให้กลับเข้ามาซื้อสินค้าในเมกาโฮม”   การรีโนเวทในครั้งนี้ ยังเป็นการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าที่เป็นเจ้าของบ้าน ที่ต้องการสินค้าที่มีนวัตกรรม และตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ โดยเมื่อปีที่ผ่านมาเมกาโฮม ได้นำเสนอ บ้าน+ร้านโครงเหล็ก แบบสำเร็จรูป ภายใต้ชื่อ The Cube มาโชว์และขายในงาน ธอส expo และ Homepro Expo ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้า   ที่ซื้อไปทำเป็นร้านค้า และรีสอร์ต รวมทั้งต่อขยายเป็นห้องเด็ก ห้องนั่งเล่น โดยจุดเด่นของ The Cube คือ โครงเหล็กที่แข็งแรง ทนทาน รับประกันโครงสร้างนานถึง 10ปี ซึ่งสร้างความั่นใจให้ผู้ซื้อเป็นอย่างมาก ร้านสร้างด่วนนี้รูปทรงทันสมัยและใช้เวลาติดตั้งเพียง3 วัน ทำให้ประหยัดเวลา และประหยัดต้นทุนในการก่อสร้างได้เป็นอย่างดี   ส่วนในด้านกลยุทธ์การทำตลาดนั้น จะมีการ Synergy กับบริษัทแม่คือโฮมโปรมากขึ้น โดยจะมีการนำ Best Practice ที่โฮมโปรประสบความสำเร็จในการทำตลาดมาปรับใช้ อาทิ การทำลอยัลตี้ โปรแกรม และ Customer insight มุ่งเน้นไปที่การช่วยพัฒนาทักษะในการทำงาน และเสริมองค์ความรู้ในเรื่องของการทำงาน ให้ทั้งผู้รับเหมา และช่าง เพื่อให้สามารถเติบโตไปด้วยกันกับเมกาโฮมอย่างยั่งยืนในระยะยาว รวมถึงการทำโปรโมชั่นสมาชิกช่างลดทันทีสูงสุด 5% กลยุทธ์ในการทำตลาด บริษัทยังคงมุ่งเน้นเจาะลูกค้า 3 กลุ่มหลัก คือ 1.เจ้าของโครงการ 2.ช่างผู้รับเหมา และร้านค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง 3.เจ้าของบ้านที่กำลังก่อสร้างหรือต่อเติม   “เมกาโฮมมีฐานสมาชิกอยู่ประมาณ 7 แสนราย เป็นสมาชิกช่าง ผู้รับเหมา เจ้าของโครงการ และร้านค้าปลีกวัสดุก่อสร้างประมาณกว่า 30% ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มลูกค้าที่เป็นช่างหรือผู้รับเหมาที่มีงานทุกวัน มีความถี่ในการมาซื้อสินค้าสูงมาก ภาพรวมของการเติบโตนั้น กลุ่มลูกค้าที่เป็นช่างจะเติบโตสูงขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณ 40% ความท้าทายในการทำตลาดในช่วงครึ่งหลังของปีนี้อยู่ที่จะทำอย่างไรให้เรายังคงเพิ่มฐานลูกค้าสมาชิกได้อย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ตลาดมีการแข่งขันรุนแรง และทำอย่างไร เมกาโฮมจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับลูกค้าสมาชิกได้อย่างยั่งยืน” สุรางคนา กล่าวและเสริมว่า   “กลยุทธ์ในการเข้าถึงลูกค้ากลุ่มช่างค่อนข้างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น การช่วยพัฒนาเพื่อยกระดับฝีมือพวกเขาให้ดีขึ้น โดยจะร่วมมือกับหน่วยงานของรัฐ อาทิ กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน กระทรวงแรงงาน และพันธมิตรทางการค้าของเมกาโฮม ในการออกแบบหลักสูตรเพื่อช่วยเพิ่มทักษะการทำงานของช่าง การจัดอีเว้นต์อย่าง ตลาดนัดช่าง เพื่อแสดงสินค้านวัตกรรม รวมถึงเชิญชวนให้ช่างเข้าร่วมเป็นสมาชิกครอบครัวช่างของโฮมโปรและเมกาโฮม เพื่อให้บริการกับเจ้าของบ้านที่ต้องการบริการติดตั้ง ซ่อมแซม หรือต่อเติมบ้าน เพื่อให้ช่างที่เป็นลูกค้าสมาชิกของเรามีงานอย่างต่อเนื่อง โดยเรามีเป้าหมายที่อยากจะเพิ่มสัดส่วนของสมาชิกกลุ่มช่างเพิ่มเป็น 50% ภายใน 2- 3 ปีนับจากนี้ไป” ผู้บริหารของเมกาโฮม กล่าวสรุปทิ้งท้าย      
เปิดตัว “เดอะรีเซิร์ฟ สาทร” ซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่คอนโดใหม่ โครงการแรกจากพฤกษา  ใจกลางย่านสาทร Real CBD ของกรุงเทพฯ  ตอกย้ำความสำเร็จสู่ตลาดพรีเมียม

เปิดตัว “เดอะรีเซิร์ฟ สาทร” ซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่คอนโดใหม่ โครงการแรกจากพฤกษา ใจกลางย่านสาทร Real CBD ของกรุงเทพฯ ตอกย้ำความสำเร็จสู่ตลาดพรีเมียม

พฤกษา ผู้นำอันดับหนึ่งในวงการอสังหาฯ ตอกย้ำความสำเร็จสู่ตลาดพรีเมียม เปิดตัว “เดอะรีเซิร์ฟ สาทร” ซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่คอนโดโครงการแรกของบริษัทฯ บนซอยสวนพลู ทำเลทองในย่านสาทร ชูผลงานระดับมาสเตอร์พีซด้วยคอนเซ็ปต์การออกแบบสไตล์ Modern European Thai Colonial สะท้อนบรรยากาศการอยู่อาศัยรูปแบบใหม่ โดดเด่นด้วยการออกแบบห้องพิเศษดีไซน์ตามแบบโคโลเนียลสุดลิมิเต็ด “Crystal Balcony” ห้องหัวมุมเรือนกระจกโค้ง 180 องศา พร้อมใส่ใจคัดเลือกวัสดุเป็น All-European-Luxury-Brand ที่มีเอกลักษณ์และคุณภาพการผลิตในระดับสากล ราคาเริ่มต้น 13 – 42 ล้านบาท นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท-พรีเมียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ปัจจุบันที่ดินทำเลในย่านสาทรหายากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น ซัพพลายของคอนโดในย่านนี้จึงมีไม่มากนัก แต่ในขณะเดียวกันดีมานด์ของการอยู่อาศัยในทำเลนี้ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ด้วยทำเลสาทรตั้งอยู่ในย่านธุรกิจที่แท้จริงแห่งเดียวของกรุงเทพฯ (Real CBD) ที่แวดล้อมไปด้วยแหล่งงาน สถานศึกษา โรงพยาบาลชั้นนำ และห้างสรรพสินค้า อีกทั้งบรรยากาศการอยู่อาศัยในทำเลย่านสาทรยังคงมีความผสมผสานระหว่างความเก่าแก่ดั้งเดิมและความทันสมัยไว้ได้อย่างลงตัว ซึ่งปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลให้ที่ดินในย่านสาทรมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นในทุกปี จึงมีความน่าสนใจอย่างมากสำหรับคนที่มองหาคอนโดเพื่อการอยู่อาศัย เพื่อการลงทุน หรือเพื่อเก็บไว้เป็นทรัพย์สินให้ลูกหลานในอนาคต บริษัทฯ จึงมีแผนเปิดตัว “เดอะรีเซิร์ฟ สาทร” โครงการระดับซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่โครงการแรกของพฤกษา ตั้งอยู่บนสาทร ซอย 3 (สวนพลู) ซึ่งถือเป็นทำเลทองแห่งใหม่ในย่านสาทร ชูคอนเซ็ปต์ “Living at Your Own Pace in Sathorn’s New Luxury Residence” ที่จะมาสร้างสรรค์โครงการนี้ให้เป็นที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ในย่านสาทร นางอรนุช อิติโกศิน กรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจพรีเมียมแนวสูง บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เดอะรีเซิร์ฟ สาทร เป็นซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่คอนโดโครงการแรกของพฤกษา และเป็นผลงานระดับมาสเตอร์พีซของบริษัทฯ ในปีนี้ ที่จะมาเปิดประสบการณ์ชีวิตรูปแบบใหม่ในย่านสาทร ที่สะท้อนให้เห็นถึงบรรยากาศของอาคารพักอาศัยแบบคหบดีไทยในอดีต แต่ยังคงสถาปัตยกรรมความงดงามไว้ในสองกาลเวลาที่ทับซ้อนกันอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งความคลาสสิคและความโมเดิร์น โดยออกแบบอย่างเข้าใจชีวิตคนเมืองโดยผสานสองความแตกต่าง “ชีวิตที่เร่งรีบ” และ “ชีวิตที่ช้าลง” ให้อยู่รวมกันได้เป็นหนึ่งภายใต้โครงการนี้ ด้วยคอนเซ็ปต์การออกแบบสไตล์ Modern European Thai Colonial ใส่ใจความเป็นส่วนตัวของผู้พักอาศัยด้วยจำนวนยูนิตเพียง 134 ยูนิต แต่ละชั้นจะมีเพียง 4 – 8 ห้อง พร้อมวางแผนผังห้องหัน ระเบียงด้านเดียว Single Loaded Corridor เพิ่มความเป็นส่วนตัวในการใช้ชีวิตอีกระดับ โดดเด่นด้วยการออกแบบห้องพิเศษ “Limited Crystal Unit” ห้องหัวมุมที่นำรูปแบบเรือนกระจกโค้ง 180 องศายุคโคโลเนียลมาพัฒนาเป็น “Crystal Balcony” ช่วยเปิดมุมมองที่กว้างอย่างมีสไตล์ ใส่ใจพิถีพิถันด้วยวัสดุที่นำมาใช้เป็น All-European-Luxury-Brand ที่มีการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์และมีคุณภาพการผลิตเป็นที่ยอมรับในระดับสากล นอกจากนี้ ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการที่ช่วยให้รู้สึกได้ผ่อนคลาย มีความเป็นส่วนตัว และไม่ต้องเร่งรีบตลอดเวลา อาทิ · Center Court Lobby – โถงต้อนรับที่ออกแบบให้โอบล้อมคอร์ทน้ำ ใจกลางโครงการ ให้เสียงและการเคลื่อนไหวของน้ำปรับบรรยากาศของทุกโสตประสาทให้ผ่อนคลายยิ่งขึ้น · Private Spa & Salon – ห้องบริการสปาและซาลอนส่วนตัว ที่สามารถนัดหมายช่างส่วนตัวมาดูแลได้ถึงที่บ้าน · Exclusive Fitness & Yoga Studio by Techno Gym · Crystal Lounge – ห้องรับรองในรูปแบบเรือนกระจกวิวเมืองที่ชั้นบนของโครงการ · Thermal Sky Pool – สระว่ายน้ำระบบปรับอุณหภูมิที่ชั้นบนสุดของโครงการ พร้อม Jacuzzi ที่แยกเป็นมุมส่วนตัวอย่างเป็นสัดส่วน · Concierge by The Reserve   “โครงการ เดอะรีเซิร์ฟ สาทร เป็นคอนโด High Rise สูง 30 ชั้น ตั้งอยู่บนซอยสวนพลู ซึ่งเป็นย่านไลฟ์สไตล์ที่เหมาะกับการอยู่อาศัยและใช้ชีวิตได้อย่างเป็นส่วนตัวที่สุด ท่ามกลางสิ่งอำนวยความสะดวกรอบโครงการที่รายล้อมไปด้วยไลฟ์สไตล์ชั้นนำทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น ร้านอาหาร ซุปเปอร์มาร์เกต ห้างสรรพสินค้าทั้งแบรนด์ไทยและต่างชาติ รวมถึงโรงพยาบาลและสถานศึกษาชั้นนำมากมาย อีกทั้งยังสามารถเดินทางไปสู่ทุกเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วด้วยรูปแบบการเดินทางที่หลากหลาย อาทิ เดินทางด้วย BTS สถานีช่องนนทรี หรือ ศาลาแดง และ MRT สถานีสวนลุมพินี หรือหากเป็นรถยนต์ก็สามารถใช้ทางลัดสู่ซอยเย็นอากาศ พระรามสี่ และนางลิ้นจี่ เพื่อขึ้นทางด่วนศรีรัชได้โดยตรงไม่ต้องฝ่ารถติด โครงการมีแบบห้องให้เลือกถึง 5 แบบ ตั้งแต่แบบ 1 Bedroom - 2 Bedroom Duplex พื้นที่ 49 - 126 ตร.ม. ราคา 13 – 42 ล้านบาท (เฉลี่ย 280,000 บาทต่อตร.ม.) พร้อมเปิด Open House 4 - 5 ส.ค. นี้ สำหรับลูกค้าที่จองในงานรับสิทธิพิเศษสูงสุด 700,000 บาท สอบถามเพิ่มเติมโทร.1739 หรือ thereserve.pruksa.com
‘เอพี ไทยแลนด์’ เปิดตัว 2 คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ ภายใต้แบรนด์ LIFEยกระดับอสังหาฯ ศูนย์กลางธุรกิจใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ  ย่านลาดพร้าว และ อโศก – พระราม 9

‘เอพี ไทยแลนด์’ เปิดตัว 2 คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ ภายใต้แบรนด์ LIFEยกระดับอสังหาฯ ศูนย์กลางธุรกิจใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ ย่านลาดพร้าว และ อโศก – พระราม 9

เอพี (ไทยแลนด์) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยสำหรับคนเมือง เดินหน้าเจาะดีมานด์คนเมืองรุ่นใหม่กลุ่ม ‘Young Achiever’ ที่มองหาคอนโดมิเนียมใหม่ในทำเลชั้นนำใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ “เปิดตัว 2 คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ใหม่ล่าสุดภายใต้แบรนด์ LIFE - ‘Life Ladprao Valley (ไลฟ์ ลาดพร้าว แวลลีย์)’ และ ‘Life Asoke Hype (ไลฟ์ อโศก ไฮป์) ที่จะมาตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่พร้อมสนับสนุนสู่ความสำเร็จของคนรุ่นใหม่” พร้อมต่อยอดโอกาสการลงทุนที่คุ้มค่าในอนาคต ทั้งซื้อเพื่ออยู่อาศัยหรือปล่อยเช่าระยะยาว ด้วยผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าประมาณ 5 - 6% พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลางแบบจัดเต็มที่รองรับชีวิตดิจิตอลกับนวัตกรรมล้ำสมัย ยกระดับคุณภาพอสังหาริมทรัพย์ บนทำเลแห่งศักยภาพย่านลาดพร้าว และ อโศก - พระราม 9 ประเดิมครึ่งปีหลังด้วย Life Ladprao Valley ซึ่งจะเปิดขายรอบแรกผ่านระบบ AP i-Booking ในวันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคมนี้ เวลา 19.00 - 21.00 น. และมีกำหนดเปิดพรีเซลอย่างเป็นทางการพร้อมกันทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศในวันที่ 4 - 5 สิงหาคม 2561 ราคาเริ่มต้น 3.49 ล้านบาท นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กร และการสร้างสรรค์ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า “บริษัทดำเนินการภายใต้เป้าหมายหลัก คือมุ่งเป็นผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยสำหรับคนเมือง โดยมีพันธกิจสำคัญในการส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีในการอยู่อาศัย ผ่านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่หลากหลาย ทั้งคอนโดมิเนียม ทาวน์โฮม และบ้านเดี่ยว ทั้งนี้ ในปี 2560 ที่ผ่านมา เราประสบความสำเร็จอย่างมากในการเปิดตัวคอนโดมิเนียมติดแนวรถไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็น Life ลาดพร้าว Life วิทยุ Life อโศก-พระราม 9 และล่าสุดในไตรมาส 1/2018 Life สุขุมวิท 62 โดยที่ทั้ง 4 โครงการได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากทั้งลูกค้าไทยและต่างชาติ โดยสามารถปิดการขายได้ถึงประมาณ 90%” “ความสำเร็จนี้มาจากการเลือกเฟ้นทำเลที่ดีเยี่ยม ใจกลางเมืองที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทาง ผนวกกับความใส่ใจในการออกแบบเพื่อใช้ประโยชน์สูงสุดจากพื้นที่ใช้สอย การบริหารแพ็คเกจราคาขายที่เหมาะสมตรงกับดีมานด์ที่ลูกค้ามองหา ตลอดจนความมั่นใจในคุณภาพการก่อสร้าง การบำรุงรักษา และบริการหลังการขายของเอพี” นายวิทการ กล่าว “เพื่อรองรับตลาดคอนโดสำหรับลูกค้าคนเมืองรุ่นใหม่กลุ่ม Young Achiever ที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เอพีจึงพร้อมเดินหน้าเปิดตัว 2 คอนโดมิเนียม โครงการร่วมทุนระหว่าง เอพี และ มิตซูบิชิ จิโช เรสซิเดนซ์ (บริษัทในเครือมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป - MECG) มูลค่ารวมประมาณ 12,000 ล้านบาท ในทำเลศักยภาพศูนย์กลางธุรกิจใหม่ของกรุงเทพฯ แวดล้อมด้วยเครือข่ายคมนาคมในวันนี้และอนาคต ได้แก่ 1) Life Ladprao Valley มูลค่าโครงการประมาณ 6,400 ล้านบาท โดดเด่นด้วยศักยภาพของทำเลแห่งอนาคต แวดล้อมด้วยเครือข่ายคมนาคมที่เป็นศูนย์กลางในการเดินทางเชื่อมต่อ ใกล้รถไฟฟ้าสถานีห้าแยกลาดพร้าว ที่คาดว่าจะพร้อมเปิดให้บริการปี 2563 และรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีพหลโยธิน คุ้มค่ากับการลงทุนทั้งซื้อเพื่ออยู่อาศัย หรือปล่อยเช่าระยะยาว ด้วยผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าประมาณ 5 - 6% โดยจะเปิดขายรอบแรกผ่านระบบ AP i-Booking ในวันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคมนี้ เวลา 19.00 - 21.00 น. และมีกำหนดเปิดพรีเซลอย่างเป็นทางการพร้อมกันทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศในวันที่ 4 - 5 สิงหาคม 2561 ราคาเริ่มต้น 3.49 ล้านบาท และอีกหนึ่ง โครงการที่มีแผนจะเปิดตัวในช่วงเดือนตุลาคมนี้ ได้แก่ 2) Life Asoke Hype คอนโดมิเนียมบนทำเลศูนย์กลางธุรกิจใหม่ใจกลางกรุงเทพฯ สูง 40 ชั้น จำนวน 1,253 ยูนิต เพียง 300 เมตรจากรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีพระราม 9 มูลค่าโครงการประมาณ 5,700 ล้านบาท” นายวิทการ กล่าวเสริม ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าในปัจจุบัน ดีมานด์ต่อตลาดคอนโดระดับกลางถึงไฮเอนด์มีการ-ตอบรับดีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในย่านใจกลางทำเลธุรกิจ เช่น ลาดพร้าว และอโศก – พระราม 9 ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นพื้นที่ CBD แห่งใหม่ในกรุงเทพฯ เนื่องจากศักยภาพทำเลทั้งความพร้อมในวันนี้และปัจจัยจากโครงการพัฒนาโครงข่ายรถไฟฟ้าในอนาคตอันใกล้ ที่จะเข้ามายกระดับความสามารถในการเชื่อมต่อเข้าสู่พื้นที่ CBD เดิมอย่างย่านสีลม สาทร และ สุขุมวิทได้โดยตรง อีกทั้งแวดล้อมไปด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ จึงเป็นที่ต้องการสำหรับผู้ซื้อที่ต้องการความสะดวกสบาย และผู้ซื้อที่ต้องการลงทุนในการปล่อยเช่าและขายต่อเป็นอย่างมาก โครงการที่จะเข้าสู่ตลาดระดับนี้ต้องสร้างความแตกต่างทั้งภายในยูนิตพักอาศัยและพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อที่จะชนะใจคนเมืองที่กำลังมองหาคอนโดในทำเลนี้ ที่นับวันจะมีแต่มูลค่าเพิ่มขึ้น สำหรับภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมเซกเมนท์กลางถึงบน ในสองทำเลศูนย์กลางธุรกิจใหม่ใจกลางเมือง ย่านเชื่อมต่อพหลโยธิน-อารีย์-ลาดพร้าว และย่านเชื่อมต่ออโศก-พระราม 9-รัชดาภิเษกนั้น พบดีมานด์ที่มองหาคอนโดใหม่ติดแนวรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอด 5 ปีที่ผ่านมา จากการสำรวจข้อมูลการเปิดตัวโครงการใหม่ย่านเชื่อมต่อพหลโยธิน-อารีย์-ลาดพร้าว มีคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ทั้งสิ้นจำนวน 19 โครงการ ในราคาพรีเซลเฉลี่ย 158,000 บาทต่อตารางเมตร มียอดขายรวมกว่า 85% และย่านเชื่อมต่ออโศก-พระราม 9-รัชดาภิเษก พบคอนโดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 14 โครงการ ราคาพรีเซลเฉลี่ยประมาณ 169,000 บาทต่อตารางเมตร และมียอดขายรวมแล้วกว่า 90% ซึ่งนับเป็นอัตราการตอบรับที่ดี นอกจากนี้ สำหรับผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า ระยะยาว (Rental Yeild) ของคอนโดพร้อมอยู่ทั้ง 2 ย่านที่กล่าวมานั้น พบอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน อยู่ที่ประมาณ 5 - 6% จึงนับว่าราคาคอนโดมิเนียมในทำเลนี้ ยังเหมาะสมในการซื้อทั้งเพื่ออยู่อาศัยและเพื่อการลงทุน “สำหรับเอพี (ไทยแลนด์) เรามุ่งมั่นที่จะตอบโจทย์การพัฒนาไปสู่ ‘คุณภาพชีวิตที่ดี’ ครอบคลุมทุกมิติ ทั้งด้านคุณภาพ การบริการ การอำนวยความสะดวกสบาย และความปลอดภัย รวมถึงความคุ้มค่าในระยะยาว ไม่ว่าจะเป็นเพื่อการอยู่อาศัยเอง หรือการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ Life Ladprao Valley ใจกลางห้าแยกลาดพร้าว และ Life Asoke Hype ใจกลางทำเลอโศก – พระราม 9 จึงเป็นโครงการลักชัวรี่คอนโดมิเนียมที่ดีที่สุดในใจกลางทำเลแลนด์มาร์คธุรกิจแห่งอนาคต ศูนย์กลางการคมนาคมและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในกรุงเทพ ที่ยกระดับการอยู่อาศัยด้วยสิ่งอำนวย-ความสะดวกที่ทันสมัย ช่วยส่งเสริมการมีคุณภาพชีวิตที่ดี และความสำเร็จให้กับผู้อยู่อาศัย พร้อมการออกแบบที่ได้แรงบันดาลใจโดยตรงมาจากรูปแบบการใช้ชีวิต เพื่อตอบดีมานด์คนรุ่นใหม่กลุ่ม Young Achiever อย่างแท้จริง” นายวิทการ กล่าวสรุป Life Ladprao Valley ลักชัวรี่คอนโดมิเนียมแห่งใหม่ล่าสุดของเอพี ภายใต้คอนเซ็ปต์การออกแบบ “Live Your Adventurous Spirit” ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจการออกแบบมาจากไลฟ์สไตล์ของคนเมืองกลุ่ม Young Achiever ที่พร้อมมอบประสบการณ์ อันเป็นที่สุดในทุกมิติของลักชัวรี่คอนโดมิเนียมใจกลางเมือง สู่การต่อยอดความสำเร็จได้อย่างสมบูรณ์แบบ ประกอบด้วยอาคารที่พักอาศัยสูง 44 ชั้น จำนวนห้องชุดทั้งสิ้น 1,140 ห้อง ประกอบด้วยห้องชุดแบบ 1) สตูดิโอ ขนาด 28.80 ตารางเมตร 2) ห้องชุด 1 ห้องนอน ขนาด 35 - 37 ตารางเมตร 3) ห้องชุด 2 ห้องนอน ขนาด 48.60 – 66.50 ตารางเมตร พร้อม Triple Facilities ในชั้น 6 ชั้น 44 และชั้น Mezzanine โดยโครงการตั้งอยู่บนพื้นที่ขนาด 5.2.33 ไร่ ใจกลางทำเลลาดพร้าว ย่านธุรกิจและศูนย์กลางคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ พรั่งพร้อมด้วยห้างสรรพสินค้าและแหล่งชอปปิ้ง โรงเรียน อาคารสำนักงาน ทั้งยังเป็นศูนย์กลางการคมนาคม สะดวกทั้งการใช้รถยนต์ส่วนตัว และระบบขนส่งสาธารณะ ตั้งอยู่บนทำเลเชื่อมต่อที่สำคัญและดีที่สุดบริเวณห้าแยกลาดพร้าว เพียงหนึ่งก้าวจากรถไฟฟ้าสถานีห้าแยกลาดพร้าว หรือเพียง 5 นาทีถึง MRT สถานีพหลโยธิน และใกล้ BTS สถานีหมอชิต และจุดขึ้น-ลงทางด่วน ตอบโจทย์ทั้งความสะดวกสบายในการเดินทางและสีสันการใช้ชีวิต Life Ladprao Valley บนพื้นที่ส่วนกลางกว่า 2 ไร่ ได้รับการออกแบบให้ผสมผสานความเป็นธรรมชาติ พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกแบบ Triple Facilities ประกอบด้วย 1) The Avalon พื้นที่สวนแบบเล่นระดับพร้อมสระว่ายน้ำในพื้นที่ชั้น 6 ที่มอบความเป็นส่วนตัวสูงสุดแม้อยู่ในพื้นที่ส่วนกลาง 2) Aqua Valley บน Rooftop ชั้น 44 เพิ่มประสบการณ์ของการออกกำลังกาย ด้วยสระว่ายน้ำพร้อมเครื่องออกกำลังกายภายใต้แนวคิดวารีบำบัด และ 3) Grand Valley Bay บนชั้น Mezzanine โดดเด่นด้วย Crystal Alley สระว่ายน้ำพื้นกระจกใสบนชั้นสูงสุด พร้อมด้วย Elevated Lap Pool ยาว 35 เมตร และ Module Lounge ที่ให้ผู้อยู่อาศัยได้สัมผัสทิวทัศน์สวนจตุจักรแบบพาโนรามา เป็นต้น ทั้งนี้ สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ในช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค. – มิ.ย. 2561) บริษัทประสบความสำเร็จอย่างมากสามารถสร้างยอดขายรวมของโครงการทั้งกลุ่มคอนโดมิเนียมและแนวราบได้มากถึง 17,300 ล้านบาท เป็นยอดขายคอนโดมิเนียม 7,370 ล้านบาท และยอดขายสินค้าแนวราบ 9,930 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้แล้วราว 52% ของเป้ายอดขายปี 2561 ที่ตั้งไว้ (เป้ายอดขาย 33,500 ล้านบาท) โดยมั่นใจว่าจากการเปิดตัว Life Ladprao Valley และ Life Asoke Hype จะสร้าง Talk of The Town และโกยยอดขายลักชัวรี่คอนโดมิเนียมล็อตใหญ่ส่งท้ายปี 2561 ได้อย่างแน่นอน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2561 บริษัทมีสินค้ารับรู้รายได้ (backlog) มูลค่ามากถึง 52,000 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบมูลค่าราว 9,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้ทั้งหมดภายในปีนี้ และคอนโดมิเนียมมูลค่า 43,000 ล้านบาท (รวมโครงการร่วมทุน) โดยจะทยอยรับรู้ภายในปีนี้มูลค่าประมาณ 10,300 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะทยอยการรับรู้ไปจนถึงปี 2565 และทางบริษัทมีคอนโดมิเนียมคงเหลือขายประมาณ 10,800 ล้านบาท “เอพี ไทยแลนด์ กล้าที่จะแตกต่าง ผู้นำด้านนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยสำหรับคนเมือง”
เสนา ฮันคิว ปั้นแบรนด์ลักชูรี่คอนโด เปิดตัวครั้งแรกบนที่ดินแปลงใหญ่สุดย่านเอกมัย

เสนา ฮันคิว ปั้นแบรนด์ลักชูรี่คอนโด เปิดตัวครั้งแรกบนที่ดินแปลงใหญ่สุดย่านเอกมัย

  เสนา ฮันคิว ประกาศลุยโปรเจกต์ร่วมทุนโครงการ 3 เปิดหน้าดินย่านเอกมัย ผุดคอนโดลักชูรี่ “ปีติ เอกมัย (PITI EKKAMAI)” มูลค่ารวม 5,000 ล้านบาท ดึงหลักปรัชญาชีวิตจากแนวคิดญี่ปุ่น “lKIGAI (อิคิไก)” จุดประกายการใช้ชีวิตให้มีความสุขและมีคุณค่า พร้อมตอกย้ำศักยภาพพันธมิตรหวังเดินเกมธุรกิจระยะยาว เผยมีแผนโครงการร่วมทุนมูลค่าสูงถึง 23,000 ล้านบาท จ่อปักหมุดปีนี้   คุณยูสุเกะ คุสุ รองประธานกรรมการบริหาร ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ปเปอร์เรชั่น เปิดเผยถึงการลงทุนในเมืองไทยว่า ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ทางบริษัท ฮันคิว ร่วมทุนพัฒนาโครงการกับทางบริษัทเสนามาแล้ว 2 โครงการ ประกอบด้วย นิช โมโน สุขุมวิท – แบริ่ง และ นิช ไพรด์ เตาปูน – อินเตอร์เชนจ์ รวมมูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท ปัจจุบันทั้ง 2 โครงการมียอดขายเป็นที่น่าพอใจมาก ล่าสุดพัฒนาโครงการที่ 3 ร่วมกันเป็นโครงการระดับลักชูรี่แบรนด์ใหม่ที่มีมูลค่าสูงสุดในปีนี้ ซึ่งมีความมั่นในความเป็นมืออาชีพของทางเสนาเป็นอย่างมากและเชื่อว่าโครงการนี้จะประสบความสำเร็จเหมือนโครงการที่ผ่านๆมาอย่างแน่นอน และทางฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ปฯ เองได้มองถึงแผนการพัฒนาโครงการร่วมกันในระยะยาวต่อจากนี้ด้วยเช่นกัน ด้านผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยครึ่งปีหลัง 2561 มีแนวโน้มกระเตื้องขึ้น คาดว่าปีนี้จะโตได้ 3-5% หลักๆ มาจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจภายในประเทศ ขณะที่ดีมานด์ระดับบนยังมีสัญญาณที่ดีและเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้าหรือระบบ Mass Transit ยังมีความต้องการสูงขึ้นทุกปี ดังนั้น ทางเสนา ฮันคิว พร้อมต่อยอดพัฒนาคอนโดมิเนียมร่วมกันบน Location ที่ดีที่สุดในย่านใจกลางเมือง และได้นำเอาหลักปรัชญาชีวิตจากแนวคิด “IKIGAI (อิคิไก)” มาร่วมสร้างสรรค์เอกลักษณ์ทั้งมิติด้านฟังก์ชั่นและเติมเต็มมิติด้านสุนทรียศาสตร์ภายในโครงการให้กับลูกค้า เพื่อให้ตอบโจทย์ทุกความต้องการในการใช้ชีวิตของคนเมือง ณ ปัจจุบัน และรองรับความต้องการของลูกค้าระดับบนที่มองหาที่อยู่อาศัยบนทำเลศักยภาพย่านใจกลางเมือง ดังนั้นจึงเป็นโอกาสและสัญญาณที่ดีในการรุกพัฒนาคอนโดมิเนียมหรูระดับ“ลักชูรี่”และเป็นโครงการแรกของเสนาในปีนี้   “ถือว่าเป็นก้าวครั้งใหม่ของเสนากับการเปิดตลาดคอนโดมิเนียมระดับลักชูรี่เป็นครั้งแรก และเป็นอีกหนึ่งความท้าทายของเสนา ซึ่งทางบริษัทก็มีความพร้อมในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นทีมงานที่มีคุณภาพ ผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของลูกค้า รวมถึงพันธมิตรที่แข็งแกร่งและมีศักยภาพมาก อย่างบริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ปเปอร์เรชั่น พันธมิตรธุรกิจอันดับต้นๆ ของประเทศญี่ปุ่น โดยมีแผนพัฒนาโครงการร่วมกันปีนี้อย่างน้อย 7 โครงการ รวมมูลค่าสูงถึง 23,000 ล้านบาท” สำหรับคอนโดมิเนียมลักชูรี่แบรนด์ใหม่ “ปีติ เอกมัย (PITI EKKAMAI)” นับเป็นโครงการร่วมทุนที่ 3 ภายใต้การร่วมทุนชื่อบริษัท เสนา ฮันคิว จำกัด ที่มีมูลค่าโครงการรวม 5,000 ล้านบาท เป็นโครงการคอนโดมิเนียม บนเนื้อที่ 4 – 2 -75 ไร่ ตั้งอยู่ใจกลางเอกมัย (ช่วงบริเวณซอยเอกมัย 26) โดยลักษณะเป็นอาคารสูง 37 ชั้น 1 อาคาร รวมทั้งหมด 897 ห้อง และร้านค้า 3 ยูนิต ราคาเริ่มที่ 4.45 ล้านบาท หรือ เฉลี่ยตารางเมตรละ 170,000 บาท   โดยคีย์ไฮไลท์การพัฒนาโครงการได้มีการนำหลักปรัชญาชีวิตจากแนวคิดญี่ปุ่น “IKIGAI (อิคิไก)” เข้ามาใช้ผสมผสานทุกรายละเอียดของงาน Concept และโปรดักส์รวมถึงพื้นที่ส่วนกลางเข้าด้วยกัน เพื่อให้เป็นโครงการพักอาศัยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวพรั่งพร้อมด้วยฟังก์ชั่นการใช้งานอันหลากหลายมาประยุกต์ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของคนไทยได้อย่างลงตัว ภายใต้แนวคิดใหม่ “Good LIVING is the New Luxury” ให้คุณมีชีวิตที่ดีบนทำเลคุณภาพและทุกๆช่วงเวลาของทุกวันเป็นการใช้ชีวิตที่มีความสุขและมีคุณค่าบนพื้นที่ส่วนกลางกว่า 1,900 ตารางเมตร ใหญ่ที่สุดในย่านเอกมัย   ร่วมสัมผัสประสบการณ์ใหม่และครั้งแรก "SENA Online Booking" ลงทะเบียนจองสิทธิ์ก่อนใคร ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่2ส.ค.และจองจริงพร้อมกัน2ส.ค.นี้ตั้งแต่เที่ยงวัน-22.00น.ที่ https://onlinebooking.sena.co.th สอบถามเพิ่มเติมโทร.1775
แสนสิริ เปิดตัว “XT” ไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียม แห่งแรกในไทย  หวังคว้าใจชาวมิลเลนเนียล

แสนสิริ เปิดตัว “XT” ไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียม แห่งแรกในไทย หวังคว้าใจชาวมิลเลนเนียล

  แสนสิริพลิกวงการอสังหาริมทรัพย์ เปิดตัวแบรนด์ไลฟสไตล์คอนโดมิเนียมแนวคิดใหม่ “XT Condominium” #SansiriXT รับเทรนด์การเติบโตของลูกค้ากลุ่มมิลเลียนเนียล ฉีกทุกกฎคอนโดมิเนียมด้วยแนวคิด Extend Your Style ครั้งแรกในไทยกับอิสระในการเลือกรูปแบบห้องที่ออกแบบมาเพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์ของชาวมิลเลนเนียลที่มีความหลากหลาย และแพลตฟอร์มใหม่ของสังคมกลุ่มคนที่มีความชอบเหมือนกันกับการแลกเปลี่ยนการเข้าใช้ Co-Sharing Spaces ได้ทุกโครงการภายใต้แบรนด์ XT พร้อมการใช้ชีวิตแบบสมาร์ทด้วยเทคโนโลยีใหม่ในแบบฉบับ XT ตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์โดยให้ความสำคัญสูงสุดกับลูกค้า ตามแนวคิดการสร้างสรรค์และส่งมอบประสบการณ์อยู่อาศัยสมบูรณ์แบบ #CompleteYourLivingExperience เปิดตัวพร้อมกัน 3 โครงการบนทำเลโดนใจชาวมิลเลนเนียล (Central Millennial District) ได้แก่ เอกมัย ห้วยขวาง และ พญาไท มูลค่ารวมถึง 21,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นมูลค่าการเปิดตัวโครงการพร้อมกันสูงสุดในประวัติการณ์ของแสนสิริ นับเป็นหนึ่งในการผลักดันให้เป็นปีแห่งที่สุดของแสนสิริหรือ #SansiriBestYearEver โดยจะเปิดขายครั้งแรกในงาน XT Dimensions 3 - 5 สิงหาคมนี้ ณ ลานพาร์ค พารากอน ศูนย์การค้าสยามพารากอน คุณอู้ พหลโยธิน ประธานบริหารฝ่ายสร้างสรรค์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “จากวิสัยทัศน์การพัฒนาอย่างไม่หยุดนิ่งในฐานะผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่ให้ความสำคัญสูงสุดกับลูกค้า (Human Centric) ตามแนวคิดการสร้างสรรค์และส่งมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบ #CompleteYourLivingExperience ประกอบกับการที่เศรษฐกิจมีการส่งสัญญาณในภาพรวมเป็นไปในทางบวก ส่งผลให้เกิดการพัฒนาโครงการใหม่ ของแสนสิริที่เกิดขึ้นจากการวิจัยและศึกษาพฤติกรรมเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง ทั้งนี้ หนึ่งในเป้าหมายที่แสนสิริให้ความสำคัญและต้องจับตามอง ได้แก่   “คนมิลเลนเนียล” หรือ กลุ่มประชากรที่เกิดในช่วงระหว่างปี 1980 – 2000 ที่ได้กลายมาเป็นกลุ่มคนที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมของประเทศตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เห็นได้จากพนักงานของแสนสิริเอง ก็เป็นคนมิลเลนเนียลมากถึง 60% และหากดูตามสถิติของลูกค้าแสนสิริตั้งแต่ปี 2013 – 2017 จะพบว่า กลุ่มคนรุ่นใหม่อายุตั้งแต่ 21-30 ปี มาซื้อโครงการของแสนสิริเป็นจำนวนเพิ่มขึ้นถึง 25% ในระยะเวลา 5 ปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต”   “กลุ่มคนมิลเลนเนียล นับเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่แสนสิริจับตามอง ด้วยความโดดเด่นทางพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ในการใช้ชีวิตที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว นอกจากนี้เกือบ 80% ของชาวมิลเลนเนียลยังให้ความสำคัญกับการสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ หรือ Experience Over Things ใช้ชีวิตผ่านเทรนด์ Sharing Economy มากกว่าการครอบครองทรัพย์สิน เป็นที่มาของการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่จะตอบโจทย์ความต้องการคนมิลเลนเนียลและเป็นที่มาของการสร้างสรรค์แบรนด์ไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียม (New Lifestyle Condominium) ภายใต้แนวคิด “Extend Your Style” ที่เป็นมากกว่าโครงการที่พักอาศัย แต่เป็นแบรนด์เพื่อการใช้ชีวิตของชาวมิลเลนเนียลอย่างแท้จริง”   “แสนสิริจึงมีความตั้งใจที่จะให้ XT สร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่วงการคอนโดมิเนียมเมืองไทย ที่เริ่มต้นจากการทำความเข้าใจตัวตนและความต้องการของกลุ่มเป้าหมายอย่างลึกซึ้ง ทั้งในด้านทัศนคติ แนวความคิด พฤติกรรม ค่านิยม และความมุ่งหมายในชีวิต ไปจนถึงบุคลิกภาพ โดยการทำวิจัยร่วมกับ TCDC ตลอดจนรวบรวมข้อมูลจากงานวิจัยอื่นๆ แล้วจึงนำข้อมูลเหล่านั้นมาผ่านกระบวนการด้านดีไซน์ หรือ Design Thinking Process จนออกมาเป็นแบรนด์ XT ที่จะมอบประสบการณ์และสภาพแวดล้อมในการพักอาศัยที่ไม่เหมือนใคร โดยยังคงรักษามาตรฐานด้านคุณภาพตามแบบฉบับแสนสิริเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ทำให้ XT เป็นคอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตทุกด้านทั้งเรื่องงาน การพักผ่อน และกิจกรรมต่างๆ และเป็นคอนโดมิเนียมที่มีชีวิต เพราะ XT ไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่ล้าสมัย และมีประสบการณ์และข้อเสนอใหม่ๆ มาให้ลูกค้าอยู่เสมอ สมกับคำพูดที่ว่า “You can always expect something new in the future XT condominiums.” คุณอู้กล่าว คุณปิติ จารุกำจร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวเพิ่มเติมว่า “แสนสิริพร้อมที่จะเปิดตัวแบรนด์โครงการ XT พร้อมกันถึง 3 โครงการ บนทำเลโดนใจชาวมิลเลนเนียล หรือ Central Millennial District (CMD) ที่ตอบโจทย์ทั้งไลฟ์สไตล์และการทำงานของคนเหล่านี้ รวมมูลค่า 21,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นมูลค่าการเปิดตัวโครงการพร้อมกันสูงสุดในประวัติการณ์ของแสนสิริ และเป็นหนึ่งในไฮไลท์ของปีแห่งที่สุดของแสนสิริหรือ #SansiriBestYearEver โดยทั้ง 3 ทำเล Central Millennial District ที่แสนสิริคัดสรรที่ดินแปลงเด็ดในสุดยอดทำเลที่จะช่วยให้ชาวมิลเลเนียลสามารถประหยัดเวลา มี Extra Time in Life ประกอบไปด้วย XT เอกมัย ซึ่งเป็นโครงการที่แสนสิริร่วมกันพัฒนากับบริษัท โตคิว คอนสตรัคชัน จำกัด ตั้งอยู่ห่างจากสถานี BTS เอกมัย 1.5 กม. ราคาเริ่มต้น 4.59 ล้านบาท โครงการนี้ได้รับการสร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ไม่หยุดนิ่ง สนุกกับการทำงานและการใช้ชีวิต รักการสังสรรค์ยามค่ำคืน ชอบพบปะเพื่อนฝูง โดดเด่นด้วย Sky Lounge บนชั้นดาดฟ้าที่มาพร้อมวิวกรุงเทพฯแบบ 360 องศา พร้อมด้วยฟิตเนสและสระว่ายน้ำที่เป็น Swimming Pool Cinema XT ห้วยขวาง ตั้งอยู่ห่างจากสถานี MRT ห้วยขวาง 75 ม. และ 5 นาทีจากเซ็นทรัลพระราม 9 ราคาเริ่มต้น 3.69 ล้านบาท ซึ่งโครงการนี้พร้อมสร้างประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นให้กับชาว XT ที่จะเข้ามาค้นพบชีวิตน่าหลงใหลที่ซุกซ่อนอยู่ใจกลางห้วยขวาง พื้นที่แห่งไลฟ์สไตล์ที่รองรับทุกด้านของความชอบ โดดเด่นด้วย Hidden Skybar ที่ซ่อนอยู่หลังห้องชั้นหนังสือ ซึ่งจะสร้างประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นให้ลูกบ้านเวลาในเวลาพักผ่อน และ XT พญาไท ตั้งอยู่ห่างจากสถานีแอร์พอร์ตเรลลิงก์ราชปรารภ 500 ม. และ สถานี BTS พญาไท เพียง 600 ม. ราคาเริ่มต้น 4.9 ล้านบาท โดดเด่นด้วยทำเลแห่งศักยภาพ เชื่อมโยงความหลากหลายของไลฟ์สไตล์ รายล้อมด้วยสถานศึกษาที่มีชื่อเสียง ศูนย์การค้าชั้นนำ และการคมนาคมที่สะดวก พร้อมจุดเด่นของ Interactive Fitness ที่จะสร้างมิติใหม่ในการออกกำลังกายโดยที่ชาว XT ไม่ต้องก้าวออกจากคอนโดมิเนียม” นอกจากนี้ แสนสิริยังได้นำข้อมูลที่ได้จากการศึกษาพฤติกรรมชาวมิลเลนเนียลมาสร้างนิยามใหม่ของการออกแบบการอยู่อาศัยด้วยแนวคิด Explore your space, Expand your lifestyle ที่ชู 3 จุดเด่นซึ่งถือเป็นการพลิกวงการอสังหาริมทรัพย์ เพื่อลูกบ้านสามารถออกแบบการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิต ค้นพบไลฟ์สไตล์ได้อย่างไร้ขีดจำกัด ได้แก่ EXPLORE YOUR SPACE with Personalized Room Layouts – อิสระในการเลือกรูปแบบห้องที่ออกแบบมาเพื่อตอบรับไลฟ์สไตล์ของชาวมิลเลนเนียลที่มีความหลากหลาย ผ่านรูปแบบห้อง 6 สไตล์ ได้แก่ The Fashionista ด้วย Walk-in closet ขนาดใหญ่ The Snoozy Head กับการขยายพื้นที่ห้องนอน The Visionary ที่มีพื้นที่ห้องทำงานกว้างขึ้น The Party Goer รองรับปาร์ตี้ด้วยห้องนั่งเล่นที่กว้างกว่า The Master Chef เอาใจสายทำอาหารด้วยห้องครัวที่เป็นสัดส่วน และ The Naturalist กับพื้นที่สีเขียวจากชานระเบียงร่มรื่น พร้อมด้วย Flexible Furniture ที่ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าผ่าน Home Service Application เพื่อปรับเปลี่ยนแปลนห้องให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ในแต่ละวัน EXPAND YOUR LIFESTYLE at Co-Sharing Spaces – แพลตฟอร์มใหม่ของสังคมกลุ่มคนที่มีความชอบเหมือนกันกับการแลกเปลี่ยนการเข้าใช้ Co-Sharing Spaces ที่แตกต่างกันได้ทุกโครงการภายใต้แบรนด์ XT ซึ่งพัฒนาขึ้นมาจากแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่ชื่นชอบวัฒนธรรม Sharing Economy ในยุคปัจจุบัน เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ทั้งการใช้ชีวิตและการทำงานที่หลากหลายของแต่ละคน ได้แก่ พื้นที่ Co Work/Play Space ณ XT เอกมัย สำหรับการทำงานร่วมกัน Creative Studio ณ XT ห้วยขวาง ที่เปิดโอกาสให้สร้างสรรค์งานศิลปะหลากแขนงร่วมกัน และ Co-Creation Space ณ XT พญาไท ที่ให้ชาว XT สามารถเข้ามาสนุกและผ่อนคลายไปกับจินตนาการเสมือนจริงด้วย VR GAME ROOM และพื้นที่ Co-Sharing Spaces จากโครงการ XT ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต Virtual Activities – นำเสนอการใช้ชีวิตแบบสมาร์ทด้วยเทคโนโลยีใหม่ในแบบฉบับ XT ไม่ว่าจะเป็นเครื่อง Virtual Exercise เทคโนโลยีการถ่ายทอดสดคลาสออกกำลังกายจากสตูดิโอฟิตเนสชื่อดัง นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยี Igloo Home สำหรับขอรหัสผ่านประตูแบบใช้ครั้งเดียวผ่านสมาร์ทโฟน ระบบ Home Automation สำหรับการควบคุมและสั่งการเครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ภายในยูนิตและส่วนกลาง Smart Wash เครื่องซักผ้าอัจฉริยะที่เชื่อมต่อการแจ้งเตือนกับ Home Service Application, New Concept Convenience Store, อินเทอร์เน็ต Wi-fi ในพื้นที่ส่วนกลาง, ล็อกเกอร์อัจฉริยะ และ จุดชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้า ฯลฯ   มากไปกว่านั้น แสนสิริยังได้สร้างสรรค์ XT Experience แผนส่งเสริมการตลาดที่มีการริเริ่มนำมาใช้กับโครงการ XT เป็นครั้งแรก เป็นการสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยในแบบฉบับ XT ตั้งแต่ยังไม่ได้เข้าอาศัย โดยเปิดโอกาสให้ลูกค้าได้เลือกโปรโมชั่นที่มีความหลากหลายและตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของตัวเอง ทั้งด้าน Health & Wellness , Travel experience, Lifestyle experience, หรือ Gadget experience เช่น สมาชิก TCDC สิทธิ์เข้าเทรนนิ่งคอร์สกับธนาคารระดับแนวหน้า สิทธิ์ร่วมปาร์ตี้เอ็กซ์คลูซีฟ สมาชิก Netflix/Spotify สมาชิก Virgin Fitness และ สมาชิก JustCo Co-Working Space เป็นต้น ซึ่งลูกค้าก็จะได้รับข่าวสารอัพเดทและสิทธิพิเศษในด้านที่สนใจอย่างสม่ำเสมอด้วยเช่นกัน ซึ่งสำหรับผู้ที่สนใจสามารถร่วมสร้างปรากฎการณ์การอยู่อาศัยของชาวมิลเลนเนียลและสัมผัสแนวคิดของแบรนด์ไลฟ์สไตล์คอนโดมิเนียม XT ได้ครั้งแรกในเมืองไทยที่งาน XT Dimensions ซึ่งจะเปิดการขายพร้อมกัน 3 โครงการพร้อมกันภายในงาน ระหว่างวันที่ 3 - 5 สิงหาคมนี้ ณ ลานพาร์ค พารากอน ศูนย์การค้าสยามพารากอน   “การสร้างแบรนด์ XT เพื่อให้เป็น New Lifestyle Condominium แบรนด์แรกของไทยที่จะตอบโจทย์ความต้องการในการใช้ชีวิตของชาวมิลเลนเนียล และช่วย Extend Your Style ของพวกเขาอย่างเต็มที่ ในที่สุดแล้วคือการย้อนกลับไปที่แนวคิด #CompleteYourLivingExperience ของแสนสิริ เพื่อส่งมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบที่สุดให้แก่ลูกบ้านของแสนสิริ ทั้งหมดนี้คือหัวใจสำคัญของการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในแบบของแสนสิริ ซึ่งแบรนด์ XT จะช่วยต่อยอดความสำเร็จภายใต้แนวคิดนี้ให้กับแสนสิริอย่างต่อเนื่องต่อไป เพราะ XT จะเป็นที่พักอาศัยที่ไม่เคยหยุดนิ่ง ไม่ล้าสมัย เพราะมีประสบการณ์และข้อเสนอใหม่ ๆ มามอบให้ลูกค้าอยู่เสมอ”นายปิติ กล่าวสรุป
ราคาที่ดินในกรุงเทพฯ พุ่งขึ้น 1,000% ในช่วง 30 ปี

ราคาที่ดินในกรุงเทพฯ พุ่งขึ้น 1,000% ในช่วง 30 ปี

ราคาที่ดินในย่านใจกลางกรุงเทพมหานครปรับตัวสูงขึ้นกว่า 1,000% นับจากปีพ.ศ. 2531 เมื่อซีบีอาร์อีเปิดสำนักงานในกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรกเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ราคาที่ดินเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างมากในยุค “เอเชียไทเกอร์” ระหว่างปีพ.ศ. 2531 - 2539 ก่อนที่ตลาดจะหยุดชะงักเพราะวิกฤตการณ์ทางการเงินในปีพ.ศ. 2540   การเติบโตของราคาที่ดินเริ่มขยับสูงขึ้นในช่วงกลางทศวรรษปี 2540 และราคามีการปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงสองปีที่ผ่านมาสำหรับที่ดินที่อยู่ในย่านใจกลางเมืองที่สำคัญหรือในซีบีดี   ในช่วงปลายทศวรรษปี 2520 ต่อเนื่องเข้าสู่ทศวรรษปี 2530  มีการซื้อขายที่ดินขนาดใหญ่ 2 แปลงด้วยกัน คือ ที่ดินขนาด 8 ไร่บนถนนสาทร โดยผู้พัฒนาเดิมของอาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ซื้อไปที่ราคาประมาณ 125,000 บาทต่อตารางวา และที่ดินขนาด 21-1-08 ไร่บนถนนวิทยุซึ่งเป็นบ้านของผู้จัดการธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดในยุคนั้น ขายให้กับกลุ่มเอ็มไทย มูลค่าที่ดินประมาณ 250,000 บาทต่อตารางวา ซึ่งปัจจุบันพัฒนาเป็นโครงการออลซีซั่น เพลส   สำหรับการขายที่ดินแปลงล่าสุดในย่านสารทร คือ ที่ดินขนาด 8 ไร่ของสถานทูตออสเตรเลีย ซึ่งขายไปด้วยราคาประมาณ 1.45 ล้านบาทต่อตารางวาในปีพ.ศ. 2560  และในย่านลุมพินี บริษัท เอสซี แอสเสท ซื้อที่ดินขนาด 880 ตารางวาบริเวณถนนหลังสวนด้วยมูลค่าประมาณ 3.1 ล้านบาทต่อตารางวา และการซื้อขายที่ดินที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยคือการขายที่ดินสถานทูตอังกฤษขนาด 23 ไร่ในปีพ.ศ. 2561 ให้แก่บริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่มเซ็นทรัลและฮ่องกงแลนด์   การปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาที่ดินนั้นไม่เหมือนกันทั้งหมด และการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั้นยังเป็นไปตามรูปแบบการพัฒนาเมืองของกรุงเทพฯ    ในอดีตศูนย์กลางทางธุรกิจตั้งอยู่บนถนนเจริญกรุง และศูนย์ราชการตั้งอยู่บริเวณเกาะรัตนโกสินทร์   ในช่วงทศวรรษปี 2490 และ 2500 ศูนย์กลางทางธุรกิจได้ย้ายไปที่ถนนสีลมและถนนสุรวงศ์   กรุงเทพฯ เติบโตมากขึ้นในทศวรรษที่ 2510 และ 2520 แต่ยังไม่มีการกำหนดศูนย์กลางของเมืองอย่างชัดเจน และการพัฒนาได้ขยายตัวออกไปเพราะมีการสร้างถนนใหม่ๆ แต่ในปัจจุบันปัจจัยเหล่านี้ได้เปลี่ยนไปแล้ว   การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ 2 ประการที่มีผลกับราคาที่ดิน คือ การเปิดและขยายระบบขนส่งมวลชน โดยรถไฟฟ้าบีทีเอสสายแรกเปิดให้บริการในปีพ.ศ. 2542 และรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงินเข้มเปิดให้บริการในปีพ.ศ. 2547 ระบบขนส่งมวลชนดังกล่าวได้ทำให้วิถีชีวิตของคนในกรุงเทพฯ ทั้งในด้านการทำงานและการใช้ชีวิตเปลี่ยนแปลงไป   ในช่วงปลายทศวรรษ 2560  กรุงเทพฯ จะมีระบบขนส่งมวลชนรวมระยะทางประมาณ 460 กิโลเมตร เปรียบเทียบกับกรุงลอนดอนที่มีระบบรถไฟใต้ดินรวมระยะทาง 402 กิโลเมตร   ความนิยมในระบบขนส่งมวลชนของกรุงเทพฯ ที่มีผู้ใช้มากกว่า 1.2 ล้านคนต่อวัน ได้ทำให้มูลค่าที่ดินที่อยู่ใกล้กับสถานีปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น แต่ไม่ใช่ทุกสายหรือทุกสถานีที่จะได้รับความนิยมอย่างเท่าเทียมกัน  ส่วนหนึ่งที่เป็นตัวกำหนดมูลค่าของที่ดินก็มาจากความนิยมของระบบขนส่งมวลชนแต่ละสายและแต่ละสถานี   “ปัจจัยสำคัญอีกประการที่เป็นตัวกำหนดราคาที่ดิน ก็คือ ข้อกำหนดในเรื่องผังเมืองและพระราชบัญญัติควบคุมการก่อสร้างอาคาร  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนที่ว่าด้วยเรื่องขนาดพื้นที่ที่สามารถสร้างได้ ซึ่งเห็นได้ชัดว่าถ้าสามารถสร้างพื้นที่ได้น้อย ราคาที่ดินก็จะไม่ปรับสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด” นางกุลวดี สว่างศรี กรรมการบริหาร หัวหน้าแผนกการลงทุนและที่ดิน  ซีบีอาร์อี ประเทศไทยกล่าว   ข้อกำหนดในเรื่องผังเมืองและการควบคุมการก่อสร้างอาคารมีความเข้มงวดและซับซ้อนมากขึ้น และในปัจจุบันได้กลายเป็นปัจจัยหนึ่งที่สำคัญในการกำหนดราคาที่ดิน   ในช่วงทศวรรษปี 2520 และ 2530 กรุงเทพฯ ได้ขยายตัวออกไปมากขึ้น แต่ในช่วงทศวรรษปี 2540 กรุงเทพฯ ได้กลายเป็นเมืองที่ความเจริญรวมเข้าสู่ศูนย์กลางมากขึ้น ด้วยการเกิดขึ้นของอาคารชุดพักอาศัยแนวสูงและการเติบโตของพื้นที่สำนักงานที่ทันสมัย   พื้นที่ใจกลางเมืองได้รับการกำหนดขอบเขตไว้อย่างชัดเจนมากขึ้น และเกิดการพัฒนาโครงการรอบใหม่บนพื้นที่ที่ยังไม่ได้ใช้ประโยชน์มากนัก เช่น ที่ดินขนาด 105 ไร่ที่เป็นที่ตั้งของโครงการวัน แบงค็อก บริเวณหัวมุมถนนพระราม 4 ตัดกับถนนวิทยุ ราคาที่ดินเริ่มมีสัดส่วนที่สูงขึ้นมากเมื่อเทียบกับต้นทุนโดยรวมในการพัฒนาโครงการ เนื่องจากราคาที่ดินมีอัตราการเติบโตที่รวดเร็วกว่าค่าก่อสร้าง มูลค่าโดยรวมในการพัฒนาโครงการได้เพิ่มสูงขึ้นซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้คอนโดมิเนียมมีราคาขายที่แพงขึ้นและทำให้จำเป็นต้องมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นเพื่อให้โครงการที่มีรายได้จากค่าเช่าสามารถเกิดขึ้นได้   ซีบีอาร์อีคาดการณ์ว่า ที่ดินในย่านใจกลางกรุงเทพฯ จะยังคงเป็นทำเลที่ได้รับความนิยมมากที่สุดต่อไปในการพัฒนาโรงแรม อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า และอาคารประเภทอื่น ๆ เช่น โรงพยาบาล เป็นต้น กรุงเทพฯ จะมีการกำหนดขอบเขตพื้นที่ใจกลางเมืองที่ชัดเจนมากขึ้น และการพัฒนาโครงการจะขยายตัวไปตามเส้นทางการเดินรถของระบบขนส่งมวลชนบริเวณรอบสถานี   การที่ราคาที่ดินจะปรับตัวสูงขึ้นนั้นขึ้นอยู่กับระดับความเป็นไปได้ในการพัฒนาโครงการ และผลตอบแทนที่จะได้รับจากการพัฒนาโครงการ  ซึ่งจะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับว่าสามารถพัฒนาโครงการอะไรได้ และในระดับราคาใดที่ลูกค้ามีกำลังในการซื้อหรือการเช่าเมื่อโครงการแล้วเสร็จ เนื่องจากที่ดินแบบมีกรรมสิทธิ์เต็มหรือฟรีโฮลด์ในย่านใจกลางเมืองที่มีศักยภาพในการพัฒนานั้น มีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ   ซีบีอาร์อีจึงคาดว่าราคาที่ดินจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในบางครั้ง ที่ดินมีราคาสูงกว่ามูลค่ารวมของอาคารที่ตั้งอยู่บนแปลงที่ดิน  และเราจะได้เห็นว่ามีอาคารเก่าถูกรื้อถอนและมีการพัฒนาโครงการขึ้นใหม่บนที่ดินแปลงเดิมมากขึ้น   เราได้เริ่มเห็นการรื้อถอนอาคารเคี่ยนหงวน ทาวเวอร์ 1 บนถนนวิทยุ และอาคารวานิสสา บนถนนชิดลม  รวมทั้งแผนการรื้อถอนโรงแรมดุสิตธานีและปรับปรุงพื้นที่ใหม่  แต่จนถึงขณะนี้ การรื้อถอนเกิดขึ้นกับอาคารที่มีเจ้าของเดียวเท่านั้น   ในปัจจุบัน กฎหมายอาคารชุดกำหนดให้เจ้าของร่วมต้องเห็นชอบร่วมกันทั้ง 100% ที่จะเพิกถอนอาคารเพื่อให้สามารถขายอาคารและนำมาพัฒนาใหม่ได้ ซึ่งยังไม่เคยเกิดขึ้นในบ้านเราแม้ว่าปัจจุบันจะมีคอนโดมิเนียมบางแห่งที่มูลค่าของทุกยูนิตรวมกันจะมีมูลค่าน้อยกว่าการถือครองที่ดินเปล่าที่ใช้สร้างคอนโดมิเนียมนั้นก็ตาม การขายยูนิตทั้งหมดและนำมาพัฒนาขึ้นใหม่ได้เกิดขึ้นแล้วในต่างประเทศ โดยเฉพาะสิงคโปร์ซึ่งจำนวนเจ้าของร่วมที่ต้องเห็นชอบร่วมกันในการขายทั้งอาคารมีสัดส่วนที่น้อยกว่าของไทย ซีบีอาร์อีมองว่าเป็นเรื่องยากที่จะได้รับความเห็นชอบทั้ง 100% จากเจ้าของร่วมในกรุงเทพฯ ในการขายห้องชุดทั้งหมดให้กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์   "สมมติว่าข้อกำหนดด้านผังเมืองไม่มีการเปลี่ยนแปลง และขนาดพื้นที่ที่สามารถสร้างขึ้นได้ยังคงเหมือนเดิม ที่ดินในย่านซีบีดีของกรุงเทพฯ มีแนวโน้มที่จะปรับราคาสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง" นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าวสรุป   การปรับขึ้นราคาที่ดินจะไม่อยู่ในระดับที่คงที่ และจะมีความสอดคล้องกับวัฏจักรทางเศรษฐกิจและการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
สิงห์ เอสเตท ผุดโครงการคอนโดแบรนด์ใหม่ใจกลางสุขุมวิท “EYSE” ตอบโจทย์คนเมืองด้วยคอนเซปท์ “The Hidden Treasure”

สิงห์ เอสเตท ผุดโครงการคอนโดแบรนด์ใหม่ใจกลางสุขุมวิท “EYSE” ตอบโจทย์คนเมืองด้วยคอนเซปท์ “The Hidden Treasure”

บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดตัวโครงการคอนโดโลว์ไรซ์หรูใจกลางสุขุมวิท ภายใต้แบรนด์ใหม่ EYSE (อีส) บนแนวคิด The Hidden Treasure ขยายเซ็กเม้นท์ธุรกิจ หลังมองเห็นเทรนด์คอนโดโลว์ไรซ์โต เผยกำลังซื้อกลุ่มนี้ยังสดใส เจาะไลฟ์สไลต์กลุ่มลูกค้าระดับบนที่ชอบความสะดวกสบายแต่ได้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน เน้นโลเคชั่นใจกลางเมือง เดินทางสะดวก ประเดิมโครงการแรก “EYSE Sukhumvit 43” (อีส สุขุมวิท 43) นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบันยังคงเป็นกลุ่มดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ ที่มีสัดส่วนการพัฒนาโครงการถึง 80% โดยส่วนใหญ่เป็นประเภทคอนโดมิเนียมสำหรับกลุ่มลูกค้าระดับบนขึ้นไปที่ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสินค้ากลุ่มนี้ยังคงได้รับความสนใจเป็นอย่างมากทั้งจากผู้ที่ซื้อเพื่อพักอาศัยเอง ชาวต่างชาติ และกลุ่มนักลงทุน โดยทำเลที่มีศักยภาพที่จะพัฒนาโครงการค่อนข้างมีอยู่อย่างจำกัด ทั้งนี้ ในปัจจุบันที่ดินที่ติดถนนใหญ่ หรือติดรถไฟฟ้ามีความต้องการสูง และราคาที่ดินยังมีการปรับตัวสูงขึ้นอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้แนวโน้มการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมแบบโลว์ไรซ์ในซอยบนทำเลใจกลางเมืองน่าจะมีการเปิดตัวเพิ่มขึ้น สิงห์ เอสเตท ได้มองเห็นโอกาสจากตลาดกลุ่มนี้ จึงได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมลักชัวรีโลว์ไรซ์ที่มีจุดเด่นในแง่ของความเป็นส่วนตัว พื้นที่ใช้สอยในห้องขนาดใหญ่ขึ้น และรองรับพฤติกรรมของลูกค้าที่เน้นการอยู่อาศัยจริง ภายใต้แบรนด์ใหม่ “EYSE” (อีส) เพื่อตอบสนองความต้องการของทั้งกลุ่มคนไทยและคนต่างชาติที่เข้าใจความต้องการในการอยู่อาศัยของตนเองอย่างชัดเจน รวมถึงกลุ่มนักลงทุนที่ต้องการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพอีกด้วย   “สัดส่วนของกลุ่มเป้าหมาย จะเน้นกลุ่มที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองโดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มใหญ่ตามช่วงอายุและไลฟ์สไตล์ คือ กลุ่มแรก Single Adult เป็นกลุ่มที่ต้องการคอนโดมิเนียมเพื่อที่อยู่อาศัยจริงๆ ห้องต้องมีขนาดพื้นที่กว้าง เพราะใช้เวลาอยู่บ้านมากกว่าใช้ชีวิตข้างนอก ชอบความเป็นส่วนตัว กลุ่มที่สองเป็นกลุ่ม Small Family ที่มองหาคอนโดมิเนียมเพื่อใช้ชีวิตในวันจันทร์ถึงศุกร์โดยไม่ต้องฝ่ารถติดเพื่อมาทำงานหรือส่งลูกเรียนในเมือง และกลุ่มที่สามคือ กลุ่ม Early Stage Retirees ที่เคยอยู่บ้านหลังใหญ่ๆ นอกเมือง แล้วเริ่มรู้สึกว่าบ้านเป็นภาระที่ต้องดูแล ไม่มีลูกหรือลูกแยกย้ายไปมีครอบครัวกันหมด จึงมองหาคอนโดมิเนียมที่เดินทางสะดวกเพื่อที่จะได้ไม่ต้องขับรถเข้ามาในเมืองบ่อยๆ ส่วนกลุ่มที่ซื้อเพื่อการลงทุนจะเน้นกลุ่มนักลงทุนที่มีลักษณะเป็น Thoughtful Investor หรือนักลงทุนที่ซื้ออสังหาฯที่มีคอนเซปท์โครงการที่ตนเองชอบ โดยจะซื้อโครงการไว้เพื่อทั้งอยู่อาศัยเองและสามารถขายต่อได้ด้วย ซึ่งมีแนวโน้มที่จะลงทุนในระยะยาวมากกว่าลงทุนในระยะสั้น” นายณัฐวุฒิ กล่าวเพิ่มเติม นางสาวผดาพร มูลศาสตร์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดพัฒนาธุรกิจพักอาศัย บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวคิดของคอนโดมิเนียมลักชัวรีโลว์ไรซ์ของสิงห์ เอสเตท ภายใต้แบรนด์ “EYSE” (อีส) ทุกแห่งจะตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย ที่มองหาโครงการคอนโดมิเนียมที่เป็น “Absolute Urban Retreat” หรือพื้นที่ผ่อนคลายใจกลางเมือง ที่มีองค์ประกอบตอบโจทย์เรื่องความปลอดภัย (Safe) ความเป็นส่วนตัว (Private) ความผ่อนคลาย (Sanctuary) และความอบอุ่นเหมือนบ้าน (Like a House) โดยทุกโครงการในแบรนด์ “EYSE” จะถูกพัฒนาภายใต้คอนเซปท์ “The Hidden Treasure” ที่มีองค์ประกอบคือ Hidden Gem Location ที่ตั้งโครงการที่มีความเฉพาะตัว เน้นความเป็นส่วนตัวสูง มีทำเลที่เงียบสงบ แต่อยู่ใจกลางเมือง เต็มไปด้วยความสะดวกสบายและไลฟ์สไตล์ที่ตอบโจทย์ Hidden Life in Nature การออกแบบที่เน้นให้ผู้อยู่อาศัยได้ใช้ชีวิตผสานไปกับความเป็นธรรมชาติ สร้างความรู้สึกผ่อนคลายแม้อยู่ใจกลางเมือง Serve Everyone Hidden Needs ตอบโจทย์ความต้องการแบบปัจเจกของผู้อยู่อาศัย และสุดท้าย คือ Hidden Function in One Space การออกแบบพื้นที่ส่วนกลางให้เป็น Multi-Function Facilities ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน แต่เพิ่มฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ เพื่อความสะดวกสบายสำหรับการอยู่อาศัย ไว้อย่างครบครัน   “สำหรับโครงการแรกภายใต้แบรนด์ใหม่นี้ คือ “EYSE Sukhumvit 43” (อีส สุขุมวิท 43) มาพร้อมกับคอนเซปท์เฉพาะตัวโครงการคือ “Embrace Your Hidden Fascination หรือ ชีวิตชีวาในโลกส่วนตัว” ถ่ายทอด อารมณ์และไลฟ์สไตล์ในการอยู่อาศัย ผ่านงานศิลปะแบบ Contemporary Impressionism ที่แสดงถึงความสดใสและมีชีวิตชีวา สะท้อนถึงทุกๆ ช่วงเวลาที่มีความสุข โดยโครงการตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 43 บนพื้นที่ 1.4 ไร่ เป็นคอนโดมิเนียมแนวราบความสูง 7 ชั้น จำนวน 2 อาคาร 107 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ซึ่งจุดเด่นของโครงการ คือ ทำเลที่ตั้งย่านพร้อมพงษ์ที่เรียกได้ว่าเป็นทำเลที่มีเสน่ห์เฉพาะตัว เป็นย่าน Walking community ที่ทันสมัยมากที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ เพราะเป็นย่านที่มีความเป็นศูนย์กลางธุรกิจ ศูนย์กลางของการช้อปปิ้ง และไลฟ์สไตล์ รวมถึงที่พักอาศัยในระดับลักชัวรี อีกทั้งยังมีสวนสาธารณะขนาดใหญ่ ที่เปรียบเสมือนปอดของคนสุขุมวิท และยังสะดวกสบายในการเดินทาง โดยทำเลที่ตั้งของโครงการอยู่ในซอยสุขุมวิท 43 เป็นซอยที่เงียบสงบและรายล้อมด้วยเพื่อนบ้านคุณภาพ แต่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้า BTS พร้อมพงษ์ และศูนย์การค้าเอ็มควอเทียร์เพียง 550 เมตร จึงสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่ต้องการทั้งความเงียบสงบและความเป็นส่วนตัวและความมีชีวิตชีวาของไลฟ์สไตล์ใจกลางเมือง โครงการถูกออกแบบให้ผู้อยู่อาศัยได้ใกล้ชิดกับความเป็นธรรมชาติ และเต็มไปด้วยประโยชน์ใช้สอย การออกแบบอย่างพิถีพิถันที่ทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกอบอุ่นเหมือนอยู่บ้าน ด้วยจำนวนยูนิตที่มีเพียง 107 ยูนิต ขนาดห้องที่กว้างกว่าคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้าในราคาที่เท่ากันประกอบด้วย ห้องชุดแบบ 1 ห้องนอน ขนาด 52.25-54.50 ตารางเมตร ห้องชุดแบบ 2 ห้องนอน ขนาด 62.50-94.75 ตารางเมตร และขนาด 99.50-99.75 ตารางเมตร พร้อมที่จอดรถประจำทุกยูนิต นอกจากนั้น ลูกค้าที่ซื้อโครงการฯยังสามารถเลือก Customized Option ของ Layout และเลือกสีของวัสดุมาตรฐานภายในห้องชุดได้ตามความชอบ และที่สำคัญการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางให้เป็น Multi-Function Facilities ผสานอารมณ์ความเป็น “บ้าน” ที่ซ่อนฟังก์ชั่นการใช้งานต่างๆ ให้สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลากหลาย และยังเพิ่มโอกาสการพบปะกันเพื่อก่อให้เกิดสังคมของผู้อยู่อาศัยในโครงการด้วย” น.ส.ผดาพร กล่าว นายณัฐวุฒิ กล่าวสรุปว่า ปัจจุบันพอร์ตโฟลิโอของธุรกิจที่พักอาศัยของสิงห์ เอสเตท ในส่วนของคอนโดมิเนียมประเภทลักชัวรีนับว่ามีครบทั้งแนวสูงและแนวราบ โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาได้มีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ THE ESSE (ดิ เอส) ไปแล้วทั้งสิ้น 3 โครงการ ได้แก่ THE ESSE Asoke (ดิ เอส อโศก) THE ESSE at SINGHA COMPLEX (ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์) และ THE ESSE Sukhumvit 36 (ดิ เอส สุขุมวิท 36) มูลค่าโครงการรวมแล้วกว่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ เนื่องจากเป็นโครงการระดับลักชัวรีที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างตรงใจ ด้วยยอดขายรวมประมาณ 80% ทั้งหมดนับเป็นความสำเร็จก้าวสำคัญที่ทำให้เกิดโครงการใหม่ล่าสุดอย่าง EYSE Sukhumvit 43 (อีส สุขุมวิท 43) ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ช่วยเติมเต็มพอร์ตโฟลิโอของธุรกิจ และเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้ามากขึ้น โดยคาดการณ์ยอดขายหลังเปิดโครงการไว้ที่ 50% ทั้งนี้ ในอนาคต สิงห์ เอสเตท ยังคงมีแผนที่จะลงทุนพัฒนาโครงการใหม่อย่างน้อยปีละ 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 8,500 ล้านบาทต่อปี ในทำเลที่มีศักยภาพทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด โดยยังคงเน้นการทำตลาดลักชัวรี เจาะกลุ่มเป้าหมายทั้งอาศัยอยู่เองและกลุ่มนักลงทุน โครงการ EYSE Sukhumvit 43 ราคาเริ่มต้นต่อยูนิตอยู่ที่ 13.99 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 4/2561 และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4/2563 ทั้งนี้โครงการจะเปิดให้ชมห้องตัวอย่างที่สำนักงานขายของสิงห์ เอสเตท ติดรถไฟฟ้าสถานีทองหล่อ ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ค. 2561 เป็นต้นไป และจะมีงาน Pre-Sales ในวันที่ 21-22 ก.ค. 2561 สิทธิพิเศษสำหรับผู้ที่ซื้อในช่วงวันดังกล่าว จะได้รับส่วนลดมูลค่า 200,000-400,000 บาท สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร.1221 หรือ www.singhaestate.co.th