Tag : News

2376 ผลลัพธ์
โฮมโปร ผนึกบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ อัดแน่นโปรโมชั่นลดสูงสุดกว่า 70%

โฮมโปร ผนึกบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ อัดแน่นโปรโมชั่นลดสูงสุดกว่า 70%

  สำหรับการจัดแคมเปญในครั้งนี้ เป็นการมอบของขวัญสุดพิเศษให้กับผู้บริโภคอย่างแท้จริง ด้วยสินค้าราคาพิเศษมากมาย ทั้งเครื่องใช้ไฟฟ้า ทีวี เครื่องเสียง เฟอร์นิเจอร์ ที่นอน ชุดเครื่องนอน โคมไฟ อุปกรณ์ไฟฟ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว สุขภัณฑ์ กระเบื้อง สินค้าปรับปรุงบ้าน ประปา และเครื่องมือช่าง ในราคา Shock Price และ One Price พร้อมโปรโมชั่นพิเศษสุดคุ้ม สำหรับสมาชิกบัตรโฮมคาร์ด ช้อปภายในวัน...รับฟรีบัตรของขวัญโฮมโปรมูลค่า 42,000 บาท เมื่อช้อปครบ 700,000 บาท ช้อปครบ 400,000 บาท รับฟรี ทองคำหนัก 1 บาท มูลค่า 21,000 บาท ช้อปครบ 120,000 บาท รับฟรี บัตรของขวัญโฮมโปร มูลค่า 5,500 บาท ช้อปครบ 80,000 บาท รับฟรี บัตรของขวัญโฮมโปร มูลค่า 2,500 บาท ช้อปครบ 40,000 บาท รับฟรี บัตรของขวัญ โฮมโปร มูลค่า 1,000 บาท   ช้อปสะดวก...ไม่มีสะดุด ช้อปในสาขารับคูปองส่วนลดท้ายใบเสร็จ 2 ต่อ รวมมูลค่า 444 บาท ต่อที่ 1 ช้อปครบ 2,000 บาท ต่อใบเสร็จ รับคูปองส่วนลด 222 บาท เพื่อใช้เป็นส่วนลดในการช้อปออนไลน์ 2,222 บาทขึ้นไป ตั้งแต่ 2 ทุ่ม – ตี 2 ต่อที่ 2 รับเพิ่ม..เมื่อช้อปวันพฤหัสบดี-วันอาทิตย์ ครบ 15,000 บาท ต่อใบเสร็จ รับคูปองส่วนลด 222 บาท เพื่อใช้เป็นส่วนลดในการช้อปในสาขาเมื่อช้อปครบ 2,222 บาทขึ้นไป   และพิเศษสุดสำหรับสมาชิกโฮมคาร์ดเท่านั้น ร่วมฉลองครบรอบ 22 ปี โฮมโปร เพียงใช้คะแนนเท่ากับยอดซื้อ ลดเพิ่ม 12.5 % ทุกชิ้น ทั้งร้าน พิเศษรับสุดสัปดาห์ ช้อปทุกวันศุกร์ ลดเพิ่ม 20% เมื่อช้อปสินค้าในแผนกเดอะเพาเวอร์ และรับคะแนนเพิ่มสุดคุ้ม 22,222 คะแนน สำหรับสมาชิกที่มียอดช้อปสูงสุด 22 ท่านแรก พร้อมฉลองสมาชิกไลน์ครบ 22 ล้านคน รับฟรี E-Coupon มูลค่า 200 บาท เพื่อใช้เป็นส่วนลดสำหรับซื้อสินค้า 2,000 บาทขึ้นไป เพียงลงทะเบียน HomePro Connect ผ่าน QR Code   สำหรับลูกค้าบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ รับสิทธิพิเศษ 2 ต่อ ต่อที่ 1 รับเครดิตเงินคืน รวมสูงสุด 220,000 บาท ทั้งชำระเต็มจำนวน และผ่อนชำระ ต่อที่ 2 ผ่อนชำระผ่านบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ ลดเพิ่มสูงสุด 6-8% พร้อมผ่อนชำระ 0% นาน 3 เดือน หรือเลือกออฟชั่นแบบสบายๆ ผ่อนชำระ 0% นาน 4 เดือน เมื่อช้อปสินค้าตั้งแต่ 4,000 บาทขึ้นไปต่อเซลล์สลิป พร้อมตัวเลือกใช้คะแนนเป็นส่วนลดมาแลกซื้อสินค้า 1,000 คะแนน เท่ากับ 100 บาท     นอกจากบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพแล้ว โฮมโปรยังร่วมกับสถาบันการเงินชั้นนำ อื่นๆ เพื่อมอบสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าอย่างครบครัน อาทิ บัตรเครดิตโฮมโปร วีซ่า แพลทินัม ต่อที่ 1 ลดทันที 3% ต่อที่ 2 ลดเพิ่ม 13% เพียงแลกคะแนนเท่ายอดชำระ หรือผ่อนได้ทั้งร้าน 0% นาน 4 เดือน , ธนาคารไทยพาณิชย์ ใช้คะแนนเท่ากับยอดซื้อ แลกรับเครดิตเงินคืน 10% , ธนาคารธนชาต รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 52,000 บาท พร้อมแลกคะแนน 1,000 คะแนน เท่ากับ 100 บาท และลูกค้าบัตรเครดิต KTC ช้อปครบ 6,000 บาท แลกรับส่วนลดทันทีถึง 1,200 บาทและสถาบันการเงินชั้นนำอื่นๆอีกมากมาย   นางสาวสิริวรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกเหนือกจากความพิเศษของสินค้า และบริการ พร้อมโปรโมชั่นสุดเอกซ์คลูซีฟที่ร่วมกับพันธมิตรมอบให้แก่ลูกค้าโฮมโปรในโอกาสฉลองครบรอบ 22 ปี แล้วนั้น ลูกค้าจะได้เปิดประสบการณ์ในการช้อปปิ้งแบบง่าย สะดวกสบาย ผ่านช่องทางออนไลน์ พร้อมบริการจัดส่งถึงบ้าน หรือเลือกใช้บริการ Click&Collect เลือกรับสินค้าได้ด้วยตนเองในสาขาใกล้บ้านอีกด้วย ร่วมฉลองครบรอบ 22 ปี ไปพร้อมๆกัน กับแคมเปญสุดพิเศษ “ช้อปสะดวกไม่มีสะดุด” ตลอด 1 เดือนเต็ม ได้ตั้งแต่วันนี้-2 กันยายนนี้ ที่โฮมโปร ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือช้อปออนไลน์ ได้แล้ววันนี้ที่ www. homepro.co.th สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1284
ออลล์ อินสไปร์ฯ จัดงาน “Mid Year Equity Pulse Check 2018”

ออลล์ อินสไปร์ฯ จัดงาน “Mid Year Equity Pulse Check 2018”

คุณธนากร ธนวริทธิ์ (ที่สามจากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) จัดงาน "Mid Year Equity Pulse Check 2018" ดินเนอร์สุดเอ็กซ์คลูซีฟสำหรับลูกค้าพันธมิตรธุรกิจ พร้อมจัดสัมมนาหัวข้อ "Global Equities Outlook" โดยได้รับเกียรติจาก คุณบุญ ยงสกุล (กลาง) นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต เพื่อแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์และความคิดเห็นเกี่ยวกับภาพรวมตลาดอสังหาฯ ภูเก็ต ภายในงานยังมี คุณชาญชัย งามวิถี (ที่สามจากซ้าย) รองประธานกรรมการ บริษัท ยูไนเต็ด อินฟอร์เมชั่น ไฮเวย์ จำกัด คุณภาณุพงค์ กริชจนรัช (ที่สองจากขวา) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โบ๊ท พัฒนา จำกัด  ซึ่งภายในงานถือเป็นโอกาสดีในการเปิดตัวโครงการ อิมเพรสชั่น ภูเก็ต เฟสใหม่ โครงการลักชัวรี่ เรสซิเดนซ์ ให้กับนักลงทุน สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร 02 029 9999 หรือ www.allinspire.co.th
เมกาโฮม ร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจเมืองโคราช จัดเต็มโปรโมชั่นลดราคาแรง ในงาน“มหกรรมโคราชลดทั้งเมือง 2018” ตั้งแต่วันนี้ – 19 ส.ค.

เมกาโฮม ร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจเมืองโคราช จัดเต็มโปรโมชั่นลดราคาแรง ในงาน“มหกรรมโคราชลดทั้งเมือง 2018” ตั้งแต่วันนี้ – 19 ส.ค.

เมกาโฮม จัดเต็มร่วมงาน “มหกรรมโคราชลดทั้งเมือง 2018” ขนเครื่องใช้ไฟฟ้า ทั้งเครื่องปรับอากาศ โทรทัศน์ ตู้เย็น รวมถึงของใช้ในบ้านอีกมากมาย มาแจกโปรโมชั่นแบบอัดแน่น ถึง 3 คุ้ม คุ้มที่ 1 ราคาแรงลดสูงสุดถึง 40% คุ้มที่ 2 ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน คุ้มที่ 3 ช้อปครบ รับฟรี! คูปองส่วนลดพิเศษ แถมยังมีสินค้าที่ต่อคิวนำมาลดราคากันอีกมากมาย นอกจากนี้สำหรับบัตรเครดิต KTC รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 40,000 บาท และทุกๆ 1,000 คะแนนสามารถใช้รับส่วนลดเพิ่ม 100 บาท ตั้งแต่วันนี้ – 19 สิงหาคม 2561 ที่ เมกาโฮม สาขานครราชสีมา (ถ.มิตรภาพ ข้าง รร. เกียรติคุณวิทยา) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ แผนกบริการลูกค้า หรือดูโปรโมชั่นอื่นๆได้ที่ www.megahome.co.th หรือ fb page : MegahomeCenter Line@ : @megahome
Review Your Living พาเดินงาน บ้านและสวนแฟร์ 2018

Review Your Living พาเดินงาน บ้านและสวนแฟร์ 2018

สวัสดีครับ วันนี้ เอาใจคนรักบ้านและสวน พาไปดูว่ามีอะไรบ้างในงานใหญ่กลางปี "บ้านและสวนแฟร์ 2018" ที่จัดขึ้นที่ ไบเทค บางนา ช่วงวันที่ 4-12 สิงหาคม 2018 งานนี้ ไม่ผิดหวังคนรักบ้านแน่ๆ     บ้านและสวนแฟร์ Midyear 2018 นำเสนอนวัตกรรม วิทยาการ และเทคโนโลยีที่เข้ามาตอบสนองการใช้ชีวิต โดยมีระบบคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อในทุกสรรพสิ่งของที่อยู่อาศัยหรือบ้าน และการใช้งานภายในบ้าน เพื่อคอยรับคำสั่ง ทำงานต่างๆ ตามความต้องการของเจ้าของบ้าน ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละกิจกรรม งานนี้จะแสดงให้ผู้ชมงานเห็นว่าบ้านและบริบทของบ้านในอนาคตน่าจะเป็นอย่างไรและมีผลต่อการดำเนินชีวิตอย่างไร   ก่อนเข้างาน เราควรจะไปลงทะเบียนที่เคาน์เตอร์ ง่ายๆ เพียงแค่แสกน QR แล้วกรอกรายละเอียดนิดหน่อย เพื่อรับของที่ระลึก กระเป๋าผ้ารักษ์โลกสุดเก๋ พร้อมกับนิตยสาร My Home ฟรี อีก 1 เล่ม (ยิ้มสิ...)   Internet of Home   บ้านที่มีการนำเทคโนโลยีเข้ามาตอบสนองการใช้ชีวิต ทั้งการใช้ระบบคอมพิวเตอร์และอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมต่อในทุกสรรพสิ่งของที่อยู่อาศัยหรือบ้าน และการใช้งานภายในบ้าน โดยมีการจัดแสดงการใช้งานของเทคโนโลยีตามห้องต่างๆ ของบ้าน เพื่อให้ผู้ชมงานเห็นความสะดวกสบายและบรรยากาศแห่งความสุข กับการใช้พื้นที่ในบ้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยนิทรรศการจะจำลองไลฟ์สไตล์เพื่อตอบสนองการใช้งานของห้องต่างๆ ที่ประกอบด้วยหลากหลายมุมซึ่งมีการสั่งการด้วยเสียงหรือผ่านแอพพลิเคชั่น   คอนเซ็ปต์ในการออกแบบบ้าน Internet of Home - ครัว มุมรับประทานอาหาร และสวนหลังบ้าน พื้นที่ทำครัวที่เต็มไปด้วยฟังก์ชันการใช้งาน ทั้งเคาน์เตอร์ครัวที่เป็นเสมือนไอส์แลนด์เตรียมอาหารและปรับเปลี่ยนให้เป็นบาร์สังสรรค์ หรือมุมรับประทานอาหารได้ในคราวเดียวกัน พื้นที่ส่วนนี้จะจัดแสดงตัวอย่างคำสั่งได้ถึง 3 ทางเลือก ดังนี้ 1. สดชื่นยามเช้า เมื่อสั่งคำสั่งการใช้งานในยามเช้า ไฟในห้องนี้ทั้งส่วนเคาน์เตอร์และไอส์แลนด์ในครัวจะติดพร้อมกับโทรทัศน์ที่แสดงช่องข่าวรับอรุณ 2. โรแมนติกยามค่ำคืน เมื่อใช้คำสั่งนี้ ไฟต่างๆ ในส่วนครัวจะปิดลง และไฟบนโต๊ะอาหารจะติด พร้อมกับไฟในสวน เพื่อการดื่มด่ำกับบรรยากาศสุดโรแมนติกในช่วงดินเนอร์ 3. ปาร์ตี้แสนสนุก ฟังก์ชันที่ช่วยสร้างบรรยากาศปาร์ตี้แห่งสีสัน โดยไฟในโซนนี้จะปิดทั้งหมด แต่บริเวณเวทีกิจกรรมจะมีไฟหลากสีสันติดขึ้น พร้อมเสียงเพลงให้ได้สนุกสุดเหวี่ยงได้ตามต้องการ นอกจากนี้บริเวณมุมสวนหลังบ้านยังมีการจัดแสดง “สวนของบ้านรุ่นใหม่” ที่มีพื้นที่สำหรับชาร์ตรถไฟฟ้า เพื่อให้สะดวกต่อการใช้งาน และสามารถดัดแปลงเป็นธุรกิจได้ในอนาคต - ห้องนอน ห้องแต่งตัว และห้องน้ำ โดดเด่นด้วยสมาร์ทมิลเลอร์ที่มีคำสั่งการใช้งานได้หลากหลาย จัดแสดงตัวอย่างคำสั่งได้ 2 ทางเลือก ดังนี้ 1. มอร์นิ่งยามเช้า เมื่อตื่นนอนและใช้คำสั่งนี้ ผ้าม่านในห้องจะเปิดรับแสงแดดยามเช้า และไฟตรงห้องแต่งตัวจะติดขึ้น พร้อมให้เปลี่ยนชุดแต่งตัวต้อนรับวันใหม่อย่างสดใส 2. กู๊ดไนท์ยามดึก เมื่อสั่งงาน ผ้าม่านของห้องนอนจะปิด รวมถึงไฟภายในบริเวณนี้ก็จะพร้อมใจกันดับ เพื่อให้สภาพแวดล้อมของห้องพร้อมสำหรับการพักผ่อนอย่างแท้จริง     ในงานยังมีของแต่งบ้านน่ารัก น่าซื้ออีกเพียบ ลองเลือกดูกันเลย           เครื่องใช้ไฟฟ้า ลดกระหน่ำ ซัมเมอร์เซลล์     ส่วนของการแต่งสวนสวย จะมีพืชพันธ์ไม้ประดับ ตกแต่งสวยนานาพันธ์ ให้ได้เลือกซื้อ ทั้งมีดอก ไม่มีดอก ละลานตากันเลยทีเดียว        ใครว่างๆ ไปเดินชิวๆ ได้เลย งานมีตั้งแต่วันที่ 4 ถึง 12 สิงหาคม นี้นะครับ ที่ ไบเทค บางนา ไปเช้าๆ นะ ถ้าไปสาย จะหาที่จอดรถลำบากหน่อยครับ Review Your Living Team    
The Tree ดินแดง – ราชปรารภ’ กระแสแรง ฮอตฉุดไม่อยู่ ลูกค้าทุ่มเงินล้านจองสด

The Tree ดินแดง – ราชปรารภ’ กระแสแรง ฮอตฉุดไม่อยู่ ลูกค้าทุ่มเงินล้านจองสด

หลังจาก ปิยะ ประยงค์ CEO พฤกษา เรียลเอสเตท กลุ่มธุรกิจแวลู ปล่อยข่าวเตรียมเปิดจอง คอนโด The Tree ดินแดง-ราชปรารภ กระแสตอบรับแรงฉุดไม่อยู่ แว่วมาว่า มีลูกค้ายอมจ่ายเงินสด100% กันเลยทีเดียว!!  เพื่อขอจองก่อนใคร ขอบอกงานนี้ใครสนใจคอนโดคอนเซ็ปต์เน้นความเป็นธรรมชาติ ทำเลในเมืองแบบนี้ ห้ามพลาดเลยนะจ๊ะ ราคาเริ่มต้นเพียง 1.49 ล้านบาท และเปิดจองรอบOnline Booking ครั้งแรกของพฤกษา 16 ส.ค.นี้เท่านั้น รับส่วนลดมากกว่าใคร มูลค่า 150,000 บาท และสำหรับใครที่พลาดโอกาสหรือคลิกไม่ทัน ทางโครงการมีเปิดจองรอบ VIP DAY วันที่ 18-19 ส.ค.นี้ จองพร้อมกันที่สำนักงานขายโครงการ เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน! สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม  โทร. 1739 หรือลงทะเบียน https://bit.ly/2L9NY7B
อนันดาฯ เตรียมเปิดโครงการบ้านเดี่ยวกับ 3 ทำเลคุณภาพ ภายใต้แบรนด์ใหม่ล่าสุด “แอริ (AIRI)” พร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษ

อนันดาฯ เตรียมเปิดโครงการบ้านเดี่ยวกับ 3 ทำเลคุณภาพ ภายใต้แบรนด์ใหม่ล่าสุด “แอริ (AIRI)” พร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษ

*** ... ใครที่กำลังมองหาบ้านเดี่ยว บนทำเลศักยภาพ เตรียมตัวจับจองเป็นเจ้าของกันได้แล้ว ล่าสุด  ผู้บริหารหนุ่ม คุณชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ค่ายอนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ เตรียมเปิดโครงการบ้านเดี่ยว ภายใต้แบรนด์ใหม่ล่าสุด “แอริ (AIRI)” บ้านที่สร้างแรงบันดาลใจ ให้ชีวิตมีความหมาย กับ 3 ทำเลคุณภาพ ได้แก่ โครงการ แอริ พระราม 2 โครงการ แอริ แจ้งวัฒนะ และโครงการ แอริ พระราม 5  โดยมีแนวคิดที่มาจาก ปรัชญาการออกแบบของญี่ปุ่น “SHAKKEI” การหยิบยืมพื้นที่ภายนอกเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งกับตัวบ้าน ทำให้รู้สึกกว้างขวาง โปร่งโล่งมากขึ้น  ราคาเริ่มต้น 10 ล้านบาท  พิเศษยิ่งกว่าด้วยเอกสิทธิ์เฉพาะคุณภายในงาน EXCLUSIVE BOOKING ในวันที่ 4-5 สิงหาคมนี้  สามารถเลือกแปลงสวยราคาพิเศษก่อนใคร!! พร้อมโปรโมชั่นพิเศษส่วนลดสูงสุด  500,000 บาท* ลงทะเบียนรับสิทธิ์ https://bit.ly/2LVXvLu โครงการดีๆ ข้อเสนอโดนๆ มีมาไม่บ่อย ณ สำนักงานขายทั้ง 3 โครงการ สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02 316 2222 หรือเว็บไซต์ www.ananda.co.th ...***
โฮมโปร โชว์กำไรครึ่งปีโต 17.62%  รายได้พุ่ง 32,365.05 ล้านบาท

โฮมโปร โชว์กำไรครึ่งปีโต 17.62% รายได้พุ่ง 32,365.05 ล้านบาท

  โฮมโปร ตีปีกกำไรครึ่งปีโต 17.62 % โชว์กำไรสุทธิ 2,561.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 383.61 ล้านบาท กวาดรายได้รวม 32,365.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,319.01 ล้านบาท หรือ 4.25% ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมของธุรกิจโฮมโปร และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย รวมถึงการเติบโตของยอดขายจากสาขาใหม่ทั้งธุรกิจ โฮมโปร เมกาโฮม และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย พร้อมมีกำไรขั้นต้นสูงขึ้นมาอยู่ที่ 26.91% โดยเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนของส่วนผสมสินค้ามีไว้เพื่อขายทั้งกลุ่มสินค้าทั่วไป และกลุ่มสินค้า Direct Sourcing รวมถึงการวางแผนการจัดซื้อสินค้า   นายคุณวุฒิ ธรรมพรหมกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” ผู้นำธุรกิจศูนย์รวมวัสดุก่อสร้าง และอุปกรณ์ตกแต่งบ้านครบวงจร เปิดเผยถึง ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2561 ว่า บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิสำหรับในครึ่งปีแรก เท่ากับ 2,561.03 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 383.61 ล้านบาท หรือ 17.62% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีรายได้รวม จำนวน 32,365.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,319.01 ล้านบาท หรือ 4.25% โดยเพิ่มขึ้นจาก รายได้จากการขายจำนวน 30,319.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,246.43 ล้านบาท หรือ 4.29 % ซึ่งเป็นผลมาจากการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมของธุรกิจโฮมโปร และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซีย รวมถึงการเติบโตของยอดขายจากสาขาใหม่ทั้งธุรกิจ โฮมโปร เมกา โฮม และโฮมโปรที่ประเทศมาเลเซียที่ได้เปิดดำเนินการตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2560 และบริษัทฯ มีรายได้ค่าเช่าและบริการ จำนวน 943.89 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45.71 ล้านบาท หรือ 5.09% เป็นผลมาจากรายได้ค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นจากพื้นที่เช่าภายในศูนย์การค้ามาร์เกต วิลเลจ และพื้นที่ให้เช่าของสาขา โฮมโปร และรายได้อื่นอีกจำนวน 1,101.77 ล้านบาท ลดลง 26.87 ล้านบาท หรือ 2.50% โดยเป็นผลมาจากการเติบโตของรายได้จากค่าบริการ “Home Service”   นอกจากนี้กำไรขั้นต้น จำนวน 8,159.56 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 600.48 ล้านบาท หรือ 7.94% เมื่อเทียบกับปีก่อน สำหรับอัตรากำไรขั้นต้นต่อยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 26.00% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 26.91% โดยเป็นผลมาจากการปรับเปลี่ยนของส่วนผสมสินค้ามีไว้เพื่อขายทั้งกลุ่มสินค้าทั่วไป และกลุ่มสินค้า Direct Sourcing รวมถึงการวางแผนการจัดซื้อสินค้า   สำหรับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร จำนวน 6,858.78 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 237.37 ล้านบาท หรือ 3.58 % เมื่อเทียบกับปีก่อนปัจจัยหลักของการเพิ่มขึ้นที่เป็นตัวเงินเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของค่าใช้จ่ายกลุ่มเงินเดือน ต้นทุนค่าขนส่ง ต้นทุนในการให้บริการแก่ลูกค้า และค่าซ่อมแซม อย่างไรก็ตามอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อยอดขายมีการปรับตัวดีขึ้นโดยลดลงจาก 22.78% ในปีก่อน มาอยู่ที่ 22.62% ซึ่งเป็นผลมาจาการบริหารและควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ   นายคุณวุฒิ กล่าวต่อไปว่า เศรษฐกิจไทยในช่วงไตรมาส 2 มีการขยายตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ยังคงผลักดันมาจากแรงกระตุ้นของการส่งออก และการท่องเที่ยว รวมถึงการทยอยปรับตัวขึ้นของราคาข้าวที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังจากซบเซามาในช่วงก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม ปัจจัยดังกล่าวยังไม่สะท้อนมาถึงกำลังซื้อของภาคครัวเรือนมากนัก ด้วยอุปสรรคในเรื่องของภาระหนี้ภาคครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง ด้วยเหตุนี้ แม้รายได้ครัวเรือนตามตัวเลขเศรษฐกิจจะดีขึ้น แต่บางส่วนอาจต้องถูกนำไปชำระหนี้ จึงทำให้ประโยชน์ของการเพิ่มขึ้นของรายได้ไม่ส่งผ่านมาสู่การบริโภคได้มากเท่าที่ควร   สำหรับการขยายสาขาในไตรมาสที่ 2 นี้ บริษัทฯ สามารถทำได้ตามที่วางแผนไว้ โดยได้เปิดสาขาเพิ่ม 2 แห่ง ได้แก่ โฮมโปรเอส สาขาบิ๊กซี บางนา ซึ่งเปิดในเดือนพฤษภาคม และโฮมโปรรูปแบบปกติ สาขากัลปพฤกษ์ ซึ่งเปิดในเดือนมิถุนายน ส่งผลให้บริษัทฯ มีสาขา ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2561 ดังนี้ โฮมโปร 82 สาขาโฮมโปรเอส 5 สาขา, เมกา โฮม 12 สาขา และ โฮมโปร ที่ประเทศมาเลเซีย 6 สาขา   นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้จัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของลูกค้า อาทิ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้ากลุ่มเครื่องเสียงและทีวี จากกระแสฟุตบอลโลก และกิจกรรมส่งเสริมการขายกลุ่มสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าและสินค้าทำความเย็น ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มียอดขายสูงในช่วงฤดูร้อน เพื่อให้ผู้บริโภคตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ตลอดจนการจัดกิจกรรมโฮมโปร แฟร์ (HomePro Fair) ในจังหวัดเชียงใหม่ และขอนแก่น ซึ่งสามารถทำยอดขายโดยรวมอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
“Yuu” คอนโดเหนือระดับ ริมทะเลวิวโค้งหาดศรีราชา

“Yuu” คอนโดเหนือระดับ ริมทะเลวิวโค้งหาดศรีราชา

บริษัท เอสเอฟซี เวนเจอร์ ศรีราชา จำกัดบริษัทในเครือ บริษัท แสงฟ้าก่อสร้าง จำกัด เตรียมจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการ “Yuu” คอนโดเหนือระดับ ริมทะเลวิวโค้งหาดศรีราชา ด้วยแนวคิดปรัชญาการออกแบบสไตล์ Zen อิงวิถีชีวิตที่เรียบง่าย สงบ และโอบล้อมด้วยธรรมชาติ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ สู่การใช้ชีวิตแบบ “The Ultimate Living Experience” โดยมี นพ.เชิดศักดิ์ อัมพรสุขสกุล กรรมการผู้จัดการบริษัท แสงฟ้าก่อสร้าง จำกัด และ คุณอนุศักดิ์ อัมพรสุขสกุลประธานกรรมการ บริษัท เอสเอฟซี เวนเจอร์ ศรีราชา จำกัด ขึ้นให้รายละเอียดในงานแถลงข่าวครั้งนี้งานจัดขึ้น ในวันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม 2561 เวลา 10.00 – 12.30 น. ณ Sales Gallery “Yuu” ศรีราชา
“EVER”  ลุยปั้นแบรนด์”มายโฮม อเวนิว-เอเวอร์ ซิตี้”บุกแนวราบ  เล็งผุดทาวน์โฮมเสริฟ์ครึ่งปีหลัง-หนุนผลประกอบการสดใสมีลุ้นเทิร์นอะราวด์

“EVER” ลุยปั้นแบรนด์”มายโฮม อเวนิว-เอเวอร์ ซิตี้”บุกแนวราบ เล็งผุดทาวน์โฮมเสริฟ์ครึ่งปีหลัง-หนุนผลประกอบการสดใสมีลุ้นเทิร์นอะราวด์

  บมจ.เอเวอร์แลนด์ หรือ EVER สร้างแบรนด์แนวราบ "มายโฮม อเวนิว - เอเวอร์ ซิตี้ " ให้เป็นที่รู้จัก หลังกระโดดพัฒนาโครงการแนวราบใหม่ปี 2561 จำนวน 4 โครงการมูลค่ารวม 2,000 ล้านบาท บอส “สวิจักร์ โลจายะ” แย้มเตรียมคลอดทาวน์โฮมอีก 3 โครงการในช่วงที่เหลือปีนี้ หลังผลตอบรับยอดขายคึกคัก ผู้บริโภคหันมาให้ความสนใจมากขึ้น และยังรับรู้รายได้เร็วขึ้น พร้อมส่งซิกปลายปีนี้ผลประกอบการมีลุ้นเทิร์นอะราวด์   นายสวิจักร์ โลจายะ ประธานกรรมการ บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ EVER เปิดเผยว่า ในปีนี้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่หันมาให้น้ำหนักโครงการแนวราบมากขึ้น เนื่องจากมีซัพพลายแนวราบออกสู่ตลาดค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับโครงการแนวสูงที่มีมากกว่าในช่วงก่อนหน้า นอกจากนี้โครงการแนวราบมีการรับรู้รายได้เร็วกว่าโครงการแนวสูง   ทั้งนี้ EVER ได้เริ่มเน้นเปิดโครงการแนวราบในปีนี้ และมีแนวโน้มที่จะพัฒนาต่อเนื่องในปีถัดไปเนื่องจากพบว่าความต้องการยังมีสูง ขณะเดียวกันยังเป็นการสร้างรายได้เพิ่มขึ้น เพราะรับรู้ได้เร็วเมื่อเทียบกับโครงการแนวสูง โดยได้วางเป้าเพิ่มสัดส่วนแนวราบทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์และโครงการแนวสูงให้มีสัดส่วน 50:50 ภายใน 3ปี ข้างหน้า จากปัจจุบันที่พอร์ตรายได้ส่วนใหญ่จะมาจากโครงการแนวสูง โดยจะทยอยเห็นการบาลานซ์ในปีนี้   บริษัทจะให้ความสำคัญในการสร้างแบรนด์แนวราบ ได้แก่ บ้านเดี่ยว ภายใต้แบรนด์" มายโฮม อเวนิว" และทาวน์โฮม แบรนด์ "เอเวอร์ ซิตี้ " ให้เป็นที่รู้จักของลูกค้ามากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดตัวบ้านเดี่ยว สไตล์ MODERN CHIC มายโฮมอเวนิว ทำเลย่านรามอินทรา-จตุโชติราคา 3 ล้านกว่าบาท ในช่วงเดือนพค.ที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดี ขณะที่ทาวน์โฮม คาดจะเห็นทยอยเปิดโครงการในช่วงที่เหลือ ย่านทำเลสุขสวัสดิ์ , บางนา หนามแดง ฯลฯ ซึ่งบริษัทฯได้แบงก์ให้การสนับสนุนวงเงินในการซื้อที่ดินเพื่อรอการพัฒนาไว้เรียบร้อยแล้ว   อย่างไรก็ตาม โครงการแนวสูง โดยเฉพาะโครงการย่านสนามบินน้ำนั้น ยังได้รับการตอบรับที่ดี มีการจองอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเร่งปิดยอดขาย และโอนโครงการคอนโดมิเนียม "เดอะโพลิแทน บรีซ " มูลค่าโครงการ 1,900 ล้านบาท ซึ่งมีการออกโปรโมชั่นเพื่อกระตุ้นการซื้อ เพิ่มยอดขายและยอดโอน โดยถือเป็นโครงการที่อยู่บนทำเลรถไฟฟ้าสายสีม่วง มีศักยภาพ และน่าสนใจไม่น้อยกว่าสายอื่นๆ   ปัจจุบัน เดอะโพลิแทน บรีซ มียอดขายแล้ว 1,000 ล้านบาท จะก่อสร้างแล้วเสร็จในไตรมาส 3 นี้และเริ่มโอนในเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งนอกเหนือโครงการแนวสูง เดอะ โพลิแทน ริฟ และโครงการเดอะโพลิแทน อควา ที่จะทยอยรับรู้ตั้งแต่ปีหน้า   "ในปีนี้จะเป็นปีแห่งการเทิร์นอะราวด์จากปีก่อน และน่าจะเห็นกำไรได้บ้าง รายได้ปีนี้เราตั้งเป้าไว้ที่ 1,900 -2,000 ล้านบาท หลักๆในปีนี้สัดส่วน 90 % ยังคงมาจากรายได้จากแนวสูง และจะพยายามเพิ่มสัดส่วนแนวราบที่ปีนี้ขยายตัว พบว่าความต้องการยังมีอยู่สูง ขณะที่ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ก็มีแนวโน้มที่ดี ด้านการกู้เงินอาจต้องพิจารณาควบคู่กันไป เพราะการที่หนี้ครัวเรือนมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอาจทำให้แบงก์มีความระมัดระวัง "
“เรียลแอสเสทฯ”เปิดตัวโครงการ AESTIQ  Thonglor  คอนโดมิเนียมแบบ Ultimate  Luxury มูลค่ารวม 4,200 ล้านบาท

“เรียลแอสเสทฯ”เปิดตัวโครงการ AESTIQ Thonglor คอนโดมิเนียมแบบ Ultimate Luxury มูลค่ารวม 4,200 ล้านบาท

  “เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์” ต่อยอดความสำเร็จของ LAVIQ Sukhumvit 57 เดินหน้าปั้นแบรนด์ Luxury ใหม่ “AESTIQ Thonglor” คอนโดมิเนียมแบบ Ultimate Luxury เพื่อเป็น Iconic Landmark ใหม่บนทำเลทองหล่อ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “A Reflection of you” สุนทรียะที่สะท้อนความเป็นตัวคุณ มูลค่ารวม 4,200 ล้านบาท เจาะกลุ่มลูกค้าระดับบนทั้งชาวไทยและต่างชาติ บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้ประกอบการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย มีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในไพร์มโลเคชั่นทั่วกรุงเทพฯ กว่า 7 ปีที่ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จนประสบความสำเร็จสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ในทุกกลุ่มโปรดักส์มากกว่า 10 โครงการ มูลค่ารวมทั้งสิ้นกว่า 12,800 ล้านบาท ล่าสุดเตรียมเปิดตัวโครงการ AESTIQ Thonglor คอนโดมิเนียมระดับ Ultimate Luxury มูลค่าโครงการรวม 4,200 ล้านบาท ในทำเลศักยภาพบนถนนทองหล่อ สุดยอดทำเลพักอาศัยในฝันของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เป็น Young Successor ทำเลพักอาศัยที่สะท้อนความเป็นตัวตนที่สมบูรณ์แบบและความสุนทรียะของผู้พักอาศัย ทั้งกลุ่มชาวไทยและต่างชาติ ฉีกแนวการใช้ชีวิตแบบเดิมด้วยพื้นที่ส่วนกลางที่ล้ำหน้าและทันสมัย ดึงจุดแข็ง Luxury Car Sharing Service เพื่อรองรับโลกในอนาคตอย่างยั่งยืน เพียงไม่กี่นาทีก็ถึงแหล่ง ช้อปปิ้ง ชั้นดี อย่าง The Em District เมืองหลวงของนักช้อป ที่รวบรวม Flagship store ของ Super Brand ชั้นนำระดับโลกไว้ที่นี่ ซึ่งกำหนดเปิดขายโครงการในช่วงเดือน กันยายน นี้ ณ สำนักงานขายโครงการ นายบดินทร์ธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะเน้นให้ความสำคัญในทุกๆด้าน ทั้งเรื่องทำเลที่ตั้งโครงการและการออกแบบโครงการที่แตกต่างไปจากคู่แข่ง ด้านคุณภาพที่เหนือกว่า การออกแบบที่ใส่ใจทุกรายละเอียด มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่น การเลือกวัสดุคุณภาพเกรดพรีเมี่ยม รวมถึงการมีพันธมิตรทีมออกแบบโดยทีมสถาปนิกและบริษัทออกแบบชั้นนำของประเทศ ทำให้ทุกโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่พัฒนานั้นประสบความสำเร็จ โดยในส่วนการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมของเรียลแอสเสทนั้น หลังจากประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงการ ลาวีค สุขุมวิท 57 คอนโดมิเนียมระดับ Luxury โครงการแรกที่มีมูลค่ารวมกว่า 4,120 ล้านบาท บริษัทฯ จึงต่อยอดความสำเร็จด้วยการลงทุนพัฒนาตัวโครงการ AESTIQ Thonglor คอนโดมิเนียมแบบ Ultimate Luxury มูลค่าโครงการ 4,200 ล้านบาท เพื่อสร้าง Iconic Landmark แห่งใหม่บนทำเลทองหล่อ AESTIQ เกิดมาจากการผสานคำระหว่าง “Aesthetic” (สุนทรียภาพ) กับ “Unique” (ความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว) จนกลายมาเป็นแนวคิดของโครงการคือ “A Reflection of you” เพื่อเน้นย้ำสุนทรียภาพในการใช้ชีวิตสำหรับคนรุ่นใหม่ในเมืองผ่านแกนหลักทั้งหมด 5 แกน ดังนี้   Nature – ธรรมชาติเป็นหนึ่งในแกนที่นำมาประยุกต์ใช้ในการออกแบบโครงการ เพื่อต้องการผสมผสานความเป็นธรรมชาติให้แทรกซึมไปตามการใช้ชีวิตประจำวัน ผ่านการออกแบบพื้นที่ส่วนกลาง หรือ โครงสร้างตึกแบบ Organic Form และทางโครงการได้นำทรัพยากรธรรมชาติอย่าง “ลม” มาใช้ประโยชน์ในการออกแบบโครงการ เพื่อช่วยในการหมุนเวียนอากาศให้เข้ามายังพื้นที่ส่วนกลางและบริเวณที่พักอาศัย   Iconic - โครงการนี้ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในเรือธงใหม่ของบริษัทเพื่อต้องการปักธงในการออกแบบตัวอาคารเพื่อสร้างความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวในย่านทองหล่อ ที่ใครๆจะต้องจ้องติดตามและกล่าวถึง   Future - ด้วยภาพลักษณ์การออกแบบสถาปัตยกรรมโครงการ รวมถึงพื้นที่ส่วนกลาง เป็นการสะท้อนถึงการนำเทคโนโลยีมาใช้ภายในโครงการเพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตแบบใหม่ ไม่ว่าจะเป็น Private Lift และระบบที่จอดรถยนต์แบบ Auto Parking   Sustainable - ความยั่งยืน ด้วยภาพลักษณ์ของโครงการที่ให้ความสำคัญกับธรรมชาติ สภาพแวดล้อมและเทคโนโลยี ดังนั้น โครงการ AESTIQ Thonglor จึงได้นำรถยนต์ที่มีระบบขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% เข้ามาใช้เป็น car sharing service ภายในโครงการ เพื่อให้ลูกค้าสามารถใช้ชีวิตในเมืองได้อย่างยั่งยืนและลดการปล่อยมลพิษ   Fun - ความสนุกสนานในการใช้ชีวิตในย่านทองหล่อ คงหนีไม่พ้นกับการได้ลองอะไรใหม่ๆในย่านที่มีแต่เรื่องตี่นเต้นตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลากลางวันหรือกลางคืน การพบปะผู้คน การได้ลองร้านอาหารสุดชิคและแชร์ลงบน Social Media หรือการ Hang Out สบายๆในร้านกาแฟ ที่มีการออกแบบและตกแต่งภายในอย่างมีศิลปะ หรือการไปสัมผัส แสง สี เสียง ในยามค่ำคืน กลายเป็นแกนหลักในการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางของโครงการให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวให้ผู้อยู่อาศัยสามารถสนุกสนานได้ หากต้องการหลีกหนีความวุ่นวายในเมืองและอยากมีพื้นที่ส่วนตัวในการสังสรรค์ “ผมเชื่อมั่นว่า โครงการ AESTIQ Thonglor ถือได้ว่าเป็นโครงการที่ยกระดับทุกๆด้านในการใช้ชีวิตในเมือง ไม่ว่าจะเป็นทำเลที่ตั้งของโครงการ การออกแบบสถาปัตยกรรมที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว และมีความล้ำสมัยบนทำเลทองหล่อ โดยมาจากการนำแกนหลักทั้ง 5 แกนที่กล่าวมาข้างต้นนำมาใช้ในการเชื่อมโยงเข้าหากันและออกแบบได้อย่างลงตัว เพื่อตอบโจทย์สำหรับคนรุ่นใหม่ที่กล้าที่จะตัดสินใจในการเลือกรูปแบบการใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเราเองกำหนด เพราะสุดท้ายการตัดสินใจเหล่านี้ก็จะสะท้อนกลับเพื่อหล่อหลอมตัวตนของคุณที่แท้จริงออกมาในแบบ A Reflection of you” นายณัฏฐพร กลั่นเรืองแสง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานกลยุทธ์ธุรกิจ บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวถึงรายละเอียดของโครงการ AESTIQ Thonglor ว่า โครงการนี้ถือเป็นคอนโดมิเนียมแบบ Ultimate Luxury บนทำเลศักยภาพย่านทองหล่อ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “A Reflection of you” สุนทรียะที่สะท้อนความเป็นตัวคุณ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1 – 3 – 88.9 ไร่ พัฒนาเป็นอาคารสูง 40 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 203 ยูนิต จอดรถได้ 220 คัน โดยเสนอยูนิตพิเศษในราคาเริ่มต้นเพียง 8.99 ล้านบาท หรือเริ่มต้นที่ประมาณตารางเมตรละ 269,000 บาท โครงการพัฒนายูนิตขึ้นมาให้เลือก 4 แบบ ได้แก่ แบบ 1 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอย 33-52 ตารางเมตร จำนวน 127 ยูนิต หรือคิดเป็นสัดส่วน 64 % , แบบ 2 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอย 76 – 119 ตารางเมตร จำนวน 56 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 25 % ,แบบ 3 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอย 131-158 ตารางเมตร จำนวน 18 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 10 % และห้องเพนท์เฮ้าส์ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 289-297 ตารางเมตร จำนวน 2 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 1 % โดยคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างประมาณเดือน พฤษภาคม 2562 และจะแล้วเสร็จประมาณเดือนธันวาคม 2564   ทั้งนี้ จุดเด่นของโครงการอยู่ที่ การออกแบบอาคารให้มีรูปทรง Façade ดูโค้งและปิดกั้นด้วยกระจก Curtain Wall ในด้านฝั่งถนนทองหล่อ ที่สะท้อนรูปทรงอาคารเพื่อสร้าง Iconic Landmark แห่งใหม่ที่สะท้อนความเป็น Futuristic ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากโลกแห่งอนาคต แห่งแรกในประเทศไทย และ ในทุกห้องพักของโครงการมี Private Lift ในทุกยูนิต เพื่อตอบโจทย์ชีวิตที่หรูหราของสังคมเมือง โดยลูกค้าสามารถขึ้นมาถึงห้องพักของตนเองได้โดยไม่ต้องเดินผ่านพื้นที่ Corridor ส่วนกลางในแต่ละชั้นแต่อย่างใด   นอกจากนี้ ภายในโครงการได้จัดให้มีระบบจอดรถถึง 2 ระบบ ทั้งแบบ Auto Parking และ Conventional Parking ในสัดส่วนมากกว่า 100%ของห้องพัก รวมทั้งในส่วนของห้องพัก floorplan ได้ถูกออกแบบให้เป็น Cluster ซึ่งการออกแบบลักษณะนี้จะเกิดห้องมุมในสัดส่วนที่มากกว่าปกติ ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ในเรื่องของมุมมองจากภายในห้องพักที่กว้างและเป็นการเปิดรับการระบายอากาศธรรมชาติให้การอยู่อาศัยนั้นมีความแตกต่างจากการพักอาศัยภายในคอนโดมิเนียมทั่วไป อีกทั้งเพื่อเพิ่มมุมมองจากภายในอาคารการออกแบบจึงให้ความสำคัญกับขนาดและตำแหน่งของช่องกระจกมากเป็นพิเศษ โดยออกแบบให้ฝ้าเพดานภายในสูงสุด 3 เมตร และเน้นพื้นที่กระจกบริเวณหน้ากว้างของห้องพัก เพื่อให้ผู้อยู่อาศัยสามารถชื่นชมทัศนียภาพที่งดงามของทิวทิศน์เมืองได้เต็มที่ที่สุด   โดดเด่นด้วย Reflection Pool : “สระว่ายน้ำ” ของโครงการอยู่บนชั้นที่ 30 ของอาคาร ซึ่งถือว่าเป็นชั้นที่สูงมาก เพียงพอที่จะชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามของ Bangkok Skyline โดยที่สระถูกออกแบบให้เป็น Infinity - Edge Pool เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถชื่นชมความงามของธรรมชาตินั้นได้เต็มที่ และมีความยาวสระต่อเนื่องถึง 25 เมตรเหมาะสำหรับผู้ที่รักในการว่ายน้ำออกกำลังกายอีกด้วย โดยออกแบบให้ธรรมชาติแทรกซึมไปในทุกส่วนของพื้นที่แบบ Organic Form และเลือกใช้วัสดุที่สะท้อนความเป็น Reflective เพื่อสร้างความโดดเด่นอีกด้วย   Step Garden :“ บันได” เป็น Main Vertical Circulation ที่สำคัญของโครงการ ซึ่งโครงการ AESTIQ Thonglor นี้ได้นำแนวคิดที่จะนำ Terrace มา Integrate ใช้กับบันได เพื่อให้เกิดการใช้พื้นที่ในรูปแบบที่แตกต่างออกไป กลายเป็นพื้นที่ส่วนกลางที่สามารถเข้ามาใช้งานได้มากขึ้น อีกทั้ง Step Garden นี้ ยังตั้งอยู่ด้านหน้าของโครงการ ทำให้ผู้ใช้งานสามารถมานั่งพักผ่อนในบรรยากาศ Cityscape ของถนนทองหล่อได้อีกด้วย   Sky Private Garden for Penthouse บริเวณชั้นบนสุดของโครงการ ถูกออกแบบเป็นพิเศษและเพิ่มความเป็นส่วนตัวสำหรับห้องเพนท์เฮ้าส์โดยเฉพาะ ที่สามารถเชื่อมต่อได้ด้วยบันไดภายในห้องพักและมีส่วนของ Double Space ที่เชื่อมต่อชั้นบนและชั้นล่าง รวมทั้งมี “Sky Private Garden” พื้นที่ส่วนตัวสุดพิเศษสำหรับห้องเพนท์เฮ้าส์เท่านั้นด้วย   ยิ่งไปกว่านั้น ภายในโครงการยังเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ ที่จอดรถ Super Car & Super Bike and Bicycle , Luxury Car Sharing Service , Shuttle Service , EV Charging Station , Golf & Bike Simulator , Private Theater , Private Onzen , Panoramic Gym , Sky Social Club ฯลฯ รวมทั้งยังมีบริการเสริมอื่น ๆที่ดูแลโดย Concierge Service คอยให้บริการเพิ่มความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้นอีกด้วย   “เราเชื่อมั่นในทำเลที่ตั้งและคอนเซ็ปต์ในการพัฒนาโครงการที่แตกต่างจากคู่แข่งจะสนับสนุนให้โครงการ AESTIQ Thonglor ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายเช่นเดิม เพราะเราใส่ใจลงรายละเอียดในการออกแบบอาคารทั้งภายในและภายนอกเพื่อสะท้อนถึงความเป็นตัวตนที่งดงามแตกต่าง สะท้อนความทันสมัยและรสนิยม นอกจากนี้ยังเติมเต็มความต้องการในส่วนของสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการเสริมพิเศษต่างๆ อีกมากมาย ปัจจัยต่างๆเหล่านี้จะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าระดับบนทั้งคนไทยและชาวต่างชาติที่ซื้ออยู่เองและเพื่อการลงทุนได้อย่างแน่นอน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.aestiq.com หรือ โทร 1232”
เสนาฯ – ฮันคิว  โชว์ความแข็งแกร่ง ลุยเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง

เสนาฯ – ฮันคิว โชว์ความแข็งแกร่ง ลุยเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง

นายธีรวัฒน์ ธัญลักษณ์ภาคย์ (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) และ ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ (ซ้าย) รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วย คุณวาคาบายาซิ ทสึเนะโอะ (ที่ 2 จากขวา) ประธานบริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร๊อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ปเปอเรชั่น และ คุณมาซะฮิโกะ โทดะ (ขวา) ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ปเปอเรชั่น ผนึกกำลังร่วมพัฒนาโครงการใหม่ล่าสุด “นิช โมโน เมกะบางนา มูลค่าโครงการกว่า 2,200 ล้านบาท เป็นโครงการภายใต้การร่วมทุนโครงการที่ 4 ซึ่งถือเป็นการขับเคลื่อนธุรกิจให้เป็นไปตามแผนดำเนินงานในอนาคตที่จะร่วมทุนพัฒนาโครงการใหม่ มูลค่ามากกว่า 20,000 ล้านบาท
บมจ.มั่นคงเคหะการ เดินหน้าสานต่อแผนธุรกิจเตรียมส่ง 5 โครงการรุกตลาดครึ่งปีหลัง พร้อมประกาศร่วมทุน TPARK ผุดโรงงานให้เช่าเฟสใหม่

บมจ.มั่นคงเคหะการ เดินหน้าสานต่อแผนธุรกิจเตรียมส่ง 5 โครงการรุกตลาดครึ่งปีหลัง พร้อมประกาศร่วมทุน TPARK ผุดโรงงานให้เช่าเฟสใหม่

  นายวรสิทธิ์  โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK เปิดเผยว่า บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าดำเนินธุรกิจในปี 2561 ตามแผนที่ประกาศไว้ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา โดยอัดงบลงทุน 5,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุนในธุรกิจเพื่อขาย 4,000 ล้านบาท และงบลงทุนในธุรกิจเพื่อเช่าและการบริการอีก 1,000 ล้านบาท ตั้งเป้าเปิด 7 โครงการใหม่บนทำเลศักยภาพ ในปี 61 นี้ คาดการณ์รายได้จากการขายโครงการรวม 3,500 ล้านบาท  โดยในครึ่งปีแรกได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วรวม 2 โครงการ ประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว ‘ชวนชื่น ซิตี้ เซาท์/วิลล์-วัชรพล’ และ ‘ชวนชื่น ซิตี้ นอร์ท/วิลล์-วัชรพล’ บนทำเลทองย่านวัชรพล     ทั้งนี้ ด้านการพัฒนาโครงการเพื่อการขายในช่วงครึ่งปีหลังนั้น บริษัทฯ วางแผนเปิดโครงการใหม่อีก 5 โครงการ  รวมมูลค่า 4,540 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวรวม 3 โครงการ และโครงการทาวน์โฮมรวม 2 โครงการในทำเลศักยภาพ อาทิ กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก, กรุงเทพฯ ตอนเหนือ และกรุงเทพฯ-ปทุมธานี ซึ่งมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีด้วยจุดเด่นในด้านของทำเลและฟังก์ชั่นการออกแบบที่บริษัทฯ ตั้งใจพัฒนาขึ้น เพื่อตอบโจทย์การอยู่อาศัยของผู้บริโภค   ด้านธุรกิจเพื่อเช่าและการบริการนั้น นายวรสิทธิ์  โภคาชัยพัฒน์ กล่าวเสริมถึงแผนและภาพรวมการดำเนินธุรกิจในส่วนดังกล่าวว่า “สำหรับ บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (PD) บริษัทในเครือผู้พัฒนาและบริหารโครงการบางกอกฟรีเทรดโซน คลังสินค้าและโรงงานเพื่อเช่านั้น ปัจจุบันมีการพัฒนาพื้นที่ปล่อยเช่ารวม 115,000 ตร.ม.  และอยู่ในระหว่างดำเนินการพัฒนาเพิ่ม 38,000 ตร.ม.ในปีนี้   ล่าสุด พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ ได้ร่วมมือกับ บริษัท ไทคอน โลจิสติคส์ พาร์ค จำกัด (TPARK) บริษัทในเครือของ บริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด มหาชน (TICON) ซึ่งเป็นบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและบริหารโรงงานและคลังสินค้าโดยเฉพาะ เพื่อพัฒนาโรงงานและคลังสินค้าเพิ่มเติมอีกกว่า 100 ไร่  โดยมีกลุ่มสแกนเนีย กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัดเป็นลูกค้ารายแรกของความร่วมมือนี้  ได้มีการพัฒนาโรงงานให้เช่าในแบบ Built to Suit หรือสร้างตามความเหมาะสมในการใช้งานด้านการผลิตไปแล้วบนเนื้อที่ 22 ไร่ พื้นที่ใช้สอยรวม 14,000 ตร.ม. มูลค่ารวม 350 ล้านบาท  ด้าน บริษัท ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด นั้น ในช่วงครึ่งปีแรกได้รับบริหารโครงการเพิ่มขึ้นอีก 3 โครงการ โดยในครึ่งปีหลังตั้งเป้าเดินหน้าบริหารโครงการเพิ่มอีก 5 โครงการ ตามแผนที่จะขยายขอบเขตการให้บริการรวม 8 โครงการในปีนี้     อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญของ บมจ.มั่นคงเคหะการ ที่หลายฝ่ายต่างจับตามองก็คือการพัฒนาโครงการ ‘พาร์ค คอร์ท (Park Court)’ อพาร์ทเมนต์และคอนโดมิเนียมใจกลางสุขุมวิทมูลค่า 3,000 ลบ. ตอบโจทย์กลุ่มตลาดระดับบน เจาะกลุ่มนักลงทุนทั้งไทยและต่างประเทศ  ก็ถือเป็นบทพิสูจน์ศักยภาพของบริษัทฯ ได้เป็นอย่างดี เพราะปัจจุบันสามารถขายและปล่อยเช่าไปได้แล้วเกือบ 50% และคาดว่าจะสามารถปิดการขายพร้อมปล่อยเช่าเต็ม 100% ภายในปี 2562  ส่วนธุรกิจการบริการสนามกอล์ฟ ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ ที่ปรับโฉม เปลี่ยนภาพลักษณ์ใหม่ และ ฟลอร่าวิลล์ กอล์ฟ แอนด์ สปอร์ทคลับ ซึ่งเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ก็ได้รับกระแสตอบรับจากผู้มาใช้บริการเป็นอย่างดี  คาดการณ์ว่าจะสร้างรายได้จากธุรกิจการบริการสนามกอล์ฟและสปอร์ทคลับดังกล่าวเพิ่มขึ้น 40% ในปี 61     “บริษัทฯ มองว่าในช่วงครึ่งปีหลัง ด้วยบรรยากาศการลงทุนและกลไกตลาดในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังมีความเคลื่อนไหวในเชิงบวกอยู่ ประกอบกับการดำเนินงานของบริษัทฯยังคงเป็นไปตามแผนที่วางไว้ และจุดแข็งในพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยที่โดดเด่นด้านทำเล ราคา และการออกแบบพื้นที่ใช้สอยที่ใช้ได้จริง ในทำเลที่มีศักยภาพ จะยิ่งเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการเติบโตของบริษัทฯ ในปีนี้” นายวรสิทธิ์  โภคาชัยพัฒน์ กล่าวสรุป  
นวัตกรรมแผ่นยิปซัมรุ่นใหม่ที่ทลายข้อจำกัดแบบเดิมๆ!

นวัตกรรมแผ่นยิปซัมรุ่นใหม่ที่ทลายข้อจำกัดแบบเดิมๆ!

โซลูชั่นส์ระบบผนังยิปซัมรุ่นใหม่สำหรับใช้ในพื้นที่เปียกชื้นสูง มอบประสิทธิภาพทนความชื้นดีเยี่ยม ถูกสุขอนามัย และให้ความทนทานที่คุณคาดไม่ถึง! สำหรับวงการก่อสร้าง เป็นที่รู้กันดีว่าระบบผนังยิปซัมนั้นเป็นโซลูชั่นส์ที่มีความคุ้มค่าในเรื่องของราคา ติดตั้งได้ง่ายและให้งานผนังที่สวยเนี้ยบตามมาตรฐาน อีกทั้งเป็นทางเลือกอันดับหนึ่งในการก่อสร้างบ้านพักอาศัยหรือสำนักงานตลอดช่วงศตวรรษที่ผ่านมา ระบบผนังยิปซัมยังมีขั้นตอนการทำงานที่ไม่ซับซ้อนรวดเร็ว และให้ความยืดหยุ่นในการสร้างผนังเพื่อกั้นห้อง หรือแบ่งพื้นที่ได้สะดวก นอกจากการติดตั้งง่าย ระบบผนังยิปซัมยังมีคุณสมบัติกันไฟลุกลามภายในอาคาร ทั้งยังสามารถติดตั้งได้ในอาคารทั่วไปโดยเสียค่าแรงต่ำกว่าผนังระบบอื่นมาก อย่างไรก็ดี แม้จะเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไปว่าระบบผนังยิปซัมมีข้อดีมากมาย แต่เมื่อพูดถึงพื้นที่เปียก บรรดาช่างก่อสร้างกลับปฏิเสธระบบผนังยิปซัมกันทั้งสิ้น     เนื่องจากระบบผนังยิปซัมที่เสียหายเพราะความชื้นถือเป็นฝันร้ายที่ยากเกินจะเยียวยา ซึ่งเกิดจากแผ่นยิปซัมมีคุณสมบัติอุ้มน้ำได้เป็นอย่างดีนั่นเอง และแน่นอนว่าพื้นผิวกระดาษปิดแผ่นยิปซัมทั่วไปนั้นยังเอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อราเป็นอย่างมากอีกด้วย ซึ่งเชื้อรามักเติบโตได้ดีในพื้นที่อาคารที่มีความชื้นและอากาศไม่ถ่ายเท อีกทั้งการสูดกลิ่นเชื้อราหรือสปอร์ของรายังทำให้เกิดการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ ก่อให้เกิดอาการคัดจมูก จาม แน่นหน้าอก ไอและการระคายเคืองในลำคอ   เท่าที่ผ่านมา ระบบผนังยิปซัมจึงไม่ใช่โซลูชั่นส์ที่เหมาะสำหรับพื้นที่เปียกชื้นเลย พื้นที่เปียกชื้นนั้นมีการจัดประเภทตามระดับความเสี่ยงและยังมีการกำหนดว่าผนัง พื้น ทางแยก และการซึมผ่านแบบใดจะต้องเป็นประเภทกันน้ำ (waterproof) หรือทนน้ำ (water-resistant) พื้นที่เปียกชื้นที่มีความเสี่ยงสูงได้แก่ห้องอาบน้ำและห้องซักรีดที่จำเป็นต้องมีตะแกรงระบายน้ำและพื้นที่ฝักบัวอาบน้ำ พื้นที่เปียกชื้นที่มีความเสี่ยงปานกลางคือพื้นที่ในห้องน้ำนอกห้องฝักบัวและพื้นที่ใกล้ห้องอาบน้ำและสปา พื้นที่เปียกชื้นที่มีความเสี่ยงต่ำคือห้องใช้งานทั่วไปและห้องส้วมแบบแห้ง รวมไปถึงผนังใกล้อ่างล้างจานและอ่างอาบน้ำ (แม้จะมีข้อโต้แย้งในเรื่องนี้จากบรรดาช่างติดตั้งอยู่บ้างก็ตาม)   ปัจจุบัน เทคโนโลยีการผลิตแผ่นยิปซัมได้พัฒนาไปไกลมาก จนสามารถผลิตแผ่นยิปซัมรุ่นใหม่ที่ลบข้อจำกัดการใช้งานในพื้นที่เปียกชื้นสูง และสามารถเปลี่ยนความคิดที่มีต่อผลิตภัณฑ์แผ่นยิปซัมและระบบผนังยิปซัมเดิม ๆ ให้หมดไป แม้ผนังก่ออิฐฉาบปูนจะเป็นตัวเลือกมาตรฐานมาเป็นเวลานานสำหรับช่างก่อสร้าง แต่ด้วยเทคโนโลยีการผลิตวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่ ทำให้ในวันนี้ ยิปรอคขอเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่สู่ผู้บริโภคในประเทศไทยที่จะพลิกโฉมการก่อสร้างระบบผนังยิปซัมภายในบ้านไปตลอดกาล ด้วยประสิทธิภาพการกันน้ำสำหรับพื้นที่เปียกอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน   และที่สำคัญ โซลูชั่นส์ระบบผนังยิปซัมต่อต้านความชื้นสูงของยิปรอคยังคงข้อดีของผนังยิปซัมแบบเดิมไว้อย่างครบถ้วน ทั้งการติดตั้งง่ายรวดเร็วและประหยัดงบประมาณ ซึ่งถือเป็นเป้าหมายหลักของยิปรอค ในฐานะผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างชั้นนำมาตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา   ยิปรอคนำเสนอผลิตภัณฑ์แผ่นยิปซัมประสิทธิภาพสูงที่ครอบคลุมการใช้งานในพื้นที่เปียกชื้นหลายประเภทพร้อมระบบการติดตั้งที่สมบูรณ์แบบ ไม่ว่าจะเพื่อการใช้งานเฉพาะตัวหรือการใช้งานทั้งระบบ ก็สามารถเลือกใช้ได้ตามความต้องการ ด้วยคุณสมบัติทนความชื้น ติดตั้งง่าย ต่อต้านการเกิดเชื้อรา หน่วงการติดไฟ มีอายุการใช้งานยาวนานและง่ายต่อการทำความเข้าใจและติดตั้งหน้าไซต์งาน ทั้งหมดนี้ล้วนถูกออกแบบมาเพื่อการบรรลุเป้าหมายสูงสุด นั่นคือการสร้างสรรค์โซลูชั่นส์ก่อสร้างระบบผนังยิปซัมภายใต้แนวคิด Multi-Comfort เพื่อยกระดับความสะดวกสบาย สุขอนามัย และความสุขของผู้พักอาศัยภายในบ้าน ผ่านการมอบสิ่งแวดล้อมสรรค์สร้างที่ดีเยี่ยม     โซลูชั่นส์ระบบผนังยิปซัมทนชื้นสูงของยิปรอคมอบคุณสมบัติที่ทุกคนปรารถนา โดยสามารถลบข้อเสียของระบบผนังยิปซัมรูปแบบเดิมให้หมดไปได้ และมอบประสิทธิภาพสูงสุดแก่เจ้าของบ้าน พร้อมอายุการใช้งานที่ยาวนานยิ่งกว่า ผนังยิปซัมรุ่นใหม่จากยิปรอคมอบการปกป้องที่ดีเยี่ยมด้วยคุณสมบัติต่อต้านการดูดซึมน้ำและป้องกันการซึมผ่านของความชื้น และต่อต้านการเจริญเติบโตของเชื้อราและเห็ดราได้เป็นอย่างดี   ยิปรอค กลาสรอค  เอช โอเชียน (Gyproc® Glasroc® H OCEAN) เป็นโซลูชั่นส์ระบบผนังยิปซัมจาก ยิปรอคที่เหมาะสำหรับการก่อสร้างผนังภายในบนพื้นที่เปียกชื้นสูงซึ่งสัมผัสกับน้ำในระดับปกติ มอบความแข็งแกร่งทนทาน โดยสามารถปูกระเบื้องทับได้เหมือนผนังทั่วไปหรือทาสีเพื่อใช้งานได้โดยไม่ต้องปูกระเบื้อง ด้วยองค์ประกอบของแผ่นยิปซัมซึ่งเป็นสารอนินทรีย์ประสิทธิภาพสูงที่สามารถทนความชื้นและเชื้อราได้เป็นอย่างดี จึงมอบสุขอนามัยที่ดีกว่าแผ่นยิปซัมแบบเดิมๆ  นอกจากนี้ ยังใช้เทคโนโลยีการเคลือบผิวแบบ Glassfiber Reinforced Gypsum (GRG) โดยใช้ชั้นไฟเบอร์กลาสเคลือบแทนการปิดผิวด้วยกระดาษ อีกทั้งวัสดุแกนกลางของแผ่นยิปซัมยังมีคุณสมบัติการดูดซึมน้ำ ผสานกับชั้นสีรองพื้นสีฟ้าที่ช่วยลดการซึมน้ำจากพื้นผิวผนังได้เป็นอย่างดี อีกทั้งพื้นผิวของแผ่นยิปซัมรุ่นนี้ยังมีคุณภาพสูง พร้อมสำหรับการปูกระเบื้องทับได้ทันที หรือทาสีได้อย่างเรียบเนียน   ยิปรอค กลาสรอค  เอช โอเชียน มอบพื้นผิวผนังที่เหมาะสำหรับการปูกระเบื้องเพื่อพื้นที่เปียกชื้นสูงที่สัมผัสกับน้ำหรือความชื้นบ่อยครั้ง อาทิ ห้องฝักบัว ห้องอาบน้ำ ห้องโถงสระว่ายน้ำที่อยู่ในสภาพแวดล้อมควบคุมที่มีการระบายอากาศ หรือใช้งานในพื้นที่ที่มีความชื้นสูง     3 ผลิตภัณฑ์เพื่อการสร้างสรรค์ระบบผนังยิปซัมที่เต็มประสิทธิภาพ ได้แก่ ยิปรอค กลาสรอค เอช โอเชียน (Gyproc® Glasroc® H Ocean) แผ่นยิปซัมอัจฉริยะที่มีคุณสมบัติทนความชื้นสูงและเชื้อรา พร้อมมอบความแข็งแรง ทนทานด้วยความหนาถึง 12.5 มม. ยิปรอค ไฟเบอร์ เทป ไฮโดร (Gyproc®Fibre Tape HYDRO) เทปตาข่ายใยแก้วทนชื้นเพื่อช่วยเพิ่มความแข็งแรงของรอยต่อของแผ่นยิปซัม ช่วยป้องกันการแตกร้าวและมอบคุณสมบัติในการทนความชื้นและต่อต้านการเติบโตของเชื้อรา เหมาะสำหรับใช้ในพื้นที่เปียกหรือสัมผัสน้ำและความชื้นตลอดเวลา  และ ยิปรอค ยิปฟิลล์ จอยท์ ไฮโดร (Gyproc® Gypfilltm JOINT HYDRO) ปูนฉาบรอยต่อที่มีคุณสมบัติทนชื้น ช่วยให้งานฉาบรอยต่อเรียบเนียน อีกทั้งใช้ตกแต่งพื้นผิวได้โดยตรง เหมาะสำหรับใช้ในพื้นที่เปียกชื้นสูงหรือสัมผัสน้ำและความชื้นตลอดเวลา กรุณาดูข้อมูลที่เว็บไซต์ http://www.gyproc.co.th/ หรือhttps://www.facebook.com/GyprocTH/  
ชินวะ เรียลเอสเตท ติดเครื่องผลิตระบบรูเนะสุในไทย  เล็งทำตลาดทั้งในและต่างประเทศหลังผ่านมาตรฐานจากบ.แม่

ชินวะ เรียลเอสเตท ติดเครื่องผลิตระบบรูเนะสุในไทย เล็งทำตลาดทั้งในและต่างประเทศหลังผ่านมาตรฐานจากบ.แม่

ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) ติดเครื่องผลิตระบบรูเนะสุในไทย ชี้ขั้นตอนสำคัญต้องส่งบริษัทแม่ตรวจสอบเกณฑ์มาตรฐาน จากนั้นเดินหน้ารุกทำตลาดทั้งในและต่างประเทศ มร.โทโมยาสุ ยามาเบะ กรรมการผู้จัดการ และ นายวิชัย จุฬาโอฬารกุล กรรมการบริหาร บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า ภายหลังการเข้ามาปักหมุดลงทุนในไทยประมาณสองปีที่ผ่านมา โดยพัฒนาคอนโดมิเนียมด้วยระบบรูเนะสุ ที่นำนวัตกรรมซิกม่าบีม (Sigma Beam) ลิขสิทธิ์เฉพาะของชินวะ กรุ๊ป-บริษัทแม่ที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น ขณะนี้เดินเครื่องผลิตนวัตกรรมซิกม่าบีม ในประเทศไทย ด้วยการติดตั้งเครื่องจักร 1 เครื่อง ซึ่งจะมีกำลังการผลิตได้เพียงพอต่อการทำตลาดในช่วงเริ่มต้น โดยขั้นตอนสำคัญเมื่อผลิตชิ้นส่วนซิกม่า บีมที่โรงงานในไทย จะต้องส่งไปทดสอบเกณฑ์มาตรฐานจากบริษัทแม่ที่ประเทศญี่ปุ่น หากได้เกณฑ์มาตรฐานแล้วจะนำมาใช้ติดตั้งในโครงการเร็น สุขุมวิท39 ซึ่งเป็นโครงการใหม่ของบริษัทที่เพิ่งเปิดตัวเมื่อเร็วๆนี้ นอกจากนั้นมีแนวทางการทำตลาดทั้งในและต่างประเทศ โดยเป้าหมายคือ โครงการคอนมิเนียมในเมือง ขนาด 20 ตร.ม.เศษ ทาวน์โฮมและบ้านเดี่ยว ที่มีพื้นที่ใช้ประโยชน์ขนาดต่ำกว่า 250 ตร.ม. ส่วนตลาดต่างประเทศ ขณะนี้ประเทศที่สนใจอยู่ระหว่างการเจรจา คือ ฮ่องกง และ สิงคโปร์     “ชินวะ กรุ๊ป บริษัทแม่ของชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) ที่มีสำนักงานใหญ่ที่โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น มีรากฐานเติบโตมาจากงานคอนสตรัคชั่น ขณะนี้มีประวัติศาสตร์การดำเนินงานมาถึง 128 ปีแล้ว ธุรกิจในเครือแตกไลน์หลายแขนง เรามีนโยบายการพัฒนาโครงการในไทยปีละ 1-2 โครงการก่อน เพราะต้องการใส่ใจในทุกรายละเอียดเพื่อให้งานออกมาอย่างมีคุณภาพ โดยแนวทางของชินวะ กรุ๊ป แตกต่างจากกลุ่มทุนญี่ปุ่นอื่นๆที่เข้ามาลงทุนกับดีเวลลอปเปอร์ไทยในลักษณะที่เน้นการลงเงินทุน แต่นโยบายจอยท์ เวนเจอร์ของชินวะฯ คือเรานำโนว์ฮาวเข้ามาใช้ในการก่อสร้างในไทยด้วย การเข้ามาตั้งโรงงานผลิตซิกม่า บีม ชิ้นส่วนสำคัญของระบบรูเนะสุนี้ เป็นเป้าหมายที่วางไว้ตั้งแต่ต้น ทั้งนี้เพื่อต้องการให้กลุ่มเป้าหมาย ทั้งชาวไทย ญี่ปุ่น และผู้อยู่อาศัยในโครงการได้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ในแบบที่บริษัทแม่ Shinwa ที่ญี่ปุ่นได้ประสบความสำเร็จ และได้ครองใจคนญี่ปุ่นมาแล้ว กว่า 128 ปี” มร.ยามาเบะ กล่าว     ด้านนายวิชัย จุฬาโอฬารกุล กรรมการบริหาร บริษัท ชินวะ เรียลเอสเตท (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า การทำตลาดระบบรูเนะสุของชินวะฯ จะเป็นการขายโซลูชั่น ไม่เฉพาะการขายชิ้นส่วนซิกม่าบีมเท่านั้น แต่จะรวมถึงขั้นตอนการให้คำปรึกษาแนะนำ ออกแบบ ควบคุมงานก่อสร้าง โดยการส่งวิศวกรผู้ชำนาญงานเข้าไปร่วมดูแลเพื่อให้ได้มาตรฐานของระบบ สำหรับกลยุทธ์การทำตลาดขณะนี้มีเป้าหมายทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยมุ่งเน้นคอนโดมิเนียมในเมือง ที่มีขนาดพื้นที่ประมาณ 20 ตารางเมตรเศษ ซึ่งระบบรูเนะสุ นี้จะเข้ามาช่วยเพิ่มพื้นที่ใช้ประโยชน์ให้มากขึ้น โดยการกลับคานเป็นพื้น-กลับพื้นเป็นคาน เพื่อใช้พื้นที่ความต่างด้านล่างที่มีความสูง 60 เซนติเมตรเพื่อใช้ประโยชน์ในการเก็บของ ปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่น การบริหารจัดการ Death Space และสามารถทำให้ผู้อยู่อาศัยมีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้นถึง 25-40 % นอกจากนั้นยังมีโครงการแนวราบ เช่น ทาวน์โฮม บ้านเดี่ยว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบเพื่อสร้างโมเดลตัวอย่าง คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปีนี้ และยังรวมถึงคอมมูนิตี้ มอลล์ และ อาคารออฟฟิศ ต่างๆ ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยที่เพิ่มขึ้นเช่นกัน ส่วนการรุกตลาดต่างประเทศ ขณะนี้ประเทศที่สนใจระบบรูเนะสุและอยู่ระหว่างการเจรจา คือ ฮ่องกง และ สิงคโปร์   สำหรับชินวะ กรุ๊ป ได้เข้ามาจอยท์ เวนเจอร์กับกลุ่มทุนไทยเพื่อดำเนินงานคอนโดมิเนียมมาแล้ว 2 โครงการ คือ รูเนะสุ ทองหล่อ 5 คอนโดมิเนียมโลวไรส์ 8 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 156 ยูนิต โดยเป็นระบบรูเนะสุ 2 ชั้น มูลค่าโครงการกว่า 1,200 ล้านบาท ปิดการขายแล้วขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จราวไตรมาส 2 ปี 62 สำหรับโครงการเร็น สุขุมวิท 39 (ซอยพร้อมมิตร) เป็นอาคารสูง 7 ชั้น 2 อาคาร จำนวนรวม 298 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 2,600 ล้านบาท โดยเป็นระบบรูเนะสุทุกยูนิต เพิ่งเปิดตัวโครงการไปเมื่อเร็วๆนี้ และจะเปิดขายอย่างเป็นทางการประมาณไตรมาส 3 ของปีนี้
บุญถาวรนำร่อง ‘Solar Roof’ พลังงานทดแทน  ช่วยธุรกิจลดต้นทุน คืนทุนใน 7 ปี

บุญถาวรนำร่อง ‘Solar Roof’ พลังงานทดแทน ช่วยธุรกิจลดต้นทุน คืนทุนใน 7 ปี

บริษัท บุญถาวรเซรามิค จำกัด ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ลดการใช้เชื้อเพลิงอย่างก๊าซธรรมชาติในการผลิตพลังงานไฟฟ้า สืบเนื่องจากปัจจัยการขยายตัวเชิงเศรษฐกิจของไทยที่ขยายตัวจากเมืองหลวงอย่างกรุงเทพฯ กระจายตัวออกไปยังหัวเมืองใหญ่ในแต่ละจังหวัดและภูมิภาคต่างๆ ภายในประเทศฯ เป็นผลให้ความต้องการพลังงานของประเทศไทยนั้นปรับตัวเพิ่มขึ้น ซึ่งในช่วง 3 เดือนแรกของ   ปี 2561 ที่ผ่านมาประเทศไทยมีอัตราการใช้พลังงานไฟฟ้าสูงถึง 44,598  กิกะวัตต์ คิดเป็น 0.9% เพิ่มขึ้นจากระยะเวลาเดียวกันของปีก่อน1 ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ภาวะวิกฤตการณ์ขาดแคลนพลังงานไฟฟ้า มีสภาวะรุนแรงยิ่งขึ้น สืบเนื่องมาจากก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทยมีทีท่าว่าจะหมดลงในอีก 4 – 5 ปีข้างหน้า ซึ่งถือเป็นเชื้อเพลิงหลักในการใช้ผลิตไฟฟ้าของไทยถึง 70% ในการผลิตไฟฟ้า และหากก๊าซธรรมชาติหมดลงจะส่งผลตรงไปยังภาคเศรษฐกิจที่จะต้องทำการนำเข้าก๊าซธรรมชาติจากประเทศเพื่อนบ้าน ทำให้อัตราค่าการผลิตไฟฟ้าและราคาค่าไฟจะปรับตัวสูงขึ้นและมีที่ท่าว่าจะยังคงทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ หากไม่ได้รับการแก้ไขในระยะยาว จึงเป็นที่มาของ บุญถาวร ได้ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ อย่าง ‘โซลาร์รูฟ’ (Solar Roof) มาติดตั้งตามสาขาต่างๆ โดยมี บริษัท โซลาร์ตรอน จำกัด (มหาชน) เป็นผู้ดูแลการติดตั้ง   การทำงานของ โซลาร์รูฟ (Solar Roof)  โซลาร์รูฟ (Solar Roof) ทำงานผ่านแผงโซลาร์เซลล์ที่ผลิตจากวัสดุสารกึ่งตัวนำที่มีลักษณะคล้ายคลึงกับชิพคอมพิวเตอร์ในการเป็นตัวรับแสงอาทิตย์เข้ามาเปลี่ยนเป็นไฟฟ้ากระแสตรง ก่อนที่จะส่งไปยังเครื่องแปลงไฟ (Inverter) เพื่อเริ่มกระบวนการเปลี่ยนไฟฟ้ากระแสงตรง (DC Current) ไปเป็นไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Current) ในการดึงพลังงานไฟฟ้าไปใช้ต่อภายในครัวเรือนหรืออุตสาหกรรม ซึ่ง โซลาร์รูฟ สามารถติดตั้งได้กับหลังคาทุกประเภท อีกทั้งยังสามารถช่วยลดค่าใช้จ่ายในการจ่ายค่าไฟ สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลาง ตัวอย่างเช่น บุญถาวร สาขาเกษตร-นวมินทร์ ติดตั้งขนาด 837 กิโลวัตต์ สามารถลดค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ย 20 – 25 % คิดเป็น 400,000 - 450,000 บาทต่อเดือน เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ไฟฟ้าแบบปกติ หรือเมื่อเปรียบเทียบ หากนำพลังงานที่ได้จากระบบ Solar Rooftop นี้ ไปใช้กับครัวเรือนบ้านพักอาศัยขนาดกลางโดยทั่วไป  ที่ใช้ไฟฟ้าเฉลี่ยประมาณ 1,000 หน่วยต่อเดือน  สามารถใช้ได้ถึง 100 ครัวเรือน  คิดเป็นการประหยัดค่าไฟฟ้า 4,000 – 5,000 บาทต่อเดือนต่อครัวเรือน   โดยทาง บุญถาวร ได้ติดตั้ง โซลาร์รูฟ (Solar Roof) ทั้งสิ้นกว่า 11 สาขาทั่วประเทศ รวมขนาดประมาณ 7,226 กิโลวัตต์ สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายค่าไฟฟ้า มากกว่า 836,000 หน่วยต่อเดือน ประหยัดค่าใช้จ่าย ประมาณ 3,764,000 บาทต่อเดือน นอกจากนี้ยังมีแผนติดตั้ง โซลาร์รูฟ (Solar Roof) สำหรับโครงการต่างๆของบุญถาวรที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ยังช่วยในการบริหารจัดการลดค่าใช้จ่าย ค่าความต้องการพลังไฟฟ้า (kVA: Demand Charge) จากการเป็นผู้ใช้ไฟฟ้าประเภท TOU Meter (Time of Use Rate หรือ อัตราค่าไฟฟ้าตามช่วงเวลาใช้) เป็นต้น ซึ่งจากการทดลองใช้งานดังกล่าวทำให้เห็นการทำงานของโซลาร์รูฟที่ช่วยในการประหยัดพลังงานและค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้   ประโยชน์ของ โซลาร์รูฟ (Solar Roof) สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจและอุตสาหกรรมแล้ว การติดตั้งโซลาร์รูฟ (Solar Roof) นั้นสามารถช่วยลดต้นทุนค่าไฟฟ้าได้ในระยะยาวเนื่องจากสามารถผลิตไฟฟ้าใช้งานเองได้ในเวลากลางวัน ด้วยการลงทุนเพียงครั้งเดียว มีอายุการใช้งานที่ยาวนานสูงกว่า 25 ปี ประกอบกับค่าบำรุงรักษาที่ย่อมเยา และระยะเวลาในการคืนทุนที่ชัดเจนภายใน 7 ปี ติดตามรายละเอียดต่างๆได้ที่บุญถาวรทุกสาขา หรือติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.boonthavorn.com เฟซบุ๊ค https://www.facebook.com/boonthavorn/ หรือไลน์ Official Account บุญถาวร  
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ยกระดับบริการลูกค้าผ่าน “Major Development Contact Center”

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ยกระดับบริการลูกค้าผ่าน “Major Development Contact Center”

สร้างสรรค์ประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง สำหรับค่ายเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ นำโดยบอสใหญ่ คุณเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร ล่าสุดสั่งทีมงานลุยกลยุทธ์ Customer Centric ยกระดับการให้บริการลูกค้าเทียบเท่ามาตรฐานสากล เปิดตัว “Major Development Contact Center” ศูนย์กลางการให้บริการลูกค้าแบบครบวงจร รองรับบริการแบบ One Stop Service ผ่านหมายเลขโทรศัพท์ 02-116-1111 เบอร์เดียวตอบสนองทุกความต้องการให้ข้อมูลและให้คำปรึกษานำเสนอโซลูชั่นที่ดีที่สุด พร้อมแล้วที่จะดูแลและมอบที่สุดแห่งความประทับใจ ตั้งแต่วันนี้ ทุกวันเวลา 8.00-20.00 น. งานนี้บอสใหญ่แอบกระซิบว่าครึ่งปีหลังนี้จะมีบริการและสิทธิพิเศษใหม่ๆ มาให้ลูกค้าเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ได้เซอร์ไพรส์กันอยู่เรื่อยๆ แน่นอน อดใจรออีกนิดนะคะ…
SINGHA COMPLEX พร้อมเปิดให้บริการตุลาคมนี้  เผยยอดจองพื้นที่ออฟฟิศพุ่งแล้วกว่า 75% – รีเทลพุ่งแล้วกว่า 80%

SINGHA COMPLEX พร้อมเปิดให้บริการตุลาคมนี้ เผยยอดจองพื้นที่ออฟฟิศพุ่งแล้วกว่า 75% – รีเทลพุ่งแล้วกว่า 80%

สิงห์ เอสเตท พร้อมเปิดโปรเจกต์แฟล็กชิปโครงการแรกย่านอโศก-เพชรบุรี “สิงห์ คอมเพล็กซ์” (SINGHA COMPLEX) ช่วงเดือนตุลาคมนี้ ปัจจุบันสร้างแล้วเสร็จกว่า 95% โดยส่วนพื้นที่ “ดิ ออฟฟิศ แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์” มียอดผู้เช่าแล้วกว่า 75% ขณะที่ส่วนรีเทลปิดการขายไปแล้วกว่า 80% นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) บริษัทชั้นนำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ (Premier Property Development and Investment Holding Company)กล่าวว่า “สำหรับโปรเจกต์แฟล็กชิป SINGHA COMPLEX ซึ่งเป็นโครงการมิกซ์ ยูส ใจกลางธุรกิจย่านอโศก- เพชรบุรี ขณะนี้งานก่อสร้างคืบหน้าแล้วกว่า 95% และคาดว่าจะเสร็จสมบูรณ์พร้อมเปิดให้เข้าใช้บริการได้ประมาณเดือนตุลาคม พร้อมแผนจัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี ด้านการปล่อยเช่าพื้นที่ในส่วนอาคารสำนักงานเกรดเอ “ดิ ออฟฟิศ แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ (The Office at SINGHA COMPLEX)” ปัจจุบันได้มีบริษัทชั้นนำทั้งไทยและต่างชาติสนใจเข้าทำสัญญาเช่าพื้นที่แล้วกว่า 35,000ตารางเมตร หรือคิดเป็น 75% ส่วนพื้นที่รีเทลปัจจุบันได้มีผู้สนใจเช่าพื้นที่แล้วกว่า 80% รวมแล้วกว่า 30 ร้าน ประกอบด้วย ร้านอาหารชั้นนำที่เลือกสรรมาให้มีความหลากหลาย มินิซูเปอร์มาร์เก็ตที่มีความครบครัน เพื่อให้สามารถตอบโจทย์ความชื่นชอบของลูกค้าได้ทุกไลฟ์สไตล์ นอกจากนั้นยังมีไฮไลต์เป็นร้านคาเฟ่และเบเกอรี่ชื่อดังระดับโลกที่มาเปิดตัวในประเทศไทยเป็นครั้งแรกอย่าง กองทาน เชอร์เรียร์ (Gontran Cherrier)รวมถึง คาเฟ่ เดล มาร์ (Café del Mar) บีชคลับชื่อดังระดับโลกที่จะมาเปิดร้านอาหารคอนเซปท์ใหม่ครั้งแรกในกรุงเทพมหานคร โครงการ สิงห์ คอมเพล็กซ์ (SINGHA COMPLEX) เป็นโครงการแบบ Mixed-use Complex ประกอบด้วย อาคารสำนักงานเกรดเอ พื้นที่ค้าปลีก และคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี ที่พัฒนาขึ้นบนพื้นที่ดิน 11ไร่ บริเวณหัวมุมถนนอโศก-เพชรบุรี โดยส่วนพื้นที่อาคารสำนักงานมีความสูง 42 ชั้น และส่วนรีเทลเป็นอาคารสูง 4 ชั้น ขนาดพื้นที่รวม 2 อาคารประมาณ120,000 ตารางเมตร และมีมูลค่าก่อสร้างรวมกว่า4,200 ล้านบาท (ไม่รวมมูลค่าที่ดิน)  
แอสเสท เวิรด์ รีเทล ผนึกพลังแบรนด์ชั้นนำบูมกระแสธุรกิจค้าปลีก เปิดตัว ‘ลาซาล อเวนิว’ เพิ่มรายได้รับไตรมาส 3 หลังปล่อยเช่าพื้นที่เต็ม 100%

แอสเสท เวิรด์ รีเทล ผนึกพลังแบรนด์ชั้นนำบูมกระแสธุรกิจค้าปลีก เปิดตัว ‘ลาซาล อเวนิว’ เพิ่มรายได้รับไตรมาส 3 หลังปล่อยเช่าพื้นที่เต็ม 100%

  แอสเสท เวิรด์ รีเทล หนึ่งในผู้นำธุรกิจรีเทลของไทย รุกธุรกิจค้าปลีกย่านบางนาด้วยการทุ่มงบ 350 ล้านบาท ผุดคอมมูนิตี้มอลล์แนวใหม่ ‘ลาซาล อเวนิว’ ระดมแบรนด์ชั้นนำพร้อมให้บริการเต็มรูปแบบสร้างเป็น Food Destination อย่างครบครัน พร้อม Green Space พื้นที่สีเขียวปอดแห่งใหม่ของย่านลาซาล บนเนื้อที่กว่า 3,000 ตร.ม. เสริมแกร่งธุรกิจรีเทลในเครือรับไตรมาส 3   นายมานพ คำสว่าง ผู้จัดการบริหารทรัพย์สิน บริษัท แอสเสท เวิรด์ รีเทล จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันการแข่งขันในธุรกิจรีเทลทั้งกรุงเทพฯ และเมืองเศรษฐกิจทั่วประเทศมีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและจะคงการเติบโตดังกล่าวไปอีก 1-2 ปีข้างหน้า และปัจจัยที่นำสู่ความสำเร็จคือ ‘การสร้างสรรค์ความต่างและศักยภาพของผู้ประกอบการ’ ที่จะพัฒนาโครงการเพื่อเติมเต็มความต้องการของลูกค้าได้อย่างครบครัน ในขณะเดียวกันก็ต้องสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ลูกค้ายังไม่เคยสัมผัสที่ใดมาก่อน เพื่อกระตุ้นความสนใจในการเข้าใช้บริการ ด้วยเหตุดังกล่าว แอสเสท เวิรด์ รีเทล จึงได้ยึดแนวคิดนี้มาใช้พัฒนาศูนย์การค้าโครงการล่าสุดของเรา ‘ลาซาล อเวนิว’ เพื่อมอบความประทับใจครั้งใหม่ให้แก่กลุ่มลูกค้าย่านบางนา “ปัจจุบันตลาดคอมมูนิตี้มอลล์ยังเป็นอีกหนึ่งรูปแบบธุรกิจรีเทลที่เป็นที่ต้องการของตลาด แอสเสท เวิรด์ รีเทล เชื่อมั่นว่าคอมมูนิตี้มอลล์แนวคิดใหม่ที่เราพัฒนาขึ้นในครั้งนี้ เหมาะกับความต้องการของลูกค้าในย่านลาซาลอย่างมาก เพราะเป็นคอมมูนิตี้มอลล์รูปแบบแนวคิดใหม่ ซึ่งการพัฒนา ‘ลาซาล อเวนิว’ ในครั้งนี้ เรียกได้ว่าเป็นการบุกเบิกตลาดคอมมูนิตี้มอลล์ที่เปิดบริการในช่วงเวลาที่แตกต่างเพื่อเติมเต็มความต้องการของชุมชนอย่างแท้จริง” นายมานพ คำสว่าง กล่าวเสริม   ทั้งนี้ สาเหตุที่ย่านบางนาเป็นหนึ่งในทำเลที่มีอัตราการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยและเพื่อการพาณิชย์อย่างชัดเจนเป็นเพราะย่านนี้เป็นทำเลยุทธศาสตร์ที่เชื่อมสู่ศูนย์กลางแหล่งอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจ ตลอดจนการคมนาคมที่สะดวกสบาย มีความหลากหลายด้านการเดินทาง เข้าออกเมืองได้ง่ายด้วยทางด่วนขั้นที่ 1 และทางด่วนบูรพาวิถี หรือเชื่อมต่อกับมอเตอร์เวย์ ที่สำคัญยังเป็นศูนย์กลางการเชื่อมต่อการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าถึง 3 เส้นทาง ประกอบด้วย รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวเส้นทางแบริ่ง-สำโรง, รถไฟฟ้าสายสีเหลืองเส้นทางลาดพร้าว-สำโรง และรถไฟฟ้ารางเบาเส้นทางบางนา-สุวรรณภูมิ ซึ่งหากเปิดการเดินรถครบทุกเส้นทางแล้วคาดว่าจะมีผู้ใช้บริการเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัว โดยย่านดังกล่าวมีจำนวนประชากร อยู่อาศัยกว่า 230,361 คน โดยมีแนวโน้มอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี รวมถึงจากการสำรวจพบว่าประชากร มีรายได้ต่อครัวเรือนสูงติดอันดับ 1 ใน 10 ของกรุงเทพฯ อีกด้วย   ด้านนายธนวัฒน์ อัจฉริยวุธ ผู้จัดการทั่วไป ศูนย์การค้าลาซาล อเวนิว บริษัท แอสเสท เวิรด์ รีเทล จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ เล็งเห็นถึงศักยภาพของพื้นที่ย่านบางนาเพราะเป็นสถานที่ตั้งของสถานที่สำคัญมากมาย อาทิ โรงเรียนนานาชาติที่มีชื่อเสียงและโรงเรียนไทยที่สำคัญหลายแห่ง หมู่บ้าน อาคารสำนักงาน และอุตสาหกรรมที่สำคัญของกรุงเทพฯ และจากการสำรวจกลุ่มเป้าหมายพบว่า ย่านลาซาล-แบริ่ง เป็นแหล่งที่พักอาศัยที่มีกำลังซื้อสูงและมีความเจริญขึ้นอย่างรวดเร็ว จะเห็นได้จากรถไฟฟ้าที่มีการขยายการให้บริการจากเดิมสิ้นสุดที่สถานีอ่อนนุชขยายเป็นสถานีสำโรง นอกจากนี้ ยังเดินทางได้สะดวก สามารถเข้าออกได้หลายเส้นทาง ใกล้ทางด่วน จากเหตุผลที่กล่าวมาทั้งหมดจึงนำมาสู่การพัฒนาศูนย์การค้าให้ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า 3 ประการ ได้แก่ 1. ตอบโจทย์ทางด้านความครบทุกความต้องการของลูกค้าเรียกได้ว่ามาแล้วสามารถใช้เวลาอยู่ได้ทั้งวัน อีกทั้งยังมี International Brand แฟชั่นระดับโลกไว้ให้บริการ 2. มีกรีนสเปซ พื้นที่สีเขียวปอดแห่งใหม่ของคนย่านลาซาล ด้วยพื้นที่กว่า 3,000 ตร.ม. และ 3. มีความสะดวกสบายด้วยการออกแบบในสไตล์คอมมูนิตี้มอลล์ที่มี 1 ชั้น โดยจัดพื้นที่จอดรถไว้รอบอาคารกว่า 300 คัน สามารถจอดรถแล้วเดินเข้าร้านค้าต่างๆ ได้ทันที โดยคาดว่าจะมี traffic เข้าสู่ ลาซาล อเวนิว เฉลี่ย 6,000 คนต่อวัน และจะมียอดใช้จ่ายต่อคนอยู่ที่ 2,500 บาทต่อครั้ง สำหรับจุดดึงดูดผู้ใช้บริการเข้าสู่ศูนย์นั้นประกอบด้วย ยูนิโคล่ โรดไซด์ สาขาที่ 2 ในประเทศไทย ที่เพิ่มความสะดวกในการช้อปปิ้ง มาให้คนในย่านลาซาล แบริ่ง Orca BAKER & BUTCHER ร้านอาหารสไตล์ Modern Italian ที่ขึ้นชื่อเรื่องเนื้อนำเข้าจากฟาร์มชั้นนำทั่วโลกคุณภาพดี พร้อมกูรูเนื้อมืออาชีพที่พร้อมให้คำแนะนำการเลือกเนื้อที่ตรงตามต้องการ BY BUA ร้านอาหารไทยต้นตำรับที่นำเสนออาหารไทยจากการปรุงรสอย่างละเมียดละไมตามสูตรแบบโบราณ Salada Organic Kitchen ร้านอาหารเพื่อสุขภาพที่เน้นความสดสะอาดของวัตถุดิบปรุงอาหารให้อร่อยอย่างพิถีพิถัน Villa Market World of Foods Supermarket ที่คัดสรรวัตถุดิบคุณภาพชั้นเลิศจากทั่วโลก Glo One Stop Beauty Lounge ที่จะเนรมิตให้สวยตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าในแบบ One Stop Service และ Tsuruha Drug Store ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามอันดับ 1 จากญี่ปุ่น พร้อมร้านค้า แบรนด์ดังอื่นๆ อีกมากมาย   ทั้งนี้ ลาซาล อเวนิว ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 24 กรกฎาคม นี้ พร้อมกิจกรรมสุดพิเศษ Meet&Greet กับพระเอกหนุ่มมาดเข้ม ‘เวียร์-ศุกลวัฒน์’ ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นกลางสวนสวย และมินิคอนเสิร์ตจากนักร้องดีกรีคุณหมอ ‘ริท-เรืองฤทธิ์’ และต่อเนื่องในวันที่ 28 กรกฎาคม พบกับตลาดนัดอินดี้จาก Maxnet Market พร้อมด้วยมินิคอนเสิร์ตจากเกิร์ลกรุ๊ปสาวมาแรง ‘SWEAT 16’ ซึ่งได้เตรียมแผนจัด Theme Market ไว้ตลอดทั้งปี เพื่อส่งความสุขและสร้างสีสัน ความเพลิดเพลินให้แก่ลูกค้าผู้ใช้บริการ ชมรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/LasallesAvenue
ทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยาแหล่งที่อยู่อาศัยไฮเอนด์

ทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยาแหล่งที่อยู่อาศัยไฮเอนด์

  จับตาทำเลศักยภาพ “ริมแม่น้ำเจ้าพระยา” หลังโครงการมิกซ์ยูส ที่อยู่อาศัยไฮเอนด์ เปิดตัวพร้อมกันกับแลนด์มาร์คใหม่ๆ หนุนการท่องเที่ยวคึกคัก เพิ่มศักยภาพให้ทำเลริมแม่น้ำเจ้าพระยาเทียบชั้นทำเลที่มีเสน่ห์น่าอยู่อาศัย กลิ่นอายของวิถีชีวิตแบบเก่าแก่ดั้งเดิมที่ผสมผสานระหว่างหลากหลายวัฒนธรรมทั้งไทย จีน ฝรั่ง ที่กลมกลืนกันอย่างลงตัว ทำให้ไม่ว่าจะผ่านมาแล้วกี่ยุคกี่สมัย ย่าน “เจริญกรุง” ย่านชุมชนการค้าเก่าแก่ของกรุงเทพฯ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ยังคงมีเสน่ห์อย่างเหลือล้น เพราะนอกจากความเก๋าความเก่าแก่ที่น่าหลงใหลแล้ว ตลอดแนวถนนเจริญกรุง ถนนแห่งประวัติศาสตร์ ถนนลาดยางแห่งแรกของกรุงเทพและประเทศเทศไทยแห่งนี้ ยังมีเรื่องราวความน่าสนใจมากมายซ่อนไว้ให้ค้นหา “เจริญกรุง” แลนด์มาร์คของสายอาร์ตทิส ถนนเจริญกรุง ถือเป็นถิ่นเมืองเก่าที่เต็มไปด้วยความคลาสสิก ความเท่ และสีสันของทุกของไลฟ์สไตล์ ที่โดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมย้อนยุคสไตล์ “ชิโน-โปรตุกีส” ตามฉบับเมืองเก่าที่ชวนหลง ในปัจจุบันย่านนี้ มีแลนด์มาร์คเกิดใหม่มากมายที่สามารถดึงดูดกลุ่มวัยรุ่น สายอาร์ตทิส ฮิปสเตอร์ รวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลเข้ามาเยี่ยมเยียนย่านนี้อย่างต่อเนื่อง อาทิ อาคาร TCDC (ไปรษณีย์กลางบางรักเดิม) ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบที่ตัวอาคารมีความโดดเด่นด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Art Deco โทนสีน้ำตาลกลมกลืนไปกับความเก่าแก่ของย่าน แต่ภายในออกแบบอย่างทันสมัยตอบรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ นอกจากนั้นหากเดินลัดเลาะตามซอยเจริญกรุง 32 ติดกับ TCDC ยังมีศิลปะ Wall Art แหล่งร่วมงานกราฟฟิตี้ ที่ศิลปินทั่วโลกได้มาสร้างสรรค์ผลงานให้ได้เชคอิน ถ่ายภาพตามตลอดซอกซอยให้ได้ชื่นชม และในซอยเจริญกรุง 30 ยังเป็นที่ตั้งของ “Warehouse 30” โกดังสุดฮิปแห่งใหม่ของย่านเจริญกรุง เป็นคอมมูนิตี้สุดอาร์ตผลงานของสถาปนิกชื่อดังของไทย โดยภายในจะมีทั้งร้านค้า ตลาดนัดของโฮมเมด และพื้นที่อเนกประสงค์สำหรับจัดงานนิทรรศการให้ได้ชื่นชมอีกด้วย “เจริญกรุง” แลนด์มาร์คของศาสนสถาน เสพศิลป์กับสายอาร์ตแล้ว ย่านเจริญกรุงยังมีอีกหนึ่งมนต์เสน่ห์ที่รับรองว่าถูกใจคนชอบกินอย่างแน่นอน เพราะย่านเจริญกรุง รายล้อมไปด้วยร้านอาหารอร่อยๆ ทั้งร้านที่มีอายุเก่าแก่กว่า 100 ปี และร้านอาหารสุดชิคเกิดใหม่ ให้เลือกอย่างมากมาย ถนนเจริญกรุง ยังเพียบพร้อมด้วยสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ เรียกว่ามีให้ชมครบทั้งด้านสังคม ศาสนา และวัฒนธรรม โดยเฉพาะด้านศาสนา เพราะโดยรอบถนนเจริญกรุง เป็นที่ตั้งของศาสนสถานของหลากหลายเชื้อชาติ อาทิ วัดอุภัยราชบำรุง วัดของชาวญวน วัดแม่พระลูกประคำ (โบสถ์กาลหว่าร์) ของคริสต์ศาสนิกชน โบสถ์กาลหว่าร์ โบสถ์ในนิกายโรมันคาทอลิกที่มีความเก่าแก่ถึง 120 ปี และวัดไตรมิตรวิทยารามวรวิหาร หรือวัดสามจีน เป็นต้น “เจริญกรุง” แลนด์มาร์คของที่อยู่อาศัยระดับไฮเอนด์ ด้วยศักยภาพและมนต์เสน่ห์ของย่านเจริญกรุง ตลอดจนถึงเส้นทางคมนาคมที่สะดวก มีตัวเลือกที่หลากหลาย ทั้งการนั่งรถไฟฟ้า BTS สะพานตากสิน การใช้บริการท่าเรือสี่พระยา และรถสาธารณะ จึงไม่น่าแปลกหนัก หากทำเลย่านเจริญกรุงเขตเมืองที่เจริญรุ่งเรืองสูงสุดในอดีต จะถูกจับตามองว่าเป็นทำเลศักยภาพสูงเหมาะกับการอยู่อาศัยระดับลักชัวร์รี่ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่างอย่างโดดเด่น โดยปัจจุบันบริเวณรอบสองฝั่งริมแม่น้ำเจ้าพระยาในช่วงเอเชียทีคขึ้นไปจนถึงตลาดยอดพิมาน ทั้งฝั่งเจริญกรุงและเจริญนคร มีคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์เกิดใหม่มากมาย ต้องจับตามมองกันต่อเนื่องว่าความเจริญของย่านนี้ในอนาคตระยะ 4-5 ปีข้างหน้า ย่านเจริญกรุงน่าจะมีศักยภาพเทียบชั้นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ของกรุงเทพมหานคร เพราะการเกิดขึ้นของโครงการใหม่ๆ มากมาย เช่น หอชมเมืองกรุงเทพมหานคร ซึ่งจะเป็นสิ่งปลูกสร้างที่ดึงดูดด้านการท่องเที่ยวสูง 459 เมตร รวมถึงคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ที่มีอาคารสูงพิเศษจะสร้างแล้วเสร็จอีกหลายโครงการ อาทิ โครงการ Mixed Use ขนาดใหญ่อย่าง ดิ ไอคอนสยาม, Four Seasons Private Residences, เดอะเรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ เป็นต้น ในส่วนของราคาของคอนโดมิเนียมริมแม่น้ำยิ่งเติบโดสูงมากต่อตารางเมตรสูงสุดขึ้นไปแตะราว 400,000 บาทต่อตารางเมตร เป็นคอนโดมิเนียมในกลุ่มลักซ์ชัวรี่ที่กลายเป็นย่าน CBD แห่งใหม่ของกรุงเทพไปแล้ว และเราจะได้เห็นโฉมใหม่ของพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาไม่นานเกินรอ เมื่อหลายๆโครงการแล้วเสร็จและเริ่มเปิดให้บริการกันภายในปลายปี 2561 นี้ แม่น้ำ เรสซิเดนท์ คอนโดลักชัวร์รี่ราคาคุ้มค่า เมื่อเป็นที่แน่นอนว่าการเติบโตของการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา ส่งผลให้ราคาปรับตัวเพิ่มสูงมากขึ้น เพราะด้วยศักยภาพทำเลที่เป็นตัวดันราคาแล้ว อีกปัจจัยหนึ่งคือที่ดินริมแม่น้ำเจ้าพระยาแทบจะไม่มีเหลือให้พัฒนาอีกต่อไปแล้ว จึงเป็นโอกาสที่ดี หากจะรีบจับจองเป็นเจ้าของห้องพักคอนโดมิเนียม หรู ได้ในราคาที่คุ้มค่าสูงสุด โดยโครงการแม่น้ำเรสซิเดนท์ คอนโดมิเนียมลักชัวร์รี่ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นอีกหนึ่งโครงการพร้อมเข้าอยู่ ที่ตอบทุกโจทย์ของผู้ที่ต้องการอยู่อาศัยริมแม่น้ำที่ให้ทั้งความสวย หรูหรา และสงบเป็นส่วนตัว ราคายังคุ้มค่าที่สุด โดยห้องเพนท์เฮาส์ ขนาด 274 - 285 ตรารางเมตร มีราคาเริ่มต้นของแบบ bare shell ที่ 61 ล้านบาท หรือเฉลี่ยเพียง 223,000 บาทต่อตารางเมตร นอกจากนั้น แม่น้ำเรสซิเดนท์ ยังมีความโดดเด่นด้านทำเลที่มองเห็นวิวโค้งแม่น้ำเจ้าพระยาที่งดงามที่สุด โดยอาคารถูกแบบในสไตล์ friendly design และใช้คอนเซปต์ single corridor ที่ทำให้สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำได้ทุกห้อง ทั้งยังมอบบริการระดับเดียวกับโรงแรมห้าดาวให้กับลูกค้า โดยเฉพาะห้องเพนท์เฮาส์ของแม่น้ำเรสซิเดนท์ ที่ตกแต่งพร้อมอยู่ ลูกค้าสามารถเข้าอยู่ได้เลย และยังเป็นโครงการคอนโดที่เปิดขายแบบฟรีโฮลด์ (Freehold) หรือขายแบบมีกรรมสิทธิ์ สนใจเข้าชมโครงการ โทร 062-796-0101 หรือ www.menamresidences.com
คอนโด 3 ล้าน ผ่อนเดือนละไม่ถึง 3 พัน มีจริง ไม่ใช่ฝัน ห้ามพลาดเด็ดขาด!!

คอนโด 3 ล้าน ผ่อนเดือนละไม่ถึง 3 พัน มีจริง ไม่ใช่ฝัน ห้ามพลาดเด็ดขาด!!

  เชื่อว่าคงเป็นความฝันของใครหลายๆ คน ที่อยากจะมีชีวิตสะดวกสบายอยู่ในคอนโดดีๆ ใกล้รถไฟฟ้า ใกล้แหล่ง Community Mall ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต แทนที่จะต้องจ่ายค่าเช่าไปเรื่อยๆ 6 พัน 7 พัน หรือบางทีก็เป็นหลักหมื่นๆ บาททุกเดือน โดยที่สุดท้ายมันก็ไม่ใช่บ้านของเรา แต่ด้วยเพราะคอนโดดีๆ สักห้องหนึ่งที่ฝันอยากได้นั้น มันก็ราคาไม่ใช่น้อยเลย ซึ่งหากจะซื้อเป็นของตัวเอง บางทีค่าผ่อนมันก็เยอะเกินไปจนทำให้เราไม่สามารถแบกรับไหว ก็เลยพลอยให้ไม่กล้าตัดสินใจซื้อคอนโดเป็นของตัวเองสักที!! แต่วันนี้ปัญหาเรื่องการผ่อนไม่ไหวจะหมดไป ด้วยโปรโมชั่นพิเศษจากออริจิ้นกับ “โปรเหนือเมฆยกกำลัง 2” ที่จะทำให้คุณฟินกับการผ่อนแบบเบาสบายสุดๆ ในแบบที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน!!   รายละเอียดโปรสุดว้าว!! เหนือเมฆยกกำลัง 2 แนวคิดสำคัญของโปรเหนือเมฆยกกำลัง 2 เกิดมาจากการที่ทางออริจิ้น ต้องการให้ผู้ที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยได้มีโอกาสเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองจริงๆ ซึ่งด้วยเพราะเข้าใจถึงปัญหาภาระค่าใช้จ่าย และค่าครองชีพในเมืองที่เพิ่มสูงขึ้นทุกวัน ออริจิ้นจึงได้ออกโปรโมชั่นนี้ขึ้นมาเพื่อทำให้ฝันของคนที่ต้องการเป็นเจ้าของคอนโดดีๆ สักห้องมีโอกาสกลายเป็นความจริงได้ง่ายมากขึ้น โดยรายละเอียดของโปรโมชั่นก็ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน คือ สำหรับคอนโดใหม่พร้อมอยู่ที่ร่วมรายการนั้น ผู้ซื้อสามารถผ่อนรายเดือนเบาๆ โดยจ่ายเพียงแค่ ล้านละ 999 บาท* นาน 3 ปี ซึ่งนั่นหมายความว่า ถ้าเราซื้อคอนโดในราคา 1 ล้านบาท เราก็จะเสียค่าผ่อนรายเดือนใน 3 ปีแรกแค่เดือนละ 999* บาท และหากเราซื้อคอนโดในราคาสูงขึ้น เช่น 3 ล้านบาท ก็จะต้องผ่อนจ่ายรายเดือนใน 3 ปีแรก เป็นเงินทั้งสิ้นเพียง 999 x 3 = 2,997 บาท!! และที่พิเศษสุดอีกอย่างของโปรโมชั่นนี้ก็คือ มีธนาคารชั้นนำมากมายเข้าร่วมสนับสนุนโครงการนี้ ซึ่งยิ่งทำให้เรามีโอกาสเพิ่มมากขึ้นเป็น 100% ได้ในการจะได้มีคอนโดเป็นของตัวเองจริงๆ สักที   ผ่อนสบาย เหลือเงินไปใช้จ่ายในชีวิตมากขึ้น ผลลัพธ์ของการผ่อนถูกจากโปรเหนือเมฆยกกำลัง 2 จะทำให้เรามีเงินเหลือมาใช้บริหารค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันได้มากขึ้น อย่างที่ทราบกันดีว่า ปกติเรทของการเช่าคอนโดรายเดือนจะอยู่ที่ประมาณตั้งแต่ 6,000 บาทขึ้นไป แต่พอเมื่อเรามาซื้อคอนโดด้วยโปรเหนือเมฆยกกำลัง 2 จากออริจิ้นนี้ปุ๊บ แทนที่จะต้องจ่าย 6 พัน ถ้าคอนโดราคา 3 ล้าน เราก็จ่ายเพียงแค่เดือนละ 2,997 บาท มีเงินเหลือเก็บไว้ใช้เพิ่มขึ้นอีกเดือนละตั้ง 3,003 บาท และถ้าคอนโดที่เราซื้อราคาเพียงแค่ล้านกว่าๆ ก็เท่ากับว่าเราจะจ่ายค่าผ่อนต่อเดือนเพียงแค่พันกว่าบาทเท่านั้นเอง ทำให้เหลือเงินมากกว่า 4 พันบาทต่อเดือน ซึ่งเงินที่เหลือจากตรงนี้ ก็สามารถนำไปเก็บเป็นเงินออมก็ได้ นำมาจ่ายค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าอะไรก็ได้ที่เราต้องรับผิดชอบอยู่ ซึ่งสำหรับบางคนแล้ว จำนวนเงินที่เหลือประมาณนี้ ก็สามารถ Cover ค่าใช้จ่ายต่อเดือนทั้งหมดของเขาได้เลยทีเดียว และนี่คือวัตถุประสงค์หลักของทางออริจิ้นที่ออกโปรนี้มาเพื่อผู้ที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองโดยเฉพาะ!!   3 ปีผ่านไป ก็ยังยิ้มใสๆ ได้อยู่!! ภาพรวมของโปรเหนือเมฆดูหอมหวานซะจนใครหลายๆ คนอาจมองว่า เอ๊ะ!! แล้วถ้าผ่าน 3 ปีไปแล้วล่ะ มันจะยังสดใสอยู่หรือเปล่า ตรงนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องกังวลแต่อย่างใด เพราะในความเป็นจริงแล้ว สำหรับโปรโมชั่นซื้อที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่อัตราดอกเบี้ยจะเริ่มต้นถูกเสมอ แล้วหลังจากนั้นก็จะถูกปรับให้แพงขึ้น จึงเป็นเหตุให้ เราต้องทำการ Refinance ใหม่เพื่อให้ได้ดอกเบี้ยที่ถูกลง ซึ่งก็ในทำนองเดียวกันเลย สำหรับใครที่ซื้อคอนโดกับโปรเหนือเมฆยกกำลัง 2 นี้ พอผ่านไป 3 ปี เราก็ทำการรีไฟแนนซ์เพื่อขอปรับลดอัตราดอกเบี้ยได้ เพื่อให้เราได้อัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่าเดิม และอีกผลพลอยได้หนึ่งที่เราจะได้ก็คือ ในการทำรีไฟแนนซ์นั้น โดยทั่วไปจะมีการประเมินราคาทรัพย์ใหม่ ซึ่งปกติ ราคาคอนโดจะปรับขึ้นทุกปีอยู่แล้ว นั่นจึงทำให้เรามีโอกาสได้ส่วนต่างจากราคาประเมินใหม่ เพื่อมานำไปใช้บริหารชีวิตเราอีกต่อหนึ่งด้วย   ยกตัวอย่างเช่น เราซื้อคอนโดมาในราคา 3 ล้านบาท ผ่านไป 3 ปี สมมติให้เฉลี่ยราคาคอนโดขึ้นปีละ 5 % (อัตราเฉลี่ยราคาคอนโดช่วงปี พ.ศ.2555-2560 จาก Nexus Property Marketing คือ 8%) จะเท่ากับว่าราคาประเมินคอนโดเราจะขยับขึ้นปีละ 150,000 บาท (3 ล้าน*5 %) เบ็ดเสร็จ 3 ปี ราคาคอนโดเราก็จะขยับไปอยู่ที่ 3,450,000 บาท ซึ่งจากราคานี้ หากประวัติทางการเงินเราดี ธนาคารใหม่ที่เราไปขอทำ Refinance สามารถอนุมัติให้เราได้สัก 90-100% ก็จะทำให้เราได้เงินส่วนต่าง 4.5 แสนมาใช้จ่าย หรือนำไปลงทุนต่อเติมซ่อมแซมห้องในจุดที่เราอยากตกแต่งเพิ่มเติมได้อีก   ระยะเวลา 3 ปี ทำให้เรามีโอกาสตั้งตัวได้ทัน ในกรอบระยะเวลา 3 ปีช่วงโปรเหนือเมฆยกกำลัง 2 ที่ให้สิทธิ์เราในการผ่อนจ่ายเบาๆ แค่ล้านละ 999* ต่อเดือนนั้น มีแง่ดีที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือ ทำให้ผู้อยู่อาศัยจริงได้มีช่วงเวลาหายใจหายคอ อย่างที่ทราบกันดีว่า การจะซื้อคอนโดสักห้องนั้น มันมีค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายก่อน อาทิ ค่าจอง ค่าโอน ค่าส่วนกลาง ฯลฯ ซึ่งเมื่อรวมกับค่าผ่อนรายเดือนด้วยแล้ว บางทีมันก็มากจนทำให้อาจหมุนเงินไม่ทัน และเกิดภาวะช้อตได้ โปรโมชั่นตัวนี้ จึงมาช่วยแบ่งเบาภาระดังกล่าว และทำให้เรามีเวลาตั้งตัวในการวางแผนสำหรับการผ่อนจ่ายในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งระยะเวลาดังกล่าวนั้น ก็นานพอที่จะทำให้เราตั้งตัวได้อย่างมั่นคงมากขึ้น ไหนจะบริหารเงินจากโบนัสที่ได้รับในแต่ละปี บริหารเงินจากส่วนต่างที่ได้เพิ่มขึ้นจากการผ่อนถูกกว่าเช่า บริหารจากอัตราเงินเดือนที่เพิ่มสูงขึ้นทุกปี และอีกประเด็นที่ช่วยผ่อนแรงเราได้ก็คือ หลังรีไฟแนนซ์แล้ว แม้เราอาจจะต้องเป็นหนี้ยาวนานขึ้น แต่เมื่อแลกกับการผ่อนเบาสบาย ไม่ต้องปวดหัวเครียดกับการหาค่าผ่อนแพงๆ และการได้เป็นเจ้าของห้องโดยชอบธรรมแล้ว นี่คือโอกาสที่ดีที่สุด และไม่ได้จะหาโอกาสแบบนี้จากที่ไหนได้ง่ายๆ   คอนโดที่ร่วมรายการ ล้วนอยู่บนย่านทำเลศักยภาพ โปรเหนือเมฆยกกำลัง 2 ไม่ใช่เพียงแค่โปรโมชั่นดีๆ ที่ทำให้เรามีโอกาสง่ายขึ้นกับการเป็นเจ้าของคอนโดเท่านั้น แต่ทุกโครงการที่ร่วมรายการโปรโมชั่นนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นโครงการที่ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ ใกล้รถไฟฟ้า และรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันทั้งสิ้น ซึ่งนั่นทำให้ผู้อยู่อาศัยได้ประโยชน์ไปโดยตรงเต็มๆ แถมยังการันตีได้ด้วยว่า การซื้อคอนโดกับโปรนี้ เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาวอีกด้วย เพราะหากวันหนึ่ง เราเกิดอยากขยับขยายครอบครัว อยากอยู่ในบ้านที่ใหญ่ขึ้น หรือคอนโดที่ใหญ่ขึ้น ก็สามารถขายต่อหรือปล่อยเช่าต่อได้ง่าย และได้กำไร เนื่องจากเป็นคอนโดที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ทำเลที่เป็นที่ต้องการ ทั้งนี้ คอนโดที่เข้าร่วมโครงการโปรเหนือเมฆยกกำลัง 2 10 โครงการ ได้แก่   1. “The Cabana condo” แรงบันดาลใจจากหมู่เกาะสวยงามระดับโลก สู่ที่พักอาศัยสไตล์ โมเดิร์นรีสอร์ท พร้อมพื้นที่ส่วนกลางรวมกว่า 2 ไร่ บนที่ดินทำเลอนาคต เพียง 2 นาทีถึง #BTSสำโรง เริ่ม 1.79 ล้าน* คลิก https://bit.ly/2uGeQAZ 2. “KnightsBridge Sky City Saphanmai” กว่า 1,500 ตารางเมตร ณ จุดสูงสุดของสะพานใหม่ 0 เมตร ติด BTS สายหยุด ตอบรับทุกคุณค่าของการใช้ชีวิตด้วยการบริการพิเศษ ระดับโรงแรม 2 ห้องนอน เริ่ม 4.69 ล้าน* คลิก https://bit.ly/2zUxL19 3. “Knightsbridge Tiwanon” คอนโด Duo Space พร้อมอยู่ดีไซน์แบบ Modern เพดานสูงสุด 4.2 เมตร ให้คุณใช้ชีวิตสะดวกสบายใกล้ชิดธรรมชาติติดสวนกว่า 1,000 ไร่ 90 เมตร จาก MRT กระทรวงสาธารณะสุข เริ่ม 3.59 ล้าน* https://bit.ly/2L4FMFG 4. "Notting Hill Phahol Kaset" 180 เมตร ถึง BTS บางบัว ศักยภาพของทำเลที่ตั้งย่านธุรกิจและความสะดวกสบายในการคมนาคม พร้อมด้วยบริการระดับโรงแรม และ Facilities พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน 2 ห้องนอนใหญ่ เริ่ม 5.39 ล้าน* คลิก https://bit.ly/2NoJK91 5. “Notting Hill Sukhumvit Praksa” คอนโดมิเนียมสูง 35 ชั้น แห่งแรกบนถนนแพรกษา เปิดรับวิวมุมสูงแบบ 360 องศา ทั้งท้องทะเล แม่น้ำ และท้องฟ้า เพียง 650 เมตรถึง BTS แพรกษา เริ่ม 1.45 ล้าน* คลิก https://bit.ly/2uAAW8h 6. “Notting Hill Tiwanon” ตอบรับการใช้ชีวิตที่มากกว่า ด้วยบริการระดับโรงแรม ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน แห่งแรก แห่งเดียวบนถนนติวานนท์-แยกแคราย แค่ 3 นาทีถึง MRT กระทรวงสาธารณสุข เริ่ม 1.89 ล้าน* คลิก https://bit.ly/2NntZ25 7. “Notting Hill The Exclusive CharoenKrung” สัมผัสกลิ่นอายวัฒนธรรมผสมผสานกับการใช้ชีวิตสมัยใหม่ กับ #คอนโดพร้อมอยู่ ที่สุดของความเป็นส่วนตัวเพียง 8 ชั้น 132 ยูนิต ในย่านเจริญกรุง 93 เพียง 140 เมตรจากเอเชียทีค และ 1 ก.ม. จากแยก ถ.จันทร์ เริ่ม 3.99 ล้าน* คลิก https://bit.ly/2KYHIiU 8. “KnightsBridge the Ocean Sriracha” สัมผัสความงดงามของวิวทะเลและภูเขาได้ในที่เดียว คอนโดที่ไม่ใช่แค่ที่พักตากอากาศ แต่เป็นทรัพย์สินศักยภาพสูงบนเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก Eastern Economic Corridor เริ่ม 2.69 ล้าน*คลิก https://bit.ly/2JGYdLg 9. “Notting Hill Laemchabang Sriracha” คอนโดหรูแต่งครบพร้อมอยู่หน้า ม.เกษตร ท่ามกลางอาณาจักรแห่งไลฟ์สไตล์หน้า ซึ่งประกอบไปด้วยคอมมูนิตี้มอลล์และโรงแรม ซึ่งจะทำให้คุณเป็นเจ้าของชีวิตพรีเมียมพร้อมใช้ใจกลาง Origin District พิเศษ!! •Free Fully Furnished By Chic Republic • Free All Expenses เริ่ม 1.99 ล้าน คลิก! https://bit.ly/2NAT2Po 10. “Kensington Laemchabang Sriracha” คอนโดมิเนียม สูง 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 399 ยูนิต ออกแบบภายใต้แนวคิด “คอนโด Modern Loft” ได้แรงบันดาลใจมาจาก Irish Pub ที่เน้นการออกแบบให้มี Double Space ที่เปิดโล่ง ภายในโครงการมี Facilities ครบครันรองรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ตั้งอยู่บนถนนสุขุมวิท คอนโดตรงข้าม ม.เกษตรฯ วิทยาเขตศรีราชา เริ่ม 1.59 ล้าน คลิก https://bit.ly/2uTLnnt   “โอกาส” จะเป็นของคนที่ไขว่คว้ามันไว้เท่านั้น!! ปัญหาเดียวที่เหนี่ยวรั้งเราเอาไว้จากการไม่มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง คือเรื่องของการบริหารค่าใช้จ่าย ให้สามารถจัดการชีวิตของเราได้โดยไม่เสี่ยง ซึ่งแทบจะบอกได้เลยว่าไม่มีเหตุผลใดเลยที่เราจะปฏิเสธโปรเหนือเมฆยกกำลัง 2 นี้ เพราะนี่คือโปรที่ให้โอกาสเราได้มากที่สุดแล้ว คือ ให้โอกาสเราได้ผ่อนน้อย และให้โอกาสเราได้มีเวลาเริ่มต้นวางแผนการเงินเพื่ออนาคตนานถึง 3 ปี ซึ่งถ้าพลาดโอกาสนี้ไป บางทีเราก็อาจต้องไปเริ่มต้นใหม่กับราคาคอนโดที่สูงขึ้นไปกว่านี้อีก ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากๆ เพราะถ้าเราเริ่มต้นตั้งแต่ตอนนี้ ก็มองเห็นชัดเจนว่าเราจะมีแต่กำไรในอนาคต ไม่ว่าจะอยู่ระยะสั้นหรือระยาวก็ตาม
“โฮมโปร” สร้างปรากฏการณ์ความคึกคัก  จัดงาน “โฮมโปร แฟร์” ช้อป กิน บิน เที่ยว งานแฟร์เรื่องบ้านที่ทุกคนต้องมา

“โฮมโปร” สร้างปรากฏการณ์ความคึกคัก จัดงาน “โฮมโปร แฟร์” ช้อป กิน บิน เที่ยว งานแฟร์เรื่องบ้านที่ทุกคนต้องมา

นายวีรพันธ์  อังสุมาลี  รองกรรมการผู้จัดการ  บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร”  เป็นประธานเปิดงานเรื่องบ้านสุดยิ่งใหญ่ “โฮมโปร แฟร์” “ช้อป กิน บิน เที่ยว” งานแฟร์เรื่องบ้าน ตอบโจทย์ทุกความต้องการของทุกคนในครอบครัว ยกขบวนสินค้าแบรนด์ชั้นนำมามอบส่วนลดสูงสุดกว่า 70% พร้อมรับโปรโมชั่นพิเศษมากมาย พบไฮไลท์เด็ดภายในงานกับร้านอาหารต้นตำรับกว่า 150 ร้านค้าทั่วกรุง พร้อมชมโชว์ และการละเล่นสนุกๆ ในบรรยากาศสุดคลาสสิค ตลอด 10 วัน พบกับมหกรรมความสนุก ครบ คุ้ม พร้อมโปรโมชั่น ราคาพิเศษ รับประกันความสุขล้นมือตลอดทั้งงาน ตั้งแต่ 20-29 กรกฎาคม 2561 ณ ฮอลล์ 5-8 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
แซง-โกแบ็ง ขานรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการ  เปลี่ยนแปลงเพื่อสร้าง “คุณภาพชีวิตที่ออกแบบได้” สำหรับที่พักอาศัย

แซง-โกแบ็ง ขานรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการ เปลี่ยนแปลงเพื่อสร้าง “คุณภาพชีวิตที่ออกแบบได้” สำหรับที่พักอาศัย

  แซง-โกแบ็ง ผู้นำในตลาดการก่อสร้างระดับโลกซึ่งมีความเชี่ยวชาญในการออกแบบ การผลิต และการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ก่อสร้างคุณภาพสูง ร่วมขานรับนโยบายไทยแลนด์ 4.0 เป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการเปลี่ยนแปลง เพื่อสร้าง “คุณภาพชีวิตที่ออกแบบได้” สำหรับที่พักอาศัย โดยแซง-โกแบ็งได้ร่วมนำเสนอโซลูชั่นส์ Multi-Comfort ภายในงาน Thai-French Smart City Forum ณ โรงแรมอีสติน แกรนด์ สาทร กรุงเทพฯ เพื่อร่วมส่งเสริมแนวคิดใหม่ ๆ และการพัฒนาเทคนิคในด้านการก่อสร้างที่ยั่งยืน ความสวยงามทางสุนทรียศาสตร์ และการพัฒนาที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี   Thai-French Smart City Forum จัดโดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ บิสเนส ฟรานซ์ (ฝ่ายการค้าและพาณิชย์) สถานเอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทย โดยมีจุดประสงค์เพื่อการแบ่งปันองค์ความรู้และประสบการณ์ในด้านการพัฒนาเมืองอัจฉริยะและการพัฒนาย่านนวัตกรรมในประเทศไทย ซึ่งครอบคลุมถึงการรังสรรค์ระบบนิเวศที่ส่งเสริมแนวทางสู่นวัตกรรมบูรณาการ การประชุม Thai-French Smart City Forum ครั้งนี้ยังมอบโอกาสให้แก่บรรดาผู้แทนจากประเทศไทยสามารถพบปะกับบริษัทผู้พัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเมืองอัจฉริยะชั้นนำของโลกจากฝรั่งเศส อาทิ SAINT-GOBAIN, ACOEM, ARTELIA, BOUYGUES-THAI, DASSAULT SYSTEMS, DEXTRA, EDF INTERNATIONAL NETWORKS, EGIS, ENGIE, MICHELIN, PLATT NERA-SIGFOX, SCHNEIDER ELECTRIC, SUEZ และ VEOLIA ตลอดจนมีโอกาสร่วมพูดคุยหารือในประเด็นด้านเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับโครงการเมืองอัจฉริยะและย่านนวัตกรรม ซึ่งกำลังได้รับการพัฒนาขึ้นในประเทศไทยในปัจจุบัน ภายในงานนี้ แซง-โกแบ็ง ยังได้ร่วมการสัมมนาภายใต้หัวข้อ “Cutting-edge solutions for a smart & sustainable future” ร่วมกับบริษัท Dassault Systemes, Engie และ Schneider โดย แซง-โกแบ็ง ได้นำเสนอแนวคิด “What is building 4.0?” ผ่านโซลูชั่นส์ Multi-Comfort สำหรับเมืองอัจฉริยะ ซึ่งเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์และโซลูชั่นส์ประสิทธิภาพสูงที่มอบความสะดวกสบายแก่ผู้พักอาศัยในอาคาร และประหยัดพลังงานเป็นเลิศ ซึ่งจะช่วยสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมในอาคารพักอาศัยที่ยั่งยืนมากยิ่งขึ้น   มร. นิโคลา โกเดท์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร กลุ่มผลิตภัณฑ์ก่อสร้างประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แซง-โกแบ็ง กล่าวว่า “การยกระดับขีดความสามารถ กำลังการผลิต และนวัตกรรมการก่อสร้าง คือความมุ่งมั่นของแซง-โกแบ็ง เราเล็งเห็นถึงวิธีการก่อสร้างอัจฉริยะเพิ่มมากขึ้น (ซึ่งรวมถึงการผลิตนอกสถานที่ซึ่งช่วยลดระยะเวลาการก่อสร้างและเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน) จึงนับเป็นสิ่งสำคัญมากที่เราต้องไม่ละทิ้งนวัตกรรมและการสร้างสรรค์ความยั่งยืน เราตระหนักอยู่เสมอว่านวัตกรรมคือหนึ่งในมูลค่าสูงสุดที่ทำให้เรามีความสามารถในการแข่งขัน โดยมีการคาดการณ์ว่า ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของไทยในปัจจุบันจะเกิดการลงทุนเพิ่มขึ้นในการสร้างอาคารอัจฉริยะรุ่นใหม่ ๆ ที่มีการควบคุมการทำงานระยะไกลแบบอินเตอร์แอ็คทีฟที่ประหยัดพลังงาน แต่จะอย่างไรก็ตาม อาคารที่ดีที่สุดก็คืออาคารที่ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและมอบความสะดวกสบายสำหรับผู้พักอาศัย โดยใช้พลังงานเพียงน้อยในการเริ่มต้นสร้างความรู้สึกสบายโดยรวม”   “แซง-โกแบ็ง มุ่งมั่นพัฒนาแนวทางใหม่ ๆ ในการออกแบบพื้นที่พักอาศัยด้วยแนวคิด Multi Comfort ซึ่งมอบความสะดวกสบายให้แก่ผู้พักอาศัยในอาคารมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่เพื่อการพักอาศัย การทำงาน หรือความบันเทิง เป้าหมายสูงสุดของเราคือการออกแบบอาคารเพื่อชีวิตที่สะดวกสบายยิ่งกว่า โซลูชั่นส์ Multi-Comfort คือกลยุทธ์ของเราในการพัฒนาเมืองอัจฉริยะซึ่งจะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศและพัฒนานวัตกรรมภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ของรัฐบาล แซง-โกแบ็ง มีนวัตกรรมและเทคโนโลยีมากมายเพื่อช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยบรรลุถึงเป้าหมาย โดยให้ความสำคัญทั้งด้านนวัตกรรมสมัยใหม่และการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ กระบวนการ และบริการอย่างต่อเนื่อง ด้วยแนวคิดที่เปิดกว้างและใส่ใจต่อความต้องการของผู้บริโภค”
“เซ็นจูรี่ 21ฯ” ปรับโฉมแบรนด์ใหม่ ตั้งเป้าเติบโตแบบ Organic Growth

“เซ็นจูรี่ 21ฯ” ปรับโฉมแบรนด์ใหม่ ตั้งเป้าเติบโตแบบ Organic Growth

  เซ็นจูรี่ 21 (ประเทศไทย) ปรับโฉมแบรนด์ใหม่ตามบริษัทแม่ Century 21 สหรัฐอเมริกา รับมือธุรกิจแข่งเดือด-พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน ทั้งยังให้ความสำคัญกับเครือข่ายแฟรนไชส์ ที่เป็น Core Competency ของธุรกิจ Century 21 ทั่วโลกพร้อมประกาศทิศทางธุรกิจใหม่ Focus จุดเด่นเติบโตแบบ Organic Growth ร่วมมือกับ Startup จากนิวซีแลนด์ พัฒนา Back Office ซัพพอร์ตเอเจนท์ตามนโยบาย Agent Centric ไปพร้อมๆ กับ Customer Centric   นายกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ ประธานและผู้ก่อตั้ง บริษัท เซ็นจูรี่ 21 (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ว่า เทคโนโลยี โดยอินเตอร์เน็ต (IoT: Internet Of Things) จะเข้ามามีบทบาทในการทำงานให้อยู่บนโลกออนไลน์ ประกอบกับกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายในปัจจุบันนั้นคือกลุ่ม Millennials (อายุ 22-37 ปี) ที่เติบโตมากับโลกไร้สาย ดังนั้นนักการตลาดจะต้องปรับตัวให้สอดรับกับพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง และการตัดสินใจของคนกลุ่มนี้ต้องอาศัยข้อมูลเป็นจำนวนมากจากหลายแหล่ง อีกทั้งมีผลสำรวจพบว่าคนกลุ่มนี้จะมีจำนวนเพิ่มขึ้นและมากที่สุดในโลกไปอีก 10 - 20 ปี เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด การทำงานของทุกธุรกิจต้องปรับตัว เช่นเดียวกันกับวงการอสังหาริมทรัพย์ จำต้องปรับตัว รวมถึงการคิดค้น Model ธุรกิจใหม่ที่เชื่อมโยงความเป็น Lifestyle ผ่านการทำธุรกรรมโดยใช้สกุลเงินดิจิทัลที่กำลังเข้ามามีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสามารถสร้างผลตอบแทนที่มหาศาล   โดยในส่วนของแบรนด์ Century 21 อยู่มานานกว่า 48 ปี และในประเทศไทยได้เปิดดำเนินการมา 10 ปีสำนักงานใหญ่ Century 21 สหรัฐอเมริกาถือโอกาสนี้ปรับรูปโฉมแบรนด์ใหม่ทั่วโลก สำหรับในประเทศไทย นอกจากจะปรับรูปโฉมแบรนด์ใหม่แล้ว ยังปรับโครงสร้างการบริหารโดย คุณกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ เป็น President & Regional Owner หรือประธานและผู้ก่อตั้ง บริษัท เซ็นจูรี่21 (ประเทศไทย) จำกัด และยังเป็นผู้ถือลิขสิทธิ์แบรนด์ Century 21 Laos อีกด้วย   และในการนี้ยังได้แต่งตั้ง นายธิติวัฒน์ ธีรกุลธัญโรจน์ ขึ้นบริหารงานในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท เซ็นจูรี่21 (ประเทศไทย) จำกัด อย่างเป็นทางการ พร้อมทีมงานบริหารที่เสริมทัพแข็งแกร่งยิ่งขึ้น   Focus จุดเด่นเติบโตแบบ Organic Growth ด้านนายธิติวัฒน์ ธีรกุลธัญโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นจูรี่ 21 (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางของบริษัทฯ จากระยะเวลาที่ได้ประกอบธุรกิจในประเทศไทยกว่า 10 ปี ว่า Century 21 ยังคงเติบโตต่อเนื่องอย่างมั่นคง นั่นคือ “เราจะเติบโตในรูปแบบ Organic Growth โดยจะมองในแบบ Strategic Direction จะเป็นแบบ Focus จุดเด่นของ Century 21 ซึ่งยังคงมุ่งเน้นในสิ่งที่เราชำนาญ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง การทำการซื้อ-ขาย และเป็นที่ปรึกษาเรื่องที่ดินเพื่อการลงทุน ปัจจุบันบริษัทฯ มีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญที่สามารถตอบสนองให้กับนักลงทุน และนักพัฒนาโครงการฯ อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับเครือข่ายแฟรนไชส์ ที่เป็น Core Competency ของธุรกิจ Century 21 ทั่วโลก” การเข้ามาของผู้สนใจทำธุรกิจ แฟรนไชส์อสังหาริมทรัพย์รายใหม่ๆ ในปีนี้บริษัทฯ อาจไม่ได้ต้องการจำนวนสาขาที่เพิ่มมากขึ้น แต่จะเป็นการพัฒนาเครื่องมือเพื่อเพิ่มศักยภาพและโอกาสในการทำงานของสาขาที่มีอยู่ และการรักษามาตรฐาน การบริการของสาขาปัจจุบันที่เป็นเครือข่ายของบริษัทฯ รวมถึงทิศทางต่อจากนี้ จะมุ่งเน้นการสร้างชุมชน เครือข่ายของที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ หรือเอเจนท์ให้เกิดขึ้น โดยจะสนับสนุนเรื่อง เครื่องมือทางการตลาด เพื่อให้ง่ายต่อการทำงาน โดยเฉพาะเอเจนท์ในระบบของบริษัท และเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจใหม่ๆ ที่เรียกว่า New Comer ได้เข้ามาในระบบมากขึ้น โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีแฟรนไชส์สาขาทั้งสิ้น 30 ราย   “เมื่อเราโฟกัส ไปยังสิ่งที่เราชำนาญ และสนับสนุนส่วนต่างๆ ของบริษัทฯ ในเชิงนโยบายก็จะสอดคล้องกัน โดยบริษัทฯ จะมีนโยบายในการเสริมเรื่องเทคโนโลยีในการทำงานมากขึ้น คือ Technology Driven มีนโยบายให้หาเทคโนโลยีใหม่ๆที่จะมาสนับสนุนการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพทั้งของบริษัทและ Stakeholder ของเรา” นายธิติวัฒน์ กล่าวย้ำ พร้อมขยายความต่อด้วยว่า การกำหนดนโยบายในเรื่อง Knowledge Management การสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้ให้ทั้งบริษัทฯ และผู้ที่สนใจในด้านอสังหาริมทรัพย์ การพัฒนาทรัพยากรบุคคลด้วยองค์ความรู้ใหม่ ๆ อีกสิ่งที่บริษัทได้กำหนดไว้ คือ Customer Centric ไปพร้อมกับคำว่า Agent Centric โดยทั้งสองส่วนมีส่วนสำคัญในการดำเนินธุรกิจ หรือถ้าใช้คำสั้น ๆ ก็คือ ความใส่ใจ ให้ความสำคัญ นั่นเอง   ปรับตัวรับการแข่งขัน/ ร่วมมือกับ Startup จากนิวซีแลนด์ จากทิศทางที่ปรับเปลี่ยนทั้งด้านเทคโนโลยี ตลาด พฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งเราเองก็ต้องวาง Policy และปรับตัวเพื่อให้สามารถสร้างสรรค์และแข่งขันได้ ซึ่งต้องยอมรับว่า เทคโนโลยีและโลกดิจิทัลเป็นสิ่งที่ต้องคิดอยู่เสมอ เพราะส่งผลหลายๆ ด้าน ทั้งวิธีการทำงาน พฤติกรรมของผู้ซื้อ ผู้ขาย ซึ่ง Century 21 ได้มองหาพาร์ทเนอร์ และเครื่องมือที่มีศักยภาพ ดังนี้ ● บริษัทได้ร่วมมือกับ บริษัท Startup ด้าน การพัฒนา Digital Platform จากนิวซีแลนด์ ในการพัฒนา เว็บไซต์ใหม่ และระบบ Back Office ต่างๆ ที่จะช่วยซัพพอร์ต ในการทำงานและสะดวกต่อการใช้งาน ให้กับเอเจนท์ของบริษัทฯ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งตามนโยบาย Agent Centric ● มีการพัฒนา Web Application นำระบบ GIS มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการบริการด้านที่ดิน Land & Investment โดยมีการทำงานร่วมกับ Prop Tech เพื่อพัฒนาเครื่องมือให้เหมาะสมกับวิธีการทำงานของบริษัท ● การปรับตัวให้เอเจนท์เป็นศูนย์กลาง (Agent Centric) โดยได้มีการจัดทำ Co-Working Spark ซึ่งจะเป็นพื้นที่ที่ทางเอเจนท์ และคนทำงานในเครือข่ายของบริษัทฯ สามารถมาใช้ทำงาน เกิดความคิดสร้างสรรค์ เกิดแรงบันดาลใจในการต่อยอด การทำงาน และเชิงธุรกิจได้   ศูนย์วิจัยข้อมูลอสังหาฯ “C21 Poll” อีกหนึ่งนโยบายที่ Century 21 ให้ความสำคัญเสมอมาและจะมีการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น คือ การสร้างองค์ความรู้ การนำข้อมูลจากการสำรวจวิจัยด้านอสังหาริมทรัพย์ นอกเหนือจากข้อมูลเชิงสถิติที่มีอยู่ในตลาด แต่ที่กำลังทำ เป็นข้อมูลที่เป็นมุมมองเชิงนโยบาย สังคม กระแส หรือความคิดเห็นจากผู้บริโภค และผู้ที่เกี่ยวข้องในวงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งภาครัฐและเอกชน โดยได้จัดตั้ง ศูนย์วิจัยข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้ชื่อ “C21 Poll” ซึ่งเป็นไปตามนโยบายบริษัทฯ ที่ต้องการสร้างองค์ความรู้และมุมมองต่างๆ เกี่ยวกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับทีมงานผู้เชี่ยวชาญในการทำสำรวจวิจัยการตลาดมากว่า 20 ปี ในการดำเนินการทำผลสำรวจด้านอสังหาฯ (Poll) ซึ่งเชื่อว่า จะเกิดประโยชน์ในเชิงการทำนโยบาย ทั้งภาครัฐ ยุทธศาสตร์ชาติด้านที่อยู่อาศัย รวมทั้งเอกชน ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ และผู้บริโภค (End User) ขณะนี้การทำโพลชิ้นแรก ได้จัดทำไปแล้วกว่า 70-80 เปอร์เซ็นต์ คาดว่า ประมาณเดือนสิงหาคมน่าจะเสร็จสมบูรณ์   พร้อมกันนี้นายธิติวัฒน์ ยังกล่าวในตอนท้ายว่า บริษัทฯ ยังมีความร่วมมือในรูปแบบต่างๆ ตั้งแต่ บริษัทที่เป็น สตาร์ทอัพ สถาบันการศึกษา จนถึง บริษัทด้านการลงทุนทั้งในและต่างประเทศในการคิดโมเดลธุรกิจด้านอสังหาฯ ใหม่ ๆ เพื่อปรับตัวและก้าวไปต่อในสภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
เนอวานา ไดอิ เปิดตัวโครงการทาวน์โฮม ที่เป็นได้มากกว่าบ้านเดี่ยว  เนอวานา ดีฟายน์ ศรีนครินทร์ – พระราม 9 โกยยอดขายไปกว่า 500 ล้านบาท

เนอวานา ไดอิ เปิดตัวโครงการทาวน์โฮม ที่เป็นได้มากกว่าบ้านเดี่ยว เนอวานา ดีฟายน์ ศรีนครินทร์ – พระราม 9 โกยยอดขายไปกว่า 500 ล้านบาท

  บริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) เปิดตัวทาวน์โฮม 3 ชั้นแห่งใหม่บนทำเลศักยภาพกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่โครงการเนอวานา ดีฟายน์ ศรีนครินทร์ – พระราม 9 ภายใต้แนวคิด “ทาวน์โฮมที่เป็นได้...มากกว่าบ้านเดี่ยว” เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่มองหาที่อยู่อาศัยในเมือง เดินทางสะดวก แต่มีพื้นที่ใช้สอยที่มากกว่าคอนโดมิเนียม โดยโครงการเปิดขาย Presales ไปช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โกยยอดขายไปกว่า 500 ล้านบาท นายศรศักดิ์ สมวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า หลังจากที่ได้เปิดตัวโครงการทาวน์โฮม 3 ชั้น ภายใต้แบรนด์ ‘เนอวานา ดีฟายน์’ ที่ทำเลถนนพระราม 9 ไปเมื่อต้นปี 2560 และทำยอดขายได้ทั้งหมดภายใน 4 วันเท่านั้น ล่าสุดจึงได้ต่อยอดพัฒนาโครงการดังกล่าว โดยเปิดตัวในทำเลใหม่ที่ย่าน ศรีนครินทร์ - พระราม 9 ภายใต้แนวคิด “ทาวน์โฮมที่เป็นได้...มากกว่าบ้านเดี่ยว” ตอบสนองไลฟ์สไตล์ของกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่ให้พื้นที่ใช้สอยที่มากกว่าการอยู่คอนโดมิเนียม โครงการ เนอวานา ดีฟายน์ ศรีนครินทร์ - พระราม 9 (Nirvana DEFINE Srinakarin-Rama9) ทาวน์โฮม 3 ชั้น ระดับไฮเอนด์ จำนวน 173 ยูนิต บนเนื้อที่ 19 ไร่ ราคาขายเริ่มต้นที่ 7.7 - 15 ล้านบาท มูลค่าโครงการรวม 1,900 ล้านบาท ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพ ติดถนนใหญ่ศรีนครินทร์ – ร่มเกล้า (ถ.กรุงเทพกรีฑาตัดใหม่) ซึ่งถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่เป็นหนึ่งในถนนสายสำคัญของกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก มีช่องการจราจรกว้างถึง 8-10 ช่องทางการจราจร เชื่อมต่อกับถนนสายหลักของกรุงเทพฯ เข้า-ออกเมืองได้ง่ายและรวดเร็ว อาทิ ถนนพระราม9, ถนนศรีนครินทร์, ถนนพัฒนาการ, ถนนรามคำแหง, ถนนมอเตอร์เวย์ และถนนกาญจนาภิเษก (วงแหวนตะวันออก) โครงการยังรายล้อมด้วยรถไฟฟ้าถึง 3 สาย คือ รถไฟฟ้าในอนาคตสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) สถานีศรีกรีฑา ซึ่งโครงการอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 62, รถไฟฟ้าในอนาคตสายสีส้ม (ตลิ่งชัน-มีนบุรี) รวมไปถึงรถไฟฟ้า Airport Rail Link สถานีหัวหมาก ทำให้การเดินทางเชื่อมต่อได้สะดวกไม่ต่างจากการอยู่ในเมือง อีกทั้งทำเลกรุงเทพกรีฑา ยังรายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่พร้อมสรรพ ทั้งห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาลชั้นนำ โรงเรียนนานาชาติระดับแนวหน้า และสนามกอล์ฟที่มีชื่อเสียงถึง 2 แห่ง เพื่อตอบโจทย์ของกลุ่มผู้อยู่อาศัย โครงการเนอวานา ดีฟายน์ ศรีนครินทร์ – พระราม 9 จึงมีแบบบ้านให้เลือกถึง 4 แบบ โดยคงเอกลักษณ์การออกแบบโมเดิร์นสไตล์ตามแบบฉบับของเนอวานา ให้ผู้อยู่อาศัยได้สัมผัสกับความเป็นธรรมชาติมากที่สุดด้วยช่องรับแสงธรรมชาติ รวมถึงใส่ใจในรายละเอียดการแบ่ง ฟังก์ชัน ของตัวบ้านให้ใช้งานได้คุ้มค่าและลงตัว ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ เน้นการออกแบบที่แตกต่าง มีดีไซน์ที่เปิดโล่งด้วย Double Volume สูงกว่า 6 เมตร ทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกโปร่งโล่งมากกว่าการอยู่บ้านเดี่ยว ตามคอนเซ็ปของโครงการ “ทาวน์โฮมที่เป็นได้...มากกว่าบ้านเดี่ยว” และด้วยช่องเปิดที่มากกว่า จึงรับแสงและลมธรรมชาติได้ดี ทำให้เป็นบ้านที่อยู่สบาย อีกทั้งยังออกแบบให้ทุกห้องนอนมีขนาดใหญ่ เสมือนเป็น Master Bedroom ทุกห้อง ลูกค้าจะได้อยู่ในสังคมคุณภาพที่มีความเป็นส่วนตัวเพียง 173 ครอบครัว มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็น Clubhouse, Fitness, สระว่ายน้ำระบบเกลือ รวมถึง Outdoor BBQ นอกจากนั้นเพื่อให้ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ในปัจจุบัน เนอวานา ดีฟายน์ ศรีนครินทร์ – พระราม 9 จึงได้มีการเตรียม Public WIFI ที่เดินสายด้วยระบบ Fiber Optic ทำให้สามารถใช้อินเตอร์เน็ตความเร็วสูงได้ทั้งภายในตัวบ้านและทั่วทั้งบริเวณโครงการ เพื่อเพิ่มความสมบูรณ์แบบในการใช้ชีวิต โดยหลังจากเปิด Presales ไปในช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โครงการ สามารถทำยอดขายได้กว่า 500 ล้าน คิดเป็น 85% ของยอดขายในเฟสแรก หรือคิดเป็น 25% ของมูลค่าโครงการ ซึ่งถือเป็นความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง และคาดการณ์ว่าจะสามารถปิดยอดขายได้มากกว่า 50% ของทั้งโครงการภายในสิ้นปีนี้ นับเป็นก้าวแรกของการเปิดตัวสินค้าของเนอวานาไดอิ บนทำเลถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ ซึ่งบริษัทยังมีที่ดินกว่า 100,000 ตารางวา บนถนนเส้นนี้เพื่อรอการพัฒนา โดยนายศรศักดิ์กล่าวเสริมว่า บริษัทฯ มีแผนที่จะพัฒนาที่ดินบริเวณนี้เป็น Township ระดับ High-End ซึ่งจะมีทั้งพื้นที่เพื่อการพาณิชย์, พื้นที่เพื่อการอยู่อาศัยหลากหลายรูปแบบ และพื้นที่ Community Mall เพื่อรองรับกับ Lifestyle และการใช้ชีวิตของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย   โครงการเนอวานา ดีฟายน์ ศรีนครินทร์ – พระราม 9 ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 7.7 ล้านบาท เนื้อที่โครงการรวม 19 ไร่ เริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 3/2560 และคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4/2562 ทั้งนี้โครงการเปิดให้ชมบ้านตัวอย่างที่สำนักงานขายของเนอวานา ดีฟายน์ ศรีนครินทร์ – พระราม 9 สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1787 หรือ www.nirvana-group.com