Tag : News

2376 ผลลัพธ์
BTS เสียบ่อย แล้วคอนโดติดรถไฟฟ้ายังจำเป็นอยู่ไหม

BTS เสียบ่อย แล้วคอนโดติดรถไฟฟ้ายังจำเป็นอยู่ไหม

โอ้โห!!! BTS เสียทั้งวันทั้งคืนมา 3 วันรวด แถมล่าสุดพ่วงมาด้วย MRT ก็เสียไปด้วยอีก เหล่ามนุษย์ออฟฟิศทั้งหลายก็ได้แต่ถอนใจ ทำอะไรไม่ได้นอกจากโวยวายผ่านโซเชียลกันสนั่น เมื่อเป็นเช่นนี้หลายคนที่เคยหวังให้รถไฟฟ้าเป็นการเดินทางหลักที่จะช่วยให้ชีวิตแสนสะดวกสบายในเมืองกรุงก็เป็นอันพังทลายในพริบตา แล้วแบบนี้หากคิดจะลงทุนควักเงินซื้อคอนโดราคาแสนแพงติดสถานีรถไฟฟ้ายังจำเป็นอยู่หรือไม่     ระบบคมนาคมขนส่งในบ้านเราเป็นที่ทราบกันดีว่า “ยังไม่มีอะไรสมบูรณ์พร้อม” จริงไหมคะ รถเมล์ก็รอนานกว่าจะมาแต่ละสาย วินมอเตอร์ไซค์ก็เรียกค่าโดยสารแพง แท็กซี่ก็ช่างเลือก เรือด่วนเจ้าพระยา เรือคลองแสนแสบก็มีเส้นทางไม่ครอบคลุมมากนัก พอเก็บเงินซื้อรถยนต์หวังความสะดวกสบาย แต่ต้องติดอยู่บนถนนหลายชั่วโมง ซึ่งถ้านับเวลาที่อยู่บนถนนก็สามารถขับรถออกต่างจังหวัดได้เลยใช่ไหมคะ สุดท้ายรถไฟฟ้าจึงเป็นทางเลือกที่ประหยัดเวลาที่สุดสำหรับการเดินทางในกรุงเทพฯ และปริมณฑลบางช่วงที่รถไฟฟ้าเข้าถึง หากไม่เกิดเหตุการณ์เสียบ่อยในชั่วโมงเร่งด่วนเช่นนี้     ในส่วนของคอนโดมิเนียมหลายโครงการก็พยายามหาทำเลเหมาะๆ ใกล้สถานี เพื่อตอบสนองวิถีชีวิตอันเร่งรีบ แบบที่ลงมาจากคอนโดปุ๊บ เดินอีกไม่กี่ก้าวก็ขึ้นสถานีรถไฟฟ้าไปทำงานได้เลย ประหยัดเวลาไปได้อีกเยอะเลยค่ะ แต่หากสถาณการณ์รถไฟฟ้าในปัจจุบันยังไม่สู้ดีอยู่  เช่นนี้ ประกอบกับราคาคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าอันแสนแพง เราก็คงอาจจะต้องย้อนกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองกันใหม่ว่า คอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราจริงหรือไม่ เพราะสิ่งที่พอจะเป็นทางออกของการเดินทางในกรุงเทพฯ ได้ในขณะนี้ คือนอกจากจะต้องเผื่อเวลาการเดินทาง ก็ต้องวางแผนการเดินทางเอาไว้หลากหลายเส้นทางด้วย เช่น ใครที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัวถ้าใช้การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเป็นหลัก ก็อาจจะต้องหาโครงการที่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าไปพร้อมๆ กับมีป้ายรถเมล์ วินมอเตอร์ไซค์อยู่ใกล้ๆ ไปด้วย แต่ถ้าใครใช้รถยนต์  ส่วนตัว นอกจากจะมองหาคอนโดมิเนียมที่ใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วนแล้ว ก็ต้องสามารถเลือกไปขึ้นรถไฟฟ้าได้ด้วยเป็นแผนสำรองในบางวันเอาไว้ หรือจะเลือกอยู่คอนโดมิเนียมใกล้กับออฟฟิศไปเลยก็น่าสนใจนะคะ จะได้ตัดปัญหาเรื่องการเดินทางออกไปเลย   สุดท้ายแล้วคอนโดมิเนียมทำเลดี ไม่ได้หมายความว่าจะต้องติดสถานีรถไฟฟ้าให้มากที่สุดเสมอไป แต่คอนโดมิเนียมที่ตั้งบนทำเลอัน  เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ตัวผู้อยู่อาศัยเองจริงๆ มากกว่า ถึงจะเรียกว่าเป็นคอนโดมิเนียมทำเลดีที่สุดสำหรับตัวเราเอง ฉะนั้นก็ลองถาม  ความต้องการของตัวเองดูให้ดีค่ะ ว่าโครงการทำเลไหนจึงจะตอบโจทย์เราได้มากที่สุด
HBA เปิดหลักสูตร “HBEX” หวังสร้างมาตรฐานรับสร้างบ้าน ชูกลยุทธ์ “Content Marketing” เน้นสื่อสารเพิ่มสมาชิกสมทบ

HBA เปิดหลักสูตร “HBEX” หวังสร้างมาตรฐานรับสร้างบ้าน ชูกลยุทธ์ “Content Marketing” เน้นสื่อสารเพิ่มสมาชิกสมทบ

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดแผนดันองค์กรเติบโตแบบยั่งยืน ชู Content Marketing วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อสื่อสารกับผู้บริโภคยุค 4.0 พร้อมเปิดตัวหลักสูตร “รับสร้างบ้านอย่างมืออาชีพ “HBEX : Home Builder Expert” หวังดึงดูดและเสริมทักษะผู้ประกอบการ รับสร้างบ้านรุ่นใหม่ มั่นใจเนื้อหาครอบคลุมทุกมิติ มุ่งให้เห็นโอกาสและประสบการณ์ใหม่ พร้อม เคล็ดลับสร้างธุรกิจให้โตแบบมีคุณภาพ เปิดรับสมัครถึง 31 ก.ค. นี้     นางศิริพร สิงหรัญ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (Home Builder Association : HBA) เปิดเผยว่า ธุรกิจรับสร้างบ้านเป็นธุรกิจที่มีความสำคัญกับระบบเศรษฐกิจโดยรวม ที่มีความเชื่อมโยงในหลายมิติ การสร้างบ้านหนึ่งหลังให้สมบูรณ์ ไม่ใช่แค่เฉพาะซัพพลายเชนเดียว แต่มีส่วนเกี่ยวเนื่องหลายส่วน ทั้ง การถมดิน งานตกแต่งภายใน เฟอร์นิเจอร์ ชุดครัว อุปกรณ์อำนวยความสะดวก งานจัดสวน เป็นต้น การประกอบธุรกิจนี้ไม่มีเทคโนโลยีที่ซับซ้อนเมื่อเทียบกับธุรกิจอื่นๆ แต่ต้องอาศัยทัศนคติที่ถูกต้อง และใช้ทักษะประสบการณ์ที่สั่งสม เพื่อสร้างบ้านที่มีคุณภาพ จึงจะทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ   ปัจจุบันตลาดรับสร้างบ้านและพฤติกรรมผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เศรษฐกิจไทยเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจประเทศเพื่อนบ้านมากยิ่งขึ้นจากการเปิดเขตเศรษฐกิจเสรีอาเซียน และเชื่อมต่อกับเศรษฐกิจโลกมากขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งจะส่งผลให้รูปแบบธุรกิจมีความหลากหลายมากขึ้น ขณะเดียวกันกลุ่มประชากรทั้งด้าน อายุ รายได้ รสนิยมก็มีการเปลี่ยนแปลง จำเป็นที่ผู้ประกอบการรับสร้างบ้านต้องปรับตัวและรู้เท่าทันแนวโน้มต่างๆเหล่านี้     นอกจากนี้ เพื่อสร้างการเติบโตขององค์กร สมาคมฯ จึงได้เพิ่มกลยุทธ์การสื่อสารรูปแบบใหม่ๆที่มุ่งเชิง Content Marketing เน้นเนื้อหาหลากหลายมิติ หลายแพลตฟอร์ม เพื่อเป็นเครื่องมือสำคัญช่วยอัพไซส์องค์กรให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งเป็นนโยบายหลักของสมาคมฯในปีนี้ ที่ต้องการขยายฐานสมาชิกสมทบเพิ่มอีกอย่างน้อย 10% ซึ่งเป็นกลุ่มวิศวกร สถาปนิก ช่างฝีมือและกลุ่มรับสร้างบ้านคุณภาพรุ่นใหม่ ที่ประกอบกิจการรับสร้างบ้านมาไม่น้อยกว่า 1 ปี และมีผลงานรับสร้างบ้านไม่น้อยกว่า 5 ล้านบาทภายใน 3 ปี เพื่อสร้างความเป็นปึกแผ่นของธุรกิจรับสร้างบ้าน จากปัจจุบันที่มีสมาชิกอยู่ 136 ราย เพื่อสร้างมูลค่าตลาดรวมของธุรกิจให้เพิ่มสูงขึ้น ปัจจุบันมูลค่าตลาดรวมราว 11,000 ล้านบาท ทำให้การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมรับสร้างบ้านมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งยิ่งขึ้น   สำหรับปีนี้ ในการสร้างตลาด สมาคมฯจะใช้เนื้อหาควบคู่ไปกับเทคโนโลยี และเพิ่มช่องทางการสื่อสารผ่านทางสังคมออนไลน์ โดยเริ่มเปิดตัวแคมเปญแรกไปแล้ว กับ “โอกาสทางธุรกิจ” ด้วยคลิปวีดีโอ ถ่ายทอดประสบการณ์จริงของสมาชิกสมาคมฯ ซึ่งได้เริ่มเผยแพร่แล้วทาง Social Media ของสมาคมฯ ทั้ง YouTube Fanpage (Facebook) และเว็บไซต์สมาคม นอกจากนี้ ทางสมาคมฯ ยังได้ผลิต รายการสาระความรู้ ”สร้างบ้าน สร้างสุข” จะออกอากาศทุกวันพฤหัส หลังข่าว ทางสถานีดิจิตอลทีวี ช่อง NEW18 เริ่ม 21 มิ.ย.-23 สิงหาคม ศกนี้ โดยเป็นการออกอากาศคู่ขนาน ไปพร้อมกับผ่านทาง Social Media ของสมาคมฯ ทั้ง YouTube Fanpage (Facebook) และเว็บไซต์สมาคม โดยเนื้อหาจะเน้นเกี่ยวกับประเด็นที่คนอยากสร้างบ้านควรรู้ตั้งแต่จนจบ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นข้อมูลที่สมาคมฯ มักได้รับการสอบถามจากผู้บริโภคบ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นการเตรียมพร้อมก่อนจะสร้างบ้าน การเลือกใช้วัสดุ การขอสินเชื่อ ฯลฯ เราก็ได้รวบรวมมาเป็นตอนๆ ได้ 10 ตอน เพื่อสื่อสารกับผู้บริโภคให้มีความเข้าใจได้ง่ายขึ้น   ด้านนายธีร์ บุญวาสนา อุปนายกฝ่ายวิชาการ สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน กล่าวว่า ในด้านการเตรียมความพร้อมรับสมาชิกภาคสมทบ ทางสมาคมได้เปิดหลักสูตร อบรมรับสร้างบ้านอย่างมืออาชีพ HBEX (เอชบีเอ็กซ์) : Home Builder Expert เพื่อเพิ่มทักษะและประสบการณ์ในงานสายงานจากการถ่ายทอดประสบ การณ์ จากเจ้าของธุรกิจรับสร้างบ้านชั้นนำที่ประสบความสำเร็จ ไปสู่ผู้ประกอบการรุ่นใหม่หรือผู้รับเหมาที่ต้องการเข้าสู่ธุรกิจรับสร้างบ้าน เพื่อขยายฐานสมาชิกสมทบ เข้ามาช่วยพัฒนาธุรกิจให้เติบโตมากขึ้น โดยทางสมาคมฯ อยากให้ผู้เข้าอบรมได้ความรู้ ทักษะ มีโอกาสแลกเปลี่ยนมุมมองทัศนคติ กับเหล่าวิทยากร นักคิด นักบริหารตัวจริงของวงการ เพื่อร่วมสร้างเครือข่ายทางธุรกิจ ร่วมสานพลัง ยกระดับธุรกิจรับสร้างบ้านไปพร้อมกัน   ทั้งนี้หลักสูตรดังกล่าวจะเป็นการอบรมในภาคเช้า และการ Work shop ในภาคบ่าย จำนวน 5 ครั้ง และการดูงานร่วมกับสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านอีก 1 ครั้ง รวม 6 ครั้ง โดยหัวข้อจะเน้นเนื้อหาที่อยู่ในความสนใจ และเกี่ยวข้องกับธุรกิจรับสร้างบ้านแบบเจาะลึก ได้แก่ การสร้างแบรนด์สมัยใหม่ในยุคดิจิทัล , การออกแบบที่อยู่อาศัยให้อยู่สบายและถูกใจลูกค้า ,การบริหารต้นทุนและการเงิน ธุรกิจเดินไม่สะดุด , การบริหารคุณภาพ เหนือความคาดหวัง , สร้างบ้านเสร็จตามเวลา ในราคาที่ลงตัว และการร่วมศึกษาดูงาน Home Builder & Materials Expo 2018 ซึ่งสมาคมได้เชิญวิทยากรเป็นผู้ทรงคุณวุฒิที่มีชื่อเสียง ทั้งที่อยู่ในและนอกวงการรับสร้างบ้าน มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์จริง อาทิ คุณสุริยะ อัม-พันศิริรัตน์ คุณปราโมทย์ ธีรกุล คุณศักดา โควิสุทธิ์ คุณวีรยุทธ ล้อทองพานิชย์ คุณไผท ผดุงถิ่น คุณเนรมิต สร้างเอี่ยม ฯลฯ โดยมี รศ.ดร.ธนิต ธงทอง คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้เกียรติที่เป็นที่ปรึกษาหลักสูตรนี้ด้วย สำหรับผู้ที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามได้ที่ สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน โทร 02 570-0153 , 02 970-2744 หรือสืบค้นเว็ปไซต์สมาคม http://www.hba-th.org FACEBOOK : homebuilderclub  
บ้านสถาพร เสริมแกร่งลุยตลาดอสังหา ภายใต้แบรนด์ใหม่สุดทันสมัย “สถาพร เอสเตท” ตั้งเป้า 5 ปี โต 11,500 ล้านบาท

บ้านสถาพร เสริมแกร่งลุยตลาดอสังหา ภายใต้แบรนด์ใหม่สุดทันสมัย “สถาพร เอสเตท” ตั้งเป้า 5 ปี โต 11,500 ล้านบาท

มุ่งมั่นมอบคุณภาพชีวิตที่ดี ผ่านที่อยู่อาศัยที่มาพร้อมงานออกแบบที่ทันสมัย สะท้อนความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ใส่ใจในสิ่งแวดล้อม พร้อมชูจุดแข็งการพัฒนานวัตกรรมในทุกด้านของการอยู่อาศัยร่วมกับพันธมิตรคุณภาพ รองรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่อย่างยั่งยืน ประเดิมโครงการแรกในแนวสูงรุกครึ่งปีหลังกับ “The SHADE (Sathon1)” บนทำเล CBD ใจกลางสาทร มูลค่าโครงการกว่า 1,300 ล้านบาท นายสุนทร สถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สถาพร เอสเตท จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ เตรียมรุกตลาดอสังหาอย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้ชื่อ สถาพร เอสเตท (SATHAPORN ESTATE) จากเดิมที่รู้จักในชื่อเดิมคือ บ้านสถาพร รังสิต โดยบจก.เฉลิมนคร และ บ้านทรัพย์หิรัญ โดย บจก.ทรัพย์หิรัญ ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์คุณภาพทั้งโครงการบ้านและทาวน์โฮม ในทำเลกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี โดยในปีนี้ บริษัทฯ ได้เตรียมขยายธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบ ภายใต้ชื่อ สถาพร เอสเตท (SATHAPORN ESTATE) ที่มุ่งเน้นคุณภาพและบริการ มีการออกแบบและพัฒนาโครงการที่ทันสมัยใส่ใจสิ่งแวดล้อม สอดคล้องกับรูปแบบการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ โดยมีกลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ นั่นคือ “Revitalize” ซึ่งหมายถึงการเสริมความแข็งแกร่งเพื่อรองรับการรุกธุรกิจอย่างมีศักยภาพ เริ่มตั้งแต่การพัฒนา Product ภายใต้ Brand ใหม่ที่ถูกออกแบบมาในแนวคิด “For The Nature Of Life” เราจึงพัฒนาเพื่อชีวิตอยู่คู่ธรรมชาติอย่างยั่งยืน “นอกจากนี้ ยังเสริมแกร่งด้วยการผนึกกำลังร่วมกับพันธมิตร หรือ Strategic Alliance เพื่อรองรับการอยู่อาศัยที่สอดคล้องกับการใช้ชีวิตของอนาคต (SMART LIFE) ที่ครอบคลุม 4 ด้าน ไม่ว่าจะเป็น SMART AUTOMATION เป็นการผนึกกำลังกับแบรนด์ชั้นนำระดับโลกอย่าง PANASONIC ที่มุ่งเน้นในเรื่องของการสร้างความสะดวกสบาย และความปลอดภัย ให้ชีวิตง่ายขึ้น  โดยระบบควบคุมไฟ แอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ รวมถึงนวัตกรรม Safety Town เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพของระบบรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจร, SMART ENERGY เป็นการผนึกกำลังกับ EA ANYWHERE ในการติดตั้งสถานีชาร์จประจุไฟฟ้าแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า เพราะบริษัทฯมองว่าในอนาคตพลังงานจากฟอสซิล หรือน้ำมันจะหมดไป ดังนั้นจึงมองเห็นคุณค่าของการใช้พลังงานอื่นเข้ามาทดแทน, SMART MOBILITY เป็นการผนึกกำลังกับ BOX24 ซึ่งเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านล็อกเกอร์อัจฉริยะ เพื่อช่วยให้ลูกค้าหมดปัญหาการรับพัสดุ หรือ ฝากสิ่งของ ตอนที่ไม่อยู่บ้าน ด้วยล็อกเกอร์อัจฉริยะ ที่มาพร้อมกับบริการเสริม เช่น ส่งพัสดุ, ฝากสิ่งของ, ซักอบรีด, และซื้อสินค้าออนไลน์ ซึ่งทั้งหมดนี้ตอบโจทย์ในยุคดิจิทัล และ SMART ENVIRONMENT เป็นการร่วมมือกับมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ร่วมกันพัฒนาเครื่อง Recycle Vending Machine หรือเครื่องรีไซเคิลขยะ ซึ่งเป็นนวัตกรรมล่าสุด เพื่อเป็นการช่วยลดขยะในโครงการอีกด้วย” “ในส่วนของกลยุทธ์ในการรุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสถาพร เอสเตท (SATHAPORN ESTATE) จะเริ่มขยายธุรกิจเข้าสู่แนวสูงมากยิ่งขึ้น โดยคิดเป็นสัดส่วนในการขยายธุรกิจในแนวสูง 50% และแนวราบ 45% และรายได้จากทรัพย์สิน หรือ Recurring Incomes 5%  ซึ่งจะใช้กลยุทธ์ในการรุกตลาดที่แตกต่างกันออกไป โดยแนวราบจะเน้นปัจจัยสำคัญในเรื่องศักยภาพของทำเลในอนาคต ส่วนแนวสูงจะเน้นปัจจัยสำคัญในเรื่องของทำเล CBD ของกรุงเทพฯ และความสะดวกสบายของการอยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น ในไตรมาส 3 ของปีนี้ บริษัทฯ มีกำหนดเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมโครงการแรก ในชื่อ “The SHADE (Sathon1)” (เดอะ เชดด์ สาทร 1) คอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 278 ยูนิต ภายใต้แนวคิด “Shades The One You Love” ซึ่งสะท้อนให้นึกถึงบุคคลที่คุณรักพร้อมทั้งยังสะท้อนการเป็นเป็นแหล่งพักพิงที่ให้ร่มเงาแก่คนที่คุณรักไปพร้อม ๆ กัน โดยมาพร้อมกับการออกแบบอาคารให้เย็นโล่ง พร้อม Panoramic Unblock View โปร่งสบายด้วยการระบายอากาศ Air Ventilation Design, Smart Locker, Space Management, His & Her Design และ Single Corridor (บางยูนิต) และพื้นที่จอดรถกว่า 70% พร้อมเทคโนโลยี Smart Home Solutions ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมแอร์, TV และแสงสว่างผ่าน Application บนมือถือ และ Digital Door Lock พร้อมพื้นที่สีเขียวและส่วนกลางครบครัน รวมมูลค่าโครงการประมาณ 1,300 ล้านบาท” นอกจากนี้ ในปี 2562 ทางบริษัทฯ เตรียมทำการเปิดตัวโครงการแนวสูงเพิ่มอีก 2 โครงการ ได้แก่ The Shade Twig (เดอะ เชดด์ ทวิกก์) เย็นอากาศ   และ The Crown (เดอะ คราวน์) พระราม 4 รวมไปถึงโครงการแนวราบอีก 1 โครงการ ได้แก่ “The Eternity (ดิ อิเธอร์นิตี้) รังสิตคลอง 5” โครงการประเภทบ้านเดี่ยว บนพื้นที่กว่า 99 ไร่ มูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นโครงการไฮไลท์ของทางบริษัทฯ ที่ออกแบบโดยทีมงานศิลปินแห่งชาติ จากสถาบันอาศรมศิลป์ โดยจะเน้นพื้นที่ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพของศูนย์กลางแห่งความเจริญย่านรังสิต ติดถนนใหญ่รังสิต-นครนายก ใกล้ทางด่วนศรีรัช – วงแหวนตะวันออก ใกล้รถไฟฟ้าสายสีแดง (บางซื่อ - รังสิต) และสายสีเขียวส่วนต่อขยาย (คูคต - ลำลูกกา) อีกทั้งยังใกล้ศูนย์กลางความเจริญแห่งใหม่อย่างศูนย์การค้าเมกา รังสิต และอิเกีย รังสิต “ในปี 2561 นี้ สถาพร เอสเตท ได้ตั้งเป้ายอด Pre-Sale อยู่ที่ 1,300 ล้านบาท (รับรู้รายได้ปี 2563) พร้อมทั้งบริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นที่จะเป็นอันดับหนึ่งในใจลูกค้า โดยการนำธรรมชาติมาสร้างสรรค์และพัฒนาให้เหมาะสมกับความต้องการของผู้อยู่อาศัยทุกเพศทุกวัยด้วยมุมมองการเลือกทำเลที่ตั้งโครงการเพื่อรองรับชีวิตในวันนี้และวันข้างหน้า พร้อมทั้งมั่นใจว่าในอีก 5 ปีข้างหน้าบริษัทฯ จะสามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นถึง 11,500 ล้านบาท ได้ตามเป้าหมาย” นายสุนทร กล่าวในตอนท้าย สำหรับผู้สนใจ สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของ SATHAPORN ESTATE หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02 990 8930 หรือดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sathaporn.com และทางเฟสบุคแฟนเพจwww.facebook.com/sathapornestate  
“แสนสิริ” เปิดตำนานโครงการแฟล็กชิพบทใหม่ “บ้านแสนสิริ พัฒนาการ” บ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ย่านพัฒนาการ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท

“แสนสิริ” เปิดตำนานโครงการแฟล็กชิพบทใหม่ “บ้านแสนสิริ พัฒนาการ” บ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ย่านพัฒนาการ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท

“แสนสิริ” สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของโครงการแฟล็กชิพบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ของไทย เปิดตัว “บ้านแสนสิริ พัฒนาการ” ผลงานจากการรังสรรค์อย่างพิถีพิถันกว่า 3 ปี มอบความเป็นส่วนตัวสูงสุดด้วยจำนวนเพียง 36 ยูนิต บนผืนที่ดิน 37 ไร่ ถนนพัฒนาการซอย 30 ทำเลศักยภาพที่หาได้ยากใจกลางเมืองซึ่งกำลังได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูง (High Net Worth Individual) ในประเทศไทยที่พรั่งพร้อมด้วยทุกองค์ประกอบแห่งสุนทรียะเพื่อการพักอาศัยสำหรับทุกเจเนอเรชั่น ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจใจกลางเมือง ทั้งสุขุมวิท ทองหล่อ-เอกมัย เพชรบุรีตัดใหม่ พระราม 9 โรงเรียนนานาชาติ ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆ มากมาย งามสง่าเหนือกาลเวลาด้วยแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมยุครีเจนซี่ (Regency) จากประเทศอังกฤษ มอบประสบการณ์ของการอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบ แวดล้อมด้วยความสง่างามอันทันสมัย ผสานกับความรื่นรมย์ ผ่อนคลายด้วยพื้นที่โอ่โถ่ง กว้างใหญ่สำหรับแบ่งปันความรักในทุกเจเนอเรชั่นของครอบครัว ตลอดจนระบบรักษาความปลอดภัยสูงสุด และการออกแบบพื้นที่ใช้งานและฟังก์ชั่นพิเศษตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตอันสะท้อนรสนิยมทั้ง The Parlour ห้องอเนกประสงค์ที่เชื่อมต่อกับห้องนอนมาสเตอร์ ห้องผู้สูงอายุบริเวณชั้นล่างติดพื้นที่เปิดโล่ง และลิฟท์ในบ้าน รวมทั้งไฮไลท์ Golf Simulator Room ขนาดใหญ่ครั้งแรกในโครงการบ้านของแสนสิริ พร้อมสุดยอดบริการดูแลลูกบ้านแบบเอ็กซ์คลูซีฟจาก Plus Concierge และบริการด้านไลฟ์สไตล์ระดับโลกจาก Quintessentially     นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานอำนวยการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “บ้านแสนสิริ พัฒนาการ คือ การสานต่อความสำเร็จอันเป็นตำนานของโครงการแฟล็กชิพบ้านเดี่ยวลำดับที่สองของแสนสิริ ซึ่งโครงการแรกของแฟล็กชิพบ้านเดี่ยว คือ “บ้านแสนสิริ สุขุมวิท 67” อาณาจักรชีวิตอันสมบูรณ์พร้อมระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่แห่งสุดท้ายใจกลางสุขุมวิทเปิดตัวเมื่อปี 2549และยังคงเป็นที่กล่าวขานจนถึงปัจจุบัน การจะพัฒนาโครงการแฟล็กชิพระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ที่เหนือระดับเช่นนี้ ต้องอาศัยปัจจัยเกื้อหนุนที่พรั่งพร้อมในทุกด้าน บ้านแสนสิริ โครงการแฟล็กชิพที่สองนี้ จึงเกิดขึ้นหลังจากเว้นช่วงจากโครงการแรกกว่า 10 ปี ตั้งแต่การเฟ้นหาที่ดินขนาดใหญ่ที่หาได้ยากใจกลางเมืองในช่วงเวลาที่เหมาะสม การออกแบบรังสรรค์โครงการอย่างพิถีพิถันโดยอาศัยประสบการณ์ ความเข้าใจ การเข้าถึงรสนิยมและความต้องการของลูกค้ากลุ่มซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่อย่างแท้จริงของแสนสิริเพื่อสร้างสรรค์โครงการอาณาจักรแห่งการพักอาศัยที่สมบูรณ์แบบในทุกรายละเอียดทุกตารางนิ้ว ตั้งแต่การออกแบบ รูปแบบสถาปัตยกรรม การตกแต่งภายใน การคัดเลือกวัสดุคุณภาพสูงสุด รวมทั้งการออกแบบพื้นที่การใช้งานและฟังก์ชั่นที่ตอบสนองรูปแบบและความต้องการในการพักอาศัยของกลุ่มลูกค้าระดับบน เพื่อให้เป็นอีกหนึ่งนิยามของมาตรฐานใหม่ของโครงการบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่”   นางสาววิลาสิณี เดชอมรธัญ รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจและพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงรายละเอียดของโครงการแฟล็กชิพระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ล่าสุด บ้านแสนสิริ พัฒนาการ ว่า ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 37 ไร่ เป็นโครงการบ้านเดี่ยว 2 ชั้น จำนวน 36 ยูนิต ประกอบด้วยบ้าน 4 แบบ บนที่ดินขนาด 150 – 560 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 459 – 941 ตารางเมตร ด้วยสนนราคา 65-240 ล้านบาท พัฒนาด้วยแนวคิดการพัฒนาใน 4 องค์ประกอบหลัก ได้แก่   Location : โลเคชั่นที่เห็นแล้วตกหลุมรักตั้งแต่แรกสัมผัส ถนนพัฒนาการถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูงมากเนื่องจากเป็นพื้นที่ใจกลางเมืองที่นับวันจะหายากขึ้น เป็นชุมชนที่พักอาศัยคุณภาพสูงมายาวนาน ใกล้กับศูนย์กลางธุรกิจสำคัญ ๆ ทั้งย่านสุขุมวิท ทองหล่อ-เอกมัย เพชรบุรีตัดใหม่ และพระราม 9 พรั่งพร้อมด้วยปัจจัยสำหรับการอยู่อาศัยที่ครบครัน โดยเฉพาะด้านคมนาคมที่หลากหลาย เชื่อมต่อเข้าเมืองในย่านสุขุมวิท ทั้งทองหล่อ-เอกมัย ใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ และทางพิเศษศรีรัช โครงการระบบขนส่งมวลชนหลายโครงการทั้งรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว – สำโรง ซึ่งเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ได้ที่สถานีพัฒนาการ โครงการก่อสร้างถนนศรีนครินทร์-ร่มเกล้า โครงการก่อสร้างทางลอดถนนพัฒนาการ-รามคำแหง-ถาวรธวัช ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการจราจรของถนนพัฒนาการและถนนบริเวณใกล้เคียง อีกทั้งยังรายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อการใช้ชีวิต ทั้งร้านค้า ศูนย์การค้า โรงเรียนนานาชาติชั้นนำ อาทิ Shrewsbury International School โรงพยาบาลชั้นนำ รวมไปถึงสวนสาธารณะ เช่น สวนหลวง ร.9 สามารถเดินทางสู่สนามบินสุวรรณภูมิได้สะดวกรวดเร็ว ราคาที่ดินบริเวณเส้นถนนพัฒนาการจึงมีอัตราการเติบโตสูงมากในปัจจุบัน โดยการประเมินจากกรมที่ดินมีอัตราเติบโตถึง 7-16% จากปีประเมิน 2559-2562 เทียบกับ 2555-2558 ทำเลแถบนี้จึงเป็นเป้าหมายสำคัญของการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ด้วยศักยภาพของทำเลที่ดึงดูดกลุ่มผู้ซื้อระดับบน และลูกค้าบุคคลสินทรัพย์สูง(High Net Worth Individual) ของประเทศไทยซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี นอกจากนี้โครงการบ้านแสนสิริ ตั้งอยู่บนจุดท้องมังกร ตามหลักฮวงจุ้ยซึ่งเป็นชัยภูมิที่ถือว่าหายาก จากความเชื่อว่าเป็นจุดศูนย์รวมของความอุดมสมบูรณ์ ความรุ่งเรืองและโชคลาภ รวมถึงบ้านเลขที่ซึ่งขึ้นต้นด้วยเลข 789 ที่ถือเป็นที่สุดของเลขมงคล Design : การออกแบบที่เชื่อมต่อทุกพลังงานความรัก บรรจงรังสรรค์ขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมในยุครีเจนซี่ (Regency) จากประเทศอังกฤษ ผสมผสานความสวยงาม แบบยุคคลาสสิคและความทันสมัยอย่างลงตัว ตัวบ้านใช้สีขาว ตัดกับองค์ประกอบสีดำ เช่นประตู, กรอบหน้าต่าง ให้ความรู้สึกที่หรูหรา โอ่อ่า สง่างาม แต่งเติมด้วยกลิ่นอายความหรูหราร่วมสมัยด้วยองค์ประกอบของประตูหน้าต่างที่มีเส้นสายของงานฝีมือ เหล็กกระจกบานสูงทุกองค์ประกอบในโครงการได้รับการออกแบบให้เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของการอยู่อาศัยภายในครอบครัว นับตั้งแต่การจัดสรรพื้นที่ใช้สอยที่สามารถตอบสนองความต้องการของสมาชิกในครอบครัวได้ทุกเจเนอเรชั่น ฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน และรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงามมีเสน่ห์เหนือกาลเวลา ชวนให้ตกหลุมรักตั้งแต่แรกสัมผัส Generations : พื้นที่โอ่โถงเหมาะกับทุกกิจกรรมที่รักของทุกเจเนอเรชั่น เพื่อเชื่อมต่อความรักระหว่างรุ่นสู่รุ่น ด้วยพื้นที่ใช้สอยที่เพียงพอต่อทุกคนในครอบครัว ให้เป็นไปอย่างสะดวกสบายและมีความเป็นส่วนตัวตั้งแต่ครอบครัวขนาดเล็กที่มีขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 459 ตารางเมตร ไปจนถึงครอบครัวขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่ใช้สอย 941 ตารางเมตร อยู่อาศัยร่วมกันได้ถึง 4 รุ่น   นอกจากนั้น ยังมีฟังก์ชั่นพิเศษที่สะท้อนรสนิยมการใช้ชีวิตเหนือระดับ อย่าง The Parlour ห้องอเนกประสงค์กึ่งกลางแจ้งเชื่อมต่อกับห้องนอนมาสเตอร์เพื่อเป็นพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจ, Great Room พื้นที่ศูนย์รวมการใช้งานที่ต่อเนื่องเข้าไว้ที่มีขนาดใหญ่ ให้ความรู้สึกโอ่อ่า, Walk-in Closet ในทุกห้องนอน, ห้องผู้สูงอายุบริเวณชั้นล่างติดกับพื้นที่เปิดโล่งด้านข้างและด้านหลังของตัวบ้านเพื่อความเป็นส่วนตัว ออกแบบอย่างกว้างขวางเพื่อให้รถเข็นเข้าออกได้สะดวก ใช้วัสดุพื้น Shock Absorption Floor ซึ่งมีคุณสมบัติไม่ลื่น ช่วยดูดซับและลดแรงกระแทก, Walk-in Shoes Closet โซนเก็บรองเท้าติดประตูทางเข้าจากที่จอดรถ, Wine Cellar ห้องเก็บไวน์ส่วนตัวบริเวณกลางบ้าน พร้อมรวบรวมแบรนด์ชั้นนำระดับโลกมาไว้ในโครงการด้วยการคัดสรรอย่างละเมียดละไม อาทิ สุขภัณฑ์จาก Kohler หินอ่อนชนิด White Venus Marble เครื่องครัว Hacker Kitchen จากเยอรมัน อ่างล้างจานจาก Silestone by Cosentino ตู้เย็น เตาอบและตู้แช่ไวน์จาก Kuppersbusch ลูกบิดประตูทองเหลือง จาก Baldwin แบรนด์เก่าแก่จากสหรัฐอเมริกา   บ้านแสนสิริ พัฒนาการ ยังได้ติดตั้งเทคโนโลยี Home Intelligence ล่าสุดที่จะอำนวย ความสะดวกให้กับผู้อยู่อาศัยในทุกๆ ด้าน ทั้งระบบรักษาความปลอดภัยระดับโลก เพื่อช่วยปกป้องคุ้มครองผู้พักอาศัยและทุกสิ่งในบ้าน ระบบอัตโนมัติภายในบ้านที่ตอบสนองเทรนด์การใช้ชีวิต ใหม่ๆ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของลูกบ้านหลากหลายวัยต่างไลฟ์สไตล์ในได้ทุกมิติ อาทิ Video Door Phone ประตูล็อคดิจิทัล และลิฟท์โดยสาร โครงการยังพรั่งพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ ประกอบด้วย คลับเฮาส์ ฟิตเนส Pavilion, Tea Room, Barbecue Area, สระว่ายน้ำระบบเกลือขนาด 20 เมตร พร้อมสระเด็ก จากุซซี่ ภูมิทัศน์ที่ออกแบบอย่างสวยงามทั้งสวนส่วนกลาง และทะเลสาบ และครั้งแรกในโครงการบ้านเดี่ยวของแสนสิริกับ Golf Stimulator Room ขนาดใหญ่จำลองบรรยากาศสนามกอล์ฟ จากทั่วโลกกว่า 150 แห่ง ให้ความรู้สึกเสมือนอยู่ในสนามจริง   Exclusivity : ความเอ็กซ์คลูซีฟระดับสูงสุดและการบริการเหนือระดับสำหรับบุคคลที่รัก บ้านแสนสิริ พร้อมมอบความเป็นส่วนตัวและความภาคภูมิใจในสังคมคุณภาพ เนื่องจากมีเพียง 36 ครอบครัวเท่านั้นที่จะได้ครอบครองกรรมสิทธิ์ บนพื้นที่ถึง 37 ไร่บวกกับทำเลที่อยู่ใจกลางเมือง พร้อมสิทธิพิเศษสำหรับลูกบ้านด้วยบริการพิเศษจาก Quintessentially และ Plus Concierge   “เราเชื่อมั่นว่า บ้านแสนสิริ พัฒนาการ จะเป็นโครงการแฟล็กชิพบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ของแสนสิริที่สะท้อนถึงความเหนือระดับในทุกมิติ และความสง่างามร่วมสมัยได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด รวมทั้งยังเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ของความเป็นผู้นำในการสร้างสรรค์โครงการระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่และลักซ์ชัวรี่ทั้งในโครงการแนวราบและแนวสูง ที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ไทยตลอดจนกลุ่มลูกค้าทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ และเป็นอาณาจักรแห่งการพักอาศัยที่สร้างความภาคภูมิใจให้กับผู้ครอบครองที่ต้องการส่งมอบมรดกล้ำค่าจากรุ่นสู่รุ่น” นายอภิชาติกล่าวปิดท้าย
พาทิโอ รามอินทรา โฮมออฟฟิศ 3 ชั้น ระดับพรีเมียม  บนทำเลเพิ่มมูลค่าต้นถนนวัชรพล ใกล้ทางด่วนและรถไฟฟ้า

พาทิโอ รามอินทรา โฮมออฟฟิศ 3 ชั้น ระดับพรีเมียม บนทำเลเพิ่มมูลค่าต้นถนนวัชรพล ใกล้ทางด่วนและรถไฟฟ้า

พฤกษา ผู้นำอันดับหนึ่งวงการอสังหาฯ เปิดทาวน์โฮมพรีเมียมบนถนนวัชรพล สุดยอดทำเลทองแห่งอนาคต ภายใต้แบรนด์ “พาทิโอ รามอินทรา” ทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศ 3 ชั้น สไตล์โมเดิร์น Contemporary รับส่วนลดทันที 500,000 บาท พร้อมรับสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลรถยนต์ Honda Jazz 25 คัน เริ่ม 4.49 ลบ.     นายธีรเดช เกิดสำอางค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจทาวน์เฮาส์ บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ย่านวัชรพลเป็นโซนที่มีการแข่งขันของผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยสูง และกำลังเป็นที่น่าจับตามองอย่างมาก ด้วยราคาที่ดินมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นสูงเฉลี่ยถึง 33-71% เนื่องจากในอนาคตทำเลโซนนี้ จะรองรับกับสถานีรถไฟฟ้าถึง 3 สาย ได้แก่ สถานีสายหยุด รถไฟฟ้าสายสีเขียวเข้ม (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต), สถานีรามอินทรา 31 รถไฟฟ้าสายสีชมพู (มีนบุรี-แคราย) และสถานีวัชรพล ซึ่งเป็นสถานี Interchange ระหว่างสายสีชมพูและโครงการรถไฟ monorail สายสีเทา (วัชรพล-พระราม 9) นอกจากนี้ยังเป็นทำเลที่สะดวกในการเดินทางเข้า-ออก ทั้งในเมืองและชานเมือง ล้อมรอบไปด้วยทางพิเศษ และถนนสายหลัก ได้แก่ ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ทางด่วนสุขาภิบาล 5 ใกล้วงแหวนรอบนอก กาญจนาภิเษก ที่สามารถเดินทางไปยังพื้นที่ชั้นนอกรอบๆ กรุงเทพฯ ได้ ส่งผลให้ทำเลนี้กลายเป็นทำเลทองในอนาคต ถือเป็นสินทรัพย์ที่คุ้มค่าต่อการลงทุนในระยะยาว ที่จะสามารถตอบโจทย์ได้ทั้งกลุ่มผู้อยู่อาศัยและนักลงทุน พฤกษา เล็งเห็นถึงศักยภาพทำเลและการเติบโตของที่อยู่อาศัยที่จะเกิดขึ้นในย่านดังกล่าว จึงพัฒนาโครงการ “พาทิโอ รามอินทรา” ทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศ 3 ชั้น ที่ให้ฟังก์ชั่นพื้นที่ใช้สอยมากกว่า ด้วยหน้าบ้านที่กว้างถึง 5.65 เมตร พร้อมเพิ่มเสาเข็มหลังบ้าน และหน้าบ้าน เพื่อรองรับการใช้งานเป็นพื้นที่เอนกประสงค์รองรับการขยายสมาชิกครอบครัวในอนาคต เลือกใช้สเป็ควัสดุคุณภาพในระดับพรีเมียม พร้อมฟังก์ชั่น Penthouse bedroom ห้องนอนใหญ่ที่ชั้น 3 เต็มพื้นที่ทั้งชั้น และระบบรักษาความปลอดภัยหนาแน่นด้วย Double Gate Security” “โครงการ “พาทิโอ รามอินทรา” ทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศ 3 ชั้น สไตล์โมเดิร์น Contemporary ใส่ใจทุกรายละเอียดการออกแบบ ด้วยแนวคิด Harmony of Life ใช้เส้นสายในการออกแบบที่เชื่อมต่อเพื่อสร้างความกลมกลืน ภายใต้คอนเซปต์ Nature in the city design ที่ผสมผสานวัสดุระหว่างที่สื่อถึงธรรมชาติ และความเป็นเมือง ที่ดูอบอุ่นและให้ความเป็นส่วนตัว แบบบ้านมีทั้งหมด 3 แบบ หน้ากว้าง 5-5.65 เมตร ขนาดพื้นที่ใช้สอย 175-200 ตร.ม. บนขนาดที่ดินเริ่มต้น 19.4-20.5 ตร.วา มี 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 Family Room ที่จอดรถ 2 คัน สำหรับแบบบ้าน MASTER เป็นโฮมออฟฟิศ เพิ่มฟังก์ชั่นพื้นที่ Co-Working Space 2 โซน และ Meeting Room เพื่อรองรับการทำงาน (work) และอยู่อาศัย (home) เข้าไว้ด้วยกัน ที่ออกแบบฟังก์ชั่น เพื่อสามารถรองรับการทำงานที่บ้านได้อย่างลงตัว เต็มอิ่มกับวันพักผ่อนด้วยพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ในโครงการ มากกว่า 1 ไร่ สนามเด็กเล่น คลับเฮาส์ 2 ชั้น และสระว่ายน้ำระบบเกลือ อุ่นใจด้วยระบบการรักษาความปลอดภัยกล้อง CCTV ตลอด 24 ชั่วโมง” โครงการอยู่ติดถนนวัชรพล รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกรอบโครงการ ไม่ว่าจะเป็นเซ็นทรัล รามอินทรา, แฟชั่นไอส์แลนด์, The Promenade, The Walk, Crystal Park, เพลินนารี่ มอลล์, เวนิส ดิไอริส วัชรพล, โลตัส วัชรพล, ตลาดถนอมมิตร, ตลาดออเงิน, ตลาดวงศกร ในราคาเริ่มต้นเพียง 4.49 ลบ. สำหรับลูกค้าที่จองและทำสัญญาภายในวันนี้ – 15 กันยายน 2561 และโอนภายใน 31 ตุลาคม 2561 จะได้รับสิทธิพิเศษถึง 2 ชั้น ชั้นแรก รับทันทีส่วนลด 500,000 บาท ชั้นที่สอง รับสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลรถยนต์ Honda Jazz รุ่น V+ จำนวน 25 รางวัล สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียดโครงการ โปรโมชั่น และเงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 1739
The Cube เตรียมเปิดคอนโดใหม่สไตล์อังกฤษ ‘เดอะคิวบ์ เออร์เบิน สาทร-จันทน์’ เร็ว ๆ นี้

The Cube เตรียมเปิดคอนโดใหม่สไตล์อังกฤษ ‘เดอะคิวบ์ เออร์เบิน สาทร-จันทน์’ เร็ว ๆ นี้

บริษัท คิวบ์ เรียล พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้พัฒนาและบริหารงานด้านอสังหาริมทรัพย์ ทั้งโครงการ The Cube Condominium (เดอะคิวบ์ คอนโดมิเนียม) และ The Cube Townhome (เดอะคิวบ์ ทาวน์ โฮม) เตรียมเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ล่าสุด ‘เดอะคิวบ์ เออร์เบิน สาทร-จันทน์’ (The Cube Urban Sathorn-Chan) คอนโดสไตล์โมเดิร์นผสมอารมณ์อังกฤษสวยหรูโลว์ไรส์ (Low Rise) สูง 8 ชั้น 1 อาคาร ขนาดห้อง 28 – 42.5 ตารางเมตร มีแบบ 1 และ 2 ห้องนอน ให้เลือกถึง 6 สไตล์ความชอบ เริ่มราคา 2 ล้านต้น* พร้อมเฟอร์นิเจอร์คุณภาพสูงครบทุกฟังก์ชั่น (Fully Furnished) และสิ่งอำนวยความสะดวกพิเศษสุดทุกรูปแบบ รวมทั้งที่จอดรถ 45% (ไม่รวมจอดซ้อนคัน) ให้ชีวิตพักผ่อนได้นานขึ้นกับพื้นที่ส่วนตัว และสะดวกทุกการเดินทางบนทำเลศักยภาพถนนสาทรเชื่อมต่อถนนจันทน์ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าตากสิน สุรศักดิ์ และ เจริญราษฎร์ ใกล้ทางด่วนด่านถนนจันทน์ อยู่ใกล้แหล่งธุรกิจ สถาบันการศึกษา ศูนย์การค้า ร้านอาหาร ฯลฯ เพียงลงทะเบียน  http://bit.ly/2kAvJsv  รับส่วนลดพิเศษ 50,000 บาท ทุกยูนิตเมื่อเปิดจองและทำสัญญาเร็ว ๆ นี้ (*ราคาและเงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 1246 และติดตามความเคลื่อนไหวโครงการได้ทางเว็บไซต์ www.thecube-condo.com แฟนเพจ www.facebook.com/The Cube Condominium
เอสซีฯ มุ่งต่อยอดความสำเร็จแบรนด์ Pave (เพฟ) กับ Verve (เวิร์ฟ) ขยายฐานจับกลุ่มเจเนอร์เรชั่นใหม่  ชวน  The Toys ทำเพลงพิเศษผ่านแคมเปญ “Say Hi บ้านหลังใหม่”

เอสซีฯ มุ่งต่อยอดความสำเร็จแบรนด์ Pave (เพฟ) กับ Verve (เวิร์ฟ) ขยายฐานจับกลุ่มเจเนอร์เรชั่นใหม่ ชวน The Toys ทำเพลงพิเศษผ่านแคมเปญ “Say Hi บ้านหลังใหม่”

นายณัฏฐกิตติ์ ศิริรัตน์ หัวหน้าสายงานการตลาด บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์คุณภาพในทุกระดับราคา กล่าวว่า “เพื่อตอกย้ำความสำเร็จของบ้านกลุ่มตลาดแมสและขยายฐานกลุ่มเป้าหมายเพิ่มขึ้น เอสซีฯ จึงได้สร้างสรรค์แคมเปญการตลาดชื่อ “Say Hi บ้านหลังใหม่” เพื่อจับกลุ่มคนเจเนอร์เรชั่นใหม่ ที่อยากมีบ้านเป็นของตัวเองในราคาที่จับต้องได้ โดยเลือก The Toys ศิลปินรุ่นใหม่ ที่มากความสามารถและกวาดรางวัลในด้านดนตรีมามากมาย มาต่อยอดร่วมทำเพลงพิเศษให้กับเอสซีฯ ทั้งแต่งเนื้อร้องและดนตรี ที่มีไอเดียมาจาก Character ของแบรนด์ Pave (เพฟ) และ Verve (เวิร์ฟ) เพื่อบอกเล่าเรื่องราวภายใต้คอนเซปต์ “สิ่งดีๆ กำลังจะเกิดขึ้น เมื่อย้ายเข้ามาอยู่ที่บ้านหลังใหม่” ถ่ายทอดเล่าผ่านทาง MV ที่พร้อมเปลี่ยนโลกเดิมๆ ให้เป็นวันดีๆ ” โดยปัจจุบันทั้ง 2 แบรนด์ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยปีนี้เปิดรวมทั้งหมด 9 โครงการ มูลค่ามากกว่า 10,000 ล้านบาท โดยกลุ่มบ้านแบรนด์ Pave (เพฟ) ราคาเริ่มต้น 4 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ เพฟ รังสิต, ประชาอุทิศ 90, รามอินทรา-วงแหวน, บ้านโพธิ์-ฉะเชิงเทรา โดยจะเปิดใหม่เพิ่ม 2 ทำเล ได้แก่ มอเตอร์เวย์-ฉะเชิงเทรา กับ ปิ่นเกล้า-ศาลายา ขณะที่ทาวน์โฮมแบรนด์ Verve (เวิร์ฟ) เริ่มต้น 2 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ เวิร์ฟ เพชรเกษม 81 มีเปิดใหม่ 2 ทำเลเช่นกัน ได้แก่ ติวานนท์-รังสิต กับ พระราม 9 ดังนั้น จึงนับเป็นปรากฏการณ์ใหม่ระหว่าง เอสซีฯ และ The Toys ที่ได้มาร่วมงานกันและกล้าทำเพลงในแนวที่แหวกจากเดิมของ The Toys เอง เป็นเพลงเร็วมีจังหวะสนุกสนาน สะท้อนถึงตัวตนคนรุ่นใหม่ที่กล้าฉีกจากสิ่งเดิมๆ ลงมือทำอะไรใหม่ๆ โดย The Toys จะแสดง Live มินิคอนเสิร์ต 3 ครั้ง ยังโครงการ Pave (เพฟ) และ Verve (เวิร์ฟ) ระหว่างเดือนกรกฎาคม ถึง กันยายน 2561 โดย Live ครั้งแรกมีขึ้นในวันเสาร์ที่ 7 กรกฎาคมนี้ โดยสามารถรับชม Live สด ผ่านช่องทาง SC Asset แฟนเพจ ได้ที่ facebook.com/scasset
สิริ เวนเจอร์ส จัดแสดง “Wind Turbine”  สุดยอด Prop Tech ครั้งแรกในไทย ณ งาน TechSauce Global Summit 2018

สิริ เวนเจอร์ส จัดแสดง “Wind Turbine” สุดยอด Prop Tech ครั้งแรกในไทย ณ งาน TechSauce Global Summit 2018

  สิริ เวนเจอร์ส (SIRI VENTURES) บริษัทร่วมทุนระหว่างแสนสิริและธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อทำการวิจัยและลงทุนด้าน Prop Tech อย่างครบวงจรเต็มรูปแบบรายแรกของไทย ตอกย้ำพันธกิจองค์กร ในการลงทุนในสตาร์ทอัพ และมุ่งพัฒนานวัตกรรมเพื่อการเติมเต็มการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ ภายใต้แนวคิด “Complete Your Living Experience” เผยความสำเร็จของการลงทุนพร้อมโชว์ไฮไลท์ด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีต่าง ๆ ใน 4 ด้านได้แก่ PropTech, LivingTech, Construction Tech และ Health & Wellness Tech ที่งาน “TechSauce Global Summit 2018” โดยมีไฮไลต์คือสุดยอดนวัตกรรม “Wind Turbine” สำหรับใช้ในที่พักอาศัย ที่สิริ เวนเจอร์ส นำมาสร้างปรากฏการณ์เป็นครั้งแรกในไทย พร้อมเปิดเวทีเฟ้นหาสตาร์ทอัพด้าน Prop Tech เพื่อพาไปเสนอแผนธุรกิจกับนักลงทุนระดับโลกในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ที่ซิลิคอน วัลเลย์ ประเทศสหรัฐอเมริกา และชวนสองผู้บริหารเครือข่ายสตาร์ทอัพระดับโลกอย่าง SOSA และ Plug and Play มาร่วมสร้างแรงบันดาลใจและเติมความมั่นใจในการออกไปลุยตลาดโลกให้กับสตาร์ทอัพไทยไปพร้อมกัน นายจิรพัฒน์ จันทร์เจิดศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่เทคโนโลยี บริษัทสิริ เวนเจอร์ส จำกัด กล่าวว่า “ในฐานะบริษัทที่ลงทุนใน Prop Tech และการพัฒนานวัตกรรมเพื่อการเติมเต็มการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ เพื่อสนับสนุนพันธกิจหลักของแสนสิริในการมุ่งเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิต (Complete Your Living Experience) พร้อมทั้งเป็นแพล็ตฟอร์มเชื่อมโยงธุรกิจไทยสู่ระดับโลก สิริ เวนเจอร์สเข้าร่วมงาน TechSauce Global Summit 2018 ในวันนี้ เพื่อโชว์ไฮไลท์ด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีต่าง ๆ ใน 4 ด้านได้แก่ PropTech, LivingTech, Construction Tech และ Health & Wellness Tech เพื่อสะท้อนความมุ่งมั่นของเราในการลงทุนและพัฒนานวัตกรรมที่จะช่วยยกระดับประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบที่สุดให้กับลูกบ้านแสนสิริ โดยไฮไลท์ในงานมีทั้งการนำนวัตกรรม “Wind Turbine” จาก Semtive สตาร์ทอัพชั้นนำผู้พัฒนากังหันลมสำหรับที่พักอาศัยจากสหรัฐอเมริกาที่สิริ เวนเจอร์สได้เข้าไปร่วมลงทุน มาจัดแสดงเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่งานนี้ เพื่อเป็นการแนะนำให้คนไทยได้สัมผัสกับนวัตกรรมสุดล้ำและสร้างโอกาสในการเติบโตในตลาดไทยไปพร้อมกัน”   ด้วยความสนใจในนวัตกรรมที่ใช้พลังงานทดแทนของสิริ เวนเจอร์ส ซึ่งนำไปสู่การเข้าไปลงทุนด้วยงบประมาณ 15 ล้านบาทในบริษัท Semtive สตาร์ทอัพที่สร้างธุรกิจขึ้นด้วยความมุ่งมั่นที่จะเปลี่ยนวิธีคิดของผู้คนทั่วโลกในเรื่องพลังงานสะอาดและสามารถใช้ได้ในชีวิตประจำวันในราคาที่เข้าถึงได้ โดย Semtive เป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยี “Wind Turbine” กังหันลมเพื่อเปลี่ยนพลังงานลมเป็นพลังงานไฟฟ้า โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยกระแสลมแรง สามารถนำมาใช้ได้บนพื้นที่จำกัดในเมือง เช่น บนหลังคาบ้าน หรือคอนโดมิเนียม สิริ เวนเจอร์สได้นำนวัตกรรมที่เป็นการพัฒนาด้าน Living Tech หรือนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยที่ช่วยประหยัดพลังงาน ปลอดภัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเต็มรูปแบบชุดนี้ มาจัดแสดงเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่งาน TechSauce Global Summit 2018 ครั้งนี้ด้วย โดยในตอนนี้ แสนสิริกำลังอยู่ในขั้นตอนการติดตั้งเซนเซอร์วัดระดับความแรงลมในโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่าง ๆ ของแสนสิริเพื่อดูความเหมาะสมว่าโครงการใดเหมาะที่จะใช้นวัตกรรมนี้ และจะพร้อมใช้งานจริงในโครงการนำร่องของแสนสิริภายในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ โดยล่าสุดพบว่า โครงการบ้านแนวราบ อาทิ คณาสิริ พระราม 2 และโครงการคอนโดมิเนียมแบบ high-rise ของแสนสิริหลายโครงการสามารถนำนวัตกรรมนี้ไปใช้เพื่อให้ลูกบ้านควบคุมการใช้ไฟฟ้า ลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน และส่งเสริมให้เกิดการแบ่งปันการใช้พลังงานไฟฟ้าร่วมกันในชุมชนได้จริง   “นอกจากนี้สิริ เวนเจอร์สยังได้จัดเสวนาร่วมกับพันธมิตรระดับโลกอย่าง Plug and Play และ SOSA ร่วมแชร์เทรนด์ Property Technology ที่กำลังมาแรง ไม่ว่าจะเป็น Block Chain, AR/VR, Big Data, AI, ML เรื่อยไปจนถึงระบบ Voice Assistant and Mobility รวมถึงระบบแบ่งขายอสังหาริมทรัพย์สำหรับนักลงทุนรายย่อยผ่านแอพพลิเคชั่น (Fractional Property Investment) รวมถึงการเผยกลยุทธ์สำคัญในการนำพาสตาร์ทอัพไทยให้ไปผงาดได้ในเวทีระดับโลกท่ามกลางปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดการพัฒนา Prop Tech ทั่วโลก ซึ่งทั้ง Plug and Play และ SOSA ในฐานะเครือข่ายสตาร์ทอัพระดับโลกเองก็มี กลยุทธ์เฉพาะที่แตกต่างกันออกไป นับว่าเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มาร่วมฟังเสวนาในครั้งนี้มาก เพราะนี่ถือเป็นสิ่งท้าทายและบททดสอบใหญ่ของสตาร์ทอัพทั่วโลกที่จะดำเนินธุรกิจสตาร์ทอัพในต่างประเทศ พร้อมด้วยโอกาสและก้าวต่อไปในการผลักดันสตาร์ทอัพไทยไปอีกระดับ” อีกหนึ่งไฮไลท์ในบูธสิริเวนเจอร์ เป็นการโชว์นวัตกรรมเพื่อเติมเต็มการใช้ชีวิตของลูกบ้านให้สมบูรณ์แบบ อาทิ เช่น นวัตกรรม Wind Turbine, Home Service App ที่สามารถสั่งการด้วยเสียง, หุ่นยนต์ SAN: DEE, AI ในการวางแผนงานก่อสร้าง, AR/VR สำหรับควบคุมคุณภาพการก่อสร้างซึ่งหลายนวัตกรรมที่เรานำมาแสดงเป็นนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นโดยสตาร์ทอัพไทย นี่คือเหตุผลที่ชัดเจนสำหรับสิริ เวนเจอร์สในการเป็นสะพานเชื่อมสตาร์ทอัพไทยให้ก้าวไปพบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ในระดับโลกให้ได้” นายจิรพัฒน์ กล่าวเพิ่มเติม   พันธกิจในการพาสตาร์ทอัพไทยไปพบความสำเร็จระดับโลกของสิริ เวนเจอร์ส ได้รับการสานต่อที่งาน TechSauce Global Summit 2018 นี้กับการเปิดเวทีเฟ้นหาสตาร์ทอัพด้าน Prop Tech เป็นครั้งแรก โดยคัดเลือก 17 ทีมที่เปี่ยมด้วยศักยภาพ เพื่อหาทีมผู้ชนะเลิศเพียงหนึ่งเดียวที่สิริ เวนเจอร์สจะพาไปนำเสนอแผนธุรกิจกับนักลงทุนระดับโลกในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ที่ซิลิคอนวัลเลย์ ซึ่งนับเป็นศูนย์กลางเทคโนโลยีที่สำคัญของโลกที่สามารถผลักดันให้นวัตกรรมที่มีศักยภาพนั้นต่อยอดได้อย่างไร้ขีดจำกัด นอกจากเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศของสตาร์ทอัพด้าน Prop Tech ในไทยแล้ว ยังถือเป็นการมอบโอกาสและเติมเต็มศักยภาพให้สตาร์ทอัพไทยสามารถไปแข่งขันในเวทีโลกได้อย่างทัดเทียมกับสตาร์ทอัพอื่น ๆ ทั่วโลกด้วย โดยสิริ เวนเจอร์สยังคงสานต่อความร่วมมือกับเครือข่ายสตาร์ทอัพระดับโลกอย่าง Plug and Play หนึ่งในบริษัทร่วมทุน Ventures Capital ที่เติบโตมากที่สุดในซิลิคอนวัลเลย์ และ SOSA จากอิสราเอล ที่วันนี้มาพูดคุยถึงการสร้างความสำเร็จให้กับสตาร์ทอัพด้าน Prop Tech ในระดับโลก สร้างแรงบันดาลใจและเติมความมั่นใจในการออกไปลุยตลาดโลกให้กับสตาร์ทอัพไทยไปพร้อมกันอีกด้วย มร.ชอน เดฮ์พานาฮ์ รองประธานบริหาร ฝ่ายพันธมิตรองค์กรและนวัตกรรม จากบริษัท Plug and Play ที่มีส่วนการสร้างระบบนิเวศสตาร์ทอัพอันแข็งแกร่งของซิลิคอนวัลเลย์ กล่าวว่า “ในฐานะที่เราเป็นแพลตฟอร์มที่มุ่งเน้นการสร้างเครือข่ายที่เชื่อมโยงสตาร์ทอัพกับนักลงทุนและองค์กรจากทั่วโลก โดยเรามีเครือข่ายสตาร์ทอัพกว่า 6,000 รายจากกว่า 13 สาขาทั่วโลก มีพันธมิตรองค์กรมากกว่า 220 บริษัท 180 เวนเจอร์แคปิตอล และมีออฟฟิศตั้งอยู่ในกว่า 28 แห่งทั่วโลก เรามองว่าสตาร์ทอัพที่จะก้าวไปสู่ความสำเร็จในระดับโลกต้องมีความรวดเร็วในการคิดคอนเซ็ปต์และการสร้างนวัตกรรมสำหรับองค์กรต่าง ๆ ที่กำลังมองหาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ไปประยุกต์ใช้กับหน่วยธุรกิจของพวกเขา การมีที่ปรึกษาและการมีผู้ให้คำแนะนำที่เชี่ยวชาญในการขัดเกลาไอเดียเพื่อการนำเสนอผลงานเป็นอีกเรื่องที่จะช่วยเพิ่มความสำเร็จในการได้รับทุน นอกจากนี้สตาร์ทอัพควรมีทักษะในการดำเนินธุรกิจที่เป็นสากล รู้จักคิดอย่างมีกลยุทธ์ และต้องมองการณ์ไกลให้ถึงในระดับโลกเพื่อให้นวัตกรรมที่คิดขึ้นมาเข้าถึงคนจำนวนมาก ซึ่งนั่นคือโอกาสประสบความสำเร็จที่มากขึ้น วิธีคิดแบบนี้คือวิธีคิดที่ดึงดูดนักลงทุนมากกว่าสตาร์ทอัพที่มีเป้าหมายเฉพาะในตลาดภายในประเทศ”   มร. เบน สตรูว์โก ผู้อำนวยการฝ่ายนวัตกรรมองค์กรจากบริษัท SOSA กล่าวว่า “SOSA เป็นศูนย์กลางการเชื่อมโยงสตาร์ทอัพที่มีศักยภาพในการเติบโตสูงในประเทศอิสราเอล เพื่อเพิ่มโอกาสในการเชื่อมต่อสตาร์ทอัพกับนักลงทุนและองค์กรต่างชาติทั่วโลก โดยปัจจุบันเรามีเครือข่ายสตาร์ทอัพด้านอสังหาริมทรัพย์และอื่น ๆ รวมกว่า 8,500 ราย การจับมือเป็นพันธมิตรร่วมกับสิริ เวนเจอร์สจะช่วยเชื่อมเครือข่ายสตาร์ทอัพที่เรามี เพื่อร่วมกันพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ สำหรับลูกบ้านแสนสิริ ในขณะเดียวกัน สิริ เวนเจอร์สก็สามารถเข้าถึงระบบนิเวศสตาร์ทอัพของอิสราเอลได้โดยตรง ซึ่งเพียงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา เราเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจนว่า สิริ เวนเจอร์สสามารถเชื่อมโยงและเข้าถึงสตาร์ทอัพที่เรามีได้มากกว่า 20 บริษัทแล้ว การเชื่อมต่อระหว่างสตาร์ทอัพในเครือข่ายของเรา กับเครือข่ายระดับโลกขององค์กรและนักลงทุนชั้นนำทั่วโลกจากหลากหลายอุตสาหกรรม รวมทั้งการให้คำแนะนำในเรื่องต่าง ๆ เพื่อสร้างความเติบโตให้กับสตาร์ทอัพแต่ละราย คืออีกหนึ่งจุดเด่นที่ SOSA มีความเชี่ยวชาญ”   “สิริ เวนเจอร์สมีความมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับระบบนิเวศของสตาร์ทอัพทั้งในประเทศไทยและในระดับโลก พร้อมทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับสตาร์ทอัพ Prop Tech ไทยเพื่อไปสู่ความสำเร็จในระดับโลก ภายใต้ความร่วมมือกับเครือข่ายระดับสากลอย่าง Plug and Play และ SOSA โดยเราจะยังคงไม่หยุดนิ่งในการพัฒนาและลงทุนในนวัตกรรมเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งนี้เพื่อสร้างมูลค่าให้กับบริษัท และเติมเต็มการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ ภายใต้แนวคิด “Complete Your Living Experience” ของแสนสิริ อย่างต่อเนื่องต่อไป” นายจิรพัฒน์ กล่าวสรุป
ซีเอ็มซี กรุ๊ป โชว์ ชาโตว์ อินทาวน์ จรัญสนิทวงศ์ 96/2  ชูจุดเด่นส่วนกลางขนาดใหญ่ ฟังก์ชั่นห้องที่ลงตัว

ซีเอ็มซี กรุ๊ป โชว์ ชาโตว์ อินทาวน์ จรัญสนิทวงศ์ 96/2 ชูจุดเด่นส่วนกลางขนาดใหญ่ ฟังก์ชั่นห้องที่ลงตัว

บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือ CMC Group รุกหนักคอนโดย่านสะพานพระราม 7 วิวแม่น้ำเจ้าพระยา กับโครงการชาโตว์ อินทาวน์ จรัญสนิทวงศ์ 96/2 คอนโดมิเนียม Low Rise ดีไซน์แบบ Nature Modern ที่มีแนวคิดการออกแบบเน้นการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างใกล้ชิด บนทำเลศักยภาพของถนนจรัญสนิทวงศ์ ตอบสนองวิถีคนเมืองที่โหยหาธรรมชาติ และความสงบร่มรื่นอยู่ในวงล้อมของเทคโนโลยีห่างไกลมลพิษ ฝุ่นควัน และมลภาวะทางเสียง พร้อมฟังก์ชั่นที่ลงตัว สิ่งอำนวยความสะดวกสบาย และมีพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่เป็นพิเศษ อาทิ สระว่ายน้ำ Freeform ห้องออกกำลังกายสุดทันสมัย พื้นที่สวนพักผ่อนและลานสันทนาการ พร้อมเทคโนโลยีและนวัตรกรรมด้านที่พักอาศัยมากมายระดับไฮเอนด์อาทิ Digital Door Lock และ VDO Door Phone ทุกยูนิตเข้าออกอาคารด้วยระบบ Key Card ในทำเลใกล้ทางด่วนศรีรัช วิวแม่น้ำเจ้าพระยา สะพานพระราม 7 ราคาเริ่มต้น 1.85 ล้านบาท พร้อมเข้าอยู่แล้ววันนี้ ลงทะเบียนออนไลน์รับโปรโมชั่นมากมายได้ที่ http://www.cmc.co.th/chateauintown/charan96/ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมโทร. 1172 กด 6 หรือ 090-687-9696
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์จัดงาน ‘MAESTRO MASTERFUL LIVING’นำ 3 คอนโดพร้อมอยู่แบรนด์ MAESTRO มอบส่วนลดสูงสุดถึง 2 แสนบาท ฟรีเฟอร์ฯ เริ่ม 3.8 ล้าน วันนี้–24 มิ.ย.นี้เท่านั้น

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์จัดงาน ‘MAESTRO MASTERFUL LIVING’นำ 3 คอนโดพร้อมอยู่แบรนด์ MAESTRO มอบส่วนลดสูงสุดถึง 2 แสนบาท ฟรีเฟอร์ฯ เริ่ม 3.8 ล้าน วันนี้–24 มิ.ย.นี้เท่านั้น

บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) จัดงาน ‘MAESTRO MASTERFUL LIVING’ ครั้งแรกกับการสร้างสรรค์การจัดแสดงในรูปแบบ Art exhibition ถ่ายทอดแนวคิดและความหมายในทุกรายละเอียดของการพัฒนาคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ภายใต้แบรนด์ MAESTRO (มาเอสโตร) พร้อมเปิดตัว 3 คอนโดมิเนียม ตกแต่งครบพร้อมอยู่ โลเคชั่นสุดไพร์ม มาเอสโตร 01 สาทร-เย็นอากาศ ใกล้ MRT ลุมพินี และ BTS ศาลาแดง, มาเอสโตร 03 รัชดา-พระราม 9 ใกล้ MRT พระราม 9 และมาเอสโตร 14 สยาม-ราชเทวี ใกล้ BTS  ราชเทวี เพียง 300 เมตร ราคาเริ่มต้นที่ 3.8 ล้านบาท จัดเต็มโปรโมชั่นมอบส่วนลดพิเศษสูงสุดถึง 200,000 บาท ฟรีเฟอร์นิเจอร์ ฟรีทุกค่าใช้จ่ายวันโอน วันนี้ถึง 24 มิ.ย. นี้เท่านั้น ที่ ลานเซ็นทรัล คอร์ท ชั้น 1 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์
“ออริจิ้น” กางแผนแนวราบ 5 ปี ขึ้น Top 3 โกยรายได้ปีละหมื่นล้าน  ลุยเปิดตัว “บริทาเนีย” 3 โครงการใหม่ปี 61 มูลค่า 4,000 ล้าน

“ออริจิ้น” กางแผนแนวราบ 5 ปี ขึ้น Top 3 โกยรายได้ปีละหมื่นล้าน ลุยเปิดตัว “บริทาเนีย” 3 โครงการใหม่ปี 61 มูลค่า 4,000 ล้าน

  “ออริจิ้น” กางแผนรุกตลาดแนวราบ ยึดพื้นที่โซนกรุงเทพฯตะวันออก-EEC เป็นฐานใหญ่ ตั้งเป้าภายใน 5 ปี ขึ้นแท่น Top 3 ผู้พัฒนาโครงการแนวราบในใจผู้บริโภค โกยรายได้ต่อปีทะลุหมื่นล้าน เปิดตัว 2 ผู้บริหารใหม่เสริมทัพ ประเดิมครึ่งหลังปี’61 เปิด “บริทาเนีย” 3 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 4,000 ล้าน เจาะลูกค้ากลุ่มกลาง-บน   นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ออริจิ้น เฮ้าส์ จำกัด ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบยังคงมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลการสำรวจ พบว่า ในช่วงไตรมาส 1/2561 มีโครงการแนวราบเปิดขายใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯทั้งหมด 8,762 ยูนิต มูลค่าโครงการรวมกว่า 41,000 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 7% ขณะเดียวกัน โครงการทาวน์โฮมและบ้านแฝดจะได้รับความนิยมมากขึ้น รวมถึงทำเลใหม่ๆ ที่มีศักยภาพจะมีโอกาสเติบโตมากขึ้น เช่น ทำเลกรุงเทพฯตะวันออก และทำเลระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ทั้งหมดสะท้อนถึงโอกาสที่ดีของตลาดในปีนี้ สำหรับ บริษัท ออริจิ้น เฮ้าส์ จำกัด จะยังคงมุ่งมั่นพัฒนาโครงการแนวราบภายใต้แบรนด์บริทาเนีย (Britania) เกาะทำเลที่มีการแข่งขันไม่สูงมาก หรือ Blue Ocean แต่มีความต้องการการอยู่อาศัยจริง (Real Demand) และมีศักยภาพเติบโตต่อเนื่อง ได้แก่โซนกรุงเทพฯตะวันออก และโซน EEC ภายในช่วง 5 ปี (พ.ศ.2561-2565) บริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่เจาะตลาดใน 3 เซ็กเมนท์ รวมมูลค่าโครงการกว่า 49,000 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2565 บริษัทจะเริ่มต้นมีรายได้ทะลุปีละ 10,000 ล้านบาทได้เป็นปีแรก และตั้งเป้าจะขึ้นเป็น Top 3 ในใจผู้บริโภคเมื่อนึกถึงโครงการบ้านแนวราบ   “เพื่อให้เราสามารถเดินหน้าไปได้ตามเป้าหมาย บริษัทจึงได้ดึงมือทองการพัฒนาโครงการแนวราบอีก 2 ท่านเข้ามาช่วยเสริมทัพ ได้แก่ นายจีระวัฒน์ เหมะธุลิน เข้ามาช่วยดูแลด้านธุรกิจ และนายนาวิน เล็กนาวา เข้ามาช่วยดูแลด้านการก่อสร้าง” นางศุภลักษณ์ กล่าว   นายจีระวัฒน์ เหมะธุลิน ผู้อำนวยการฝ่ายธุรกิจโครงการแนวราบ บริษัท ออริจิ้น เฮ้าส์ จำกัด กล่าวว่า หัวใจหลักในการพัฒนาแบรนด์บริทาเนียนั้น นอกจากดีไซน์สไตล์อังกฤษที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและทำเลที่ตั้งแล้ว บริษัทยังให้ความสำคัญกับเรื่องนวัตกรรม คุณภาพและการบริการ เพื่อส่งมอบบ้านที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า เช่น การมีระบบ Home Automation เพื่อสร้างความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย บริษัทยังได้มืออาชีพที่มีประสบการณ์งานก่อสร้างมายาวนานมาร่วมพัฒนาโครงการ ทำให้มั่นใจได้ว่าบ้านภายใต้การพัฒนาของออริจิ้น เฮ้าส์จะได้คุณภาพทุกหลังอย่างแน่นอน   สำหรับการเดินหน้าสู่เป้าหมาย Top 3 ในใจผู้บริโภค บริษัทจะใช้แบรนด์บริทาเนียเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ โดยสร้างแบรนด์ให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว อาทิ การออกแบบที่คำนึงถึงประโยชน์การใช้สอยพื้นที่ในทุกตารางนิ้วอย่างคุ้มค่า ขณะเดียวกันก็สร้างความรู้สึกสบายได้อย่างลงตัว เพื่อให้คนทุกวัยได้อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ในปี 2561 บริษัทมีแผนเปิดตัว 3 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 4,000 ล้านบาท ได้แก่ 1.โครงการบริทาเนีย เมกะทาวน์-บางนา มูลค่าโครงการประมาณ 1,900 ล้านบาท ระดับราคา 2.9 - 5 ล้านบาท พื้นที่ใช้สอย 100-140 ตร.ม. โดดเด่นด้วยทาวน์เฮ้าส์หน้ากว้าง 5.3-5.7 เมตร บนทำเลใกล้รถไฟฟ้าสายสีเหลือง เข้าออกได้ถึง 4 เส้นทาง ครบครันด้วยระบบสาธารณูปโภค   2.โครงการบริทาเนีย บางนา-สุวรรณภูมิ มูลค่าโครงการประมาณ 1,000 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวระดับราคา 4.7-6 ล้านบาท ตั้งอยู่บน ถ.สุขาภิบาล 6 (บางนาตราด-วัดบางพลีใหญ่ใน) ทำเลใกล้ทางด่วน รถไฟฟ้า บนเนื้อที่กว่า 32 ไร่ ประกอบด้วย บ้านเดี่ยว 3 แบบ ได้แก่ Oxford Regent และ Brompton มีครัวไทยทุกยูนิต พื้นที่ใช้สอย 120-150 ตร.ม. และ 3.โครงการบริทาเนีย วงแหวน-หทัยราษฎร์ มูลค่าโครงการประมาณ 1,100 ล้านบาท เป็นบ้านแฝดและทาวน์เฮ้าส์ ระดับราคา 2.9-4.3 ล้านบาท   ด้าน นายนาวิน เล็กนาวา ผู้อำนวยการฝ่ายก่อสร้าง บริษัท ออริจิ้น เฮ้าส์ จำกัด กล่าวว่า ในส่วนงานก่อสร้างและการบริการนั้น บริษัทได้พันธมิตรชั้นนำในหลากหลายแวดวงมาร่วมพัฒนาโครงการ เช่น เอสซีจี บริษัท เอ็นเอส บลูสโคป (ประเทศไทย) จำกัด อเมริกันสแตนดาร์ด COTTO เป็นต้น รั้วโครงการ รั้วบ้าน เป็นแผ่นคอนกรีตหล่อสำเร็จ ประตู-หน้าต่าง Vinyl Aluminium ทุกหลัง ตลอดจนนวัตกรรมการก่อสร้างก็ใช้ระบบที่ได้มาตรฐาน โดยเน้นการใช้ Pre-fabrication ผลิตและควบคุมคุณภาพที่โรงงานแล้วนำมาติดตั้งที่โครงการ โครงสร้างบ้านเป็นระบบ Precast System เพื่อควบคุมงานก่อสร้างให้ได้มาตรฐาน โครงหลังคาสำเร็จรูป ทำให้การพัฒนาโครงการต่างๆ ได้คุณภาพเหนือระดับ   นอกจากนี้ ยังควบคุมคุณภาพงานก่อสร้าง โดยช่างผู้ควบคุมงานมืออาชีพ ตั้งแต่ก่อนเริ่มงาน ระหว่างกระบวนการ จนเสร็จสิ้นงานก่อสร้าง จากนั้นก็จะตรวจสอบคุณภาพโดยทีม Quality Control (QC) เพื่อให้มั่นใจได้ว่า บ้านที่จะส่งมอบให้ลูกค้าทุกหลังเป็นบ้านที่มีคุณภาพ ในส่วนของงานบริการก็ได้บริษัท พรีโม่ แนเนจเม้นท์ และบริษัท อูโน่ เซอร์วิส มาช่วยดูแล เพื่อให้ลูกค้าอุ่นใจในสินค้า และบริการ สำหรับ บริษัท ออริจิ้น เฮ้าส์ จำกัด เป็นบริษัทพัฒนาโครงการแนวราบในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เริ่มต้นพัฒนาโครงการแรกในปี 2560 ภายใต้ชื่อ บริทาเนีย ศรีนครินทร์ สามารถสร้างยอดขายไปได้แล้วถึง 85% ขณะที่วางแผนแบ่งแบรนด์ย่อยในการพัฒนาออกเป็น 3 แบรนด์ ได้แก่ 1.บริทาเนีย เรสซิเดนซ์ (Britania Residence) บ้านเดี่ยวในระดับราคา 10-20 ล้านบาท 2.บริทาเนีย โฮม (Britania Home) บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดในราคา 5-10 ล้านบาท 3.บริทาเนีย ทาวน์ (Britania Townhome) ทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศ ราคา 3-5 ล้านบาท   ขณะที่ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) ทั้งโครงการแนวสูงและโครงการแนวราบ 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร
ซีเอ็มซี กรุ๊ป เปิดโลกแห่งความหรูหรา เหนือระดับเต็มรูปแบบที่ คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ ชาโตว์ อินทาวน์ พระราม 8

ซีเอ็มซี กรุ๊ป เปิดโลกแห่งความหรูหรา เหนือระดับเต็มรูปแบบที่ คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ ชาโตว์ อินทาวน์ พระราม 8

นางสาวรวีวรรณ โสภณ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาดและขาย บริษัทเจ้าพระยามหานครจำกัด (มหาชน) หรือ CMC Group ขอเชิญคุณก้าวเข้าสู่โลกแห่งความหรูหรา เหนือระดับของพื้นที่ส่วนกลางเต็มรูปแบบได้แล้ววันนี้ ที่โครงการ Chateau in Town พระราม 8 คอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยม ที่สุดแห่ง Landmark วิวแม่น้ำเจ้าพระยา ติดสะพานพระราม 8 ด้วยคอนเซปต์การตกแต่งและออกแบบสถาปัตยกรรมในสไตล์เรเนซองส์ สุด High Class ที่เต็มไปด้วย ความสวยงามตระการตา เหมือนดั่งในฝัน ราคาเริ่มต้น 2.69 ล้านบาท ลงทะเบียนออนไลน์รับส่วนลดเพิ่มทันที 100,000 บาท และโปรโมชั่น ALL FREE ฟรีทุกค่าใช้จ่าย* ฟรีแอร์ พร้อมเฟอร์นิเจอร์แต่งครบ ลงทะเบียนได้ที่ http://www.cmc.co.th/chateauintown/rama8/ และสอบถามได้ที่ โทร 081-914-7775  
แสนสิริเสริมแกร่งยกระดับระบบรักษาความปลอดภัย เปิดตัว Sansiri Security System

แสนสิริเสริมแกร่งยกระดับระบบรักษาความปลอดภัย เปิดตัว Sansiri Security System

  ไลฟ์สไตล์ของคนยุคใหม่แม้จะเลือกใช้ชีวิตอยู่ในที่อยู่อาศัยที่แตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ หรือคอนโดมิเนียม เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของวิถีชีวิตที่ลงตัวของแต่ละคน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ไม่ว่าคนเราจะมีที่อยู่อาศัยในรูปแบบใดก็ตาม ต่างต้องการความรู้สึกปลอดภัยและอุ่นใจในบ้านของตัวเอง ซึ่งถือเป็นความต้องการพื้นฐานที่ตรงกันในผู้อาศัยทุกคน รวมทั้งความต้องการถึงความปลอดภัยนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงเฉพาะในช่วงเวลาที่เจ้าของบ้านทำการอาศัยอยู่เท่านั้น แต่ความคาดหวังด้านความปลอดภัยนั้นมีขึ้นตลอด 24 ชั่วโมง   บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ได้มุ่งเน้นด้านระบบรักษาปลอดภัยที่มีความแตกต่างจากงานรักษาความปลอดภัยทั่วไป โดยให้ความสำคัญในการพัฒนาบุคลากรอย่างจริงจังจากผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความปลอดภัย ควบคู่กับการนำเทคโนโลยีด้านอสังหาฯและการอยู่อาศัย ( Property Technology) เข้ามาใช้ในระบบรักษาความปลอดภัยให้มีประสิทธิภาพและความทันสมัยมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นประโยชน์กับผู้อยู่อาศัยในทุกๆด้าน เป็นการเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบให้กับลูกบ้านแสนสิริ   นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แสนสิริ ตั้งเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ให้ความสำคัญกับทุกรายละเอียดในทุกด้าน รวมถึงด้านระบบรักษาความปลอดภัย ซึ่งเราได้ให้ความสำคัญเข้าไปในการให้บริการที่มีผู้ดูแลโครงการอย่างมืออาชีพ เพื่อช่วยคลายความกังวลกับลูกบ้านและสร้างความอุ่นใจเมื่ออยู่อาศัยภายในโครงการ แสนสิริจึงได้ให้ความสำคัญกับระบบรักษาความปลอดภัย และสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยให้รับรู้ถึงความแตกต่างหลังจากย้ายเข้ามาอยู่และได้เริ่มใช้ชีวิตจริงๆ ในบ้าน   ดังนั้น แสนสิริจึงได้เปิดตัว Sansiri Security System ระบบรักษาความปลอดภัยที่นำความล้ำสมัยที่ให้มากกว่าด้วยระบบรักษาความปลอดภัยภายในโครงการ(พื้นที่ส่วนกลาง) และเพิ่มความแข็งแกร่งด้วยระบบเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยบริเวณรอบบ้าน ด้วยการนำเทคโนโลยีระบบอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยที่ทันสมัยผสมผสานร่วมกับการทำงานของทีมงานที่ได้รับการฝึกอบรมจากครูฝึกมากด้วยประสบการณ์ เพื่อสร้างความอุ่นใจให้กับการอยู่อาศัยในแต่ละวันของลูกบ้านโครงการแสนสิริในด้านความปลอดภัยอย่างรอบด้าน ภายใต้แนวคิด Complete Your Living Experience ซึ่งลูกบ้านทุกคนจะรู้สึกได้ตั้งแต่วันแรกที่ย้ายเข้ามาในโครงการ เพราะเราคำนึงว่าการทำธุรกิจด้านที่อยู่อาศัยนั้นเราไม่ได้มองเพียงด้านตัวสินค้าและบริการที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่ยังได้ให้ความสำคัญถึงระบบรักษาความปลอดภัยที่ถือเป็นอีกหัวใจสำคัญของการอยู่อาศัยของลูกค้า   โดยจุดเด่นของ Sansiri Security System ที่มีเหนือกว่าของคู่แข่งคือการผสานระหว่างการนำเทคโนโลยีทันสมัยมาใช้ควบคู่กับทีมรักษาความปลอดภัยที่ได้รับการอบรมจากครูฝึกมากด้วยประสบการณ์ ทำให้ลูกบ้านอุ่นใจมากขึ้น ซึ่งเทคโนโลยีที่นำมาเพิ่มการรักษาความปลอดภัยในโครงการนำร่องของแสนสิรินั้น ถือเป็นการเปิดตัวใช้กับโครงการที่อยู่อาศัยเป็นแห่งแรกของประเทศไทย อาทิเช่น   o Digital fence ระบบรั้วอัจฉริยะต้นแบบ ที่สามารถเตือนภัยเมื่อเกิดเหตุบุกรุก o Face Recognition ระบบการจัดเก็บหน้า ลายนิ้วมือ และข้อมูลของผู้รับเหมา เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการตรวจสอบหาผู้กระทำความผิด และเป็นข้อมูลให้ช่วยในการติดตามหากเกิดเหตุฉุกเฉิน o SMART ACCESS QR code เพิ่มความสะดวกสบายให้กับแขกของลูกบ้าน สามารถใช้ QR Code เข้าผ่านประตูหน้ามานั่งรอเพื่อนที่ Lobby ได้ o Visitor Management System (VMS) ระบบเพิ่มความปลอดภัยในการจัดการผู้มาติดต่อ โดยมีระบบการอ่านข้อมูลบัตรประชาชน แบบสมาร์ทการ์ด พร้อมทั้งบันทึกรูปภาพบุคคล ระบบอ่านป้ายทะเบียน (License Plate Recognition) และบันทึกข้อมูลเข้าระบบอัตโนมัติแทนการแลกบัตร เพื่อเพิ่มความปลอดภัยอีกระดับ รวมไปถึงระบบยังรองรับการลงทะเบียนล่วงหน้าของผู้มาติดต่อ และคำนวณค่าที่จอดรถอัตโนมัติ ซึ่งระบบนี้อยู่ในช่วงพัฒนาเพิ่มเติมสำหรับเปิดให้บริการลูกบ้านในเฟสต่อไป   สำหรับด้านบุคลากรนั้น แสนสิริก็ให้ความสำคัญและเข้มงวดในการฝึกอบรมอย่างมาก ซึ่งได้จัดตั้งเป็น Sansiri Security Inspection (SSI) มีทีมครูฝึกมากด้วยประสบการณ์ รปภ.มืออาชีพ คุมเข้มตรวจความปลอดภัยทุกโครงการที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ ตั้งแต่การติดตามรถที่เข้า-ออกได้มีการฝึกอบรม รปภ ของทุกโครงการให้มีมาตรฐานดูแลความปลอดภัยให้ลูกบ้าน รวมทั้งมีแผนฝึกแผนรับมือเหตุฉุกเฉินตามมาตรฐานของบริษัท อาทิ ฝึกแผนรับมือเหตุโจรกรรมและสัญญาณเตือนภัยดังภายในพื้นที่หน่วยงาน ฝึกแผนรับมือเหตุไฟไหม้ภายในพื้นที่หน่วยงาน ฝึกแผนรับมือเหตุไฟฟ้าดับในพื้นที่หน่วยงาน ฝึกแผนรับมือเหตุมีน้ำท่วมในพื้นที่ แผนเตรียมพร้อมและประสานงานเมื่อมีผู้ป่วยหนักหรือเสียชีวิตในพื้นที่ มีแผนการปฏิบัติเมื่อได้รับการประสานแจ้งเหตุ การเข้าตรวจสอบที่เกิดเหตุและการระงับเหตุเบื้องต้น   เรื่องของการรักษาความปลอดภัยนั้นจะเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและความอุ่นใจของลูกบ้าน การนำเทคโนโลยีเข้ามาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์จึงเป็นเรื่องที่แสนสิริให้ความใส่ใจเป็นอย่างมาก และมีความมุ่งมั่นที่จะนำเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัย มาใช้ให้เกิดประโยชน์กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง และตั้งเป้าหมายให้ Sansiri Security System เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่จะเติมเต็มประสบการณ์อยู่อาศัยที่ดีที่สุดให้กับลูกบ้าน   ทั้งนี้ การรักษาความปลอดภัย ระบบอุปกรณ์เทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยต่างๆ ของแต่ละโครงการ เป็นไปตามเงื่อนไขที่บริษัทกำหนด หากต้องการรายละเอียดข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ 1685
อาณา ดีเวลอปเมนท์ เปิดแผนรุกบุกตลาดคอนโดมิเนียม ภูเก็ต ภายใต้แบรนด์ “SPACE CONDOMINIUM” พร้อมขยายฐานธุรกิจโรงแรม

อาณา ดีเวลอปเมนท์ เปิดแผนรุกบุกตลาดคอนโดมิเนียม ภูเก็ต ภายใต้แบรนด์ “SPACE CONDOMINIUM” พร้อมขยายฐานธุรกิจโรงแรม

  ไตร พร็อพเพอตี้ ผู้นำการพัฒนาโครงการอสังหาฯ สำหรับคนรุ่นใหม่ หลังจากประสบความสำเร็จการพัฒนาคอนโดมิเนียมคุณภาพ ย่านแจ้งวัฒนะและในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตมาแล้วถึง 6 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 3,000 ล้านบาท แตกไลน์ธุรกิจเปิดตัวบริษัทในเครือ “อาณา ดีเวลอปเมนท์” รองรับการขยายฐานพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวคิดใหม่ ทั้งคอนโดมิเนียมคุณภาพ โรงแรมในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ และโครงการดูแลผู้ป่วยและผู้สูงอายุ ประเดิมเปิดตัวโครงการ “สเปซ คอนโดมิเนียม” ใจกลางย่านธุรกิจใหม่ของภูเก็ต ชูจุดขายที่โดดเด่นด้วยห้อง 1 ห้องนอน ขนาด 27 ตารางเมตรขึ้นไป ในราคาที่ตอบโจทย์คุ้มค่าทุกการอยู่อาศัยและการลงทุน เริ่มต้นตารางเมตรละ 70,000 บาท คาดประสบความสำเร็จการขายอย่างรวดเร็ว   นายอดิศร วิเวกานนท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อาณา ดีเวลอปเมนท์ จำกัด เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่ บริษัท ไตร พร็อพเพอตี้ จำกัด ได้เปิดดำเนินการมากว่า 9 ปี ในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมสำหรับคนรุ่นใหม่ ที่ถือว่าประสบความสำเร็จค่อนข้างมาก จากการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในย่านแจ้งวัฒนะ ภายใต้แบรนด์ “Proud (พราว)” 3 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียมในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญระดับประเทศ ในจังหวัดภูเก็ต ภายใต้แบรนด์ “ZCAPE (สเคป)” 3 โครงการ มูลค่าโครงการขายรวมกว่า 3,000 ล้านบาท ปัจจุบันทุกโครงการได้ปิดการขาย และโอนห้องให้กับลูกค้าเกือบทั้งหมดแล้ว ดังนั้นทางบริษัทฯ จึงมีแผนการขยายการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ ภายใต้บริษัทอาณา ดีเวลอปเมนท์ จำกัด เพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมสำหรับคนรุ่นใหม่ และโครงการโรงแรมในพื้นที่จังหวัดท่องเที่ยวสำคัญอย่างภูเก็ตและเชียงใหม่ รวมถึงการขยายตัวไปพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยและบริการดูแลผู้ป่วยและผู้สูงอายุด้วย ล่าสุดจะเปิดตัว “สเปซ คอนโดมิเนียม (SPACE CONDOMINIUM)” คอนโดใหม่ล่าสุดที่โดดเด่นทั้งด้านดีไซน์ ฟังก์ชั่นการใช้งาน และราคาที่คุ้มค่า ในย่านธุรกิจใหม่ใจกลางจังหวัดภูเก็ต เพื่อรองรับความต้องการที่อยู่อาศัยที่มีอยู่เป็นจำนวนมากด้วย   “สำหรับ โครงการสเปซ คอนโดมิเนียม ภูเก็ต เป็นโครงการคอนโดมิเนียมในสไตล์โมเดิร์น ที่เน้นความเรียบง่ายและลงตัวมากขึ้น เป็นอาคาร 7 ชั้น จำนวน 1 อาคาร มีจำนวนห้องพักทั้งสิ้น 197 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 500 ล้านบาท ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 2 ไร่ บริเวณจุดตัดถนนวิชิตสงครามและถนนเจ้าฟ้าตะวันตก ซึ่งเป็นใจกลางย่านธุรกิจใหม่ของจังหวัดภูเก็ต อยู่ใกล้กับห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเฟสติวัล ภูเก็ต เฟสสอง ที่กำลังจะสร้างเสร็จในเร็วๆ นี้ ซึ่งย่านดังกล่าวมีแผนขยายการพัฒนาโครงการต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ โรงเรียนนานาชาติ Headstart, สนามกีฬากลางแจ้ง, ศูนย์ประชุมขนาดใหญ่ รวมถึงศูนย์ธุรกิจใหม่ๆ อีกมากมาย ทั้งนี้จากการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมสเคป 3 ในย่านดังกล่าว จำนวน 2 อาคาร มียูนิตการอยู่อาศัยทั้งสิ้น 417 ยูนิต ทำให้ทราบอย่างชัดเจนว่า ความต้องการที่อยู่อาศัยใหม่ประเภทคอนโดมิเนียมที่มีคุณภาพ มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบโจทย์สำหรับคนรุ่นใหม่ และมีราคาที่เหมาะสม ยังคงเป็นที่ต้องการเป็นจำนวนมาก จึงได้พัฒนาโครงการสเปซ คอนโดมิเนียม ให้มีจุดเด่นในด้านฟังก์ชั่นห้อง 1 ห้องนอน มีขนาดตั้งแต่ 27 ตารางเมตรขึ้นไป และห้อง 2 ห้องนอน ที่มีขนาด 69 ตารางเมตร ในขณะที่ราคาห้องนั้นเริ่มต้นที่ 70,000 บาทต่อตารางเมตรขึ้นไป จะสามารถตอบโจทย์ของผู้อยู่อาศัยและผู้ลงทุนได้เป็นอย่างดี คาดว่าจะทำให้โครงการดังกล่าว ประสบความสำเร็จในการขายอย่างรวดเร็วอย่างแน่นอน” นายอดิศรกล่าว นายชัยวัฒน์ ตันติวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาณา ดีเวลอปเมนท์ จำกัด กล่าวเสริมว่า แม้ภาพรวมของเศรษฐกิจจะส่งผลกระทบต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จากตัวเลขของสำนักวิจัยอสังหาริมทรัพย์หลายค่าย แสดงต่อสาธารณชนในช่วงที่ผ่านมา ภาพรวมของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดภูเก็ต อาจจะมีการเปิดโครงการน้อยลง ซึ่งเป็นผลกระทบมาจากเศรษฐกิจของทั้งประเทศ อย่างไรก็ตามผลจากการที่จังหวัดภูเก็ต เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ และมีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติมาใช้บริการท่องเที่ยวในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงตัวจังหวัดมีการพัฒนาโครงการสาธารณูปโภคใหม่เพื่อรองรับการท่องเที่ยว อาทิ การขยายสนามบินนานาชาติภูเก็ต การขยายเส้นทางการจราจร รวมถึงการเตรียมพัฒนาโครงการรถไฟฟ้ารางเบา ส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจในจังหวัด ยังสามารถขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และขยายตัวอย่างมากในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย ดังนั้นความต้องการด้านที่อยู่อาศัยใหม่ อย่างโครงการคอนโดมิเนียม และโรงแรมที่มีสไตล์โดดเด่น จึงยังเป็นที่ต้องการเป็นอย่างมากนั่นเอง “ โดยส่วนตัวเห็นว่าสัญญาณด้านความต้องการที่อยู่อาศัยในจังหวัดภูเก็ตมีความชัดเจนมาก เนื่องจากมีลูกค้าและนักลงทุนทั้งคนในพื้นที่ หรือในกรุงเทพฯ รวมถึงนักลงทุนต่างชาติ ติดต่อเข้ามาเพื่อซื้อคอนโดฯ กับบริษัทฯอย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ จึงพร้อมที่จะลงทุนอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยรูปแบบใหม่ๆ ทั้งโครงการคอนโดมิเนียม โดยเปิดตัวโครงการสเปซ คอนโดมิเนียม เป็นโครงการแรก นอกจากนี้มีแผนที่จะขยายการพัฒนาโรงแรมแนว บูติกในจังหวัดภูเก็ต และจังหวัดกระบี่ รวมถึงมีแผนการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยและบริการดูแลผู้ป่วยและผู้สูงอายุด้วย หลังจากช่วงผ่านมากลุ่มอาณา ดีเวลอปเมนท์ ได้เข้าไปลงทุนเกี่ยวกับธุรกิจดูแลผู้ป่วยและผู้สูงอายุในกรุงเทพมหานครแล้ว มีแนวโน้มการตอบรับเป็นอย่างดี จึงมองแนวโน้มที่จะขยายฐานการให้บริการมาในจังหวัดภูเก็ตด้วย ทั้งนี้โครงการต่างๆ ก็ขึ้นอยู่กับความพร้อมของตลาดและความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่เป็นหลัก” นายชัยวัฒน์ กล่าว   โครงการสเปซ คอนโดมิเนียม อยู่ระหว่างการพัฒนาสำนักงานขาย คาดว่าจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการเร็วๆนี้ สำหรับผู้สนใจ สามารถดูรายละเอียดเบื้องต้นได้ที่ www.spacecondophuket.com หรือสอบถามข้อมูลได้ที่ 084-444-0708
นารายณ์ พร็อพเพอตี้ฯ ครึ่งปีหลัง 61 รุก 3 โปรเจ็ค มูลค่ากว่า 3,500 ลบ.

นารายณ์ พร็อพเพอตี้ฯ ครึ่งปีหลัง 61 รุก 3 โปรเจ็ค มูลค่ากว่า 3,500 ลบ.

  นารายณ์ พร็อพเพอตี้ฯ ครึ่งปีหลัง 61 รุก 3 โปรเจ็ค มูลค่า 3,500 ลบ. ปลื้มยอดขาย “เดอะพาร์คแลนด์ เพชรเกษม 56” เฟสแรกติดลมบนมียอด 90% ส่งทาวเวอร์ B ราคาเริ่มต้น 1.84 ล้านบาท ลุยตลาดที่พักอาศัยย่านฝั่งธน จัดเต็มสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันกว่า 30 รายการ เปิดขาย 30 มิ.ย. ภายใต้แนวคิด “ It’s My World” ตอบทุกโจทย์การใช้ชีวิตผู้อยู่อาศัย ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 3,000 ล้านบาท และมี backlog ที่จะทยอยรับรู้รายได้ รวมกว่า 5,500 ล้านบาท     นายเจนต์ชัย ลิ้มวัฒนะกูร กรรมการผู้จัดการ บริษัท นารายณ์ พร็อพเพอตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯในปีนี้ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว พบว่าโครงการแนวราบมีสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา ขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมในปีนี้ ราคาคอนโดในกลุ่ม High-end และ Luxury ปรับตัวสูงขึ้นมาก เนื่องจากราคาที่ดินที่สูงขึ้น และมีกำลังซื้อใหม่จากกลุ่มนักลงทุนจากต่างประเทศ โดยมีเหตุผลและปัจจัยหลายอย่าง เช่น อสังหาฯในประเทศไทยราคาไม่แพง เป็นประเทศที่น่าอยู่ การซื้อ-ขายไม่ยุ่งยาก จึงเป็นที่สนใจของกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ และพบว่ามีสัดส่วนผู้ซื้อที่เป็น Real Demand เพิ่มสูงขึ้นเมื่อเทียบกับกลุ่มนักเก็งกำไรและนักลงทุน โดยที่ผ่านมาลูกค้า Real Demand จะใช้เวลาในการตัดสินใจซื้อช้ากว่ากลุ่มนักเก็งกำไรหรือนักลงทุน ส่งผลให้การขายโครงการโดยทั่วไปชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับเมื่อก่อน แต่ภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศยังคงดีอยู่ กลุ่มคนชั้นกลางของประเทศ ซึ่งเป็นฐานของความต้องการภายใน (Domestic Demand) ยังคงมีมาอยู่อย่างต่อเนื่อง แต่จะไม่เข้ามาเร็วเหมือนกลุ่มนักลงทุน   ดังนั้นโครงการที่จะออกตัว ณ สถานการณ์แบบนี้ ควรเป็นโครงการที่มีพื้นฐานการอยู่อาศัยที่ดีจริง ทำเลใกล้รถไฟฟ้าเดินทางสะดวก ใกล้แหล่งจับจ่ายใช้สอย มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่โดดเด่น ในราคาที่ย่อมเยาว์ จะมีโอกาสการขายที่สูงกว่า ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดในการพัฒนาโครงการของบริษัทฯ ที่ให้ความสำคัญกับพื้นฐานการอยู่อาศัยของลูกค้ามาเป็นอันดับแรก โดยที่ผ่านมาบริษัทฯให้ความสำคัญในการเลือกทำเลและการออกแบบโครงการ เพื่อให้มั่นใจว่าทุกโครงการสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ในทุกมิติและไม่เร่งพัฒนาโครงการจำนวนมากเกินไปจนไม่สามารถควบคุมคุณภาพได้ สำหรับปีนี้มีแผนเปิดขายโครงการใหม่และเฟสต่อเนื่อง จำนวน 3 โครงการ แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว Luxury 1 โครงการ ,ทาวน์โฮม 1 โครงการ และ คอนโดมิเนียม 1 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 3,500 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีนโยบายการลงทุนเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ตั้งงบซื้อที่ดินเพิ่มเติมกว่า 2,000 ล้านบาท ทั้งนี้ได้ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 3,000 ล้านบาท และมี backlog ที่จะทยอยรับรู้รายได้ รวมกว่า 5,500 ล้านบาท สำหรับโครงการ “เดอะพาร์คแลนด์ เพชรเกษม 56” เป็นการเปิดขายเฟสต่อเนื่องหลังจากที่ประสบความสำเร็จจากการขายอาคาร C โดยมียอดขายแล้ว 90 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งในส่วนที่จะเปิด Pre-Sales คือ ทาวเวอร์ B เป็นอาคารที่พักอาศัยสูง 31 ชั้น ราคาเริ่มต้นที่ 1.84 ล้านบาท ภายใต้คอนเซปต์ “It’s My World” ชีวิตที่ใช่ในโลกแบบของเรา” ที่จะมาตอบโจทย์ทุกการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัย ด้วยแนวคิด Live มีครบทุกการอยู่อาศัย ห้องอยู่สบายไม่อึดอัด บางห้องมีหลายฟังก์ชั่น วัสดุ คุณภาพดีเหมาะแก่การอยู่อาศัย Life ใช้ชีวิตใกล้รถไฟฟ้าเพียง 40 เมตร อยู่ตรงข้ามห้างสรรพสินค้า ทำให้ชีวิตสะดวกสบายอย่างไร้ขีดจำกัด และ Rest ผ่อนคลายวันที่เหนื่อยล้าแม้อยู่ภายในโครงการ สามารถอยู่ได้ทั้งวันไม่มีเบื่อ เพราะมี Facilities มากที่สุดในย่านฝั่งธนกว่า 30 รายการ มาพร้อมสวนขนาดใหญ่ บนพื้นที่โครงการกว่า 13 ไร่ ทั้งนี้มีกำหนดเปิดขายในส่วนของอาคาร B อย่างเป็นทางการในงาน “Pre-sales” วันที่ 30 มิถุนายนนี้ ณ สำนักงานขาย โดยผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปลงทะเบียนใน Website :naraiproperty.com เพื่อมีสิทธิรับ Central Gift Voucher มูลค่า 10,000 บาท โครงการเดอะพาร์คแลนด์ เพชรเกษม 56 เป็นโครงการที่ถูกพัฒนาขึ้นในย่านทำเลที่ดีที่สุดอีกโครงการหนึ่ง บนเนื้อที่ 13-3-12.3 ไร่ จำนวนยูนิต 2,047 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 6,000 ล้านบาท ด้วยจุดเด่นของโครงการที่มากด้วยสวนขนาดใหญ่ Mega Park ไม่ต่ำกว่า 3 ไร่ และสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายภายในโครงการถึงกว่า 30 รายการ แบบที่ไม่มีที่ไหนเคยทำมาก่อน โครงการตั้งอยู่บนถนนเพชรเกษมซึ่งเป็นทำเลที่มีศักยภาพสูงติดสถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายหัวลำโพง-บางแค ที่คาดว่าจะเปิดให้บริการภายในปี 2562   ทั้งนี้โครงการถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับและตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกรอบด้าน ด้วยโครงการอยู่ตรงข้ามห้างซีคอน บางแค และใกล้สถานีรถไฟฟ้า MRT ภาษีเจริญเพียง 40 เมตร การเดินทางโดยรถยนต์ก็สะดวกเพราะอยู่ติดถนนเพชรเกษม สามารถออกไปทางฝั่งเหนือด้วยถนนราชพฤกษ์ หรือจะเข้าเมืองย่านสาทรผ่านสะพานตากสินก็ได้โดยง่าย มีไลฟ์สไตล์สำหรับผู้ที่ชอบทำกิจกรรมต่างๆที่อยู่ภายในโครงการ เน้นพื้นที่สวนส่วนกลางขนาดใหญ่ และ Facility จัดเต็มโดยแบ่งออกเป็น 1 อาคาร 3 ทาวเวอร์ ประกอบด้วย ทาวเวอร์ A จำนวน 32 ชั้น, ทาวเวอร์ B จำนวน 31 ชั้น และ ทาวเวอร์ C จำนวน 29 ชั้น ซึ่งเปิดจองไปก่อนหน้านี้ โดยขณะนี้ทาวเวอร์ C มียอดขายแล้วกว่า 90 % โดยรูปแบบห้องประกอบด้วย ห้อง Studio ขนาด 25-25.5 ตารางเมตร ,ขนาด 1 ห้องนอน ขนาด26.5-37.5 ตร.ม. และขนาด 2 ห้องนอน 48.5-62 ตร.ม. มีสัดส่วนของจำนวนที่จอดรถมากถึง 50% ไม่รวมจอดซ้อนคัน   จุดเด่นของโครงการที่ต้องไฮไลท์มีทั้งหมด 4 โซน ได้แก่ โซนที่ 1 Star Pavilion ตั้งอยู่บนชั้น 32 ทาวเวอร์ A ที่ให้คุณพาเพื่อนมานั่งชิลล์ ชมวิวกรุงเทพฯแบบพาโนรามา ประกอบด้วย Mini Theatre & Karaoke Room ,SKY Private Party Room โซนที่ 2 Double Volume Co-Working Space บริเวณ ทาวเวอร์ A,B ชั้น 1,2 จัดพื้นที่ให้มี Co- Working Space ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การทำงานของคนรุ่นใหม่ทันสมัยด้วยสไตล์การออกแบบ Modern Loft ใช้วัสดุไม้ผสมเหล็ก คัดสรรเอาธรรมชาติเข้ามาตกแต่งเพื่อให้เรารู้สึกไม่อึดอัด โซนที่ 3 Double Volume Fitness ระหว่างทาวเวอร์ B,C ชั้น 5,6 ฟิตเนสที่มาพร้อมอุปกรณ์ครบครัน ห้องซาว์น่า ห้องโยคะ และอีกหนึ่งความน่าสนใจ คือ Boxing Stage บริเวณชั้น 5 เป็นเวทีมวย ให้ได้ปล่อยพลังกันเต็มอิ่ม ส่วนโซนที่ 4 Pools & Garden สระและสวนขนาดใหญ่เชื่อมต่อกับ 3 อาคาร บริเวณกลางสวนมี Rain Pavilion ได้รับแรงบันดาลใจจากหยาดฝน เพื่อให้ผู้พักอาศัยให้ความรู้สึกถูกห้อมล้อมเอาไว้ด้วยธรรมชาติ สระว่ายน้ำเป็นระบบเกลือทั้ง 2 สระ พร้อมสวนส่วนกลางขนาดใหญ่ที่ เชื่อมกันระหว่าง 3 อาคาร ปัจจุบันโครงการผ่าน EIA และได้รับใบอนุญาตก่อสร้างแล้ว คาดว่าจะแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 2 ปี 2563
โกลบอลเฮ้าส์ ทุ่มงบกว่า 2,000 ล้านบาท เปิดสาขาล่าสุดที่ จ.ชัยนาท

โกลบอลเฮ้าส์ ทุ่มงบกว่า 2,000 ล้านบาท เปิดสาขาล่าสุดที่ จ.ชัยนาท

  โกลบอลเฮ้าส์ อัดงบกว่า 2,000 ล้านบาท เดินหน้าเปิดพื้นที่ขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง มั่นใจภายในสิ้นปี 61 สามารถขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก 8 สาขา หลังทยอยเปิดไปแล้วในครึ่งปีแรก 3 สาขา โดยเปิดให้บริการสาขาใหม่ล่าสุด ที่ จ.ชัยนาท เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ตอกย้ำความเป็นผู้นำศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้านอันดับ 1 ของเมืองไทย พร้อมเปิดตัวช่องทางขายออนไลน์ Click and Collect เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ในการซื้อสินค้าวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้าน ซึ่งสอดรับกับพฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภคในปัจจุบันที่เน้นความสะดวกและรวดเร็ว เพิ่มความพิเศษให้ลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าจะไปรับสินค้าเองที่ร้านโกลบอลเฮ้าส์ หรือให้จัดส่งที่บ้าน และรับเปลี่ยนคืนสินค้าภายใน 30 วัน มั่นใจช่องทางขาย ขายออนไลน์จะช่วยขยายฐานลูกค้าให้กว้างขึ้น   นายเกรียงไกร สุริยวนากุล ซัพพลายเชนไดเรกเตอร์ บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้านอันดับ 1 ของเมืองไทย เปิดเผยว่า “จากการเติบโตของธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง และของตกแต่งบ้าน ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ประกอบกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปตามกลไกทางสังคม และพัฒนาการด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร ส่งผลให้ผู้ประกอบธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง และของตกแต่งบ้าน ต้องปรับตัวให้ก้าวทันกับโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคดิจิตอลซึ่งต้องการความสะดวกและรวดเร็วเมื่อจะซื้อสินค้า ทาง โกลบอลเฮ้าส์ จึงได้เปิดตัวช่องทางขายออนไลน์ Click and Collect เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่ชื่นชอบการช้อปปิ้งผ่านระบบออนไลน์ ทางเว็บไซต์ www.globalhouse.co.th ซึ่งจะรวบรวมสินค้าที่มีจำหน่ายในร้านโกลบอลเฮ้าส์มาไว้ที่เว็บไซต์นี้ ให้เสมือนยกร้านโกลบอลเฮ้าส์ไปไว้ที่บ้านลูกค้า ความพิเศษของช่องทางขายออนไลน์ของเราที่โดดเด่นกว่าคือการที่เราเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าจะรับสินค้าเองที่ร้านโกลบอลเฮ้าส์ หรือให้จัดส่งที่บ้าน ทั้งนี้ ทางบริษัทฯ มีแผนที่จะพัฒนาบริการใหม่ๆ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้า และสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งอย่างต่อเนื่อง เรายังสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าโดยลูกค้าสามารถเปลี่ยนคืนสินค้าที่ซื้อจากร้านได้ภายใน 30 วันที่โกลบอลเฮ้าส์สาขาไหนก็ได้ทั่วประเทศ เช่น ถ้าลูกค้าซื้อสินค้าจากสาขาเชียงราย สามารถนำสินค้าไปเปลี่ยนคืนที่สาขานครศรีธรรมราชได้ เราคาดว่าเราจะสามารถขยายฐานลูกค้าได้กว้างขึ้นจากช่องทางออนไลน์นอกเหนือจากฐานลูกค้าที่เพิ่มขึ้นจากการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเรามีแผนทุ่มงบกว่า 2,000 ล้านบาท เพื่อขยายสาขาเพิ่มในปีนี้อีก 8 สาขา ทำให้สิ้นปี 2561 โกลบอลเฮ้าส์จะมีสาขารวมทั้งสิ้น 63 สาขา”   โกลบอลเฮ้าส์ นับเป็นศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและของตกแต่งบ้าน ที่มีสินค้าคุณภาพกว่าแสนรายการ นับล้านชิ้น ในราคาที่คุ้มค่า บนพื้นที่ขายกว่า 15,000 ตารางเมตร ซึ่งสินค้าแต่ละชิ้นได้รับการคัดสรรมาเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทั้งเจ้าของบ้าน ช่าง ผู้รับเหมาและงานโครงการ รวมถึงเกษตรกร อาทิ ปูนซีเมนต์ เหล็กเส้น เหล็กรูปพรรณ กระเบื้องมุงหลังคา เครื่องมือช่าง สินค้าฮาร์ดแวร์ สุขภัณฑ์ กระเบื้องเซรามิก สีและเคมีภัณฑ์ โคมไฟและอุปกรณ์ไฟฟ้า ท่อประปา ประตูหน้าต่าง เฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน สินค้ากลุ่มเกษตร โดยมีสินค้าครบครันสำหรับการสร้างบ้านทั้งหลัง ตามสโลแกน “โกลบอลเฮ้าส์ ครบ หลากหลาย ให้บ้านคุณ” ทั้งนี้ โกลบอลเฮ้าส์ได้พัฒนาระบบคลังสินค้าอัตโนมัติ (Automated Storage Retrieval System) หรือ ASRS ที่ ศูนย์กระจายสินค้าโกลบอลเฮ้าส์ อ.วังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีพื้นที่จัดเก็บสินค้าได้กว่า 43,000 พาเลท นับได้ว่าเป็นระบบคลังสินค้าอัตโนมัติที่มีพื้นที่จัดเก็บสินค้ามากที่สุดในธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างของเมืองไทย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการให้บริการลูกค้าได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ นอกจากนี้ โกลบอลเฮ้าส์ยังมีระบบสมาชิกโกลบอลคลับ เพื่อให้ลูกค้าได้สะสมคะแนนและรับสิทธิประโยชน์มากมาย   ปัจจุบัน โกลบอลเฮ้าส์ มีสาขาทั่วประเทศจำนวน 57 สาขา โดยเปิดสาขาล่าสุดที่ จ.ชัยนาท เมื่อต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา และในเดือนกรกฎาคมนี้กำลังจะเปิดสาขาที่ 58 ที่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา โกลบอลเฮ้าส์เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 08.30 – 19.00 น. (ยกเว้นสาขาปทุมธานี , ศาลายา , อยุธยา , เทพารักษ์ จ.สมุทรปราการ เปิดบริการให้บริการ เวลา 08.30 – 20.30 น.) สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามและดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Global House Call Center 1160 และเว็บไซต์ www.globalhouse.co.th
ความน่าสนใจของคอนโดมิเนียมรีเซล

ความน่าสนใจของคอนโดมิเนียมรีเซล

เมื่อไม่นานมานี้ทีมงาน Reviewyourliving ได้มีโอกาสเข้าไปนั่งพูดคุยกับทางผู้บริหารจาก Bangkok Citismart เอเจ้นท์อันดับ 1 ของวงการ  รีเซลคอนโดมิเนียม ซึ่ง ณ วันนี้ตลาดรีเซลคอนโดมิเนียมจะเป็นอย่างไรบ้าง ทั้งในแง่ของผู้อยู่อาศัยเองและนักลงทุน เรานำข้อมูลเหล่านั้นมาฝากกันค่ะ     คำถามยอดนิยมที่ว่า “ซื้อคอนโดอย่างไรให้ได้ราคาดีที่สุด” คำตอบที่มักจะได้นั่นคือ ซื้อช่วง Pre Sale เพราะนอกจากจะมีโอกาสเลือกยูนิตที่หมายตาเอาไว้ได้ (ถ้าจองทันนะคะ) ก็ยังขึ้นชื่อว่าได้ห้องแบบมือหนึ่งจริงๆ เนื่องจากหลังจากเสร็จสิ้นช่วง Pre Sale อันแสนโหดจากการต้องแย่งชิงต่อคิวกันตั้งแต่เช้า หรือความเร็วในการกดจองออนไลน์ หลังจากนั้นก็จะเกิดการบวกราคาเพิ่มจากนักลงทุนเก็งกำไรทั้งในระยะสั้น-ระยะยาว ทำให้ราคารีเซลสูงขึ้นอีกเป็นหลักแสนบาท แต่เชื่อไหมคะว่าสมัยนี้คอนโดมิเนียมรีเซลกลับมีราคาถูกกว่าโครงการขึ้นใหม่หลายแห่งเสียอีก   การซื้อคอนโดมิเนียมช่วง Pre Sale นั้นหมายถึงการซื้อโดยที่ยังไม่ได้เห็นของจริงว่าออกมาเป็นอย่างไร จะเหมือนกับที่โฆษณาเอาไว้หรือไม่ อีกอย่างคือเราไม่อาจทราบได้ว่าเมื่อเข้าไปอยู่อาศัยจริงแล้วจะมีการจัดการภายในจากนิติบุคคลดีแค่ไหน เพื่อนบ้านของเราเป็นอย่างไรบ้าง สิ่งเหล่านี้ก็เหมือนกับการเสี่ยงดวงกันเอาว่าสุดท้ายแล้วคอนโดมิเนียมแห่งนั้นจะมีองค์ประกอบต่างๆ ทำให้เกิดเป็นสังคมที่มีคุณภาพหรือไม่ แตกต่างจากคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ เราจะสามารถได้ดูห้องจริงบนอาคารที่สร้างเสร็จแล้ว ได้เห็นวิว เห็นทิศทางจริงจากยูนิตที่เราต้องการได้เลย ได้เห็นส่วนกลางจริง ได้สัมผัสบรรยากาศความเป็นอยู่ทั้งในคอนโดมิเนียมเอง และสภาพแวดล้อมรอบข้าง สิ่งเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีผลต่อความน่าอยู่อาศัย รวมถึงราคาของคอนโดมิเนียมในอนาคต ซึ่งเมื่อเห็นสภาพจริงแล้วเราก็สามารถประเมินได้เองคร่าวๆ     ระยะ 1-2 ปีมานี้ เราจะสังเกตได้ว่าคอนโดมิเนียมโปรเจคใหม่ๆ มักจะเกิดขึ้นในระดับตั้งแต่ Luxury ขึ้นไป เนื่องจากต้นทุนในแง่ของราคากับความจำกัดของที่ดินใจกลางเมืองติดรถไฟฟ้า ประกอบกับการจับกลุ่มลูกค้าระดับบนที่มีกำลังซื้อสูงรวมถึงลูกค้าชาวต่างชาติ ด้วยปัจจัยเหล่านี้จึงทำให้ราคาคอนโดมิเนียมสูงขึ้นเช่นทุกวันนี้ สุดท้ายไม่ว่าจะเป็นผู้อยู่อาศัยเองหรือคนลงทุนก็จะกลับมามองราคาในระดับที่ตัวเองรับได้จริงๆ ซึ่งเป็นจุดนี้เองที่คนจะหันกลับมามองคอนโดรีเซล โดยเฉพาะในนักลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ที่หันมาเก็บเกี่ยวกำไรจาก Rental Yield กันมากขึ้นกว่าการหวัง Capital Gain เพียงอย่างเดียวแบบสมัยก่อน แต่ปัจจุบันด้วยราคาคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ย 10%/ปี ต่างจากราคาคอนโดรีเซลประมาณ 10-20% แต่ด้วยราคาค่าเช่าจะมีการขยับเพิ่มขึ้นไม่ถึง 5%/ปี เท่านั้น ส่งผลให้ภาพรวมของ Rental Yield ลดลง ซึ่งเรื่องนี้เป็นจุดที่น่าสนใจนะคะ เพราะในทางกลับกันหากซื้อโครงการรีเซล อาจจะได้ Rental Yield มากกว่าปล่อยเช่าในโครงการใหม่เสียอีก ยกตัวอย่างเช่น คอนโดมิเนียมโซนพร้อมพงษ์-ทองหล่อ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าจะมีการถูกเช่าอยู่ตลอด โดยเฉพาะ  ชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยอย่างญี่ปุ่น และชาวตะวันตก ซึ่งทุกวันนี้ได้ Rental Yield เฉลี่ยที่ 7-8% ขณะที่โครงการเกิดขึ้นใหม่ในโซนเดียวกันกลับได้ ไม่ถึง 5% เพราะราคาคอนโดมิเนียมซึ่งเป็นต้นทุนสูงขึ้นนั่นเองค่ะ นั่นหมายความว่ากลุ่มนักลงทุนปล่อยเช่าหลายรายก็ย่อมที่จะต้องกลับมามองคอนโดมิเนียมรีเซลที่เก็บเกี่ยว Rental Yield ได้มากกว่า และยังสร้าง Capital Gain ให้เติบโตอย่างต่อเนื่องได้ด้วย   คอนโดรีเซลก็มีความน่าสนใจไม่น้อยเลยใช่ไหมคะ ซึ่งหากเรามีการซื้อ-ขายผ่านเอเจ้นท์ที่น่าเชื่อถือก็จะเพิ่มความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น และยังสามารถให้คำแนะนำได้สำหรับผู้อยู่อาศัยเองหรือนักลงทุนมือใหม่ก็ตาม ถือเป็นอีกทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่สนใจคอนโดมิเนียม     ทีเดียวค่ะ     ข้อมูลจาก : Bangkok Citismart  (Professional Property Agent)      
ศุภาลัย รุกเปิด 2 คอนโดฯ ใหม่ บน 2 ทำเลฮอต ใกล้รถไฟฟ้า

ศุภาลัย รุกเปิด 2 คอนโดฯ ใหม่ บน 2 ทำเลฮอต ใกล้รถไฟฟ้า

ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร พร้อมด้วย นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) แถลงข่าวเปิดตัว 2 โครงการคอนโดฯ ใหม่ล่าสุด บน 2 ทำเลฮอต ใกล้รถไฟฟ้า ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ “ศุภาลัย เวอเรนด้า สุขุมวิท 117” ใกล้รถไฟฟ้าสถานีปู่เจ้าสมิงพราย เพียง 200 เมตร ราคาเริ่ม 1.69 ล้านบาท และ “ศุภาลัย ลอฟท์ ประชาธิปก - วงเวียนใหญ่” ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีสะพานพุทธ รถไฟฟ้า BTS สถานี วงเวียนใหญ่ และรถไฟฟ้าสายสีทอง สถานีประชาธิปก ราคาเริ่ม 2.29 ล้านบาท มูลค่ารวม 2 โครงการ 3,970 ล้านบาท พร้อมนำคณะสื่อมวลชน ชมห้องตัวอย่าง Function Design : New Look! ณ สำนักงานขาย โครงการศุภาลัย ลอฟท์ ประชาธิปก - วงเวียนใหญ่
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยภูเก็ต-หาดใหญ่ สองเมืองหลักภาคใต้มาแรง  เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวคึกคักดันดีมานด์คอนโด ยอดตอบรับสูง 80-90%

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เผยภูเก็ต-หาดใหญ่ สองเมืองหลักภาคใต้มาแรง เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวคึกคักดันดีมานด์คอนโด ยอดตอบรับสูง 80-90%

  พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยผลสำรวจอสังหาริมทรัพย์ ภูเก็ต–หาดใหญ่ คึกคักต้อนรับยอดนักท่องเที่ยว-การค้าเติบโตต่อเนื่อง โซนตัวเมืองภูเก็ตเนื้อหอม เป็นจุดศูนย์กลางเดินทางสะดวกทั่วเกาะ และใกล้ชิดสถาปัตยกรรมเมืองเก่า โครงการคอนโดมิเนียมได้รับความนิยม ยอดขาย 81% ด้านหาดใหญ่ตลาดคอนโดฯมาแรงยอดขาย 93% ดีมานด์นักธุรกิจ นักศึกษาท่วมท้น ส่งผลทุกโครงการปิดการขายรวดเร็ว ทำเลถนนกาญจนวณิชศักยภาพสูง เป็นเส้นหลักเชื่อมหาดใหญ่สู่หลายจังหวัด และเชื่อมชายแดนมาเลเซีย ดันการค้าชายแดนสูงสุดในภาคใต้ มูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาท   นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า จากผลสำรวจของฝ่ายวิจัยและพัฒนาของพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ที่ได้ทำการสำรวจที่อยู่อาศัยในโซนภาคใต้พบว่ามีการเติบโตที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.ภูเก็ต และพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงทั้งด้านท่องเที่ยวและการค้า ส่งผลให้ความต้องการที่อยู่อาศัยเติบโตในทิศทางเดียวกัน ไม่เพียงเท่านี้ตลาดที่อยู่อาศัยในภูเก็ต และหาดใหญ่ ยังมีแนวโน้มเติบโตจากการได้รับแรงผลักดันจากการพัฒนาด้านโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมที่กระตุ้นเศรษฐกิจทั้ง 2 พื้นที่ให้คึกคักมากขึ้น รวมถึงราคาที่ดินที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งล่าสุดจากข้อมูลของกรมธนารักษ์ พบว่าราคาประเมินในพื้นที่ภูเก็ต ช่วงปี 2555 – 2558 และ 2559-2562 โซนใจกลางเมืองเติบโต 19 – 35% ขณะที่ราคาประเมินที่ดินหาดใหญ่ ช่วงปี 2555 – 2558 และ 2559 – 2562 เพิ่มขึ้น 20 – 25%   จากการสำรวจตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ จ.ภูเก็ต ล่าสุด ปี 2561 พบว่าตลาดหลักคือคอนโดมิเนียม มีสัดส่วนอยู่ที่ 80% มีอุปทานสะสม 13,702 ยูนิต อุปสงค์ให้การตอบรับแล้ว 11,062 ยูนิต และมียอดขายอยู่ที่ 81% ขณะที่ราคาเสนอขายเฉลี่ยทั้งตลาดประมาณ 100,000 บาทต่อตารางเมตร โซนที่มีการเติบโตของราคาสูงคือโซนตัวเมืองภูเก็ต ที่มีราคาขายเฉลี่ยประมาณ 81,000 บาทต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อนหน้า โดยมีโครงการใหม่ที่คาดว่าจะเข้าสู่ตลาดในปีนี้ราว 1,200 ยูนิต สอดคล้องกับความต้องการที่อยู่อาศัยจากทั้งคนในพื้นที่และจากนักท่องเที่ยวที่เติบโตมากขึ้นทุกปี โดยในปี 2560 มีนักท่องเที่ยวเดินทางมายังภูเก็ตมากกว่า 12 ล้านคน เพิ่มขึ้น 30% จากปีก่อน ซึ่งภูเก็ตถือเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวของภาคใต้ ด้วยรายได้จากการท่องเที่ยวที่มีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 1 ของภาคใต้ (มูลค่า 330,000 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 12% ของทั้งหมด) และมีมูลค่าเป็นอันดับ 2 ของประเทศรองจากกรุงเทพฯ อีกทั้งภูเก็ตมีแผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทั้งรถไฟรางเบาจากสนามบินภูเก็ตสู่ใจกลางเมืองภูเก็ต ดังนั้นการเดินทางเชื่อมต่อทั้งเกาะภูเก็ตจึงมีความสะดวกสบาย ที่อยู่อาศัยโซนใจกลางเมืองจึงได้รับการตอบรับที่ดีเพราะสามารถเดินทางไปยังโซนอื่นๆ ได้ ไม่เพียงเท่านี้ในอนาคตภูเก็ตจะพัฒนาสู่ Smart City จะทำให้ราคาที่ดินปรับตัวสูงขึ้น คาดว่าราคาเสนอขายคอนโดฯจะเติบโตขึ้นอีก โดยโซนตัวเมืองราคาน่าจะขยับเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องปีละ 8-10 % เนื่องจากในอนาคตจะมีการคมนาคมสะดวกขึ้น จากความคืบหน้าตามแผนการก่อสร้างรถไฟฟ้ารางเบาของภูเก็ต นอกจากนี้ในส่วนของการนำกลับมาขายใหม่หรือรีเซล (resale) ราคาปรับเพิ่มขึ้น 6-9% ต่อปี เติบโตจากความต้องการของกลุ่มคนทำงานในพื้นที่ นักลงทุน รวมถึงกลุ่มที่ซื้อเก็บไว้เป็นทรัพย์สินและมรดก โดยพบว่าราคาขายรีเซลอยู่ที่ประมาณ 85,000 – 90,000 บาทต่อตารางเมตร คิดเป็นอัตรากำไรประมาณ 4-5% ต่อปี ส่วนการเช่ามีราคาปล่อยเช่าอยู่ที่ 14,000 - 15,000 บาทต่อปี อัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 6-7% ต่อปี โดยเน้นปล่อยเช่าให้กับชาวต่างชาติและกลุ่มคนที่เข้ามาทำงานในพื้นที่ซึ่งถือเป็นกลุ่มประชากรแฝงที่มีอยู่จำนวนมาก ทั้งแรงงาน นักธุรกิจ และนักเรียนนักศึกษา ดังนั้นโครงการที่ได้รับความนิยมจึงเป็นโครงการที่อยู่ในโซนที่ตอบสนองการใช้ชีวิตประจำวันของผู้อยู่อาศัย ทำให้โครงการที่อยู่ในตัวเมืองได้รับความสนใจเพราะสามารถเดินทางสะดวก และยังแวดล้อมไปด้วยสถาปัตยกรรมเมืองเก่า เปี่ยมด้วยเสน่ห์ที่ผสานหลากหลายวัฒนธรรมทั้งไทย จีน และมลายู   สำหรับพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา พบว่าตลาดคอนโดฯเริ่มเติบโตอย่างน่าสนใจ เนื่องจากหาดใหญ่เป็น หัวเมืองที่เป็นประตูสู่ประเทศเพื่อนบ้านเช่นมาเลเซีย จึงเป็นเมืองแห่งศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ การค้าชายแดน การลงทุนที่สำคัญ นอกจากนี้ยังเป็นศูนย์กลางทางการศึกษาของ 7 จังหวัดภาคใต้ตอนล่าง เป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในภาคใต้ และยังเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ มีโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ โรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค จึงส่งผลให้มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 1 ของภาคใต้ มีการค้าขายกับมาเลเซียที่เติบโต 12% และมีมูลค่าการค้าชายแดนประมาณ 550,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่สูงสุดของการค้าชายแดนของภาคใต้ และจากการที่เป็นศูนย์กลางการค้าและแหล่งงานจึงทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมเริ่มคึกคักขึ้น โดยล่าสุดพบว่ามีอุปทานเสนอขายสะสม 2,970 ยูนิต อุปสงค์ให้การตอบรับ 2,763 ยูนิต มียอดขายสูงถึง 93% ซึ่งโครงการที่เปิดขายเหล่านี้ได้รับการตอบรับอย่างท่วมท้น ปิดการขายได้เร็ว เนื่องจากอยู่ใกล้สถานที่สำคัญเช่นมหาวิทยาลัย ศูนย์การค้าที่สำคัญ และพัฒนาโดยผู้ประกอบการรายใหญ่ทำให้ตัวโครงการมีความน่าเชื่อถือ และมีสิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่ส่วนกลางที่แตกต่างจากโครงการทั่วไปในตลาด ปัจจุบันไม่พบอุปทานคงค้างแล้วในโซนนี้ หากมีโครงการเปิดใหม่จึงคาดว่าจะสามารถปิดการขายได้เร็ว โดยพบว่าผลตอบแทนจากการขายต่ออยู่ที่ประมาณ 4% ต่อปี ส่วนการปล่อยเช่ามีอัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 6-7% ต่อปี โดยโซนที่น่าจับตาคือโซนถนนกาญจนวนิช ซึ่งเป็นเสมือนเส้นเลือดหลักของหาดใหญ่ เชื่อมสถานที่สำคัญของหาดใหญ่และจังหวัดใกล้เคียง และเชื่อมไปสู่ชายแดนประเทศมาเลเซียได้ และยังเป็นเส้นทางหลักของรถไฟรางเดี่ยวที่จะเกิดในอนาคตอีกด้วย
ทิศทางวงการวัสดุตกแต่งไทย ปี 2561

ทิศทางวงการวัสดุตกแต่งไทย ปี 2561

สมาคมมัณฑนากรแห่งประเทศไทย (TIDA) ร่วมกับ บริษัท บุญถาวรเซรามิค จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุตกแต่งและวัสดุปิดพื้นผิว หรือ Coverings ในประเทศไทย ร่วมเผยเทรนด์การออกแบบตกแต่งภายในปี 2561 ในงาน TIDA COVERINGS 2018 ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Pattern’ ซึ่งได้ รวมเอากลุ่มคนที่มีความสนใจด้านวัสดุปิดพื้นผิว นักออกแบบและตกแต่งภายใน ไว้ด้วยกันมากที่สุดงานหนึ่งของประเทศไทย ถือเป็นพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนความรู้ ประสบการณ์ในการช่วยพัฒนาบุคลากรในวงการมัณฑนศิลป์ ของไทยให้มีความพร้อมในทุกๆ ด้าน และภายในงานยังได้รับโอกาสจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิอย่าง ผศ. ดร. เอกรัตน์ วงษ์จริต กรรมการผู้จัดการและผู้อำนวยการฝ่ายความคิดสร้างสรรค์ บริษัท คราฟท์ แฟคเตอร์ จำกัด และ มร.แอนเดรีย เดสสตาเฟนิส ผู้ร่วมก่อตั้งโคไคสตูดิโอ ที่ให้เกียรติร่วมแชร์ประสบการณ์ให้คนในวงการได้รับฟังภายในงานฯ สำหรับเทรนด์การออกแบบตกแต่งภายในปี 2561 นี้จะสะท้อนการผสมผสานของวัสดุหลากชนิด สี พื้นสัมผัส ลวดลายที่มีความแตกต่างเข้าไว้ด้วยกัน ผสานกับแนวการออกแบบที่มีชั้นเชิง เพื่อเพิ่มความสนุกสนานในการอยู่อาศัยให้มีมิติมากยิ่งขึ้น โดยไม่จำเป็นที่จะต้องใช้เพียงวัสดุ หรือ โทนสีเดียวกันเสมอไป ประกอบกับการเพิ่มความตัวตนของผู้อยู่อาศัยผ่าน D.I.Y หรือ Do It Yourself ที่ยังคงเป็นกระแสฮิตในหมู่คนรุ่นใหม่ที่จะได้มีโอกาสในการ ‘ออกแบบ’ และ ‘ลงมือ’ แต่งแต้มบ้านในฝันของตนเองได้ตรงตามรสนิยม ความชอบมากยิ่งขึ้น ประกอบกับการออกแบบแบบ Eco Design ก็เป็นอีกหนึ่งกระแสที่ฮิตไม่แพ้กัน ด้วยงานออกแบบที่มีความพิถีพิถันในทุกขั้นตอนการผลิตที่จะประยุกต์ใช้ธรรมชาติเป็นแนวคิดหลักในการสร้างสรรคผลงานออกแบบและใช้ส่วนผสมจากวัสดุธรรมชาติ หรือเน้นรูปทรงธรรมชาติเข้ามาเสริมความเรียบง่ายของการออกแบบให้มีความล้ำลึกในรายละเอียดการตกแต่งได้อีกด้วย ในส่วนของวัสดุปิดผิวที่กำลังนิยมเป็นอย่างมากในหมู่สถาปนิกและนักออกแบบในตอนนี้ต้องยกให้ กระเบื้องไซส์ใหญ่ เพราะตัววัสดุกระเบื้องไซส์ใหญ่สามารถนำเอาไปต่อยอดงานดีไซน์ได้หลากหลายรูปแบบ ตามความชอบและไลฟ์สไตล์ได้ตรงจุด ประกอบกับลวดลายที่มีหลากหลาย ทั้งลายหินอ่อน (Marble) และ ลายหินขัด (Terrazzo) ที่กำลังมาแรงในตอนนี้ ได้แรงบันดาลใจมาจากดีไซน์ของหินจริงสามารถนำไปใช้งานร่วมกับวัสดุอื่นๆ เพื่อเพิ่มระดับของงานออกแบบในสไตล์ต่างๆ ได้อย่างลงตัว เหมาะกับการใช้ปูตกแต่งบ้าน ห้างสรรพสินค้า โรงแรม และอาคารสำนักงาน หรือแม้แต่การนำมาช่วยปิดพื้นผิวหรือหน้าท็อปเคาน์เตอร์ครัวก็สามารถเติมลูกเล่นให้กับงานตกแต่งได้เช่นกัน ซึ่งภายในงาน TIDA Coverings 2018 ยังได้มีการนำเอาวัสดุปิดพื้นผิวและผนังจากทั้งในและต่างประเทศ มาอัพเดทภายในงานฯ อาทิ กระเบื้องเซรามิค (Ceramic Tiles) โมเสค (Mosaic) โซลิดเซอร์เฟส (Solid Surface) วีเนียร์ (Veneer) ลามิเนท (Laminate) และ คริสตัลบอร์ด (Crystal Board)
พีอาร์เอ อะคาเดมี เตรียมแตกไลน์ธุรกิจใหม่   เปิด ‘Hot Deal บริหารการขายปิดโครงการ’

พีอาร์เอ อะคาเดมี เตรียมแตกไลน์ธุรกิจใหม่ เปิด ‘Hot Deal บริหารการขายปิดโครงการ’

นางสุดา ประกฤติพงศ์ (ขวาที่ 3) ประธานกรรมการบริหาร พีอาร์เอ อะคาเดมี (P.R.A. Academy) สถาบันสอนการลงทุนอสังหาครบทุกรูปแบบ พร้อมทีมงานเตรียมจัดตั้งไลน์ธุรกิจใหม่ เปิด ‘Hot Deal บริหารการขายปิดโครงการ’ ได้ประโยชน์ทั้งเจ้าของโครงการและผู้ซื้อ โดย ‘Hot Deal บริหารการขายปิดโครงการ’ ด้วยการเข้ามาเป็นคนกลางระหว่างเจ้าของโครงการและผู้ซื้อในการซื้อขายทรัพย์ สิ่งที่เจ้าของโครงการจะได้รับคือ ปิดการขายโครงการได้เร็ว ค่าใช้จ่ายในด้านการขายลดลง เจาะกลุ่มผู้ซื้อ-ผู้เช่าได้ตรง ในด้านประโยชน์ที่ผู้ซื้อจะได้รับ คือ ได้ทรัพย์ดี ทำเลเด่น ในราคาพิเศษ ทำกำไรตั้งแต่ครึ่งแรกที่ซื้อ ได้ทรัพย์ที่เหมาะสมกับผู้ซื้อ ได้ที่ปรึกษามืออาชีพในการหาสินเชื่อ หาผู้เช่าได้เร็ว (ปล่อยเช่า) สำหรับผู้ที่สนใจทั้งในส่วนของเจ้าของโครงการและผู้ซื้อ สามารถ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 064-9797987
ก้าวใหม่วงการอสังหาฯ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จับมือ รีฟินน์ รุกฟินเทค  เปิดตัวบริการสินเชื่อบ้านมือสอง  “ฟิน ครบ จบที่เดียว ได้ทั้งบ้าน-คอนโด และสินเชื่อตรงใจ”

ก้าวใหม่วงการอสังหาฯ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จับมือ รีฟินน์ รุกฟินเทค เปิดตัวบริการสินเชื่อบ้านมือสอง “ฟิน ครบ จบที่เดียว ได้ทั้งบ้าน-คอนโด และสินเชื่อตรงใจ”

นางสาวสมสกุล หลิมศุทธพรรณ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ตอกย้ำนโยบายดิจิทัล ทรานส์ฟอร์เมชั่น จับมือ บริษัท รีฟินน์ อินเตอร์เนชั่นแนล ดอท คอม จำกัด ฟินเทคสตาร์ทอัพชั้นนำ โดยนางสาวพรพิมล ปฐมศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ร่วมเปิดตัวบริการใหม่ล่าสุด สินเชื่อบ้านมือสอง “ฟิน ครบ จบที่เดียว ได้ทั้งบ้าน-คอนโด และสินเชื่อตรงใจ” ต่อยอดกลยุทธ์ทางธุรกิจของพลัสฯ ด้าน Customer Focus ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง โดยพัฒนาบริการที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ลดขั้นตอนการค้นหาสินเชื่อ เพิ่มทางเลือกสำหรับลูกค้าที่สนใจใช้บริการซื้อที่อยู่อาศัยกับพลัสฯ สามารถใช้บริการขอสินเชื่อผ่านรีฟินน์ได้แบบครบวงจร พร้อมสิทธิประโยชน์พิเศษอีกมาก อาทิ ดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน และดอกเบี้ย 3 ปีแรกต่ำกว่า 3% ฟรีจดจำนองและประเมิน เป็นต้น   นางสาวสมสกุล หลิมศุทธพรรณ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานบริหารสินทรัพย์ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า พลัสฯได้ร่วมมือกับรีฟินน์ ซึ่งเป็นฟินเทคสตาร์ทอัพชั้นนำ ในการเป็นพันธมิตรให้บริการสินเชื่อบ้านมือสองสำหรับลูกค้าที่ซื้อที่อยู่อาศัยกับพลัสฯ เพื่อเพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าด้วยบริการที่ “ฟิน ครบ จบที่เดียว ได้ทั้งบ้าน-คอนโด และสินเชื่อตรงใจ” ซึ่งการร่วมมือกันในครั้งนี้ถือเป็นก้าวใหม่ของวงการอสังหาริมทรัพย์ที่เดินหน้าพัฒนาการบริการผ่านฟินเทค และเป็นการต่อยอดนโยบายของพลัสฯ ที่จะเปลี่ยนแปลงสู่ดิจิตอลอย่างเต็มรูปแบบ (Digital Transformation) โดยจับมือกับรีฟินน์ เพื่อยกระดับการให้บริการลูกค้าพลัสฯ ที่ต้องการสินเชื่อบ้านหรือคอนโดมิเนียมมือสองให้มีทางเลือกมากขึ้น สามารถเปรียบเทียบสินเชื่อจากหลากหลายสถาบันการเงินชั้นนำ พร้อมเลือกสมัครขอสินเชื่อที่ตรงใจและตอบโจทย์ความต้องการเฉพาะได้ในที่เดียว สะดวกและรวดเร็วมากขึ้น ไม่เพียงเท่านี้ ยังมีข้อเสนอพิเศษอีกมากมายเพื่อลูกค้า อาทิ ดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน หรือดอกเบี้ย 3 ปีแรก ไม่ถึง 3% หรือขอวงเงินสินเชื่อได้สูงสุด 100% ฟรีจดจำนอง ฟรีประเมิน หรือสามารถเลือกยอดผ่อนชำระต่ำ และดอกเบี้ยคงที่ระยะยาวได้อีกด้วย โดยสามารถตรวจสอบระยะเวลาและเงื่อนไขโปรโมชั่นได้ทาง www.plus.co.th/plusxrefinn   “นับเป็นมิติใหม่ในวงการอสังหาฯ ที่ลูกค้าสามารถเลือกซื้อบ้าน-คอนโด พร้อมสินเชื่อตรงใจได้ทันที ครบจบในที่เดียว ซึ่งความร่วมมือในเฟสแรกกับรีฟินน์นี้ พลัสฯ มั่นใจว่าลูกค้าที่ใช้บริการกับเราจะได้รับความสะดวกสบายด้วยทางเลือกที่หลากหลายไม่ต้องเสียเวลาในการติดต่อสถาบันการเงินแต่ละแห่ง และด้วยจุดแข็งของทั้งพลัสฯ ที่เป็นตัวแทนขายมืออาชีพพร้อมประสบการณ์กว่า 20 ปี มีพอร์ตบ้านและคอนโดฯ มือสองคุณภาพในทำเลศักยภาพให้ลูกค้าได้เลือกสรร และรีฟินน์ซึ่งเป็นตัวกลางระหว่างลูกค้าและธนาคารในการเปรียบเทียบอัตราดอกเบี้ยของธนาคารต่างๆ ช่วยให้ลูกค้าได้รับบริการสินเชื่อที่คุ้มค่าสอดคล้องกับความต้องการ ส่วนเฟสถัดไปจะมีการพัฒนาดิจิตอลแพลตฟอร์มร่วมกัน เพื่อให้ลูกค้าที่จะซื้อบ้านหรือคอนโดฯ มือสองของพลัสฯ สามารถเลือกซื้อทางเว็บไซต์ และประเมินหาสินเชื่อบ้านมือสองได้พร้อมกันในที่เดียว” นางสาวสมสกุล กล่าว   นางสาวพรพิมล ปฐมศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท รีฟินน์ อินเตอร์เนชั่นแนล ดอท คอม จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันรีฟินน์ นับเป็นเว็บไซต์ที่ให้บริการค้นหาโปรโมชั่นสินเชื่อบ้านที่ได้รับความนิยมที่สุด โดยมียอดผู้เข้าชมเว็บไซต์ www.Refinn.com แล้วกว่า 1.2 ล้านราย ด้วยการนำเสนอข้อมูลอัตราดอกเบี้ยบ้านออนไลน์ที่ทำให้ลูกค้าสะดวก และง่ายในการใช้บริการ อีกทั้งยังรวดเร็ว เป็นกลาง โปร่งใส และไม่มีค่าบริการกับผู้ใช้บริการอีกด้วย โดยบริการสินเชื่อบ้านมือสอง เป็นบริการใหม่ล่าสุดที่รีฟินน์เปิดตัวเป็นครั้งแรกร่วมกับพลัสฯ ซึ่งจะเป็นการเสริมจุดแข็งทางธุรกิจร่วมกันได้เป็นอย่างดี เพราะพลัสฯ เองมีฐานลูกค้าที่มีศักยภาพจำนวนมากที่ต้องการขอสินเชื่อบ้านมือสอง ทางรีฟินน์เองก็สามารถตอบโจทย์การให้บริการสินเชื่อดังกล่าวได้เป็นอย่างดี เนื่องจากเรามีโปรแกรมออนไลน์คำนวณเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายและอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารชั้นนำจำนวนมาก โดยที่ลูกค้าสามารถสมัครขอสินเชื่อได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาไปติดต่อเอง และทราบผลอนุมัติเบื้องต้นอย่างรวดเร็ว จึงเป็นการเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าด้วยบริการที่ครบจบในที่เดียว ตอบโจทย์เทรนด์คนรุ่นใหม่ที่มีเวลาน้อย และต้องการข้อมูลเพื่อช่วยในการตัดสินใจ ซึ่งการผนึกกำลังเป็นพันธมิตรกันในครั้งนี้จึงถือเป็นการเพิ่มโอกาสการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่ตรงกับการให้บริการของรีฟินน์ เพราะลูกค้าที่มาซื้อที่อยู่อาศัยกับพลัสฯ เป็นลูกค้าที่มีคุณภาพให้ความสำคัญกับการได้ข้อมูลครบถ้วนและเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์ชื่นชอบการใช้บริการผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งในอนาคตลูกค้าจะได้รับบริการซื้อบ้านและคอนโดฯ จากพลัสฯ พร้อมโปรแกรมคำนวณสินเชื่อบ้านมือสองของรีฟินน์ได้อีกด้วย   สำหรับลูกค้าที่สนใจ สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมสินเชื่อบ้านมือสอง “ฟิน ครบ จบที่เดียว ได้ทั้งบ้าน-คอนโด และสินเชื่อตรงใจ” ได้ที่ www.plus.co.th/plusxrefinn หรือโทร 02-688-7555
ออลล์ อินสไปร์ ประกาศ!! ชิงตลาดคนทำงาน เปิดตัวโครงการไรส์ พหล – อินทามระ คอนโด High Rise สถาปัตยกรรมที่ทันสมัย ในราคาที่ใครก็จับจองได้ มั่นใจดีมานด์ยังคงมีต่อเนื่อง

ออลล์ อินสไปร์ ประกาศ!! ชิงตลาดคนทำงาน เปิดตัวโครงการไรส์ พหล – อินทามระ คอนโด High Rise สถาปัตยกรรมที่ทันสมัย ในราคาที่ใครก็จับจองได้ มั่นใจดีมานด์ยังคงมีต่อเนื่อง

บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบคอนโดมิเนียมภายใต้ แบรนด์ ดิ เอ็กเซล ไรส์ และอิมเพรสชั่น ประกาศลุยฯ อสังหาฯ ส่งคอนโดมิเนียมใหม่ล่าสุด แบรนด์ไรส์ “โครงการไรส์ พหล – อินทามระ (Rise Phahon – Inthamara)” คอนโดมิเนียม High Rise คุณภาพเยี่ยม บนทำเลศักยภาพสูงสุด ถนนสุทธิสารวินิจฉัย ซึ่งสามารถเชื่อมต่อเมืองชั้นในได้อย่างสะดวกสบาย มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.89 ล้านบาท พร้อมเตรียมชิงตลาดคนทำงานย่านอารีย์ - สะพานควาย ที่ยังคงมีดีมานด์อย่างต่อเนื่อง มั่นใจได้รับผลตอบรับอย่างดียิ่ง การันตีตัวเลขยอดขายจากการเปิดให้จองสิทธิ์ครั้งแรกที่ผ่านมา   นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์เฉพาะคอนโดมิเนียมในช่วงนี้เริ่มมีทิศทางปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากสภาพเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มเติบโตสูง ในปีที่ผ่านมาคอนโดมิเนียมในหลายโซนปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว และยังมีดีมานด์ตอบรับสูง ทั้งในโซนกรุงเทพฯ ชั้นในจนถึงชั้นนอก ส่งผลให้บริษัทฯ เดินหน้าเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ตามแผนที่วางไว้ ภายใต้แบรนด์ ไรส์ ได้แก่ โครงการไรส์ พหล – อินทามระ (Rise Phahon - Inthamara) ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมรูปแบบ High Rise ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพสูงสุด ย่านถนนสุทธิสารวินิจฉัย ตอบรับดีมานด์ตลาดคนทำงานย่านอารีย์ – สะพานควาย มูลค่าโครงการกว่า 1,600 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นเพียง 2.89 ล้านบาท   สำหรับย่านสุทธิสารเป็นทำเลใจกลางเมืองที่สามารถเชื่อมผ่านถนนหลักสายใหญ่ถึง 4 สาย ทำให้มีอาคารสำนักงานจำนวนมากตลอดจนมีประชากรหนาแน่นซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนทำงานวัยกลางคนที่ต้องการพักอาศัยในทำเลใจกลางเมืองที่ครบครันด้วยสาธารณูปโภคเชื่อมต่อโครงข่ายคมนาคมทั้งรถไฟฟ้า BTS สะพานควาย BTS อารีย์ นอกจากนั้นยังเป็นทำเลที่เหมาะแก่การลงทุนเพราะมีอัตราการเติบโตของราคาที่ดินสูงเป็นอันดับต้นๆ ของกรุงเทพฯ ด้วยพื้นที่รายล้อมทั้งย่านธุรกิจเดิมและย่านธุรกิจใหม่ ถือว่าเป็นทำเลที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างสม่ำเสมอ และยังคงมีดีมานด์อย่างต่อเนื่อง   ในครั้งนี้ถือเป็นการเปิดตัวตึกสูงดีไซน์สุดเฉียบโครงการใหม่ล่าสุด ภายใต้แบรนด์ ไรส์ พหล – อินทามระ (Rise Phahon – Inthamara) คอนโดมิเนียมรูปแบบ High Rise สูง 40 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 384 ยูนิต มีแบบห้องให้เลือก 2 รูปแบบ คือ 1 ห้องนอน ขนาด 25 - 37.5 ตร.ม. และ 2 ห้องนอน ขนาด 42 - 53 ตร.ม. ราคาเริ่มต้นเพียง 2.89 ล้านบาท มูลค่าโครงการกว่า 1,600 ล้านบาท ตั้งอยู่บนทำเลในซอยสุทธิสารวินิจฉัย บริเวณปากซอยอินทามระ 4 ซึ่งถนนสุทธิสารวินิจฉัยเป็นซอยที่สามารถทะลุเชื่อมต่อไปยังถนนใหญ่ๆ ได้หลายเส้น ทั้งเส้นทางลัด พหลโยธิน – วิภาวดีรังสิต และยังเชื่อมต่อไปยังถนนรัชดาภิเษกได้อีกด้วย ที่สำคัญคือใกล้รถไฟฟ้า BTS สะพานควาย และ BTS อารีย์   ด้วยการออกแบบอาคารที่มีเสน่ห์และทันสมัย นอกเหนือจากทำเลซึ่งเป็นจุดขายหลักแล้ว โครงการยังให้ความสำคัญในเรื่องรูปแบบดีไซน์ ที่ดึงดูดความสนใจและเหมาะกับไลฟ์สไตล์ลูกค้า มีการออกแบบฟังก์ชั่นภายในได้อย่างลงตัวสำหรับการใช้งานจริง สามารถตอบโจทย์ชีวิตคนเมืองได้ ด้วยสถาปัตยกรรมทรงเฉียบล้ำสมัย ด้วยคอนเซป Iconic Blade Skyscrapers มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวสะท้อนประสบการณ์และวิสัยทัศน์ในการใช้ชีวิตอย่างเหนือระดับของผู้เป็นเจ้าของ และ Iconic Rising Garden สวนเล่นระดับที่วางไต่ระดับทางสูงที่ด้านหน้าของอาคาร เป็นพื้นที่สีเขียวดีไซน์พิเศษที่สร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่แตกต่าง นอกจากนี้ยังมอบพื้นที่ส่วนกลางแบบ Sky Rise Facility ถึง 4 ชั้น เพื่อการพักผ่อนพร้อม Function หลากหลายเช่น Sky Living Lounge, Sky Fitness, Panoramic Sauna Room และอีกมาก เพื่อความสมบูรณ์ด้านการอยู่อาศัย เพิ่มความเป็นส่วนตัวและสามารถเป็นพื้นที่พักผ่อนสังสรรค์ที่รองรับกลุ่มเพื่อนสนิทได้อย่างสมบูรณ์ พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ Lobby, Mailbox, Blade Pool สระว่ายน้ำพร้อม Infinite Edge Design, Sky Pool สระว่ายน้ำระบบเกลือ ฟิตเนส สวนพักผ่อน Co - Working Space และ Smart Auto Parking ระบบจอดรถล้ำสมัยเพื่อความสะดวกสบาย จัดเต็มด้วยระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ฯลฯ อีกทั้งยังใกล้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ แหล่งท่องเที่ยว และโรงพยาบาล อีกด้วย   “ออลล์ อินสไปร์ฯ มั่นใจว่าจะมีการตอบรับป็นอย่างดีด้วยราคาเริ่มต้นที่คนทำงานจับต้องได้ อีกทั้งเล็งเห็นถึงศักยภาพของตัวโครงการที่ตั้งอยู่บนทำเลพื้นที่ชั้นกลางที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา และยังเป็นย่านที่มีอาคารสำนักงานตั้งอยู่เป็นจำนวนมาก เป็นแหล่งศูนย์กลางธุรกิจ รองรับด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก และเป็นทำเล Hub ด้านการเปลี่ยนถ่ายระบบคมนาคมทางรางที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน หรือสถานีกลางบางซื่อ ซึ่งกำลังจะแล้วเสร็จพร้อมใช้งานในปี 63 ซึ่งแน่นอนว่าราคาที่ดินและคอนโดในละแวกนั้นจะขยับสูงขึ้นในอนาคต” นายธนากร กล่าวตอนท้าย   โครงการ ไรส์ พหล – อินทามระ (Rise Phahon – Inthamara) จะเริ่มก่อสร้างประมาณเดือน กุมภาพันธ์ 2562 และคาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จประมาณเดือน ธันวาคม 2564 สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Contact Center 02 029 9999 หรือ www.allinspire.co.th