Tag : News

2376 ผลลัพธ์
ดีคอนโปรดักส์ ปั้น “ดีคอน ไพร์ม” ติดรถไฟฟ้าสายสีม่วง เริ่มต้นเพียง 1.65 ลบ.พร้อมโปรสุดช็อค จอง-แจก-จับ

ดีคอนโปรดักส์ ปั้น “ดีคอน ไพร์ม” ติดรถไฟฟ้าสายสีม่วง เริ่มต้นเพียง 1.65 ลบ.พร้อมโปรสุดช็อค จอง-แจก-จับ

ดีคอน โปรดักส์ เผยโฉม “ดีคอน ไพร์ม ริเวอร์ฟรอนท์ รัตนาธิเบศร์” สูง 38 ชั้น สร้างเสร็จพร้อมอยู่ ติดรถไฟฟ้าสายสีม่วง ราคาเริ่มต้น 1.65 ล้านบาท พร้อมโปรสุดช็อค “จอง แจก จับ” จับห้องราคา 999,999 บาท หรือ รับ Cashback 500,000 บาท วันที่ 31 มี.ค.นี้ วันเดียวเท่านั้น นายวิทวัส พรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรดา จำกัด บริษัทในเครือของ บมจ.ดีคอนโปรดักส์ หรือ DCON กล่าวถึงการเปิดขายโครงการดีคอน ไพร์ม ริเวอร์ฟรอนท์ รัตนาธิเบศร์ ว่า โครงการนี้เป็นคอนโดมิเนียมสูง 38 ชั้น จำนวน 638 ยูนิต ร้านค้า 3 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม1,600 ล้านบาท ทำงานอยู่กับผู้พัฒนาโครงการมามาก ทำให้ทราบดีว่าโครงการประเภทไหนต้องการวัสดุแบบใด จึงตั้งใจนำเทคโนโลยีและองค์ความรู้ที่สั่งสมมา มาพัฒนาโครงการเพื่อให้ได้โครงการที่มีคุณภาพสูง บนทำเลที่ดีเยี่ยม เพื่อตอบสนองกลุ่มผู้ซื้อที่ต้องการที่อยู่อาศัยในราคาสบายๆ หรือกลุ่มที่กำลังเริ่มต้นทำงาน และกำลังหาที่อยู่อาศัยดีและคุ้มค่า โดยโครงการ ดีคอน ไพร์ม ริเวอร์ฟรอนท์ รัตนาธิเบศร์ (dcon prime Riverfront Rattanathibet) เป็นโครงการแนวสูงโครงการแรก เน้นเรื่องทำเลและสเปควัสดุ ผู้ออกแบบ และผู้รับเหมาชั้นนำเป็นหลัก เน้นความเป็นอยู่ระดับโรงแรมหรู เพื่อให้ลูกค้าสามารถจับจองเป็นเจ้าของผ่อนได้สบายๆ เพราะเป็นปัจจัยที่สำคัญของการซื้อที่อยู่อาศัย “ทำเลที่เป็นจุดเด่น คือ ทำเลที่สามารถสามารถเดินทางได้สะดวก ซึ่งที่ตั้งของโครงการนี้ ตั้งอยู่บนเส้นรถไฟฟ้าสายสีม่วง กลางสถานีไทรม้า เดินเพียง 2 นาทีถึงบันไดสถานี สามารถเดินทางเข้าเมืองได้อย่างสะดวกสบายไม่ว่าจะโดยรถไฟฟ้า หรือรถส่วนตัว” นายวิทวัส กล่าว นอกจากนี้ โครงการดีคอน ไพร์ม ริเวอร์ฟรอนท์ รัตนาธิเบศร์ ยังเป็นอาคารสูงที่สามารถมองเห็นได้ทั้งวิวเมืองนนทบุรี มองไปยังสะพานเจษฎาบดินทร์ ซึ่งเป็นสะพานสวยวิวเมืองใหม่ย่านนนทบุรี ส่วนอีกฝั่งหนึ่งของอาคารสามารถมองเห็นวิวโค้งน้ำเจ้าพระยา อย่างสวยงาม ได้อารมณ์สุนทรีย์ โดยตั้งใจให้โครงการนี้ เป็นผลงานชิ้นโบว์แดง เพื่อสร้างชื่อเสียงในวงการอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทอรดา บริษัทในเครือของบริษัท ดีคอนโปรดักส์ จำกัด (มหาชน)  นายวิทวัสกล่าวว่า  ได้นำโปรโมชั่นมามอบให้อย่างสูงสุด คือ โปรสุดช็อค “จอง จับ แจก” “จอง”ทุกชั้นราคาเดียวในแต่ละโซน “แจก” เฟอร์นิเจอร์จัดเต็ม Fully furnished จาก Starmark, digital doorlock, เครื่องปรับอากาศ แถมของแถมอีก 5 รายการ อาทิ เครื่องทำน้ำอุ่น, TV 32" , ตู้เย็น, ที่นอน และ ผ้าม่าน เรียกได้ว่า พร้อมหิ้วกระเป๋าเข้าอยู่ได้เลย “จับ” ห้องราคา 999,999 บาท หรือ รับ Cashback 500,000 บาท โดยโปรโมชั่นนี้จะมอบให้ผู้จองและทำสัญญาในงานวันเสาร์ที่ 31 มีนาคม เท่านั้น ผู้สนใจโทร 02 195 8291-3 หรือ แอดไลน์ @dconprime หรือ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.dconprime.com โครงการดีคอน ไพร์ม ริเวอร์ฟรอนท์ รัตนาธิเบศร์ เป็นอีกหนึ่งโครงการที่เข้ามาเพื่อเป็นทางเลือกให้ผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยในย่านนนทบุรี ด้วยโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมที่โดดเด่น เน้นความเป็น Timeless Design ทั้งการให้สีสันของตัวอาคารที่เป็นสีเทาสไตล์โมเดิร์น การวางตัวอาคารเป็นรูปตัว L ซึ่งส่งผลให้ทุกห้องสามารถเปิดรับลมได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ภายในอาคารยังถูกดีไซน์ให้มีส่วนของการพักผ่อนถึง 3 ส่วน โดยส่วนแรก คือ ชั้นล่างที่เป็นโซนล็อบบี้ใหญ่ไว้รองรับทั้งแขกผู้มาเยือน และพื้นที่เอนกประสงค์สำหรับผู้อยู่อาศัยโดยมีส่วนห้องสมุด ห้องทำงานทั้งฟรี Wifi เพื่อรองรับสไตล์ชีวิตคนรุ่นใหม่อย่างเต็มที่ ขึ้นมาถึงส่วนชั้น 7 จะเป็นชั้นที่มีสวนพักผ่อนสไตล์เซน ให้ผู้พักอาศัยได้ดื่มด่ำ กับเสียงน้ำไหล พร้อมวิวเมืองที่ช่วยผ่อนคลายความเหนื่อยล้าที่ผ่านมาทั้งวัน ทั้งยังแบ่งส่วนสระว่ายน้ำสำหรับเด็ก (Kid Pool) เพื่อรองรับครอบครัวที่มีเด็กเล็ก และชั้นที่ 36-38 ที่มีคลับเฮ้าส์ขนาดใหญ่ที่ประกอบไปด้วย สระว่ายน้ำแบบ Sky Infinity Edge Pool ที่สามารถมองเห็นวิวโค้งน้ำเจ้าพระยาที่สวยงาม นอกจากนี้ยังมี  Sauna Room, Sky fitness และ Pinnacle Sky garden บนชั้น 38 อีกด้วย ด้านทำเลที่ตั้ง โครงการนี้ตั้งอยู่บนถนนรัตนาธิเบศร์ มีทำเลห่างจากบันไดสถานีไทรม้า รถไฟฟ้าสายสีม่วง เพียง 100 เมตรเท่านั้น การเดินทางสะดวกโดยรถไฟฟ้าสายสีม่วงเพียง 1 ต่อถึงโครงการ หรือ เพียง 2 ต่อโดยรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินโดยมีจุดเชื่อมต่อที่สถานีเตาปูน และเพียง 2 ต่อรองรับรถไฟฟ้าสายสีชมพูในอนาคต นอกจากนี้ dcon prime ยังใกล้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ อาทิ Central Rattanathibet, Central Plaza WestGateและ New Ikea Store ที่ใหญ่ที่สุดใน Southeast Asia ซึ่งในอนาคตจะเป็นเมืองใหม่ฝั่งตะวันตก ชุมชนจะเจริญขึ้นไปอย่างมหาศาล โครงการดีคอน ไพร์ม ริเวอร์ฟรอนท์ รัตนาธิเบศร์ เป็นโครงการ High Rise คอนโดมิเนียม ขนาด 38 ชั้น 1 อาคาร จำนวนห้องพักอาศัยรวม 638 ยูนิต ร้านค้า 3 ยูนิต โดยแบบห้อง 1 ห้องนอนขนาด 26.58 - 33.05 ตร.ม.ไปจนถึงแบบ 2 ห้องนอนขนาด 48.52-60.21 ตร.ม. โดยราคาเริ่มต้นที่ 1.65 ล้านบาท โดยโครงการนี้ตั้งอยู่ที่ถนนรัตนาธิเบศร์ ตำบลไทรม้า อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี บนพื้นที่ดินประมาณ 2 ไร่ 1 งาน 16ตร.ว. ปัจจุบันสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ 
แอสเสท เวิรด์ รีเทล เตรียมเปิด‘ลาซาล อเวนิว’ไตรมาส 3 ปีนี้ พร้อม ‘กรีนสเปซ’ กว่า 3,000 ตร.ม.

แอสเสท เวิรด์ รีเทล เตรียมเปิด‘ลาซาล อเวนิว’ไตรมาส 3 ปีนี้ พร้อม ‘กรีนสเปซ’ กว่า 3,000 ตร.ม.

นายมานพ คำสว่าง ผู้จัดการบริหารทรัพย์สิน 4 พร้อมด้วยนายธนวัฒน์ อัจฉริยวุธ ผู้จัดการทั่วไป ศูนย์การค้าลาซาล อเวนิว บริษัท แอสเสท เวิรด์ รีเทล จำกัด ภายใต้การบริหารงานของบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (TCC GROUP) ลงพื้นที่ตรวจความคืบหน้าการก่อสร้าง “ศูนย์การค้าลาซาล อเวนิว” ย่านซอยลาซาล-แบริ่ง คอมมูนิตี้มอลล์แนวคิดใหม่ เพิ่มสีสันแห่งไลฟ์สไตล์และเปิดประสบการณ์ใหม่ด้วยพื้นที่รีเทล 6,000 ตารางเมตร เต็มอิ่มกับไลฟ์สไตล์แบรนด์แบบไม่ซ้ำใคร ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 20 ไร่ ด้วยงบประมาณการลงทุน 350 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันดำเนินการก่อสร้างไปแล้ว 85% และปิดพื้นที่ขายได้แล้วกว่า 90% จากร้านค้าชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ อาทิ VILLA MARKET, KFC, B-Quik, Cafe Amazon, TSURUHA, CG FITNESS, Orca BAKER & BUTCHER, JiM’s BURGER, ข้าน้อยขอชาบู, SUKIYA, glo ONE STOP BEAUTY LOUNGE, CHA SPA, the nail cafe และ WASH ME โดยจะพร้อมเปิดให้บริการได้ใน ไตรมาส 3 ของปีนี้ คาดการณ์ว่าจะมีผู้เข้าใช้บริการเฉลี่ย 8,000-10,000 คนต่อวัน นายธนวัฒน์ อัจฉริยวุธ ผู้จัดการทั่วไป ศูนย์การค้าลาซาล อเวนิว บริษัท แอสเสท เวิรด์ รีเทล จำกัด กล่าวว่า ทำเลย่านลาซาล-แบริ่ง ถือเป็นทำเลศักยภาพ มีผู้อยู่อาศัยที่มีกำลังซื้อสูง และมีการขยายตัวของโครงการที่อยู่อาศัยทั้งบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ทำเลดังกล่าวยังรายล้อมไปด้วยสถานที่สำคัญต่างๆ อาทิ โรงเรียน อาคารสำนักงาน และแหล่งอุตสาหกรรม สามารถเดินทางเข้าสู่ย่านใจกลางธุรกิจได้อย่างสะดวกรวดเร็วด้วยความครบครันด้านคมนาคมที่มีให้เลือกมากมาย อาทิ การเดินทางทางรถยนต์ด้วยถนนสุขุมวิท ถนนบางนา-ตราด ถนนศรีนครินทร์ หรือจะเลือกทางเลือกที่คล่องตัวยิ่งขึ้นด้วยรถไฟฟ้า บีทีเอสและทางด่วนพิเศษ ทั้งนี้ นอกจากตัวศูนย์การค้าฯ จะอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพสูงแล้ว เรายังสร้างความแตกต่างจากคอมมูนิตี้มอลล์อื่นๆ ด้วยการดีไซน์สวนสวย หรือ “กรีนสเปซ” กว่า 3,000 ตารางเมตร รายล้อมด้วยอาคารชั้นเดียวพร้อมที่จอดรถรอบตัวอาคารเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า จึงมั่นใจได้ว่า ‘ศูนย์การค้าลาซาล อเวนิว’ จะสามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าทุกท่านที่มาใช้บริการได้เป็นอย่างดี
LIFE สุขุมวิท 62 จาก เอพี ไทยแลนด์ เพิ่มแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตที่มากกว่ากับการใช้ชีวิตในแบบที่คุณเลือกได้เอง

LIFE สุขุมวิท 62 จาก เอพี ไทยแลนด์ เพิ่มแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตที่มากกว่ากับการใช้ชีวิตในแบบที่คุณเลือกได้เอง

ถ้ามองหาพื้นที่ที่สามารถสนับสนุนเพื่อขับเคลื่อน Passion หรือความฝันของตัวเองให้ได้ลองทำสิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นไปไม่ได้ให้เข้าใกล้ความเป็นจริงมากขึ้น โดยมีเทคโนโลยีที่ช่วยให้เกิดการเชื่อมต่อเป็นเครื่องมือสู่การเปลี่ยนแปลง ถ้านั่งแล้วต้องนั่งอยู่ยาว ดังนั้น ถ้าเรามีสถานที่นั้นในที่อยู่อาศัยของเราเอง ไม่ต้องเดินทางไปไหน จะนัดใครก็สะดวก เมื่อชีวิตมีทางเลือกที่มากกว่า...เอพีพร้อมสนับสนุนให้คุณก้าวไปสู่เป้าหมายของการใช้ชีวิตในแบบที่คุณเลือกได้เอง บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า เพื่อคุณภาพการอยู่อาศัยและใช้ชีวิตที่ดีกว่าสำหรับคนเมือง เปิดตัว “LIFE สุขุมวิท 62” คอนโดมิเนียมใหม่ล่าสุด บนถนนสุขุมวิทกับความเป็นส่วนตัวสูงสุดเพียง 438 ยูนิต ที่สามารถเชื่อมต่อได้ทุกการเดินทาง เพียง 200 เมตรถึงสถานีรถไฟฟ้า ‘บางจาก’ และ 500 เมตร จากทางด่วน โดยเอพีได้นำนวัตกรรมดีไซน์เข้ามายกระดับการใช้ชีวิตผ่านแนวคิดการออกแบบพื้นที่ชีวิตคุณภาพแห่งอนาคต ในคอนเซปต์ ‘เป้าหมายของชีวิต คือ การใช้ชีวิตในแบบที่คุณเลือกได้เอง’ (LIFE of Purpose) ที่สนับสนุนทุกความสำเร็จผ่าน Digital Co-working Space นวัตกรรมดิจิตอล และ การวางโครงข่าย Wi-fi ที่ผสานไปกับการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางทั่วทั้งโครงการ เพิ่มความพิเศษด้วยพื้นที่อยู่อาศัยภายในห้องด้วยฟังก์ชั่นที่สามารถขยายพื้นที่ได้มากขึ้น ด้วยกระจกบานเลื่อน 2 ชั้น ที่สามารถใช้เป็น Semi Outdoor Dinner ให้คุณสามารถออกแบบการใช้ชีวิตได้ตามต้องการ ในราคาเริ่มต้นเพียง 120,000 บาท/ตร.ม. พร้อมเปิดจองผ่านระบบออนไลน์ AP i-Booking ในวันที่ 27 มีนาคมนี้ เวลา 19.00 – 21.00 น. เท่านั้น LIFE Extension ชีวิตที่คุณเลือกได้ LIFE สุขุมวิท 62 ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 2.2.67 ไร่ บนถนนสายสุขุมวิท ทำเลใจกลางเมือง ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตคนเมืองด้วยแนวคิด Multiple Connection เชื่อมต่อการเดินทางหลากหลายรูปแบบ เพียง 200 เมตร ถึงสถานีรถไฟฟ้า ‘บางจาก’ และ 500 เมตรจากทางด่วน ด้วยทำเลที่ตั้งโครงการ LIFE สุขุมวิท 62 จะตั้งอยู่ใจกลางเมือง แต่ยังคงสามารถทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกสงบร่มรื่นและเป็นส่วนตัวได้ด้วยการออกแบบที่เป็นหนึ่งเดียวจาก เอพี ไทยแลนด์ กับความใส่ใจในการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางในทุกตารางนิ้ว เพื่อให้ LIFE สุขุมวิท 62 เป็นคอนโดมิเนียมที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีที่สุดในย่านนี้ เริ่มต้นด้วย Garden on Ground ที่ทำให้การพักผ่อนเป็นส่วนตัวขึ้นอีกขั้น กับพื้นที่พักผ่อนภายนอกอาคารที่ซ่อนตัวอยู่ใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่และสายน้ำ ให้ผู้ใช้รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งกับธรรมชาติโดยรอบ พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต เพิ่มพื้นที่ที่พร้อมสนับสนุนสู่การขับเคลื่อน Passion ของผู้อาศัยด้วย Ultra Exploratorium และ Ultra Co-Working Space ที่ผสานเทคโนโลยีเข้ากับนวัตกรรมดีไซน์ เพื่อเชื่อมต่อชีวิตงานและการพักผ่อนเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว ภายใต้แนวคิด Co-Space พร้อมรองรับการใช้งานเครื่องมือดิจิตอลอย่างครบครัน ไม่ว่าการพักผ่อน หรือทำงานก็สามารถทำได้แบบไม่ติดขัด พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตไปอีกขั้นด้วยการดึงพื้นที่สีเขียวเข้าสู่อาคาร ให้ผู้ใช้รู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกับสวนสีเขียวภายนอก กับการใช้กระจกใสสูงกว่า 6 เมตรที่เชื่อมต่อสวนแนวตั้งและต้นไม้ใหญ่สีเขียวชะอุ่มร่มรื่นอย่างเป็นหนึ่งเดียว และ Cocoon ที่นั่งส่วนตัวที่ถูกออกแบบมาพิเศษมีแสงสว่างภายใน พร้อมกับ Wireless Charger รองรับชีวิตการทำงานที่ไม่จำกัดสถานที่ ตอบโจทย์ทุกด้านของชีวิตในแบบที่คุณเลือกได้ เหนือกว่าด้วย Ultimate Rooftop Facilities ให้ผู้อยู่อาศัยได้ออกกำลังกายได้อย่างครบวงจร อาทิ Aquascape สระว่ายน้ำแบบเอ็กซ์คลูซีฟระบบน้ำเกลือที่สามารถเปิดรับวิวสุขุมวิท และวิวโค้งน้ำบางกระเจ้าได้สุดสายตา รวมถึงยังมี Sky Fitness ห้องฟิตเนสมุมกว้างเพื่อการใช้ชีวิตแบบแอคทีฟพร้อมความเป็นส่วนตัวไปด้วยกัน เอพี ไทยแลนด์ พร้อมให้คุณกำหนดชีวิตได้ตามความต้องการ ด้วยรูปแบบของห้องชุดที่มีให้เลือกหลากหลาย ทั้งห้องชุด Studio แบบ 1 ห้องนอน และแบบ 2 ห้องนอน ขนาดตั้งแต่ 25-68 ตารางเมตร  LIFE สุขุมวิท 62 โดดเด่นด้วยการจัดสรรค์พื้นที่อยู่อาศัยภายในห้องด้วยฟังก์ชั่นที่สามารถขยายพื้นที่ได้มากขึ้น ด้วยกระจกบานเลื่อน 2 ชั้น ที่สามารถใช้แบ่งให้ภายในห้องมี Semi Outdoor Dinner เพิ่มขึ้น หรือแม้กระทั่งห้องทำงาน หรือห้องแต่งตัว ภายใต้พื้นที่ขนาดเท่าเดิมแต่สามารถมอบอิสรภาพให้คุณใช้ชีวิตได้มากกว่า เปลี่ยนข้อจำกัดการอยู่อาศัยบนพื้นที่แนวตั้งให้สามารถปรับเปลี่ยนสเปซภายในห้องพักส่วนตัวได้ดังใจ LIFE สุขุมวิท 62 ประกอบด้วยอาคารที่พักสูง 24 ชั้น โดดเด่นด้วยความเป็นส่วนตัวสูงสุดเพียง 438 ยูนิต ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 1) สตูดิโอ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 25 ตารางเมตร 2) ห้องชุด 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 30 ตารางเมตร 3) ห้องชุด 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ (แบบพิเศษ) ขนาดพื้นที่ใช้สอย 38–39 ตารางเมตร 4) ห้องชุด 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 45 ตารางเมตร  และ 5) ห้องชุด 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 50-68 ตารางเมตร เอพีพร้อมรังสรรค์สิ่งอำนวยความสะดวกล้ำสมัยสำหรับผู้อยู่อาศัย อาทิ ล็อคเกอร์อัจฉริยะ (Smart Pod) จะทำให้ผู้ส่งและผู้รับสามารถเข้าถึงการใช้งานด้วยตนเองได้ตลอดเวลา ผู้อยู่อาศัยสามารถรับของได้ในเวลาที่ตนเองสะดวกตลอด 24 ชั่วโมง รวดเร็ว ง่าย สะดวกสบาย รวมทั้งมั่นใจได้ในความปลอดภัย 100% และยังมี สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในคอนโดมิเนียมเอพี (AP Charging Pod) ที่ทำให้การอยู่อาศัยในคอนโดเอพีสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ใช้ชีวิตในแบบที่คุณเลือกเองได้ที่ LIFE สุขุมวิท 62 คอนโดมิเนียมใหม่ล่าสุด จำนวนเพียง 438 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 120,000 บาท/ตร.ม. พร้อมเปิดจองผ่านระบบออนไลน์ AP i-Booking ในวันที่ 27 มีนาคมนี้ เวลา 19.00 – 21.00 น. เท่านั้น ลงทะเบียนทาง APTHAI.COM รับส่วนลดสูงสุด 300,000 บาท สอบถามข้อมูล เพิ่มเติมที่ โทร. 1623 หรือ www.apthai.com
อัลติจูด วางเป้า 3 ปีเปิดโครงการรวม 7,000 ลบ. หวังขึ้นแท่น Top3 ในเซ็กเม้นท์

อัลติจูด วางเป้า 3 ปีเปิดโครงการรวม 7,000 ลบ. หวังขึ้นแท่น Top3 ในเซ็กเม้นท์

อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ เปิดแผนรุก วางแผนโต 3 ปี ตั้งเป้าเปิดตัวโครงการ 7,000 ล้านบาท เจาะตลาด Young Success มั่นใจปีนี้กวาดรายได้ 1,200ล้านบาท หวังชิง Top 3 ในเซ็กเม้นท์บ้านลักซัวรี่ราคา 20 ล้านบาท และโฮมออฟฟิตราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป นายชยพล หรรรุ่งโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งพัฒนาโครงการทั้งแนวราบและแนวสูงระดับลักซัวรี่ใจกลางเมือง เปิดเผยว่า ทีมผู้บริหารได้วางกลยุทธ์ในดำเนินธุรกิจของบริษัท คือ พัฒนาที่อยู่อาศัยกลางเมืองทั้งแนวราบ และแนวสูง บนขนาดที่ดินไม่ใหญ่มาก เพราะที่ดินในเมืองหายากขึ้นทุกวัน แต่ในทางกลับกัน ที่ดินประเภทนี้เป็นที่ต้องการของ ผู้บริโภคจำนวนมาก ซึ่งอัลติจูดจะเข้ามาจับตลาดกลุ่มนี้ซึ่งเป็นตลาดที่มี Demand มาก แต่กลับมี Supply น้อย และเราใช้ช่องว่างทางการตลาดนี้ มาเป็นกลยุทธ์หลักในการดำเนินธุรกิจของเรา โดยมุ่งพัฒนาให้เป็นโครงการที่เป็น Niche Luxury มุ่งเจาะกลุ่มผู้ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย หรือ  Young Success ที่ต้องการอยู่อาศัยในเมือง เพราะเดินทางสะดวก มีไลฟ์สไตล์ในแบบที่ต้องการ และยังสะท้อนภาพลักษณ์ของผู้ครอบครองได้เป็นอย่างดีด้วยกลยุทธ์นี้เรามั่นใจว่าจะผลักดันให้ อัลติจูด ขึ้นแท่นเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ระดับ Top 3 ในเซ็กเม้นท์ สำหรับบ้านลักซัวรี่ราคา 20 ล้านบาท และ โฮมออฟฟิตราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ภายใน 3 ปี ที่ผ่านมาเราเปิดขายโครงการแล้ว ทั้งสิ้น 5 โครงการ คือ  บ้านเดี่ยว 1 โครงการ ได้แก่ อัลติจูด มาสเตอรี่,  โฮมออฟฟิต 1 โครงการ คือ  โครงการอัลติจูด พรูฟ เกษตร-นวมินทร์ ส่วนคอนโดมิเนียมมีอีก 3 โครงการ คือ  อัลติจูด ดีไฟน์, อัลติจูด สามย่าน-สีลม และโครงการ โอกาส ซึ่งทุกโครงการ ล้วนได้รับการตอบรับจากลูกค้าอย่างดีมาก  สำหรับในปี 2561 นี้ เราเปิดขายอีก 4 โครงการ มูลค่า 2,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นแนวราบ 2 โครงการ ได้แก่ บ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ อัลติจูด มาสเตอรี่ 1 โครงการ, โฮมออฟฟิต 1 โครงการ ได้แก่ โครงการอัลติจูด พรูฟ พระราม 9 และ คอนโดมิเนียม อีก 2 โครงการ โดยอยู่ย่านเจริญกรุง 1 โครงการ และอีก 1 โครงการ เป็นแบรนด์ใหม่ ชื่อ อาสะ (ASA) อยู่ที่โรจนะ จังหวัดอยุธยา ติดกับโลตัส โรจนะ โดยบริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายที่ 2,000 ล้านบาท และเป้ารับรู้รายได้อยู่ที่ 1,200 ล้านบาท ซึ่งมาจากการโอนโครงการที่เปิดขายเมื่อปีที่แล้ว คือ โครงการอัลติจูด มาสเตอรี่, อัลติจูด พรูฟ เกษตร-นวมินทร์  และคอนโดอีก 2 โครงการ การวางแผนขึ้นสู่การเป็น Top 3 ในเซ็กเม้นท์สำหรับบ้านลักซัวรี่ราคา 20 ล้านบาท และ และโฮมออฟฟิตราคา 10 ล้านบาขึ้นไป ทำให้บริษัทต้องวางแผนการดำเนินงานอย่างรอบคอบ เพราะเราต้องการรับรู้รายได้และต้องการยอดโอนในทุกไตรมาส ทำให้เราต้องเข้มข้นในการวางแผนการพัฒนาโครงการ ซึ่งจะพัฒนาแนวราบกับแนวสูงควบคู่กันไป โดยในช่วงระยะเวลา 3 ปีต่อจากนี้ไป เราวางเป้าเปิดตัวโครงการถึง 7,000 ล้านบาท ด้านนายขวัญชัย ยิ่งเจริญถาวรชัย กรรมการบริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เผยถึงการสร้างแบรนด์ และการทำงานด้านการตลาดว่า โจทย์ที่ได้รับมา คือ ต้องทำการตลาดเพื่อส่งให้แบรนด์สินค้า และแบรนด์บริษัทเกิดการจดจำให้ได้ ด้านการทำแบรนด์สำหรับสินค้านั้น  เราได้วาง Brand Segmentation ผ่านชื่อโครงการ ได้แก่ 1) แบรนด์อัลติจูด มาสเตอรี่ (Mastery) ซึ่งเป็นแบรนด์สำหรับบ้านเดี่ยวระดับลักซัวรี่ ราคาประมาณ 20-45 ล้านบาท  2) แบรนด์อัลติจูด พรูฟ (Prove) เป็นแบรนด์สำหรับโฮมออฟฟิต ราคาประมาณ 10 ล้านบาทขึ้นไป  และ 3) คอนโดมิเนียมแบรนด์อัลติจูด ซึ่งจะเป็นแบรนด์สำหรับคอนโดลักซัวรี่กลางเมือง  และ 4) คอนโดมิเนียมแบรนด์ อาสะ (ASA) ซึ่งจะเป็นสินค้า เดียวที่อัลติจูดพัฒนาขึ้นมาโดยเป็น Effortable Condo โดยโครงการแรกที่กำลังจะเปิดตัว คือ โครงการอาสะ อยุธยา-โรจนะ การวางแบรนด์สินค้าที่ชัดเจน จะสร้างการจดจำที่ง่ายขึ้น ทำให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าของบริษัทได้ง่ายขึ้นด้วย  สำหรับในปี 2561 เราเน้นการสร้างแบรนด์ผ่านโลกดิจิตอล และบุกทุกสื่อ เพื่อสร้างการรับรู้ ให้รู้จักแบรนด์อัลติจูด ให้มากที่สุด ทั้ง Below the line และ Above the line เพื่อทำการตลาดทั้งการสร้างแบรนด์บริษัท และแบรนด์สินค้า ควบคู่กันไป "สำหรับมุมมองด้านภาพรวมของตลาดอสังหาฯเชื่อว่าในทุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังมีช่องว่างที่มี demand มากกว่า supply เสมอ หากเราวิเคราะห์ตลาดได้ชัดเจน และสร้างความแตกต่างได้ เราก็สามารถเติบโตได้ เช่น ตลาดแนวราบชานเมืองปัจจุบันยังมีที่จัดสรร รอสร้าง รอโอน เหลือเป็นจำนวนมากพอสมควร หลายโครงการ มีต้นทุนต่ำ เพราะเป็นที่ดินที่ซื้อสะสมไว้ก่อนหน้า แต่หากผู้พัฒนาโครงการรายใหม่ที่ไม่มีที่ดินสะสมมาก่อน หรือเข้าสู่ ตลาดภายหลัง อาจมีจะความเสียเปรียบ และต้องเฉลี่ยกับหลายๆ โครงการที่มีอยู่ก่อน เรามองถึงโอกาส ในการเติบโต มองช่องทางใหม่ๆ เช่น คอนเซ็ปต์ บ้านหรูใจกลางเมือง หรือ โฮมออฟฟิตใจกลางเมือง มีโครงการใหม่เกิดขึ้นน้อย และแทบไม่มีโครงการสะสมรอขายเลย แต่ demand ยังคงมีสม่ำเสมอ อีกทั้งราคาต่อหน่วย ที่ถีบตัวสูงขึ้นทำให้ โครงการที่มีเพียงไม่กี่ยูนิต แต่มีมูลค่าของโครงการสูงกว่าโครงการแนวราบขนาดใหญ่ชานเมือง สามารถเติบโตได้ดี ซึ่งโครงการขนาดไม่ใหญ่มากแบบนี้ สามารถสร้างยอดขายและยอดรับรู้ได้รวดเร็ว เพียงแต่ผู้ประกอบการจำเป็นต้อง มีศักยภาพในด้านการตลาด การขาย การออกแบบ และการควบคุมคุณภาพ งานก่อสร้างให้ดีด้วย”นายขวัญชัยกล่าว
3 สมาคม ผนึกกำลัง จัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 38 รับกระแสตลาดอสังหาฯ บูม

3 สมาคม ผนึกกำลัง จัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 38 รับกระแสตลาดอสังหาฯ บูม

นายวรัทภพ แพทยานันท์ ประธานคณะกรรมการจัดงาน มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 38 เปิดเผยว่า งานครั้งนี้ ถือว่าจัดขึ้นในช่วงเวลาที่เหมาะเจาะสอดรับกับตลาดอสังหาฯ ที่กำลังขยายตัวได้ด้วยดี โดยสามสมาคมผู้จัดงาน คาดการณ์ว่าอสังหาฯ ในปีนี้จะเติบโตอย่างน้อย 5% เพราะได้แรงสนับสนุนจากเศรษฐกิจของประเทศที่กำลัง ขยายตัว ซึ่งคาดว่าจะเติบโตราว 4% และประชาชนที่มีกำลังจับจ่ายเพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยปรับขึ้น นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวกด้านอื่นๆ เช่น การลงทุนต่อเนื่องของภาครัฐในโครงการขนาดใหญ่ ทั้งรถไฟฟ้าสายสีส้ม สีเหลือง สีชมพู ทางด่วนขั้นที่ 3 เชื่อมวงแหวน รถไฟฟ้าความเร็วสูง รถไฟทางคู่ มอเตอร์เวย์ โครงการ Action plan และ EEC รวมถึงภาคการท่องเที่ยว การส่งออก และการลงทุนของภาคเอกชนที่มีการเติบโต ที่สำคัญในช่วงนี้ ธนาคารเริ่มกลับมาผ่อนปรนมาตรฐานการปล่อยสินเชื่อลง จึงเพิ่มโอกาสให้กับผู้บริโภคที่ต้องการซื้อบ้านมากขึ้น ขณะเดียวกัน อัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันก็ยังอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่สูงมากนักและไม่มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นในเร็ววันนี้ ประกอบกับอัตราเงินเฟ้อในปัจจุบันก็ยังอยู่ในระดับต่ำ จึงมีส่วนช่วยในเรื่องของต้นทุนในการก่อสร้าง ค่าเช่า และค่าขนส่งวัสดุ ส่วนเศรษฐกิจโลกก็มีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจไทยและภูมิภาคนี้ “ลูกค้าที่มางานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 38 จะได้พบกับโครงการใหม่ๆ จากผู้ประกอบการมากขึ้น หลังจากที่งานที่ผ่านมาจะเน้นนำสินค้าในสต็อกมาเคลียร์มากกว่า ซึ่งครั้งนี้มีผู้ประกอบการเข้าร่วมเกือบ 200 ราย นำกว่า 1 พันกว่าโครงการมาเสนอขาย รวมถึงโครงการใหม่ที่มีมาให้เลือกอย่างหลากหลายทั้งทำเลและราคามาเปิดตัวภายในงานจำนวนหลายโครงการ คณะกรรมการจัดงานคาดว่าจะมีผู้มาเดินงานตลอด 4 วันทะลุ 1 แสนคน มียอดจองและขายในงานกว่า 4 พันล้านบาท และยอดขายต่อเนื่องหลังงานไม่น้อยกว่า 2 เท่าตัว”นายวรัทภพ กล่าว ทางคณะกรรมการจัดงานเลือกใช้คอนเซ็ปต์ที่ว่า “กำจัดทุกข้อ จำกัด  ให้เรื่องเป็นอยู่เป็นเรื่องง่าย” เพราะว่าผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน ส่วนใหญ่จะพบกับข้อจำกัดหลายอย่างที่แตกต่างกันไป เช่น เรื่องของการหาข้อมูลโครงการต่างๆ เรื่องความชอบหรือไลฟ์สไตล์ที่ไม่ลงตัว เรื่องของทำเล ราคา ข้อจำกัด เรื่องเวลา งบประมาณ ไปจนถึงเรื่องการยื่นขอสินเชื่อที่กลับมาเป็นปัญหาใหญ่ ดังนั้นเพื่อทำลายข้อจำกัดต่างๆ ดังกล่าว และทำให้เรื่องที่อยู่อาศัยเป็นเรื่องง่ายสำหรับทุกคน ทางคณะกรรมการจัดงานจึงได้เพิ่มจุดบริการที่เรียกว่า HC Solutions คอยให้ความช่วยเหลือด้านข้อมูลต่างๆ กับลูกค้าที่มาเดินในงาน     ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของโครงการที่อยู่อาศัยที่มาจัดแสดงในงานทั้งหมด มีทำเลไหนบ้าง ราคาเท่าไร โปรโมชั่นเป็นอย่างไร เพื่อเพิ่มความสะดวกและตรงกับความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว ตลอดจนบริการให้คำปรึกษาแนะนำในเรื่องของการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินชั้นนำที่มาร่วมงาน เพื่อสร้างความประทับใจและประสบการณ์ให้กับลูกค้า  สำหรับลูกค้าที่ตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยภายในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 38 จะได้รับประโยชน์มากมาย จากโปรโมชั่นพิเศษที่เหล่าผู้ประกอบการตั้งใจนำมาเสนอในงานครั้งนี้โดยเฉพาะ ในขณะที่สามสมาคมผู้จัดงาน ก็ได้จัดโปรโมชั่นใหญ่ของงาน สำหรับผู้ที่จองที่อยู่อาศัยภายในงานทุก 300,000 บาท จะได้รับคูปอง 1 ใบ เพื่อลุ้นบัตรกำนัลส่วนลดเงินสดมูลค่า 1 ล้านบาทอีกด้วย งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 38 จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 15-18 มีนาคม 2561 เวลา 10.00-20.00 น. ณ บริเวณโซนซี ชั้น 1 และ 2 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ผู้สนใจเข้าร่วมงานสามารถลงทะเบียนออนไลน์ล่วงหน้าได้ทาง www.housecondoshow.com หรือติดตาม รายละเอียดข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ facebook/housecondoshow และนอกจากนี้ ยังสามารถดาวน์โหลดและติดตั้ง แอพพลิเคชั่น HouseCondoShow เพื่อเป็นการเพิ่มช่องทางในการค้นหาข้อมูลโครงการและโปรโมชั่นมากมาย จากทุกผู้ประกอบการได้อย่างง่ายและสะดวกรวดเร็วอีกด้วย
ทรูลิงค์ พร็อพเพอร์ตี้ ปักหมุด“เดอะ ควอเทียร์ รัชดา32″ ต้นแบบโฮมออฟฟิศสุดหรูอยู่ได้จริง-รับอานิสงส์ ซีบีดีใหม่

ทรูลิงค์ พร็อพเพอร์ตี้ ปักหมุด“เดอะ ควอเทียร์ รัชดา32″ ต้นแบบโฮมออฟฟิศสุดหรูอยู่ได้จริง-รับอานิสงส์ ซีบีดีใหม่

ทรูลิงค์ พร็อพเพอร์ตี้ ปักหมุด “เดอะ ควอเทียร์ รัชดา 32” โฮม ออฟฟิศ ไฮเอนท์สุดหรู ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ราคาเริ่มต้น 28 ล้านบาท รับฮับซีบีดีใหม่ หลังโครงข่ายรถไฟฟ้าเสร็จสมบูรณ์ มั่นใจปิดการขายเร็วเล็งกระจายทั่วโซนธุรกิจ นายคมสัน วุฒิพงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทรูลิงค์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดขาย โครงการเดอะ ควอเทียร์ รัชดา 32 (The Quartier Ratchada 32) ยกระดับโฮมออฟฟิศแบบเดิม เปรียบเสมือนการใช้ชีวิตในเพ้นท์เฮ้าส์ (Penthouse) ในคอนโดมีเนียมระดับบน ควบคู่ไปกับพื้นที่กิจการธุรกิจที่ภาพลักษณ์ดูดี เป็นที่มาของนิยาม The Very First  Business Penthouse in Town โดยเป็นครั้งแรกของโฮม ออฟฟิศพร้อมส่วนพักอาศัยไฮเอนท์ สูง 6 ชั้นพร้อมลิฟท์ส่วนตัวทุกยูนิต มีความพิเศษสุดสำหรับสังคมคุณภาพเพียง 8 ยูนิต บนที่ดินประมาณ 1 ไร่ในซอยรัชดาภิเษก 32 ราคาเริ่มต้น ยูนิตละ 28 ล้านบาทขึ้นไป มูลค่ารวมโครงการประมาณ 250 ล้านบาท หวังปั้นแบรนด์ Quartier เป็นบิสสิเนสเพ้นท์เฮ้าส์ที่มีสไตล์พิเศษเฉพาะในทำเลธุรกิจจริงๆ เท่านั้น ขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างคาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งโครงการภายในปลายปีนี้ เล็งต่อยอดสู่โมเดลธุรกิจเดียวกันนี้กระจายทั่วโซนธุรกิจอื่นๆ ซึ่งขณะนี้มีที่ดินรอการพัฒนาในมือขนาด 1-2 ไร่อีกหลายแปลง “บริษัทตั้งใจสร้างแบรนด์ Quartier (ควอเทียร์) ซึ่งเป็นภาษาฝรั่งเศส มีความหมายเดียวกับ District หมายถึงย่าน หรือ บริเวณที่มีความพิเศษในเมืองต่างๆ สื่อถึงขอบเขตของโครงการที่เป็นย่านๆเล็กที่มีลักษณะเป็นส่วนตัว มีความพิเศษเฉพาะผู้ที่อยู่อาศัยเท่านั้น สำหรับโครงการ Quartier Ratchada 32 ก็เป็นรัชดาฯจริงๆ เป็นทำเลศักยภาพที่สามารถเข้า-ออกได้หลายเส้นทางมากๆ ไม่ว่าจะเข้าจากปากซอยรัชดาภิเษก 32, ซอยรัชดาภิเษก 36 แยก 19-1, เชื่อมต่อไปออกพหลโยธิน ลาดพร้าว-วังหิน ถนนประเสริฐมนูกิจ ถนนประดิษฐ์มนูธรรม ถนนรามอินทรา เป็นต้น และยังใกล้รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีลาดพร้าวประมาณ 1.8 กิโลเมตร ที่สำคัญในอนาคตอันใกล้โซนนี้จะเติบโตอย่างมาก จากระบบคมนาคมที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ทั้งรถไฟฟ้าสายสีเขียว อุโมงค์ลอดทางแยกรัชโยธิน โดยเฉพาะสถานีกลางบางซื่อที่จะกลายเป็นศูนย์รวมการคมนาคมระบบรางของอาเซียน เพราะเป็นจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าหลายสายด้วยกัน จะเห็นได้ว่ากลุ่มทุนรายใหญ่ๆ ต่างเข้ามาพัฒนาโซนนี้กันอย่างคึกคักมากๆ แล้ว” นายคมสันกล่าว นางสาวศรินรัตน์ สมบูรณ์สิน หัวหน้าฝ่ายการตลาดและการขาย บริษัท ทรูลิงค์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัดกล่าวถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของโครงการว่า เป็นเจ้าของธุรกิจคนรุ่นใหม่ที่มีอายุเฉลี่ย 35 ปีขึ้นไป รายได้ต่อครัวเรือน 300,000 บาทขึ้นไป มีแบบฉบับและรสนิยมการอยู่อาศัยเฉพาะตัว มีความเป็นผู้นำ มีเหตุผลในการตัดสินใจด้วยตัวเอง มีความหลากหลายด้านความต้องการ โครงการจะมีความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยน วัสดุหรืออุปกรณ์ เพื่อสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้า โดยเน้นความแตกต่าง (Product Differentiation) ที่มีความโดดเด่นอย่างชัดเจนด้วยวัสดุที่ต่างจากตลาดทั่วไป และเปิดโอกาสให้ลูกค้าสามารถเลือกวัสดุอุปกรณ์ตามความต้องการ “ลูกค้ากลุ่มนี้เป็นผู้ที่มีความต้องการแบบไม่เหมือนใคร ต้องเปิดช่องให้สามารถปรับแต่ง (Customization) ให้เหมาะกับรสนิยมของเจ้าของ คล้าย tailor-made เสื้อสูทให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละรายอย่างแท้จริง เช่น วัสดุอุปกรณ์เสริมบางรายการ  โดยเฉพาะในส่วนของ Façade ที่ห่อหุ้มอาคารภายนอก นอกจากนั้นพวกอุปกรณ์ประกอบอาคาร วัสดุปูพื้น การตกแต่งสถาปัตยกรรม ในขณะที่คงจุดเด่นในการออกแบบที่ไม่อิงยุคสมัยจนเกินไป เลือกวัสดุที่ดูมีมูลค่าไม่ว่าระยะเวลาจะยาวนานแค่ไหน เช่น หินอ่อน Travertine, พื้นไม้ Engineering wood, กระจก แบบ Oversized Full Frame ให้ความรู้สึกเหนือกว่าทันทีที่แรกเห็น ทั้งรูปลักษณ์ภายนอก และ Function ภายใน นอกจากนั้นพื้นที่ชั้น 6 ยังเป็นออฟชั่นเสริม สามารถทำสระว่ายน้ำและสวนลอยฟ้าได้ (Roof-garden and Lap Pool) ”นางสาวศรินรัตน์ กล่าวและว่า ผู้ที่สนใจสามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.the-quartier.com/
คิดถึงคอนโดติดรถไฟฟ้า ทำไมต้อง “Aspire รัชดา-วงศ์สว่าง”(Advertorial)

คิดถึงคอนโดติดรถไฟฟ้า ทำไมต้อง “Aspire รัชดา-วงศ์สว่าง”(Advertorial)

ปัจจุบันการจะเลือกซื้อคอนโดสักแห่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนต้องการหลายปัจจัยมาเสริมกัน ทั้งเรื่อง Location Facility ความคุ้มค่าและผลตอบแทน เข้าใจเทรนด์ของผู้อยู่อาศัยยุคใหม่ สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยได้อย่างครบครันพร้อมจะเติบโตไปด้วยกันทำให้ทุกพื้นที่กลายเป็นแรงบันดาลใจในทุกวันของการใช้ชีวิต สิ่งเหล่านี้เรียกได้ว่าขาดไม่ได้สำหรับคนทำงานยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทาง คอมมูนิตี้ กิน ช้อป เที่ยว ตามแบบ Lifestyle ของคนเมือง ดังนั้นการเลือกซื้อคอนโดที่ดี มีศักยภาพที่ครบพร้อมในทุกด้านจึงไม่ใช่เรื่องง่าย “Aspire รัชดา-วงศ์สว่าง” คอนโดที่ให้คุณได้มากกว่าความคุ้มค่าบนทำเลศักยภาพ ติดรถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีวงศ์สว่างที่พร้อมจะต่อติดชีวิตในแบบคุณ พร้อมเติมเต็มความลงตัว ความสะดวกสบายใกล้เมือง เพื่อการใช้ชีวิตในย่านบางซื่อ บางซื่อมีการเติบโตมากที่สุดในปี 2016-2017 แต่ไม่รู้จัก คือที่ไหน ไกลมาก ช่วงที่ผ่านมานี้ย่านบางซื่อจัดเป็นอีกหนึ่งย่านที่มีการเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงปี 2016-2017 หลายคนมองเห็นศัยภาพในโซนนี้ จึงทำให้มีคอนโดและบ้านจัดสรรผุดขึ้นมาเพียบเพื่อรองรับประชากรที่จะมีมากขึ้นในอนาคต ที่ผ่านมาความเปลี่ยนแปลงของย่านบางซื่อเป็นไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากมีเส้นทางรถไฟฟ้าหลายสายกำลังต่อขยายมุ่งตรงเข้ามา โดยมีสถานีกลางบางซื่อเป็นศูนย์กลางเชื่อมต่อเส้นทางคมคมนาระบบรางเป็นจุดเปลี่ยนเส้นทางของรถไฟฟ้าต่อขยาย สายสีม่วง เตาปูน – ราษฎร์บูรณะ และบางใหญ่ – บางซื่อ นั้นก็หมายความว่า สถานีกลางบางซื่อจะเป็นศูนย์กลางด้านการเดินทางทั้ง รถไฟชานเมือง รถไฟความเร็วสูง รถไฟฟ้าแอร์พอตเรียลลิ้ง รวมถึง รถไฟฟ้าส่งผลให้ทำเลนี้เป็นทำเลที่ตอบโจทย์ของคนที่มีงบจำกัดแต่ยังต้องการความสะดวกสบายด้านการเดินทาง ที่แวดล้อมไปด้วยไลฟ์สไตล์มอลล์มากมาย ทั้งสวนสาธารณะ และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันสำหรับทุกความต้องการ ทำให้ “Aspire รัชดา-วงศ์สว่าง” เป็นคอนโดของคนรุ่นใหม่ที่จะเข้ามาตอบโจทย์ทุกการใช้ชีวิต เดินทางสะดวกสบาย เข้าสู่ CBD ได้อย่างรวดเร็วพร้อมสถานที่พักผ่อนมากมายในระแวกเดียวกัน อยากซื้อคอนโดติดรถไฟฟ้า แต่มีมากมายเต็มไปหมด ไม่รู้จะซื้อที่ไหนดี... ใครๆก็ล้วนตามหาคอนโดติดรถไฟฟ้าที่มีให้เลือกมากมายเต็มไปหมด แต่! ในบรรดาเหล่าคอนโดติดรถไฟฟ้าพวกนี้ก็ไม่ได้ดีทุกที่เสมอไป ทุกโครงการต่างมีจุดอ่อนและจุดแข็งที่ผู้ซื้อและนักลงทุนต้องคอยสังเกตเอง ซึ่งวันนี้เราจะบอกให้ว่า ทำไม “Aspire รัชดา-วงศ์สว่าง” ถึงเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆที่ผู้ซื้อต่างให้ความสนใจและคุ้มค่ากับการลงทุนอย่างไร ทำเลศักยภาพที่เชื่อมการเดินทางสู่ใจกลางเมือง ด้วยถนนใหญ่และรถไฟฟ้า ที่ให้ความสะดวกคล่องตัว “Aspire รัชดา-วงศ์สว่าง” จึงจัดอยู่ในคอนโดที่มีทำเลศักยภาพมาก เพราะติดรถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีวงศ์สว่าง และติดถนนใหญ่ กรุงเทพ-นนทบุรี และยังมี ทางขึ้น-ลง ทางพิเศษศรีรัชอีกด้วย จนเรียกได้ว่าเป็นการเดินทางที่สะดวกสบายครบครันอย่างแน่นอน ศูนย์รวมไลฟ์สไตล์มอลล์ที่เป็นคุณ นอกจากเป็นทำเลที่ตอบโจทย์ด้านการเดินทางแล้ว Aspire รัชดา-วงศ์สว่าง ยังแวดล้อมไปด้วยไลฟ์สไตล์มอลล์มากมาย ไม่ว่าจะเป็น เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน, โฮม โปร ประชาชื่น, La Unique, Big C วงศ์สว่างและ Gypsy Market ให้คุณสามารถช้อปข้าวของเครื่องใช้ได้อย่างชิวๆไม่ต้องไปไหนไกล แหล่งรวมร้านอาหารดังที่ไม่ควรพลาด หากเบื่อการเดินห้างแล้ว ย่านนี้ยังเป็นแหล่งรวมร้านอาหารขึ้นชื่ออีกเพียบ ทั้ง ร้าน Smith & Rabbit Cuisine ร้านอาหารไทย-ฟิวชั่น ที่คนเต็มร้านตลอดๆ, ร้าน Steeler ร้านสวย นั่งสบาย สถานที่กว้างขวางเหมาะกับครอบครัว, ร้านอาหารประพักตร์ อร่อยทั้งอาหารและขนมไทยแบบต้นตำหรับ, ร้าน บ้านไอซ์ ร้านอาหารของคุณย่าสำหรับคนชอบรสอาหารแบบดั้งเดิม, ร้าน ปรุง ร้านอาหารรสชาติดีราคาไม่แรง, เจ๊ไข่ซีฟู้ด ร้านอาหารทะเลสดๆที่ไม่ควรพลาด , ร้านพิมพ์รภัส ร้านอาหารไทยแบบดั้งเดิม, ร้าน นิตยาไก่ย่างกับไก่ย่างหอมๆที่เราคุ้นเคย  ,ร้าน ขาหมู ประชาชื่น ขาหมูอร่อยๆที่ไม่ต้องไปไหนไกล, ร้าน ก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยบ้านนา ก๋วยเตี๋ยวรสเลิศที่ใครๆต้องมาลอง, ร้าน กาลิค ร้านอาหารไทยเก่าแก่กว่า 30 ปี, ไก่ย่าง โคราช อีกตัวเลือกความอร่อยกับไก่ย่าง, ร้านอาหาร โอยั๊วะริเวอร์เทอร์เรซ เห็นชื่อแบบนี้บรรยากาศดี อาหารอร่อยนะจะบอกให้ แหล่งรวมสำนักงานใจกลางเมือง ด้วยการเดินทางที่สะดวกและยังเป็นศูนย์รวมคอมมูนิตี้มอลล์และร้านอาหารต่างๆมากมาย ทำให้ย่านนี้เป็นแหล่งสำนักงานขนาดใหญ่อีกหลายแห่งอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็น กระทรวงสาธารณสุข, นนทบุรี City Hall, สำนักงานใหญ่ SCG, ตึก EGAT และบุญรอดบริวเวอรี่ ทำให้ย่านนี้กลายเป็นคอมมูนิตี้ขนาดใหญ่ที่เพรียบพร้อม ตอบโจทย์วันชิวๆกับ Café ชิคๆ เอาใจคนรัก Café กันบ้าง เพราะย่านนี้มีผู้คนเข้ามาอาศัยและทำงานอยู่มาก ทำให้มี Café ต่างๆผุดขึ้นมาเพียบ ไม่ว่าจะเป็น Hatch by J’Khai คาเฟ่นั่งชิวที่จัดเต็มทั้งกาแฟและขนมหวาน, Kopi’ Cino ร้านที่สาวกผู้ชื่นชอบกาแฟไม่ควรพลาด , The Attic Diary Café ร้านสวยเครื่องดื่มดีงาม, Café Mallow คาเฟ่ชิคๆที่แวะมาได้ทุกวัน และ Waiting Floor ร้านขนมหวานที่จัดเต็มทั้งบิงซู Honey Toast แบบที่สาวๆต้องคุ้นเคย พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับชุมชน นอกจากความสะดวกสบายต่างๆในบ่านนี้แล้วก็ยังมีโรงพยาบาลสำหรับอำนวยความสะดวกให้ชุมชนอีกหลายแห่ง ทั้งโรงพยาบาลนนทเวช โรงพยาบาลวิภาวดี โรงพยาบาลเปาโล โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ประชาชื่นโรงพยาบาลศรีธัญญา และ โรงพยาบาลเลอลักษณ์ก็มีใครเลือกสรรตามความสะดวก แหล่งการศึกษาชั้นนำ สาเหตุหนึ่งที่ทำให้ย่านนี้คึกคักตลอดทั้งวันมาจากสถานศึกษาชั้นนำมากมายที่รวมตัวกันตั้งอยู่ในบริเวณย่านนี้ ตั้งแต่เด็กเล็กจนถึงเด็กมหาลัยก็มีครบพร้อม ทั้ง โรงเรียนสาธิตเกษตร โรงเรียนนวพัฒน์วิทยา โรงเรียนราชวินิตบางเขน โรงเรียนโยธินบูรณะ โรงเรียนศีลาจารพิพัฒน์ โรงเรียนสตรี นนทบุรี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์และมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ผ่อนคลายวัยสบายๆกับสถานที่แฮงค์เอ้าท์ อีกเรื่องที่พลาดไม่ได้นั่นคือสถานที่แฮงค์เอ้าท์นั่นเอง สำหรับย่านนี้ก็มีร้านแฮงค์เอ้าท์เพียบ อย่าง ร้าน นั่งเล่น Pub& Restaurant ชื่อดังที่ดาราชอบมากัน อาหารอร่อยแถมบรรยากาศก็ชิวสุดๆ หรือจะเป็น ร้าน Lizm อีกหนึ่งร้านดังยอดฮิต กับความชิคที่ไม่เหมือนใครกับเก้าอี้ถังและบรรยากาศที่ไม่ซ้ำใคร Facilities จัดเต็ม เอามาเน้นๆให้คุณแบบไม่มีกั๊ก พร้อมเปิดตัวพื้นที่ส่วนกลางใหม่สุดว้าวทั่วโครงการ กลางปี 2561 นี้แน่นอน พูดถึงทำเลโดยรวมไปแล้ว เรามาเจาะตัวโครงการ “Aspire รัชดา-วงสว่างค์” กันบ้างดีกว่า สำหรับ Facility ถือว่าจัดมาแบบเต็มที่ไม่กักเลยทีเดียว  ซึ่งตัวโครงการยังได้พัฒนาพื้นที่ส่วนกลางใหม่นี้จะสามารถตอบสนองทุกความต้องการและกิจกรรมของกลุ่มลูกค้าแอสปาย ไม่ว่าจะเป็น -WORKING PAVILION บนพื้นที่ Co-Working Space ขนาดใหญ่ที่ภายในจัดสรรพื้นที่ support ทุกการทำงานอย่างลงตัว ทั้งแบบเดี่ยว (WORKBAR) และแบบกลุ่ม (THINK SPACE) สร้างสรรค์เป็นพื้นที่สุดครีเอทีพ ในบรรยากาศ se-mi outdoor สุดเรียบหรูของโครงการ -SKY SEASONING ROOFTOP ที่มากับสวน 3 ฤดู บรรยากาศร่มรื่น ตั้งอยู่ที่ชั้นสูงสุดของโครงการบนพื้นที่ถึง 1 ไร่ สูดลมหายใจรับอากาศดีๆหลังเลิกงานบนพื้นที่กิจกรรมมากมาย พร้อมเสพวิวแสงสีของมหานคร ดื่มด่ำ Panoramic view ทัศนียภาพเมืองสุดขอบฟ้าได้แบบเต็มตา และ Lobby ชั้นล่างของอาคาร ที่อยู่ indoor ในส่วนนี้เป็นผนังกระจกใส 3 ด้านแบบเห็นวิวชัดๆกันไปเลย ในส่วนของ Semi-outdoor ก็จะมีการวางโซฟากระจายหลายๆจุด เชื่อมต่อกับสวนและบ่อน้ำ ตกแต่งด้วยบานเฟี้ยมไม้ให้บรรยากาศสไตล์ญี่ปุ่น มาถึงสระว่ายน้ำกันบ้าง ที่นี่มีสระว่ายน้ำขนาด 9 x 30 เมตรระบบเกลือ รวมไปถึงห้องออกกำลังกายเอาใจคนรักสุขภาพแบบจัดเต็มอีกด้วย ความคุ้มค่าบนความลงตัวบนย่านบางซื่อ สุดท้ายแต่ไม่ท้ายสุด สิ่งสำคัญที่ทำให้ “Aspire รัชดา-วงศ์สว่าง” เป็นคอนโดที่ถูกจับตามองอย่างมาก คือเรื่องของความคุ้มค่าทางด้านราคาด้วยราคาเริ่มต้นเพียงตารางเมตรละ 79,000 เท่านั้น ซึ่งเมื่อเทียบกับคอนโดในบริเวณเดียวกันจัดว่ามีราคาที่ดีกว่ามาก นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมา ย่านบางซื่อเริ่มมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลายคนมองเห็นการเติบโตในอนาคต ซึ่งต่อไปราคาคอนโดในย่านนี้จะต้องอัพสูงขึ้นลิบแน่นอน ต้องมาทำงานย่าน “บางซื่อ” แต่ยังไม่ชินทำเล “เช่า” คือคำตอบ เชื่อว่าการที่ได้ที่พักใกล้ที่ทำงานคือลาภอันประเสริฐ หลายคนคงเคยผ่านช่วงเวลาที่ต้องเสียเวลาในชีวิตกว่า 1 ใน 4 ไปกับการติดแหง็กอยู่บนรถ มันช่างแสนจะเบื่อหน่ายซะเหลือเกิน แต่ปัญญาหาพวกนี้จะหายวับไปทันทีเมื่อเราขยับขยายย้ายมาอยู่ใกล้ที่ทำงานมากขึ้น สำหรับคนที่ต้องมาทำงานในย่านบางซื่อ แต่กลัวไม่ชินทำเล เราขอแนะนำให้ลองมาเช่าคอนโด “Aspire รัชดา-วงศ์สว่าง” ดูก่อน รับรองไม่หลงทางเพราะเดินทางสะดวกสบายด้วยรถไฟฟ้า นอกจากจะเดินทางสะดวกแล้ว การมาเช่าอยู่ก็มีอะไรดีๆมากกว่าที่เราคิด สิ่งแรกเมื่อเราจะได้รับหลังจากย้ายที่พักมาอยู่ใกล้ที่ทำงาน คือ “เวลา” ช่วงแรกอาจจะรู้สึกแปลกๆสักหน่อย เพราะเรามีเวลาให้ตัวเองมากขึ้น ซึ่งนี่คือข้อดี การที่เรามีเวลามากขึ้นทำให้เราดูแลตัวเองได้มากขึ้น อาจจะใช้เวลาหลังเลิกงานในการออกกำลังกาย ช้อปปิ้ง หาร้านอาหารอร่อยๆกิน เป็นสิ่งมีค่าที่เราสามารถเพิ่มความสุขให้ตัวเองได้ อีกข้อหนึ่งคือ “ประหยัดเงิน” อาจจะยังงงๆว่าประหยัดตรงไหน แต่เชื่อหรือไม่ว่าสำหรับบางคน การเดินทางมาทำงานทุกวันนั้น นอกจากต้องต่อรถหลายต่อแล้ว วันวันหนึ่งหมดไปกับค่ารถเกือบ 200-300 บาทเลยทีเดียว ซึ่งเมื่อเราย้ายมาอยู่ใกล้ที่ทำงานมากขึ้นก็จะช่วยเซฟงบค่าเดินทางไปได้เพียบ สำหรับการเช่านั้นก็จะมีระยะเวลาสัญญาต่างๆ อาจจะเป็น 6 เดือน 1 ปี หรือ 2 ปี แล้วแต่ว่าเราวางแผนระยะสั้นไว้นานแค่ไหน การย้ายออกจึงทำได้สะดวกและรวดเร็ว ซึ่งนี่เป็นปัจจัยหลักข้อแรกๆ เลยของคนที่เลือกเช่าคอนโดมาก เพราะส่วนใหญ่ยังไม่แน่ใจว่าจะลงหลักปักฐานที่นี่นานหรือไม่ หากในอนาคตมีการโยกย้ายที่ทำงาน หรืออาจมีแพลนสำหรับครอบครัวที่ใหญ่ก็สามารถย้ายออกไปทันที ต่อมาคือการที่เราไม่ต้องมีความพร้อมด้านการเงินมากนัก เพราะการซื้อคอนโดนั้นจำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นเงินจอง, เงินดาวน์, เงินค่าตกแต่งห้อง นี่ยังไม่นับรวมค่าใช้จ่ายปลีกย่อย อย่างพวกค่าซ่อมแซมห้องกรณีปล่อยเช่าต่ออีกนะ สำหรับเหล่ามนุษย์เงินเดือนอย่างเราๆที่สภาพคล่องทางการเงินมีน้อยนั้น การเลือกเช่าอยู่จึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า ยิ่งถ้าเลือกได้ขอให้ได้อยู่ใกล้ที่ทำงานนี่แหละดีสุด ภาระรับผิดชอบน้อย อย่างที่บอกว่าสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่มีความพร้อมทางการเงินไม่มากนัก การเช่าอยู่ถือเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะนอกจากจะไม่ต้องใช้เงินเยอะแล้ว เราไม่ต้องปวดหัวกับการหาของตกแต่งเข้าห้อง การเสียค่าส่วนกลางและความรับผิดชอบอีกมากมายที่เป็นหน้าที่ของเจ้าของห้อง แถมยังไม่มีพันธะผูกพันธ์อะไรอีกด้วย ซื้อคอนโดคือการสร้างหนี้ในระยะยาวจริงหรือ? จริงๆแล้วการซื้อคอนโดถือเป็นการลงทุนอย่างหนึ่ง ยิ่งถ้าอยู่ในทำเลที่ดีมีศักยภาพจะให้ผลคุ้มค่าอย่างมากในอนาคต เพราะคอนโดจะราคาสูงขึ้นตลอดเวลา ซึ่งคอนโดก็ถือเป็นสินทรัพย์ประเภททุนอย่างหนึ่งที่เราสร้างได้ แม้จะต้องจ่ายเงินทุกเดือนเหมือนตอนเช่า แต่เราจะไม่ต้องเสียเงินเปล่าอีกต่อไป เพราะเงินที่จ่ายไปจะเป็นการแลกห้องกลับมาหาเรานั่นเอง ยิ่งในยุคปัจจุบันหลายธนาคารต่างปล่อยสินเชื่อเงื่อนไขดีๆ ออกมามากมายเพื่อให้ผลประโยชน์สูงสุดกับผู้กู้ ทำให้การกู้ซื้อคอนโดนั้นสามารถทำได้ง่ายมากขึ้น นอกจากนี้ดอกเบี้ยผ่อนชำระเงินกู้นั้นสามารถนำมาใช้ในการลดหย่อนภาษีได้ โดยเป็นไปตามนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจในแต่ละปี เรียกได้ว่าเป็นส่วนลดค่าคอนโดไปในตัวด้วยอีกด้วย ซึ่ง Aspire รัชดา-วงศ์สว่างก็จัดเป็นโครงการคอนโดที่มีศักยภาพและน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว แอสปายรัชดา-วงศ์สว่าง คอนโดแต่งครบพร้อมอยู่ แค่ก้าวจากรถไฟฟ้า ติดรถไฟฟ้าสายสีม่วง เชื่อมต่ออโศก-สุขุมวิท ในราคาสุดคุ้มค่า 17-18 มี.ค.นี้  1 ห้องนอน ชิดขอบฟ้า ทุกชั้น ราคาเดียว  2.1 ล้าน* ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ คลิก https://goo.gl/SShUZ3  
แสนสิริ ประเดิมโครงการแรกของปี “เดอะ ไลน์ วงศ์สว่าง” ชูจุดเด่นสร้างเสร็จก่อนขาย เปิดพรีเซล17-18 มี.ค.นี้

แสนสิริ ประเดิมโครงการแรกของปี “เดอะ ไลน์ วงศ์สว่าง” ชูจุดเด่นสร้างเสร็จก่อนขาย เปิดพรีเซล17-18 มี.ค.นี้

แสนสิริ ประกาศแผนคอนโดมิเนียมปี 61 เปิด 12 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 33,500 ล้านบาท กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ใต้ 7 กลยุทธ์ฉีกกฎคอนโดมิเนียมเดิม ไฮไลท์ไตรมาสแรกสร้างเสร็จก่อนขาย “เดอะ ไลน์ วงศ์สว่าง” มูลค่าโครงการ 4,600 ล้านบาท  เปิดพรีเซลล์ 17 – 18 มี.ค.นี้ ราคาเริ่มต้นเพียง 1.99 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขายคอนโดมิเนียมในปีนี้ 30,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 43% จากปีก่อน นายอุทัย  อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า แผนธุรกิจในการพัฒนาคอนโดมิเนียมในปี 2561 บริษัทวางแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่จำนวน 12 โครงการคอนโดมิเนียมใหม่ มูลค่ารวม 33,500 ล้านบาท แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ จำนวน 7 โครงการ และต่างจังหวัดอีก 5 โครงการ โดยแนวทางการพัฒนาคอนโดมิเนียมในปี 2561 บริษัทจะก้าวแกร่งครั้งใหญ่สู่ “Tomorrow is Unfolded” ตามโรดแมพการดำเนินธุรกิจของบริษัท ภายใต้ 7 กุญแจสำคัญ ได้แก่ 1.การรุกสร้างแบรนด์คอนโดมิเนียมและเปิดตัวคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ใหม่ บริษัทจะรุกสร้างแบรนด์คอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ THE BASE “เดอะ เบส” ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมที่มุ่งเน้นตอบสนองชีวิตคนรุ่นใหม่ ทันสมัย มีความเป็นตัวของตัวเอง การออกแบบในแต่ละโครงการสะท้อนบุคลิกภาพและไลฟ์สไตล์ ของกลุ่มลูกค้าในทำเลนั้น ซึ่งเป็นที่มาของแนวคิด “You are where you live” โดยในปีนี้จะเน้นแนวคิดการตลาดด้านการพัฒนาแบรนด์ ที่มีความชัดเจนและสะท้อนความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริงซึ่งมีแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมแบรนด์ เดอะ เบส ในรูปแบบใหม่จำนวน 5 โครงการ มูลค่ารวม 13,600 ล้านบาท ในทำเลสุขุมวิท 50, สะพานใหม่, ภูเก็ต, เจริญราษฎร์ และท่าพระ รวมถึงจะมีการเปิดตัวคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ Via (เวีย) อีกครั้ง หลังจากที่เคยประสบความสำเร็จจากคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์เวียมาแล้ว 3 โครงการในช่วงที่ผ่านมา ได้แก่ Via31, Via Botani และ Via49 แสนสิริ นอกจากนี้การรุกสร้างแบรนด์คอนโดมิเนียมที่สำคัญในปีนี้ บริษัทจะมีการเปิดตัวคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ใหม่จำนวนถึง 4 โครงการที่มีดีไซน์เฉพาะตัวออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะ โดยจะมีการเปิดตัวในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ 2. การรุกกว้างตลาดต่างชาติ เจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติเพิ่มมากขึ้น ด้วยการเจาะกลู่มลูกค้าใหม่ “เกาหลี” และสร้างฐานที่แข็งแกร่งมากขึ้นในญี่ปุ่น รวมถึงการขยายฐานลูกค้าเดิมอย่างลูกค้าชาวจีน ฮ่องกง ไต้หวัน และสิงคโปร์เพิ่มมากขึ้น โดยล่าสุดในช่วงต้นปีที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดออฟฟิศ ในต่างประเทศเพิ่มขึ้นแห่งที่ 6 ที่ฮ่องกง เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดและรักษาความเป็นที่หนึ่งในตลาดต่างประเทศ โดยมีการตั้งเป้ายอดขายเพิ่มขึ้นถึง 40% จากปี 2560 เป็น 13,000 ล้านบาท เพื่อรองรับแนวโน้มการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและเอเชีย 3. สานต่อกลยุทธ์การเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยการเป็นพันธมิตรกับบริษัทชั้นนำทั้งไทยและต่างประเทศ สำหรับกลุ่มโครงการที่อยู่อาศัยจะมีโครงการใหม่จากการลงทุนร่วมกับบีทีเอสและโตคิว กรุ๊ป อีกประมาณ 4-6 โครงการ มีมูลค่ารวมประมาณ 12,000-19,000 ล้านบาท   รวมทั้งยังมีแผนเปิดโครงการที่พักอาศัย The Standard Residence และ Monocle Residenceเป็นครั้งแรกของโลก ส่วนในกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ JustCo บริษัทได้เตรียมเปิด 4 สาขา โดยจะเปิด 2 สาขาแรกที่อาคาร AIA Sathorn ในเดือนพฤษภาคม และอาคาร All Seasons Place ในเดือนสิงหาคม โดยเล็งมอบสิทธิพิเศษให้ลูกบ้านแสนสิริเข้าใช้บริการ  ส่วน Hostmaker จะเข้ามาช่วยบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ให้แก่ลูกบ้าน และสร้างเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ 4. ลุยพัฒนาต่ออีก 5 คอนโดในหัวเมืองหลักต่างจังหวัด อาทิ ภูเก็ต หาดใหญ่ พัทยา และหัวหินจากความสำเร็จในการรุกขยายการพัฒนาโครงการ ในตลาดต่างจังหวัดอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา โดยบริษัทเตรียมเปิดตัวแคมเปญ Joy of Hua Hin ซึ่งเป็นแคมเปญต้อนรับฤดูร้อนในช่วงเดือนมีนาคมนี้ เพื่อมอบสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าแสนสิริ รวมถึงตอบรับการเปิดตัวโครงการใหม่ล่าสุดที่หัวหิน ในชื่อโครงการ “La Casita” (ลา คาสิตา) หัวหิน ซึ่งวางแผนเปิดตัวการขายในช่วงต้นเดือนเมษายนนี้ 5.ก้าวสำคัญในการสานต่อ Digital Transformation Chapter 2 สู่การพัฒนาคอนโดมิเนียมรูปแบบใหม่ อาทิ การพัฒนาต่อยอดใน Siri Life Tech 6.นวัตกรรมของแสนสิริเพื่อการใช้ชีวิตและการอยู่อาศัยแนวใหม่ รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมในคอนโดมิเนียมที่เติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตในทุก ๆ ด้าน ตามแนวคิด Complete your living experience อาทิ Saving Energy: Automatic light system ระบบเปิด/ปิดไฟในพื้นที่ส่วนกลางแบบอัตโนมัติ จากการจับเซนเซอร์ความเคลื่อนไหวเพื่อช่วยประหยัดพลังงาน และ Smart Locker บริการตรวจสอบการรับ-ส่งสิ่งของจาก Home Service Applications ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ที่รักการช็อปปิ้งออนไลน์ รวมถึง Trendy Wash เปลี่ยนการหยอดเหรียญเครื่องซักผ้าให้กลายเป็นการชำระเงินออนไลน์ ด้วยระบบการเติมเงินซักผ้าใน   E-wallet ที่มาพร้อมกับความสะดวกสบายแบบเต็มพิกัดด้วยระบบแจ้งเตือนอัตโนมัติเมื่อเครื่องซักผ้าเสร็จ ซึ่งเริ่มนำร่องใช้งานแล้วที่โครงการ เดอะ ไลน์ จตุจักร หมอชิต เป็นต้น 7.การปักธง 3 ปี สู่ “Dream Place to Work” ซึ่งนำแนวคิดระดับโลก “Agile” (เอจาวล์) พลิกโฉมองค์กรรับยุคมิลเลนเนียล ฉีกกฏการทำงานแบบเดิมให้คล่องตัวและมีประสิทธิภาพขึ้น เพิ่มประสิทธิภาพพัฒนาโครงการและบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้ารวดเร็วขึ้นสูงสุดได้ถึง 20% บริษัทตั้งเป้ายอดขายคอนโดมิเนียมในปี 2561 ไว้ที่ 30,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 43% จากเป้าหมายคอนโดมิเนียมที่ตั้งไว้ในปีก่อนซึ่งคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ตามที่ตั้งไว้ โดยบริษัทเตรียมเปิดการขายโครงการ เดอะ ไลน์ วงศ์สว่าง คอนโดมิเนียมโครงการแรกของแสนสิริ ที่สร้างเสร็จก่อนขาย และเป็นคอนโดมิเนียมโครงการล่าสุดภายใต้การร่วมทุนระหว่างแสนสิริ – บีทีเอส จำนวนทั้งสิ้น 1,287 ยูนิต มูลค่าโครงการ 4,600 ล้านบาท ชูจุดเด่นติด MRT วงศ์สว่าง สร้างเสร็จก่อนขาย ตกแต่งครบพร้อมอยู่ พร้อม Facility กว่า 6,000 ตารางเมตรที่มีถึง 14 ฟังก์ชันการใช้งาน ออกแบบตอบโจทย์ครบทุกความต้องการ ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.99 ล้านบาท ทั้งนี้ โครงการคอนโดมิเนียม เดอะ ไลน์ วงศ์สว่าง (The LINE Wongsawang) ภายใต้แนวคิด Selection is Everything นับเป็นคอนโดมิเนียมโครงการที่ 12 ภายใต้ความร่วมมือระหว่างบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS เป็นคอนโดมิเนียมในรูปแบบ High Rise ความสูง 36 ชั้น สร้างเสร็จพร้อมอยู่ บนที่ดินประมาณ 7 ไร่ ห้องพักอาศัยแบ่งเป็นรูปแบบ 1 Bedroom และ 2 Bedrooms โดยมีขนาดเริ่มต้นที่ 28 – 55.75 ตารางเมตร ในแบบ Fully Fitted พร้อมชุดสุขภัณฑ์ชุดครัว และเครื่องปรับอากาศ โครงการตั้งอยู่ใจกลางของย่านวงศ์สว่าง ติดสถานีรถไฟฟ้า MRT วงศ์สว่าง จุดเชื่อมต่อที่สามารถเข้าถึงใจกลางเมืองได้อย่างรวดเร็ว ตอบโจทย์ชีวิตหลากสไตล์  เพียง 15 นาที ถึง อารีย์, จตุจักร, เซ็นทรัลลาดพร้าว อีกทั้งยังอยู่ใกล้จุดขึ้น-ลงทางด่วนศรีรัช สิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการภายใต้พื้นที่กว่า 6,000 ตารางเมตร ประกอบด้วย 14 ฟังก์ชันการใช้งานที่ออกแบบตอบโจทย์ครบทุกความต้องการภายใต้แนวคิด “ก้อนเมฆ” ซึ่งใช้เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบสถาปัตยกรรม ให้ความรู้สึกเคลื่อนไหวบนความสงบนิ่ง ที่นี่จึงเป็นที่ที่บรรจบของการอยู่อาศัยอย่างมีคุณภาพ พร้อมส่วนกลาง เช่น Lobby, Mail room, Swimming Pool ความยาว 50 เมตร, Kid’s pool, Floating Sunken Seat, Co-Working Space, Co-Kitchen Space, Kid’s Room,Sky cinema, Fitness, Skylounge พร้อมสวนพักผ่อน, สวนลอยฟ้า, Wifi ในพื้นที่ส่วนกลาง, EV Charger, CCTV, Access Card Control พร้อมรปภ. 24 ชม. นอกจากนี้ยังมีบริการ “Nasket” หรือช้อปปิ้งออนไลน์ เตรียมให้บริการแก่ลูกค้าในโครงการเดอะ ไลน์ วงศ์สว่างเป็นโครงการแรกพร้อมโปรโมชั่น ผูกปิ่นโต กับ S&Pสำหรับลูกค้าโครงการเดอะ ไลน์ วงศ์สว่างโดยเฉพาะอีกด้วย เตรียมเปิดพรีเซลล์ในวันที่ 17 – 18 มีนาคมนี้ ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.99 ล้านบาท สอบถามข้อมูลโครงการโทร. 1685 หรือ www.sansiri.com
เอสซีฯ รุกตลาดEEC มูลค่า 1,500 ล้านบาท นำร่อง“เพฟ บ้านโพธิ์-ฉะเชิงเทรา” พรีเซลส์ 24-25 มี.ค.นี้

เอสซีฯ รุกตลาดEEC มูลค่า 1,500 ล้านบาท นำร่อง“เพฟ บ้านโพธิ์-ฉะเชิงเทรา” พรีเซลส์ 24-25 มี.ค.นี้

นายมงกุฎ  เตโชฬาร รองหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านพัฒนาทรัพย์สินแนวราบ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า SC ได้ลงทุนและพัฒนาโครงการบ้านแบรนด์เพฟ ขยายฐานไปยังตลาดต่างจังหวัดที่ฉะเชิงเทรา  มูลค่าโครงการรวม 1,500 ล้านบาท นอกจากรองรับการเติบโตของส่วนแบ่งตลาดแนวราบกลุ่มนี้ในช่วงปี 2561-2563 ยังได้ทำการศึกษาข้อมูลเรื่องที่อยู่อาศัยจังหวัดฉะเชิงเทราในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา (2557-2560) พบว่าส่วนใหญ่ตลาดบ้านมีสัดส่วนมากสุดประมาณ 74% และมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 70%  ดังนั้นเพื่อรองรับดีมานด์ที่ขยายตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว จากการเคลื่อนย้ายแหล่งงาน และการขยายตัวของการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมโซนตะวันออก ซึ่งในอนาคตจะมีการขยายการลงทุนในภาคอุตสาหกรรมซึ่งจะส่งผลให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่เพิ่มขึ้นและเกิดความต้องการที่อยู่อาศัยใหม่ ๆ ในอนาคต จึงได้นำร่องเปิดโครงการแรก “เพฟ บ้านโพธิ์-ฉะเชิงเทรา วันที่ 24-25 มีนาคม สำหรับโครงการใหม่อีกแห่งจะมีการเปิดตัวในเร็วๆ นี้ ทั้งนี้จากข้อมูลภาพรวมตลาดอสังหาฯโดยสำนักงานเพื่อการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (สกรศ.)  ในปี 2560 โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ Eastern Economic Corridor (EEC) โครงการเมกะโปรเจกต์ภายใต้นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ที่ต้องการจะพัฒนาพื้นที่และโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ของเขตเศรษฐกิจบริเวณภาคตะวันออกของไทยให้มีความสามารถในการแข่งขันที่สูงขึ้น เอสซีฯ จึงมองทิศทางการลงทุนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภาคตะวันออกมีทิศทางเป็นบวก และมีแนวโน้มการขยายตัวของดีมานด์ที่อยู่อาศัยในอนาคต เนื่องจากพื้นที่ภาคตะวันออกกำลังเป็นที่จับตามองของกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ โดยขณะนี้เริ่มมีผู้ประกอบการรายใหญ่ เริ่มทยอยเข้ามาลงทุนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา ถือว่าเป็นทำเลที่เป็น ฮับแห่งภาคตะวันออก มีจุดเด่นเรื่องเส้นทางที่เป็นใจกลางระหว่างการขนส่งจากภาคตะวันออกเข้าสู่กรุงเทพฯ และทำเลที่ตั้งอยู่บนเส้นถนนหลักรับมาจากมอเตอร์เวย์อีกทั้งยังเชื่อมได้ทั้งทางด่วนบูรพาวิถี พร้อมทั้งมีรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่จะมาเชื่อมต่อในอนาคตอันใกล้อีกด้วย โครงการ เพฟ บ้านโพธิ์-ฉะเชิงเทรา (PAVE Ban Pho-Chachoengsao) มีพื้นที่โครงการกว่า 36 ไร่ มูลค่าโครงการ 750 ล้านบาท  จำนวน 144ยูนิต ขนาดพื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 168-217 ตร.ม. เริ่ม 4 ล้านต้น  เป็นบ้านเดี่ยวรุ่นใหม่สไตล์ Modern ด้วยการออกแบบภายในและภายนอกที่มีเอกลักษณ์ ทันสมัย คุ้มค่าทุกพื้นที่ใช้สอยด้วยฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์และความเป็นส่วนตัว เต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการพักผ่อน  ภายใต้ แนวคิด Staycation Home  พร้อมมีแบบบ้าน 3 แบบให้เลือก ได้แก่ 1. LINEAR  ขนาดพื้นที่ใช้สอย 168 ตรม. 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ 2. CIRCLE ขนาดพื้นที่ใช้สอย 178 ตรม. 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ 3. INFINITY ขนาดพื้นที่ใช้สอย 217 ตรม. 5 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ ตั้งอยู่ติดถนนสุขุมวิท ฉะเชิงเทรา 314 เส้นหลักที่มุ่งหน้าเข้าตัวเมือง รองรับการขยายตัวและความต้องการที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ด้วยสาธารณูปโภคต่างๆเช่น  ศูนย์การค้า  สถาบันการศึกษาชั้นนำและโรงพยาบาล เชื่อมต่อถนนเส้นหลักสามารถเข้าเมืองและเป็นจุดเชื่อม กรุงเทพและชลบุรี ใกล้สถานีรถไฟ กรุงเทพลาดกระบัง-ฉะเชิงเทราและสถานีรถไฟความเร็วสูงในอนาคต พร้อมด้วย Facilities สมบูรณ์แบบ เช่น คลับเฮ้าส์, สระว่ายน้ำระบบเกลือ, ห้องฟิตเนส, สวนส่วนกลาง และระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. ด้วย Premium Security , การเข้า-ออกโครงการผ่านระบบ Easy Pass  และควบคุมด้วยCCTV กล้องวงจรปิด  พร้อมสัญญาณกันขโมยในตัวบ้านทั้งหลังแบบ Magnetic ส่งสัญญาณเตือนไปยังศูนย์รักษาความปลอดภัย และรวมไปถึงบริการหลังการขายคุณภาพมาตรฐานโดยเอสซี แอสเสทฯ พร้อมเปิดพรีเซลส์ตั้งแต่ 24-25 มีนาคมนี้เป็นต้นไป สำหรับผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิพิเศษได้ที่ www.scasset.com หรือโทร.1749
ไนท์แฟรงค์ ชี้ย่านพระราม 9 ศักยภาพใหม่โฮมออฟฟิศ

ไนท์แฟรงค์ ชี้ย่านพระราม 9 ศักยภาพใหม่โฮมออฟฟิศ

นายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า ทำเลบริเวณพระราม 9, รามคำแหง, ประดิษฐ์มนูธรรม (เอกมัย-รามอินทรา)และศรีนครินทร์ นับเป็นทำเลศักยภาพแห่งใหม่ของการพัฒนาโฮมออฟฟิศ เนื่องจากใกล้ตัวเมืองและเป็นเขตรอยต่อของย่านธุรกิจ ย่านรัชดา, พระราม9, ทองหล่อและสุขุมวิท  อีกทั้งใกล้สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์, มอเตอร์เวย์, ทางด่วนฉลองรัช และทางด่วนศรีรัช โดยทำเลนี้ยังใกล้ห้างสรรพสินค้า เดอะไนน์พระราม9, เดอะมอลล์รามคำแหง และโรงพยาบาลชั้นนำอย่าง โรงพยาบาลสมิติเวชศรีนครินทร์, โรงพยาบาลรามคำแหง รวมถึงสถานศึกษาสำคัญ เช่น มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ, มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต, มหาวิทยาลัยรามคำแหง, มหาวิทยาลัยนานาชาติแสตมฟอร์ด, โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนาโครงการรถไฟฟ้าถึง 3 สายที่เข้ามาเติมเต็มความสมบูรณ์ให้กับทำเลนี้ ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง (คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปี 2563), รถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน บางซื่อ-หัวหมาก (คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปี 2563) และรถไฟฟ้าสายสีส้ม ตลิ่งชัน-มีนบุรี (คาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปี 2566) สำหรับอุปทานตลาดโฮมออฟฟิศบริเวณพระราม 9 – รามคำแหง – ประดิษฐ์มนูธรรม – ศรีนครินทร์ จากปี 2554 จนถึง ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ปี 2561 มีจำนวนอุปทานสะสมทั้งสิ้น 1,461 หน่วย โดยปีที่มีอุปทานเข้าสู่ตลาดมากที่สุดในปี 2557 ซึ่งมีโครงการโฮมออฟฟิศเปิดใหม่ถึง 512 หน่วย จากผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และรายเล็กในตลาด อย่างไรก็ตาม อุปทานใหม่ตั้งแต่ปี 2558 – 2560 อยู่ในระดับคงตัวเฉลี่ย 215 หน่วยต่อปี ในขณะที่ 2 เดือนแรกของปี 2561 นั้น มีอุปทานใหม่เข้ามาในพื้นที่ศึกษาเพียง 8 ยูนิต เป็นที่น่าสังเกตุว่าเฉพาะปี 2557 อุปทานกว่า 60% อยู่ในพื้นที่รามคำแหง-ประดิษฐ์มนูธรรม คาดการว่าเกิดจากความตื่นตัวของผู้ประกอบการที่ได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มในช่วงสองปีก่อนหน้านี้ รูปภาพ 1 อุปทานสะสมของโครงการโฮมออฟฟิศบริเวณพระราม 9-รามคำแหง-ประดิษฐ์มนูธรรม -ศรีนครินทร์ ที่มา : ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย รูปภาพ 2 อุปทานสะสมของโครงการโฮมออฟฟิศบริเวณพระราม 9-รามคำแหง-ประดิษฐ์มนูธรรม-ศรีนครินทร์ ตั้งแต่ปี 2554 – ก.พ. 2561 แบ่งตามพื้นที่ ที่มา : ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย อย่างไรก็ตาม เมื่อเจาะลึกลงไปที่อุปทานใหม่เฉพาะโฮมออฟฟิศระดับไพร์ม ซึ่งมีราคาขายต่อยูนิต 20 ล้านบาทขึ้นไป มีเพียง 149 ยูนิตเท่านั้นที่เปิดตัวระหว่างปี 2554 – ก.พ. 2561 โดย 47% ของอุปทานใหม่ทั้งหมดตั้งอยู่ในทำเลพระราม 9 ในขณะที่อีก 42% และ 11% ตั้งอยู่ในทำเลรามคำแหง-ประดิษฐ์มนูธรรม และศรีนครินทร์ ตามลำดับ ซึ่งโฮมออฟฟิศระดับไพร์มนี้ทั้งหมดตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพสูง สามารถเดินทางเชื่อมต่อไปยังจุดต่างๆของเมืองได้อย่างสะดวกสบาย รายล้อมไปด้วยสาธารณูปโภคสาธารณูปการครบครัน มีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 450 - 1,140 ตร.ม. เนื้อที่ดินขนาดตั้งแต่ 39 – 120 ตร.ว.ต่อยูนิต และมีหน้ากว้างเฉลี่ย 6-11 ม. ส่วนใหญ่มีลิฟต์โดยสาร สวน รวมถึงมีพื้นที่จอดรถได้มากกว่า 6 คันต่อยูนิต รูปภาพ 3 อุปทานโฮมออฟฟิศระดับไพร์ม ราคา 20 ล้านบาทขึ้นไปต่อยูนิต ในพื้นที่พระราม 9 - รามคำแหง - ประดิษฐ์มนูธรรม - ศรีนครินทร์ 2554 - ก.พ. 2561 ที่มา : ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย ด้านอุปสงค์โฮมออฟฟิศที่เปิดขายในย่านพระราม 9-รามคำแหง-ประดิษฐ์มนูธรรม-ศรีนครินทร์นั้น ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้ซื้อ โดยโครงการที่เปิดตัวระหว่างปี 2556 – เดือนกุมภาพันธ์ปี 2561 มีอัตราการขายเฉลี่ย ณ ปัจจุบันประมาณ 80% ในขณะที่โครงการที่เปิดตัวระหว่างปี 2554 – 2555 นั้นปิดไปการขายไปหมดแล้ว ส่วนโครงการที่เปิดตัวใหม่ในปี 2560 มีอัตราการขายเฉลี่ยประมาณ 70% และด้านแนวโน้มตลาดที่บ่งชี้ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าอสังหาริมทรัพย์ประเภทโฮมออฟฟิศเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆสำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ต้องการมีสำนักงานขนาดเล็กของตนเอง ในทำเลใกล้ศูนย์กลางธุรกิจและสิ่งอำนวยความสะดวกสบายอื่นๆ รูปภาพ 4 อุปสงค์โดยเฉลี่ย ณ สิ้น ก.พ. 2561 ของโครงการโฮมออฟฟิศบริเวณพระราม 9-รามคำแหง-ประดิษฐ์มนูธรรม-ศรีนครินทร์ ที่เปิดขายตั้งแต่ปี 2554 – ก.พ. 2561 แบ่งตามพื้นที่ ที่มา : ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย ตาราง 1 ราคาขายเริ่มต้นโดยเฉลี่ยของโครงการโฮมออฟฟิศบริเวณพระราม 9-รามคำแหง-ศรีนครินทร์ แบ่งตามปีที่เปิดตัว (หน่วย: บาท/ตารางเมตร) ที่มา : ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย ในด้านราคาขายเริ่มต้นโดยเฉลี่ยของโครงการโฮมออฟฟิศที่เปิดตัวใหม่ ณ ปี 2560 ในพื้นที่ศึกษา อยู่ที่ตารางเมตรละประมาณ 50,300 บาท โดยโครงการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่พระราม 9 มีราคาขายเริ่มต้นโดยเฉลี่ยต่อตารางเมตรอยู่ที่ประมาณ 67,500 บาท ในขณะที่โครงการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่รามคำแหงและศรีนครินทร์ มีราคาขายเริ่มต้นโดยเฉลี่ยต่อตารางเมตรอยู่ที่ประมาณ 34,600 บาท และ 49,000 บาท ตามลำดับ  ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาเฉพาะโฮมออฟฟิศระดับไพร์มในพื้นที่ศึกษา ซึ่งมีราคาขายต่อยูนิตตั้งแต่ 20 ล้านบาทขึ้นไป และเปิดตัวในปี 2560 มีระดับราคาขายเริ่มต้นโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 63,300 ต่อตารางเมตร รูปภาพ 5 ค่าเช่าและอัตราการเช่าของตึกสำนักงานในพื้นที่พระราม 9 – รัชดาภิเษก (เฉพาะตึกใหม่อายุไม่เกิน 10 ปี) ที่มา : ไนท์แฟรงค์ประเทศไทย เมื่อวิเคราะห์รวมไปถึงตลาดอาคารสำนักงานให้เช่าในพื้นที่เดียวกัน โดยพิจารณาเฉพาะตึกที่มีอายุไม่เกิน 10 ปี พบว่าอัตราค่าเช่าเพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึงปีละ 6% และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นทุกปี การเป็นเจ้าของโฮมออฟฟิศจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจมากสำหรับผู้ประกอบการ เนื่องจากช่วยลดต้นทุนค่าเช่าพื้นที่สำนักงาน และควบคุมค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างดีในระยะยาว        
แสนสิริ จับมือไมโครซอฟท์-เอไอเอส เปิดตัว‘Mixed Reality (MR)’ ครั้งแรกในไทย!

แสนสิริ จับมือไมโครซอฟท์-เอไอเอส เปิดตัว‘Mixed Reality (MR)’ ครั้งแรกในไทย!

แสนสิริ ไมโครซอฟท์ และเอไอเอส เปิดตัวที่สุดนวัตกรรมเชื่อมโลกจริง และเสมือนจริง ‘Mixed Reality (MR)’ เป็นครั้งแรกของประเทศไทย กับ “MR Sales Gallery” จำลองสภาพแวดล้อมให้ลูกค้าได้สัมผัสบรรยากาศของโครงการที่พักอาศัยได้แบบอินเทอร์แอ็คทีฟด้วยฟังก์ชันในการออกแบบและปรับเปลี่ยนห้องตัวอย่างได้ในทุกมุมมอง สร้างประสบการณ์การซื้อที่อยู่อาศัย ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยี บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แสนสิริมุ่งมั่นวิสัยทัศน์ Siri LifeTech ในการเป็นผู้นำทางด้านเทคโนโลยี ซึ่งได้ร่วมมือกับบริษัทผู้นำทางด้านไอที ไมโครซอฟท์และ เอไอเอส ร่วมมอบประสบการณ์ที่เหนือระดับแก่ลูกค้า โดยเปิดตัวสุดยอดนวัตกรรมเชื่อมโลกจริงและเสมือนจริง Mixed Reality (MR)  มาใช้เป็นครั้งแรกในไทยกับ  “MR Sales Gallery” จำลองสภาพแวดล้อมให้ลูกค้าได้สัมผัสบรรยากาศของโครงการที่พักอาศัยได้แบบอินเทอร์แอ็คทีฟ  ด้วยฟังก์ชันในการออกแบบและปรับเปลี่ยนห้องตัวอย่างได้ในทุกมุมมอง ซึ่งดิจิทัลแพลตฟอร์ม MR จะช่วยสร้างความแปลกใหม่และยกระดับประสบการณ์การซื้อที่อยู่อาศัยในวงการอสังหาริมทรัพย์ให้ล้ำไปอีกขั้น ขณะเดียวกัน MR ก็จะช่วยต่อยอดองค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีให้กับพันธมิตรเอไอเอสและไมโครซอฟท์ เสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอย่างต่อเนื่องอีกด้วย เทคโนโลยี Mixed Reality (MR) คือ การผสานจุดเด่นของเทคโนโลยี Virtual Reality (VR) และ Augmented Reality (AR) เข้าด้วยกัน และต่อยอดให้เหนือชั้นไปอีกขั้นด้วยการสร้างภาพจำลองที่ผู้ใช้งานสามารถมีปฏิสัมพันธ์ตอบได้ในสภาพแวดล้อมที่ผสานโลกจริงและโลกเสมือนจริงเป็นหนึ่งเดียว โดยเมื่อลูกค้าเข้าเยี่ยมชมห้องตัวอย่างดิจิทัล ลูกค้าจะต้องสวมอุปกรณ์ holographic computing devices ที่ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษ เพื่อให้สามารถแสดงผลของภาพเสมือนจริงหรือภาพ Hologram ได้โดยไม่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ใดๆ ทั้งยังออกแบบให้ควบคุมได้ง่ายด้วยมือเปล่า ซึ่งจะทำให้ผู้สวมใส่เสมือนกำลังเดินอยู่ในสถานที่จริงของโครงการซึ่งสร้างเสร็จแล้ว ขณะเดียวกันก็ปรับแต่งการออกแบบและฟังก์ชันต่างๆ ได้ตามความต้องการของแต่ละบุคคลไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนย้าย เปลี่ยนขนาดเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งต่าง ๆ เปลี่ยนสี เปลี่ยนวัสดุชมทัศนียภาพจากหน้าต่างเหมือนดังสถานที่จริง ตลอดจนปรับบรรยากาศได้ตามแต่ละช่วงเวลา ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยให้ลูกค้าสามารถเห็นภาพจำลองของโครงการได้อย่างสมจริง ทั้งยังสอดรับเทรนด์ Customization ตามแนวคิดของแสนสิริในการพัฒนาสินค้าและบริการตามแนวความคิด customer-centric ที่รังสรรค์สินค้าและบริการตามความพึงพอใจและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของลูกค้า นอกจากนี้ ลูกค้ายังสามารถบันทึกรูปแบบของห้องตัวอย่างที่ตนเองได้สร้างสรรค์ขึ้นเป็นไฟล์ภาพ หรือวีดิโอเพื่อประกอบการตัดสินใจแทนโบรชัวร์โครงการในอดีต "โซลูชั่น Mixed Reality (MR) จะกลายเป็นนวัตกรรมสำคัญที่จะขับเคลื่อนกลยุทธ์ทางการตลาดและขายโครงการ ช่วยยกระดับประสบการณ์ในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ให้เหนือชั้นยิ่งกว่าเคย และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และช่วยอำนวยความสะดวกในการขายลูกค้าตลาดต่างประเทศ ซึ่งจะสามารถเยี่ยมชมโครงการได้แม้ไม่ได้เดินทางมาด้วยตัวเองในสถานที่จริง เพื่อเป็นข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจซื้อได้อย่างแม่นยำ รวดเร็วยิ่งขึ้น" ดร. ทวิชา กล่าว ซึ่งแสนสิริมีแผนการในการนำร่องใช้งานห้องตัวอย่างดิจิทัล กับโครงการแสนสิริในเดือนกรกฎาคม 2561 นี้ และหลังจากนั้นจะมีการพัฒนาฟีเจอร์และการใช้งานในรูปแบบใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่องสำหรับการร่วมมือกันในครั้งนี้ ถือเป็นจุดเริ่มต้นในการต่อยอดนวัตกรรมระหว่างพันธมิตร ข้ามอุตสาหกรรมให้เกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม และนำไปสู่การต่อยอดความเป็นพันธมิตรในระยะยาว เพื่อเดินหน้าพัฒนาต่อยอดโซลูชั่นและร่วมหาความเป็นไปได้ของนวัตกรรมอื่นๆ ที่จะมาเติมเต็ม Complete Living Experience ประสบการณ์การอยู่อาศัยของลูกค้าอย่างสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จุดมุ่งหมายของไมโครซอฟท์คือการเสริมศักยภาพให้กับทุกคนและทุกองค์กรทั่วทุกมุมโลก เชื่อว่าเทคโนโลยี Mixed Reality จะเป็นเทคโนโลยีที่สามารถผสมผสานโลกดิจิทัลกับโลกแห่งความจริงเข้าไว้ด้วยกันได้อย่างลงตัว ต่อยอดจินตนาการได้อย่างเหนือชั้น และจะมีบทบาทสำคัญอย่างมาก ในการเชื่อมต่อความคิดของผู้คนเข้าไว้ด้วยกัน เปิดโอกาสให้เราได้สัมผัสกับความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่เหนือทุกความคาดหมาย สร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า ซึ่งจะทำให้เกิดรูปแบบใหม่ๆ ในการดำเนินธุรกิจที่อาศัยจุดเด่นและเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนใครจากเทคโนโลยีนี้อีกด้วย นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไป บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ด้วยวิสัยทัศน์ของเอไอเอส ในการนำศักยภาพด้านเครือข่ายและเทคโนโลยีดิจิทัล มาขยายบทบาทสู่การเป็น Digital Platform ของประเทศ เพื่อเป็นแกนกลางสนับสนุนการทำงาน ของพันธมิตรในทุกภาคส่วน ทุกอุตสาหกรรม ร่วมกันสร้างสรรค์นวัตกรรมดิจิทัลอันทันสมัย ขยายขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคธุรกิจ สร้างการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัลในภาพรวมของประเทศ รวมถึงยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับลูกค้าและประชาชนคนไทยได้อย่างยั่งยืน จึงเป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญที่จะนำความเชี่ยวชาญของทั้ง 3 บริษัทชั้นนำจาก 3 วงการ เพื่อเปิดประสบการณ์การอยู่อาศัยครั้งใหม่ โดยเอไอเอสได้พัฒนาดิจิทัลแพลตฟอร์มใหม่ที่ล้ำสมัยอย่าง Mixed Reality หรือ MR ที่ Customized ขึ้นมาด้วยทีมงานเอไอเอสผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีดิจิทัล และมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการตอบโจทย์ประสบการณ์การซื้อที่อยู่อาศัย ของคนยุคใหม่ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยครั้งนี้ เราได้นำเทคโนโลยี MR มาประยุกต์ใช้ในห้องตัวอย่างในรูปแบบดิจิทัลให้กับทางแสนสิริ เพื่อมอบประสบการณ์เสมือนจริงยิ่งกว่า ในการเลือกชมและเลือกซื้อที่อยู่อาศัยที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง พลิกโฉมรูปแบบการชมห้องตัวอย่างจากเดิมที่เคยมีมา " ดิจิทัลแพลตฟอร์ม MR จะสามารถตอบโจทย์การทำธุรกิจ สร้างความแตกต่างและเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นการก้าวไปอีกขั้น ในฐานะผู้สร้างสรรค์ Digital Platform เพื่อทุกธุรกิจ ซึ่งเอไอเอสมีศักยภาพความพร้อมทั้งด้าน Digital Infrastructure และทีมงานผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงพันธมิตรด้านเทคโนโลยีระดับโลกอย่างไมโครซอฟท์ ซึ่งมี Azure Cloud Platform ที่ทำให้ทีมงานของเอไอเอส สามารถออกแบบและ Customized ดิจิทัลโซลูชั่นส์และบริการใหม่ๆ ให้สอดคล้องกับลักษณะธุรกิจแต่ละประเภทโดยเฉพาะ ซึ่งเป็นการสร้าง Business Model ใหม่ๆ ให้กับตลาดอีกด้วย” นายปรัธนา กล่าว
The Element Rama 9 โฮมออฟฟิศหรู 5 ชั้น ใจกลางเมือง เริ่มต้น 26.9 ล้านบาท

The Element Rama 9 โฮมออฟฟิศหรู 5 ชั้น ใจกลางเมือง เริ่มต้น 26.9 ล้านบาท

ด้วยเพราะซัพพลาย(Supply)ที่ดินในเมืองหรือกรุงเทพชั้นในที่จะถูกนำมาพัฒนานั้นเหลือน้อยอีกทั้งยังราคาได้ขยับเพิ่มขึ้นสูง ส่งผลให้ทั้งราคาของ  Residential และ Office ให้เช่าในเมืองปรับราคาขึ้นสูงมาอย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 10 % และ5 % (ตามลำดับ) ดังนั้น Home Office ที่อยู่ตามรอยต่อพื้นที่กรุงเทพชั้นในนั้นจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ จุดประกายให้ดิเวลลอปเปอร์หน้าใหม่ บริษัท แลนด์มาร์ค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เปิดตัวโครงการ The Element Rama 9  จุดขาย โฮมออฟฟิศหรู 5 ชั้น บนทำเลที่มีศักยภาพสูงสุด เดินทางสะดวกไม่ว่าจะเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิ หรือ อโศก ทองหล่อ เอกมัย ใช้เวลาเพียง 15 นาที ใกล้ the nine  พัฒนาภายใต้คอนเซปต์  “home office design Modern Luxury” รองรับพนักงานได้ประมาน  25-30 คน ที่จอดรถ 6-8 คัน  เริ่มต้นที่ 26.9 ล้านบาท  ที่ตอบโจทย์ ไทยแลนด์ 4.0 นายธนะสิทธิ์ เฟื่องไพศาล กรรมการผู้จัดการบริษัท แลนด์มาร์ค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เปิดเผยว่า โครงการ The Element Rama 9 เกิดจากความตั้งใจที่จะทำให้โครงการนี้ตอบโจทย์สำหรับนักธุรกิจรุ่นใหม่ผู้ที่ต้องการขยายธุรกิจในทำเลที่มีศักยภาพแบ่งพื้นที่ใช้สอยเพื่อทำงานและอยู่อาศัยอย่างลงตัวรองรับพนักงานได้ประมาน  25-30 คน พร้อมกับ Design Modern Luxury โดยใช้รูปทรงสีเหลี่ยมเรียบง่าย แต่เพิ่มมิติให้ตัวอาคารด้วยการใช้วัสดุที่หลากหลาย ทั้งเหล็ก ปูน กระจก และไม้ มีพื้นที่ธรรมชาติในบ้านหลายส่วน เริ่มจากชั้น1 เป็นที่จอดรถซึ่งจอดรถได้ถึง 6-8 คันและส่วนของ Reception  เพื่อใช้ต้อนรับผู้มาติดต่อ ชั้น 2 ออกแบบให้มีระเบียงกว้างกระถางต้นไม้ที่มีความลึกพอปลูกต้นไม้ใหญ่ได้ เพื่อบรรยากาศที่เป็นธรรมชาติที่ร่มรื่นในส่วนชั้นสำนักงาน รวมถึง ชั้น3,4 พื้นที่ ภายในที่เว้นไว้สำหรับปรับพื้นที่ให้เข้ากับความต้องการการใช้งานให้ตรงกับลักษณะของธุรกิจที่ทางลูกค้าต้องการ ชั้น 5 หรือชั้นบนสุดที่เป็นส่วน Master Bedroom จะมีระเบียงขนาดใหญ่สำหรับจัดสวนชั้นดาดฟ้า เพื่อพักผ่อนหย่อนใจในสวนได้อย่างเป็นส่วนตัว จุดเด่นโครงการ The Element Rama 9 “ทำเล” ที่ตั้งโครงการอยู่ถนนพระราม 9 ตัดใหม่เดินทางสะดวกไม่ว่าจะเดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิ หรือ อโศก ทองหล่อ เอกมัย ใช้เวลาเพียง 15 นาที ใกล้  เดอะ ไนน์  พระราม 9 เพียง 150 เมตร และยังแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น ๆทั้งโรงเรียน มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล ร้านอาหาร และห้างสรรพสินค้าชั้นนำต่างๆ เป็นต้น นอกจากนี้ยังอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ มอเตอร์เวย์ ทางด่วนพระราม 9 และทางด่วนศรีรัชอีกด้วย อนาคตยังมีสาธารณูปโภคพื้นฐานอย่างรถไฟฟ้าถึง 3 สายมาเติมเต็มความสมบูรณ์ให้ทำเลนี้ในอนาคตอันใกล้ โดยรถไฟฟ้าทั้ง 3 สายได้แก่   รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลาดพร้าว – สำโรง (คาดว่าแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปี 2563) ,รถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน บางซื่อ – หัวหมาก (คาดว่าแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปี 2563) และรถไฟฟ้าสายสีส้ม ตลิ่งชัน – มีนบุรี (คาดว่าแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการในปี 2566) คุณภาพของสินค้า…และดีไซน์“ตอบโจทย์”นักธุรกิจรุ่นใหม่  จากที่ Research ข้อมูลพบว่าพื้นที่ละแวกนี้มีคนทำ office ในบ้านค่อนข้างมากแต่เป็นการดัดแปลงพื้นที่ตัวบ้านมาเป็นออฟฟิศซึ่งทำให้พื้นที่ใช้สอยไม่ลงตัวนัก การดีไซน์ “โครงการ The Element Rama 9” ให้ได้ครบทุกฟังก์ชั่นการใช้สอยทั้งพื้นที่ใช้สอยเพื่อทำงานและอยู่อาศัยอย่างลงตัว และการเลือกใช้วัสดุอุปรณ์ที่มีคุณภาพเพิ่มมิติให้กับตัวอาคารสร้างความแตกต่างอย่างมีสไตล์ จึงตอบโจทย์นักธุรกิจรุ่นใหม่ หรือผู้ที่ต้องการขยายธุรกิจในทำเลที่มีศักยภาพ ความเหมาะสมของ “ราคา” ด้วยเพราะถนนเส้นนี้อยู่ใกล้ย่านอโศก ทองหล่อ เอกมัย เขตุ CBD ที่มีการปรับขึ้นของราคาที่ดินอย่างต่อเนื่องทุกๆปี ที่นี่ “โครงการ The Element Rama 9” ซึ่งตั้งอยู่ในเขตรอยต่อของย่านธุรกิจและที่อยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบ จึงคุ้มค่าทั้งในวันนี้และในอนาคตที่จะลงทุนเป็นเจ้าของ โดยเปลี่ยนค่าเช่าเป็นการผ่อนธนาคาร ตอบโจทย์รสนิยมเหนือระดับของนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จ ที่ต้องการสร้างความสมดุลชีวิตที่ลงตัว ทั้ง  Working life และ Serenity Living ด้วยการจัดสรรพื้นที่เพื่อตอบโจทย์การใช้งาน ผสานรูปแบบสถาปัตยกรรม ที่สอดคล้องกับธรรมชาติ “ผมมองว่าคนที่ทำธุรกิจ size m ที่มีกำลังซื้อและอยากขยายธุรกิจหรือมองหา ที่ทำงานในทำเลที่ดีและอยู่อาศัยในที่เดียวกันอย่างลงตัวพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันนั้นยังมีอีกมากและตัดสินใจไม่ยากที่จะเปลี่ยนจากการจ่ายค่าเช่าเป็นผ่อนกับทางธนาคารเพื่อซื้อขาด” ธนะสิทธิ์  กล่าวพร้อมกับระบุว่า Product นี้น่าจะรองรับความต้องการในตลาดนี้ได้เป็นอย่างดี โดยหลังบริษัทฯ เปิดตัวโครงการฯ เมื่อ เดือน สิงหาคมปี2559 ได้รับผลตอบรับที่ดีจากกลุ่มเอสเอ็มอีและสตาร์ทอัพ “ขณะที่ยังเป็นดิน ราคาเริ่มต้นที่ 22.9 ล้านบาท โดยปัจจุบันการก่อสร้าง Home Office ในเฟสแรกจำนวน 14 หลังเกือบแล้วเสร็จ   ได้ปรับราคาเริ่มต้นเป็น  26.9 ล้านบาท ตามกลไกตลาดและราคาที่ดินในย่านดังกล่าวที่ขยับตัวสูงขึ้นมาก”นายธนะสิทธิ์ กล่าว สำหรับโครงการ The Element Rama 9 (ดิ เอเลเมนท์ พระราม 9) มูลค่าโครงการ 700 ล้านบาท พื้นที่โดยรวม 4 ไร่ เฟสแรก 2 ไร่ เพียง 14 ยูนิต ขณะนี้ปิดการขายได้แล้ว 50% ของทั้งโครงการ ด้าน product segmentเป็น Home office หรือ Luxury home ระดับ high end รองรับกลุ่มเป้าหมายที่มองเห็นถึงศักยภาพของที่ดินและมีกำลังซื้อสูง จุดขาย The Latest Masterpiece on the best location ผลงานระดับพรีเมี่ยมบนทำเลศักยภาพผืนสุดท้าย ลักษณะเป็นโฮมออฟฟิศ 5 ชั้น ระดับพรีเมี่ยมสไตล์ Modern Luxury พร้อมลิฟท์ส่วนตัว ใจกลางพระราม 9 ห่างจาก เดอะ ไนน์ เพียง 150 เมตร ตอบโจทย์รสนิยมเหนือระดับของนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จ ที่ต้องการสร้างความสมดุลชีวิตที่ลงตัว ทั้ง Working life และ Serenity Living ด้วยการจัดสรรพื้นที่เพื่อตอบโจทย์การใช้งาน ผสานรูปแบบสถาปัตยกรรม ที่สอดคล้องกับธรรมชาติ ชั้น 1 เปิดให้เห็นความกว้างของส่วนต้อนรับ ด้วยดีไซน์ที่เรียบโก้จากเส้นสายและวัสดุ หน้ากว้าง 7.5 เมตร พร้อมที่จอดรถ 6-8 คัน พร้อมส่วน Reception Space เมื่อเข้ามาในอาคาร ชั้น 2 พื้นที่ Working Space ให้รูปแบบการทำงานที่เปิดโล่ง ตอบโจทย์และรองรับการจัดสรรพื้นที่ เพื่อการทำงานได้หลากหลายรูปแบบ, ระเบียงกว้าง ใช้งานได้จริง โดดเด่นด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ให้ความร่มรื่น ขั้น 3 พื้นที่สำหรับห้องประชุมที่จะรับรองลูกค้าระดับ Exclusive และ Executive Office ของเจ้าของธุรกิจ แยกเป็นสัดส่วน ครบทุกฟังก์ชัน, ศูนย์กลางที่สร้างสมดุลของบริษัทสู่ความสำเร็จกับลูกค้าที่หลากหลาย, Meeting Area ห้องประชุมที่ลงตัว จุดเริ่มต้นของความคิดสร้างสรรค์ ผลงานที่ดีเพื่อพัฒนาต่อยอดความสำเร็จอย่างมั่นคง ชั้น 4-5  มุมพักผ่อนส่วนตัว Eternity & Personal Life ที่มีสไตล์ Modern & Leisure ปรับโหมดการพักผ่อนส่วนตัวอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อคุณภาพชีวิตที่เหนือกว่า, โครงการฯ ที่นี่แบ่งชั้น 4 เป็นส่วนห้องรับประทานอาหารขนาด 10 ที่นั่งและห้องครัวขนาดพอดี ที่จัดสรรพื้นที่ใช้สอยอย่างลงตัว ส่วนชั้น 5 ชั้นสูงสุดเหนือระดับ คือ ห้องนอนหลัก ใหญ่กว้างขวาง ดีไซน์เพื่อการใช้ชีวิตอย่างเต็มรูปแบบ      
ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัวทาวน์โฮมใหม่สุดชิล ไลโอ บลิสซ์ รังสิต – คลองหลวง

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัวทาวน์โฮมใหม่สุดชิล ไลโอ บลิสซ์ รังสิต – คลองหลวง

  บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) เปิดขาย ไลโอ บลิสซ์ รังสิต – คลองหลวง ทาวน์โฮมโครงการใหม่สุดชิค บนทำเลใจกลางย่านรังสิต-คลองหลวง เฟสแรก กระแสตอบรับดีเกินคาด เตรียมเปิดขายเฟสใหม่ ต้นเดือนมีนาคมนี้ เผยผลสำรวจตลาดที่อยู่ ย่านรังสิต-คลองหลวง มีดีมานด์สูง ขานรับศักยภาพทำเลรถไฟฟ้าสายสีแดง สีเขียว และแหล่งงานนิคมอุตสาหกรรมนวนคร     นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) เปิดเผยว่า ในเดือนกุมภาพันธ์นี้ บริษัทฯ เปิดขายพรีเซล โครงการ ไลโอ บลิสซ์ รังสิต - คลองหลวง (Lio Bliss Rangsit - Klongluang) ทาวน์โฮม โครงการใหม่ มีผลตอบรับที่ดี สามารถปิดการขายเฟสแรก ล่าสุด บริษัทฯ จะเปิดขายพรีเซล เฟสใหม่ 10-11 มีนาคม นี้ เพื่อรองรับความต้องการของผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่ใหม่ในพื้นที่ ซึ่งยังมีอัตราที่สูง เพราะศักยภาพของทำเลมีความน่าสนใจ ใกล้แหล่งชุมชน และมีสิ่งอำนวยความสะดวก มีแหล่งงานรายล้อมมากมาย รวมถึงตัวโครงการมีฟังก์ชั่นที่ตรงกับความต้องการของตลาดที่สุด     ทั้งนี้ ไลโอ บลิสซ์ รังสิต – คลองหลวง ทาวน์โฮมฟังก์ชั่นบ้านเดี่ยว ขนาด 4 ห้องนอน 2 ที่จอดรถส่วนตัว ใกล้ฟิวจอร์ พาร์ค รังสิต เพียง 2 นาที จากถนนพหลโยธิน เริ่มเพียง 1.89 ล้านบาท (Pre Sale ราคาพิเศษ รับส่วนลด 200,000 บาท) มีจุดเด่นด้วยทำเลพื้นที่โครงการอยู่ใกล้แหล่งชุมชน และมีสิ่งอำนวยความสะดวก มีแหล่งงานรายล้อมหลากหลาย อาทิ ศูนย์ราชการอำเภอคลองหลวง นิคมอุตสาหกรรมนวนคร ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต และแวดล้อมด้วยสถาบันการศึกษา อาทิ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เป็นต้น นับว่าพื้นที่มีไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยที่สะดวกสบายครบครันอย่างยิ่ง     สำหรับแบบบ้าน มีให้เลือก 2 แบบ คือ ทาวน์โฮม บลอสซัม (BLOSSOM) ขนาดพื้นที่ 21.4 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 125 ตร.ม. มาพร้อมฟังก์ชั่น 4 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ พร้อมห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุ หรือห้องเอนกประสงค์ และห้องครัว ราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท   ทาวน์โฮม บลูม (BLOOM) ขนาดพื้นที่ 17.60 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 105 ตร.ม.  ขนาด 3 ห้องนอน เหนือกว่าด้วยห้องนอนใหญ่กว้างเต็มหน้า 5.7 ม.และพื้นที่แต่งตัว 2 ห้องน้ำ 1 ที่จอดรถ พร้อมห้องครัวพื้นที่ขนาดใหญ่เป็นสัดส่วน ส่วนนั่งเล่นต่อเนื่องส่วนทานอาหาร ราคาเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท     นอกจากนี้โครงการดีไซน์โดดเด่นสไตล์โมเดิร์น เป็นเอกลักษณ์ผสานความเรียบหรูอย่างลงตัว ภายใต้แนวคิด Luxury -Grand Excellent พร้อมสวนสาธารณะขนาดใหญ่ พื้นที่สีเขียวของโครงการ มากกว่า 1,863 ตรม. ตกแต่งไม้พุ่มในสวนมีความลงตัวและสไตล์ระหว่างความโมเดิร์นและความทันสมัยของการออกแบบสวน ทำให้ได้สวนที่มีสีเขียวของต้นไม้ใหญ่และสีสันที่สดใสของไม้พุ่มสร้างความร่มรื่นให้กับผู้พักอาศัย   นายชูรัชฏ์ กล่าวว่า ผลสำรวจตลาดที่อยู่ พื้นที่โซนกรุงเทพฯ ตอนเหนือ โดยเฉพาะบริเวณถนนพหลโยธิน ต่อเนื่องยาวถึงถนนคลองหลวงช่วงคลอง 1 ถึงคลอง 4 ปทุมธานี-รังสิต มีแนวโน้มการเติบโตของที่อยู่อาศัยมากขึ้น เพราะด้วยศักยภาพของพื้นที่ ซึ่งเป็นทั้งประตูสู่เมืองหลวง ภาคอีสาน ภาคเหนือ และภาคตะวันออก ทำให้พื้นที่กรุงเทพฯ ตอนเหนือเป็นเป้าหมายการพัฒนาที่สำคัญด้านการคมนาคมเส้นทางใหม่ โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีเขียว (ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) และสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต-ม.ธรรมศาสตร์) ที่มีกำหนดสร้างเสร็จในปี 2563 ทำให้การเชื่อมต่อไปยังพื้นที่ชั้นในของกรุงเทพฯ ได้อย่างสะดวกรวดเร็วไม่แพ้ทำเลอื่น มีการพัฒนาและขยายเลนถนนขนาดกว้างขวาง อยู่ใกล้แหล่งชุมชน แหล่งจ้างงานในนิคมอุตสาหกรรมและสถาบันอุดมศึกษาขนาดใหญ่หลายแห่ง     สำหรับกลุ่มผู้บริโภคนั้น ส่วนใหญ่เป็นพนักงานบริษัท คนทำงาน และกลุ่มนักศึกษา ตลาดจนถึงคนพื้นเพครอบครัวเดิมอยู่ในพื้นที่ หรือกลุ่มผู้อยู่อาศัยที่ขยับขยายจากบ้านหลังเดิม โดยรูปแบบโครงการที่มีความนิยมอย่างมากยังคงเป็นกลุ่มโครงการระดับกลางบน-กลางล่าง และรูปแบบการพัฒนาโครงการจะเน้นแนวราบทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ทาวน์โฮม ฯลฯ   ผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่ใหม่ สนใจ ไลโอ บลิสซ์ รังสิต - คลองหลวง สามารถลงทะเบียนออนไลน์รับส่วนลด 20,000 บาท (จำนวนจำกัด) จองแปลงสวยทำเลหน้าโครงการ โซนติดสวน ก่อนใครคลิก!  http://www.lalinproperty.com/promotion/KlongLuang-1217 หรือติดต่อเข้าชมโครงการ โทร.065-510-6045-6 หรือ Call Center โทร 1778 และเว็บไซต์ www.lalinproperty.com Line @LalinSociety      
เอวายบีรุกหนักบ้านสไตล์รีสอร์ท  เปิดตัว2แบบ ลด 12 % รับงานมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งที่ 38

เอวายบีรุกหนักบ้านสไตล์รีสอร์ท เปิดตัว2แบบ ลด 12 % รับงานมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งที่ 38

อยุธยา สร้างบ้าน เดินหน้าแผนธุรกิจเปิดตัวแบบบ้านใหม่  2 สไตล์ New C-House  และ New Similan ครั้งแรกในงาน" Home Builder & Materials Focus 2018 " ที่ศูนย์ประชุมสิริกิติ์ 15-18 มี.ค.นี้ คาดยอดขายปีนี้มีแนวโน้มเติบโตดี นายธีร์ บุญวาสนา กรรมการผู้จัดการ บริษัท อยุธยา สร้างบ้าน จำกัด ผู้นำธุรกิจรับสร้างบ้านในสไตล์ รีสอร์ท (Resort Home) มากว่า 18 ปี  ภายใต้แบรนด์ “AYB RESORTHOUSE”(เอวายบี รีสอร์ท เฮาส์) เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านไตรมาสแรกปี 2561 มีแนวโน้มที่ดี ปัจจัยจากภาวะเศรษฐกิจประเทศที่มีการเติบโต ทั้งการท่องเที่ยวเติบโตต่อเนื่อง และการส่งออกปรับตัวดีขึ้น ตลอดจนการบริโภคในประเทศที่พื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ สร้างยอดจองสร้างบ้านแล้วกว่า 30 ล้านบาท สะท้อนถึงกำลังซื้อในตลาดที่ปรับตัวดีขึ้น โดยในปีนี้ตั้งเป้ารายได้ 180 ล้าน เติบโต 8 % ดังนั้น บริษัทวางแผนเดินหน้ารุกตลาดรับสร้างบ้านสไตล์รีสอร์ทอย่างต่อเนื่อง โดยเปิดตัวแบบบ้านใหม่เพิ่ม  2 แบบ ประกอบด้วย New C-House และ New Similan  ที่ออกแบบใหม่ เพื่อให้ตอบโจทย์พื้นที่แห่งความสุขที่ให้ได้มากกว่า ด้วยรูปแบบบ้านสไตล์รีสอร์ท (Resort House Design) ที่ทันสมัยในรสนิยมที่แตกต่างไม่เหมือนใคร พร้อมการตกแต่งพื้นที่ภายนอกที่ถูกออกแบบให้เป็นบ้านรีสอร์ทที่สมบูรณ์แบบ สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ชื่นชอบการอยู่อาศัยในแบบบ้านที่เหมาะสมกับตนเอง "กลุ่มเป้าหมายของบริษัทที่ชื่นชอบบ้านสไตล์รีสอร์ท จากฐานข้อมูลที่บริษัทได้สำรวจ จะเป็นกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ กลุ่มอาชีพเฉพาะ เช่น แพทย์ นักลงทุน รูปแบบบ้านจะเน้นไปที่ Function และ Lifestyle การอยู่อาศัยมากกว่า style ของบ้านที่หรูหราหรืออลังการ  ส่วนใหญ่ต้องการบ้านอยู่อาศัยนอกเมืองสไตล์รีสอร์ทที่จะทำให้การใช้ชีวิตที่ต้องการบรรยากาศแห่งการพักผ่อน" นายธีร์กล่าว ทั้งนี้ จะเปิดตัวแบบบ้านใหม่ 2 แบบครั้งแรกในงาน" Home Builder & Materials Focus 2018 " ระหว่างวันที่ 15-18 มีนาคม 2561 ณ.ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ บูธ A15/3 พร้อมกับส่วนลดและโปรโมชั่นสุดพิเศษทุกแบบบ้าน เช่น รับส่วนลดพิเศษ 12% ในการจองบ้านหลังแรกของแต่ละแบบบ้าน และลุ้นจับฉลากส่วนลดเพิ่ม 200,000 บาท 1 รางวัล  พร้อมเลือกอัพเกรดวัสดุพรีเมียม  เพื่อตอบสนองความสุขของการอยู่อาศัย  ช่องแสงหน้าต่างขนาดใหญ่ที่สูงถึง 2.60 เมตร ที่จะเปิดมุมมองความสุขที่มากกว่าและใช้กระจกลามิเนต กันเสียงและป้องกันความร้อน ,ผนังภายนอกเป็นอิฐมวลเบาหนา 20 ซม ป้องกันความร้อนและควบคุมเสียงรบกวนจากภายนอกอาคาร  ฉนวนกันความร้อนและกันเสียงรบกวนจากภายนอก ที่ฝ้าเพดานและหลังคา วัสดุตกแต่ง ภายนอกที่ออกแบบให้ดูดีมีสไตล์ ตามแบบฉบับของบ้านไสตล์รีสอร์ท (เฉพาะลูกค้าที่เลือกวัสดุแบบ Premium Top ) เพื่อเป็นการกระตุ้นการตัดสินใจสร้างบ้านในช่วงไตรมาสแรกของปี  โดยงานครั้งนี้ คาดว่าจะเพิ่มโอกาสในการขายหรือขยายฐานลูกค้าใหม่ๆ ที่สนใจบ้านแนวโฮมรีสอร์ท สำหรับรายละเอียดแบบบ้านใหม่ทั้ง 2 แบบนั้น นายธีร์เผยว่า   New C-House เป็นแบบบ้าน 2 ชั้น 5 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ ที่ออกแบบการวางผังให้เป็นตัว U โดยเปิดมุมมองของทุกพื้นที่ภายในบ้าน ให้เชื่อมโยงสัมผัสบรรยากาศ ด้วยพื้นที่สวนกลางบ้าน ซึ่งจะเป็นพื้นที่ทำกิจกรรมร่วมกันของสมาชิกในบ้าน โดยการออกแบบคำนึงถึงการสร้างความสุขในการอยู่ร่วมกัน ภายใต้บรรยากาศที่ผ่อนคลาย มีความเป็นส่วนตัว มีธรรมชาติแวดล้อม ให้อารมณ์บรรยากาศรีสอร์ท การออกแบบภายนอกเน้นความเรียบง่ายมีรสนิยม เพิ่มความโดดเด่นด้วยเนินที่สร้างบรรยากาศคล้ายกับบ้านบนเชิงเขา การเลือกใช้วัสดุธรรมชาติผสมผสานอย่างลงตัว มีการออกแบบให้มีเปิดช่องเปิดขนาดใหญ่ในพื้นที่ที่จะเชื่อมโยงบรรยากาศธรรมชาติกลางบ้าน และปิดทึบในพื้นที่ที่ต้องการความเป็นส่วนตัว เพื่อให้ตอบสนองการอยู่อาศัยในทุกพื้นที่ใช้สอยได้อย่างเหมาะสม ในขณะนี้ แบบบ้าน New Similan เหมาะกับพื้นที่ขนาดใหญ่มีความโดดเด่นด้วยแบบบ้าน 3 ชั้น 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ ที่จอดรถ  3 คัน ออกแบบให้มีรูปลักษณ์ภายนอกที่สง่างามและทันสมัย  มีการเล่นระดับลดหลั่นของพื้นที่ให้มีความงดงามลงตัว การวางผังให้พื้นที่บ้านโอบล้อมสระว่ายน้ำและชานกลางลานบ้าน ให้มีความเป็นส่วนตัวของพื้นที่ส่วนกลางของครอบครัวที่จะสร้างความสุขให้ทุกๆวัน โดยการเปิดมุมมองที่ดีของทุกพื้นที่ภายในบ้านสู่สระว่ายน้ำกลางบ้านด้วยหน้าต่างกระจกบานใหญ่ มีการออกแบบให้ใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่าและเชื่อมโยงทุกพื้นที่ให้ใช้ชีวิตได้อย่างต่อเนื่อง ทุกส่วนภายในบ้านถูกออกแบบให้มีการถ่ายเทอากาศได้อย่างดี   ไม่สะสมความร้อนภายในบ้าน โอ่โถงด้วยฝ้าภายในบ้านทุกชั้นที่สูง 2.80 ม. พื้นที่ชั้น 3 ทั้งชั้นเป็นห้องนอนใหญ่ที่มีพื้นที่พักผ่อน ห้องน้ำและห้องแต่งตัวขนาดใหญ่ที่ให้ความเป็นส่วนตัว ตอบโจทย์ความต้องการของสมาชิกที่อยู่อาศัยได้อย่างครบสมบูรณ์ ผู้ที่สนใจสามารถติดตามข้อมูลและกิจกรรมของบริษัท อยุธยา สร้างบ้าน จำกัดได้ที่ www.ayb.co.th หรือติดตามในหน้าเพจ Facebook : https://www.facebook.com/aybuilder/
ฮาบิแทท กรุ๊ป ปั้นลักชัวรี่คอนโด “วาลเด้น อโศก” รุกตลาดไฮเอนด์ย่าน CBD กรุงเทพ

ฮาบิแทท กรุ๊ป ปั้นลักชัวรี่คอนโด “วาลเด้น อโศก” รุกตลาดไฮเอนด์ย่าน CBD กรุงเทพ

ฮาบิแทท กรุ๊ป ทุ่มงบ 2,500 ล้านบาท ปั้นแบรนด์ลักชัวรี่คอนโดฯ “วาลเด้น” รุกตลาดไฮเอนด์ย่าน CBD ในกรุงเทพฯ ประเดิมโครงการแรก “วาลเด้น อโศก” พรีเมี่ยมคอนโดเพื่อพักอาศัย และลงทุนย่านอโศก ราคาเริ่มต้น 5.9-11 ล้านบาท เจาะกลุ่มเป้าหมาย Expat ญี่ปุ่นและจีน และนักลงทุนในอสังหาฯ คาดผลตอบแทนจาก Capital Gain สูงถึง 6-10% ต่อปี และผลตอบแทนการเช่า 4-6% ต่อปี มั่นใจ จะได้ผลตอบรับดีทันทีที่เปิดขาย นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ฮาบิแทท กรุ๊ป เดินหน้ารุกตลาดลักชัวรี่คอนโดมิเนียมในย่าน CBD เป็นครั้งแรก โดยใช้งบทุนรวมกว่า 2,500 ล้านบาท ปั้นแบรนด์ลักชัวรี่คอนโดฯ ภายใต้ชื่อ “วาลเด้น” โดยได้ฤกษ์ประเดิมเปิดตัวโครงการแรก “วาลเด้น อโศก” (Walden Asoke) คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์เพื่อการอยู่อาศัยและการลงทุนระดับลักชัวรี่ จำนวน 7 ชั้น 83 ห้อง ตั้งอยู่บนพื้นที่กรรมสิทธิ์ในซอยสุขุมวิท 23  ใกล้จุดร่วมการเดินทางระหว่างสถานีรถไฟฟ้า BTSอโศกและสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สุขุมวิท เพียง 700 เมตร นอกจากนี้ ยังสามารถเชื่อมโยงการเดินทางไปที่แอร์พอร์ตเรียลลิงค์ได้อีกด้วย ซึ่งช่วยทำให้การเดินทางไปยังพื้นที่ต่างๆ รอบกรุงเทพฯ และปริมณฑลเป็นไปได้อย่างสะดวกรวดเร็ว โดยมีแบบห้องให้เลือกถึง 7 แบบตามความต้องการ ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 31 –  65 ตารางเมตร ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้วางแผนเริ่มก่อสร้างในไตรมาสที่ 4 ปี 2561 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในกลางปี2563 โดยมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 5.9 - 11 ล้านบาท สำหรับแนวคิดในการออกแบบโครงการ “วาลเด้น อโศก” สะท้อนรูปแบบการใช้ชีวิตที่ทันสมัย ขณะเดียวกันก็อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของธรรมชาติผ่านวัสดุประเภทหิน ไม้ และต้นไม้สีเขียวชอุ่มทอดยาวจากพื้นดินสู่ชั้นดาดฟ้า สถาปัตยกรรมจากไม้ธรรมชาติไม่มีที่สิ้นสุดจรดทางเดินไปสู่พื้นที่กว้างขวาง ให้ความรู้สึกเป็นอิสระหลีกหนีจากความวุ่นวายของชีวิตในเมือง สำหรับการดีไซน์ของห้องแต่ละแบบจะมีดีไซน์และฟังก์ชั่นการใช้งานที่ไม่ซ้ำกันเพื่อการปรับจูนให้ตรงตามสไตล์ของผู้อยู่อาศัย อาทิ การเพิ่มพื้นที่เพดานสูงเพื่อให้ความรู้สึกโอ่โถง โปร่งสบาย หรือจัดให้มีสวนหย่อมเพื่อการพักผ่อนส่วนตัว นอกจากนี้ มีพื้นที่การใช้ที่หลากหลายเพื่อยกระดับไลฟ์สไตล์ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ได้แก่ ห้องนั่งเล่น ห้องนอน ห้องครัว รวมถึงพื้นที่ทำงาน ฟังก์ชั่นการใช้งานของห้องสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ โดยมีการตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์ทันสมัย และมีคุณภาพสูงจากแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชั้นนำ ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการฯ ประกอบด้วย ห้องออกกำลังกาย ห้องสมุด มุมอร่อยกับบาบีคิวของครอบครัว เชื่อมโยงไปยังสนามเด็กเล่น สระว่ายน้ำร้อนและน้ำเย็น และสวนหย่อมสำหรับการพักผ่อนหย่อนใจ มุม VICHY วารีบำบัดที่ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดของใจและกายอย่างเต็มที่ด้วยวิถีแบบเซน พร้อมที่จอดรถอัตโนมัติซึ่งช่วยประหยัดเวลาในการหาที่จอดรถ  พิเศษสุดสำหรับบริการ “Walden Privilege” แท็บเล็ตอัจฉริยะ ซึ่งเป็นนวัตกรรมที่จะช่วยอำนวยความสะดวกในการจับจ่ายของใช้ในซุปเปอร์มาร์เก็ตให้ส่งตรงถึงหน้าประตูบ้านของคุณ รวมไปถึงบริการแม่บ้านทำความสะอาด สั่งอาหาร และบริการชำระบิลต่างๆ ได้ง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัสอีกด้วย “วาลเด้น อโศก นับเป็นโครงการแรกของฮาบิแทท กรุ๊ป ที่รุกตลาดคอนโดนิเนียมระดับพรีเมี่ยมเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ หลังจากลงหลักปักฐานอยู่ที่เมืองพัทยามานานกว่า 5 ปี โดยครั้งนี้ เราปักหมุดทำเลทองย่าน “อโศก” ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น CBD ศูนย์กลางธุรกิจของย่านสุขุมวิทเพียงหนึ่งเดียวที่มีความสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และมีศักยภาพที่ดีเยี่ยมในด้านการเดินทาง การพัฒนาธุรกิจการค้าต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มอาคารสำนักงาน หรือรีเทล กลุ่ม Mixed-use เพื่อรองรับเศรษฐกิจที่กำลังเจริญเติบโต รวมถึงการพัฒนาด้านที่อยู่อาศัยในย่าน CBD ยังคงมีดีมานด์อยู่อย่างต่อเนื่อง ด้วยเหตุผลที่ทำเลอโศกไม่เพียงแต่เป็นแค่ทำเลที่อยู่อาศัย แต่ยังเป็นทำเลที่มีองค์ประกอบครบถ้วน ทั้งสถานทูต โรงแรม 5 ดาว ออฟฟิศสำนักงานและแหล่งช้อปปิ้งชั้นนำ แหล่งท่องเที่ยวและบันเทิง สถานศึกษาชื่อดังทั้งไทยและนานาชาติ  โรงพยาบาลชั้นนำหลายแห่ง และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งเราจะเห็นการพัฒนาทั้งอาคารสำนักงาน ที่อยู่อาศัย รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นที่สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตในเมืองได้เป็นอย่างดี และถือเป็นทำเลที่สามารถดึงดูดการพัฒนาได้อย่างไม่รู้จบ” นายชนินทร์ กล่าว ทั้งนี้ หากพิจารณาในแง่ของการลงทุนทั้งจากการปล่อยเช่าและการถือครองระยะยาว ทำเลอโศกนี้ถือว่ามีศักยภาพในแง่การลงทุนสูงจากดีมานด์ใหม่ๆ ที่เพิ่มขึ้น ทั้งชาวไทยและต่างชาติที่ย้ายมาอยู่อาศัยตามสถานที่ทำงาน โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นและชาวจีน ซึ่งมีสัดส่วนการอยู่อาศัยในทำเลนี้สูงถึง 70-80% รวมไปถึงนักลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งถือเป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของฮาบิแทท กรุ๊ป โดยจากสำรวจการเพิ่มขึ้นของราคา (Capital Gain) และอัตราผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า (Rental Yield) ของคอนโดมิเนียมในทำเลอโศก พบว่า ทำเลนี้มีอัตราการเพิ่มขึ้นของราคา (Capital Gain) อยู่ที่ประมาณ 6-10% ต่อปี และได้ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าอยู่ที่ประมาณ 4-6% ต่อปี “สำหรับโครงการ “วาลเด้น อโศก” นับเป็นลักชัวรี่คอนโดมิเนียมที่เหมาะสมอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ต้องการที่พักอาศัยในทำเลที่เดินทางได้สะดวกที่สุดในกรุงเทพใกล้กับแหล่งสำนักงานชั้นนำ พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและระบบสาธารณูปโภคครบครัน รวมถึงเป็นโครงการที่น่าดึงดูดใจสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อเพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ โดยฮาบิแทท กรุ๊ป มีบริษัท ฮาบิแทท ฮอสพิทอลลิตี้ จำกัด บริษัทในเครือ ซึ่งมีทีมงานมืออาชีพที่สามารถให้คำปรึกษาด้านการบริหารการเช่า เพื่อให้ผู้ลงทุนมั่นใจได้ว่าจะสามารถได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม และได้รับประโยชน์สูงสุดอย่างแน่นอน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมั่นใจว่า ด้วยศักยภาพของทำเลอันร้อนแรงแห่งนี้จะสามารถดึงดูดความสนใจจากผู้ซื้อ และนักลงทุน พร้อมทั้งสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวอย่างแน่นอน” นายชนินทร์ กล่าวทิ้งท้าย ทั้งนี้ ฮาบิแทท กรุ๊ป จะจัดกิจกรรมพรีเซลล์โครงการ “วาลเด้น อโศก” สำหรับผู้สนใจเยี่ยมชมและทราบรายละเอียดโครงการ ระหว่างวันที่ 24-25 มีนาคมนี้ ที่โรงแรมพูลแมน สุขุมวิท โดยสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.habitatgroup.co.th
เปิดขาย“เซาธ์ ทาวเวอร์ แอท วัน คราวน์ เพลส” เมืองไทยแห่งแรก 10-11 มี.ค.นี้

เปิดขาย“เซาธ์ ทาวเวอร์ แอท วัน คราวน์ เพลส” เมืองไทยแห่งแรก 10-11 มี.ค.นี้

กลุ่มบริษัทอัลลอย เอ็มทีดี (AlloyMtd) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก จากประเทศมาเลเซีย เตรียมเปิดขาย “เดอะ เซาธ์ ทาวเวอร์ แอท วัน คราวน์ เพลส” (The South Tower at One Crown Place) เรสซิเด้นซ์สุดหรูภายในโครงการมิกซ์ยูส “วัน คราวน์ เพลส” ใจกลางลอนดอน เปิดโอกาสนักลงทุนไทยเป็นแห่งแรกในเอเชีย เปิดขายรอบพิเศษ 10 – 11 มีนาคมนี้ ที่โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ นายเฮนรี่ โรบินสัน กรรมการบริหารและพัฒนาโครงการ วัน คราวน์ เพลส เปิดเผยว่า “วัน คราวน์ เพลส” โครงการมิกซ์ยูสหรู ตั้งอยู่บน “ซันสตรีท” (Sun Street) เขตอนุรักษ์ทางประวัติศาสตร์ของกรุงลอนดอน ประกอบด้วย อพาร์ตเมนต์ที่อยู่อาศัย 246 ยูนิต, โรงแรมบูติคระดับ5 ดาว, พื้นที่อาคารสำนักงานระดับพรีเมี่ยม ขนาด 130,007 ตารางเมตร (140,000 ตารางฟุต), พื้นที่ร้านค้า 650 ตารางเมตร (7,000 ตารางฟุต) และระเบียงจอร์เจีย(Georgian Terrace) เป็นส่วนหนึ่งของตัวโครงการฯ โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 39,500,000 บาท หรือ 888,000 ปอนด์ สำหรับห้องชุดประเภท 1 ห้องนอน ปัจจุบัน โครงการได้ดำเนินงานรื้อถอน  งานก่อสร้าง ฐานราก และงานขุดเจาะชั้นใต้ดินเสร็จสิ้นแล้ว โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จและสามารถเข้าอยู่ได้ภายในปี 2563 “โครงการที่พัฒนาขึ้นตอบโจทย์ความชอบนักลงทุนชาวไทยเป็นอย่างดี โดยอพาร์ตเมนต์ชุดนี้มีราคาเริ่มต้นจาก 38 ล้านบาทถึง 377 ล้านบาทสำหรับห้องชุดที่ออกแบบโดย Sophie Ashby คาดว่า โครงการนี้จะเป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับผู้ซื้อ ทั้งที่ซื้อ      เพื่อประโยชน์ของตนเอง หรือเพื่อประโยชน์ของบุตรหลานที่กำลังศึกษาอยู่ในสหราชอาณาจักร นอกจากนั้น ยังจะดึงดูดนักลงทุนเนื่องจากผลวิจัยทิศทางอสังหาริมทรัพย์ในลอนดอนชี้ว่า จะให้ผลตอบแทนสูงถึง 16.7% รวมถึงอัตราค่าเช่าที่สูงขึ้นถึง 4.66%  ซึ่งเราคาดว่า งานพรีเซลล์ในวันที่ 10 – 11 มีนาคมนี้ จะประสบความสำเร็จอย่างมาก" นายเฮนรี่ กล่าว ปัจจัยเหล่านี้จะนำไปสู่การเติบโตของตลาดอพาร์ตเมนต์ระดับไฮเอนด์ (High End Residential) ใจกลางกรุงลอนดอน โดยผลการวิจัยของซีบีอาร์อีคาดว่า ในช่วงปี 2560 - 2564 การเติบโตของเงินทุนจะเพิ่มขึ้นถึง 16.7% ซึ่งนับเป็นผลตอบแทนสูงกว่าสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น ทองคำ น้ำมัน และตลาดหุ้น นอกจากนั้น การลงทุนในที่อยู่อาศัยในลอนดอน ยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าประเภทสินทรัพย์อื่น ๆ ทั้งหมดในระยะกลางถึงระยะยาว และได้พิสูจน์แล้วว่า เป็นการลงทุนที่ยืดหยุ่นและเป็นรูปธรรมมากที่สุด โดยในส่วนของนักลงทุนไทยและนักลงทุนรายอื่น ๆ จากทั่วโลกมีความสนใจที่จะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในกรุงลอนดอน เนื่องจากสหราชอาณาจักรเป็นที่พำนักที่ปลอดภัยด้วยระบบกฎหมายที่โปร่งใส มีเขตเวลาที่เหมาะสำหรับการติดต่อสื่อสารและการพาณิชย์ระหว่างประเทศ, อุปทานของที่อยู่อาศัยยังไม่เพียงพอกับความต้องการ, ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอันยาวนานของกรุงลอนดอน และใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากล โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ จำนวนนักลงทุนในภูมิภาคเอเชียเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินปอนด์ ทั้งนี้ กฎหมายของสหราชอาณาจักรทำให้นักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้ง่าย การถือครองกรรมสิทธิ์ในสัญญาเช่า (Leasehold) ที่มีความยาว 999 ปีเป็นที่น่าสนใจมาก และมีผลในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสหราชอาณาจักร ไม่เพียงแต่ดึงดูดผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัย แต่ยังดึงดูดผู้ซื้อจากทั่วโลกที่เน้นการลงทุนอีกด้วย ดังนั้น นักลงทุนไทยจะมีโอกาสได้รับผลกำไรจากการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในลอนดอน โดยเฉพาะผู้ที่ส่งบุตรหลานไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นนักเรียนชาวต่างชาติที่เข้ามาศึกษาในสหราชอาณาจักรมากเป็นอันดับที่ 7 จากทั่วโลก และมักใช้เวลาเรียนอย่างน้อย 4 หรือ 5 ปี ซึ่งเป็นแรงจูงใจในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยมากกว่าการเช่า นอกจากนี้ หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้วอสังหาริมทรัพย์เหล่านั้นจะได้รับผลกำไรจากการเติบโตอย่างยั่งยืนของเงินทุนระยะยาวในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงลอนดอน นายที คิม เซียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทอัลลอย เอ็มทีดี กล่าวว่า อาคารแห่งนี้มีอัตราค่าเช่าที่สูงเป็นพิเศษและมีพื้นที่เช่าที่ต่ำ ไม่เพียงแต่ในปัจจุบันเท่านั้นยังรวมถึงในอนาคตอีกด้วย จะเห็นได้ว่า ย่านการเงินของกรุงลอนดอนมีประชากรอยู่อาศัยต่ำมากเพียง 8,000 คน แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงของร้านอาหารและวัฒนธรรมในพื้นที่นี้ ทำให้เหล่านายธนาคารและทนายความ เลือกที่จะอยู่ในเมืองลอนดอนมากขึ้น มากกว่าในพื้นที่ดั้งเดิมอย่างเคนซิงตันและเชลซี ดังนั้น “วัน คราวน์ เพลส” จะกลายเป็นสถานที่ที่เติมเต็มชีวิตในทุก ๆ วันของผู้อยู่อาศัย ทั้งการเดินทางที่สะดวกสบายด้วยทำเลที่ตั้งของการคมนาคมท้องถิ่นหลายเส้นทาง รวมถึง Crossrail เส้นทางใหม่ Elizabeth Line ที่จะเปิดให้บริการในปีนี้ ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินฮีทโทรว (Heathrow Airport) เพียง 33 นาที และสามารถเดินทางไปยังแหล่งช้อปปิ้งชั้นนำของโลก อาทิ Bond Street, Broadgate Circle, Old Silicon Roundabout, Spitalfields Market และ Shoreditch ศูนย์กลางการสร้างสรรชื่อดัง เพียง 7 นาที  นอกจากนั้น ยังตั้งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยชื่อดังและใกล้ย่านบริษัทชั้นนำของลอนดอนหลายแห่ง และพิเศษสุด คนไทยจะเป็นกลุ่มแรก ๆ ที่มีโอกาสได้ครอบครองสุดยอดโครงการที่เป็นแลนด์มาร์คแห่งนี้ อนิึ่ง โครงการ “วัน คราวน์ เพลส” ได้รับการออกแบบโดยนักออกแบบชั้นนำชาวอังกฤษ Kohn Pedersen Fox Associates (KPF) บริษัทออกแบบเจ้าของรางวัลชนะเลิศด้านสถาปัตยกรรมระดับนานาชาติ ประกอบด้วย อาคารสูงตระหง่าน 2 อาคาร มีชั้นสูงสุดอยู่ที่ชั้นที่ 33  ทั้งสองอาคาร โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ของ “ระเบียงจอร์เจีย” ที่สวยงาม ซึ่งเป็นที่สุดท้ายในละแวกนี้ที่ได้รับการบูรณะให้ยังคงความสมบูรณ์ของสถาปัตยกรรมดั้งเดิม ซึ่งจะกลายเป็นคลับเฮาส์ของผู้อยู่อาศัยและโรงแรมบูติคระดับ 5 ดาว โครงการนี้เป็นโครงการมิกซ์ยูสที่ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกระดับเวิลด์คลาสสำหรับผู้อยู่อาศัย ภายใต้การดูแลความปลอดภัย 24 ชั่วโมง ให้ความรู้สึกของแหล่งชุมชนที่มีสีสันและในขณะเดียวกันก็ยังคงความเป็นส่วนตัว  โดยสิ่งอำนวยความสะดวก ประกอบด้วย ห้องออกกำลังกายที่ทันสมัย, ห้องรับประทานอาหารแบบส่วนตัว, เลาจน์, โรงภาพยนตร์, ห้องทรีทเมนต์, สตูดิโอ และระเบียงชมวิวกว้างขวาง นอกจากนั้น แต่ละห้องชุดยังเต็มไปด้วยพื้นที่รับแสงธรรมชาติ (Light-Filled Space) ที่อบอุ่นและมีเสน่ห์ อีกด้วย ทั้งนี้ การตกแต่งภายในได้รับการออกแบบโดยความร่วมมือของบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับโลก ไดแก่ B & B Italia และ Arclinea โดยจะออกแบบห้องครัวและตู้เสื้อผ้าสุดหรูสำหรับทุกยูนิตภายใน “วัน คราวน์ เพลส”  ซึ่งจะนำเสนอมาตรฐานใหม่และคุณภาพที่โดดเด่นสำหรับโครงการระดับโลกแห่งนี้โดยเฉพาะ โดยพื้นที่ส่วนกลางและภายในอพาร์ตเมนต์จะได้รับการออกแบบโดยบริษัทตกแต่งภายในที่มีชื่อเสียงอย่าง Bowler James Brindley ในขณะที่เพนเฮ้าส์ 9 หลัง ถูกออกแบบโดย Sophie Ashby แห่ง Studio Ashby
TIF Expo 2018 งานแสดงเฟอร์นิเจอร์คุณภาพระดับส่งออก  โชว์ศักยภาพศูนย์กลางผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ภูมิภาคอาเซียน

TIF Expo 2018 งานแสดงเฟอร์นิเจอร์คุณภาพระดับส่งออก โชว์ศักยภาพศูนย์กลางผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ภูมิภาคอาเซียน

กลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผนึกกำลังภาคเอกชนโชว์ศักยภาพของผู้ประกอบการไทย ภายในงาน “Thailand International Furniture Expo 2018” นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ถือเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่สร้างรายได้ให้กับประเทศ ด้วยมูลค่าการส่งออกราว 37,000  ล้านบาทในปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภูมิภาคอาเซียน กลุ่ม CLMV เป็นตลาดที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการลงทุนในภาคส่วนต่างๆ ซึ่งผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์จากประเทศไทย ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มประเทศเหล่านี้  เนื่องจากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการผลิตและส่งออกสินค้าคุณภาพระดับสากลมาอย่างยาวนาน จึงนับเป็นโอกาสที่จะต่อยอดการขยายตัวของการส่งออกเฟอร์นิเจอร์ไปยังกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจเหล่านี้ ด้วยการพื้นฐานทางด้านการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ จากฝีมือที่ประณีต ราคาที่เหมาะสม เสริมศักยภาพด้วยการพัฒนารูปแบบให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์และความต้องการของลูกค้าในแต่ละประเทศ งาน Thailand International Furniture Expo 2018 (TIF Expo 2018) เป็นงานแสดงเฟอร์นิเจอร์ระดับนานาชาติ ซึ่งจะมีนักธุรกิจจากต่างประเทศเข้ามาเยี่ยมชมและเปิดโอกาสในการเจรจาทางธุรกิจ เกิดประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมของประเทศ เกิดการจ้างงาน และสนับสนุนกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ตอบรับทางการตลาดด้วยการสนับสนุนการจัดงานแสดงศักยภาพของกลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไทย อันเป็นศูนย์กลางการส่งออกสินค้าเฟอร์นิเจอร์ที่ยิ่งใหญ่ของอาเซียน “ภาครัฐมีการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเฟอร์นิเจอร์ พัฒนาสินค้าให้มีความแปลกใหม่ ใช้ความคิดสร้างสรรค์ผลงานและนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถก้าวสู่เวทีการค้าระหว่างประเทศได้อย่างมั่นคง พร้อมส่งเสริมนโยบายทางการตลาด ด้วยการจัดแสดงศักยภาพของ กลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไทยอันเป็นศูนย์กลางการส่งออกสินค้าเฟอร์นิเจอร์ที่ยิ่งใหญ่ของอาเซียน”นายสนธิรัตน์ กล่าว ด้านนายธนากร เกษตรสุวรรณ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ (TFIC) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานจัดงาน Thailand International Furniture Expo 2018 (TIF Expo 2018)  เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ มีส่วนสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจระดับประเทศ ด้วยศักยภาพและความพร้อม จากความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบและผลิตที่มีมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีความแข็งแกร่งของผู้ประกอบการภายใต้การรวมตัวของกลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งนับเป็นครั้งแรกและครั้งสำคัญในการผนึกกำลังของภาคเอกชนในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ ในการจัดงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติด้วยตัวเอง ด้วยการจัดงาน “Thailand International Furniture Expo 2018” (TIF Expo 2018) ภายใต้แนวคิด “The Signature of living” กำหนดจัดระหว่างวันที่ 7-11 มีนาคม 2561 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี บนพื้นที่กว่า 20,000 ตารางเมตร เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทย ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ของอาเซียน ที่มีความสามารถในการส่งออกไปในระดับโลก ภายในงานจะแบ่งเป็น 4 โซนหลัก ได้แก่ 1. โซนแสดงสินค้าจากผู้ประกอบการกว่า 100 แบรนด์ ที่รวบรวมสินค้าเฟอร์นิเจอร์หลากหลายแบบ ที่สามารถรองรับทุกความต้องการสำหรับงานตกแต่ง และยังพร้อมด้วยศักยภาพในการผลิต ในราคาที่จับต้องได้ 2. โซน Design Plant พื้นที่จัดแสดงสินค้าเฟอร์นิเจอร์ ที่ถูกคัดสรรมาแล้วว่ามีความเก๋ ดีไซน์แปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ จากเหล่าดีไซเนอร์ชั้นนำของเมืองไทย 3. โซน Young Designer Showcase พื้นที่แสดงผลงานการออกแบบของสถาบันการศึกษา ที่จะโชว์ถึงไอเดียสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ที่จะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเฟอรืนิเจอร์ของประเทศไทยในอนาคคต และ 4. โซน TIF Café by Staff Coffee พื้นที่มุมกาแฟ ที่ให้ผู้เข้าชมงานได้มีโอกาสลองสัมผัสกับสินค้าเฟอร์นิเจอร์หลากหลายแบรนด์ พร้อมดื่มด่ำไปกับรสชาติของกาแฟ นอกจากนี้ ยังมีนักธุรกิจจากต่างประเทศเข้ามาชมงานและเปิดโอกาสในการเจรจาทางธุรกิจก่อให้เกิดประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมของประเทศ สนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พร้อมทั้งมุ่งเน้นในการเผยแพร่ผลงานการออกแบบและการผลิตเฟอร์นิเจอร์ของไทยได้มีเวทีเปิดตัวสินค้าใหม่, ส่งเสริมตลาดเฟอร์นิเจอร์ของประเทศให้มีการขยายตัวมากขึ้น, สร้างโอกาสให้มีการพบปะแลกเปลี่ยนทัศนะและประสบการณ์ในธุรกิจอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง ตัวแทนจําหน่าย ห้างสรรพสินค้า นักออกแบบ สถาปนิก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนสนับสนุนธุรกิจของสมาชิก และเผยแพร่ชื่อเสียงของกลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากยิ่งขึ้น “งานTIF Expo 2018 ได้รวบรวมแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชั้นนำของเมืองไทยที่มีศักยภาพด้านการผลิตและราคาที่จับต้องได้ รวมถึงกลุ่มนักออกแบบ ที่สามารถมาหาแรงบันดาลใจ หรืออัพเดตเทรนด์การออกแบบ จากสินค้าเฟอร์เจอร์ที่มาแสดงในงาน ตลอดจนบุคคลทั่วไปที่มีความสนใจในสินค้าเฟอร์นิเจอร์ สามารถเลือกซื้องานเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์คุณภาพ ในงานจะมีการโชว์ไอเดียใหม่ๆ จากนักออกแบบและผู้ประกอบการชั้นนำ ทั้งห้องนอน ห้องรับแขก ห้องครัว หรือออฟฟิศ   มั่นใจได้กับคุณภาพระดับพรีเมียม มาตรฐานส่งออก ตอบรับความต้องการของคนรุ่นใหม่ ด้วยดีไซน์ที่ชาญฉลาด เหมาะกับการตกแต่งที่อยู่อาศัย คอนโดมิเนียม ร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ต หรือสปา ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับสถาปนิกและนักออกแบบในการสร้างสรรค์การตกแต่งด้วยไอเดียที่ไม่จำเจ รวมทั้งประชาชนที่สนใจ สามารถเข้ามาหาแรงบันดาลใจสำหรับ การเลือกเฟอร์นิเจอร์สำหรับที่อยู่อาศัยได้ภายในงานนี้” นายธนากร กล่าว ทั้งนี้ขอเชิญนักออกแบบ นักธุรกิจและผู้ที่สนใจ เข้าร่วมสร้างแรงบันดาลใจพร้อมมองหาไอเดียใหม่ๆ ภายในงาน Thailand International Furniture Expo 2018 (TIF Expo 2018) ซึ่งจะจัดขึ้นใน วันพุธที่ 7- วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม 2561 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เจรจาธุรกิจ : วันพุธที่ 7 – วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม 2561  (10.00 –18.00 น.) จําหน่ายปลีก : วันศุกร์ที่ 9 – วันอาทิตย์ที 11 มีนาคม 2561  (10.00 – 21.00 น.) และสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับงาน TIF : Thailand International Furniture Expo 2018  ได้ที่ www.facebook.com/tifexpo
BSH เปิดตัว BOSCH ชูนวัตกรรมโดดเด่น พร้อมรุกตลาดพรีเมี่ยมไทย

BSH เปิดตัว BOSCH ชูนวัตกรรมโดดเด่น พร้อมรุกตลาดพรีเมี่ยมไทย

BSH ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำจากเยอรมนี พร้อมรุกขยายตลาดพรีเมี่ยมในไทย ขนทัพ 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์ เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย เผยเชื่อมั่นคุณภาพสินค้าที่มีนวัตกรรมโดดเด่น หนุนยอดขายได้ตามเป้า นายชลวิทย์ ณ สงขลา กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีเอสเอช โฮม แอ็พพลายแอ็นซ์ จำกัด(ประเทศไทย) กล่าวว่า  ปัจจุบันอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ตามยุคสมัยโลกดิจิทัลที่อุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้านสามารถเชื่อมต่อกันได้และใช้งานง่ายในชีวิตประจำวัน “BSH” ในฐานะผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ “Bosch” ที่มียอดขายสูงสุดอันดับ 1 ในยุโรป และด้วยประสบการณ์กว่า 60 ปี มีการสรรหาเคล็ดลับใหม่ ๆ เกี่ยวกับ “Living with Bosch” ให้ผู้บริโภคได้สัมผัสนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีอันโดดเด่นกับการใช้งานง่าย ช่วยให้ชีวิตในบ้านสะดวก สบายมากขึ้น โดยการนำ 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์เข้ามาเปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ประกอบด้วย กลุ่มเครื่องซักผ้าและอบผ้า ด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยี Active Oxygen ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์ของBosch ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่สามารถฆ่าเชื้อโรคและแบคทีเรียได้ถึง 99.99% ทำให้มั่นใจได้ว่าเชื้อโรคและแบคทีเรียต่าง ๆ จะถูกขจัดออกไปโดยได้รับการรับรองจากThe Wfk (Cleaning Technology Research Institute)ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเทคโนโลยีการทำความสะอาดโดยเฉพาะนอกจากนี้ยังมีระบบเซ็นเซอร์อัจฉริยะที่เรียกว่า i-DOS สามารถกำหนดปริมาณน้ำยาซักผ้าในปริมาณที่ถูกต้องแม่นยำโดยอัตโนมัติเหมาะสมกับทุกรอบของการซัก ซึ่งจะทำให้ผ้าสะอาดหอมสดชื่นและปราศจากสารตกค้าง กลุ่มเครื่องใช้ในครัว และเตาอบที่สามารถเปลี่ยนเมนูในฝันของคุณให้เป็นจริงได้อย่างง่ายดายด้วยเทคโนโลยี 4D Hot air ช่วยให้สามารถกระจายความร้อนอย่างทั่วถึงและสม่ำเสมอ และระบบเซ็นเซอร์ Perfect Bake สามารถควบคุมค่าความร้อน เวลา ความชื้นภายในเตา และอุณหภูมิอัตโนมัติ พร้อมทั้งระบบ Perfect Roast ที่ให้การอบอาหารสมบูรณ์แบบ โดยเครื่องวัดอุณหภูมิแม่นยำและตรงจุด ทุกประเภทของเมนูอาหาร เตาอบอัจฉริยะนี้จะจัดการส่วนที่เหลืออย่างอัตโนมัติเพื่อ Perfect Results และ ผลลัพธ์ที่ได้คือ ขนมปัง ขนมเค้กขนมอบ และอาหารชนิดอื่นๆ มีรสชาติและส่วนผสมที่ลงตัวสมบูรณ์แบบ กลุ่มตู้เย็น ด้วยระบบระเหยน้ำและแยกส่วนสำหรับช่องแช่เย็นและช่องแช่แข็ง ยังช่วยป้องกันกลิ่นอาหารไม่ให้ปะปนกันนอกจากนี้ ระบบVitaFresh ยังช่วยรักษาความสดของผัก ผลไม้และเนื้อสัตว์ ได้นานยิ่งขึ้นถึง3 เท่า ด้วยช่องเก็บที่มีอุณหภูมิต่ำ และการออกแบบด้วยหลักสรีระศาสตร์ (Ergonomics design)เพื่อช่วยให้สะดวกและหลีกเลี่ยงการก้มตัวในขณะหยิบอาหารจึงช่วยถนอมสุขภาพหลัง ทำให้การใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดีเป็นเรื่องง่าย กลุ่มเครื่องล้างจานถือเป็นกลุ่มสินค้าที่มียอดขายอันดับหนึ่งของโลก(ที่มา:Euromonitor, volume sales,2017) ด้วยเทคโนโลยี Perfect Dry based on Zeolith ซึ่งเป็นการทำความร้อนจากแร่ธรรมชาติ ลิขสิทธิ์ ของ Bosch สามารถ ลดการใช้พลังงานได้มากถึง 30% โดยจัดการใช้พลังงานอยู่ในกลุ่ม A ตามมาตรฐานสูงสุดของยุโรป ซึ่งทำงานด้วยมอเตอร์ที่มีความล้ำหน้าเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสิทธิภาพที่ดีที่สุด, ความประหยัด และความทนทานในการทำงานของมอเตอร์ EcoSilence Drive ที่ทำงานได้เงียบสนิท และให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม โดยสินค้ากลุ่มเครื่องล้างจานมีให้เลือกได้หลากหลายสไตล์ที่ลงตัวกับห้องครัวมากที่สุด และใช้พลังงานน้อยที่สุดประกอบด้วย เครื่องล้างจานแบบตั้งพื้น, เครื่องล้างจานแบบติดตั้งในเฟอร์นิเจอร์ และเครื่องล้างจานแบบติดตั้งซ่อนในเฟอร์นิเจอร์ ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี AquaStop Plus ระบบป้องกันน้ำล้นออกจากเครื่องที่รับประกันตลอดอายุการใช้งานเพื่อความปลอดภัยและระบบนิรภัยที่แน่นหนายิ่งขึ้นสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงแบบ 7 วันต่อสัปดาห์ นายชลวิทย์กล่าวเพิ่มเติมว่า  ภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านของปีนี้ มีทิศทางดีขึ้นจากปัจจัยการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าระดับพรีเมี่ยมยังคงมีกำลังซื้อ ซึ่งดูได้จากโปรโมชั่นที่เผยแพร่ทางออนไลน์ ถือว่าได้รับเสียงตอบรับจากผู้บริโภคกลุ่มนี้พอสมควร และการนำ4  กลุ่มผลิตภัณฑ์เข้ามาเปิดตัวพร้อมกันในช่วงนี้ บริษัทยังเชื่อมั่นว่าสามารถผลักดันยอดขายได้ตามเป้าหมายจากปัจจัยความโดดเด่นของนวัตกรรมที่เพิ่มความสะดวกให้ผู้บริโภคในการใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น และผลิตภัณฑ์ “Bosch” สามารถหาซื้อได้ง่ายผ่านช่องทางออนไลน์  ตัวแทนจำหน่าย และห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ นอกจากนี้ ทาง BSH ยังมีผลิตภัณฑ์อีกมากมายที่จะมาสร้างความสมบูรณ์แบบให้กับการใช้ชีวิตของคุณมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น อาทิ เครื่องดูดฝุ่นที่ทรงพลังไร้ถุงเก็บฝุ่นด้วยระบบ SensorBagless นวัตกรรมเครื่องดูดฝุ่นแบบไม่มีถุง จะทำให้เครื่องดูดฝุ่นมีประสิทธิภาพ โดยสามารถลดขั้นตอนการทำความสะอาดให้น้อยที่สุด และการทำงานที่ไร้เสียงรบกวนและนวัตกรรม GoreCleanSteam ของแผ่นกรองอากาศที่อยู่ได้นานเทียบเท่าอายุของเครื่องดูดฝุ่น และที่พิเศษไปกว่านั้น เครื่องดูดฝุ่นบ๊อชรุ่น ProAnimal สามารถดูดขนสัตว์และสิ่งสกปรกได้เร็วกว่าถึง 30% ทั้งนี้ยังมีเครื่องตีแป้งอเนกประสงค์ OptiMUM ที่ถูกออกแบบอย่างโดดเด่น สวยงามและสะดุดตา และมาพร้อมกับเทคโนโลยี SensorControl Plus ระบบทำงานอัตโนมัติซึ่งช่วยให้ส่วนผสมในการตี เข้ากันได้อย่างทั่วถึง เพียงแค่กดปุ่มเดียว, ฟังก์ชั่นการตั้งเวลา Integrated Timerและเทคโนโลยี 3D Planetary Mixing ที่ตีส่วนผสมต่างๆ เป็นเนื้อเดียวกันด้วยการเคลื่อนที่ของหัวตี 3 ทิศทางพร้อมกันจึงมั่นใจในผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบทุกครั้งที่ใช้งาน และใหม่ล่าสุดกับเครื่องปั่นอเนกประสงค์ความเร็วสูง VitaBoost ที่มีคุณสมบัติเด่นเรื่อง Superfine Blend ปั่นเร็วและได้สารอาหารครบถ้วนภายในไม่กี่วินาที และไม่ว่าจะปั่นร้อนหรือเย็น ซุป สมูทตี้ เชค ก็จัดการได้อย่างง่ายได้ ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.bosch-home.in.th
แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด จับมือ ซีบีอาร์อี จัดงาน “The Exclusive Unveiling of the Latest Show Suites” 10-11 มี.ค.นี้

แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด จับมือ ซีบีอาร์อี จัดงาน “The Exclusive Unveiling of the Latest Show Suites” 10-11 มี.ค.นี้

แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ร่วมกับ ซีบีอาร์อี ประเทศไทยจัดงาน “The Exclusive Unveiling of the Latest Show Suites” ตั้งแต่วันที่ 10-11 มีนาคม 2561  พร้อมมอบสิทธิพิเศษมากมายสำหรับลูกค้าและนักลงทุนภายในงาน นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(MQDC) กล่าวว่า ซีบีอาร์อี คือหนึ่งในบริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก ที่จะช่วยดูแลลูกค้าชาวไทย ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและต้องการโครงการอสังหาริมทรัพย์บนทำเลชั้นเยี่ยม ตลอดจนโอกาสการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่ามากที่สุด ซึ่งแมกโนเลียส์คือหนึ่งในโครงการที่ดีที่สุดในตลาดห้องชุดระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นำเสนอโอกาสการลุงทุนที่มีศักยภาพสูงซึ่งให้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยม และสำหรับผู้ที่ซื้อเพื่อการอยู่อาศัย ก็ถือเป็นการลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่เหนือระดับและคุ้มค่ามากที่สุดด้วยเช่นกัน นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในโครงการระดับสากลซึ่งเป็นที่ต้องการมากที่สุดในหมู่นักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ นับตั้งแต่เปิดตัว เราได้รับเสียงตอบรับที่ดีเยี่ยมอย่างต่อเนื่องจากผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ระดับสากลจากหลากหลายประเทศ "เรารู้สึกยินดีที่ได้ดูแลโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด เชื่อมั่นว่าราคาประเมินของห้องชุดระดับไฮเอนด์ในกรุงเทพฯ ขยับเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 11% ในปีที่แล้ว และยังเป็นที่จับตาของนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง และในปัจจุบัน คาดว่าราคาน่าจะขยับสูงขึ้นอีกและเพิ่มโอกาสการซื้อขายในตลาดต่างประเทศมากขึ้น” นางสาวอลิวัสสา กล่าว โดยห้องชุดที่เหลืออยู่ของแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ดในปัจจุบัน คือแบบ 2 ห้องนอนพื้นที่ 75-108 ตารางเมตร และห้องห้องเพนท์เฮ้าส์ พื้นที่ 321-384  ตารางเมตร ภายในโครงการยังเพียบพร้อมด้วยส่วนบริการเพื่อการพักอาศัยระดับไฮเอนด์ ทั้งคลับส่วนตัว ล็อบบี้ส่วนตัวสำหรับผู้พักอาศัย และจุดรับ-ส่ง ห้องประชุมสังสรรค์ เลาจน์ พื้นที่สวนสีเขียวดีไซน์ใหม่ ห้องสมุด ศูนย์ไปรษณีย์ ศูนย์ธุรกิจพร้อมระบบสื่อสารและการเชื่อมต่อออนไลน์แบบครบวงจร ตลอดจนศูนย์ฟิตเนส ลู่วิ่งออกกำลังกลางแจ้ง เซาว์น่า สระว่ายน้ำยาว 70 เมตร พร้อมจากุชชี่และสระเด็ก รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูงตลอด 24 ชั่วโมง ภายในงานครั้งนี้ นำเสนอห้องชุด 2 ห้องนอนในราคาสุดพิเศษเริ่มต้น 20 ล้านบาท พร้อมสิทธิประโยชน์อีกมากมายเฉพาะแขกในงานเท่านั้น หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อโทรศัพท์ +66 83 095 5054 อีเมล magnolias@cbre.co.th หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.magnolias-ratchadamri.com
เดวา เรียลเอสเตท เปิดตัว “D8” ย่านเอกมัย-รามอินทรา เจาะกลุ่มครอบครัวใหญ่

เดวา เรียลเอสเตท เปิดตัว “D8” ย่านเอกมัย-รามอินทรา เจาะกลุ่มครอบครัวใหญ่

เดวา เรียลเอสเตท เปิดตัว “D8” เจาะกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ ทุกส่วนของบ้านสามารถสัมผัสลมและแดดธรรมชาติ คุ้มค่าด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนตัวครบครัน รองรับผู้อยู่อาศัยครอบครัวใหญ่ได้ถึง 3 เจนเนอเรชั่น เพียง 39.9 ล้านบาท นายเลิศมงคล วราเวณุชย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดวา เรียลเอสเตท จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในรูปแบบ Luxury Vertical House ด้วยคอนเซปต์ urban living solution ตอบโจทย์ครอบครัวขนาดใหญ่ที่ต้องการอยู่อาศัยในเขตเมืองที่สามารถเดินทางเข้าสู่ศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ได้อย่างสะดวกสบาย รองรับการอยู่อาศัยได้ถึง 3เจนเนอเรชั่น ด้วยพื้นที่ใช้สอยที่ใหญ่กว่า 700 ตารางเมตร พร้อมที่จอดรถเพดานสูงกว่า 3 เมตร รองรับได้ถึง 6 คัน และสามารถขยายจำนวนที่จอดสูงสุดถึง 9 คันด้วย Mechanic car park ทั้งยังให้ความเป็นส่วนตัวได้มากกว่า เพราะเปิดตัวด้วยจำนวนเพียง 6 ยูนิต บนทำเลย่านเอกมัย-รามอินทรา ในราคา 39.9 ล้านบาท ที่คุ้มค่ากว่าด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนตัวครบครัน เช่น ลิฟท์ สระว่ายน้ำ และสวนหย่อมส่วนตัว ไม่มีค่าใช้จ่ายส่วนกลาง นอกจากนี้ยังคำนึงทิศทาง แดด ลม การถ่ายเทของอากาศ และแสงสว่างที่เข้าถึงในแต่ละส่วนของการใช้งาน ทำให้ตัวอาคารประหยัดพลังงานในการใช้แสงสว่างจากไฟฟ้าและการปรับอากาศ ขณะที่พื้นที่ใจกลางของอาคารถูกวางให้เป็นตำแหน่งของคอร์สต้นไม้ ซึ่งเป็นพื้นที่คอร์สหลักกลางบ้าน อีกทั้งห้องนอนทุกห้องถูกออกแบบให้สามารถมองพื้นที่ส่วนนี้ได้ รูปแบบอาคารออกแบบให้มีการบิดตัวไปมา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นการบิดตัวประกอบต่อกันเกิดเป็นพื้นที่สำหรับอยู่อาศัย วิธีการนี้ทำให้แต่ละส่วนของบ้าน ได้รับแสงธรรมชาติ และเปิดมุมมองด้วยวิวที่แตกต่างกัน รวมถึงยังสามารถแทรกพื้นที่สีเขียว เป็น pocket garden เข้าในแต่ละยูนิต สำหรับสระว่ายน้ำถูกออกแบบให้อยู่ชั้นบนสุดเพื่อความเป็นส่วนตัวและเพื่อให้อยู่บนจุดชมวิวกับมุมมองที่กว้างกว่า โดยพื้นที่ส่วนนี้สามารถเดินต่อเนื่องได้โดยตรงจากห้องนอนหลัก (Master bedroom) ที่ถูกจัดวางไว้ชั้นบนสุดเป็นรูปแบบ Penthouse ที่ออกแบบพื้นที่อย่างเป็นสัดส่วน ทั้งส่วนห้องนอนและส่วนห้องน้ำที่เชื่อมกันด้วยสะพานทางเดินกระจกขนาดใหญ่ สร้างให้พื้นที่มีความน่าสนใจแตกต่างจากโครงการอื่น “โครงการ D8 จะเข้ามาเจาะกลุ่มคนไทยอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องการพื้นที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ บนทำเลใกล้ CBD แต่มีไลฟ์สไตล์ไม่เหมาะกับการอยู่อาศัยในรูปแบบคอนโดมิเนียม เพราะมีแมวหรือสุนัขต้องเลี้ยง หรือเป็นครอบครัวขนาดใหญ่ ที่มีคนหลาย Generation อยู่ร่วมกัน บ้านทุกหลังในโครงการ D8 ได้รับการออกแบบโดยเน้นเรื่องของการใช้ประโยชน์ในทุกพื้นที่ใช้สอย นอกจากนี้ ในชั้น 3 ของบ้านออกแบบเป็นUniversal  design เราได้ออกแบบให้เป็นพื้นที่พิเศษสำหรับคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยาย รองรับการใช้งานวีลแชร์โดยทำพื้นทั้งชั้นให้เรียบไม่มีพื้นยกระดับ เพื่อให้ศูนย์กลางของครอบครัวได้อยู่ร่วมกันกับลูกหลานอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาด้วยความสุข ทั้งนี้ แผนงานการก่อสร้างโครงการ D8 จะเริ่มการก่อสร้างภายในเดือนเมษายนนี้ และคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมโอนได้ภายในต้นปี 2562 ” นายเลิศมงคล กล่าว ทั้งนี้ บริษัทฯ มีข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าที่จองบ้านในโครงการภายในสิ้นเดือนมีนาคม 2561 จะได้รับส่วนลดพิเศษ 1 ล้านบาท  พร้อมชุดครัว Euro Kitchen จากแบรนด์ชั้นนำ ซึ่งรวม Hob, Hood, Sink และ Oven   นอกจากนี้ ลูกค้าจะยังได้รับบริการพิเศษ SONDER Living มูลค่า 1.5 ล้านบาท โดยทางลูกค้าสามารถใช้บริการ Interior design จากทาง SONDER Living ในการออกแบบตกแต่งภายในอีกด้วย ทั้งนี้ D8 จะจัดงาน VIP Day เพื่อเปิดแนะนำโครงการ D8 อย่างเป็นทางการให้กับลูกค้าที่สนใจในวันเสาร์ที่ 24มีนาคม ตั้งแต่เวลา 10 โมง ถึง 6 โมงเย็น ณ SONDER living Flagship Gallery ถนนพระราม 9 ข้อมูลเพิ่มเติม www.D8Residence.com
อารียา พรอพเพอร์ตี้ ตั้งเป้าปี 2561 ยอดขายรวม 14,370 ล้านบาท โต 30% รุกแนวคิด”สุนทรียะแห่งการใช้ชีวิต”

อารียา พรอพเพอร์ตี้ ตั้งเป้าปี 2561 ยอดขายรวม 14,370 ล้านบาท โต 30% รุกแนวคิด”สุนทรียะแห่งการใช้ชีวิต”

อารียา พรอพเพอร์ตี้ ตั้งเป้าปี 2561 ยอดขายรวม 14,370 ล้านบาท โต 30% เน้นแนวคิด “สุนทรียะแห่งการใช้ชีวิต” ตอบโจทย์ฟังก์ชั่นและอารมณ์ลูกค้า ใช้ 4 กลยุทธ์วัดความพึงพอใจลูกบ้าน นายวิวัฒน์ เลาหพูนรังษี ประธานกรรมการอาวุโส บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2561 อารียาได้วางเป้าเติบโตอยู่ที่ 30% มูลค่ายอดขายรวม 14,370 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 8,366 ล้านบาท และแนวสูง 6,004 ล้านบาท และเปิดตัวโครงการใหม่รวม 11 โครงการ แนวราบ 10 โครงการและแนวสูง 1 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 7,920 ล้านบาท สำหรับผลประกอบการในปี 2560 ที่ผ่านมา ปิดยอดขายอยู่ที่ 11,125 ล้านบาท โตขึ้น 39% โดยมียอดยกเลิกเทียบยอดขาย 29% ยอดโอนปิดที่ 4,958 ล้านบาท และยอดขายคอนโดที่ยังสร้างไม่เสร็จ ยังไม่เข้าสู่ขั้นตอนการโอนได้ที่ 3,096 ล้านบาท รวมถึงโครงการสร้างใหม่ปี 2560 รวมทั้งสิ้น 7 โครงการ มูลค่า 11,000 ล้านบาท นายวิศิษฎ์ เลาหพูนรังษี ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ว่า ภาพรวมยอดขายอสังหาริมทรัพย์ในประเทศมีแนวโน้มขยับขึ้น 10% ด้วยปัจจัยด้านการท่องเที่ยว การลงทุนจากต่างชาติ (EEC) ที่ยังเป็นกระแสความนิยมของนักลงทุนไทยและต่างชาติที่น่าจับตามอง และด้านเทรนด์ที่อยู่อาศัย โดยน่าจะเห็นได้ชัดเจนจากคอนโดฯ ที่มีขนาดห้องเล็กลง ซึ่งเกิดจากปัจจัยราคาที่ดินแพงขึ้น “การใช้ชีวิตที่ดีต้องสร้างปัจจัยพื้นฐานหลายด้าน ซึ่งเป็นจุดแข็ง (Strength Point) ของอารียามาตลอด 18 ปีนี้ เราเชื่อเรื่อง Inside – Out สำหรับที่อยู่อาศัย ผู้บริโภคไม่ได้ต้องการแค่ Function ที่ดีเท่านั้น แต่ยังต้องการ Emotional Engagement ที่จะออกแบบชีวิตของแต่ละคนในบ้าน โดยเฉพาะในสังคมที่วุ่นวาย แข่งขัน และรีบเร่งอย่างทุกวันนี้  ดังนั้น เราจะต้องดูแลทุกองค์ประกอบของงานให้เข้าใจผู้บริโภคเพียงพอ เพื่อการออกแบบบ้านและออกแบบชีวิตที่สามารถสื่อสาร และปลุกจินตนาการการอยู่อาศัย (Incite your spirit) ซึ่งเป็นสิ่งที่อารียาฯ เรียกว่า สุนทรียะของใช้ชีวิต (Aesthetic of Living)” นายวิศิษฎ์ กล่าว นอกจากนี้กำหนด เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์เพื่อรักษา Competitive Advantage คือ งานออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นมาพร้อมกับคุณภาพ (Aesthetic Design & Premium Quality) , ความสุขและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน (Sustainable Happiness) , นวัตกรรมที่ส่งเสริมความเป็นอยู่ทุกรูปแบบ  (Innovative Living) และ การให้บริการดูแลลูกบ้านตั้งแต่เริ่มและหลังการขายอย่างสุดความสามารถ (Best in class after sales service) อีกทั้งได้วางเป้าหมายความพึงพอใจสูงสุดของลูกบ้านที่ 95% ซึ่งประกอบด้วย 1. ให้บริการอย่างรวดเร็ว 2. ด้วยคุณภาพการบริการ 3. บริการด้วยมาตรฐาน และการจัดอบรม และ 4. การเข้าถึงบริการด้วยคำสั่งจากปลายนิ้ว ผ่านทางแอปพลิเคชั่น AREEYA Family        
เลือกคอนโดห้องสวยๆ นอกจากทำเลดี facility ก็ต้องโดน (Advertorial)

เลือกคอนโดห้องสวยๆ นอกจากทำเลดี facility ก็ต้องโดน (Advertorial)

ใครที่เคยเลือกซื้อคอนโดมิเนียมสักยูนิตจะทราบดีว่ากว่าจะได้โครงการที่ดี ยูนิตโดนใจต้องดูรายละเอียดกันหลายรอบจนตาลายไปหมด ซึ่งการเลือกสรรของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไปตามโจทย์ของตัวเอง แต่สิ่งที่ทุกคนต้องจะต้องคำนึงถึงเป็นอันดับต้นๆ นั่นคือทำเลและภายในห้องพักอาศัย   หลายครั้งหลายคราวที่เราพูดถึงเรื่องของทำเล ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกของที่อยู่อาศัยทุกประเภทโดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่มีให้เลือกมากมายหลายแห่งจนเลือกไม่ถูก เพราะบางทำเลในย่านเดียวกันมีคอนโดมิเนียมเกิดใหม่ขึ้นมาเกือบ 10 โครงการกันเลยทีเดียว แน่นอนว่าทำเลดีสำหรับคอนโดมิเนียมนั้นหมายความว่าต้องเดินทางสะดวกติดรถไฟฟ้า ซึ่งรถไฟฟ้าในปัจจุบันแม้จะเปิดให้ใช้บริการเพียงไม่กี่เส้นทาง แต่ก็ได้รับความนิยมในการเดินทางมากในทุกๆ วัน จนกลายเป็นหัวใจหลักของการเดินทางในกรุงเทพฯ และยังมีหลายสายที่กำลังดำเนินการก่อสร้างกันอยู่ทั่วเมืองไปจนถึงปริมณฑล โดยสายที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็หนีไม่พ้นสายสีเขียวที่ตอนนี้กำลังก่อสร้างส่วนต่อขยายเพิ่มเติมช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ด้วยสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกตลอดเส้นทางไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ สถาบันการศึกษาหลายแห่ง โรงพยาบาล รวมถึงสถานที่ทำงานทั้งราชการ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน ย่านนี้จึงเหมาะแก่การอยู่อาศัยบนวิถีชีวิตของคนเมือง อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญและจะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือยูนิตพักอาศัย ตั้งแต่ตำแหน่งห้องว่าจะอยู่ทิศใด ได้วิวแบบไหน โดนบล็อควิวหรือไม่ การวางตำแหน่งในชั้นจะส่งผลถึงการอยู่อาศัยจริงอย่างไร ภายในห้องพักใช้วัสดุอะไร วางแปลนห้องไว้อย่างไร สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของเราได้มาก-น้อยแค่ไหน สุดท้ายแล้วห้องนั้นจะใช่สิ่งที่เราตามหาหรือไม่ ทุกรายละเอียดส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่รวมไปถึงเรื่องของราคาในอนาคตด้วย แต่ทั้งหมดจะมีวิธีการเลือกอย่างไรให้ดีที่สุด ในครั้งนี้เราจึงพามาดูตัวอย่างการเลือกห้องสวยๆ จากโครงการ CENTRIC RATCHAYOTHIN กันค่ะ ซึ่งหลังจากทาง SC ASSET ห่างหายจากการทำคอนโดมิเนียมระดับพรีเมียมแบรนด์หลัก CENTRIC มาได้พักใหญ่ ล่าสุดก็กลับมาพัฒนาแบรนด์นี้กันอีกครั้ง เรียกได้ว่าเป็นที่จับตามองกันมาตั้งแต่ยังล้อมรั้วที่ดินแห่งนี้ว่าจะมีหน้าตาออกมาเป็นอย่างไร โดยตอนนี้ได้ฤกษ์เปิดตัวออกมาแล้ว ทั้งทำเล ส่วนกลาง และห้องพักอาศัยสวยงามลงตัวสมกับการรอคอย CENTRIC RATCHAYOTHIN คอนโดมิเนียม High Rise 21 ชั้น 261 ยูนิต บนพื้นที่ 2-0-77.3 ไร่ ขนาด 24-55 ตร.ม. ริมถนนพหลโยธินฝั่งขาเข้า ใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต สถานีรัชโยธิน เพียง 150 เมตร เชื่อมต่อเข้าเมืองอย่างสยาม-ทองหล่อได้แบบไม่ต้องเปลี่ยนสาย รวมถึงใกล้จุด Interchange ของรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงินกับรถไฟฟ้าสายสีเหลืองในอนาคต หรือหากใช้รถยนต์ส่วนตัวจะเลือกใช้ทางยกระดับอุตราภิมุข หรือทางพิเศษศรีรัชบริเวณใกล้กับสถานีกลางบางซื่อ HUB แห่งการเดินทางในอนาคตของประเทศไทยรวมถึงในอาเซียน โครงการอยู่เยื้องกับเมเจอร์รัชโยธิน, อเวนิว รัชโยธิน ซึ่งเป็นศูนย์กลางของสิ่งอำนวยความสะดวกในละแวกนั้น ไม่ว่าจะดูหนัง ทานข้าว ช้อปปิ้ง หรือแฮงค์เอ้าท์ก็แค่เดินจากคอนโด สมกับคอนเซปที่วางเอาไว้ว่า “A place for your Hybrid Lifestyle” นิยามใหม่ให้ชีวิตใจกลางเมือง เชื่อมต่อทุกความต้องการกับรูปแบบไลฟ์สไตล์ให้เป็นหนึ่งเดียว ส่วนกลางออกเป็น 3 ส่วน (Triple Facilities)โดยแบ่งคาแรคเตอร์เอาไว้อย่างชัดเจน คือ Active, Relax, Working ผสานกันอย่างลงตัวจนกลายเป็นคอนโดที่ตอบสนองคนรุ่นใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งชั้นแรกคือชั้น Ground จากหน้าโครงการจัดเป็น Lifestyle Park ส่วนล็อบบี้ที่สูงโปร่งถึง 5.5 เมตร ในบรรยากาศอบอุ่นแฝงด้วยความหรูหราสง่างาม และยังมี Business lounge & Private Meeting Room ให้คนรุ่นใหม่ได้ใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่า เชื่อมต่อไปกับ Semi-Outdoor Lobby สร้างความรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้นด้วย Greenery wall และ Water Feature และโซน Residence Lobby Lounge เป็นพื้นที่ waiting area ที่มี seating รับรองให้ลูกบ้าน   ชั้น 4-5 มีทั้งโซน  Triple Volume Co-Working Space ในลักษณะ Indoor 3 ชั้น ถูกออกแบบให้เป็นเหมือน Cubic ลอยอยู่กลางอากาศ สำหรับเป็น Co-Working Space และ Reading Bar, Co-Living Space เชื่อมต่อกับโซน Outdoor ขนาดใหญ่สามารถทำกิจกรรมได้หลากหลายเพื่อให้เกิด lively neighborhood พื้นที่สีเขียวไล่ระดับเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติจริง มี Water feature เสมือนเป็นลำธารมีเสียงน้ำไหลจากที่สูงพร้อมกลิ่นหอมจากพรรณไม้ตามฤดูกาล มีเสียงดนตรีคลอเบาๆ สร้างบรรยากาศพิเศษให้เกิดขึ้นได้ทุกวัน และชั้น Rooftop สำหรับการออกกำลังกายในฟิตเนสที่ได้วิวจากทั้งด้านหลังโครงการที่เป็นวิวเมือง และวิวสระว่ายน้ำที่อยู่ชั้นเดียวกันกับทางฝั่งด้านหน้าโครงการ ซึ่งเป็นสระว่ายน้ำแบบ Infinity Edge Swimming Pool ยาว 25 เมตร มาพร้อม Jacuzzi ให้ได้ผ่อนคลายท่ามกลางบรรยากาศสวยๆ CENTRIC RATCHAYOTHIN ห้องไหนสวย ถ้าจะเลือกห้องสวยสักห้อง ก่อนอื่นเราต้องกาง Floor Plan ออกมาก่อนค่ะ เริ่มจาก Ground Floor เราจะได้เห็นหน้าตาของชั้นแรกของโครงการ ซึ่งในแปลนเหล่านี้จะบอกทิศทางการวางรูปแบบอาคารเอาไว้ ซึ่งเมื่อมองไปที่ Floor Plan เราก็พอจะมองภาพออกแล้วว่ายูนิตไหนมีระเบียงหันหน้าออกไปยังทิศอะไร ยิ่งหากเรามีความคุ้นเคยกับทำเลแถวนั้นก็จะทำให้นึกภาพตามได้ว่ายูนิตที่หันไปทิศไหนจะได้วิวอะไร ความโดดเด่นของ Floor Plan ทำเอาไว้ได้น่าสนใจมาก เพราะสามารถเก็บรายละเอียดอันเป็นการคำนึงถึงลูกบ้านที่อยู่อาศัยจริงได้ดีทีเดียว รวมทั้งยังถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ยอีกด้วย เช่น เพิ่มระยะห่างระหว่างยูนิตพักอาศัยกับโถ่งลิฟท์ในแต่ละชั้นมากขึ้น เพื่อลดเสียงรบกวน, ออกแบบให้ห้องขยะทุกชั้นแยกห่างยูนิตพักอาศัย เพื่อลดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์, ทุกยูนิตประตูห้องจะไม่อยู่ตรงข้ามกัน จำนวนยูนิตต่อชั้นไม่มากจนเกินไปเพิ่มความเป็นส่วนตัว, และไม่มียูนิตไหนที่มีประตูอยู่ตรงทางสามแพร่งเลย   เรามาเริ่มดูจากทิศตะวันตก ซึ่งเป็นทิศที่อยู่หน้าโครงการได้วิววิวเมืองกับรถไฟฟ้า รวมถึงตึกช้างตรงแยกรัชโยธิน ซึ่งเป็นมุมมองเดียวกันกับสระว่ายน้ำชั้น 21 และหากมองลงมาที่ชั้น 4-5 จะได้วิวสวนสีเขียวที่เป็นส่วนกลางหนึ่งของโครงการ เรียกได้ว่าแม้จะเป็นห้องทิศตะวันตกที่หลายคนมองข้าม แต่ SC asset กลับทำให้เป็นยูนิตไฮไลท์ของโครงการนี้ได้ด้วยการออกแบบที่ดีโดยเฉพาะห้องตำแหน่ง 01 , 02 ซึ่งเอสซีฯ ใส่ใจออกแบบอาคารให้มีครีบยื่นออกมาช่วยเรื่องการหักเหและลดทอนแสงแดดได้ประมาณหนึ่งเลยทีเดียว ทิศเหนือ เชื่อว่าจะเป็นหนึ่งในยูนิตที่ได้รับความนิยมอยู่ไม่น้อย โดยปกติแล้วเป็นห้องทิศที่ได้รับความนิยมอยู่แล้ว เพราะเป็นทิศที่โดนแดดน้อยที่สุด ซึ่งสำหรับโครงการนี้ก็จะได้วิวเป็นวิวหันไปทางแยก ม.เกษตรฯ เป็นวิวโล่ง แต่ยูนิตที่ได้ทิศนี้จะค่อนข้างน้อย มีสูงสุดเพียง 3 ยูนิต/ชั้น เท่านั้น ฉะนั้นหากใครที่ต้องการยูนิตทิศนี้ก็ต้องจองให้ไว ทิศตะวันออก อีกหนึ่งทิศยอดฮิตสำหรับคนที่ชอบเปิดระเบียงรับลม ซึ่งจะถูกวางให้อยู่ทางด้านหลังโครงการได้ความสงบ เห็นวิวฝั่งถนนเสนานิคม – วังหิน เป็นวิวโล่งด้วยความที่ด้านหลังเป็นบ้านเรือนที่อยู่ในซอย คอนโดส่วนใหญ่จะเป็นคอนโดสูงไม่เกิน 8 ชั้น จึงยากที่จะมีตึกสูงขึ้นบัง สำหรับทิศนี้วิวจึงปลอดภัยจากการโดนบังวิวแน่นอน   พูดถึงเรื่องทิศทางของแต่ละยูนิตกันไปแล้วจะไม่พูดถึงภายในห้องก็คงยังไม่ครบถ้วน เพราะอย่างที่กล่าวเอาไว้ข้างต้นว่ามีการออกแบบมาได้น่าสนใจ แต่ละห้องมีความโดดเด่นต่างกันออกไปตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน โดยทุกห้องถูกคิดภายใต้คอนเซปส์อาทิ ความสูงภายในห้องสูงสุดถึง 3 เมตร* ซึ่งเราจะมาดูกันทีละ Type เลยค่ะ มีที่เก็บของครบครัน ช่วยจัดการการจับเก็บของและทำให้ห้องเป็นระเบียบ ห้องแต่ละห้องมีเอกลักษณ์แตกต่างกัน ตามแต่ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน พื้นที่อยู่อาศัยได้จริง Practical Design   STUDIO-1 24 ตร.ม.  แม้จะเป็นห้องขนาดเล็กที่สุดในโครงการ แต่ก็ยังมีการกั้นประตูกระจกระหว่างห้องครัวกับห้องนอน เพื่อป้องกันกลิ่นอาหาร ได้มุมโต๊ะทำงานหันหน้าออกทางเดียวกับระเบียง ถึงแม้จะเป็นสตูดิโอแต่ก็ยังได้กระจกเข้ามุม เรียกได้ว่าจะนั่งทำงาน อ่านหนังสือหรือทานข้าว ก็เห็นวิวสวยๆ ไปด้วยแน่นอน ห้องนี้จึงเหมาะสำหรับคนที่อยู่ 1-2 คน ชอบความคุ้มเพราะมีครบทุกฟังก์ชั่น ห้องที่สำคัญ Type นี้อยู่ในตำแหน่งทิศตะวันออกอีกด้วย ทั้งตึกมีเพียง 32 ยูนิตเท่านั้น ชั้นหนึ่งมีเพียง 2 ห้องเท่านั้น STUDIO-2 26 ตร.ม. ห้องนี้เหมาะสำหรับคนชอบทำครัว เพราะเป็นครัวปิดที่มีหน้าต่างระบายอากาศสู่ด้านนอกอาคาร ตำแหน่งห้องอยู่ทางทิศตะวันตก ได้ความเป็นส่วนตัวขึ้นด้วยกำแพงที่อยู่ชิดกับห้องข้างๆ เพียงด้านเดียว ปลายเตียงมีช่องแสงเพิ่มอีก 1 ช่อง ทำให้ได้รับแสงธรรมชาติ โปร่งโล่งมากยิ่งขึ้น ทั้งตึกมีเพียง 16 ยูนิตเพียงเท่านั้น มีเพียงชั้นละ 1 ห้อง เรียกได้ว่า Rare มากๆ 1 BEDROOM 30 ตร.ม.  ตำแหน่งห้องอยู่ทางทิศตะวันตก สามารถเปิดรับลมได้วิวทั้งส่วนของห้องนั่งเล่นกับห้องนอน ฟังก์ชั่นโต๊ะทานอาหารเชื่อมต่อกับเคาน์เตอร์ครัวสามารถพับเก็บได้ เพิ่มพื้นที่ใช้สอยได้ตามใจ เหมาะสำหรับคนอยู่ 1-2 คน ที่ต้องการ 1ห้องนอนที่ฟังก์ชั่นครบ มี Walk-Through Closet ชั้นนึงมีเพียง 3 ห้องเท่านั้นและห้องนี้ทุกห้องสามารถมองเห็นสวนที่อยู่ชั้น 4 ได้อีกด้วย 1 BEDROOM PLUS-P2 34.50 ตร.ม.  1 BEDROOM PLUS ทั้ง 3 แบบนี้ถือเป็นยูนิตไฮไลท์ของ CENTRIC RATCHAYOTHIN ซึ่ง Type แรกนี้ตำแหน่งห้องถูกวางในตำแหน่งที่ดีทั้งทิศเหนือและทิศตะวันออกกับทิศใต้ โดยห้องนี้เน้นความคุ้มค่าจากการออกแบบที่จัดสเปคห้องมาให้แบบเต็มๆ ทั้งกระจกบานใหญ่เข้ามุม Bay window ที่ห้องอเนกประสงค์ ซึ่งมีขนาดพอเหมาะที่สามารถวางเตียงได้ ทำให้ห้องนี้สามารถใช้เป็นอีก 1 ห้องนอนก็ย่อมได้ หรือถ้าคนไหนไม่ใช้เป็นห้องนอนก็สามารถปรับเปลี่ยนให้เป็นห้องทำงาน ห้องเก็บของ ห้องนั่งเล่น 2 ฯลฯ แล้วแต่ไลฟสไตล์ของเจ้าของได้เลย ทำให้ห้องนี้เรียกได้ว่าเป็น Truly 1 Bedroom Plus ซึ่งแตกต่างจากในบางโครงการที่มีห้อง Plus แต่ไม่ Practical ห้องนี้จึงเป็นห้องหนึ่งที่สามารถสะท้อนคอนเซปส์ของโครงการได้ดีทีเดียว, ระเบียงสามารถเข้าได้จากทั้งห้องอเนกประสงค์กับห้องนอน, Walk-Through Closet ภายในห้องนอนก่อนเชื่อมเข้าสู่ห้องน้ำ, Double-Access ห้องน้ำที่เข้าได้ 2 ทางจากในห้องนอนกับห้องครัว ช่วยรักษาความเป็นส่วนตัวเมื่อมีแขกมาไม่ต้องเดินผ่านห้องนอน แทบไม่น่าเชื่อว่าทั้งหมดนี้อยู่ในพื้นที่ 35 ตรม. เรียกว่าคุ้มมากๆ ห้องนี้เรียกได้ว่าเหมาะกับหลายๆคนมาก โดยเฉพาะคนที่มองหา 1 ห้องนอนสุดคุ้มค่าด้วยพื้นที่เอนกประสงค์ที่สามารถปรับเปลี่ยนดีไซน์ให้เป็นตัวคุณเองได้อย่างเต็มที่ 1 BEDROOM PLUS-PP1 39 ตร.ม.  ตำแหน่งห้องนี้ถูกวางไว้มุมสุดทางเดินด้านทิศตะวันตกที่จะได้วิวโครงการฝั่งแยกรัชโยธินเพิ่มด้วย เปิดมุมมองจากในห้องนอนด้วยกระจกเข้ามุม Bay window และได้พื้นที่ห้องอเนกประสงค์เพิ่มขึ้นจนสามารถเป็นอีก 1 ห้องนอนได้ รวมถึงพื้นที่ห้องนั่งเล่นพร้อมมุมวางโต๊ะทานอาหารขนาดใหญ่ เรียกได้ว่าห้องนี้เหมาะสำหรับคนอาศัย 1-2 คนหรือคนที่เริ่มต้นชีวิตครอบครัวมีลูกเล็ก ไม่เน้นทำอาหาร ชอบความคุ้มค่าแต่มีพื้นกว้างพอที่อยู่อย่างสบายๆ ห้องนี้มีเพียงชั้นละ 1 ห้องเท่านั้น ทำให้ทั้งตึกมีเพียง 16 ห้องเพียงเท่านั้น อ้อลืมบอกว่าจากห้องนี้มองลงไปข้างล่างก็เห็นสวนชั้น 4 ได้เช่นกัน 1 BEDROOM PLUS-PP2 38 ตร.ม. อีกหนึ่งตำแหน่งห้องมุมที่ดีที่สุดอีก Type ที่ได้ทั้งวิวสวนสีเขียวของโครงการฝั่งทิศใต้จากระเบียงห้อง และวิวเมืองทางทิศตะวันตก เป็นห้อง 1 ห้องนอนพร้อมห้องเอนกประสงค์ที่ฟังก์ชั่นครบ เอ็กคลูซีฟ และอยู่สบาย เริ่มจากห้องครัวแบบปิด มีมุมวางโต๊ะทานอาหาร มีห้อง Living ขนาดใหญ่ที่ใหญ่ พอที่สามารถวางโซฟา L Shape ได้ และยังมีพื้นที่เหลือด้านหลังสามารถ Built-in ชั้นหนังสือหรือ Working Corner ได้เพิ่มเติม ห้องนอนที่ไม่มีส่วนกำแพงที่ติดกับห้องไหนเหมาะสำหรับผู้ที่ชอบความเงียบเป็นส่วนตัว ภายในมีช่องแสงถึง 2 ช่องจากกระจกบานใหญ่และอีกด้านข้างอีก 1 ช่องที่มองลงมาแล้วเป็นสวนชั้น 4 มีห้องที่เป็น Walk-in Closet แบบจริงๆ ห้องนี้เหมาะมากโดยเฉพาะสุภาพสตรีที่มองหาห้องที่มี Walk-in Closet โดยเฉพาะห้องนี้มีเพียงชั้นละ 1 ห้องเท่านั้นและ ทั้งโครงการมีเพียง 12 ห้องเท่านั้น! 2 BEDROOM-1 54.79 ตร.ม. ห้องมุมฝั่งทิศใต้จากทั้ง 2 ห้องนอนและได้วิวฝั่งทิศตะวันออกจากระเบียง แบ่งโซน Private กับ Public อย่างชัดเจนอย่างห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่และโต๊ะทานข้าวที่วางได้ขนาด 4 ที่นั่ง ส่วน Master Bedroom ขนาดใหญ่ที่ได้โต๊ะทำงานเข้ามุม Bay window เป็นส่วนตัวพร้อมห้องน้ำในตัว ขณะห้องนอนที่ 2 ก็ยังได้กระจกบานใหญ่เช่นกัน จึงเหมาะสำหรับการอยู่อาศัย 2 คนขึ้นไปทั้งแบบครอบครัวลูกเล็ก-โต หรืออยู่แบบพี่น้องก็ได้ ไม่เน้นการทำอาหารมากนัก ห้องนี้มีเพียงชั้นละ 1 ห้องเท่านั้น ทั้งโครงการมีเพียง 16 ห้องเท่านั้น 2 BEDROOM-2 55.13 ตร.ม. ห้องมุมส่วนตัว ตำแหน่งทิศเหนือและได้วิวทิศตะวันตกไปด้วย ห้อง Type สุดท้ายที่ถือว่าทุกอย่างลงตัวที่สุด โดยการวางห้องนอนทั้ง 2 ห้องแยกออกจากกันเพื่อความเป็นส่วนตัวสุดๆ โดยเชื่อมต่อด้วย Space ของห้อง Living + Dinning ไว้ตรงกลาง   นอกจากนั้นยังเป็นห้องครัวปิดช่วยเรื่องการป้องกันกลื่นจากการทำอาหาร มีห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ สามารถวางโต๊ะทานอาหารได้ขนาด 4 ที่นั่ง ทั้ง 2 ห้องนอนได้ขนาดใหญ่วางเตียงได้ 5 ฟุต ได้ห้องน้ำในตัวทั้ง 2 ห้อง มีห้องน้ำที่เป็น Double Access เข้าจากห้องครัวเพื่อความเป็นส่วนตัวและความสะดวกสบายเมื่อมีแขกมาหรือสามารถ เดินเข้าห้องน้ำได้เลยไม่ต้องผ่านห้องนอน ห้องนี้มีเพียงชั้นละ 1 ห้องเท่านั้น ทั้งตึกมีเพียง 12 ห้องเท่านั้น   ความโดดเด่นของ CENTRIC RATCHAYOTHIN นอกจากทำเลแล้ว ยังเป็นเรื่องของความใส่ใจรายละเอียดในการออกแบบห้องพักอาศัยโดยพยายามทำความเข้าใจและนึกถึงความต้องการของผู้พักอาศัยที่แท้จริง ตามความตั้งใจที่ เอสซีฯ ที่อยากส่งมอบ Living Solution ให้แก่ลูกค้าสามารถตอบโจทย์ได้หลายไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ เป็นความเพียบพร้อมของคอนโดมิเนียมสักโครงการที่เรียกว่ามีดีรอบด้าน ส่งผลเกิดเป็นความสมบูรณ์แบบในการใช้ชีวิตท่ามกลางเมืองหลวงตามไปด้วยเช่นกัน ซึ่งที่นี่คือคำตอบ   นอกจากนี้แล้วโครงการยังขายห้องแบบ Fully Furnished อีกด้วย! โครงการ เปิดพรีเซลส์โครงการ ในวันที่ 10-11 มีนาคม 2561 ที่เซ็นทริค รัชโยธิน Sales Gallery สามารถลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิพิเศษสูงสุด 250,000 บาท* คลิก https://goo.gl/bQ5kMc ขายห้องแบบ Fully Furnished อีกด้วย! ในราคาเริ่ม 3.7 ล้านบาท* สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 1749 หรือ Line@ :@Sccondo      
LPC ร่วมส่งเสริมคุณภาพชีวิตสตรีด้อยโอกาส ส่งนโยบาย “Social Enterprise” สรรค์สร้างสังคมไทยอย่างยั่งยืน

LPC ร่วมส่งเสริมคุณภาพชีวิตสตรีด้อยโอกาส ส่งนโยบาย “Social Enterprise” สรรค์สร้างสังคมไทยอย่างยั่งยืน

ตลอดระยะเวลา 28 ปีของการพัฒนาอาคารชุดพักอาศัย บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) (LPN) ไม่เพียงแต่มุ่งพัฒนาคุณค่าผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อให้ “ลุมพินี” เป็นแบรนด์ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงใจ สร้าง “ชุมชนน่าอยู่” (Livable Community) และความสุขที่แท้จริงของการอยู่อาศัยเท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นให้พนักงานมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มสตรีด้อยโอกาส ซึ่งจากข้อมูลของสำนักกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สรุปจำนวนเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวประจำปี 2551 - 2556 พบว่าปี 2554 เป็นปีที่มีเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวสูงที่สุด คือ จำนวน 1,096 และหลังจากนั้นตัวเลขได้สูงขึ้นถึงประมาณ 1,200 เหตุการณ์ ส่งผลให้สตรีที่โดนกระทำความรุนแรงทางด้านร่างกายและจิตใจ รวมถึงการเอารัดเอาเปรียบจากสังคมเหล่านั้นเป็นผู้ด้อยโอกาสในสังคมไทย   ด้วยเหตุนี้ จึงได้จุดประกายให้ LPN  จัดตั้งบริษัทเพื่อสังคมในนามบริษัท ลุมพินี พร็อพเพอร์ตี้ เซอร์วิส แอนด์ แคร์ จำกัด (LPC) ตามนโยบาย “Social Enterprise” ซึ่งนับว่าเป็นมิติใหม่ในการจ้างงานด้านบริการทำความสะอาดที่มุ่งเน้นความยั่งยืนและเปิดโอกาสให้กับกลุ่มสตรีด้อยโอกาสในสังคมไทยเป็นหลัก การบริหารดำเนินการในรูปแบบที่ LPN ลงทุนโดยไม่ปันผลกลับมาที่ตนเอง แต่จะปันผลกำไรกลับคืนสู่พนักงาน LPC ในรูปแบบค่าตอบแทนและสวัสดิการต่างๆ ที่มากกว่าบริษัททั่วไป หนึ่งในนั้น คือ เงินเดือนที่สูงกว่ามาตรฐานค่าแรงขั้นต่ำถึง 10% โดยจุดเริ่มต้นของธุรกิจนี้เกิดจากปัญหาการจัดจ้างแม่บ้านลงพื้นที่คอนโดมิเนียม ซึ่งในตอนแรกจำเป็นต้องอาศัยรูปแบบบริษัททำความสะอาดต่างๆ แต่พบว่ามีกติกาที่ไม่เป็นธรรม ส่งผลให้ผู้ที่เข้ามาทำงานไม่สามารถรับงานต่อเนื่องในระยะยาวได้ จึงเป็นแนวคิดในการก่อตั้ง LPC เมื่อปี 2554 รูปแบบการว่าจ้างของ LPC ยังแตกต่างออกไป โดยในตลาดบริการทำความสะอาดทั่วไปจะคิดค่าจ้างเป็นรายคน แต่ LPC เปลี่ยนวิธีรับงานเป็นระบบเหมา บริหารจัดการคนให้เหมาะสมกับพื้นที่ในการทำความสะอาดแต่ละครั้ง ทำให้สามารถลดจำนวนคนลง และเพิ่มรายได้ให้กับพนักงานในการว่าจ้างครั้งนั้นๆ  ได้ นอกเหนือไปจากการสร้างงาน สร้างอาชีพเพื่อให้พนักงาน LPC มีรายได้และเลี้ยงดูครอบครัวได้แล้ว ยังมุ่งเน้นให้การศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ด้วยการจัดให้มีระบบ“การศึกษานอกโรงเรียน” จัดครูสอนหนังสือด้านการอ่านและการเขียนให้กับพนักงานที่ยังไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ อีกส่วนหนึ่งคือการมอบอาชีพเสริม เช่น การนวดแผนไทย ด้วยการส่งพนักงานไปเรียนกับครูผู้เชี่ยวชาญ เป็นการติดอาวุธให้ ด้วยหวังว่าแม้ออกจากงานไป พวกเขาจะมีวิชาความรู้ติดตัวและนำไปประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองได้ในอนาคต และจากการที่ LPC ได้สร้างโอกาสและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับพนักงานกลุ่มนี้ เมื่อมีโอกาสและว่างจากงานประจำ พวกเขาจึงได้รวมตัวกันทำความดีตอบแทนสังคม ด้วยการทำความสะอาดบริเวณรอบๆ โครงการที่ทำงานอยู่ เช่น ป้ายรถเมล์ สะพานลอย วัด เพื่อสร้างทัศนียภาพให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น ปัจจุบัน LPC มีพนักงานรวม 1,200 คน เป้าหมายต่อไปของบริษัท คือ การดำเนินการให้ได้มาตรฐานการบริการสากล ISO 9001:2015 เพื่อขยายงานบริการออกไปสู่ภายนอกมากยิ่งขึ้น อันจะเป็นหนทางหนึ่งที่สร้างโอกาส สร้างศักดิ์ศรี และสร้างความสุข ให้กับสตรีเหล่านี้อย่างยั่งยืนต่อไป
มั่นคงเคหะการ ทุ่มงบ 160 ลบ.พัฒนา ‘ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ’ ชูจุดเด่นคลับเฮ้าส์และสปอร์ทคลับทันสมัย

มั่นคงเคหะการ ทุ่มงบ 160 ลบ.พัฒนา ‘ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ’ ชูจุดเด่นคลับเฮ้าส์และสปอร์ทคลับทันสมัย

บมจ. มั่นคงเคหะการ ปรับโฉม “ชวนชื่น กอล์ฟคลับ” สู่ ‘ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ’ งบกว่า 160 ล้านบาท โดดเด่นด้วยคลับเฮ้าส์และสปอร์ทคลับที่ทันสมัย ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ รองรับกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ตลอดจนการแข่งขันทัวร์นาเมนต์ต่างๆ งานเลี้ยงสังสรรค์ และงานสัมมนา คาดรายได้จากธุรกิจสนามกอล์ฟและสปอร์ทคลับโตขึ้น 40% ในปี 61 นายสุเทพ วงศ์วรเศรษฐ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด(มหาชน) หรือ MK เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ดำเนินการพัฒนาปรับโฉม ‘ชวนชื่น กอล์ฟคลับ’ สนามกอล์ฟในเครือ ย่านปทุมธานีที่ก่อตั้งมายาวนานกว่า 24 ปี ให้มีรูปแบบที่ทันสมัยและเข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนยุคปัจจุบันมากยิ่งขึ้น โดยใช้งบลงทุนกว่า 160 ล้านบาท ซึ่งได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้ว  เมื่อกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ภายใต้ชื่อใหม่ ‘ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ’ สนามกอล์ฟมาตรฐาน 18 หลุม บนเนื้อที่มากกว่า 400 ไร่ ด้วยจุดเด่นของคลับเฮ้าส์และสปอร์ทคลับที่ทันสมัย ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดจนยกระดับการบริการให้เข้าถึงทุกไลฟ์สไตล์ โดย ‘ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ’ ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ตลอดจนการแข่งขันทัวร์นาเมนต์ต่างๆ งานเลี้ยงสังสรรค์ และงานสัมมนา โดยบริเวณคลับเฮ้าส์และสปอร์ทคลับที่พัฒนาขึ้นใหม่นี้  มีพื้นที่กว่า 5,000 ตารางเมตร ประกอบด้วย ห้องอาหารที่สามารถให้บริการ ทั้งอาหารไทยและอาหารนานาชาติ ห้องสัมมนา ล็อกเกอร์ และห้องอาบน้ำที่กว้างขวาง รวมถึงบริการโปรช้อป ที่มีสินค้าให้นักกอล์ฟได้เลือกอย่างหลากหลาย ในส่วนบริเวณสปอร์ทคลับ  ครบครันทั้งฟิตเนส ห้องโยคะ สระว่ายน้ำ และมีบริการร้านกาแฟไว้คอยบริการ  ซึ่งช่วยรองรับการใช้บริการของลูกบ้านครอบครัวมั่นคงฯ ในย่านปทุมธานีแห่งนี้  ให้ได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น “การพัฒนา โครงการสนามกอล์ฟ ‘ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ’ นั้น ดำเนินไปตามกลยุทธ์การเติบโตที่วางไว้ ด้วยแผนรุกทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการขายและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการเช่าและการบริการให้เติบโตไปพร้อมๆ กันอย่างมั่นคง โดยได้ตั้งเป้าผลักดันทั้งสองธุรกิจมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 50:50” นายสุเทพ วงศ์วรเศรษฐ กล่าวเพิ่มเติม ทั้งนี้กระแสตอบรับหลังจากการเปิดให้บริการที่ผ่านมาเป็นไปในทิศทางที่ดี และได้รับการตอบรับจากลูกค้าที่มีใช้บริการอย่างดี  โดยคาดว่าหลังจากเปิดให้บริการ ‘ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ’ อย่างครบวงจรแล้ว  บริษัทฯ คาดการณ์ว่าจะมีรายได้จากธุรกิจการให้บริการสนามกอล์ฟ์และสปอร์ทคลับในปี 2561  เพิ่มขึ้น 40% จากปีที่ผ่านมา สำหรับทำเลกรุงเทพฯ-ปทุมธานี ถือเป็นทำเลที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าดีที่สุดทำเลหนึ่ง โดยทำเลดังกล่าว ถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพ เนื่องจากสามารถเดินทางได้สะดวกด้วยหลายเส้นทางเพื่อเชื่อมต่อเข้าเมือง ทั้งยังใกล้กับสถานที่สำคัญต่างๆ อาทิ ห้างสรรพสินค้า ได้แก่ เดอะ ทรี อเวนิว และโรบินสัน ศรีสมาน และสถานศึกษา เช่น โรงเรียนสาธิตปทุมวัน, โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ , โรงเรียนหอวัง นนทบุรี , โรงเรียนอัมพรไพศาล และโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี  และโรงพยาบาล ได้แก่ โรงพยาบาลนนทเวช เป็นต้น ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ลูกค้ามาใช้บริการมากขึ้นด้วย