Tag : News

2400 ผลลัพธ์
TIF Expo 2018 งานแสดงเฟอร์นิเจอร์คุณภาพระดับส่งออก  โชว์ศักยภาพศูนย์กลางผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ภูมิภาคอาเซียน

TIF Expo 2018 งานแสดงเฟอร์นิเจอร์คุณภาพระดับส่งออก โชว์ศักยภาพศูนย์กลางผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ภูมิภาคอาเซียน

กลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ผนึกกำลังภาคเอกชนโชว์ศักยภาพของผู้ประกอบการไทย ภายในงาน “Thailand International Furniture Expo 2018” นายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ถือเป็นอุตสาหกรรมหนึ่งที่สร้างรายได้ให้กับประเทศ ด้วยมูลค่าการส่งออกราว 37,000  ล้านบาทในปีที่ผ่านมา และมีแนวโน้มเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภูมิภาคอาเซียน กลุ่ม CLMV เป็นตลาดที่มีแนวโน้มการเติบโตสูง จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและการลงทุนในภาคส่วนต่างๆ ซึ่งผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์จากประเทศไทย ได้รับการยอมรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มประเทศเหล่านี้  เนื่องจากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการผลิตและส่งออกสินค้าคุณภาพระดับสากลมาอย่างยาวนาน จึงนับเป็นโอกาสที่จะต่อยอดการขยายตัวของการส่งออกเฟอร์นิเจอร์ไปยังกลุ่มประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจเหล่านี้ ด้วยการพื้นฐานทางด้านการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ จากฝีมือที่ประณีต ราคาที่เหมาะสม เสริมศักยภาพด้วยการพัฒนารูปแบบให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์และความต้องการของลูกค้าในแต่ละประเทศ งาน Thailand International Furniture Expo 2018 (TIF Expo 2018) เป็นงานแสดงเฟอร์นิเจอร์ระดับนานาชาติ ซึ่งจะมีนักธุรกิจจากต่างประเทศเข้ามาเยี่ยมชมและเปิดโอกาสในการเจรจาทางธุรกิจ เกิดประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมของประเทศ เกิดการจ้างงาน และสนับสนุนกลุ่มผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ตอบรับทางการตลาดด้วยการสนับสนุนการจัดงานแสดงศักยภาพของกลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไทย อันเป็นศูนย์กลางการส่งออกสินค้าเฟอร์นิเจอร์ที่ยิ่งใหญ่ของอาเซียน “ภาครัฐมีการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการเฟอร์นิเจอร์ พัฒนาสินค้าให้มีความแปลกใหม่ ใช้ความคิดสร้างสรรค์ผลงานและนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการ เพื่อให้ผู้ประกอบการสามารถก้าวสู่เวทีการค้าระหว่างประเทศได้อย่างมั่นคง พร้อมส่งเสริมนโยบายทางการตลาด ด้วยการจัดแสดงศักยภาพของ กลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ไทยอันเป็นศูนย์กลางการส่งออกสินค้าเฟอร์นิเจอร์ที่ยิ่งใหญ่ของอาเซียน”นายสนธิรัตน์ กล่าว ด้านนายธนากร เกษตรสุวรรณ รองประธานกลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ (TFIC) สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ในฐานะประธานจัดงาน Thailand International Furniture Expo 2018 (TIF Expo 2018)  เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ มีส่วนสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจระดับประเทศ ด้วยศักยภาพและความพร้อม จากความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบและผลิตที่มีมาอย่างยาวนาน อีกทั้งยังมีความแข็งแกร่งของผู้ประกอบการภายใต้การรวมตัวของกลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ซึ่งนับเป็นครั้งแรกและครั้งสำคัญในการผนึกกำลังของภาคเอกชนในอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ ในการจัดงานแสดงสินค้าระดับนานาชาติด้วยตัวเอง ด้วยการจัดงาน “Thailand International Furniture Expo 2018” (TIF Expo 2018) ภายใต้แนวคิด “The Signature of living” กำหนดจัดระหว่างวันที่ 7-11 มีนาคม 2561 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี บนพื้นที่กว่า 20,000 ตารางเมตร เพื่อแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของประเทศไทย ในฐานะที่เป็นศูนย์กลางผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์ของอาเซียน ที่มีความสามารถในการส่งออกไปในระดับโลก ภายในงานจะแบ่งเป็น 4 โซนหลัก ได้แก่ 1. โซนแสดงสินค้าจากผู้ประกอบการกว่า 100 แบรนด์ ที่รวบรวมสินค้าเฟอร์นิเจอร์หลากหลายแบบ ที่สามารถรองรับทุกความต้องการสำหรับงานตกแต่ง และยังพร้อมด้วยศักยภาพในการผลิต ในราคาที่จับต้องได้ 2. โซน Design Plant พื้นที่จัดแสดงสินค้าเฟอร์นิเจอร์ ที่ถูกคัดสรรมาแล้วว่ามีความเก๋ ดีไซน์แปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร มีความโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ จากเหล่าดีไซเนอร์ชั้นนำของเมืองไทย 3. โซน Young Designer Showcase พื้นที่แสดงผลงานการออกแบบของสถาบันการศึกษา ที่จะโชว์ถึงไอเดียสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ที่จะขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเฟอรืนิเจอร์ของประเทศไทยในอนาคคต และ 4. โซน TIF Café by Staff Coffee พื้นที่มุมกาแฟ ที่ให้ผู้เข้าชมงานได้มีโอกาสลองสัมผัสกับสินค้าเฟอร์นิเจอร์หลากหลายแบรนด์ พร้อมดื่มด่ำไปกับรสชาติของกาแฟ นอกจากนี้ ยังมีนักธุรกิจจากต่างประเทศเข้ามาชมงานและเปิดโอกาสในการเจรจาทางธุรกิจก่อให้เกิดประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรมของประเทศ สนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ซึ่งเป็นกำลังหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ พร้อมทั้งมุ่งเน้นในการเผยแพร่ผลงานการออกแบบและการผลิตเฟอร์นิเจอร์ของไทยได้มีเวทีเปิดตัวสินค้าใหม่, ส่งเสริมตลาดเฟอร์นิเจอร์ของประเทศให้มีการขยายตัวมากขึ้น, สร้างโอกาสให้มีการพบปะแลกเปลี่ยนทัศนะและประสบการณ์ในธุรกิจอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง ตัวแทนจําหน่าย ห้างสรรพสินค้า นักออกแบบ สถาปนิก ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ตลอดจนสนับสนุนธุรกิจของสมาชิก และเผยแพร่ชื่อเสียงของกลุ่มอุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ให้เป็นที่รู้จักแพร่หลายมากยิ่งขึ้น “งานTIF Expo 2018 ได้รวบรวมแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ชั้นนำของเมืองไทยที่มีศักยภาพด้านการผลิตและราคาที่จับต้องได้ รวมถึงกลุ่มนักออกแบบ ที่สามารถมาหาแรงบันดาลใจ หรืออัพเดตเทรนด์การออกแบบ จากสินค้าเฟอร์เจอร์ที่มาแสดงในงาน ตลอดจนบุคคลทั่วไปที่มีความสนใจในสินค้าเฟอร์นิเจอร์ สามารถเลือกซื้องานเฟอร์นิเจอร์ดีไซน์คุณภาพ ในงานจะมีการโชว์ไอเดียใหม่ๆ จากนักออกแบบและผู้ประกอบการชั้นนำ ทั้งห้องนอน ห้องรับแขก ห้องครัว หรือออฟฟิศ   มั่นใจได้กับคุณภาพระดับพรีเมียม มาตรฐานส่งออก ตอบรับความต้องการของคนรุ่นใหม่ ด้วยดีไซน์ที่ชาญฉลาด เหมาะกับการตกแต่งที่อยู่อาศัย คอนโดมิเนียม ร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ต หรือสปา ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นการสร้างแรงบันดาลใจให้กับสถาปนิกและนักออกแบบในการสร้างสรรค์การตกแต่งด้วยไอเดียที่ไม่จำเจ รวมทั้งประชาชนที่สนใจ สามารถเข้ามาหาแรงบันดาลใจสำหรับ การเลือกเฟอร์นิเจอร์สำหรับที่อยู่อาศัยได้ภายในงานนี้” นายธนากร กล่าว ทั้งนี้ขอเชิญนักออกแบบ นักธุรกิจและผู้ที่สนใจ เข้าร่วมสร้างแรงบันดาลใจพร้อมมองหาไอเดียใหม่ๆ ภายในงาน Thailand International Furniture Expo 2018 (TIF Expo 2018) ซึ่งจะจัดขึ้นใน วันพุธที่ 7- วันอาทิตย์ที่ 11 มีนาคม 2561 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เจรจาธุรกิจ : วันพุธที่ 7 – วันพฤหัสบดีที่ 8 มีนาคม 2561  (10.00 –18.00 น.) จําหน่ายปลีก : วันศุกร์ที่ 9 – วันอาทิตย์ที 11 มีนาคม 2561  (10.00 – 21.00 น.) และสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับงาน TIF : Thailand International Furniture Expo 2018  ได้ที่ www.facebook.com/tifexpo
BSH เปิดตัว BOSCH ชูนวัตกรรมโดดเด่น พร้อมรุกตลาดพรีเมี่ยมไทย

BSH เปิดตัว BOSCH ชูนวัตกรรมโดดเด่น พร้อมรุกตลาดพรีเมี่ยมไทย

BSH ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำจากเยอรมนี พร้อมรุกขยายตลาดพรีเมี่ยมในไทย ขนทัพ 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์ เปิดตัวอย่างเป็นทางการในประเทศไทย เผยเชื่อมั่นคุณภาพสินค้าที่มีนวัตกรรมโดดเด่น หนุนยอดขายได้ตามเป้า นายชลวิทย์ ณ สงขลา กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีเอสเอช โฮม แอ็พพลายแอ็นซ์ จำกัด(ประเทศไทย) กล่าวว่า  ปัจจุบันอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านอยู่ในช่วงการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ตามยุคสมัยโลกดิจิทัลที่อุปกรณ์เครื่องใช้ในบ้านสามารถเชื่อมต่อกันได้และใช้งานง่ายในชีวิตประจำวัน “BSH” ในฐานะผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าภายใต้แบรนด์ “Bosch” ที่มียอดขายสูงสุดอันดับ 1 ในยุโรป และด้วยประสบการณ์กว่า 60 ปี มีการสรรหาเคล็ดลับใหม่ ๆ เกี่ยวกับ “Living with Bosch” ให้ผู้บริโภคได้สัมผัสนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีอันโดดเด่นกับการใช้งานง่าย ช่วยให้ชีวิตในบ้านสะดวก สบายมากขึ้น โดยการนำ 4 กลุ่มผลิตภัณฑ์เข้ามาเปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ประกอบด้วย กลุ่มเครื่องซักผ้าและอบผ้า ด้วยนวัตกรรมเทคโนโลยี Active Oxygen ซึ่งเป็นลิขสิทธิ์ของBosch ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีที่สามารถฆ่าเชื้อโรคและแบคทีเรียได้ถึง 99.99% ทำให้มั่นใจได้ว่าเชื้อโรคและแบคทีเรียต่าง ๆ จะถูกขจัดออกไปโดยได้รับการรับรองจากThe Wfk (Cleaning Technology Research Institute)ซึ่งเป็นสถาบันวิจัยเทคโนโลยีการทำความสะอาดโดยเฉพาะนอกจากนี้ยังมีระบบเซ็นเซอร์อัจฉริยะที่เรียกว่า i-DOS สามารถกำหนดปริมาณน้ำยาซักผ้าในปริมาณที่ถูกต้องแม่นยำโดยอัตโนมัติเหมาะสมกับทุกรอบของการซัก ซึ่งจะทำให้ผ้าสะอาดหอมสดชื่นและปราศจากสารตกค้าง กลุ่มเครื่องใช้ในครัว และเตาอบที่สามารถเปลี่ยนเมนูในฝันของคุณให้เป็นจริงได้อย่างง่ายดายด้วยเทคโนโลยี 4D Hot air ช่วยให้สามารถกระจายความร้อนอย่างทั่วถึงและสม่ำเสมอ และระบบเซ็นเซอร์ Perfect Bake สามารถควบคุมค่าความร้อน เวลา ความชื้นภายในเตา และอุณหภูมิอัตโนมัติ พร้อมทั้งระบบ Perfect Roast ที่ให้การอบอาหารสมบูรณ์แบบ โดยเครื่องวัดอุณหภูมิแม่นยำและตรงจุด ทุกประเภทของเมนูอาหาร เตาอบอัจฉริยะนี้จะจัดการส่วนที่เหลืออย่างอัตโนมัติเพื่อ Perfect Results และ ผลลัพธ์ที่ได้คือ ขนมปัง ขนมเค้กขนมอบ และอาหารชนิดอื่นๆ มีรสชาติและส่วนผสมที่ลงตัวสมบูรณ์แบบ กลุ่มตู้เย็น ด้วยระบบระเหยน้ำและแยกส่วนสำหรับช่องแช่เย็นและช่องแช่แข็ง ยังช่วยป้องกันกลิ่นอาหารไม่ให้ปะปนกันนอกจากนี้ ระบบVitaFresh ยังช่วยรักษาความสดของผัก ผลไม้และเนื้อสัตว์ ได้นานยิ่งขึ้นถึง3 เท่า ด้วยช่องเก็บที่มีอุณหภูมิต่ำ และการออกแบบด้วยหลักสรีระศาสตร์ (Ergonomics design)เพื่อช่วยให้สะดวกและหลีกเลี่ยงการก้มตัวในขณะหยิบอาหารจึงช่วยถนอมสุขภาพหลัง ทำให้การใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดีเป็นเรื่องง่าย กลุ่มเครื่องล้างจานถือเป็นกลุ่มสินค้าที่มียอดขายอันดับหนึ่งของโลก(ที่มา:Euromonitor, volume sales,2017) ด้วยเทคโนโลยี Perfect Dry based on Zeolith ซึ่งเป็นการทำความร้อนจากแร่ธรรมชาติ ลิขสิทธิ์ ของ Bosch สามารถ ลดการใช้พลังงานได้มากถึง 30% โดยจัดการใช้พลังงานอยู่ในกลุ่ม A ตามมาตรฐานสูงสุดของยุโรป ซึ่งทำงานด้วยมอเตอร์ที่มีความล้ำหน้าเพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประสิทธิภาพที่ดีที่สุด, ความประหยัด และความทนทานในการทำงานของมอเตอร์ EcoSilence Drive ที่ทำงานได้เงียบสนิท และให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม โดยสินค้ากลุ่มเครื่องล้างจานมีให้เลือกได้หลากหลายสไตล์ที่ลงตัวกับห้องครัวมากที่สุด และใช้พลังงานน้อยที่สุดประกอบด้วย เครื่องล้างจานแบบตั้งพื้น, เครื่องล้างจานแบบติดตั้งในเฟอร์นิเจอร์ และเครื่องล้างจานแบบติดตั้งซ่อนในเฟอร์นิเจอร์ ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี AquaStop Plus ระบบป้องกันน้ำล้นออกจากเครื่องที่รับประกันตลอดอายุการใช้งานเพื่อความปลอดภัยและระบบนิรภัยที่แน่นหนายิ่งขึ้นสามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงแบบ 7 วันต่อสัปดาห์ นายชลวิทย์กล่าวเพิ่มเติมว่า  ภาพรวมตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านของปีนี้ มีทิศทางดีขึ้นจากปัจจัยการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าระดับพรีเมี่ยมยังคงมีกำลังซื้อ ซึ่งดูได้จากโปรโมชั่นที่เผยแพร่ทางออนไลน์ ถือว่าได้รับเสียงตอบรับจากผู้บริโภคกลุ่มนี้พอสมควร และการนำ4  กลุ่มผลิตภัณฑ์เข้ามาเปิดตัวพร้อมกันในช่วงนี้ บริษัทยังเชื่อมั่นว่าสามารถผลักดันยอดขายได้ตามเป้าหมายจากปัจจัยความโดดเด่นของนวัตกรรมที่เพิ่มความสะดวกให้ผู้บริโภคในการใช้ชีวิตได้ง่ายขึ้น และผลิตภัณฑ์ “Bosch” สามารถหาซื้อได้ง่ายผ่านช่องทางออนไลน์  ตัวแทนจำหน่าย และห้างสรรพสินค้าชั้นนำทั่วประเทศ นอกจากนี้ ทาง BSH ยังมีผลิตภัณฑ์อีกมากมายที่จะมาสร้างความสมบูรณ์แบบให้กับการใช้ชีวิตของคุณมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น อาทิ เครื่องดูดฝุ่นที่ทรงพลังไร้ถุงเก็บฝุ่นด้วยระบบ SensorBagless นวัตกรรมเครื่องดูดฝุ่นแบบไม่มีถุง จะทำให้เครื่องดูดฝุ่นมีประสิทธิภาพ โดยสามารถลดขั้นตอนการทำความสะอาดให้น้อยที่สุด และการทำงานที่ไร้เสียงรบกวนและนวัตกรรม GoreCleanSteam ของแผ่นกรองอากาศที่อยู่ได้นานเทียบเท่าอายุของเครื่องดูดฝุ่น และที่พิเศษไปกว่านั้น เครื่องดูดฝุ่นบ๊อชรุ่น ProAnimal สามารถดูดขนสัตว์และสิ่งสกปรกได้เร็วกว่าถึง 30% ทั้งนี้ยังมีเครื่องตีแป้งอเนกประสงค์ OptiMUM ที่ถูกออกแบบอย่างโดดเด่น สวยงามและสะดุดตา และมาพร้อมกับเทคโนโลยี SensorControl Plus ระบบทำงานอัตโนมัติซึ่งช่วยให้ส่วนผสมในการตี เข้ากันได้อย่างทั่วถึง เพียงแค่กดปุ่มเดียว, ฟังก์ชั่นการตั้งเวลา Integrated Timerและเทคโนโลยี 3D Planetary Mixing ที่ตีส่วนผสมต่างๆ เป็นเนื้อเดียวกันด้วยการเคลื่อนที่ของหัวตี 3 ทิศทางพร้อมกันจึงมั่นใจในผลลัพธ์ที่สมบูรณ์แบบทุกครั้งที่ใช้งาน และใหม่ล่าสุดกับเครื่องปั่นอเนกประสงค์ความเร็วสูง VitaBoost ที่มีคุณสมบัติเด่นเรื่อง Superfine Blend ปั่นเร็วและได้สารอาหารครบถ้วนภายในไม่กี่วินาที และไม่ว่าจะปั่นร้อนหรือเย็น ซุป สมูทตี้ เชค ก็จัดการได้อย่างง่ายได้ ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.bosch-home.in.th
แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด จับมือ ซีบีอาร์อี จัดงาน “The Exclusive Unveiling of the Latest Show Suites” 10-11 มี.ค.นี้

แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด จับมือ ซีบีอาร์อี จัดงาน “The Exclusive Unveiling of the Latest Show Suites” 10-11 มี.ค.นี้

แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ร่วมกับ ซีบีอาร์อี ประเทศไทยจัดงาน “The Exclusive Unveiling of the Latest Show Suites” ตั้งแต่วันที่ 10-11 มีนาคม 2561  พร้อมมอบสิทธิพิเศษมากมายสำหรับลูกค้าและนักลงทุนภายในงาน นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(MQDC) กล่าวว่า ซีบีอาร์อี คือหนึ่งในบริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก ที่จะช่วยดูแลลูกค้าชาวไทย ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นและต้องการโครงการอสังหาริมทรัพย์บนทำเลชั้นเยี่ยม ตลอดจนโอกาสการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนคุ้มค่ามากที่สุด ซึ่งแมกโนเลียส์คือหนึ่งในโครงการที่ดีที่สุดในตลาดห้องชุดระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นำเสนอโอกาสการลุงทุนที่มีศักยภาพสูงซึ่งให้ผลตอบแทนที่ดีเยี่ยม และสำหรับผู้ที่ซื้อเพื่อการอยู่อาศัย ก็ถือเป็นการลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่เหนือระดับและคุ้มค่ามากที่สุดด้วยเช่นกัน นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในโครงการระดับสากลซึ่งเป็นที่ต้องการมากที่สุดในหมู่นักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ นับตั้งแต่เปิดตัว เราได้รับเสียงตอบรับที่ดีเยี่ยมอย่างต่อเนื่องจากผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ระดับสากลจากหลากหลายประเทศ "เรารู้สึกยินดีที่ได้ดูแลโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด เชื่อมั่นว่าราคาประเมินของห้องชุดระดับไฮเอนด์ในกรุงเทพฯ ขยับเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 11% ในปีที่แล้ว และยังเป็นที่จับตาของนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง และในปัจจุบัน คาดว่าราคาน่าจะขยับสูงขึ้นอีกและเพิ่มโอกาสการซื้อขายในตลาดต่างประเทศมากขึ้น” นางสาวอลิวัสสา กล่าว โดยห้องชุดที่เหลืออยู่ของแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ดในปัจจุบัน คือแบบ 2 ห้องนอนพื้นที่ 75-108 ตารางเมตร และห้องห้องเพนท์เฮ้าส์ พื้นที่ 321-384  ตารางเมตร ภายในโครงการยังเพียบพร้อมด้วยส่วนบริการเพื่อการพักอาศัยระดับไฮเอนด์ ทั้งคลับส่วนตัว ล็อบบี้ส่วนตัวสำหรับผู้พักอาศัย และจุดรับ-ส่ง ห้องประชุมสังสรรค์ เลาจน์ พื้นที่สวนสีเขียวดีไซน์ใหม่ ห้องสมุด ศูนย์ไปรษณีย์ ศูนย์ธุรกิจพร้อมระบบสื่อสารและการเชื่อมต่อออนไลน์แบบครบวงจร ตลอดจนศูนย์ฟิตเนส ลู่วิ่งออกกำลังกลางแจ้ง เซาว์น่า สระว่ายน้ำยาว 70 เมตร พร้อมจากุชชี่และสระเด็ก รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูงตลอด 24 ชั่วโมง ภายในงานครั้งนี้ นำเสนอห้องชุด 2 ห้องนอนในราคาสุดพิเศษเริ่มต้น 20 ล้านบาท พร้อมสิทธิประโยชน์อีกมากมายเฉพาะแขกในงานเท่านั้น หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อโทรศัพท์ +66 83 095 5054 อีเมล magnolias@cbre.co.th หรือเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.magnolias-ratchadamri.com
เดวา เรียลเอสเตท เปิดตัว “D8” ย่านเอกมัย-รามอินทรา เจาะกลุ่มครอบครัวใหญ่

เดวา เรียลเอสเตท เปิดตัว “D8” ย่านเอกมัย-รามอินทรา เจาะกลุ่มครอบครัวใหญ่

เดวา เรียลเอสเตท เปิดตัว “D8” เจาะกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ ทุกส่วนของบ้านสามารถสัมผัสลมและแดดธรรมชาติ คุ้มค่าด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนตัวครบครัน รองรับผู้อยู่อาศัยครอบครัวใหญ่ได้ถึง 3 เจนเนอเรชั่น เพียง 39.9 ล้านบาท นายเลิศมงคล วราเวณุชย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เดวา เรียลเอสเตท จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในรูปแบบ Luxury Vertical House ด้วยคอนเซปต์ urban living solution ตอบโจทย์ครอบครัวขนาดใหญ่ที่ต้องการอยู่อาศัยในเขตเมืองที่สามารถเดินทางเข้าสู่ศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ได้อย่างสะดวกสบาย รองรับการอยู่อาศัยได้ถึง 3เจนเนอเรชั่น ด้วยพื้นที่ใช้สอยที่ใหญ่กว่า 700 ตารางเมตร พร้อมที่จอดรถเพดานสูงกว่า 3 เมตร รองรับได้ถึง 6 คัน และสามารถขยายจำนวนที่จอดสูงสุดถึง 9 คันด้วย Mechanic car park ทั้งยังให้ความเป็นส่วนตัวได้มากกว่า เพราะเปิดตัวด้วยจำนวนเพียง 6 ยูนิต บนทำเลย่านเอกมัย-รามอินทรา ในราคา 39.9 ล้านบาท ที่คุ้มค่ากว่าด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนตัวครบครัน เช่น ลิฟท์ สระว่ายน้ำ และสวนหย่อมส่วนตัว ไม่มีค่าใช้จ่ายส่วนกลาง นอกจากนี้ยังคำนึงทิศทาง แดด ลม การถ่ายเทของอากาศ และแสงสว่างที่เข้าถึงในแต่ละส่วนของการใช้งาน ทำให้ตัวอาคารประหยัดพลังงานในการใช้แสงสว่างจากไฟฟ้าและการปรับอากาศ ขณะที่พื้นที่ใจกลางของอาคารถูกวางให้เป็นตำแหน่งของคอร์สต้นไม้ ซึ่งเป็นพื้นที่คอร์สหลักกลางบ้าน อีกทั้งห้องนอนทุกห้องถูกออกแบบให้สามารถมองพื้นที่ส่วนนี้ได้ รูปแบบอาคารออกแบบให้มีการบิดตัวไปมา ซึ่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เป็นการบิดตัวประกอบต่อกันเกิดเป็นพื้นที่สำหรับอยู่อาศัย วิธีการนี้ทำให้แต่ละส่วนของบ้าน ได้รับแสงธรรมชาติ และเปิดมุมมองด้วยวิวที่แตกต่างกัน รวมถึงยังสามารถแทรกพื้นที่สีเขียว เป็น pocket garden เข้าในแต่ละยูนิต สำหรับสระว่ายน้ำถูกออกแบบให้อยู่ชั้นบนสุดเพื่อความเป็นส่วนตัวและเพื่อให้อยู่บนจุดชมวิวกับมุมมองที่กว้างกว่า โดยพื้นที่ส่วนนี้สามารถเดินต่อเนื่องได้โดยตรงจากห้องนอนหลัก (Master bedroom) ที่ถูกจัดวางไว้ชั้นบนสุดเป็นรูปแบบ Penthouse ที่ออกแบบพื้นที่อย่างเป็นสัดส่วน ทั้งส่วนห้องนอนและส่วนห้องน้ำที่เชื่อมกันด้วยสะพานทางเดินกระจกขนาดใหญ่ สร้างให้พื้นที่มีความน่าสนใจแตกต่างจากโครงการอื่น “โครงการ D8 จะเข้ามาเจาะกลุ่มคนไทยอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องการพื้นที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ บนทำเลใกล้ CBD แต่มีไลฟ์สไตล์ไม่เหมาะกับการอยู่อาศัยในรูปแบบคอนโดมิเนียม เพราะมีแมวหรือสุนัขต้องเลี้ยง หรือเป็นครอบครัวขนาดใหญ่ ที่มีคนหลาย Generation อยู่ร่วมกัน บ้านทุกหลังในโครงการ D8 ได้รับการออกแบบโดยเน้นเรื่องของการใช้ประโยชน์ในทุกพื้นที่ใช้สอย นอกจากนี้ ในชั้น 3 ของบ้านออกแบบเป็นUniversal  design เราได้ออกแบบให้เป็นพื้นที่พิเศษสำหรับคุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยาย รองรับการใช้งานวีลแชร์โดยทำพื้นทั้งชั้นให้เรียบไม่มีพื้นยกระดับ เพื่อให้ศูนย์กลางของครอบครัวได้อยู่ร่วมกันกับลูกหลานอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาด้วยความสุข ทั้งนี้ แผนงานการก่อสร้างโครงการ D8 จะเริ่มการก่อสร้างภายในเดือนเมษายนนี้ และคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมโอนได้ภายในต้นปี 2562 ” นายเลิศมงคล กล่าว ทั้งนี้ บริษัทฯ มีข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าที่จองบ้านในโครงการภายในสิ้นเดือนมีนาคม 2561 จะได้รับส่วนลดพิเศษ 1 ล้านบาท  พร้อมชุดครัว Euro Kitchen จากแบรนด์ชั้นนำ ซึ่งรวม Hob, Hood, Sink และ Oven   นอกจากนี้ ลูกค้าจะยังได้รับบริการพิเศษ SONDER Living มูลค่า 1.5 ล้านบาท โดยทางลูกค้าสามารถใช้บริการ Interior design จากทาง SONDER Living ในการออกแบบตกแต่งภายในอีกด้วย ทั้งนี้ D8 จะจัดงาน VIP Day เพื่อเปิดแนะนำโครงการ D8 อย่างเป็นทางการให้กับลูกค้าที่สนใจในวันเสาร์ที่ 24มีนาคม ตั้งแต่เวลา 10 โมง ถึง 6 โมงเย็น ณ SONDER living Flagship Gallery ถนนพระราม 9 ข้อมูลเพิ่มเติม www.D8Residence.com
เปิดขาย“เซาธ์ ทาวเวอร์ แอท วัน คราวน์ เพลส” เมืองไทยแห่งแรก 10-11 มี.ค.นี้

เปิดขาย“เซาธ์ ทาวเวอร์ แอท วัน คราวน์ เพลส” เมืองไทยแห่งแรก 10-11 มี.ค.นี้

กลุ่มบริษัทอัลลอย เอ็มทีดี (AlloyMtd) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก จากประเทศมาเลเซีย เตรียมเปิดขาย “เดอะ เซาธ์ ทาวเวอร์ แอท วัน คราวน์ เพลส” (The South Tower at One Crown Place) เรสซิเด้นซ์สุดหรูภายในโครงการมิกซ์ยูส “วัน คราวน์ เพลส” ใจกลางลอนดอน เปิดโอกาสนักลงทุนไทยเป็นแห่งแรกในเอเชีย เปิดขายรอบพิเศษ 10 – 11 มีนาคมนี้ ที่โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ นายเฮนรี่ โรบินสัน กรรมการบริหารและพัฒนาโครงการ วัน คราวน์ เพลส เปิดเผยว่า “วัน คราวน์ เพลส” โครงการมิกซ์ยูสหรู ตั้งอยู่บน “ซันสตรีท” (Sun Street) เขตอนุรักษ์ทางประวัติศาสตร์ของกรุงลอนดอน ประกอบด้วย อพาร์ตเมนต์ที่อยู่อาศัย 246 ยูนิต, โรงแรมบูติคระดับ5 ดาว, พื้นที่อาคารสำนักงานระดับพรีเมี่ยม ขนาด 130,007 ตารางเมตร (140,000 ตารางฟุต), พื้นที่ร้านค้า 650 ตารางเมตร (7,000 ตารางฟุต) และระเบียงจอร์เจีย(Georgian Terrace) เป็นส่วนหนึ่งของตัวโครงการฯ โดยมีราคาเริ่มต้นที่ 39,500,000 บาท หรือ 888,000 ปอนด์ สำหรับห้องชุดประเภท 1 ห้องนอน ปัจจุบัน โครงการได้ดำเนินงานรื้อถอน  งานก่อสร้าง ฐานราก และงานขุดเจาะชั้นใต้ดินเสร็จสิ้นแล้ว โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จและสามารถเข้าอยู่ได้ภายในปี 2563 “โครงการที่พัฒนาขึ้นตอบโจทย์ความชอบนักลงทุนชาวไทยเป็นอย่างดี โดยอพาร์ตเมนต์ชุดนี้มีราคาเริ่มต้นจาก 38 ล้านบาทถึง 377 ล้านบาทสำหรับห้องชุดที่ออกแบบโดย Sophie Ashby คาดว่า โครงการนี้จะเป็นที่นิยมอย่างมากสำหรับผู้ซื้อ ทั้งที่ซื้อ      เพื่อประโยชน์ของตนเอง หรือเพื่อประโยชน์ของบุตรหลานที่กำลังศึกษาอยู่ในสหราชอาณาจักร นอกจากนั้น ยังจะดึงดูดนักลงทุนเนื่องจากผลวิจัยทิศทางอสังหาริมทรัพย์ในลอนดอนชี้ว่า จะให้ผลตอบแทนสูงถึง 16.7% รวมถึงอัตราค่าเช่าที่สูงขึ้นถึง 4.66%  ซึ่งเราคาดว่า งานพรีเซลล์ในวันที่ 10 – 11 มีนาคมนี้ จะประสบความสำเร็จอย่างมาก" นายเฮนรี่ กล่าว ปัจจัยเหล่านี้จะนำไปสู่การเติบโตของตลาดอพาร์ตเมนต์ระดับไฮเอนด์ (High End Residential) ใจกลางกรุงลอนดอน โดยผลการวิจัยของซีบีอาร์อีคาดว่า ในช่วงปี 2560 - 2564 การเติบโตของเงินทุนจะเพิ่มขึ้นถึง 16.7% ซึ่งนับเป็นผลตอบแทนสูงกว่าสินทรัพย์อื่น ๆ เช่น ทองคำ น้ำมัน และตลาดหุ้น นอกจากนั้น การลงทุนในที่อยู่อาศัยในลอนดอน ยังคงมีผลการดำเนินงานที่ดีกว่าประเภทสินทรัพย์อื่น ๆ ทั้งหมดในระยะกลางถึงระยะยาว และได้พิสูจน์แล้วว่า เป็นการลงทุนที่ยืดหยุ่นและเป็นรูปธรรมมากที่สุด โดยในส่วนของนักลงทุนไทยและนักลงทุนรายอื่น ๆ จากทั่วโลกมีความสนใจที่จะลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในกรุงลอนดอน เนื่องจากสหราชอาณาจักรเป็นที่พำนักที่ปลอดภัยด้วยระบบกฎหมายที่โปร่งใส มีเขตเวลาที่เหมาะสำหรับการติดต่อสื่อสารและการพาณิชย์ระหว่างประเทศ, อุปทานของที่อยู่อาศัยยังไม่เพียงพอกับความต้องการ, ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมอันยาวนานของกรุงลอนดอน และใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาสากล โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ จำนวนนักลงทุนในภูมิภาคเอเชียเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดอันเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนเงินปอนด์ ทั้งนี้ กฎหมายของสหราชอาณาจักรทำให้นักลงทุนต่างชาติสามารถลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้ง่าย การถือครองกรรมสิทธิ์ในสัญญาเช่า (Leasehold) ที่มีความยาว 999 ปีเป็นที่น่าสนใจมาก และมีผลในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสหราชอาณาจักร ไม่เพียงแต่ดึงดูดผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัย แต่ยังดึงดูดผู้ซื้อจากทั่วโลกที่เน้นการลงทุนอีกด้วย ดังนั้น นักลงทุนไทยจะมีโอกาสได้รับผลกำไรจากการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในลอนดอน โดยเฉพาะผู้ที่ส่งบุตรหลานไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นนักเรียนชาวต่างชาติที่เข้ามาศึกษาในสหราชอาณาจักรมากเป็นอันดับที่ 7 จากทั่วโลก และมักใช้เวลาเรียนอย่างน้อย 4 หรือ 5 ปี ซึ่งเป็นแรงจูงใจในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยมากกว่าการเช่า นอกจากนี้ หลังจากสำเร็จการศึกษาแล้วอสังหาริมทรัพย์เหล่านั้นจะได้รับผลกำไรจากการเติบโตอย่างยั่งยืนของเงินทุนระยะยาวในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงลอนดอน นายที คิม เซียว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัทอัลลอย เอ็มทีดี กล่าวว่า อาคารแห่งนี้มีอัตราค่าเช่าที่สูงเป็นพิเศษและมีพื้นที่เช่าที่ต่ำ ไม่เพียงแต่ในปัจจุบันเท่านั้นยังรวมถึงในอนาคตอีกด้วย จะเห็นได้ว่า ย่านการเงินของกรุงลอนดอนมีประชากรอยู่อาศัยต่ำมากเพียง 8,000 คน แต่ด้วยการเปลี่ยนแปลงของร้านอาหารและวัฒนธรรมในพื้นที่นี้ ทำให้เหล่านายธนาคารและทนายความ เลือกที่จะอยู่ในเมืองลอนดอนมากขึ้น มากกว่าในพื้นที่ดั้งเดิมอย่างเคนซิงตันและเชลซี ดังนั้น “วัน คราวน์ เพลส” จะกลายเป็นสถานที่ที่เติมเต็มชีวิตในทุก ๆ วันของผู้อยู่อาศัย ทั้งการเดินทางที่สะดวกสบายด้วยทำเลที่ตั้งของการคมนาคมท้องถิ่นหลายเส้นทาง รวมถึง Crossrail เส้นทางใหม่ Elizabeth Line ที่จะเปิดให้บริการในปีนี้ ใช้เวลาเดินทางจากสนามบินฮีทโทรว (Heathrow Airport) เพียง 33 นาที และสามารถเดินทางไปยังแหล่งช้อปปิ้งชั้นนำของโลก อาทิ Bond Street, Broadgate Circle, Old Silicon Roundabout, Spitalfields Market และ Shoreditch ศูนย์กลางการสร้างสรรชื่อดัง เพียง 7 นาที  นอกจากนั้น ยังตั้งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยชื่อดังและใกล้ย่านบริษัทชั้นนำของลอนดอนหลายแห่ง และพิเศษสุด คนไทยจะเป็นกลุ่มแรก ๆ ที่มีโอกาสได้ครอบครองสุดยอดโครงการที่เป็นแลนด์มาร์คแห่งนี้ อนิึ่ง โครงการ “วัน คราวน์ เพลส” ได้รับการออกแบบโดยนักออกแบบชั้นนำชาวอังกฤษ Kohn Pedersen Fox Associates (KPF) บริษัทออกแบบเจ้าของรางวัลชนะเลิศด้านสถาปัตยกรรมระดับนานาชาติ ประกอบด้วย อาคารสูงตระหง่าน 2 อาคาร มีชั้นสูงสุดอยู่ที่ชั้นที่ 33  ทั้งสองอาคาร โดดเด่นด้วยเอกลักษณ์ของ “ระเบียงจอร์เจีย” ที่สวยงาม ซึ่งเป็นที่สุดท้ายในละแวกนี้ที่ได้รับการบูรณะให้ยังคงความสมบูรณ์ของสถาปัตยกรรมดั้งเดิม ซึ่งจะกลายเป็นคลับเฮาส์ของผู้อยู่อาศัยและโรงแรมบูติคระดับ 5 ดาว โครงการนี้เป็นโครงการมิกซ์ยูสที่ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกระดับเวิลด์คลาสสำหรับผู้อยู่อาศัย ภายใต้การดูแลความปลอดภัย 24 ชั่วโมง ให้ความรู้สึกของแหล่งชุมชนที่มีสีสันและในขณะเดียวกันก็ยังคงความเป็นส่วนตัว  โดยสิ่งอำนวยความสะดวก ประกอบด้วย ห้องออกกำลังกายที่ทันสมัย, ห้องรับประทานอาหารแบบส่วนตัว, เลาจน์, โรงภาพยนตร์, ห้องทรีทเมนต์, สตูดิโอ และระเบียงชมวิวกว้างขวาง นอกจากนั้น แต่ละห้องชุดยังเต็มไปด้วยพื้นที่รับแสงธรรมชาติ (Light-Filled Space) ที่อบอุ่นและมีเสน่ห์ อีกด้วย ทั้งนี้ การตกแต่งภายในได้รับการออกแบบโดยความร่วมมือของบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับโลก ไดแก่ B & B Italia และ Arclinea โดยจะออกแบบห้องครัวและตู้เสื้อผ้าสุดหรูสำหรับทุกยูนิตภายใน “วัน คราวน์ เพลส”  ซึ่งจะนำเสนอมาตรฐานใหม่และคุณภาพที่โดดเด่นสำหรับโครงการระดับโลกแห่งนี้โดยเฉพาะ โดยพื้นที่ส่วนกลางและภายในอพาร์ตเมนต์จะได้รับการออกแบบโดยบริษัทตกแต่งภายในที่มีชื่อเสียงอย่าง Bowler James Brindley ในขณะที่เพนเฮ้าส์ 9 หลัง ถูกออกแบบโดย Sophie Ashby แห่ง Studio Ashby
เลือกคอนโดห้องสวยๆ นอกจากทำเลดี facility ก็ต้องโดน (Advertorial)

เลือกคอนโดห้องสวยๆ นอกจากทำเลดี facility ก็ต้องโดน (Advertorial)

ใครที่เคยเลือกซื้อคอนโดมิเนียมสักยูนิตจะทราบดีว่ากว่าจะได้โครงการที่ดี ยูนิตโดนใจต้องดูรายละเอียดกันหลายรอบจนตาลายไปหมด ซึ่งการเลือกสรรของแต่ละคนก็แตกต่างกันออกไปตามโจทย์ของตัวเอง แต่สิ่งที่ทุกคนต้องจะต้องคำนึงถึงเป็นอันดับต้นๆ นั่นคือทำเลและภายในห้องพักอาศัย   หลายครั้งหลายคราวที่เราพูดถึงเรื่องของทำเล ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกของที่อยู่อาศัยทุกประเภทโดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่มีให้เลือกมากมายหลายแห่งจนเลือกไม่ถูก เพราะบางทำเลในย่านเดียวกันมีคอนโดมิเนียมเกิดใหม่ขึ้นมาเกือบ 10 โครงการกันเลยทีเดียว แน่นอนว่าทำเลดีสำหรับคอนโดมิเนียมนั้นหมายความว่าต้องเดินทางสะดวกติดรถไฟฟ้า ซึ่งรถไฟฟ้าในปัจจุบันแม้จะเปิดให้ใช้บริการเพียงไม่กี่เส้นทาง แต่ก็ได้รับความนิยมในการเดินทางมากในทุกๆ วัน จนกลายเป็นหัวใจหลักของการเดินทางในกรุงเทพฯ และยังมีหลายสายที่กำลังดำเนินการก่อสร้างกันอยู่ทั่วเมืองไปจนถึงปริมณฑล โดยสายที่ได้รับความนิยมมากที่สุดก็หนีไม่พ้นสายสีเขียวที่ตอนนี้กำลังก่อสร้างส่วนต่อขยายเพิ่มเติมช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ด้วยสิ่งแวดล้อมที่เต็มไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกตลอดเส้นทางไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า คอมมูนิตี้มอลล์ สถาบันการศึกษาหลายแห่ง โรงพยาบาล รวมถึงสถานที่ทำงานทั้งราชการ รัฐวิสาหกิจ และเอกชน ย่านนี้จึงเหมาะแก่การอยู่อาศัยบนวิถีชีวิตของคนเมือง อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญและจะไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือยูนิตพักอาศัย ตั้งแต่ตำแหน่งห้องว่าจะอยู่ทิศใด ได้วิวแบบไหน โดนบล็อควิวหรือไม่ การวางตำแหน่งในชั้นจะส่งผลถึงการอยู่อาศัยจริงอย่างไร ภายในห้องพักใช้วัสดุอะไร วางแปลนห้องไว้อย่างไร สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของเราได้มาก-น้อยแค่ไหน สุดท้ายแล้วห้องนั้นจะใช่สิ่งที่เราตามหาหรือไม่ ทุกรายละเอียดส่งผลต่อชีวิตความเป็นอยู่รวมไปถึงเรื่องของราคาในอนาคตด้วย แต่ทั้งหมดจะมีวิธีการเลือกอย่างไรให้ดีที่สุด ในครั้งนี้เราจึงพามาดูตัวอย่างการเลือกห้องสวยๆ จากโครงการ CENTRIC RATCHAYOTHIN กันค่ะ ซึ่งหลังจากทาง SC ASSET ห่างหายจากการทำคอนโดมิเนียมระดับพรีเมียมแบรนด์หลัก CENTRIC มาได้พักใหญ่ ล่าสุดก็กลับมาพัฒนาแบรนด์นี้กันอีกครั้ง เรียกได้ว่าเป็นที่จับตามองกันมาตั้งแต่ยังล้อมรั้วที่ดินแห่งนี้ว่าจะมีหน้าตาออกมาเป็นอย่างไร โดยตอนนี้ได้ฤกษ์เปิดตัวออกมาแล้ว ทั้งทำเล ส่วนกลาง และห้องพักอาศัยสวยงามลงตัวสมกับการรอคอย CENTRIC RATCHAYOTHIN คอนโดมิเนียม High Rise 21 ชั้น 261 ยูนิต บนพื้นที่ 2-0-77.3 ไร่ ขนาด 24-55 ตร.ม. ริมถนนพหลโยธินฝั่งขาเข้า ใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต สถานีรัชโยธิน เพียง 150 เมตร เชื่อมต่อเข้าเมืองอย่างสยาม-ทองหล่อได้แบบไม่ต้องเปลี่ยนสาย รวมถึงใกล้จุด Interchange ของรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงินกับรถไฟฟ้าสายสีเหลืองในอนาคต หรือหากใช้รถยนต์ส่วนตัวจะเลือกใช้ทางยกระดับอุตราภิมุข หรือทางพิเศษศรีรัชบริเวณใกล้กับสถานีกลางบางซื่อ HUB แห่งการเดินทางในอนาคตของประเทศไทยรวมถึงในอาเซียน โครงการอยู่เยื้องกับเมเจอร์รัชโยธิน, อเวนิว รัชโยธิน ซึ่งเป็นศูนย์กลางของสิ่งอำนวยความสะดวกในละแวกนั้น ไม่ว่าจะดูหนัง ทานข้าว ช้อปปิ้ง หรือแฮงค์เอ้าท์ก็แค่เดินจากคอนโด สมกับคอนเซปที่วางเอาไว้ว่า “A place for your Hybrid Lifestyle” นิยามใหม่ให้ชีวิตใจกลางเมือง เชื่อมต่อทุกความต้องการกับรูปแบบไลฟ์สไตล์ให้เป็นหนึ่งเดียว ส่วนกลางออกเป็น 3 ส่วน (Triple Facilities)โดยแบ่งคาแรคเตอร์เอาไว้อย่างชัดเจน คือ Active, Relax, Working ผสานกันอย่างลงตัวจนกลายเป็นคอนโดที่ตอบสนองคนรุ่นใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยม ซึ่งชั้นแรกคือชั้น Ground จากหน้าโครงการจัดเป็น Lifestyle Park ส่วนล็อบบี้ที่สูงโปร่งถึง 5.5 เมตร ในบรรยากาศอบอุ่นแฝงด้วยความหรูหราสง่างาม และยังมี Business lounge & Private Meeting Room ให้คนรุ่นใหม่ได้ใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่า เชื่อมต่อไปกับ Semi-Outdoor Lobby สร้างความรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้นด้วย Greenery wall และ Water Feature และโซน Residence Lobby Lounge เป็นพื้นที่ waiting area ที่มี seating รับรองให้ลูกบ้าน   ชั้น 4-5 มีทั้งโซน  Triple Volume Co-Working Space ในลักษณะ Indoor 3 ชั้น ถูกออกแบบให้เป็นเหมือน Cubic ลอยอยู่กลางอากาศ สำหรับเป็น Co-Working Space และ Reading Bar, Co-Living Space เชื่อมต่อกับโซน Outdoor ขนาดใหญ่สามารถทำกิจกรรมได้หลากหลายเพื่อให้เกิด lively neighborhood พื้นที่สีเขียวไล่ระดับเหมือนอยู่ท่ามกลางธรรมชาติจริง มี Water feature เสมือนเป็นลำธารมีเสียงน้ำไหลจากที่สูงพร้อมกลิ่นหอมจากพรรณไม้ตามฤดูกาล มีเสียงดนตรีคลอเบาๆ สร้างบรรยากาศพิเศษให้เกิดขึ้นได้ทุกวัน และชั้น Rooftop สำหรับการออกกำลังกายในฟิตเนสที่ได้วิวจากทั้งด้านหลังโครงการที่เป็นวิวเมือง และวิวสระว่ายน้ำที่อยู่ชั้นเดียวกันกับทางฝั่งด้านหน้าโครงการ ซึ่งเป็นสระว่ายน้ำแบบ Infinity Edge Swimming Pool ยาว 25 เมตร มาพร้อม Jacuzzi ให้ได้ผ่อนคลายท่ามกลางบรรยากาศสวยๆ CENTRIC RATCHAYOTHIN ห้องไหนสวย ถ้าจะเลือกห้องสวยสักห้อง ก่อนอื่นเราต้องกาง Floor Plan ออกมาก่อนค่ะ เริ่มจาก Ground Floor เราจะได้เห็นหน้าตาของชั้นแรกของโครงการ ซึ่งในแปลนเหล่านี้จะบอกทิศทางการวางรูปแบบอาคารเอาไว้ ซึ่งเมื่อมองไปที่ Floor Plan เราก็พอจะมองภาพออกแล้วว่ายูนิตไหนมีระเบียงหันหน้าออกไปยังทิศอะไร ยิ่งหากเรามีความคุ้นเคยกับทำเลแถวนั้นก็จะทำให้นึกภาพตามได้ว่ายูนิตที่หันไปทิศไหนจะได้วิวอะไร ความโดดเด่นของ Floor Plan ทำเอาไว้ได้น่าสนใจมาก เพราะสามารถเก็บรายละเอียดอันเป็นการคำนึงถึงลูกบ้านที่อยู่อาศัยจริงได้ดีทีเดียว รวมทั้งยังถูกต้องตามหลักฮวงจุ้ยอีกด้วย เช่น เพิ่มระยะห่างระหว่างยูนิตพักอาศัยกับโถ่งลิฟท์ในแต่ละชั้นมากขึ้น เพื่อลดเสียงรบกวน, ออกแบบให้ห้องขยะทุกชั้นแยกห่างยูนิตพักอาศัย เพื่อลดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์, ทุกยูนิตประตูห้องจะไม่อยู่ตรงข้ามกัน จำนวนยูนิตต่อชั้นไม่มากจนเกินไปเพิ่มความเป็นส่วนตัว, และไม่มียูนิตไหนที่มีประตูอยู่ตรงทางสามแพร่งเลย   เรามาเริ่มดูจากทิศตะวันตก ซึ่งเป็นทิศที่อยู่หน้าโครงการได้วิววิวเมืองกับรถไฟฟ้า รวมถึงตึกช้างตรงแยกรัชโยธิน ซึ่งเป็นมุมมองเดียวกันกับสระว่ายน้ำชั้น 21 และหากมองลงมาที่ชั้น 4-5 จะได้วิวสวนสีเขียวที่เป็นส่วนกลางหนึ่งของโครงการ เรียกได้ว่าแม้จะเป็นห้องทิศตะวันตกที่หลายคนมองข้าม แต่ SC asset กลับทำให้เป็นยูนิตไฮไลท์ของโครงการนี้ได้ด้วยการออกแบบที่ดีโดยเฉพาะห้องตำแหน่ง 01 , 02 ซึ่งเอสซีฯ ใส่ใจออกแบบอาคารให้มีครีบยื่นออกมาช่วยเรื่องการหักเหและลดทอนแสงแดดได้ประมาณหนึ่งเลยทีเดียว ทิศเหนือ เชื่อว่าจะเป็นหนึ่งในยูนิตที่ได้รับความนิยมอยู่ไม่น้อย โดยปกติแล้วเป็นห้องทิศที่ได้รับความนิยมอยู่แล้ว เพราะเป็นทิศที่โดนแดดน้อยที่สุด ซึ่งสำหรับโครงการนี้ก็จะได้วิวเป็นวิวหันไปทางแยก ม.เกษตรฯ เป็นวิวโล่ง แต่ยูนิตที่ได้ทิศนี้จะค่อนข้างน้อย มีสูงสุดเพียง 3 ยูนิต/ชั้น เท่านั้น ฉะนั้นหากใครที่ต้องการยูนิตทิศนี้ก็ต้องจองให้ไว ทิศตะวันออก อีกหนึ่งทิศยอดฮิตสำหรับคนที่ชอบเปิดระเบียงรับลม ซึ่งจะถูกวางให้อยู่ทางด้านหลังโครงการได้ความสงบ เห็นวิวฝั่งถนนเสนานิคม – วังหิน เป็นวิวโล่งด้วยความที่ด้านหลังเป็นบ้านเรือนที่อยู่ในซอย คอนโดส่วนใหญ่จะเป็นคอนโดสูงไม่เกิน 8 ชั้น จึงยากที่จะมีตึกสูงขึ้นบัง สำหรับทิศนี้วิวจึงปลอดภัยจากการโดนบังวิวแน่นอน   พูดถึงเรื่องทิศทางของแต่ละยูนิตกันไปแล้วจะไม่พูดถึงภายในห้องก็คงยังไม่ครบถ้วน เพราะอย่างที่กล่าวเอาไว้ข้างต้นว่ามีการออกแบบมาได้น่าสนใจ แต่ละห้องมีความโดดเด่นต่างกันออกไปตามไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน โดยทุกห้องถูกคิดภายใต้คอนเซปส์อาทิ ความสูงภายในห้องสูงสุดถึง 3 เมตร* ซึ่งเราจะมาดูกันทีละ Type เลยค่ะ มีที่เก็บของครบครัน ช่วยจัดการการจับเก็บของและทำให้ห้องเป็นระเบียบ ห้องแต่ละห้องมีเอกลักษณ์แตกต่างกัน ตามแต่ไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกัน พื้นที่อยู่อาศัยได้จริง Practical Design   STUDIO-1 24 ตร.ม.  แม้จะเป็นห้องขนาดเล็กที่สุดในโครงการ แต่ก็ยังมีการกั้นประตูกระจกระหว่างห้องครัวกับห้องนอน เพื่อป้องกันกลิ่นอาหาร ได้มุมโต๊ะทำงานหันหน้าออกทางเดียวกับระเบียง ถึงแม้จะเป็นสตูดิโอแต่ก็ยังได้กระจกเข้ามุม เรียกได้ว่าจะนั่งทำงาน อ่านหนังสือหรือทานข้าว ก็เห็นวิวสวยๆ ไปด้วยแน่นอน ห้องนี้จึงเหมาะสำหรับคนที่อยู่ 1-2 คน ชอบความคุ้มเพราะมีครบทุกฟังก์ชั่น ห้องที่สำคัญ Type นี้อยู่ในตำแหน่งทิศตะวันออกอีกด้วย ทั้งตึกมีเพียง 32 ยูนิตเท่านั้น ชั้นหนึ่งมีเพียง 2 ห้องเท่านั้น STUDIO-2 26 ตร.ม. ห้องนี้เหมาะสำหรับคนชอบทำครัว เพราะเป็นครัวปิดที่มีหน้าต่างระบายอากาศสู่ด้านนอกอาคาร ตำแหน่งห้องอยู่ทางทิศตะวันตก ได้ความเป็นส่วนตัวขึ้นด้วยกำแพงที่อยู่ชิดกับห้องข้างๆ เพียงด้านเดียว ปลายเตียงมีช่องแสงเพิ่มอีก 1 ช่อง ทำให้ได้รับแสงธรรมชาติ โปร่งโล่งมากยิ่งขึ้น ทั้งตึกมีเพียง 16 ยูนิตเพียงเท่านั้น มีเพียงชั้นละ 1 ห้อง เรียกได้ว่า Rare มากๆ 1 BEDROOM 30 ตร.ม.  ตำแหน่งห้องอยู่ทางทิศตะวันตก สามารถเปิดรับลมได้วิวทั้งส่วนของห้องนั่งเล่นกับห้องนอน ฟังก์ชั่นโต๊ะทานอาหารเชื่อมต่อกับเคาน์เตอร์ครัวสามารถพับเก็บได้ เพิ่มพื้นที่ใช้สอยได้ตามใจ เหมาะสำหรับคนอยู่ 1-2 คน ที่ต้องการ 1ห้องนอนที่ฟังก์ชั่นครบ มี Walk-Through Closet ชั้นนึงมีเพียง 3 ห้องเท่านั้นและห้องนี้ทุกห้องสามารถมองเห็นสวนที่อยู่ชั้น 4 ได้อีกด้วย 1 BEDROOM PLUS-P2 34.50 ตร.ม.  1 BEDROOM PLUS ทั้ง 3 แบบนี้ถือเป็นยูนิตไฮไลท์ของ CENTRIC RATCHAYOTHIN ซึ่ง Type แรกนี้ตำแหน่งห้องถูกวางในตำแหน่งที่ดีทั้งทิศเหนือและทิศตะวันออกกับทิศใต้ โดยห้องนี้เน้นความคุ้มค่าจากการออกแบบที่จัดสเปคห้องมาให้แบบเต็มๆ ทั้งกระจกบานใหญ่เข้ามุม Bay window ที่ห้องอเนกประสงค์ ซึ่งมีขนาดพอเหมาะที่สามารถวางเตียงได้ ทำให้ห้องนี้สามารถใช้เป็นอีก 1 ห้องนอนก็ย่อมได้ หรือถ้าคนไหนไม่ใช้เป็นห้องนอนก็สามารถปรับเปลี่ยนให้เป็นห้องทำงาน ห้องเก็บของ ห้องนั่งเล่น 2 ฯลฯ แล้วแต่ไลฟสไตล์ของเจ้าของได้เลย ทำให้ห้องนี้เรียกได้ว่าเป็น Truly 1 Bedroom Plus ซึ่งแตกต่างจากในบางโครงการที่มีห้อง Plus แต่ไม่ Practical ห้องนี้จึงเป็นห้องหนึ่งที่สามารถสะท้อนคอนเซปส์ของโครงการได้ดีทีเดียว, ระเบียงสามารถเข้าได้จากทั้งห้องอเนกประสงค์กับห้องนอน, Walk-Through Closet ภายในห้องนอนก่อนเชื่อมเข้าสู่ห้องน้ำ, Double-Access ห้องน้ำที่เข้าได้ 2 ทางจากในห้องนอนกับห้องครัว ช่วยรักษาความเป็นส่วนตัวเมื่อมีแขกมาไม่ต้องเดินผ่านห้องนอน แทบไม่น่าเชื่อว่าทั้งหมดนี้อยู่ในพื้นที่ 35 ตรม. เรียกว่าคุ้มมากๆ ห้องนี้เรียกได้ว่าเหมาะกับหลายๆคนมาก โดยเฉพาะคนที่มองหา 1 ห้องนอนสุดคุ้มค่าด้วยพื้นที่เอนกประสงค์ที่สามารถปรับเปลี่ยนดีไซน์ให้เป็นตัวคุณเองได้อย่างเต็มที่ 1 BEDROOM PLUS-PP1 39 ตร.ม.  ตำแหน่งห้องนี้ถูกวางไว้มุมสุดทางเดินด้านทิศตะวันตกที่จะได้วิวโครงการฝั่งแยกรัชโยธินเพิ่มด้วย เปิดมุมมองจากในห้องนอนด้วยกระจกเข้ามุม Bay window และได้พื้นที่ห้องอเนกประสงค์เพิ่มขึ้นจนสามารถเป็นอีก 1 ห้องนอนได้ รวมถึงพื้นที่ห้องนั่งเล่นพร้อมมุมวางโต๊ะทานอาหารขนาดใหญ่ เรียกได้ว่าห้องนี้เหมาะสำหรับคนอาศัย 1-2 คนหรือคนที่เริ่มต้นชีวิตครอบครัวมีลูกเล็ก ไม่เน้นทำอาหาร ชอบความคุ้มค่าแต่มีพื้นกว้างพอที่อยู่อย่างสบายๆ ห้องนี้มีเพียงชั้นละ 1 ห้องเท่านั้น ทำให้ทั้งตึกมีเพียง 16 ห้องเพียงเท่านั้น อ้อลืมบอกว่าจากห้องนี้มองลงไปข้างล่างก็เห็นสวนชั้น 4 ได้เช่นกัน 1 BEDROOM PLUS-PP2 38 ตร.ม. อีกหนึ่งตำแหน่งห้องมุมที่ดีที่สุดอีก Type ที่ได้ทั้งวิวสวนสีเขียวของโครงการฝั่งทิศใต้จากระเบียงห้อง และวิวเมืองทางทิศตะวันตก เป็นห้อง 1 ห้องนอนพร้อมห้องเอนกประสงค์ที่ฟังก์ชั่นครบ เอ็กคลูซีฟ และอยู่สบาย เริ่มจากห้องครัวแบบปิด มีมุมวางโต๊ะทานอาหาร มีห้อง Living ขนาดใหญ่ที่ใหญ่ พอที่สามารถวางโซฟา L Shape ได้ และยังมีพื้นที่เหลือด้านหลังสามารถ Built-in ชั้นหนังสือหรือ Working Corner ได้เพิ่มเติม ห้องนอนที่ไม่มีส่วนกำแพงที่ติดกับห้องไหนเหมาะสำหรับผู้ที่ชอบความเงียบเป็นส่วนตัว ภายในมีช่องแสงถึง 2 ช่องจากกระจกบานใหญ่และอีกด้านข้างอีก 1 ช่องที่มองลงมาแล้วเป็นสวนชั้น 4 มีห้องที่เป็น Walk-in Closet แบบจริงๆ ห้องนี้เหมาะมากโดยเฉพาะสุภาพสตรีที่มองหาห้องที่มี Walk-in Closet โดยเฉพาะห้องนี้มีเพียงชั้นละ 1 ห้องเท่านั้นและ ทั้งโครงการมีเพียง 12 ห้องเท่านั้น! 2 BEDROOM-1 54.79 ตร.ม. ห้องมุมฝั่งทิศใต้จากทั้ง 2 ห้องนอนและได้วิวฝั่งทิศตะวันออกจากระเบียง แบ่งโซน Private กับ Public อย่างชัดเจนอย่างห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่และโต๊ะทานข้าวที่วางได้ขนาด 4 ที่นั่ง ส่วน Master Bedroom ขนาดใหญ่ที่ได้โต๊ะทำงานเข้ามุม Bay window เป็นส่วนตัวพร้อมห้องน้ำในตัว ขณะห้องนอนที่ 2 ก็ยังได้กระจกบานใหญ่เช่นกัน จึงเหมาะสำหรับการอยู่อาศัย 2 คนขึ้นไปทั้งแบบครอบครัวลูกเล็ก-โต หรืออยู่แบบพี่น้องก็ได้ ไม่เน้นการทำอาหารมากนัก ห้องนี้มีเพียงชั้นละ 1 ห้องเท่านั้น ทั้งโครงการมีเพียง 16 ห้องเท่านั้น 2 BEDROOM-2 55.13 ตร.ม. ห้องมุมส่วนตัว ตำแหน่งทิศเหนือและได้วิวทิศตะวันตกไปด้วย ห้อง Type สุดท้ายที่ถือว่าทุกอย่างลงตัวที่สุด โดยการวางห้องนอนทั้ง 2 ห้องแยกออกจากกันเพื่อความเป็นส่วนตัวสุดๆ โดยเชื่อมต่อด้วย Space ของห้อง Living + Dinning ไว้ตรงกลาง   นอกจากนั้นยังเป็นห้องครัวปิดช่วยเรื่องการป้องกันกลื่นจากการทำอาหาร มีห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ สามารถวางโต๊ะทานอาหารได้ขนาด 4 ที่นั่ง ทั้ง 2 ห้องนอนได้ขนาดใหญ่วางเตียงได้ 5 ฟุต ได้ห้องน้ำในตัวทั้ง 2 ห้อง มีห้องน้ำที่เป็น Double Access เข้าจากห้องครัวเพื่อความเป็นส่วนตัวและความสะดวกสบายเมื่อมีแขกมาหรือสามารถ เดินเข้าห้องน้ำได้เลยไม่ต้องผ่านห้องนอน ห้องนี้มีเพียงชั้นละ 1 ห้องเท่านั้น ทั้งตึกมีเพียง 12 ห้องเท่านั้น   ความโดดเด่นของ CENTRIC RATCHAYOTHIN นอกจากทำเลแล้ว ยังเป็นเรื่องของความใส่ใจรายละเอียดในการออกแบบห้องพักอาศัยโดยพยายามทำความเข้าใจและนึกถึงความต้องการของผู้พักอาศัยที่แท้จริง ตามความตั้งใจที่ เอสซีฯ ที่อยากส่งมอบ Living Solution ให้แก่ลูกค้าสามารถตอบโจทย์ได้หลายไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ เป็นความเพียบพร้อมของคอนโดมิเนียมสักโครงการที่เรียกว่ามีดีรอบด้าน ส่งผลเกิดเป็นความสมบูรณ์แบบในการใช้ชีวิตท่ามกลางเมืองหลวงตามไปด้วยเช่นกัน ซึ่งที่นี่คือคำตอบ   นอกจากนี้แล้วโครงการยังขายห้องแบบ Fully Furnished อีกด้วย! โครงการ เปิดพรีเซลส์โครงการ ในวันที่ 10-11 มีนาคม 2561 ที่เซ็นทริค รัชโยธิน Sales Gallery สามารถลงทะเบียนเพื่อรับสิทธิพิเศษสูงสุด 250,000 บาท* คลิก https://goo.gl/bQ5kMc ขายห้องแบบ Fully Furnished อีกด้วย! ในราคาเริ่ม 3.7 ล้านบาท* สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 1749 หรือ Line@ :@Sccondo      
อารียา พรอพเพอร์ตี้ ตั้งเป้าปี 2561 ยอดขายรวม 14,370 ล้านบาท โต 30% รุกแนวคิด”สุนทรียะแห่งการใช้ชีวิต”

อารียา พรอพเพอร์ตี้ ตั้งเป้าปี 2561 ยอดขายรวม 14,370 ล้านบาท โต 30% รุกแนวคิด”สุนทรียะแห่งการใช้ชีวิต”

อารียา พรอพเพอร์ตี้ ตั้งเป้าปี 2561 ยอดขายรวม 14,370 ล้านบาท โต 30% เน้นแนวคิด “สุนทรียะแห่งการใช้ชีวิต” ตอบโจทย์ฟังก์ชั่นและอารมณ์ลูกค้า ใช้ 4 กลยุทธ์วัดความพึงพอใจลูกบ้าน นายวิวัฒน์ เลาหพูนรังษี ประธานกรรมการอาวุโส บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2561 อารียาได้วางเป้าเติบโตอยู่ที่ 30% มูลค่ายอดขายรวม 14,370 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 8,366 ล้านบาท และแนวสูง 6,004 ล้านบาท และเปิดตัวโครงการใหม่รวม 11 โครงการ แนวราบ 10 โครงการและแนวสูง 1 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 7,920 ล้านบาท สำหรับผลประกอบการในปี 2560 ที่ผ่านมา ปิดยอดขายอยู่ที่ 11,125 ล้านบาท โตขึ้น 39% โดยมียอดยกเลิกเทียบยอดขาย 29% ยอดโอนปิดที่ 4,958 ล้านบาท และยอดขายคอนโดที่ยังสร้างไม่เสร็จ ยังไม่เข้าสู่ขั้นตอนการโอนได้ที่ 3,096 ล้านบาท รวมถึงโครงการสร้างใหม่ปี 2560 รวมทั้งสิ้น 7 โครงการ มูลค่า 11,000 ล้านบาท นายวิศิษฎ์ เลาหพูนรังษี ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ว่า ภาพรวมยอดขายอสังหาริมทรัพย์ในประเทศมีแนวโน้มขยับขึ้น 10% ด้วยปัจจัยด้านการท่องเที่ยว การลงทุนจากต่างชาติ (EEC) ที่ยังเป็นกระแสความนิยมของนักลงทุนไทยและต่างชาติที่น่าจับตามอง และด้านเทรนด์ที่อยู่อาศัย โดยน่าจะเห็นได้ชัดเจนจากคอนโดฯ ที่มีขนาดห้องเล็กลง ซึ่งเกิดจากปัจจัยราคาที่ดินแพงขึ้น “การใช้ชีวิตที่ดีต้องสร้างปัจจัยพื้นฐานหลายด้าน ซึ่งเป็นจุดแข็ง (Strength Point) ของอารียามาตลอด 18 ปีนี้ เราเชื่อเรื่อง Inside – Out สำหรับที่อยู่อาศัย ผู้บริโภคไม่ได้ต้องการแค่ Function ที่ดีเท่านั้น แต่ยังต้องการ Emotional Engagement ที่จะออกแบบชีวิตของแต่ละคนในบ้าน โดยเฉพาะในสังคมที่วุ่นวาย แข่งขัน และรีบเร่งอย่างทุกวันนี้  ดังนั้น เราจะต้องดูแลทุกองค์ประกอบของงานให้เข้าใจผู้บริโภคเพียงพอ เพื่อการออกแบบบ้านและออกแบบชีวิตที่สามารถสื่อสาร และปลุกจินตนาการการอยู่อาศัย (Incite your spirit) ซึ่งเป็นสิ่งที่อารียาฯ เรียกว่า สุนทรียะของใช้ชีวิต (Aesthetic of Living)” นายวิศิษฎ์ กล่าว นอกจากนี้กำหนด เป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์เพื่อรักษา Competitive Advantage คือ งานออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นมาพร้อมกับคุณภาพ (Aesthetic Design & Premium Quality) , ความสุขและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน (Sustainable Happiness) , นวัตกรรมที่ส่งเสริมความเป็นอยู่ทุกรูปแบบ  (Innovative Living) และ การให้บริการดูแลลูกบ้านตั้งแต่เริ่มและหลังการขายอย่างสุดความสามารถ (Best in class after sales service) อีกทั้งได้วางเป้าหมายความพึงพอใจสูงสุดของลูกบ้านที่ 95% ซึ่งประกอบด้วย 1. ให้บริการอย่างรวดเร็ว 2. ด้วยคุณภาพการบริการ 3. บริการด้วยมาตรฐาน และการจัดอบรม และ 4. การเข้าถึงบริการด้วยคำสั่งจากปลายนิ้ว ผ่านทางแอปพลิเคชั่น AREEYA Family        
LPC ร่วมส่งเสริมคุณภาพชีวิตสตรีด้อยโอกาส ส่งนโยบาย “Social Enterprise” สรรค์สร้างสังคมไทยอย่างยั่งยืน

LPC ร่วมส่งเสริมคุณภาพชีวิตสตรีด้อยโอกาส ส่งนโยบาย “Social Enterprise” สรรค์สร้างสังคมไทยอย่างยั่งยืน

ตลอดระยะเวลา 28 ปีของการพัฒนาอาคารชุดพักอาศัย บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) (LPN) ไม่เพียงแต่มุ่งพัฒนาคุณค่าผลิตภัณฑ์และบริการ เพื่อให้ “ลุมพินี” เป็นแบรนด์ที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงใจ สร้าง “ชุมชนน่าอยู่” (Livable Community) และความสุขที่แท้จริงของการอยู่อาศัยเท่านั้น แต่ยังมุ่งเน้นให้พนักงานมีคุณภาพชีวิตที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มสตรีด้อยโอกาส ซึ่งจากข้อมูลของสำนักกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สรุปจำนวนเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวประจำปี 2551 - 2556 พบว่าปี 2554 เป็นปีที่มีเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวสูงที่สุด คือ จำนวน 1,096 และหลังจากนั้นตัวเลขได้สูงขึ้นถึงประมาณ 1,200 เหตุการณ์ ส่งผลให้สตรีที่โดนกระทำความรุนแรงทางด้านร่างกายและจิตใจ รวมถึงการเอารัดเอาเปรียบจากสังคมเหล่านั้นเป็นผู้ด้อยโอกาสในสังคมไทย   ด้วยเหตุนี้ จึงได้จุดประกายให้ LPN  จัดตั้งบริษัทเพื่อสังคมในนามบริษัท ลุมพินี พร็อพเพอร์ตี้ เซอร์วิส แอนด์ แคร์ จำกัด (LPC) ตามนโยบาย “Social Enterprise” ซึ่งนับว่าเป็นมิติใหม่ในการจ้างงานด้านบริการทำความสะอาดที่มุ่งเน้นความยั่งยืนและเปิดโอกาสให้กับกลุ่มสตรีด้อยโอกาสในสังคมไทยเป็นหลัก การบริหารดำเนินการในรูปแบบที่ LPN ลงทุนโดยไม่ปันผลกลับมาที่ตนเอง แต่จะปันผลกำไรกลับคืนสู่พนักงาน LPC ในรูปแบบค่าตอบแทนและสวัสดิการต่างๆ ที่มากกว่าบริษัททั่วไป หนึ่งในนั้น คือ เงินเดือนที่สูงกว่ามาตรฐานค่าแรงขั้นต่ำถึง 10% โดยจุดเริ่มต้นของธุรกิจนี้เกิดจากปัญหาการจัดจ้างแม่บ้านลงพื้นที่คอนโดมิเนียม ซึ่งในตอนแรกจำเป็นต้องอาศัยรูปแบบบริษัททำความสะอาดต่างๆ แต่พบว่ามีกติกาที่ไม่เป็นธรรม ส่งผลให้ผู้ที่เข้ามาทำงานไม่สามารถรับงานต่อเนื่องในระยะยาวได้ จึงเป็นแนวคิดในการก่อตั้ง LPC เมื่อปี 2554 รูปแบบการว่าจ้างของ LPC ยังแตกต่างออกไป โดยในตลาดบริการทำความสะอาดทั่วไปจะคิดค่าจ้างเป็นรายคน แต่ LPC เปลี่ยนวิธีรับงานเป็นระบบเหมา บริหารจัดการคนให้เหมาะสมกับพื้นที่ในการทำความสะอาดแต่ละครั้ง ทำให้สามารถลดจำนวนคนลง และเพิ่มรายได้ให้กับพนักงานในการว่าจ้างครั้งนั้นๆ  ได้ นอกเหนือไปจากการสร้างงาน สร้างอาชีพเพื่อให้พนักงาน LPC มีรายได้และเลี้ยงดูครอบครัวได้แล้ว ยังมุ่งเน้นให้การศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ด้วยการจัดให้มีระบบ“การศึกษานอกโรงเรียน” จัดครูสอนหนังสือด้านการอ่านและการเขียนให้กับพนักงานที่ยังไม่สามารถอ่านออกเขียนได้ อีกส่วนหนึ่งคือการมอบอาชีพเสริม เช่น การนวดแผนไทย ด้วยการส่งพนักงานไปเรียนกับครูผู้เชี่ยวชาญ เป็นการติดอาวุธให้ ด้วยหวังว่าแม้ออกจากงานไป พวกเขาจะมีวิชาความรู้ติดตัวและนำไปประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองได้ในอนาคต และจากการที่ LPC ได้สร้างโอกาสและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับพนักงานกลุ่มนี้ เมื่อมีโอกาสและว่างจากงานประจำ พวกเขาจึงได้รวมตัวกันทำความดีตอบแทนสังคม ด้วยการทำความสะอาดบริเวณรอบๆ โครงการที่ทำงานอยู่ เช่น ป้ายรถเมล์ สะพานลอย วัด เพื่อสร้างทัศนียภาพให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น ปัจจุบัน LPC มีพนักงานรวม 1,200 คน เป้าหมายต่อไปของบริษัท คือ การดำเนินการให้ได้มาตรฐานการบริการสากล ISO 9001:2015 เพื่อขยายงานบริการออกไปสู่ภายนอกมากยิ่งขึ้น อันจะเป็นหนทางหนึ่งที่สร้างโอกาส สร้างศักดิ์ศรี และสร้างความสุข ให้กับสตรีเหล่านี้อย่างยั่งยืนต่อไป
มั่นคงเคหะการ ทุ่มงบ 160 ลบ.พัฒนา ‘ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ’ ชูจุดเด่นคลับเฮ้าส์และสปอร์ทคลับทันสมัย

มั่นคงเคหะการ ทุ่มงบ 160 ลบ.พัฒนา ‘ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ’ ชูจุดเด่นคลับเฮ้าส์และสปอร์ทคลับทันสมัย

บมจ. มั่นคงเคหะการ ปรับโฉม “ชวนชื่น กอล์ฟคลับ” สู่ ‘ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ’ งบกว่า 160 ล้านบาท โดดเด่นด้วยคลับเฮ้าส์และสปอร์ทคลับที่ทันสมัย ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ รองรับกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ตลอดจนการแข่งขันทัวร์นาเมนต์ต่างๆ งานเลี้ยงสังสรรค์ และงานสัมมนา คาดรายได้จากธุรกิจสนามกอล์ฟและสปอร์ทคลับโตขึ้น 40% ในปี 61 นายสุเทพ วงศ์วรเศรษฐ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด(มหาชน) หรือ MK เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ดำเนินการพัฒนาปรับโฉม ‘ชวนชื่น กอล์ฟคลับ’ สนามกอล์ฟในเครือ ย่านปทุมธานีที่ก่อตั้งมายาวนานกว่า 24 ปี ให้มีรูปแบบที่ทันสมัยและเข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนยุคปัจจุบันมากยิ่งขึ้น โดยใช้งบลงทุนกว่า 160 ล้านบาท ซึ่งได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้ว  เมื่อกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ภายใต้ชื่อใหม่ ‘ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ’ สนามกอล์ฟมาตรฐาน 18 หลุม บนเนื้อที่มากกว่า 400 ไร่ ด้วยจุดเด่นของคลับเฮ้าส์และสปอร์ทคลับที่ทันสมัย ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ตลอดจนยกระดับการบริการให้เข้าถึงทุกไลฟ์สไตล์ โดย ‘ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ’ ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ตลอดจนการแข่งขันทัวร์นาเมนต์ต่างๆ งานเลี้ยงสังสรรค์ และงานสัมมนา โดยบริเวณคลับเฮ้าส์และสปอร์ทคลับที่พัฒนาขึ้นใหม่นี้  มีพื้นที่กว่า 5,000 ตารางเมตร ประกอบด้วย ห้องอาหารที่สามารถให้บริการ ทั้งอาหารไทยและอาหารนานาชาติ ห้องสัมมนา ล็อกเกอร์ และห้องอาบน้ำที่กว้างขวาง รวมถึงบริการโปรช้อป ที่มีสินค้าให้นักกอล์ฟได้เลือกอย่างหลากหลาย ในส่วนบริเวณสปอร์ทคลับ  ครบครันทั้งฟิตเนส ห้องโยคะ สระว่ายน้ำ และมีบริการร้านกาแฟไว้คอยบริการ  ซึ่งช่วยรองรับการใช้บริการของลูกบ้านครอบครัวมั่นคงฯ ในย่านปทุมธานีแห่งนี้  ให้ได้รับความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น “การพัฒนา โครงการสนามกอล์ฟ ‘ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ’ นั้น ดำเนินไปตามกลยุทธ์การเติบโตที่วางไว้ ด้วยแผนรุกทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการขายและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการเช่าและการบริการให้เติบโตไปพร้อมๆ กันอย่างมั่นคง โดยได้ตั้งเป้าผลักดันทั้งสองธุรกิจมีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 50:50” นายสุเทพ วงศ์วรเศรษฐ กล่าวเพิ่มเติม ทั้งนี้กระแสตอบรับหลังจากการเปิดให้บริการที่ผ่านมาเป็นไปในทิศทางที่ดี และได้รับการตอบรับจากลูกค้าที่มีใช้บริการอย่างดี  โดยคาดว่าหลังจากเปิดให้บริการ ‘ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ’ อย่างครบวงจรแล้ว  บริษัทฯ คาดการณ์ว่าจะมีรายได้จากธุรกิจการให้บริการสนามกอล์ฟ์และสปอร์ทคลับในปี 2561  เพิ่มขึ้น 40% จากปีที่ผ่านมา สำหรับทำเลกรุงเทพฯ-ปทุมธานี ถือเป็นทำเลที่ได้รับการตอบรับจากลูกค้าดีที่สุดทำเลหนึ่ง โดยทำเลดังกล่าว ถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพ เนื่องจากสามารถเดินทางได้สะดวกด้วยหลายเส้นทางเพื่อเชื่อมต่อเข้าเมือง ทั้งยังใกล้กับสถานที่สำคัญต่างๆ อาทิ ห้างสรรพสินค้า ได้แก่ เดอะ ทรี อเวนิว และโรบินสัน ศรีสมาน และสถานศึกษา เช่น โรงเรียนสาธิตปทุมวัน, โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ , โรงเรียนหอวัง นนทบุรี , โรงเรียนอัมพรไพศาล และโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย นนทบุรี  และโรงพยาบาล ได้แก่ โรงพยาบาลนนทเวช เป็นต้น ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้ลูกค้ามาใช้บริการมากขึ้นด้วย      
เน็กซัสเผย ทำเล รสนิยม เหตุตัดสินใจซื้อ หนุนตลาดบ้านลักซูรี่โตต่อเนื่อง

เน็กซัสเผย ทำเล รสนิยม เหตุตัดสินใจซื้อ หนุนตลาดบ้านลักซูรี่โตต่อเนื่อง

บ้านหลังใหญ่ สนามหญ้ากว้างๆ อาจไม่ใช่คำตอบเดียวสำหรับผู้ซื้อบ้านระดับลักซูรี่ เพราะมีปัจจัยด้านทำเล และต้นทุนค่าที่ดินเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งขนาดที่ดินที่เหมาะสมและมีจำนวนจำกัดในทำเลชั้นดีนั้น เป็นอีกหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการหันมาพัฒนาโครงการโดยให้ความสำคัญกับพฤติกรรมและไลฟสไตล์ของผู้อยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น เพื่อให้บ้านไม่ได้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น แต่ยังสะท้อนตัวตน และเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต ทำเลศักยภาพสำหรับบ้านระดับลักซูรี่ นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวถึงตลาดบ้านระดับลักซูรี่ใจกลางเมืองที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องว่า บ้านระดับลักซูรี่ในกรุงเทพฯ ถือเป็นตลาดที่มาแรงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จากปี 2558 ถึงไตรมาสที่ 1 ปี 2561 มีอุปทานโครงการบ้านจากผู้พัฒนาโครงการรายใหญ่และรายย่อย 42 โครงการ จำนวน1,554 ยูนิตสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการบ้านระดับลักซูรี่อย่างต่อเนื่อง โดยมี 7 ทำเลศักยภาพหลัก เรียงตามความหนาแน่นของโครงการที่เปิดขายระหว่างปี 2558 ถึงไตรมาสที่ 1 ปี 2561ดังนี้ (1) สุขุมวิท (พร้อมพงษ์-เอกมัย) (2) ลาดพร้าว-เกษตรนวมินทร์ (3) พระรามเก้า-ศรีนครินทร์-พัฒนาการ (4) ราชพฤกษ์ (5) สาทร พระราม 3 (6) บางนา (7) พระราม2 ซึ่งจะเห็นได้ว่าโครงการบ้านระดับลักซูรี่อยู่กระจายตัวกันตามแหล่งความเจริญของเมืองที่มีลักษณะเด่นต่างกัน ส่งผลถึงรูปแบบบ้านที่แตกต่างกันไป อย่างไรก็ตามเมื่อทำเลยังคงเป็นปัจจัยหลักของการเลือกพัฒนาบ้านระดับลักซูรี่ การที่ที่ดินมีอยู่อย่างจำกัดและราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้นทุกปี ทำให้ผู้ประกอบการให้ความสนใจในการพัฒนาโครงการในที่ดินที่มีขนาดเล็กลงในขณะที่มีพื้นที่ใช้สอยที่ตอบสนองความต้องการของคนกลุ่มลักซูรี่ได้เป็นอย่างดีโดยมีที่ดินต่อ  ยูนิตขนาดระหว่าง 29 – 129 ตารางวามากขึ้น ทำให้มีโครงการบ้านแนวสูงในตลาดมากขึ้น โดยนิยามของบ้านแนวสูงนั้นคือบ้านที่ความสูงมากกว่า 15 เมตรหรือ 4 ชั้นขึ้นไป  จากปี 2558 ถึงไตรมาสที่ 1 ปี 2561 มีอุปทานบ้านแนวสูงจำนวน 12โครงการ จำนวน 94 ยูนิตโดยในปี 2558 ถึงปี 2559 บ้านประเภทนี้อยู่ในทำเลสุขุมวิท (พร้อมพงษ์-เอกมัย) และในปี 2560 ถึง ไตรมาสที่ 1 ปี 2561 มีการกระจายตัวของบ้านแนวสูงออกจากทำเลสุขุมวิท ไปยังโซนลาดพร้าว-เกษตรนวมินทร์ บางนาและพระรามเก้า-พัฒนาการ-ศรีนครินทร์มากขึ้น รูปแบบบ้าน ประเภทของบ้านระดับลักซูรี่นั้นจะแบ่งได้ 2 แบบคือ (1) บ้านระดับลักซูรี่แบบเน้นการพัฒนาในแนวราบ และ(2)บ้านระดับลักซูรี่แบบเน้นการพัฒนาในแนวสูง แบบบ้านดังกล่าวมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันอย่างโดดเด่นด้วยรูปทรงภายนอก ขนาดที่ดิน และทำเลที่ตั้งโครงการ แต่หากเมื่อเปรียบเทียบแล้วขนาดพื้นที่ใช้สอยยังคงมีขนาดใกล้เคียงกัน ถึงอย่างไรก็ตามปัจจัยด้านทำเล (ราคาที่ดิน) ยังคงเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งของการพัฒนารูปแบบบ้าน นอกจากนี้การจัดวางพื้นที่ใช้สอยที่ตอบสนองลักษณะการใช้ชีวิต และมีพื้นที่ใช้สอยที่เพียงพอต่อความต้องการของผู้อยู่อาศัย ถือเป็นบ้านในอุดมคติของผู้มองหาบ้านระดับลักซูรี่ที่ต้องการให้บ้านสะท้อนและสอดคล้องกับความเป็นตัวตนของเจ้าของบ้าน และเป็นโจทย์ให้ผู้พัฒนาโครงการนำมาวิเคราะห์เพื่อเสนอจุดเด่นที่น่าสนใจให้ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ฟังก์ชั่นบ้านสะท้อนรูปแบบการใช้ชีวิตผู้อยู่อาศัย ตลาดบ้านระดับลักซูรี่เป็นที่น่าสนใจทั้งในมุมมองของผู้พัฒนาโครงการและผู้อยู่อาศัย เนื่องมาจากข้อจำกัดของที่ดินที่ได้กล่าวมาแล้ว ทั้งนี้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 มีโครงการใหม่เกิดขึ้น 4โครงการ โดยทำเล หลักยังคงเป็นสุขุมวิท (พร้อมพงษ์-เอกมัย) ทำเลสาทรใจกลางเมืองและมีการกระจายตัวในทำเลลาดพร้าว-เกษตรนวมินทร์ในช่วงปีที่ผ่านมา โดยหากพิจารณาจากทำเลโครงการเหล่านั้น อยู่ในทำเลไลฟ์สไตล์ สะท้อนตัวตนและการใช้ชีวิตของผู้ที่เลือกที่อยู่อาศัยในทำเลดังกล่าว และจากประสบการณ์การพัฒนาบ้านระดับลักซูรี่จากผู้ประกอบการใน Segment นี้ ส่งผลให้มีการพัฒนารูปแบบและฟังก์ชั่นของบ้าน ที่สร้าง Value Added  เพิ่มมูลค่าทำให้โครงการนั้นมีความน่าใจมากขึ้น อาทิเช่น ห้องเก็บไวน์ (Wine Cellar Room) ห้องเก็บรถหรู (Super Car Lounge) ส่วนรับประทานอาหารเช้า (Breakfast Corner) และมีขนาดพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย ให้ได้ใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ภายในบ้านพักอาศัยส่วนตัวของตนเอง นอกจากนี้บ้านที่สามารถสร้างศักยภาพสูงสุด เพื่อที่จะได้ไม่เข้าข่ายกฎหมายก่อสร้างอาคารสูง ซึ่งจะทำให้มีข้อจำกัดด้านการออกแบบมากขึ้น เห็นได้จากข้อมูลในตลาดปัจจุบันที่มีที่ดินขนาดเริ่มต้นตั้งแต่ 29 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 450 ตารางเมตร สูง 4-7 ชั้น เกิดเป็นลักษณะรูปแบบของบ้านแนวสูง นับว่าเป็นการพัฒนาบ้านรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันแตกต่างจากรูปแบบบ้านในอดีตที่ผ่านมา จากข้อมูลข้างต้น จะสังเกตได้ว่าโครงการบ้านแนวสูงที่เกิดขึ้นบนที่ดินทำเลใจกลางเมือง ทำให้ผู้พัฒนาโครงการพยายามพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์เรื่องความคุ้มค่าต่อราคาทุนที่ดินที่มีราคาสูงลิบ และมีศักยภาพสูงสุด ส่งผลทำให้เกิดบ้านบนที่ดินขนาดเล็ก แต่ในขณะเดียวกันยังมีพื้นที่ใช้สอยเพียงพอต่อความต้องการตามไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของกลุ่มลูกค้าระดับลักซูรี่เช่นกัน
ออลล์ อินสไปร์ฯ บุกตลาดลักชัวรี่ ภูเก็ต เปิดตัว อิมเพรสชั่น มูลค่ากว่า 1,600 ลบ. เจาะกลุ่มลูกค้าไทย-เทศ

ออลล์ อินสไปร์ฯ บุกตลาดลักชัวรี่ ภูเก็ต เปิดตัว อิมเพรสชั่น มูลค่ากว่า 1,600 ลบ. เจาะกลุ่มลูกค้าไทย-เทศ

นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า อิมเพรสชั่น ภูเก็ต (Impression Phuket ) เป็นโครงการลักชัวรี่ เรสซิเดนซ์ โครงการแรกในพื้นที่เมืองเศรษฐกิจ นอกจากกรุงเทพฯ ของ ออลล์ อินสไปร์ฯ  เพราะมองเห็นศักยภาพของเมืองท่องเที่ยวแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ ขณะนี้โครงการต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในภูเก็ตโดยเฉพาะโครงการก่อสร้างทางลอด โครงการก่อสร้างถนนคู่ขนานถนนเทพกระษัตรี โครงการรถไฟฟ้ารางเบา และโครงการอื่นๆ รวมถึงแผนลงทุนของกลุ่มทุนเอกชน อีกทั้งการที่โครงการระดับลักชัวรีในภูเก็ตเปิดตัวน้อยลงในช่วงที่ผ่านมาถือเป็นโอกาส เพราะซัปพลายในตลาดมีน้อย โดยเฉพาะกลุ่มวิลล่าหรูใหม่ๆ ที่หายจากตลาดภูเก็ตไปหลายปีจึงเป็นจังหวะที่อสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรีในภูเก็ต และการลงทุนของต่างชาติจะฟื้นตัวอีกครั้ง “ปัจจัยที่เห็นได้ชัดที่สะท้อนถึงการเติบโตของภาคธุรกิจท่องเที่ยวภูเก็ต คือ สนามบินภูเก็ต ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 11.3% มากถึง 8.4 ล้านคน และปัจจัยในด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม คอนโด ก็มีแนวโน้มเติบโตเช่นกัน รวมถึงปัจจัยด้านการคมนาคม การขนส่งทางบกและทางทะเล สนามบินนานาชาติ ที่จะส่งเสริมพัฒนาการท่องเที่ยวในอนาคต” นายธนากร กล่าว ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรองรับการเติบโตด้านการท่องเที่ยวและการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ล่าสุด บริษัทฯได้เปิดตัว โครงการ อิมเพรสชั่น ภูเก็ต (Impression Phuket ) เป็นลักชัวรี่ เรสซิเดนซ์ มูลค่ากว่า 1,600 ล้านบาท เน้นจับตลาดกลุ่มนักลงทุนไฮเอนด์ทั้งคนไทยและต่างชาติ ด้วยทำเลศักยภาพของโครงการที่ตั้งอยู่บนอ่าวฉลอง ที่ใกล้สถานที่สำคัญมากมาย อาทิ ท่าเทียบเรือรัฐยอร์ชอ่าวฉลอง เซ็นทรัลเฟสติวัล ภูเก็ต บลูเพิร์ล ภูเก็ต ท่าอากาศยานภูเก็ต โมโนเรล ภูเก็ต และทางด่วน ภูเก็ต-ป่าตอง ซึ่งถือว่าการเดินทางสะดวกสบายเป็นอย่างมาก โครงการ อิมเพรสชั่น ภูเก็ต (Impression Phuket ) เป็นโครงการลักชัวรี่ เรสซิเดนซ์ 3 ชั้น จำนวน 42 ยูนิต ขนาด 2 ห้องนอน ราคาเริ่มต้น 25 ล้านบาท จุดเด่นของโครงการถูกออกแบบให้ฟังก์ชันการใช้งานภายในตอบโจทย์ ไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิต ด้วยการบริการ และบริหารงานระดับโรงแรม รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ถูกออกแบบอย่างลงตัว ทั้งสระว่ายน้ำ ล็อบบี้  คลับเฮ้าส์ ที่จอดรถสำหรับซุปเปอร์คาร์โดยเฉพาะ / ห้องออกกำลังกาย สปาพาวิลเลี่ยน สวน  ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชม.ฯลฯ โดยผู้ซื้อได้กรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินเหมือนเป็นเจ้าของโครงการ (Freehold) ด้วยการลงทุนในระยะยาวที่มีผลตอบแทนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นจุดแข็งของโครงการ ซึ่งภูเก็ตมีอัตราการเข้าพักสูงถึง 77%  นอกจากนี้มูลค่าอสังหาฯและที่ดินมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดเฉลี่ยอยู่ที่ 3-5% ต่อปี  ซึ่งจะเห็นว่าศักยภาพของโครงการตั้งอยู่ในทำเลที่เหมาะกับการลงทุนเป็นอย่างยิ่งรวมทั้งผลตอบแทนจะได้รับจากการลงทุนในโครงการดังกล่าว โดยจะเริ่มก่อสร้างเดือนกันยายน 2561 และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3 ปี 2562 ออกแบบตกแต่งภายในด้วยเอกลักษณ์พิเศษอย่างลงตัวทุกห้องชุด (Fully – Furnished ) พร้อมด้วย อุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์ทั้งในเรื่องของการใช้งานและดีไซน์ อย่างลงตัว รายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 02 029 9999 หรือ www.impressionphuket.com
‘ศาลายา – พุทธมณฑลสาย 5’ แลนด์มาร์กใหม่อสังหาฯ

‘ศาลายา – พุทธมณฑลสาย 5’ แลนด์มาร์กใหม่อสังหาฯ

ทำเลศาลายาไม่ได้อยู่ไกลเมืองอีกต่อไป เมื่อความเจริญขยายออกมาถึงย่านพื้นที่ผังเมืองสีเขียวแห่งนี้ ที่เดิมส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เกษตรกรรม, พุทธศาสนา, และการศึกษา ปัจจุบันทำเลนี้คึกคักไปด้วยศูนย์การค้าและไฮเปอร์มาร์เก็ตแบรนด์ดังมากมาย เพื่อรองรับชุมชนในย่านนี้มากขึ้น มีการคมนาคมที่สะดวกมากขึ้น โดย ถนนหลัก 2 สาย ได้แก่ถนนบรมราชชนนี และ ถนนเพชรเกษม  ที่นำพาระบบขนส่งมวลชนเข้ามายังพื้นที่ เช่น โครงการรถไฟฟ้าสีแดงอ่อน ตลิ่งชัน – ศาลายา (กำลังก่อสร้างช่วงแรก บางซื่อ-ตลิ่งชัน และคาดว่าแล้วเสร็จในปี 2562), โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย หัวลำโพง – พุทธมณฑลสาย 4 (แล้วเสร็จ 2564), โครงการถนนตัดใหม่ พรานนก – สาย 4 (เปิดใช้บริการช่วงพรานนก – กาญจนาภิเษกแล้ว), และล่าสุดเปิดใช้บริการแล้วทางด่วนตัดใหม่ศรีรัช-วงแหวน เชื่อมฝั่งตะวันตกสู่งฝั่งตะวันออก มุ่งหน้าเข้าเมืองย่านจตุจักร ผ่านทางเชื่อมต่อทางคู่ขนานลอยฟ้าถนนบรมราชชนนีได้อย่างง่ายดาย ด้วยระบบคมนาคมขนส่งที่ขยายออกมาในย่านนี้ทำให้โซนนี้เป็นที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยที่ต้องการเดินทางเข้าไปทำงานในเมืองได้อย่างสะดวก สังคมและคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับคนยุคใหม่ นอกจากความสะดวกสบายในการเดินทางแล้ว ทำเลศาลายา-พุทธมณฑลสายสาย 5  ถือเป็นทำเลทองของชีวิตคุณภาพขั้นสูงสำหรับคนกรุงเทพในยุคนี้และในอนาคต เนื่องจากความเป็นโซนสีเขียวที่ยังมีกลิ่นอายของธรรมชาติอยู่ ในขณะที่ความเจริญก็ได้ขยายตัวมาถึงพื้นที่ในย่านนี้เช่นกัน ดังจะเห็นได้จากบริเวณรอบๆ แวดล้อมด้วยสถาบันการศึกษาชื่อดังมากมาย อาทิ มหาวิทยาลัยมหิดล โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ โรงเรียนสาธิตนานาชาติมหาวิทยาลัยมหิดล โรงเรียนกสิณธรอคาเดมี่ โรงเรียนสารศาสตร์ โรงเรียนอัญสัมชัญ ธนบุรี และหากมองในด้านการรักษาพยาบาล ทำเลนี้มีศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษกมหาวิทยาลัยมหิดลขนาดใหญ่รองรับ อีกทั้งโรงพยาบาลเอกชนที่มีชื่อเสียง ได้แก่ โรงพยาบาลธนบุรี 2 โรงพยาบาลพญาไท 3 และ โรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล ขณะเดียวกัน ยังเป็นทำเลที่มีความสะดวกสบาย สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และมีความเจริญอย่างมากรองรับไลฟ์สไตล์ของการอยู่อาศัยแบบชีวิตสมัยใหม่ และครอบครัวของคนรุ่นใหม่ เพราะมีห้างใหญ่เปิดบริการอย่างทั่วถึง เช่น เซ็นทรัลพลาซ่า เทสโก้โลตัส โฮมโปร แมคโคร และ ฟู้ดส์แลนด์ อีกทั้งยังมีไลฟ์สไตล์ มอลล์ รองรับกิจกรรมสังสรรค์ พักผ่อน กับครอบครัว และกลุ่มเพื่อน อาทิ เดอะบริโอ้ เดอะศาลายา นอกจากนี้ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจอีกหลากหลายรูปแบบ  ได้แก่ ตลาดน้ำ แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ อาทิ สวนพุทธมณฑล ตลาดนัดสนามหลวง 2 ตลาดนัดดอนหวาย ตลาดน้ำลำพญา พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง พิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์ไทย (หอภาพยนตร์) พิพิธภัณฑ์ดนตรีอุษาคเนย์ และเมืองไม้ เป็นต้น ทำเลชั้นดีของโซนกรุงเทพฯ ตะวันตก ทำเลนี้หากเดินทางมาจากย่านธุรกิจ สามารถเลือกใช้เส้นทางหลักได้หลายเส้นทาง จึงไม่แปลกนักที่ทำเลย่านศาลายา-พุทธมณฑล 5 จะกลายเป็นทำเลชั้นดีของกรุงเทพฯตะวันตก ที่รองรับการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัย สะท้อนจากการเกิดใหม่ของโครงการที่อยู่มากมายในปัจจุบัน โดยระดับราคาที่พักอาศัยในทำเลนี้ยังถือว่าไม่สูงมากนัก เรียกได้ว่าครอบครัวรุ่นใหม่ที่ทำงานในเมืองก็สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้แบบสบาย เพียงแค่ 3 - 4 ล้านบาท ก็สามารถเป็นเจ้าของบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ บ้านแฝดอารมณ์บ้านเดี่ยวได้แล้ว ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีเมื่อเทียบกับการซื้อหาที่พักอาศัยในตัวเมือง โดยในย่านนี้ มีโครงการบ้านเดี่ยว-บ้านแฝดที่มียอดขายดี ได้แก่ โครงการ ‘เดอะบาลานซ์ ปิ่นเกล้า – สาย 5’ โดย บริษัท แลนด์ แอนด์ พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป จำกัด ผู้เชี่ยวชาญธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบ ทำเลกรุงเทพฝั่งตะวันตกกว่า 20 ปี  ‘เดอะบาลานซ์ปิ่นเกล้า – สาย 5’ บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดอารมณ์บ้านเดี่ยวผนังไม่ติดกัน ผสานความเป็นไทยกับยุคสมัยใหม่อย่างลงตัว ตอบโจทย์ความต้องการที่อยู่อาศัยของครอบครัวขนาดใหญ่ ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยสูง ในทำเลสงบ ผ่อนคลายกับบ้านหลังใหญ่ อยู่สบาย เน้นความโปร่งโล่ง ในสังคมคุณภาพ มีขนาดพื้นที่ 130-180 ตารางเมตร ฟังก์ชั่น 3-4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ และ 2 ที่จอดรถ คุ้มที่สุดบนทำเลศักยภาพย่านปิ่นเกล้า-สาย 5 ใจกลางความสะดวกครบวงจร สามารถเข้าออกได้หลายเส้นทาง (Selective Location) โครงการตั้งอยู่บนถนนพุทธมณฑลสาย 5 ซอยเทศบาลบางกระทึก 12 (ซอยวิปัสสนา) ห่างจากถนนบรมราชชนนีเพียง 2 กิโลเมตร ตัวบ้านก่อสร้างด้วยอิฐแดงทั้งหลัง ทุกหลังมาพร้อมระบบไฟอัจฉริยะ (Auto Lighting) ช่วยอำนวยความสะดวกในเวลากลางคืน พร้อมส่วนกลางเต็มรูปแบบ ได้แก่ คลับเฮาส์หรู สวนสาธารณะขนาดใหญ่ สระว่ายน้ำระบบเกลือ ฟิตเนส ห้องเด็กเล่น และส่วนพักผ่อน Outdoor Foyer มั่นใจกับระบบความปลอดภัยถึง 3 ระดับ (Triple Security) ด้วยประตูทางเข้า-ออกถึง 2 ชั้น (Double Gate) และระบบสัญญาณกันขโมยภายในตัวบ้าน ราคาเริ่มเพียง 3.19 ล้านบาท ‘เดอะบาลานซ์ปิ่นเกล้า – สาย 5’ สมดุลแห่งชีวิตเป็นจุดเริ่มต้นของความสุขที่แท้จริง (The True Balance of Happiness) ติดต่อโครงการ 086-979-5111 หรือ ID LINE:@thebalanz และเว็บไซต์ www.thebalanz.com
เรียลแอสเสท เปิดเฟสใหม่ “เพล็กซ์ เกษตร – นวมินทร์” 40 ยูนิต คัดราคาพิเศษ 4.99 ล้านบาท

เรียลแอสเสท เปิดเฟสใหม่ “เพล็กซ์ เกษตร – นวมินทร์” 40 ยูนิต คัดราคาพิเศษ 4.99 ล้านบาท

เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ รุกตลาดอสังหาฯ ต้นปีลุยเปิดขายเฟสใหม่โครงการ “เพล็กซ์ เกษตร – นวมินทร์” พร้อมอัดโปรโมชั่นแรง คัดยูนิตพิเศษเริ่มเพียง 4.99 ล้านบาท ชูจุดเด่นของโครงการที่พร้อมให้คุณมาสัมผัสกับนิยามใหม่ของที่พักอาศัย ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ได้อย่างครบครัน ด้วยดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์ มูลค่า 600 ล้านบาท บนทำเลย่านเกษตร-นวมินทร์ นายวีระชัย หาญจริยากูล ผู้อำนวยการสายงานกลยุทธ์ธุรกิจ บ้านจัดสรรและอาคารพาณิชย์ บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯ ในช่วงต้นปี 2561 ได้เปิดขายเฟสใหม่โครงการ “เพล็กซ์ เกษตร – นวมินทร์” ซึ่งเป็นหนึ่งแบรนด์ในกลุ่มทาวน์โฮม ของเรียลแอสเสทฯ จำนวน 40 ยูนิต พร้อมโปรโมชั่นพิเศษสุดเพื่อคืนกำไรให้แก่ลูกค้า คัดยูนิตพิเศษในราคาเริ่มเพียง 4.99  ล้านบาท จากราคาปกติ 5.69 ล้านบาท โครงการ เพล็กซ์ เกษตร – นวมินทร์ ตั้งอยู่บนทำเลเกษตร-นวมินทร์ เข้าออกสะดวกได้ถึง 3 เส้นทาง คือ   1) ซ.แจ่มจันทร์  2) ซ.โยธินพัฒนา 3) ซ.นวมินทร์ 111 ใกล้ห้างสรรพสินค้า CDC , Central East Ville, Tesco Lotus, Crystal Park  พื้นที่โครงการประมาณ 9 ไร่ จำนวน 93 ยูนิต มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท ลักษณะทาวน์โฮม 3 ชั้น หน้ากว้าง 5.5 ม. ขนาดพื้นที่ใช้สอย 190 ตารางวา 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 2 คัน โดดเด่นด้วยงานดีไซน์แบบกระจกเข้ามุม ทำให้บ้านดูกว้างโปร่งสบายมากขึ้น และการจัดสัดส่วนของบ้านแบบ Multi-Function  สามารถเชื่อมต่อกิจกรรมของทุกสมาชิกในครอบครัว มี Terrace ส่วนตัว ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะสำหรับ PLEX เท่านั้น “ปัจจุบันโครงการมีการขายไปแล้วกว่า 70% ซึ่งโปรโมชั่นที่จัดขึ้นเป็นสำหรับเฟสสุดท้ายเพื่อปิดการขายโครงการ โดยในเฟสใหม่ของโครงการ ทางบริษัทฯ ได้พัฒนาและปรับเปลี่ยนแบบแปลนของบ้านให้ตอบรับกับความต้องการของลูกค้า ด้วยการปรับแบบแปลนใหม่ เป็นแบบ 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ที่เน้นพื้นที่ใช้สอยเพื่อการพักผ่อนและเป็นส่วนตัว จึงได้ปรับผังบ้านที่ชั้น 2 ให้กลายเป็นห้องนอนแบบ Executive Suite คือ ไม่ได้เป็นแค่ห้องนอน แต่มีส่วนนั่งเล่นพักผ่อน และกั้นโซนทำ walk-in closet ได้แบบบ้านเดี่ยว ทำให้ผังบ้านใหม่นี้ พูดได้ว่าเป็น Double Master Bedroom มีห้องนอนใหญ่ถึง 2 ห้อง” นายวีระชัย กล่าว นายณัฏฐพร กลั่นเรืองแสง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานกลยุทธ์ธุรกิจ บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า สำหรับปี 2560 ที่ผ่านมา ทางบริษัทสามารถทำยอดขายได้ประมาณ 1,820 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายโครงการแนวราบได้ประมาณ 900  ล้านบาท และโครงการแนวสูงกว่า 920 ล้านบาท  ซึ่งเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ บริษัทฯ มีแผนในการเปิดโครงการแนวราบ  1 โครงการ ทำเลย่านสายไหม มูลค่าโครงการ 630 ล้านบาท ในราคาเริ่มต้นที่ 3 ล้านกว่าบาทและโครงการแนวสูง จะเปิดโครงการใหม่อีก 1 โครงการ  มูลค่าโครงการกว่า 4,000 ล้านบาท ในรูปแบบของ Super Luxury Condo โดยจะตั้งอยู่ในทำเล ทองหล่อ
“ออริจิ้น” ผนึก asap GO มอบบริการรถเช่าลูกบ้านไนท์บริดจ์ 3 โครงการใหม่

“ออริจิ้น” ผนึก asap GO มอบบริการรถเช่าลูกบ้านไนท์บริดจ์ 3 โครงการใหม่

ออริจิ้น ผนึก asap GO มอบบริการรถเช่าแก่ลูกบ้านโครงการลักชัวรี่ เพิ่มทางเลือกความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตของผู้บริโภค นำร่องมอบสิทธิ์ไนท์บริดจ์ 3โครงการใหม่ สเปซ พระราม 9-สเปซ รัชโยธิน-คอลลาจ สุขุมวิท 107 นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมมือกับบริษัท ซินเนอร์เจติค ออโต้ เพอร์ฟอร์มานซ์ จำกัด(มหาชน) ผู้ให้บริการรถยนต์เช่าแบบครบวงจรผ่านแอพพลิเคชั่น asap GO (เอแซ็ป โก) เพื่อส่งมอบทางเลือกใหม่ในการเดินทางให้แก่ผู้พักอาศัยในโครงการระดับลักชัวรี่ของออริจิ้น “เราพัฒนาโครงการใหม่ๆ ควบคู่กับการคำนึงถึงความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตของผู้บริโภค เราจึงพยายามสรรหาบริการใหม่ๆ ที่ทั้งง่ายและตอบโจทย์การใช้ชีวิตในยุคปัจจุบันมาให้ผู้บริโภคอย่างสม่ำเสมอ และ asap GO ก็ถือเป็นทางเลือกใหม่ที่จะช่วยให้ผู้บริโภคเดินทางได้สะดวกสบาย เข้ากับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง” นายพีระพงศ์ กล่าว ทั้งนี้ asap GO เป็นบริการรถยนต์ให้เช่ารายชั่วโมงผ่านแอพพลิเคชั่น ภายใต้คอนเซ็ปต์ Sharing Economy ผู้ใช้บริการสามารถเลือกจองรถรุ่นที่ตอบโจทย์การใช้งานและไลฟ์สไตล์ ผ่านแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน โดยคิดอัตราค่าบริการจากการใช้งานตามจริง ตอบโจทย์ผู้ต้องการใช้รถในระยะเวลาสั้นๆ โดยออริจิ้นจะจัดเตรียมพื้นที่ภายในโครงการต่างๆ ไว้สำหรับจอดรถให้บริการโดยเฉพาะ และเตรียมจัด Privilege การบริการพิเศษให้กับลูกบ้านโดยเฉพาะ นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า การให้บริการ asap GO จะนำร่องในโครงการไนท์บริดจ์ 3 โครงการใหม่ ได้แก่ 1.ไนท์บริดจ์ สเปซ พระราม 9 (Knightsbridge Space Rama 9) 2.ไนท์บริดจ์ สเปซ รัชโยธิน(Knightsbridge Space Ratchayothin) 3.ไนท์บริดจ์ คอลลาจ สุขุมวิท 107 (Knightsbridge Collage Sukhumvit 107) ซึ่งถือเป็น 3 Best Knightsbridge ของปี 2561 ที่มีการออกแบบเพดานสูงสุดถึง4.2 เมตร มีฟังก์ชันและการออกแบบที่ลงตัวเป็นทุนเดิม และเสริมด้วยบริการใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต ผู้สนใจสามารถโทรสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 020-300-000 หรือลงทะเบียนจองโครงการใหม่ทันทีที่ https://origin.co.th/knightsbridgespace
LIVEVOLUTION แคมเปญใหญ่จาก AP ให้คุณจับจองทาวน์โฮมล้ำสมัย บนทำเลที่ดีที่สุดก่อนใคร

LIVEVOLUTION แคมเปญใหญ่จาก AP ให้คุณจับจองทาวน์โฮมล้ำสมัย บนทำเลที่ดีที่สุดก่อนใคร

ปฎิเสธไม่ได้ว่า “ทาวน์โฮม” คือตัวเลือกของที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมืองยุคใหม่ที่เป็นส่วนผสมลงตัวระหว่างบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทำเลที่ตั้งแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกแล้ว ดีไซน์และฟังก์ชั่นใช้งานภายในบ้านยังตอบสนองการพักอาศัยได้เป็นอย่างดี แถมยังมาพร้อมกับพื้นที่ส่วนกลางภายในโครงการแบบครบครัน และยังเป็นอสังหาริมทรัพย์ชนิดที่ผู้ซื้อจะได้กรรมสิทธิ์ครอบครองในส่วนของที่ดินที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคต จึงไม่แปลกใจเลยค่ะว่าทำไมปัจจุบันกรุงเทพฯ จะมีทาวน์โฮมโครงการใหม่ๆ ผุดขึ้นมาเป็นตัวเลือกของผู้บริโภคมากมาย ซึ่งแบรนด์ที่สร้างความแตกต่างเหนือคู่แข่งทั้งหมด คงหนีไม่พ้นโครงการ “บ้านกลางเมือง” และ “PLENO” (พลีโน่) จาก AP Thai ผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมืองที่มุ่งมั่นพัฒนาทาวน์โฮมจนกลายเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งของประเทศไทย สามารถครองใจผู้บริโภคกว่า 50,000 ครอบครัว เนื่องจากมีจุดแข็งที่ได้เปรียบกว่าแบรนด์ใดๆ เพราะเข้าใจความต้องการและ Lifestyle ของผู้อยู่อาศัยได้อย่างตรงจุด ซึ่งไม่ใช่แค่ตอบโจทย์เรื่องฟังก์ชั่นการใช้งานเท่านั้น แต่วิธีคิดในการออกแบบสเปชของ AP นั้น คือการผสานฟังก์ชั่นเข้ากับความฝัน รสนิยม และอุดมคติในการใช้ชีวิต เพื่อประโยชน์สูงสุดและเข้าถึงทุกไลฟ์สไตล์ของลูกบ้านด้วยแนวคิด 5 BEST TOWNHOME สร้างจุดเด่นให้แตกต่างจากโครงการทั่วไปโดยปักหมุดแต่ทำเลศักยภาพ สามารถเชื่อมต่อการเดินทางหลากหลายรูปแบบ ไม่ใช่แค่ติดถนนใหญ่แต่ต้องเชื่อมต่อทางลัด ทางด่วน หรือระบบขนส่งขนาดใหญ่ได้ด้วย ที่สำคัญดีไซน์โมเดลแบบบ้านต้องตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัย โดยทาง AP ได้นำเทคโนโลยีเข้าไปเป็นส่วนผสมกับการออกแบบพื้นที่ภายใต้แนวคิด ‘สร้างสรรค์นวัตกรรมดีไซน์เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต’ หรือ SMART LIVING FUNCTION ที่นอกจากการลงลึก Design Space โดยเพิ่ม Design Detail เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่ครบและสมบูรณ์แบบมากขึ้นแล้ว ยังคงดีไซน์ทุกรายละเอียดที่เกี่ยวกับการใช้ชีวิตในแต่ละวันของลูกบ้านทุกๆ คน เพื่อเติมเต็มความสุขแบบพร้อมอยู่ แถมยังนำเทคโนโลยีเพื่อการใช้ชีวิตที่จะตอบสนอง Lifestyle การอยู่อาศัยแห่งโลกอนาคตที่ครอบคลุมทุกมิติทั้งในด้านคุณภาพ ความสะดวกสบาย และความปลอดภัยที่มากขึ้น ก่อนจะส่งมอบบ้านที่เพียบพร้อมและดีที่สุดให้แก่ลูกบ้านนั่นเองค่ะ ทำเลศักยภาพ สามารถเลือกเดินทางได้หลากหลาย สำหรับแบรนด์ บ้านกลางเมือง และ PLENO นั้น ได้มีการแบ่งพื้นที่ออกเป็นโซน A, B, C และ D ซึ่งเป็นทำเลทองรอบกรุงเทพฯ โดยวันนี้เราขอหยิบยกทาวน์โฮม 4 โครงการ จาก 2 แบรนด์คุณภาพของ AP ประกอบด้วย "โครงการบ้านกลางเมือง พระราม 9 - อ่อนนุช, บ้านกลางเมือง สวนหลวง, บ้านกลางเมือง The Edition พระราม 9 - อ่อนนุช และโครงการพลีโน่ สุขุมวิท - บางนา" มาพูดถึงกันสักหน่อยค่ะ ซึ่งทั้งหมดนี้ตั้งอยู่ในโซน A ที่นับว่าเป็น Urbanite Living ให้ทุกการเดินทางเป็นเรื่องที่ง่ายและสะดวกสบายมากๆ ทั้งคนมีรถส่วนตัวและไม่มี เพราะด้วยทำเลศักยภาพที่ทาง AP เลือกให้เป็นที่ตั้งโครงการนั้นจะเชื่อมต่อทั้งทางด่วน, มอเตอร์เวย์ และกาญจนาวงแหวนรอบนอก อีกทั้งยังตั้งอยู่ในพิกัดที่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าเลย ไม่ว่าจะเป็นสถานีแอร์พอร์ตลิ้งค์บ้านทับช้าง (โครงการบ้านกลางเมือง พระราม 9 - อ่อนนุช และบ้านกลางเมือง The Edition พระราม 9 - อ่อนนุช), BTS สถานีบางนา (โครงการพลีโน่ สุขุมวิท - บางนา) พิกัดของทั้ง 4 โครงการ นั้นเอื้อต่อการเดินทางที่ง่ายและสะดวกสบายจริงๆ ค่ะ ซึ่งลูกบ้านสามารถเลือกเส้นทางเข้าเมืองได้เยอะ ทั้งทางถนนเลียบมอเตอร์เวย์ ที่สามารถวิ่งตรงไปจนถึงพระราม 9 ได้ หรือใช้ทางแยกประเวศแล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนอ่อนนุชวิ่งเข้าแยกสวนหลวง แล้วตรงไปถึงถนนสุขุมวิทก็ยังได้ค่ะ แถมถนนอ่อนนุชยังเชื่อมต่อเข้าถนนพัฒนาการสามารถไปถนนเพชรบุรีได้อีกด้วย ส่วนถ้าจะออกเมืองก็ใช้ทางแยกประเวศ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนลาดกระบัง ก็จะสามารถไปสนามบินสุวรรณภูมิ และสามารถไปถนนกิ่งแก้วไปออกถนนบางนา-ตราดได้ค่ะ นอกจากนี้บริเวณโดยรอบก็มีสถานที่สำคัญมากมายทั้งห้างสรรพสินค้า, สถานศึกษา, สถานพยาบาล และสนามบินสุวรรณภูมิ แถมแบบบ้านทาวน์โฮมที่ถูกเลือกมาลงนั้นก็ไม่ได้มีราคาสูงมากไปกว่าคุณภาพเลย ซึ่งอยู่ในระดับราคาที่สามารถจับต้องได้ แต่จะมีรายละเอียดและจุดเด่นที่ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคอย่างไรบ้าง เราไปดูพร้อมๆ กันเลยค่ะ.. บ้านกลางเมืองพระราม 9 - อ่อนนุช เริ่มต้นโครงการแรกกับ “บ้านกลางเมืองพระราม 9 – อ่อนนุช” ทาวน์โฮมดีไซน์ใหม่ที่สะท้อนถึงความเหนือระดับได้ในทุกมิติ ออกแบบภายใต้แนวคิด Free & Easy ทันสมัยแต่ยังคงไว้ซึ่งความหรูหรา โดยตัวบ้านเป็นทาวน์โฮม 3 ชั้น หน้ากว้าง 5 เมตร พื้นที่ใช้สอยแบบ Flexible ที่สามารถออกแบบพื้นที่ส่วนตัว และปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นของทุกสัดส่วนในบ้านให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ทันสมัยได้อย่างลงตัว เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกหลากหลาย กับพื้นที่ส่วนกลาง คลับเฮ้าส์ พร้อมสระว่ายน้ำและฟิตเนส และบริเวณพักผ่อน เติมเต็มแนวคิดใหม่ๆ และความสุขได้อย่างไม่รู้จบ บนทำเลใกล้มอเตอร์เวย์และวงแหวนกาญจนาภิเษก เพียง 5 นาทีถึงรถไฟฟ้า เดินทางถึงพระราม 9 ภายใน 10 นาที ในราคาเริ่มต้นเพียง 3.99 ล้านบาท* พิกัดโครงการ บ้านกลางเมือง พระราม 9-อ่อนนุช:  (13.728025,100.703883) บ้านกลางเมือง สวนหลวง บ้านกลางเมือง สวนหลวง โครงการที่อยู่ทางโซนบางนา เป็นโครงการที่มี Product หลากหลาย ทั้งทาวน์โฮม 2 ชั้น, 3 ชั้น และบ้านแนวคิดใหม่ X-Trend Series ในดีไซน์ Modern Contemporary Style ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ในครอบครัว ที่ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ สู่การสร้างสรรค์พื้นที่อย่างลงตัว ด้วยการออกแบบพื้นที่ที่มากขึ้น เน้นความโปร่ง โล่ง สบาย ในสไตล์ Modern Contemporary ภายใต้สุนทรียะแห่งธรรมชาติ รายล้อมด้วยพื้นที่สีเขียวที่เปี่ยมไปด้วยความร่มรื่น บนทำเลศักยภาพที่เลือกสรรมาอย่างดี พร้อมตอบรับทุกการพักผ่อนด้วย Facilities ครบครัน ทั้ง คลับเฮาส์ ฟิตเนส สระว่ายน้ำ และ Jogging Track สามารถเดินทางได้หลายเส้นทาง ใกล้ทั้งทางด่วนบูรพาวิถี มอร์เตอร์เวย์ และวงแหวนรอบนอก เชื่อมต่อถนนอ่อนนุช และถนนศรีนครินทร์ ในราคาเริ่มต้นเพียง 4.69 ล้านบาท* พิกัดโครงการ บ้านกลางเมือง สวนหลวง: (13.670599,100.67296) บ้านกลางเมือง The Edition พระราม 9 – อ่อนนุช บ้านกลางเมือง THE EDITION พระราม 9-อ่อนนุช บ้านแนวคิดใหม่ในบรรยากาศรีสอร์ท ตอบรับความสุขของทุกวิถีชีวิตได้อย่างเต็มที่ ออกแบบภายใต้แนวคิด Multiple Space ขยายพื้นที่ใช้สอยภายใน พร้อมสวนรอบบ้าน และด้วยความลงตัวของพื้นที่ใช้สอยที่เพิ่มขึ้น ด้วยนิยามการดีไซน์แบบ Maximum / More / Masterpiece ฟังก์ชั่นการใช้งานของแต่ละเสปซสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามจินตนาการ ผสานความเรียบหรูและทันสมัยไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ตอบโจทย์ทุกความต้องการด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ให้คุณและครอบครัวได้ผ่อนคลายไปกับ คลับเฮ้าส์ดีไซน์หรู มาพร้อมสระว่ายน้ำและฟิตเนส และสวนพักผ่อน บนทำเลเชื่อมต่อสู่พระราม 9 เพียง 10 นาที* ใกล้ทั้งทางด่วนและรถไฟฟ้า Airport Link สถานีบ้านทับช้าง ในราคาเริ่มต้นเพียง 4.79 ล้านบาท* พิกัดโครงการ บ้านกลางเมือง THE EDITION พระราม 9-อ่อนนุช: (13.728025,100.703883) พลีโน่ สุขุมวิท - บางนา มาถึงโครงการสุดท้ายในโซน A ที่น่าสนใจไม่แพ้บ้านกลางเมืองเลย สำหรับแบรนด์ PLENO โครงการ PLENO สุขุมวิท-บางนา ฟังก์ชั่นแบบใหม่ของทาวน์โฮม 2 ชั้น บนทำเลศักยภาพ ใกล้ทางด่วน สามารถเข้าเมืองได้ง่ายและใกล้เมกะบางนา แบบบ้านมีการดีไซน์ฟังก์ชั่นภายในของพื้นที่ใช้สอยให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าได้อย่างลงตัว ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของกลุ่มลูกค้าที่เป็นครอบครัวใหม่ ด้วยการดีไซน์แบบ Flexible Space เพิ่มประโยชน์ของฟังก์ชั่นในการปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยตามต้องการของการใช้งานจริง ชั้นล่างจะมี Foyer ช่วยทำให้เป็นสัดส่วนมากขึ้น ชั้น 2 เพิ่ม Green Space มากขึ้น โดยฟังก์ชั่นของ Double Garden ของพื้นที่ชั้น 2 ช่วยเพิ่มสีเขียวของธรรมชาติให้กับความร่มรื่นของบ้าน โครงการมี Facilities ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะสระว่ายน้ำ และพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ พร้อม Fitness และสนามเด็กเล่น  พักผ่อนอย่างลงตัวท่ามกลางธรรมชาติที่ บนคลับเฮ้าส์ที่โดดเด่นในการออกแบบที่หรูหรา ทำให้สะท้อนทุกรายละเอียดในการอยู่อาศัย ในราคาเริ่มต้นเพียง 3.49 ล้านบาท* พิกัดโครงการ PLENO สุขุมวิท-บางนา : (13.6370711286343,100.673248618841)   เพื่อเป็นการตอกย้ำความเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งของทาวน์โฮมที่มีกระแสตอบรับอย่างล้นหลาม ชนิดที่ Sold Out ตั้งแต่วันเปิดจองในทุกๆ โครงการที่ผ่านมาทาง AP จึงไม่รอช้าที่จะกระจายความสุขให้เกิดขึ้นในวงการอสังหาฯ ของไทย ด้วยการจัดแคมเปญครั้งยิ่งใหญ่ “LIVEVOLUTION” ครั้งแรกกับนวัตกรรมทาวน์โฮมแห่งอนาคต ที่รวบรวมทาวน์โฮมสุดล้ำสมัย 2 แบรนด์ดังอย่าง “บ้านกลางเมือง” และ “Pleno” บนสุดยอดทำเลกว่า 30 โครงการ นำมาจัดโปรโมชั่นพร้อมกันทั่วกรุงเทพฯ โดยทั้ง 2 แบรนด์จะนำเสนอบ้านทาวน์โฮมแบบใหม่ พร้อมราคา Pre-sale ที่ดึงดูดใจมากๆ (เริ่มที่ 1.69-9.29 ล้านบาท*) ตามด้วยข้อเสนอแห่งปี “ซื้อบ้านไม่มีดอกเบี้ยนาน 2 ปี*” ให้คุณเป็นเจ้าของทาวน์โฮมแบรนด์อันดับหนึ่งได้ง่ายๆ ภายในงานนอกจากทุกคนจะได้พบกับการเปิดตัวครั้งแรกของ “LIVEVOLUTION HOME” นวัตกรรมทาวน์โฮมแห่งอนาคต และแนวคิดการออกแบบที่ผสมผสานฟังก์ชั่น LIVEVOLUTION SMART และ LIVEVOLUTION SPACE เข้าไว้ด้วยกันเพื่อตอบโจทย์ Lifestyle การใช้ชีวิตของลูกบ้านได้ครบสมบูรณ์แบบทุกมุมมองมากยิ่งขึ้นแล้ว อีกหนึ่งความพิเศษในงานที่ไม่อยากให้พลาดเลยจริงๆ ค่ะ สำหรับ "HALL OF FRAME” แคมเปญใหม่ที่ทาง AP จะรวบรวมที่ดินแปลงพิเศษ ทำเลพิเศษ พร้อมราคาสุดพิเศษ ทุกโครงการ ทุกทำเล จากบ้านกลางเมือง และ พลีโน่ ไปให้จับจองและเลือกสรรได้ตามความต้องการ ซึ่งข้อเสนอนี้จัดให้เฉพาะลูกค้าที่จองในงานนี้เท่านั้นนะคะ ดังนั้นถ้าไม่อยากพลาดโปรโมชั่นดีๆ แบบนี้ แนะนำให้ลงทะเบียน https://goo.gl/kb4ouD เพื่อลุ้นรับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 100,000 บาท*! ไว้ตั้งแต่ตอนนี้เลย ก่อนจะไปเจอกันที่หน้างานวันที่ 10-11 มีนาคม 2561 ที่จะถึงนี้ ซึ่งงานจะจัดเพียง 2 วันเท่านั้น!!! สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 1623
Knightsbridge Space Rama 9 (Advertorial)

Knightsbridge Space Rama 9 (Advertorial)

Knightsbridge Space Rama 9 (Advertorial)   ย้อนกลับไปเมื่อ 9 ปีที่แล้วได้เกิดบริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งขึ้น เริ่มจากการทำโครงการคอนโดมิเนียมขนาดเล็ก-กลาง จากนั้นก็เติบโตขึ้นชนิดที่เรียกว่าก้าวกระโดดอยู่เสมอ ซึ่งล่าสุดมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 150% สร้างความตกตะลึงให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ไม่น้อย จนวันนี้เราสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า “ออริจิ้น” คือหนึ่งในบริษัทอสังหาริมทรัพย์แนวหน้าระดับ Top 5 ของประเทศไทยอย่างไร้ข้อกังขา   ภายใต้ระยะเวลาอันรวดเร็วของการเติบโตทางธุรกิจนี้แน่นอนว่าย่อมมีความสำเร็จมากมายเป็นตัวการันตี โดยหากมองจากปีที่แล้ว มีคอนโดมิเนียมหลายตัวที่ได้รับความสนใจทั้งซื้อยู่อาศัยเองและนักลงทุน เช่น Kensington สุขุมวิท-เทพารักษ์ คอนโด High Rise ติดรถไฟฟ้าสายสีเหลือง 0 เมตร จากสถานีทิพวัล ราคาเริ่มต้นแค่ 1.09 ล้านบาท หรือโครงการระดับ Flagship อย่าง Knightsbridge ที่มีหน้าตาออกมาสวยโดนใจผู้บริโภคทั้งในแง่ของดีไซน์    ฟังก์ชั่นการใช้งานจริง รวมถึงทำเล โดยทั้ง 4 โครงการ คือ Knightsbridge Kaset Society, Knightsbridge Prime Ratchayothin, Knightsbridge prime Onnut และKnightsbridge Collage Ramkhamhaeng ได้เปิดตัวไปแล้วอย่างสวยงาม โดยทุกโครงการที่กล่าวถึงล้วนแต่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามทั้งสิ้นและยัง Sold Out ภายในระยะเวลาไม่นาน จนกลายเป็นที่จับตามองว่าแบรนด์ Knightsbridge ตัวต่อไปจะมีหน้าตาออกมาเป็นอย่างไร   พอเริ่มศักราชใหม่ออริจิ้นก็ไม่รอช้า เริ่มปล่อยหมัดเด็ดกันมาตั้งแต่ Project แรกของปีด้วยการเปิดตัว 2 โครงการคอนโดมิเนียม Knightsbridge Space Rama 9 และ Knightsbridge Space Ratchayothin บนทำเลพรีเมียมสมกับความเป็น Knightsbridge แต่การมาของทั้ง 2 โครงการนี้มีอะไรที่แตกต่างออกไปจากเดิม นับเป็นบริบทใหม่แห่งการอยู่อาศัยที่กล้าฉีกกรอบแนวเดิมๆ เพื่อให้ได้สิ่งที่ตรงใจผู้บริโภคมากที่สุด ซึ่งครั้งนี้เราจะโฟกัสกันที่โครงการ Knightsbridge Space Rama 9 ซึ่งโครงการตั้งอยู่ริมถนนดินแดงฝั่งขาเข้าไปทางอนุสาวรีย์ การเดินทางสะดวกต่อทั้งที่ผู้ที่ใช้รถยนต์ส่วนตัวและระบบขนส่งสาธารณะ โดยหากใช้ถนนดินแดงมุ่งตรงสู่สามเหลี่ยมดินแดงก็จะสามารถเข้าสู่ถนนวิภาวดีไปขึ้นทางยกระดับอุตราภิมุข(โทลเวย์) หรือใช้ถนนอโศก-ดินแดง ก็มีจุดขึ้น-ลงทางพิเศษศรีรัช และหากเลือกเปลี่ยนการเดินทางมาใช้รถไฟฟ้าท่ี่ใกล้ที่สุดเพียง 350 เมตร ที่ MRT สถานีพระราม 9 ซึ่งเป็นเส้นทางที่สามารถตรงเข้าสู่ CBD ย่านอโศก-สีลม-สาทร ได้อย่างรวดเร็วที่สุด เรียกได้ว่าเป็นการเชื่อมต่อกันระหว่าง CBD-New CBD ได้อย่างคล่องตัว และเมื่อพูดถึงความเป็นทำเลแห่งเศรษฐกิจของประเทศก็มักจะตามมาด้วยชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานและพักอาศัยอยู่ในประเทศไทยแบบระยะยาว ความต้องการที่อยู่อาศัยจึงเกิดขึ้นอย่างมีอัตราที่โตขึ้นเรื่อยๆ ทุกปีโดยมีกำไรเติบโตสูงถึง 10% ต่อปีในย่านนี้ ฉะนั้นคอนโดมิเนียมในทำเลนี้จึงเหมาะสำหรับการปล่อยเช่าไปด้วยเพราะได้ Yield ถึง 5.6% ซึ่งในการซื้อ-ขาย-เช่า ทางออริจิ้นเองก็ได้มีการให้บริการอย่างเต็มรูปแบบ สะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจด้านการบริการแก่ลูกบ้านอย่างครบวงจร     ทำเล New CBD แห่งนี้มีการพูดถึงกันอย่างกว้างขวางในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ เพราะปัจจุบันแหล่ง CBD ในกรุงเทพฯ มีความหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องมีการขยายเมืองออกมาตามสาธารณูปโภคที่ก็ต้องมีความอุดมสมบูรณ์มากพอที่จะกลายเป็นแหล่ง New CBD ที่สามารถรองรับความหนาแน่นของผู้คนที่กำลังจะตามมา เพราะนั่นหมายความว่าจะได้รับสะดวกสบายในการใช้ชีวิตที่ง่ายขึ้น และคำตอบก็คือย่านพระราม 9 ย่านที่ขึ้นชื่อว่าไม่เคยหลับไหล โดยในช่วงกลางวันจะมี Character ของความเป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน มีแหล่งอาคารออฟฟิศชั้นนำมากมาย ห้างสรรพสินค้าหลายรูปแบบที่สามารถตอบสนองความต้องการได้ครบครัน เช่น เดินช้อปปิ้งที่เซ็นทรัลพระราม 9, หาซื้อของ IT ที่ฟอร์จูนทาวน์, ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่บิ๊กซี, เดินเล่นหาอะไรทานที่ Esplanade หรือ The Street ฯลฯ กลับกันในช่วงกลางคืนจะพลิกเป็น Night light city ของเหล่าวัยรุ่นกลุ่มคนรุ่นใหม่ไฟแรงทั้งตลาดนัดรถไฟแหล่งรวมสุดฮิป สถานที่แฮงเอาท์ที่มีให้เลือกไปได้ทั้งเดือนแบบไม่ซ้ำร้าน และเมื่อเป็นแหล่ง All day All Night ได้ขนาดนี้สิ่งที่ทำให้ผู้คนมากมายหลั่งไหลมารวมตัวกันได้นั่นคือการเดินทางได้อย่างสะดวก ไม่ว่าจะขับรถยนต์ส่วนตัวก็จะมีจุดขึ้น-ลงทางพิเศษศรีรัช บริเวณถนนอโศกดินแดงใกล้สี่แยกพระราม 9 หรือจะไปขึ้นทางพิเศษเฉลิมมหานคร-ทางยกระดับอุตราภิมุข บริเวณถนนวิภาวดีก็ไม่ไกล หรือจะใช้บริการขนส่งสาธารณะเพื่อการเดินทางเข้าใจกลางเมืองได้อย่างรวดเร็วก็มีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สายสีน้ำเงิน สถานีพระราม 9 ซึ่งหากนั่งไปเพียง 1 สถานี ที่สถานีเพชรบุรีก็เป็นจุด Interchange กับแอร์พอตลิ้ง สถานีมักกะสัน จะเห็นได้ว่าทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกรอบๆ และการเดินทางต่างก็เอื้อให้กับผู้ที่อยู่อาศัยใน Prime Location นี้สามารถใช้ชีวิตอย่างคนยุคใหม่ที่สามารถ Work hard Play hard ได้อย่างเต็มที่     Knightsbridge Space Rama 9 Knightsbridge Space Rama 9 คอนโดมิเนียม High Rise 28 ชั้น 1 อาคาร 325 ยูนิต และอีก 1 ร้านค้า  Auto Parking 52% ยูนิตพักอาศัยชั้น 6-18, 20-27 และ Facility ที่หลากหลายตั้งแต่ชั้น G, 2, 6, 19,  และ Roofttop Garden ตัวอาคารถูกออกแบบให้ดูล้ำสมัยด้วยการใช้สีโทน Monochrome ไล่เฉดสีเทา ดำ ขาวเป็นหลัก ผสมผสานกับ Vertical Line ได้อย่างลงตัว ซึ่งการออกแบบทั้งภายนอกและภายในสำหรับโครงการนี้ได้ Designer ระดับท็อปมาใส่ไอเดียลงไปจนเต็มโครงการที่มาพร้อมคอนเซป ‘‘SPACE MAKE POSSIBLE’’ โดยทางออริจิ้นพยายามสร้างมิติของการใช้ชีวิตในที่อยู่อาศัยด้วยการนำคอนเซปของคำว่า Space มาฉีกกรอบเดิมของคอนโดมิเนียม ผสานความเชื่อมโยงถึงกันทุกมิติ สร้างประสบการณ์ในการอยู่อาศัยรูปแบบใหม่ โดยวางเอาไว้ให้เป็น 4 Space หลัก คือ Vertical Space การออกแบบพื้นที่ใช้งานแนวตั้งให้มีประโยชน์สูงสุด, Value Space การเพิ่มพื้นที่ใช้สอยในห้อง สามารถใช้งานได้แบบไม่เคยปรากฏมาก่อน, More Space การออกแบบให้ผู้อยู่อาศัย สามารถใช้ชีวิตในพื้นที่ได้มากกว่า ทั้งภายในห้องและพื้นที่ส่วนกลาง มุมสังสรรค์ ภายในโครงการ, Flow Space การเชื่อมต่อพื้นที่ภายในและภายนอกอาคารด้วยการออกแบบ Space ทีมีการเล่นระดับ เล่นระดับพื้นที่โถงเพดานสูง มีการออกแบบพื้นที่ใช้งานขนาดใหญ่     ความพิเศษสุดของโครงการนี้ คือ “Duo Space” ห้องพัก Lay Out ใหม่ล่าสุดจากออริจิ้น มาในสไตล์ Loft Hi light Product ที่คงคอนเซปถึงการเชื่อมต่อทุกพื้นที่เข้าถึงกัน แต่กลับมีความเป็นส่วนตัวได้ Space มากขึ้น และยังคำนึงถึงการใช้ทุกพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลงตัวในทุก Function เพดานห้องสูงถึง 4.2 เมตร ดูหรูหราให้ความรู้สึกโปร่งโล่งยิ่งขึ้น พร้อมเปิดมุมมองภายในห้องพักให้เชื่อมต่อกับด้านนอกอาคารได้มากขึ้นด้วยหน้าต่างกระจกสูง และยังเป็นโครงการที่นำเอาเทคโนโลยี Home automation เข้ามาใช้งานจริงเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ให้ได้ใช้ชีวิตที่ง่ายมากขึ้นในด้วยการควบคุมเปิด-ปิดสิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องพักผ่านสมาร์ทโฟนของเรา เช่น Digital Door Lock, ไฟภายในห้อง, เครื่องปรับอากาศ และผ้าม่าน ซึ่งทั้งห้องสไตล์ Duo Space และระบบ Home automation จะได้เหมือนกันทุกยูนิต   ภาพบรรยากาศจำลองภายในห้องพัก   Unite Plan Type 23 ตร.ม. เมื่อได้ดีไซน์ Duo Space ก็จะได้พื้นที่ใช้สอยทาสูงเพิ่มมากขึ้นอีก 7 ตร.ม. (โดยประมาณ)         Unite Plan Type 26 ตร.ม. เมื่อได้ดีไซน์ Duo Space ก็จะได้พื้นที่ใช้สอยทาสูงเพิ่มมากขึ้นอีก 10 ตร.ม. (โดยประมาณ)   Unite Plan Type 30 ตร.ม. เมื่อได้ดีไซน์ Duo Space ก็จะได้พื้นที่ใช้สอยทาสูงเพิ่มมากขึ้นอีก 12 ตร.ม. (โดยประมาณ)   มาถึงพื้นที่ส่วนกลางอีกหนึ่งไฮไลท์ของโครงการที่ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อการพักผ่อนที่ดีที่สุดของลูกบ้าน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วแต่ละโครงการจะมีมาให้ประมาณ 2-3 ชั้น แต่สำหรับ Knightsbridge Space Rama 9 นั้นให้พื้นที่ส่วนกลางมาถึง 5 ชั้น รวมแล้ว  กว่า 1,000 ตร.ม. โดยออกแบบมาให้มีความ Flow ตามเส้นสายโค้งมนตามธรรมชาติพร้อมลำธารเล็กๆ ตามทางเดินที่เชื่อมต่อถึงกันทั้งภายนอกและภายในอาคาร ให้ความรู้สึกได้อยู่กับธรรมชาติมากขึ้น   ภาพจำลองพื้นที่สีเขียวส่วนกลาง Sky Infinity Lap Pool บนชั้น 19 ให้ได้ว่ายน้ำพร้อมชมวิวเมืองสวยๆ พร้อมสวนสีเขียวรอบๆ ให้รู้สึกถึงการพักผ่อนเหนือระดับที่ Knightsbridge Space Rama 9 Sky Panoramic Social Fitness Club ชั้น 19 ฟิตเนสในห้องใหญ่เพดานสูงอันโอ่งโถ่ง ล้อมรอบไปด้วยกระจก High Selling ให้ได้ออกกำลังกายพร้อมเสพวิวเมืองได้รอบทิศทาง Floor Plan ชั้น Ground ใช้เส้นสายธรรมชาติมาสร้าง Flow Space เชื่อมต่อทั้งภายในและภายนอกอาคารให้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน Floor Plan ชั้น 6 เป็นชั้นแรกที่มียูนิตพักอาศัย มีพื้นที่สีเขียวของทั้งสองฝั่งของอาคาร ซึ่งถูกออกแบบให้มีทางเดินไล่ระดับเชื่อมต่อถึงกันเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตที่แยกกันไม่ออก Floor Plan ชั้น 7-18 คือโซนแรกของยูนิตพักอาศัย มีประมาณ 20 ยูนิต/ชั้น ถือว่าไม่มาก ได้ความเป็นส่วนตัว ลิฟท์ 4 ตัว บันไดหนีไฟ 2 จุด และห้องที่เป็นห้องเก็บขยะของชั้นจะถูกออกแบบมาให้หลบลึกเข้าไปด้านในเพื่อป้องกันกลิ่นรบกวน Floor Plan ชั้น 20-25 เป็นโซนพักอาศัยที่มีความเป็นส่วนตัวเพิ่มขึ้นไปอีกด้วยจำนวนยูนิตที่น้อยมากเพียง 9 ยูนิต/ชั้น Floor Plan ชั้น 26 เป็นชั้นที่มีความพิเศษยิ่งขึ้น เพราะนอกจากจำนวนยูนิตที่น้อยที่สุด 6 ยูนิต ยังได้สวนสีเขียวมาไว้ที่ชั้นพักอาศัย เสมือนเป็นสวนสว่นตัวที่น้อยคนจะได้เข้าถึง Floor Plan ชั้น 27 เป็นชั้นพักอาศัยที่อยู่สูงที่สุดของโครงการ ได้ความ Exclusive ทั้งจำนวนยูนิตที่น้อยเป็นพิเศษและวิวเมืองทั้งในย่าน New CBD ไปจนถึงฝั่ง CBD เดิม Floor Plan Roof Top มาถึงตรงนี้แล้วคงหมดคำถามว่าทำไมออริจิ้นถึงเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ก้าวขึ้นมาครองใจผู้บริโภคได้อย่างง่ายดายในระยะเวลาอันรวดเร็ว พิสูจน์ได้ด้วยคุณเองเร็วๆ นี้ ที่โครงการ Knightsbridge Space Rama 9     24 มี.ค.นี้ เปิดจอง Pre Sale!! Knightsbridge Space Rama 9 1 ใน 3 ไนท์บริดจ์ ที่สุดแห่งปี คอนโดใหม่!! ไนท์บริดจ์ สเปซ พระราม 9 ห้องแบบ Duo Space เพดานสูง 4.2 ม. ที่สูงและสวยที่สุดแห่งแรกและแห่งเดียวบนสี่แยกพระราม 9 เพียง 325 ยูนิตทั้งโครงการ และ เพียง 350 ม. จาก MRT สถานีพระราม 9 เต็มอิ่มกับพื้นที่สวนส่วนกลางกว่า 1,000 ตรม. เชื่อมต่อเนื่องถึง 5 ระดับชั้น Craft Cafe & Working Space กว่า 645 ตรม. แบบ Double Volume Sky panoramic social fitness club ขนาดใหญ่กว่า 221 ตรม. พร้อมระบบ Home Automation และ Auto Parking   ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ VIP ได้ที่ https://goo.gl/ZLouVN รับส่วนลด 200,000.* T.020300000 โอกาสสุดท้าย ที่คุณห้ามพลาด
ศุภาลัย โชว์ผลประกอบการปี 60 ภาพรวมเศรษฐกิจ และทิศทางตลาดอสังหาฯ ภาคอีสาน

ศุภาลัย โชว์ผลประกอบการปี 60 ภาพรวมเศรษฐกิจ และทิศทางตลาดอสังหาฯ ภาคอีสาน

ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร นางอัจฉรา ตั้งมติธรรม รองประธานกรรมการบริหาร นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ และนายบุญชัย ชัยอนันต์บวร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานโครงการภูมิภาค 2 บริษัท ศุภาลัย จำกัด(มหาชน) ให้เกียรติร่วมแถลงข่าว “ผลประกอบการปี 60 + ภาพรวมเศรษฐกิจ และทิศทางตลาดอสังหาฯ ภาคอีสาน” โดยสามารถกวาดยอดขาย 30,777 ล้านบาท รายได้รวม 25,789 ล้านบาท เติบโต 10% และกำไรสุทธิ 5,812 ล้านบาท เติบโต 19% ซึ่งเป็นตัวเลขผลประกอบการที่โดดเด่นและเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ พร้อมเตรียมขยายโครงการใหม่ครอบคลุมทุกทำเลศักยภาพ ณ โรงแรมสุนีย์ แกรนด์ โฮเทล & คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ออริจิ้น ส่ง”ไนท์บริดจ์” 3 โครงการ 6,000 ล้านบาท ชู“Duo Space” เปิดขายออนไลน์ 8 มี.ค.นี้

ออริจิ้น ส่ง”ไนท์บริดจ์” 3 โครงการ 6,000 ล้านบาท ชู“Duo Space” เปิดขายออนไลน์ 8 มี.ค.นี้

ออริจิ้น เปิดตัวคอนโดหรู “ไนท์บริดจ์” 3 โครงการมูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท ชูจุดขาย “Duo Space” เพดานสูง 4.2 เมตร เพิ่มพื้นที่ใช้สอย สร้างจุดต่างตอบโจทย์ย่าน New CBD ผนึกโนมูระ ดึงโนว์ฮาว Luxmore ใส่ใจทุกรายละเอียด เปิดพรีเซล- จองออนไลน์ 8 มี.ค.นี้ นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์เคนซิงตัน นอตติ้ง ฮิลล์ ไนท์บริดจ์ และพาร์ค และบ้านแนวราบภายใต้แบรนด์ บริทาเนีย กล่าวว่า ไตรมาส 1/2561 บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่ เป็นคอนโดหรูภายใต้แบรนด์ “ไนท์บริดจ์” จำนวน  3 โครงการ ได้แก่ 1.ไนท์บริดจ์ สเปซ รัชโยธิน (Knightsbridge Space Ratchayothin) 2.ไนท์บริดจ์ สเปซ พระราม 9 (Knightsbridge Space Rama 9) และ 3.ไนท์บริดจ์ คอลลาจ สุขุมวิท 107 (Knightsbridge Collage Sukhumvit 107) รวมมูลค่าโครงการกว่า 6,000 ล้านบาท สำหรับจุดขายหลักของ 2 โครงการแรก ภายใต้แบรนด์ไนท์บริดจ์ สเปซ คือแนวคิดการพัฒนาแบบ “Duo Space” ที่มีองค์ประกอบหลัก 4 ส่วน ได้แก่ 1.Vertical Space คือการออกแบบพื้นที่ใช้งานแนวตั้งให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น พื้นที่เหนือครัว ส่วนอาบน้ำ สามารถใช้เป็นพื้นที่เก็บของได้ 2.Value Space ให้ทุกพื้นที่ใช้สอยภายในห้องสามารถใช้งานจริงได้อย่างคุ้มค่า 3.More Space เพิ่มพื้นที่ส่วนกลาง พื้นที่สันทนาการ และมุมพักผ่อนสังสรรค์ให้มีขนาดใหญ่ และ 4.Flow Space เชื่อมต่อพื้นที่ภายในและภายนอกอาคารด้วยการออกแบบให้มีการเล่นระดับโถงที่มีฝ้าเพดานสูง เป็น Double Space และ Triple Space “ทุกห้องภายในทั้ง 2 โครงการจะมีเพดานสูงถึง 4.2 เมตร เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอย สร้างมิติใหม่แห่งการอยู่อาศัย และสร้างทางเลือก ตลอดจนไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างให้แก่ผู้บริโภคในย่าน New CBD พระราม 9 โดยสถานี MRT พระราม 9 มีผู้ใช้บริการมากเป็นอันดับ 2 ในบรรดาสถานี MRT ทั้งหมด ภายในระยะ 3 กิโลเมตรจากโครงการ มีทั้งแหล่งงาน ศูนย์การค้า ศูนย์จัดแสดงสินค้าและโลจิสติกส์ โรงพยาบาล สถานศึกษา เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย The Super Tower The Ninth Tower มักกะสัน มิกซ์ยูส อาคาร AIA สำนักงานใหญ่ยูนิลีเวอร์ G Tower เซ็นทรัล พระราม 9 เทอร์มินัล 21 โรงพยาบาลปิยะเวท มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร เป็นย่านที่ผู้บริโภคมีรายได้เฉลี่ย 75,000-120,000 บาทต่อเดือน โครงการส่วนใหญ่จะมีพื้นที่ใช้สอยค่อนข้างจำกัด โครงการของเราถือเป็นโครงการแรกที่มอบพื้นที่ใช้สอยพิเศษกว่าใครในทุกยูนิต มุ่งตอบโจทย์การใช้ชีวิตของตลาดเรียลดีมานด์” นายพีระพงศ์ กล่าว ขณะเดียวกัน บริษัทได้ร่วมทุนกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ พัฒนาโครงการไนท์บริดจ์ สเปซ รัชโยธินด้วย โดยจะนำคอนเซ็ปท์ Luxmore ของทางโนมูระ เข้ามาเพิ่มเป็นทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคที่ต้องการฟังก์ชั่นเฟอร์นิเจอร์ที่มอบความสะดวกสบายและประโยชน์ใช้สอยที่หลากหลายเพิ่มขึ้น ขณะที่ไนท์บริดจ์ คอลลาจ สุขุมวิท 107 นั้น บริษัทจะนำระบบ Smart Home Automation และบริการหลังการขายโดยบริษัท พรีโม พร็อพเพอร์ตี้ โซลูชั่น จำกัด ช่วยยกระดับความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตให้แก่ผู้บริโภค “นอกจากเรื่อง Duo Space ยังปรับเปลี่ยนวิธีการจองมาสู่ระบบออนไลน์ทั้งหมด ให้ผู้บริโภคเข้าถึงโครงการต่างๆ ได้ง่ายขึ้น โดยเปิดให้จองสิทธิ์ถึงวันที่ 7 มี.ค.นี้ และเปิดจองจริงตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค.นี้” นายพีระพงศ์ กล่าว ด้านนายอภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายขายและการตลาด บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า โครงการไนท์บริดจ์ สเปซ พระราม 9 ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 2 ไร่บนถนนดินแดง ห่างจาก MRTพระราม 9 ราว 350 เมตร ประกอบด้วยอาคารสูง 27 ชั้น 1 อาคาร รวมจำนวน 325 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 2,300 ล้านบาท ภายในโครงการมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ EV Charger, Auto Parking, Craft Café & Working Space, Sky Sunrise Onsen, Sky Yoga & Zumba, Sky Panoramic Social & Fitness Club ทั้งโครงการออกแบบภายใต้แนวคิด Duo Space ทุกห้องพักภายในอาคารมีเพดานสูงถึง 4.2 เมตร เป็นห้องขนาด 1-3 ห้องนอน ตั้งแต่ 23-57 ตร.ม. ราคาเริ่มต้นที่ 4.69 ล้านบาท ขณะที่โครงการไนท์บริดจ์ สเปซ รัชโยธิน ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 2 ไร่ 2 งาน ใกล้แยกรัชโยธิน ห่างจาก BTS พหลโยธิน 24 เพียง 20 เมตร ซึ่งสามารถเดินทางเชื่อมต่อรถไฟฟ้าได้ถึง 3 สาย โครงการประกอบด้วยอาคารสูง33 ชั้น 1 อาคาร รวมจำนวน 488 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 2,700 ล้านบาท นอกจากจุดขาย Duo Space พร้อมเพดานสูง 4.2 เมตรแล้ว ยังมอบ Auto Parking ถึง 70% และส่วนกลางลอยฟ้ากว่า 1,600 ตร.ม. ออกแบบโครงการให้มีพื้นที่ว่างและมีลักษณะเหมือนเป็นอวกาศ ห้องพักมีขนาด 1-2 ห้องนอน 22-61 ตร.ม. ราคาเริ่มต้นที่ 4.59 ล้านบาท สำหรับโครงการไนท์บริดจ์ คอลลาจ สุขุมวิท 107 ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 1 ไร่ 1 งาน ในซอยสุขุมวิท 107 ห่างจาก BTS แบริ่งราว 300 เมตร ประกอบด้วยอาคารสูง 28 ชั้น จำนวน 1 อาคาร รวม 304 ยูนิต มูลค่าโครงการ1,000 ล้านบาท ห้องพักมีขนาด 1-2 ห้องนอน ตั้งแต่ 23-61 ตร.ม. เพดานสูง 2.6 เมตร ราคาเริ่มต้นที่ 2.29 ล้านบาท
เห็นด้วยไหม? คอนโดจะไม่สร้างที่จอดรถ

เห็นด้วยไหม? คอนโดจะไม่สร้างที่จอดรถ

องค์ประกอบของคอนโดมิเนียม 1 โครงการในปัจจุบัน ก็จะต้องมียูนิตพักอาศัย สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง เช่น พื้นที่สีเขียว สระว่ายน้ำ ฟิตเนส โถ่งล็อบบี้ และที่สำคัญคือที่จอดรถซึ่งกลายเป็นปัญหาโลกแตกอยู่เกือบทุกโครงการที่แม้ว่าจะมีความพยายามในการแก้ไขปัญหา แต่ก็ยังไม่ได้ลงตัวไปเสียทั้งหมด งานนี้เลยต้องเรียกร้องไปถึงภาครัฐให้เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหานี้   ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าปัจจุบันพื้นที่จอดรถนั้นมีความสำคัญกับทุกคนในคอนโด แม้บางยูนิตจะไม่ได้ใช้รถยนต์ส่วนตัวก็ตาม เพราะราคาที่เราจ่ายเงินซื้อคอนโดไปทุกยูนิตรวมถึงค่าส่วนกลางนั้นได้บวกค่าที่จอดรถเข้าไปแล้ว ซึ่งการสร้างที่จอดรถนั้นเจ้าของโครงการจะต้องแบกรับภาระต้นทุน ยิ่งพื้นที่จอดรถมากก็ยิ่งมีต้นทุนสูงตาม อาจส่งผลให้พื้นที่ในโครงการส่วนอื่นๆ ลดลงไปด้วย เพราะที่จอดรถนี้ย่อมไม่มีใครซื้อเป็นของตัวเอง เว้นแต่บางโครงการในระดับหรูที่มีการล็อคที่จอดรถของแต่ละห้องโดยเฉพาะแล้วพ่วงเป็นโฉนดที่จอดรถไปด้วย ซึ่งเจ้าของโฉนดก็ต้องเสียค่าส่วนกลางเพิ่มขึ้นอยู่ดี   ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 พ.ศ.2517 ได้กำหนดให้อาคารชุดที่มีพื้นที่แต่ละครอบครัวตั้งแต่ 60 ตารางเมตรขึ้นไป ต้องมีที่จอดรถ ที่กลับรถยนต์ และทางเข้าออกรถยนต์ ซึ่งจำนวนที่จอดรถยนต์จะต้องจัดให้มีตามกำหนด โดยได้แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ ต้องจัดให้มีที่จอดรถยนต์ไม่น้อยกว่า 1 คัน ต่อพื้นที่อาคาร 120 ตร.ม. ส่วนต่างจังหวัดให้มีที่จอดรถยนต์ไม่น้อยกว่า 1 คัน ต่อพื้นที่อาคาร 240 ตร.ม. โดยพื้นที่จอดรถยนต์ 1 คัน จะต้องมีพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้างไม่น้อยกว่า 2.50 เมตร ยาวไม่น้อยกว่า 6 เมตร โดยต้องทําเครื่องหมายแสดงลักษณะและขอบเขตของที่จอดรถยนต์ไว้ และต้องจัดให้อยู่ภายในบริเวณของอาคารนั้น ถ้าอยู่ภายนอกอาคารต้องมีทางไปสู่อาคารนั้นไม่ เกิน 200 ม.     ประเด็นอยู่ที่เมื่อไม่นานมานี้ได้เกิดการเรียกร้องจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้ยกเลิกกฎหมายนี้เสียใหม่ เพราะมองว่ากฎหมายเขียนขึ้นมานานแล้วก็เริ่มล้าหลังเข้าไปทุกที ไม่เอื้อต่อการพัฒนา แถมยังต้องแบกภาระต้นทุนที่สูงขึ้นไปทุกทีไม่ว่าจะเป็นราคาที่ดิน และเหล่าพรบ. หลายฉบับที่กำลังมีการร่างกันอยู่ก็อาจจะเกิดความซ้ำซ้อนกันเข้าไปอีก ทั้งหมดนี้จะส่งผลให้ราคาขายเฉลี่ยต้องสูงตามไปด้วย เหมือนเป็นการผลักภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้บริโภค ซึ่งพื้นที่จอดรถนี้เองที่ก็เป็นหนึ่งในต้นทุนที่ทางเจ้าของโครงการมองว่าหากตัดออกไปได้ก็จะช่วยให้ภาระต้นทุนนี้ลดลง เพราะในเมื่อทุกวันนี้ก็นิยมพัฒนาโครงการตามแนวรถไฟฟ้าที่เป็นระบบขนส่งสาธารณะหลักของกรุงเทพฯ กันอยู่แล้ว ซึ่งหากตัดที่จอดรถออกไปได้ก็อาจจะทำให้ราคาขายลดลง ประชาชนก็จะหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะมากขึ้น   เมื่อมองกลับมาที่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมในความเป็นจริงแล้วถึงแม้ว่าจะอยู่โครงการติดรถไฟฟ้าในระยะที่เดินไปขึ้นสถานีได้ไม่ไกล แต่ไม่ว่าจะด้วยพฤติกรรมผู้บริโภค ค่านิยมหรือความจำเป็นต่อการใช้งานอื่นๆ ยุคนี้คนก็ยังนิยมใช้รถยนต์ส่วนตัวอยู่ดี ฉะนั้นทุกวันนี้จึงเกิดปัญหาเรื่องที่จอดรถไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้งานจริง แม้จะมีการอนุญาตให้ 1 ยูนิต มีพื้นที่จอดรถยนต์ได้ 1 คันแล้วก็ตาม บางครั้งที่จอดรถภายในโครงการไม่พอก็ต้องยอมขับออกไปหาที่จอดรถนอกโครงการ ส่งผลกระทบต่อไปอีกถึงประชาชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่เดิมแถวนั้นรวมถึงผู้ที่ใช้รถใช้ถนนตามไปด้วย เมื่อเกิดปัญหาก็ได้มีการเรียกร้องไปยังสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) ให้ออกกฏบังคับเรื่องที่จอดรถต้องมีรองรับสำหรับทุกยูนิต ไม่ใช่มีเพียงแค่ 30-40% ขั้นต่ำตามกฎหมาย   ปัญหานี้จึงถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ระหว่างกลุ่มผู้ประกอบการกับกลุ่มประชาชน ที่ต่างก็มีการเรียกร้องไปยังรัฐบาลให้แก้ไขปัญหากันทั้งสองฝ่าย ซึ่งไม่ว่ากฎหมายจะถูกหยิบขึ้นมาปัดฝุ่นกันอีกครั้งหรือไม่ แล้วหากมีการแก้ไขใหม่จะเป็นไปในทิศทางไหน สุดท้ายใครที่จะได้ประโยชน์เหล่านั้นไป เราต้องคอยติดตามกันต่อไป          
เลือกคอนโดให้ดี ต้องมองที่ดินให้ขาด

เลือกคอนโดให้ดี ต้องมองที่ดินให้ขาด

ที่ดิน คือตัวแปรต้นของอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท ไม่ว่าจะนำที่ดินนั้นมาพัฒนาเป็นอะไรหรือจะซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทไหนก็ตาม เราควรมีความละเอียดรอบคอบในการดูที่ดินนั้นให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาจนได้รับความเสียหายตามมาที่หลัง   ทำเล ถือเป็นโจทย์แรกที่คนมองหาคอนโดมิเนียมตั้งเอาไว้ ซึ่งแต่ละแห่งก็มีปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาแตกต่างกันอยู่พอสมควรทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวกในย่านนั้น ความจำกัดของที่ดิน ลักษณะแปลงที่ดิน ทางเข้า-ออก ทุกสิ่งล้วนมีผลต่อราคาที่ดินแล้วก็ส่งผลต่อไปยังราคาขายของคอนโดมิเนียม โดยการเลือกคอนโดแต่ละครั้งเราย่อมต้องดูทุกรายละเอียดทั้งทำเล แปลนโครงการ แปลนห้อง สิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ ไปจนถึงวัสดุที่ใช้ก่อนจะตัดสินใจซื้อ แต่สิ่งหนึ่งที่มองข้ามไปไม่ได้เด็ดขาดนั่นคือที่ดินรอบๆ โครงการ   แล้วทำไมเราจะต้องดูที่ดินอื่นรอบโครงการด้วย? ทั้งที่เราดูรายละเอียดตัวคอนโดนั้นอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก่อนอื่นต้องกลับมามองกันก่อนว่าเวลาเราเลือกซื้อคอนโดมิเนียมสักยูนิตก็ย่อมจะมองหาห้องที่อยู่ในตำแหน่งที่เราต้องการ ได้มุมมองสวยๆ จากในห้องของเราเอง เพราะทิศทางห้องที่ไม่เหมือนกันก็หมายถึงราคาที่ต่างกันออกไป         เช่นเดียวกันกับเวลาเราจองโรงแรมที่แบ่งประเภทตามวิวที่ได้จากห้องพัก แต่ถ้าอยู่อาศัยได้สักระยะแล้วที่ดินข้างๆ เกิดโครงการใหม่ประเภทอาคารสูงขึ้นมาก็จะส่งผลให้วิวของห้องเราโดยบล็อคทันที ยิ่งชั้นสูงก็ถูกบังลมไปด้วยทั้งที่ยอมจ่ายแพงกว่าเพื่อให้ได้วิวสวยๆ ลมดีๆ รวมถึงราคาที่อาจตกลงอย่างที่ไม่ควรจะเป็นด้วย   เรื่องของการถูกบล็อควิวนั้นมีกรณีตัวอย่างให้เห็นอยู่หลายโครงการ เช่น คอนโดมิเนียมตัวท็อปใจกลางกรุงเทพฯ ทำเลดีแห่งหนึ่ง การออกแบบหรูหรา ส่วนกลางเพียบพร้อม แม้ที่ดินเดิมจะอยู่ติดกับโรงแรมอยู่แล้วก็ตาม แต่องค์ประกอบดูดีมาก พอสร้างเสร็จไม่ถึงปีที่ดินติดกันอีกข้างที่ยังว่างอยู่กลับเปิดตัวเป็นคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ขึ้นมา กลายเป็นว่าคอนโดมิเนียมตัวท็อปนี้โดนบล็อควิวในระยะประชิดทั้งสองด้าน หรืออีกคอนโดมิเนียมในระดับกลางแห่งหนึ่งใกล้รถไฟฟ้า มียูนิตที่มองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ในระยะเวลาไม่ห่างกันมากกลับมีคอนโดมิเนียมที่มีความสูงพอๆ กันขึ้นตรงที่ดินข้างๆ กลายเป็นบล็อควิวแม่น้ำ ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดขายไปเรียบร้อย   นอกจากนี้ที่ดินของตัวโครงการเองก็สำคัญไม่น้อย หากโครงการอยู่ในซอยเข้าไปก็ต้องมองด้วยว่าซอยนั้นมีการสัญจรได้สะดวกหรือไม่ ถนนแคบมากเกินไปหรือเปลี่ยวมากไปไหม มีอีกกรณีหนึ่งที่กำลังเป็นปัญหาอยู่นั่นคือการทำที่ดินตาบอดไม่มีทางเข้า-ออก มาพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมแต่ก็มีการแก้ปัญหาด้วยการเจรจาขอใช้พื้นที่เพื่อทำเป็นทางเข้า-ออก ในตอนแรกทุกอย่างดูเรียบร้อย โครงการก็สวย ทำเลก็ยิ่งดี  แต่เมื่อถึงช่วงใกล้โอนกรรมสิทธิ์กลับเกิดการทักท้วงเกิดขึ้นว่าพื้นที่ทางเข้า-ออก โครงการนั้นยังไม่ได้มีการขออนุญาตอย่างเป็นทางการ  ทำให้ตอนนี้กลายเป็นเรื่องวุ่นวาย และดูเหมือนเรื่องจะใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ   สิ่งเหล่านี้คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งคนที่เจอกับตัวต่างก็ต้องทำใจหาวิธีแก้ไขกันเอาเอง ฉะนั้นเรื่องของที่ดินรอบข้างก็สำคัญไม่น้อย พยายามมองให้ขาดว่าที่ดินรอบๆ แปลงไหนมีลักษณะที่สามารถพัฒนาโครงการขึ้นได้หรือไม่ ประกอบกับการติดตามข่าวสารดูว่าผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ค่ายไหนมีที่ดินแปลงไหนอยู่ในมือแล้วแนวโน้มจะนำมาพัฒนาโครงการบ้าง ทั้งหมดก็เพื่อประโยชน์ของตัวเองต่อไปในอนาคต  
EEC มีดีอะไร ทำไมถึงแห่ลงทุนกันนัก

EEC มีดีอะไร ทำไมถึงแห่ลงทุนกันนัก

ตั้งแต่มีประกาศนโยบาย EEC เกิดขึ้น ทุกคนคงจะได้ยินข่าวคราวเรื่องนี้กันมาตลอด เพราะหลายภาคส่วนต่างก็หวังไว้ว่าโครงการนี้จะเป็นกลไลสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมารุ่งโรจน์ได้ ซึ่งทุกวันนี้ก็มีความคืบหน้าเกิดขึ้นมากทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกฎหมายหรือโครงการต่างๆ ที่พยายามเร่งกันอย่างเต็มกำลัง เพื่อเป็นแรงจูงใจดึงดูดการเข้ามาลงทุน ครั้งนี้เรามาดูกันว่าโครงการ EEC คืบหน้าไปถึงไหนกันแล้ว แล้วทำไมถึงได้มีเหล่านักลงทุ่มทุนสร้างกันหลายโครงการ   อย่างที่เคยอธิบายกันไปแล้วเกี่ยวกับ EEC ในบทความ "ทำความรู้จักกับโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)" ทุกวันนี้เราจะเห็นว่าเหล่านักลงทุนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศต่างก็ให้ความสำคัญอย่างมากต่อโครงการนี้ ดังจะเห็นได้จากโครงการต่างๆ ที่เริ่มมีการกางแผนออกมาบ้างแล้วภายในเขตพื้นที่ของ EEC ทั้งในส่วนของภาคอุตสาหกรรม และภาคส่วนอสังหาริมทรัพย์เอง เราก็เริ่มได้เห็นหลายๆ โครงการเกิดขึ้นพร้อมความหวังในการสร้างรายได้ให้เติบโตตามไปด้วยกับโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกนี้ โดยโครงการในภาคอุตสาหกรรมที่เริ่มมีการเข้าซื้อที่ดินแล้วเรียบร้อยแล้ว เช่น บริษัท จินป่าว พรีซิชั่น อินดัสทรี่ จำกัด เป็นบริษัทอุตสาหกรรมอะลูมิเนียมสัญชาติไต้หวันที่มาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยตั้งแต่ปี 1998 มีการซื้อที่ดินขนาด 54 ไร่ ที่นิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด 2 จ.ชลบุรี เพื่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอากาศยาน,นักธุรกิจรัสเซียหลายรายสนใจเข้ามาดูทิศทางการลงทุนในเขตอีอีซี เช่น พลังงานนิวเคลียร์ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ การบริหารท่าเรือ สนามบิน เทคโนโลยีสร้างสรรค์ ยานยนต์เพื่อการก่อสร้าง เทคโนโลยีชีวิภาพ เทคโนโลยีสื่อสาร ฯลฯ โดยจะเข้ามาเยี่ยมชมด้วยตนเองเร็วๆ นี้   ส่วนในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีการเปิดตัวลงแแข่งขันกันในสนามนี้ แม้ว่าราคาที่ดินจะพุ่งสูงขึ้นถึง 50% ก็ตาม เช่น  เอสซี แอสเสท ปีนี้เตรียมพัฒนาโครงการใน จ.ฉะเชิงเทรา, เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ มีการเจรจาซื้อที่ดินเพิ่ม แต่ก็มีแผนจะพัฒนาโครงการในที่ดินที่มีอยู่แล้วใน จ.ระยอง กับจ.ชลบุรี, ออริจิ้น หลังจากมีโครงการคอนโดมิเนียมกับมิกซ์ยูสที่ศรีราชาไปแล้ว ก็เตรียมจะพัฒนามิกซ์ยูสที่จ.ระยอง 2 ทำเล, พฤกษา ปีนี้มีแผนเปิดตัวโครงการแนวราบถึง 8 โครงการ แบ่งเป็นจ.ชลบุรี 3 โครงการ จ.ระยอง 3 โครงการ และจ.ฉะเชิงเทรา 2 โครงการ, แสนสิริ มีแผนพัฒนาโครงการในพัทยา เป็นต้น   จะเห็นได้ว่ายิ่งโครงการนี้เป็นรูปธรรมขึ้นมากเท่าไรก็ยิ่งได้รับความสนในการลงทุนมากขึ้นเท่านั้น ตั้งแต่รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการอีอีซี มาจนถึงปัจจุบันที่มีการร่างพรบ. กันเสร็จเรียบร้อยแล้วทุกมาตรา สภานิติบัญญัติแห่งชาติก็มีมติเป็นเอกฉันท์ที่จะให้ประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป โดยมีมาตรการสำคัญที่ส่งเสริมชวนให้นักลงทุนหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสายซึ่งบางอย่างมีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งพื้นที่ทั้งหมด 3 จังหวัดจะถูกแบ่งประมาณ 10 โซน แต่ละโซนก็จะได้รับสิทธิพิเศษที่แตกต่างกันไป แต่ละ เช่น ขยายพื้นที่เพื่อรองรับอุตสาหกรรมใหม่จากเดิม 12,000 ไร่ เพิ่มอีก 26,366 ไร่ ซึ่งรวมทั้งหมด, เขตเมืองการบินภาคตะวันออกจะได้รับการยกเว้นภาษี 8 ปี และลดหย่อนภาษีนิติบุคคล 50% เพิ่มอีก 5 ปี, เขตส่งเสริมเพื่อกิจการอุตสาหกรรมเป้าหมาย เขตอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC พื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ได้ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล 50% เพิ่มอีก 5 ปี, สิทธิการทำงานของแรงงานต่างด้าวในพื้นที่ 3 จังหวัดโดยไม่ต้องขออนุญาตครอบคลุมไปถึงครอบครัวที่ติดตามมาอาศัยอยู่ด้วย, สิทธิคนต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดิน, สิทธิการซื้ออาคารชุดของต่างชาติได้แต่ละโครงการได้ 100% เต็ม เป็นต้น     สิ่งหนึ่งที่เป็นตัวสำคัญอย่างยิ่งในการผลักดันให้โครงการ EEC ประสบความสำเร็จได้นั่นคือโครงสร้างพื้นฐานทางการคมนาคม เพราะหากการคมนาคมขนส่งเป็นไปได้อย่างสะดวกสบายก็จะช่วยรองรับเรื่อง Logistics หนึ่งในหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรม โดยทางรัฐบาลได้มีการเดินหน้าเรื่องคมนาคมทั้งทางเรือที่จะมีการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกหลัก คือ มาบตาพุดเฟส 3 โครงการท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 โครงการท่าเรือสัตหีบ ส่วนทางอากาศ คือ สนามบินอู่ตะเภาที่ทางรัฐได้ตั้งเป้าหมายให้เป็นสนามบินหลักแห่งที่ 3 ต่อจากดอนเมืองกับสุวรรณภูมิ และทางบกระบบรางในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อ 3 สนามบิน ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา และต่อไปถึง จ.ระยอง โดยจะเชื่อมจากแนว Airport Rail Link ในปัจจุบัน ซึ่งล่าสุดโปรเจคยักษ์ใหญ่นี้กำลังจะไม่ได้หยุดอยู่แค่ใน 3 จังหวัดภาคตะวันออกอีกต่อไป แต่ล่าสุดได้มีนโยบายเร่งศึกษาแผนพัฒนาเส้นทางรถไฟเชื่อมต่อหลากหลายเส้นทางทั่วประเทศ โดยเฉพาะรถไฟทางคู่เส้นทางแหลมฉบัง-มาบตาพุด-ระยอง-จันทบุรี-ตราด, โครงการรถไฟศรีราชา-ระยอง รวมถึงการเชื่อมต่อโซนอีอีซีไปจนถึงทวาย-กัมพูชา ซึ่งหากโครงการรถไฟนี้เสร็จสมบูรณ์ก็จะยิ่งส่งให้ EEC มีความสมบรูณ์มากขึ้น เพราะหากการคมนาคมขนส่งเป็นไปได้อย่างสะดวกสบายก็จะเป็นปัจจัยสำคัญทั้งทางด้านธุรกิจต่างๆ และการท่องเที่ยวที่จะสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้หลากหลายกลุ่มมากขึ้น ประชาชนในพื้นที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น สุดท้ายสิ่งเหล่านี้จะทำให้พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่น่าอยู่ระดับภูมิภาคเอเชียอย่างที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้   ณ วันนี้เราสามารถพูดกันได้อย่างเต็มปากว่า EEC คือความหวังใหม่ในการพลิกฟื้นคืนชีพของเศรษฐกิจประเทศไทยให้กลับมาเป็นแหล่งลงทุนที่ทั่วโลกต่างให้ความสนใจกันอีกครั้ง แม้โครงการนี้จะยังคงไม่สมบูรณ์ 100% แต่เชื่อว่าหากเริ่มมีการประกาศพระราชชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกอย่างเป็นทางการซึ่งคาดว่าจะประกาศภายในปีนี้ก็จะยิ่งทำให้มีเงินเม็ดเงินเข้ามาลงทุนมหาศาลตามที่คาดการณ์กันเอาไว้ถึงหลักแสนล้านบาท ส่งผลถึงการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เองที่ก็มีความเชื่อมั่นในโครงการนี้อยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อมีอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้นก็จะมีความต้องการแรงงานเพิ่มขึ้น คนทำงานทั้งที่เป็นคนไทยและต่างชาติย่อมเข้ามาอยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ความต้องการที่อยู่อาศัยก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว จากนี้ต้องคอยจับตามองตลาดนี้กันเอาไว้ให้ดีว่าจะมีอะไรน่าสนใจตามที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายค่ายโปรยเอาไว้บ้าง
LPN กางโรดแมปธุรกิจโตต่อเนื่อง 3 ปี ปลดล็อคกับดักสู่ YEAR OF SHIFT

LPN กางโรดแมปธุรกิจโตต่อเนื่อง 3 ปี ปลดล็อคกับดักสู่ YEAR OF SHIFT

เครือ LPN ประกาศแผนธุรกิจรับเป้าหมายเติบโตต่อเนื่อง 3 ปี พร้อมกำหนดให้ปี 2561 เป็นปี “Year of Change : ปีแห่งการเปลี่ยนแปลง” ผ่าน 2 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ กลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มธุรกิจให้บริการ เดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งแนวสูงและแนวราบรวม 14 โครงการ รวมมูลค่า 18,000 ล้านบาท มั่นใจปี 2561 ผลประกอบการฟื้นตัวด้วยยอดขาย 20,000 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากการขายรวมตั้งเป้าที่ 12,000 ล้านบาท นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) (LPN)  เปิดเผยว่า ในปี 2560 เป็นปีแรกที่ LPN และบริษัทในเครือได้จัดทัพธุรกิจครั้งใหญ่ก้าวสู่ “บริบทใหม่แห่งความยั่งยืน” ด้วยการแบ่งกลุ่ม 2 ธุรกิจ กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Developer) และบริการ (Service Provider) และได้กำหนดให้เป็น “ปีแห่งการปรับเปลี่ยน” หรือ “YEAR OF SHIFT” ได้ปรับกลุ่มเป้าหมายจากกลางถึงกลาง-ล่างเป็นกลางถึงกลาง-บน พร้อมกับกำหนดเป้าหมายและกลยุทธ์ระยะสั้นเพื่อระบายสินค้าพร้อมอยู่ (Inventory) โดยบริษัทได้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว คือ ในปี 2560 บริษัทสามารถระบายสินค้าพร้อมอยู่ (Inventory) ได้ประมาณ 7,000 ล้านบาท หรือประมาณ 50 % ของมูลค่าสินค้าพร้อมอยู่ทั้งหมด ทั้งนี้ ในปี 2560 บริษัทและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิ 1,062 ล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการด้านรายได้นั้น ยังคงมาจากกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก ที่ดำเนินงานผ่าน 2 บริษัทคือ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) และบริษัท พรสันติ จำกัด (PST) ซึ่งหลังจากที่ LPN ได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ด้วยการเน้นกลุ่มเป้าหมายจากกลางถึงกลาง-ล่าง เป็นกลางถึงกลาง-บน และได้ทยอยเปิดตัวโครงการในกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวตลอดปี 2560 ทั้งสิ้น 10 โครงการ มูลค่าการขายรวมประมาณ 14,000 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมียอดขายจาก 8,700 ล้าน ในปี 2559 เป็นประมาณ 16,000 ล้านบาท ในปี 2560 ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 90% หรือเกือบเท่าตัว ส่วนรายได้นั้นอยู่ที่ 9,655  ล้านบาท นายจรัญ เกษร กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรสันติ จำกัด ส่วนบริษัท พรสันติ จำกัด (PST) นั้นผลประกอบการมีรายได้มาเติมเต็มรายได้จากการพัฒนาอาคารชุดเพื่อขายได้ในเกณฑ์ที่ดี โดยในปีที่ผ่านมา พรสันติได้เปิดตัวโครงการใหม่ รวม 5 โครงการ มูลค่าการขายรวม  2,450 ล้านบาท สามารถทำยอดขายได้1,750 ล้านบาท และมีรายได้จากการขาย 1,000 ล้านบาท เติบโต 27% และ 18% (ตามลำดับ)  เมื่อเทียบกับปี 2559 ขณะที่กลุ่มธุรกิจบริการ ที่ดำเนินธุรกิจผ่าน 3 บริษัท ดังนี้ บริษัท ลุมพินี พร็อพเพอร์ตี้ เซอร์วิส แอนด์ แคร์ จำกัด (LPC), บริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) และ บริษัท ลุมพินี โปรเจค มาเนจเมนท์ เซอร์วิส จำกัด (LPS) ได้รับความเชื่อมั่นและเริ่มให้บริการสู่องค์กรภายนอกหลายแห่ง รายได้เติบโต 10% คิดเป็นมูลค่ารวม 970 ล้านบาท ผลจากการปรับเปลี่ยนในปีที่ผ่านมาทำให้เห็นภาพการฟื้นตัวที่เด่นชัดในปี 2561 ที่กำหนดเป็นปี “Year of Change : ปีแห่งการเปลี่ยนแปลง” ซึ่งจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้าน ทั้งกลยุทธ์การเพิ่มรายได้ที่เน้นขยายฐานรายได้จากธุรกิจหลักธุรกิจเกี่ยวเนื่อง และการเพิ่มทุนในธุรกิจเกี่ยวเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างคณะกรรมการ เปลี่ยนแปลงคณะผู้บริหารที่ดึงคนนอกเข้ามาเสริมทีมให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น รวมถึงการพัฒนาบุคลากร การพัฒนาระบบ IT เพื่อรองรับธุรกิจที่เปลี่ยนแปลง และ การปรับภาพลักษณ์แบรนด์ (Rebranding) เพื่อรองรับแผนการเติบโตของ LPN และบริษัทในเครือในช่วง 3 ปี (ปี2561-2563)  ผ่าน  2 กลุ่มธุรกิจหลักคือ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มธุรกิจบริการ โดยวางเป้าหมายการเติบโตของรายได้จากกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 35 - 40% และรายได้จากกลุ่มธุรกิจบริการเติบโตยู่ที่ 20% นางสาวสมศรี เตชะไกรศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด ในปี 2561 บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมอยู่ที่ 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็นประเภทอาคารชุดพักอาศัย 17,000 ล้านบาท และประเภทบ้าน  3,000  ล้านบาท ขณะที่เป้ารายได้จากการขายอยู่ที่ 12,000  ล้านบาท แบ่งเป็นอาคารชุดพักอาศัย 10,500 ล้านบาท และ   ประเภทบ้าน 1,500 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังกำหนดเป้าหมายจากการเปิดตัวโครงการใหม่ไว้ที่ 18,000 ล้านบาท แบ่งเป็นอาคารชุดพักอาศัย 15,000 ล้านบาท และประเภทบ้าน 3,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ในปี 2561 ในมืออยู่ประมาณ 5,900 ล้านบาท คิดเป็น 50 % ของเป้ารายได้รวม ณ สิ้นปี 2560 มียอดแบล็กล็อก รวมมูลค่า 7,400 ล้านบาท ขณะที่บริษัท พรสันติ จำกัด นั้นในปี 2561 เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 1 โครงการ รวมมูลค่าการขายประมาณ 850 ล้านบาท และได้ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 2,000 ล้านบาท ส่วนเป้าหมายรายได้อยู่ที่ 1,500 ล้านบาท พร้อมกันนี้นายโอภาส ยังได้กล่าวในตอนท้ายว่า บริษัทเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในปี 2561 นี้ จะเป็นแนวทางสู่การเติบโตที่ยั่งยืนของบริษัทต่อไปในอนาคต สำหรับการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของแบรนด์ LPN ได้ว่าจ้างบริษัทที่มีความเป็นมืออาชีพที่มีประสบการณ์และชื่อเสียงอย่างยาวนานในวงการ ซึ่งคาดว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนของบริษัทได้ในครึ่งปีหลังของปี 2561 นี้
ศุภาลัย โชว์ผลประกอบการปี 60 กำไร-รายได้ โดดเด่น เร่งขยาย 13 โครงการใหม่ดันยอดขายปีนี้ 33,000 ล้านบาท

ศุภาลัย โชว์ผลประกอบการปี 60 กำไร-รายได้ โดดเด่น เร่งขยาย 13 โครงการใหม่ดันยอดขายปีนี้ 33,000 ล้านบาท

  ศุภาลัยเผยยอดขายปี'60 กว่า 30,777 ล้านบาท โต 10% ปี'61 เตรียมลุยบ้านจัดสรร 12 จังหวัด ดีเดย์มี.ค.นี้  เปิด 3 โครงการเบลล่า วงแหวน - ลำลูกกา คลอง 3 ,โนโว วิลล์ พหลโยธิน - ลำลูกกา และศุภาลัย พรีโม่ ชัยพฤกษ์ - บางบัวทอง ตั้งเป้ายอดขาย 33,000 ล้านบาท     ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด(มหาชน) กล่าวถึง ผลการดำเนินธุรกิจของบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย ในปี 2560 ที่ผ่านมา ว่าบริษัทมียอดขายกว่า 30,777 ล้านบาท จากการเปิดตัวทั้งหมด 20 โครงการ แบ่งเป็นแนวราบ 15 โครงการ และคอนโดมิเนียม 5 โครงการ อีกทั้งสามารถทำรายได้รวม 25,789 ล้านบาท เติบโต 10% โดยรายได้หลักมาจากการทยอยส่งมอบคอนโดมิเนียมทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด จำนวน 10 โครงการ   โดยบริษัทมีกำไรสุทธิ 5,812 ล้านบาท เติบโต 19% เมื่อเทียบกับปี 2559 จากผลการดำเนินงานที่สะท้อนถึงการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ ภายใต้แผนงานการสร้างสรรค์ “บ้านที่ดี” ที่มาจากผลิตภัณฑ์แห่งความสุขและนวัตกรรม ด้านสินทรัพย์เติบโตขึ้น 8% ส่วนของผู้ถือหุ้นเติบโต 20% โดยมีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 69% ส่วนต้นทุนการเงินที่อัตราเฉลี่ย 2.79% ต่อปี ณ 31 ธ.ค. 2560 และมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 39,187 ล้านบาท ณ 31 ธ.ค. 2560 เพื่อรองรับการเติบโตด้านรายได้ของบริษัทในอนาคต     นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ปี 2560 เป็นปีที่ทำยอดขายได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยสัดส่วนการเติบโตมาจากกรุงเทพฯ ปริมณฑล 76% และหัวเมืองต่างจังหวัด 24% โดยปัจจุบันมีการพัฒนาโครงการ จำนวน 11 จังหวัด เชียงใหม่ อุดรธานี ขอนแก่น ชลบุรี ระยอง อุบลราชธานี นครราชสีมา สงขลา สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต และนครศรีธรรมราช ซึ่งมีการเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง   ในปี 2561 นี้บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่เป็นประเภทบ้านจัดสรรในหัวเมืองภูมิภาค จำนวน 13 โครงการ ใน 12 จังหวัด ไม่นับจังหวัดปริมณฑล โดยมีการขยายการลงทุนเพิ่มเป็น 12 จังหวัด คือ เชียงราย จะส่งผลให้สัดส่วนยอดขายในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นเป็น 30% แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 26% และคอนโดมิเนียม 4% ของเป้าหมายยอดขายของบริษัท 33,000 ล้านบาท โดยเน้นพัฒนาแบบบ้านรูปแบบใหม่ ให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย นับว่าเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในหัวเมืองต่างจังหวัดมากที่สุด   สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงไตรมาสแรก บริษัทมีการเปิดตัวโครงการแนวราบ จำนวน 6 โครงการ มูลค่ารวม 3,500 กว่าล้านบาท โดยเปิดตัวไปแล้ว 1 โครงการ คือ ศุภาลัย พรีโม่ บางแสน และเปิดตัวอีก 2 โครงการในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ คือ ศุภาลัย เอสเซ้นส์ ลาดพร้าว ศุภาลัย การ์เด้นวิลล์ หาดใหญ่ อีกทั้งเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อีก 3 โครงการในเดือนมีนาคมนี้ได้แก่ เบลล่า วงแหวน - ลำลูกกา คลอง 3  โนโว วิลล์ พหลโยธิน - ลำลูกกา และศุภาลัย พรีโม่ ชัยพฤกษ์ - บางบัวทอง     นายบุญชัย ชัยอนันต์บวร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานโครงการภูมิภาค 2 บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดอุบลราชธานี มีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพสูงในเขตภาคอีสานตอนใต้ ซึ่งมีสนามบินนานาชาติ ทำให้การเดินทางสะดวก และรวดเร็ว ทั้งยังเป็นจังหวัดที่มีประตูการค้าชายแดนเชื่อมโยงทางการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศลาวอีกทั้งประชากรของจังหวัดอุบลราชธานีมีจำนวนมาก   สำหรับทิศทางการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในจังหวัดอุบลราชธานีของศุภาลัย ยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านรุ่นใหม่ และทาวน์โฮม โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการในจังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 4 โครงการ คือ ศุภาลัย โมด้า อุบลราชธานี ศุภาลัย วิลล์ อุบลราชธานี ศุภาลัย เบลล่า อุบลราชธานี และศุภาลัย พรีโม่ อุบลราชธานี พร้อมลุยแผนเปิดโครงการใหม่อีก 1 โครงการ คือ โนโว วิลล์ อุบลราชธานี มูลค่า 380 ล้านบาทในไตรมาส 3 เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า   นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มเติมในจังหวัดอุดรธานี และนครราชสีมา ได้แก่ ศุภาลัย ไพรด์ อุดรธานี มูลค่า 1,800 ล้านบาท ศุภาลัย การ์เด้นวิลล์ นครราชสีมา มูลค่า 640 ล้านบาท อีกทั้งโครงการใหม่ในโซนภาคตะวันออก 1 โครงการ คือ ศุภาลัย ริเวอร์ วิลล์ ระยอง บ้านเดี่ยวหรูริมแม่น้ำ มูลค่าโครงการ 650 ล้านบาท เพื่อช่วยผลักดันสัดส่วนยอดขายของบริษัทในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นเป็น 30% ตามที่วางเป้าหมายไว้    
ราคาบ้าน-คอนโดฯ ในกรุงเทพฯ โตไม่หยุด กราฟ 3 ปี พุ่งทะลุ 100 เปอร์เซ็นต์

ราคาบ้าน-คอนโดฯ ในกรุงเทพฯ โตไม่หยุด กราฟ 3 ปี พุ่งทะลุ 100 เปอร์เซ็นต์

รายงานดัชนีที่อยู่อาศัย ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ พร็อพเพอร์ตี้ อินเด็กซ์ (DDproperty Property Index) ฉบับล่าสุดเผย แนวโน้มดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ยังคงเป็นบวก สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ปรับตัวดีขึ้น ชี้แม้อุปทานในตลาดจะถูกดูดซับช้า แต่ยังคงไร้สัญญาณโอเวอร์ซัพพลาย แม้แนวโน้มของราคาจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปี 2560 แต่อัตราการเติบโตเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาสแล้วถือว่าเป็นไปอย่างช้าๆ เนื่องจากผู้ประกอบการชะลอการเปิดตัว รวมไปถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในช่วงไว้ทุกข์และพระราชพิธีสำคัญ ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี (4Q60) ดัชนีราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 199 จุดในช่วงไตรมาสก่อนมาอยู่ที่ 205 จุด คิดเป็นสัดส่วนการเติบโตระหว่างไตรมาส (Q-o-Q) ราวร้อยละ 3 “แม้ว่าการอัตราการเติบโตของดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 60 จะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่ยังถือเป็นภาพรวมที่ดีของตลาดที่อยู่อาศัยกรุงเทพฯ ที่กำลังค่อยๆ ฟื้นตัว ในขณะที่กำลังซื้อของผู้บริโภคในเซ็กเมนต์ระดับกลางไปจนถึงระดับบนมีการปรับตัวดีขึ้น” คุณกมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทย ของ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เว็บไซต์สื่อกลางซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทยในเครือพร็อพเพอร์ตี้กูรูกรุ๊ป กล่าว ราคาบ้านในกรุงเทพฯ 3 ปีโตขึ้นกว่า 100 เปอร์เซ็นต์  อย่างไรก็ดี ถ้ามองย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงที่เริ่มทำการเก็บข้อมูลในปี 2558 พบว่าการเติบโตของราคาที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ สูงขึ้นถึงร้อยละ 105 ถือเป็นอัตราการเติบโตที่น่าจับตา โดยเฉพาะราคา(ต่อตารางเมตร) ของคอนโดมิเนียม ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบันเมื่อเทียบกับที่อยู่อาศัยแนวราบอย่างบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ โดยในช่วงไตรมาส 4 ปี 60 ดัชนีราคาคอนโดฯ ขึ้นไปแตะที่ระดับ 154 จุด เพิ่มขึ้นจากช่วงต้นปีถึงร้อยละ 54 อย่างไรก็ดีที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮ้าส์มีการเติบโตด้านราคาสูงที่สุดในช่วงไตรมาส 4 ปี 60 โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ปี 60 ร้อยละ 7 และเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 14 ในช่วง 1 ปี เมื่อดูแนวโน้มราคาตามเซ็กเมนต์ต่างๆ พบว่าดัชนีของที่อยู่อาศัยราคา 15 ล้านบาทขึ้นไป มีการเติบโตสูงสุด โดยเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าราวร้อยละ 12 และเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 39 ภายในระยะเวลา 2 ปี เขตจตุจักร ยังคงเป็นพื้นที่ที่ราคามีการเติบโตสูงสุด โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ปี 60 ร้อยละ 5 ส่วนเขตบางนาแซงเขตพระโขนงขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 2 ด้วยอัตราการเติบโตในรอบไตรมาสราวร้อยละ 3 ทั้งนี้ในระยะยาว เขตบางนานับเป็นพื้นที่ที่น่าจับตามอง เนื่องจากดัชนีราคาชี้ให้เห็นว่ามีการเติบโตเพิ่มสูงถึงร้อยละ 75 ในช่วงระยะเวลาไม่ถึง 3 ปี “โดยภาพรวมราคาที่อยู่อาศัยจะยังคงมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไปจากปัจจัยบวกที่ช่วยให้เกิดพื้นที่ศักยภาพเหมาะกับการพัฒนา รวมไปถึงการอยู่อาศัยมากขึ้น อาทิ โครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายหลายสายที่มีความคืบหน้า  รวมไปถึงการลงทุนแผนพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทยระยะ 20 ปี (2560-2579) ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยบนทำเลใหม่ๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และตามหัวเมืองสำคัญๆ มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (EEC)” คุณกมลภัทรกล่าวเสริม อุปทานแนวสูงยังคงโตแรงแซงแนวราบ  ในฝั่งของอุปทาน แม้ตุลาคมจะเป็นเดือนที่แทบจะไม่มีการเปิดตัวโครงการใหม่หรือกิจกรรมส่งเสริมการขายใดๆ แต่ช่วง 2 เดือนสุดท้ายของไตรมาส 4 ปี 60 กำลังซื้อก็กลับมาอย่างรวดเร็ว โดนในช่วงไตรมาส 4 ปี 60 ดัชนีอุปทานที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ปรับตัวลดลงร้อยละ 7 มาอยู่ที่ 240 จุด ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ผู้ประกอบการพากันแข่งออกแคมเปญและโปรโมชั่นส่งเสริมการขายมาเป็นจำนวนมาก เพื่อเร่งยอดขายในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนั่นเอง เมื่อพิจารณาถึงประเภทของที่อยู่อาศัย อุปทานที่มีอยู่ในตลาดส่วนใหญ่คือคอนโดมิเนียม คิดเป็นร้อยละ 88 ของอุปทานทั้งหมดในช่วงไตรมาส 4 ปี 60 ในขณะที่บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์มีสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อย เนื่องจากที่อยู่อาศัยแนวราบส่วนใหญ่ ผู้ซื้อมักจะซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง ต่างกับคอนโดฯที่ผู้ซื้อจำนวนมากซื้อมาเพื่อขายต่อหรือลงทุน ทำให้การดูดซับของอุปทานของคอนโดฯ ค่อนข้างเร็ว ในขณะที่ผู้ประกอบการก็เปิดตัวโครงการใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง สำหรับทำเลที่มีอุปทานคอนโดฯ มากที่สุดในช่วงไตรมาส 4 ปี 60 ได้แก่ เขตวัฒนา ในขณะที่เขตลาดพร้าวมีปริมาณทาวน์เฮ้าส์เข้าสู่ตลาดมากที่สุด ส่วนเขตคลองสามวาเป็นโซนยอดนิยมสำหรับบ้านเดี่ยว คาดอุปทานปี 61 โตเพิ่มแต่ไม่มีสัญญาณโอเวอร์ซัพพลาย ทั้งนี้เป็นที่คาดว่าดัชนีอุปทานที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นในปี 2561 จากการที่ผู้ประกอบการทั้งรายเล็ก-รายใหญ่ส่งสัญญาณว่าจะเปิดโครงการใหม่ๆ เป็นจำนวนมาก ในขณะที่ตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ นั้นคาดว่าจะยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง แต่อาจจะไม่หวือหวานักเพราะกำลังซื้อยังค่อนข้างจำกัดจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่แม้จะเริ่มคลี่คลายลง แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ถือว่าสูง “แม้การดูดซับอุปทานในตลาดจะเป็นไปแบบช้าๆ ในขณะที่ผู้ประกอบการเองก็มีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่ๆ ออกมาอย่างคึกคักในปี 2561 แต่เราเชื่อว่าไม่น่าจะมีภาวะโอเวอร์ซัพพลาย หรือสินค้าล้นตลาดเกิดขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่างเฝ้าสังเกตการณ์สถานการณ์อย่างใกล้ชิด ผู้ขายจะยังคงได้รับอานิสงส์ที่ดีจากราคาที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ โดยดัชนีราคามีการเติบโตมากกว่าร้อยละ 100 ในช่วงเวลาไม่ถึง 3 ปี อย่างไรก็ดี ทางฝั่งผู้ซื้อเองก็ยังคงได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงต่ำ และจากโปรโมชั่นและข้อเสนอพิเศษต่างๆ จากผู้ประกอบการที่ต้องการเร่งระบายสินค้าในสต็อกและเปิดโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง” คุณกมลภัทรกล่าวสรุป