Tag : News

2376 ผลลัพธ์
เน็กซัสเผย ทำเล รสนิยม เหตุตัดสินใจซื้อ หนุนตลาดบ้านลักซูรี่โตต่อเนื่อง

เน็กซัสเผย ทำเล รสนิยม เหตุตัดสินใจซื้อ หนุนตลาดบ้านลักซูรี่โตต่อเนื่อง

บ้านหลังใหญ่ สนามหญ้ากว้างๆ อาจไม่ใช่คำตอบเดียวสำหรับผู้ซื้อบ้านระดับลักซูรี่ เพราะมีปัจจัยด้านทำเล และต้นทุนค่าที่ดินเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งขนาดที่ดินที่เหมาะสมและมีจำนวนจำกัดในทำเลชั้นดีนั้น เป็นอีกหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ผู้ประกอบการหันมาพัฒนาโครงการโดยให้ความสำคัญกับพฤติกรรมและไลฟสไตล์ของผู้อยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น เพื่อให้บ้านไม่ได้เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น แต่ยังสะท้อนตัวตน และเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต ทำเลศักยภาพสำหรับบ้านระดับลักซูรี่ นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด กล่าวถึงตลาดบ้านระดับลักซูรี่ใจกลางเมืองที่กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่องว่า บ้านระดับลักซูรี่ในกรุงเทพฯ ถือเป็นตลาดที่มาแรงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา จากปี 2558 ถึงไตรมาสที่ 1 ปี 2561 มีอุปทานโครงการบ้านจากผู้พัฒนาโครงการรายใหญ่และรายย่อย 42 โครงการ จำนวน1,554 ยูนิตสะท้อนให้เห็นถึงความต้องการบ้านระดับลักซูรี่อย่างต่อเนื่อง โดยมี 7 ทำเลศักยภาพหลัก เรียงตามความหนาแน่นของโครงการที่เปิดขายระหว่างปี 2558 ถึงไตรมาสที่ 1 ปี 2561ดังนี้ (1) สุขุมวิท (พร้อมพงษ์-เอกมัย) (2) ลาดพร้าว-เกษตรนวมินทร์ (3) พระรามเก้า-ศรีนครินทร์-พัฒนาการ (4) ราชพฤกษ์ (5) สาทร พระราม 3 (6) บางนา (7) พระราม2 ซึ่งจะเห็นได้ว่าโครงการบ้านระดับลักซูรี่อยู่กระจายตัวกันตามแหล่งความเจริญของเมืองที่มีลักษณะเด่นต่างกัน ส่งผลถึงรูปแบบบ้านที่แตกต่างกันไป อย่างไรก็ตามเมื่อทำเลยังคงเป็นปัจจัยหลักของการเลือกพัฒนาบ้านระดับลักซูรี่ การที่ที่ดินมีอยู่อย่างจำกัดและราคาที่ดินที่ปรับตัวสูงขึ้นทุกปี ทำให้ผู้ประกอบการให้ความสนใจในการพัฒนาโครงการในที่ดินที่มีขนาดเล็กลงในขณะที่มีพื้นที่ใช้สอยที่ตอบสนองความต้องการของคนกลุ่มลักซูรี่ได้เป็นอย่างดีโดยมีที่ดินต่อ  ยูนิตขนาดระหว่าง 29 – 129 ตารางวามากขึ้น ทำให้มีโครงการบ้านแนวสูงในตลาดมากขึ้น โดยนิยามของบ้านแนวสูงนั้นคือบ้านที่ความสูงมากกว่า 15 เมตรหรือ 4 ชั้นขึ้นไป  จากปี 2558 ถึงไตรมาสที่ 1 ปี 2561 มีอุปทานบ้านแนวสูงจำนวน 12โครงการ จำนวน 94 ยูนิตโดยในปี 2558 ถึงปี 2559 บ้านประเภทนี้อยู่ในทำเลสุขุมวิท (พร้อมพงษ์-เอกมัย) และในปี 2560 ถึง ไตรมาสที่ 1 ปี 2561 มีการกระจายตัวของบ้านแนวสูงออกจากทำเลสุขุมวิท ไปยังโซนลาดพร้าว-เกษตรนวมินทร์ บางนาและพระรามเก้า-พัฒนาการ-ศรีนครินทร์มากขึ้น รูปแบบบ้าน ประเภทของบ้านระดับลักซูรี่นั้นจะแบ่งได้ 2 แบบคือ (1) บ้านระดับลักซูรี่แบบเน้นการพัฒนาในแนวราบ และ(2)บ้านระดับลักซูรี่แบบเน้นการพัฒนาในแนวสูง แบบบ้านดังกล่าวมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันอย่างโดดเด่นด้วยรูปทรงภายนอก ขนาดที่ดิน และทำเลที่ตั้งโครงการ แต่หากเมื่อเปรียบเทียบแล้วขนาดพื้นที่ใช้สอยยังคงมีขนาดใกล้เคียงกัน ถึงอย่างไรก็ตามปัจจัยด้านทำเล (ราคาที่ดิน) ยังคงเป็นปัจจัยส่วนหนึ่งของการพัฒนารูปแบบบ้าน นอกจากนี้การจัดวางพื้นที่ใช้สอยที่ตอบสนองลักษณะการใช้ชีวิต และมีพื้นที่ใช้สอยที่เพียงพอต่อความต้องการของผู้อยู่อาศัย ถือเป็นบ้านในอุดมคติของผู้มองหาบ้านระดับลักซูรี่ที่ต้องการให้บ้านสะท้อนและสอดคล้องกับความเป็นตัวตนของเจ้าของบ้าน และเป็นโจทย์ให้ผู้พัฒนาโครงการนำมาวิเคราะห์เพื่อเสนอจุดเด่นที่น่าสนใจให้ตรงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ฟังก์ชั่นบ้านสะท้อนรูปแบบการใช้ชีวิตผู้อยู่อาศัย ตลาดบ้านระดับลักซูรี่เป็นที่น่าสนใจทั้งในมุมมองของผู้พัฒนาโครงการและผู้อยู่อาศัย เนื่องมาจากข้อจำกัดของที่ดินที่ได้กล่าวมาแล้ว ทั้งนี้ในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 มีโครงการใหม่เกิดขึ้น 4โครงการ โดยทำเล หลักยังคงเป็นสุขุมวิท (พร้อมพงษ์-เอกมัย) ทำเลสาทรใจกลางเมืองและมีการกระจายตัวในทำเลลาดพร้าว-เกษตรนวมินทร์ในช่วงปีที่ผ่านมา โดยหากพิจารณาจากทำเลโครงการเหล่านั้น อยู่ในทำเลไลฟ์สไตล์ สะท้อนตัวตนและการใช้ชีวิตของผู้ที่เลือกที่อยู่อาศัยในทำเลดังกล่าว และจากประสบการณ์การพัฒนาบ้านระดับลักซูรี่จากผู้ประกอบการใน Segment นี้ ส่งผลให้มีการพัฒนารูปแบบและฟังก์ชั่นของบ้าน ที่สร้าง Value Added  เพิ่มมูลค่าทำให้โครงการนั้นมีความน่าใจมากขึ้น อาทิเช่น ห้องเก็บไวน์ (Wine Cellar Room) ห้องเก็บรถหรู (Super Car Lounge) ส่วนรับประทานอาหารเช้า (Breakfast Corner) และมีขนาดพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น ซึ่งสอดคล้องไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย ให้ได้ใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ภายในบ้านพักอาศัยส่วนตัวของตนเอง นอกจากนี้บ้านที่สามารถสร้างศักยภาพสูงสุด เพื่อที่จะได้ไม่เข้าข่ายกฎหมายก่อสร้างอาคารสูง ซึ่งจะทำให้มีข้อจำกัดด้านการออกแบบมากขึ้น เห็นได้จากข้อมูลในตลาดปัจจุบันที่มีที่ดินขนาดเริ่มต้นตั้งแต่ 29 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 450 ตารางเมตร สูง 4-7 ชั้น เกิดเป็นลักษณะรูปแบบของบ้านแนวสูง นับว่าเป็นการพัฒนาบ้านรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันแตกต่างจากรูปแบบบ้านในอดีตที่ผ่านมา จากข้อมูลข้างต้น จะสังเกตได้ว่าโครงการบ้านแนวสูงที่เกิดขึ้นบนที่ดินทำเลใจกลางเมือง ทำให้ผู้พัฒนาโครงการพยายามพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์เรื่องความคุ้มค่าต่อราคาทุนที่ดินที่มีราคาสูงลิบ และมีศักยภาพสูงสุด ส่งผลทำให้เกิดบ้านบนที่ดินขนาดเล็ก แต่ในขณะเดียวกันยังมีพื้นที่ใช้สอยเพียงพอต่อความต้องการตามไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของกลุ่มลูกค้าระดับลักซูรี่เช่นกัน
ออลล์ อินสไปร์ฯ บุกตลาดลักชัวรี่ ภูเก็ต เปิดตัว อิมเพรสชั่น มูลค่ากว่า 1,600 ลบ. เจาะกลุ่มลูกค้าไทย-เทศ

ออลล์ อินสไปร์ฯ บุกตลาดลักชัวรี่ ภูเก็ต เปิดตัว อิมเพรสชั่น มูลค่ากว่า 1,600 ลบ. เจาะกลุ่มลูกค้าไทย-เทศ

นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า อิมเพรสชั่น ภูเก็ต (Impression Phuket ) เป็นโครงการลักชัวรี่ เรสซิเดนซ์ โครงการแรกในพื้นที่เมืองเศรษฐกิจ นอกจากกรุงเทพฯ ของ ออลล์ อินสไปร์ฯ  เพราะมองเห็นศักยภาพของเมืองท่องเที่ยวแห่งนี้ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในพื้นที่ ขณะนี้โครงการต่างๆ ที่กำลังเกิดขึ้นในภูเก็ตโดยเฉพาะโครงการก่อสร้างทางลอด โครงการก่อสร้างถนนคู่ขนานถนนเทพกระษัตรี โครงการรถไฟฟ้ารางเบา และโครงการอื่นๆ รวมถึงแผนลงทุนของกลุ่มทุนเอกชน อีกทั้งการที่โครงการระดับลักชัวรีในภูเก็ตเปิดตัวน้อยลงในช่วงที่ผ่านมาถือเป็นโอกาส เพราะซัปพลายในตลาดมีน้อย โดยเฉพาะกลุ่มวิลล่าหรูใหม่ๆ ที่หายจากตลาดภูเก็ตไปหลายปีจึงเป็นจังหวะที่อสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรีในภูเก็ต และการลงทุนของต่างชาติจะฟื้นตัวอีกครั้ง “ปัจจัยที่เห็นได้ชัดที่สะท้อนถึงการเติบโตของภาคธุรกิจท่องเที่ยวภูเก็ต คือ สนามบินภูเก็ต ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 11.3% มากถึง 8.4 ล้านคน และปัจจัยในด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม คอนโด ก็มีแนวโน้มเติบโตเช่นกัน รวมถึงปัจจัยด้านการคมนาคม การขนส่งทางบกและทางทะเล สนามบินนานาชาติ ที่จะส่งเสริมพัฒนาการท่องเที่ยวในอนาคต” นายธนากร กล่าว ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรองรับการเติบโตด้านการท่องเที่ยวและการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ล่าสุด บริษัทฯได้เปิดตัว โครงการ อิมเพรสชั่น ภูเก็ต (Impression Phuket ) เป็นลักชัวรี่ เรสซิเดนซ์ มูลค่ากว่า 1,600 ล้านบาท เน้นจับตลาดกลุ่มนักลงทุนไฮเอนด์ทั้งคนไทยและต่างชาติ ด้วยทำเลศักยภาพของโครงการที่ตั้งอยู่บนอ่าวฉลอง ที่ใกล้สถานที่สำคัญมากมาย อาทิ ท่าเทียบเรือรัฐยอร์ชอ่าวฉลอง เซ็นทรัลเฟสติวัล ภูเก็ต บลูเพิร์ล ภูเก็ต ท่าอากาศยานภูเก็ต โมโนเรล ภูเก็ต และทางด่วน ภูเก็ต-ป่าตอง ซึ่งถือว่าการเดินทางสะดวกสบายเป็นอย่างมาก โครงการ อิมเพรสชั่น ภูเก็ต (Impression Phuket ) เป็นโครงการลักชัวรี่ เรสซิเดนซ์ 3 ชั้น จำนวน 42 ยูนิต ขนาด 2 ห้องนอน ราคาเริ่มต้น 25 ล้านบาท จุดเด่นของโครงการถูกออกแบบให้ฟังก์ชันการใช้งานภายในตอบโจทย์ ไลฟ์สไตล์ การใช้ชีวิต ด้วยการบริการ และบริหารงานระดับโรงแรม รวมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่ถูกออกแบบอย่างลงตัว ทั้งสระว่ายน้ำ ล็อบบี้  คลับเฮ้าส์ ที่จอดรถสำหรับซุปเปอร์คาร์โดยเฉพาะ / ห้องออกกำลังกาย สปาพาวิลเลี่ยน สวน  ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชม.ฯลฯ โดยผู้ซื้อได้กรรมสิทธิ์ในโฉนดที่ดินเหมือนเป็นเจ้าของโครงการ (Freehold) ด้วยการลงทุนในระยะยาวที่มีผลตอบแทนสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นจุดแข็งของโครงการ ซึ่งภูเก็ตมีอัตราการเข้าพักสูงถึง 77%  นอกจากนี้มูลค่าอสังหาฯและที่ดินมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดเฉลี่ยอยู่ที่ 3-5% ต่อปี  ซึ่งจะเห็นว่าศักยภาพของโครงการตั้งอยู่ในทำเลที่เหมาะกับการลงทุนเป็นอย่างยิ่งรวมทั้งผลตอบแทนจะได้รับจากการลงทุนในโครงการดังกล่าว โดยจะเริ่มก่อสร้างเดือนกันยายน 2561 และคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จภายในไตรมาส 3 ปี 2562 ออกแบบตกแต่งภายในด้วยเอกลักษณ์พิเศษอย่างลงตัวทุกห้องชุด (Fully – Furnished ) พร้อมด้วย อุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์ทั้งในเรื่องของการใช้งานและดีไซน์ อย่างลงตัว รายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่โทร. 02 029 9999 หรือ www.impressionphuket.com
‘ศาลายา – พุทธมณฑลสาย 5’ แลนด์มาร์กใหม่อสังหาฯ

‘ศาลายา – พุทธมณฑลสาย 5’ แลนด์มาร์กใหม่อสังหาฯ

ทำเลศาลายาไม่ได้อยู่ไกลเมืองอีกต่อไป เมื่อความเจริญขยายออกมาถึงย่านพื้นที่ผังเมืองสีเขียวแห่งนี้ ที่เดิมส่วนใหญ่เป็นพื้นที่เกษตรกรรม, พุทธศาสนา, และการศึกษา ปัจจุบันทำเลนี้คึกคักไปด้วยศูนย์การค้าและไฮเปอร์มาร์เก็ตแบรนด์ดังมากมาย เพื่อรองรับชุมชนในย่านนี้มากขึ้น มีการคมนาคมที่สะดวกมากขึ้น โดย ถนนหลัก 2 สาย ได้แก่ถนนบรมราชชนนี และ ถนนเพชรเกษม  ที่นำพาระบบขนส่งมวลชนเข้ามายังพื้นที่ เช่น โครงการรถไฟฟ้าสีแดงอ่อน ตลิ่งชัน – ศาลายา (กำลังก่อสร้างช่วงแรก บางซื่อ-ตลิ่งชัน และคาดว่าแล้วเสร็จในปี 2562), โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย หัวลำโพง – พุทธมณฑลสาย 4 (แล้วเสร็จ 2564), โครงการถนนตัดใหม่ พรานนก – สาย 4 (เปิดใช้บริการช่วงพรานนก – กาญจนาภิเษกแล้ว), และล่าสุดเปิดใช้บริการแล้วทางด่วนตัดใหม่ศรีรัช-วงแหวน เชื่อมฝั่งตะวันตกสู่งฝั่งตะวันออก มุ่งหน้าเข้าเมืองย่านจตุจักร ผ่านทางเชื่อมต่อทางคู่ขนานลอยฟ้าถนนบรมราชชนนีได้อย่างง่ายดาย ด้วยระบบคมนาคมขนส่งที่ขยายออกมาในย่านนี้ทำให้โซนนี้เป็นที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่กำลังมองหาที่อยู่อาศัยที่ต้องการเดินทางเข้าไปทำงานในเมืองได้อย่างสะดวก สังคมและคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับคนยุคใหม่ นอกจากความสะดวกสบายในการเดินทางแล้ว ทำเลศาลายา-พุทธมณฑลสายสาย 5  ถือเป็นทำเลทองของชีวิตคุณภาพขั้นสูงสำหรับคนกรุงเทพในยุคนี้และในอนาคต เนื่องจากความเป็นโซนสีเขียวที่ยังมีกลิ่นอายของธรรมชาติอยู่ ในขณะที่ความเจริญก็ได้ขยายตัวมาถึงพื้นที่ในย่านนี้เช่นกัน ดังจะเห็นได้จากบริเวณรอบๆ แวดล้อมด้วยสถาบันการศึกษาชื่อดังมากมาย อาทิ มหาวิทยาลัยมหิดล โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ โรงเรียนสาธิตนานาชาติมหาวิทยาลัยมหิดล โรงเรียนกสิณธรอคาเดมี่ โรงเรียนสารศาสตร์ โรงเรียนอัญสัมชัญ ธนบุรี และหากมองในด้านการรักษาพยาบาล ทำเลนี้มีศูนย์การแพทย์กาญจนาภิเษกมหาวิทยาลัยมหิดลขนาดใหญ่รองรับ อีกทั้งโรงพยาบาลเอกชนที่มีชื่อเสียง ได้แก่ โรงพยาบาลธนบุรี 2 โรงพยาบาลพญาไท 3 และ โรงพยาบาลวิชัยเวช อินเตอร์เนชั่นแนล ขณะเดียวกัน ยังเป็นทำเลที่มีความสะดวกสบาย สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และมีความเจริญอย่างมากรองรับไลฟ์สไตล์ของการอยู่อาศัยแบบชีวิตสมัยใหม่ และครอบครัวของคนรุ่นใหม่ เพราะมีห้างใหญ่เปิดบริการอย่างทั่วถึง เช่น เซ็นทรัลพลาซ่า เทสโก้โลตัส โฮมโปร แมคโคร และ ฟู้ดส์แลนด์ อีกทั้งยังมีไลฟ์สไตล์ มอลล์ รองรับกิจกรรมสังสรรค์ พักผ่อน กับครอบครัว และกลุ่มเพื่อน อาทิ เดอะบริโอ้ เดอะศาลายา นอกจากนี้ ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจอีกหลากหลายรูปแบบ  ได้แก่ ตลาดน้ำ แหล่งท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ อาทิ สวนพุทธมณฑล ตลาดนัดสนามหลวง 2 ตลาดนัดดอนหวาย ตลาดน้ำลำพญา พิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้ง พิพิธภัณฑ์ภาพยนตร์ไทย (หอภาพยนตร์) พิพิธภัณฑ์ดนตรีอุษาคเนย์ และเมืองไม้ เป็นต้น ทำเลชั้นดีของโซนกรุงเทพฯ ตะวันตก ทำเลนี้หากเดินทางมาจากย่านธุรกิจ สามารถเลือกใช้เส้นทางหลักได้หลายเส้นทาง จึงไม่แปลกนักที่ทำเลย่านศาลายา-พุทธมณฑล 5 จะกลายเป็นทำเลชั้นดีของกรุงเทพฯตะวันตก ที่รองรับการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัย สะท้อนจากการเกิดใหม่ของโครงการที่อยู่มากมายในปัจจุบัน โดยระดับราคาที่พักอาศัยในทำเลนี้ยังถือว่าไม่สูงมากนัก เรียกได้ว่าครอบครัวรุ่นใหม่ที่ทำงานในเมืองก็สามารถจับจองเป็นเจ้าของได้แบบสบาย เพียงแค่ 3 - 4 ล้านบาท ก็สามารถเป็นเจ้าของบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ บ้านแฝดอารมณ์บ้านเดี่ยวได้แล้ว ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีเมื่อเทียบกับการซื้อหาที่พักอาศัยในตัวเมือง โดยในย่านนี้ มีโครงการบ้านเดี่ยว-บ้านแฝดที่มียอดขายดี ได้แก่ โครงการ ‘เดอะบาลานซ์ ปิ่นเกล้า – สาย 5’ โดย บริษัท แลนด์ แอนด์ พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป จำกัด ผู้เชี่ยวชาญธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบ ทำเลกรุงเทพฝั่งตะวันตกกว่า 20 ปี  ‘เดอะบาลานซ์ปิ่นเกล้า – สาย 5’ บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดอารมณ์บ้านเดี่ยวผนังไม่ติดกัน ผสานความเป็นไทยกับยุคสมัยใหม่อย่างลงตัว ตอบโจทย์ความต้องการที่อยู่อาศัยของครอบครัวขนาดใหญ่ ที่ต้องการพื้นที่ใช้สอยสูง ในทำเลสงบ ผ่อนคลายกับบ้านหลังใหญ่ อยู่สบาย เน้นความโปร่งโล่ง ในสังคมคุณภาพ มีขนาดพื้นที่ 130-180 ตารางเมตร ฟังก์ชั่น 3-4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ และ 2 ที่จอดรถ คุ้มที่สุดบนทำเลศักยภาพย่านปิ่นเกล้า-สาย 5 ใจกลางความสะดวกครบวงจร สามารถเข้าออกได้หลายเส้นทาง (Selective Location) โครงการตั้งอยู่บนถนนพุทธมณฑลสาย 5 ซอยเทศบาลบางกระทึก 12 (ซอยวิปัสสนา) ห่างจากถนนบรมราชชนนีเพียง 2 กิโลเมตร ตัวบ้านก่อสร้างด้วยอิฐแดงทั้งหลัง ทุกหลังมาพร้อมระบบไฟอัจฉริยะ (Auto Lighting) ช่วยอำนวยความสะดวกในเวลากลางคืน พร้อมส่วนกลางเต็มรูปแบบ ได้แก่ คลับเฮาส์หรู สวนสาธารณะขนาดใหญ่ สระว่ายน้ำระบบเกลือ ฟิตเนส ห้องเด็กเล่น และส่วนพักผ่อน Outdoor Foyer มั่นใจกับระบบความปลอดภัยถึง 3 ระดับ (Triple Security) ด้วยประตูทางเข้า-ออกถึง 2 ชั้น (Double Gate) และระบบสัญญาณกันขโมยภายในตัวบ้าน ราคาเริ่มเพียง 3.19 ล้านบาท ‘เดอะบาลานซ์ปิ่นเกล้า – สาย 5’ สมดุลแห่งชีวิตเป็นจุดเริ่มต้นของความสุขที่แท้จริง (The True Balance of Happiness) ติดต่อโครงการ 086-979-5111 หรือ ID LINE:@thebalanz และเว็บไซต์ www.thebalanz.com
เรียลแอสเสท เปิดเฟสใหม่ “เพล็กซ์ เกษตร – นวมินทร์” 40 ยูนิต คัดราคาพิเศษ 4.99 ล้านบาท

เรียลแอสเสท เปิดเฟสใหม่ “เพล็กซ์ เกษตร – นวมินทร์” 40 ยูนิต คัดราคาพิเศษ 4.99 ล้านบาท

เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ รุกตลาดอสังหาฯ ต้นปีลุยเปิดขายเฟสใหม่โครงการ “เพล็กซ์ เกษตร – นวมินทร์” พร้อมอัดโปรโมชั่นแรง คัดยูนิตพิเศษเริ่มเพียง 4.99 ล้านบาท ชูจุดเด่นของโครงการที่พร้อมให้คุณมาสัมผัสกับนิยามใหม่ของที่พักอาศัย ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ได้อย่างครบครัน ด้วยดีไซน์ที่มีเอกลักษณ์ มูลค่า 600 ล้านบาท บนทำเลย่านเกษตร-นวมินทร์ นายวีระชัย หาญจริยากูล ผู้อำนวยการสายงานกลยุทธ์ธุรกิจ บ้านจัดสรรและอาคารพาณิชย์ บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับแผนการดำเนินงานของบริษัทฯ ในช่วงต้นปี 2561 ได้เปิดขายเฟสใหม่โครงการ “เพล็กซ์ เกษตร – นวมินทร์” ซึ่งเป็นหนึ่งแบรนด์ในกลุ่มทาวน์โฮม ของเรียลแอสเสทฯ จำนวน 40 ยูนิต พร้อมโปรโมชั่นพิเศษสุดเพื่อคืนกำไรให้แก่ลูกค้า คัดยูนิตพิเศษในราคาเริ่มเพียง 4.99  ล้านบาท จากราคาปกติ 5.69 ล้านบาท โครงการ เพล็กซ์ เกษตร – นวมินทร์ ตั้งอยู่บนทำเลเกษตร-นวมินทร์ เข้าออกสะดวกได้ถึง 3 เส้นทาง คือ   1) ซ.แจ่มจันทร์  2) ซ.โยธินพัฒนา 3) ซ.นวมินทร์ 111 ใกล้ห้างสรรพสินค้า CDC , Central East Ville, Tesco Lotus, Crystal Park  พื้นที่โครงการประมาณ 9 ไร่ จำนวน 93 ยูนิต มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท ลักษณะทาวน์โฮม 3 ชั้น หน้ากว้าง 5.5 ม. ขนาดพื้นที่ใช้สอย 190 ตารางวา 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ ที่จอดรถ 2 คัน โดดเด่นด้วยงานดีไซน์แบบกระจกเข้ามุม ทำให้บ้านดูกว้างโปร่งสบายมากขึ้น และการจัดสัดส่วนของบ้านแบบ Multi-Function  สามารถเชื่อมต่อกิจกรรมของทุกสมาชิกในครอบครัว มี Terrace ส่วนตัว ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะสำหรับ PLEX เท่านั้น “ปัจจุบันโครงการมีการขายไปแล้วกว่า 70% ซึ่งโปรโมชั่นที่จัดขึ้นเป็นสำหรับเฟสสุดท้ายเพื่อปิดการขายโครงการ โดยในเฟสใหม่ของโครงการ ทางบริษัทฯ ได้พัฒนาและปรับเปลี่ยนแบบแปลนของบ้านให้ตอบรับกับความต้องการของลูกค้า ด้วยการปรับแบบแปลนใหม่ เป็นแบบ 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ที่เน้นพื้นที่ใช้สอยเพื่อการพักผ่อนและเป็นส่วนตัว จึงได้ปรับผังบ้านที่ชั้น 2 ให้กลายเป็นห้องนอนแบบ Executive Suite คือ ไม่ได้เป็นแค่ห้องนอน แต่มีส่วนนั่งเล่นพักผ่อน และกั้นโซนทำ walk-in closet ได้แบบบ้านเดี่ยว ทำให้ผังบ้านใหม่นี้ พูดได้ว่าเป็น Double Master Bedroom มีห้องนอนใหญ่ถึง 2 ห้อง” นายวีระชัย กล่าว นายณัฏฐพร กลั่นเรืองแสง รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานกลยุทธ์ธุรกิจ บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด กล่าวว่า สำหรับปี 2560 ที่ผ่านมา ทางบริษัทสามารถทำยอดขายได้ประมาณ 1,820 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายโครงการแนวราบได้ประมาณ 900  ล้านบาท และโครงการแนวสูงกว่า 920 ล้านบาท  ซึ่งเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ ส่วนแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ บริษัทฯ มีแผนในการเปิดโครงการแนวราบ  1 โครงการ ทำเลย่านสายไหม มูลค่าโครงการ 630 ล้านบาท ในราคาเริ่มต้นที่ 3 ล้านกว่าบาทและโครงการแนวสูง จะเปิดโครงการใหม่อีก 1 โครงการ  มูลค่าโครงการกว่า 4,000 ล้านบาท ในรูปแบบของ Super Luxury Condo โดยจะตั้งอยู่ในทำเล ทองหล่อ
“ออริจิ้น” ผนึก asap GO มอบบริการรถเช่าลูกบ้านไนท์บริดจ์ 3 โครงการใหม่

“ออริจิ้น” ผนึก asap GO มอบบริการรถเช่าลูกบ้านไนท์บริดจ์ 3 โครงการใหม่

ออริจิ้น ผนึก asap GO มอบบริการรถเช่าแก่ลูกบ้านโครงการลักชัวรี่ เพิ่มทางเลือกความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตของผู้บริโภค นำร่องมอบสิทธิ์ไนท์บริดจ์ 3โครงการใหม่ สเปซ พระราม 9-สเปซ รัชโยธิน-คอลลาจ สุขุมวิท 107 นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมมือกับบริษัท ซินเนอร์เจติค ออโต้ เพอร์ฟอร์มานซ์ จำกัด(มหาชน) ผู้ให้บริการรถยนต์เช่าแบบครบวงจรผ่านแอพพลิเคชั่น asap GO (เอแซ็ป โก) เพื่อส่งมอบทางเลือกใหม่ในการเดินทางให้แก่ผู้พักอาศัยในโครงการระดับลักชัวรี่ของออริจิ้น “เราพัฒนาโครงการใหม่ๆ ควบคู่กับการคำนึงถึงความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตของผู้บริโภค เราจึงพยายามสรรหาบริการใหม่ๆ ที่ทั้งง่ายและตอบโจทย์การใช้ชีวิตในยุคปัจจุบันมาให้ผู้บริโภคอย่างสม่ำเสมอ และ asap GO ก็ถือเป็นทางเลือกใหม่ที่จะช่วยให้ผู้บริโภคเดินทางได้สะดวกสบาย เข้ากับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง” นายพีระพงศ์ กล่าว ทั้งนี้ asap GO เป็นบริการรถยนต์ให้เช่ารายชั่วโมงผ่านแอพพลิเคชั่น ภายใต้คอนเซ็ปต์ Sharing Economy ผู้ใช้บริการสามารถเลือกจองรถรุ่นที่ตอบโจทย์การใช้งานและไลฟ์สไตล์ ผ่านแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน โดยคิดอัตราค่าบริการจากการใช้งานตามจริง ตอบโจทย์ผู้ต้องการใช้รถในระยะเวลาสั้นๆ โดยออริจิ้นจะจัดเตรียมพื้นที่ภายในโครงการต่างๆ ไว้สำหรับจอดรถให้บริการโดยเฉพาะ และเตรียมจัด Privilege การบริการพิเศษให้กับลูกบ้านโดยเฉพาะ นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า การให้บริการ asap GO จะนำร่องในโครงการไนท์บริดจ์ 3 โครงการใหม่ ได้แก่ 1.ไนท์บริดจ์ สเปซ พระราม 9 (Knightsbridge Space Rama 9) 2.ไนท์บริดจ์ สเปซ รัชโยธิน(Knightsbridge Space Ratchayothin) 3.ไนท์บริดจ์ คอลลาจ สุขุมวิท 107 (Knightsbridge Collage Sukhumvit 107) ซึ่งถือเป็น 3 Best Knightsbridge ของปี 2561 ที่มีการออกแบบเพดานสูงสุดถึง4.2 เมตร มีฟังก์ชันและการออกแบบที่ลงตัวเป็นทุนเดิม และเสริมด้วยบริการใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต ผู้สนใจสามารถโทรสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 020-300-000 หรือลงทะเบียนจองโครงการใหม่ทันทีที่ https://origin.co.th/knightsbridgespace
Knightsbridge Space Rama 9 (Advertorial)

Knightsbridge Space Rama 9 (Advertorial)

Knightsbridge Space Rama 9 (Advertorial)   ย้อนกลับไปเมื่อ 9 ปีที่แล้วได้เกิดบริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งขึ้น เริ่มจากการทำโครงการคอนโดมิเนียมขนาดเล็ก-กลาง จากนั้นก็เติบโตขึ้นชนิดที่เรียกว่าก้าวกระโดดอยู่เสมอ ซึ่งล่าสุดมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 150% สร้างความตกตะลึงให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ไม่น้อย จนวันนี้เราสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า “ออริจิ้น” คือหนึ่งในบริษัทอสังหาริมทรัพย์แนวหน้าระดับ Top 5 ของประเทศไทยอย่างไร้ข้อกังขา   ภายใต้ระยะเวลาอันรวดเร็วของการเติบโตทางธุรกิจนี้แน่นอนว่าย่อมมีความสำเร็จมากมายเป็นตัวการันตี โดยหากมองจากปีที่แล้ว มีคอนโดมิเนียมหลายตัวที่ได้รับความสนใจทั้งซื้อยู่อาศัยเองและนักลงทุน เช่น Kensington สุขุมวิท-เทพารักษ์ คอนโด High Rise ติดรถไฟฟ้าสายสีเหลือง 0 เมตร จากสถานีทิพวัล ราคาเริ่มต้นแค่ 1.09 ล้านบาท หรือโครงการระดับ Flagship อย่าง Knightsbridge ที่มีหน้าตาออกมาสวยโดนใจผู้บริโภคทั้งในแง่ของดีไซน์    ฟังก์ชั่นการใช้งานจริง รวมถึงทำเล โดยทั้ง 4 โครงการ คือ Knightsbridge Kaset Society, Knightsbridge Prime Ratchayothin, Knightsbridge prime Onnut และKnightsbridge Collage Ramkhamhaeng ได้เปิดตัวไปแล้วอย่างสวยงาม โดยทุกโครงการที่กล่าวถึงล้วนแต่ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามทั้งสิ้นและยัง Sold Out ภายในระยะเวลาไม่นาน จนกลายเป็นที่จับตามองว่าแบรนด์ Knightsbridge ตัวต่อไปจะมีหน้าตาออกมาเป็นอย่างไร   พอเริ่มศักราชใหม่ออริจิ้นก็ไม่รอช้า เริ่มปล่อยหมัดเด็ดกันมาตั้งแต่ Project แรกของปีด้วยการเปิดตัว 2 โครงการคอนโดมิเนียม Knightsbridge Space Rama 9 และ Knightsbridge Space Ratchayothin บนทำเลพรีเมียมสมกับความเป็น Knightsbridge แต่การมาของทั้ง 2 โครงการนี้มีอะไรที่แตกต่างออกไปจากเดิม นับเป็นบริบทใหม่แห่งการอยู่อาศัยที่กล้าฉีกกรอบแนวเดิมๆ เพื่อให้ได้สิ่งที่ตรงใจผู้บริโภคมากที่สุด ซึ่งครั้งนี้เราจะโฟกัสกันที่โครงการ Knightsbridge Space Rama 9 ซึ่งโครงการตั้งอยู่ริมถนนดินแดงฝั่งขาเข้าไปทางอนุสาวรีย์ การเดินทางสะดวกต่อทั้งที่ผู้ที่ใช้รถยนต์ส่วนตัวและระบบขนส่งสาธารณะ โดยหากใช้ถนนดินแดงมุ่งตรงสู่สามเหลี่ยมดินแดงก็จะสามารถเข้าสู่ถนนวิภาวดีไปขึ้นทางยกระดับอุตราภิมุข(โทลเวย์) หรือใช้ถนนอโศก-ดินแดง ก็มีจุดขึ้น-ลงทางพิเศษศรีรัช และหากเลือกเปลี่ยนการเดินทางมาใช้รถไฟฟ้าท่ี่ใกล้ที่สุดเพียง 350 เมตร ที่ MRT สถานีพระราม 9 ซึ่งเป็นเส้นทางที่สามารถตรงเข้าสู่ CBD ย่านอโศก-สีลม-สาทร ได้อย่างรวดเร็วที่สุด เรียกได้ว่าเป็นการเชื่อมต่อกันระหว่าง CBD-New CBD ได้อย่างคล่องตัว และเมื่อพูดถึงความเป็นทำเลแห่งเศรษฐกิจของประเทศก็มักจะตามมาด้วยชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานและพักอาศัยอยู่ในประเทศไทยแบบระยะยาว ความต้องการที่อยู่อาศัยจึงเกิดขึ้นอย่างมีอัตราที่โตขึ้นเรื่อยๆ ทุกปีโดยมีกำไรเติบโตสูงถึง 10% ต่อปีในย่านนี้ ฉะนั้นคอนโดมิเนียมในทำเลนี้จึงเหมาะสำหรับการปล่อยเช่าไปด้วยเพราะได้ Yield ถึง 5.6% ซึ่งในการซื้อ-ขาย-เช่า ทางออริจิ้นเองก็ได้มีการให้บริการอย่างเต็มรูปแบบ สะท้อนให้เห็นถึงความใส่ใจด้านการบริการแก่ลูกบ้านอย่างครบวงจร     ทำเล New CBD แห่งนี้มีการพูดถึงกันอย่างกว้างขวางในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ เพราะปัจจุบันแหล่ง CBD ในกรุงเทพฯ มีความหนาแน่นมากขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องมีการขยายเมืองออกมาตามสาธารณูปโภคที่ก็ต้องมีความอุดมสมบูรณ์มากพอที่จะกลายเป็นแหล่ง New CBD ที่สามารถรองรับความหนาแน่นของผู้คนที่กำลังจะตามมา เพราะนั่นหมายความว่าจะได้รับสะดวกสบายในการใช้ชีวิตที่ง่ายขึ้น และคำตอบก็คือย่านพระราม 9 ย่านที่ขึ้นชื่อว่าไม่เคยหลับไหล โดยในช่วงกลางวันจะมี Character ของความเป็นผู้ใหญ่วัยทำงาน มีแหล่งอาคารออฟฟิศชั้นนำมากมาย ห้างสรรพสินค้าหลายรูปแบบที่สามารถตอบสนองความต้องการได้ครบครัน เช่น เดินช้อปปิ้งที่เซ็นทรัลพระราม 9, หาซื้อของ IT ที่ฟอร์จูนทาวน์, ซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคที่บิ๊กซี, เดินเล่นหาอะไรทานที่ Esplanade หรือ The Street ฯลฯ กลับกันในช่วงกลางคืนจะพลิกเป็น Night light city ของเหล่าวัยรุ่นกลุ่มคนรุ่นใหม่ไฟแรงทั้งตลาดนัดรถไฟแหล่งรวมสุดฮิป สถานที่แฮงเอาท์ที่มีให้เลือกไปได้ทั้งเดือนแบบไม่ซ้ำร้าน และเมื่อเป็นแหล่ง All day All Night ได้ขนาดนี้สิ่งที่ทำให้ผู้คนมากมายหลั่งไหลมารวมตัวกันได้นั่นคือการเดินทางได้อย่างสะดวก ไม่ว่าจะขับรถยนต์ส่วนตัวก็จะมีจุดขึ้น-ลงทางพิเศษศรีรัช บริเวณถนนอโศกดินแดงใกล้สี่แยกพระราม 9 หรือจะไปขึ้นทางพิเศษเฉลิมมหานคร-ทางยกระดับอุตราภิมุข บริเวณถนนวิภาวดีก็ไม่ไกล หรือจะใช้บริการขนส่งสาธารณะเพื่อการเดินทางเข้าใจกลางเมืองได้อย่างรวดเร็วก็มีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สายสีน้ำเงิน สถานีพระราม 9 ซึ่งหากนั่งไปเพียง 1 สถานี ที่สถานีเพชรบุรีก็เป็นจุด Interchange กับแอร์พอตลิ้ง สถานีมักกะสัน จะเห็นได้ว่าทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกรอบๆ และการเดินทางต่างก็เอื้อให้กับผู้ที่อยู่อาศัยใน Prime Location นี้สามารถใช้ชีวิตอย่างคนยุคใหม่ที่สามารถ Work hard Play hard ได้อย่างเต็มที่     Knightsbridge Space Rama 9 Knightsbridge Space Rama 9 คอนโดมิเนียม High Rise 28 ชั้น 1 อาคาร 325 ยูนิต และอีก 1 ร้านค้า  Auto Parking 52% ยูนิตพักอาศัยชั้น 6-18, 20-27 และ Facility ที่หลากหลายตั้งแต่ชั้น G, 2, 6, 19,  และ Roofttop Garden ตัวอาคารถูกออกแบบให้ดูล้ำสมัยด้วยการใช้สีโทน Monochrome ไล่เฉดสีเทา ดำ ขาวเป็นหลัก ผสมผสานกับ Vertical Line ได้อย่างลงตัว ซึ่งการออกแบบทั้งภายนอกและภายในสำหรับโครงการนี้ได้ Designer ระดับท็อปมาใส่ไอเดียลงไปจนเต็มโครงการที่มาพร้อมคอนเซป ‘‘SPACE MAKE POSSIBLE’’ โดยทางออริจิ้นพยายามสร้างมิติของการใช้ชีวิตในที่อยู่อาศัยด้วยการนำคอนเซปของคำว่า Space มาฉีกกรอบเดิมของคอนโดมิเนียม ผสานความเชื่อมโยงถึงกันทุกมิติ สร้างประสบการณ์ในการอยู่อาศัยรูปแบบใหม่ โดยวางเอาไว้ให้เป็น 4 Space หลัก คือ Vertical Space การออกแบบพื้นที่ใช้งานแนวตั้งให้มีประโยชน์สูงสุด, Value Space การเพิ่มพื้นที่ใช้สอยในห้อง สามารถใช้งานได้แบบไม่เคยปรากฏมาก่อน, More Space การออกแบบให้ผู้อยู่อาศัย สามารถใช้ชีวิตในพื้นที่ได้มากกว่า ทั้งภายในห้องและพื้นที่ส่วนกลาง มุมสังสรรค์ ภายในโครงการ, Flow Space การเชื่อมต่อพื้นที่ภายในและภายนอกอาคารด้วยการออกแบบ Space ทีมีการเล่นระดับ เล่นระดับพื้นที่โถงเพดานสูง มีการออกแบบพื้นที่ใช้งานขนาดใหญ่     ความพิเศษสุดของโครงการนี้ คือ “Duo Space” ห้องพัก Lay Out ใหม่ล่าสุดจากออริจิ้น มาในสไตล์ Loft Hi light Product ที่คงคอนเซปถึงการเชื่อมต่อทุกพื้นที่เข้าถึงกัน แต่กลับมีความเป็นส่วนตัวได้ Space มากขึ้น และยังคำนึงถึงการใช้ทุกพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ลงตัวในทุก Function เพดานห้องสูงถึง 4.2 เมตร ดูหรูหราให้ความรู้สึกโปร่งโล่งยิ่งขึ้น พร้อมเปิดมุมมองภายในห้องพักให้เชื่อมต่อกับด้านนอกอาคารได้มากขึ้นด้วยหน้าต่างกระจกสูง และยังเป็นโครงการที่นำเอาเทคโนโลยี Home automation เข้ามาใช้งานจริงเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ให้ได้ใช้ชีวิตที่ง่ายมากขึ้นในด้วยการควบคุมเปิด-ปิดสิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องพักผ่านสมาร์ทโฟนของเรา เช่น Digital Door Lock, ไฟภายในห้อง, เครื่องปรับอากาศ และผ้าม่าน ซึ่งทั้งห้องสไตล์ Duo Space และระบบ Home automation จะได้เหมือนกันทุกยูนิต   ภาพบรรยากาศจำลองภายในห้องพัก   Unite Plan Type 23 ตร.ม. เมื่อได้ดีไซน์ Duo Space ก็จะได้พื้นที่ใช้สอยทาสูงเพิ่มมากขึ้นอีก 7 ตร.ม. (โดยประมาณ)         Unite Plan Type 26 ตร.ม. เมื่อได้ดีไซน์ Duo Space ก็จะได้พื้นที่ใช้สอยทาสูงเพิ่มมากขึ้นอีก 10 ตร.ม. (โดยประมาณ)   Unite Plan Type 30 ตร.ม. เมื่อได้ดีไซน์ Duo Space ก็จะได้พื้นที่ใช้สอยทาสูงเพิ่มมากขึ้นอีก 12 ตร.ม. (โดยประมาณ)   มาถึงพื้นที่ส่วนกลางอีกหนึ่งไฮไลท์ของโครงการที่ถูกออกแบบขึ้นมาเพื่อการพักผ่อนที่ดีที่สุดของลูกบ้าน ซึ่งโดยทั่วไปแล้วแต่ละโครงการจะมีมาให้ประมาณ 2-3 ชั้น แต่สำหรับ Knightsbridge Space Rama 9 นั้นให้พื้นที่ส่วนกลางมาถึง 5 ชั้น รวมแล้ว  กว่า 1,000 ตร.ม. โดยออกแบบมาให้มีความ Flow ตามเส้นสายโค้งมนตามธรรมชาติพร้อมลำธารเล็กๆ ตามทางเดินที่เชื่อมต่อถึงกันทั้งภายนอกและภายในอาคาร ให้ความรู้สึกได้อยู่กับธรรมชาติมากขึ้น   ภาพจำลองพื้นที่สีเขียวส่วนกลาง Sky Infinity Lap Pool บนชั้น 19 ให้ได้ว่ายน้ำพร้อมชมวิวเมืองสวยๆ พร้อมสวนสีเขียวรอบๆ ให้รู้สึกถึงการพักผ่อนเหนือระดับที่ Knightsbridge Space Rama 9 Sky Panoramic Social Fitness Club ชั้น 19 ฟิตเนสในห้องใหญ่เพดานสูงอันโอ่งโถ่ง ล้อมรอบไปด้วยกระจก High Selling ให้ได้ออกกำลังกายพร้อมเสพวิวเมืองได้รอบทิศทาง Floor Plan ชั้น Ground ใช้เส้นสายธรรมชาติมาสร้าง Flow Space เชื่อมต่อทั้งภายในและภายนอกอาคารให้กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกัน Floor Plan ชั้น 6 เป็นชั้นแรกที่มียูนิตพักอาศัย มีพื้นที่สีเขียวของทั้งสองฝั่งของอาคาร ซึ่งถูกออกแบบให้มีทางเดินไล่ระดับเชื่อมต่อถึงกันเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตที่แยกกันไม่ออก Floor Plan ชั้น 7-18 คือโซนแรกของยูนิตพักอาศัย มีประมาณ 20 ยูนิต/ชั้น ถือว่าไม่มาก ได้ความเป็นส่วนตัว ลิฟท์ 4 ตัว บันไดหนีไฟ 2 จุด และห้องที่เป็นห้องเก็บขยะของชั้นจะถูกออกแบบมาให้หลบลึกเข้าไปด้านในเพื่อป้องกันกลิ่นรบกวน Floor Plan ชั้น 20-25 เป็นโซนพักอาศัยที่มีความเป็นส่วนตัวเพิ่มขึ้นไปอีกด้วยจำนวนยูนิตที่น้อยมากเพียง 9 ยูนิต/ชั้น Floor Plan ชั้น 26 เป็นชั้นที่มีความพิเศษยิ่งขึ้น เพราะนอกจากจำนวนยูนิตที่น้อยที่สุด 6 ยูนิต ยังได้สวนสีเขียวมาไว้ที่ชั้นพักอาศัย เสมือนเป็นสวนสว่นตัวที่น้อยคนจะได้เข้าถึง Floor Plan ชั้น 27 เป็นชั้นพักอาศัยที่อยู่สูงที่สุดของโครงการ ได้ความ Exclusive ทั้งจำนวนยูนิตที่น้อยเป็นพิเศษและวิวเมืองทั้งในย่าน New CBD ไปจนถึงฝั่ง CBD เดิม Floor Plan Roof Top มาถึงตรงนี้แล้วคงหมดคำถามว่าทำไมออริจิ้นถึงเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ก้าวขึ้นมาครองใจผู้บริโภคได้อย่างง่ายดายในระยะเวลาอันรวดเร็ว พิสูจน์ได้ด้วยคุณเองเร็วๆ นี้ ที่โครงการ Knightsbridge Space Rama 9     24 มี.ค.นี้ เปิดจอง Pre Sale!! Knightsbridge Space Rama 9 1 ใน 3 ไนท์บริดจ์ ที่สุดแห่งปี คอนโดใหม่!! ไนท์บริดจ์ สเปซ พระราม 9 ห้องแบบ Duo Space เพดานสูง 4.2 ม. ที่สูงและสวยที่สุดแห่งแรกและแห่งเดียวบนสี่แยกพระราม 9 เพียง 325 ยูนิตทั้งโครงการ และ เพียง 350 ม. จาก MRT สถานีพระราม 9 เต็มอิ่มกับพื้นที่สวนส่วนกลางกว่า 1,000 ตรม. เชื่อมต่อเนื่องถึง 5 ระดับชั้น Craft Cafe & Working Space กว่า 645 ตรม. แบบ Double Volume Sky panoramic social fitness club ขนาดใหญ่กว่า 221 ตรม. พร้อมระบบ Home Automation และ Auto Parking   ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ VIP ได้ที่ https://goo.gl/ZLouVN รับส่วนลด 200,000.* T.020300000 โอกาสสุดท้าย ที่คุณห้ามพลาด
LIVEVOLUTION แคมเปญใหญ่จาก AP ให้คุณจับจองทาวน์โฮมล้ำสมัย บนทำเลที่ดีที่สุดก่อนใคร

LIVEVOLUTION แคมเปญใหญ่จาก AP ให้คุณจับจองทาวน์โฮมล้ำสมัย บนทำเลที่ดีที่สุดก่อนใคร

ปฎิเสธไม่ได้ว่า “ทาวน์โฮม” คือตัวเลือกของที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมืองยุคใหม่ที่เป็นส่วนผสมลงตัวระหว่างบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทำเลที่ตั้งแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกแล้ว ดีไซน์และฟังก์ชั่นใช้งานภายในบ้านยังตอบสนองการพักอาศัยได้เป็นอย่างดี แถมยังมาพร้อมกับพื้นที่ส่วนกลางภายในโครงการแบบครบครัน และยังเป็นอสังหาริมทรัพย์ชนิดที่ผู้ซื้อจะได้กรรมสิทธิ์ครอบครองในส่วนของที่ดินที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นในอนาคต จึงไม่แปลกใจเลยค่ะว่าทำไมปัจจุบันกรุงเทพฯ จะมีทาวน์โฮมโครงการใหม่ๆ ผุดขึ้นมาเป็นตัวเลือกของผู้บริโภคมากมาย ซึ่งแบรนด์ที่สร้างความแตกต่างเหนือคู่แข่งทั้งหมด คงหนีไม่พ้นโครงการ “บ้านกลางเมือง” และ “PLENO” (พลีโน่) จาก AP Thai ผู้นำด้านอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมืองที่มุ่งมั่นพัฒนาทาวน์โฮมจนกลายเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งของประเทศไทย สามารถครองใจผู้บริโภคกว่า 50,000 ครอบครัว เนื่องจากมีจุดแข็งที่ได้เปรียบกว่าแบรนด์ใดๆ เพราะเข้าใจความต้องการและ Lifestyle ของผู้อยู่อาศัยได้อย่างตรงจุด ซึ่งไม่ใช่แค่ตอบโจทย์เรื่องฟังก์ชั่นการใช้งานเท่านั้น แต่วิธีคิดในการออกแบบสเปชของ AP นั้น คือการผสานฟังก์ชั่นเข้ากับความฝัน รสนิยม และอุดมคติในการใช้ชีวิต เพื่อประโยชน์สูงสุดและเข้าถึงทุกไลฟ์สไตล์ของลูกบ้านด้วยแนวคิด 5 BEST TOWNHOME สร้างจุดเด่นให้แตกต่างจากโครงการทั่วไปโดยปักหมุดแต่ทำเลศักยภาพ สามารถเชื่อมต่อการเดินทางหลากหลายรูปแบบ ไม่ใช่แค่ติดถนนใหญ่แต่ต้องเชื่อมต่อทางลัด ทางด่วน หรือระบบขนส่งขนาดใหญ่ได้ด้วย ที่สำคัญดีไซน์โมเดลแบบบ้านต้องตอบสนองความต้องการของผู้อยู่อาศัย โดยทาง AP ได้นำเทคโนโลยีเข้าไปเป็นส่วนผสมกับการออกแบบพื้นที่ภายใต้แนวคิด ‘สร้างสรรค์นวัตกรรมดีไซน์เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีในอนาคต’ หรือ SMART LIVING FUNCTION ที่นอกจากการลงลึก Design Space โดยเพิ่ม Design Detail เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่ครบและสมบูรณ์แบบมากขึ้นแล้ว ยังคงดีไซน์ทุกรายละเอียดที่เกี่ยวกับการใช้ชีวิตในแต่ละวันของลูกบ้านทุกๆ คน เพื่อเติมเต็มความสุขแบบพร้อมอยู่ แถมยังนำเทคโนโลยีเพื่อการใช้ชีวิตที่จะตอบสนอง Lifestyle การอยู่อาศัยแห่งโลกอนาคตที่ครอบคลุมทุกมิติทั้งในด้านคุณภาพ ความสะดวกสบาย และความปลอดภัยที่มากขึ้น ก่อนจะส่งมอบบ้านที่เพียบพร้อมและดีที่สุดให้แก่ลูกบ้านนั่นเองค่ะ ทำเลศักยภาพ สามารถเลือกเดินทางได้หลากหลาย สำหรับแบรนด์ บ้านกลางเมือง และ PLENO นั้น ได้มีการแบ่งพื้นที่ออกเป็นโซน A, B, C และ D ซึ่งเป็นทำเลทองรอบกรุงเทพฯ โดยวันนี้เราขอหยิบยกทาวน์โฮม 4 โครงการ จาก 2 แบรนด์คุณภาพของ AP ประกอบด้วย "โครงการบ้านกลางเมือง พระราม 9 - อ่อนนุช, บ้านกลางเมือง สวนหลวง, บ้านกลางเมือง The Edition พระราม 9 - อ่อนนุช และโครงการพลีโน่ สุขุมวิท - บางนา" มาพูดถึงกันสักหน่อยค่ะ ซึ่งทั้งหมดนี้ตั้งอยู่ในโซน A ที่นับว่าเป็น Urbanite Living ให้ทุกการเดินทางเป็นเรื่องที่ง่ายและสะดวกสบายมากๆ ทั้งคนมีรถส่วนตัวและไม่มี เพราะด้วยทำเลศักยภาพที่ทาง AP เลือกให้เป็นที่ตั้งโครงการนั้นจะเชื่อมต่อทั้งทางด่วน, มอเตอร์เวย์ และกาญจนาวงแหวนรอบนอก อีกทั้งยังตั้งอยู่ในพิกัดที่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าเลย ไม่ว่าจะเป็นสถานีแอร์พอร์ตลิ้งค์บ้านทับช้าง (โครงการบ้านกลางเมือง พระราม 9 - อ่อนนุช และบ้านกลางเมือง The Edition พระราม 9 - อ่อนนุช), BTS สถานีบางนา (โครงการพลีโน่ สุขุมวิท - บางนา) พิกัดของทั้ง 4 โครงการ นั้นเอื้อต่อการเดินทางที่ง่ายและสะดวกสบายจริงๆ ค่ะ ซึ่งลูกบ้านสามารถเลือกเส้นทางเข้าเมืองได้เยอะ ทั้งทางถนนเลียบมอเตอร์เวย์ ที่สามารถวิ่งตรงไปจนถึงพระราม 9 ได้ หรือใช้ทางแยกประเวศแล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนอ่อนนุชวิ่งเข้าแยกสวนหลวง แล้วตรงไปถึงถนนสุขุมวิทก็ยังได้ค่ะ แถมถนนอ่อนนุชยังเชื่อมต่อเข้าถนนพัฒนาการสามารถไปถนนเพชรบุรีได้อีกด้วย ส่วนถ้าจะออกเมืองก็ใช้ทางแยกประเวศ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนลาดกระบัง ก็จะสามารถไปสนามบินสุวรรณภูมิ และสามารถไปถนนกิ่งแก้วไปออกถนนบางนา-ตราดได้ค่ะ นอกจากนี้บริเวณโดยรอบก็มีสถานที่สำคัญมากมายทั้งห้างสรรพสินค้า, สถานศึกษา, สถานพยาบาล และสนามบินสุวรรณภูมิ แถมแบบบ้านทาวน์โฮมที่ถูกเลือกมาลงนั้นก็ไม่ได้มีราคาสูงมากไปกว่าคุณภาพเลย ซึ่งอยู่ในระดับราคาที่สามารถจับต้องได้ แต่จะมีรายละเอียดและจุดเด่นที่ตอบรับกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคอย่างไรบ้าง เราไปดูพร้อมๆ กันเลยค่ะ.. บ้านกลางเมืองพระราม 9 - อ่อนนุช เริ่มต้นโครงการแรกกับ “บ้านกลางเมืองพระราม 9 – อ่อนนุช” ทาวน์โฮมดีไซน์ใหม่ที่สะท้อนถึงความเหนือระดับได้ในทุกมิติ ออกแบบภายใต้แนวคิด Free & Easy ทันสมัยแต่ยังคงไว้ซึ่งความหรูหรา โดยตัวบ้านเป็นทาวน์โฮม 3 ชั้น หน้ากว้าง 5 เมตร พื้นที่ใช้สอยแบบ Flexible ที่สามารถออกแบบพื้นที่ส่วนตัว และปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นของทุกสัดส่วนในบ้านให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ทันสมัยได้อย่างลงตัว เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกหลากหลาย กับพื้นที่ส่วนกลาง คลับเฮ้าส์ พร้อมสระว่ายน้ำและฟิตเนส และบริเวณพักผ่อน เติมเต็มแนวคิดใหม่ๆ และความสุขได้อย่างไม่รู้จบ บนทำเลใกล้มอเตอร์เวย์และวงแหวนกาญจนาภิเษก เพียง 5 นาทีถึงรถไฟฟ้า เดินทางถึงพระราม 9 ภายใน 10 นาที ในราคาเริ่มต้นเพียง 3.99 ล้านบาท* พิกัดโครงการ บ้านกลางเมือง พระราม 9-อ่อนนุช:  (13.728025,100.703883) บ้านกลางเมือง สวนหลวง บ้านกลางเมือง สวนหลวง โครงการที่อยู่ทางโซนบางนา เป็นโครงการที่มี Product หลากหลาย ทั้งทาวน์โฮม 2 ชั้น, 3 ชั้น และบ้านแนวคิดใหม่ X-Trend Series ในดีไซน์ Modern Contemporary Style ที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ในครอบครัว ที่ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ สู่การสร้างสรรค์พื้นที่อย่างลงตัว ด้วยการออกแบบพื้นที่ที่มากขึ้น เน้นความโปร่ง โล่ง สบาย ในสไตล์ Modern Contemporary ภายใต้สุนทรียะแห่งธรรมชาติ รายล้อมด้วยพื้นที่สีเขียวที่เปี่ยมไปด้วยความร่มรื่น บนทำเลศักยภาพที่เลือกสรรมาอย่างดี พร้อมตอบรับทุกการพักผ่อนด้วย Facilities ครบครัน ทั้ง คลับเฮาส์ ฟิตเนส สระว่ายน้ำ และ Jogging Track สามารถเดินทางได้หลายเส้นทาง ใกล้ทั้งทางด่วนบูรพาวิถี มอร์เตอร์เวย์ และวงแหวนรอบนอก เชื่อมต่อถนนอ่อนนุช และถนนศรีนครินทร์ ในราคาเริ่มต้นเพียง 4.69 ล้านบาท* พิกัดโครงการ บ้านกลางเมือง สวนหลวง: (13.670599,100.67296) บ้านกลางเมือง The Edition พระราม 9 – อ่อนนุช บ้านกลางเมือง THE EDITION พระราม 9-อ่อนนุช บ้านแนวคิดใหม่ในบรรยากาศรีสอร์ท ตอบรับความสุขของทุกวิถีชีวิตได้อย่างเต็มที่ ออกแบบภายใต้แนวคิด Multiple Space ขยายพื้นที่ใช้สอยภายใน พร้อมสวนรอบบ้าน และด้วยความลงตัวของพื้นที่ใช้สอยที่เพิ่มขึ้น ด้วยนิยามการดีไซน์แบบ Maximum / More / Masterpiece ฟังก์ชั่นการใช้งานของแต่ละเสปซสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามจินตนาการ ผสานความเรียบหรูและทันสมัยไว้ด้วยกันอย่างลงตัว ตอบโจทย์ทุกความต้องการด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ให้คุณและครอบครัวได้ผ่อนคลายไปกับ คลับเฮ้าส์ดีไซน์หรู มาพร้อมสระว่ายน้ำและฟิตเนส และสวนพักผ่อน บนทำเลเชื่อมต่อสู่พระราม 9 เพียง 10 นาที* ใกล้ทั้งทางด่วนและรถไฟฟ้า Airport Link สถานีบ้านทับช้าง ในราคาเริ่มต้นเพียง 4.79 ล้านบาท* พิกัดโครงการ บ้านกลางเมือง THE EDITION พระราม 9-อ่อนนุช: (13.728025,100.703883) พลีโน่ สุขุมวิท - บางนา มาถึงโครงการสุดท้ายในโซน A ที่น่าสนใจไม่แพ้บ้านกลางเมืองเลย สำหรับแบรนด์ PLENO โครงการ PLENO สุขุมวิท-บางนา ฟังก์ชั่นแบบใหม่ของทาวน์โฮม 2 ชั้น บนทำเลศักยภาพ ใกล้ทางด่วน สามารถเข้าเมืองได้ง่ายและใกล้เมกะบางนา แบบบ้านมีการดีไซน์ฟังก์ชั่นภายในของพื้นที่ใช้สอยให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าได้อย่างลงตัว ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของกลุ่มลูกค้าที่เป็นครอบครัวใหม่ ด้วยการดีไซน์แบบ Flexible Space เพิ่มประโยชน์ของฟังก์ชั่นในการปรับเปลี่ยนพื้นที่ใช้สอยตามต้องการของการใช้งานจริง ชั้นล่างจะมี Foyer ช่วยทำให้เป็นสัดส่วนมากขึ้น ชั้น 2 เพิ่ม Green Space มากขึ้น โดยฟังก์ชั่นของ Double Garden ของพื้นที่ชั้น 2 ช่วยเพิ่มสีเขียวของธรรมชาติให้กับความร่มรื่นของบ้าน โครงการมี Facilities ขนาดใหญ่ โดยเฉพาะสระว่ายน้ำ และพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ พร้อม Fitness และสนามเด็กเล่น  พักผ่อนอย่างลงตัวท่ามกลางธรรมชาติที่ บนคลับเฮ้าส์ที่โดดเด่นในการออกแบบที่หรูหรา ทำให้สะท้อนทุกรายละเอียดในการอยู่อาศัย ในราคาเริ่มต้นเพียง 3.49 ล้านบาท* พิกัดโครงการ PLENO สุขุมวิท-บางนา : (13.6370711286343,100.673248618841)   เพื่อเป็นการตอกย้ำความเป็นแบรนด์อันดับหนึ่งของทาวน์โฮมที่มีกระแสตอบรับอย่างล้นหลาม ชนิดที่ Sold Out ตั้งแต่วันเปิดจองในทุกๆ โครงการที่ผ่านมาทาง AP จึงไม่รอช้าที่จะกระจายความสุขให้เกิดขึ้นในวงการอสังหาฯ ของไทย ด้วยการจัดแคมเปญครั้งยิ่งใหญ่ “LIVEVOLUTION” ครั้งแรกกับนวัตกรรมทาวน์โฮมแห่งอนาคต ที่รวบรวมทาวน์โฮมสุดล้ำสมัย 2 แบรนด์ดังอย่าง “บ้านกลางเมือง” และ “Pleno” บนสุดยอดทำเลกว่า 30 โครงการ นำมาจัดโปรโมชั่นพร้อมกันทั่วกรุงเทพฯ โดยทั้ง 2 แบรนด์จะนำเสนอบ้านทาวน์โฮมแบบใหม่ พร้อมราคา Pre-sale ที่ดึงดูดใจมากๆ (เริ่มที่ 1.69-9.29 ล้านบาท*) ตามด้วยข้อเสนอแห่งปี “ซื้อบ้านไม่มีดอกเบี้ยนาน 2 ปี*” ให้คุณเป็นเจ้าของทาวน์โฮมแบรนด์อันดับหนึ่งได้ง่ายๆ ภายในงานนอกจากทุกคนจะได้พบกับการเปิดตัวครั้งแรกของ “LIVEVOLUTION HOME” นวัตกรรมทาวน์โฮมแห่งอนาคต และแนวคิดการออกแบบที่ผสมผสานฟังก์ชั่น LIVEVOLUTION SMART และ LIVEVOLUTION SPACE เข้าไว้ด้วยกันเพื่อตอบโจทย์ Lifestyle การใช้ชีวิตของลูกบ้านได้ครบสมบูรณ์แบบทุกมุมมองมากยิ่งขึ้นแล้ว อีกหนึ่งความพิเศษในงานที่ไม่อยากให้พลาดเลยจริงๆ ค่ะ สำหรับ "HALL OF FRAME” แคมเปญใหม่ที่ทาง AP จะรวบรวมที่ดินแปลงพิเศษ ทำเลพิเศษ พร้อมราคาสุดพิเศษ ทุกโครงการ ทุกทำเล จากบ้านกลางเมือง และ พลีโน่ ไปให้จับจองและเลือกสรรได้ตามความต้องการ ซึ่งข้อเสนอนี้จัดให้เฉพาะลูกค้าที่จองในงานนี้เท่านั้นนะคะ ดังนั้นถ้าไม่อยากพลาดโปรโมชั่นดีๆ แบบนี้ แนะนำให้ลงทะเบียน https://goo.gl/kb4ouD เพื่อลุ้นรับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 100,000 บาท*! ไว้ตั้งแต่ตอนนี้เลย ก่อนจะไปเจอกันที่หน้างานวันที่ 10-11 มีนาคม 2561 ที่จะถึงนี้ ซึ่งงานจะจัดเพียง 2 วันเท่านั้น!!! สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 1623
ศุภาลัย โชว์ผลประกอบการปี 60 ภาพรวมเศรษฐกิจ และทิศทางตลาดอสังหาฯ ภาคอีสาน

ศุภาลัย โชว์ผลประกอบการปี 60 ภาพรวมเศรษฐกิจ และทิศทางตลาดอสังหาฯ ภาคอีสาน

ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร นางอัจฉรา ตั้งมติธรรม รองประธานกรรมการบริหาร นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ และนายบุญชัย ชัยอนันต์บวร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานโครงการภูมิภาค 2 บริษัท ศุภาลัย จำกัด(มหาชน) ให้เกียรติร่วมแถลงข่าว “ผลประกอบการปี 60 + ภาพรวมเศรษฐกิจ และทิศทางตลาดอสังหาฯ ภาคอีสาน” โดยสามารถกวาดยอดขาย 30,777 ล้านบาท รายได้รวม 25,789 ล้านบาท เติบโต 10% และกำไรสุทธิ 5,812 ล้านบาท เติบโต 19% ซึ่งเป็นตัวเลขผลประกอบการที่โดดเด่นและเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ พร้อมเตรียมขยายโครงการใหม่ครอบคลุมทุกทำเลศักยภาพ ณ โรงแรมสุนีย์ แกรนด์ โฮเทล & คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
ออริจิ้น ส่ง”ไนท์บริดจ์” 3 โครงการ 6,000 ล้านบาท ชู“Duo Space” เปิดขายออนไลน์ 8 มี.ค.นี้

ออริจิ้น ส่ง”ไนท์บริดจ์” 3 โครงการ 6,000 ล้านบาท ชู“Duo Space” เปิดขายออนไลน์ 8 มี.ค.นี้

ออริจิ้น เปิดตัวคอนโดหรู “ไนท์บริดจ์” 3 โครงการมูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท ชูจุดขาย “Duo Space” เพดานสูง 4.2 เมตร เพิ่มพื้นที่ใช้สอย สร้างจุดต่างตอบโจทย์ย่าน New CBD ผนึกโนมูระ ดึงโนว์ฮาว Luxmore ใส่ใจทุกรายละเอียด เปิดพรีเซล- จองออนไลน์ 8 มี.ค.นี้ นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์เคนซิงตัน นอตติ้ง ฮิลล์ ไนท์บริดจ์ และพาร์ค และบ้านแนวราบภายใต้แบรนด์ บริทาเนีย กล่าวว่า ไตรมาส 1/2561 บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่ เป็นคอนโดหรูภายใต้แบรนด์ “ไนท์บริดจ์” จำนวน  3 โครงการ ได้แก่ 1.ไนท์บริดจ์ สเปซ รัชโยธิน (Knightsbridge Space Ratchayothin) 2.ไนท์บริดจ์ สเปซ พระราม 9 (Knightsbridge Space Rama 9) และ 3.ไนท์บริดจ์ คอลลาจ สุขุมวิท 107 (Knightsbridge Collage Sukhumvit 107) รวมมูลค่าโครงการกว่า 6,000 ล้านบาท สำหรับจุดขายหลักของ 2 โครงการแรก ภายใต้แบรนด์ไนท์บริดจ์ สเปซ คือแนวคิดการพัฒนาแบบ “Duo Space” ที่มีองค์ประกอบหลัก 4 ส่วน ได้แก่ 1.Vertical Space คือการออกแบบพื้นที่ใช้งานแนวตั้งให้เกิดประโยชน์สูงสุด เช่น พื้นที่เหนือครัว ส่วนอาบน้ำ สามารถใช้เป็นพื้นที่เก็บของได้ 2.Value Space ให้ทุกพื้นที่ใช้สอยภายในห้องสามารถใช้งานจริงได้อย่างคุ้มค่า 3.More Space เพิ่มพื้นที่ส่วนกลาง พื้นที่สันทนาการ และมุมพักผ่อนสังสรรค์ให้มีขนาดใหญ่ และ 4.Flow Space เชื่อมต่อพื้นที่ภายในและภายนอกอาคารด้วยการออกแบบให้มีการเล่นระดับโถงที่มีฝ้าเพดานสูง เป็น Double Space และ Triple Space “ทุกห้องภายในทั้ง 2 โครงการจะมีเพดานสูงถึง 4.2 เมตร เพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอย สร้างมิติใหม่แห่งการอยู่อาศัย และสร้างทางเลือก ตลอดจนไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างให้แก่ผู้บริโภคในย่าน New CBD พระราม 9 โดยสถานี MRT พระราม 9 มีผู้ใช้บริการมากเป็นอันดับ 2 ในบรรดาสถานี MRT ทั้งหมด ภายในระยะ 3 กิโลเมตรจากโครงการ มีทั้งแหล่งงาน ศูนย์การค้า ศูนย์จัดแสดงสินค้าและโลจิสติกส์ โรงพยาบาล สถานศึกษา เช่น ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย The Super Tower The Ninth Tower มักกะสัน มิกซ์ยูส อาคาร AIA สำนักงานใหญ่ยูนิลีเวอร์ G Tower เซ็นทรัล พระราม 9 เทอร์มินัล 21 โรงพยาบาลปิยะเวท มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร เป็นย่านที่ผู้บริโภคมีรายได้เฉลี่ย 75,000-120,000 บาทต่อเดือน โครงการส่วนใหญ่จะมีพื้นที่ใช้สอยค่อนข้างจำกัด โครงการของเราถือเป็นโครงการแรกที่มอบพื้นที่ใช้สอยพิเศษกว่าใครในทุกยูนิต มุ่งตอบโจทย์การใช้ชีวิตของตลาดเรียลดีมานด์” นายพีระพงศ์ กล่าว ขณะเดียวกัน บริษัทได้ร่วมทุนกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ พัฒนาโครงการไนท์บริดจ์ สเปซ รัชโยธินด้วย โดยจะนำคอนเซ็ปท์ Luxmore ของทางโนมูระ เข้ามาเพิ่มเป็นทางเลือกให้แก่ผู้บริโภคที่ต้องการฟังก์ชั่นเฟอร์นิเจอร์ที่มอบความสะดวกสบายและประโยชน์ใช้สอยที่หลากหลายเพิ่มขึ้น ขณะที่ไนท์บริดจ์ คอลลาจ สุขุมวิท 107 นั้น บริษัทจะนำระบบ Smart Home Automation และบริการหลังการขายโดยบริษัท พรีโม พร็อพเพอร์ตี้ โซลูชั่น จำกัด ช่วยยกระดับความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตให้แก่ผู้บริโภค “นอกจากเรื่อง Duo Space ยังปรับเปลี่ยนวิธีการจองมาสู่ระบบออนไลน์ทั้งหมด ให้ผู้บริโภคเข้าถึงโครงการต่างๆ ได้ง่ายขึ้น โดยเปิดให้จองสิทธิ์ถึงวันที่ 7 มี.ค.นี้ และเปิดจองจริงตั้งแต่วันที่ 8 มี.ค.นี้” นายพีระพงศ์ กล่าว ด้านนายอภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายขายและการตลาด บมจ.ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า โครงการไนท์บริดจ์ สเปซ พระราม 9 ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 2 ไร่บนถนนดินแดง ห่างจาก MRTพระราม 9 ราว 350 เมตร ประกอบด้วยอาคารสูง 27 ชั้น 1 อาคาร รวมจำนวน 325 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 2,300 ล้านบาท ภายในโครงการมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ EV Charger, Auto Parking, Craft Café & Working Space, Sky Sunrise Onsen, Sky Yoga & Zumba, Sky Panoramic Social & Fitness Club ทั้งโครงการออกแบบภายใต้แนวคิด Duo Space ทุกห้องพักภายในอาคารมีเพดานสูงถึง 4.2 เมตร เป็นห้องขนาด 1-3 ห้องนอน ตั้งแต่ 23-57 ตร.ม. ราคาเริ่มต้นที่ 4.69 ล้านบาท ขณะที่โครงการไนท์บริดจ์ สเปซ รัชโยธิน ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 2 ไร่ 2 งาน ใกล้แยกรัชโยธิน ห่างจาก BTS พหลโยธิน 24 เพียง 20 เมตร ซึ่งสามารถเดินทางเชื่อมต่อรถไฟฟ้าได้ถึง 3 สาย โครงการประกอบด้วยอาคารสูง33 ชั้น 1 อาคาร รวมจำนวน 488 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 2,700 ล้านบาท นอกจากจุดขาย Duo Space พร้อมเพดานสูง 4.2 เมตรแล้ว ยังมอบ Auto Parking ถึง 70% และส่วนกลางลอยฟ้ากว่า 1,600 ตร.ม. ออกแบบโครงการให้มีพื้นที่ว่างและมีลักษณะเหมือนเป็นอวกาศ ห้องพักมีขนาด 1-2 ห้องนอน 22-61 ตร.ม. ราคาเริ่มต้นที่ 4.59 ล้านบาท สำหรับโครงการไนท์บริดจ์ คอลลาจ สุขุมวิท 107 ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 1 ไร่ 1 งาน ในซอยสุขุมวิท 107 ห่างจาก BTS แบริ่งราว 300 เมตร ประกอบด้วยอาคารสูง 28 ชั้น จำนวน 1 อาคาร รวม 304 ยูนิต มูลค่าโครงการ1,000 ล้านบาท ห้องพักมีขนาด 1-2 ห้องนอน ตั้งแต่ 23-61 ตร.ม. เพดานสูง 2.6 เมตร ราคาเริ่มต้นที่ 2.29 ล้านบาท
เห็นด้วยไหม? คอนโดจะไม่สร้างที่จอดรถ

เห็นด้วยไหม? คอนโดจะไม่สร้างที่จอดรถ

องค์ประกอบของคอนโดมิเนียม 1 โครงการในปัจจุบัน ก็จะต้องมียูนิตพักอาศัย สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง เช่น พื้นที่สีเขียว สระว่ายน้ำ ฟิตเนส โถ่งล็อบบี้ และที่สำคัญคือที่จอดรถซึ่งกลายเป็นปัญหาโลกแตกอยู่เกือบทุกโครงการที่แม้ว่าจะมีความพยายามในการแก้ไขปัญหา แต่ก็ยังไม่ได้ลงตัวไปเสียทั้งหมด งานนี้เลยต้องเรียกร้องไปถึงภาครัฐให้เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหานี้   ก่อนอื่นเราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าปัจจุบันพื้นที่จอดรถนั้นมีความสำคัญกับทุกคนในคอนโด แม้บางยูนิตจะไม่ได้ใช้รถยนต์ส่วนตัวก็ตาม เพราะราคาที่เราจ่ายเงินซื้อคอนโดไปทุกยูนิตรวมถึงค่าส่วนกลางนั้นได้บวกค่าที่จอดรถเข้าไปแล้ว ซึ่งการสร้างที่จอดรถนั้นเจ้าของโครงการจะต้องแบกรับภาระต้นทุน ยิ่งพื้นที่จอดรถมากก็ยิ่งมีต้นทุนสูงตาม อาจส่งผลให้พื้นที่ในโครงการส่วนอื่นๆ ลดลงไปด้วย เพราะที่จอดรถนี้ย่อมไม่มีใครซื้อเป็นของตัวเอง เว้นแต่บางโครงการในระดับหรูที่มีการล็อคที่จอดรถของแต่ละห้องโดยเฉพาะแล้วพ่วงเป็นโฉนดที่จอดรถไปด้วย ซึ่งเจ้าของโฉนดก็ต้องเสียค่าส่วนกลางเพิ่มขึ้นอยู่ดี   ตามกฎกระทรวง ฉบับที่ 7 พ.ศ.2517 ได้กำหนดให้อาคารชุดที่มีพื้นที่แต่ละครอบครัวตั้งแต่ 60 ตารางเมตรขึ้นไป ต้องมีที่จอดรถ ที่กลับรถยนต์ และทางเข้าออกรถยนต์ ซึ่งจำนวนที่จอดรถยนต์จะต้องจัดให้มีตามกำหนด โดยได้แบ่งเป็นในกรุงเทพฯ ต้องจัดให้มีที่จอดรถยนต์ไม่น้อยกว่า 1 คัน ต่อพื้นที่อาคาร 120 ตร.ม. ส่วนต่างจังหวัดให้มีที่จอดรถยนต์ไม่น้อยกว่า 1 คัน ต่อพื้นที่อาคาร 240 ตร.ม. โดยพื้นที่จอดรถยนต์ 1 คัน จะต้องมีพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้างไม่น้อยกว่า 2.50 เมตร ยาวไม่น้อยกว่า 6 เมตร โดยต้องทําเครื่องหมายแสดงลักษณะและขอบเขตของที่จอดรถยนต์ไว้ และต้องจัดให้อยู่ภายในบริเวณของอาคารนั้น ถ้าอยู่ภายนอกอาคารต้องมีทางไปสู่อาคารนั้นไม่ เกิน 200 ม.     ประเด็นอยู่ที่เมื่อไม่นานมานี้ได้เกิดการเรียกร้องจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ให้ยกเลิกกฎหมายนี้เสียใหม่ เพราะมองว่ากฎหมายเขียนขึ้นมานานแล้วก็เริ่มล้าหลังเข้าไปทุกที ไม่เอื้อต่อการพัฒนา แถมยังต้องแบกภาระต้นทุนที่สูงขึ้นไปทุกทีไม่ว่าจะเป็นราคาที่ดิน และเหล่าพรบ. หลายฉบับที่กำลังมีการร่างกันอยู่ก็อาจจะเกิดความซ้ำซ้อนกันเข้าไปอีก ทั้งหมดนี้จะส่งผลให้ราคาขายเฉลี่ยต้องสูงตามไปด้วย เหมือนเป็นการผลักภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้บริโภค ซึ่งพื้นที่จอดรถนี้เองที่ก็เป็นหนึ่งในต้นทุนที่ทางเจ้าของโครงการมองว่าหากตัดออกไปได้ก็จะช่วยให้ภาระต้นทุนนี้ลดลง เพราะในเมื่อทุกวันนี้ก็นิยมพัฒนาโครงการตามแนวรถไฟฟ้าที่เป็นระบบขนส่งสาธารณะหลักของกรุงเทพฯ กันอยู่แล้ว ซึ่งหากตัดที่จอดรถออกไปได้ก็อาจจะทำให้ราคาขายลดลง ประชาชนก็จะหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะมากขึ้น   เมื่อมองกลับมาที่ประชาชนที่อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียมในความเป็นจริงแล้วถึงแม้ว่าจะอยู่โครงการติดรถไฟฟ้าในระยะที่เดินไปขึ้นสถานีได้ไม่ไกล แต่ไม่ว่าจะด้วยพฤติกรรมผู้บริโภค ค่านิยมหรือความจำเป็นต่อการใช้งานอื่นๆ ยุคนี้คนก็ยังนิยมใช้รถยนต์ส่วนตัวอยู่ดี ฉะนั้นทุกวันนี้จึงเกิดปัญหาเรื่องที่จอดรถไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้งานจริง แม้จะมีการอนุญาตให้ 1 ยูนิต มีพื้นที่จอดรถยนต์ได้ 1 คันแล้วก็ตาม บางครั้งที่จอดรถภายในโครงการไม่พอก็ต้องยอมขับออกไปหาที่จอดรถนอกโครงการ ส่งผลกระทบต่อไปอีกถึงประชาชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่เดิมแถวนั้นรวมถึงผู้ที่ใช้รถใช้ถนนตามไปด้วย เมื่อเกิดปัญหาก็ได้มีการเรียกร้องไปยังสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) ให้ออกกฏบังคับเรื่องที่จอดรถต้องมีรองรับสำหรับทุกยูนิต ไม่ใช่มีเพียงแค่ 30-40% ขั้นต่ำตามกฎหมาย   ปัญหานี้จึงถูกแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ระหว่างกลุ่มผู้ประกอบการกับกลุ่มประชาชน ที่ต่างก็มีการเรียกร้องไปยังรัฐบาลให้แก้ไขปัญหากันทั้งสองฝ่าย ซึ่งไม่ว่ากฎหมายจะถูกหยิบขึ้นมาปัดฝุ่นกันอีกครั้งหรือไม่ แล้วหากมีการแก้ไขใหม่จะเป็นไปในทิศทางไหน สุดท้ายใครที่จะได้ประโยชน์เหล่านั้นไป เราต้องคอยติดตามกันต่อไป          
เลือกคอนโดให้ดี ต้องมองที่ดินให้ขาด

เลือกคอนโดให้ดี ต้องมองที่ดินให้ขาด

ที่ดิน คือตัวแปรต้นของอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท ไม่ว่าจะนำที่ดินนั้นมาพัฒนาเป็นอะไรหรือจะซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทไหนก็ตาม เราควรมีความละเอียดรอบคอบในการดูที่ดินนั้นให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาจนได้รับความเสียหายตามมาที่หลัง   ทำเล ถือเป็นโจทย์แรกที่คนมองหาคอนโดมิเนียมตั้งเอาไว้ ซึ่งแต่ละแห่งก็มีปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาแตกต่างกันอยู่พอสมควรทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวกในย่านนั้น ความจำกัดของที่ดิน ลักษณะแปลงที่ดิน ทางเข้า-ออก ทุกสิ่งล้วนมีผลต่อราคาที่ดินแล้วก็ส่งผลต่อไปยังราคาขายของคอนโดมิเนียม โดยการเลือกคอนโดแต่ละครั้งเราย่อมต้องดูทุกรายละเอียดทั้งทำเล แปลนโครงการ แปลนห้อง สิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการ ไปจนถึงวัสดุที่ใช้ก่อนจะตัดสินใจซื้อ แต่สิ่งหนึ่งที่มองข้ามไปไม่ได้เด็ดขาดนั่นคือที่ดินรอบๆ โครงการ   แล้วทำไมเราจะต้องดูที่ดินอื่นรอบโครงการด้วย? ทั้งที่เราดูรายละเอียดตัวคอนโดนั้นอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก่อนอื่นต้องกลับมามองกันก่อนว่าเวลาเราเลือกซื้อคอนโดมิเนียมสักยูนิตก็ย่อมจะมองหาห้องที่อยู่ในตำแหน่งที่เราต้องการ ได้มุมมองสวยๆ จากในห้องของเราเอง เพราะทิศทางห้องที่ไม่เหมือนกันก็หมายถึงราคาที่ต่างกันออกไป         เช่นเดียวกันกับเวลาเราจองโรงแรมที่แบ่งประเภทตามวิวที่ได้จากห้องพัก แต่ถ้าอยู่อาศัยได้สักระยะแล้วที่ดินข้างๆ เกิดโครงการใหม่ประเภทอาคารสูงขึ้นมาก็จะส่งผลให้วิวของห้องเราโดยบล็อคทันที ยิ่งชั้นสูงก็ถูกบังลมไปด้วยทั้งที่ยอมจ่ายแพงกว่าเพื่อให้ได้วิวสวยๆ ลมดีๆ รวมถึงราคาที่อาจตกลงอย่างที่ไม่ควรจะเป็นด้วย   เรื่องของการถูกบล็อควิวนั้นมีกรณีตัวอย่างให้เห็นอยู่หลายโครงการ เช่น คอนโดมิเนียมตัวท็อปใจกลางกรุงเทพฯ ทำเลดีแห่งหนึ่ง การออกแบบหรูหรา ส่วนกลางเพียบพร้อม แม้ที่ดินเดิมจะอยู่ติดกับโรงแรมอยู่แล้วก็ตาม แต่องค์ประกอบดูดีมาก พอสร้างเสร็จไม่ถึงปีที่ดินติดกันอีกข้างที่ยังว่างอยู่กลับเปิดตัวเป็นคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ขึ้นมา กลายเป็นว่าคอนโดมิเนียมตัวท็อปนี้โดนบล็อควิวในระยะประชิดทั้งสองด้าน หรืออีกคอนโดมิเนียมในระดับกลางแห่งหนึ่งใกล้รถไฟฟ้า มียูนิตที่มองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยา แต่ในระยะเวลาไม่ห่างกันมากกลับมีคอนโดมิเนียมที่มีความสูงพอๆ กันขึ้นตรงที่ดินข้างๆ กลายเป็นบล็อควิวแม่น้ำ ซึ่งเป็นหนึ่งในจุดขายไปเรียบร้อย   นอกจากนี้ที่ดินของตัวโครงการเองก็สำคัญไม่น้อย หากโครงการอยู่ในซอยเข้าไปก็ต้องมองด้วยว่าซอยนั้นมีการสัญจรได้สะดวกหรือไม่ ถนนแคบมากเกินไปหรือเปลี่ยวมากไปไหม มีอีกกรณีหนึ่งที่กำลังเป็นปัญหาอยู่นั่นคือการทำที่ดินตาบอดไม่มีทางเข้า-ออก มาพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมแต่ก็มีการแก้ปัญหาด้วยการเจรจาขอใช้พื้นที่เพื่อทำเป็นทางเข้า-ออก ในตอนแรกทุกอย่างดูเรียบร้อย โครงการก็สวย ทำเลก็ยิ่งดี  แต่เมื่อถึงช่วงใกล้โอนกรรมสิทธิ์กลับเกิดการทักท้วงเกิดขึ้นว่าพื้นที่ทางเข้า-ออก โครงการนั้นยังไม่ได้มีการขออนุญาตอย่างเป็นทางการ  ทำให้ตอนนี้กลายเป็นเรื่องวุ่นวาย และดูเหมือนเรื่องจะใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ   สิ่งเหล่านี้คือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ซึ่งคนที่เจอกับตัวต่างก็ต้องทำใจหาวิธีแก้ไขกันเอาเอง ฉะนั้นเรื่องของที่ดินรอบข้างก็สำคัญไม่น้อย พยายามมองให้ขาดว่าที่ดินรอบๆ แปลงไหนมีลักษณะที่สามารถพัฒนาโครงการขึ้นได้หรือไม่ ประกอบกับการติดตามข่าวสารดูว่าผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ค่ายไหนมีที่ดินแปลงไหนอยู่ในมือแล้วแนวโน้มจะนำมาพัฒนาโครงการบ้าง ทั้งหมดก็เพื่อประโยชน์ของตัวเองต่อไปในอนาคต  
EEC มีดีอะไร ทำไมถึงแห่ลงทุนกันนัก

EEC มีดีอะไร ทำไมถึงแห่ลงทุนกันนัก

ตั้งแต่มีประกาศนโยบาย EEC เกิดขึ้น ทุกคนคงจะได้ยินข่าวคราวเรื่องนี้กันมาตลอด เพราะหลายภาคส่วนต่างก็หวังไว้ว่าโครงการนี้จะเป็นกลไลสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้กลับมารุ่งโรจน์ได้ ซึ่งทุกวันนี้ก็มีความคืบหน้าเกิดขึ้นมากทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกฎหมายหรือโครงการต่างๆ ที่พยายามเร่งกันอย่างเต็มกำลัง เพื่อเป็นแรงจูงใจดึงดูดการเข้ามาลงทุน ครั้งนี้เรามาดูกันว่าโครงการ EEC คืบหน้าไปถึงไหนกันแล้ว แล้วทำไมถึงได้มีเหล่านักลงทุ่มทุนสร้างกันหลายโครงการ   อย่างที่เคยอธิบายกันไปแล้วเกี่ยวกับ EEC ในบทความ "ทำความรู้จักกับโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)" ทุกวันนี้เราจะเห็นว่าเหล่านักลงทุนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศต่างก็ให้ความสำคัญอย่างมากต่อโครงการนี้ ดังจะเห็นได้จากโครงการต่างๆ ที่เริ่มมีการกางแผนออกมาบ้างแล้วภายในเขตพื้นที่ของ EEC ทั้งในส่วนของภาคอุตสาหกรรม และภาคส่วนอสังหาริมทรัพย์เอง เราก็เริ่มได้เห็นหลายๆ โครงการเกิดขึ้นพร้อมความหวังในการสร้างรายได้ให้เติบโตตามไปด้วยกับโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออกนี้ โดยโครงการในภาคอุตสาหกรรมที่เริ่มมีการเข้าซื้อที่ดินแล้วเรียบร้อยแล้ว เช่น บริษัท จินป่าว พรีซิชั่น อินดัสทรี่ จำกัด เป็นบริษัทอุตสาหกรรมอะลูมิเนียมสัญชาติไต้หวันที่มาตั้งฐานการผลิตในประเทศไทยตั้งแต่ปี 1998 มีการซื้อที่ดินขนาด 54 ไร่ ที่นิคมอุตสาหกรรมเหมราชอีสเทิร์นซีบอร์ด 2 จ.ชลบุรี เพื่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนอากาศยาน,นักธุรกิจรัสเซียหลายรายสนใจเข้ามาดูทิศทางการลงทุนในเขตอีอีซี เช่น พลังงานนิวเคลียร์ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ การบริหารท่าเรือ สนามบิน เทคโนโลยีสร้างสรรค์ ยานยนต์เพื่อการก่อสร้าง เทคโนโลยีชีวิภาพ เทคโนโลยีสื่อสาร ฯลฯ โดยจะเข้ามาเยี่ยมชมด้วยตนเองเร็วๆ นี้   ส่วนในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีการเปิดตัวลงแแข่งขันกันในสนามนี้ แม้ว่าราคาที่ดินจะพุ่งสูงขึ้นถึง 50% ก็ตาม เช่น  เอสซี แอสเสท ปีนี้เตรียมพัฒนาโครงการใน จ.ฉะเชิงเทรา, เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ มีการเจรจาซื้อที่ดินเพิ่ม แต่ก็มีแผนจะพัฒนาโครงการในที่ดินที่มีอยู่แล้วใน จ.ระยอง กับจ.ชลบุรี, ออริจิ้น หลังจากมีโครงการคอนโดมิเนียมกับมิกซ์ยูสที่ศรีราชาไปแล้ว ก็เตรียมจะพัฒนามิกซ์ยูสที่จ.ระยอง 2 ทำเล, พฤกษา ปีนี้มีแผนเปิดตัวโครงการแนวราบถึง 8 โครงการ แบ่งเป็นจ.ชลบุรี 3 โครงการ จ.ระยอง 3 โครงการ และจ.ฉะเชิงเทรา 2 โครงการ, แสนสิริ มีแผนพัฒนาโครงการในพัทยา เป็นต้น   จะเห็นได้ว่ายิ่งโครงการนี้เป็นรูปธรรมขึ้นมากเท่าไรก็ยิ่งได้รับความสนในการลงทุนมากขึ้นเท่านั้น ตั้งแต่รัฐบาลได้ตั้งคณะกรรมการอีอีซี มาจนถึงปัจจุบันที่มีการร่างพรบ. กันเสร็จเรียบร้อยแล้วทุกมาตรา สภานิติบัญญัติแห่งชาติก็มีมติเป็นเอกฉันท์ที่จะให้ประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป โดยมีมาตรการสำคัญที่ส่งเสริมชวนให้นักลงทุนหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสายซึ่งบางอย่างมีผลบังคับใช้แล้ว ซึ่งพื้นที่ทั้งหมด 3 จังหวัดจะถูกแบ่งประมาณ 10 โซน แต่ละโซนก็จะได้รับสิทธิพิเศษที่แตกต่างกันไป แต่ละ เช่น ขยายพื้นที่เพื่อรองรับอุตสาหกรรมใหม่จากเดิม 12,000 ไร่ เพิ่มอีก 26,366 ไร่ ซึ่งรวมทั้งหมด, เขตเมืองการบินภาคตะวันออกจะได้รับการยกเว้นภาษี 8 ปี และลดหย่อนภาษีนิติบุคคล 50% เพิ่มอีก 5 ปี, เขตส่งเสริมเพื่อกิจการอุตสาหกรรมเป้าหมาย เขตอุตสาหกรรมในพื้นที่ EEC พื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ได้ลดหย่อนภาษีนิติบุคคล 50% เพิ่มอีก 5 ปี, สิทธิการทำงานของแรงงานต่างด้าวในพื้นที่ 3 จังหวัดโดยไม่ต้องขออนุญาตครอบคลุมไปถึงครอบครัวที่ติดตามมาอาศัยอยู่ด้วย, สิทธิคนต่างชาติถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดิน, สิทธิการซื้ออาคารชุดของต่างชาติได้แต่ละโครงการได้ 100% เต็ม เป็นต้น     สิ่งหนึ่งที่เป็นตัวสำคัญอย่างยิ่งในการผลักดันให้โครงการ EEC ประสบความสำเร็จได้นั่นคือโครงสร้างพื้นฐานทางการคมนาคม เพราะหากการคมนาคมขนส่งเป็นไปได้อย่างสะดวกสบายก็จะช่วยรองรับเรื่อง Logistics หนึ่งในหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรม โดยทางรัฐบาลได้มีการเดินหน้าเรื่องคมนาคมทั้งทางเรือที่จะมีการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกหลัก คือ มาบตาพุดเฟส 3 โครงการท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 โครงการท่าเรือสัตหีบ ส่วนทางอากาศ คือ สนามบินอู่ตะเภาที่ทางรัฐได้ตั้งเป้าหมายให้เป็นสนามบินหลักแห่งที่ 3 ต่อจากดอนเมืองกับสุวรรณภูมิ และทางบกระบบรางในโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อ 3 สนามบิน ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา และต่อไปถึง จ.ระยอง โดยจะเชื่อมจากแนว Airport Rail Link ในปัจจุบัน ซึ่งล่าสุดโปรเจคยักษ์ใหญ่นี้กำลังจะไม่ได้หยุดอยู่แค่ใน 3 จังหวัดภาคตะวันออกอีกต่อไป แต่ล่าสุดได้มีนโยบายเร่งศึกษาแผนพัฒนาเส้นทางรถไฟเชื่อมต่อหลากหลายเส้นทางทั่วประเทศ โดยเฉพาะรถไฟทางคู่เส้นทางแหลมฉบัง-มาบตาพุด-ระยอง-จันทบุรี-ตราด, โครงการรถไฟศรีราชา-ระยอง รวมถึงการเชื่อมต่อโซนอีอีซีไปจนถึงทวาย-กัมพูชา ซึ่งหากโครงการรถไฟนี้เสร็จสมบูรณ์ก็จะยิ่งส่งให้ EEC มีความสมบรูณ์มากขึ้น เพราะหากการคมนาคมขนส่งเป็นไปได้อย่างสะดวกสบายก็จะเป็นปัจจัยสำคัญทั้งทางด้านธุรกิจต่างๆ และการท่องเที่ยวที่จะสามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้หลากหลายกลุ่มมากขึ้น ประชาชนในพื้นที่มีรายได้จากการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น สุดท้ายสิ่งเหล่านี้จะทำให้พื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออกเป็นหนึ่งในศูนย์กลางทางเศรษฐกิจที่น่าอยู่ระดับภูมิภาคเอเชียอย่างที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้   ณ วันนี้เราสามารถพูดกันได้อย่างเต็มปากว่า EEC คือความหวังใหม่ในการพลิกฟื้นคืนชีพของเศรษฐกิจประเทศไทยให้กลับมาเป็นแหล่งลงทุนที่ทั่วโลกต่างให้ความสนใจกันอีกครั้ง แม้โครงการนี้จะยังคงไม่สมบูรณ์ 100% แต่เชื่อว่าหากเริ่มมีการประกาศพระราชชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกอย่างเป็นทางการซึ่งคาดว่าจะประกาศภายในปีนี้ก็จะยิ่งทำให้มีเงินเม็ดเงินเข้ามาลงทุนมหาศาลตามที่คาดการณ์กันเอาไว้ถึงหลักแสนล้านบาท ส่งผลถึงการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เองที่ก็มีความเชื่อมั่นในโครงการนี้อยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อมีอุตสาหกรรมเพิ่มมากขึ้นก็จะมีความต้องการแรงงานเพิ่มขึ้น คนทำงานทั้งที่เป็นคนไทยและต่างชาติย่อมเข้ามาอยู่อาศัยเพิ่มขึ้น ความต้องการที่อยู่อาศัยก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว จากนี้ต้องคอยจับตามองตลาดนี้กันเอาไว้ให้ดีว่าจะมีอะไรน่าสนใจตามที่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายค่ายโปรยเอาไว้บ้าง
LPN กางโรดแมปธุรกิจโตต่อเนื่อง 3 ปี ปลดล็อคกับดักสู่ YEAR OF SHIFT

LPN กางโรดแมปธุรกิจโตต่อเนื่อง 3 ปี ปลดล็อคกับดักสู่ YEAR OF SHIFT

เครือ LPN ประกาศแผนธุรกิจรับเป้าหมายเติบโตต่อเนื่อง 3 ปี พร้อมกำหนดให้ปี 2561 เป็นปี “Year of Change : ปีแห่งการเปลี่ยนแปลง” ผ่าน 2 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ กลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และกลุ่มธุรกิจให้บริการ เดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งแนวสูงและแนวราบรวม 14 โครงการ รวมมูลค่า 18,000 ล้านบาท มั่นใจปี 2561 ผลประกอบการฟื้นตัวด้วยยอดขาย 20,000 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากการขายรวมตั้งเป้าที่ 12,000 ล้านบาท นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) (LPN)  เปิดเผยว่า ในปี 2560 เป็นปีแรกที่ LPN และบริษัทในเครือได้จัดทัพธุรกิจครั้งใหญ่ก้าวสู่ “บริบทใหม่แห่งความยั่งยืน” ด้วยการแบ่งกลุ่ม 2 ธุรกิจ กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ (Developer) และบริการ (Service Provider) และได้กำหนดให้เป็น “ปีแห่งการปรับเปลี่ยน” หรือ “YEAR OF SHIFT” ได้ปรับกลุ่มเป้าหมายจากกลางถึงกลาง-ล่างเป็นกลางถึงกลาง-บน พร้อมกับกำหนดเป้าหมายและกลยุทธ์ระยะสั้นเพื่อระบายสินค้าพร้อมอยู่ (Inventory) โดยบริษัทได้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว คือ ในปี 2560 บริษัทสามารถระบายสินค้าพร้อมอยู่ (Inventory) ได้ประมาณ 7,000 ล้านบาท หรือประมาณ 50 % ของมูลค่าสินค้าพร้อมอยู่ทั้งหมด ทั้งนี้ ในปี 2560 บริษัทและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิ 1,062 ล้านบาท ขณะที่ผลประกอบการด้านรายได้นั้น ยังคงมาจากกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เป็นหลัก ที่ดำเนินงานผ่าน 2 บริษัทคือ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) และบริษัท พรสันติ จำกัด (PST) ซึ่งหลังจากที่ LPN ได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ด้วยการเน้นกลุ่มเป้าหมายจากกลางถึงกลาง-ล่าง เป็นกลางถึงกลาง-บน และได้ทยอยเปิดตัวโครงการในกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวตลอดปี 2560 ทั้งสิ้น 10 โครงการ มูลค่าการขายรวมประมาณ 14,000 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมียอดขายจาก 8,700 ล้าน ในปี 2559 เป็นประมาณ 16,000 ล้านบาท ในปี 2560 ซึ่งเพิ่มขึ้นประมาณ 90% หรือเกือบเท่าตัว ส่วนรายได้นั้นอยู่ที่ 9,655  ล้านบาท นายจรัญ เกษร กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรสันติ จำกัด ส่วนบริษัท พรสันติ จำกัด (PST) นั้นผลประกอบการมีรายได้มาเติมเต็มรายได้จากการพัฒนาอาคารชุดเพื่อขายได้ในเกณฑ์ที่ดี โดยในปีที่ผ่านมา พรสันติได้เปิดตัวโครงการใหม่ รวม 5 โครงการ มูลค่าการขายรวม  2,450 ล้านบาท สามารถทำยอดขายได้1,750 ล้านบาท และมีรายได้จากการขาย 1,000 ล้านบาท เติบโต 27% และ 18% (ตามลำดับ)  เมื่อเทียบกับปี 2559 ขณะที่กลุ่มธุรกิจบริการ ที่ดำเนินธุรกิจผ่าน 3 บริษัท ดังนี้ บริษัท ลุมพินี พร็อพเพอร์ตี้ เซอร์วิส แอนด์ แคร์ จำกัด (LPC), บริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) และ บริษัท ลุมพินี โปรเจค มาเนจเมนท์ เซอร์วิส จำกัด (LPS) ได้รับความเชื่อมั่นและเริ่มให้บริการสู่องค์กรภายนอกหลายแห่ง รายได้เติบโต 10% คิดเป็นมูลค่ารวม 970 ล้านบาท ผลจากการปรับเปลี่ยนในปีที่ผ่านมาทำให้เห็นภาพการฟื้นตัวที่เด่นชัดในปี 2561 ที่กำหนดเป็นปี “Year of Change : ปีแห่งการเปลี่ยนแปลง” ซึ่งจะเห็นการเปลี่ยนแปลงในหลายๆ ด้าน ทั้งกลยุทธ์การเพิ่มรายได้ที่เน้นขยายฐานรายได้จากธุรกิจหลักธุรกิจเกี่ยวเนื่อง และการเพิ่มทุนในธุรกิจเกี่ยวเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างคณะกรรมการ เปลี่ยนแปลงคณะผู้บริหารที่ดึงคนนอกเข้ามาเสริมทีมให้มีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น รวมถึงการพัฒนาบุคลากร การพัฒนาระบบ IT เพื่อรองรับธุรกิจที่เปลี่ยนแปลง และ การปรับภาพลักษณ์แบรนด์ (Rebranding) เพื่อรองรับแผนการเติบโตของ LPN และบริษัทในเครือในช่วง 3 ปี (ปี2561-2563)  ผ่าน  2 กลุ่มธุรกิจหลักคือ พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และกลุ่มธุรกิจบริการ โดยวางเป้าหมายการเติบโตของรายได้จากกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 35 - 40% และรายได้จากกลุ่มธุรกิจบริการเติบโตยู่ที่ 20% นางสาวสมศรี เตชะไกรศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด ในปี 2561 บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวมอยู่ที่ 20,000 ล้านบาท แบ่งเป็นประเภทอาคารชุดพักอาศัย 17,000 ล้านบาท และประเภทบ้าน  3,000  ล้านบาท ขณะที่เป้ารายได้จากการขายอยู่ที่ 12,000  ล้านบาท แบ่งเป็นอาคารชุดพักอาศัย 10,500 ล้านบาท และ   ประเภทบ้าน 1,500 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังกำหนดเป้าหมายจากการเปิดตัวโครงการใหม่ไว้ที่ 18,000 ล้านบาท แบ่งเป็นอาคารชุดพักอาศัย 15,000 ล้านบาท และประเภทบ้าน 3,000 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม บริษัทยังมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ในปี 2561 ในมืออยู่ประมาณ 5,900 ล้านบาท คิดเป็น 50 % ของเป้ารายได้รวม ณ สิ้นปี 2560 มียอดแบล็กล็อก รวมมูลค่า 7,400 ล้านบาท ขณะที่บริษัท พรสันติ จำกัด นั้นในปี 2561 เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 1 โครงการ รวมมูลค่าการขายประมาณ 850 ล้านบาท และได้ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 2,000 ล้านบาท ส่วนเป้าหมายรายได้อยู่ที่ 1,500 ล้านบาท พร้อมกันนี้นายโอภาส ยังได้กล่าวในตอนท้ายว่า บริษัทเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในปี 2561 นี้ จะเป็นแนวทางสู่การเติบโตที่ยั่งยืนของบริษัทต่อไปในอนาคต สำหรับการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์ของแบรนด์ LPN ได้ว่าจ้างบริษัทที่มีความเป็นมืออาชีพที่มีประสบการณ์และชื่อเสียงอย่างยาวนานในวงการ ซึ่งคาดว่าจะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนของบริษัทได้ในครึ่งปีหลังของปี 2561 นี้
ราคาบ้าน-คอนโดฯ ในกรุงเทพฯ โตไม่หยุด กราฟ 3 ปี พุ่งทะลุ 100 เปอร์เซ็นต์

ราคาบ้าน-คอนโดฯ ในกรุงเทพฯ โตไม่หยุด กราฟ 3 ปี พุ่งทะลุ 100 เปอร์เซ็นต์

รายงานดัชนีที่อยู่อาศัย ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ พร็อพเพอร์ตี้ อินเด็กซ์ (DDproperty Property Index) ฉบับล่าสุดเผย แนวโน้มดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ยังคงเป็นบวก สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ปรับตัวดีขึ้น ชี้แม้อุปทานในตลาดจะถูกดูดซับช้า แต่ยังคงไร้สัญญาณโอเวอร์ซัพพลาย แม้แนวโน้มของราคาจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ต้นปี 2560 แต่อัตราการเติบโตเมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาสแล้วถือว่าเป็นไปอย่างช้าๆ เนื่องจากผู้ประกอบการชะลอการเปิดตัว รวมไปถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในช่วงไว้ทุกข์และพระราชพิธีสำคัญ ทั้งนี้ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี (4Q60) ดัชนีราคาปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก 199 จุดในช่วงไตรมาสก่อนมาอยู่ที่ 205 จุด คิดเป็นสัดส่วนการเติบโตระหว่างไตรมาส (Q-o-Q) ราวร้อยละ 3 “แม้ว่าการอัตราการเติบโตของดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 60 จะอยู่ในระดับที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่ยังถือเป็นภาพรวมที่ดีของตลาดที่อยู่อาศัยกรุงเทพฯ ที่กำลังค่อยๆ ฟื้นตัว ในขณะที่กำลังซื้อของผู้บริโภคในเซ็กเมนต์ระดับกลางไปจนถึงระดับบนมีการปรับตัวดีขึ้น” คุณกมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทย ของ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เว็บไซต์สื่อกลางซื้อ-ขายอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทยในเครือพร็อพเพอร์ตี้กูรูกรุ๊ป กล่าว ราคาบ้านในกรุงเทพฯ 3 ปีโตขึ้นกว่า 100 เปอร์เซ็นต์  อย่างไรก็ดี ถ้ามองย้อนกลับไปตั้งแต่ช่วงที่เริ่มทำการเก็บข้อมูลในปี 2558 พบว่าการเติบโตของราคาที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ สูงขึ้นถึงร้อยละ 105 ถือเป็นอัตราการเติบโตที่น่าจับตา โดยเฉพาะราคา(ต่อตารางเมตร) ของคอนโดมิเนียม ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังได้รับความนิยมในปัจจุบันเมื่อเทียบกับที่อยู่อาศัยแนวราบอย่างบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ โดยในช่วงไตรมาส 4 ปี 60 ดัชนีราคาคอนโดฯ ขึ้นไปแตะที่ระดับ 154 จุด เพิ่มขึ้นจากช่วงต้นปีถึงร้อยละ 54 อย่างไรก็ดีที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮ้าส์มีการเติบโตด้านราคาสูงที่สุดในช่วงไตรมาส 4 ปี 60 โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ปี 60 ร้อยละ 7 และเพิ่มขึ้นราวร้อยละ 14 ในช่วง 1 ปี เมื่อดูแนวโน้มราคาตามเซ็กเมนต์ต่างๆ พบว่าดัชนีของที่อยู่อาศัยราคา 15 ล้านบาทขึ้นไป มีการเติบโตสูงสุด โดยเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าราวร้อยละ 12 และเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 39 ภายในระยะเวลา 2 ปี เขตจตุจักร ยังคงเป็นพื้นที่ที่ราคามีการเติบโตสูงสุด โดยเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ปี 60 ร้อยละ 5 ส่วนเขตบางนาแซงเขตพระโขนงขึ้นมาอยู่ที่อันดับ 2 ด้วยอัตราการเติบโตในรอบไตรมาสราวร้อยละ 3 ทั้งนี้ในระยะยาว เขตบางนานับเป็นพื้นที่ที่น่าจับตามอง เนื่องจากดัชนีราคาชี้ให้เห็นว่ามีการเติบโตเพิ่มสูงถึงร้อยละ 75 ในช่วงระยะเวลาไม่ถึง 3 ปี “โดยภาพรวมราคาที่อยู่อาศัยจะยังคงมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อไปจากปัจจัยบวกที่ช่วยให้เกิดพื้นที่ศักยภาพเหมาะกับการพัฒนา รวมไปถึงการอยู่อาศัยมากขึ้น อาทิ โครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายหลายสายที่มีความคืบหน้า  รวมไปถึงการลงทุนแผนพัฒนาระบบคมนาคมขนส่งของไทยระยะ 20 ปี (2560-2579) ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยบนทำเลใหม่ๆ ทั้งในกรุงเทพฯ และตามหัวเมืองสำคัญๆ มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (EEC)” คุณกมลภัทรกล่าวเสริม อุปทานแนวสูงยังคงโตแรงแซงแนวราบ  ในฝั่งของอุปทาน แม้ตุลาคมจะเป็นเดือนที่แทบจะไม่มีการเปิดตัวโครงการใหม่หรือกิจกรรมส่งเสริมการขายใดๆ แต่ช่วง 2 เดือนสุดท้ายของไตรมาส 4 ปี 60 กำลังซื้อก็กลับมาอย่างรวดเร็ว โดนในช่วงไตรมาส 4 ปี 60 ดัชนีอุปทานที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ปรับตัวลดลงร้อยละ 7 มาอยู่ที่ 240 จุด ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ผู้ประกอบการพากันแข่งออกแคมเปญและโปรโมชั่นส่งเสริมการขายมาเป็นจำนวนมาก เพื่อเร่งยอดขายในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนั่นเอง เมื่อพิจารณาถึงประเภทของที่อยู่อาศัย อุปทานที่มีอยู่ในตลาดส่วนใหญ่คือคอนโดมิเนียม คิดเป็นร้อยละ 88 ของอุปทานทั้งหมดในช่วงไตรมาส 4 ปี 60 ในขณะที่บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์มีสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อย เนื่องจากที่อยู่อาศัยแนวราบส่วนใหญ่ ผู้ซื้อมักจะซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง ต่างกับคอนโดฯที่ผู้ซื้อจำนวนมากซื้อมาเพื่อขายต่อหรือลงทุน ทำให้การดูดซับของอุปทานของคอนโดฯ ค่อนข้างเร็ว ในขณะที่ผู้ประกอบการก็เปิดตัวโครงการใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง สำหรับทำเลที่มีอุปทานคอนโดฯ มากที่สุดในช่วงไตรมาส 4 ปี 60 ได้แก่ เขตวัฒนา ในขณะที่เขตลาดพร้าวมีปริมาณทาวน์เฮ้าส์เข้าสู่ตลาดมากที่สุด ส่วนเขตคลองสามวาเป็นโซนยอดนิยมสำหรับบ้านเดี่ยว คาดอุปทานปี 61 โตเพิ่มแต่ไม่มีสัญญาณโอเวอร์ซัพพลาย ทั้งนี้เป็นที่คาดว่าดัชนีอุปทานที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ มีแนวโน้มที่จะเพิ่มสูงขึ้นในปี 2561 จากการที่ผู้ประกอบการทั้งรายเล็ก-รายใหญ่ส่งสัญญาณว่าจะเปิดโครงการใหม่ๆ เป็นจำนวนมาก ในขณะที่ตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ นั้นคาดว่าจะยังคงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง แต่อาจจะไม่หวือหวานักเพราะกำลังซื้อยังค่อนข้างจำกัดจากปัญหาหนี้ครัวเรือนที่แม้จะเริ่มคลี่คลายลง แต่ก็ยังอยู่ในระดับที่ถือว่าสูง “แม้การดูดซับอุปทานในตลาดจะเป็นไปแบบช้าๆ ในขณะที่ผู้ประกอบการเองก็มีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่ๆ ออกมาอย่างคึกคักในปี 2561 แต่เราเชื่อว่าไม่น่าจะมีภาวะโอเวอร์ซัพพลาย หรือสินค้าล้นตลาดเกิดขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่างเฝ้าสังเกตการณ์สถานการณ์อย่างใกล้ชิด ผู้ขายจะยังคงได้รับอานิสงส์ที่ดีจากราคาที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ โดยดัชนีราคามีการเติบโตมากกว่าร้อยละ 100 ในช่วงเวลาไม่ถึง 3 ปี อย่างไรก็ดี ทางฝั่งผู้ซื้อเองก็ยังคงได้รับประโยชน์จากอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงต่ำ และจากโปรโมชั่นและข้อเสนอพิเศษต่างๆ จากผู้ประกอบการที่ต้องการเร่งระบายสินค้าในสต็อกและเปิดโครงการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง” คุณกมลภัทรกล่าวสรุป
“Life ลาดพร้าว 2017” คอนโดสไตล์ใหม่รับเทรนด์ Digital Life พร้อมกับชีวิตแบบ PLATFORM OF SUCCESS เพราะที่นี่ทุก Space คือความสำเร็จ

“Life ลาดพร้าว 2017” คอนโดสไตล์ใหม่รับเทรนด์ Digital Life พร้อมกับชีวิตแบบ PLATFORM OF SUCCESS เพราะที่นี่ทุก Space คือความสำเร็จ

บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมือง ย้ำวิสัยทัศน์การพัฒนานวัตกรรมดิจิตอลเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีแห่งอนาคต รุกตลาดคอนโดตอบจริตคนรุ่นใหม่ ชูจุดขาย ‘Platform of Success’ เปิดตัวโครงการแฟลกชิพ LIFE สุขุมวิท 62 โครงการร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่น มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป (MECG) บนถนนสุขุมวิท ที่สามารถเชื่อมต่อได้ทุกการเดินทาง โดยการนำนวัตกรรมดีไซน์เข้ามายกระดับการใช้ชีวิตผ่านแนวคิดการออกแบบพื้นที่ชีวิตแห่งอนาคต รุกตลาดไตรมาสแรก เอพีสร้างประวัติศาสตร์ด้วยการเป็นอสังหาฯ รายแรก ที่เปิดขายคอนโดมิเนียมบนแพลทฟอร์มออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบ ผ่านการใช้ AP i-Booking ระบบจองคอนโดบนแพลทฟอร์มออนไลน์ที่มอบประสบการณ์พิเศษกับลูกค้าเสมือนการเข้ามาชมห้องตัวอย่างจริง ที่โครงการ เพื่อให้สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ด้วยความมั่นใจในศักยภาพโครงการ ที่ตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุด เพิ่มทางเลือกในการเดินทางเชื่อมต่อได้หลากหลาย ผสานนวัตกรรมดีไซน์ที่จะเข้ามายกระดับคุณภาพชีวิตระยะยาว และการปรับวิธีการขายรูปแบบใหม่ ที่เข้าถึงผู้บริโภคโดยตรงผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยมั่นใจว่า LIFE สุขุมวิท 62 จะได้รับการตอบรับที่ดีจากดีมานด์กลุ่มลูกค้าคนเมืองที่มองหาคอนโดมิเนียมใหม่บนทำเลสุขุมวิทในราคาที่จับต้องได้ โดยจะเปิดจองโครงการ LIFE สุขุมวิท 62 ราคาเริ่มต้น 120,000 บาท/ตร.ม. อย่างเป็นทางการผ่าน AP i-Booking ในวันที่ 27 มีนาคมนี้ เวลา 19.00 – 21.00 น. นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด(มหาชน)  เปิดเผยว่า เอพี ไทยแลนด์ พร้อมเปิดขาย LIFE สุขุมวิท 62 คอนโดร่วมทุนฯ โครงการแรกของไตรมาสนี้ ซึ่งจะเป็นโครงการต้นแบบที่เอพีเปลี่ยนแพลตฟอร์มการขายจากออฟไลน์สู่การจองผ่านระบบออนไลน์เต็มรูปแบบ เป็นการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้กับวงการอสังหาฯไทย ด้วยการอำนวยความสะดวก ความมั่นใจในความปลอดภัยให้เกิดขึ้นกับการทำธุรกรรมสินค้าอสังหาฯ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีมูลค่าสูงผ่านระบบออนไลน์ โดยเอพีได้ร่วมมือกับธนาคารพันธมิตรชั้นนำ เพื่ออำนวยความสะดวกและความมั่นใจในการเข้าถึงการจองคอนโด LIFE สุขุมวิท 62 ได้อย่างไม่มีข้อจำกัด ตอบรับพฤติกรรมลูกค้าคนเมืองรุ่นใหม่ ที่เปิดรับให้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการ ใช้ชีวิตให้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งเราเชื่อว่าการยกระดับแพลตฟอร์มการขายผ่านระบบออนไลน์อย่างเต็มรูปแบบในครั้งนี้ จะเป็นหนึ่งในอาวุธสำคัญสู่ความสำเร็จทำให้สามารถปิดการขาย LIFE สุขุมวิท 62 ได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว นอกจากนี้ LIFE สุขุมวิท 62 ยังสร้างความต่างด้วยการเลือกสรรทำเลศักยภาพ และมุ่งพัฒนานวัตกรรมดิจิตอลเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี ด้วยทำเลที่ตั้งที่สามารถเชื่อมต่อได้อย่างหลากหลาย เพียง 200 เมตรถึงสถานีรถไฟฟ้า ‘บางจาก’ และ 500 เมตรจากทางด่วน ทำให้โครงการ LIFE  สุขุมวิท 62 มีความได้เปรียบในเชิงมูลค่าและทางเลือกที่มากขึ้น และนวัตกรรมดิจิตอลที่ผสานเข้าไปในการออกแบบพื้นที่ส่วนกลาง พร้อมวางระบบ Wifi ทั่วทั้งโครงการ ด้วยการออกแบบภายใต้แนวคิด การออกแบบพื้นที่ชีวิตแห่งอนาคต เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนเมืองขึ้นไปอีกขั้น Digital Co-working Space พร้อมติดตั้ง Cocoon Space ดีไซน์พิเศษให้เป็น Private Space แม้จะอยู่ในพื้นที่ส่วนกลาง ก็สามารถนั่งทำงานได้โดยไม่ถูกรบกวน พร้อมเพิ่มพื้นที่ชีวิตให้ออกแบบการพักผ่อนตามไลฟ์สไตล์ได้อย่างไม่จำกัด โดดเด่นด้วยการผสานพื้นที่สีเขียวทั่วทั้งโครงการ เช่น Interlock Landscape ดึงพื้นที่สีเขียวของธรรมชาติเข้าสู่ภายในล๊อบบี้ พร้อมการจัดวางที่นั่งและทางเดินในมุมที่ร่มรื่น เพื่อความสวยงามและความเป็นส่วนตัวสูงสุดเสมือนนั่งทำงานท่ามกลาง ธรรมชาติ พร้อมตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์คนเมืองรุ่นใหม่ด้วย Ultimate Rooftop Facilities เช่น Aquascape สระว่ายน้ำแบบเอ็กซ์คลูซีฟที่สามารถเปิดรับวิวสุขุมวิท และวิวโค้งน้ำบางกระเจ้าได้สุดสายตา รวมถึงยังมี Sky Fitness ห้องฟิตเนส มุมกว้างเพื่อการใช้ชีวิตแบบแอคทีฟพร้อมความเป็นส่วนตัวไปด้วยกัน “ในส่วนของกระบวนการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของกลุ่มคนรุ่นใหม่ (Young Generations) ที่เปลี่ยนไป มักหาข้อมูลอย่างรอบด้านและการบริโภคข่าวสารผ่านเครื่องมือที่เข้าถึงง่าย และเพียงพอต่อการตัดสินใจเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะเข้าเยี่ยมชมโครงการเป็นขั้นตอนสุดท้าย จากการสำรวจสถิติการเข้าถึงข้อมูลผ่านเว็บไซต์ APTHAI.COM พบผู้เข้าใช้งานเว็บไซต์จาก 2.5 แสนคนในปี 2557 เพิ่มขึ้นเป็น 5.9 ล้านคนในปี 2560 และกว่า 70% ของลูกค้ากลุ่มนี้อยู่ในช่วงอายุ 25-44 ปี อีกทั้ง ความสำเร็จจากการเปิดจองรอบพิเศษ AP i-Booking กับ 2 คอนโดในปีที่ผ่านมา ได้แก่ LIFE One Wireless และ LIFE อโศก - พระราม 9 ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ด้วยจำนวนลูกค้าที่ให้ความสนใจจองในรอบออนไลน์สูงกว่าจำนวนยูนิตที่เปิดขายกว่า 9 เท่า และความเร็วสูงสุดในการจองห้องชุดผ่าน AP i-Booking เพียง 1.21 นาทีเท่านั้น เป็นตัวการันตีพฤติกรรมและความคุ้นชินกับเทคโนโลยีของลูกค้ากลุ่มนี้ ทำให้เรามั่นใจเป็นอย่างมากกับการปรับวิธีการเปิดขายจากออฟไลน์สู่ระบบ AP i-Booking อย่างเต็มรูปแบบ จะตอบโจทย์และสร้างบรรทัดฐานใหม่ให้เกิดขึ้นในวงการคอนโดไทยอย่างแน่นอน” นายวิทการกล่าว ภาพตลาดคอนโดแนวรถไฟฟ้าบนถนนสุขุมวิท สามารถแบ่งออกเป็น 3 ช่วงหลัก ได้แก่ 1) สุขุมวิทตอนต้น (สถานีนานา-เอกมัย) พบคอนโดระดับราคาขาย 290,000-400,000 บาท/ตร.ม ทำเลใจกลางเมือง ศูนย์รวมย่านธุรกิจชั้นนำ โดยพบสินค้ากลุ่มลักชัวรี่เป็นส่วนใหญ่ 2) สุขุมวิทตอนกลาง (สถานีพระโขนง-นานา) พบคอนโดระดับราคา 100,000-250,000 บาท/ตร.ม. ทำเลศักยภาพแวดล้อมด้วยการเติบโตของซิตี้เทรนด์ อีกทั้งยังได้รับผลกระทบจากการขยายออกของศูนย์กลางย่านธุรกิจอย่างสุขุมวิทตอนต้นได้ชัดเจน ซึ่งเป็นปัจจัยดันให้เกิดดีมานด์ในย่านอย่างต่อเนื่อง โดยความท้าทายของผู้ประกอบการ คือ กลยุทธ์ในการเลือกที่ดิน และการบริหารแพ็คเกจราคา ที่จะสามารถตอบดีมานด์ได้ เอพีเล็งเห็นช่องว่างในการพัฒนาคอนโดเพื่อตอบโจทย์ดีมานด์กลุ่มนี้ และในส่วนของ 3) สุขุมวิทตอนปลาย (สถานีแบริ่ง-เอราวัณ) พบคอนโดระดับราคา 70,000-120,000 บาท/ตร.ม. คอนโดมิเนียม LIFE สุขุมวิท 62 มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท โครงการร่วมทุนโครงการที่ 12 ระหว่างเอพี(ไทยแลนด์) และมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป ที่จะเปิดตัวเป็นโครงการแรกในปีนี้ ตั้งอยู่บนทำเลที่ดีที่สุดบนถนนสุขุมวิทรายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกรอบโครงการทั้งโรงพยาบาล สถานศึกษา และห้างสรรพสินค้าชั้นนำเดินทางสะดวกเพียง 200 เมตรจากสถานีรถไฟฟ้าบางจาก และเพียง 500 เมตรจุดขึ้นลงทางด่วน ราคาเริ่มต้น 3 ล้านบาท หรือ เริ่ม 120,000 บาท/ตร.ม. บนพื้นที่ทั้งหมด 2-2-67.2 ไร่ ประกอบด้วยอาคารที่พักสูง 24 ชั้น โดดเด่นด้วยความเป็นส่วนตัวสูงสุดเพียง 438 ยูนิต ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 1) สตูดิโอ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 25 ตารางเมตร 2) ห้องชุด 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 30 ตารางเมตร 3) ห้องชุด 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ (แบบพิเศษ) ขนาดพื้นที่ใช้สอย 38–39 ตารางเมตร และ 4) ห้องชุด 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ขนาดพื้นที่ใช้สอย 50-68 ตารางเมตร สำหรับแผนการพัฒนาโครงการในปี 2561 นี้ เอพี(ไทยแลนด์) เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่จำนวนทั้งสิ้น 34 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 49,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่า 19,000 ล้านบาท และโครงการแนวราบ 30 โครงการ มูลค่า 30,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 33,500 ล้านบาท และตั้งเป้าหมายรายได้รวมปี 2561 ไว้ที่ 28,100 ล้านบาท ในส่วนของการเปิดโครงการใหม่ของกลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียมในครึ่งปีแรก บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ 2 โครงการ มูลค่ารวม 5,000 ล้านบาท ได้แก่ Aspire สาทร-ราชพฤกษ์ คอนโดมิเนียม สูง 32 ชั้น จำนวน 1,049 ยูนิต มูลค่า 3,000 ล้านบาท โดดเด่นด้วย 1 ก้าวจากสถานีบางหว้า สถานีเชื่อมต่อขนาดใหญ่ระหว่าง BTS และ MRT ราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท เปิดขายในวันที่ 24-25 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และ LIFE สุขุมวิท 62 คอนโดมิเนียมร่วมทุนฯ สูง 24 ชั้น จำนวน 438 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท เพียง 200 เมตรจาก BTS บางจาก ซึ่งเตรียมเปิดขายผ่านระบบออนไลน์ AP i-Booking ในวันที่ 27 มีนาคมนี้ เวลา 19.00 – 21.00 น. ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ประสบความสำเร็จอย่างมากสามารถสร้างยอดขายรวมของสินค้าทั้งกลุ่มคอนโด และแนวราบได้มากถึง 42,900 ล้านบาท นับเป็นสถิติสูงสุดครั้งใหม่ เกินจากเป้าหมาย ยอดขายเดิมที่ตั้งไว้ในปี 2560 คือ 26,000 ล้านบาท หรือโตขึ้นถึง 92% หากเทียบกับยอดขายปี 2559 ที่ทำได้ 22,365 ล้านบาท โดยปัจจัยที่ส่งผลให้ยอดขายของบริษัทเติบโตแบบก้าวกระโดดในปีนี้นั้น นอกจากจะมาจากการเปิดตัวสินค้าแนวราบทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม 22 โครงการใหม่ ซึ่งมีอัตราการเติบโตทางยอดขายอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังมาจากการประสบความสำเร็จในการเปิดตัวคอนโดมิเนียมแบรนด์ LIFE จำนวน 3 โครงการ ได้แก่ LIFE ลาดพร้าว LIFE วัน ไวร์เลส และ LIFE อโศก-พระราม 9  ซึ่งทั้ง 3 โครงการสามารถปิดการขายได้ประมาณ 90% ตลอดจนสินค้าที่อยู่ระหว่างการพัฒนา (Ongoing Projects) อีกกว่า 90 โครงการ ก็มีส่วนสำคัญช่วยผลักดันสู่ความสำเร็จครั้งนี้ถือว่าประสบความสำเร็จเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้
สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านลุยงาน“รับสร้างบ้านและวัสดุ 2018″ ชูคอนเซ็ปท์ “Innovative Living” มัดใจลูกค้ายุคดิจิทัล

สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านลุยงาน“รับสร้างบ้านและวัสดุ 2018″ ชูคอนเซ็ปท์ “Innovative Living” มัดใจลูกค้ายุคดิจิทัล

  สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน จัดเต็มงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Focus 2018” ชูคอนเซ็ปท์ "Innovative Living" รวมเทรนด์แบบบ้านรุ่นใหม่ นวัตกรรมสร้างบ้านและวัสดุ รับลูกค้ายุคดิจิทัล พร้อมอัดโปรโมชั่นเต็มพิกัดกระตุ้นตลาดตั้งแต่ต้นปี พร้อมจองสร้างบ้านได้ในงานระหว่างวันที่ 15-18 มีนาคมนี้ ศูนย์ฯสิริกิติ์ ตั้งเป้ายอดขาย 4 วันราว 1,100 ล้านบาท   นางศิริพร  สิงหรัญ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (Home Builder Association :HBA) เปิดเผยถึงการจัดงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Focus 2018” ระหว่างวันที่ 15-18 มีนาคม 2561 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ จะเป็นกิจกรรมที่มุ่งส่งเสริมการตลาดให้กับสมาชิกของสมาคมฯ ตลอดจนพันธมิตรในธุรกิจ ซึ่งหากธุรกิจรับสร้างบ้านเติบโตเพิ่มขึ้น บริษัทรับสร้างบ้านก็สามารถขยายธุรกิจได้เพิ่มมากขึ้น ขณะที่ผู้บริโภคก็จะได้ทั้งประโยชน์จากโปรโมชั่นส่งเสริมการขายของบริษัทรับสร้างบ้านในแต่ละราย และได้รับบริการที่มีคุณภาพมาตรฐาน ปีนี้มีสมาชิกที่ร่วมออกบูธกว่า 30 ราย   ในปีนี้สมาคมฯ จัดงาน“รับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Materials Focus 2018” ภายใต้แนวคิด “ Innovative Living ” เป็นงานที่รวมเทรนด์แบบบ้านรุ่นใหม่ และนวัตกรรมใหม่การสร้างบ้านและวัสดุ มารวมไว้ให้ผู้บริโภคได้เลือกสรร เพื่อความสมบูรณ์แบบในการอยู่อาศัยในยุคดิจิทัล ที่โลกเชื่อมโยงถึงกันหมดด้วยอินเทอร์เนต เมื่อโลกเชื่อมกันมากขึ้น ย่อมสร้างโอกาสให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆได้   ที่สำคัญปีนี้สมาคมฯ ได้เปิดบูธเพื่อรับสมัครสมาชิก สำหรับผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่สนใจต้องการจะร่วมเป็นสมาชิกและขยายการเติบโตธุรกิจ ซึ่งเป็นไปตามแผนงานของสมาคมฯ มุ่งขยายฐานสมาชิก และเพิ่มขนาดองค์กรให้มีขนาดใหญ่มากขึ้น จากฐานสมาชิกปัจจุบันที่มีอยู่ 127 ราย     นางศิริพร ยังกล่าวอีกว่า สำหรับในช่วงไตรมาสที่ 1 สมาคมฯ จะเน้นในเรื่องของนโยบายการเร่งสร้างขยายเครือข่ายฐานสมาชิก  และนโยบายในเชิงของผู้บริโภค ผ่านการจัดงาน"Home Builder & Materials Focus 2018” ซึ่งจัดขึ้นในระหว่างวันที่ 15-18 มีนาคม 2561 คาดตลอด 4  วันของการจัดงานจะช่วยกระตุ้นตลาดให้คึกคักมากขึ้น ซึ่งนอกจากจะเป็นการรวมตัวของบริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำ พร้อมด้วยสถาบันการเงินที่จะมาให้สินเชื่อในอัตราพิเศษ สำหรับภาพตลาดรับสร้างบ้านในกรุงเทพ-ปริมณฑลปี 2561 เชื่อว่าตลาดจะยังคงเติบโตต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 5% มูลค่าเพิ่มเป็น 11,000 ล้านบาท โดยมีสัญญาณที่ดีทางเศรษฐกิจมาตั้งแต่ช่วงครึ่งปีหลังของปี 2560 โดยสินค้ากลุ่มหลักยังคงเป็นบ้านราคา 2.5-5 ล้านบาท คิดเป็น 40%  ของยอดขายรวม รองลงมาเป็นกลุ่มราคา 5-10 ล้านบาท คิดเป็น 36% ของยอดขายรวม ส่วนที่เหลือคือบ้านกลุ่มราคาต่ำกว่า 2.5 ล้านบาท สัดส่วน 10% กลุ่มราคา 10-20 ล้านบาท สัดส่วน 5% และมากกว่า 20 ล้านบาท สัดส่วน 4% ส่วนในไตรมาส 1 ตลาดรับสร้างบ้านภาพรวมมีสัญญาณการเติบโตที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนจากช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ที่มีความชัดเจนว่าดัชนีความเชื่อมั่นของภาคอุตสาหกรรมในประเทศไทยเป็นไปในทางที่ดีขึ้น มีสัญญาณปัจจัยบวกจากการบริโภคภายในประเทศขยายตัวต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2560 จากการใช้จ่ายด้านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานจากภาครัฐ การขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ อีกทั้งผู้ประกอบการมีการปรับแผนและพัฒนากลยุทธ์เพื่อนำเสนอสินค้าและบริการที่จะเพิ่มขีดความสามารถและการแข่งขัน   “กิจกรรมที่จัดขึ้นนี้นอกจากจะกระตุ้นการขายของสมาชิกที่ร่วมออกบูธแล้ว ในเชิงกลยุทธ์ของธุรกิจสมาคมฯ เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับ สมาชิกและขยายฐานสมาชิกใหม่เพิ่ม รวมทั้งก่อให้เกิดการขยายตัวของธุรกิจ เนื่องด้วยธุรกิจรับสร้างบ้านถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องจักรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่แต่ละปีมีมูลค่านับหนึ่งหมื่นล้านบาท รวมถึงส่งเสริมให้ผู้บริโภคมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง” นางศิริพรกล่าว   ด้านนายจิระวัฒน์ มาลีรักษ์ อุปนายกฝ่ายกิจกรรมพิเศษ กล่าวเสริมถึงการจัดงาน" Home Builder & Material Focus 2018 " มีผู้ประกอบการที่มาร่วมออกบูธ แบ่งเป็น บริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำ บริษัทวัสดุก่อสร้าง บริษัทออกแบบและตกแต่ง สถาบันการเงิน บริษัทอุปกรณ์-เครื่องใช้และของตกแต่งบ้าน สื่อสายอสังหาริมทรัพย์ และบูธของทางสมาคมฯ รวมกว่า 45 บูธ โดยมีไฮไลท์กลุ่มบริษัทรับสร้างบ้านที่เตรียมแบบบ้านใหม่ซึ่งเป็น เทรนด์ล่าสุดของปีนี้มานำเสนอ และกลุ่มวัสดุซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่เพิ่งออกสู่ตลาด เช่น CEMENT NANO PAINT-ฉาบเช้า ทาบ่าย ไร้กลิ่นไร้รอยแตก เครื่องปรับอากาศลดโลกร้อนซึ่งพัฒนาเพื่อรองรับเทคโนโลยีแห่งโลกอนาคต ลิฟต์บ้านอัจฉริยะจากประเทศสวีเดน กระเบื้องที่ออกแบบด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์แบบดิจิตอลที่จำลองรูปแบบสีของหินธรรมชาติ ฯลฯ ทั้งนี้ สมาคมคาดว่าจะมียอดขายภายในงาน 4 วัน ไม่ต่ำกว่า 1,100 ล้านบาท และยอดขายตามมาภายหลังงานอีกไม่ต่ำกว่า 1,800 ล้านบาท     ในส่วนการโฆษณาประชาสัมพันธ์กิจกรรม สมาคมฯยังคงเน้นสื่อออนไลน์เป็นหลัก โดยได้มีการผลิตสื่อภาพยนตร์โฆษณาเรื่อง “1-100 ล้านบาท” เพื่อเผยแพร่ โดยต้องการสื่อให้เห็นว่าไม่ว่าในงาน HBMF 2018 ปีนี้ได้รวบรวมบ้านทุกระดับราคาเอาไว้ในงานเดียว สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทุกระดับ ไม่ว่างบประมาณของลูกค้าจะมีเท่าไหร่ สำหรับกิจกรรมภายในงาน สมาคมฯได้เตรียมกิจกรรมที่หลากหลายทั้งสาระ ความรู้ พร้อมโปรโมชั่นในงานจะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนแรก สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนแสดงความประสงค์เข้าร่วมงานล่วงหน้า ผ่านเว็ปไซต์ของสมาคมฯที่ www.hba-th.org และจองปลูกสร้างบ้านภายในงานจะได้รับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 10,000 บาท บ้านราคาไม่เกิน 5,00,000 บาท รับส่วนลดทันที  5,000 บาท และบ้านราคา 5,000,000 บาทขึ้นไป รับส่วนลดทันที 10,000 บาท พร้อมยังได้รับส่วนลดหนังสือ รวมแบบบ้านสวยจากบริษัท และรับสร้างบ้านชั้นนำ ส่วนที่สองผู้ที่จองปลูกสร้างบ้านภายในงานยังมีสิทธิ์ในการลุ้นรับรางวัลใหญ่ ทองคำมูลค่ากว่า 100,000 บาท อีกทั้ง ยังมีสินเชื่อพิเศษจากสถาบันการเงินชั้นนำ   ส่วนนายวรวุฒิ กาญจนกูล เลขาธิการสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน กล่าวว่า งานรับสร้างบ้านและวัสดุ Home Builder & Material Focus 2018 ถือเป็นกิจกรรมที่สมาคมฯ จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยมุ่งเน้นเผยแพร่ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ของธุรกิจรับสร้างบ้านให้แก่ผู้บริโภคที่ต้องการสร้างบ้านและบุคคลทั่วไป ทุกปีที่ผ่านมาก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี   นอกเหนือจากกิจกรรมนี้ ในเดือนมีนาคมทางสมาคมฯ ยังวางแผนจัดกอล์ฟการกุศล HBA Golf Charity 2018 โดยมีวัตถุประสงค์หลัก คือ หาทุนเพื่อนำไปใช้ในโครงการ “สมาคมธุรกิจรับสร้างบ้านสร้างอนาคต เพื่อเด็กไทย” ซึ่งเป็นโครงการเพื่อสังคมที่สมาคมจัดเป็นประจำทุกปีอีกทั้งสมาคมยังเล็งเห็นว่ากิจกรรมดังกล่าวจะสร้างความสัมพันธ์อันดี ระหว่างสมาชิกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ให้สมาชิกได้มีโอกาสพบปะสังสรรค์สร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างสมาชิก รวมถึงพันธมิตรทางธุรกิจที่เกี่ยวข้อง โดยกำหนดจัดงานในวันศุกร์ที่30 มีนาคม 2561 เวลา 12.00 น.เป็นต้นไป ณ สนาม กอล์ฟ เลกาซี่ กอล์ฟคลับ วางเป้าหมายเปิดรับสมัครทั้งหมด 30 ทีม ทีมผู้ชนะจะได้ถ้วยรางวัลเกียรติยศจากพลเอกสุรยุทธ์ จุลลานนท์ องคมนตรี
ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง มองกลุ่มอสังหาฯ ไฮเอ็น  หันจับมือเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ระดับโลกตอบโจทย์ลูกค้า

ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง มองกลุ่มอสังหาฯ ไฮเอ็น หันจับมือเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ระดับโลกตอบโจทย์ลูกค้า

ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง เผยตลาดอสังหาฯ ระดับบน หันมาจับมือ แบรนด์ดีไซเนอร์ เฟอร์นิเจอร์ระดับโลก สร้างจุดขายและความแตกต่าง ตอบความต้องการกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง ทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ พบนักลงทุนอสังหาฯ มองหาบ้านหรือคอนโด ที่มาพร้อม กับเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านที่เป็นแบรนด์ดีไซเนอร์ เพื่อเป็นการเพิ่มมูลค่าการลงทุน นอกจากการเลือกทำเลที่ตั้งของโครงการ และงานออกแบบของสถาปัตยกรรม นางสาวกมนนัทธ์ เต็มไตรรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง (ประเทศไทย) จำกัด (SONDER living) แบรนด์ แกลเลอรี่ ที่รวบรวมเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านนำเข้าระดับไฮเอนด์ รวบรวมผลงานจาก 7 แบรนด์ 7 ดีไซน์เนอร์ชื่อดังของโลก เปิดเผยว่า จากการคาดการณ์ของที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ รวมไปถึงผู้ประกอบการอสังหาริมทัพย์รายใหญ่ในตลาดหลายราย ยังคงคาดการณ์แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ระดับบนในกลุ่มไฮเอ็น ลักชัวรี่ และซุปเปอร์ลักชัวรี่ ที่ตั้งอยู่บนทำเลทองใจกลางกรุงเทพ หรือติดกับแนวรถไฟฟ้าสายหลัก รวมไปถึงทำเลที่ตั้งอยู่ตาม เมืองท่องเที่ยวสำคัญ ๆในประเทศ จะยังคงมีทิศทางการเติบโตที่ดี ทั้งนี้ จากข้อมูลซีบีอาร์อี บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับสากลคาดการณ์ว่ากลุ่มคอนโดหรูทำเล กลางเมือง "เปิดใหม่"  ในปี 2561 นี้จะมีถึง 14,000-15,000 ยูนิต จากปี 2560 มีจำนวน 12,358 ยูนิต โดยระบุว่าอัตราผลตอบแทนคอนโดหรูทำเลกลางเมืองใน 3 ปีที่ผ่านมาปรับตัวเพิ่มขึ้น เฉลี่ย 10-15% ต่อปี เช่นเดียวกับผลตอบแทนการเช่าที่ 4-5% ส่งผลให้ทั้งคนไทยและต่างชาติสนใจซื้อเพื่อลงทุน โดยในกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ เดิมนิยมซื้อที่ราคาห้องชุด 10 ล้านบาทขึ้นไป และในปีนี้ยังเชื่อว่ากลุ่มนักลงทุน ยังมีความสนใจซื้อคอนโดระดับไฮเอ็นเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง นางสาวกมนนัทธ์ กล่าวต่อว่า โครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับบนในปัจจุบันเริ่ม จับมือเฟอร์นิเจอร์ระดับ World class designer หรือเฟอร์นิเจอร์ระดับไฮเอนด์ระดับโลก เพื่อสร้างจุดขายและสร้างจุดต่าง ด้วยพฤติกรรมความต้องการของลูกค้ากลุ่มนี้ ชื่นชอบความมีเอกลักษณ์เฉพาะที่โดดเด่นไม่ซ้ำแบบใคร โดยเลือกจะตามความพึ่งพอใจส่วนตัว เพื่อแสดงความเป็นตัวตนที่เป็นเอกลักษณ์ ประกอบกับ เป็นการจูงใจกลุ่มนักลงทุนทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ โดยสร้างความได้เปรียบด้านการดีไซน์ และการตกแต่งที่มีเอกลักษณ์ ช่วยเพิ่มมูลค่าผลตอบแทนจากการลงทุนเพื่อการปล่อยเช่าได้มากขึ้น นอกเหนือจากการแข่งขันกันในด้านทำเลที่ตั้งของโครงการ งานออกแบบสถาปัตยกรรม หรือบริการที่แปลกใหม่พิเศษเฉพาะลูกค้าในโครงการ “การที่อสังหาริมทรัพย์ระดับบน กลุ่มลักชัวรี่ และซุปเปอร์ลักชัวรี่ หันมาเลือกใช้แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ระดับโลก หรือแบรนด์ ระดับไฮเอนในตลาดบ้านเรา รวมไปถึงการเลือกข้าวของเครื่องใช้ อุปกรณ์สุขภัณฑ์ รวมไปถึงเครื่องครัว ที่เป็นแบรนด์ระดับไฮเอนด์ เพื่อสร้างมาตรฐานระดับโลก World Class ก็เพื่อการแข่งขันมุ่งตอบโจทย์ตอบความต้องการของลูกค้าระดับบนที่มีกำลังซื้อสูง โดยก่อนหน้านี้ แบรนด์เฟอร์นิเจอร์ที่เป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงมักนำเข้ามาจาก อิตาลี ยุโรป และสหรัฐอเมริกา แต่ปัจจุบันมีการนำเข้าแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ใหม่ ๆ ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวและโดดเด่นมาจากตัวดีไซเนอร์ เข้ามาในเมืองไทยมากขึ้น อย่าง Kelly Hoppen แบรนด์ดีไซเนอร์จากฝั่งอังกฤษ หรือ Thomas Bina ที่โด่งดังอย่างมากในแถบแคลิฟอร์เนีย” นางสาวกมนนัทธ์ กล่าว นอกจากนี้ การเลือกของตกแต่งบ้านหรือคอนโดระดับบน เพื่อให้เข้ากับรูปแบบเฟอร์นิเจอร์เริ่มได้รับความสนใจในโครงการอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น ที่ผ่านมาจะเน้นเรื่อง Furniture Package ซึ่งไม่นับรวมของตกแต่ง แต่ปัจจุบันมีการลงรายละเอียดการตกแต่ง ลงลึกไปถึงพรม รูปภาพตกแต่ง แจกัน จานชาม โคมไฟที่จะถูกออกแบบ จัดวาง เลือกสรร โดยทีมออกแบบของแบรนด์เฟอร์นิเจอร์นั้น ๆ หรือมีการจัดรวมเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน และการให้บริการออกแบบเป็น Service Package ร่วมกันเพื่อสร้างความโดดเด่นและบรรยากาศ ให้เข้าถึงงานดีไซน์ของแบรนด์ดีไซเนอร์มากขึ้น  “ล่าสุด ซอนเดอร์ ลิฟวิ่ง ได้เข้าไปเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจให้ตกแต่งห้องชุดตัวอย่างคอนโดมิเนียม แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด โดยทางทีมงาน Sonder Living Thailand ได้ออกแบบให้เข้ากับรูปแบบ concept ของโครงการ รวมทั้ง mix and match furniture brand จาก Sonder Living ให้เกิดความ unique โดดเด่นไม่เหมือนใคร ทั้งนี้ ลูกค้าบ้านและคอนโดของเราทั้งหมด จะรับการดูแลออกแบบโดยทีมงานออกแบบมืออาชีพของ Sonder Living ที่เลือกในทุกขั้นตอนอย่างใกล้ชิด ไม่ใช่เพียงการนำเฟอร์นิเจอร์มาจัดวางให้เข้ากับห้องเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงภาพรวม คาแรคเตอร์ และความต้องการของลูกค้าแต่ละคนเพื่อสร้างความโดดเด่นเฉพาะตัวที่ไม่ซ้ำแบบใคร นับเป็นการเพิ่มความพิเศษและเพิ่มคุณค่า ให้กับตัวอสังหาริมทรัพย์มากขึ้น” นางสาวกมนนัทธ์กล่าว
ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศผลประกอบการปี 2560 รับรู้รายได้ 3,589.2 ล้านบาท กำไรสุทธิ 680.8 ล้านบาท เติบโต 36% ประกาศจ่ายปันผลทั้งปีรวม 0.30 บาท

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศผลประกอบการปี 2560 รับรู้รายได้ 3,589.2 ล้านบาท กำไรสุทธิ 680.8 ล้านบาท เติบโต 36% ประกาศจ่ายปันผลทั้งปีรวม 0.30 บาท

บริษัท  ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) เติบโตอย่างแข็งแกร่งเหนือตลาด ประกาศผลประกอบการ ปี 2560 มียอดรับรู้รายได้ที่ 3,589.2 ล้านบาท ขยายตัวจากปีก่อนหน้า 33% ซึ่งนับเป็นการขยายตัวเกิน 30% ต่อเนื่องติดต่อกันเป็นปีที่สอง  ทั้งนี้บริษัทยังคงความสามารถบริหารจัดการต้นทุนได้ดีเหนือค่าเฉลี่ยของตลาด โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 38.8%  ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายปรับลดลง  ส่งผลให้มีกำไรสุทธิทั้งปี อยู่ที่ 680.8 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนกว่า 36% นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายใต้คอนเซ็ปท์ “บ้านที่ปลูกบนความตั้งใจที่ดี” กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดอสังหาฯในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตลาดโดยรวมแทบจะไม่มีการขยายตัว แต่สำหรับบริษัทมีการวางกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจที่ถูกต้อง ทำให้แม้สถานการณ์ และสภาพแวดล้อมโดยรวมจะไม่เอื้ออำนวย แต่บริษัทยังมียอดรับรู้รายได้ที่ขยายตัวเกิน 30% ต่อเนื่องติดต่อกันมา 2 ปี  ซึ่งเป็นผลการดำเนินงานที่น่าพอใจในสถานการณ์ปัจจุบัน โดยในปี 2560 บริษัทมียอดรับรู้รายได้ที่ 3,589.2 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อน 33% ขณะที่บริษัทยังคงสามารถบริหารจัดการต้นทุนด้านต่างๆ ได้ดีมาอย่างต่อเนื่องทำให้ในปี 2560 บริษัทยังรักษาอัตรากำไรขั้นต้นที่ดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดมาก รวมทั้งการบริหารค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารที่มีประสิทธิภาพ ช่วยให้ในปี 2560 บริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 36.1% หรือมีกำไรสุทธิที่ 680.8ล้านบาท ในแง่ของโครงสร้างเงินทุน แม้ว่าบริษัทจะมีการขยายตัวอย่างมากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่บริษัทยังคงรักษาระดับ Gearing ได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยของตลาด โดย ณ สิ้นปี 2560 บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน(D/E Ratio) อยู่เพียง 0.79 เท่า ปรับลดลงจากปีก่อนหน้า ซึ่งอยู่ที่ 0.85 เท่า และเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ประมาณ 1.3-1.4 เท่า ทั้งนี้บริษัทมีการบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการเงินอย่างรัดกุม โดยมีการใช้แหล่งเงินกู้ที่หลากหลาย รวมทั้งมีการตั้งวงเงิน Committed Line จากธนาคารพาณิชย์อย่างเพียงพอสำหรับภาระหนี้ทั้งหมดที่จะครบกำหนดชำระในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า อย่างไรก็ดีบริษัทอยู่ระหว่างการออกหุ้นกู้จำนวน 500 ล้านบาท โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี ที่ 2.95% ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนเข้าจองซื้อเต็มทั้งจำนวน เหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา นายไชยยันต์ กล่าวปิดท้ายว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติเห็นชอบจัดสรรกำไรสำหรับปี 2560 ให้กับผู้ถือหุ้น โดยเสนอให้จ่ายเงินปันผลทั้งปีในอัตราหุ้นละ 0.30 บาท ซึ่งหากคิดจากราคาหุ้นของบริษัทในปัจจุบัน จะมี Dividend Yield อยู่ที่ราว 5.6% โดยบริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วที่ 0.135 บาทต่อหุ้น ดังนั้นจะเหลือจ่ายเพิ่มอีก 0.165 บาทต่อหุ้น โดยได้กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 16 มีนาคม 2561 หรือขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 15 มีนาคม 2561 และกำหนดจ่ายปันผลในวันที่ 11 พฤษภาคม 2561 ทั้งนี้การจ่ายปันผลดังกล่าวต้องนำเสนอขออนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2561 ในเดือนเมษายนนี้
ศุภาลัย โชว์ผลประกอบการปี 60 กำไร-รายได้ โดดเด่น เร่งขยาย 13 โครงการใหม่ดันยอดขายปีนี้ 33,000 ล้านบาท

ศุภาลัย โชว์ผลประกอบการปี 60 กำไร-รายได้ โดดเด่น เร่งขยาย 13 โครงการใหม่ดันยอดขายปีนี้ 33,000 ล้านบาท

  ศุภาลัยเผยยอดขายปี'60 กว่า 30,777 ล้านบาท โต 10% ปี'61 เตรียมลุยบ้านจัดสรร 12 จังหวัด ดีเดย์มี.ค.นี้  เปิด 3 โครงการเบลล่า วงแหวน - ลำลูกกา คลอง 3 ,โนโว วิลล์ พหลโยธิน - ลำลูกกา และศุภาลัย พรีโม่ ชัยพฤกษ์ - บางบัวทอง ตั้งเป้ายอดขาย 33,000 ล้านบาท     ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด(มหาชน) กล่าวถึง ผลการดำเนินธุรกิจของบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) และบริษัทย่อย ในปี 2560 ที่ผ่านมา ว่าบริษัทมียอดขายกว่า 30,777 ล้านบาท จากการเปิดตัวทั้งหมด 20 โครงการ แบ่งเป็นแนวราบ 15 โครงการ และคอนโดมิเนียม 5 โครงการ อีกทั้งสามารถทำรายได้รวม 25,789 ล้านบาท เติบโต 10% โดยรายได้หลักมาจากการทยอยส่งมอบคอนโดมิเนียมทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด จำนวน 10 โครงการ   โดยบริษัทมีกำไรสุทธิ 5,812 ล้านบาท เติบโต 19% เมื่อเทียบกับปี 2559 จากผลการดำเนินงานที่สะท้อนถึงการบริหารงานที่มีประสิทธิภาพ ภายใต้แผนงานการสร้างสรรค์ “บ้านที่ดี” ที่มาจากผลิตภัณฑ์แห่งความสุขและนวัตกรรม ด้านสินทรัพย์เติบโตขึ้น 8% ส่วนของผู้ถือหุ้นเติบโต 20% โดยมีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 69% ส่วนต้นทุนการเงินที่อัตราเฉลี่ย 2.79% ต่อปี ณ 31 ธ.ค. 2560 และมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 39,187 ล้านบาท ณ 31 ธ.ค. 2560 เพื่อรองรับการเติบโตด้านรายได้ของบริษัทในอนาคต     นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ปี 2560 เป็นปีที่ทำยอดขายได้เกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยสัดส่วนการเติบโตมาจากกรุงเทพฯ ปริมณฑล 76% และหัวเมืองต่างจังหวัด 24% โดยปัจจุบันมีการพัฒนาโครงการ จำนวน 11 จังหวัด เชียงใหม่ อุดรธานี ขอนแก่น ชลบุรี ระยอง อุบลราชธานี นครราชสีมา สงขลา สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต และนครศรีธรรมราช ซึ่งมีการเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง   ในปี 2561 นี้บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่เป็นประเภทบ้านจัดสรรในหัวเมืองภูมิภาค จำนวน 13 โครงการ ใน 12 จังหวัด ไม่นับจังหวัดปริมณฑล โดยมีการขยายการลงทุนเพิ่มเป็น 12 จังหวัด คือ เชียงราย จะส่งผลให้สัดส่วนยอดขายในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นเป็น 30% แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 26% และคอนโดมิเนียม 4% ของเป้าหมายยอดขายของบริษัท 33,000 ล้านบาท โดยเน้นพัฒนาแบบบ้านรูปแบบใหม่ ให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย นับว่าเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในหัวเมืองต่างจังหวัดมากที่สุด   สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงไตรมาสแรก บริษัทมีการเปิดตัวโครงการแนวราบ จำนวน 6 โครงการ มูลค่ารวม 3,500 กว่าล้านบาท โดยเปิดตัวไปแล้ว 1 โครงการ คือ ศุภาลัย พรีโม่ บางแสน และเปิดตัวอีก 2 โครงการในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ คือ ศุภาลัย เอสเซ้นส์ ลาดพร้าว ศุภาลัย การ์เด้นวิลล์ หาดใหญ่ อีกทั้งเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อีก 3 โครงการในเดือนมีนาคมนี้ได้แก่ เบลล่า วงแหวน - ลำลูกกา คลอง 3  โนโว วิลล์ พหลโยธิน - ลำลูกกา และศุภาลัย พรีโม่ ชัยพฤกษ์ - บางบัวทอง     นายบุญชัย ชัยอนันต์บวร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานโครงการภูมิภาค 2 บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ในจังหวัดอุบลราชธานี มีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพสูงในเขตภาคอีสานตอนใต้ ซึ่งมีสนามบินนานาชาติ ทำให้การเดินทางสะดวก และรวดเร็ว ทั้งยังเป็นจังหวัดที่มีประตูการค้าชายแดนเชื่อมโยงทางการค้ากับประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศลาวอีกทั้งประชากรของจังหวัดอุบลราชธานีมีจำนวนมาก   สำหรับทิศทางการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในจังหวัดอุบลราชธานีของศุภาลัย ยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านรุ่นใหม่ และทาวน์โฮม โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการในจังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 4 โครงการ คือ ศุภาลัย โมด้า อุบลราชธานี ศุภาลัย วิลล์ อุบลราชธานี ศุภาลัย เบลล่า อุบลราชธานี และศุภาลัย พรีโม่ อุบลราชธานี พร้อมลุยแผนเปิดโครงการใหม่อีก 1 โครงการ คือ โนโว วิลล์ อุบลราชธานี มูลค่า 380 ล้านบาทในไตรมาส 3 เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า   นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มเติมในจังหวัดอุดรธานี และนครราชสีมา ได้แก่ ศุภาลัย ไพรด์ อุดรธานี มูลค่า 1,800 ล้านบาท ศุภาลัย การ์เด้นวิลล์ นครราชสีมา มูลค่า 640 ล้านบาท อีกทั้งโครงการใหม่ในโซนภาคตะวันออก 1 โครงการ คือ ศุภาลัย ริเวอร์ วิลล์ ระยอง บ้านเดี่ยวหรูริมแม่น้ำ มูลค่าโครงการ 650 ล้านบาท เพื่อช่วยผลักดันสัดส่วนยอดขายของบริษัทในต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นเป็น 30% ตามที่วางเป้าหมายไว้    
อนันดา สร้างสถิติใหม่โชว์รายได้ปี’60 ประกาศแผนธุรกิจปี’61 ลุย 16 โครงการใหม่ 35,000 ล้านบาท

อนันดา สร้างสถิติใหม่โชว์รายได้ปี’60 ประกาศแผนธุรกิจปี’61 ลุย 16 โครงการใหม่ 35,000 ล้านบาท

อนันดา ปิดฉากปี'60 โชว์รายได้ 13,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อน พร้อมยอดขายกว่า 34,900 ล้านบาท เปิดตัวคอนโด  11 โครงการ มูลค่ากว่า 36,600 ล้านบาท ประกาศแผนธุรกิจปี'61 เป้าโอน 38,000 ล้านบาท เปิดโครงการใหม่ 16 โครงการ มูลค่ากว่า 35,100 ล้านบาท ตั้งเป้าโต 4 ปี ยอดโอน 70,000 ล้านบาท นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานของบริษัท สามารถสร้างสถิติสูงสุดทั้งการเปิดโครงการใหม่ ยอดขาย และรายได้ โดยมูลค่าโครงการอยู่ที่ 42,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105% จากปีก่อน และยอดขายมูลค่า 34,920 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 39% จากปีก่อน และรายได้ 12,950 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% จากปีก่อน ประกอบด้วย รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 8,932 ล้านบาท รายได้อื่น 4,018 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากรายได้จากโครงการร่วมทุน และรายได้จากงานก่อสร้างโครงการภายนอกบริษัท ทั้งนี้บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,328 ล้านบาท ลดลง 12% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยส่วนใหญ่มาจากการเปิดโครงการใหม่ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ ยอดขายรอรับรู้รายได้(แบ็คล็อค) กว่า 53,700 ล้านบาท รองรับการโอนใน 3 ปีข้างหน้า ซึ่งเพิ่มขึ้น 30% จากสิ้นปีก่อน ซึ่งในปีที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดตัวคอนโดมิเนียม 11 โครงการ และแนวราบ 5 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 42,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 105% จากปีก่อน และจากการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ 11 โครงการ มูลค่าโครงการกว่า 36,600 ล้านบาท ส่งผลให้ในปี 2560 บริษัทเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เปิดตัวคอนโดมิเนียมสูงที่สุดในประเทศ โดยไตรมาส 4 บริษัทได้เปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่ 2 โครงการ มูลค่าโครงการกว่า 8,400 ล้านบาท ประกอบด้วย ไอดีโอ โมบิ พระราม 4 มูลค่า 5,000 ล้านบาท ติดรถไฟฟ้าสถานีคลองเตย และเอลลิโอ เดล  มอสส์ มูลค่า 3,400 ล้านบาท ติดรถไฟฟ้าสถานีเสนานิคม บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้ 9,800 ล้านบาท สูงกว่าเป้าที่วางไว้ 7,500 ล้านบาท ถึง 31% ทั้งนี้ บริษัทประสบความสำเร็จในการขายไปยังต่างประเทศจากโครงการใหม่ และโครงการที่เปิดขายไปก่อนหน้า มูลค่าการขาย รวม 9,775 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้น 164% จากปีก่อน ขายไปยังลูกค้าใน 38 ประเทศ ส่งผลให้บริษัทก้าวสู่การเป็นบริษัทที่มียอดขายต่างประเทศสูงที่สุดในประเทศในปี 2560 ทำให้บริษัทสามารถสร้างยอดขายรวมในประเทศ และต่างประเทศกว่า 34,900 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ 7% นอกจากนี้บริษัทฯ ยังคงรักษาวินัยทางการเงิน และประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจให้เติบโต พร้อมดำรงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิซึ่งหักด้วยเงินสดต่อส่วนทุนอยู่ที่ 0.77 :1 เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมายระยะยาวของบริษัทในระดับ 1:1 ขณะเดียวกัน บริษัทได้ร่วมทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในเขตกรุงเทพมหานคร ร่วมกับมิตซุย ฟูโดซัง เพิ่มเติมอีก 6 โครงการมูลค่ารวม 25,000 ล้านบาท ประกอบด้วย ไอดีโอ คิว สุขุมวิท 36 ,ไอดีโอ พระราม 9 ตัดใหม่ ,เอลลิโอ เดล เนสต์ ,ไอดีโอ โมบิ รางน้ำ , เอลลิโอ เดล มอสส์ และคอนโดมิเนียมใกล้พระราม 9 ซึ่งมีมูลค่าร่วมทุนรวม 21 โครงการกว่า 95,000 ล้านบาท บริษัทมีอัตรากำไรขั้นต้น เพิ่มขึ้นจากปีก่อน แสดงให้เห็นการมีวินัยทางการเงินในการรักษาผลกำไรของบริษัท แม้ว่าอยู่ในช่วงของการเติบโต นอกจากนี้กระแสเงินสดของบริษัทยังคงมีความแข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นสุดไตรมาสยังคงรักษาเงินสดขนาดใหญ่ที่มีมากกว่า 2,000 ล้านบาท บริษัทยังได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งและต่อเนื่องจากสถาบันการเงินชั้นนำ และมีทางเลือกในการจัดหาแหล่งเงินทุนที่หลากหลายเพื่อตอบสนองความต้องการเงินสดของบริษัทฯตลอดทั้งปี ซึ่งสามารถเลือกใช้ได้ตามสถานการณ์ สำหรับแผนดำเนินงานในปี 2561 บริษัทตั้งเป้ายอดโอนเติบโตสูงถึง 152% เป็น 38,000 ล้านบาท โดยในปี 2561 บริษัทคาดว่ามีคอนโดมิเนียมที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอน 9 โครงการ เพิ่มเติมจากในปี 2560 ซึ่งมีคอนโดมิเนียมใหม่ที่สร้างแล้วเสร็จ และเริ่มโอนจำนวน  8 โครงการ รวมทั้ง มีแผนเปิดโครงการใหม่ในปี 2561 จำนวน 16 โครงการ มูลค่ากว่า 35,100 ล้านบาท โดยเป็นคอนโดมิเนียม 8 โครงการ ร่วมทุนกับมิตซุย ฟูโดซังจำนวน  7 โครงการ และแนวราบ 8 โครงการ โดยตั้งเป้ายอดขายใกล้เคียงกับปีก่อน 35,100 ล้านบาท จาก 34,900 ล้านบาท ในปี 2560 พร้อมเป้าหมายในการรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนทุนในระดับประมาณ 1:1 สอดคล้องกับเป้าหมายระยะยาวในการบริหารงานของบริษัทอีกด้วย บริษัทตั้งเป้าหมายในการพัฒนาโครงการร่วมทุนเพิ่มขึ้น ด้วยมูลค่าโครงการร่วมทุนเกินกว่า 114,000 ล้านบาท ในปี 2561 จาก 95,000 ล้านบาท ในปี 2560 ส่งผลให้บริษัทสามารถรักษาตำแหน่งผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีมูลค่าโครงการร่วมทุนสูงที่สุดในประเทศ "จากการรักษาการเติบโตของธุรกิจ และผลการดำเนินงานที่ดี รวมถึงยังรักษาความมีวินัยด้านต้นทุนการดำเนินงาน ทำให้อนันดายังคงครองความเป็นผู้นำคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และผู้นำในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ ทั้งด้านการออกแบบอาคาร และการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้านอื่นๆ ทำให้ยังคงตั้งเป้าเป็นผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมต่อไป ปี 2561 เป็นส่วนหนึ่งของ "4 in 4 Roadmap ระยะเวลาแห่งการเติบโตมากกว่า 4 เท่าใน 4 ปี" โดยบริษัทคาดหวังว่ายอดโอนจะเติบโตเกินกว่า 400% จากระดับกว่า 15,100 ล้านบาท ในปี 2560 เป็น 70,000 ล้านบาท ในปี 2564 ด้วยผลสำเร็จจากเงินลงทุนภายหลังจากการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในปี 2561 บริษัทคาดว่ามีคอนโดมิเนียมที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จและเริ่มโอน 9 โครงการ เพิ่มเติมจากในปี 2560 ซึ่งมีคอนโดมิเนียมใหม่ที่สร้างแล้วเสร็จ และเริ่มโอน 8 โครงการ" นายชานนท์ กล่าว บริษัทมีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งจากการได้รับผลสำรวจจากดัชนีความไว้วางใจในแบรนด์สูงที่สุดสำหรับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมในปี 2560 จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (CU-Brand Trust Index in the real estate industry) สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของบริษัทในการส่งมอบสินค้า และบริการที่มีคุณภาพให้กับลูกค้า พร้อมรับรู้ได้มายังแบรนด์ของบริษัท ทั้งนี้คณะกรรมการบริษัทเตรียมขออนุมัตินำเสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้น เพื่อพิจารณาการเพิ่มเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้น เป็น 12.75 สตางค์ เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อนหน้านี้ โดยเป็นการเพิ่มเงินปันผลขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปีตั้งแต่มีการเสนอขายหุ้น IPO ของบริษัท
MQDC ประกาศความสำเร็จ WHIZDOM 101ยอดจองทะลุเป้าเตรียมเปิดโครงการใหม่ “Whizdom Inspire”

MQDC ประกาศความสำเร็จ WHIZDOM 101ยอดจองทะลุเป้าเตรียมเปิดโครงการใหม่ “Whizdom Inspire”

แมกโนเลีย ประกาศความสำเร็จของโครงการ WHIZDOM 101 พร้อมขอบคุณคู่ค้าพันธมิตร ในงาน THANK YOU PARTY ตอกย้ำความเป็นผู้นำโครงการมิกซ์ยูสคุณภาพยอดเยี่ยมแห่งแรกในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยแนวคิดเมืองอัจฉริยะ Smart City และเป็น Third Place ที่ตอบโจทย์เรื่อง Creating Shared Value (CSV)  จับมือ “ทรู ดิจิทัล พาร์ค” (True Digital Park) พัฒนาศูนย์กลางด้านดิจิทัลของไทยใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เตรียมเปิดตัว “Whizdom Inspire” คอนโดมิเนียมที่สร้างแรงบันดาลใจพร้อมไอเดียใหม่ๆ อย่างไร้ขีดจำกัด  และ Innovative Lifestyle Complex ที่สมบูรณ์แบบไตรมาส 4 ปีนี้ นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(MQDC) ในเครือบริษัท ดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า โครงการ WHIZDOM 101 (วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน) ถือเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจ และความสำเร็จของ MQDC ในด้านการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสคุณภาพชั้นนำของประเทศไทย ที่ได้รับรางวัลระดับประเทศและนานาชาติ ด้วยรางวัลด้านแนวคิดเมืองอัจฉริยะ Smart Cities – Clean Energy จากกระทรวงพลังงาน และยังได้รับรางวัลจากเวทีระดับโลกด้านโครงการมิกซ์ยูสยอดเยี่ยม (Best Mixed-use Development Thailand) จากเอเชียแปซิฟิก พรอพเพอร์ตี้ อวอร์ด (Asia Pacific Property Award) ประจำปี 2016-2017 และล่าสุดเมื่อปลายปี 2560 ยังได้รับรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ทางด้านความยั่งยืน จากเวที AEC Excellence Awards เมืองลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีโครงการเข้าประกวด 145 โครงการ จาก 32 ประเทศทั่วโลก ซึ่ง “วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน” ถือเป็นโครงการแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับรางวัลนี้ MQDC เราได้มุ่งมั่นพัฒนาโครงการฯ ด้วยนวัตกรรมการอยู่อาศัยแบบยั่งยืน (Sustainnovation) เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ทั้งผู้อยู่อาศัย และชุมชนโดยรอบ แมกโนเลียฯ ได้ให้ความสำคัญในการทำวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภค ช่วยสร้างระบบนิเวศน์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างมูลค่าเพิ่ม ตลอดจนสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับทุกสรรพสิ่งและเป็นประโยชน์ต่อสังคม ทำให้โครงการ “วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน” ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าและคู่ค้าพันธมิตรต่างๆ โดยปัจจุบันมีสัดส่วนการขายทั้ง 3 ส่วน ประกอบด้วย ที่พักอาศัย คอนโดมิเนียม “วิสซ์ดอม คอนเนค” (Whizdom Connect Sukhumvit) ประมาณ 90% และ “วิสซ์ดอม เอสเซ้นส์” (Whizdom Essence)ประมาณ 80% ร้านค้าในพื้นที่ Innovative Lifestyle Complex มียอดจองพื้นที่กว่า 80% ทั้งร้านอาหารชื่อดัง ซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านค้าไลฟ์สไตล์เพื่อรองรับการใช้ชีวิตในทุกๆ วัน และพื้นที่สำนักงานบรรลุเป้าการขาย 100% โดยวิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน ได้จับมือกับ “ทรู ดิจิทัล พาร์ค” (True Digital Park) ในการพัฒนาเป็นศูนย์กลางด้านดิจิทัลของไทยที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เน้นสร้าง Startup Ecosystem แบบครบวงจร ด้วยแนวคิด Open Innovation จากการรวมตัวกันของบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ เหล่าสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการ นักลงทุน สำหรับความคืบหน้าและมูลค่าโดยรวมของโครงการ “วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน” มูลค่าประมาณ 30,000 ล้านบาท โดยมีโครงการที่พักอาศัยส่วนแรก ประกอบด้วย คอนโดมิเนียม High-Rise จำนวน 3 อาคาร ที่ทุกยูนิตจะมีความพิเศษด้วย "Home Intelligent Systems" เทคโนโลยีอันทันสมัยและชาญฉลาดที่ทำให้ผู้พักอาศัยสามารถควบคุมและสั่งการทำงานของอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ในบ้านแม้อยู่นอกบ้าน จะเริ่มส่งมอบพื้นที่คอนโดมิเนียม “วิสซ์ดอม คอนเนค” ต้นเดือนมีนาคม 2561 และจะเตรียมเปิดโครงการใหม่ “วิสซ์ดอม อินสปาย” (Whizdom Inspire) เจาะกลุ่มนิวเจนฯ ที่เต็มไปด้วย Passion ใส่ใจสิ่งแวดล้อม รับผิดชอบต่อสังคม ดูแลสุขภาพ และพิถีพิถันในการใช้ชีวิต ให้คนรุ่นใหม่สามารถสร้างแรงบันดาลใจได้ด้วยตัวเองอย่างไร้ขีดจำกัด พร้อมสังคมคุณภาพ และ Innovative Lifestyle Complex ที่สมบูรณ์แบบ เพื่อรองรับการใช้ชีวิตที่ดีในทุกๆ วัน ภาพรวมดำเนินงานไปแล้วกว่า 80% และคาดว่าจะพร้อมเปิดตัว Innovative Lifestyle Complex “วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน” ภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2561 นายสุทธา เรืองชัยไพบูลย์ ประธานผู้อำนวยการ MQDC กล่าวถึงวัตถุประสงค์การจัดงาน MQDC ประกาศความสำเร็จของโครงการ WHIZDOM 101 พร้อมขอบคุณคู่ค้าพันธมิตรต่างๆ ในงาน THANK YOU PARTY และเปิดเผยถึงวัตถุประสงค์ในการจัดงานว่า วัตถุประสงค์การจัดงานนี้เพื่อเป็นการขอบคุณสื่อมวลชน คู่ค้าพันธมิตร และลูกค้าทุกท่านที่ให้การสนับสนุนโครงการ “วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน” อย่างต่อเนื่อง และเพื่อเป็นการแจ้งความคืบหน้าและความสำเร็จของโครงการฯ เชื่อว่าเมื่อ “วิสซ์ดอม วัน-โอ-วัน” พร้อมเปิดให้บริการจะเป็นหนึ่งในโครงการมิกซ์ยูสคุณภาพยอดเยี่ยมแห่งแรกในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยแนวคิดเมืองอัจฉริยะ Smart City และเป็น Third Place ที่ตอบโจทย์เรื่อง Creating Shared Value (CSV) และ นวัตกรรมการอยู่อาศัยแบบยั่งยืน (Sustainnovation) ที่เพียบพร้อมไปด้วยความสะดวกสบายและทันสมัยที่สุด อีกทั้งจะเป็นแลนด์มาร์คแห่งใหม่สำหรับคนกรุงเทพฯ ด้วยสังคมคุณภาพ และ Innovative Lifestyle Complex ที่สมบูรณ์แบบ เพื่อรองรับการใช้ชีวิตที่ดีในทุกๆ วัน ซึ่งตรงกับความเป็น smart city ของ WHIZDOM 101 ด้วยคอนเซ็ปต์ The Great Good Place โดยโครงการฯ ได้รับความสนใจจากต่างประเทศเป็นอย่างมาก ซึ่งเรามีความยินดี หากท่านใดสนใจก็สามารถนำคอนเซ็ปต์ไปต่อยอดในการพัฒนาโครงการได้ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม ด้านกิจกรรมการตลาดโครงการฯ ให้ความสำคัญต่อกิจกรรมการตลาดเป็นอย่างมาก เพราะโครงการมิกซ์ยูสคุณภาพ ต้องเน้นการพัฒนาด้วยแนวคิดเมืองอัจฉริยะ Smart City การเป็น Third Place ที่ทุกท่านสามารถมาใช้ชีวิตได้ นอกจากบ้านและที่ทำงาน เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ๆ และเพิ่มคุณค่าให้กับสังคม Creating Shared Value (CSV) และ การพัฒนานวัตกรรมการอยู่อาศัยแบบยั่งยืน Sustainnovation เป็นเรื่องใหม่สำหรับสังคมที่จะเข้าใจและนำไปประยุกต์ใช้ และทั้งหมดนี้เป็นเทรนด์ที่กำลังจะมาอย่างแน่นอน เมื่อโครงการ WHIZDOM 101 เปิดแล้ว จะเป็นการเสริมศักยภาพ เพิ่มคุณค่า Value Added ให้ชุมชนโดยรอบซึ่งจะเป็น platform ให้ชุมชนมาใช้ประโยชน์ ผ่านกิจกรรมต่างๆ ที่สร้างประสบการณ์ให้กับทุกท่าน พร้อมตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่ดีในทุกๆ วัน
เอสซีฯ ตั้งบริษัท เอสซี อัลฟ่า อินคอร์ปอเรชั่น ลุยตลาดอสังหาฯอเมริกา ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 17,000 ล้านบาท

เอสซีฯ ตั้งบริษัท เอสซี อัลฟ่า อินคอร์ปอเรชั่น ลุยตลาดอสังหาฯอเมริกา ตั้งเป้ายอดขายปีนี้ 17,000 ล้านบาท

เอสซีฯ รุกลุงทนธุรกิจอสังหาฯ ในอเมริกา   ตั้งบริษัทย่อย เอสซี อัลฟ่า อินคอร์ปอเรชั่น ปี 60 ทำสถิตินิวไฮยอดขายรวมและแนวราบโตกว่า 30% กำไรสุทธิ 1,256 ล้านบาท พร้อมปันผล 0.12 บาท/หุ้น ปี 61 ตั้งเป้ายอดขายและรายได้ 17,000 ล้านบาท โต 36% นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ผลการดำเนินงานในปี 2560 ยอดขายรวมเท่ากับ 15,280 ล้านบาท โต 32% (YoY) และยอดขายแนวราบ 10,547 ล้านบาท โต 33% (YoY) กลุ่มที่เติบโตมากที่สุด คือ บ้านเดี่ยวระดับราคาน้อยกว่า 5 ล้านบาท หรือแบรนด์ PAVE เติบโต 189% (YoY) ส่วนบ้านเดี่ยวระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป ครองมาร์เกต แชร์ อันดับ 1 เติบโตถึง 63% (YoY) และบ้านเดี่ยวรวมทุกระดับราคา เป็นอันดับ 2 ขณะที่ รายได้จากการดำเนินงาน มูลค่า 12,450 ล้านบาท ประกอบด้วยรายได้จากค่าเช่าและบริการ 850 ล้านบาท กับรายได้หลักจากโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 11,600 ล้านบาท ซึ่งมาจากรายได้จากโครงการแนวราบ 9,093 ล้านบาท โต 18% (YoY) และโครงการแนวสูง 2,507 ล้านบาท ลดลง 58% (YoY) เนื่องจากโครงการคอนโดฯ ขนาดใหญ่จะสร้างเสร็จพร้อมโอนได้ในปี 2561 เป็นผลให้รายได้จากการดำเนินงานลดลงเมื่อเทียบกับปี 2559 และมีกำไรสุทธิ 1,256 ล้านบาท ส่วนยอดขายรอโอนหรือ Backlog รวม 9,703 ล้านบาท จะพร้อมโอนปีนี้ 50% อีก 50% ที่เหลือจะโอนในปี 2562-2563  ณ วันที่ 31 ธ.ค. 60 บริษัทและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวม และหนี้สินรวมเท่ากับ 38,498 ล้านบาท และ 23,583 ล้านบาทตามลำดับ ทั้งนี้ มติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ได้อนุมัติจัดตั้งบริษัทย่อย ชื่อ SC ALPHA Inc.(บริษัท เอสซี อัลฟ่า อินคอร์ปอเรชั่น) ด้วยทุนจดทะเบียน 1,000,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ได้เห็นชอบให้เสนอจ่ายเงินปันผลประจำปี 2560 ในอัตรา 0.12 บาทต่อหุ้น โดยจะนำเสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 23 เมษายน 2561 ปี 2561 ตั้งเป้ายอดขายและรายได้ 17,000 ล้านบาท โต 11% และ 36% ตามลำดับ มีโครงการที่เปิดขายทั้งหมดรวม 58 โครงการ มูลค่ากว่า 56,000 ล้านบาท โดยเป็นโครงการต่อเนื่อง 39 โครงการ มูลค่ารวม 37,000 ล้านบาท และโครงการเปิดใหม่ 19 โครงการ มูลค่า 19,000  ล้านบาท ซึ่งในเดือนมีนาคมจะเปิด 2 โครงการใหม่ ได้แก่ เซ็นทริค รัชโยธิน (CENTRIC RATCHAYOTHIN)คอนโดฯ ใกล้BTS สถานีรัชโยธินเพียง 150 เมตร บนพื้นที่กว่า 2 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท อาคารสูง 21 ชั้น จำนวน 261 ยูนิต เริ่มต้น 3.7 ล้านบาท โดยได้จัด Speed Online Booking 3 ชั่วโมง! ซึ่งเปิดให้ลงทะเบียนล่วงหน้าตั้งแต่วันนี้ที่ https://booking.scasset.com รับราคาดีที่สุดพร้อมสิทธิพิเศษเฉพาะวันที่ 6 มีนาคม ก่อนเปิดพรีเซลส์ 10-11 มีนาคมนี้ สอบถามเพิ่มเติมโทร. 1749 เพฟ บ้านโพธิ์-ฉะเชิงเทรา (PAVE BANPHO-CHACHOENGSAO) บ้านสไตล์โมเดิร์นทำเลติดถนนสุขุมวิท ฉะเชิงเทรา 314 ตั้งอยู่บริเวณใจกลางหรือฮับของเส้นทางโลจิสติกระหว่าง กทม. - ภาคตะวันออกโดยเป็นจุดศูนย์กลางของการขนส่งสินค้าต่างๆ และ ใกล้โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงในอนาคตสถานีกรุงเทพ-ฉะเชิงเทรา อีกทั้งใกล้นิคมอุตสาหกรรมและแวดล้อมด้วยสาธารณูปโภคสำคัญต่างๆบนพื้นที่กว่า 36 ไร่ มูลค่าโครงการ 750 ล้านบาท จำนวน 144 หลัง ราคาเริ่ม 4 ล้านต้น พรีเซลส์วันที่  24-25 มีนาคม 2561
‘เอพี ไทยแลนด์’ จับมือ ‘TCDC’ จัดเสวนาในหัวข้อ ‘เปลี่ยนจังหวะให้ทันโลก’ในงาน‘Bangkok Design Week 2018’

‘เอพี ไทยแลนด์’ จับมือ ‘TCDC’ จัดเสวนาในหัวข้อ ‘เปลี่ยนจังหวะให้ทันโลก’ในงาน‘Bangkok Design Week 2018’

บริษัท เอพี(ไทยแลนด์) จำกัด(มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับคนเมืองที่เชี่ยวชาญในการสร้างสรรค์นวัตกรรมการดีไซน์ เพื่อพื้นที่ใช้สอยที่ไม่จำกัด ผนึกกำลังกับศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) ดึง Sam Baron นักสร้างสรรค์งานดีไซน์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกจาก FABRICA Design Studio และ Kaave Pour นักออกแบบมือทองจาก SPACE10 ร่วมเสนอไอเดียสร้างสรรค์บนเวทีสนทนาระดับประเทศ (International Symposium) ในงาน Bangkok Design Week 2018 ภายใต้หัวข้อ PULSE เปลี่ยนให้ทันจังหวะโลก เพื่อนำเสนอแนวคิด ‘เทรนด์การออกแบบของที่อยู่อาศัยสำหรับพื้นที่แห่งอนาคต (Co-Living Generation)’ เพื่อก้าวเข้าสู่บริบทใหม่ของการใช้ชีวิตในวันที่พื้นที่ชีวิตเหลือน้อยลง นายสรรพสิทธิ์ ฟุ้งเฟื่องเชวง ผู้อำนวยการคอร์ปอเรทมาร์เก็ตติ้ง และเอพี ดีไซน์ แล็บ บมจ. เอพี (ไทยแลนด์) กล่าวว่า ภายใต้การเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็วจากผลกระทบของเทคโนโลยีที่ถาโถมเข้ามา เป็นเรื่องไม่ง่ายที่จะกล่าวถึงที่อยู่อาศัยในอนาคตว่าจะเป็นอย่างไร เนื่องจากความต้องการของลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงทุกวัน ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้เหมือนเดิมหรือไม่ในอนาคต และปัจจัยสำคัญอีกหนึ่งข้อที่ทำให้การพัฒนาที่อยู่อาศัยในปัจจุบันเกิดความท้าทาย คือ ความจำกัดของพื้นที่ เอพีในฐานะผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของไทยมีความมุ่งมั่นและท้าทายขีดความสามารถที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง  ปีนี้เอพีตั้งโจทย์ที่ยากขึ้นและดึงผู้เชี่ยวชาญในหลากหลายด้านเข้าร่วมงาน เพื่อที่จะพัฒนาที่อยู่อาศัยในทุกโครงการให้เหนือความต้องการของผู้อยู่อาศัย และครอบคลุมทุกฟังก์ชั่นการใช้งานพื้นฐาน “เนื่องจากทิศทางของที่อยู่อาศัยพัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด เพื่อให้สอดรับกับการใช้ชีวิตในอนาคตของคนรุ่นใหม่ เอพี เปิดรับการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน เพื่อมอบโครงการคุณภาพพร้อมด้วยคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับลูกบ้านเอพี โดยเฉพาะการพัฒนาของเทคโนโลยีที่เข้ามาเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยให้ต่างจากอดีต เช่น เวทีสนทนา ‘International Symposium’ ในงาน Bangkok Design Week 2018 นิทรรศการรวบรวมนักออกแบบและนักสร้างสรรค์ทั้งชาวไทย และต่างประเทศ เพื่อแบ่งปันวิสัยทัศน์ด้านการออกแบบที่แปลกใหม่ ไม่ว่าจะเป็น Kaave Pour (โคเวอร์ พัว) Creative Director ของ SPACE10 ศูนย์วิจัยด้านการใช้ชีวิตในอนาคตของ IKEA ที่มุ่งออกแบบวิถีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ผ่านการค้นหาความเป็นไปได้ใหม่ๆ ในเทรนด์ระดับโลก เช่น ความมั่งคงด้านอาหาร การขยายตัวของความเป็นเมือง สุขภาพและสุขภาวะ หรือการออกแบบพื้นที่ใช้สอยที่มีอยู่อย่างจำกัดให้คุ้มค่าการใช้งานในโปรเจกต์ ‘AP SPACE SCHOLARSHIP’ ที่เกิดจากความร่วมมือระหว่าง Sam Baron และเอพี ไทยแลนด์ มุ่งนำเสนอการออกแบบพื้นที่อยู่อาศัยแห่งอนาคตผ่านนวัตกรรมพื้นที่แห่งอนาคตในมุมมองของ FABRICA Design Studio และ เอพี ไทยแลนด์” นายสรรพสิทธิ์กล่าว มร. แซม บารอง ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของ FABRICA Design Studio กล่าวว่า โครงการนี้จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของเยาวชนในสังคมไทยผ่านความเชี่ยวชาญของ FABRICA และเอพี ในด้านความเชี่ยวชาญการออกแบบพื้นที่อยู่อาศัย และงานออกแบบที่โดนใจคนที่มาจากต่างถิ่นและถูกสร้างสรรค์ให้เป็นพื้นที่อาศัยที่สามารถแบ่งปันกันได้อย่างลงตัว หรือที่เอพีมักเรียกว่า ‘Co-working Space’ ผมหวังว่าจะได้ร่วมงานกับเอพีในโปรเจกต์ที่ท้าทายเช่นนี้อีกในอนาคต มร. โคเวอร์ พัว ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบของ SPACE10 กล่าวในงาน International Symposium ว่า “SPACE10 มีการทำวิจัยและทดลองว่ามนุษย์เราจะใช้ชีวิตอย่างไรในอีก 2-3 ทศวรรษข้างหน้า จะเจาะลึกถึงความเป็นไปได้จริงใน 3 แนวคิดหลัก คือ สังคมหมุนเวียน (Circular Societies) การอยู่ร่วมกัน (Co-Existence) และการใช้เทคโนโลยีเสริมสร้างคนและสังคม (Digital Empowerment) มนุษย์ ถือเป็นผู้ผลักดันให้เกิดนวัตกรรม เมื่อประชากร 1,200 ล้านคนต้องอยู่ใกล้ชิดกันมากขึ้น มีการแบ่งปันกันมากขึ้น ทุกคนพร้อมที่จะแบ่งปันใช้ของร่วมกับคนอื่น นี่คือตัวอย่างที่เราคิดถึงอนาคตข้างหน้า ซึ่งคนที่เริ่มจินตนาการถึงอนาคต ก็จะเป็นคนที่เริ่มสร้างอนาคตจริงขึ้นมาได้ ปี 2030 เราจะอยู่กันอย่างไรเป็นคำถามที่เราต้องร่วมกันหาคำตอบ
ชีวาทัยเปิดแผนธุรกิจปี 61 ลุยเปิด 7 โครงการใหม่ 5,915  ลบ.

ชีวาทัยเปิดแผนธุรกิจปี 61 ลุยเปิด 7 โครงการใหม่ 5,915 ลบ.

ชีวาทัย เปิดตัว 7 โปรเจ็กต์ใหม่แนวราบ-สูงกรุงเทพฯและปริมณฑล 5,915 ล้านบาท เพิ่มสัดส่วนแนวราบ 40% ตั้งเป้ารายได้ทั้งปีเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% เปิดตัว "ชีวาทัย โซไซตี้" เอาใจลูกบ้าน นายบุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย  จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2561 มีแบล็กล็อก ประมาณ 1,500 ล้านบาท ตั้งเป้ารายได้ไม่ต่ำกว่า 2,400 ล้านบาท  ซึ่งโตประมาณ 20% จากปี 2560 และมีแผนที่จะเปิดโครงการใหม่ 5 โครงการ และร่วมทุนอีก 2 โครงการ มูลค่ารวม 5,915 ล้านบาท ได้แก่ 1. ชีวาทัย เรสซิเดนท์ ทองหล่อ(ทองหล่อ 20) โลว์ไรส์ 155 ยูนิต มูลค่า 954 ล้านบาท 2. ฮอลล์มาร์ค เกษตรนวมินทร์ โลว์ไรส์ 480 ยูนิต มูลค่า 1,700 ล้านบาท 3. ชีวาวัลย์ พุทธมณฑล สาย 1 บ้านเดี่ยว 53 ยูนิต มูลค่า 1,226 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ยที่ 19 ล้านบาท 4. ชีวา โฮม รังสิต-คลอง 4 ทาวน์โฮม 275 ยูนิต มูลค่า 700 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ยที่ 2.5-3 ล้านบาท 5. ชีวา โฮม ประชาอุทิศ 90 ทาวน์โฮม 391 ยูนิต มูลค่า 885 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ย 2.1-2.49 ล้านบาท 6. ชีวา ฮาร์ท สุขุมวิท ทาวน์โฮม ซอยสุขุมวิท 62/1 มูลค่า 180 ล้านบาท และ 7. ชีวา ฮาร์ท ทองหล่อ ทาวน์โฮม ซอยสุขุมวิท 36 มูลค่า 270 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทได้ปรับสัดส่วนรายได้จากคอนโดมิเนียมและแนวราบ (บ้านเดี่ยว, ทาวน์โฮม) โดยตั้งเป้าภายใน 3 ปี จะมีสัดส่วนรายได้จากคอนโดมิเนียม 55% แนวราบ 40% และรายได้จากโรงงานอุตสาหกรรมให้เช่าอีก 5% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนรายได้จากคอนโดมิเนียม 90% และ บ้านเดี่ยว 10%   “ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ชีวาทัย ได้เปิดตัว "ชีวาทัย โซไซตี้” (Chewathai Society) เพื่อตอบ สนองไลฟ์สไตล์และประสบการณ์ที่พิเศษของลูกบ้านโดยเฉพาะ เช่น  Member Get Member ที่สมาชิก Chewathai Society เพียงแนะนำเพื่อนมาเป็นลูกค้าโครงการใดก็ได้ของชีวาทัย รับค่าแนะนำสูงสุด 100,000 บาท และสิทธิ์รับส่วนลดสุดพิเศษจากร้านค้าชั้นนำต่างๆ ทั้งลด แลก แจก และแถม รวมถึงกิจกรรมดีๆ เพื่อสมาชิก รวมทั้ง สิทธิพิเศษในการจองซื้อ พร้อมเข้าชมการเปิดตัวโครงการใหม่ของชีวาทัย ได้ก่อนใคร ขณะเดียวกัน ยังมีบริการ Chewathai Care (Chewa Care : Chewa call 1260) ผู้ช่วยส่วนตัว ที่คอยให้คำปรึกษา สอบถามการใช้งาน และแนะนำการดูแลรักษาอุปกรณ์ต่างๆ  ในที่พักอาศัยของลูกค้าให้มี อายุการใช้งานได้นานขึ้น และมีสภาพดีอยู่เสมออีกด้วย” นายบุญ ชุน เกียรติ กล่าว     ทั้งนี้แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2561 คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะได้รับปัจจัยบวกจากการขยายตัวของเศรษฐกิจการลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็คของภาครัฐ ทั้งโครงการรถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ มอเตอร์เวย์ และการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่มีความชัดเจนเป็นรูปธรรม ส่วนแนวโน้มของตลาดที่อยู่อาศัย ย่านใจกลางเมือง ยังมีการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ ๆ โดยเฉพาะตามแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายเพิ่มมากขึ้น เช่น แอร์พอร์ตลิงค์ และแนวรถไฟฟ้าสายในอนาคต ทั้งสายสีเหลืองและสีชมพู รวมถึงสายสีเขียวและสีน้ำเงิน เป็นต้น  ส่งผลให้ผู้ที่ต้องการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยให้ความสนใจเพิ่มขึ้น