Tag : News

2376 ผลลัพธ์
เอสซีจีเปิดบริการ’เอสซีจี รูฟ รีโนเวชั่น’ แก้ปัญหาหลังคาบ้านวงจร

เอสซีจีเปิดบริการ’เอสซีจี รูฟ รีโนเวชั่น’ แก้ปัญหาหลังคาบ้านวงจร

เอสซีจีเปิดบริการ'เอสซีจี รูฟ  รีโนเวชั่น' แก้ปัญหาหลังคาบ้านวงจร ตอบโจทย์ลูกค้าบ้านเก่า 8 แสนหลังคาเรือนตั้งเป้าขายปีนี้ 1,000 หลังคา นายฎายิน เกียรติกวานกุล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กลุ่มธุรกิจหลังคา บริษัท กระเบื้องหลังคาซีแพค จำกัด เปิดเผยว่า เอสซีจีเปิดบริการ “เอสซีจี รูฟ  รีโนเวชั่น” ปัญหาเรื่องหลังคาอย่างครบวงจร โดยมีให้เลือกบริการซ่อมหลังคารั่วเฉพาะจุด (Roof-Repair) และเปลี่ยนหลังคาเก่าทั้งผืน (Re-Roof) รับประกัน 1 ปี โดยปีนี้เน้นให้บริการงานบ้านเดี่ยวก่อน และวางแผนขยายบริการไปสู่ที่อยู่อาศัยรูปแบบอื่นต่อไป "ภาพรวมตลาดบ้านเก่าอายุ 10 ปีขึ้นไป มีจำนวนประมาณ 18 ล้านหลังคาเรือนทั่วประเทศ ซึ่งจากผลการวิจัย พบว่าลูกค้าบ้านเก่าอายุมากกว่า 10 ปีขึ้นไปที่หลังคาเริ่มเสื่อมโทรม มีความสนใจปรับปรุงหลังคากว่า 8 แสนหลังคาเรือน มองว่าดีมานด์ในการซ่อมแซมบ้านยังมีสูง ด้วยการเติบโตที่สูงถึง 300% ใน 3 ปีที่ผ่านมา เอสซีจีจึงมุ่งเน้นด้านการให้บริการอย่างครบวงจร และใช้ทีมช่างคุณภาพการให้บริการแก่ลูกค้าทุกหลัง เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าบ้านเก่าที่มีความสนใจเปลี่ยนหลังคาบ้าน โดยเปิดโอกาสให้ผู้ที่มีปัญหาหลังคาสามารถลงทะเบียนเพื่อขอรับคำปรึกษาฟรี ผ่านช่องทางออนไลน์ ทั้งนี้ตั้งเป้ายอดซ่อมหลังคารั่วเฉพาะจุด(Roof-Repair) และเปลี่ยนหลังคาเก่าทั้งผืน (Re-Roof) 1,000 หลังคาเรือน ผลักดันยอดขายรูฟ รีโนเวชั่น เติบโต 150% จากปีที่ผ่านมา ” นายฎายิน กล่าว สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถขอรับคำปรึกษาได้ฟรีที่เอสซีจี เอ็กซพีเรียนซ์ และเอสซีจี โฮมโซลูชั่นทุกสาขาในกรุงเทพฯและปริมณฑล รวมถึงสาขาในหัวเมืองใหญ่ อาทิ ชลบุรี เชียงใหม่ ขอนแก่นและสุราษฎร์ธานี หรือติดต่อเอสซีจี คอนแทค เซ็นเตอร์ โทร.02-586-2222 หรือคลิกเว็บไซต์ www.scgbuildingmaterials.com
อัลติจูด เปิดขายแนวราบพร้อมกัน 3 โครงการ มูลค่ากว่า 700 ล้านบาท ชูจุดขาย “โครงการหรู ใจกลางเมือง” เร่งส่งโปรฯ ช็อคตลาดอสังหาฯ “ลดสูงสุด 2 ลบ. แถมลิฟต์ทุกยูนิต”

อัลติจูด เปิดขายแนวราบพร้อมกัน 3 โครงการ มูลค่ากว่า 700 ล้านบาท ชูจุดขาย “โครงการหรู ใจกลางเมือง” เร่งส่งโปรฯ ช็อคตลาดอสังหาฯ “ลดสูงสุด 2 ลบ. แถมลิฟต์ทุกยูนิต”

อัลติจูด ระเบิดศึกแนวราบ เปิดขายพร้อมกัน 3 โครงการ มูลค่ากว่า 700 ล้านบาท ทั้งบ้านเดี่ยวและโฮมออฟฟิศ ตีโจทย์พัฒนาโครงการเจาะช่องว่างทางการตลาด เน้นโครงการหรูใจกลางเมือง พร้อมดันโปรโมชั่นช็อควงการด้วย “ส่วนลดสูงสุด 2 ล้านบาท พร้อมติดตั้งลิฟต์ทุกยูนิต” ตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 มีนาคม 2561 นายขวัญชัย ยิ่งเจริญถาวรชัย กรรมการบริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่มุ่งพัฒนาโครงการหรูใจกลางเมือง ครอบคลุมทั้งโครงการแนวราบและแนวสูง กล่าวว่า “ต้นปีนี้อัลติจูดจะรุกตลาดแนวราบพร้อมกันอย่างเป็นทางการถึง 3 โครงการ ได้แก่ โครงการบ้านเดี่ยว 1 โครงการ คือ อัลติจูด มาสเตอรี่ พหลโยธิน 24 และโฮมออฟฟิศอีก 2 โครงการ คือ อัลติจูด พรูฟ เกษตร-นวมินทร์ และ อัลติจูด พรูฟ พระราม 9 มูลค่ารวมกว่า 700  ล้านบาท  ซึ่งทุกโครงการล้วนตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพใจกลางเมือง สามารถสนองตอบความต้องการของกลุ่มประกอบการ หรือ SME ที่เป็น Young Success คือ ผู้ที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย โดยการพัฒนาโครงการทั้ง 3 โครงการ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยวหรือโฮมออฟฟิศ เราล้วนให้ความสำคัญกับคนกลุ่มนี้เป็นหลัก โดยในช่วง การเปิดขายอย่างเป็นทางการนี้ บริษัทได้จัดโปรโมชั่นพิเศษ โดยมอบส่วนลด 2,000,000 บาท พร้อมติดตั้งลิฟต์ในทุกยูนิต โดยโปรโมชั่นเริ่มตั้งแต่วันนี้จนถึง 31 มีนาคมนี้ การพัฒนาโครงการที่เป็นโครงการหรูใจกลางเมือง มีกลยุทธ์หลักในการหาที่เพื่อพัฒนาโครงการ ไม่ว่าจะเป็นโครงการแนวราบหรือแนวสูง เพราะเรามองว่าเป็นโอกาส และเป็นช่องว่างทางการตลาด ในการพัฒนาสินค้าที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้า หรือคนที่ต้องการมีบ้านหรูใจกลางเมือง หากจะมองว่าเรา Niche ที่เป็นการพัฒนาโครงการเพื่อคนเฉพาะกลุ่มก็อาจจะเป็นไปได้ เมื่อกลยุทธ์การหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการเป็นดังนี้แล้ว กลุ่มเป้าหมายของเราจึงเจาะไปที่กลุ่ม Young Success ที่ต้องการความเป็น “เมือง” เพราะเดินทางสะดวก มีไลฟ์สไตล์ที่ต้องการ และยังสะท้อนภาพลักษณ์ของเจ้าของได้เป็นอย่างดีในอีกทางหนึ่ง ซึ่งลักษณะของคนกลุ่มนี้ ในแง่ของเหตุผลในการตัดสินใจซื้อโครงการ คือ ทำเล ความสะดวกในการเดินทาง ความพร้อมสำหรับการอยู่อาศัย อีกทั้งบ้านใจกลางเมืองในอนาคตนั้นจะมีมูลค่าสูงมากกว่าบ้านหรูย่านชานเมือง จึงเป็นโครงการที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ​ รวมถึงต้องมีดีไซน์ที่สวยงามทันสมัย แตกต่าง พร้อมฟังก์ชั่นที่ใช้งานได้จริงนั่นเอง” สำหรับรายละเอียดโครงการทั้ง 3 โครงการมีดังต่อไปนี้ อัลติจูด มาสเตอรี่ พหลโยธิน 24 อัลติจูด มาสเตอรี่ พหลโยธิน 24 “อัลติจูด มาสเตอรี่ พหลโยธิน 24” (ALTITUDE Mastery Phaholyothin 24) บ้านเดี่ยวระดับ Luxury พร้อมสระว่ายน้ำทุกยูนิต ในทำเลใจกลางเมือง ใกล้เซ็นทรัล ลาดพร้าว เพียง 600 เมตร และ 5 นาที จาก BTS พหลโยธิน 24 เป็นโครงการที่เน้นเรื่อง Private Community มีเพียง 8 หลัง ราคาเริ่มต้นที่ 30.7 – 43.78 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 240 ล้านบาท อัลติจูด พรูฟ เกษตร-นวมินทร์ อัลติจูด พรูฟ เกษตร-นวมินทร์ อัลติจูด พรูฟ เกษตร-นวมินทร์ “อัลติจูด พรูฟ เกษตร-นวมินทร์” (ALTITUDE Prove Kaset Nawamin) โฮมออฟฟิศ 4 ชั้น พร้อมลิฟต์ส่วนตัวเพียง 8 ยูนิต ที่ตอบรับทุกความลงตัวในทุกธุรกิจ บนพื้นที่ที่เหมาะทั้งอยู่อาศัยและต่อยอดกิจการ เดินทางสะดวกใกล้ทางด่วน และรถไฟฟ้าโครงการในอนาคต พร้อมเชื่อมต่อสู่โซนกลางใจเมืองได้อย่างง่ายดาย ในราคาเริ่มต้นที่ 19.7 – 26.9 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 175 ล้านบาท อัลติจูด พรูฟ พระราม 9 อัลติจูด พรูฟ พระราม 9 อัลติจูด พรูฟ พระราม 9 “อัลติจูด พรูฟ พระราม 9” (ALTITUDE Prove Rama 9) โฮมออฟฟิศ 4 ชั้นครึ่ง จำนวน 16 ยูนิต ที่สุดของทำเลติดถนนใหญ่ ติดทางด่วนพระราม 9 และเพียง 700 เมตร จากแอร์พอร์ตลิงค์รามคำแหง รองรับทีมงานได้ 25-30 คน ในรัศมีแห่งความก้าวหน้า ใกล้พื้นที่เศรษฐกิจ CBD การเดินทางสะดวก และโอกาสในการเติบโตของมูลค่าที่ดินในอนาคตสูง ในราคาเริ่มต้น 14.7 – 28.8 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 300 ล้านบาท นายขวัญชัย กล่าวเพิ่มเติมว่า “โปรโมชั่นของทั้ง 3 โครงการ ที่เรานำมามอบให้ในช่วงเปิดขายอย่างเป็นทางการขายได้ภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ ลูกค้าที่สนใจสามารถติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร 0-2160-5165 หรือ www.altitude.co.th  
พฤกษา โชว์ยอดขายปี 60 โต 7% พร้อมประกาศปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ เสริมกลยุทธ์เด็ดดันยอดขายปีนี้

พฤกษา โชว์ยอดขายปี 60 โต 7% พร้อมประกาศปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ เสริมกลยุทธ์เด็ดดันยอดขายปีนี้

พฤกษาโชว์ยอดขายปี 2560 มูลค่า 47,536 ล้านบาท โต 7% พร้อมปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ ลุยทาวน์เฮ้าส์ เสริมกลยุทธ์ขายไร้ขอบเขตผ่านกลุ่มสมาชิก Pruksa Member  เปิดตัวศูนย์กลางบริการเรื่องบ้าน Pruksa Open Home นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2560 บริษัทมียอดขายรวม 47,536 ล้านบาท โต 7% จากปี 2559 ที่มียอดขาย 44,342 ล้านบาท โดยสามารถทำรายได้รวมอยู่ที่ 43,922 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 5,454 ล้านบาท” และในปีนี้มีแผนจะเปิดโครงการใหม่รวม 75 โครงการ มูลค่า 66,700 ล้านบาท คาดว่าสามารถเปิดขายได้ตามแผนที่วางไว้  รวมถึงการปรับโครงสร้างองค์กรใหม่ และเพิ่มธุรกิจทาวน์เฮาส์ จากเดิมที่มีการแบ่งเป็นธุรกิจแวลู และพรีเมียม เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและรวดเร็วในการบริหารงาน โดยทาวน์เฮ้าส์ถือเป็นพอร์ตใหญ่ของพฤกษา คิดเป็นสัดส่วน 60% ของพอร์ตรวมทั้งหมด  ขณะเดียวกันยังเน้นการนำนวัตกรรมใหม่ๆ ในด้านการก่อสร้างเพื่อพัฒนาคุณภาพของสินค้า ควบคู่กับการสร้างแบรนด์พฤกษา นอกจากนี้ ได้วางกลยุทธ์ในการเพิ่มยอดขายด้วย Pruksa Member การขายไร้ขอบเขต เพื่อขยายช่องทางการขาย ที่เน้นการบอกต่อ และการแนะนำ เพียงสมัครเป็นสมาชิก Pruksa Member และปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนด เช่น แนะนำเพื่อนที่สนใจซื้อบ้าน การพาเยี่ยมชมโครงการ การจอง การทำสัญญา การชำระเงินดาวน์ สมาชิกจะได้รับคะแนนสะสม และสามารถนำคะแนนสะสมไปแลกเป็นของรางวัล เช่น เงินสด  ทองคำ แพ็กเกจท่องเที่ยว สินค้าแบรนด์เนม เป็นต้น โดยได้เริ่มเปิดตัวสำหรับพนักงานในองค์กรเป็นเฟสแรกแล้ว และจะเริ่มใช้งานเต็มรูปแบบสำหรับสมาชิกในเดือนสิงหาคมนี้ คาดว่าจะเป็นอีกหนึ่งช่องทางเพื่อเพิ่มโอกาสการขาย โดยบุคคลทั่วไป ที่ไม่ใช่ลูกค้าพฤกษาก็สามารถสมัครเป็นสมาชิก Pruksa Member ในการช่วยขายได้พร้อมรับสิทธิประโยชน์ได้เช่นกัน ทั้งนี้ ยังได้เปิดตัว Pruksa Open Home ศูนย์กลางการให้บริการแบบ One-Stop Service ที่อาคารเพิร์ล แบงก์ค็อก ชั้น 3 โดยลูกค้าสามารถหาข้อมูลและเลือกซื้อที่อยู่อาศัยทุกโครงการจากพฤกษา จองและทำสัญญา รับข้อเสนอพิเศษด้านสินเชื่อจาก สถาบันการเงินชั้นนำ พร้อมบริการตรวจสอบเครดิตบูโร แบบครบวงจรในที่เดียว ช่วยลดเวลาและความยุ่งยากให้ลูกค้า สำหรับลูกค้าที่ไม่มั่นใจเรื่องความสามารถในการกู้ซื้อบ้าน ก็สามารถปรึกษาเจ้าหน้าที่ และเลือกรับข้อเสนอสินเชื่อจากธนาคารพันธมิตรต่างๆ ของพฤกษาได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ Pruksa Open Home ยังเป็นศูนย์กลางการฝากขาย ฝากเช่าโครงการที่อยู่อาศัยของพฤกษาให้กับคนไทยรวมถึงต่างชาติอีกด้วย โดยพฤกษาถือเป็นผู้ประกอบการรายแรกในวงการอสังหาฯ ที่พัฒนาศูนย์กลางให้บริการเรื่องบ้านในรูปแบบเบ็ดเสร็จนี้ในอาคารสำนักงาน เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า
ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทยชี้บทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางโลจิสติกส์ของจีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทยชี้บทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางโลจิสติกส์ของจีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

มร. มาร์คัส เบอร์เทนชอว์ กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายตัวแทนนายหน้า บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ความสัมพันธ์ทางเชื้อสายและวัฒนธรรมระหว่างประเทศไทยและจีนมีมานานกว่า 200 ปี แต่การลงทุนในภาคอสังหาฯ จากจีนถูกจำกัดด้วยกฎหมายไทยในการถือครองที่ดินของชาวต่างชาติ การร่วมทุนซิโน-ไทยมีบทบาทสำคัญในภาคการค้าและภาคอุตสาหกรรมเสมอมา แต่ตัวอย่างความร่วมมือที่สำคัญในช่วงหลายปีที่ผ่านมาคือความร่วมมือระหว่างฮอลลีย์กรุ๊ปของจีนและบริษัท อมตะ คอร์ปอร์เรชั่น จำกัด มหาชน ที่ร่วมกันพัฒนาพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมระยอง ไทย-จีนตั้งอยู่แนวโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออกของไทย (Eastern Economic Corridor) ซึ่งได้รับประโยชน์จากนโยบาย "Go out" ของจีนและได้รับการสนับสนุนจากผู้ผลิตชาวจีนกว่า 100 ราย ที่ลงทุนในพื้นที่นี้กว่า 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยในปัจจุบันมีแรงงานไทยกว่า 20,000 คน และแรงงานจีนมากกว่า 3,000 คน จากการประกาศล่าสุดที่ว่า HNA Innovation Finance และ CT Bright จะร่วมลงทุนเท่าๆ กันรวม 20% ของเงินทุน ซึ่งอาจจะสูงถึง 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า เพื่อลงทุนในโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก ของไทยที่มีมูลค่า 43,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งทำให้พื้นที่นี้มีศักยภาพและความสามารถในการแข่งขันของประเทศ บทบาทของไทยในฐานะศูนย์กลางการขนส่งและโลจิสติกส์ของประเทศจีนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีบทบาทมากขึ้นหลังคณะรัฐมนตรีไทยลงมติอนุมัติงบประมาณ 5,200 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อดำเนินการสร้างทางรถไฟยาว 256 ก.ม. จากกรุงเทพฯไปยังจังหวัดหนองคายที่คาบเกี่ยวเส้นพรมแดนประเทศลาว โดยเลือกให้ผู้เชี่ยวชาญจากจีนเป็นผู้พัฒนาเครือข่ายรถไฟในขั้นแรกที่ซึ่งจะเชื่อมต่อกับจีน, มาเลเซีย และสิงคโปร์ ผ่านทางลาวและไทย นอกจากการเติบโตขององค์กรในภาคการผลิตและอีคอมเมิร์ซของจีนแล้ว เราคาดว่าจะเห็นกิจการร่วมทุนมากขึ้นในภาคการบริการ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในเมืองไทย และคาดว่าจะเห็นการร่วมมือของจีนในการพัฒนาโครงการพื้นฐานในเครือข่ายรถไฟหรือแม้แต่โครงการขุดคลอง ( Kra Isthmus Canal ) ที่จะช่วยร่นระยะทางเส้นสายไหมทางทะเล (Maritime Silk Road) ให้สั้นลง 1,200 ก.ม.เพื่อช่วยลดระยะเวลาขนส่งสินค้าของจีนไปยังทวีปยุโรป”  
ปี’61 พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ตั้งเป้ารายได้1,300 ลบ. ลงทุนดิจิตอลต่อเนื่อง

ปี’61 พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ตั้งเป้ารายได้1,300 ลบ. ลงทุนดิจิตอลต่อเนื่อง

นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ในปี 2561 ตั้งเป้าหมายรายได้รวมไว้ที่ 1,300 ล้านบาท หรือเติบโต 18% จากปี 2560 ซึ่งมีรายได้รวม 1,100ล้านบาท (เติบโต 14% จากปี 2559) โดยสัดส่วนรายได้ยังคงแบ่งเป็น 60% มาจากงานด้านการขาย และ 40% มาจากงานด้านการบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ และลงทุนระบบด้านเทคโนโลยีเพื่อให้พนักงานทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น   สำหรับ กลยุทธ์และแผนงานของพลัสฯ ในปี 2561 บริษัทกำหนดไว้ 4 ด้าน ประกอบด้วย 1 PLUS Experience การสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างและเหนือความคาดหมาย  2 . Customer  Focus ยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง ตอบสนองความต้องการของลูกค้าอย่างตรงจุด  3. Technology and Data Driven เก็บรวบรวมข้อมูลลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย (Big Data) จากทุกหน่วยธุรกิจ โดยในปีนี้ได้ลงทุนนำซอฟท์แวร์ Sales Force เพื่อทำการเชื่อมต่อข้อมูลขนาดใหญ่ที่รวบรวมไว้ให้พนักงานทุกคนเข้าถึงข้อมูลเดียวกัน และระบบ Machine Learning ที่สามารถศึกษาพฤติกรรมการใช้งานเว็บไซต์ เพื่อนำเสนอข้อมูลบริการที่เหมาะสมและตอบโจทย์ผู้ใช้แต่ละรายในรูปแบบที่แตกต่างกันไป นอกจากนี้ ยังมีการนำ QR Code มาใช้ในการติดตามตรวจสอบระบบและอุปกรณ์การทำงานด้วย และ  4.  Business and Financial Enhancement ขยายงาน เพิ่มศักยภาพบุคลากร เกิดการกระจายรายได้อย่างมีเสถียรภาพ     ทั้งนี้ นายอนุกูล กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปีนี้รัฐบาลลงทุนด้านคมนาคมต่อเนื่อง มีเม็ดเงินเข้ามาในระบบประมาณ 30% ของงบลงทุนรวมทั้งประเทศ ซึ่งส่งผลดีต่อการขยายตัวของอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 2-3 ปีต่อจากนี้ โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม เนื่องจากเป็นตลาดที่รองรับการอยู่อาศัยจริงและเพื่อการลงทุน อย่างไรก็ตาม ยังคงมีปัจจัยที่ต้องติดตาม คือ ร่างกฎหมายผังเมือง ที่คาดว่าจะประกาศใช้และปัญหาขาดแคลนแรงงาน คาดการณ์ทิศทางอสังหาริมทรัพย์ปี 2561 จะยังคงเติบโตใกล้เคียงกับปีก่อน ซึ่งยังคงมีกำลังซื้อในกลุ่มตลาดคอนโดมิเนียม รองลงมาคือทาวน์เฮาส์ และตามด้วยบ้านเดี่ยว โดยคอนโดมิเนียมและทาวน์เฮาส์กลุ่มตลาดระดับกลางถึงกลุ่มระดับบนจะเป็นที่ต้องการในตลาดสูงขึ้น และตลาดบ้านเดี่ยวกลุ่มระดับกลางยังเป็นอุปทานหลักและมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี เนื่องจากตลาดระดับกลาง-บน ยังมีแรงขับโดยเฉพาะจากกลุ่มตลาดแนวสูงอย่างคอนโดมิเนียมเป็นหลักเช่นเดิม และจะเริ่มขยายพื้นที่เติบโตตั้งแต่พื้นที่ชั้นในไปยังแถบชั้นกลางของกรุงเทพฯ  
แอสเซทไวส์ เผยแผนธุรกิจปี 2561 ตั้งเป้ายอดขาย 4,200 ล้านบาท ชู Health  Solution ตอบโจทย์ชีวิตคนเมือง

แอสเซทไวส์ เผยแผนธุรกิจปี 2561 ตั้งเป้ายอดขาย 4,200 ล้านบาท ชู Health Solution ตอบโจทย์ชีวิตคนเมือง

บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด ประกาศผลการดำเนินในปีที่ผ่านมาเติบโตอย่างต่อเนื่อง สวนกระแสเศรษฐกิจพร้อมรุกตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2561 ตั้งเป้าเปิดตัวโครงการใหม่ 6 โครงการ ชูจุดเด่นของโครงการโดยยึดแนวคิด Health Solution ออกแบบโครงการและการบริการต่างๆ ให้ตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด เปิดเผยว่า  ยอดขายในปี 2560 เติบโตอย่างต่อเนื่องและเป็นในทิศทางที่น่าพอใจ  ด้วยโครงการคุณภาพสำหรับคนรุ่นใหม่บนทำเลศักยภาพติดแนวรถไฟฟ้า  ซึ่งในปีที่ผ่านมาเปิดตัวทั้งหมด 6 โครงการ มูลค่ารวม 4,445 ล้านบาท  ได้แก่  คอนโด Wynn โชคชัยสี่, คอนโด Kave  ตรงข้ามมหาวิทยาลัยกรุงเทพ รังสิต,    คอนโด  Brown พหลโยธิน-สะพานใหม่,  คอนโด Modiz Interchange  สะพานใหม่, คอนโด Atmoz ลาดพร้าว 71   และ คอนโดด Modiz รัชดา 32  โดยมียอดขายรวมอยู่ที่ 3,336 ล้านบาท ทั้งนี้ในปี 2561 ตั้งเป้ายอดขาย อยู่ที่ 4,200 ล้านบาท  เติบโตถึงกว่า 25 %  โดยมีเป้ารับรู้รายได้ 4,000 ล้านบาท  โดยวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 6 โครงการ รวมมูลค่า 5,000 ล้านบาท    โครงการที่จะเปิดตัวล่าสุด คือ บราวน์ ห้วยขวาง เป็นคอนโดแบบเฟรนช์สไตล์ ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพย่าน CBD ใหม่รัชดาภิเษก – ห้วยขวาง สะดวกสบายในการคมนาคม  เหมาะกับวิถีคนเมืองที่ต้องใช้ชีวิตรีบเร่ง เพียง 5 นาทีจากสถานีรถไฟใต้ดินสถานีห้วยขวาง เปิดจองช่วง Pre- sales วันที่ 24 กุมภาพันธ์นี้  ในราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท  ภายในครึ่งปีแรกยังมีแผนเปิดตัวอีก 3 โครงการคือ โครงการ Glam ลาดพร้าว 71 เป็นลักชัวรี่ทาวน์โฮมดีไซน์โดดเด่น และโครงการ  Atmoz ลาดพร้าว 15 ภายใต้แนวคิด “Urban Refresh”  พร้อมปักหมุดย่านฝั่งธนบุรีด้วยโครงการ Brown ศิริราช-อิสรภาพ ภายใต้แนวคิด Stylish Condo กับดีไซน์ Modern Vintage ที่เป็นเอกลักษณ์  โดยบริษัทมี Backlog ในปัจจุบัน 5,500 ล้านบาทที่จะทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ แอสเซทไวส์ ยังชูจุดเด่นของบริษัท ที่สะท้อนการใส่ใจในรายละเอียดเพื่อสุขภาพที่ดีของลูกบ้าน   ภายใต้แนวคิด Health Solution ซึ่งประกอบไปด้วยการออกแบบตัวอาคารและฟังก์ชั่นภายในห้อง, สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางและพื้นที่สีเขียว รวมถึงการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ใช้ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมือง อาทิเช่น ระบบ Digital Sound System ลำโพงบลูทูธ, Thermostat ควบคุมอุณหภูมิ  และไฟ LED ที่เตียงเพื่อความปลอดภัยในการลุกจากที่นอน อีกทั้งยังร่วมมือกับ MeID พัฒนาแอพพลิเคชั่นในการเก็บข้อมูลสุขภาพ มอบเป็นนาฬิกาสายรัดข้อมืออัจฉริยะให้กับลูกบ้าน และยังมีกิจกรรมอบรม ทำ CPR (การช่วยชีวิตเบื้องต้น) ให้กับเจ้าหน้าที่ภายในโครงการ เพื่อช่วยเหลือลูกบ้านในกรณีฉุกเฉิน รวมถึงกิจกรรมเพื่อสุขภาพในรูปแบบต่างๆ  ไม่ว่าจะเป็นการแจกบัตรงานวิ่ง คอร์สโยคะ  ส่งเจ้าหน้าที่ Health Consultant ประเมินสุขภาพเบื้องต้น  วัดค่า BMI และสอนวิธีการออกกำลังกายที่ถูกต้อง ในด้านการบริหารประสบการณ์ลูกค้า แอสเซทไวส์ส่งมอบความสุขให้กับลูกค้าผ่าน AssetWise Club โดยมีการจัดกิจกรรมลูกค้าสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งจับมือกับบริษัท บางกอก สมาร์ทการ์ด ซิสเทม จำกัด จัดทำบัตร AssetWise Club Rabbit Card ภายใต้แนวคิด One Card Fit All บัตรเดียวสำหรับเข้าออกอาคารและห้องพักอาศัย (ในอนาคต) ขึ้นรถไฟฟ้า และร่วมกิจกรรมส่งเสริมการขาย พร้อมรับสิทธิพิเศษอื่นๆ ซึ่งได้เริ่มทยอยส่งมอบบัตรให้กับลูกค้า ทั้งลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา กลยุทธ์การลงทุนในปี 2561  ยังคงเน้นการขยายตลาดเขตใกล้เมืองตามแนวรถไฟฟ้า ทำเลใกล้มหาวิทยาลัย และแหล่งงานสำคัญ    โดยมีแผนจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย SET  ในช่วงปลายปี 2562   เน้นกลยุทธ์การเลือกทำเลที่มีศักยภาพ เพื่อพัฒนาโครงการที่สวยงามมีคุณภาพในระดับราคาที่แข่งขันได้ สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐที่มีความชัดเจนในการขยายเส้นทางรถไฟฟ้ามากขึ้น  ประกอบกับแนวโน้มเศรษฐกิจเชิงบวกของประเทศ จึงมั่นใจว่าบริษัทจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องตามเป้าหมาย
แสนสิริผนึก 6 พาร์ทเนอร์ชั้นนำทั้งไทยและระดับโลก เปิดตัว ‘Smart Move’ ครั้งแรกในโครงการที่อยู่อาศัย ปฏิวัติการเดินทางรูปแบบใหม่ให้ลูกบ้านแสนสิริ สู่ยุค Car Free Living

แสนสิริผนึก 6 พาร์ทเนอร์ชั้นนำทั้งไทยและระดับโลก เปิดตัว ‘Smart Move’ ครั้งแรกในโครงการที่อยู่อาศัย ปฏิวัติการเดินทางรูปแบบใหม่ให้ลูกบ้านแสนสิริ สู่ยุค Car Free Living

ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยี บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ร่วมด้วย 6 พาร์ทเนอร์ชั้นนำทั้งไทยและระดับโลก เปิดตัว Smart Move แพลตฟอร์มบริการยานพาหนะระบบเช่าในโครงการของแสนสิริเป็นครั้งแรกในโครงการที่อยู่อาศัย เดินหน้าสร้างสรรประสบการณ์ใหม่แก่ลูกบ้านแสนสิริเพื่อเติมเต็มประสบการณ์การอยู่อาศัยสมบูรณ์แบบ (Complete Your Living Experience) โดย 6 พาร์ทเนอร์ชั้นนำ ประกอบด้วย Honda ผู้นำรถจักรยานยนต์อันดับหนึ่งของไทย ส่งรถจักรยานยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ล่าสุดร่วมบริการ Uber ผู้ให้บริการรถร่วมเดินทางผ่านแอพพลิเคชั่นจากสหรัฐอเมริกา มอบสิทธิพิเศษนั่งฟรีครั้งแรกสำหรับลูกบ้านโครงการใหม่ ofo ผู้ให้บริการเช่า จักรยานผ่านทางแอปพลิเคชั่นมือถือรายแรกและรายใหญ่ที่สุดของโลก นำร่องให้บริการเช่ารถจักรยานใน 11 โครงการครอบคลุมกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด Haupcar ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มให้บริการคาร์แชร์ริ่งรายแรกของไทย และทางแสนสิริได้ส่งรถยนต์ไฟฟ้า BMW i3 ร่วมบริการครั้งแรกในโครงการที่อยู่อาศัยไทย SHARGE ผู้ให้บริการเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำ พร้อมบริหารแพลตฟอร์มอัจฉริยะนี้ และ EA Anywhere ผู้ให้บริการสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า เดินหน้าติดตั้งอุปกรณ์รุ่นใหม่พร้อมให้ชาร์จฟรีครั้งแรกสำหรับลูกบ้านแสนสิริ เสิร์ฟบริการครอบคลุมทุกการเดินทางด้วยยานพาหนะทุกรูปแบบ รวมถึงสถานีชาร์จไฟฟ้ารถยนต์ผ่านแพลตฟอร์มบริการที่สมบูรณ์แบบ ตอบสนองความต้องการและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตยุคใหม่ของลูกบ้านแสนสิริในโครงการที่พักอาศัยครั้งแรกของประเทศไทย  
บางกอกสมาร์ทรุกตลาดต่างประเทศ ตั้งเป้าปิดยอดขาย 15,000 ลบ.

บางกอกสมาร์ทรุกตลาดต่างประเทศ ตั้งเป้าปิดยอดขาย 15,000 ลบ.

บางกอกซิตี้สมาร์ท ปี 2560  ชูยอดขายแตะ10,000 ล้านบาท  รุกตลาดต่างประเทศ ตั้งเป้าสิ้นปีปิดยอดขายรวม 15,000 ล้านบาท ปิดยอดขายสิ้นปี 15,000 ล้านบาท นายขยล ตันติชาติวัฒน์ ผู้อำนวยการ บริษัท บางกอกซิตี้สมาร์ท จำกัด (BC) ตัวแทนด้านอสังหาริมทรัพย์ ฝากขาย ฝากเช่า  ในเครือบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปี 2560 ของบริษัทฯยอดขายมูลค่าพร็อพเพอร์ตี้เทรดผ่านบริษัท 10,000 ล้านบาท หรือ โต65% จากปีก่อน ทะลุยอดขายที่ตั้งไว้ 7,000 ล้านบาท จากการเติบโตดีมานด์คอนโดรีเซลที่เพิ่มขึ้นกว่า 50% โดยสัดส่วนยอดขายแบ่งเป็นสินค้ารีเซล 60% และโครงการใหม่ 40% สำหรับปี 2561 บริษัทโฟกัสทำเลใจกลางเมือง (CBD) ที่มีศักยภาพการเติบโตได้ รวมถึงทีมงานคุณภาพ  ในเรื่องของการให้คำปรึกษาลูกค้า และการเจรจาต่อรอง อีกทั้งเดินหน้าขยายเครือข่ายและฐานข้อมูลลูกค้า ซึ่งบริษัทได้เป็นตัวแทนด้านอสังหาริมทรัพย์เข้ามาบริหารจัดการดูแลการขายคอนโดมิเนียมเครือเอพี (บริษัทแม่) ในตลาดต่างประเทศอย่างเป็นทางการ โดยจัดตั้งหน่วยงานใหม่เจาะตลาดลูกค้าต่างชาติ รวมทั้ง ร่วมกับพันธมิตรพร็อพเพอร์ตี้เอเจนท์ชั้นนำ บุกตลาด 5  ประเทศได้แก่ ญี่ปุ่น ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน และจีน  นำสินค้าไปโรดโชว์ คาดว่าจะสามารถปิดยอดขายมูลค่าพร็อพเพอร์ตี้สิ้นปี 2561 ที่ 15,000 ล้านบาท “ ภาพรวมตลาดอสังหาฯปีนี้ มีแนวโน้มโตขึ้นตามการคาดการณ์เศรษฐกิจประเทศ  4%  และความคืบหน้าโครงการรถไฟฟ้าในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล  รวมทั้ง ดีมานด์ลูกค้าต่างชาติที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงและลงทุน ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในการซื้อ-ขาย และลงทุนสินค้าอสังหาฯ  โดยเฉพาะตลาดคอนโดระดับกลางถึงไฮเอนด์ใจกลางเมือง” นายขยล กล่าว ทั้งนี้ จากการสำรวจโดยฝ่ายวิจัยบางกอกซิตี้สมาร์ท พบว่า ทำเลสินค้ารีเซล–ปล่อยเช่าคอนโดที่มีศักยภาพได้แก่  โซนสุขุมวิทตอนต้น ถึงตอนกลาง (นานา–อโศก-พระโขนง)  เนื่องจากมีออฟฟิศชั้นนำทั้งต่างชาติและไทย และแหล่งไลฟ์สไตล์ขนาดใหญ่โดยมีการปล่อยเช่าห้องขนาด 1 ห้องนอน ราคาเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ 700 บาทต่อตารางเมตรขึ้นไป หรือให้ผลตอบแทนจากการเช่าประมาณ 6-7%และโซนเชื่อมต่ออโศก–พระราม 9 พบสัดส่วนการเข้าอยู่อาศัยของคนเมืองวัยทำงาน รวมถึงมีผู้เช่า Expat ต่อเนื่อง โดยอัตราการเข้าอยู่และผลตอบแทน (yield)  เติบโตเพิ่มขึ้นไปในทิศทางเดียวกัน เช่น The ADDRESS อโศก RHYTHM อโศก 2 RHYTHM อโศก หรือ ASPIRE พระราม 9 เป็นต้น มีอัตราการเข้าอยู่เฉลี่ยกว่า 85% ทุกโครงการ แบ่งสัดส่วนเป็นผู้ซื้ออยู่เอง 60% และปล่อยเช่า 40% โดยเป็นผู้เช่าชาวเอเชีย เช่น  ไต้หวัน เกาหลี ญี่ปุ่น และ จีน และราคาปล่อยเช่าเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 20,000 – 50,000  บาทต่อเดือน ขณะที่ผลตอบแทนการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 5 - 6% ต่อปี ทั้งนี้ บางกอกซิตี้สมาร์ท มีพอร์ตสินค้าคอนโดมิเนียมรีเซลทำเลใจกลางเมือง (CBD) มากกว่า 15,000 ยูนิต (ทั้งสร้างเสร็จและอยู่ระหว่างการก่อสร้าง) มูลค่า 80,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดเครือ เอพี (ไทยแลนด์) ประมาณ 50% และคอนโดแนวรถไฟฟ้าจากดีเวลลอปเปอร์อื่นๆ อีก 50% และมีพอร์ตสินค้าคอนโดมิเนียมปล่อยเช่าประมาณ 5,000 ยูนิต มูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาท ซึ่งแต่ละปีบริษัทฯ สามารถระบายสินค้าออกไปประมาณกว่า 2,500 ยูนิต ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าระดับราคาประมาณ 5 ล้านบาทต่อยูนิตขึ้นไป
ออลล์ อินสไปร์ฯ ลุยเปิดโครงการใหม่ ดิ เอ็กเซล ไฮด์อะเวย์ รัชดา-ห้วยขวาง มูลค่า1,300 ล้านบาท ชูทำเลศักยภาพ New CBD แห่งใหม่ของกรุงเทพ มั่นใจดีมานด์สูงเหมาะแก่การอยู่อาศัยและปล่อยเช่าที่ได้ผลตอบแทน 5-7% ต่อปี

ออลล์ อินสไปร์ฯ ลุยเปิดโครงการใหม่ ดิ เอ็กเซล ไฮด์อะเวย์ รัชดา-ห้วยขวาง มูลค่า1,300 ล้านบาท ชูทำเลศักยภาพ New CBD แห่งใหม่ของกรุงเทพ มั่นใจดีมานด์สูงเหมาะแก่การอยู่อาศัยและปล่อยเช่าที่ได้ผลตอบแทน 5-7% ต่อปี

บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบคอนโดมิเนียม ภายใต้แบรนด์ ดิ เอ็กเซล และ ไรส์  เดินหน้าเปิดโครงการใหม่ตามแผนดำเนินงานที่ประกาศไว้ ล่าสุดเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ ดิ เอ็กเซล ไฮด์อะเวย์ รัชดา-ห้วยขวาง (The Excel Hideaway  Ratchada– Huai kwang) มูลค่าโครงการกว่า 1,300 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 1.59 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพ New CBD แห่งใหม่ของกรุงเทพ หวังจับกลุ่มลูกค้าคนทำงานและนักลงทุนจีน มั่นใจดีมานด์สูงเหมาะแก่การอยู่อาศัยและปล่อยเช่าที่ได้รับผลตอบแทน 5-7% ต่อปี นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบันทำเลในย่านรัชดาเป็นทำเลที่กระแสแรงไม่หยุด ถือว่าเป็นศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ โดยในปี 2561 นี้ รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินจะเป็นรถไฟฟ้าสายแรกของประเทศไทยที่สร้างเสร็จครบลูป พร้อมเชื่อมโยง ตั้งแต่สถานีเตาปูน-รัชดา-พระราม 9 ที่เชื่อม New CBD แห่งใหม่ของกรุงเทพฯ เข้าสู่ สุขุมวิท-สีลม ย่านธุรกิจและแหล่งงาน และในอนาคตสายสีน้ำเงินจะมีบทบาทสำคัญในการเชื่อมความหลากหลายของแต่ละทำเลสำคัญในกรุงเทพฯ เข้าไว้ด้วยกัน ด้วยศักยภาพทำเลที่ตั้งอยู่ใจกลางเมือง และรายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ ห้างสรรพสินค้า แหล่งช้อปปิ้งมอลล์ สถานศึกษา และอาคารสำนักงานต่างๆ ส่งผลให้ตลาดที่อยู่อาศัยในย่านนี้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยังมีดีมานด์ที่รอสินค้าพร้อมตอบโจทย์ความต้องการในทุกด้านอยู่อีกมาก บริษัทฯ จึงเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ คือ โครงการ ดิ เอ็กเซล ไฮด์อะเวย์ รัชดา-ห้วยขวาง (The Excel Hideaway Ratchada – Huai kwang) มูลค่ากว่า 1,300 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 1.59 ล้านบาท สำหรับทำเลรัชดาไปถึงแยกพระราม9 มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องมาตลอดโดยเฉพาะช่วง 6 – 7 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่ปี 2554-2560 มีการลงทุนจากภาคเอกชนทั้งในรูปแบบศูนย์การค้าและอาคารสำนักงานรวมกว่า 1 ล้านตารางเมตร ภายในระยะเวลาเพียงแค่ 6 ปีเท่านั้น และในอนาคตยังมี Super Tower ซึ่งถ้าหากแล้วเสร็จ จะทำให้มีจำนวนบุคลากรเพิ่มเข้ามาในทำเลรวมประมาณ 57,000 คน ทำให้การพัฒนาของทำเลนี้นี้ยังสามารถเติบโตได้อีก ในส่วนของคอนโดมิเนียมในโซนรัชดาภิเษก ตั้งแต่แยกลาดพร้าวไปจนถึงแยกพระราม 9 พบว่า โครงการที่เปิดขายอยู่มีราคาตั้งแต่ 80,000-150,000 บาทต่อ ตร.ม. เป็นที่ทราบกันดีว่าทำเลรัชดาฯเองถูกยกให้เป็น New CBD เนื่องจากมีแหล่งงานขนาดใหญ่ จึงทำให้มูลค่าทั้งที่ดินและคอนโดมิเนียมมีราคาสูงขึ้นอย่างรวดเร็วรวมไปถึงการเข้ามาลงทุนของนักธุรกิจจีนที่กว้านซื้อห้องชุดของหลายๆ โครงการในย่านรัชดาภิเษก ทำให้ตัวเลขของราคาคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ปรับตัวเพิ่มสูงถึง 10-15%  ต่อปี ​การลงทุนด้านที่อยู่อาศัยในทำเลรัชดาภิเษก ถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพในการลงทุนสูงโดยเฉพาะการปล่อยเช่า ที่มีผู้เช่าแทบจะเต็มทั้งปี ด้วยอัตราค่าเช่าประมาณ 12,000 - 30,000 บาทต่อเดือน ให้อัตราผลตอบแทนประมาณ 5-7% ต่อปี (ขึ้นอยู่กับแต่ละโครงการ) รวมถึงการเพิ่มขึ้นของมูลค่าคอนโดมิเนียมเมื่อขายต่อหรือ Capital Gain ที่สูงถึงปีละ 6-10% สำหรับโครงการ ดิ เอ็กเซล ไฮด์อะเวย์ รัชดา-ห้วยขวาง (The Excel Hideaway  Ratchada– Huai kwang) เป็นคอนโดมิเนียม Low Rise 8 ชั้น 3 อาคาร จำนวน 592 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,280 ล้านบาท  ราคาเริ่มต้น 1.59 ล้านบาท  ที่มาพร้อมเฟอร์นิเจอร์แบบ Fully Furnished มีจุดเด่นที่โครงการอยู่ใกล้กับรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีห้วยขวาง ประมาณ 1 กม. พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกขนาดใหญ่ กับราคาเริ่มต้นที่ลูกค้าเข้าถึงง่าย เฉลี่ย 70,000 - 80,000 บาท ต่อตร.ม. “ล่าสุด สำหรับผู้ที่สนใจเป็นเจ้าของคอนโดมิเนียมคุณภาพเยี่ยมบนทำเลศักยภาพที่ให้ผลตอบแทนสูง บริษัทฯ เตรียมเปิดให้จองสิทธิ์ ครั้งแรกก่อนใคร!! ภายในงานแคมเปญ “All Life Dimensions” วันที่ 19 – 22 ก.พ. นี้ ณTerminal 21 ชั้น MF(ทางเชื่อม BTS สถานี อโศก) สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.allinspire.co.th หรือโทร 02 029 9999
Spaces ผู้บุกเบิกโคเวิร์กกิ้งและพื้นที่ทำงานพร้อมใช้จากอัมเสตอร์ดัม ชี้ความยืดหยุ่นเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างสมดุลให้กับชีวิตการทำงาน

Spaces ผู้บุกเบิกโคเวิร์กกิ้งและพื้นที่ทำงานพร้อมใช้จากอัมเสตอร์ดัม ชี้ความยืดหยุ่นเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างสมดุลให้กับชีวิตการทำงาน

ปัจจุบันคนไทยวัยทำงานเริ่มมองหาสถานที่ทำงานที่มอบความยืดหยุ่นให้แก่ชีวิตมากขึ้น เพื่อสร้างสมดุลในชีวิตและการทำงาน ซึ่งสอดคล้องกับผลการสำรวจล่าสุดจาก Spaces (สเปซเซส) ผู้บุกเบิกโคเวิร์กกิ้งและพื้นที่ทำงานพร้อมใช้จากอัมเสตอร์ดัม การสำรวจดังกล่าวได้รวบรวมข้อมูลจากการสัมภาษณ์นักธุรกิจกว่า 100 คนทั่วประเทศไทย เพื่อทำความเข้าใจถึงกลุ่มคนที่ผลักดันให้เกิดความต้องการสถานที่ทำงานที่ให้ความยืดหยุ่นแก่ชีวิตมากยิ่งขึ้น โดยพบว่าจำนวนมากกว่าครึ่งหนึ่ง (ร้อยละ 58) ของผู้ให้สัมภาษณ์คาดว่าความต้องการการทำงานที่ยืดหยุ่นยังคงมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ตลอดปี 2561 นอกจากนี้ยังพบว่าอาชีพบางกลุ่มมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นด้วย ได้แก่ อาชีพที่ปรึกษา คิดเป็นร้อยละ 27 และอาชีพอิสระ ร้อยละ 31 ซึ่งต่างทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมอันหลากหลาย โดย 1 ใน 5 ของผู้ให้สัมภาษณ์ยังระบุว่า ในปีที่ผ่านมามีกลุ่มคนที่ทำงานนอกเวลาหรือพาร์ทไทม์เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเจน เหตุผลหลักๆ ที่ผลักดันให้คนวัยทำงานต้องการการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้นนั้น ล้วนมาจากความต้องการขั้นพื้นฐานเพื่อสร้างสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานให้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการได้ใช้เวลามากขึ้นกับคนรักหรืองานอดิเรก รวมถึงการได้พักผ่อนกับครอบครัวหลังเลิกงานของกลุ่มคุณแม่ที่จำเป็นต้องกลับมาทำงาน ทั้งนี้ยังพบว่าร้อยละ 7 ของผู้ให้สัมภาษณ์วางแผนจะทำงานต่อไปจนถึงช่วงอายุเกินวัยเกษียณ นางโนเอล โค้ก ผู้อำนวยการใหญ่ สเปซเซส ประจำประเทศไทย ไต้หวัน และเกาหลี กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงอย่างเห็นได้ชัดของคนวัยทำงานชาวไทยได้กลายเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงด้านความต้องการของกลุ่มคนทำงานทั่วโลก โดยนักธุรกิจจำนวนมากต่างคาดหวังว่าจะได้รับอิสระและความยืดหยุ่นทางอาชีพที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความนิยมในการทำงานที่มีความยืดหยุ่นสูงอย่างแพร่หลาย “กลุ่มคนในทุกรุ่นและทุกยุคสมัยต่างแสวงหาความสมดุลในชีวิตกับการทำงาน โดยเฉพาะคนไทยยุคมิลเลนเนียลซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มที่มีความต้องการในการสร้างความสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงานจากนายจ้างมากที่สุด โดยตลาดแรงงานในปัจจุบันมีความพยายามในการให้ความสำคัญต่อการสร้างสมดุลในชีวิตและการทำงานมากขึ้น เพื่อเพิ่มความได้เปรียบในแง่ของการแข่งขันทางธุรกิจในตลาด ส่งผลให้บริษัทต่างๆ ยิ่งมีความต้องการพื้นที่ทำงานแบบโคเวิร์กกิ้งอย่าง Spaces ณ โครงการซัมเมอร์ฮิลล์ (Summer Hill) เพิ่มสูงขึ้น” คุณโนเอล กล่าวเพิ่มเติม ทั้งนี้ Spaces พร้อมเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคมนี้ โดยตั้งอยู่บริเวณชั้น 3 ณ โครงการซัมเมอร์ฮิลล์ (Summer Hill) ศูนย์รวมการค้าเชิงไลฟ์สไตล์แห่งใหม่ในกรุงเทพฯ ซึ่งมีพื้นที่สำหรับการทำงานหลากหลายรูปแบบตั้งแต่ออฟฟิศส่วนตัว ไปจนถึงพื้นที่โคเวิร์กกิ้ง และห้องประชุมสำหรับการนำเสนองาน หรือการเวิร์คช้อป จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มองหาการสร้างความสมดุลชีวิตกับการทำงานที่ดีที่สุด ด้วยที่ตั้งของซัมเมอร์ฮิลล์ซึ่งห่างจากสถานีรถไฟฟ้าพระโขนงเพียงไม่มีกี่ก้าว แวดล้อมด้วยโครงการที่พักอาศัยและอาคารสำนักงานในพื้นที่อันแสนสะดวก อีกทั้งการออกแบบที่เปิดโล่งก็ทำให้ซัมเมอร์ฮิลล์มีบรรยากาศที่สมบูรณ์แบบต่อการสร้างสรรค์แรงบันดาลใจใหม่ๆ ในการทำงาน “คนยุคมิลเลนเนียลจำเป็นต้องมีการติดต่อสื่อสารในการทำงานตลอดเวลา จึงไม่ใช่เรื่องแปลกในการมองหาสถานที่ที่จะช่วยสร้างสรรค์แรงบันดาลใจใหม่ๆ ในระหว่างการทำงาน เช่น ห้องรับรองธุรกิจ พื้นที่โคเวิร์กกิ้ง ออฟฟิศให้เช่าระยะสั้นๆ หรือพื้นที่ที่สามารถแวะเข้ามานั่งทำงานได้ตลอด แต่เมื่อความต้องการของคนทำงานนั้นได้เปลี่ยนแปลงไป ธุรกิจต่างๆ ในไทยจึงจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนไปตามการเทรนด์การทำงานแบบใหม่นี้เช่นกัน” โนแอล กล่าว อย่างไรก็ตาม Spaces ไม่ได้เป็นเพียงผู้ขับเคลื่อนสภาพแวดล้อมเพื่อการทำงานอันเป็นมืออาชีพเท่านั้น แต่ยังมีสาขาที่พร้อมให้บริการอย่างครอบคลุมทั่วโลก ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญและสอดคล้องกับหลักความต้องการของคนยุคมิลเลนเนียล โดยเมื่อเร็วๆ นี้ Spaces เพิ่งฉลองเปิดตัวสาขาที่ 100 ของโลกในฮ่องกง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงกลางปี พ. ศ. 2561 สเปซเซส ณ โครงการซัมเมอร์ฮิลล์ (Summer Hill) พร้อมเปิดให้บริการแล้ว สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเข้าไปเยี่ยมชมได้ที่ www.spacesworks.com
เอพี ไทยแลนด์ เปิดตัวสถานีชาร์จรถไฟฟ้า พร้อมเครือข่ายทั่วไทย สานต่อความร่วมมือ ‘BMW Thailand’ พร้อมด้วย ‘GLT’ ร่วมสร้างสังคมสีเขียวแห่งอนาคต

เอพี ไทยแลนด์ เปิดตัวสถานีชาร์จรถไฟฟ้า พร้อมเครือข่ายทั่วไทย สานต่อความร่วมมือ ‘BMW Thailand’ พร้อมด้วย ‘GLT’ ร่วมสร้างสังคมสีเขียวแห่งอนาคต

เอพี ไทยแลนด์ เปิดตัวสถานีชาร์จรถไฟฟ้า พร้อมเครือข่ายทั่วไทย สานต่อความร่วมมือ ‘BMW Thailand’ พร้อมด้วย ‘GLT’ ร่วมสร้างสังคมสีเขียวแห่งอนาคต ผนึกกำลังกลุ่มพันธมิตรโครงการ ChargeNow ประกอบด้วย BMW Thailand – GLT – Central Group เชื่อมโยงสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าฯ สาธารณะสำหรับทุกแบรนด์ที่ สะดวก และครอบคลุมที่สุดในเมืองไทย ยกระดับมาตรฐานคุณภาพชีวิตของลูกบ้านเครือเอพี นำร่องโครงการด้วยการลงทุนติดตั้ง AP Charging Pod สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าใน 6 คอนโดใหม่ สะดวกสบายกว่าด้วยแอปพลิเคชั่น แสดงตำแหน่งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเครือข่ายพันธมิตรทั่วไทยกว่า 50 สถานี กรุงเทพฯ (13 ก.พ. 61) - บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการออกแบบนวัตกรรมการอยู่อาศัย ที่มุ่งสร้างคุณภาพชีวิตแห่งอนาคต ตอกย้ำหนึ่งในวิสัยทัศน์มุ่งเน้นการผสานเทคโนโลยีเข้ากับการออกแบบพื้นที่ ไม่เพียงแค่ส่งเสริมคุณภาพชีวิตแต่ยังใส่ใจในการเป็นส่วนหนึ่งร่วมสร้างสังคมคุณภาพ เดินหน้าสานต่อเป้าหมายของภาคีเครือข่ายกลุ่ม ChargeNow ประกอบด้วย บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย หนึ่งในผู้นำแห่งอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลก จีแอลที กรีน ประเทศไทย เบอร์หนึ่งด้านเทคโนโลยีการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า และรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริด และ CENTRAL GROUP กลุ่มบริษัทห้างค้าปลีกที่ใหญ่ที่สุดในไทย ผสานประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในแต่ละด้านร่วมกันสร้างสังคมสีเขียว ผ่านการขับเคลื่อนพัฒนาและจุดประกายการใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้เกิดขึ้นในประเทศไทย ซึ่งเอพี ไทยแลนด์ พร้อมนำร่องด้วยการลงทุนติดตั้ง ‘AP Charging POD’ สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในคอนโดมิเนียมใหม่เอพีที่ก่อสร้างเสร็จตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป โดยเฟสแรกพร้อมติดตั้งใน 6 โครงการ VITTORIO, RHYTHM รางน้ำ, RHYTHM เอกมัย, LIFE ปิ่นเกล้า, LIFE อโศก และ LIFE สุขุมวิท 48 พร้อมอำนวยความสะดวกสบายแก่ลูกบ้านเอพีด้วยสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าสาธารณะทั่วประเทศไทยกว่า 50 สถานีภายใต้เครือข่าย ChargeNow ที่สามารถค้นหาสถานีได้อย่างสะดวกสบายและรวดเร็ว ผ่านแอปพลิเคชัน Greenlots หรือทางเว็บไซต์ http://chargenow-th.greenlots.com/ นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม กล่าวว่า “ในปีนี้เอพีได้สานต่อความร่วมมือกับบริษัทชั้นนำที่มีวิสัยทัศน์และทิศทางในการดำเนินธุรกิจไปในแนวทางเดียวกัน คือ การให้ความสำคัญกับการยกระดับมาตรฐานคุณภาพชีวิตของสังคมไทยให้ทัดเทียมระดับสากล อาทิ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย จีแอลที กรีน ประเทศไทย และ เซ็นทรัล กรุ๊ป กลุ่มพันธมิตรผู้ร่วมริเริ่มการปฏิวัติวงการเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าฯ ในการร่วมเป็นหนึ่งในพันธมิตรของโครงการ ChargeNow เพื่อเชื่อมโยงเครือข่ายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าฯ ที่ครอบคลุมและใหญ่ที่สุดในเมืองไทยให้เป็นจริง นอกจากการเข้าร่วมโครงการ ChargeNow ซึ่งแสดงถึงความมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมตามหลักบรรษัทภิบาลที่ดีแล้ว ยังหมายรวมถึงการใส่ใจคุณภาพชีวิตและคุณภาพสังคมในแง่ของการยกระดับมาตรฐานการใช้ชีวิตของคนไทยอีกด้วย” นายเศรษฐิพงศ์ อนุตรโสตถิ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายการตลาด บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “ในนามของบีเอ็มดับเบิลยู ประเทศไทย ผมรู้สึกยินดี และเป็นเกียรติอย่างสูงที่มีโอกาสได้ร่วมริเริ่มปฏิวัติวงการสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าฯ โครงการ ChargeNow ในประเทศไทย ซึ่งโครงการ ChargeNow มีการเชื่อมโยงสถานีชาร์จในกลุ่มเครือข่ายพันธมิตรทั้งหมดบนแพลตฟอร์มเดียวกัน ที่จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบาย ให้ผู้ใช้บริการมากยิ่งขึ้น โดยโครงการนี้ ถือเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในต่างประเทศ รวมถึงในประเทศไทย เราตั้งใจอย่างมากที่จะร่วมมือกับพันธมิตรของเราในการขยายสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าฯ สาธารณะให้ครอบคลุมทั้งประเทศไทยต้องขอขอบคุณเอพี ที่เล็งเห็นถึงความสำคัญและเป็นพันธมิตรที่ให้การสนับสนุนด้านพื้นที่ที่ดีตลอดมา” นายณรัตน์ไชย หลีระพันธ์ ประธาน บริษัท โพลีเทคโนโลยี จำกัด, จีแอลที กรีน ประเทศไทย กล่าวว่า “ในฐานะหนึ่งในพันธมิตรโครงการ ChargeNow ที่มีความมุ่งมั่นที่จะส่งต่อนวัตกรรมเพื่อเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน เรารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการดีๆ เช่นนี้ และยังเล็งเห็นถึงโอกาสร่วมกันที่จะขยายการใช้งานของสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าฯ สาธารณะให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น จากการสนับสนุน ของเอพีที่มีพื้นที่อยู่ในทำเลที่ดีใจกลางเมือง และในศูนย์กลางย่านธุรกิจ ไม่เพียงแต่เอพีเท่านั้น ต้องขอขอบคุณพันธมิตรทุกฝ่ายที่ร่วมแบ่งปันความเชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เพื่อให้เกิดเป็นโครงการที่ดีเพื่อสังคมเช่นนี้” “เอพี (ไทยแลนด์) ไม่หยุดนิ่งที่จะพัฒนา เพื่อให้เท่าทัน และล้ำหน้าต่อเทรนด์การใช้ชีวิต ด้วยความมุ่งมั่นที่จะยกระดับมาตรฐานคุณภาพชีวิตของคนไทยให้ทัดเทียมมาตรฐานระดับสากล เราจึงนำเอานวัตกรรมที่ล้ำสมัยอย่างเทคโนโลยีการชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริด (EV & PHEV Charger) ประกอบกับความเชี่ยวชาญในการใช้พื้นที่ของเอพี และความใส่ใจในไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนเมืองที่ต้องการความสะดวกสบายมาสร้างสรรค์ เป็น ‘AP Charging Pod’ สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริด โดยตัวชาร์จจะมีให้บริการหัวชาร์จ AC ทั้งแบบ Type I และ Type II ภายในเครื่องเดียว ลูกบ้านเครือเอพีฯ สามารถเข้าชาร์จได้อย่างง่ายดายและสะดวกรวดเร็วผ่านแอปพลิเคชันเดียวบนมือถือ ที่สามารถค้นหาสถานีชาร์จ เพื่อเติมเต็มการใช้ชีวิตในเมืองให้ครบถ้วนทุกมิติ ภายใต้การดูแลและบริหารจัดการโดยบริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมนเนจเมนท์ จำกัด บริษัทบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ในเครือเอพี โดยมีแผนที่จะเปิดให้บริการในเฟสแรกของการวางเครือข่ายครอบคลุมแล้วถึง 6 คอนโดมิเนียมเครือเอพี อาทิ VITTORIO (สุขุมวิท 39),  RHYTHM รางน้ำ, RHYTHM เอกมัย,  LIFE ปิ่นเกล้า, LIFE อโศก และ LIFE สุขุมวิท 48 และ ทั้งนี้มีแผนขยายไปยังโครงการอื่นๆ อีกในอนาคต” นายวิทการกล่าวสรุป ปัจจุบัน โครงการ ChargeNow ให้บริการสถานีสาธารณะในการชาร์จรถยนต์ปลั๊กอิน ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 65,000 แห่ง ใน 27 ประเทศทั่วโลก สำหรับในประเทศไทย เครือข่ายสถานีชาร์จไฟฟ้าฯ โครงการ ChargeNow จะแสดงที่ตั้งผ่านแอปพลิเคชัน Greenlots ซึ่งสามารถช่วยให้ลูกค้าทราบได้ว่าสถานีไหนว่างพร้อมให้บริการหรือมีการใช้งานอยู่ ครบวงจรในแอปพลิเคชันเดียว ช่วยให้การชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าเป็นเรื่องที่สะดวก ง่ายดาย และรวดเร็วยิ่งขึ้น โครงการ ChargeNow เริ่มเปิดรับลงทะเบียนล่วงหน้าสำหรับเจ้าของรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้าที่มีหัวชาร์จ AC ทั้งแบบ Type 1 (SAE J1772) และ Type 2 (IEC 62196) ไม่ว่าจะเป็นรุ่นใดหรือยี่ห้อใดทาง http://chargenow-th-en.greenlots.com
ตราเสือ เปิดตัวนวัตกรรม “เสือ เดคอร์ โพลิเมอร์ซีเมนต์” มิติใหม่ของงานซีเมนต์ตกแต่งพื้น เรียบเนียน ไร้รอยต่อ เทได้ต่อเนื่อง

ตราเสือ เปิดตัวนวัตกรรม “เสือ เดคอร์ โพลิเมอร์ซีเมนต์” มิติใหม่ของงานซีเมนต์ตกแต่งพื้น เรียบเนียน ไร้รอยต่อ เทได้ต่อเนื่อง

  ตราเสือ หนึ่งในปูนซีเมนต์คุณภาพจาก SCG เขย่าวงการงานซีเมนต์ตกแต่ง ด้วยการเปิดตัว “เสือ เดคอร์ โพลิเมอร์ซีเมนต์” นวัตกรรมปูนซีเมนต์ตกแต่งสำหรับงานเทพื้น ชูประสิทธิภาพ การลดปัญหารอยแตกลายงา พร้อมเติมเต็มทุกจินตนาการงานซีเมนต์ตกแต่งพื้นได้อย่างสมบูรณ์แบบ   นายสยามรัฐ สุทธานุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามปูนซิเมนต์ขาว จำกัด กล่าวว่า จากประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์มากกว่า 100 ปี ทำให้ตราเสือเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคเป็นอย่างดี โดยพบว่าปัจจุบันผู้บริโภคให้ความสำคัญกับการเลือกวัสดุเพื่อแก้ปัญหารอยร้าว และสามารถเทได้กว้างอย่างไร้รอยต่อ ดังนั้น ตราเสือ จึงได้คิดค้นนวัตกรรมปูนสำเร็จรูป “เสือ เดคอร์ โพลิเมอร์ซีเมนต์” สำหรับงานตกแต่งพื้น เพื่อตอบสนองความต้องการดังกล่าว     “ตราเสือใช้เวลากว่า 5 ปี ในการศึกษาวิจัยเทคโนโลยีโพลิเมอร์ซีเมนต์ ผ่านการทุ่มเทองค์ความรู้จากทีมวิจัยและพัฒนานวัตกรรมของตราเสือ รวมถึงเปิดรับองค์ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญภายนอกที่มีประสบการณ์ด้านงานโพลิเมอร์ จนสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ เสือ เดคอร์ โพลิเมอร์ซีเมนต์ ที่มีคุณสมบัติโดดเด่นในเรื่องของ ความเรียบเนียน ไร้รอยต่อ ผสานคุณลักษณะพิเศษของโพลิเมอร์ที่มีความยืดหยุ่น จึงช่วยลดโอกาสการเกิดรอยแตกลายงา สามารถเทพื้นภายในอาคารได้กว้างแบบไร้รอยต่อสูงสุดถึง 500 ตารางเมตร อีกทั้ง โพลิเมอร์ที่นำมาใช้ยังเป็นส่วนผสมที่ไม่มีกลิ่นและเป็นมิตรต่อผู้ใช้งาน (Food grade) รวมทั้งผู้อยู่อาศัยอีกด้วย” นายสยามรัฐ กล่าว     ทางด้าน นางวัลลภา เลิศสินธุ์ภักดี ผู้จัดการส่วนการตลาดซีเมนต์ตกแต่ง บริษัท สยามปูนซิเมนต์ขาว จำกัด เปิดเผยว่า ได้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์เสือ เดคอร์ โพลิเมอร์ซีเมนต์ 2 รุ่น ได้แก่ รุ่น ลอฟท์ฟลอร์ เหมาะกับการใช้งานเทพื้นภายในอาคารที่ต้องการโชว์ผิวธรรมชาติของซีเมนต์ในรูปแบบลอฟท์ เติมเต็มพื้นที่กว้างต่อเนื่องเป็นผืนเดียว ให้ความรู้สึกอิสระ ไร้รอยต่อ สามารถเทได้บางเพียง 4 มิลลิลิตร และติดตั้งได้รวดเร็วเพียง 3 วัน และรุ่น เทอร์ราซโซฟลอร์ เหมาะกับการใช้งานเทพื้นภายในอาคาร เน้นโชว์ลายละเอียดของวัสดุแคลไซต์ที่เป็นส่วนผสม ผ่านขั้นตอนการขัดผิวหน้า สะท้อนความสวยเป็นธรรมชาติแบบไร้รอยต่อ สามารถเทได้บางเพียง 4 มิลลิลิตร (ความหนาหลังขัด) และติดตั้งได้รวดเร็วเพียง 4 วันจากเดิมที่ใช้เวลากว่า 20 วัน   “ตราเสือเชื่อมั่นว่าเทคโนโลยีโพลิเมอร์ซีเมนต์ในเสือ เดคอร์ ทั้ง 2 รุ่น จะสามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการงานพื้นตกแต่งได้อย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งความสวย ไร้รอยต่อ ไม่แตกลายงา ทำความสะอาดง่าย มีสารป้องกันเชื้อรา และมีสีสันมาตรฐานให้เลือกหลากหลายกว่า 8 สี” นางวัลลภา กล่าว   สำหรับผู้สนใจสามารถติดต่อสอบถามขอข้อมูลผลิตภัณฑ์ เสือ เดคอร์ โพลิเมอร์ซีเมนต์ ได้ที่ SCG Experience (เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา) 02-101-9922  
ROJNA แย้มกำไรปี 61 เด้งรับทรัพย์ขายหุ้น TICON ให้กลุ่มเฟรเซอร์ส

ROJNA แย้มกำไรปี 61 เด้งรับทรัพย์ขายหุ้น TICON ให้กลุ่มเฟรเซอร์ส

ROJNA จ่อขายหุ้น TICON จำนวน 26.10% ในราคา 17.90 บาท ให้กลุ่มเฟรเซอร์ส เตรียมขออนุมัติผู้ถือหุ้นในวันที่ 23 มีนาคมนี้ คาดดำเนินการเสร็จสิ้นภายในเดือนเมษายนนี้ ดันกำไรปี 61 พุ่ง นายจิระพงษ์ วินิชบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) หรือ ROJNA เปิดเผยว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) ได้มีมติอนุมัติให้ขายหุ้นของบริษัท ไทคอน อินดัสเทรียล คอนเน็คชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TICON ที่ปัจจุบันถืออยู่จำนวน 478,699,619 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 26.10% ในราคา 17.90 บาทต่อหุ้น ซึ่งมีต้นทุนถือหุ้นอยู่ที่ 14.27 บาทต่อหุ้น ให้กับบริษัท เฟรเซอร์ส แอสเซ็ทส์ จำกัด (FAS) โดยที่ประชุมบอร์ดได้อนุมัติการเข้าทำสัญญาซื้อขายหุ้น TICON กับ FAS แบบมีเงื่อนไข (Conditional Share Purchase Agreement) แล้วในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2561 โดยสัญญาดังกล่าว อยู่ภายใต้เงื่อนไขบังคับก่อน คือบริษัทต้องได้รับการอนุมัติการทำรายการดังกล่าวจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัท สำหรับ กำหนดการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2561 ของบริษัท จะจัดขึ้นในวันที่ 23 มีนาคม 2561 ทั้งนี้ หากที่ประชุมผู้ถือหุ้นอนุมัติบริษัทจะดำเนินการขายหุ้นดังกล่าวและคาดว่าจะดำเนินการโอนหุ้นเสร็จภายในเดือนเมษายน โดยสำหรับการขายหุ้น TICON ในครั้งนี้นั้น จะทำให้บริษัทสามารถรับรู้กำไรจากการขายเงินลงทุนในไตรมาสแรกของปี 2561 และจะผลักดันให้กำไรสุทธิในปี 2561 เติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้มีประวัติการจ่ายเงินปันผลมาอย่างต่อเนื่อง “ขณะนี้บริษัทได้พิจารณาขายหุ้น TICON ที่ถืออยู่สัดส่วน 26.10% ให้กับบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้        โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งตอนนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการจัดเตรียมเพื่อขออนุมัติผู้ถือหุ้น คาดว่าจะดำเนินการเสร็จภายในเดือนมีนาคม นี้ ซึ่งจะช่วยผลักดันผลประกอบการของบริษัทในปีนี้ให้เติบโตขึ้นเป็นอย่างมาก” นายจิระพงษ์ กล่าว สำหรับในปี 2561 บริษัทได้ตั้งเป้ายอดขายที่ดินจำนวน 400-500 ไร่ ซึ่งล่าสุดมีการเซ็นบันทึกความร่วมมือจะขายที่ดิน (MOU) ในสวนอุตสาหกรรมโรจนะ จ.พระนครศรีอยุธยา จำนวน 300 ไร่ ให้กับ PROJEN GROUP กลุ่มทุนรายใหญ่จากประเทศจีน ขณะนี้กลุ่มทุนดังกล่าวอยู่ระหว่างการจัดทำเอกสารเพื่อขอสิทธิพิเศษทางภาษีด้านต่างๆ และจะเซ็นสัญญาซื้อขายได้ภายได้ในปี 2561 ด้านภาพรวมเศรษฐกิจโลกในปีนี้จะฟื้นตัวขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ มีความมั่นใจในการลงทุน เพราะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจโลกซบเซาลงอย่างหนัก จากนี้ไปเชื่อว่าภาพรวมเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และยุโรปจะทยอยฟื้นตัวขึ้น ซึ่งเห็นได้จากอัตราการว่างงานที่ลดลง ส่วนภาพรวมของภาวะการลงทุนจากต่างประเทศเริ่มมีสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้น โดยเฉพาะจากประเทศญี่ปุ่นที่มีการชะลอ การลงทุนในประเทศไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะส่งผลดีกับธุรกิจสวนอุตสาหกรรมหรือนิคมอุตสาหกรรมโดยภาพรวม อีกทั้ง แผนการส่งเสริมและการสนับสนุนผลักดันจากทางรัฐบาลในการพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจภาคตะวันออก ให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น ก็จะเป็นผลดีกับโครงการสวนอุตสาหกรรมของโรจนะ ซึ่งมีหลายแห่งในพื้นที่ดังกล่าว ได้แก่ 1.สวนอุตสาหกรรมโรจนะ แหลมฉบัง 2.สวนอุตสาหกรรมโรจนะ บ่อวิน 3.สวนอุตสาหกรรมโรจนะ ปลวกแดง 4.สวนอุตสาหกรรมโรจนะ บ้านค่าย 5.สวนอุตสาหกรรมโรจนะ ปราจีนบุรี
บมจ. เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ปลื้ม มิวนีค หลังสวน โกยยอดขายพรีเซลล์ เพียง 2 วัน ปิดการขายได้กว่า 90%

บมจ. เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ปลื้ม มิวนีค หลังสวน โกยยอดขายพรีเซลล์ เพียง 2 วัน ปิดการขายได้กว่า 90%

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เผยยอดขาย โครงการ มิวนีค หลังสวน (MUNIQ Langsuan) หลังเปิดขายพรีเซลล์ สามารถปิดยอดขายกว่า 90% นับเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ได้รับผลตอบรับดีมาก ภายใต้แบรนด์ มิวนีค (MUNIQ) หลังจากเปิดโครงการ มิวนีค สุขุมวิท 23 (MUNIQ Sukhumvit 23) เมื่อต้นปีที่ผ่านมา สร้างประวัติการณ์ ปิดยอดขายกว่า 80% ในวันพรีเซลล์เช่นเดียวกัน เมเจอร์ฯ ประกาศความสำเร็จ หลังเปิดตัวโครงการแรกต้นปีนี้ กับโครงการ มิวนีค หลังสวน (MUNIQ Langsuan) ที่เพิ่งจัดงานแถลงข่าวไปเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา ด้วยมูลค่าโครงการ 4,085 ล้านบาท คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ ภายใต้แนวคิด “LIVE YOUR EVERLASTING ROMANCE” แบบฟรีโฮลด์ (Freehold) บนพื้นที่ย่านหลังสวน การคมนาคมสะดวก ท่ามกลางโรงแรม และสถานฑูต แวดล้อมด้วยพื้นที่อย่างสวนลุมพินี ไม่ถึง 100 เมตร นอกจากสไตส์การออกแบบอาคารแบบคลาสสิค ให้เข้ากับสภาพแวดล้อม งดงามเหนือกาลเวลา ใช้วัสดุคุณภาพจากแบรนด์ชั้นนำระดับโลก คำนึงถึงการใช้ชีวิตให้มีคุณภาพและตอบสนองความต้องการผู้อยู่อาศัยมากที่สุด ทุกห้องถูกออกแบบให้มีขนาดใหญ่ โล่งสบาย มอบความเป็นส่วนตัว พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสุดเอ็กซ์คลูซีฟ ที่ให้ลูกบ้านสามารถทำกิจกรรมและพักอาศัยได้ทุกวัน ดร.สุริยา พูลวรลักษณ์  กรรมการผู้จัดการ บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “บริษัทฯ เปิดตัวโครงการ มิวนีค หลังสวน (MUNIQ Langsuan) เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมา โครงการแรกของต้นปีนี้ เป็นคอนโดฯ 28 ชั้น จำนวน 166 ยูนิต ตั้งอยู่ท้ายซอย 7 ถนนต้นสน ขณะนี้ถนนตัดผ่านสู่ถนนสารสินแล้ว ผลตอบรับยอดจองกว่า 90% ในครั้งนี้ ถือว่าเกินเป้าหมายที่วางไว้ที่ 50% ณ วันพรีเซลล์ นับเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในวันนี้  ยังมีโอกาสอีกมาก ถ้าเราสามารถหาโลเคชั่นที่ถูกจุดและนำเสนอสิ่งที่ถูกใจลูกค้าได้ อย่างเมเจอร์เองเน้นพัฒนาโครงการในย่าน CBD ที่เป็นไพร์มแอเรีย (Prime Area) เพราะเป็นย่านที่มีความถนัดและยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง มี Capital Gain สูง และเป็นย่านที่ต่างชาติให้ความสนใจ” โครงการ มิวนีค หลังสวน (MUNIQ Langsuan) ราคาเริ่มต้นที่ 14.2 ล้านบาท จะเริ่มดำเนินการก่อสร้างประมาณกลางปี 2561 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2564 สำนักงานอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ตั้งอยู่ที่อาคารเคี่ยนหงวน สามารถเริ่มเข้าชมได้ประมาณ เดือน พ.ค. นี้ โปรโมชั่นหลังงานพรีเซลล์ – 28 ก.พ. นี้  เมื่อจองห้อง รับทันที ลำโพงไร้สาย Bang & Olufsen รุ่น Beoplay A6 และ Iset (Ipad Pro, Apple Pencil และ Smart Keyboard)  ติดต่อสอบถามได้ที่ 1266
ซีเอ็มซี กรุ๊ป รุกหนักกลุ่มไฮเอนด์เปิดขายห้องพาโนราม่า วิว 360 องศามุมมองกรุงเทพตะวันออก คอนโดแบงค์คอก ฮอไรซอน – รามคำแหง เริ่ม 9.6 ล้านบาท บรรยากาศเหนือจินตนาการ

ซีเอ็มซี กรุ๊ป รุกหนักกลุ่มไฮเอนด์เปิดขายห้องพาโนราม่า วิว 360 องศามุมมองกรุงเทพตะวันออก คอนโดแบงค์คอก ฮอไรซอน – รามคำแหง เริ่ม 9.6 ล้านบาท บรรยากาศเหนือจินตนาการ

ซีเอ็มซี กรุ๊ป เอาใจเศรษฐีย่านกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก จัดโปรโมชั่น พิเศษ โครงการคอนโดมิเนียม “แบงค์คอก ฮอไรซอน - รามคำแหง” ที่สุดแห่งแลนด์มาร์คบนถนนรามคำแหง เปิดขายห้องมุมมองที่สูงที่สุดในรูปแบบ พาโนราม่า วิว 360 องศา เริ่ม 9.6 ล้านบาท ลดสูงสุดถึง 500,000 บาท เพียงลงทะเบียนออนไลน์ นางสาวอนงค์ลักษณ์ แพทยานันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า ซีเอ็มซี กรุ๊ป เปิดศักราชปี 2561 ด้วยการรุกหนักกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ ด้วยการจัดโปรโมชั่นพิเศษเอาใจเศรษฐีที่ต้องการห้องพื้นที่เยอะ เปิดขายยูนิตพิเศษห้องพาโนราม่า วิว 360 องศา ของโครงการคอนโดมิเนียมระดับพรีเมียม แบงค์คอก ฮอไรซอน - รามคำแหง เปิดมุมมองใหม่อาคารชุดที่พักอาศัยซึ่งเป็นที่สุดของแลนด์มาร์คบนถนนรามคำแหง พื้นที่ 2 ห้องนอน ห้องใหญ่ 90 ตารางเมตร เริ่ม 9.6  ล้านบาท ตกแต่งครบแบบ Fully Furnished เหมือนห้องตัวอย่าง พร้อมเข้าอยู่ทันที Ready to Move พร้อมสรรพด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย และตกแต่งด้วยวัสดุคุณภาพ กับโปรโมชั่นสุดพิเศษ ลงทะเบียนออนไลน์ รับส่วนลดสูงสุดกว่า  500,000 บาท เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีสิทธิพิเศษค่าส่วนกลางฟรี 10 ปี  พร้อมที่จอดรถส่วนตัว เมื่อทำสัญญา และฟรีค่าโอนกรรมสิทธิ์ และทุกค่าใช้จ่ายอีกด้วย ทั้งนี้ โครงการ แบงค์คอก ฮอไรซอน - รามคำแหง นับเป็นโครงการที่มีที่ตั้งที่ดีที่สุดบนถนนรามคำแหง เพราะอยู่ใกล้รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิงค์ และรถไฟฟ้าถึง 3 สายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คือ สายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง, สายสีส้ม ตลิ่งชัน-มีนบุรี และสายสีน้ำตาล แคราย - ลำสาลี ทั้งนี้ห้องพิเศษในรูปแบบพาโนราม่าวิว 360 องศานี้จะมีเปิดขายจำนวนจำกัดเพียง 28 ยูนิตเท่านั้น ทั้งนี้กลุ่มลูกค้าที่ต้องการคอนโดมิเนียมที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่และเอาไว้เป็นที่พักอาศัยสำหรับครอบครัวขนาดใหญ่ ตลอดจนนักธุรกิจต่างจังหวัดที่ต้องการเป็นเจ้าของที่พักเมื่อมาทำธุรกิจในกรุงเทพฯ สามารถมารับโปรโมชั่นกันได้ที่งาน ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 22-28 กุมภาพันธ์ 2561 ณ ศูนย์การค้าเดอะมอลล์ บางกะปิ หรือลงทะเบียนออนไลน์รับส่วนลดได้ตลอดเวลาที่ www.cmc.co.th/bangkokhorizon/ramkhamhaeng หรือสอบถามข้อมูลได้ที่ โทร. 02-379-5005 และ www.facebook.com/cmcgroup
“เบล็ส เเอสเสท กรุ๊ป” ยกปีนี้ปีทองคาดโตเท่าตัว ปั้นแบรนด์ใหม่ ‘เมลิโซ ปาร์ค’ บ้านหรู และ ‘เบล็สเชอร์’ คอนโด 8 ชั้น แห่งแรก สยายปีกธุรกิจตอบทุกโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้อยู่อาศัยคนรุ่นใหม่

“เบล็ส เเอสเสท กรุ๊ป” ยกปีนี้ปีทองคาดโตเท่าตัว ปั้นแบรนด์ใหม่ ‘เมลิโซ ปาร์ค’ บ้านหรู และ ‘เบล็สเชอร์’ คอนโด 8 ชั้น แห่งแรก สยายปีกธุรกิจตอบทุกโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้อยู่อาศัยคนรุ่นใหม่

“เบล็ส เเอสเสท กรุ๊ป” ผู้เชี่ยวชาญธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยาวนาน ภายใต้แบรนด์ เบล็ส ทาวน์  (Bless Town) และ เบล็ส วิลล์ (Bless Ville) เผยปีนี้ปีทอง เล็งขยายธุรกิจครอบคลุมความต้องการของตลาดเรียลดีมานด์กลุ่มคนรุ่นใหม่ สตาร์ท-อัพ และครอบครัวคนรุ่นใหม่ ปั้นแบรนด์ใหม่ ‘เมลิโซ ปาร์ค’ บ้านหรู มอบความเป็นส่วนตัวให้การอยู่อาศัย บนทำเลศักยภาพแห่งใหม่ใจกลางย่านหนามแดง และ ‘เบล็สเชอร์’ คอนโดโลว์ไรส์แห่งแรก บนถนนจรัญสนิทวงศ์ ห่างจากรถไฟฟ้ามหานครสายสีน้ำเงิน เพียง 700 เมตร และเล็งเปิดโครงการมิกซ์ ยูส เพิ่มอีก 1  โครงการ บนทำเลยุทธศาสตร์ย่านบางปู ปักธงรายได้ ปีนี้เติบโตเท่าตัว นายธารินทร์ บวรวนิชยกูร กรรมการ บริษัท เบล็ส แอสเสท กรุ๊ป จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบภายใต้แบรนด์ เบล็สทาวน์  (Bless Town) และเบล็ส วิลล์ (Bless Ville) เปิดเผยว่า บริษัทฯ มองว่า ปี 2561 จะเป็นปีทองของบริษัทฯ ที่มีโอกาสขยายธุรกิจได้ดีอย่างต่อเนื่องจากปี 2560 ที่ผ่านมา ซึ่งแม้ว่าในปีที่ผ่านมาภาพรวมอุตสาหกรรมจะเติบโตไม่หวือหวามาก แต่ด้วยบริษัทฯ ซึ่งเป็นรายเล็กของตลาดจึงมีข้อได้เปรียบในการปรับกลยุทธ์ได้ง่ายกว่าผู้ประกอบการรายใหญ่ บวกกับแนวทางการวางกลยุทธ์โครงการที่เปิดขาย และการจับกลุ่มตลาดที่ถูกต้อง ส่งผลให้บริษัทฯ สามารถปิดการขายทั้งปี 2560 แตะระดับ 570-580 ล้านบาท คิดเป็นการเติบโตกว่าร้อยละ 50 จากปี 2559 สำหรับปีนี้ บริษัทฯ คาดการณ์การเติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่าเท่าตัว มาแตะที่ 900 ล้านบาท โดยมองภาพรวมอุตสาหกรรมจะเติบโตกว่าร้อยละ 9-10 ตามอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจรวม (GDP) ที่คาดจะโตกว่าร้อยละ 4.5-5 ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแผนการเปิดขายโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1,500 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ใหม่ เมลิโซ ปาร์ค (Meleso Park) บ้านหรู มอบความเป็นส่วนตัวให้กับการอยู่อาศัย และแบรนด์ เบล็ส เชอร์ (BLEISURE) คอนโดมิเนียม 8 ชั้น อารมณ์รีสอร์ท โดยรายละเอียดของ 3 โครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในปีนี้ ประกอบด้วย เมลิโซ ปาร์ค (Meleso Park) ศรีนครินทร์ – หนามแดง มูลค่าโครงการ 310 ล้านบาท บ้านหรู มอบความเป็นส่วนตัวให้กับการอยู่อาศัย บนทำเลใจกลางถนนศรีนครินทร์-หนามแดง เหนือกว่าด้วยฟังก์ชั่น 4 ห้องนอน ขนาดพื้นที่ใช้สอย 132 ตารางเมตร จำนวน 58 ยูนิต อยู่ใกล้แนวรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีศรีด่าน เชื่อมต่อถนนสายสำคัญ ถนนศรีนครินทร์ กิ่งแก้ว บางนา และเทพารักษ์ ใกล้ทางด่วนวงแหวนฯ รอบนอก ในราคาพิเศษเริ่มต้น 4.59 ล้านบาท โดยบริษัทฯ เตรียมจัดงานเปิดตัวโครงการในวันที่ 3-4 มีนาคม 2561 โครงการที่สอง เบล็สเชอร์ (Bleisure) จรัญสนิทวงศ์  96/1 คอนโดมิเนียม 8 ชั้น สไตล์รีสอร์ท แห่งแรก บนทำเลใจกลางย่านจรัญสนิทวงศ์ ซอย 96/1 มูลค่าโครงการ 483 ล้านบาท จำนวน 193 ยูนิต ห่างจากรถไฟฟ้ามหานคร (MRT) สายสีน้ำเงิน สถานีบางอ้อ เพียง 700 เมตร ราคาต่อยูนิตเริ่มต้นเพียง 1.79 ล้านบาท โดยเตรียมจะเปิดขายอย่างเป็นทางการในเดือนกุมภาพันธ์ ซึ่งมั่นใจว่าลูกค้าจะให้ความสนใจเป็นอย่างดี เพราะจากการศึกษาตลาดและทำเลย่านจรัญสนิทวงศ์ เป็นทำเลทองที่ได้รับความสนใจจากผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทั้งรายใหญ่และรายเล็ก ต่างให้ความสนใจเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับและตอบสนองความต้องการของกำลังซื้อของกลุ่มลูกค้าที่อยู่อาศัยที่ยังมีสูง เพราะเป็นย่านที่ความเจริญขยายมาจากตัวเมือง และมีระบบขนส่งมวลชนรอง อาทิ รถไฟฟ้ามหานครส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงิน สถานีบางซื่อ-หัวลำโพง-ท่าพระ-พุทธมณฑลสาย 4 ที่กำลังก่อสร้าง อีกทั้งยังใกล้ทางด่วนตัดใหม่ศรีรัชวงแหวน ที่สามารถเชื่อมการเดินทางสู่ ตัวเมืองโซนพระนคร ปิ่นเกล้า เพชรเกษม พุทธมณฑล หรือโซนสาทร สีลม จตุจักร ฯลฯ ได้อย่างสะดวก ซึ่งโครงการนี้ บริษัทฯ เตรียมจะเปิดตัวโครงการในวันที่ 24-25 กุมภาพันธ์ 2561 สำหรับโครงการที่สาม ที่เตรียมจะเปิดตัวนั้น บริษัทฯ จะพัฒนาโครงการในรูปแบบมิกซ์ ยูส ระหว่างทาวน์โฮม 2 ชั้น และบ้านแฝด 2 ชั้น รวมจำนวน 318 ยูนิต บนพื้นที่โครงการประมาณ 29 ไร่ ในทำเลยุทธศาสตร์ย่านบางปู ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการก่อสร้าง และศึกษาแบรนด์โครงการที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายมากที่สุด อย่างไรก็ดีกลยุทธ์ของบริษัทฯ ยังคงเน้นจุดขายและจับตลาดที่บริษัทฯ ถนัด ได้แก่ ตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ วัยเริ่มทำงาน กลุ่มสตาร์ท-อัพ และกลุ่มคนที่เริ่มสร้างครอบครัว ที่มีความเป็นตัวเอง สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของคนรุ่นใหม่ โดยยังคงรักษาคุณภาพสินค้าตามแนวคอนเซปต์ความคุ้มค่ายิ่งกว่าราคาจ่าย “ปีนี้ บริษัทฯ ขยายธุรกิจเพื่อปิดช่องว่างตลาดของกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น ทั้งการพัฒนา บ้านหรู เมลิโซ ปาร์ค และ คอนโด 8 ชั้น เบล็สเชอร์ เพื่อตอบโจทย์ให้ครอบคลุมทุกความต้องการของตลาดเรียลดีมานด์กลุ่มคนรุ่นใหม่ สตาร์ท-อัพ และครอบครัวคนรุ่นใหม่ ที่มีสไตล์การอยู่อาศัยเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี ในการพัฒนาโครงการใหม่ๆ ในอนาคต บริษัทฯ ยังคงเน้นโครงการแนวราบมากกว่า เพราะเป็นโครงการที่บริษัทฯ มีความถนัด และถือเป็นตลาดที่มีความเสี่ยงต่ำ โดยในอนาคต บริษัทฯ กำลังมองหาที่ดิน เพื่อพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตที่มั่นคงยั่งยืนในทุกๆ ปี และเพื่อเตรียมตัวเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ปี 2562” นายธารินทร์ กล่าวปิดท้าย
THANA ปลื้มปี 60 โตสวนกระแสกำไรพุ่ง 84% ผลจากปรับสินค้าให้ตอบโจทย์ เน้นบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ เชื่อปีนี้ไปได้สวย ตั้งเป้าปีนี้โต15-20 %

THANA ปลื้มปี 60 โตสวนกระแสกำไรพุ่ง 84% ผลจากปรับสินค้าให้ตอบโจทย์ เน้นบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ เชื่อปีนี้ไปได้สวย ตั้งเป้าปีนี้โต15-20 %

ธนาสิริ กรุ๊ป หรือ THANA หุ้นอสังหาฯ จิ๋วแต่แจ๋วในเมืองนนท์ ประกาศผลการดำเนินงานปี 2560 ด้วยยอดขาย 986 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 24 % ขณะที่กำไรเพิ่มขึ้นถึง 84% อยู่ที่ 32.3 ลบ. จากปีก่อนมีกำไร 17.5 ลบ. ยอดโอน 828 ลบ. โตขึ้น 5.2 % เป็นผลมาจากความพร้อมของสินค้า ปรับกระบวนการตรวจรับมอบบ้านและการยื่นขอสินเชื่อลูกค้า (Pre-approve) ให้สอดคล้องกับการขายมากขึ้น คุมค่าใช้จ่ายทางการตลาดให้เหมาะสม ปรับกลยุทธ์การตลาด หันมาใช้การตลาดแบบออนไลน์ และไดเรกมาร์เก็ตติ้งให้มากขึ้น เชื่อว่า ในปี 2561 น่าจะเป็นไปในทิศทางที่ดี มียอดขายที่รอรับรู้รายได้แล้วกว่า 280  ล้านบาท  ตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่15-20 % นายสุทธิรักษ์ เสถียรภาพอยุทธ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ภายใต้ชื่อ THANA เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ครั้งที่ 1/2561 (วันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2561) ได้มีมติอนุมัติงบการเงินและงบการเงินรวมของบริษัทฯ และบริษัทย่อยฉบับตรวจสอบแล้ว สำหรับปี 2560 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2560 นั้น บริษัทฯได้รายงานว่ามีผลกำไรสุทธิ (ส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ) จากงบการเงินรวมสำหรับปี 2560 จำนวน 32.3 ล้านบาท เปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนเงิน 14.8 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 84.3 บริษัทฯจึงขอชี้แจงสาเหตุการเปลี่ยนแปลงของผลการดำเนินงานสำหรับงวดปี 2560 สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2560 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ดังนี้ รายได้จากการขายฯ ในปี 2560 เพิ่มขึ้นประมาณ 41.3 ล้านบาท หรือเทียบเป็นร้อยละ 5.2 มีสาเหตุมาจากความพร้อมของสินค้าในโครงการ ประกอบกับการปรับขบวนการตรวจรับมอบบ้านและการยื่นขอสินเชื่อลูกค้าให้สอดคล้องกับการขายมากขึ้น อนึ่ง ในไตรมาส 3 บริษัทฯ มีรายได้อื่น จากการได้รับค่าทดแทนค่าที่ดินพร้อมดอกเบี้ยตามคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดจำนวนรวมประมาณ 7.4 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นในปี 2560 ลดลงจากร้อยละ 32.5 เป็นร้อยละ 32.1 โดยหลักๆ มาจากกลยุทธ์ด้านการปรับราคาสำหรับกลุ่มสินค้าบางกลุ่มเพื่อใช้ส่งเสริมการตลาด ค่าใช้จ่ายในการขายในปี 2560 อยู่ที่ร้อยละ 9.9 ของรายได้จากการขายฯ เทียบกับร้อยละ 11.1 ในงวดเดียวกันของปีก่อน ลดลงร้อยละ 1.1 สาเหตุมาจากการควบคุมค่าใช้จ่ายทางการตลาดให้เหมาะสมกับการปรับกลยุทธ์ทางการตลาด บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีค่าใช้จ่ายในการบริหารในปี 2560 รวม 128.3 ล้านบาท ลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนประมาณ 2.7 ล้านบาท คิดเป็นลดลงร้อยละ 2.1 เป็นผลมาจากการบริหารค่าใช้จ่ายในระหว่างปี และค่าใช้จ่ายเรื่องบุคลากรขณะที่ยังมีการปรับเงินเดือนประจำปี อนึ่ง บริษัทฯ มีผลขาดทุนจากการทบทวนประมาณการผลประโยชน์พนักงานตามหลักคณิตศาสตร์ประกันภัยสุทธิจากภาษีแล้วจำนวน 1.5 ล้านบาท แสดงไว้ในกำไร/(ขาดทุน) เบ็ดเสร็จอื่น บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีต้นทุนทางการเงินในปี 2560 ประมาณ 19.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นประมาณ 1.7 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน บริษัทฯ และบริษัทย่อย มีค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ในปี 2560 ประมาณ 10.1 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนเพิ่มขึ้นประมาณ 3.0 ล้านบาท ประกอบด้วยภาษีเงินได้เพิ่มขึ้นประมาณ 1.4 ล้านบาทจากผลกำไรก่อนภาษีเงินได้ และภาษีเงินได้รอตัดจ่ายเพิ่มขึ้นประมาณ 1.6 ล้านบาท เกี่ยวกับบริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ประเภทบ้านจัดสรรพร้อมที่ดินเพื่อขาย ประเภททาวน์เฮ้าส์ บ้านแฝด และบ้านเดี่ยว โดยเน้นการพัฒนาโครงการในเขตปริมณฑลย่านจังหวัดนนทบุรี รวมถึงในส่วนภูมิภาคที่มีแนวโน้มการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น โซนภาคอีสานและภาคใต้ เป็นต้น ในระดับราคาโดยเฉลี่ยประมาณ 3 – 5 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ “ธนาซิโอ” “ธนาวิลเลจ” “ธนาฮาบิแทต” “ธนาคลัสเตอร์” “ธนาเรสสิเดนท์” และ “สิริ วิลเลจ” สาหรับโครงการในส่วนภูมิภาค โดยแต่ละแบรนด์จะมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกัน เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้อย่างครอบคลุม ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทได้พัฒนาโครงการไปแล้วกว่า 26 โครงการ โดยมีมูลค่ารวมประมาณ 10.2 พันล้านบาท  โดยบริษัทมีบริษัทย่อย ทั้งสิ้น 3 บริษัท ประกอบธุรกิจ ดังนี้ บริษัท ธนาสิริ พร๊อพเพอร์ตี ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด (“TPD”) TPD ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย โดยจะเป็นผู้พัฒนาโครงการ และเจ้าของโครงการ เน้นการพัฒนาโครงการในส่วนภูมิภาค ที่มีการเติบโตทาง เศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ในอดีตที่ผ่านมามีโครงการอยู่ในจังหวัดภูเก็ตและสกลนคร โดยบริษัทได้เข้าถือหุ้นอยู่ร้อยละ 99.6% เมื่อปี 2551 (TPD ก่อตั้งเมื่อปี 2533 ด้วยทุนจดทะเบียน 50 ล้านบาทและมีการเพิ่มทุนจดทะเบียนอีก 50 ล้านบาทในปี 2560 ทำให้มีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 100 ล้านบาท ทำให้สัดส่วนการถือครองหุ้นของบริษัทเป็น 99.8%)  ทั้งนี้ในการออกแบบก่อสร้างโครงการ บริษัทจะเป็นผู้กำหนดรูปแบบโครงการและ รายละเอียดการออกแบบว่าจ้างผู้รับเหมาเพื่อดำเนินงานก่อสร้าง รวมถึงเป็นผู้จัดหา วัสดุก่อสร้างหลักเองทั้งหมด แต่ในส่วนของฝ่ายขาย วิศวกรผู้ควบคุมงานก่อสร้าง (Foreman) และฝ่ายจัดการ จะดำเนินการโดยพนักงานของ TPD เอง บริษัท ธนาสิริ แมเนจเม้นท์แอนด์คอนซัลติ้ง จํากัด (“TMC”) TMC จัดตั้งเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2557 ด้วยทุนจดทะเบียน 2 ล้านบาท บริษัทถือ หุ้น 99.9% โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจด้านที่ปรึกษา, ด้านบริหารจัดการ และขายซอฟท์แวร์ระบบการทำงานต่างๆ บริษัท พิมานสิริ จํากัด (“PMS”) PMS เป็นบริษัทย่อยทางอ้อมของบริษัท โดยจัดตั้งเมื่อเดือนธันวาคม ปี 2557 ด้วยทุนจดทะเบียน 80 ล้านบาท เพื่อประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย โดยจะเป็นผู้พัฒนาโครงการและเป็นเจ้าของโครงการในภาคอีสาน เริ่มต้นที่ จ.อุดรธานี เป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัท ธนาสิริ พร๊อพเพอร์ตี้ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (TPD) กับ กลุ่มบริษัท อีสานพิมานกรุ๊ป จำกัด และนายธัชกร แต้ศิริเวช (พันธมิตรของ บริษัทที่ จ.สกลนคร) โดย TPD ถือหุ้นคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 60.7%
ศุภาลัย เปิดแบรนด์ใหม่แนวราบ “ESSENCE” โชว์แบบบ้าน 3 ชั้น 3 แบบ 3 สไตล์ ปักธงทำเลกลางเมือง

ศุภาลัย เปิดแบรนด์ใหม่แนวราบ “ESSENCE” โชว์แบบบ้าน 3 ชั้น 3 แบบ 3 สไตล์ ปักธงทำเลกลางเมือง

บมจ.ศุภาลัย เดินหน้าขยายแบรนด์แนวราบ “ESSENCE” สร้างสรรค์แบบบ้าน 3 ชั้นใหม่ล่าสุด   3 แบบ 3 สไตล์ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านรุ่นใหม่ และทาวน์โฮม บุกทำเลกลางเมือง เปิดตัวโครงการแรกปักธงทำเลใหม่ลาดพร้าว เจาะตลาด 4 – 10 ล้านบาท ตอบโจทย์ทุกการอยู่อาศัยของทุกคนในครอบครัว พร้อมเปิดขายอย่างเป็นทางการ 24-25 ก.พ.นี้ นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดอสังหาฯ แนวราบในปี 2561 เป็นปีที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการแข่งขันเรื่องนวัตกรรมการออกแบบเพื่อที่อยู่อาศัยสำหรับทุกคนในครอบครัว อีกทั้งทำเลที่ตั้งโครงการที่เน้นความสะดวกสบายในการเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ ได้ง่ายดาย ยังคงเป็นจุดขายด้านการตลาดที่สำคัญของบริษัทอสังหาฯ ในปัจจุบัน ทั้งนี้ เชื่อว่า   ที่อยู่อาศัยแนวราบไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว บ้านรุ่นใหม่ และทาวน์โฮม ตลาดน่าจะมีการแข่งขันสูง  ส่วนของศุภาลัย วางแผนเปิดตัวโครงการแนวราบ จำนวน 30 โครงการ มูลค่า 21,510 ล้านบาท แยกเป็นโครงการในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล จำนวน 17 โครงการ คิดเป็น 32% และโครงการภูมิภาค จำนวน 13 โครงการ คิดเป็น 22%  โดยปีนี้มีการพัฒนาแบบบ้านรูปแบบใหม่ เปิดตัวแบรนด์แนวราบ ภายใต้ชื่อ ESSENCE เจาะกลุ่มลูกค้าระดับราคา 4 – 10 ล้านบาท  ซึ่งเป็นครั้งแรกในการพัฒนาการออกแบบที่พักอาศัย  3  ชั้น  3  แบบ  3  สไตล์  รวมสินค้าประเภทบ้านเดี่ยว บ้านรุ่นใหม่ และทาวน์โฮม ในโครงการเดียวกัน เพื่อตอบรับทุกความต้องการของผู้อยู่อาศัย โดยแบรนด์ ESSENCE มาจากแนวคิด THE SCENT OF YOUR ESSENCE สะท้อนทุกด้านของตัวคุณ เพราะมองว่าจุดเริ่มต้นแห่งความสำเร็จของแต่ละคนจะเริ่มต้นที่ “บ้าน” ซึ่งเป็นพื้นที่เตรียมความพร้อมการใช้ชีวิตส่วนตัวและชีวิตการทำงาน เปิดตัวโครงการแรก ในทำเลกลางเมืองอย่าง “ลาดพร้าว” เป็นทำเลที่ไม่เคยเข้าไปพัฒนาโครงการมาก่อน ในชื่อ “ศุภาลัย เอสเซ้นส์ ลาดพร้าว” (SUPALAI ESSENCE LADPRAO) บนพื้นที่ประมาณ 26 ไร่ จำนวน 190 แปลง มูลค่าโครงการประมาณ 1,200 ล้านบาท บนทำเลลาดพร้าวมีศักยภาพสูง สามารถเชื่อมต่อสู่ทุกศูนย์กลางธุรกิจ พร้อมการคมนาคมที่สะดวกสบาย อาทิ ถนนลาดพร้าว ถนนรามคำแหง ทางด่วนรามอินทรา - อาจณรงค์ รองรับด้วยระบบรถไฟฟ้าถึง 3 เส้นทาง      คือ สายสีเหลือง สถานีลาดพร้าว 101 สายสีเทา สถานีฉลองรัช และ MRT สถานีลาดพร้าว แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ Foodland บิ๊กซี Central East Ville เดอะมอลล์บางกะปิ โรงพยาบาลเวชธานี มหาวิทยาลัยรัตนบัณฑิต (RBAC) โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) สำหรับแนวคิดการสร้างสรรค์แบบบ้าน 3 ชั้นใหม่ล่าสุด 3 แบบ 3 สไตล์  ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านรุ่นใหม่ และทาวน์โฮม ซึ่งยังคง concept การอนุรักษ์พลังงานภายในบ้าน ด้วยพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง พร้อมดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวสามารถตอบสนองทุก Lifestyle ของครอบครัวได้อย่างหลากหลาย สามารถปรับเปลี่ยน Function ให้เหมาะกับแต่ละกิจกรรมของครอบครัวได้ ศุภศิริ เริ่มต้นด้วยการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแบบบ้าน “ศุภศิริ” บ้านเดี่ยว 3 ชั้น สไตล์ Modern Contemporary พื้นที่ใช้สอย 321 ตร.ม. บนที่ดินขนาดประมาณ 52 ตร.ว.ขึ้นไป ราคาเริ่ม 10.9 ล้านบาท จุดเด่นที่สำคัญอยู่ที่ “Grand Vertical Living Room” ห้องรับแขกเพดานสูงถึง 6 ม. ประกอบด้วย 5 ห้องนอน โดยมีห้องนอนชั้นล่างสำหรับผู้สูงอายุ 4 ห้องน้ำ 1 ห้องเอนกประสงค์ (ชั้น 2) ขนาดใหญ่สำหรับทำกิจกรรมทุกรูปแบบ 1 ห้องแม่บ้านพร้อมห้องน้ำ อีกทั้งมีช่องแสงขนาดใหญ่บริเวณโถงบันไดนำแสงเข้ามาเพิ่มความอบอุ่นภายในบ้านได้อย่างทั่วถึง และที่จอดรถสามารถจอดได้ถึง 4 คัน ศุภศิลป์ ศุภศิลป์ ศุภศิลป์ ศุภศิลป์ ศุภศิลป์ ศุภศิลป์ ศุภศิลป์ ศุภศิลป์ แบบบ้าน “ศุภศิลป์” บ้านรุ่นใหม่ 3 ชั้น ออกแบบในสไตล์ Modern ตอบรับทุก Life Style ของคนรุ่นใหม่ พื้นที่ใช้สอย 243 ตร.ม. บนที่ดินขนาดประมาณ 38 ตร.ว. ขึ้นไป ราคาเริ่ม 7.7 ล้านบาท ประกอบด้วย 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ห้องเอนกประสงค์ (ชั้น 2) จุดเด่นอยู่ที่ “Sky Terrace” ระเบียงลอยฟ้าขนาดใหญ่ที่ชั้น 2 เชื่อมโยงพื้นที่ภายในบ้านและภายนอกเข้าหากันได้อย่างลงตัว สามารถออกแบบได้ตามใจ อาทิ เป็นสวนขนาดใหญ่ พื้นที่ปาร์ตี้หรือทำกิจกรรมของครอบครัว เป็นต้น สร้างสรรค์เป็นพื้นที่ส่วนตัวได้ไม่จำกัดรูปแบบ ห้องนอนชั้นล่างที่สามารถปรับเป็นพื้นที่ทำงานได้ และที่จอดรถ 3 คัน   ศุภวิชญ์ ศุภวิชญ์ ศุภวิชญ์ ศุภวิชญ์ ศุภวิชญ์ ศุภวิชญ์ แบบบ้าน “ศุภวิชญ์” ทาวน์โฮม 3 ชั้น สไตล์ Modern พื้นที่ใช้สอย 181 ตร.ม. บนที่ดินขนาดประมาณ 20 ตร.ว. ขึ้นไป ราคาเริ่ม 3.99 ล้านบาท ประกอบด้วย 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ จุดเด่นอยู่ที่ “Peace & Joy Room” กับพื้นที่ส่วนตัวที่ห้องเอนกประสงค์ขนาดใหญ่ ชั้น 2 และที่จอดรถ 2 คัน ภายในโครงการยังเพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ร่มรื่นด้วยสวนส่วนกลาง Space Garden & Play Zone อาคารนิติบุคคลพร้อมสระว่ายน้ำ ระบบ Easy Pass เข้า-ออกเฉพาะลูกบ้าน และกล้อง CCTV ทั้งที่ทางเข้า - ออก และภายในโครงการ พร้อมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. พร้อมเปิดขายอย่างเป็นทางการในวันเสาร์ที่ 24 - วันอาทิตย์ที่ 25 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งมั่นใจว่า แบบบ้านรูปแบบใหม่ของศุภาลัย ภายใต้แบรนด์ ESSENCE จะได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นอย่างมากด้วยดีไซน์ใหม่ที่ตอบสนองทุก Lifestyle ของทุกคนในครอบครัว สัมผัสกับที่อยู่อาศัยทำเลกลางเมืองที่คุณอาจหาความคุ้มค่าแบบนี้ที่ไหนไม่ได้อีก สามารถสอบถามข้อมูล โทร 1720 หรือชมรายละเอียดของโครงการได้ที่ www.supalai.com
เมอร์คคอร์ป เดินหน้าโครงการ “MILLIONAIRE FAST-LANE II ONE KESAS” ปูทางขยายโอกาสผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดอาเซียน

เมอร์คคอร์ป เดินหน้าโครงการ “MILLIONAIRE FAST-LANE II ONE KESAS” ปูทางขยายโอกาสผู้ประกอบการไทยสู่ตลาดอาเซียน

MERC CORP ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ ผนึกกำลังพันธมิตร KM LAND GROUP ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ในมาเลเซีย ดำเนินงานโครงการ Millionaire Fast-lane II หรือ “ทางสายด่วนชวนเป็นเศรษฐี” ครั้งที่ 2 เพื่อเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการไทยรุกหน้าขยายธุรกิจให้เติบโตในตลาดอาเซียนได้อย่างเต็มศักยภาพ ดร.ภาณุ บุญสมบัติ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท เมอร์คคอร์ป กล่าวว่า ด้วย MERC CORP เป็นที่ปรึกษาให้กับบริษัทพัฒนาที่ดินในทวีปเอเชีย และประเทศออสเตรเลีย ในด้านห้างสรรพสินค้า รูปแบบค้าปลีกและค้าส่ง รวมถึงโครงการคอนโดมิเนียมเพื่อการลงทุนในต่างประเทศ ตลอดจนเป็นที่ปรึกษาทางด้านการขายและการตลาด โดยเฉพาะในประเทศมาเลเซีย ที่ในขณะนี้มีความต้องการสินค้าและบริการจากประเทศไทย ร้านอาหารไทย ในรูปแบบ STAND ALONE, MAGNET ZONING, SPECIALTY STORE,CONCEPT STORE และ TRADE CENTER เป็นต้น การแข่งขันของธุรกิจไทยในปัจจุบันตกอยู่ภายใต้แรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้น จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับธุรกิจไทยที่จะแสวงหาลู่ทางการลงทุนใหม่ ๆ ในต่างประเทศ และปฏิเสธไม่ได้ว่าขณะนี้ต่างชาติมีความต้องการสินค้าไทยมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะประเทศในแถบอาเซียน ด้วยเหตุนี้จึงจัดตั้งโครงการ MILLIONAIRE FAST-LANE ขึ้นเป็นครั้งที่ 2 เพื่อเป็นศูนย์รวมข้อมูลสินค้าจากผู้ประกอบการไทย ที่ต้องการนำสินค้าออกสู่ตลาดโลก ที่ผ่านมาได้รับความร่วมมือจากภาครัฐ และสมาคมที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ เช่น สสว. สมาคมเอส เอ็ม อี สมาคมแฟรนส์ไชส์ ศูนย์รวมสินค้า OTOP และสมาคมหอการค้าไทย ในการเปิดช่องทางให้เข้าถึงข้อมูลของสมาชิกของแต่ละภาคส่วนเพื่อนำเสนอกิจกรรมและช่องทางการตลาดของโครงการฯ โดยล่าสุดได้ร่วมกับพันธมิตร KM LAND GROUP ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ในมาเลเซีย ในการขยายธุรกิจไทยสู่ ONE KESAS ศูนย์ค้าส่งสินค้าไทยแห่งแรกในมาเลเซีย นับได้ว่าเป็นก้าวสำคัญของผู้ประกอบการไทย ที่จะขยายธุรกิจสู่ตลาดโลกได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ด้าน MR. ONG SHAU SOO CHIEF EXECUTIVE OFFICER KM LAND GROUP กล่าวว่า KM LAND GROUP บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในประเทศมาเลเซีย ปัจจุบันได้ดำเนินงานโครงการ ONE KESAS ซึ่งเริ่มจากความต้องการสร้างศูนย์กระจายสินค้าเพื่อการค้าส่งสินค้าไทยโดยเฉพาะ เนื่องด้วยความนิยมสินค้าไทยในประเทศมาเลเซีย มีสัดส่วนที่สูงขึ้นทุกปี ไม่ว่าจะเป็นสินค้าประเภทอาหารแห้ง ขนมอบกรอบ เครื่องปรุงรส สินค้าหัตถกรรม สินค้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สปาที่ผลิตจากสมุนไพรไทย รวมถึงสินค้าแฟชั่น เป็นต้น เรียกได้ว่า ONE KESAS เป็นเสมือนโชว์รูมขนาดใหญ่สำหรับสินค้าไทยอย่างถาวรและเต็มรูปแบบ รองรับด้วยร้านค้ามากกว่า 200 ร้านค้า นอกจากนี้ยังให้การสนับสนุนและจัดการด้านการตลาดทั้งทางออนไลน์ และ ออฟไลน์ พร้อมทั้งการจัดการด้านงานขาย ตลอดจนการจัดหาตัวแทน     จัดจำหน่ายอีกด้วย “ประเทศมาเลเซียเป็นหนึ่งในประเทศสมาชิกอาเซียนที่เศรษฐกิจเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และเป็นตลาดที่สินค้าไทยมีศักยภาพสูง ด้วยมูลค่าส่งออกของไทยไปมาเลเซียที่เพิ่มขึ้นจาก 7.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2552 เป็น 13 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2556 หรือขยายตัวเฉลี่ยร้อยละ 11 ต่อปี ส่งผลให้ปัจจุบันมาเลเซียก้าวขึ้นเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 1 ของไทยในอาเซียน และเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับ 5 ของไทยในโลก ขณะที่การค้าระหว่างไทยและมาเลเซียยังมีแนวโน้มเติบโตได้อีกในระยะถัดไป เนื่องจากเศรษฐกิจมาเลเซียมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดย EIU คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4.8 ในปี 2556 เป็นเฉลี่ยร้อยละ 5.4 ต่อปี ในช่วงปี 2557-2561 ซึ่งจะเกื้อหนุนกำลังซื้อของชาวมาเลเซียที่มีจำนวนราว 30 ล้านคน โดยมีรายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 50 จาก 10,650 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2556 เป็น 16,070 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2561 สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้ว่าผู้ประกอบการไทยจะสร้างรายได้มหาศาลจากประเทศศักยภาพได้อย่างแน่นอน” โครงการ “MILLIONAIRE FAST-LANE II ONE KESAS” จึงเป็นโอกาสสำคัญของผู้ประกอบการไทยในการลุยสนามเพื่อขยายธุรกิจสู่ตลาดต่างประเทศ สู่การกระจายสินค้าในตลาดอาเซียนได้อย่างดีเยี่ยม ไม่ว่าจะเป็น สินค้าในความนิยมอย่างสินค้าที่เกี่ยวกับนวัตกรรมที่ดูแลสิ่งแวดล้อม (SMART IS THE NEW GREEN) นวัตกรรมสู่ความเป็นศูนย์ และส่งเสริมธุรกิจที่พัฒนาคุณภาพชีวิตของมนุษย์ โดยเฉพาะ SMEs ที่พัฒนาสินค้าและบริการที่เป็นปัจจัยพื้นฐาน รวมถึงปัจจัยที่ส่งเสริมสุข ซึ่งได้รับกระแสนิยมอยู่ในขณะนี้ จะสามารถเติบโตในตลาดอาเซียนได้ระยะยาว” ดร.ภาณุ บุญสมบัติ กล่าวปิดท้าย สำหรับผู้ประกอบการไทยที่สนใจ สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่  081-330-3322 และ 083-083-7023
กฎหมายใหม่ คนเช่าหอมีเฮ

กฎหมายใหม่ คนเช่าหอมีเฮ

หลายคนคงจะต้องผ่านช่วงชีวิตของการเป็นเด็กหอมาใช่ไหมคะ เพราะการได้อยู่ใกล้กับสถานที่เรียนหรือสถานที่ทำงานย่อมประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทางได้มากกว่า ซึ่งแต่ละคนก็ต้องเจอปัญหาจุกจิกกวนใจไม่เรื่องใดก็เรื่องหนึ่ง อย่างเรื่องค่าประกันหอแรกเข้าที่แพงกว่าค่าเช่าห้องหลายเท่าตัว ค่าน้ำ-ค่าไฟที่เก็บในอัตราสูงเกินจริง เวลาจะย้ายออกจากหอก็โดนยึดเงินประกันจนเกือบจะไม่เหลือทั้งที่ไม่มีอะไรเสียหาย แต่ต่อไปนี้ปัญหาจะลดลงและหมดไปในอนาคต เพราะกำลังจะมีกฎหมายใหม่ออกบังคับใช้เพื่อควบคุมปัญหาหอพัก-อพาร์ทเม้นท์ทั่วประเทศ   กฎหมายควบคุมหอพักที่กำลังจะเผยโฉมออกมาในเร็ววันนี้เกิดขึ้นมาจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค(สคบ.) ได้รับการร้องเรียนเข้ามาอย่างมากมายถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในการเช่าหอพัก-อพาร์ทเม้นท์ โดยปัญหา 2 อันดับแรก คือ เมื่อผู้เช่าได้ย้ายออกจากหอพักโดยแจ้งล่วงหน้าเอาไว้ 1 เดือนตามสัญญา แต่กลับไม่ได้เงินค่าประกันหอพักและค่าเช่าล่วงหน้าที่ได้เก็บไว้ตั้งแต่แรกเข้าคืน กับเรื่องอัตราค่าน้ำแพงเกินจริงถึง 15-20 บาท/ลบ.ม. ทั้งที่อัตราค่าน้ำจริงอยู่ที่ 8-11 บาท/ลบ.ม. ส่วนค่าไฟอัตราที่หอพักคิดประมาณ 6-9 บาท/หน่วย แต่อัตราจริงอยู่ที่ 2-4 บาท/หน่วย บางแห่งก็เจอปัญหามิเตอร์วิ่งเร็วเกินจริงอีกด้วย และเมื่อทางสคบ. ได้เขาไปตรวจสอบก็พบว่าปัญหาที่เกิดขึ้นส่วนมากจะเป็นหอพักสำหรับนักศึกษา กฏหมายฉบับนี้จึงกำลังจะเกิดขึ้นเพื่อไม่ให้เอาเปรียบผู้บริโภคต่อไปได้ ซึ่งตอนนี้ยังอยู่ในช่วงของการส่งเรื่องเพื่อประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาให้มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายต่อไป   ไม่เพียงแต่ควบคุมเรื่องค่าน้ำ-ค่าไฟ ซึ่งเป็นปัญหาหลักของผู้อยู่อาศัยหอพักเพียงเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงการควบคุมธุรกิจพอพัก แม้ตอนนี้จะยังไม่ออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรที่ชัดเจนแต่ก็ให้คำจำกัดความกับธุรกิจประเภทนี้ว่า เป็นผู้ที่มีห้องแล้วแบ่งให้เช่าตั้งแต่ 5 ห้องขึ้นไปไม่ว่าจะมีอยู่กี่ที่ หรืออยู่กันคนละแห่งก็ตามจะต้องเข้าหลักเกณฑ์ในการควบคุมทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นหอพัก อพาร์ทเม้นท์ บ้านเช่า หรือคอนโดมิเนียม ส่วนที่เป็นหอพักนักเรียน นักศึกษา จะต้องทำการจดทะเบียนให้ถูกต้อง ซึ่งส่วนนี้จะไปอยู่ในความควบคุมของกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์     กฎหมายฉบับนี้มีใจความสำคัญที่เป็นข้อกำหนดให้ปฏิบัติ เช่น ผู้ให้บริการหอพักจะต้องแสดงรายละเอียดให้ชัดเจนครบถ้วนในสัญญา ไม่ว่าจะเป็นชื่อ ที่อยู่ของผู้เช่า ระยะเวลาการเช่า รายละเอียดของทรัพย์สินภายในห้องที่ให้เช่า อัตราค่าน้ำ-ค่าไฟที่เหมาะสมอ้างอิงกับอัตราจริง วิธีการชำระเงิน ฯลฯ และจะมีการกำหนดเงื่อนไขต่างๆ ใหม่แก่ผู้ประกอบการ ที่สำคัญคือเงื่อนไขข้อปฏิบัติของการคืนเงินประกัน รวมไปถึงกำหนดข้อห้ามต่างๆ อย่างห้ามไม่ให้มีการเก็บเงินค่าเช่าห้องล่วงหน้าเกิน 1 เดือน ห้ามไม่ให้เก็บเงินค่าประกันเกิน 50% ของค่าเช่า ต้องคืนเงินประกันภายใน 7 วัน หลังผู้เช่าได้ทำการย้ายออก ห้ามไม่ให้ล็อกห้องผู้เช่าที่จ่ายเงินล่าช้าหลังวันที่กำหนด และไม่ให้เก็บเงินเพิ่มสำหรับผู้ต่อสัญญา เป็นต้น ทั้งหมดนี้จะต้องทำขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรเพื่อให้ง่ายต่อการตรวจสอบ โดยมีการกำหนดโทษจำคุก 1 ปี ปรับ 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ หากมีการฝ่าฝืนต้องมีโทษทันที ซึ่งหากมีผลบังคับใช้เมื่อไรผู้ประกอบธุรกิจจะต้องยกเลิกสัญญาฉบับเดิมที่เคยทำไว้ทั้งหมด แล้วทำสัญญาใหม่กับผู้เช่าภายใต้ข้อกำหนดใหม่ให้เป็นไปตามกฎหมาย   ผู้ที่เช่าอาศัยอยู่หอพักเห็นแบบนี้แล้วคงจะสบายใจกันมากขึ้น เพราะเมื่อมีกฎหมายออกมาคุ้มครองผู้บริโภคอย่างนี้แล้ว   ก็จะไม่ถูกเจ้าของหอพักขูดรีดโดยที่ทำอะไรไม่ได้อีกต่อไป รอติดตามการมีผลบังคับใช้กันได้เลยค่ะ คาดว่าประมาณเดือนพฤษภาคมนี้ เราจะได้เห็นหน้าตาของตัวกฎหมายควบคุมหอพักขึ้นเป็นครั้งแรกของประเทศไทย    
ภาษีลาภลอย กฎหมายใหม่เตรียมบังคับใช้

ภาษีลาภลอย กฎหมายใหม่เตรียมบังคับใช้

แวดวงอสังหาริมทรัพย์เป็นเรื่องของที่ดินโดยตรงจึงไม่แปลกที่หลายครั้งเราจะต้องพูดถึงเรื่องของราคาที่ดินซึ่งถือเป็นปัจจัยใจหลัก รวมไปถึงปัจจัยอื่นๆ ที่ก็ส่งผลกระทบด้วยเช่นกันอย่างปัจจัยทางด้านกฎหมายที่ระยะหลังมีทั้งการร่างกันขึ้นมาใหม่และแก้ไขกันอยู่ไม่น้อย ซึ่งเมื่อมีการร่างกฎหมายขึ้นมาใหม่ก็ย่อมมีผลกระทบในหลายด้านตามมาตั้งแต่ยังไม่ได้มีผลบังคับใช้ ก่อนหน้านี้เรามีบทความที่กล่าวถึงพรบ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกันมาแล้ว คราวนี้เราจะมาพูดถึง “ภาษีลาภลอย” (Windfall Gain Tax) หรือพ.ร.บ. ภาษีการได้รับประโยชน์จากการพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของรัฐ โดยภาษีนี้จะจัดเก็บกับเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ตามพื้นที่แนวรถไฟฟ้า ใกล้ทางด่วน ท่าเรือ และสนามบิน ตามที่กำหนด ดังนี้ พื้นที่เสียภาษี -พื้นที่ใกล้กับรถไฟฟ้า ทั้งรถไฟฟ้ารางคู่ รถไฟฟ้าความเร็วสูง รถไฟฟ้าขนส่งมวลชนต่างๆ ในระยะไม่เกิน 2.5 กิโลเมตรจากตัวสถานี -พื้นที่ใกล้ทางด่วน ระยะไม่เกิน 2.5 กิโลเมตร ตามจุดขึ้น-ลง -พื้นที่ใกล้สนามบิน ระยะไม่เกิน 5 กิโลเมตรจากแนวเขตห้ามก่อสร้างของสนามบิน -พื้นที่ใกล้ท่าเรือ ระยะไม่เกิน 5 กิโลเมตรจากแนวเขตของท่าเรือ วิธีการจัดเก็บภาษี แบ่งออกเป็น 2 กรณี คือ 1.การก่อสร้างโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานยังไม่เสร็จ (เก็บภาษีทุกครั้งที่มีการขายหรือเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ในที่ดินหรือคอนโด) ทำสัญญาก่อน พรบ. บังคับใช้ -ที่ดิน มูลค่าวันโอน-มูลค่าในวันที่ พรบ. บังคับใช้ × 5% -คอนโด ยูนิตใหม่ (20%ของมูลค่าขาย)× 5% ยูนิตเก่า มูลค่าขาย-มูลค่าในวันที่ พรบ. บังคับใช้ × 5% ทำสัญญาหลัง พรบ. บังคับใช้ -ที่ดิน มูลค่าวันโอน-มูลค่า ณ วันที่เริ่มโครงการ× 5% -คอนโด ยูนิตใหม่ 20% ของราคาประเมินวันขาย× 5% ยูนิตเก่า มูลค่าวันโอน-มูลค่า ณ วันที่เริ่มโครงการ× 5% 2.การก่อสร้างโครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานเสร็จแล้ว (เก็บภาษีจากเจ้าของคอนโดมิเนียมที่รอการจำหน่ายเพียงครั้งเดียว) ทำสัญญาก่อน พรบ. บังคับใช้ -ที่ดินเชิงพาณิชย์มูลค่าเกิน 50 ล้านบาท มูลค่าวันที่ก่อสร้างเสร็จ-มูลค่าในวันที่ พรบ. บังคับใช้ × 5% -คอนโดที่มีมูลค่าเกิน 50 ล้านบาท หรือเป็นโครงการที่ยังไม่ขาย ยูนิตใหม่ 20% ของมูลค่าในวันที่สร้างเสร็จ × 5% ยูนิตเก่า มูลค่าในวันที่สร้างเสร็จ-มูลค่าในวันที่ พรบ. บังคับใช้ × 5% ทำสัญญาหลัง พรบ. บังคับใช้ -ที่ดินเชิงพาณิชย์มูลค่าเกิน 50 ล้านบาท มูลค่าวันที่ก่อสร้างเสร็จ-มูลค่า ณ วันที่เริ่มโครงการ × 5% -คอนโดที่มีมูลค่าเกิน 50 ล้านบาท หรือเป็นโครงการที่ยังไม่ขาย ยูนิตใหม่ 20% ของมูลค่าในวันที่สร้างเสร็จ × 5% ยูนิตเก่า มูลค่าในวันที่สร้างเสร็จ-มูลค่า ณ วันที่เริ่มโครงการ × 5% *การเก็บภาษีนี้จะคิดจากราคากลางที่กรมธนารักษ์ประเมิน ใครได้ประโยชน์ เงินจากการจัดเก็บภาษีนี้จะถูกส่งเข้าไปยังกองทุนพัฒนาระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง ซึ่งจะมีการบริการจัดการโดยสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) นำไปช่วยเหลืองบประมาณด้านการพัฒนาสาธารณูปโภคด้านการคมนาคมต่อไป ที่ผ่านมาเจ้าของที่ดินเหล่านี้นั้นได้ประโยชน์จากราคาที่พุ่งขึ้นสูงอย่างรวดเร็วในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานี้ ยิ่งเป็นที่ดินที่อยู่ใกล้แนวรถไฟฟ้าในปัจจุบันช่วงต้นถนนสุขุมวิทไปจนถึงโซนอ่อนนุชมีราคาเพิ่มสูงขึ้นเฉลี่ย 30% ต่อปี หรือกำลังก่อสร้างอยู่ก็ยิ่งได้ราคาดีอย่างก้าวกระโดด ซึ่งทุกวันนี้เราจะเห็นได้ว่าเริ่มมีการประกาศขายที่ดินเปล่าเพิ่มมากขึ้นกว่าปกติประมาณ 10-20% โดยผู้ที่มีที่ดินลักษณะนี้ไว้ในครอบครองส่วนมากจะเป็นที่ดินมรดกโดยเฉพาะย่านใจกลางเมืองที่เป็นของตระกูลดังมาตั้งแต่อดีตนำออกมาขายหรือประมูลกันมากขึ้น เพราะอยู่ในข่ายของการเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง แม้จะได้รับการยกเว้นในภาษีลาภลอยนี้ เพราะไม่ได้นำที่ดินมาใช้เพื่อผลตอบแทนเพิ่มก็ตาม ยกตัวอย่างที่ดินเหล่านี้ เช่น ที่ดินรวมถึงบ้านของตระกูลพิชัยรณรงค์สงคราม ย่านถนนหลังสวนใกล้กับ BTS ชิดลม ขนาด 2 ไร่เศษ ได้ราคาประมูลจากเอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น สูงถึง 3.2 ล้านบาท/ตร.ว. ที่ดินของตระกูลพานิชภักดี บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา ย่านพระราม 3 พื้นที่ประมาณ 24 ไร่ ขายให้กับเอชเคอาร์ อินเตอร์เนชั่นแนล(HKRI) บริษัทอสังหาริมทรัพย์เจ้าใหญ่จากฮ่องกง เพื่อพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัยระดับพรีเมี่ยม เป็นต้น บางครั้งกลุ่มนายทุนก็กว้านซื้อที่ดินตามแนวรถไฟฟ้าในอนาคตดักเอาไว้เพื่อเก็งกำไรขายให้กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ แม้ว่าเหล่าผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จะได้รับผลกระทบที่ต้องซื้อที่ดินราคาแพงขึ้น ซึ่งอาจรวมถึงภาษีที่เป็นส่วนต่างนี้และค่าธรรมเนียมการโอนที่ก็มีการปรับราคาขึ้นจากการประเมินเช่นกัน(ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเจรจาระหว่างผู้ซื้อ-ขาย) แต่ผลกระทบที่แท้จริงจะตกลงมาอยู่ที่ผู้บริโภค เพราะต้องซื้อคอนโดมิเนียมตามแนวรถไฟฟ้า หรือที่อยู่อาศัยประเภทอื่นๆ ในทำเลดีที่มีราคาแพงมากขึ้นด้วยต้นทุนที่กำลังสูงขึ้นเรื่อยๆ เช่นนี้ อย่างไรก็ตามภาษีลาภลอยนี้ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนมากนัก เพราะในปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนของสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) สรุปความคิดเห็นส่งให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) แล้ว ซึ่งทางภาครัฐพยายามให้มีผลบังคับใช้ภายในปลายปีนี้  
รายได้น้อยก็กู้ซื้อบ้านได้

รายได้น้อยก็กู้ซื้อบ้านได้

เมื่อพูดถึงเรื่องการกู้สินเชื่อบ้านหลายคนต้องมีคำถามตามมามากมาย และหนึ่งในคำถามที่หลายคนอยากรู้กันมากที่สุดคือ ต้องมีรายได้ขั้นต่ำเท่าไหร่จึงจะยื่นกู้ได้ แล้วถ้ามีรายได้ต่อเดือนน้อยจะสามารถมีบ้านเป็นของตัวเองได้ไหม คำตอบคือ “ได้” ซึ่งหากติดตามข่าวจะทราบว่าทั้งทางภาครัฐและเอกชนมีมาตรการสำหรับผู้มีรายได้น้อยออกมาอยู่เรื่อยๆ ซึ่งก็มีเงื่อนไขแตกต่างกันไป ในบทความนี้เราจะยกตัวอย่างโครงการสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อย รวมถึงวิธีคำนวณวงเงินกู้สินเชื่อบ้านดูอย่างคร่าวๆ ว่าเงินเดือนเท่านี้ จะสามารถยื่นกู้ได้แค่ไหน   โครงการบ้านคนไทยประชารัฐ เป็นโครงการบ้านประชารัฐระยะที่ 2 โดยวางวงเงินสินเชื่อทั้งหมดเอาไว้ที่ 4,000 ล้านบาท จากธนาคารออมสินกับธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) มีวิธีการพิจารณาแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มแรกคือประชาชนที่มีรายชื่อขึ้นทะเบียนบัตรสวัสดิการรัฐเอาไว้แล้ว กลุ่มต่อมาคือประชาชนที่มีรายได้ไม่เกิน 35,000 บาท/เดือน และกลุ่มสุดท้ายเป็นกลุ่มประชาชนทั่วไป โดยลักษณะของโครงการจะมีทั้งบ้านแฝด 18 ตร.ว. บ้านแถวชั้นเดียว 16 ตร.ว. และอาคารที่พักอาศัย 24 ตร.ม. ในราคาไม่เกินยูนิตละ 350,000-700,000 บาท ผ่อนชำระไม่เกิน 2,000 บาท/เดือน ซึ่งโครงการระยะที่ 2 นี้จะอยู่ในพื้นที่ของราชพัสดุ กรมธนารักษ์ ทั้งหมด  8 แปลง คือ อ.แม่ทะ จ.ลำปาง 618 ยูนิต อ.เมือง จ.เชียงใหม่ 584 ยูนิต อ.เมือง จ.เชียงราย 352 ยูนิต อ.เมือง จ.นครพนม 322 ยูนิต อ.เมือง จ.ขอนแก่น 292 ยูนิต อ.เมือง จ.อุดรธานี 264 ยูนิต อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี 186 ยูนิต และอ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ 139 ยูนิต ซึ่งในแต่ละพื้นที่โครงการจะถูกแบ่งเป็นที่พักอาศัย 70% กับพื้นที่เชิงพาณชิย์อีก 30% ทั้งหมดนี้กรรมสิทธิ์จะเป็นของผู้ได้รับสิทธิ์ระยะยาว 30 ปี   โครงการสินเชื่อบ้านสวัสดิการแห่งรัฐดำเนินการโดยธนาคารอาคารสงเคราะห์(ธอส.) โดยในปีนี้กำหนดวงเงินในสินเชื่อรายใหม่สูงถึง 1.89 แสนล้านบาท ซึ่งมีทั้งหมด 3 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นโครงการสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ และประชาชนที่มีรายได้น้อยไม่เกิน 25,000 บาท/เดือน สามารถยื่นกู้ได้นานที่สุดถึง 40 ปี ในวงเงินสูงสุดไม่เกิน 2,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4 ปีแรก 2.โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ เป็นโครงการสำหรับบุคลากรภาครัฐ ไม่จำกัดวงเงินสูงสุดต่อราย อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4 ปีแรก 3.โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นโครงการสำหรับผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ประชาชนที่มีรายได้น้อยไม่เกิน 25,000 บาท/เดือน ข้าราชการ พนักงานราชการ พนักงานมหาวิทยาลัย พนักงานรัฐวิสาหกิจ พนักงาน/เจ้าหน้าที่ของรัฐ และเป็นผู้ที่มีภูมิลำเลาอยู่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ หรือต้องการอาศัยอยู่ วงเงินกู้ 1,000,000-2,000,000 บาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5 ปีแรก ทั้งนี้ถ้ากู้ไม่เกิน 1,000,000 บาท จะมีข้อกำหนดในรายได้ต่อเดือนประมาณ 12,000 บาท ผ่อนชำระไม่เกิน 4,200 บาท/เดือน ที่สำคัญผู้ที่ไม่มีงานทำสามารถยื่นเป็นผู้กู้ร่วมได้ และในกรณีที่มีหลักฐานด้านรายได้ไม่เพียงพอ ธอส. จะให้เปิดให้มีการเดินบัญชี 6-9 เดือน หากเป็นไปตามเงื่อนไขกำหนดแล้วจึงค่อยอนุมัติสินเชื่อให้ ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่  ghbank.co.th นอกจากนี้ยังมีอีกหลายธนาคารที่เปิดโอกาสให้ผู้ที่มีรายได้ไม่สูงมากนักก็สามารถกู้สินเชื่อบ้านได้ตามกฏที่แตกต่างกันออกไปของแต่ละธนาคาร ที่สำคัญคือผู้กู้จะต้องมีความสามารถในการผ่อนชำระสูงสุดแต่ละเดือนต้องไม่เกิน 40% ของรายได้ ระยะเวลาผ่อนประมาณ 15-35 ปี  และไม่มีภาระค่าใช้จ่ายอื่นๆ ด้วย(ถ้ามีภาระผ่อนอย่างอยู่ด้วยก็จะถูกหักลบไปในความสามารถการผ่อนต่อเดือน 40%) ซึ่งสำหรับการกู้บ้านจะขอกู้ได้ไม่เกิน 85% ของราคาประเมิน อาคารพาณิชย์ขอกู้ได้ไม่เกิน 75% ของราคาประเมิน ส่วนคอนโดมิเนียมจะขึ้นอยู่กับแต่ละโครงการว่ามีการร่วมกับธนาคารไหนบ้างซึ่งบางโครงการสามารถยื่นกู้ได้ถึง 100% โดยเรามีวิธีคำนวณเงินกู้จากฐานเงินเดือนคร่าวๆ เช่น 15,00040% = 6,000 บาท/เดือน รายได้ต่อเดือน 15,000 บาท ผ่อน 40% ของรายได้ต่อเดือน เท่ากับต้องผ่อนเดือนละ 6,000 บาท วงเงินการกู้ซื้อบ้าน ฐานเงินเดือน 15,000 ระยะเวลาผ่อน 15 ปี จะได้วงเงินกู้ประมาณ  640,000 - 730,000 บาท ฐานเงินเดือน 15,000 ระยะเวลาผ่อน 20 ปี จะได้วงเงินกู้ประมาณ  740,000 - 870,000 บาท ฐานเงินเดือน 15,000 ระยะเวลาผ่อน 25 ปี จะได้วงเงินกู้ประมาณ  810,000 - 970,000 บาท ฐานเงินเดือน 15,000 ระยะเวลาผ่อน 30 ปี จะได้วงเงินกู้ประมาณ  850,000 - 1,000,000 บาท ฐานเงินเดือน 15,000 ระยะเวลาผ่อน 35 ปี จะได้วงเงินกู้ประมาณ  880,000 - 1,100,000 บาท *ทั้งนี้แล้วแต่อัตราดอกเบี้ยและการพิจารณาของแต่ละธนาคารด้วย นั่นหมายความว่าแม้มีรายได้น้อยก็สามารถยื่นกู้ได้เพียงแต่วงเงินที่ทางธนาคารอนุมัติก็จะน้อยลงไปตามสัดส่วน และแต่ละโครงการที่อยู่อาศัย แต่ละโปรโมชั่นของธนาคารนั้นแตกต่างกันออกไป เพราะฉะนั้นผู้สนใจยื่นกู้สินเชื่อบ้านควรจะรวบรวมข้อมูลจากหลายๆ แห่งมาเปรียบเทียบกัน โดยเฉพาะเรื่องดอกเบี้ยเพื่อให้ได้ราคาที่ดีที่สุด เกี่ยวกับเรื่องกู้ซื้อที่อยู่อาศัย วิธีเตรียมกู้ซื้อบ้าน สำหรับอาชีพอิสระ เคล็ด (ไม่) ลับ เลือกธนาคารกู้ซื้อบ้าน กู้ซื้อบ้าน-คอนโด ให้ได้ 100% ทำยังไง