Tag : News

2376 ผลลัพธ์
คอนโดฯใหม่ ศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร โกยยอดขายได้สูงถึง 1,355 ล้านบาท สำหรับรอบการเปิดจองเฉพาะลูกค้าเก่า 16-17 ก.ย.ที่ผ่านมา

คอนโดฯใหม่ ศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร โกยยอดขายได้สูงถึง 1,355 ล้านบาท สำหรับรอบการเปิดจองเฉพาะลูกค้าเก่า 16-17 ก.ย.ที่ผ่านมา

เมื่อวันที่ 16-17 กันยายนที่ผ่านมา บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดจองห้องชุดโครงการคอนโดฯใหม่ล่าสุด ศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร สำหรับการเปิดจองเฉพาะรอบลูกค้าเก่าของศุภาลัย ณ สำนักงานขายโครงการ ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้าอย่างหนาแน่น โดยเปิดให้จองบางส่วนและได้ถูกจองหมดภายในวันเปิดจอง ซึ่งสามารถกวาดยอดขายได้สูงถึง 1,355 ล้านบาท แต่สำหรับห้องชุดชั้นคู่ รวมถึงห้องขนาด 34.5 ตร.ม. จะเปิดให้จองในวันที่ 22 กันยายนนี้ ลูกค้าท่านใดที่สนใจชมห้องตัวอย่าง สามารถเข้าชมได้ทุกวัน ที่สำนักงานขายโครงการ หรือสอบถามข้อมูลโทร.1720    
บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เตรียมเปิดตัวโครงการ เอโทล วงแหวนฯ-ลำลูกกา บ้านเดี่ยวบนทำเลศักยภาพ ตอบโจทย์การอยู่อย่างศัย ในราคาเริ่มต้นที่ 3.99 ล้านบาท

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เตรียมเปิดตัวโครงการ เอโทล วงแหวนฯ-ลำลูกกา บ้านเดี่ยวบนทำเลศักยภาพ ตอบโจทย์การอยู่อย่างศัย ในราคาเริ่มต้นที่ 3.99 ล้านบาท

กลับมาสร้างความคึกคักให้กับตลาดบ้านเดี่ยวกันอีกครั้ง ล่าสุด ผู้บริหารหนุ่ม  คุณชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ ภายใต้แบรนด์ เอโทล (Atoll) บ้านที่ให้คุณมากกว่าการพักผ่อนที่ตอบสนองการใช้ชีวิตของครอบครัวคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง บนทำเลศักยภาพ วงแหวนฯ-ลำลูกกา คือ โครงการ เอโทล วงแหวนฯ-ลำลูกกา  มูลค่าโครงการ 918 ล้านบาท ในราคาเริ่มต้นที่ 3.99 ล้านบาท จำนวน 138 หลัง ตั้งอยู่บนทำเลติดถนนใหญ่ สะดวกสบายในทุกการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นทางด่วน หรือรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายซึ่งเปิดให้บริการในอนาคตอันใกล้ ถึง 3 สายเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นทำเลทองของการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง พิเศษสุดกว่าโครงการไหนด้วยสวนส่วนกลางขนาดใหญ่กว่า 3 ไร่  นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอพิเศษสุด!! อาทิ สัญญาณกันขโมย เครื่องปรับอากาศ เครื่องทำน้ำอุ่น  ฉากกั้นอาบน้ำ ปูหญ้า ถุงน้ำบนดินและปั๊มน้ำ เป็นต้น  สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมบ้านตัวอย่างได้ที่สำหนักงานขายโครงการ เอโทล วงแหวนฯ-ลำลูกกา สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02 316 2222 หรือ  www.ananda.co.th
“เสนา” ผนึก “ฮันคิว” เตรียม Presale “นิช โมโน สุขุมวิท – แบริ่ง” คอนโดนวัตกรรมจากญี่ปุ่น “Geo fit+” แห่งแรกในไทย

“เสนา” ผนึก “ฮันคิว” เตรียม Presale “นิช โมโน สุขุมวิท – แบริ่ง” คอนโดนวัตกรรมจากญี่ปุ่น “Geo fit+” แห่งแรกในไทย

“เสนา” ผนึก “ฮันคิว” นำร่องโปรเจกต์แรก “นิช โมโน สุขุมวิท – แบริ่ง”คอนโดนวัตกรรมจากญี่ปุ่น “Geo fit+” พร้อมเปิด Presale กระหึ่ม 30 ก.ย. – 1 ต.ค. 60 ด้านไนแฟรงค์ฯ เผยทำเลย่านแบริ่งขาขึ้น ยอดขายพุ่งสูงสุดในรอบ 5 ปี ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าบริษัท เสนา ฮันคิว จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง SENA กับบริษัท ฮันคิว เรียลตี้จำกัด ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในญี่ปุ่น หนึ่งในกลุ่ม บริษัท Hankyu Hanshin Holding Group ซึ่งภายหลังประกาศพัฒนาโครงการร่วมกันโปรเจกต์แรก “นิช โมโน สุขุมวิท – แบริ่ง”  ต้องยอมรับว่าได้รับกระแสการตอบรับอย่างดีมากจากตลาดกลุ่มเป้าหมาย มีการพูดถึงว่าเป็นคอนโดมิเนียมนวัตกรรมจากญี่ปุ่น โดยเฉพาะการนำนวัตกรรมที่เรียกว่า “Geo fit+”ลิขสิทธิ์เฉพาะจากประเทศญี่ปุ่นและเป็นครั้งแรกในเมืองไทยที่นำนวัตกรรมดังกล่าวเข้ามาใช้ ภายใต้แนวคิดในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ใส่ใจในรายละเอียดและเข้าใจความต้องการของผู้อยู่อาศัยอย่างลึกซึ้ง สามารถนำมาใช้กับการสร้างที่อยู่อาศัยอย่างยอดเยี่ยมทั้ง Japanese Functionality ฟังค์ชั่นการใช้งานที่มีประสิทธิภาพ, Japanese Innovation นวัตกรรมแนวคิดใหม่ๆ เพื่อการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ  และJapanese Design กลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นที่นำมาใช้ในการออกแบบ สำหรับโครงการ นิช โมโน สุขุมวิท – แบริ่งภายใต้คอนเซ็ปต์“Life Charger” ความลงตัวของพื้นที่ชาร์จชีวิตคนเมืองยุคดิจิตอล ที่นี่ให้คุณชาร์จชีวิตได้ทุกวัน สะดวกสบายทุกการเดินทาง เนื่องจากใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียวสถานีแบริ่ง เพียง250 เมตร นอกจากนี้สายสีเขียวยังเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์ซึ่งเป็นเส้นทางไปสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ โดยโครงการตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 4 ไร่เศษ ติดถนนสุขุมวิท ซอยสุขุมวิท 70 เป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับสูง 34 ชั้น  1 อาคาร ทั้งหมด 1,275  ยูนิตโดยมีให้เลือก 3 Type คือ แบบ 1 Bedroom ขนาด 28 – 31 ตารางเมตร ,แบบ 1 bedroom plus ขนาด 34 ตารางเมตร และ แบบ 2 Bedroom ขนาด 48 ตารางเมตร ราคาเริ่ม 2.3 ล้านบาท หรือเฉลี่ยตกตารางเมตรละ 87,000 บาท รวมมูลค่าโครงการ 3,400ล้านบาท ส่วนการออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งานให้เหมือนวิถีการอยู่อาศัยแบบญี่ปุ่นอย่างแท้จริง และเพื่อสนองความต้องการของผู้อาศัยใน 4 ด้าน ประกอบด้วย 1.Geo fit + days คุณภาพที่ได้มาตรฐาน 2.Geo fit + eco ใส่ใจสิ่งแวดล้อม 3.Geo fit + age ปลอดภัยสำหรับผู้สูงวัยและ 4.Geo fit + sonaeเตรียมพร้อมฉุกเฉินป้องภัยธรรมชาติและด้วยการนำแนวคิด Geo Fit+ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างที่อยู่อาศัยในญี่ปุ่นนั้น มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับ Lifestyle คนไทย ยกตัวอย่าง การวางโซนพยาบาลไว้ในโครงการเพื่อเตรียมพร้อมด้านความปลอดภัยของลูกบ้าน หรือการรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยระบบ EV Charger ซึ่งช่วยประหยัดพลังงานโดยใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์แทนการใช้ไฟฟ้าในโครงการรวมถึงมีการออกแบบฟังก์ชั่นห้องชุด ให้ตอบสนองความต้องการของผู้พักอาศัย เช่น ชั้นปรับระดับได้ที่สามารถปรับฟังก์ชั่นการใช้งานตู้ภายในห้องชุดได้ตามการใช้งานจริง เป็นต้น ด้านสาธารณูปโภคภายในโครงการครบครัน อาทิ พื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ , สระว่ายน้ำแบบ Infinity Edge ระบบเกลือยาว 88 เมตร ห้องออกกำลังกายพร้อมอุปกรณ์ครบครันด้วยพื้นที่ 250 ตารางเมตร Boxing Room , Panoramic Sky Lounge, Jogging Track ในสวน และ Yoga Roomเป็นต้นนอกจากนี้ ยังมีร้านสะดวกซื้อ 7 -11 และ ร้านกาแฟ แบรนด์ชั้นนำ TOM N TOM บนพื้นที่ขนาด 200 ตารางเมตร ไว้รองรับลูกบ้านภายในโครงการด้วย นายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด  กล่าวว่า การพัฒนาคอนโดมิเนียมพักอาศัยในย่านสุขุมวิทตอนปลายแบริ่ง มีศักยภาพในการขยายตัวและเติบโตได้ ทั้งตอบสนองความต้องการของคนทำงานในเมืองและคนทำงานในย่านสมุทรปราการ ซึ่งปัจจัยหนุนศักยภาพของทำเลในย่านนี้ คือ 1.ความได้เปรียบจากทำเลที่ตั้ง เนื่องจากรถไฟฟ้าสายสีเขียวสามารถเชื่อมต่อกับศูนย์กลางธุรกิจที่สำคัญย่านสุขุมวิท เพลินจิต สีลม และย่านการค้าสยาม โดยช่วยให้คนทำงานกลางเมืองเดินทางเข้าถึงแหล่งงานและแหล่งช้อปปิ้งได้อย่างสะดวกรวดเร็ว เพียง 15-25 นาที จากสถานีแบริ่ง ขณะเดียวกันส่วนต่อขยายสามารถที่จะเชื่อมต่อไปยังจังหวัดสมุทรปราการถึงบางปูจะช่วยให้คนที่ทำงานในย่านอุตสาหกรรมย่านบางปูได้รับความสะดวกเช่นเดียวกัน  2.ต้นทุนที่ดินในย่านนี้ราคายังสามารถจับต้องได้ ซึ่งจะทำให้ราคาขายคอนโดในย่านนี้ยังมีราคาขายที่ไม่สูงมากเกินไป โดยคอนโดในละแวกนี้ราคาต่อยูนิตอยู่ที่ประมาณ 1.5 ล้านบาทถึง 3.5ล้านบาท ในขณะที่ทำเลตามแนวสุขุมวิทตั้งแต่บางนาถึงอโศก คอนโดใหม่ในพื้นที่โดยรอบสถานีรถไฟฟ้าในราคา 1.5 ล้านบาทถึง2.5 ล้านบาท ไม่สามารถหาได้แล้ว แต่ด้วยราคาต่อยูนิตที่ไม่สูงมากทำให้ยอดผ่อนชำระกับธนาคารตกต่อเดือนประมาณหมื่นต้นๆ ถือว่าไม่สูงไม่มากสำหรับพนักงานออฟฟิศใจกลางเมือง 3. ย่านสุขุมวิทตอนปลายเป็นย่านที่พัฒนาแล้ว มีสาธารณูปโภคและบริการสาธารณะครบถ้วน มีโครงการพัฒนาเชิงพาณิชย์หลายโครงการ เช่น ศูนย์แสดงสินค้าไบเทค โครงการอาคารสำนักงานภิรัช ทาวเวอร์ โครงการบางกอกมอลล์ เป็นโครงการ mixed-use ขนาดใหญ่ พัฒนาโดยกลุ่มเดอะมอลล์ บริเวณจุดตัดถนนบางนาตราด-สุขุมวิท บนเนื้อที่ 100 ไร่ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ปี 2561 และ 4.  ด้านผลตอบแทนการลงทุนค่อนข้างดี อยู่ที่ 5.5%-6.5% (แต่ขึ้นอยู่กับโครงการ)   ซึ่งคอนโดมิเนียม low-rise แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 28- 30 ตารางเมตร ราคาขายประมาณ 2 – 2.2 ล้านบาท อัตราค่าเช่าเดือนละประมาณ 10,000 – 12,000 บาท ส่วนคอนโด High-rise ราคาขายประมาณ 2.5 – 2.8 ล้านบาท อัตราค่าเช่าประมาณ 13,000 -15,000 บาทต่อเดือน ผู้เช่ามีทั้งลูกค้าคนไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะคนจีนและเกาหลีที่ทำงานอยู่ในโรงงานย่านสมุทรปราการ อย่างไรก็ตาม จากผลสำรวจของงานผลวิจัยไนท์แฟรงค์ฯ พบว่าคอนโดมิเนียมบริเวณสถานีบางนา-แบริ่ง- สำโรงมีอุปทานสะสมระหว่างปี 2555 ถึงครึ่งปีแรก 2560 มีทั้งสิ้น 12,417 ยูนิต ปัจจุบันมีหน่วยเหลือขายประมาณ 3,343 ยูนิต คิดเป็นอัตราการขายร้อยละ 73 เติบโตต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 ซึ่งเป็นปีที่มีอุปทานใหม่เข้ามามากที่สุดประมาณ 4,300 ยูนิต จะเห็นได้ว่าอัตราการดูดซับในทำเลนี้ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่คอนโดทำเลโดยรอบสถานีแบริ่ง ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2560 มีอัตราการขายสูงถึงร้อยละ 83  มีอุปทานสะสมทั้งสิ้น 6,430 ยูนิต ปัจจุบันมีหน่วยเหลือขายเพียง 1,160 ยูนิต ซึ่งสะท้อนถึงอัตราการขายสูงสุดในรอบ 5 ปี จะเห็นได้ว่าทำเลแบริ่งเป็นทำเลที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องจากอัตราการขายที่สูงกว่าร้อยละ 70 ตลอดระยะเวลา 5 ปี จากการสำรวจพบว่าคอนโดมิเนียมบริเวณสถานีบางนา – แบริ่ง –สำโรง ส่วนมากเป็นอาคาร low – rise คิดเป็นร้อยละ 63 หรือ 7,861 ยูนิต ขณะที่อาคาร High – rise มีประมาณ 4,556 ยูนิต หรือร้อยละ 37 แต่หากพิจารณาเฉพาะคอนโดมิเนียมสถานีแบริ่ง พบว่ามีเพียงแค่8% หรือ 545 ยูนิต ที่เป็นอาคารสูงจากโครงการ Knight Bridge และ The Gallery Bearing และคอนโดสูงในทำเลนี้ มียอดขาย 99% เหลือขายไม่กี่ห้อง เนื่องจากเป็นโครงการที่เปิดขายเมื่อ 3- 4 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ผลสำรวจคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่ในบริเวณนี้ตั้งอยู่ในซอยลาซาล หรือ สุขุมวิท 105 และในซอยสุขุมวิท 107 ซึ่งในซอยนั้นไม่สามารถขึ้นอาคารสูงได้ ขณะที่ตลาดปล่อยเช่าในย่านนี้ยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน  ซึ่งปัจจุบัน พบว่าราคาขายเฉลี่ยคอนโดมิเนียมบริเวณสถานีบางนา – แบริ่ง – สำโรง ที่เป็นอาคาร  Low – rise เปิดขายตารางเมตรละ 70,000 บาท แต่ถ้าหากเป็นคอนโดมิเนียมอาคารสูงในซอยราคาจะสูงกว่าประมาณ 28% หรือตารางเมตรละ 90,000 บาท ขณะที่ราคาคอนโดมิเนียมอาคารสูงริมถนนสุขุมวิทจะมีราคาสูงสุดอยู่ 100,000 บาทต่อตารางเมตร  สูงกว่าคอนโด High – rise ในซอย 28% สำหรับโครงการ นิช โมโน สุขุมวิท – แบริ่งเตรียมเปิดพรีเซล์ในวันเสาร์และอาทิตย์ที่ 30 กันยายน – 1 ตุลาคมนี้ พร้อมรับโปรโมชั่นพิเศษ ลุ้น Lucky Draw ห้องโปรฯราคา 2.2 ล้าน*กรณีชำระเงินจอง+ทำสัญญา (แบ่งจ่าย 0% 6 เดือน) พร้อมรับ Gift Voucher สยาม พารากอน 5,000 บาท  และราคาพรีเซล รับส่วนลดวันงาน 50,000 บาท ทั้งนี้ ทางโครงการยังเปิดให้ลูกค้าได้เข้าชมห้องตัวอย่างตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปแล้ว ณSales Gallery โครงการ นิช โมโนสุขุมวิท – แบริ่ง  
“ออริจิ้น” จัดทัพใหญ่สร้าง “The Empire of Origin” อาณาจักรอสังหาฯครบวงจร

“ออริจิ้น” จัดทัพใหญ่สร้าง “The Empire of Origin” อาณาจักรอสังหาฯครบวงจร

นายพีระพงศ์ จรูญเอก (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI พร้อมด้วยนายฮิโรมิจิ วาตานาเบะ (กลาง) เจ้าหน้าที่บริหาร (Executive Officer) บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด และนายณเดชน์ คูกิมิยะ (ที่ 2 จากขวา) แบรนด์แอมบาสเดอร์ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ร่วมฉลองความสำเร็จการขายคอนโดมิเนียม 4 โครงการใหม่ทำเลศักยภาพ ได้แก่ 1.ไนท์บริดจ์ ไพร์ม อ่อนนุช 2.ไนท์บริดจ์ ไพร์ม รัชโยธิน 3.ไนท์บริดจ์ คอลลาจ รามคำแหง และ 4.ไนท์บริดจ์ เกษตร โซไซตี้ กวาดยอดขายจากงาน My Life. My Origin มหกรรมจัดแสดงและขายคอนโดมิเนียมครั้งยิ่งใหญ่ของออริจิ้น ณ ศูนย์การค้าสยาม พารากอน เมื่อวันที่ 16-17 ก.ย. 2560 ไปกว่า 5,000 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการรวม 7,400 ล้านบาท
ศุภาลัย ปั้น LANDMARK ใหม่บนถนนสาทร

ศุภาลัย ปั้น LANDMARK ใหม่บนถนนสาทร

บมจ.ศุภาลัย ชนะประมูลซื้อที่ดินสถานทูตออสเตรเลีย เนื้อที่ 7 ไร่กว่า บนถนนสาทร  ทำเลทองย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพฯ เล็งพัฒนาโครงการ ซึ่งประกอบด้วย อาคารชุดพักอาศัยและอาคารสำนักงานให้เช่า ให้โดดเด่นสวยงามเป็น Landmark ของถนนสาทร มูลค่ารวมประมาณ 17,000 ล้านบาท พร้อมมั่นใจช่วยดันศุภาลัยเติบโตด้านรายได้อย่างยั่งยืน 15 - 20 % ต่อปี ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้ชนะการประมูลซื้อที่ดินสถานทูตออสเตรเลีย เนื้อที่ 7 ไร่ 3 งาน 82 ตารางวา บนถนนสาทร  ติดถนนสวนพลู มูลค่าที่ดิน 4,600 กว่าล้านบาท หรือคิดเป็นตารางวาละ 1.45 ล้านบาท ซึ่งจะเตรียมพัฒนาที่ดินเป็นโครงการ ซึ่งประกอบด้วย อาคารชุดพักอาศัยและอาคารสำนักงาน ให้เช่า โดยตั้งใจพัฒนาให้โดดเด่นสวยงามเป็น Landmark ใหม่ในย่านถนนสาทร สีลม โดยคาดว่าจะมีมูลค่ารวมประมาณ 17,000 ล้านบาท เนื่องจากที่ดินของสถานทูตออสเตรเลีย มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง 70 เมตร และลึกประมาณ 160 เมตร ติดถนนสาทรใต้ถือเป็นถนนสายสำคัญที่เป็นทำเลทองในย่านธุรกิจที่มีศักยภาพด้านการพัฒนาสูง และด้านหลังมีถนนออกซอยสวนพลูได้ ทำเลในย่านสาทรเป็นพื้นที่ของพาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัยค่อนข้างหนาแน่น แวดล้อมด้วยแหล่งงานจำนวนมากและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย อีกทั้งเป็นทำเลที่คุ้นเคยและนิยมของชาวต่างชาติอีกด้วย จึงเป็นทำเลที่ตั้งที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนพัฒนาเป็นอาคารชุดพักอาศัยและอาคารสำนักงานเกรด A ให้เช่า โครงการนี้ได้เริ่มการออกแบบร่างโครงการแล้ว โดยจะวางผังออกแบบอาคารในแนวทาง Green Design ที่อนุรักษ์พลังงาน ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม มีสวนขนาดใหญ่อยู่ในโครงการและเก็บรักษาต้นไม้ใหญ่ของเดิมส่วนหนึ่งไว้ นอกจากนี้พร้อมจะนำนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ มาใช้ในการออกแบบที่ไม่มีในโครงการอื่นๆ มาก่อน สำหรับปี 2561 บริษัทฯ มีที่ดินที่จะเตรียมพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมพักอาศัยแล้วรวมทั้งสิ้น 6 แปลง และยังมีโครงการที่พักอาศัยแนวราบอีกหลายสิบแปลงทั่วประเทศ ซึ่งบริษัทฯ มั่นใจว่าการชนะประมูลที่ดินในครั้งนี้จะยังทำให้มั่นใจว่าศุภาลัยจะมีอัตราการเติบโตด้านยอดขายและรายได้อย่างยั่งยืน 15 - 20 % ต่อปี ต่อไปอีกหลายปีข้างหน้า อีกทั้งทำให้ศุภาลัยมีสินค้าระดับไฮเอนด์บนทำเลใจกลางเมืองย่านสาทร สีลม เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าและมีรายได้จากการเช่าอีกทางหนึ่ง บริษัทฯ คาดว่าจะเปิดให้ลูกค้าจองโครงการได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2561
ศรีพันวา ลุยขยายงานโรงแรมรับนักท่องเที่ยว ส่ง “บาบา บีช คลับ หัวหิน” & “บาบา บีช คลับ ภูเก็ต” จับกลุ่มไฮเอนด์

ศรีพันวา ลุยขยายงานโรงแรมรับนักท่องเที่ยว ส่ง “บาบา บีช คลับ หัวหิน” & “บาบา บีช คลับ ภูเก็ต” จับกลุ่มไฮเอนด์

ศรีพันวาลุยเปิด 2 โรงแรมและเรสซิเดนส์สุดหรู มูลค่าโครงการกว่า 4,700 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ “บาบา บีช คลับ หัวหิน” และ “บาบา บีช คลับ ภูเก็ต” รองรับตลาดท่องเที่ยวบูม ชูจุดเด่นในสไตล์บีชคลับริมทะเลหัวหิน และหาดนาใต้ภูเก็ต จับกลุ่มนักท่องเที่ยวไฮเอนด์ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ พร้อมเปิดให้บริการเต็มรูปแบบตุลาคมนี้ มั่นใจตลาดท่องเที่ยวไทยขยายตัวต่อเนื่อง นายสงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมของตลาดการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต และหัวหิน ว่าในส่วนของจังหวัดภูเก็ตยังมีแนวโน้มการขยายตัวของนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเห็นได้จากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาทิ จีน รัสเซีย ออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง และเอเชียตะวันออก รวมถึงการขยายเที่ยวบินของจังหวัดภูเก็ต และการพัฒนาโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ จากภาครัฐ ที่มีนโยบายออกมากระตุ้นภาคการท่องเที่ยว ขณะที่หัวหิน ถือเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำหรับภาคการท่องเที่ยว โดยจะเห็นได้จากโครงการพัฒนาที่พักอาศัยในเขตพื้นที่หัวหิน ที่มีโครงการใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเพิ่มทางด่วนยกระดับพระราม 2 ลอยฟ้ากรุงเทพ-ราชบุรี และ ทางด่วนใหม่เชื่อมพระราม 3-วงแหวน และรถไฟฟ้าความเร็วสูงกรุงเทพ-หัวหินประกอบกับทำเลหัวหินที่ยังคงมีเอกลักษณ์ ความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยว รวมถึงความสะดวกสบายด้านการเดินทางพักผ่อนที่ไม่ไกลจากกรุงเทพ ช่วยสนับสนุนให้การท่องเที่ยวหัวหิน เติบโตได้อย่างรวดเร็ว “ปัจจัยที่เห็นได้ชัดที่สะท้อนถึงการเติบโตของภาคธุรกิจท่องเที่ยวภูเก็ต หัวหิน นอกจากตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นแล้ว ปัจจัยในด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม คอนโด ก็มีแนวโน้มเติบโตเช่นกัน รวมถึงปัจจัยด้านการคมนาคม การขนส่งทางบกและทางทะเล สนามบินนานาชาติ ที่จะส่งเสริมพัฒนาการท่องเที่ยวในอนาคต” นายสงกรานต์ กล่าว ทั้งนี้เพื่อเป็นการรองรับการเติบโตของภาคการท่องเที่ยว และส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศไทย ล่าสุดโรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต ได้ขยายแบรนด์โรงแรมสุดหรู 2 แห่ง จับตลาดท่องเที่ยวเมืองภูเก็ต และหัวหิน ภายใต้แบรนด์ “บาบา บีช คลับ หัวหิน” และ “บาบา บีช คลับ ภูเก็ต” ซึ่งจะให้บริการในส่วนของโรงแรม และเรสซิเดนส์ โดยมีทีมงานจากโรงแรมศรีพันวา เข้ามาบริหารเพื่อสร้างมาตรฐานการบริการอย่างเหนือระดับ ซึ่งจะเปิดให้บริการพร้อมกันในเดือนตุลาคมนี้ ด้าน นายดิฐวัฒน์ อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ร่วมอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด กล่าวถึงความโดดเด่นของโรงแรม “บาบา บีช คลับ หัวหิน” และ “บาบา บีช คลับ ภูเก็ต” ว่าทั้ง 2 แห่งนี้ เป็นโรงแรม และเรสซิเดนส์ ในสไตล์บีชคลับสุดหรู ที่มาในคอนเซ็ปต์ Music Lovers Hotel โดยไฮไลท์ของบาบา บีช คลับ คือมีความเป็นธรรมชาติ Entertainment Pool ติดชายหาด และ Beach Club สุดเอกซ์คลูซีฟ ที่จะมีกิจกรรม Entertainment ทุกเดือน เน้นให้แขกที่เข้าพักได้พักผ่อนริมทะเลไปพร้อมกับเสียงเพลงและสนุกสนาน นอกจากนี้ในแต่ละโลเคชั่น ยังมีการนำเอกลักษณ์การออกแบบดั้งเดิมของท้องถิ่นมาใช้ในงานดีไซน์อีกด้วย โดยในส่วนของ “บาบา บีช คลับ หัวหิน” เป็นโครงการการร่วมทุนระหว่างบริษัท บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไอ.ซี.ซี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ภายใต้ชื่อบริษัท ร่วมอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด โดยมีมูลค่าโครงการกว่า 1,700 ล้านบาท ในการพัฒนาโรงแรม และเรสซิเดนส์ สไตล์บีชคลับ ริมทะเลหัวหิน ตั้งอยู่บนพื้นที่ 12 ไร่ ในทิวทะเลเอสเตท มีหน้าหาดทอดยาวกว่า 160 เมตร เปิดให้บริการห้องพักวิวทะเลแบบพาโนรามา พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว จำนวน 18 ห้อง และเรสซิเดนส์พูลวิลล่า จำนวน 11 หลัง โดยมีให้เลือกหลายสไตล์ เริ่มจากห้องพักแบบ บีชฟรอนท์ พูลสวีท (Beachfront Pool Suite), บีชฟรอนท์ พูลสวีท กราวน์ฟลอร์ (Beachfront Pool Suite Ground Floor), เพนท์เฮาส์ (Penthouse), พูลวิลล่า แบบ 3 และ 5 ห้องนอน เน้นจับตลาดกลุ่มนักท่องเที่ยวระดับกลางถึงไฮเอนด์ รวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวรุ่นเจนเอ็กซ์ เจนวาย และมิลเลนเนียลส์ โดยใช้เสียงเพลงถ่ายทอดความประทับใจสะท้อนเอกลักษณ์ของบาบา บีช คลับ “บาบา บีช คลับ หัวหิน” ถูกโอบล้อมด้วยธรรมชาติและทัศนียภาพอันงดงามของชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ให้การบริการระดับ 5 ดาว และสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ห้องอาหารและบาร์ริมทะเล (Baba Beach Bar & Baba Beach Restaurant), Entertainment Pool, ฟิตเนสระดับพรีเมี่ยมสปาส่วนตัวจากคูลสปาสระว่ายน้ำ และบ้านโชค (Baan Chok) ซึ่งเป็นห้องอาหาร แกลอรี่ และสถานที่จัดงานอีเวนท์ริมทะเล สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมรายละเอียดของทั้ง 2 โครงการได้ที่เว็ปไซด์ www.bababeachclub.com” นายดิฐวัฒน์ กล่าว ขณะที่ นายวรสิทธิ อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีพันวา แมเนจเมนท์ จำกัด, บริษัท ชาญอิสสระ เรสซิเดนซ์ จำกัด และ บริษัท อิสสระจุนฟา จำกัด กล่าวว่าในส่วนของ “บาบา บีช คลับ ภูเก็ต” เป็นโครงการการร่วมทุนระหว่าง บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท จุนฟา เรียล เอสเตท จำกัด จากประเทศจีน ภายใต้ชื่อ บริษัท อิสสระ จุนฟา จำกัด โดยมีมูลค่าโครงการกว่า 3,000 ล้านบาท ในการพัฒนาโรงแรม และเรสซิเดนส์ ในสไตล์บีชคลับระดับลักซ์ชัวรี่ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 42 ไร่ ริมชายหาดภูเก็ตนาใต้ ห่างจากสนามบินนานาชาติภูเก็ตเพียง 20 นาที โดยมีจุดเด่นที่ตั้งอยู่ติดริมชายหาดยาวถึงเกือบ 200 เมตร ที่ยังคงความเป็นธรรมชาติ พร้อมวิวพระอาทิตย์ตกที่กว้างไกล สร้างบรรยากาศความเป็นส่วนตัวให้กับแขกที่เข้ามาพักผ่อน พร้อมการออกแบบผสมผสานการตกแต่งสไตล์ชิโนโปรตุกีส (Chino-Portuguese) อันเป็นเอกลักษณ์ของภูเก็ต เข้ากับรูปแบบสีสันสดใสของสไตล์แบบเซี่ยงไฮ้แทง (Shanghai Tang) กลายเป็นการตกแต่งสไตล์โมเดิร์นทรอปิคอล (Modern Tropical) ในแบบฉบับของ บาบา บีช คลับ ภูเก็ต ซึ่งมอบไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับลักซ์ชัวรี่ให้แก่ลูกค้า “บาบา บีช คลับ ภูเก็ต” ประกอบด้วยโรงแรมจำนวน 16 ยูนิต  และบ้านพักตากอากาศที่เป็นบีชฟร้อนท์วิลล่าขนาด 5 ห้องนอน (Five Bedroom Beachfront Villa) พื้นที่ใช้สอย 1,100 ตารางเมตร จำนวน 6 หลัง พูลวิลล่าขนาด 2 ห้องนอน (Two Bedroom Pool Villa) จำนวน 18 หลัง  และอีก 37 ยูนิต สำหรับบาบา สวีท (One Bedroom Baba Suite) หรือ พูลสวีท (One Bedroom Baba Pool Suite) ขนาด 1 ห้องนอน และเพนท์เฮ้าส์ขนาด 2 ห้องนอน (Two Bedroom Baba Penthouse) “บาบา บีช คลับ ภูเก็ต” ได้รับการออกแบบให้มีบรรยากาศที่สนุกสนานและเต็มไปด้วยพลัง   สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ ประกอบด้วยฟิตเนส สปา สระว่ายน้ำ ร้านอาหารและบาร์ (Baba Beach Restaurant, Baba Beach Bar, Sushi Bar & International Cuisine) ที่ตกแต่งในรูปแบบที่กลมกลืนไปกับท้องทะเล เข้ากับสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ และมอบรูปแบบการใช้ชีวิตในแบบทรอปิคอลสุดหรูอย่างแท้จริง นายวรสิทธิ กล่าวต่อว่า ในส่วนของการบริหารงานของทั้ง 2 โครงการนี้ ได้ใช้ทีมงานบริหารรจากโรงแรมศรีพันวา เข้ามาช่วยบริหารจัดการทั้งหมด เพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานการให้บริการระดับเวิลด์คลาส รวมถึงการบริหารดูแลด้านการลงทุนปล่อยเช่าเรสซิเดนส์ให้กับลูกค้าอีกด้วย “ที่ผ่านมาเรามีการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรเพื่อมารองรับการขยายธุรกิจด้านการโรงแรม โดยในส่วนของโรงแรมศรีพันวาได้จัดทำโครงการ Sri panwa Academy ซึ่งเป็นเสมือนโรงเรียนสำหรับจัดเทรนนิ่งให้พนักงานได้มีความรู้ ทักษะ ด้านการโรงแรม เพื่อสร้างมาตรฐานการให้บริการในแบบฉบับของศรีพันวา พร้อมให้บุคลากรโรงแรมศรีพันวาที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ในแต่ละสายงาน มาร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้ ให้แก่พนักงานในแต่ละระดับการทำงาน ซึ่งมั่นใจว่าการให้บริการของทั้ง 2 โรงแรมแห่งใหม่นี้ จะสร้างความประทับใจให้กับแขกผู้เข้าพักอย่างแน่นอน” นายวรสิทธิ กล่าว
ศุภาลัย เปิด 2 โครงการ จังหวัดนครศรีธรรมราช กวาดยอดขายวันเปิดตัวกว่า 100 ล้านบาท

ศุภาลัย เปิด 2 โครงการ จังหวัดนครศรีธรรมราช กวาดยอดขายวันเปิดตัวกว่า 100 ล้านบาท

บมจ.ศุภาลัย โดย นายอดิศักดิ์ วารินทร์ศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานโครงการภูมิภาค 3 เดินหน้าเปิด 2 โครงการภูมิภาคพร้อมกัน ศุภาลัย พาร์ควิลล์ นครศรีธรรมราช บ้านเดี่ยวประหยัดพลังงานสไตล์โมเดิร์น มูลค่าโครงการ 675 ล้านบาท และศุภาลัย พรีโม่ นครศรีธรรมราช บ้านรุ่นใหม่และทาวน์โฮม สไตล์โมเดิร์น มูลค่าโครงการ 160 ล้านบาท โดยได้รับกระแสตอบรับทั้งจากลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่เป็นอย่างดี สามารถกวาดยอดขายในวันเปิดตัวได้กว่า 100 ล้านบาท ทั้งนี้ยังได้รับเกียรติจาก พันธมิตรทางธุรกิจ อาทิ สถาบันการเงิน, วัสดุก่อสร้าง มาร่วมแสดงความยินดี ณ ศุภาลัย พาร์ควิลล์ นครศรีธรรมราช
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พัฒนาศักยภาพบุคลากรเชิงรุก ตั้งเป้าเป็นผู้ให้บริการบริหารอาคารที่พักอาศัยเบอร์หนึ่งต่อเนื่อง คาดอีก 2 ปี สัดส่วนคอนโดไฮเอนด์แตะ 33% รองรับลูกค้าทั้งไทย-ต่างชาติ

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พัฒนาศักยภาพบุคลากรเชิงรุก ตั้งเป้าเป็นผู้ให้บริการบริหารอาคารที่พักอาศัยเบอร์หนึ่งต่อเนื่อง คาดอีก 2 ปี สัดส่วนคอนโดไฮเอนด์แตะ 33% รองรับลูกค้าทั้งไทย-ต่างชาติ

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ทุ่มงบตั้ง PLUS Experience Development Center หน่วยงานพัฒนาบุคลากรเชิงรุก รองรับทิศทางผู้อาศัยในประเทศไทยเข้าสู่ความเป็นสากล จากลูกค้าหลากหลายเชื้อชาติมากขึ้น คาดอีก 2 ปี มีห้องชุดสร้างเสร็จเข้ามาในตลาดอีก 90,000 ยูนิต พบ 33% เป็นห้องชุดระดับลักชัวรี่ ชี้เป็นโอกาสธุรกิจบริการจัดการที่พักอาศัย พร้อมตั้งเป้าหมายเป็นผู้ให้บริการที่ดีที่สุดอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเป็นผู้ให้บริการไทยรายเดียวที่ติดท๊อป 5 โดยให้บริหารอาคาร 157 โครงการ ดูแลโครงการระดับลักชัวรี่ราว 25% และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นสอดคล้องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ปัจจุบัน นางสาวพรรณวดี โพธิหน่อทอง รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายบริหารอาคารที่พักอาศัย (คอนโดมิเนียมและโครงการต่างจังหวัด) บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ปัจจุบันทิศทางของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยได้เติบโตอย่างมาก และได้พัฒนาออกมาในรูปแบบที่รองรับผู้อยู่อาศัยระดับสากลมากขึ้น รองรับกระแสการเชื่อมต่อของโลกไร้พรมแดน ทำให้มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มาจากหลากหลายชาติ ทั้งชาวไทย และต่างชาติ โดยเฉพาะ ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน จีนและญี่ปุ่น เป็นต้น ซึ่งกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่หลากหลายขึ้นนี้ ส่งผลให้งานบริหารอาคารที่พักอาศัยต้องปรับตัวและพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีดิจิตอลและนวัตกรรมการอยู่อาศัยเข้ามามีบทบาทกับการดำเนินชีวิตของผู้คนค่อนข้างมาก สำหรับ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้มีนโยบายการพัฒนาบุคลากรในส่วนงานการบริหารอาคารเชิงรุกอย่างเข้มข้น รวมทั้งการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเสริมการให้บริการที่รวดเร็วและง่ายต่อการใช้งาน ดังเช่นการใช้แอปพลิเคชั่น Home Service Application มาช่วยในการสื่อสารกับผู้อาศัยในการแจ้งข้อมูลต่างๆ  โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นผู้ให้บริการงานบริหารอาคารที่พักอาศัยที่ดีที่สุดอย่างต่อเนื่อง โดยพลัสฯ ยังคงให้ความสำคัญกับบุคลากรรอบด้าน เพื่อยกระดับและรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมด้านการบริหารจัดการอาคาร ล่าสุดได้พัฒนาหน่วยงานที่เรียกว่า PLUS Experience Development Center เป็นหน่วยงานเฉพาะด้านในการจัดทำหลักสูตรสร้างทักษะการบริการที่เป็นเลิศ พัฒนาความเชี่ยวชาญในสายงาน ซึ่งมีโครงการนำร่องด้วยการร่วมมือกับสถาบัน Jeeves Training  สถาบันชั้นนำระดับโลกที่ออกแบบและฝึกอบรมการให้บริการ  Butler ในโรงแรมและโครงการที่พักอาศัยชั้นนำระดับ High End มาสร้างประสบการณ์และฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ของพลัสฯ เพื่อยกระดับการให้บริการแก่ผู้พักอาศัยในโครงการระดับลักชัวรี่ ที่พลัสฯ บริหาร  นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับบุคลากรโดยการวางแผนการเจริญเติบโตระยะยาวของพนักงาน เพื่อสร้างคุณค่าและพัฒนาความผูกพันที่มีต่อองค์กรและลูกค้า (Engagement Culture)  ตลอดจนเพื่อให้เข้าใจและเข้าถึงความต้องการของลูกค้า พร้อมส่งมอบประสบการณ์ที่ดีไปยังลูกค้า จากแผนการพัฒนาครั้งนี้จะนำไปสู่การเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการแต่ละแห่งต่อไป ปัจจุบันพลัสฯ เป็นผู้ให้บริการด้านบริหารอาคารที่พักอาศัยชั้นนำติดหนึ่งใน 5 ของตลาด โดยดูแลโครงการทั้งสิ้น 157 โครงการ เป็นโครงการระดับลักชัวรี่ราว 25% ซึ่งพลัสฯ เป็นผู้ให้บริการไทยรายเดียวที่ให้บริการได้มาตรฐานในระดับแถวหน้าเทียบชั้นกับผู้ให้บริการต่างชาติ  ที่มีหน่วยงานที่ดูแลลูกค้าต่างประเทศโดยเฉพาะ (กลุ่มลูกค้าชาวจีน ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น และสิงคโปร์) โดยทีมพิเศษนี้สามารถให้คำปรึกษารอบด้าน ในการบริหารทรัพย์สินให้พร้อมใช้งานและมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น โดยให้คำปรึกษาทั้งด้านการคำนวณทิศทางราคาอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต ดูแลจัดการด้านการปล่อยเช่า การหาผู้เช่าให้กับลูกค้า รวมถึงช่วยประสานงานกับเอเจนซี่ในต่างประเทศ ในรูปแบบ One Stop Service “ภาพรวมการตลาดในปัจจุบันยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จะพบว่าผู้ประกอบการต่างๆ มีนโยบายทางการตลาดเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อทั้งในเอเชีย อเมริกา และยุโรปทำให้มีโครงการอาคารที่พักอาศัยที่จะเกิดขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก โดยในช่วง 2 ปีต่อจากนี้คาดว่าจะจะมีห้องชุดสร้างเสร็จเข้าสู่ตลาดกว่า 90,000 ยูนิต เป็นโครงการระดับลักชัวรี่ที่ราคามากกว่า 130,000 บาทต่อตารางเมตร ถึง 30,000 ยูนิต หรือคิดเป็น 33% นับเป็นโอกาสของธุรกิจงานบริหารอาคารที่พักอาศัยเช่นกัน หากวิเคราะห์ทางด้านการแข่งขันของอุตสาหกรรมงานบริหารอาคารที่พักอาศัยในปัจจุบัน พบว่ามาจากผู้ให้บริการ 2 กลุ่ม คือ บริษัทต่างชาติที่มาเปิดสาขาในเมืองไทย และบริษัทของคนไทย ซึ่งปัจจุบันมาตรฐานการบริหารจัดการมีความใกล้เคียงกันเนื่องจากเทคโนโลยีและการรับรู้ข่าวสารข้อมูลจากสื่อต่างๆ ทำให้การแข่งขันจึงมุ่งเน้นในส่วนของการให้บริการที่ครอบคลุม มีมาตรฐาน และสามารถตรวจสอบได้ นอกจากนี้ยังเริ่มมีผู้เล่นรายย่อยใหม่ๆ มากขึ้นโดยเน้นกลยุทธ์ทางด้านราคาค่าบริการ อาจตอบโจทย์บางโครงการที่มีงบประมาณจำกัด แต่ในระยะยาวมูลค่าของโครงการจะลดลง ไม่มีความยั่งยืน  ซึ่งผู้เล่นรายย่อยจะต้องพัฒนาความสามารถเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีมากขึ้นเพื่อให้ได้มาตรฐานระดับสากล รวมถึงตอบโจทย์ความต้องการการบริการที่รวดเร็ว ตามแนวโน้มความหลากหลายของลูกค้าที่มีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง” นางสาวพรรณวดี กล่าว
แอสเซทไวส์ เปิดตัวคอนโดโมดิซ รัชดา 32 คอนโดมิติใหม่ ใจกลางเมือง

แอสเซทไวส์ เปิดตัวคอนโดโมดิซ รัชดา 32 คอนโดมิติใหม่ ใจกลางเมือง

นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด ต่อยอดความสำเร็จของคอนโดมิเนียม ภายใต้แบรนด์ Modiz ที่ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง เปิดตัวคอนโดมิเนียมแห่งใหม่ล่าสุด “โมดิซ คอนโด รัชดา 32” (Modiz Condo Ratchada 32) อีกหนึ่งผลงานดีไซน์ที่โดดเด่น ออกแบบในสไตล์ “Modern Luxury” เปิดมุมมองมิติใหม่ในการใช้ชีวิต กลางใจเมือง ใกล้รถไฟฟ้า 3 สาย ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.89 ล้านบาท พร้อมเปิดให้จองรอบ VIP Booking ในวันที่ 16 กันยายนศกนี้ ที่โมดิซ เซลล์ แกลลอรี่ รัชดา 32 ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อรับข้อเสนอสุดพิเศษได้ทางเว็บไซต์ www.assetwise.co.th  หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 08 3556 3232  หรือ Line ID: @modiz32
ส่องทำเลทอง น้องใหม่ สุดฮอต ห้าแยกลาดพร้าว-รัชโยธิน-เสนาฯ

ส่องทำเลทอง น้องใหม่ สุดฮอต ห้าแยกลาดพร้าว-รัชโยธิน-เสนาฯ

สถานการณ์ตลาดคอนโดมิเนียมในปัจจุบันยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดระดับบน (หรือ 3 ล้านบาทขึ้นไป) ที่เรียกได้ว่าเปิดมาเท่าไหร่ก็ขายได้ และทำเลหนึ่งที่เป็นกระแสร้อนแรงอย่างมากในขณะนี้คือ ทำเลห้าแยกลาดพร้าว-รัชโยธิน-เสนาฯ จากการสำรวจข้อมูลของสำนักวิจัย LPN เผยถึงภาพรวมตลาดในทำเลนี้มีคอนโดมิเนียมขาย 19 โครงการ ประมาณ 7,000 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 90,000 บาท/ตารางเมตร มียอดขายไปแล้วกว่า 90% เมื่อพิจารณาโครงการใหม่ปีที่เปิดตัวปี 60 มี 12 โครงการ 4,600 ยูนิต มียอดขายไปแล้วกว่า 65% เป็นทำเลที่มีการเปิดโครงการใหม่มากเป็นอันดับต้นๆ และยังมีแนวโน้มว่าจะมีโครงการใหม่เปิดตัวเพิ่มขึ้นอีกในปีนี้ประมาณ 2,000 ยูนิต ส่งผลให้ทำเลนี้ยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการเองมีการแข่งขันค่อนข้างสูง ต่างก็ดึงจุดแข็งของตนเองมาสร้างจุดขายให้กับโครงการ ในทางกลับกันก็ถือเป็นโอกาสทองของผู้บริโภคเช่นเดียวกัน ทั้งนี้การก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย(หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) ที่ก่อสร้างไปแล้วกว่า 40% ซึ่งมีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น ในขณะเดียวกันราคาที่ดินก็สูงปรับตัวขึ้นมาก โดยเฉพาะแปลงที่ดินติดถนนพหลโยธิน ช่วงห้าแยกลาดพร้าว-แยกรัชโยธิน 650,000-950,000 บาท/ตารางวา ช่วงแยกรัชโยธิน-แยกเกษตร 500,000-750,000 บาท/ตารางวาซึ่งจะส่งผลต่อราคาขายคอนโดมิเนียมสูงมากขึ้นตามไปด้วย ล่าสุดราคาพุ่งขึ้นสูงถึง 140,000-150,000 บาท/ตารางเมตรเรียบร้อยแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่าโครงการคอนโดมิเนียมที่ตั้งใกล้สถานีรถไฟฟ้ามีผลต่อการตัดสินใจซื้ออย่างมาก และด้วยทำเลห้าแยกลาดพร้าว-รัชโยธิน-เสนาฯ มีความครบถ้วนไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆมากมาย ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต โดยมีสถานที่สำคัญต่างๆ ทั้งห้างสรรพสินค้า มหาวิทยาลัย อาคารสำนักงาน และแหล่ง Hang Out อีกจำนวนมาก เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ทำเลนี้มีศักยภาพสูงมากขึ้น ยกตัวอย่างสถานที่สำคัญ ดังเช่น ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ Central ลาดพร้าว, Union Mall, Avenue รัชโยธิน และ Major รัชโยธิน มหาวิทยาลัยชื่อดัง ม.เกษตรศาสตร์, ม.ราชภัฏจันทรเกษม และม.ศรีปทุม เป็นต้น อาคารสำนักงานมากมายซึ่งเป็นแหล่งงานสำคัญของทำเลนี้ เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์สำนักงานใหญ่ หรือ SCB PARK การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสำนักงานใหญ่ กรมป่าไม้ การทางพิเศษฯ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ เป็นต้น สำหรับแหล่ง Hang Out สำคัญของคนรุ่นใหม่ในย่านนี้จะตั้งอยู่บริเวณ Major รัชโยธิน และในซอยพหลโยธินซอย 32 หรือ ซอยเสนานิคม 1 เช่น Wine Society, ร้านเสวนาพาเพลิน, ร้าน Meeting Point, ร้าน Café To All, ร้านJim Burger, ร้านTreat Café และอื่นๆอีกมากมาย ในอนาคตคาดว่าทำเลห้าแยกลาดพร้าว-รัชโยธิน-เสนาฯ จะกลายเป็นทำเลทองสุดฮอตเหมาะสำหรับสำหรับการอยู่อาศัย ที่มีความสะดวกสบายทั้งด้านการคมนาคมขนส่ง ด้านสาธารณูปโภค และสาธารณูปการต่างๆ และนอกจากนี้ยังมีแปลงที่ดินรอการพัฒนาที่หลายแปลง เช่น แปลงที่ดินบางกอกโดม 48 ไร่ ที่เป็นการร่วมทุนกันของผู้ประกอบการรายใหญ่คาดว่าจะพัฒนาเป็นโครงการ Mix-Use ขนาดใหญ่ และแปลงสวนสนุกแดนเนรมิตเดิมที่ยังคงรออยู่ว่าผู้ประกอบการรายใดจะคว้าที่ดินผืนนี้ไปพัฒนา ซึ่งหากที่ดิน 2 แปลงนี้พัฒนาสมบูรณ์แบบจะช่วยเพิ่มศักยภาพของทำเลนี้ให้ดีมากขึ้นอีกต่อไปในอนาคต
Sign Sukhumvit 50 คอนโดมิเนียมระดับ Premium คอนเซปต์ Private Residence ทำเลดี ราคาคุ้ม ตกแต่งภายใน เต็มเปี่ยมด้วยวัสดุคุณภาพ

Sign Sukhumvit 50 คอนโดมิเนียมระดับ Premium คอนเซปต์ Private Residence ทำเลดี ราคาคุ้ม ตกแต่งภายใน เต็มเปี่ยมด้วยวัสดุคุณภาพ

โครงการใหม่ล่าสุดจาก Sirilert Development ซายน์ คอนโด สุขุมวิท 50 เป็นคอนโด Low Rise สูง 8 ชั้น 1 อาคาร บนพื้นที่ขนาด 0-2-54.1 ไร่ มีทั้งหมด 105 ยูนิต มีห้องพักให้เลือกทั้งหมด 3 แบบ คือแบบ 1 Bedroom, 1 Bedroom Plus และแบบ 2 Bedrooms ขนาดเริ่มต้นที่ 26.14 ตร.ม.ซึ่งคาดว่าจะสร้างเสร็จพร้อมอยู่ภายในปี 2562 นี้ค่ะ โดยตัวโครงการตั้งอยู่ใน ซ.สุขุมวิท 50 ภายใน ซ.แสงอุทัย โดยมีสำนักงานขายอยู่ที่ปากซอยอารีรักษ์ อ่อนนุช Sign Sukhumvit 50 เป็นคอนโดมิเนียมที่มีคอนเซปต์ Hidden หลบหนีความวุ่นวายในชีวิตเมือง สิ่งที่น่าสนใจของโครงการนี้ คือ  การออกแบบ Façade สีขาวลายฉลุ ทำจากวัสดุ Perforate ที่จะอยู่ด้านนอกโครงการที่จะช่วยเรื่องความสวยงามให้กับตัวตึก และให้ความเป็นส่วนตัวกับผู้อยู่อาศัยเพราะจะช่วยพรางสายตาจากภายนอกอาคาร และช่วยในเรื่องบังแสงแดด ได้อีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้น Sign Sukhumvit 50 กลับไม่ใช่คอนโดมิเนียมที่อยู่ห่างไกลความเจริญ เพราะระยะห่างเพียงแค่ 800 เมตร ก็ถึงบันไดรถไฟฟ้าสถานี อ่อนนุช และ ยังเข้าเมืองสู่แหล่งช้อปปิ้ง ต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบาย เรียกได้ว่าเป็นทำเลที่น่าสนใจเลยทีเดียว เพราะตรงตามคอนเซปต์ “เงียบสงบ แต่ไม่ไกลความเจริญ” คุ้มสุดบนย่านนี้ คือคำจำกัดความ ที่เหมาะกับ คอนโด ซายน์ สุขุมวิท50 จะคุ้มอย่างไรบ้างนั้น มาดูเป็นข้อๆเลยดีกว่าค่ะ Sign Sukhumvit 50 เป็น Private Residence เพราะการออกแบบ Product ของ Sign Sukhumvit 50 ด้วยที่ดินขนาดประมาณ 2 งาน เป็นแปลงเล็ก จึงตัดสินใจสร้างโครงการที่มียูนิตน้อยเพียงแค่ 105 ยูนิตถือว่าเป็นโครงการที่จำนวนยูนิตน้อยที่สุดที่เปิดตัวย่านอ่อนนุชในปี 2560 ทำให้ Sign Sukhumvit 50 มีความเป็นส่วนตัวสูงมากที่สุด Sign Sukhumvit 50 การตกแต่งที่ใส่ใจรายละเอียดมากกว่า และให้มากกว่า ด้วยการตกแต่งแบบ Fully Furnished การเลือกสรรวัสดุคุณภาพ เกรดพรีเมี่ยม และการออกแบบที่ทุกๆ Function การใช้งานได้ถูกออกแบบ มาเพื่อการใช้ชีวิตคนเมืองได้อย่างแท้จริง จุดนี้พูดเพียงอย่างเดียวคงเชื่อยาก แนะนำให้ลองมาเยี่ยมชมห้องตัวอย่างด้วยตัวคุณเองค่ะ Sign Sukhumvit 50 มี Design ที่เป็นเอกลักษณ์ นอกจากตัว Façade ที่ได้กล่าวไปแล้วการออกแบบภายในห้องยังมีความแตกต่างเป็นเอกลักษณ์ด้วย โดยห้อง 1 Bedroom Plus จะมีความพิเศษอยู่ที่ห้องน้ำ  นั่นก็คือ Skyview Bathtub อ่างอาบน้ำอยู่ติดประตูกระจกบานเลื่อนที่ให้ประสบการณ์ใหม่ และมีสุขลักษณะที่ดีระบายอากาศได้ยอดเยี่ยม Sign Sukhumvit 50 มี High value facilities โครงการนี้แม้จะขนาดเล็กแต่ก็จัดพื้นที่ส่วนกลางยอดนิยมอย่างสระว่ายน้ำให้เป็นรูปแบบ Rooftop Pool ถูกใจทุกคนที่ต้องการว่ายน้ำอย่างเป็นส่วนตัว ว่ายน้ำได้สบายใจไม่ต้องแคร์สายตาใคร นอกจากนี้ในบริเวณที่ตั้งโครงการไม่มีตึกสูงเท่าๆ กันสร้างรอบๆ ทำให้มุมมองของชั้น Rooftop ของ Sign Sukhumvit 50 เปิดโล่ง แม้ไม่ใช่ตึกสูง แต่ก็ได้วิวโล่งและมองได้ไกลเช่นกัน Sign Sukhumvit 50 มีระบบ HOME AUTOMATION เพื่อคนรุ่นใหม่ โดยภายในห้องจะแถมฟรีระบบ Sound System Controller ที่เชื่อมต่อลำโพงบนเพดาน และระบบ Home Automation ที่สามารถเปิดปิดไฟและแอร์ล่วงหน้าได้ทุกเวลาที่ต้องการผ่าน Mobile Application แถมประตูยังเป็นแบบ Digital Door lock ยี่ห้อ Samsung โดยทำงานได้ 3 แบบ คือ แบบ Key card, แบบกุญแจ, แบบใส่รหัส ยังไม่หมด พื้นที่ส่วนกลางยังมี ห้อง Co-working Space และ Wifi ไว้คอยบริการอีกด้วย Sign Sukhumvit 50 ใกล้ทางด่วน ใกล้ BTS โครงการอยู่ห่างจากจุดขึ้น-ลงทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ เพียง 450 เมตร ซึ่งสามารถใช้ทางด่วนนี้วิ่งไปรามอินทรา-ลาดพร้าว-เกษตรนวมินทร์ ได้เลยเพียง 15 นาทีก็ถึง หรือจะวิ่งเชื่อมต่อไปย่านพระราม 9 – ดินแดง ก็ได้ นอกจากทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์แล้ว ยังอยู่ไม่ไกลจากทางขึ้น-ลง ทางพิเศษเฉลิมมหานคร ซึ่งทางขึ้นอยู่ที่ ถ.รางรถไฟเก่า สามารถวิ่งไปยังย่านพระราม3- พระราม 2 ได้เช่นกันค่ะ หรือจะออกดอนเมืองโทลเวย์ วิ่งไปยังสนามบินดอนเมืองก็ได้ Sign Sukhumvit 50 ก็ไม่ไกลรถไฟฟ้ามากเกินไป เพราะระยะเดินทางถึงรถไฟฟ้า BTS สถานีอ่อนนุช เพียง 800 เมตร Sign Sukhumvit 50 ใกล้ความสะดวกสบายใกล้ห้างสรรพสินค้า Tesco Lotus จับจ่ายซื้อของเข้าบ้านได้ง่ายสะดวก หาของกินง่าย อยากจะทำอะไรก็มีหมด อำนวยความสะดวกจัดเต็ม และในอนาคต ยังมีแหล่ง Entertainment แห่งใหม่ ที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง อย่าง Century The Movie Plaza อีกด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการนั้นก็มีอย่างครบครันทั้ง Lobby, Co-Working Space, Library, Fitness, Swimming Pool, Jacuzzi, Rooftop Garden, ที่จอดรถ 40% และระบบรักษาความปลอดภัย CCTV 24 ชม. รวมถึงบริการรถ Shuttle Bus รับ-ส่งถึง BTS อ่อนนุชเลย ในราคาที่หยิบจับได้ไม่ยาก เริ่มต้นเพียง 55 ล้านบาท  มั่นใจในตัวโครงการได้อีกอย่าง คือ ตอนนี้ โครงการผ่านการอนุญาติสิ่งแวดล้อม ( EIA APPROVED ) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ลูกค้าสามารถเชื่อมั่นเรื่องการก่อสร้างโครงการนี้ได้อย่างแน่นอน    
สี่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำร่วมพัฒนา “กมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง” โครงการที่พักอาศัยระดับลักชัวรีเพื่ออิสระแห่งการใช้ชีวิตในวัยเกษียณแห่งใหม่ของเอเชียที่ภูเก็ต

สี่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำร่วมพัฒนา “กมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง” โครงการที่พักอาศัยระดับลักชัวรีเพื่ออิสระแห่งการใช้ชีวิตในวัยเกษียณแห่งใหม่ของเอเชียที่ภูเก็ต

สี่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ประกอบด้วย  บริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด, บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน), บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) ร่วมลงทุนเพื่อพัฒนา “กมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง” มาตรฐานใหม่ของโครงการที่พักอาศัยระดับลักชัวรีที่มอบประสบการณ์ไลฟ์สไตล์เหนือระดับเพื่อการใช้ชีวิตในวัยเกษียณอย่างอิสระและมีความสุข ในสังคมที่สงบเป็นส่วนตัว และปลอดภัย   โครงการกมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง ตั้งอยู่บริเวณหาดกมลา ชายหาดอันสวยงามบนฝั่งตะวันตกของภูเก็ต พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการต่าง ๆ อย่างครบวงจร ภายใต้การบริหารและดำเนินงานโดย Otium Living ผู้เชี่ยวชาญด้านที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงวัยชั้นนำระดับนานาชาติ พร้อมทีมผู้บริหารที่แข็งแกร่งด้วยประสบการณ์ โดยมี Audley Group Ltd. ผู้พัฒนาและบริหารโครงการที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุระดับหรูอันดับหนึ่งของสหราชอาณาจักรร่วมเป็นที่ปรึกษา อรฤดี ณ ระนอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด กล่าวว่า “สังคมผู้สูงอายุที่กำลังเกิดขึ้นในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก ส่งผลให้ความต้องการโครงการที่พักอาศัยวัยเกษียณที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกคุณภาพสูงในรูปแบบต่าง ๆ เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง  กมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง คือหนึ่งในชุมชนแห่งการพักอาศัยระดับลักชัวรีสำหรับผู้สูงอายุแห่งแรก ๆ ของเอเชีย ที่มอบไลฟ์สไตล์แห่งการใช้ชีวิตวัยเกษียณอย่างอิสระและเหนือระดับ ในสภาพแวดล้อมที่ถูกออกแบบมาอย่างปราณีตคำนึงถึงปลอดภัยและเป็นส่วนตัว พร้อมด้วยบริการต่าง ๆ ที่ครอบคลุมอย่างครบวงจร ภายใต้การดูแลของทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์สูงในโครงการที่พักอาศัยวัยเกษียณระดับหรูชั้นนำของโลกซึ่งเข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ พัฒนาก่อสร้าง จนถึงการบริหารโครงการ” โครงการกมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง ตั้งอยู่ภายในพื้นที่ของมอนท์เอซัวร์ ภูเก็ต โครงการมิกซ์ยูสระดับซูเปอร์ไฮเอนด์บนพื้นที่กว่า 450 ไร่ ใจกลางชายหาดและทิวเขาแถบฝั่งตะวันตกของหาดกมลา หนึ่งในหาดที่สวยงามและสงบเป็นส่วนตัวที่สุดบนเกาะภูเก็ต  กมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมจำนวน 200 ยูนิต และวิลล่า 30 ยูนิต มูลค่ารวม 3,500 ล้านบาท ภายในโครงการพรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ทั้งศูนย์ดูแลสุขภาพ คลับเฮาส์ ห้องฟิตเนส สระว่ายน้ำและศูนย์บริการธุรกิจ นอกจากนั้นผู้พักอาศัยยังสามารถใช้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกระดับหรูต่าง ๆ ภายในโครงการมอนท์เอซัวร์ ไม่ว่าจะเป็น บีชคลับ ร้านอาหารริมหาดและบาร์ ร้านค้า สปาเพื่อสุขภาพ ตลอดจนเส้นทางขี่จักรยานและเดินเขา เพื่อเติมเต็มประสบการณ์แห่งการใช้ชีวิตทั้งในพื้นที่ร่มและกลางแจ้ง “ภูเก็ตคือสถานที่ที่มีความพรั่งพร้อมในทุกองค์ประกอบสำหรับการใช้ชีวิตในวัยเกษียณ ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่สวยงาม ภูมิอากาศที่เหมาะสม มีสิ่งอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ครบครัน อีกทั้งยังมีปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งเสริมการพักผ่อนและดูแลสุขภาพ ทั้งโรงพยาบาลที่มีมาตรฐานสูง ระบบคมนาคมที่สะดวกสบาย ใกล้สนามบินนานาชาติภูเก็ต ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนส่งเสริมให้โครงการกมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง มีความน่าสนใจและเป็นที่ต้องการอย่างมากสำหรับผู้สูงอายุทั้งในแถบเอเชีย-แปซิฟิกและยุโรป” อรฤดีกล่าวเสริม โครงการกมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง ให้ความสำคัญกับการบริหารโครงการอย่างครอบคลุม ทั้งในด้านตัวอาคารสถานที่ ด้านการบริการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ และด้านการดูแลสุขภาพของผู้พักอาศัย ภายใต้การบริหารและดำเนินงานโดย Otium Living  โดยมี ดร. นาฏ ฟองสมุทร Aged Care Specialist ร่วมเป็นผู้บริหาร ในการบริหารโครงการ Audley Group Ltd.  ผู้พัฒนาและบริหารโครงการที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุระดับหรูอันดับหนึ่งของสหราชอาณาจักร จะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับ Otium Living ในทุกด้าน ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งานของพื้นที่พักอาศัยและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ จนถึงการดูแลบริหารโครงการ แดเนียล โฮล์มส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Otium Living Pte Ltd. กล่าวว่า “เอเชียคือภูมิภาคที่มีศักยภาพสูงสำหรับการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยระดับหรูสำหรับผู้สูงอายุ และภูเก็ตก็มีปัจจัยที่เอื้ออำนวยพรั่งพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตในวัยเกษียณ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในสถานที่ในฝันสำหรับการอยู่อาศัยในวัยเกษียณสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุที่มีความมั่งคั่งจำนวนมากทั้งในประเทศไทย และประเทศอื่น ๆ อย่างสิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย ตลอดจนยุโรป เราจึงมีความตั้งใจที่จะพัฒนาโครงการกมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง ให้เป็นมาตรฐานใหม่ของโครงการที่พักผู้สูงอายุระดับลักชัวรีในเอเชีย เพื่อให้ที่นี่เป็นบ้านพักหลักหรือบ้านหลังที่สองที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้เกษียณอายุ เพื่อไลฟ์สไตล์แห่งการใช้ชีวิตอย่างมีสีสันและเหนือระดับ พรั่งพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก ภายใต้สภาพแวดล้อมอันสวยงาม และดูแลทุกความต้องการของผู้พักอาศัยได้เป็นอย่างดี” องค์ประกอบต่าง ๆ ของโครงการมอนท์เอซัวร์ ล้วนมอบไลฟ์สไตล์อันโดดเด่นให้กับผู้พักอาศัยและผู้มาเยี่ยมเยือน ไม่ว่าจะเป็น Twinpalms Residences MontAzure คอนโดมิเนียมที่พักอาศัยพร้อมวิวทะเลที่สวยงาม Intercontinental Phuket Resort โรงแรมที่พรั่งพร้อมด้วยบริการระดับโลก รวมไปถึง HQ Beach Lounge และCafé Del Mar บีชคลับระดับสากล ที่จะมอบประสบการณ์แห่งความเพลิดเพลินกับร้านอาหารและเอนเตอร์เทนเมนต์ชั้นเลิศริมทะเล เศรษฐพล บุตรโท กรรมการบริหาร โครงการมอนท์เอซัวร์ กล่าวว่า “เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่มีโครงการที่พักอาศัยระดับหรูสำหรับผู้สูงวัยเกิดขึ้นเพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์อันหลากหลายภายในโครงการมอนท์เอซัวร์ ชุมชนแห่งใหม่นี้คือความร่วมมือกันระหว่างบริษัทที่มีชื่อเสียง แบรนด์ที่มีเจตนารมณ์ร่วมกันในการสร้างสรรค์ให้โครงการมิกซ์ยูสที่มีพื้นที่กว้างใหญ่และเหนือระดับที่สุดในภูเก็ตแห่งนี้มีความโดดเด่นยิ่งขึ้น เพราะวิสัยทัศน์ของมอนท์เอซัวร์คือการสร้างสรรค์ความหลากหลายและมาตรฐานลักชัวรีในระดับโลก โครงการกมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง คืออีกหนึ่งบทพิสูจน์ของความสำเร็จที่กำลังจะเกิดขึ้นจริง และยังเป็นโอกาสในการลงทุนที่มั่นคงสำหรับนักลงทุนจากทั่วโลกอีกด้วย”
อนันดา เปิดตัว 3 โครงการใหม่ บนทำเลเด่น คุ้มค่าทุกการใช้ชีวิต

อนันดา เปิดตัว 3 โครงการใหม่ บนทำเลเด่น คุ้มค่าทุกการใช้ชีวิต

ปฎิเสธไม่ได้เลยค่ะว่าการจะเลือกซื้อคอนโดมิเนียมคุณภาพดีสักแห่ง คงต้องพิจารณาเรื่องของทำเลที่ตั้งเป็นอันดับแรก ส่วนอันดับต่อๆ ไปนั้นก็ล้วนแต่ความชอบส่วนตัว เช่น ชื่อแบรนด์, การออกแบบและตกแต่ง, ขนาดห้อง, ฟังก์ชั่นการใช้งาน, ที่จอดรถ รวมไปจนถึงพื้นที่ส่วนกลาง ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ทาง อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ผู้นำแห่งวงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมือง ก็ได้ทำความเข้าใจและให้ความสำคัญในเรื่องนี้ดี จึงเลือกปักหมุดโครงการใหม่ทั้ง 3 ทำเลศักยภาพอย่างพระราม 4, รางน้ำ และสุขุมวิท 40 ภายใต้แบรนด์ IDEO MOBI (ไอดีโอ โมบิ) หากใครติดตามผลงานของ อนันดา อยู่แล้ว คงทราบดีว่าแบรนด์ IDEO MOBI นั้นอยู่ตลาดกลางถึงไฮเอนด์ ซึ่งทางแบรนด์ก็ได้คำนึงถึงความต้องการของคนเมืองอย่างแท้จริง เพราะทั้งสามโครงการจะเน้นทำเลที่ใกล้รถไฟฟ้าและสวนสาธารณะ เพื่อให้ลูกบ้านได้เดินทางสะดวกสบายและอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น โดยมาในคอนเซ็ปต์ Future – Nature ที่นอกจากมีพื้นที่สีเขียวแล้วยังมีนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาใช้ในโครงการ อาทิ เทคโนโลยี I-4D Hologram ที่ใช้อธิบายรายละเอียดคอนโดที่สำนักงานขาย, นวัตกรรม Smart Solar Fresh Air System ปรับอุณหภูมิภายในห้องให้เย็นสบาย โดยดูดความร้อนไประบายออกนอกห้อง นอกจากนี้ยังมีหน้าจอแสดงผลและตรวจสอบอุณหภูมิภายในห้อง รวมไปจนถึงระบบควบคุมการสั่งงานเปิด-ปิดอัตโนมัติ เพื่อให้ลูกบ้านทุกยูนิตทั้ง 3 โครงการสะดวกในการใช้งาน เป็นต้น และเมื่อทางอนันดาเปิดข้อมูล Ideo Mobi มาพร้อมกันถึง 3 โครงการแบบนี้ เราเลยไม่พลาดที่จะไปเก็บข้อมูลและพาไปดูจุดเด่นของแต่ละทำเลค่ะ ใครมีแพลนจะซื้อทำเลย่านไหนลองเก็บไว้พิจารณาได้เลยค่ะ IDEO MOBI RAMA 4 เริ่มกันด้วยโครงการแรก IDEO MOBI RAMA 4 เป็นคอนโดมิเนียม High Rise 36 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 486 ยูนิต ออกแบบในสไตล์โมเดิร์นเน้นเส้นสายและความล้ำสมัย ตัวโครงการตั้งอยู่ย่าน CBD สาทร - อโศก ติดถนนพระราม 4  อยู่ใกล้ MRT สถานีคลองเตย ที่ต้องบอกเลยว่านอกจากทำเลที่ตั้งจะได้เปรียบในเรื่องของการเดินทางแล้วยังได้ทัศนียภาพที่สวยงามอย่างแท้จริง เพราะสามารถมองเห็นทั้งสวนเบญจกิตติและสวนลุมพินี แถมยังมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาได้จากทางด้านหลังโครงการอีกด้วย นอกจากนี้ยังให้ลูกบ้านเต็มอิ่มกับธรรมชาติโดยโครงการวางผังเป็น Y Shape ให้ทุกห้องสามารถเห็นวิวเมืองได้อย่างกว้างไกล ซึ่งทั้งหมดนี้มาในราคาเริ่มต้น 5.99 ล้าน* IDEO MOBI RANGNAM ต่อมาที่โครงการ IDEO MOBI RANGNAM เป็นคอนโดมิเนียมสไตล์โมเดิร์น ดีไซน์ล้ำสมัย สูง 31 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 366 ยูนิต ตัวโครงการตั้งอยู่ในซอยรางน้ำ ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเพียง 630 เมตร จุดเด่นของคอนโดนอกจากเดินทางสะดวกสบาย, วิวสวยมองเห็นสวนสันติภาพ ทางโครงการยังออกแบบพื้นที่ส่วนกลางเรียกว่าจัดเต็มให้ลูกบ้านเติมเต็มชีวิตในวันพักผ่อน อย่างสระว่ายน้ำลอยฟ้าที่สามารถว่ายน้ำชมวิวเมืองแบบพาโนรามา 360 องศา และมาพร้อม Jacuzzi นอกจากนี้ยังมีฟิตเนตที่ให้ความรู้สึกเหมือนออกกำลังกายอยู่กลางอากาศ ซึ่งห้องพักอาศัยจะขายแบบ Fully Furnished ในราคาเริ่มต้นเพียง 4.49 ล้าน* IDEO MOBI SUKHUMVIT 40 และมาถึงโครงการสุดท้ายกับ IDEO MOBI SUKHUMVIT 40 ที่จะแตกต่างจาก 2 ทำเลข้างต้น คือมาในรูปแบบ Low Rise 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวนทั้งหมด 272 ยูนิต แต่ก็ยังจัดเต็มทั้งการออกแบบและพื้นที่ส่วนกลางเช่นเคย  สำหรับจุดเด่นนอกจากตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพโซนสุขุมวิท ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีเอกมัยเพียง 660 เมตร ทางโครงการยังออกแบบอย่างพิถีพิถันในสไตล์โมเดิร์นที่ให้ความรู้สึก Dynamic ด้วยเส้นสายที่นำสายตาเชื่อมต่อกันทั้งตัวอาคารและพื้นที่สีเขียว ทั้งยังมีพื้นที่ส่วนกลางอย่างกว้างขวาง โดยจัดวางสวนหย่อมและสระว่ายน้ำไว้ตรงกลางระหว่างอาคาร และมีโถง Lobby ทุกอาคารเพื่อลดความวุ่นวายและเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้แก่ลูกบ้าน ซึ่งห้องพักอาศัยจะขายแบบ Fully Furnished ในราคาเริ่มต้นเพียง 4.49 ล้าน*   โดยภาพรวมของ 3 โครงการ 3 ทำเล แล้ว IDEO MOBI ถือว่าเป็นอีกหนึ่งแบรนด์คอนโดมีเนียมที่น่าอยู่และน่าลงทุนจริงๆ ค่ะ เพราะมีความเพียบพร้อมในการอยู่อาศัย ทั้งเรื่องการเดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า รวมถึงถนนหนทางที่เชื่อมต่อได้หลากหลายทำให้คนใช้รถส่วนตัวก็สะดวกสบายไม่แพ้กัน  นอกจากนี้ทุกโครงการยังจัดเต็มในเรื่องของ Facility อย่างแท้จริง เรียกได้ว่าใครที่เล็งอยู่ก็คงคุ้มค่าทั้งอยู่อาศัยเองและปล่อยเช่าเลยค่ะ สำหรับผู้ที่สนใจโครงการ IDEO ทั้ง 3 ทำเล ทางอนันดาจะเปิดให้จองออนไลน์ ผ่านระบบ Ananda Online Booking ในวันที่ 26 กันยายน 2560 นี้ ตั้งแต่เที่ยงวัน - 1 ทุ่ม ซึ่งสามารถลงทะเบียนรับสิทธิ์ส่วนลดสูงสุด 500,000 บาท* ได้ตั้งแต่วันนี้ที่ https://onlinebooking.ananda.co.th (ในส่วนของผู้ที่เคยลงทะเบียนแล้ว สามารถใช้อีเมล์และรหัสผ่านเดิมเข้าสู่ระบบเพื่อเลือกโครงการที่ท่านสนใจได้ทันที)
“ออริจิ้น” เปิดตัวบิ๊กโปรเจกต์ร่วมทุน “Knightsbridge Prime Onnut” มูลค่ากว่า 2,500 ล้านบาท ชูจุดขาย THE PRIME OF LIVING พร้อมเพดานสูง 3 ม.

“ออริจิ้น” เปิดตัวบิ๊กโปรเจกต์ร่วมทุน “Knightsbridge Prime Onnut” มูลค่ากว่า 2,500 ล้านบาท ชูจุดขาย THE PRIME OF LIVING พร้อมเพดานสูง 3 ม.

ออริจิ้น เปิดตัวโครงการใหม่ “ไนท์บริดจ์ ไพร์ม อ่อนนุช” มูลค่า 2,500 ล้านบาท หนึ่งใน 3 โครงการร่วมทุน “โนมูระ” ชูจุดขาย THE PRIME OF LIVING ที่โดดเด่นในเรื่อง PRIME AREA, PRIME DESIGN และ PRIME FACILITY ด้วยความสูง 47 ชั้น สูงสุดในย่านอ่อนนุช ชี้เป็นพื้นที่ทำเลศักยภาพ พร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานอีเวนท์ใหญ่ “My Life. My Origin” ณ สยามพารากอน 16-17 ก.ย.นี้     นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์เคนซิงตัน, นอตติ้ง ฮิลล์, และไนท์บริดจ์ เปิดเผยว่า จากการร่วมมือกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด พัฒนาโครงการร่วมกันและเปิดขายในไตรมาส 3 ปีนี้ จำนวน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 6,100 ล้านบาทนั้น โครงการที่ถือเป็นไฮไลท์และมีมูลค่าโครงการมากที่สุด คือโครงการไนท์บริดจ์ ไพร์ม อ่อนนุช (Knightsbridge Prime Onnut) ซึ่งจะกลายเป็นแลนด์มาร์คที่สูงที่สุดในย่านอ่อนนุช โครงการดังกล่าว เป็นคอนโดมิเนียม High-rise สูง 47 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 600 ยูนิต และ 1 รีเทล มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท พร้อมเฟอร์นิเจอร์แบบ Fully Fitted ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.69 ล้านบาท ประกอบด้วยห้องชุดแบบ 1 ห้องนอน ขนาด 22-31 ตร.ม. และแบบ 2 ห้องนอน ขนาด 55 ตร.ม. ที่ถูกพัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์ ช่วงเวลาที่สุดของการใช้ชีวิต (THE PRIME OF LIVING) บนพื้นที่ที่ถือได้ว่าเป็น PRIME AREA แห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ที่ตั้งของโครงการอยู่บนเนื้อที่กว่า 2 ไร่ ในซอยสุขุมวิท 77 ติดบิ๊กซี อ่อนนุช ระยะห่างจาก BTS อ่อนนุช เพียง 600 เมตร และใกล้โครงข่ายรถไฟฟ้า 2 สาย ได้แก่ สายสีเขียว (สุขุมวิท) สถานีอ่อนนุช เชื่อมต่อใจกลาง CBD ชั้นนำของกรุงเทพฯ ตลอดจนรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว– สำโรง) อีกทั้งยังใกล้ ทองหล่อ-เอกมัย ที่ถูกจัดให้เป็นแหล่ง Hangout ชั้นนำของกรุงเทพฯ สำหรับการเดินทางเข้า-ออกเมือง ด้วยรถยนต์ส่วนตัวก็เพียงแค่ 10 นาที จาก 2 จุดขึ้น-ลงทางด่วน (รามอินทราอาจณรงค์ และ เฉลิมมหานคร) และห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิเพียง 20 นาที ด้านการออกแบบ พัฒนาขึ้นมาด้วยแนวคิด PRIME DESIGN เน้นโทนสีดำ-ทอง ให้ความรู้สึกหรูหราอย่างมีระดับ มาพร้อมวัสดุระดับพรีเมียม ตัวโครงการหันหน้าไปทางทิศเหนือ ติดกับถนนอ่อนนุชฝั่งขาเข้า ทำให้สะดวกต่อการเดินทาง ทุกๆ ห้องจะมีความสูงจากพื้นถึงเพดาน (Floor to ceiling) ถึง 3 เมตร ให้ความรู้สึกโปร่ง โล่ง สบาย สร้างความสุขอย่างมีระดับให้กับผู้พักอาศัย พร้อมให้ความเป็นส่วนตัวด้วยการจำกัดจำนวนยูนิตต่อชั้นสูงสุดเพียง 23 ยูนิต เหนือชั้นด้วย PRIME FACILITY ที่จอดรถเป็นระบบ Auto Parking ตั้งแต่ชั้น 2-15 รองรับการจอดได้ถึง 65% มีจุดชาร์ตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า รองรับการเปลี่ยนผ่านแห่งอนาคต พื้นที่ส่วนกลางถูกจัดไว้ถึง 3 ชั้น พร้อมพื้นที่สีเขียวกว่า 1 ไร่ โดยส่วน Facility หลัก อยู่ที่ชั้น 37-38 เริ่มต้นจากชั้น 37 ประกอบด้วยส่วน Executive Meeting Room และ Private Meeting Room ห้องประชุมส่วนกลาง ที่มีพื้นที่เชื่อมต่อกันกับ Sky Co-Working Space ตอบโจทย์คนทำงานรุ่นใหม่ ห้อง Steam แยกชาย-หญิง สระว่ายน้ำขนาด 14.5 x 20 x 1.2 เมตร ที่มีส่วน Pool Bar กับ Pool Bed และ Fitness ขนาดกว่า 100 ตร.ม. ในแบบ Double Space “Facility ที่โดดเด่นที่สุดอย่างหนึ่งในโครงการนี้ คือฟิตเนส เพราะได้นำแนวคิด Luxmore และวิธีแบบโนมูระเข้ามาผสมผสาน โนมูระมองว่าฟิตเนสไม่ใช่แค่สถานที่ออกกำลังกาย แต่เป็นสถานที่สร้างสมดุลระหว่างร่างกายและจิตใจ จึงได้พัฒนาฟิตเนสที่แบ่งโซนนิ่งชัดเจน ระหว่างโซนออกกำลังกายและโซนรีแลกซ์ โดยในโซนรีแลกซ์จะมีอาร์ตเวิร์คสวยงามเป็นจุดนำสายตา ให้ความรู้สึกเบาสบาย ขณะเดียวกันมีการออกแบบพื้นที่ให้มีช่องแสงที่ลมผ่านได้ แต่คนผ่านไม่ได้ ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัว” นายพีระพงศ์ กล่าว ขณะที่ชั้น 38 มี Sky Co-Culinary Space  เหมาะสำหรับการจัดปาร์ตี้เล็กๆ แบบอบอุ่นระหว่างคนรู้ใจหรือเพื่อนสนิท สามารถชวนกันมาทำอาหารทานกันเองได้ที่ครัวส่วนกลาง พร้อมอุปกรณ์ครบครัน หรือจะจัดสังสรรค์หลังการประชุมก็สามารถทำได้ ภายในชั้นเดียวกันนี้ยังมี BUSINESS LOUNGE ที่ให้บรรยากาศหรูหรา โอ่โถ่งอีกด้วย สำหรับชั้น 47 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดของโครงการ ถูกออกแบบให้เป็นสวนเล่นระดับ เพื่อให้สามารถชมวิวในแบบพาโนรามา สามารถมองเห็นโค้งน้ำเจ้าพระยา พร้อมพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ของบางกระเจ้า มีไฮไลท์อยู่ที่ส่วน Bangkok Skyscraper Deck ซึ่งออกแบบให้เป็นจุดชมวิวแบบพื้นกระจก สร้างบรรยากาศการพักผ่อนรูปแบบใหม่ “โครงการไนท์บริดจ์ ไพร์ม อ่อนนุชจะเปิดขายอย่างเป็นทางการพร้อมกับอีก 2 โครงการร่วมทุน ในงานมหกรรมสุดยิ่งใหญ่ครั้งแรกของออริจิ้นภายใต้ชื่อ My Life. My Origin ณ แฟชั่น ฮอลล์ และรอยัล พารากอน ฮอลล์ 3 ศูนย์การค้าสยาม พารากอน รวมพื้นที่กว่า 3,000 ตร.ม. ในวันเสาร์และอาทิตย์ที่ 16-17 กันยายนนี้ ภายในงานยังมีโครงการพร้อมอยู่ทำเลรถไฟฟ้าอีกนับสิบโครงการ มาพร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษอยู่ฟรี 3 ปีและส่วนลดสูงสุด 1 ล้านบาท มุ่งหวังจะสร้างมิติใหม่แห่งการอยู่อาศัยแก่ผู้บริโภค” นายพีระพงศ์ กล่าว พื้นที่บริเวณรอยัล พารากอน ฮอลล์ 3 จะจัดแสดงทั้ง 3 โครงการร่วมทุนกับโนมูระ พร้อมด้วยโครงการที่อยู่ระหว่างพรีเซลและระหว่างก่อสร้างอีก 8 โครงการ ขณะที่บริเวณแฟชั่น ฮอลล์จะจัดแสดงโครงการพร้อมอยู่ 12 โครงการ นายพีระพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมถึงศักยภาพทำเลอ่อนนุชว่า ในช่วงที่ผ่านมามีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ เข้ามาพัฒนาโครงการในพื้นที่นี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากราคาที่ดินในย่านใจกลางธุรกิจมีราคาเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาขายคอนโดมิเนียมขยับสูงขึ้นตามไปด้วย ทำให้กลุ่มลูกค้าระดับกลาง ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ของตลาดไม่สามารถหาซื้อที่อยู่อาศัยในย่านธุรกิจได้ ประกอบกับการขยายตัวของทำเลสุขุมวิท และการเปิดใช้อย่างเป็นทางการของรถไฟฟ้าบีทีเอสส่วนต่อขยายจากอ่อนนุชไปแบริ่ง ยิ่งช่วยทวีความน่าสนใจให้กับอ่อนนุชเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากราคาที่อยู่อาศัยยังพอจับต้องได้ และไม่ไกลจากย่านใจกลางธุรกิจ เมื่อเทียบกับโครงการที่อยู่ในส่วนต่อขยายจากแบริ่งไปยังสมุทรปราการ ยิ่งการขยายตัวของแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่เชื่อมต่อจุด Interchange บางนา-สุวรรณภูมิ ยิ่งทำให้การเดินทางสะดวกยิ่งขึ้น ขณะที่ราคาที่ดินในย่านอ่อนนุชก็ขยับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 10% ทุกปี เมื่อพิจารณาในส่วนของ Traffic และ Demand ของการปล่อยเช่า ถือว่าอยู่ในระดับสูงทั้งจากกลุ่มลูกค้าคนไทยและต่างชาติ โดยอัตราค่าเช่าในสุขุมวิท 77 ของห้องชุดขนาด 24 ตร.ม. อยู่ที่ประมาณ 10,000-15,000 บาทต่อเดือน อัตราผลตอบแทน (YIELD) อยู่ที่ 5-6% ในส่วนของอัตราค่าเช่าตามแนวถนนสุขุมวิทอยู่ที่ 15,000-25,000 บาทต่อเดือน  YIELD อยู่ที่ 4-6% “ในอนาคต อ่อนนุชจะกลายเป็นศูนย์กลางของการขยายตัวเป็นชุมชนชาวต่างชาติ โดยมีองค์ประกอบจากหลากหลายส่วน เช่น การขยายตัวของความต้องการอยู่อาศัยในราคาที่เหมาะสมของชาวต่างชาติ ความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต การขยายตัวของที่พักอาศัย ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ” นายพีระพงศ์ กล่าวทิ้งท้าย ปัจจุบัน บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้วประมาณ 38 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 36,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร
แสนสิริผนึกโตคิว กรุ๊ป เปิดตัว “taka HAUS” (ทากะ เฮาส์) มูลค่า 2,000 ลบ. เตรียมเปิด Global Launch พร้อมกันใน 6 ประเทศ 16-17 กย.นี้

แสนสิริผนึกโตคิว กรุ๊ป เปิดตัว “taka HAUS” (ทากะ เฮาส์) มูลค่า 2,000 ลบ. เตรียมเปิด Global Launch พร้อมกันใน 6 ประเทศ 16-17 กย.นี้

แสนสิริผนึกโตคิว กรุ๊ป เปิดตัว “taka HAUS” (ทากะ เฮาส์) มูลค่า 2,000 ลบ. เตรียมเปิด Global Launch พร้อมกันใน 6 ประเทศ 16-17 กย.นี้ตั้งเป้ายอดขายช่วงพรีเซลล์ 1,000 ล้านบาท วางเป้าหมายกลุ่มลูกค้าไทยและต่างชาติ 55 : 45 เปอร์เซ็นต์ แสนสิริผนึกโตคิว กรุ๊ป เปิดตัว “taka HAUS” (ทากะ เฮาส์) เอกมัย 12  มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียมแบบ Low-rise ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Stay Unique, Stay Diverse” จำนวนเพียง 269 ยูนิตให้ความเป็นส่วนตัวสูง พร้อม Facility ตอบรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่แตกต่างและหลากหลายจับกลุ่มคนไทยและต่างชาติ บนทำเลเอกมัยที่ตอบรับทุกการใช้ชีวิตที่แตกต่างอย่างลงตัว เผยเอกมัย ถูกจัดอยู่ในโซนสุขุมตอนกลางด้วยศักยภาพของทำเลที่มีซอยเชื่อมสู่ทองหล่อ เข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกซึ่งกันและกันได้อย่างครบครัน ขณะที่ราคาประเมินที่ดินโต 50% เทียบเท่าทองหล่อ และอัตราผลตอบแทนต่อการลงทุน 5 – 6% ต่อปี เป็นทำเลที่ได้รับความนิยมสูงในตลาดต่างชาติโดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น เตรียมเปิด Global Launch เปิดขายอย่างเป็นทางการพร้อมกันใน 6 ประเทศ ไทย – ญี่ปุ่น – ฮ่องกง – จีน – สิงคโปร์ – ไต้หวัน วันที่ 16 – 17 ก.ย.นี้ในราคาเริ่มต้น 4.49 ล้านบาท วางเป้าหมายกลุ่มลูกค้าไทยและต่างชาติ 55 : 45 เปอร์เซ็นต์ และตั้งเป้าปิดยอดขายช่วงพรีเซลล์ประมาณ 1,000 ล้านบาท หรือเกินกว่า 50% จากจำนวนยูนิต นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ (Chief Operating Officer) บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทจะเปิดตัวโครงการ “taka HAUS” (ทากะ เฮาส์) ซึ่งนับเป็นคอนโดมิเนียมโครงการล่าสุดภายใต้แบรนด์ “HAUS” (เฮาส์) ที่มีแนวคิดการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ตอบรับไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าคนเมืองที่ต้องการที่อยู่อาศัยใกล้ชิดธรรมชาติกลางเมืองใหญ่ โดยพัฒนาโครงการภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Urban Resort Condominium’ ให้ทุกๆวันเป็นวันพักผ่อนได้ในแบบที่เป็นคุณ โดยที่ผ่านมาบริษัทประสบความสำเร็จจากการพัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ HAUS ไปแล้ว 2 โครงการ โครงการแรกคือ ฮาสุ เฮาส์ ภายใต้แนวคิดแบบ Slow Living หรือการใช้ชีวิตอย่างละเมียดละไม และ โมริ เฮาส์ ภายใต้แนวคิด Trees of Life แบบ Eco-Living หรือการใช้ชีวิตที่อิงอาศัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในทำเลสุขุมวิท 77 หรือ T77 ของแสนสิริ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมากจากลูกค้าชาวต่างชาติ โดยเฉพาะลูกค้าชาวญี่ปุ่น ฮ่องกงและสิงคโปร์ เนื่องจากตอบโจทย์การอยู่อาศัย บรรยากาศดี เงียบสงบร่มรื่นด้วยคลองธรรมชาติที่ทอดตัวผ่านพื้นที่สีเขียว สามารถเดินทางเข้าเมืองสู่ย่านธุรกิจได้อย่างสะดวก สำหรับคอนโดมิเนียม ทากะ เฮาส์ จำนวน 269 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “Stay Unique, Stay Diverse” ตอบการใช้ชีวิตที่ไม่หยุดนิ่งในแบบที่เป็นคุณ พัฒนาภายใต้ บริษัท สิริ ทีเค วัน (Siri TK One Company Limited) ซึ่งเป็นบริษัทภายใต้ความร่วมมือระหว่าง  บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรระดับโลกและบริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนับเป็น ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและให้บริการระบบรถไฟในเขตชานเมืองโตเกียว การพัฒนาเมืองและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงกิจการโรงแรม รีสอร์ท และธุรกิจอื่นๆ และบริษัท สหโตคิว คอร์ปอเรชัน จำกัด ในสัดส่วน กลุ่มแสนสิริถือหุ้น 70% และกลุ่มโตคิวฯ ถือหุ้นสัดส่วน 30% ร่วมกันพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียม โดยบริษัทเตรียมเปิด Global Launch เปิดขายอย่างเป็นทางการพร้อมกันใน 6 ประเทศ ไทย – ญี่ปุ่น – ฮ่องกง – จีน – สิงคโปร์ – ไต้หวัน ในวันที่ 16 – 17 กันยายนนี้ ในราคาเริ่มต้น 4.49 ล้านบาท พร้อมโปรโมชั่นรับส่วนลดสูงสุดกว่า 50,000 บาท พร้อมลุ่นทริปไปฮาวายและสกีรีสอร์ท “คำว่า “ทากะ” มีความหมายถึง “เหยี่ยว” ซึ่งตามความเชื่อญี่ปุ่นสื่อถึงสิ่งที่ดี ความเป็นสิริมงคลในการใช้ชีวิต นับเป็นหนึ่งใน 3 ความฝันที่ดีในช่วงปีใหม่สำหรับการเริ่มต้นใช้ชีวิต สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายของโครงการทากะ เฮาส์ ซึ่งรักอิสระ คล่องแคล่ว ปราดเปรียว ทันสมัยชอบทำกิจกรรมที่หลากหลายเริ่มแยกจากครอบครัวออกมาอยู่เอง ใช้ชีวิตท่ามกลางแหล่งอำนวยความสะดวกครบครัน นอกจากนี้รูปแบบโครงการยังมีความโดดเด่น ทั้งฟังก์ชั่นการอยู่อาศัย ที่มียูนิต เลย์เอาท์ให้เลือกมากกว่า 30 แบบตอบโจทย์การอยู่อาศัยที่หลากหลาย จำนวนยูนิตพักอาศัยเพียง 269 ยูนิต ให้ความเป็นส่วนตัวสูงเทียบกับ Facility ภายในโครงการที่สามารถตอบรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่แตกต่างและหลากหลายเทียบเท่าคอนโดมิเนียมแบบไฮท์ไรซ์ โดยนับเป็นครั้งแรกของคอนโดมิเนียมแสนสิริที่มีการนำ ENDLESS JET POOL หรือ สระว่ายน้ำทวนกระแส สำหรับการออกกำลังกายในน้ำ UNDERWATER TREADMILL หรือลู่วิ่งใต้น้ำและ BIKE SIMULATOR เข้ามาใช้ในโครงการ นอกเหนือไปจากสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ สระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย สวนและมุมพักผ่อนแบบเอาท์ดอร์พร้อม Wifi Internet ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมงพร้อมหน่วยงาน Sansiri Security Inspection (SSI) คุมเข้มความปลอดภัย ที่มีอยู่ในทุกคอนโดมิเนียมตามมาตรฐานการพัฒนาโครงการของแสนสิริ นอกจากนี้ Ground Floor ยังประกอบด้วย ล้อบบี้พร้อมห้องสมุด,     เอนเตอร์เทนเมนต์ รูม, Co-Kitchen, เกมส์ รูม และมุมพักผ่อนเก๋ๆแบบ Tree House ที่มีกระจกโดยรอบเพื่อให้กลมกลืนกับธรรมชาติอีกด้วย พร้อมก้าวสู่ PropTech การเป็นบริษัท Property Technology เต็มรูปแบบรายแรกของไทย โดยนำนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ เข้ามาใช้ในโครงการเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า โดยโครงการทากะ เฮาส์ จะมีการนำระบบ แสนสิริ โฮม เซอร์วิส แอปพลิเคชัน, สมาร์ท ล้อคเกอร์, EV Charging Station, Home Automation และ Alexa (Echo Dot By Amazon) เข้ามาใช้ภายในโครงการ” นายอุทัย กล่าว โครงการคอนโดมิเนียม ทากะ เฮาส์ ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 63 หรือเอกมัย 12 (ซอยเจริญใจ) ซึ่งเป็นซอยที่เชื่อมระหว่างถนนสุขุมวิทและถนนเพชรบุรีตัดใหม่ที่สามารถเดินทางเข้าออกสู่หลากหลายเส้นทางได้อย่างสะดวก อาทิ ถนนพระรามเก้า และถนนเลียบทางด่วนเอกมัย – รามอินทรา รวมทั้งยังอยู่ใกล้สถานที่ตอบรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตต่างๆ ทั้ง โรงพยาบาลชั้นนำโดยรอบ อาทิ โรงพยาบาลสมิติเวช, โรงเรียนนานาชาติชั้นนำ อาทิ โรงเรียนนานาชาติ บางกอกเพรพ (Bangkok Prep) คอมมูนิตี้ มอลล์ อาทิ Nihonmura Mall, เจ อเวนิว, คาเฟ่, บาร์, ซุปเปอร์มาเก็ต, ร้านอาหาร และแหล่ง Hangout ซึ่งเป็นที่นิยมมากมาย รวมทั้งยังสามารถเดินทางเข้าออกได้สะดวกสบายเนื่องจากมีทางทะลุเข้าออกได้หลากหลายเส้นทาง “ซอยเอกมัย นับเป็นทำเลที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมอีกแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ โดยที่ผ่านมาแสนสิริประสบความสำเร็จในการเปิดขายโครงการ CEIL by Sansiri (ซีล บาย แสนสิริ) จำนวน 374 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาทในทำเลนี้มาแล้ว ทั้งนี้ เอกมัย มีจุดเด่นในการเป็นทำเลที่ขนานไปกับทองหล่อและอยู่ห่างกันเพียง 500 เมตร มีซอยเชื่อมกันเป็นระยะๆ ทั้งทองหล่อซอย 10, ซอยแจ่มจันทร์ เอกมัยจึงถูกพ่วงเข้าไว้กับทองหล่อมาโดยตลอด ทำให้ทั้งสองย่านนี้จึงมีข้อได้เปรียบ และสามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกซึ่งกันและกันได้ จึงมีการใช้ประโยชน์หลากหลายกว่าซอยสุขุมวิทอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศักยภาพของที่ดินในทำเลดังกล่าว ราคาประเมินที่ดินในย่านเอกมัยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนใกล้เคียงกับสุขุมวิทตอนต้น อาทิ ซอยนานา ในขณะที่อัตราการเติบโตของราคาประเมินที่ดินก็สูงถึง 50% เทียบเท่าทองหล่อ นอกจากนี้ยังมีตัวแปรที่สำคัญอีกหลายอย่าง อาทิโครงการจากภาครัฐและเอกชน เน้นย้ำความเป็นสุขุมวิทตอนกลาง และเพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่การเป็นสุขุมวิทตอนต้นให้มากขึ้น อาทิ โครงการพัฒนาและปรับปรุงฟื้นฟูย่านทองหล่อ-เอกมัย โดย UDDC หนึ่งในพื้นที่นำร่องของการพัฒนาและปรับปรุงฟื้นฟูย่าน ซึ่งศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UDDC) ทำร่วมกับกรุงเทพมหานคร โดยมองว่าทำเลทองหล่อ-เอกมัยมีศักยภาพในหลายด้าน ทั้งการเป็นจุดเชื่อมต่อกับกรุงเทพชั้นกลางและชั้นนอก รวมไปถึงการเป็นพื้นที่ที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หลากหลาย โดยแนวทางของการพัฒนาและปรับปรุงฟื้นฟูย่านทองหล่อ-เอกมัย คือการปรับปรุงโครงข่ายถนนตรอกซอยต่างๆ ให้สามารถเชื่อมต่อกันได้มากขึ้น กำหนดพื้นที่ที่เน้นการส่งเสริมการพัฒนา เพิ่มพื้นที่สีเขียว ปรับปรุงคลองให้มีทัศนียภาพที่ดีและเดินได้สะดวกขึ้น ซึ่งในอนาคต เราจะได้เห็นทองหล่อ-เอกมัยในบทบาทของย่านธุรกิจสร้างสรรค์ที่นำเทรนด์ของเมือง ย่านที่อยู่อาศัยหนาแน่นและแหล่งงานนานาชาติ รวมไปถึงสามารถเดินได้สะดวกและมีระบบ feeder รองรับอีกด้วย” นายอุทัย กล่าว นอกจากนี้จากการเปลี่ยนแปลงของเมืองและการขยายตัวของเส้นสุขุมวิทที่ขยายตัวออกมาทางเอกมัยมากขึ้น ยังส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาและค่าเช่าที่อยู่อาศัย โดยการเปลี่ยนแปลงของราคาคอนโดมิเนียมรีเซลล์เติบโตเฉลี่ย 6 - 10% ต่อปี และราคาปล่อยเช่าในทำเลเอกมัยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 25,000-55,000 บาทต่อเดือน ขณะที่ผลตอบแทนในการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 5-6% ต่อปี ซึ่งนับว่าราคาคอนโดมิเนียมในทำเลนี้ยังเหมาะสมในการซื้อเพื่อการลงทุน ดังนั้น “เอกมัย” จึงกลายเป็นทำเลที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่โฟกัสชาวต่างชาติเป็นหลัก โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้เช่าเกรดพรีเมียมสำหรับกลุ่มนักลงทุน “บริษัทตั้งเป้าปิดยอดขายโครงการทากะ เฮาส์ ในช่วง Presale มากกว่า 50% หรือประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับยอดขายโครงการคอนโดมิเนียมของแสนสิริซึ่งทำได้แล้ว 11,800 ล้านบาท บริษัทจะสามารถสร้างยอดขายได้กว่า 12,800 ล้านบาท หรือคิดเป็น 50% จากเป้าหมายยอดขายคอนโดมิเนียมที่วางไว้ 25,000 ล้านบาท โดยการเปิดตัวโครงการ ทากะ เฮาส์ รวมทั้งโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ๆ เพื่อตอบรับความต้องการอยู่อาศัยของกลุ่มลูกค้าในปีนี้ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีตามแผนธุรกิจที่วางไว้รวมทั้งมั่นใจว่าบริษัทจะสามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้าหมาย” นายอุทัย กล่าว
“โคเวล แบงเกอร์” โบรกเกอร์อสังหาฯ จากอเมริกาบุกไทย ชี้ตลาดอสังหาฯไทยแนวโน้มสดใส – ตั้งเป้ายอดขายต่อปีเติบโต 50%

“โคเวล แบงเกอร์” โบรกเกอร์อสังหาฯ จากอเมริกาบุกไทย ชี้ตลาดอสังหาฯไทยแนวโน้มสดใส – ตั้งเป้ายอดขายต่อปีเติบโต 50%

บิ๊ก เอเจนซี่อสังหาฯที่เก่าแก่กว่า100 ปี “โคเวล แบงเกอร์” จากอเมริการุกขยายสาขาในไทย ซีอีโอ “อดัม ทาวาลเดอร์” ตั้งเป้ายอดขายต่อปีเติบโต 50% จากปีก่อนที่มียอดขายกว่า 6,000 ล้านบาท เล็งขยายเป็น 30 สาขาในอีก 3 - 5 ปี มร. อดัม ทาวาลเดอร์  ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โคเวล แบงเกอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทฯ ดังกล่าวดำเนินธุรกิจด้านเอเจนซี่อสังหาริมทรัพย์ (Real estate broker) เป็นสาขาหนึ่งของ “โคเวล แบงเกอร์” เป็นแบรนด์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เก่าแก่ที่สุดกว่า 100 ปีจากอเมริกาที่มีสาขามากที่สุดในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบแฟรนไชส์ และโคเวล แบงเกอร์ ยังคงเป็นที่รู้จักในแง่ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีนวัตกรรมและความเป็นผู้นำมากกว่า 3,000 สาขาใน 50 ประเทศ จนกระทั้งในปี 2015 (ปีพ.ศ.2558) โคเวล แบงเกอร์ ได้ขยายสาขามาที่ประเทศไทย ได้มุ่งเน้นในการให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮแอนด์อย่างครบวงจร โดยสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่สาทร ใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ แบรนด์โคเวล แบงเกอร์ มุ่งมั่นในการให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นเลิศ และมีความเป็นมืออาชีพในการซื้อ ขาย เช่า และการตลาด ที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี่ การจัดการด้านการลงทุน และธุรกิจแฟรนไชส์อสังหาริมทรัพย์ โดยยึดหลักคุณธรรมและความจริงใจแก่ลูกค้าทุกท่าน นอกจากนี้ในการดำเนินงานจะเอาโนว์ฮาวจากที่อเมริกา มาปรับจูนเพื่อให้เหมาะกับ Local market เพราะเชื่อว่า ในตลาดที่แข่งขันกันมากในปัจจุบัน เรื่องคุณภาพน่าจะเป็น ตัวชี้วัดถึง อนาคต  ของบริษัทฯ ซึ่งใน 2 ปีที่ผ่านมา ได้จัดวางระบบงานที่ถือว่าค่อนข้างพร้อมมาก ในการที่จะรับงานที่มีเข้ามาให้ได้ผลที่ดีมีประสิทธิภาพมากที่สุด “ถึงแม้ภาพโดยรวมตลาดอสังหาฯ ในเมืองไทยจะชะลอตัว แต่ตลาดลักชัวรี่มีความน่าสนใจและมีโอกาสในการเติบโตสูง และเราได้เตรียมแผนระยะยาวเอาไว้ล่วงหน้าไว้ 25 ปี และเชื่อว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จะเติบโตในทิศทางที่สดใส” มร.อดัม กล่าว สำหรับการดำเนินงานในประเทศไทยมี 5 ทีมในการให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์อย่างครบวงจรกับลูกค้า กับ 5 สาขาที่ดูแล 10 โครงการใจกลางย่านธุรกิจที่แวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ซึ่งแต่ละโครงการมาจากจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในไทยและในปี 2016 โคเวล แบงเกอร์ (ประเทศไทย) จะสามารถสร้างยอดขายได้มากว่า 6,000 ล้านบาท และได้ตั้งเป้าไว้ในทุกๆ ปี ว่าจะมีอัตราการเติบโตของยอดขายจะเพิ่มขึ้น 50% จากยอดขายของปีที่ผ่านมา พร้อมกับได้ตั้งเป้าขยายสาขาแบบแฟรนไชส์ ในประเทศไทยให้ได้  30 สาขาในอีก 3 - 5 ปี และแต่ละสาขานั้นจะต้องตั้งอยู่ในย่านท่องเที่ยว และย่านธุรกิจสำคัญๆ ไม่เพียงเท่านั้นโคเวล แบงเกอร์ (ประเทศไทย) จะพยายามขยายสัดส่วนการตลาดและทีมงานในด้านการซื้อขายโครงการเพื่อการอยู่อาศัย พร้อมทั้งขยายโอกาสทางการขายสำหรับตลาดทั้งในและต่างประเทศ พร้อมกับตั้งเป้าหมายที่จะก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำตลาดการให้บริการด้านสินทรัพย์ อนึ่ง “โคเวล แบงเกอร์” เป็นแบรนด์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เก่าแก่ที่สุด มีสาขามากที่สุดในแวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบแฟรนไชส์ อีกทั้งยังเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจสตาร์ทอัพของวงการอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย เดิมโคเวลล์ แบงเกอร์ก่อตั้งในปี 1906 โดยสองนักลงทุนหนุ่ม นายโคเบิร์ท โคเวล และนายเบนจามิน แบงเกอร์ โคเวล แบงเกอร์ เปลี่ยนวิธีการซื้อขายบ้านและที่อยู่อาศัยทั่วสหรัฐอเมริกาให้มีประสิทธภาพ มีความน่าเชื่อถือและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น จนกระทั่งโคเวล แบงเกอร์ก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ที่คนไว้วางใจที่สุดในโลก กว่า 100 ปีที่ผ่านมาโคเวล แบงเกอร์ยังคงเป็นที่รู้จักในแง่ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีนวัตกรรมและความเป็นผู้นำมากกว่า 3,000 สาขาใน 50 ประเทศ จนกระทั้งในปี 2015 โคเวล แบงเกอร์ ได้ขยายสาขามาที่ประเทศไทย บริหารงานโดยเหล่าผู้บริหารผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติจากหลายหลายบริษัทอสังหาริมทรัพย์และเอเจนซี่ชื่อดังทั่วโลก โคเวล แบงเกอร์ ประเทศไทยได้มุ่งเน้นในการให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮแอนด์อย่างครบวงจร โดยสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่สาทร ใจกลางย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ แบรนด์โคเวล แบงเกอร์มุ่งมั่นในการให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นเลิศ และมีความเป็นมืออาชีพในการซื้อ ขาย เช่าและการตลาดที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี่ การจัดการด้านการลงทุน และธุรกิจแฟรนไชส์อสังหาริมทรัพย์ โดยยึดหลักคุณธรรมและความจริงใจแก่ลูกค้าทุกท่าน
กลุ่มทุนไทย-จีนปั้น “Trust City” เมืองการค้าค่ากว่า100,000 ล้าน ศูนย์แสดงสินค้าใหญ่สุดแห่ง AEC ชู Fintech Hub ใหญ่ที่สุดในโลก

กลุ่มทุนไทย-จีนปั้น “Trust City” เมืองการค้าค่ากว่า100,000 ล้าน ศูนย์แสดงสินค้าใหญ่สุดแห่ง AEC ชู Fintech Hub ใหญ่ที่สุดในโลก

แจ้งเกิดอภิมหาโครงการยักษ์ “Trust City” World Exhibition & Trade Centre เมืองส่งเสริมการค้า และศูนย์การแสดงสินค้าระดับโลกที่ยิ่งใหญ่และครบวงจรที่สุดแห่ง AEC+6  ชู Fintech Hub ใหญ่ที่สุดในโลก พื้นที่อาคารรวมกว่า 2,500,000 ตารางเมตร บนที่ดินกว่า 500 ไร่บนถนนเทพรัตน (บางนา-ตราด) ปี 2563 เปิดประตูการค้าไทยสู่การค้าโลก ภายใต้การดำเนินงานของ   ไฮดู เบสท์ กรุ๊ป โดยการจับมือระหว่างเบสท์ กรุ๊ป-ไทย กับ ไฮดู กรุ๊ป-จีน(ฮ่องกง) ภายใต้การสนับสนุนทางการเงินของดับบลิว เวนเจอร์-ฮ่องกง คาดหลังเปิดดำเนินงานเงินสะพัดปีละหลายแสนล้านบาท    นายสิทธิชัย เจริญขจรกุล ประธาน บริษัท ไฮดู เบสท์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเกิดจากการจอยท์ เวนเจอร์ หรือร่วมลงทุนของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ข้ามชาติ ระหว่าง ไฮดู กรุ๊ป (Hydoo Group) กลุ่มทุนขนาดใหญ่ที่จดทะเบียน   ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง  ซึ่งเป็นผู้พัฒนาเมืองใหม่รายใหญ่อันดับ 2 ในประเทศจีน  กับกลุ่มบริษัท เบสท์ กรุ๊ป จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติกส์ และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จากประเทศไทย ภายใต้การสนับสนุนทางการเงินโดย ดับบลิว เวนเจอร์ (W venture) ผู้ดำเนินงานด้าน Fintech จากฮ่องกง ร่วมกันพัฒนาโครงการ “Trust City(ทรัส ซิตี้)” World Exhibition & Trade Centre เมืองส่งเสริมการค้าและศูนย์แสดงสินค้าระดับโลกที่ยิ่งใหญ่และครบวงจรที่สุดแห่ง AEC+6 ซึ่งจะกลายเป็น Fintech Hub (ฟินเท็ค ฮับ) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คที่จะสร้างความภาคภูมิใจให้กับคนไทยทั้งประเทศ ตั้งอยู่บนกิโลเมตรที่ 29 ถนนเทพรัตน์(บางนา-ตราด) บนที่ดินแปลงใหญ่กว่า 500 ไร่ คาดว่าประตูแห่งการค้าไทยที่เชื่อมต่อการค้าโลกอย่างสมบูรณ์แบบ มูลค่ากว่า 100,000 ล้านบาทแห่งนี้ จะเปิดดำเนินงานได้ภายในปี 2563 และจะทำให้เงินสะพัดปีละหลายแสนล้านบาท “ทรัสต์ ซิตี้ ถูกสร้างขึ้นด้วยแนวคิดที่ต้องการพัฒนาการค้าส่งแบบเดิมๆที่กระจัดกระจาย เช่น โบ๊เบ๊ ประตูน้ำ สำเพ็ง พาหุรัด แม้แต่ย่านพระเครื่องอย่างแถวเสาชิงช้า มาอยู่ในที่เดียวกัน มีความสะดวกสบาย ครบวงจร และทันสมัยที่สุดโลก ซึ่งเรายังมุ่งส่งเสริมกลุ่มธุรกิจคนรุ่นใหม่ หรือ Startup ในบ้านเราให้มีโอกาสทางการค้ากับผู้ซื้อจากทั่วโลก และนอกจากตลาดในประเทศแล้ว ยังเป็นแหล่งรวมสินค้าสำเร็จรูปและวัสดุที่เกี่ยวเนื่องจากทั่วโลก ยกตัวอย่างสินค้าวงการแฟชั่น นอกจากเสื้อผ้าก็ยังมีวัสดุอุปกรณ์ เช่น กระดุมหรืออุปกรณ์อื่นๆจากแบรนด์ชั้นนำ เป็นต้น ด้วยมาตรฐานการจัดการระดับสากล เพื่อดึงดูดให้เกิดการซื้อขายแลกเปลี่ยนของ Buyer จากทั่วโลกให้มาเลือกช้อปที่นี่ที่เดียว” นาย  สิทธิชัยกล่าว ทรัส ซิตี้ มีการจัดการด้านต่างๆโดยมาตรการระดับโลก เป็นการส่งเสริมความร่วมมือของพันธมิตรธุรกิจระหว่างประเทศ ที่มีศักยภาพที่แข็งแกร่งพอที่จะรองรับธุรกิจการค้าแบบครบวงจร เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน ด้วยเป็นโครงการที่มีความครบสมบูรณ์และยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชีย+6 มีสินค้าครบทุกหมวดหมู่ รวมถึงวัตถุดินสำเร็จรูปและกึ่งสำเร็จรูป  มีการส่งเสริมการท่องเที่ยว  เป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมไมซ์  (MICE) Meetings, Incentive Travel, Conventions(Conferencing), Exhibitions(Events) หมายถึง ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดประชุมบริษัทข้ามชาติ โบนัสการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัลหรือโบนัสการท่องเที่ยว การประชุมนานาชาติ และการจัดนิทรรศการ ซึ่งไมซ์จัดเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่สมบูรณ์แบบ รองรับการประกอบธุรกิจจากทั่วทุกมุมโลก การออกแบบวางผังโครงการ Trust City แบ่งออกเป็น 6 โซนธุรกิจ พื้นที่อาคารรวมกว่า 2,500,000 ตารางเมตร รองรับ 20,000 ร้านค้า และผู้อยู่อาศัยกว่า 50,000 คน ประกอบด้วย World Exhibition Zone พื้นที่จัดแสดงสินค้าขนาดใหญ่ ระดับเวิล์ด คลาส รองรับธุรกิจ กว่า 100,000 ตารางเมตร Permanent Exhibition Zone ศูนย์แสดงสินค้าถาวรทุกหมวดหมู่กว่า20,000ผู้ผลิต และตัวแทนการค้า สูง 7 ชั้น ขนาดพื้นที่กว่า 800,000 ตารางเมตร Hotel & Residence Zone ที่พักอาศัยและโรงแรม เพื่อนักธุรกิจ นักท่องเที่ยว กว่า 12,000 ยูนิต พร้อมส่วนบริการและนันทนาการ Global Factory Outlet Zone ศูนย์แสดงสินค้าถาวรขนาดเล็ก รองรับสินค้า-บริการ เครื่องจักรอุตสาหกรรม Fintech Hub & Business Hotel Zone แลนด์มาร์คอันโดดเด่นของโครงการอาคารสุพรรณหงส์ ที่ออกแบบด้วยการจำลองเรืองพระที่นั่งสุพรรณหงส์บนความสูงอาคาร 168 เมตร มีจุดชมวิวอ่าวไทยที่สวยที่สุด ภายในแยกเป็นส่วนศูนย์ประชุมลอยฟ้าที่ใหญ่ที่สุด โรงแรมระดับ 5 ดาว โลกเทคโนโลยีการเงิน ตลาดค้าทองคำขนาดใหญ่ สำนักงานให้เช่าครบวงจร ศูนย์อาหาร การแสดงสินค้าหรู Auto Town Zone อาคารแสดงนวัตกรรมยานยนต์ อุปกรณ์ตกแต่ง และอื่นๆที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ยังมีพื้นที่เพื่อจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ที่น่าสนใจดึงดูดผู้มาเยือนตลอดทั้งปี อาทิ Super Walking Street ถนนคนเดิน กว้าง 40 เมตร ยาวกว่า 2,000 เมตร รองรับสินค้าไอเดียแปลกใหม่จากทุกมุมโลก กิจกรรมทางน้ำ ออกแบบให้เป็นเวนิสตะวันออก จำลองบรรยากาศตลาดน้ำ คลองผดุงกรุงเกษม การแห่เรือ การแสดงเอกลักษณ์ไทย ด้านสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ มีที่จอดรถในอาคารกว่า 30,000 คัน โครงการไลท์เรล 2 สายหลักที่จะทำให้การสัญจรภายในโครงการสามารถเดินทางไปได้อย่างทั่วถึง การออกแบบรองรับการเชื่อมต่อกับจุดสำคัญภายนอก ทั้งสนามบินแห่งชาติสุวรรณภูมิ , รถไฟฟ้า และการเชื่อมต่อเมืองธุรกิจใกล้เคียง อาทิพัทยา เป็นต้น ความแข็งแกร่งที่สำคัญของทรัส ซิตี้ นอกจากกลุ่มทุนที่มีความรู้ความชำนาญทั้งการพัฒนาเขตเศรษฐกิจใหม่ มีความชำนาญด้านโลจิสติกส์ และด้านฟินเท็ค เป็นอย่างดีแล้ว ยังมีความแข็งแกร่งด้านเงินทุนอีกด้วย ปัจจุบันมีทุนจดทะเบียน 2,196,003,600 บาท พร้อมกันนี้โครงการได้เตรียมเงินกองทุนจำนวนกว่า 80,000 ล้านบาท เพื่ออัดฉีดการลงทุน ให้มีความต่อเนื่องแล้วเสร็จตามกำหนดการ เพิ่มโอกาสให้นักธุรกิจรุ่นใหม่ ได้เป็นตัวแทนจำหน่ายสินค้าให้กับผู้ผลิตจากทั่วโลกกว่า 10,000 ราย โดยปี 2563 ซึ่งเป็นปีที่เปิดดำเนินการถนนทุกสายจะมุ่งสู่ทรัส ซิตี้ ที่เปรียบเสมือนประตูการค้าของไทยสู่การค้าโลกอย่างแท้จริง
เซวาส พรอพเพอตี้ส์ อสังหาฯน้องใหม่ เปิดตัวคอนโดฯ Super Luxury “นิวาติ”

เซวาส พรอพเพอตี้ส์ อสังหาฯน้องใหม่ เปิดตัวคอนโดฯ Super Luxury “นิวาติ”

นายดักลาส เฉิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซวาส พรอพเพอตี้ส์ จำกัด (ที่ 2 จากขวา) พร้อมด้วยนายวิวัฒน์ พิภักดิ์สมุทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท 888 ทองหล่อ จำกัด (ที่ 3 จากซ้าย) ,นางนลินรัตน์    เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (ที่ 1 จากซ้าย)  ร่วมด้วยคณะผู้บริหาร จัดงานเปิดตัวบริษัท เซวาส พรอพเพอตี้ส์ จำกัด บริษัทอสังหาฯ น้องใหม่ พร้อมเปิดตัวคอนโดมิเนียม Super Luxury ใจกลางทองหล่อ ”นิวาติ” (NIVATI) ในราคาเริ่มต้นที่ 17 ล้านบาท หรือ 260,000 บาท/ตรม. ภายใต้แนวคิด Elegant Classic Contemporary เน้นจุดเด่นเรื่องดีไซน์สไตล์ "Timeless classicism of the architecture" สถาปัตยกรรมคลาสสิกหรูร่วมสมัย วัสดุสเปคระดับพรีเมี่ยม หรูหรา มีระดับ อิมพอร์ตจากเยอรมัน และอิตาลี ครบถ้วนทุกฟังก์ชันการใช้งาน เตรียมจัดงาน VIP Sales วันที่ 16 กันยายน 2560 ณ โรงแรม Grande Centre Point ทองหล่อ พร้อมรับสิทธิพิเศษในงาน ผู้ที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 095-914-9888 หรือ www.nivaticondo.com
เอสซีฯ แนะนำโครงการ บางกอก บูเลอวาร์ด (Bangkok Boulevard) รังสิต บ้านสไตล์ Luxury Nordic ด้วยแนวคิดบ้านเพื่อการพักผ่อน ราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท

เอสซีฯ แนะนำโครงการ บางกอก บูเลอวาร์ด (Bangkok Boulevard) รังสิต บ้านสไตล์ Luxury Nordic ด้วยแนวคิดบ้านเพื่อการพักผ่อน ราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท

โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด รังสิต บ้านซีรีส์ใหม่จาก SC ASSET ที่เก็บเอาแรงบันดาลใจจากยุโรปตอนเหนือ ด้วยดีไซน์ด้วยกลิ่นอายของสไตล์ Luxury Nordic  สร้างสรรค์ให้บ้านทุกหลังมีสไตล์ในบรรยากาศแห่งการพักผ่อน  ภายใต้แนวคิด ‘Simple & Graceful’ หรือเป็น #StaycationsHomes  ที่โดดเด่นด้วย 3 องค์ประกอบในการออกแบบคือ 1.“Harmonic Asymmetry” ความกลมกลืนในความไม่สมมาตรของอาคาร ด้วยการเล่นระดับบ้านที่มีความสูง-ต่ำและขนาดความกว้าง-ยาวที่ไม่เท่ากันช่วยตอบโจทย์ฟังก์ชั่นการใช้งานแต่ละห้องที่แตกต่างกัน 2.“Serenity” ด้วยการเลือกใช้โทนสีธรรมชาติที่ช่วยเพิ่มความอบอุ่น และนุ่มนวลมากกว่าบ้านโมเดิร์นทั่วไป กลิ่นอาย Retro ที่ซ่อนอยู่ในการออกแบบยิ่งช่วยสร้างบรรยากาศที่แม้อยู่บ้านก็เหมือนได้ไปพักผ่อนที่ยุโรปตอนเหนือ 3.“Rustic Sense” การตกแต่งด้วยวัสดุธรรมชาติ ทำให้ผู้อาศัยได้ผ่อนคลายในบรรยากาศของ Luxury Nordic ซึ่งเน้นโทนสีอ่อนไปจนถึงสีขาว ทำให้บ้านดูสว่างและอบอุ่น โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด รังสิต  บนทำเลติดถนนใหญ่รังสิต-นครนายก (รังสิตคลอง 4) อยู่ใกล้ถนนกาญจนาภิเษก(วงแหวน)  และทางยกระดับอุตราภิมุข (ดอนเมือง โทลเวย์และทางด่วนพิเศษศรีรัช)  พร้อมกับในอนาคตอันใกล้นี้  จะมีทั้งรถไฟฟ้าสายสีแดง ที่ถนนวิภาวดี และสายสีเขียวเข้มบนถนนพหลโยธิน – ลำลูกกา อีกทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกแวดล้อมด้วยศูนย์การค้า  สถาบันการศึกษาชั้นนำและโรงพยาบาลต่างๆ  ขนาดพื้นที่โครงการกว่า 36 ไร่ จำนวน 132 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท ด้วยแบบบ้าน 3 แบบให้เลือกตามไลฟ์สไตล์  ราคาเริ่ม  5.99 ล้านบาท  ได้แก่ AREN พื้นที่ใช้สอย 229 ตร.ม. 4 ห้องนอน 3 ห้องน้า 2 ที่จอดรถ VINTEREN พื้นที่ใช้สอย 248 ตร.ม.  5 ห้องนอน 3 ห้องน้า 2 ที่จอดรถ SOMMEREN พื้นที่ใช้สอย 322 ตร.ม. 5 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถและ 1 ครัวไทย พรั่งพร้อมด้วย Facilities สมบูรณ์แบบ อาทิ คลับเฮ้าส์ทรงสูงแบบจั่ว Style Nordic , สระว่ายน้ำระบบเกลือ ยาว 25ม. , ห้องฟิตเนส และห้องสตรีม แยกชาย-หญิง, Main Park ที่ Design เป็นแนวยาวพร้อมลู่จักรยาน ลานจอดรถจักรยาน และลานกิจกรรมที่มีทั้งสนามเด็กเล่นเพื่อรองรับการพักผ่อนของเด็กๆ และครอบครัว   และอีกหนึ่งความใส่ใจกับระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. ด้วย Double Security เข้า-ออกโครงการผ่านระบบ SMART Pass, CCTV กล้องวงจรปิดทั่วโครงการ 28 จุด, สัญญาณกันขโมยในตัวบ้านที่ให้ความอบอุ่นใจตลอดเวลา 9-10 ก.ย.60 นี้ เปิดจองโครงการใหม่ บางกอกบูเลอวาร์ด รังสิต  ผู้สนใจเยี่ยมชมโครงการสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป  ที่สำนักงานขายโครงการ โทร.1749 หรือ www.scasset.com
ศุภาลัย บุกตลาดอสังหาฯ แนวราบภูเก็ต ส่งแบรนด์ พรีโม่ รองรับ Smart City

ศุภาลัย บุกตลาดอสังหาฯ แนวราบภูเก็ต ส่งแบรนด์ พรีโม่ รองรับ Smart City

บมจ.ศุภาลัย ปักหมุดเพิ่มเมืองภูเก็ต ส่งแบรนด์ ศุภาลัย พรีโม่ กู้กู ภูเก็ต มูลค่าโครงการ 560 ล้านบาท เปิดจองวันที่ 16 ก.ย. นี้ ในราคาเริ่มต้นเพียง 2 ล้านกว่าบาท พร้อมพบสิทธิพิเศษมากมาย นายอดิศักดิ์ วารินทร์ศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ  สายงานโครงการภูมิภาค 3 บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จังหวัดภูเก็ต เป็นเมืองที่มีศักยภาพในการดึงดูดนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน และจะมีการเติบโตอย่างก้าวกระโดด หลังจากการเข้าสู่การเป็น Smart City คาดว่า จะส่งผลให้ความต้องการที่อยู่อาศัยในพื้นที่นี้สูงขึ้น ทั้งจากลูกค้าชาวไทยและต่างชาติ ที่ซื้อไว้เพื่ออยู่อาศัย และเพื่อการลงทุน ทางบริษัทฯ ได้เข้าไปลงทุนตลาดอสังหาฯ ในเมืองภูเก็ต ตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ล่าสุดเตรียมเปิดเพิ่มเป็นโครงการที่ 12 ภายใต้แบรนด์ ศุภาลัย พรีโม่ กู้กู ภูเก็ต ศุภาลัย พรีโม่ กู้กู ภูเก็ต มีมูลค่าโครงการ 560 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่โครงการประมาณ 19 ไร่ กับแนวคิดการใช้ชีวิตที่ดีในสังคมที่ดี บ้านทันสมัยสไตล์โมเดิร์น ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านรุ่นใหม่ และทาวน์โฮม 2 ชั้น 3 - 4 ห้องนอน 2 - 3 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 120 - 175 ตร.ม. ราคาเริ่มต้นเพียง 2 ล้านกว่าบาท ท่ามกลางธรรมชาติและอากาศบริสุทธิ์กับบ้านแสนสบาย ที่ใส่ใจทุกรายละเอียดของการออกแบบ ตลอดจนเลือกสรรวัสดุที่มีคุณภาพ ประหยัดพลังงาน สร้างความรู้สึกปลอดโปร่งและเย็นสบายกว่า พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ อาทิ  สวนส่วนกลาง และมั่นใจกับระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมกล้อง CCTV และระบบเข้า - ออกอัตโนมัติ Easy Pass โดดเด่นด้วยทำเลศักยภาพในซอยพัชนี-บางชีเหล้า ติดไร่วานิช สามารถเข้า - ออกได้หลายทางทั้งถนนเทพกระษัตรี และถนนรัษฎานุสรณ์ เชื่อมต่อสู่ใจกลางเมืองภูเก็ตอย่างง่ายดาย สะดวกสบายทุกการเดินทาง แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อาทิ ห้างซุปเปอร์ชีป โลตัส บิ๊กซี โรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต และโรงพยาบาลมิชชั่นภูเก็ต กำหนดเปิดจองในวันเสาร์ที่ 16 กันยายน 2560 นี้ ณ สำนักงานขายโครงการ ผู้สนใจสามารถแวะเยี่ยมชมบ้านตัวอย่างพร้อมรับข้อเสนอที่ดีที่สุดภายในงาน หรือสอบถามเพิ่มเติมโทร. 1720 หรือดูรายละเอียด ได้ที่  www.supalai.com
“โมดิซ คอนโด รัชดา 32” คอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้า มุมมองมิติใหม่ในการใช้ชีวิตกลางใจเมือง เริ่มต้นเพียง1.89 ล้านบาท

“โมดิซ คอนโด รัชดา 32” คอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้า มุมมองมิติใหม่ในการใช้ชีวิตกลางใจเมือง เริ่มต้นเพียง1.89 ล้านบาท

บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งมั่นสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยคุณภาพตอบรับทุกไลฟ์สไตล์ ส่งคอนโดมิเนียมโครงการล่าสุด “โมดิซ คอนโด รัชดา 32” (Modiz Condo Ratchada 32)คอนโดมิเนียมโลวไรส์ สูง 8 ชั้น จำนวน 1 อาคาร รวม 191  ยูนิต มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท บนพื้นที่โครงการ 1-0-69.1ไร่ ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพถนนรัชดาภิเษก อยู่ใกล้รถไฟฟ้า 3 สาย อีกหนึ่งผลงานดีไซน์ที่โดดเด่น ออกแบบในสไตล์ “Modern Luxury Contemporary” ที่เปิดมุมมองมิติใหม่ในการใช้ชีวิต กลางใจเมือง ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.89 ล้านบาท ต่อยอดความสำเร็จของคอนโดมิเนียม ภายใต้แบรนด์ Modiz ที่ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ทั้งที่โมดิซลาดพร้าว 18 หรือ โมดิซ อินเตอร์เชนจ์ และโมดิซ สเตชั่น นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด กล่าวว่า “โมดิซ คอนโด รัชดา 32” ตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพถนนรัชดาภิเษก ซึ่งเป็นการเปิดมิติใหม่แห่งการเดินทาง เนื่องจากใกล้รถไฟฟ้า 3 สาย อาทิ รถไฟฟ้า MRT, รถไฟฟ้าสายสีเขียว และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง อีกทั้งยังใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน ที่จะสามารถเดินทางลัดเลาะไปได้หลายเส้นทาง ไม่ว่าจะเป็น ถนนสุขุมวิท, ถนนพระราม 9 และ ถนนวิภาวดีรังสิต ที่จะทำให้การเดินทางเข้า-ออกเมืองเป็นไปด้วยความสะดวกสบาย “นอกจากนี้ยังสามารถเดินทางไปในสถานที่ต่างๆ ได้ง่าย แบบที่เรียกได้ว่าเป็นมิติใหม่ของความใกล้ เพียงแค่ 190 เมตรสามารถเดินทางถึงถนนรัชดา New CBD ที่เป็นศูนย์รวมสถานที่สำคัญ ทั้งสถานศึกษา อาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า และสถานที่อำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ มหาวิทยาลัยราชภัฎจันทรเกษม ,The Street รัชดา, ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา ลาดพร้าว, ฟอร์จูน และเมเจอร์ รัชโยธิน เป็นต้น” โครงการถูกออกแบบในแนวคิด Modern Luxury Contemporary โดยใช้หินอ่อนกับทองแดง ตั้งแต่โถงต้อนรับในรูปแบบ Double Ceiling เพื่อให้เกิดความรู้สึกโปร่งสบาย รวมถึงการออกแบบห้องพักอาศัยที่ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์แบบครบครัน โดยแต่ละห้องจะเน้นฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตคนเมืองได้อย่างแท้จริง และยังเพิ่มมิติของความทันสมัยในเรื่องของระบบจอดรถอัจฉริยะ ที่จะช่วยลดระยะเวลาในการวนหาที่จอดรถ และระบบ Bluetooth Sound System ที่ไม่ว่าจะอยู่บริเวณไหนของห้องก็สามารถเพลิดเพลินกับการฟังเพลงได้ทุกที่ “สำหรับทุกโครงการในเครือ AssetWise เราให้ความสำคัญกับความสุขในการอยู่อาศัยจริง สำหรับ โมดิซ รัชดา 32 ก็เช่นกัน เราเพิ่มมิติแห่งความสุขสุดพิเศษด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน อย่างเดอะมาร์เบิ้ล เลานจ์ (The Marble Lounge) พื้นที่พักผ่อนที่ให้ความรู้สึกเรียบหรู เหนือระดับด้วยสระว่ายน้้าที่สามารถมองเห็นวิวทิวทัศน์ได้อย่างสวยงาม (Moonlight Sky Pool) สระว่ายน้ำสำหรับเด็ก (kid’s pool) ศาลาสำหรับพักผ่อนหย่อนใจริมสระ  ว่ายน้ำ (Poolside Pavilion) ห้องฟิตเนสที่มาพร้อมอุปกรณ์ออกกำลังกายแบบครบครัน (Smart Fitness) และเติมความพิเศษยิ่งขึ้นด้วยพื้นที่พักผ่อนสำหรับทุกไลฟ์สไตล์บนชั้นดาดฟ้าของอาคารไม่ว่าจะเป็นมุมนั่งเล่น อ่านหนังสือ (Rooftop Garden) สวนสำหรับพักผ่อนที่สามารถชมวิวทิวทัศน์ได้โดยรอบ (The skyscape gardens) และพื้นที่ส่วนกลางสำหรับนั่งทำงาน (Co – Working Space) ทั้งยังเพิ่มความมั่นใจในความปลอดภัยด้วยกล้องวงจรปิด และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง” นายกรมเชษฐ์ กล่าว โครงการ โมดิซ คอนโด รัชดา 32 ประกอบด้วยห้องชุดขนาดต่าง ๆ ได้แก่ ห้อง 1 Bedroom Extra ขนาดพื้นที่ประมาณ 25.90-33.80 ตร.ม. ห้อง 1 Bedroom Exclusive ขนาดพื้นที่ประมาณ 24.08-31.04 ตร.ม. และห้อง1 Bedroom Plus ขนาดพื้นที่ประมาณ 31.00-44.31 ตร.ม. โดยจะเริ่มการก่อสร้างปี 2561 และคาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณปี พ.ศ. 2562 สำหรับผู้ที่สนใจสามารถสัมผัสมิติใหม่ในการใช้ชีวิต กลางใจเมือง กับ “โมดิซ คอนโด รัชดา 32” (Modiz Condo Ratchada 32) พร้อมเยี่ยมชมห้องตัวอย่างได้แล้ววันนี้ ณ สำนักงานขาย โมดิซ ถนนรัชดาภิเษก ซอย 32 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 083 556 3232 หรือ www.assetwise.co.th
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชี้ทำเล พหลฯ-ลาดพร้าว ฮับการคมนาคม และที่อยู่อาศัยใหม่ ผู้ประกอบการรายใหญ่แห่ปักหมุดจ่อผุดคอนโดฯ โครงการใหม่

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ชี้ทำเล พหลฯ-ลาดพร้าว ฮับการคมนาคม และที่อยู่อาศัยใหม่ ผู้ประกอบการรายใหญ่แห่ปักหมุดจ่อผุดคอนโดฯ โครงการใหม่

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เผยทำเลพหลโยธิน – ลาดพร้าว เตรียมขึ้นแท่นศูนย์กลางที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ เป็นแหล่งเชื่อมต่อการเดินทางทั้งระบบรถและระบบราง โดยผู้ประกอบการรายใหญ่เข้าจับจองพื้นที่ทยอยเปิดโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ ส่งผลราคาเฉลี่ยขยับไปอยู่ที่ 1.5 แสนบาท/ตร.ม. ส่วนราคารีเซลย้อนหลัง 5 ปี ปรับเพิ่ม 20-40%  หลังพบเป็นทำเลศักยภาพสูง ด้านตลาดเช่าได้รับอานิสงส์ ด้วยอัตราผลตอบแทนเฉลี่ย 5% ขนาด 1 ห้องนอนตลาดตอบรับสูง นายอนุกูล รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้ทำการสำรวจตลาดคอนโดมิเนียมในทำเลพหลโยธิน-ลาดพร้าว พบว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในตลาดคอนโดมิเนียมให้ความสนใจเข้ามาทยอยพัฒนาโครงการออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีโครงการคอนโดมิเนียมที่เป็นอาคารสูงโซนพหลโยธิน – ลาดพร้าว ในระยะรถไฟฟ้าเปิดตัวในระดับราคา 120,000 – 180,000 บาทต่อตารางเมตร และในช่วงครึ่งแรกของปี 2560 พบอัตราการตอบรับในระดับสูงเฉลี่ยที่ 84% จากอุปทานเสนอขายสะสมทุกโครงการ 4,616 ยูนิต อัตราดูดซับเฉลี่ย 153.1 ยูนิตต่อเดือนต่อโครงการ จากการขยายตัวของอุปสงค์ในพื้นที่นี้ ส่งผลให้ราคาขายคอนโดมิเนียมมีการขยับตัวสูงขึ้น โดยพบว่า ราคาขายเฉลี่ยคอนโดมิเนียมอาคารสูงปรับตัวเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงสิ้นปี 2559 มาอยู่ที่ 150,000 บาทต่อตารางเมตร และปัจจุบันโครงการเหล่านี้ได้มีการนำห้องชุดกลับมาขายใหม่ (Resale) และได้ปรับราคาให้สูงขึ้นกว่าราคาเสนอขายปัจจุบันแล้ว 10% มาอยู่ที่ 165,000 บาทต่อตารางเมตร สาเหตุที่โซนพหลโยธิน – ลาดพร้าว ได้รับความสนใจ เนื่องจากเป็นทำเลที่มีจุดเด่นด้านศูนย์กลางคมนาคมขนส่ง เป็นจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสองสาย ทั้งรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว และรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล (MRT) ที่เชื่อมการเดินทางให้ผู้คนสามารถเข้าถึงใจกลางเมืองได้ในระยะเวลาไม่นาน มีรถโดยสารสาธารณะให้บริการหลากหลาย และยังมีทางด่วน 2 สาย ได้แก่ ทางพิเศษศรีรัช และทางยกระดับอุตราภิมุข (ดอนเมืองโทลล์เวย์) และยังพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่มีความหลากหลายสำหรับทุกไลฟ์สไตล์ ไม่ว่าจะเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ สถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก อย่าง ตลาดนัดจตุจักร ตลาด อ.ต.ก.  หรือสวนจตุจักร ที่เป็นปอดแห่งใหญ่ของกรุงเทพ รวมถึงศูนย์การค้าที่มีชื่อเสียง โรงพยาบาล และสถานศึกษาที่มีชื่อเสียง ทำให้ย่านพหลโยธิน-ลาดพร้าวเป็นอีกหนึ่งทำเลที่เหมาะแก่การอยู่อาศัย ทำให้โครงการคอนโดมิเนียมในย่านนี้ได้รับการตอบรับที่ดีจากเหล่าอุปสงค์ที่แท้จริง ส่งผลให้ปัจจุบันราคาขายเฉลี่ยของคอนโดมิเนียมในย่านนี้มีการปรับตัวสูงขึ้นรวดเร็วมาก นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาสถานีกลางบางซื่อหรือศูนย์คมนาคมพหลโยธิน ที่เชื่อมต่อการเดินทางรถไฟฟ้าเส้นทางต่างๆ รวมถึงเชื่อมต่อรถไฟความเร็วสูงจากภาคเหนือลงสู่ภาคใต้ เพื่อยกระดับให้ทำเลนี้ให้เป็นฮับหรือศูนย์กลางด้านการเปลี่ยนถ่ายระบบคมนาคมทางรางที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าการก่อสร้างแล้วกว่า 52% และคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ภายในปี 2563 จากศักยภาพของทำเลพหลโยธิน-ลาดพร้าว ที่กำลังจะกลายเป็นฮับด้านการคมนาคมขนส่งในไม่ช้า โดยจะกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทต่างๆ ในบริเวณโดยรอบสถานีกลางบางซื่อเพิ่มมากขึ้น อาทิ อาคารสำนักงานแห่งใหม่ในพื้นที่ ที่เตรียมเปิดใช้อาคารแล้ว ทำให้ย่านนี้ขยายตัวเป็นแหล่งงานแห่งใหม่ทำให้มีความต้องการที่อยู่อาศัยมากขึ้น จึงมีการพัฒนาคอนโดมิเนียมที่พักอาศัย เพื่อรองรับดีมานด์การอยู่อาศัยที่หนานแน่นขึ้น โดยกระจายการพัฒนาออกไปทั่วทำเลพหลโยธิน-ลาดพร้าว เป็นผลทำให้ในอนาคตราคาที่ดินในย่านนี้จะทะยานตัวสูงขึ้นได้อีกไม่น้อย ถือเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยเพิ่มศักยภาพให้แก่ทำเล และกระตุ้นให้เกิดการซื้อ-ขาย หรือเช่าคอนโดมิเนียมเพิ่มมากขึ้น โดยมีเส้นทางรถไฟฟ้าหลักๆ ที่เชื่อมต่อการเดินทางระหว่างกันผ่านสถานีกลางบางซื่อจำนวนมาก“ย่านพหลโยธิน-ลาดพร้าว ไม่ได้มีเฉพาะผู้ที่ซื้ออยู่อาศัยจริงเท่านั้น แต่ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้เช่า สะท้อนได้จากผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าห้องชุดที่อยู่ในระดับดี เฉลี่ยอยู่ที่ 5% ต่อปี โดยรูปแบบห้องที่ได้รับความนิยมคือ 1 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 30-40 ตารางเมตร มีราคาเช่าเฉลี่ย 520 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน (ราว 15,000-23,000 บาทต่อยูนิต) รองลงมาคือ 2 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอย 60-70 ตารางเมตร ปัจจุบันมีราคาเช่าเฉลี่ย 542 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน (32,000-38,000 บาทต่อยูนิต) โดยในย่านนี้มีอัตราอยู่อาศัยหนาแน่นสูงถึง 90 - 95% เป็นผู้อยู่อาศัยเอง 65% และผู้เช่า 25%” นายอนุกูล กล่าว  
เปิดตัวคอนโดที่ฮอตที่สุดบนพหลโยธิน – อารีย์ “เดอะรีเซิร์ฟ พหลฯ – ประดิพัทธ์” พร้อมเปิด One Bedroom สไตล์ Loft ที่ดีที่สุด 16 – 17 ก.ย. นี้

เปิดตัวคอนโดที่ฮอตที่สุดบนพหลโยธิน – อารีย์ “เดอะรีเซิร์ฟ พหลฯ – ประดิพัทธ์” พร้อมเปิด One Bedroom สไตล์ Loft ที่ดีที่สุด 16 – 17 ก.ย. นี้

นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท-พรีเมียม บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ผู้นำอันดับหนึ่งในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย เปิดเผยว่า “ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญอย่างมืออาชีพกว่า 24 ปี ที่พฤกษามุ่งมั่นในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพ และสร้างสรรค์ออกแบบที่อยู่อาศัยให้มีเอกลักษณ์เพื่อสร้างความแตกต่าง และมีจุดเด่นที่ตรงใจผู้บริโภค ล่าสุด เตรียมเปิดประสบการณ์การใช้ชีวิตในคอนโดมิเนียมที่เหนือกว่า ด้วยดีไซน์ห้องชุดรูปแบบใหม่สไตล์ Loft โครงการแรกของ พฤกษา เรียลเอสเตท ภายใต้พรีเมียมแบรนด์ “เดอะรีเซิร์ฟ พหลฯ - ประดิพัทธ์” เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ต้องการใช้ชีวิตแบบไร้ขีดจำกัดของพื้นที่และเวลา ทุกพื้นที่ภายในโครงการออกแบบขึ้นอย่างพิถีพิถันตามนโยบายของบริษัทฯ ที่มุ่งมั่นในการส่งมอบบ้านและบริการที่ดีที่สุดแก่ลูกค้า โดยสามารถขยายพื้นที่อยู่อาศัยทั้งแนวสูงและแนวราบ ด้วยไฮไลท์ห้องรูปแบบใหม่สไตล์ Loft เพดานสูง 4.4 เมตร และห้อง 1 ห้องนอนแบบ Oversize Living Space สามารถปรับเปลี่ยนให้ใช้ชีวิตได้ทุกฟังก์ชั่น และที่มากกว่านั้นคือ สิ่งอำนวยความสะดวกและบริการเหนือระดับที่โครงการเตรียมไว้ให้ตลอด  24 ชม. นอกจากนี้ โครงการ “เดอะ รีเซิร์ฟ พหลฯ - ประดิพัทธ์” ยังตั้งอยู่บนสุดยอดใจกลางเมือง ติด BTS สะพานควาย และใกล้สถานีกลางบางซื่อ และยังเชื่อมต่อระหว่างถนนนพระราม 6 – พหลโยธิน – วิภาวดี – รัชดาภิเษก – ลาดพร้าว พร้อมทั้งรายล้อมไปด้วยสำนักงานชั้นนำของบริษัทยักษ์ใหญ่มากมาย” “เดอะรีเซิร์ฟ พหลฯ - ประดิพัทธ์” เป็นคอนโด High Rise สูง 25 ชั้น โดดเด่นด้วยห้องสไตล์ Loft พร้อมชูจุดเด่นด้วย Community Space 24 ชม. ที่สามารถใช้ชีวิตบนพื้นที่ส่วนกลางได้แบบไร้กรอบของเวลา อาทิ Co-working space ที่รองรับการคิดและสร้างสรรค์งานในทุกรูปแบบ Adaptive Function Room ห้องอเนกประสงค์ที่สามารถใช้เป็นห้องส่วนตัวในการประชุม หรือชมภาพยนตร์เพื่อหาแรงบันดาลใจ Skyline Lounge มุมทำงานบนชั้นลอยเหนือสระว่ายน้ำ Outdoor Cinema พื้นที่ชมภาพยนตร์บนชั้นดาดฟ้า Rooftop Pantry พื้นที่เตรียมอาหารที่ดาดฟ้ารองรับทุกกิจกรรมและการสังสรรค์ Sky Fitness และ Infinity Edge Pool Concierge Service by The Reserve ที่อำนวยความสะดวกในการประสานงานธุระต่างๆ ให้กับลูกบ้าน เช่น บริการซักรีด, บริการรับส่งพัสดุ และบริการจองตั๋วต่างๆ ฯลฯ จากการเปิดให้ชมห้องตัวอย่างวันที่ 27 ส.ค. ที่ผ่านมา โครงการสามารถปิดการขายอย่างไม่เป็นทางการได้กว่า 50% โดยมีกำหนดการเปิดจอง Pre-Sales 16 – 17 ก.ย. นี้ ซึ่งเปิดขายห้อง Loft โซนสูง ในราคาเริ่มต้น 4.9 ล้านบาท พร้อมพบข้อเสนอพิเศษกว่า 200,000 บาท พบกันที่สำนักงานขาย เดอะรีเซิร์ฟ พหลฯ – ประดิพัทธ์ ใกล้ BTS สะพานควาย สอบถามเพิ่มเติมโทร.1739 หรือลงทะเบียนเพื่อรับส่วนลดพิเศษที่ thereservecondo.com/Phahol-Pradipat/
เซวาส พรอพเพอตี้ส์ อสังหาฯ น้องใหม่เลือดผสม เปิดตัวโครงการ “นิวาติ” คอนโดระดับ Super Luxury

เซวาส พรอพเพอตี้ส์ อสังหาฯ น้องใหม่เลือดผสม เปิดตัวโครงการ “นิวาติ” คอนโดระดับ Super Luxury

เปิดตัวโครงการ “นิวาติ”  คอนโดระดับ Super Luxury  ชูดีไซน์เด่น บนทำเลย่านทองหล่อ กับวัสดุสเปคระดับพรีเมียม ราคาเริ่มต้น 17 ล้านบาท รวมมูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท “เซวาส พรอพเพอตี้ส์” บริษัทอสังหาฯ รายใหม่ ร่วมทุนไทย-ฮ่องกง ประเดิมเปิดตัวคอนโดหรู โครงการแรกภายใต้แบรนด์ “นิวาติ” (NIVATI) คอนโด 7 ชั้น 52 ยูนิต มูลค่า 1,600 ล้านบาท ราคาเริ่มต้น 17 ล้านบาท วางเป้าเปิดตัวโครงการต่อเนื่อง ทั้งแนวสูง และแนวราบ โดยมุ่งพัฒนาสินค้าระดับ Luxury เป็นหลัก ชูจุดเด่น เน้นงานดีไซน์คลาสสิคแบบร่วมสมัย และสเปควัสดุคุณภาพสูง โฟกัสทำเล อโศก ถึง เอกมัย นายดักลาส เฉิง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซวาส พรอพเพอตี้ส์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท เซวาส พรอพเพอตี้ส์ จำกัด เป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นเพื่อพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับ Super Luxury โดยเป็นการร่วมทุนระหว่างไทยและฮ่องกง ในสัดส่วนการถือหุ้น 79:21 การพัฒนาโครงการในช่วง 5 ปีแรก จะเน้นพัฒนาโครงการบนทำเลอโศกถึงเอกมัย ครอบคลุมทั้งคอนโดมิเนียมและวิลล่า เจาะกลุ่มเป้าหมายระดับบนเป็นหลัก เบื้องต้นตั้งเป้าพัฒนาปีละ 2-3 โครงการขึ้นอยู่กับสภาพตลาด เฉลี่ยมูลค่าโครงการละประมาณ 1,500-3,000 ล้านบาท “อโศกและเอกมัยถือเป็นทำเลศักยภาพของกรุงเทพฯ แม้จะเป็นทำเลที่มีการแข่งขันค่อนข้างสูง แต่เรามีจุดแข็งคือ สามารถนำวัสดุชั้นเลิศและดีไซน์สุดหรูมาผสมผสานจนกลายออกมาสู่โลกของความเป็นจริงได้ เรายังมีผู้บริหารและทีมงานที่มีประสบการณ์ทั้งชาวไทยและชาวฮ่องกงที่เข้าใจสภาพตลาดและความต้องการของผู้บริโภคเป็นอย่างดี มีแนวทางการควบคุมคุณภาพโครงการที่เข้มงวด จึงมั่นใจว่าจะสามารถพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์ของผู้บริโภคได้ และในระยะ 10 ปี เรามีแผนจะขยายไปสู่ตลาดอาเซียนด้วย” นายดักลาส กล่าว สำหรับโครงการแรก ได้จัดตั้งบริษัทขึ้นมาอีกบริษัทภายใต้ชื่อ บริษัท 888 ทองหล่อ จำกัด เพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับ Super Luxury ภายใต้แบรนด์ “นิวาติ” เป็นโครงการคอนโดมิเนียมสูง 7 ชั้น 52 ยูนิต มูลค่ารวม 1,600 ล้านบาท บนทำเลทองหล่อซึ่งเป็นทำเลที่มีมูลค่าที่ดินสูงมากในกรุงเทพฯ นายวิวัฒน์ พิภักดิ์สมุทร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท 888 ทองหล่อ จำกัด โดย เซวาส พรอพเพอตี้ส์ ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับ Super Luxury ภายใต้แบรนด์ “นิวาติ” เผยว่า ด้วยประสบการณ์ในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างมานานกว่า 30 ปี จึงได้ร่วมกับนายดักลาสในการจัดตั้งบริษัทขึ้นมา โดยบริษัทได้วางกลุ่มเป้าหมายในการพัฒนาโครงการอย่างชัดเจน เพื่อเจาะกลุ่มผู้บริโภคระดับ A ทั้งในและต่างประเทศ บนทำเลอโศกถึงเอกมัย ซึ่งเป็นตลาดที่มี