Tag : News

2376 ผลลัพธ์
มีอะไรใน 98 Wireless ที่ขึ้นชื่อว่า คอนโดที่ดีที่สุดของประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

มีอะไรใน 98 Wireless ที่ขึ้นชื่อว่า คอนโดที่ดีที่สุดของประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

หลังจากเปิดตัวกันไม่นานกับโครงการสุดหรูอย่าง 98 Wireless ซุปเปอร์ลักซ์ชัวรี่คอนโด ระดับ A++ ที่มาจากความตั้งใจของแสนสิริเพื่อพัฒนาโครงการที่พักอาศัยคุณภาพสูงระดับสากล บนพื้นที่ทำเลทองถนนวิทยุติดกับสถานทูตสหรัฐอเมริกาที่ตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าเพลินจิต และแหล่งช้อปปิ้งไฮเอนท์ชั้นนำของเมืองไทย ที่มาพร้อมกับความเป็นเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร ไม่ว่าจะเป็นความงดงามทางด้านสถาปัตยกรรมภายนอกและภายในที่ได้ Anne Carson Interiors ดีไซน์เนอร์ชั้นนำจากนิวยอร์ค ที่มีชื่อด้านการตกแต่งให้กับร้าน Ralph Lauren มาเป็นผู้ออกแบบ พร้อมอุปกรณ์ตกแต่ง World-Class materials แบรนด์ดังจากทั่วทุกมุมโลก รวมทั้งรายละเอียดในการก่อสร้างอย่างพิถีพิถันอีกมากมายที่คัดสรรไว้เฉพาะคอนโดแห่งนี้เท่านั้น เรียกได้ว่า 98 Wireless นั้น เป็นหนึ่งในคอนโดโครงการที่ดีที่สุดของประเทศไทย และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลยก็ว่าได้ โครงการ 98 Wireless นี้ยังถือเป็นอีกหนึ่งปรากฏการณ์สำคัญครั้งแรกของประเทศไทยที่ได้พันธมิตรชั้นนำอย่าง Quintessentially Lifestyle (ควินเทสเซ็นเทียลลี่ ไลฟ์สไตล์) บริษัทที่มีชื่อเสียงระดับโลกที่ได้จัดงานสำคัญให้กับราชวงศ์อังกฤษมาประจำที่โครงการ เพื่อคอยอำนวยความสะดวกให้กับผู้พักอาศัย เช่น จองโต๊ะอาหาร จองตั๋วละครเวที จัดตารางท่องเที่ยว นอกจากนี้ภายในโครงการยังมีที่จอดรถแสนสะดวกสบายที่รองรับได้มากถึง 2.4 เท่าของจำนวนห้องชุดในโครงการ พร้อมทั้งแท่นชาร์จรถไฟฟ้าบริเวณลานจอดรถที่พร้อมให้บริการผู้พักอาศัยตลอด 24 ชม. หรือถ้าจะเรียกใช้รถรับ-ส่ง ทางโครงการก็มีรถลิมูซีนประจำโครงการซึ่งเป็นรถยนต์ Bentley รุ่น Flying Spur ไว้คอยอำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้านโดยเฉพาะ โครงการ 98 Wireless นี้เปรียบเสมือนงานศิลปะระดับมาสเตอร์พีซของแสนสิริเลยทีเดียว ที่ได้ร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำต่างๆ โดยได้คัดเลือกบริษัทก่อสร้างระดับแนวหน้าอย่างสี่พระยาก่อสร้าง และบริษัทในเครือสี่พระยา กรุ๊ป ผู้มีความชำนาญในการก่อสร้างระดับไฮเอนท์ ที่ได้รับรางวัลการันตีคุณภาพ IFAWPCA GOLD MEDAL For Building Construction และมีนวัตกรรมของบริษัทออกมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นผู้ร่วมสรรค์สร้างโครงการต่าง ๆ มากมายให้กับแสนสิริ จนได้รับรางวัล บริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างดีเด่นมาครอง กับการทำงานที่ละเอียดใส่ใจราวกับเป็นบ้านของตนเอง จุดเด่นที่ทางสี่พระยาก่อสร้างได้คัดสรรให้กับโครงการ 98  Wireless นั้นคือ การใช้เทคโนโลยีก่อสร้างด้วยระบบพรีคาสท์ (Precast Concrete) หรือคอนกรีตสำเร็จรูป ที่มีลวดลายบัวแบบ Baroque Style ในตัวแผ่นพร้อมทำสีลายหินที่คิดค้นมาเพื่อโครงการนี้แห่งเดียวเท่านั้น ซึ่งข้อดีของระบบพรีคาสท์นี้ จะทำให้ได้การก่อสร้างที่มีคุณภาพสม่ำเสมอมาตรฐานเดียวกัน อีกทั้งยังคงทนแข็งแรงไม่แตกร้าว และนอกจากนี้ก็ยังมีการใช้ผนังเบา ที่มาพร้อมกับระบบป้องกันเสียง มาตรฐาน STP 60 ในการก่อสร้าง เรียกได้ว่ากันเสียงรบกวนได้เป็นอย่างดีเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวกับผู้อาศัยจะได้หลีกหนีจากความวุ่นวายภายนอกและพักผ่อนอย่างเต็มที่ โครงการนี้ยังมีความพิเศษที่ประตูซึ่งเป็นประตูไม้ Mahogany Crotch ที่เป็นวัตถุดิบหายากและมีลักษณะโดดเด่นเฉพาะ โดยติดตั้งพร้อมวงกบเมื่อผนังเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทำให้คุณภาพของงานสมบรูณ์ขึ้นจัดทำโดยบริษัทสี่พระยาเฟอร์นิเจอร์ ซึ่งความพิถีพิถันเหล่านี้เป็นเพียงบางส่วนเท่านั้นที่บริษัทสี่พระยา กรุ๊ป ตั้งใจสร้างสรรค์ในการก่อสร้างและตกแต่งให้กับโครงการนี้โดยเฉพาะ สำหรับวัสดุและอุปกรณ์อื่นๆ ที่นำเข้ามาใช้ในโครงการ ก็ยังมีการคัดสรรมาเป็นพิเศษ เช่น ได้มีการนำเข้าหินอ่อนสตาทูริโอจากประเทศอิตาลี และหินไลม์สโตนจากประเทศโปรตุเกสมาใช้ในโครงการซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์ของโครงการเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีการประดับผนัง เพดานด้วยงานหล่อปูนและผลิตภัณฑ์แฮนด์เมดจาก Hyde Park Mouldings แบรนด์ดังจากสหรัฐอเมริกา  และนำเข้าเฟอร์นิเจอร์ในพื้นที่ส่วนกลางและห้องตัวอย่างมาจาก Ralph Lauren Home, ลูกบิดประตู กลอน Baldwin ทองเหลือง 100%, พื้นไม้โอ๊กสีขาว, ตู้แช่ไวน์ SubZero, เครื่องครัว Gaggenau, ตู้เก็บของ SieMatic, สุขภัณฑ์ Lefroy Brooks และ Kallista ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าในห้องห้องหนึ่งนั้น จะมีมูลค่ามหาศาลแค่ไหน วันนี้ โครงการ 98  Wireless มีมูลค่าล่าสุดอยู่ที่ 725,000 บาทต่อตารางเมตร ในขณะที่ราคาเริ่มต้นเมื่อ 5-6ปีที่แล้วอยู่ที่ 3.5 แสนบาท*เท่านั้น หากสิ่งนี้คือมรดกที่พร้อมส่งมอบแก่รุ่นต่อไปแล้ว ก็นับว่าเป็นมรดกที่เพียบพร้อมไปด้วยคุณค่าทางประวัติศาสตร์ คุณค่าทางความงามระดับสากล และไลฟ์ไตล์ที่ส่งเสริมให้ผู้อาศัย และบ้านหลังนี้เพียบพร้อมด้วยมูลค่าอันมีแต่จะเพิ่มพูนสืบไป *โดยนับราคาจากวันที่บริษัทได้นำโปรเจ็กต์นี้ไปยื่นเสนอต่อบอร์ดธนาคารเพื่อขอสินเชื่อก่อสร้างโครงการ
ชาญอิสสระ สร้างปรากฎการณ์โชว์ไลฟ์สด 12 โครงการ เจาะทุกมุมมอง โครงการเด่น ปิดแคมเปญครบรอบ 65 ปี

ชาญอิสสระ สร้างปรากฎการณ์โชว์ไลฟ์สด 12 โครงการ เจาะทุกมุมมอง โครงการเด่น ปิดแคมเปญครบรอบ 65 ปี

ชาญอิสสระ รุกกิจกรรมการตลาดออนไลน์ส่งท้ายแคมเปญครบรอบ 65 ปีชาญอิสสระ สร้างปรากฎการณ์โชว์ Facebook Live พร้อมกัน 12 โครงการ เจาะลึกทุกรายละเอียด มุมมอง ที่พักอาศัยระดับไฮเอนด์ ทั้งกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด พร้อมรับชมบรรยากาศจริงทุกโครงการ 28 กันยายน 2560 ตั้งแต่เที่ยงวันเป็นต้นไป มั่นใจดันยอดขายปิดแคมเปญได้ตามเป้า นายดิฐวัฒน์  อิสสระ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงความสำเร็จของการจัดแคมเปญฉลองครบรอบ 65 ปีชาญอิสสระ “Big Thanks” 65 ปีมีครั้งเดียว กับโครงการระดับพรีเมี่ยม โดยลูกค้าที่ซื้อโครงการต่างๆ ในเครือของ บมจ. ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม -31 ตุลาคม 2560  เมื่อนำยอดการซื้อสะสมมารวมกัน ณ สิ้นวันที่ 31 ตุลาคม 2560 ยอดสูงสุด (Top Spender) 65 ท่านแรก จะได้รับ แพคเกจที่พักสุดหรูโรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต  3 วัน 2 คืน มูลค่าร่วม 3 ล้านบาท และโปรโมชั่นของแต่ละโครงการในเครือของ บมจ. ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ อื่นๆ อีกมากมาย ว่าได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี ทั้งในส่วนของโครงการที่อยู่กทม. และโครงการที่อยู่ต่างจังหวัด เนื่องจากทุกโครงการมีความโดดเด่นด้านทำเลที่ตั้งที่มีศักยภาพ รวมถึงมีการออกแบบตกแต่งที่เป็นเอกลักษณ์และทันสมัย จึงตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในแง่คุณภาพแห่งการพักอาศัยเป็นอย่างดี “จากแคมเปญที่เปิดตัวไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมาได้รับกระแสการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี นอกจากโปรโมชั่นจากการสะสมยอดซื้อสูงสุดรวมกัน 65 ท่านแรก รับแพคเกจที่พักสุดหรูโรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต  3 วัน   2 คืน แล้วแต่ละโครงการยังมอบข้อเสนอพิเศษ  อาทิมอบส่วนลดสูงสุด 1 ล้านบาท, มอบส่วนลดค่าออกแบบตกแต่งภายในสูงสุด 1 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขของแต่ละโครงการ เพื่อเป็นการขอบคุณลูกค้าผู้มีอุปการะคุณอีกด้วย”  นายดิฐวัฒน์ กล่าว ทั้งนี้เพื่อเป็นการปิดแคมเปญ  “Big Thanks” 65 ปีมีครั้งเดียว ที่จะจบแคมเปญในช่วงปลายเดือนตุลาคม บริษัทจึงได้เตรียมจัดกิจกรรมการตลาดออนไลน์กระตุ้นยอดขาย ด้วยการสร้างปรากฎการณ์ Facebook Live พร้อมกัน 12 โครงการ เพื่อเป็นการเจาะลึกทุกรายละเอียด มุมมอง ของแต่ละโครงการ พร้อมตอกย้ำคุณภาพของโครงการทุกโครงการ อาทิ บรรยากาศโดยรอบของโครงการ การออกแบบ ขนาดพื้นที่ใช้สอย และสิ่งอำนวยความสะดวก  ให้กับลูกค้าที่สนใจโครงการต่างๆ ของบริษัท ได้ชมภาพบรรยากาศจริงของโครงการแบบละเอียด ประกอบด้วยโครงการ อิสสระ เรสซิเดนส์ พระราม9, โครงการบ้านอิสสระ บางนา, โครงการดิ อิสสระ ลาดพร้าว, โครงการอิสสระ   คอลเลคชัน สาทร, โครงการอิซซี่ คอนโด สุขสวัสดิ์, โครงการทิวทะเลเอสเตท ชะอำ-หัวหิน, โครงการบาบา บีช คลับ เรสซิเดนซ์ หัวหิน, โครงการอิสสระวิลเลจ,โครงการบ้านสีตวัน ปากช่อง และโครงการดิ อิสสระ เชียงใหม่ โดยจะเริ่มทำการ Live พร้อมกันในวันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายนนี้ ตั้งแต่เวลา 12.00 น.เป็นต้นไป
แสนสิริตอกย้ำผู้นำบ้านเดี่ยวไฮเอนด์ โชว์ผลงานแบรนด์นาราสิริใกล้ Sold Out 2 โครงการ “นาราสิริ บางนา” – “นาราสิริ โทเพียรี่” ยอดขายกว่า 90%

แสนสิริตอกย้ำผู้นำบ้านเดี่ยวไฮเอนด์ โชว์ผลงานแบรนด์นาราสิริใกล้ Sold Out 2 โครงการ “นาราสิริ บางนา” – “นาราสิริ โทเพียรี่” ยอดขายกว่า 90%

แสนสิริตอกย้ำความเป็นผู้นำแบรนด์บ้านเดี่ยวไฮเอนด์ โชว์ผลงานบ้านเดี่ยวแบรนด์นาราสิริใกล้ปิดการขาย 2 โครงการ “นาราสิริ บางนา” ยอดขายถึง 95% “นาราสิริ โทเพียรี่” ยอดขายกว่า 90% และนาราสิริ ปิ่นเกล้า-สาย 1 ยอดขายถึง 60% มั่นใจยอดขายแนวราบปีนี้เป็นไปตามเป้า 15,000 ล้านบาทแน่นอน เผยดีมานด์บ้านเดี่ยวไฮเอนด์ยังแรง อนาคตแนวโน้มยังสดใส วางแผนบุกตลาดต่อเนื่อง พร้อมเตรียมเปิดแบรนด์นาราสิริต่อในปี 2561   นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แสนสิริเป็นผู้นำในการพัฒนาบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์มาอย่างยาวนาน โดยเฉพาะแบรนด์บ้านเดี่ยว “นาราสิริ” นับเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาที่อยู่อาศัยประเภทโครงการแนวราบของแสนสิริ โดยแสนสิริมุ่งมั่นพัฒนาให้ตอบรับการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Luxury in Details งดงามในรายละเอียด” ทำให้ได้รับการตอบรับที่ดีมาโดยตลอด โดยล่าสุดใกล้ปิดการขาย 2 โครงการ คือ “นาราสิริ บางนา” ยอดขายถึง 95% หรือเหลือขายเพียง 5 ยูนิตเท่านั้น จากจำนวนทั้งหมด 101 ยูนิต และ “นาราสิริ โทเพียรี่” ยอดขายกว่า 90% หรือเหลือขายเพียง 11 ยูนิตจากจำนวนทั้งหมด 57 ยูนิต รวมทั้งอีก 2 โครงการก็ได้รับการขายที่ดีเช่นกัน โดย “นาราสิริ ปิ่นเกล้า-สาย 1” มียอดขายแล้วถึง 60% จากจำนวนจำนวนทั้งหมด 57 ยูนิต และ “นาราสิริ พระราม 2” ก็มีลูกค้าเข้าชมโครงการต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมียอดขายแล้ว 40% จำนวนทั้งหมด 57 ยูนิต ซึ่งจากการที่บ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ได้รับการตอบรับที่ดีเช่นนี้ จึงทำให้มั่นใจว่าปีนี้ยอดขายโครงการแนวราบจะเป็นไปตามเป้าที่ 15,000 ล้านบาทแน่นอน “ความต้องการบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะระดับราคา 20 – 30 ล้านบาท ที่มีความต้องการจริงจากผู้ซื้อที่มีกำลังซื้อที่อยู่อาศัย และไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ จึงทำให้แบรนด์นาราสิริซึ่งเป็นแบบบ้านดีไซน์เด่น ที่เกิดจากความมุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพการอยู่อาศัยอย่างใส่ใจรายละเอียด เพื่อเติมเต็มการใช้ชีวิต (Complete Your Living Experience) ประสบความสำเร็จ ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ดังนั้นแสนสิริจึงวางแผนที่จะเปิดตัวแบรนด์นาราสิริอย่างต่อเนื่องในปี 2561 สำหรับแนวโน้มตลาดบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี เนื่องจากมีอัตราดูดซับดีเพราะเป็นที่ต้องการของผู้บริโภครายได้สูง รวมทั้งคู่แข่งขันก็ยังมีน้อยราย จึงทำให้ตลาดนี้ยังเติบโตต่อไปได้อีกในอนาคต” นายอุทัย กล่าว สำหรับแบรนด์บ้านเดี่ยว “นาราสิริ” แสนสิริ ได้เริ่มต้นพัฒนาขึ้นในปี 2542 โดยการตัดสินใจขยายขอบเขตการประกอบธุรกิจครั้งยิ่งใหญ่ จากเดิมที่เป็นการพัฒนาอาคารสูงในเขตใจกลางเมือง ในฐานะผู้ประกอบการอันดับหนึ่งในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระดับพรีเมี่ยมมาตลอด สู่การพัฒนาที่ดินแนวราบประเภทโครงการบ้านเดี่ยว โดยโครงการแรกคือ “นาราสิริ วัชรพล” จำนวน 157 ยูนิต ซึ่งประสบความสำเร็จตามเป้าหมายเป็นอย่างดี จึงมีการขยายโครงการบ้านเดี่ยวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และทำให้ปัจจุบันแสนสิริมีแบรนด์บ้านเดี่ยวทั้งหมด 5 แบรนด์ ประกอบด้วย “นาราสิริ-เศรษฐสิริ-บุราสิริ-สราญสิริ-คณาสิริ”  โดยบ้านแต่ละแบรนด์สร้างความรู้สึกที่แตกต่างได้อย่างมีเอกลักษณ์และไม่สามารถหาได้จากที่อื่น ทั้งความรู้สึก “Luxury in Details งดงามในรายละเอียด” ของแบรนด์นาราสิริ “Portrait of Success ภาพของชีวิตที่ภาคภูมิ” ของแบรนด์เศรษฐสิริ “Find Your Peace of Mind บ้านเพื่อการพักผ่อนอย่างแท้จริง” ของแบรนด์บุราสิริ “Built for Love ความสุขเริ่มต้นจากความรัก” ของแบรนด์สราญสิริ และ “Plenty of Happiness ความสุขคณานับ” ของแบรนด์คณาสิริ  เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มได้อย่างครอบคลุม
“พร็อพทูมอร์โรว์” เปิดเวทีเสวนาอสังหาฯ กูรูชี้อีก 5 ปีแลนด์มาร์คกทม. พลิกโฉม

“พร็อพทูมอร์โรว์” เปิดเวทีเสวนาอสังหาฯ กูรูชี้อีก 5 ปีแลนด์มาร์คกทม. พลิกโฉม

กูรูอสังหาฯชี้อีก 5 ปี ย่านลุมพินีแลนด์มาร์คแห่งใหม่ กทม. หลัง 3โครงการยักษ์หลัก วัน แบงค็อก (one bangkok)  104 ไร่, โครงการพัฒนาที่ดินของกลุ่มดุสิตธานี 23 ไร่ และหลังสวนวิลเลจ เนื้อที่ 52 ไร่สร้างเสร็จ  เตือนนักพัฒนาที่จับกลุ่มลูกค้าจีน ซื้อแล้วโอนไม่ได้ กลายเป็นสต๊อกที่ต้องนำกลับมาระบาย ในขณะที่กระทรวงมหาดไทยเตรียมร่าง ผังเมืองมหานคร เป็นแผนชี้นำพัฒนา บริษัท ทูมอร์โรว์กรุ๊ป จำกัด เจ้าของเว็บไซต์ prop2morrow.com จัดเสวนาเรื่อง "Bangkok’s New Landmark" แนวโน้มกรุงเทพเมืองใหม่จากแลนด์มาร์คใหม่” โดยมีวิทยากรทั้งจากภาครัฐและเอกชน โดยนางสาวก่องกนก เมนะรุจิ นักวิเคราะห์นโยบายแผนและชำนาญการพิเศษหัวหน้ากลุ่มยุทธศาสตร์และแผนการขนส่งทางรางสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร หรือ สนข. กล่าวว่า คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (M-MAP 1) ที่ให้มีการสร้างรถไฟฟ้า 12 สายให้เสร็จภายในปี 2572 โดยเร่งรัดให้เร่งดำเนินการใน 10 สายหลัก ระยะทาง 464 กิโลเมตร 312 สถานี ครอบคลุมพื้นที่ 680 ตารางกิโลเมตร รองรับประชาชน 5.13 ล้านคน ประกอบด้วยโครงขายหลัก 8 เส้นทาง โครงข่ายรอง 2 เส้นทาง ขณะนี้ได้เปิดดำเนินการไปแล้ว 5 โครงการระยะทาง 110.5 กิโลเมตร (23.81%) อยู่ระหว่างการก่อสร้าง 6 โครงการ ระยะทาง 120.4 กิโลเมตร(25.94%) โครงการประกวดราคาเสร็จสิ้น เตรียมการก่อสร้างในปีนี้ 6 โครงการ ระยะทาง 64.9 กิโลเมตร (19.98%) (โดย ครม.เห็นชอบการคัดเลือกเอกชนไปแล้วเมื่อ 30 พ.ค.)  โครงการที่อยู่ระหว่างเสนอคณะรัฐมนตรีอนุมัติในปีนี้อีก 7 โครงการ รวมระยะทาง 97.6 กิโลเมตร (21.03%) ประกอบด้วย สายสีแดงเข้มช่วงรังสิต-มธ.รังสิต ระยะทาง 10 กิโลเมตร, สายสีแดงอ่อน ช่วงตลิ่งชัน-ศาลายา ระยะทาง 14 กิโลเมตร, สายสีน้ำเงิน ช่วงบางแค-พุทธมณฑลสาย 4 ระยะทาง 8 กิโลเมตร, สายสีเขียวเข้ม ช่วงคูคต-ลำลูกกา ระยะทาง 6.8 กิโลเมตร, สายใหม่ ARL ระยะที่ 1 พญาไท-บางซื่อ ระยะที่ 2 บางซื่อ-ดอนเมือง รวมระยะทาง 21.8 กิโลเมตร, สายสีส้ม ช่วงศูนย์วัฒนธรรมฯ-บางขุนนนท์ ระยะทาง 13.4 กิโลเมตร,สายสีม่วง ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ ระยะทาง 23.6 กิโลเมตร และยังไม่ได้ดำเนินการอีก (9.75%) โดยในปี 2562 จะเปิดให้บริการระยะทาง 140.2 กิโลเมตร ปี 2564 เปิดให้บริการ 326.4 กิโลเมตร ปี 2572 เปิดให้บริการระยะทาง 418.9 กิโลเมตร นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ สนข. ไปศึกษาและพิจารณาบรรจุโครงการระบบขนส่งมวลชนระบบรองของกรุงเทพมหานครใน M-Map 2 จำนวน 3 โครงการ คือ สายสีเทา ช่วงวัชรพล-สะพานพระราม 9 ระยะทาง 26 กิโลเมตร, สายบางนา-สุวรรณภูมิ เป็นระบบขนส่งมวลชนเบา  และสายสีทอง จากสถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรี-เขตคลองสาน-ถนนประชาธิปก ระยะทาง 2.7 กิโลเมตร จากการประกาศใช้ผังเมืองใหม่ในปี 2561 รองรับการพัฒนาระบบขนส่งมวลชน สนับสนุนพื้นที่รัศมี 500 เมตร รอบสถานีรถไฟฟ้า 400 สถานี เป็นที่อยู่อาศัยหนาแน่น โดยมีการนำหลักการของ TOD ซึ่งก็คือกระบวนการจัดการพื้นที่เมืองให้เกิดความกระชับ ส่งเสริมการใช้ประโยชน์ที่ดินแบบผสมผสานในระยะที่เดินด้วยเท้าได้จากที่อยู่อาศัยไปยังระบบขนส่งมวลชน แหล่งงาน แหล่งจับจ่ายสินค้าและกิจกกรมอื่นๆโดยไม่ต้องใช้รถยนต์ โดยมีการให้โบนัสกับนักลงทุนที่พัฒนาโครงการได้อย่างเหมาะสม TOD เช่น หากมีพื้นที่สีเขียวจะเพิ่มการพัฒนาได้อีก 1 เท่าตัว นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยได้รับมอบหมายให้ร่างผังเมืองมหานคร ซึ่งเป็นการรวมผังกทม.กับจังหวัดใกล้เคียงเข้าด้วยกัน เพื่อใช้เป็นผังเมืองชี้นำในการพัฒนาเมืองให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน และไม่เกิดความเหลื่อมล้ำในการพัฒนา มีการกำหนด FAR ที่ไม่เท่ากันอย่างเช่นปัจจุบัน จีนยังซื้อคอนโดฯหนุนตลาดเติบโตต่อเนื่องอีก 10 ปี  นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ด้วยหลายปัจจัยทำให้ดีมานด์และซัพพลายไม่ตรงกัน ทำให้บางโครงการเปิดออกมาขายได้ บางโครงการขายไม่ดี ในขณะที่นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเที่ยวเมืองไทย กลายเป็นนักลงทุนรายย่อยที่ซื้อคอนโดมิเนียม โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องไปอีก 10 ปี  เป็นกลุ่มที่ซื้อคอนโดฯ  ซึ่งขณะนี้รัฐบาลจีนมีการกำหนดวงเงินในการนำออกนอกประเทศ ดังนั้นจึงอาจเกิดปัญหาการโอนไม่ได้ ซึ่งจะทำให้ต้องนำกลับมาขายใหม่ กลายเป็นสต๊อกเพิ่มเข้ามาในตลาด โดยแนวโน้มอสังหาฯ ในอีก 5 ปีข้างหน้าจะชะลอตัวในแง่ของจำนวนยูนิต และโครงการเปิดใหม่ แต่การพัฒนาจะมีคุณภาพมากขึ้น  โดยผู้บริโภคจะมีความต้องการพื้นที่ที่เป็นสาธารณะมากขึ้น เช่นพื้นที่สีเขียว ถ้าผู้ประกอบการไม่ปรับตัวจะขายไม่ได้ นอกจากนี้ ในอีก 5 ปีข้างหน้าจะเกิดแลนด์มาร์คแห่งใหม่ ซึ่งเกิดจากเชื่อมต่อการพัฒนาของ 3 โครงการหลัก วัน แบงค็อก (one bangkok) พื้นที่ 104 ไร่, โครงการพัฒนาที่ดินบริเวณโรงแรมดุสิต 23 ไร่ และโครงการหลังสวนวิลเลจ เนื้อที่ 52 ไร่ อย่างไรก็ตาม พื้นที่ของทั้ง 3 โครงการเป็นพื้นที่เช่า เมื่อนำออกขายจึงไม่สามารถขายขาดได้ ต้องขายแบบเช่าเซ้งระยะยาว ซึ่งคงต้องดูราคาขายระหว่างเช่าเซ้งและขายขาดว่าต่างกันมากน้อยแค่ไหน การขยายตัวของกรุงเทพ มองไปที่พัทยา โดยโฟกัสไปที่บางเสร่  ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เดินทางสะดวก มีศักยภาพในการพัฒนาเพื่อรองรับ AEC  อีกทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ ก่อให้เกิดธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องทั้งร้านอาหาร โรงแรม ที่พักอาศัย ดังนั้นการพัฒนาโครงการใหม่ประเภทมิกซ์ยูส จึงเกิดขึ้นบนที่ดินแปลงใหญ่เพื่อสนองความต้องการของตลาด แนะปรับ FAR ใช้ประโยชน์ที่ดินเต็มที่ ขณะที่นายอิสระ บุญยัง นายกกิตติมศักดิ์สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวว่า รูปแบบโครงการะบบรางเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ กทม.เติบโตได้อีกมาก และการขยายระบบรางไปยังภูมิภาคทำให้เมืองตามเส้นทางเติบโต จะทำให้เกิดเมืองศูนย์กลางกระจายไปยังภูมิภาค อย่างเช่น ท่าเรือแหลมฉบังที่จะเข้ามามีบทบาทแทนท่าเรือคลองเตย อีกทั้งการขยายสนามบินอู่ตะเภา เพื่อรองรับและสนับสนุนแผนการเกิดระเบียงเศรษฐกิจตะวันออก (EEC)  จะทำให้เกิดเมืองศูนย์กลางแทนภูมิภาค การขยายเส้นทางรถไฟฟ้าจะทำให้การพัฒนาออกไปยังนอกเมืองมากขึ้น แต่จำนวนที่ดินที่นำมาพัฒนาจำนวนเท่าเดิม หาก อัตราส่วนพื้นที่อาคารต่อพื้นที่ดิน หรือ Floor Area Ratio : FAR ไม่เปลี่ยน ที่ดินที่จะนำมาพัฒนาใหม่ก็จะน้อยลง แม้ว่าจะพัฒนาไกลออกไปเพื่อให้สามารถพัฒนาที่อยู่อาศัยได้ในราคาถูกลง แต่พื้นที่รอบนอก FAR กลับต่ำลงตามจึงไม่ได้ช่วยให้ราคาลดลงได้ สำหรับภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ คาดว่าจะเติบโตได้ 5-10 % อย่างไรก็ตาม ยอดโอนกรรมสิทธิ์สินเชื่อปีมกราคม - กรกฎาคม 60 โดยรวมลดลง 25 % แนวราบลดลง17% แนวสูง 33 % ซึ่งจากการสำรวจโดยความต้องการที่อยู่อาศัยของประชาชนพบว่า 73 %มีความต้องการในระดับราคา 1-4 ล้านบาท  ในขณะที่บ้านระดับ ไฮเอนด์ความต้องการอยู่ที่ 3 พันกว่าหน่วยต่อปี ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ขณะนี้หันลงมาเล่นตลาดระดับราคา 5 ล้านลงไป ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ อสังหาฯ ยังน่าลงทุน ด้านนายอนุชา กุลวิสุทธิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า การลงทุนในคอนโดมิเนียมใน 2-3 ปีทีผ่านมาอัตราผลตอบแทนมีแนวโน้มลดลงจาก 6-8% เหลือเพียง 4-6% และจากฐานข้อมูลดัชนีราคาที่อยู่อาศัยจากฐานข้อมูลสินเชื่อธนาคาร พบว่าตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา-เดือนกรกฎาคม 2560 บ้านเดี่ยวและทาวน์- โฮมเริ่มกลับมาดีขึ้นหลังจากที่แย่ลงตั้งแต่ปี 2558-2559 โดยมีอัตราการขยายตัว 3.9 % ในขณะคอนโดมิเนียมเริ่มติดลบ 2.9 % ทั้งที่ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมามีการเติบโตที่ดีมาตลอด ปีหน้าคาดว่าตลาดอสังหาฯ จะมีการเติบโตที่ดี โดยดูจาก Set index ที่ดีขึ้น ซึ่งโดยปกติเมื่อตลาดหุ้นดี นักเล่นหุ้นได้กำไรก็จะนำเงินมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ การเลือกลงทุนในคอนโดมิเนียมสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงคือ คอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่ในเส้นทางรถไฟฟ้าสายที่ยังไม่สร้าง มีการเปิดขายในราคาเสมือนมีรถไฟฟ้าวิ่งแล้ว ดังนั้นควรเลือกซื้อโครงการที่อยู่ในแนวรถไฟฟ้าที่เสร็จแล้ว, เลือกโครงการที่อยู่ติดสถานีหรือห่างออกไปไม่เกิน 400 เมตร, เน้นสถานีที่เป็นจุดตัดหรือมีสกายวอล์ค, ที่จอดรถ, ระยะเดินเท้าจากที่พักไปยังสถานีรถไฟฟ้าและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆไม่ควรเกิน15นาที, และที่จอดรถในโครงการ ซึ่งปกติจะอยู่ที่ 30-60 %ของจำนวนห้องพัก, เลือกคอนโดฯที่อยู่ในโซนสีแดงราคาจะไม่ตก และเลือกซื้อคอนโดที่เพิ่งสร้างเสร็จ เพราะขายได้ทันทีในราคาที่ดี  
เอสซี แอสเสทฯ รุกบ้านเดี่ยวแบรนด์ “PAVE” ต่อเนื่อง เปิดซีรี่ส์ใหม่ โครงการเพฟ รามอินทรา-วงแหวน สไตล์ Modern Resort ราคาเริ่มต้น 4.39 ล้านบาท

เอสซี แอสเสทฯ รุกบ้านเดี่ยวแบรนด์ “PAVE” ต่อเนื่อง เปิดซีรี่ส์ใหม่ โครงการเพฟ รามอินทรา-วงแหวน สไตล์ Modern Resort ราคาเริ่มต้น 4.39 ล้านบาท

บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ขอแนะนำโครงการบ้านเดี่ยวซีรี่ส์ใหม่ โครงการ เพฟ รามอินทรา-วงแหวน (PAVE Ramintra-Wongwaen) บนพื้นที่กว่า 78 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท โครงการล่าสุดที่รุกเข้าสู่ตลาดบ้านเดี่ยวระดับ 3-5 ล้านบาท นอกจากโครงการเพฟ รังสิต ทำเลติดถนนใหญ่ถนนรังสิต–นครนายก คลอง 4 และโครงการเพฟ ประชาอุทิศ 90 บนทำเลใกล้ทางด่วนเฉลิมมหานคร และวงแหวนอุตสาหกรรม ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เป็นไปตามนโยบายการพัฒนาโครงการคุณภาพทุกระดับราคา โครงการเพฟ รามอินทรา-วงแหวน ตั้งบนทำเลศักยภาพเชื่อมต่อทุกเส้นทางเพียง 2 นาที ถึงทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ใกล้ทางด่วน และรถไฟฟ้า เป็นบ้านเดี่ยวซี่รี่ส์ในสไตล์ Modern Resort จำนวน 308 ยูนิต ขนาดพื้นที่ใช้สอย 168-217 ตรม. เริ่มต้น 4.39 ล้านบาท ด้วยแนวคิด “คิดพื้นที่ ให้คุณคิดใช้ชีวิต”ออกแบบมาให้เป็นบ้านที่มีฟังก์ชั่นครบ เปิดกว้างให้คุณมีอิสระเต็มที่ ที่จะ “คิด” ใช้ชีวิตในแบบที่เป็นคุณ โดยเชื่อมต่อทุกมิติในการใช้ชีวิตแบบ Live Link Layer ในทำเลที่เชื่อมต่อทุกเส้นทาง ใกล้ทางด่วน และรถไฟฟ้า กับการออกแบบที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ สามารถรองรับได้ทุกกิจกรรม อาทิ ว่ายน้ำ ปีนผาจำลอง  ฟิตเนส รวมไปถึง Co-Working Space พร้อม WiFi และสวนส่วนกลางขนาดใหญ่กว่า 3 ไร่ รองรับกิจกรรม Outdoor มากมาย ด้วยแบบบ้าน 3 แบบ และทุกแบบมาพร้อม 2 ที่จอดรถ ได้แก่ Infinity พื้นที่ใช้สอย 217 ตร.ม. 5 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 3 ส่วนพักผ่อน Circle พื้นที่ใช้สอย 178 ตร.ม. 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ส่วนพักผ่อน Linear พื้นที่ใช้สอย 168 ตร.ม. 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ส่วนพักผ่อน นอกจากนี้ สิ่งสำคัญ คือ ระบบรักษาความปลอดภัยตามมาตรฐาน SC ASSET ที่มี Security Gate ควบคุมการเข้า-ออกด้วยระบบ Easy Pass พร้อมรปภ. ตลอด 24 ชม. และกล้อง CCTV ทั่วทั้งโครงการ สัญญาณกันขโมยในตัวบ้านระบบ Magnetic สนใจเยี่ยมชมโครงการสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สำนักงานขายโครงการโทร.1749 หรือ www.scasset.com
เปิดแล้ว กูร์เมต์ มาร์เก็ต (MRT ลาดพร้าว) ซูเปอร์มาร์เก็ตในรถไฟฟ้าใต้ดินแห่งแรกในประเทศ

เปิดแล้ว กูร์เมต์ มาร์เก็ต (MRT ลาดพร้าว) ซูเปอร์มาร์เก็ตในรถไฟฟ้าใต้ดินแห่งแรกในประเทศ

เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้วค่ะ สำหรับแหล่งช็อปปิ้งของคนเมืองอย่าง กูร์เมต์ มาร์เก็ต (gourmet market) ของเครือเดอะมอลล์ล่าสุดขยับขยายพื้นที่มาเปิดที่รถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีลาดพร้าว ซึ่งเป็นครั้งแรกของการยกซูเปอร์มาร์เก็ตมาไว้ในรถไฟฟ้าใต้ดินขนาด 2,300 ตารางเมตร ที่ง่ายต่อการเดินทางมากๆ ค่ะเพราะตั้งอยู่ในสถานี (ทางออก 4 ) กันเลย ทั้งยังจัดเต็มร้านค้า ร้านอาหารชั้นนำมากมาย เขาไม่ได้มีแค่ซุปเปอร์มาร์เก็ตนะเธอจ๋าาาาา สำหรับสาขากูร์เมต์ มาร์เก็ต (MRT ลาดพร้าว) นี้จะมีแตกต่างจากกูร์เมต์ทั่วไป คือ มีการเพิ่มกลุ่มสินค้าพร้อมทาน (Delicatessen) ที่ครบครัน ทั้งอาหารไทย ญี่ปุ่น เวียดนาม แซนวิช และเอกลักษณ์หนึ่งเดียวของกูร์เมต์ มาร์เก็ต คือ ซุปและสลัดบาร์ โดยให้บริการทั้งในรูปแบบ take away และ Dine-In มีการเพิ่มพื้นที่เคาน์เตอร์บาร์ และ common seats ให้ลูกค้าสามารถสั่งอาหารรับประทานได้ทันที นอกจากนี้ยังมีร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านค้า Take Home และร้านของฝากของที่ระลึกแบรนด์ดังมากมายกว่า 20 ร้าน จุดเด่นเพื่อสร้างความและตอบสนองกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า คือ มีการเพิ่มกลุ่มสินค้าพร้อมทาน (Delicatessen) ที่ครบครัน ทั้งอาหารไทย ญี่ปุ่น เวียดนาม แซนวิช และเอกลักษณ์หนึ่งเดียวของกูร์เมต์ มาร์เก็ต คือ ซุปและสลัดบาร์ โดยให้บริการทั้งในรูปแบบ take away และ Dine-In มีการเพิ่มพื้นที่เคาน์เตอร์บาร์ และ common seats ให้ลูกค้าสามารถสั่งอาหารรับประทานได้ทันที นอกจากนี้ยังมีร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านค้า Take Home และร้านของฝากของที่ระลึกแบรนด์ดังมากมายกว่า 20 ร้าน ในส่วนของโซนสินค้าอุปโภค และบริโภคต่างๆ ก็ยังจัดเต็มเหมือนดั่งซูเปอรืมาร์เก็ตในห้างทั่วไปเลยนะคะ เพราะมีทั้งของสด อาทิ เนื้อสัตว์ ปลา อาหารทะเล ผักสด และผลไม้ให้ได้เลือกซื้อกันสดๆ ทั้งนั้นเลย แต่ความน่าสนใจสำหรับเราคือมีโซนที่ลุกค้าสามารถครีเอทเมนูอาหารที่อยากทานได้ ด้วยการช็อปอาหารสดต่างๆ นำไปให้เชฟปรุงให้ตามใจชอบ หรือจะเลือกเมนูอร่อยที่มีแนะนำอยู่ก็ได้ค่ะ เห็นแบบนี้แล้วอยากพุ่งตัวไปช็อปปิ้งกันเลยใช่ไหมละคะ สำหรับ กูร์เมต์ มาร์เก็ต (gourmet market) MRT สถานีลาดพร้าว ทางออกที่ 4 นี้จะเปิดบริการทุกวันตั้งแต่เวลา 07:00 - 10:00 น. ใครที่บ้านหรือที่ทำงานอยู่ระแวกนั้น ก็คงสะดวกสบายไม่ใช่น้อยเลยนะคะ ซึ่งทีมงานขอแอบกระซิบทิ้งท้ายอีกสักหน่อยว่าช่วงเปิดตัวแรกๆ ทางซูเปอร์มาร์เก็ตมีโปรโมชั่นเพียบเลยล่ะ อ้าว รอช้าอยู่ทำไมล่ะคะ ไปช็อปปิ้งกันดีกว่าค่าาาาาา  
แสนสิริ ปฏิวัติไลฟ์สไตล์ลูกบ้านยุคใหม่ เปิดตัว ‘Smart Move’ แพลตฟอร์มบริการรถยนต์ไฟฟ้าระบบเช่าประจำโครงการครั้งแรกของไทย

แสนสิริ ปฏิวัติไลฟ์สไตล์ลูกบ้านยุคใหม่ เปิดตัว ‘Smart Move’ แพลตฟอร์มบริการรถยนต์ไฟฟ้าระบบเช่าประจำโครงการครั้งแรกของไทย

บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดตัว “Smart Move (สมาร์ทมูฟ)” แพลตฟอร์มบริการยานพาหนะระบบเช่าในโครงการของแสนสิริเพื่ออำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตให้กับคนรุ่นใหม่ นำร่องด้วยบริการรถยนต์ไฟฟ้าระบบเช่า (EV-Car Sharing) ให้กับลูกบ้านในโครงการที่พักอาศัยครั้งแรกของประเทศไทย โดยจับมือ SHARGE (ชาร์จ)  บริษัทผู้ให้บริการเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำและ Haupcar (ฮอปคาร์) ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มและให้บริการคาร์แชร์ริ่งเจ้าแรกของไทยเข้ามาเป็นพันธมิตรในการบริหารระบบจัดการการจองและปล่อยเช่ารถในรูปแบบเอ็กซ์คลูซีฟเฉพาะสำหรับลูกบ้านในโครงการ เปิดตัวให้บริการครั้งแรกที่โครงการ เดอะไลน์ จตุจักร-หมอชิต ด้วยรถยนต์ BMW i3  พร้อมเตรียมให้บริการในอีก 4 โครงการที่อยู่อาศัย ตลอดจนขยายผลไปยังยานพาหนะรูปแบบอื่นๆในปลายปีนี้ โดยจะอยู่ภายใต้แพลตฟอร์มใหญ่ คือ “Smart Move” ดร. ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยีและวิเคราะห์ข้อมูล บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เผยว่า “แสนสิริมุ่งมั่นที่จะเติมเต็มการใช้ชีวิตในทุก ๆ ด้านให้ลูกบ้านมีประสบการณ์การอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบตามแนวคิด Complete your living experience ซึ่งการให้บริการรถยนต์ไฟฟ้าระบบเช่าภายใต้แพลตฟอร์ม Smart Move ในครั้งนี้นับเป็นการให้บริการรถยนต์ไฟฟ้าครั้งแรกในโครงการที่อยู่อาศัยของเมืองไทย ซึ่งเรามั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับอย่างดี เพราะสามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การเดินทางของคนรุ่นใหม่ที่อาศัยอยู่ในโครงการคอนโดมิเนียมใกล้รถไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี เพราะคนกลุ่มนี้ไม่นิยมซื้อรถยนต์เป็นของตัวเองแต่ใช้ระบบขนส่งมวลชนที่ปัจจุบันมีโครงข่ายที่ครอบคลุมและสะดวกสบาย โดยการมีรถยนต์ไฟฟ้าระบบเช่าให้บริการที่โครงการที่อยู่อาศัยจะช่วยเติมเต็มความต้องการในการเดินทางของลูกค้าในบางวัตถุประสงค์ได้ครอบคลุมมากขึ้น เพราะจากการวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้าในเชิงลึกพบว่า การโดยสารด้วยรถยนต์หรือจักรยานยังมีความจำเป็นกับกลุ่มคนเหล่านี้ในบางโอกาส อาทิ การไปซูเปอร์มาร์เก็ตหรือร้านอาหาร ที่แม้จะใกล้ ๆ แต่ก็ไม่สะดวกหิ้วของจำนวนมากขึ้นรถสาธารณะ หรือการไปในพื้นที่ที่ไกลจากขนส่งสาธารณะ” นอกจากนั้น ในปัจจุบันเทรนด์รักษ์โลกด้วยการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้ากำลังเป็นกระแสที่คนรุ่นใหม่นิยม  โดยแสนสิริได้เกาะติดเทรนด์นี้ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา โดยได้นำอุปกรณ์ชาร์ไฟฟ้ามาติดตั้งให้บริการในโครงการคอนโดมิเนียมของแสนสิริ  “สำหรับการให้บริการ Smart Move รถยนต์ไฟฟ้าระบบเช่าของแสนสิริจะนำร่องที่โครงการ เดอะไลน์ จตุจักร-หมอชิต โดยเราเลือกรถยนต์ BMWi3 เป็นรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบ (Fully Electric) รุ่นแรกจาก BMW จำนวน 2 คัน มาให้บริการเช่าในโครงการ และเพื่อให้การบริหารจัดการระบบเช่ารถยนต์ส่วนกลางเป็นไปอย่างราบรื่นที่สุดเราจึงได้จับมือกับพันธมิตรที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยเฉพาะคือ Haupcar ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มและให้บริการคาร์แชร์ริ่งแรกของไทยที่มีประสบการณ์การให้บริการเช่ารถผ่านแอปพลิเคชั่นบนมือถือตลอด 24 ชม. มาเป็นเวลากว่า 2 ปี และ SHARGE ผู้ให้บริการเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าและมีประสบการณ์ด้านการขายและซ่อมบำรุงรถยนต์ไฟฟ้ามาเป็นผู้บริหารหลัก” นายทวิชา กล่าวต่อ นาย พีระภัทร ศิริจันทโรภาส ผู้อำนวยการของ SHARGE กล่าวเสริมว่า “SHARGE ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนสำคัญในการให้บริการรถยนต์ไฟฟ้าระบบเช่าภายใต้แพลตฟอร์ม Smart Move ของแสนสิริ โดยบริษัทเราจะเป็นผู้บริหารหลักของบริการนี้ ซึ่งปัจจุบันการให้บริการรถยนต์ระบบเช่าแบบเดิมไม่เพียงพอต่อความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่ต้องการความสะดวกสบายผสานกับการไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม แพลตฟอร์ม Smart Move จึงตอบโจทย์สิ่งที่ผู้บริโภคในปัจจุบันต้องการได้อย่างตรงจุด ทั้งนี้ ในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมา การเติบโตของตลาดรถไฟฟ้านั้นเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและมีโอกาสจะเติบโตเพิ่มขึ้นถึง 50% ต่อปี และบริษัทยานยนต์ชั้นนำทั่วโลกก็หันมาพัฒนาและจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้ากันมากขึ้น สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคในยุคนี้ที่มีการเปิดรับเอาเทคโนโลยีใหม่ๆที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อมและประหยัดพลังงานมาใช้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ นอกจากการบริหารแพลตฟอร์ม Smart Move แล้ว SHARGE ยังเป็นพันธมิตรในระยะยาวกับแสนสิริในการให้บริการ EV Charger ในโครงการที่พักอาศัยอีกด้วย โดยได้นำร่องให้บริการไปตั้งแต่ปีที่ผ่านมาแล้วจำนวน 3 โครงการและจะขยายไปยังกว่า 10 โครงการภายในปี 2561” นาย กฤษฏิ์ วิชัยวัฒนาพาณิชย์ กรรมการผู้จัดการบริษัท Haupcar กล่าวว่า “Haupcar ได้ให้บริการเช่าและปลดล็อครถยนต์ตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อเป็นทางเลือกใหม่ในการเดินทางให้กับคนกรุงเทพฯมาเป็นเวลากว่า 2 ปีแล้ว แต่การร่วมเป็นส่วนหนึ่งในแพลตฟอร์ม Smart Move นับเป็นครั้งแรกของบริษัทที่ให้บริการรถยนต์ไฟฟ้าระบบเช่าในโครงการที่อยู่อาศัยโดยตรง ถือเป็นมิติใหม่แห่งการอยู่อาศัยอย่างแท้จริงที่โครงการที่อยู่อาศัยได้ให้บริการรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับแต่ละโครงการเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ลูกบ้าน เพราะผู้เช่าสามารถจองและปลดล็อครถผ่านมือถือได้ทันทีตลอด 24 ชม. สะดวกเหมือนรถส่วนตัว ซึ่งในอนาคตเราจะจับมือกับแสนสิริเพื่อขยายการให้บริการรถยนต์ไฟฟ้าระบบเช่าให้ครอบคลุมในทุกโครงการคอนโดมิเนียมของแสนสิริที่ติดรถไฟฟ้าและเจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพราะเรามองว่าความต้องการใช้บริการเช่าและปลดล็อครถยนต์ไฟฟ้าตลอด 24 ชั่วโมงจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมี     นัยยะสำคัญในอนาคต” ทั้งนี้ แพลตฟอร์ม Smart Move ของแสนสิรินั้นได้อำนวยความสะดวกให้กับลูกบ้านด้วยระบบจองรถและปลดล็อครถออนไลน์ได้ทันทีตลอด 24 ชั่วโมงผ่าน Home Service Application ซึ่งจะเชื่อมต่อไปยัง Haupcar Application โดยจะมีการคิดค่าบริการจริงเป็นราย 30 นาที ให้บริการสูงสุดภายใน 1  วัน โดยจะให้บริการรอบแรกตั้งแต่ 05.00น. สิ้นสุดที่เวลา 02.00น. ในแต่ละวัน เพื่อให้มีเวลาชาร์ตไฟฟ้าอย่างน้อย 3 ชั่วโมงต่อวัน  เน้นการให้บริการในเขตบริเวณกรุงเทพฯและปริมณฑล เพื่อให้รถยนต์สามารถหมุนเวียนให้บริการลูกบ้านอย่างต่อเนื่อง โดยค่าบริการดังกล่าวได้รวมค่าพลังงานและประกันรถยนต์เรียบร้อยแล้ว จึงไม่มีการเก็บค่าบริการตามระยะทางเพิ่มเติมอีก เบ็ดเสร็จเฉลี่ยจะราคาต่ำกว่าการเรียกรถผ่านแอพลิเคชั่นรถพร้อมคนขับที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน อีกทั้งยังมีความเป็นส่วนตัวและความยืดหยุ่นด้านการเลือกเส้นทางที่มากกว่า โดยหลังจากนี้เรามีแผนที่จะนำ Smart Move ไปให้บริการในโครงการอื่น ๆ ที่มีกลุ่มเป้าหมายที่ใกล้เคียงกัน อาทิ โครงการเดอะ ไลน์ ราชเทวี, เอดจ์, ทากะ เฮาส์, คอมมูนิตี้มอลล์ฮาบิโตะใน T77  พร้อมทั้งเตรียมที่จะจับมือกับพันธมิตรระดับโลกอีกหลายบริษัทเพื่อให้บริการยาหนะระบบเช่าในรูปแบบที่หลากหลายขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการในการเดินทางแบบ Sharing Economy ที่แตกต่างในอนาคต
เพซ เปิดห้องตัวอย่างใหม่ คอนโด เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน ในโครงการมหานคร “โซนสกาย เรสซิเดนซ์” ชูจุดเด่น คอนโดที่สูงที่สุดในไทย เริ่มต้นที่ 216 เมตรเหนือพื้นดิน

เพซ เปิดห้องตัวอย่างใหม่ คอนโด เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน ในโครงการมหานคร “โซนสกาย เรสซิเดนซ์” ชูจุดเด่น คอนโดที่สูงที่สุดในไทย เริ่มต้นที่ 216 เมตรเหนือพื้นดิน

บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาโครงการมหานคร อาคารรูปแบบมิกซ์ยูสและปัจจุบันเป็นอาคารที่สุดที่สุดในไทย เปิดตัวห้องตัวอย่างใหม่ ของที่พักอาศัยซูเปอร์ลักชัวรี่ เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก จำนวน 4 ห้อง ซึ่งรวมถึงโซนสกาย เรสซิเดนซ์ บนชั้น 58 ของอาคารมหานคร ซึ่งมีความสูงเหนือระดับพื้นดินตั้งแต่ 216 เมตรขึ้นไป นับเป็นโครงการที่พักอาศัยที่มี ความสูงเหนือพื้นดินมากที่สุดที่เคยมีมาในกรุงเทพมหานคร นายสรพจน์  เตชะไกรศรี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เพซ ดีเวลลอปเมนท์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “หลังจากที่โครงการมหานครก่อสร้างแล้วเสร็จและจัดงานเฉลิมฉลองไปเมื่อปีที่แล้ว บริษัทฯ ได้ดำเนินการตกแต่งส่วนต่างๆ ของโครงการ โดยเฉพาะในส่วนที่พักอาศัย หรือ คอนโดมิเนียม เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก ซึ่งอยู่ระหว่างชั้น 23-73 ของอาคาร จนสามารถเปิดให้ลูกบ้านได้ย้ายเข้าอยู่ตั้งแต่เดือนมิถุนายนที่ผ่านมา พร้อมกับดำเนินการตกแต่งห้องตัวอย่างใหม่บนอาคาร จำนวน 4 ห้องเพื่อช่วยในการขายห้องที่เหลือ ซึ่งมีอยู่อีกประมาณ 25%” ห้องตัวอย่างใหม่ของ เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก ประกอบด้วยห้องขนาดตั้งแต่ 2-4 ห้องนอน และกระจายอยู่ตามชั้นต่างๆ เพื่อให้ลูกค้าสามารถสัมผัสกับทิวทัศน์จริงของห้องที่ระดับความสูงแตกต่างกัน โดยได้พันธมิตรอย่างชนินทร์ ลีฟวิ่งรับหน้าที่ตกแต่งและจัดหาเฟอร์นิเจอร์ในห้องตัวอย่างจำนวน 3 ห้อง ส่วนอีกหนึ่งห้องเป็นการนำเฟอร์นิเจอร์จากห้องตัวอย่างเดิมมาตกแต่งใหม่ “เมื่อลูกค้าได้สัมผัสกับทิวทัศน์ที่สวยงามและเห็นการตกแต่งห้องที่พร้อมอยู่ เราเชื่อว่าจะสามารถช่วยในการตัดสินใจซื้อได้ง่ายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้องตัวอย่างในโซนสกาย เรสซิเดนซ์บนชั้น 58 ซึ่งเป็นห้องขนาด 343 ตารางเมตร และมีเพดานสูงถึง 3.4 เมตร โดยห้องพักในโซนสกาย เรสซิเดนซ์นี้ ตั้งอยู่ที่ความสูงตั้งแต่ 216-300 เมตรเหนือพื้นดิน ซึ่งถือได้ว่าเป็นที่พักอาศัยที่สูงที่สุดในกรุงเทพฯ ณ ขณะนี้ จึงรับรองได้ว่ามุมมองจากห้องพักโซนนี้จะเป็นวิวที่สวยงามแบบที่ไม่เคยเห็นในที่พักอาศัยใดๆ ในกรุงเทพฯ อย่างแน่นอน” นายสรพจน์กล่าวทิ้งท้าย ปัจจุบัน เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซส บางกอก เปิดขายในรูปแบบกรรมสิทธิ์ฟรีโฮลด์ พร้อมเข้าอยู่ ขนาดเริ่มต้น 140 ตร.ม. และราคาเริ่มต้นที่ 65 ล้านบาท เตรียมพบกับห้องตัวอย่างใหม่คอนโด เดอะ ริทซ์-คาร์ลตัน เรสซิเดนเซสได้เร็วๆ นี้ สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ โทร. 02-234-1414 หรือ  www.rcr-bangkok.com
เอสซีฯ นำโครงการไลฟ์ บางกอก บูเลอวาร์ด 2 ทำเลคุณภาพ ผนึกแคมเปญ “ไลฟ์สั่งลด”

เอสซีฯ นำโครงการไลฟ์ บางกอก บูเลอวาร์ด 2 ทำเลคุณภาพ ผนึกแคมเปญ “ไลฟ์สั่งลด”

บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จัดแคมเปญพิเศษ “ไลฟ์สั่งลด” ลดกันเป็นล้าน ลดทั้งโครงการ บ้านสวยทำเลศักยภาพ 2 โครงการได้แก่ โครงการ ไลฟ์ บางกอก บูเลอวาร์ด วงแหวน - พระราม 9 เดินทางสะดวกด้วย ถนนพระราม9-มอเตอร์เวย์ และโครงการ ไลฟ์ บางกอก บูเลอวาร์ด วงแหวน - อ่อนนุช 2 ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ พร้อมให้คุณเดินทางสู่ใจกลางเมืองได้อย่างง่ายดาย ด้วยแบบบ้านขนาด 3-4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ห้องรับแขก 1 ส่วนพักผ่อน ราคาเริ่ม 5 – 10 ล้านบาท สำหรับลูกค้าที่จองภายใน 23 – 24 ก.ย.นี้  รับฟรี! บัตรกำนัลจาก Power Buy มูลค่า 30,000 บาท  ณ สำนักงานขายโครงการ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร 1749 หรือ www.scasset.com / www.facebook.com/scasset
คอนโดฯใหม่ ศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร โกยยอดขายได้สูงถึง 1,355 ล้านบาท สำหรับรอบการเปิดจองเฉพาะลูกค้าเก่า 16-17 ก.ย.ที่ผ่านมา

คอนโดฯใหม่ ศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร โกยยอดขายได้สูงถึง 1,355 ล้านบาท สำหรับรอบการเปิดจองเฉพาะลูกค้าเก่า 16-17 ก.ย.ที่ผ่านมา

เมื่อวันที่ 16-17 กันยายนที่ผ่านมา บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดจองห้องชุดโครงการคอนโดฯใหม่ล่าสุด ศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร สำหรับการเปิดจองเฉพาะรอบลูกค้าเก่าของศุภาลัย ณ สำนักงานขายโครงการ ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้าอย่างหนาแน่น โดยเปิดให้จองบางส่วนและได้ถูกจองหมดภายในวันเปิดจอง ซึ่งสามารถกวาดยอดขายได้สูงถึง 1,355 ล้านบาท แต่สำหรับห้องชุดชั้นคู่ รวมถึงห้องขนาด 34.5 ตร.ม. จะเปิดให้จองในวันที่ 22 กันยายนนี้ ลูกค้าท่านใดที่สนใจชมห้องตัวอย่าง สามารถเข้าชมได้ทุกวัน ที่สำนักงานขายโครงการ หรือสอบถามข้อมูลโทร.1720    
บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เตรียมเปิดตัวโครงการ เอโทล วงแหวนฯ-ลำลูกกา บ้านเดี่ยวบนทำเลศักยภาพ ตอบโจทย์การอยู่อย่างศัย ในราคาเริ่มต้นที่ 3.99 ล้านบาท

บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เตรียมเปิดตัวโครงการ เอโทล วงแหวนฯ-ลำลูกกา บ้านเดี่ยวบนทำเลศักยภาพ ตอบโจทย์การอยู่อย่างศัย ในราคาเริ่มต้นที่ 3.99 ล้านบาท

กลับมาสร้างความคึกคักให้กับตลาดบ้านเดี่ยวกันอีกครั้ง ล่าสุด ผู้บริหารหนุ่ม  คุณชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ. อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ ภายใต้แบรนด์ เอโทล (Atoll) บ้านที่ให้คุณมากกว่าการพักผ่อนที่ตอบสนองการใช้ชีวิตของครอบครัวคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง บนทำเลศักยภาพ วงแหวนฯ-ลำลูกกา คือ โครงการ เอโทล วงแหวนฯ-ลำลูกกา  มูลค่าโครงการ 918 ล้านบาท ในราคาเริ่มต้นที่ 3.99 ล้านบาท จำนวน 138 หลัง ตั้งอยู่บนทำเลติดถนนใหญ่ สะดวกสบายในทุกการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นทางด่วน หรือรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายซึ่งเปิดให้บริการในอนาคตอันใกล้ ถึง 3 สายเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเป็นทำเลทองของการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง พิเศษสุดกว่าโครงการไหนด้วยสวนส่วนกลางขนาดใหญ่กว่า 3 ไร่  นอกจากนี้ยังมีข้อเสนอพิเศษสุด!! อาทิ สัญญาณกันขโมย เครื่องปรับอากาศ เครื่องทำน้ำอุ่น  ฉากกั้นอาบน้ำ ปูหญ้า ถุงน้ำบนดินและปั๊มน้ำ เป็นต้น  สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมบ้านตัวอย่างได้ที่สำหนักงานขายโครงการ เอโทล วงแหวนฯ-ลำลูกกา สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 02 316 2222 หรือ  www.ananda.co.th
“เสนา” ผนึก “ฮันคิว” เตรียม Presale “นิช โมโน สุขุมวิท – แบริ่ง” คอนโดนวัตกรรมจากญี่ปุ่น “Geo fit+” แห่งแรกในไทย

“เสนา” ผนึก “ฮันคิว” เตรียม Presale “นิช โมโน สุขุมวิท – แบริ่ง” คอนโดนวัตกรรมจากญี่ปุ่น “Geo fit+” แห่งแรกในไทย

“เสนา” ผนึก “ฮันคิว” นำร่องโปรเจกต์แรก “นิช โมโน สุขุมวิท – แบริ่ง”คอนโดนวัตกรรมจากญี่ปุ่น “Geo fit+” พร้อมเปิด Presale กระหึ่ม 30 ก.ย. – 1 ต.ค. 60 ด้านไนแฟรงค์ฯ เผยทำเลย่านแบริ่งขาขึ้น ยอดขายพุ่งสูงสุดในรอบ 5 ปี ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าบริษัท เสนา ฮันคิว จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง SENA กับบริษัท ฮันคิว เรียลตี้จำกัด ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในญี่ปุ่น หนึ่งในกลุ่ม บริษัท Hankyu Hanshin Holding Group ซึ่งภายหลังประกาศพัฒนาโครงการร่วมกันโปรเจกต์แรก “นิช โมโน สุขุมวิท – แบริ่ง”  ต้องยอมรับว่าได้รับกระแสการตอบรับอย่างดีมากจากตลาดกลุ่มเป้าหมาย มีการพูดถึงว่าเป็นคอนโดมิเนียมนวัตกรรมจากญี่ปุ่น โดยเฉพาะการนำนวัตกรรมที่เรียกว่า “Geo fit+”ลิขสิทธิ์เฉพาะจากประเทศญี่ปุ่นและเป็นครั้งแรกในเมืองไทยที่นำนวัตกรรมดังกล่าวเข้ามาใช้ ภายใต้แนวคิดในการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ใส่ใจในรายละเอียดและเข้าใจความต้องการของผู้อยู่อาศัยอย่างลึกซึ้ง สามารถนำมาใช้กับการสร้างที่อยู่อาศัยอย่างยอดเยี่ยมทั้ง Japanese Functionality ฟังค์ชั่นการใช้งานที่มีประสิทธิภาพ, Japanese Innovation นวัตกรรมแนวคิดใหม่ๆ เพื่อการอยู่อาศัยอย่างสมบูรณ์แบบ  และJapanese Design กลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่นที่นำมาใช้ในการออกแบบ สำหรับโครงการ นิช โมโน สุขุมวิท – แบริ่งภายใต้คอนเซ็ปต์“Life Charger” ความลงตัวของพื้นที่ชาร์จชีวิตคนเมืองยุคดิจิตอล ที่นี่ให้คุณชาร์จชีวิตได้ทุกวัน สะดวกสบายทุกการเดินทาง เนื่องจากใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียวสถานีแบริ่ง เพียง250 เมตร นอกจากนี้สายสีเขียวยังเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตลิ้งค์ซึ่งเป็นเส้นทางไปสนามบินนานาชาติสุวรรณภูมิ โดยโครงการตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 4 ไร่เศษ ติดถนนสุขุมวิท ซอยสุขุมวิท 70 เป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับสูง 34 ชั้น  1 อาคาร ทั้งหมด 1,275  ยูนิตโดยมีให้เลือก 3 Type คือ แบบ 1 Bedroom ขนาด 28 – 31 ตารางเมตร ,แบบ 1 bedroom plus ขนาด 34 ตารางเมตร และ แบบ 2 Bedroom ขนาด 48 ตารางเมตร ราคาเริ่ม 2.3 ล้านบาท หรือเฉลี่ยตกตารางเมตรละ 87,000 บาท รวมมูลค่าโครงการ 3,400ล้านบาท ส่วนการออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งานให้เหมือนวิถีการอยู่อาศัยแบบญี่ปุ่นอย่างแท้จริง และเพื่อสนองความต้องการของผู้อาศัยใน 4 ด้าน ประกอบด้วย 1.Geo fit + days คุณภาพที่ได้มาตรฐาน 2.Geo fit + eco ใส่ใจสิ่งแวดล้อม 3.Geo fit + age ปลอดภัยสำหรับผู้สูงวัยและ 4.Geo fit + sonaeเตรียมพร้อมฉุกเฉินป้องภัยธรรมชาติและด้วยการนำแนวคิด Geo Fit+ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการสร้างที่อยู่อาศัยในญี่ปุ่นนั้น มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับ Lifestyle คนไทย ยกตัวอย่าง การวางโซนพยาบาลไว้ในโครงการเพื่อเตรียมพร้อมด้านความปลอดภัยของลูกบ้าน หรือการรักษาสิ่งแวดล้อมด้วยระบบ EV Charger ซึ่งช่วยประหยัดพลังงานโดยใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์แทนการใช้ไฟฟ้าในโครงการรวมถึงมีการออกแบบฟังก์ชั่นห้องชุด ให้ตอบสนองความต้องการของผู้พักอาศัย เช่น ชั้นปรับระดับได้ที่สามารถปรับฟังก์ชั่นการใช้งานตู้ภายในห้องชุดได้ตามการใช้งานจริง เป็นต้น ด้านสาธารณูปโภคภายในโครงการครบครัน อาทิ พื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ , สระว่ายน้ำแบบ Infinity Edge ระบบเกลือยาว 88 เมตร ห้องออกกำลังกายพร้อมอุปกรณ์ครบครันด้วยพื้นที่ 250 ตารางเมตร Boxing Room , Panoramic Sky Lounge, Jogging Track ในสวน และ Yoga Roomเป็นต้นนอกจากนี้ ยังมีร้านสะดวกซื้อ 7 -11 และ ร้านกาแฟ แบรนด์ชั้นนำ TOM N TOM บนพื้นที่ขนาด 200 ตารางเมตร ไว้รองรับลูกบ้านภายในโครงการด้วย นายพนม กาญจนเทียมเท่า กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด  กล่าวว่า การพัฒนาคอนโดมิเนียมพักอาศัยในย่านสุขุมวิทตอนปลายแบริ่ง มีศักยภาพในการขยายตัวและเติบโตได้ ทั้งตอบสนองความต้องการของคนทำงานในเมืองและคนทำงานในย่านสมุทรปราการ ซึ่งปัจจัยหนุนศักยภาพของทำเลในย่านนี้ คือ 1.ความได้เปรียบจากทำเลที่ตั้ง เนื่องจากรถไฟฟ้าสายสีเขียวสามารถเชื่อมต่อกับศูนย์กลางธุรกิจที่สำคัญย่านสุขุมวิท เพลินจิต สีลม และย่านการค้าสยาม โดยช่วยให้คนทำงานกลางเมืองเดินทางเข้าถึงแหล่งงานและแหล่งช้อปปิ้งได้อย่างสะดวกรวดเร็ว เพียง 15-25 นาที จากสถานีแบริ่ง ขณะเดียวกันส่วนต่อขยายสามารถที่จะเชื่อมต่อไปยังจังหวัดสมุทรปราการถึงบางปูจะช่วยให้คนที่ทำงานในย่านอุตสาหกรรมย่านบางปูได้รับความสะดวกเช่นเดียวกัน  2.ต้นทุนที่ดินในย่านนี้ราคายังสามารถจับต้องได้ ซึ่งจะทำให้ราคาขายคอนโดในย่านนี้ยังมีราคาขายที่ไม่สูงมากเกินไป โดยคอนโดในละแวกนี้ราคาต่อยูนิตอยู่ที่ประมาณ 1.5 ล้านบาทถึง 3.5ล้านบาท ในขณะที่ทำเลตามแนวสุขุมวิทตั้งแต่บางนาถึงอโศก คอนโดใหม่ในพื้นที่โดยรอบสถานีรถไฟฟ้าในราคา 1.5 ล้านบาทถึง2.5 ล้านบาท ไม่สามารถหาได้แล้ว แต่ด้วยราคาต่อยูนิตที่ไม่สูงมากทำให้ยอดผ่อนชำระกับธนาคารตกต่อเดือนประมาณหมื่นต้นๆ ถือว่าไม่สูงไม่มากสำหรับพนักงานออฟฟิศใจกลางเมือง 3. ย่านสุขุมวิทตอนปลายเป็นย่านที่พัฒนาแล้ว มีสาธารณูปโภคและบริการสาธารณะครบถ้วน มีโครงการพัฒนาเชิงพาณิชย์หลายโครงการ เช่น ศูนย์แสดงสินค้าไบเทค โครงการอาคารสำนักงานภิรัช ทาวเวอร์ โครงการบางกอกมอลล์ เป็นโครงการ mixed-use ขนาดใหญ่ พัฒนาโดยกลุ่มเดอะมอลล์ บริเวณจุดตัดถนนบางนาตราด-สุขุมวิท บนเนื้อที่ 100 ไร่ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ปี 2561 และ 4.  ด้านผลตอบแทนการลงทุนค่อนข้างดี อยู่ที่ 5.5%-6.5% (แต่ขึ้นอยู่กับโครงการ)   ซึ่งคอนโดมิเนียม low-rise แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 28- 30 ตารางเมตร ราคาขายประมาณ 2 – 2.2 ล้านบาท อัตราค่าเช่าเดือนละประมาณ 10,000 – 12,000 บาท ส่วนคอนโด High-rise ราคาขายประมาณ 2.5 – 2.8 ล้านบาท อัตราค่าเช่าประมาณ 13,000 -15,000 บาทต่อเดือน ผู้เช่ามีทั้งลูกค้าคนไทยและต่างชาติ โดยเฉพาะคนจีนและเกาหลีที่ทำงานอยู่ในโรงงานย่านสมุทรปราการ อย่างไรก็ตาม จากผลสำรวจของงานผลวิจัยไนท์แฟรงค์ฯ พบว่าคอนโดมิเนียมบริเวณสถานีบางนา-แบริ่ง- สำโรงมีอุปทานสะสมระหว่างปี 2555 ถึงครึ่งปีแรก 2560 มีทั้งสิ้น 12,417 ยูนิต ปัจจุบันมีหน่วยเหลือขายประมาณ 3,343 ยูนิต คิดเป็นอัตราการขายร้อยละ 73 เติบโตต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2558 ซึ่งเป็นปีที่มีอุปทานใหม่เข้ามามากที่สุดประมาณ 4,300 ยูนิต จะเห็นได้ว่าอัตราการดูดซับในทำเลนี้ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ขณะที่คอนโดทำเลโดยรอบสถานีแบริ่ง ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2560 มีอัตราการขายสูงถึงร้อยละ 83  มีอุปทานสะสมทั้งสิ้น 6,430 ยูนิต ปัจจุบันมีหน่วยเหลือขายเพียง 1,160 ยูนิต ซึ่งสะท้อนถึงอัตราการขายสูงสุดในรอบ 5 ปี จะเห็นได้ว่าทำเลแบริ่งเป็นทำเลที่ได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องจากอัตราการขายที่สูงกว่าร้อยละ 70 ตลอดระยะเวลา 5 ปี จากการสำรวจพบว่าคอนโดมิเนียมบริเวณสถานีบางนา – แบริ่ง –สำโรง ส่วนมากเป็นอาคาร low – rise คิดเป็นร้อยละ 63 หรือ 7,861 ยูนิต ขณะที่อาคาร High – rise มีประมาณ 4,556 ยูนิต หรือร้อยละ 37 แต่หากพิจารณาเฉพาะคอนโดมิเนียมสถานีแบริ่ง พบว่ามีเพียงแค่8% หรือ 545 ยูนิต ที่เป็นอาคารสูงจากโครงการ Knight Bridge และ The Gallery Bearing และคอนโดสูงในทำเลนี้ มียอดขาย 99% เหลือขายไม่กี่ห้อง เนื่องจากเป็นโครงการที่เปิดขายเมื่อ 3- 4 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ผลสำรวจคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่ในบริเวณนี้ตั้งอยู่ในซอยลาซาล หรือ สุขุมวิท 105 และในซอยสุขุมวิท 107 ซึ่งในซอยนั้นไม่สามารถขึ้นอาคารสูงได้ ขณะที่ตลาดปล่อยเช่าในย่านนี้ยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน  ซึ่งปัจจุบัน พบว่าราคาขายเฉลี่ยคอนโดมิเนียมบริเวณสถานีบางนา – แบริ่ง – สำโรง ที่เป็นอาคาร  Low – rise เปิดขายตารางเมตรละ 70,000 บาท แต่ถ้าหากเป็นคอนโดมิเนียมอาคารสูงในซอยราคาจะสูงกว่าประมาณ 28% หรือตารางเมตรละ 90,000 บาท ขณะที่ราคาคอนโดมิเนียมอาคารสูงริมถนนสุขุมวิทจะมีราคาสูงสุดอยู่ 100,000 บาทต่อตารางเมตร  สูงกว่าคอนโด High – rise ในซอย 28% สำหรับโครงการ นิช โมโน สุขุมวิท – แบริ่งเตรียมเปิดพรีเซล์ในวันเสาร์และอาทิตย์ที่ 30 กันยายน – 1 ตุลาคมนี้ พร้อมรับโปรโมชั่นพิเศษ ลุ้น Lucky Draw ห้องโปรฯราคา 2.2 ล้าน*กรณีชำระเงินจอง+ทำสัญญา (แบ่งจ่าย 0% 6 เดือน) พร้อมรับ Gift Voucher สยาม พารากอน 5,000 บาท  และราคาพรีเซล รับส่วนลดวันงาน 50,000 บาท ทั้งนี้ ทางโครงการยังเปิดให้ลูกค้าได้เข้าชมห้องตัวอย่างตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปแล้ว ณSales Gallery โครงการ นิช โมโนสุขุมวิท – แบริ่ง  
“ออริจิ้น” จัดทัพใหญ่สร้าง “The Empire of Origin” อาณาจักรอสังหาฯครบวงจร

“ออริจิ้น” จัดทัพใหญ่สร้าง “The Empire of Origin” อาณาจักรอสังหาฯครบวงจร

นายพีระพงศ์ จรูญเอก (ที่ 2 จากซ้าย) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI พร้อมด้วยนายฮิโรมิจิ วาตานาเบะ (กลาง) เจ้าหน้าที่บริหาร (Executive Officer) บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด และนายณเดชน์ คูกิมิยะ (ที่ 2 จากขวา) แบรนด์แอมบาสเดอร์ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ร่วมฉลองความสำเร็จการขายคอนโดมิเนียม 4 โครงการใหม่ทำเลศักยภาพ ได้แก่ 1.ไนท์บริดจ์ ไพร์ม อ่อนนุช 2.ไนท์บริดจ์ ไพร์ม รัชโยธิน 3.ไนท์บริดจ์ คอลลาจ รามคำแหง และ 4.ไนท์บริดจ์ เกษตร โซไซตี้ กวาดยอดขายจากงาน My Life. My Origin มหกรรมจัดแสดงและขายคอนโดมิเนียมครั้งยิ่งใหญ่ของออริจิ้น ณ ศูนย์การค้าสยาม พารากอน เมื่อวันที่ 16-17 ก.ย. 2560 ไปกว่า 5,000 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการรวม 7,400 ล้านบาท
ศุภาลัย ปั้น LANDMARK ใหม่บนถนนสาทร

ศุภาลัย ปั้น LANDMARK ใหม่บนถนนสาทร

บมจ.ศุภาลัย ชนะประมูลซื้อที่ดินสถานทูตออสเตรเลีย เนื้อที่ 7 ไร่กว่า บนถนนสาทร  ทำเลทองย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพฯ เล็งพัฒนาโครงการ ซึ่งประกอบด้วย อาคารชุดพักอาศัยและอาคารสำนักงานให้เช่า ให้โดดเด่นสวยงามเป็น Landmark ของถนนสาทร มูลค่ารวมประมาณ 17,000 ล้านบาท พร้อมมั่นใจช่วยดันศุภาลัยเติบโตด้านรายได้อย่างยั่งยืน 15 - 20 % ต่อปี ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้ชนะการประมูลซื้อที่ดินสถานทูตออสเตรเลีย เนื้อที่ 7 ไร่ 3 งาน 82 ตารางวา บนถนนสาทร  ติดถนนสวนพลู มูลค่าที่ดิน 4,600 กว่าล้านบาท หรือคิดเป็นตารางวาละ 1.45 ล้านบาท ซึ่งจะเตรียมพัฒนาที่ดินเป็นโครงการ ซึ่งประกอบด้วย อาคารชุดพักอาศัยและอาคารสำนักงาน ให้เช่า โดยตั้งใจพัฒนาให้โดดเด่นสวยงามเป็น Landmark ใหม่ในย่านถนนสาทร สีลม โดยคาดว่าจะมีมูลค่ารวมประมาณ 17,000 ล้านบาท เนื่องจากที่ดินของสถานทูตออสเตรเลีย มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้าง 70 เมตร และลึกประมาณ 160 เมตร ติดถนนสาทรใต้ถือเป็นถนนสายสำคัญที่เป็นทำเลทองในย่านธุรกิจที่มีศักยภาพด้านการพัฒนาสูง และด้านหลังมีถนนออกซอยสวนพลูได้ ทำเลในย่านสาทรเป็นพื้นที่ของพาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัยค่อนข้างหนาแน่น แวดล้อมด้วยแหล่งงานจำนวนมากและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมาย อีกทั้งเป็นทำเลที่คุ้นเคยและนิยมของชาวต่างชาติอีกด้วย จึงเป็นทำเลที่ตั้งที่น่าสนใจสำหรับการลงทุนพัฒนาเป็นอาคารชุดพักอาศัยและอาคารสำนักงานเกรด A ให้เช่า โครงการนี้ได้เริ่มการออกแบบร่างโครงการแล้ว โดยจะวางผังออกแบบอาคารในแนวทาง Green Design ที่อนุรักษ์พลังงาน ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม มีสวนขนาดใหญ่อยู่ในโครงการและเก็บรักษาต้นไม้ใหญ่ของเดิมส่วนหนึ่งไว้ นอกจากนี้พร้อมจะนำนวัตกรรมและความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ มาใช้ในการออกแบบที่ไม่มีในโครงการอื่นๆ มาก่อน สำหรับปี 2561 บริษัทฯ มีที่ดินที่จะเตรียมพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมพักอาศัยแล้วรวมทั้งสิ้น 6 แปลง และยังมีโครงการที่พักอาศัยแนวราบอีกหลายสิบแปลงทั่วประเทศ ซึ่งบริษัทฯ มั่นใจว่าการชนะประมูลที่ดินในครั้งนี้จะยังทำให้มั่นใจว่าศุภาลัยจะมีอัตราการเติบโตด้านยอดขายและรายได้อย่างยั่งยืน 15 - 20 % ต่อปี ต่อไปอีกหลายปีข้างหน้า อีกทั้งทำให้ศุภาลัยมีสินค้าระดับไฮเอนด์บนทำเลใจกลางเมืองย่านสาทร สีลม เพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าและมีรายได้จากการเช่าอีกทางหนึ่ง บริษัทฯ คาดว่าจะเปิดให้ลูกค้าจองโครงการได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2561
ศรีพันวา ลุยขยายงานโรงแรมรับนักท่องเที่ยว ส่ง “บาบา บีช คลับ หัวหิน” & “บาบา บีช คลับ ภูเก็ต” จับกลุ่มไฮเอนด์

ศรีพันวา ลุยขยายงานโรงแรมรับนักท่องเที่ยว ส่ง “บาบา บีช คลับ หัวหิน” & “บาบา บีช คลับ ภูเก็ต” จับกลุ่มไฮเอนด์

ศรีพันวาลุยเปิด 2 โรงแรมและเรสซิเดนส์สุดหรู มูลค่าโครงการกว่า 4,700 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ “บาบา บีช คลับ หัวหิน” และ “บาบา บีช คลับ ภูเก็ต” รองรับตลาดท่องเที่ยวบูม ชูจุดเด่นในสไตล์บีชคลับริมทะเลหัวหิน และหาดนาใต้ภูเก็ต จับกลุ่มนักท่องเที่ยวไฮเอนด์ทั้งในประเทศ และต่างประเทศ พร้อมเปิดให้บริการเต็มรูปแบบตุลาคมนี้ มั่นใจตลาดท่องเที่ยวไทยขยายตัวต่อเนื่อง นายสงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมของตลาดการท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต และหัวหิน ว่าในส่วนของจังหวัดภูเก็ตยังมีแนวโน้มการขยายตัวของนักท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเห็นได้จากการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาทิ จีน รัสเซีย ออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง และเอเชียตะวันออก รวมถึงการขยายเที่ยวบินของจังหวัดภูเก็ต และการพัฒนาโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ จากภาครัฐ ที่มีนโยบายออกมากระตุ้นภาคการท่องเที่ยว ขณะที่หัวหิน ถือเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำหรับภาคการท่องเที่ยว โดยจะเห็นได้จากโครงการพัฒนาที่พักอาศัยในเขตพื้นที่หัวหิน ที่มีโครงการใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเพิ่มทางด่วนยกระดับพระราม 2 ลอยฟ้ากรุงเทพ-ราชบุรี และ ทางด่วนใหม่เชื่อมพระราม 3-วงแหวน และรถไฟฟ้าความเร็วสูงกรุงเทพ-หัวหินประกอบกับทำเลหัวหินที่ยังคงมีเอกลักษณ์ ความหลากหลายของสถานที่ท่องเที่ยว รวมถึงความสะดวกสบายด้านการเดินทางพักผ่อนที่ไม่ไกลจากกรุงเทพ ช่วยสนับสนุนให้การท่องเที่ยวหัวหิน เติบโตได้อย่างรวดเร็ว “ปัจจัยที่เห็นได้ชัดที่สะท้อนถึงการเติบโตของภาคธุรกิจท่องเที่ยวภูเก็ต หัวหิน นอกจากตัวเลขนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นแล้ว ปัจจัยในด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม คอนโด ก็มีแนวโน้มเติบโตเช่นกัน รวมถึงปัจจัยด้านการคมนาคม การขนส่งทางบกและทางทะเล สนามบินนานาชาติ ที่จะส่งเสริมพัฒนาการท่องเที่ยวในอนาคต” นายสงกรานต์ กล่าว ทั้งนี้เพื่อเป็นการรองรับการเติบโตของภาคการท่องเที่ยว และส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศไทย ล่าสุดโรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต ได้ขยายแบรนด์โรงแรมสุดหรู 2 แห่ง จับตลาดท่องเที่ยวเมืองภูเก็ต และหัวหิน ภายใต้แบรนด์ “บาบา บีช คลับ หัวหิน” และ “บาบา บีช คลับ ภูเก็ต” ซึ่งจะให้บริการในส่วนของโรงแรม และเรสซิเดนส์ โดยมีทีมงานจากโรงแรมศรีพันวา เข้ามาบริหารเพื่อสร้างมาตรฐานการบริการอย่างเหนือระดับ ซึ่งจะเปิดให้บริการพร้อมกันในเดือนตุลาคมนี้ ด้าน นายดิฐวัฒน์ อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ร่วมอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด กล่าวถึงความโดดเด่นของโรงแรม “บาบา บีช คลับ หัวหิน” และ “บาบา บีช คลับ ภูเก็ต” ว่าทั้ง 2 แห่งนี้ เป็นโรงแรม และเรสซิเดนส์ ในสไตล์บีชคลับสุดหรู ที่มาในคอนเซ็ปต์ Music Lovers Hotel โดยไฮไลท์ของบาบา บีช คลับ คือมีความเป็นธรรมชาติ Entertainment Pool ติดชายหาด และ Beach Club สุดเอกซ์คลูซีฟ ที่จะมีกิจกรรม Entertainment ทุกเดือน เน้นให้แขกที่เข้าพักได้พักผ่อนริมทะเลไปพร้อมกับเสียงเพลงและสนุกสนาน นอกจากนี้ในแต่ละโลเคชั่น ยังมีการนำเอกลักษณ์การออกแบบดั้งเดิมของท้องถิ่นมาใช้ในงานดีไซน์อีกด้วย โดยในส่วนของ “บาบา บีช คลับ หัวหิน” เป็นโครงการการร่วมทุนระหว่างบริษัท บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ไอ.ซี.ซี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ภายใต้ชื่อบริษัท ร่วมอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด โดยมีมูลค่าโครงการกว่า 1,700 ล้านบาท ในการพัฒนาโรงแรม และเรสซิเดนส์ สไตล์บีชคลับ ริมทะเลหัวหิน ตั้งอยู่บนพื้นที่ 12 ไร่ ในทิวทะเลเอสเตท มีหน้าหาดทอดยาวกว่า 160 เมตร เปิดให้บริการห้องพักวิวทะเลแบบพาโนรามา พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว จำนวน 18 ห้อง และเรสซิเดนส์พูลวิลล่า จำนวน 11 หลัง โดยมีให้เลือกหลายสไตล์ เริ่มจากห้องพักแบบ บีชฟรอนท์ พูลสวีท (Beachfront Pool Suite), บีชฟรอนท์ พูลสวีท กราวน์ฟลอร์ (Beachfront Pool Suite Ground Floor), เพนท์เฮาส์ (Penthouse), พูลวิลล่า แบบ 3 และ 5 ห้องนอน เน้นจับตลาดกลุ่มนักท่องเที่ยวระดับกลางถึงไฮเอนด์ รวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวรุ่นเจนเอ็กซ์ เจนวาย และมิลเลนเนียลส์ โดยใช้เสียงเพลงถ่ายทอดความประทับใจสะท้อนเอกลักษณ์ของบาบา บีช คลับ “บาบา บีช คลับ หัวหิน” ถูกโอบล้อมด้วยธรรมชาติและทัศนียภาพอันงดงามของชายฝั่งทะเลอ่าวไทย ให้การบริการระดับ 5 ดาว และสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ห้องอาหารและบาร์ริมทะเล (Baba Beach Bar & Baba Beach Restaurant), Entertainment Pool, ฟิตเนสระดับพรีเมี่ยมสปาส่วนตัวจากคูลสปาสระว่ายน้ำ และบ้านโชค (Baan Chok) ซึ่งเป็นห้องอาหาร แกลอรี่ และสถานที่จัดงานอีเวนท์ริมทะเล สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมรายละเอียดของทั้ง 2 โครงการได้ที่เว็ปไซด์ www.bababeachclub.com” นายดิฐวัฒน์ กล่าว ขณะที่ นายวรสิทธิ อิสสระ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศรีพันวา แมเนจเมนท์ จำกัด, บริษัท ชาญอิสสระ เรสซิเดนซ์ จำกัด และ บริษัท อิสสระจุนฟา จำกัด กล่าวว่าในส่วนของ “บาบา บีช คลับ ภูเก็ต” เป็นโครงการการร่วมทุนระหว่าง บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท จุนฟา เรียล เอสเตท จำกัด จากประเทศจีน ภายใต้ชื่อ บริษัท อิสสระ จุนฟา จำกัด โดยมีมูลค่าโครงการกว่า 3,000 ล้านบาท ในการพัฒนาโรงแรม และเรสซิเดนส์ ในสไตล์บีชคลับระดับลักซ์ชัวรี่ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 42 ไร่ ริมชายหาดภูเก็ตนาใต้ ห่างจากสนามบินนานาชาติภูเก็ตเพียง 20 นาที โดยมีจุดเด่นที่ตั้งอยู่ติดริมชายหาดยาวถึงเกือบ 200 เมตร ที่ยังคงความเป็นธรรมชาติ พร้อมวิวพระอาทิตย์ตกที่กว้างไกล สร้างบรรยากาศความเป็นส่วนตัวให้กับแขกที่เข้ามาพักผ่อน พร้อมการออกแบบผสมผสานการตกแต่งสไตล์ชิโนโปรตุกีส (Chino-Portuguese) อันเป็นเอกลักษณ์ของภูเก็ต เข้ากับรูปแบบสีสันสดใสของสไตล์แบบเซี่ยงไฮ้แทง (Shanghai Tang) กลายเป็นการตกแต่งสไตล์โมเดิร์นทรอปิคอล (Modern Tropical) ในแบบฉบับของ บาบา บีช คลับ ภูเก็ต ซึ่งมอบไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับลักซ์ชัวรี่ให้แก่ลูกค้า “บาบา บีช คลับ ภูเก็ต” ประกอบด้วยโรงแรมจำนวน 16 ยูนิต  และบ้านพักตากอากาศที่เป็นบีชฟร้อนท์วิลล่าขนาด 5 ห้องนอน (Five Bedroom Beachfront Villa) พื้นที่ใช้สอย 1,100 ตารางเมตร จำนวน 6 หลัง พูลวิลล่าขนาด 2 ห้องนอน (Two Bedroom Pool Villa) จำนวน 18 หลัง  และอีก 37 ยูนิต สำหรับบาบา สวีท (One Bedroom Baba Suite) หรือ พูลสวีท (One Bedroom Baba Pool Suite) ขนาด 1 ห้องนอน และเพนท์เฮ้าส์ขนาด 2 ห้องนอน (Two Bedroom Baba Penthouse) “บาบา บีช คลับ ภูเก็ต” ได้รับการออกแบบให้มีบรรยากาศที่สนุกสนานและเต็มไปด้วยพลัง   สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ ประกอบด้วยฟิตเนส สปา สระว่ายน้ำ ร้านอาหารและบาร์ (Baba Beach Restaurant, Baba Beach Bar, Sushi Bar & International Cuisine) ที่ตกแต่งในรูปแบบที่กลมกลืนไปกับท้องทะเล เข้ากับสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ และมอบรูปแบบการใช้ชีวิตในแบบทรอปิคอลสุดหรูอย่างแท้จริง นายวรสิทธิ กล่าวต่อว่า ในส่วนของการบริหารงานของทั้ง 2 โครงการนี้ ได้ใช้ทีมงานบริหารรจากโรงแรมศรีพันวา เข้ามาช่วยบริหารจัดการทั้งหมด เพื่อเป็นการยกระดับมาตรฐานการให้บริการระดับเวิลด์คลาส รวมถึงการบริหารดูแลด้านการลงทุนปล่อยเช่าเรสซิเดนส์ให้กับลูกค้าอีกด้วย “ที่ผ่านมาเรามีการเตรียมความพร้อมด้านบุคลากรเพื่อมารองรับการขยายธุรกิจด้านการโรงแรม โดยในส่วนของโรงแรมศรีพันวาได้จัดทำโครงการ Sri panwa Academy ซึ่งเป็นเสมือนโรงเรียนสำหรับจัดเทรนนิ่งให้พนักงานได้มีความรู้ ทักษะ ด้านการโรงแรม เพื่อสร้างมาตรฐานการให้บริการในแบบฉบับของศรีพันวา พร้อมให้บุคลากรโรงแรมศรีพันวาที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ในแต่ละสายงาน มาร่วมถ่ายทอดองค์ความรู้ ให้แก่พนักงานในแต่ละระดับการทำงาน ซึ่งมั่นใจว่าการให้บริการของทั้ง 2 โรงแรมแห่งใหม่นี้ จะสร้างความประทับใจให้กับแขกผู้เข้าพักอย่างแน่นอน” นายวรสิทธิ กล่าว
ศุภาลัย เปิด 2 โครงการ จังหวัดนครศรีธรรมราช กวาดยอดขายวันเปิดตัวกว่า 100 ล้านบาท

ศุภาลัย เปิด 2 โครงการ จังหวัดนครศรีธรรมราช กวาดยอดขายวันเปิดตัวกว่า 100 ล้านบาท

บมจ.ศุภาลัย โดย นายอดิศักดิ์ วารินทร์ศิริกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานโครงการภูมิภาค 3 เดินหน้าเปิด 2 โครงการภูมิภาคพร้อมกัน ศุภาลัย พาร์ควิลล์ นครศรีธรรมราช บ้านเดี่ยวประหยัดพลังงานสไตล์โมเดิร์น มูลค่าโครงการ 675 ล้านบาท และศุภาลัย พรีโม่ นครศรีธรรมราช บ้านรุ่นใหม่และทาวน์โฮม สไตล์โมเดิร์น มูลค่าโครงการ 160 ล้านบาท โดยได้รับกระแสตอบรับทั้งจากลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่เป็นอย่างดี สามารถกวาดยอดขายในวันเปิดตัวได้กว่า 100 ล้านบาท ทั้งนี้ยังได้รับเกียรติจาก พันธมิตรทางธุรกิจ อาทิ สถาบันการเงิน, วัสดุก่อสร้าง มาร่วมแสดงความยินดี ณ ศุภาลัย พาร์ควิลล์ นครศรีธรรมราช
แอสเซทไวส์ เปิดตัวคอนโดโมดิซ รัชดา 32 คอนโดมิติใหม่ ใจกลางเมือง

แอสเซทไวส์ เปิดตัวคอนโดโมดิซ รัชดา 32 คอนโดมิติใหม่ ใจกลางเมือง

นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด ต่อยอดความสำเร็จของคอนโดมิเนียม ภายใต้แบรนด์ Modiz ที่ได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง เปิดตัวคอนโดมิเนียมแห่งใหม่ล่าสุด “โมดิซ คอนโด รัชดา 32” (Modiz Condo Ratchada 32) อีกหนึ่งผลงานดีไซน์ที่โดดเด่น ออกแบบในสไตล์ “Modern Luxury” เปิดมุมมองมิติใหม่ในการใช้ชีวิต กลางใจเมือง ใกล้รถไฟฟ้า 3 สาย ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.89 ล้านบาท พร้อมเปิดให้จองรอบ VIP Booking ในวันที่ 16 กันยายนศกนี้ ที่โมดิซ เซลล์ แกลลอรี่ รัชดา 32 ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนเพื่อรับข้อเสนอสุดพิเศษได้ทางเว็บไซต์ www.assetwise.co.th  หรือสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 08 3556 3232  หรือ Line ID: @modiz32
ส่องทำเลทอง น้องใหม่ สุดฮอต ห้าแยกลาดพร้าว-รัชโยธิน-เสนาฯ

ส่องทำเลทอง น้องใหม่ สุดฮอต ห้าแยกลาดพร้าว-รัชโยธิน-เสนาฯ

สถานการณ์ตลาดคอนโดมิเนียมในปัจจุบันยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดระดับบน (หรือ 3 ล้านบาทขึ้นไป) ที่เรียกได้ว่าเปิดมาเท่าไหร่ก็ขายได้ และทำเลหนึ่งที่เป็นกระแสร้อนแรงอย่างมากในขณะนี้คือ ทำเลห้าแยกลาดพร้าว-รัชโยธิน-เสนาฯ จากการสำรวจข้อมูลของสำนักวิจัย LPN เผยถึงภาพรวมตลาดในทำเลนี้มีคอนโดมิเนียมขาย 19 โครงการ ประมาณ 7,000 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 90,000 บาท/ตารางเมตร มียอดขายไปแล้วกว่า 90% เมื่อพิจารณาโครงการใหม่ปีที่เปิดตัวปี 60 มี 12 โครงการ 4,600 ยูนิต มียอดขายไปแล้วกว่า 65% เป็นทำเลที่มีการเปิดโครงการใหม่มากเป็นอันดับต้นๆ และยังมีแนวโน้มว่าจะมีโครงการใหม่เปิดตัวเพิ่มขึ้นอีกในปีนี้ประมาณ 2,000 ยูนิต ส่งผลให้ทำเลนี้ยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง ผู้ประกอบการเองมีการแข่งขันค่อนข้างสูง ต่างก็ดึงจุดแข็งของตนเองมาสร้างจุดขายให้กับโครงการ ในทางกลับกันก็ถือเป็นโอกาสทองของผู้บริโภคเช่นเดียวกัน ทั้งนี้การก่อสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยาย(หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) ที่ก่อสร้างไปแล้วกว่า 40% ซึ่งมีความเป็นรูปธรรมมากขึ้น ในขณะเดียวกันราคาที่ดินก็สูงปรับตัวขึ้นมาก โดยเฉพาะแปลงที่ดินติดถนนพหลโยธิน ช่วงห้าแยกลาดพร้าว-แยกรัชโยธิน 650,000-950,000 บาท/ตารางวา ช่วงแยกรัชโยธิน-แยกเกษตร 500,000-750,000 บาท/ตารางวาซึ่งจะส่งผลต่อราคาขายคอนโดมิเนียมสูงมากขึ้นตามไปด้วย ล่าสุดราคาพุ่งขึ้นสูงถึง 140,000-150,000 บาท/ตารางเมตรเรียบร้อยแล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่าโครงการคอนโดมิเนียมที่ตั้งใกล้สถานีรถไฟฟ้ามีผลต่อการตัดสินใจซื้ออย่างมาก และด้วยทำเลห้าแยกลาดพร้าว-รัชโยธิน-เสนาฯ มีความครบถ้วนไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆมากมาย ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต โดยมีสถานที่สำคัญต่างๆ ทั้งห้างสรรพสินค้า มหาวิทยาลัย อาคารสำนักงาน และแหล่ง Hang Out อีกจำนวนมาก เป็นปัจจัยสนับสนุนให้ทำเลนี้มีศักยภาพสูงมากขึ้น ยกตัวอย่างสถานที่สำคัญ ดังเช่น ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ Central ลาดพร้าว, Union Mall, Avenue รัชโยธิน และ Major รัชโยธิน มหาวิทยาลัยชื่อดัง ม.เกษตรศาสตร์, ม.ราชภัฏจันทรเกษม และม.ศรีปทุม เป็นต้น อาคารสำนักงานมากมายซึ่งเป็นแหล่งงานสำคัญของทำเลนี้ เช่น ธนาคารไทยพาณิชย์สำนักงานใหญ่ หรือ SCB PARK การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคสำนักงานใหญ่ กรมป่าไม้ การทางพิเศษฯ และธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์ เป็นต้น สำหรับแหล่ง Hang Out สำคัญของคนรุ่นใหม่ในย่านนี้จะตั้งอยู่บริเวณ Major รัชโยธิน และในซอยพหลโยธินซอย 32 หรือ ซอยเสนานิคม 1 เช่น Wine Society, ร้านเสวนาพาเพลิน, ร้าน Meeting Point, ร้าน Café To All, ร้านJim Burger, ร้านTreat Café และอื่นๆอีกมากมาย ในอนาคตคาดว่าทำเลห้าแยกลาดพร้าว-รัชโยธิน-เสนาฯ จะกลายเป็นทำเลทองสุดฮอตเหมาะสำหรับสำหรับการอยู่อาศัย ที่มีความสะดวกสบายทั้งด้านการคมนาคมขนส่ง ด้านสาธารณูปโภค และสาธารณูปการต่างๆ และนอกจากนี้ยังมีแปลงที่ดินรอการพัฒนาที่หลายแปลง เช่น แปลงที่ดินบางกอกโดม 48 ไร่ ที่เป็นการร่วมทุนกันของผู้ประกอบการรายใหญ่คาดว่าจะพัฒนาเป็นโครงการ Mix-Use ขนาดใหญ่ และแปลงสวนสนุกแดนเนรมิตเดิมที่ยังคงรออยู่ว่าผู้ประกอบการรายใดจะคว้าที่ดินผืนนี้ไปพัฒนา ซึ่งหากที่ดิน 2 แปลงนี้พัฒนาสมบูรณ์แบบจะช่วยเพิ่มศักยภาพของทำเลนี้ให้ดีมากขึ้นอีกต่อไปในอนาคต
พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พัฒนาศักยภาพบุคลากรเชิงรุก ตั้งเป้าเป็นผู้ให้บริการบริหารอาคารที่พักอาศัยเบอร์หนึ่งต่อเนื่อง คาดอีก 2 ปี สัดส่วนคอนโดไฮเอนด์แตะ 33% รองรับลูกค้าทั้งไทย-ต่างชาติ

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ พัฒนาศักยภาพบุคลากรเชิงรุก ตั้งเป้าเป็นผู้ให้บริการบริหารอาคารที่พักอาศัยเบอร์หนึ่งต่อเนื่อง คาดอีก 2 ปี สัดส่วนคอนโดไฮเอนด์แตะ 33% รองรับลูกค้าทั้งไทย-ต่างชาติ

พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร ทุ่มงบตั้ง PLUS Experience Development Center หน่วยงานพัฒนาบุคลากรเชิงรุก รองรับทิศทางผู้อาศัยในประเทศไทยเข้าสู่ความเป็นสากล จากลูกค้าหลากหลายเชื้อชาติมากขึ้น คาดอีก 2 ปี มีห้องชุดสร้างเสร็จเข้ามาในตลาดอีก 90,000 ยูนิต พบ 33% เป็นห้องชุดระดับลักชัวรี่ ชี้เป็นโอกาสธุรกิจบริการจัดการที่พักอาศัย พร้อมตั้งเป้าหมายเป็นผู้ให้บริการที่ดีที่สุดอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเป็นผู้ให้บริการไทยรายเดียวที่ติดท๊อป 5 โดยให้บริหารอาคาร 157 โครงการ ดูแลโครงการระดับลักชัวรี่ราว 25% และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นสอดคล้องกับภาคอสังหาริมทรัพย์ปัจจุบัน นางสาวพรรณวดี โพธิหน่อทอง รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายบริหารอาคารที่พักอาศัย (คอนโดมิเนียมและโครงการต่างจังหวัด) บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารและจัดการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ปัจจุบันทิศทางของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยได้เติบโตอย่างมาก และได้พัฒนาออกมาในรูปแบบที่รองรับผู้อยู่อาศัยระดับสากลมากขึ้น รองรับกระแสการเชื่อมต่อของโลกไร้พรมแดน ทำให้มีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มาจากหลากหลายชาติ ทั้งชาวไทย และต่างชาติ โดยเฉพาะ ฮ่องกง สิงคโปร์ ไต้หวัน จีนและญี่ปุ่น เป็นต้น ซึ่งกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่หลากหลายขึ้นนี้ ส่งผลให้งานบริหารอาคารที่พักอาศัยต้องปรับตัวและพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีดิจิตอลและนวัตกรรมการอยู่อาศัยเข้ามามีบทบาทกับการดำเนินชีวิตของผู้คนค่อนข้างมาก สำหรับ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ได้มีนโยบายการพัฒนาบุคลากรในส่วนงานการบริหารอาคารเชิงรุกอย่างเข้มข้น รวมทั้งการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาเสริมการให้บริการที่รวดเร็วและง่ายต่อการใช้งาน ดังเช่นการใช้แอปพลิเคชั่น Home Service Application มาช่วยในการสื่อสารกับผู้อาศัยในการแจ้งข้อมูลต่างๆ  โดยมีเป้าหมายเพื่อเป็นผู้ให้บริการงานบริหารอาคารที่พักอาศัยที่ดีที่สุดอย่างต่อเนื่อง โดยพลัสฯ ยังคงให้ความสำคัญกับบุคลากรรอบด้าน เพื่อยกระดับและรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมด้านการบริหารจัดการอาคาร ล่าสุดได้พัฒนาหน่วยงานที่เรียกว่า PLUS Experience Development Center เป็นหน่วยงานเฉพาะด้านในการจัดทำหลักสูตรสร้างทักษะการบริการที่เป็นเลิศ พัฒนาความเชี่ยวชาญในสายงาน ซึ่งมีโครงการนำร่องด้วยการร่วมมือกับสถาบัน Jeeves Training  สถาบันชั้นนำระดับโลกที่ออกแบบและฝึกอบรมการให้บริการ  Butler ในโรงแรมและโครงการที่พักอาศัยชั้นนำระดับ High End มาสร้างประสบการณ์และฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ของพลัสฯ เพื่อยกระดับการให้บริการแก่ผู้พักอาศัยในโครงการระดับลักชัวรี่ ที่พลัสฯ บริหาร  นอกจากนี้ยังให้ความสำคัญกับบุคลากรโดยการวางแผนการเจริญเติบโตระยะยาวของพนักงาน เพื่อสร้างคุณค่าและพัฒนาความผูกพันที่มีต่อองค์กรและลูกค้า (Engagement Culture)  ตลอดจนเพื่อให้เข้าใจและเข้าถึงความต้องการของลูกค้า พร้อมส่งมอบประสบการณ์ที่ดีไปยังลูกค้า จากแผนการพัฒนาครั้งนี้จะนำไปสู่การเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการแต่ละแห่งต่อไป ปัจจุบันพลัสฯ เป็นผู้ให้บริการด้านบริหารอาคารที่พักอาศัยชั้นนำติดหนึ่งใน 5 ของตลาด โดยดูแลโครงการทั้งสิ้น 157 โครงการ เป็นโครงการระดับลักชัวรี่ราว 25% ซึ่งพลัสฯ เป็นผู้ให้บริการไทยรายเดียวที่ให้บริการได้มาตรฐานในระดับแถวหน้าเทียบชั้นกับผู้ให้บริการต่างชาติ  ที่มีหน่วยงานที่ดูแลลูกค้าต่างประเทศโดยเฉพาะ (กลุ่มลูกค้าชาวจีน ฮ่องกง ไต้หวัน ญี่ปุ่น และสิงคโปร์) โดยทีมพิเศษนี้สามารถให้คำปรึกษารอบด้าน ในการบริหารทรัพย์สินให้พร้อมใช้งานและมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้น โดยให้คำปรึกษาทั้งด้านการคำนวณทิศทางราคาอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต ดูแลจัดการด้านการปล่อยเช่า การหาผู้เช่าให้กับลูกค้า รวมถึงช่วยประสานงานกับเอเจนซี่ในต่างประเทศ ในรูปแบบ One Stop Service “ภาพรวมการตลาดในปัจจุบันยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จะพบว่าผู้ประกอบการต่างๆ มีนโยบายทางการตลาดเข้าถึงกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อทั้งในเอเชีย อเมริกา และยุโรปทำให้มีโครงการอาคารที่พักอาศัยที่จะเกิดขึ้นอีกเป็นจำนวนมาก โดยในช่วง 2 ปีต่อจากนี้คาดว่าจะจะมีห้องชุดสร้างเสร็จเข้าสู่ตลาดกว่า 90,000 ยูนิต เป็นโครงการระดับลักชัวรี่ที่ราคามากกว่า 130,000 บาทต่อตารางเมตร ถึง 30,000 ยูนิต หรือคิดเป็น 33% นับเป็นโอกาสของธุรกิจงานบริหารอาคารที่พักอาศัยเช่นกัน หากวิเคราะห์ทางด้านการแข่งขันของอุตสาหกรรมงานบริหารอาคารที่พักอาศัยในปัจจุบัน พบว่ามาจากผู้ให้บริการ 2 กลุ่ม คือ บริษัทต่างชาติที่มาเปิดสาขาในเมืองไทย และบริษัทของคนไทย ซึ่งปัจจุบันมาตรฐานการบริหารจัดการมีความใกล้เคียงกันเนื่องจากเทคโนโลยีและการรับรู้ข่าวสารข้อมูลจากสื่อต่างๆ ทำให้การแข่งขันจึงมุ่งเน้นในส่วนของการให้บริการที่ครอบคลุม มีมาตรฐาน และสามารถตรวจสอบได้ นอกจากนี้ยังเริ่มมีผู้เล่นรายย่อยใหม่ๆ มากขึ้นโดยเน้นกลยุทธ์ทางด้านราคาค่าบริการ อาจตอบโจทย์บางโครงการที่มีงบประมาณจำกัด แต่ในระยะยาวมูลค่าของโครงการจะลดลง ไม่มีความยั่งยืน  ซึ่งผู้เล่นรายย่อยจะต้องพัฒนาความสามารถเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่มีมากขึ้นเพื่อให้ได้มาตรฐานระดับสากล รวมถึงตอบโจทย์ความต้องการการบริการที่รวดเร็ว ตามแนวโน้มความหลากหลายของลูกค้าที่มีมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง” นางสาวพรรณวดี กล่าว
อนันดา เปิดตัว 3 โครงการใหม่ บนทำเลเด่น คุ้มค่าทุกการใช้ชีวิต

อนันดา เปิดตัว 3 โครงการใหม่ บนทำเลเด่น คุ้มค่าทุกการใช้ชีวิต

ปฎิเสธไม่ได้เลยค่ะว่าการจะเลือกซื้อคอนโดมิเนียมคุณภาพดีสักแห่ง คงต้องพิจารณาเรื่องของทำเลที่ตั้งเป็นอันดับแรก ส่วนอันดับต่อๆ ไปนั้นก็ล้วนแต่ความชอบส่วนตัว เช่น ชื่อแบรนด์, การออกแบบและตกแต่ง, ขนาดห้อง, ฟังก์ชั่นการใช้งาน, ที่จอดรถ รวมไปจนถึงพื้นที่ส่วนกลาง ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้ทาง อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ผู้นำแห่งวงการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับคนเมือง ก็ได้ทำความเข้าใจและให้ความสำคัญในเรื่องนี้ดี จึงเลือกปักหมุดโครงการใหม่ทั้ง 3 ทำเลศักยภาพอย่างพระราม 4, รางน้ำ และสุขุมวิท 40 ภายใต้แบรนด์ IDEO MOBI (ไอดีโอ โมบิ) หากใครติดตามผลงานของ อนันดา อยู่แล้ว คงทราบดีว่าแบรนด์ IDEO MOBI นั้นอยู่ตลาดกลางถึงไฮเอนด์ ซึ่งทางแบรนด์ก็ได้คำนึงถึงความต้องการของคนเมืองอย่างแท้จริง เพราะทั้งสามโครงการจะเน้นทำเลที่ใกล้รถไฟฟ้าและสวนสาธารณะ เพื่อให้ลูกบ้านได้เดินทางสะดวกสบายและอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น โดยมาในคอนเซ็ปต์ Future – Nature ที่นอกจากมีพื้นที่สีเขียวแล้วยังมีนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาใช้ในโครงการ อาทิ เทคโนโลยี I-4D Hologram ที่ใช้อธิบายรายละเอียดคอนโดที่สำนักงานขาย, นวัตกรรม Smart Solar Fresh Air System ปรับอุณหภูมิภายในห้องให้เย็นสบาย โดยดูดความร้อนไประบายออกนอกห้อง นอกจากนี้ยังมีหน้าจอแสดงผลและตรวจสอบอุณหภูมิภายในห้อง รวมไปจนถึงระบบควบคุมการสั่งงานเปิด-ปิดอัตโนมัติ เพื่อให้ลูกบ้านทุกยูนิตทั้ง 3 โครงการสะดวกในการใช้งาน เป็นต้น และเมื่อทางอนันดาเปิดข้อมูล Ideo Mobi มาพร้อมกันถึง 3 โครงการแบบนี้ เราเลยไม่พลาดที่จะไปเก็บข้อมูลและพาไปดูจุดเด่นของแต่ละทำเลค่ะ ใครมีแพลนจะซื้อทำเลย่านไหนลองเก็บไว้พิจารณาได้เลยค่ะ IDEO MOBI RAMA 4 เริ่มกันด้วยโครงการแรก IDEO MOBI RAMA 4 เป็นคอนโดมิเนียม High Rise 36 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 486 ยูนิต ออกแบบในสไตล์โมเดิร์นเน้นเส้นสายและความล้ำสมัย ตัวโครงการตั้งอยู่ย่าน CBD สาทร - อโศก ติดถนนพระราม 4  อยู่ใกล้ MRT สถานีคลองเตย ที่ต้องบอกเลยว่านอกจากทำเลที่ตั้งจะได้เปรียบในเรื่องของการเดินทางแล้วยังได้ทัศนียภาพที่สวยงามอย่างแท้จริง เพราะสามารถมองเห็นทั้งสวนเบญจกิตติและสวนลุมพินี แถมยังมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาได้จากทางด้านหลังโครงการอีกด้วย นอกจากนี้ยังให้ลูกบ้านเต็มอิ่มกับธรรมชาติโดยโครงการวางผังเป็น Y Shape ให้ทุกห้องสามารถเห็นวิวเมืองได้อย่างกว้างไกล ซึ่งทั้งหมดนี้มาในราคาเริ่มต้น 5.99 ล้าน* IDEO MOBI RANGNAM ต่อมาที่โครงการ IDEO MOBI RANGNAM เป็นคอนโดมิเนียมสไตล์โมเดิร์น ดีไซน์ล้ำสมัย สูง 31 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 366 ยูนิต ตัวโครงการตั้งอยู่ในซอยรางน้ำ ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเพียง 630 เมตร จุดเด่นของคอนโดนอกจากเดินทางสะดวกสบาย, วิวสวยมองเห็นสวนสันติภาพ ทางโครงการยังออกแบบพื้นที่ส่วนกลางเรียกว่าจัดเต็มให้ลูกบ้านเติมเต็มชีวิตในวันพักผ่อน อย่างสระว่ายน้ำลอยฟ้าที่สามารถว่ายน้ำชมวิวเมืองแบบพาโนรามา 360 องศา และมาพร้อม Jacuzzi นอกจากนี้ยังมีฟิตเนตที่ให้ความรู้สึกเหมือนออกกำลังกายอยู่กลางอากาศ ซึ่งห้องพักอาศัยจะขายแบบ Fully Furnished ในราคาเริ่มต้นเพียง 4.49 ล้าน* IDEO MOBI SUKHUMVIT 40 และมาถึงโครงการสุดท้ายกับ IDEO MOBI SUKHUMVIT 40 ที่จะแตกต่างจาก 2 ทำเลข้างต้น คือมาในรูปแบบ Low Rise 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวนทั้งหมด 272 ยูนิต แต่ก็ยังจัดเต็มทั้งการออกแบบและพื้นที่ส่วนกลางเช่นเคย  สำหรับจุดเด่นนอกจากตั้งอยู่บนทำเลศักยภาพโซนสุขุมวิท ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีเอกมัยเพียง 660 เมตร ทางโครงการยังออกแบบอย่างพิถีพิถันในสไตล์โมเดิร์นที่ให้ความรู้สึก Dynamic ด้วยเส้นสายที่นำสายตาเชื่อมต่อกันทั้งตัวอาคารและพื้นที่สีเขียว ทั้งยังมีพื้นที่ส่วนกลางอย่างกว้างขวาง โดยจัดวางสวนหย่อมและสระว่ายน้ำไว้ตรงกลางระหว่างอาคาร และมีโถง Lobby ทุกอาคารเพื่อลดความวุ่นวายและเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้แก่ลูกบ้าน ซึ่งห้องพักอาศัยจะขายแบบ Fully Furnished ในราคาเริ่มต้นเพียง 4.49 ล้าน*   โดยภาพรวมของ 3 โครงการ 3 ทำเล แล้ว IDEO MOBI ถือว่าเป็นอีกหนึ่งแบรนด์คอนโดมีเนียมที่น่าอยู่และน่าลงทุนจริงๆ ค่ะ เพราะมีความเพียบพร้อมในการอยู่อาศัย ทั้งเรื่องการเดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า รวมถึงถนนหนทางที่เชื่อมต่อได้หลากหลายทำให้คนใช้รถส่วนตัวก็สะดวกสบายไม่แพ้กัน  นอกจากนี้ทุกโครงการยังจัดเต็มในเรื่องของ Facility อย่างแท้จริง เรียกได้ว่าใครที่เล็งอยู่ก็คงคุ้มค่าทั้งอยู่อาศัยเองและปล่อยเช่าเลยค่ะ สำหรับผู้ที่สนใจโครงการ IDEO ทั้ง 3 ทำเล ทางอนันดาจะเปิดให้จองออนไลน์ ผ่านระบบ Ananda Online Booking ในวันที่ 26 กันยายน 2560 นี้ ตั้งแต่เที่ยงวัน - 1 ทุ่ม ซึ่งสามารถลงทะเบียนรับสิทธิ์ส่วนลดสูงสุด 500,000 บาท* ได้ตั้งแต่วันนี้ที่ https://onlinebooking.ananda.co.th (ในส่วนของผู้ที่เคยลงทะเบียนแล้ว สามารถใช้อีเมล์และรหัสผ่านเดิมเข้าสู่ระบบเพื่อเลือกโครงการที่ท่านสนใจได้ทันที)
Sign Sukhumvit 50 คอนโดมิเนียมระดับ Premium คอนเซปต์ Private Residence ทำเลดี ราคาคุ้ม ตกแต่งภายใน เต็มเปี่ยมด้วยวัสดุคุณภาพ

Sign Sukhumvit 50 คอนโดมิเนียมระดับ Premium คอนเซปต์ Private Residence ทำเลดี ราคาคุ้ม ตกแต่งภายใน เต็มเปี่ยมด้วยวัสดุคุณภาพ

โครงการใหม่ล่าสุดจาก Sirilert Development ซายน์ คอนโด สุขุมวิท 50 เป็นคอนโด Low Rise สูง 8 ชั้น 1 อาคาร บนพื้นที่ขนาด 0-2-54.1 ไร่ มีทั้งหมด 105 ยูนิต มีห้องพักให้เลือกทั้งหมด 3 แบบ คือแบบ 1 Bedroom, 1 Bedroom Plus และแบบ 2 Bedrooms ขนาดเริ่มต้นที่ 26.14 ตร.ม.ซึ่งคาดว่าจะสร้างเสร็จพร้อมอยู่ภายในปี 2562 นี้ค่ะ โดยตัวโครงการตั้งอยู่ใน ซ.สุขุมวิท 50 ภายใน ซ.แสงอุทัย โดยมีสำนักงานขายอยู่ที่ปากซอยอารีรักษ์ อ่อนนุช Sign Sukhumvit 50 เป็นคอนโดมิเนียมที่มีคอนเซปต์ Hidden หลบหนีความวุ่นวายในชีวิตเมือง สิ่งที่น่าสนใจของโครงการนี้ คือ  การออกแบบ Façade สีขาวลายฉลุ ทำจากวัสดุ Perforate ที่จะอยู่ด้านนอกโครงการที่จะช่วยเรื่องความสวยงามให้กับตัวตึก และให้ความเป็นส่วนตัวกับผู้อยู่อาศัยเพราะจะช่วยพรางสายตาจากภายนอกอาคาร และช่วยในเรื่องบังแสงแดด ได้อีกด้วย แต่ถึงอย่างนั้น Sign Sukhumvit 50 กลับไม่ใช่คอนโดมิเนียมที่อยู่ห่างไกลความเจริญ เพราะระยะห่างเพียงแค่ 800 เมตร ก็ถึงบันไดรถไฟฟ้าสถานี อ่อนนุช และ ยังเข้าเมืองสู่แหล่งช้อปปิ้ง ต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบาย เรียกได้ว่าเป็นทำเลที่น่าสนใจเลยทีเดียว เพราะตรงตามคอนเซปต์ “เงียบสงบ แต่ไม่ไกลความเจริญ” คุ้มสุดบนย่านนี้ คือคำจำกัดความ ที่เหมาะกับ คอนโด ซายน์ สุขุมวิท50 จะคุ้มอย่างไรบ้างนั้น มาดูเป็นข้อๆเลยดีกว่าค่ะ Sign Sukhumvit 50 เป็น Private Residence เพราะการออกแบบ Product ของ Sign Sukhumvit 50 ด้วยที่ดินขนาดประมาณ 2 งาน เป็นแปลงเล็ก จึงตัดสินใจสร้างโครงการที่มียูนิตน้อยเพียงแค่ 105 ยูนิตถือว่าเป็นโครงการที่จำนวนยูนิตน้อยที่สุดที่เปิดตัวย่านอ่อนนุชในปี 2560 ทำให้ Sign Sukhumvit 50 มีความเป็นส่วนตัวสูงมากที่สุด Sign Sukhumvit 50 การตกแต่งที่ใส่ใจรายละเอียดมากกว่า และให้มากกว่า ด้วยการตกแต่งแบบ Fully Furnished การเลือกสรรวัสดุคุณภาพ เกรดพรีเมี่ยม และการออกแบบที่ทุกๆ Function การใช้งานได้ถูกออกแบบ มาเพื่อการใช้ชีวิตคนเมืองได้อย่างแท้จริง จุดนี้พูดเพียงอย่างเดียวคงเชื่อยาก แนะนำให้ลองมาเยี่ยมชมห้องตัวอย่างด้วยตัวคุณเองค่ะ Sign Sukhumvit 50 มี Design ที่เป็นเอกลักษณ์ นอกจากตัว Façade ที่ได้กล่าวไปแล้วการออกแบบภายในห้องยังมีความแตกต่างเป็นเอกลักษณ์ด้วย โดยห้อง 1 Bedroom Plus จะมีความพิเศษอยู่ที่ห้องน้ำ  นั่นก็คือ Skyview Bathtub อ่างอาบน้ำอยู่ติดประตูกระจกบานเลื่อนที่ให้ประสบการณ์ใหม่ และมีสุขลักษณะที่ดีระบายอากาศได้ยอดเยี่ยม Sign Sukhumvit 50 มี High value facilities โครงการนี้แม้จะขนาดเล็กแต่ก็จัดพื้นที่ส่วนกลางยอดนิยมอย่างสระว่ายน้ำให้เป็นรูปแบบ Rooftop Pool ถูกใจทุกคนที่ต้องการว่ายน้ำอย่างเป็นส่วนตัว ว่ายน้ำได้สบายใจไม่ต้องแคร์สายตาใคร นอกจากนี้ในบริเวณที่ตั้งโครงการไม่มีตึกสูงเท่าๆ กันสร้างรอบๆ ทำให้มุมมองของชั้น Rooftop ของ Sign Sukhumvit 50 เปิดโล่ง แม้ไม่ใช่ตึกสูง แต่ก็ได้วิวโล่งและมองได้ไกลเช่นกัน Sign Sukhumvit 50 มีระบบ HOME AUTOMATION เพื่อคนรุ่นใหม่ โดยภายในห้องจะแถมฟรีระบบ Sound System Controller ที่เชื่อมต่อลำโพงบนเพดาน และระบบ Home Automation ที่สามารถเปิดปิดไฟและแอร์ล่วงหน้าได้ทุกเวลาที่ต้องการผ่าน Mobile Application แถมประตูยังเป็นแบบ Digital Door lock ยี่ห้อ Samsung โดยทำงานได้ 3 แบบ คือ แบบ Key card, แบบกุญแจ, แบบใส่รหัส ยังไม่หมด พื้นที่ส่วนกลางยังมี ห้อง Co-working Space และ Wifi ไว้คอยบริการอีกด้วย Sign Sukhumvit 50 ใกล้ทางด่วน ใกล้ BTS โครงการอยู่ห่างจากจุดขึ้น-ลงทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ เพียง 450 เมตร ซึ่งสามารถใช้ทางด่วนนี้วิ่งไปรามอินทรา-ลาดพร้าว-เกษตรนวมินทร์ ได้เลยเพียง 15 นาทีก็ถึง หรือจะวิ่งเชื่อมต่อไปย่านพระราม 9 – ดินแดง ก็ได้ นอกจากทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์แล้ว ยังอยู่ไม่ไกลจากทางขึ้น-ลง ทางพิเศษเฉลิมมหานคร ซึ่งทางขึ้นอยู่ที่ ถ.รางรถไฟเก่า สามารถวิ่งไปยังย่านพระราม3- พระราม 2 ได้เช่นกันค่ะ หรือจะออกดอนเมืองโทลเวย์ วิ่งไปยังสนามบินดอนเมืองก็ได้ Sign Sukhumvit 50 ก็ไม่ไกลรถไฟฟ้ามากเกินไป เพราะระยะเดินทางถึงรถไฟฟ้า BTS สถานีอ่อนนุช เพียง 800 เมตร Sign Sukhumvit 50 ใกล้ความสะดวกสบายใกล้ห้างสรรพสินค้า Tesco Lotus จับจ่ายซื้อของเข้าบ้านได้ง่ายสะดวก หาของกินง่าย อยากจะทำอะไรก็มีหมด อำนวยความสะดวกจัดเต็ม และในอนาคต ยังมีแหล่ง Entertainment แห่งใหม่ ที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง อย่าง Century The Movie Plaza อีกด้วย สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการนั้นก็มีอย่างครบครันทั้ง Lobby, Co-Working Space, Library, Fitness, Swimming Pool, Jacuzzi, Rooftop Garden, ที่จอดรถ 40% และระบบรักษาความปลอดภัย CCTV 24 ชม. รวมถึงบริการรถ Shuttle Bus รับ-ส่งถึง BTS อ่อนนุชเลย ในราคาที่หยิบจับได้ไม่ยาก เริ่มต้นเพียง 55 ล้านบาท  มั่นใจในตัวโครงการได้อีกอย่าง คือ ตอนนี้ โครงการผ่านการอนุญาติสิ่งแวดล้อม ( EIA APPROVED ) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ลูกค้าสามารถเชื่อมั่นเรื่องการก่อสร้างโครงการนี้ได้อย่างแน่นอน    
สี่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำร่วมพัฒนา “กมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง” โครงการที่พักอาศัยระดับลักชัวรีเพื่ออิสระแห่งการใช้ชีวิตในวัยเกษียณแห่งใหม่ของเอเชียที่ภูเก็ต

สี่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำร่วมพัฒนา “กมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง” โครงการที่พักอาศัยระดับลักชัวรีเพื่ออิสระแห่งการใช้ชีวิตในวัยเกษียณแห่งใหม่ของเอเชียที่ภูเก็ต

สี่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย ประกอบด้วย  บริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด, บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน), บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) ร่วมลงทุนเพื่อพัฒนา “กมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง” มาตรฐานใหม่ของโครงการที่พักอาศัยระดับลักชัวรีที่มอบประสบการณ์ไลฟ์สไตล์เหนือระดับเพื่อการใช้ชีวิตในวัยเกษียณอย่างอิสระและมีความสุข ในสังคมที่สงบเป็นส่วนตัว และปลอดภัย   โครงการกมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง ตั้งอยู่บริเวณหาดกมลา ชายหาดอันสวยงามบนฝั่งตะวันตกของภูเก็ต พรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการต่าง ๆ อย่างครบวงจร ภายใต้การบริหารและดำเนินงานโดย Otium Living ผู้เชี่ยวชาญด้านที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงวัยชั้นนำระดับนานาชาติ พร้อมทีมผู้บริหารที่แข็งแกร่งด้วยประสบการณ์ โดยมี Audley Group Ltd. ผู้พัฒนาและบริหารโครงการที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุระดับหรูอันดับหนึ่งของสหราชอาณาจักรร่วมเป็นที่ปรึกษา อรฤดี ณ ระนอง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นายณ์ เอสเตท จำกัด กล่าวว่า “สังคมผู้สูงอายุที่กำลังเกิดขึ้นในภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก ส่งผลให้ความต้องการโครงการที่พักอาศัยวัยเกษียณที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกคุณภาพสูงในรูปแบบต่าง ๆ เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง  กมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง คือหนึ่งในชุมชนแห่งการพักอาศัยระดับลักชัวรีสำหรับผู้สูงอายุแห่งแรก ๆ ของเอเชีย ที่มอบไลฟ์สไตล์แห่งการใช้ชีวิตวัยเกษียณอย่างอิสระและเหนือระดับ ในสภาพแวดล้อมที่ถูกออกแบบมาอย่างปราณีตคำนึงถึงปลอดภัยและเป็นส่วนตัว พร้อมด้วยบริการต่าง ๆ ที่ครอบคลุมอย่างครบวงจร ภายใต้การดูแลของทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์สูงในโครงการที่พักอาศัยวัยเกษียณระดับหรูชั้นนำของโลกซึ่งเข้ามามีส่วนร่วมตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ พัฒนาก่อสร้าง จนถึงการบริหารโครงการ” โครงการกมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง ตั้งอยู่ภายในพื้นที่ของมอนท์เอซัวร์ ภูเก็ต โครงการมิกซ์ยูสระดับซูเปอร์ไฮเอนด์บนพื้นที่กว่า 450 ไร่ ใจกลางชายหาดและทิวเขาแถบฝั่งตะวันตกของหาดกมลา หนึ่งในหาดที่สวยงามและสงบเป็นส่วนตัวที่สุดบนเกาะภูเก็ต  กมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง ประกอบด้วยคอนโดมิเนียมจำนวน 200 ยูนิต และวิลล่า 30 ยูนิต มูลค่ารวม 3,500 ล้านบาท ภายในโครงการพรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ทั้งศูนย์ดูแลสุขภาพ คลับเฮาส์ ห้องฟิตเนส สระว่ายน้ำและศูนย์บริการธุรกิจ นอกจากนั้นผู้พักอาศัยยังสามารถใช้บริการสิ่งอำนวยความสะดวกระดับหรูต่าง ๆ ภายในโครงการมอนท์เอซัวร์ ไม่ว่าจะเป็น บีชคลับ ร้านอาหารริมหาดและบาร์ ร้านค้า สปาเพื่อสุขภาพ ตลอดจนเส้นทางขี่จักรยานและเดินเขา เพื่อเติมเต็มประสบการณ์แห่งการใช้ชีวิตทั้งในพื้นที่ร่มและกลางแจ้ง “ภูเก็ตคือสถานที่ที่มีความพรั่งพร้อมในทุกองค์ประกอบสำหรับการใช้ชีวิตในวัยเกษียณ ไม่ว่าจะเป็นสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติที่สวยงาม ภูมิอากาศที่เหมาะสม มีสิ่งอำนวยความสะดวกในด้านต่าง ๆ ครบครัน อีกทั้งยังมีปัจจัยต่าง ๆ ที่ส่งเสริมการพักผ่อนและดูแลสุขภาพ ทั้งโรงพยาบาลที่มีมาตรฐานสูง ระบบคมนาคมที่สะดวกสบาย ใกล้สนามบินนานาชาติภูเก็ต ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนส่งเสริมให้โครงการกมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง มีความน่าสนใจและเป็นที่ต้องการอย่างมากสำหรับผู้สูงอายุทั้งในแถบเอเชีย-แปซิฟิกและยุโรป” อรฤดีกล่าวเสริม โครงการกมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง ให้ความสำคัญกับการบริหารโครงการอย่างครอบคลุม ทั้งในด้านตัวอาคารสถานที่ ด้านการบริการอำนวยความสะดวกต่าง ๆ และด้านการดูแลสุขภาพของผู้พักอาศัย ภายใต้การบริหารและดำเนินงานโดย Otium Living  โดยมี ดร. นาฏ ฟองสมุทร Aged Care Specialist ร่วมเป็นผู้บริหาร ในการบริหารโครงการ Audley Group Ltd.  ผู้พัฒนาและบริหารโครงการที่พักอาศัยสำหรับผู้สูงอายุระดับหรูอันดับหนึ่งของสหราชอาณาจักร จะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้กับ Otium Living ในทุกด้าน ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งานของพื้นที่พักอาศัยและสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ จนถึงการดูแลบริหารโครงการ แดเนียล โฮล์มส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Otium Living Pte Ltd. กล่าวว่า “เอเชียคือภูมิภาคที่มีศักยภาพสูงสำหรับการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยระดับหรูสำหรับผู้สูงอายุ และภูเก็ตก็มีปัจจัยที่เอื้ออำนวยพรั่งพร้อมสำหรับการใช้ชีวิตในวัยเกษียณ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในสถานที่ในฝันสำหรับการอยู่อาศัยในวัยเกษียณสำหรับกลุ่มผู้สูงอายุที่มีความมั่งคั่งจำนวนมากทั้งในประเทศไทย และประเทศอื่น ๆ อย่างสิงคโปร์ ฮ่องกง มาเลเซีย ตลอดจนยุโรป เราจึงมีความตั้งใจที่จะพัฒนาโครงการกมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง ให้เป็นมาตรฐานใหม่ของโครงการที่พักผู้สูงอายุระดับลักชัวรีในเอเชีย เพื่อให้ที่นี่เป็นบ้านพักหลักหรือบ้านหลังที่สองที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้เกษียณอายุ เพื่อไลฟ์สไตล์แห่งการใช้ชีวิตอย่างมีสีสันและเหนือระดับ พรั่งพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก ภายใต้สภาพแวดล้อมอันสวยงาม และดูแลทุกความต้องการของผู้พักอาศัยได้เป็นอย่างดี” องค์ประกอบต่าง ๆ ของโครงการมอนท์เอซัวร์ ล้วนมอบไลฟ์สไตล์อันโดดเด่นให้กับผู้พักอาศัยและผู้มาเยี่ยมเยือน ไม่ว่าจะเป็น Twinpalms Residences MontAzure คอนโดมิเนียมที่พักอาศัยพร้อมวิวทะเลที่สวยงาม Intercontinental Phuket Resort โรงแรมที่พรั่งพร้อมด้วยบริการระดับโลก รวมไปถึง HQ Beach Lounge และCafé Del Mar บีชคลับระดับสากล ที่จะมอบประสบการณ์แห่งความเพลิดเพลินกับร้านอาหารและเอนเตอร์เทนเมนต์ชั้นเลิศริมทะเล เศรษฐพล บุตรโท กรรมการบริหาร โครงการมอนท์เอซัวร์ กล่าวว่า “เรามีความยินดีอย่างยิ่งที่มีโครงการที่พักอาศัยระดับหรูสำหรับผู้สูงวัยเกิดขึ้นเพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์อันหลากหลายภายในโครงการมอนท์เอซัวร์ ชุมชนแห่งใหม่นี้คือความร่วมมือกันระหว่างบริษัทที่มีชื่อเสียง แบรนด์ที่มีเจตนารมณ์ร่วมกันในการสร้างสรรค์ให้โครงการมิกซ์ยูสที่มีพื้นที่กว้างใหญ่และเหนือระดับที่สุดในภูเก็ตแห่งนี้มีความโดดเด่นยิ่งขึ้น เพราะวิสัยทัศน์ของมอนท์เอซัวร์คือการสร้างสรรค์ความหลากหลายและมาตรฐานลักชัวรีในระดับโลก โครงการกมลา ซีเนียร์ ลิฟวิ่ง คืออีกหนึ่งบทพิสูจน์ของความสำเร็จที่กำลังจะเกิดขึ้นจริง และยังเป็นโอกาสในการลงทุนที่มั่นคงสำหรับนักลงทุนจากทั่วโลกอีกด้วย”
“ออริจิ้น” เปิดตัวบิ๊กโปรเจกต์ร่วมทุน “Knightsbridge Prime Onnut” มูลค่ากว่า 2,500 ล้านบาท ชูจุดขาย THE PRIME OF LIVING พร้อมเพดานสูง 3 ม.

“ออริจิ้น” เปิดตัวบิ๊กโปรเจกต์ร่วมทุน “Knightsbridge Prime Onnut” มูลค่ากว่า 2,500 ล้านบาท ชูจุดขาย THE PRIME OF LIVING พร้อมเพดานสูง 3 ม.

ออริจิ้น เปิดตัวโครงการใหม่ “ไนท์บริดจ์ ไพร์ม อ่อนนุช” มูลค่า 2,500 ล้านบาท หนึ่งใน 3 โครงการร่วมทุน “โนมูระ” ชูจุดขาย THE PRIME OF LIVING ที่โดดเด่นในเรื่อง PRIME AREA, PRIME DESIGN และ PRIME FACILITY ด้วยความสูง 47 ชั้น สูงสุดในย่านอ่อนนุช ชี้เป็นพื้นที่ทำเลศักยภาพ พร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานอีเวนท์ใหญ่ “My Life. My Origin” ณ สยามพารากอน 16-17 ก.ย.นี้     นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์เคนซิงตัน, นอตติ้ง ฮิลล์, และไนท์บริดจ์ เปิดเผยว่า จากการร่วมมือกับบริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด พัฒนาโครงการร่วมกันและเปิดขายในไตรมาส 3 ปีนี้ จำนวน 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 6,100 ล้านบาทนั้น โครงการที่ถือเป็นไฮไลท์และมีมูลค่าโครงการมากที่สุด คือโครงการไนท์บริดจ์ ไพร์ม อ่อนนุช (Knightsbridge Prime Onnut) ซึ่งจะกลายเป็นแลนด์มาร์คที่สูงที่สุดในย่านอ่อนนุช โครงการดังกล่าว เป็นคอนโดมิเนียม High-rise สูง 47 ชั้น 1 อาคาร จำนวน 600 ยูนิต และ 1 รีเทล มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท พร้อมเฟอร์นิเจอร์แบบ Fully Fitted ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.69 ล้านบาท ประกอบด้วยห้องชุดแบบ 1 ห้องนอน ขนาด 22-31 ตร.ม. และแบบ 2 ห้องนอน ขนาด 55 ตร.ม. ที่ถูกพัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์ ช่วงเวลาที่สุดของการใช้ชีวิต (THE PRIME OF LIVING) บนพื้นที่ที่ถือได้ว่าเป็น PRIME AREA แห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ที่ตั้งของโครงการอยู่บนเนื้อที่กว่า 2 ไร่ ในซอยสุขุมวิท 77 ติดบิ๊กซี อ่อนนุช ระยะห่างจาก BTS อ่อนนุช เพียง 600 เมตร และใกล้โครงข่ายรถไฟฟ้า 2 สาย ได้แก่ สายสีเขียว (สุขุมวิท) สถานีอ่อนนุช เชื่อมต่อใจกลาง CBD ชั้นนำของกรุงเทพฯ ตลอดจนรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว– สำโรง) อีกทั้งยังใกล้ ทองหล่อ-เอกมัย ที่ถูกจัดให้เป็นแหล่ง Hangout ชั้นนำของกรุงเทพฯ สำหรับการเดินทางเข้า-ออกเมือง ด้วยรถยนต์ส่วนตัวก็เพียงแค่ 10 นาที จาก 2 จุดขึ้น-ลงทางด่วน (รามอินทราอาจณรงค์ และ เฉลิมมหานคร) และห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิเพียง 20 นาที ด้านการออกแบบ พัฒนาขึ้นมาด้วยแนวคิด PRIME DESIGN เน้นโทนสีดำ-ทอง ให้ความรู้สึกหรูหราอย่างมีระดับ มาพร้อมวัสดุระดับพรีเมียม ตัวโครงการหันหน้าไปทางทิศเหนือ ติดกับถนนอ่อนนุชฝั่งขาเข้า ทำให้สะดวกต่อการเดินทาง ทุกๆ ห้องจะมีความสูงจากพื้นถึงเพดาน (Floor to ceiling) ถึง 3 เมตร ให้ความรู้สึกโปร่ง โล่ง สบาย สร้างความสุขอย่างมีระดับให้กับผู้พักอาศัย พร้อมให้ความเป็นส่วนตัวด้วยการจำกัดจำนวนยูนิตต่อชั้นสูงสุดเพียง 23 ยูนิต เหนือชั้นด้วย PRIME FACILITY ที่จอดรถเป็นระบบ Auto Parking ตั้งแต่ชั้น 2-15 รองรับการจอดได้ถึง 65% มีจุดชาร์ตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า รองรับการเปลี่ยนผ่านแห่งอนาคต พื้นที่ส่วนกลางถูกจัดไว้ถึง 3 ชั้น พร้อมพื้นที่สีเขียวกว่า 1 ไร่ โดยส่วน Facility หลัก อยู่ที่ชั้น 37-38 เริ่มต้นจากชั้น 37 ประกอบด้วยส่วน Executive Meeting Room และ Private Meeting Room ห้องประชุมส่วนกลาง ที่มีพื้นที่เชื่อมต่อกันกับ Sky Co-Working Space ตอบโจทย์คนทำงานรุ่นใหม่ ห้อง Steam แยกชาย-หญิง สระว่ายน้ำขนาด 14.5 x 20 x 1.2 เมตร ที่มีส่วน Pool Bar กับ Pool Bed และ Fitness ขนาดกว่า 100 ตร.ม. ในแบบ Double Space “Facility ที่โดดเด่นที่สุดอย่างหนึ่งในโครงการนี้ คือฟิตเนส เพราะได้นำแนวคิด Luxmore และวิธีแบบโนมูระเข้ามาผสมผสาน โนมูระมองว่าฟิตเนสไม่ใช่แค่สถานที่ออกกำลังกาย แต่เป็นสถานที่สร้างสมดุลระหว่างร่างกายและจิตใจ จึงได้พัฒนาฟิตเนสที่แบ่งโซนนิ่งชัดเจน ระหว่างโซนออกกำลังกายและโซนรีแลกซ์ โดยในโซนรีแลกซ์จะมีอาร์ตเวิร์คสวยงามเป็นจุดนำสายตา ให้ความรู้สึกเบาสบาย ขณะเดียวกันมีการออกแบบพื้นที่ให้มีช่องแสงที่ลมผ่านได้ แต่คนผ่านไม่ได้ ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัว” นายพีระพงศ์ กล่าว ขณะที่ชั้น 38 มี Sky Co-Culinary Space  เหมาะสำหรับการจัดปาร์ตี้เล็กๆ แบบอบอุ่นระหว่างคนรู้ใจหรือเพื่อนสนิท สามารถชวนกันมาทำอาหารทานกันเองได้ที่ครัวส่วนกลาง พร้อมอุปกรณ์ครบครัน หรือจะจัดสังสรรค์หลังการประชุมก็สามารถทำได้ ภายในชั้นเดียวกันนี้ยังมี BUSINESS LOUNGE ที่ให้บรรยากาศหรูหรา โอ่โถ่งอีกด้วย สำหรับชั้น 47 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดของโครงการ ถูกออกแบบให้เป็นสวนเล่นระดับ เพื่อให้สามารถชมวิวในแบบพาโนรามา สามารถมองเห็นโค้งน้ำเจ้าพระยา พร้อมพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ของบางกระเจ้า มีไฮไลท์อยู่ที่ส่วน Bangkok Skyscraper Deck ซึ่งออกแบบให้เป็นจุดชมวิวแบบพื้นกระจก สร้างบรรยากาศการพักผ่อนรูปแบบใหม่ “โครงการไนท์บริดจ์ ไพร์ม อ่อนนุชจะเปิดขายอย่างเป็นทางการพร้อมกับอีก 2 โครงการร่วมทุน ในงานมหกรรมสุดยิ่งใหญ่ครั้งแรกของออริจิ้นภายใต้ชื่อ My Life. My Origin ณ แฟชั่น ฮอลล์ และรอยัล พารากอน ฮอลล์ 3 ศูนย์การค้าสยาม พารากอน รวมพื้นที่กว่า 3,000 ตร.ม. ในวันเสาร์และอาทิตย์ที่ 16-17 กันยายนนี้ ภายในงานยังมีโครงการพร้อมอยู่ทำเลรถไฟฟ้าอีกนับสิบโครงการ มาพร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษอยู่ฟรี 3 ปีและส่วนลดสูงสุด 1 ล้านบาท มุ่งหวังจะสร้างมิติใหม่แห่งการอยู่อาศัยแก่ผู้บริโภค” นายพีระพงศ์ กล่าว พื้นที่บริเวณรอยัล พารากอน ฮอลล์ 3 จะจัดแสดงทั้ง 3 โครงการร่วมทุนกับโนมูระ พร้อมด้วยโครงการที่อยู่ระหว่างพรีเซลและระหว่างก่อสร้างอีก 8 โครงการ ขณะที่บริเวณแฟชั่น ฮอลล์จะจัดแสดงโครงการพร้อมอยู่ 12 โครงการ นายพีระพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมถึงศักยภาพทำเลอ่อนนุชว่า ในช่วงที่ผ่านมามีผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ เข้ามาพัฒนาโครงการในพื้นที่นี้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากราคาที่ดินในย่านใจกลางธุรกิจมีราคาเพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้ราคาขายคอนโดมิเนียมขยับสูงขึ้นตามไปด้วย ทำให้กลุ่มลูกค้าระดับกลาง ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ของตลาดไม่สามารถหาซื้อที่อยู่อาศัยในย่านธุรกิจได้ ประกอบกับการขยายตัวของทำเลสุขุมวิท และการเปิดใช้อย่างเป็นทางการของรถไฟฟ้าบีทีเอสส่วนต่อขยายจากอ่อนนุชไปแบริ่ง ยิ่งช่วยทวีความน่าสนใจให้กับอ่อนนุชเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากราคาที่อยู่อาศัยยังพอจับต้องได้ และไม่ไกลจากย่านใจกลางธุรกิจ เมื่อเทียบกับโครงการที่อยู่ในส่วนต่อขยายจากแบริ่งไปยังสมุทรปราการ ยิ่งการขยายตัวของแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวที่เชื่อมต่อจุด Interchange บางนา-สุวรรณภูมิ ยิ่งทำให้การเดินทางสะดวกยิ่งขึ้น ขณะที่ราคาที่ดินในย่านอ่อนนุชก็ขยับเพิ่มขึ้นเฉลี่ยประมาณ 10% ทุกปี เมื่อพิจารณาในส่วนของ Traffic และ Demand ของการปล่อยเช่า ถือว่าอยู่ในระดับสูงทั้งจากกลุ่มลูกค้าคนไทยและต่างชาติ โดยอัตราค่าเช่าในสุขุมวิท 77 ของห้องชุดขนาด 24 ตร.ม. อยู่ที่ประมาณ 10,000-15,000 บาทต่อเดือน อัตราผลตอบแทน (YIELD) อยู่ที่ 5-6% ในส่วนของอัตราค่าเช่าตามแนวถนนสุขุมวิทอยู่ที่ 15,000-25,000 บาทต่อเดือน  YIELD อยู่ที่ 4-6% “ในอนาคต อ่อนนุชจะกลายเป็นศูนย์กลางของการขยายตัวเป็นชุมชนชาวต่างชาติ โดยมีองค์ประกอบจากหลากหลายส่วน เช่น การขยายตัวของความต้องการอยู่อาศัยในราคาที่เหมาะสมของชาวต่างชาติ ความสะดวกสบายในการใช้ชีวิต การขยายตัวของที่พักอาศัย ตลอดจนสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ” นายพีระพงศ์ กล่าวทิ้งท้าย ปัจจุบัน บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Project Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมมาแล้วประมาณ 38 โครงการ รวมมูลค่าโครงการกว่า 36,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้หมุนเวียนต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร
แสนสิริผนึกโตคิว กรุ๊ป เปิดตัว “taka HAUS” (ทากะ เฮาส์) มูลค่า 2,000 ลบ. เตรียมเปิด Global Launch พร้อมกันใน 6 ประเทศ 16-17 กย.นี้

แสนสิริผนึกโตคิว กรุ๊ป เปิดตัว “taka HAUS” (ทากะ เฮาส์) มูลค่า 2,000 ลบ. เตรียมเปิด Global Launch พร้อมกันใน 6 ประเทศ 16-17 กย.นี้

แสนสิริผนึกโตคิว กรุ๊ป เปิดตัว “taka HAUS” (ทากะ เฮาส์) มูลค่า 2,000 ลบ. เตรียมเปิด Global Launch พร้อมกันใน 6 ประเทศ 16-17 กย.นี้ตั้งเป้ายอดขายช่วงพรีเซลล์ 1,000 ล้านบาท วางเป้าหมายกลุ่มลูกค้าไทยและต่างชาติ 55 : 45 เปอร์เซ็นต์ แสนสิริผนึกโตคิว กรุ๊ป เปิดตัว “taka HAUS” (ทากะ เฮาส์) เอกมัย 12  มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียมแบบ Low-rise ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Stay Unique, Stay Diverse” จำนวนเพียง 269 ยูนิตให้ความเป็นส่วนตัวสูง พร้อม Facility ตอบรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่แตกต่างและหลากหลายจับกลุ่มคนไทยและต่างชาติ บนทำเลเอกมัยที่ตอบรับทุกการใช้ชีวิตที่แตกต่างอย่างลงตัว เผยเอกมัย ถูกจัดอยู่ในโซนสุขุมตอนกลางด้วยศักยภาพของทำเลที่มีซอยเชื่อมสู่ทองหล่อ เข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกซึ่งกันและกันได้อย่างครบครัน ขณะที่ราคาประเมินที่ดินโต 50% เทียบเท่าทองหล่อ และอัตราผลตอบแทนต่อการลงทุน 5 – 6% ต่อปี เป็นทำเลที่ได้รับความนิยมสูงในตลาดต่างชาติโดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น เตรียมเปิด Global Launch เปิดขายอย่างเป็นทางการพร้อมกันใน 6 ประเทศ ไทย – ญี่ปุ่น – ฮ่องกง – จีน – สิงคโปร์ – ไต้หวัน วันที่ 16 – 17 ก.ย.นี้ในราคาเริ่มต้น 4.49 ล้านบาท วางเป้าหมายกลุ่มลูกค้าไทยและต่างชาติ 55 : 45 เปอร์เซ็นต์ และตั้งเป้าปิดยอดขายช่วงพรีเซลล์ประมาณ 1,000 ล้านบาท หรือเกินกว่า 50% จากจำนวนยูนิต นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ (Chief Operating Officer) บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทจะเปิดตัวโครงการ “taka HAUS” (ทากะ เฮาส์) ซึ่งนับเป็นคอนโดมิเนียมโครงการล่าสุดภายใต้แบรนด์ “HAUS” (เฮาส์) ที่มีแนวคิดการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ตอบรับไลฟ์สไตล์กลุ่มลูกค้าคนเมืองที่ต้องการที่อยู่อาศัยใกล้ชิดธรรมชาติกลางเมืองใหญ่ โดยพัฒนาโครงการภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Urban Resort Condominium’ ให้ทุกๆวันเป็นวันพักผ่อนได้ในแบบที่เป็นคุณ โดยที่ผ่านมาบริษัทประสบความสำเร็จจากการพัฒนาคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์ HAUS ไปแล้ว 2 โครงการ โครงการแรกคือ ฮาสุ เฮาส์ ภายใต้แนวคิดแบบ Slow Living หรือการใช้ชีวิตอย่างละเมียดละไม และ โมริ เฮาส์ ภายใต้แนวคิด Trees of Life แบบ Eco-Living หรือการใช้ชีวิตที่อิงอาศัยธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในทำเลสุขุมวิท 77 หรือ T77 ของแสนสิริ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมากจากลูกค้าชาวต่างชาติ โดยเฉพาะลูกค้าชาวญี่ปุ่น ฮ่องกงและสิงคโปร์ เนื่องจากตอบโจทย์การอยู่อาศัย บรรยากาศดี เงียบสงบร่มรื่นด้วยคลองธรรมชาติที่ทอดตัวผ่านพื้นที่สีเขียว สามารถเดินทางเข้าเมืองสู่ย่านธุรกิจได้อย่างสะดวก สำหรับคอนโดมิเนียม ทากะ เฮาส์ จำนวน 269 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “Stay Unique, Stay Diverse” ตอบการใช้ชีวิตที่ไม่หยุดนิ่งในแบบที่เป็นคุณ พัฒนาภายใต้ บริษัท สิริ ทีเค วัน (Siri TK One Company Limited) ซึ่งเป็นบริษัทภายใต้ความร่วมมือระหว่าง  บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรระดับโลกและบริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งนับเป็น ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาและให้บริการระบบรถไฟในเขตชานเมืองโตเกียว การพัฒนาเมืองและอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงกิจการโรงแรม รีสอร์ท และธุรกิจอื่นๆ และบริษัท สหโตคิว คอร์ปอเรชัน จำกัด ในสัดส่วน กลุ่มแสนสิริถือหุ้น 70% และกลุ่มโตคิวฯ ถือหุ้นสัดส่วน 30% ร่วมกันพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียม โดยบริษัทเตรียมเปิด Global Launch เปิดขายอย่างเป็นทางการพร้อมกันใน 6 ประเทศ ไทย – ญี่ปุ่น – ฮ่องกง – จีน – สิงคโปร์ – ไต้หวัน ในวันที่ 16 – 17 กันยายนนี้ ในราคาเริ่มต้น 4.49 ล้านบาท พร้อมโปรโมชั่นรับส่วนลดสูงสุดกว่า 50,000 บาท พร้อมลุ่นทริปไปฮาวายและสกีรีสอร์ท “คำว่า “ทากะ” มีความหมายถึง “เหยี่ยว” ซึ่งตามความเชื่อญี่ปุ่นสื่อถึงสิ่งที่ดี ความเป็นสิริมงคลในการใช้ชีวิต นับเป็นหนึ่งใน 3 ความฝันที่ดีในช่วงปีใหม่สำหรับการเริ่มต้นใช้ชีวิต สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายของโครงการทากะ เฮาส์ ซึ่งรักอิสระ คล่องแคล่ว ปราดเปรียว ทันสมัยชอบทำกิจกรรมที่หลากหลายเริ่มแยกจากครอบครัวออกมาอยู่เอง ใช้ชีวิตท่ามกลางแหล่งอำนวยความสะดวกครบครัน นอกจากนี้รูปแบบโครงการยังมีความโดดเด่น ทั้งฟังก์ชั่นการอยู่อาศัย ที่มียูนิต เลย์เอาท์ให้เลือกมากกว่า 30 แบบตอบโจทย์การอยู่อาศัยที่หลากหลาย จำนวนยูนิตพักอาศัยเพียง 269 ยูนิต ให้ความเป็นส่วนตัวสูงเทียบกับ Facility ภายในโครงการที่สามารถตอบรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่แตกต่างและหลากหลายเทียบเท่าคอนโดมิเนียมแบบไฮท์ไรซ์ โดยนับเป็นครั้งแรกของคอนโดมิเนียมแสนสิริที่มีการนำ ENDLESS JET POOL หรือ สระว่ายน้ำทวนกระแส สำหรับการออกกำลังกายในน้ำ UNDERWATER TREADMILL หรือลู่วิ่งใต้น้ำและ BIKE SIMULATOR เข้ามาใช้ในโครงการ นอกเหนือไปจากสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ สระว่ายน้ำ ห้องออกกำลังกาย สวนและมุมพักผ่อนแบบเอาท์ดอร์พร้อม Wifi Internet ระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมงพร้อมหน่วยงาน Sansiri Security Inspection (SSI) คุมเข้มความปลอดภัย ที่มีอยู่ในทุกคอนโดมิเนียมตามมาตรฐานการพัฒนาโครงการของแสนสิริ นอกจากนี้ Ground Floor ยังประกอบด้วย ล้อบบี้พร้อมห้องสมุด,     เอนเตอร์เทนเมนต์ รูม, Co-Kitchen, เกมส์ รูม และมุมพักผ่อนเก๋ๆแบบ Tree House ที่มีกระจกโดยรอบเพื่อให้กลมกลืนกับธรรมชาติอีกด้วย พร้อมก้าวสู่ PropTech การเป็นบริษัท Property Technology เต็มรูปแบบรายแรกของไทย โดยนำนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ เข้ามาใช้ในโครงการเพื่อตอบโจทย์ลูกค้า โดยโครงการทากะ เฮาส์ จะมีการนำระบบ แสนสิริ โฮม เซอร์วิส แอปพลิเคชัน, สมาร์ท ล้อคเกอร์, EV Charging Station, Home Automation และ Alexa (Echo Dot By Amazon) เข้ามาใช้ภายในโครงการ” นายอุทัย กล่าว โครงการคอนโดมิเนียม ทากะ เฮาส์ ตั้งอยู่ในซอยสุขุมวิท 63 หรือเอกมัย 12 (ซอยเจริญใจ) ซึ่งเป็นซอยที่เชื่อมระหว่างถนนสุขุมวิทและถนนเพชรบุรีตัดใหม่ที่สามารถเดินทางเข้าออกสู่หลากหลายเส้นทางได้อย่างสะดวก อาทิ ถนนพระรามเก้า และถนนเลียบทางด่วนเอกมัย – รามอินทรา รวมทั้งยังอยู่ใกล้สถานที่ตอบรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตต่างๆ ทั้ง โรงพยาบาลชั้นนำโดยรอบ อาทิ โรงพยาบาลสมิติเวช, โรงเรียนนานาชาติชั้นนำ อาทิ โรงเรียนนานาชาติ บางกอกเพรพ (Bangkok Prep) คอมมูนิตี้ มอลล์ อาทิ Nihonmura Mall, เจ อเวนิว, คาเฟ่, บาร์, ซุปเปอร์มาเก็ต, ร้านอาหาร และแหล่ง Hangout ซึ่งเป็นที่นิยมมากมาย รวมทั้งยังสามารถเดินทางเข้าออกได้สะดวกสบายเนื่องจากมีทางทะลุเข้าออกได้หลากหลายเส้นทาง “ซอยเอกมัย นับเป็นทำเลที่อยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมอีกแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ โดยที่ผ่านมาแสนสิริประสบความสำเร็จในการเปิดขายโครงการ CEIL by Sansiri (ซีล บาย แสนสิริ) จำนวน 374 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาทในทำเลนี้มาแล้ว ทั้งนี้ เอกมัย มีจุดเด่นในการเป็นทำเลที่ขนานไปกับทองหล่อและอยู่ห่างกันเพียง 500 เมตร มีซอยเชื่อมกันเป็นระยะๆ ทั้งทองหล่อซอย 10, ซอยแจ่มจันทร์ เอกมัยจึงถูกพ่วงเข้าไว้กับทองหล่อมาโดยตลอด ทำให้ทั้งสองย่านนี้จึงมีข้อได้เปรียบ และสามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกซึ่งกันและกันได้ จึงมีการใช้ประโยชน์หลากหลายกว่าซอยสุขุมวิทอื่นๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งศักยภาพของที่ดินในทำเลดังกล่าว ราคาประเมินที่ดินในย่านเอกมัยเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนใกล้เคียงกับสุขุมวิทตอนต้น อาทิ ซอยนานา ในขณะที่อัตราการเติบโตของราคาประเมินที่ดินก็สูงถึง 50% เทียบเท่าทองหล่อ นอกจากนี้ยังมีตัวแปรที่สำคัญอีกหลายอย่าง อาทิโครงการจากภาครัฐและเอกชน เน้นย้ำความเป็นสุขุมวิทตอนกลาง และเพื่อเตรียมความพร้อมในการเข้าสู่การเป็นสุขุมวิทตอนต้นให้มากขึ้น อาทิ โครงการพัฒนาและปรับปรุงฟื้นฟูย่านทองหล่อ-เอกมัย โดย UDDC หนึ่งในพื้นที่นำร่องของการพัฒนาและปรับปรุงฟื้นฟูย่าน ซึ่งศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมือง (UDDC) ทำร่วมกับกรุงเทพมหานคร โดยมองว่าทำเลทองหล่อ-เอกมัยมีศักยภาพในหลายด้าน ทั้งการเป็นจุดเชื่อมต่อกับกรุงเทพชั้นกลางและชั้นนอก รวมไปถึงการเป็นพื้นที่ที่มีกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่หลากหลาย โดยแนวทางของการพัฒนาและปรับปรุงฟื้นฟูย่านทองหล่อ-เอกมัย คือการปรับปรุงโครงข่ายถนนตรอกซอยต่างๆ ให้สามารถเชื่อมต่อกันได้มากขึ้น กำหนดพื้นที่ที่เน้นการส่งเสริมการพัฒนา เพิ่มพื้นที่สีเขียว ปรับปรุงคลองให้มีทัศนียภาพที่ดีและเดินได้สะดวกขึ้น ซึ่งในอนาคต เราจะได้เห็นทองหล่อ-เอกมัยในบทบาทของย่านธุรกิจสร้างสรรค์ที่นำเทรนด์ของเมือง ย่านที่อยู่อาศัยหนาแน่นและแหล่งงานนานาชาติ รวมไปถึงสามารถเดินได้สะดวกและมีระบบ feeder รองรับอีกด้วย” นายอุทัย กล่าว นอกจากนี้จากการเปลี่ยนแปลงของเมืองและการขยายตัวของเส้นสุขุมวิทที่ขยายตัวออกมาทางเอกมัยมากขึ้น ยังส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของราคาและค่าเช่าที่อยู่อาศัย โดยการเปลี่ยนแปลงของราคาคอนโดมิเนียมรีเซลล์เติบโตเฉลี่ย 6 - 10% ต่อปี และราคาปล่อยเช่าในทำเลเอกมัยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 25,000-55,000 บาทต่อเดือน ขณะที่ผลตอบแทนในการลงทุนอยู่ที่ประมาณ 5-6% ต่อปี ซึ่งนับว่าราคาคอนโดมิเนียมในทำเลนี้ยังเหมาะสมในการซื้อเพื่อการลงทุน ดังนั้น “เอกมัย” จึงกลายเป็นทำเลที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่โฟกัสชาวต่างชาติเป็นหลัก โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้เช่าเกรดพรีเมียมสำหรับกลุ่มนักลงทุน “บริษัทตั้งเป้าปิดยอดขายโครงการทากะ เฮาส์ ในช่วง Presale มากกว่า 50% หรือประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับยอดขายโครงการคอนโดมิเนียมของแสนสิริซึ่งทำได้แล้ว 11,800 ล้านบาท บริษัทจะสามารถสร้างยอดขายได้กว่า 12,800 ล้านบาท หรือคิดเป็น 50% จากเป้าหมายยอดขายคอนโดมิเนียมที่วางไว้ 25,000 ล้านบาท โดยการเปิดตัวโครงการ ทากะ เฮาส์ รวมทั้งโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ๆ เพื่อตอบรับความต้องการอยู่อาศัยของกลุ่มลูกค้าในปีนี้ยังคงเป็นไปอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีตามแผนธุรกิจที่วางไว้รวมทั้งมั่นใจว่าบริษัทจะสามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้าหมาย” นายอุทัย กล่าว