Tag : Products

144 ผลลัพธ์
[PR News] กฟผ.จับมือโฮมโปร จัดแคมเปญกระตุ้นประชาชนใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าเบอร์ 5  

[PR News] กฟผ.จับมือโฮมโปร จัดแคมเปญกระตุ้นประชาชนใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าเบอร์ 5  

กฟผ. ร่วมกับ โฮมโปร จัดแคมเปญ “สุขใจผู้ให้ ประหยัดไฟผู้รับ” เป็นของขวัญ ส่งท้ายช่วงสิ้นปี เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนเลือกซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้าเบอร์ 5 คาดแคมเปญจะช่วยประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้กว่า 310 ล้านบาทต่อปี และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 39,000 ตันต่อปี นายยงยุทธ ศรีชัย ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารด้านการใช้ไฟฟ้าและกิจการเพื่อสังคม การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยว่า กฟผ. ดำเนินโครงการฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 เพื่อส่งเสริมการใช้ไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพให้แก่ผู้ใช้ไฟฟ้ามาตั้งแต่ปี 2538 โดยในปีนี้ กฟผ. ได้ร่วมกับผู้ประกอบการปรับเกณฑ์มาตรฐานเบอร์ 5 ให้ประหยัดพลังงานสูงขึ้นกว่าเดิมพร้อมทั้งปรับรูปแบบฉลากใหม่ เป็นฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ติดดาว และเริ่มวางจำหน่ายตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2562 ที่ผ่านมา   ทั้งนี้ตลอดระยะเวลาการดำเนินโครงการฯ กฟผ. ได้ส่งเสริมให้ผู้ใช้ไฟฟ้าเกิดพฤติกรรมการเลือกซื้อและใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าเบอร์ 5 ด้วยการรณรงค์และประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่าง ๆ ควบคู่กับการประสานความร่วมมือในการวางจำหน่ายอุปกรณ์ไฟฟ้าเบอร์ 5 กับพันธมิตร และผู้ประกอบการ Outlet อย่างต่อเนื่อง   ล่าสุด กฟผ. จึงได้ร่วมกับ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) จัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอุปกรณ์ไฟฟ้าเบอร์ 5 ภายใต้แคมเปญ “สุขใจผู้ให้ ประหยัดไฟผู้รับ” เพื่อส่งมอบของขวัญในนามของกระทรวงพลังงานและ กฟผ. แก่ประชาชน ส่งท้ายช่วงสิ้นปีและส่งต่อเป็นของขวัญในช่วงเทศกาลปีใหม่ 2563 โดยเปิดโอกาสให้ประชาชนได้เลือกซื้ออุปกรณ์เบอร์ 5 ในราคาพิเศษ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าเบอร์ 5 เพิ่มขึ้น อีกทั้งเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนใช้ไฟฟ้าอย่างประหยัด และมีประสิทธิภาพ โดยคาดว่าจะสามารถกระตุ้นให้เกิดการซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้าเบอร์ 5 รวมกันได้ไม่น้อยกว่า 430,000 ชิ้น ซึ่งจะส่งผลให้ประหยัดไฟฟ้าประมาณ 78 ล้านหน่วยต่อปี หรือ 310 ล้านบาทต่อปี และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 39,000 ตันต่อปี   นอกจากนี้ สำหรับประชาชนที่ซื้ออุปกรณ์ไฟฟ้าเบอร์ 5 ในแคมเปญนี้ ยังสามารถแจ้งความประสงค์ในการส่งมอบอุปกรณ์ไฟฟ้าเก่าที่ไม่ได้ใช้งาน เพื่อนำไปต่อยอดในการสร้างประโยชน์ให้กับมูลนิธิยุวพัฒน์ และมูลนิธิกระจกเงา โดยไม่มีค่าใช้จ่ายในการขนส่ง อีกด้วย   ทั้งนี้ เมื่อช่วงฤดูร้อนที่ผ่านมา กฟผ. และโฮมโปร ยังได้ร่วมกันจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดอุปกรณ์ไฟฟ้าเบอร์ 5 ภายใต้แคมเปญ “ลดดับร้อน” ซึ่งสามารถกระตุ้นให้เกิดการซื้ออุปกรณ์เบอร์ 5 รวมกันมากกว่า 340,000 ชิ้น อีกทั้งประหยัดพลังงานไฟฟ้า 100 ล้านหน่วยต่อปี หรือ 400 ล้านบาทต่อปี และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 51,000 ตันต่อปี ด้าน นางสาวจารุโสภา ธรรมกถิกานนท์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) (โฮมโปร) กล่าวเพิ่มเติมว่า โฮมโปร และ กฟผ. ได้ร่วมกันจัดกิจกรรมประหยัดพลังงานมาอย่างต่อเนื่อง เป็นปีที่ 4 โดยสามารถประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้กว่า 1,000 ล้านบาท   สำหรับแคมเปญ “สุขใจผู้ให้ ประหยัดไฟผู้รับ” โฮมโปร และ กฟผ. ยังคงต้องการส่งเสริมให้ประชาชนหันมาใส่ใจเรื่องพลังงานมากขึ้น อีกทั้งเป็นของขวัญส่งท้ายช่วงสิ้นปี จึงจัดโปรโมชั่นสุดพิเศษมากมาย เพื่อให้ประชาชนได้รับความคุ้มค่า ทั้งเงินค่าช้อปและเงินค่าไฟฟ้า อาทิ สมาชิกบัตรโฮมการ์ด และโฮมโปร วีซ่า แพลตินัม เมื่อช้อปเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ติด ฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ครบทุก 5,000 บาทขึ้นไป รับส่วนลดเพิ่ม 3% และรับคะแนนสะสมเพิ่ม 50 คะแนน หรือแลกส่วนลดเพิ่ม 50 บาท พร้อมรับสิทธิ์ผ่อนชำระ 0% นานสูงสุด 4 เดือนเริ่มตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2562 ที่ โฮมโปร และ The Power ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือช้อปออนไลน์ได้ที่ www.homepro.co.th  
“คอตโต้”แจงงบ Q3 รายได้ลดแต่ทำกำไรเพิ่ม

“คอตโต้”แจงงบ Q3 รายได้ลดแต่ทำกำไรเพิ่ม

“คอตโต้” แจงผลประกอบการไตรมาส 3 รายได้ลด 2% เหตุยอดขายชะลอตัวลง แต่ทำกำไรเพิ่ม หลังหันมาลดต้นทุนภายใน-ปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหาร พร้อมเดินหน้าขยายสาขา “คอตโต้ ไลฟ์” แห่งที่ 2 ในจ.เชียงใหม่ เจาะกลุ่มสถาปนิกและลูกค้าไฮเอนด์   นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO  ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องภายใต้แบรนด์คอตโต้ (COTTO) โสสุโก้ (SOSUCO) และคัมพานา (CAMPANA) เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3 ของปี ​2562 ว่า มีรายได้จากการขาย 2,728 ล้านบาท ลดลง 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 2% จากไตรมาสก่อน เป็นผลมาจากยอดขายโดยรวมลดลง โดยเฉพาะในส่วนของสินค้าระดับกลางลงมา ในขณะที่สินค้าระดับบนและสินค้านำเข้ามีราคาขายเฉลี่ยลดลง   อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมีกำไร 87  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 180% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ เพิ่มขึ้น 312% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากในไตรมาสนี้ บริษัท สามารถลดต้นทุนจากการดำเนินงาน  ตามแผนการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้ตามเป้าหมาย ประกอบกับมีค่าใช้จ่ายลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากได้มีการรับรู้ค่าใช้จ่าย รายการค่าใช้จ่ายที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านแรงงานไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นายนำพล กล่าวว่า ตลาดเซรามิกในไตรมาสที่ 3 ถือว่ายังไม่มีปัจจัยบวก และเติบโตเป็นศูนย์ เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ซึ่งเติบโตประมาณ 1% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งสอดคล้องกับการอัตราขยายตัวด้านเศรษฐกิจ (GDP) ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับลดประมาณการอัตราขยายตัว  GDP  ปีนี้ลงเหลือเติบโตที่ 2.8% ต่อปี จากเมื่อเดือน มิถุนายน 2562 ที่คาดการณ์ว่าจะเติบโตได้ 3.3%  ส่งผลกระทบต่อยอดขายสินค้า ในส่วนของตลาดระดับกลางลงมา ในขณะที่ตลาดระดับบนยังมีแนวโน้มที่ดี   “ในไตรมาส 3 บริษัทมีค่าใช้จ่ายลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสที่ 2  ประกอบกับยังคงรักษาวินัยด้านต้นทุนด้านการผลิตได้ตามเป้าหมาย จึงทำให้สามารถแข่งขันและทำกำไรได้” สำหรับกลยุทธ์การตลาดที่สำคัญ บริษัท ยังคงมุ่งเน้นเรื่องการสร้างแบรนด์  COTTO ให้แข็งแกร่ง  และเป็นแบรนด์ที่อยู่ในใจผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย โดยได้ดำเนินการเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสแรกของปีนี้ ด้วยการปรับปรุงและเปิดดำเนินการ “COTTO Life”  แห่งแรกที่ เอสซีจี เอ็กซ์พีเรียนซ์ คริสตัล ดีไซน์เซ็นเตอร์ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย  โดยเฉพาะกลุ่มเจ้าของบ้านและผู้ที่กำลังจะสร้างบ้านในระดับราคาสูงกว่า 5 ล้านบาทขึ้นไป เห็นได้จากช่วงต้นปีที่ผ่านมา  มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเฉลี่ยประมาณ 500 รายต่อเดือน มียอดขายเฉลี่ยประมาณ 26,000 บาทต่อราย และมีแนวโน้มยอดขายเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง     ในไตรมาสนี้ บริษัทจึงได้ขยายสาขา COTTO Life แห่งที่ 2 ซึ่งตั้งอยู่ที่ โครงการ CHOC ถนนมหิดล ใกล้กับท่าอากาศยานนานาชาติ จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพและมีกำลังซื้อสูง จากการที่เป็นศูนย์กลางของภาคเหนือในหลายๆ ด้าน ที่สำคัญ คือ เป็นพื้นที่ศูนย์รวมสถาปนิก ทั้งบริษัทออกแบบ สถาปนิกอิสระ และบุคลากรทางการศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จาก 3 สถาบันชั้นนำ คือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนา วิทยาเขตพายัพ และมหาวิทยาลัยแม่โจ้   “จากประสบการณ์ของเรา ลูกค้ากลุ่มลูกค้าสถาปนิก นักออกแบบและบุคคลากรในวงการนี้ ส่วนใหญ่มักจะชื่นชอบความพิเศษและความแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร เราเข้าใจความต้องการของเขา ดังนั้นสินค้าที่นำมาจัดแสดงที่นี่จะเป็นสินค้าคอลเล็กชั่นพิเศษซึ่งจะมีจำหน่ายเฉพาะที่ COTTO Life เท่านั้น  นอกจากนี้ ยังได้เตรียมพื้นที่ Co-working Space เพื่อให้สถาปนิกหรือเจ้าของโครงการได้เข้ามาใช้พื้นที่ในการพบปะสังสรรค์ ประชุมหรือเสนองานกับลูกค้าด้วย”    
รู้ทัน! ภัยร้ายใกล้ตัวจากวัสดุก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน และเทคนิคเลือกซื้อ

รู้ทัน! ภัยร้ายใกล้ตัวจากวัสดุก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน และเทคนิคเลือกซื้อ

การอยู่อาศัยในปัจจุบัน เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคม  และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนยุค 4.0  จนกลายเป็นเทรนด์ที่อยู่อาศัยยุคใหม่ เช่น บ้านเพื่อผู้สูงอายุ บ้านที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและผู้อยู่อาศัย บ้านนวัตกรรม หรือบ้านอัจฉริยะ เป็นต้น   ทุกเทรนด์ล้วนเป็นที่อยู่อาศัยเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นทั้งสิ้น แต่รู้หรือไม่ว่า...สิ่งหนึ่งที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษไม่ว่าคุณจะเลือกเทรนด์ที่อยู่อาศัยแบบใดก็ตาม คือ วัสดุก่อสร้างที่ใช้ในการก่อสร้างและตกแต่งบ้านต้องปราศจากสารพิษ หรือสารเคมี เพราะวัสดุก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐานอาจมาพร้อมกับสารพิษร้ายแรง เช่น แร่ใยหิน (Asbestos) ตะกั่ว (Lead) เป็นต้น   สารพิษเหล่านี้จะแพร่กระจายอยู่ภายในบ้าน เมื่อสูดดม หรือสัมผัสเป็นเวลานานๆ จะส่งต่อสุขภาพผู้อยู่อาศัย โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็กและผู้สูงอายุ อาจทำให้เกิดภูมิแพ้ ปวดศรีษะ ไอจาม ไม่สบายโดยไม่ทราบสาเหตุ หรืออาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายเรื้องรังอย่าง มะเร็ง   “เอสซีจี” ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุก่อสร้าง จึงอยากให้เจ้าของบ้าน ประชาชนทั่วไป และผู้รับเหมาก่อสร้าง รู้ทันภัยร้ายใกล้ตัว หันมาใส่ใจกับการเลือกใช้วัสดุก่อสร้าง และวัสดุตกแต่งกันมากขึ้น เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างแท้จริงของสมาชิกทุกคนในบ้าน   นายเจือ คุปติทัฬหิ Consult and Design Solution Business Lead  จาก “เอสซีจี” เล่าว่า ในชีวิตประจำวันเราใช้เวลาส่วนใหญ่ในการทำกิจกรรมและพักผ่อนภายในบ้าน จึงเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงการสัมผัส และสูดดมสารพิษจากวัสดุก่อสร้างภายในบ้าน ดังนั้น เจ้าของบ้าน สมาชิกภายในบ้าน และผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างควรรู้เท่าทันภัยร้ายใกล้ตัวเหล่านี้ เพื่อจะได้หลีกเลี่ยง และหาแนวทางปกป้องสมาชิกภายในบ้านให้ปลอดภัยจากสารพิษต่างๆ     ทำความรู้จักกับ 2 สารพิษตัวร้าย ที่มักเจือปนอยู่ในวัสดุก่อสร้าง    1. แร่ใยหิน หรือแอสเบสตอส (Asbestos) เป็นแร่ธรรมชาติมีลักษณะเป็นเส้นใยที่ปนอยู่ในเนื้อหิน ถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมของวัสดุก่อสร้างหลายชนิด เช่น กระเบื้องหลังคา ฝ้าเพดาน ท่อน้ำซีเมนต์ ฉนวนกันความร้อน และแผ่นไม้สังเคราะห์ โดยหากสูดดมเข้าไปบ่อยๆ เป็นเวลานาน จะก่อให้เกิดโรคร้ายเรื้อรัง อาทิ โรคปอดอักเสบ มะเร็งปอด มะเร็งเยื่อหุ้มปอด รวมถึงยังเป็นอันตรายต่อระบบสืบพันธุ์อีกด้วย   2. ตะกั่ว (Lead) เป็นโลหะหนักที่มีลักษณะอ่อนทำให้หลอมเหลวได้ง่าย และสามารถพิมพ์แบบออกมาเป็นรูปร่างต่างๆ ได้ดี จึงนิยมนำไปใช้ผลิตก๊อกน้ำ และฝักบัว ซึ่งหากการผลิตไม่ได้มาตรฐานจะทำให้มีสารตะกั่วปนเปื้อนมากับน้ำ เมื่อดื่ม หรือสัมผัส อาจส่งผลให้เกิดอาการตะกั่วเป็นพิษ เช่น อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ หงุดหงิดง่าย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน มึนชาอวัยวะแขนขา หรืออาจมีอาการความจำถดถอย ไม่มีสมาธิ หากรุนแรงอาจส่งผลให้ชัก ซึม หมดสติ และเสียชีวิต   ทั้งนี้ เอสซีจี ในฐานะองค์กรที่มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และส่งมอบโซลูชั่นที่ครบวงจร มีความปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงขอแนะนำเทคนิคเบื้องต้นในการเลือกซื้อวัสดุก่อสร้างอย่างปลอดภัย คือ เลือกแบรนด์ที่เชื่อถือได้ และต้องมีมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) หรือมาตรฐานรับรองจากสถาบันที่มีความน่าเชื่อถือ ขณะเดียวกันผู้ใช้ควรหาข้อมูล หรือตรวจสอบเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการผลิต และวัสดุที่ใช้ในการผลิตของแต่ละแบรนด์ด้วย     3 เทคนิคดีๆ ในการเลือกวัสดุก่อสร้าง   กระเบื้องหลังคา ฝ้าเพดาน และไม้สังเคราะห์ แนะนำให้เลือกผู้ผลิตที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตโดยไม่มีส่วนผสมของใยหิน ซึ่งจะใช้เส้นใยธรรมชาติ หรือเส้นใยสังเคราะห์พิเศษ เช่น ไฟเบอร์ซีเมนต์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตที่ปลอดภัยทดแทน แร่ใยหิน และใช้กระบวนการผลิตและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ด้วยวัตถุดิบและกระบวนการผลิตข้างต้นจะทำให้ผลิตภัณฑ์มีคุณสมบัติที่ดีกว่าวัสดุที่มีส่วนผสมของใยหิน คือ แข็งแรง ทนทาน ไร้สารพิษ และเนื้อเหนียวมากขึ้น  ทั้งยังทนทานต่อจุลินทรีย์ เชื้อรา แบคทีเรีย และสารเคมี ซึ่งเอสซีจี ถือเป็นผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างรายแรกของไทยที่ใช้นวัตกรรมการผลิตแบบไม่มีใยหิน   ฉนวนกันความร้อน เป็นวัสดุที่มักเกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นวัสดุอันตรายเช่นเดียวกับใยหิน แต่ความจริงแล้ว ฉนวนใย แก้วจะมีลักษณะโครงสร้างเป็นท่อนทรงกระบอกที่มีขนาดใหญ่เกินกว่าจะเข้าปอดได้ สำหรับเทคนิคในการเลือกฉนวนใยแก้วให้สังเกตมาตรฐานรับรองเพิ่มเติมจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ อย่างฉนวนกันความร้อน เอสซีจี รุ่น STAY COOL ซึ่งได้รับการรับรองจากสถาบันวิจัยมะเร็งนานาชาติ (IARC) ขององค์การอนามัยโลก นอกจากนี้ฉนวนใยแก้วยังมีข้อดีด้านความปลอดภัยอีกเรื่อง คือ เป็นวัสดุที่ไม่ลามไฟจึงมีความปลอดภัยต่อผู้ใช้อย่างแท้จริง   ก๊อกน้ำ และฝักบัว ควรผลิตจากโลหะคุณภาพสูงที่ไม่ทำให้น้ำที่ไหลผ่านปนเปื้อนอนุภาคโลหะหนักที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ  อาทิ ทองเหลือง ทองแดงเจือ ทองบร๊อนซ์ หรือเหล็กกล้าไร้สนิม และหากมีตะกั่วผสมจะต้องมีส่วนผสมไม่เกินค่ามาตรฐานตามที่ มอก. กำหนดไว้ โดยเมื่อทดสอบกับน้ำจะต้องมีปริมาณตะกั่วไม่เกิน 0.007 มิลลิกรัมต่อลิตร นอกจากนี้ควรพิจารณาผิวภายนอก โดยเลือกที่ผิวเคลือบสี ไม่บุ๋ม ไม่พอง ไม่เป็นคลื่น ไม่แตก ไม่นูน ไม่ร้าว ไม่มีสิ่งสกปรกที่เป็นตำหนิ หรือรูเข็ม  
7 ฟังก์ชั่น “จระเข้ เทอร์โบ พลัส” ประโยชน์มากกว่า ในราคาสุดคุ้ม

7 ฟังก์ชั่น “จระเข้ เทอร์โบ พลัส” ประโยชน์มากกว่า ในราคาสุดคุ้ม

  การสร้างหรือการซ่อมแซมบ้าน ปัจจัยหนึ่งที่มักทำให้งบประมาณบานปลาย  คือ ขาดการวางแผนและเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ไม่มีคุณภาพ  คำนึงแต่เรื่องราคาถูกเป็นหลัก ทำให้เวลาเอามาใช้งานจริง ไม่ได้ตามมาตรฐานของงาน ผลงานจึงออกมาไม่มีคุณภาพ หรือเมื่อใช้ไปได้สักระยะก็ต้องมาเจอปัญหาเดิม  ต้องมานั่งรื้อนั่งซ่อมกันใหม่  ทำให้ต้องเสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลา และอารมณ์  หงุดหงิดกับปัญหาซ้ำซากที่ต้องเจอบ่อยๆ   การเลือกใช้วัสดุจึงควรจะเน้นเรื่องคุณภาพมาเป็นอันดับแรก และพิจารณาเรื่องของความคุ้มค่าคุ้มราคา อายุการใช้งานยาวนาน ไม่ต้องมาเสียอารมณ์ เสียเวลาแก้ไขปัญหาที่ตามมาภายหลัง แม้ว่าอาจจะต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย  แต่ถ้าคำนวณแล้วคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่เสียไป  ก็น่าจะดีกว่าเลือกซื้อแต่ของถูกเท่านั้น   อย่างห้องน้ำหรือห้องครัวที่มีการปูกระเบื้อง ปัญหาสำคัญที่มักพบเสมอ เมื่อใช้งานไปได้สักระยะหนึ่ง คือ ยาแนวของกระเบื้องหลุดล่อน เกิดเปราะแตก น้ำรั่วซึม เกิดปัญหาราดำ ซึ่งสาเหตุหลักเกิดจากการใช้ยาแนวที่ไม่มีคุณภาพที่ดีมากพอ ไม่เหมาะกับประเภทกระเบื้อง ทำให้มีปัญหาภายหลังมากวนใจ กวนเงินในกระเป๋าเจ้าของบ้าน ให้ต้องตามแก้ตามซ่อมกันเสมอๆ   5 เทคนิคเลือกใช้ยาแนวเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด ถ้าไม่อยากให้เกิดปัญหาเรื่องยาแนวกระเบื้องในภายหลัง  ลองใช้ 5 เทคนิคนี้เป็นแนวทาง ในการเลือกใช้ยาแนวให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด   1.เลือกใช้ยาแนวให้เหมาะกับประเภทของกระเบื้อง เริ่มต้นของการเลือกยาแนวที่ทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด คือต้องเลือกให้เหมาะสมกับประเภทกระเบื้อง เช่น กระเบื้องแกรนิตโต้นิยมปูชิดเพื่อความสวยเนียน มีขนาดร่องเพียง 0.2-2 มม. ส่วนกระเบื้องเซรามิคทั่วไปมีร่องขนาด 3 มม. การเลือกยาแนวจึงต้องมีคุณสมบัติไหลลึกเหมาะกับร่องของกระเบื้องร่องเล็กปูชิด     2.เลือกใช้ยาแนวให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งานของกระเบื้อง กระเบื้องที่ปูในห้องต่างๆ ไม่ว่าจะห้องน้ำ ห้องครัว หรือห้องทั่วไป ลักษณะการใช้งานก็แตกต่างกันไป เพราะสภาพแวดล้อมแตกต่างกัน ห้องน้ำและห้องครัวอาจจะต้องเจอกับน้ำและความชื้นมากเป็นพิเศษ ทำให้อาจจะเกิดเชื้อรา หรือราดำตามร่องยาแนวได้ การเลือกใช้ยาแนวจึงต้องเลือกที่มีคุณสมบัติป้องกันราดำ และทนต่อกรดหรือสารเคมีในน้ำยาทำความสะอาดได้ดีกว่า เป็นต้น แต่ถ้าเป็นห้องทั่วไปภายในอาคาร ก็ควรเลือกกาวยาแนวที่มีสารระเหยที่เป็นพิษต่ำ (Low VOC) ทำให้เกิดสภาพอากาศที่ดีทั้งระหว่างการก่อสร้างและการอยู่อาศัย   3.เลือกสินค้าจากแบรนด์หรือผู้ผลิตที่มีมาตรฐานการผลิต เป็นที่ยอมรับ สินค้ายาแนวที่จำหน่ายในท้องตลาดมีอยู่มากมาย หลากหลายยี่ห้อ  และผู้ผลิต เหตุผลง่ายๆ ที่เราจะต้องเลือกสินค้าจากแบรนด์และผู้ผลิตที่มีมาตรฐานการผลิต เป็นที่ยอมรับ เพราะสินค้าจะมีคุณภาพและมาตรฐานตามที่เราต้องการใช้งานจริงๆ หากไปใช้สินค้าที่แบรนด์ไม่เป็นที่รู้จัก แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าสินค้ามีคุณภาพตรงตามที่ได้โฆษณาไว้     4.เลือกสินค้าที่มีคุณสมบัติพิเศษเพิ่ม เดี๋ยวนี้การผลิตสินค้ามีเทคโนโลยี และการพัฒนาที่ล้ำหน้าไปไกล ผู้ผลิตจึงมักเสริมคุณสมบัติพิเศษของสินค้า  เพื่อให้สินค้ามีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับลูกค้านำไปใช้งาน ดังนั้นเราจึงควรเลือกสินค้าที่มีคุณสมบัติพิเศษ ที่เหนือกว่าสินค้าที่มีแค่คุณสมบัติพื้นฐาน หากราคาไม่แตกต่างกันมากนัก   5.ไม่เลือกสินค้าโดยพิจารณาแต่ราคาเป็นหลัก เรื่องราคาอาจจะเป็นปัจจัยหลักของหลายคนในการเลือกสินค้า แต่หากคิดให้รอบครอบ การเลือกสินค้าโดยคิดแต่เอาเรื่องราคาถูกเข้าไว้ก่อน นานไปก็ต้องมีปัญหาตามมาให้แก้ไข เพราะสินค้าราคาถูกก็ย่อมจะมากับคุณภาพพอประมาณ ถ้าคิดเฉพาะราคาสินค้าถูกก็อาจจะเป็นทางเลือกที่ดี แต่อย่าลืมถ้ามีปัญหาต้องเสียเวลา และหาช่างมาซ่อมแซมเพิ่มเติม นี่คือต้นทุนที่เพิ่มขึ้น เผลอๆ คิดแล้วอาจจะแพงกว่าการเลือกซื้อสินค้าคุณภาพดี ที่อาจมีราคาสูงกว่าเล็กน้อยด้วยซ้ำ และการเลือกจากขนาดถุงใหญ่กว่าก็อาจไม่ใช่คำตอบ ขนาดบรรจุควรเป็นขนาดที่เหมาะสมต่อการใช้งาน ไม่เหลือเศษทิ้งจนต้องจ่ายเกินจำเป็น     ถ้าพูดถึงเทรนด์การใช้กระเบื้อง สำหรับใช้ปูห้องต่างๆ ต้องยอมรับว่าเดี๋ยวนี้กระเบื้องประเภทแกรนิตโต้ ได้รับความนิยมถูกนำมาใช้ในบ้านและคอนโดมิเนียมมากมาย เพราะมีทั้งความสวยงามและมีรูปแบบให้เลือกหลากหลายประเภทในการใช้งาน แต่การเลือกใช้กระเบื้องแกรนิตโต้ให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ทั้งความสวยงามและอายุการใช้งานยาวนาน คงต้องมีกาวยาแนวที่มีประสิทธิภาพควบคู่กันด้วย   บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในฐานะผู้นำด้านการผลิตภัณฑ์กาวยาแนว  จึงได้ทำตลาดผลิตภัณฑ์ กาวยาแนว จระเข้ เทอร์โบ พลัสเพื่อสนองตอบความต้องการของลูกค้า ที่หันมาปูกระเบื้องแกรนิตโต้และกระเบื้องตัดขอบปูชิดกันเพิ่มมากขึ้นด้วย และยังเป็นการแก้ไขปัญหาต่างๆ ของลูกค้าที่ใช้ผลิตภัณฑ์กาวยาแนวไม่มีคุณภาพ หรือไม่เหมาะกับกระเบื้องแกรนิตโต้  ทำให้ห้องที่ปูกระเบื้องแกรนิตโต้ ประสบปัญหาภายหลังมากมาย อาทิ ปัญหาราดำ  น้ำซึม และเปราะแตก เป็นต้น  ซึ่งสาเหตุสำคัญคือยาแนวไม่ลงลึกไปในร่องของกระเบื้องได้เต็มประสิทธิภาพ  ดังนั้น ถ้าไม่อยากให้ต้องมาตามแก้ไขปัญหาภายหลัง จึงต้องเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพจริงๆ   ลองมาดูกันว่าผลิตภัณฑ์กาวยาแนว จระเข้ เทอร์โบ พลัส มีอะไรดีบ้าง  เพราะแม้ว่าจะมีขนาดถุงเล็กๆ แต่เต็มด้วยประสิทธิภาพ เรียกได้ว่า แก้ได้หมดจบทุกปัญหา   7 ฟังก์ชั่น “จระเข้ เทอร์โบ พลัส” ที่ให้ประโยชน์มากกว่าในราคาสุดคุ้ม 1. กาวยาแนว จระเข้ เทอร์โบ พลัส มี Deep Active Molecule ทำให้เนื้อกาวไหลตัวได้ลึก ยึดเกาะเต็มร่องเล็ก สำหรับร่องยาแนว ขนาด 0.2-5 มม. โดยเฉพาะกระเบื้องแกรนิตโตที่นิยมปูชิด แต่เต็มประสิทธิภาพที่เรียกได้ว่า “เล็กแต่แรง” จริงๆ หมดปัญหาที่จะเกิดขึ้นภายหลัง เพราะสามารถไหลลึกกว่า 8 มม. หรือเต็มความหนาของกระเบื้องแกรนิตโต้ จึงไม่เกิดโพรงช่องว่างหมดปัญหาน้ำซึมผ่านได้ หากเป็นยาแนวธรรมดาทั่วไป จะยึดเกาะร่องเล็กสุดตั้งแต่ 1-5 มิลลิเมตรเท่านั้น จึงมีโอกาสเปราะแตกง่ายกว่าสร้างปัญหาตามมาอีกมากมาย      2. กาวยาแนว จระเข้ เทอร์โบ พลัส มีเทคโนโลยีไมโครแบน ทำให้มีคุณสมบัติยับยั้งราดำและตะไคร่น้ำ ที่ถือเป็นปัญหาสกปรกกวนใจ แถมยังเป็นแหล่งเชื้อโรคอีกด้วย ซึ่งสาเหตุของการเกิดราดำ เป็นเพราะเราละเลยและเลือกกาวยาแนวไม่ถูกประเภท ซึ่งส่งผลให้ยาแนวเปราะแตก มีน้ำซึม เกิดราดำในที่สุด     และเมื่อยาแนวหลุดล่อน น้ำจะซึมผ่านใต้แผ่นกระเบื้อง หากเป็นห้องน้ำชั้น 2 จะทำให้ฝ้ารั่ว ฝ้าพังเกิดความเสียหาย น้ำหยดลงเฟอร์นิเจอร์ และหยดลงพื้น จากปัญหาเล็กๆ กลายเป็นปัญหาใหญ่ในที่สุด  ทำให้ทุกอย่างพังหมด ต้องหาช่างมาซ่อมแซม เสียค่าใช้จ่ายบานปลาย เสียทั้งเงิน ทั้งเวลา เพียงเพราะมองข้ามเรื่องเล็กๆ เหล่านี้     3. กาวยาแนว จระเข้ เทอร์โบ พลัส ยังมีคุณสมบัติในเรื่องการแห้งตัวเร็ว สามารถเปิดใช้พื้นที่ได้ภายใน 6 ชั่วโมงเท่านั้น ซึ่งปกติยาแนวทั่วไปนั้นกว่าจะแห้งสนิท หรือเปิดพื้นที่ใช้งานได้ ต้องใช้ระยะเวลา 12-24 ชั่วโมง เหมาะมากกับบ้านหรือคอนโดที่มีห้องน้ำเดียวและต้องใช้ทุกวัน     4. คุณสมบัติด้านการทนกรด และสารเคมีมากกว่ากาวยาแนวทั่วไป ทำให้หมดปัญหาและข้อกังวลใจหากใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ที่มีสารเคมีหรือกรดซึ่งไม่ต้องกังวลใจว่ายาแนวจะซึกกร่อนได้ เพราะหากเป็นยาแนวปกติทั่วไปนั้น มีคุณสมบัติพื้นฐานเพียงแค่ปิดร่องกระเบื้อง แต่ไม่ได้พัฒนาให้กาวยาแนวมีคุณสมบัติทนกรด ทำให้เมื่อใช้ไปได้ไม่นานก็เกิดปัญหาหลุดล่อน เพราะถูกกรดหรือสารเคมีจากผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดทำลายยาแนว   5. นอกจากกาวยาแนว จระเข้ เทอร์โบ พลัส จะมีเทคโนโลยีไมโครแบน ลดปัญหาราดำแล้ว ยังมีสารไฮโดรโฟบิก ที่ช่วยลดคราบสกปรกฝังแน่น และลดการซึมน้ำ ซึ่งเป็นต้นเหตุการณ์ทำให้กระเบื้องหลุดล่อนอีกด้วย หากเป็นยาแนวธรรมดา ที่ไม่ได้มีสารไฮโดรโฟบิก สิ่งที่เรามักพบเสมอคือ คราบสกปรกฝังแน่น เป็นคราบดำ เนื่องจากยาแนวนั้นเน้นแต่เพียงการปิดร่องกระเบื้อง เป็นคุณสมบัติพื้นฐานหลักเท่านั้น     6. กาวยาแนว จระเข้ เทอร์โบ พลัส ยังมี WCAC Technology ซึ่งช่วยในเรื่องของลดการเกิดคราบขาวได้ในหนึ่งเดียว เป็นคุณสมบัติพิเศษ   7. ผลิตภัณฑ์กาวยาแนว จระเข้ เทอร์โบ พลัส ใช้เทคโนโลยีและมาตรฐานการผลิตสินค้าเป็นที่ยอมรับในระดับสากล โดยได้รับการทดสอบควบคุมตามมาตรฐาน ANSI A 118.6 (Unsanded), A 118.7 (Unsanded) มาตรฐานยุโรป EN 13888 CG2 และผ่านเกณฑ์การทดสอบตามมาตรฐานการประเมินอาคารเขียว หรืออาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม LEED v4 ในหัวข้อ Indoor Environmental Quality – IEQ (คุณภาพสภาพแวดล้อมในอาคาร) ด้วยวัสดุที่มีสารระเหยที่เป็นพิษต่ำ   จะเห็นว่าผลิตภัณฑ์กาวยาแนวมีความสำคัญมากต่อการปูกระเบื้อง และไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์ยาแนวอุดร่องกระเบื้องเท่านั้น แต่มีความสำคัญมากต่อการป้องกันปัญหาจุดเล็กๆ ที่อาจจะบานปลายเป็นปัญหาใหญ่ ต้องใส่ใจเลือกผลิตภัณฑ์กาวยาแนวจระเข้ เทอร์โบ พลัส ไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่จะมากวนใจภายหลัง แม้ว่าอาจจะมีราคาสูงกว่าสินค้าในท้องตลาด และมีขนาดบรรจุต่อถุงเพียง 0.5 กิโลกรัม แต่ก็ครอบคลุมพื้นที่ได้มาก ประสิทธิภาพสูง บรรจุขนาดเหมาะกับพื้นที่ใช้งาน  เรียกว่าจ่ายครั้งเดียวคุ้มค่าในระยะยาวถือได้ว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ “เล็กแต่แรง” เต็มไปด้วยประสิทธิภาพ และคุ้มค่าคุ้มราคามากเลยทีเดียว   หมายเหตุ : LEED (Leadership in Energy and Environmental Design) มีต้นกำเนิดจากสหรัฐอเมริกาเป็นที่ยอมรับใช้ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกในการก่อสร้างปรับปรุงอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม   ข้อมูลสินค้าเพิ่มเติม : http://bit.ly/2B0ANyw  
รวมโปรโมชั่นเฟอร์นิเจอร์-ของตกแต่งบ้าน เดือนตุลาคม 2562  

รวมโปรโมชั่นเฟอร์นิเจอร์-ของตกแต่งบ้าน เดือนตุลาคม 2562  

เริ่มเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของการลดราคากันกระหน่ำ จากเดือนตุลาคมยาวไปจนถึงสิ้นปี สำหรับสินค้าเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน รวมไปถึงวัสดุอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ก็เริ่มออกโปรโมชั่นมาให้ได้เลือกชม เลือกช้อปกันแล้วนะคะ และอย่าลืมติดตาม Reviewyourliving ไว้ รับรองว่าจะนำโปรโมชั่นดีๆ มาฝากกันทุกสัปดาห์ค่ะ     Index Living Mall จัดโปรฯ “BUY 1 GET 1” ว้าว!! ของฟรี มีอยู่จริง ที่คนรักบ้านต้องไม่พลาด อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ (Index Living Mall) ชวนคุณว้าว!! กับของฟรี มีอยู่จริงด้วยโปรโมชั่น “BUY 1 GET 1” สินค้า ซื้อ 1 แถม 1 พบกับทัพเฟอร์นิเจอร์ของแต่งบ้าน และของใช้ภายในบ้าน ยกขบวนมาลดราคานับร้อยรายการ อาทิ   สินค้าซื้อ 1 ฟรี 1 ช้อปชุดห้องนอน (ตู้เสื้อผ้า 4 บาน+เตียง) รุ่น ออแกโน่ 16,990 บาท รับฟรี ตู้วางทีวี มูลค่า 5,990 บาท สินค้า ซื้อ 1 แถม 1 อาทิ เก้าอี้ทานอาหาร, เก้าอี้สำนักงาน, หมอนหนุน, ชุดเครื่องนอน, ผ้าม่าน, ชุดจาน, แก้วมัค, ชุดเครื่องครัว, กล่องอเนกประสงค์ ฯลฯ สินค้าสุดคุ้ม เลือกซื้อคู่กันสินค้าในราคาพิเศษ 25,990 บาท อาทิ เลือกที่นอน 6 ฟุต โซฟา, ชั้นวางของ 5 ชั้น, อาร์มแชร์,   ลุ้นรับรถยนต์ สมาชิก Joy Card รับสิทธิ์ลุ้นรถยนต์ The All-New NISSAN NOTE มูลค่า 640,000.- เพียง ช้อปที่อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ และเดอะ วอล์ค สาขาเกษตร-นวมินทร์ และสาขาราชพฤกษ์ ครบทุก 1,000 บาท ตั้งแต่วันนี้-8 ม.ค. 2563 พร้อมรับ สิทธิ์ผ่อนสบายๆ 0% นานสูงสุด 6 เดือน   สนุกช้อปได้แล้วตั้งแต่วันนี้ - 13 พ.ย. 62 ที่อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ทุกสาขา (สินค้าหมดแล้วหมดเลย)   หนาวนี้ไม่มีสะท้าน กับเสื้อยืด 5 สี โปรดีๆ “หนาวนี้มีฟิน” หนาวนี้ “ยิปซัมตราช้าง” ให้คุณเตรียมความพร้อมเพิ่มความอบอุ่นแก่ร่างกายไปกับโปรโมชั่น “หนาวนี้มีฟิน” ด้วยเสื้อยืดแขนยาวคอลเลคชั่นใหม่ล่าสุด เมื่อซื้อแผ่นยิปซัมตราช้าง ขนาด 1200X2400 มม. ครบ 30 แผ่น หรือแผ่นฝ้าพิมพ์ลายทีบาร์ เปเปอร์ทัช ตราช้าง ขนาด 600x600 มม. ครบ 24 กล่อง รับไปเลยทันทีเสื้อยืดคอกลมแขนยาวใส่คูลๆ 1 ตัว มี 5 สีให้สะสมใส่เพิ่มความฟิน  ดำ เหลือง ชมพู เขียว และฟ้า  ทั้งนี้ลูกค้ามั่นใจได้เมื่อเลือกใช้แผ่นยิปซัมตราช้าง ด้วยคุณสมบัติเด่น แกร่งทน ไม่แอ่นตัว โมเลกุลหนาแน่น สม่ำเสมอ  เรียบเนียนสวย และทนทานใช้งานได้นาน   โปรโมชั่นเริ่มตั้งแต่วันนี้ถึง 15 พฤศจิกายน 2562 หรือจนกว่าของแถมจะหมด ณ ร้านยิปซัมเอ็กซ์เพรส ผู้แทนจำหน่ายเอสซีจี และร้านขายวัสดุก่อสร้างชั้นนำทั่วประเทศ   All About Bedroom Sale ชุดห้องนอนครบเซ็ต ราคาเริ่มต้นที่ 9,900 บาท แต่งห้องนอนให้สวยจัดเต็ม ไปกับชุดห้องนอนและที่นอนราคาพิเศษสุด ช้อปง่ายผ่อนสบาย 0 % ทั้งร้าน   เซ็ตสุดคุ้ม ชุดห้องนอน ราคาเริ่มต้น 9,900 บาท ชุดห้องนอนเลือกมิกซ์แอนด์แมตช์ ให้คุณเลือกจับคู่เตียงนอนและตู้เสื้อผ้า ได้ในราคา 25,900 บาท ซื้อชุดห้องนอนครบเซ็ตวันนี้ ลดเพิ่ม 15% ชุดห้องนอน New Arrival ลดสูงสุด 40% สินค้ากลุ่ม Bedroom Best Time ชุดห้องนอนพร้อมส่งใน 4 วัน ช้อปครบตามเงื่อนไข รับทันทีบัตรกำนัลเงินคืน สูงสุด 10% รับสิทธิ์ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน กับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ พิเศษสุดๆ สำหรับลูกค้าบัตรเครดิต SCB รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 80,000 บาท และสำหรับคนรักการแต่งบ้าน ที่ยอดช้อปสูงสุด 10 ท่านแรก รับบัตรกำนัลที่พักสุดหรู 5 ดาว ที่หัวหินมูลค่ารวม 85,000 บาท   ที่ SB Design Square ทุกสาขา 1 ต.ค. 62 - 31 ต.ค. 62 เท่านั้น   ฉลองเปิดสาขา!! โฮมโปรเอส สามย่าน มิตรทาวน์ เติมเต็มความสุข สะดวกสบาย ใกล้คุณ รวบรวมสินค้าเรื่องบ้านอัพเดทใหม่ รวมถึงสินค้าเก๋ๆ พร้อมฟังก์ชั่นใช้งานที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งานมากกว่าเดิมในราคาที่เอื้อมถึง ภายใต้ 3 คอนเซ็ปต์   SMART : สะดวกทุกการจับจ่าย ด้วยหลากหลายช่องทางการช้อปทำให้ชีวิตของคุณง่ายขึ้น SELECT : เลือกสรรสินค้า ตอบสนองไลฟ์สไตล์คนเมือง SERVICE : บริการ ติดตั้ง ซ่อมแซม ปรับปรุงบ้านด้วยทีมช่างมืออาชีพ   ฉลองสาขาใหม่ โปรโมชั่นคุ้มเกินคุ้ม เครื่องใช้ไฟฟ้าผ่อนสบาย 0%* นานสูงสุด 24 เดือน และ  สินค้าจัดรายการพิเศษ 1 แถม 1 หมดแล้วหมดเลย ที่โฮมโปรเอส สามย่าน มิตรทาวน์ (ชั้น 2 Zone B) 20 ก.ย. 2562-30 ต.ค. 62   Power Mall Clearance Sale! ลดสูงสุด 70% POWER MALL CLEARANCE SALE!! จัดให้! ลดล้างสต็อคถล่มเมือง!  โปรโมชั่นลดสูงสุดถึง 70%* ผ่อน 0%* นาน 10 เดือน* M Card ลดเพิ่มสูงสุดถึง 12.5%* กับสินค้าคุณภาพ ในราคาเร้าใจสุดๆ ไม่ว่าจะเป็น ทีวี ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศnเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว หรืออุปกรณ์ไอทีต่างๆ สมาร์ทโฟน โน๊ตบุ๊ค ก็มีครบ! ที่ MCC HALL ชั้น 4 เดอะมอลล์ สาขางามวงศ์วาน วันนี้-13 ต.ค. 62              
สรุปข่าวรอบสัปดาห์ วันที่ 14-22 กันยายน 2562

สรุปข่าวรอบสัปดาห์ วันที่ 14-22 กันยายน 2562

เหลือเวลาไม่อีกกี่วันเดือนกันยายนก็จะผ่านพ้นไป และเป็นการก้าวเข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้แล้ว วันเวลาผ่านไปเร็วมาก ฤดูกาลสุดท้ายในการทำธุรกิจและเร่งยอดขาย คงเหลือเวลาอีกแค่ 3 เดือน เพื่อพิชิตเป้าหมายให้ได้ตามที่ได้ประกาศไว้ตั้งแต่ต้นปี บรรยากาศธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็น่าจะคึกคักมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา ช่วงรอบสัปดาห์ของวันที่ 14-22 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา กิจกรรมของดีเวลลอปเปอร์ก็มีออกมาอย่างต่อเนื่อง ใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ติดตามกันได้... พฤกษา เปิดคอนโดใหม่ ไลฟ์สไตล์สุขุมวิท The Privacy S101   “พฤกษา” ถือเป็นเจ้าตลาดบ้านและคอนโดมิเนียม ที่เปิดตัวโครงการใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ The Privacy S101 (เดอะไพรเวซี่ สุขุมวิท 101) มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท  เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 8 ชั้น จำนวน 2 อาคารที่เชื่อมต่อถึงกัน บนพื้นที่ประมาณ 3 ไร่ จำนวน 394 ยูนิต  เป็นแบบตกแต่งครบ (Fully Furnished) มีให้เลือก 3 รูปแบบคือ แบบ 1 Bedroom ขนาด 26-29 ตารางเมตร แบบ 1 Bedroom Plus ขนาด 35 ตารางเมตร และ Combined Unit ขนาด 55 ตารางเมตร   นายปิยะ ประยงค์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท - แวลู บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โครงการดังกล่าวพัฒนา ภายใต้แนวคิด “Live SUKhumvit Moment” ซึ่งมาจากที่ตั้งโครงการ ที่อยู่ในซอยสุขุมวิท 101 เพียง 450 เมตรถึงรถไฟฟ้าสถานีปุณณวิถี เชื่อมต่อ Skywalk ถึง ทรูดิจิทัลพาร์ค โครงการเป็นห้องชุดตกแต่งครบราคาเริ่มต้นเพียง 2.49 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 100,000 บาทต่อตารางเมตร   ดีแลนด์ฯ จับมือ “วราภรณ์ ซาลาเปา-ชาตรามือ” เปิดไดร์ฟทรูแห่งแรก   หลังจากบริษัท ดี-แลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ได้เปิดตัวคอมมูนิตี้มอลภายใต้แบรนด์ “พอร์โต้ โก” (Porto Go) ไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว กับทำเลบางปะอิน ตั้งอยู่บนถนนสายเอเชีย กิโลเมตรที่ 4 ฝั่งขาออกจากกรุงเทพฯ ที่อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในชื่อ “พอร์โต้ โก บางปะอิน” และประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี จึงเดินพัฒนาโครงการที่ 2   นายสุเทพ ปัญญาสาคร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี-แลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ได้ทุ่มงบประมาณ 400 ล้านบาท พัฒนาโครงการ “พอร์โต้ โก ท่าจีน” บนพื้นที่  23 ไร่  ตำบลบางโทรัด อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ก่อนถึงวัดเกตุมวดีศรีวราราม  เจาะกลุ่มนักเดินทางบนถนนพระราม 2 ซึ่งมีปริมาณการจราจร เฉลี่ยสูงถึงวันละ 120,000 คัน เพื่อสร้างประสบการณ์และความสะดวกสบาย  ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำติดแอร์พร้อมระบบสุขภัณฑ์แบบไร้การสัมผัส สถานีบริการน้ำมัน ร้านค้า ร้านอาหารมากถึง 30 ร้าน บริการชาร์จไฟฟ้ารถยนต์ และที่จอดรถมากกว่า 200 คัน พร้อมที่จอดรถทัวร์  คาดว่าจะสร้างเสร็จสมบูรณ์และเปิดให้บริการได้เต็ม รูปแบบภายในต้นปี 2563   บริษัทยังได้ดึงพันธมิตรทางธุรกิจที่พร้อมจะขยายธุรกิจในรูปแบบไดร์ฟทรูและรูปแบบใหม่ๆ ที่จะ เกิดขึ้นในอนาคตเข้าร่วม ซึ่งปัจจุบันโครงการ “พอร์โต้ โก ท่าจีน” มีพันธมิตร ทั้ง Starbucks และ KFC เปิดให้ บริการไดร์ฟทรู จนถึง 4 ทุ่มทุกวันแล้ว อีกทั้ง วราภรณ์ ซาลาเปา และ ชาตรามือ สองแบรนด์ดังสัญชาติไทย ได้เตรียมเปิดไดร์ฟทรูเป็นสาขาแรกในประเทศไทยในวันที่ 27 กันยายน และ 10 ตุลาคมนี้ ในส่วนสถานีบริการน้ำมัน ได้จับมือกับบริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด ในการเปิดสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ ซึ่งจะเป็นสาขาที่ 3 บนถนนพระราม 2 เปิดให้บริการในเดือนพฤศจิกายนนี้ (อ่านข่าวเพิ่มเติม) ฮาบิแทท กรุ๊ป ชู 4 จุดแข็ง ไลฟ์สไตล์อินเวสเม้นท์ ธุรกิจอสังหาฯ แม้ว่าตลาดโดยรวมจะชะลอตัว โดยเฉพาะมาตรการ LTV ที่ออกมา ส่งผลกระทบให้กำลังซื้อของกลุ่มลูกค้าบางส่วนหายไป  แต่สำหรับกลุ่มนักลงทุนที่ยังมีกำลังซื้อก็ยังคงมีอยู่ในตลาด ถ้าสินค้าใช่ ทำกำไรตอบโจทย์พวกเขาได้ กลุ่มฮาบิแทท จึงยังคงเดินหน้าจับตลาดกลุ่มนักลงทุนที่มองหาโอกาสทางการตลาดและผลตอบแทนจากธุรกิจอสังหาฯ อย่างต่อเนื่อง   นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีอัตราการเติบโตที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอสังหาฯ เพื่อการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่า ตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ หรือ “ไลฟ์สไตล์ อินเวสเม้นท์” (Lifestyle Investment) ซึ่งเป็นแนวทางที่บริษัท มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจเป็นผู้นำทางการตลาด และวันนี้พร้อมก้าวไปอีกขั้นด้วยการประกาศวิสัยทัศน์เพื่อก้าวสู่ “THE CREATOR OF LIFESTYLE INVESTMENT” ซึ่งเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในตลาดอสังหาฯเพื่อการลงทุน ที่ไม่ใช่แค่พัฒนาโปรดักส์และการให้บริการเท่านั้น แต่ยังเป็นการมอบความคุ้มค่าในการลงทุน ภายใต้แนวคิด Invest Remarkably, Live Extraordinary   ทั้งนี้ ฮาบิแทท กรุ๊ป มีความมุ่งมั่นที่จะก้าวสู่ “THE CREATOR of LIFESTYLE INVESTMENT” เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนในรูปแบบไลฟ์สไตล์ อินเวสเม้นท์ ผ่านจุดเด่นที่แตกต่าง 4 ด้านสู่ความสำเร็จ ได้แก่ 1.UNBREAKABLE CHALLENGER ทีมงานที่มีความมุ่งมั่น และไม่หยุดแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อลูกค้า มองไปข้างหน้าเพื่อพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตและการลงทุนที่คุ้มค่าในอนาคต 2.REALISTIC OPTIMIST เตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคต ด้วยการยึดถือความเป็นจริงเป็นหลัก และสร้างโอกาสความเป็นไปได้อยู่เสมอ โดยไม่หวั่นไหวกับปัญาหาและอุปสรรคใดๆ 3.SERVICE INNOVATOR มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมบริการ สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว เพื่อยกระดับสู่การเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ล้ำหน้าอยู่เสมอ 4.ZENITH OF VISIONARIES มุ่งศึกษาค้นคว้าและเรียนรู้ถึงพฤิตกรรมของลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด สอดรับกับการขยายตัวของตลาดโลก   เอสบี ปรับลุคสาขา CDC ใหม่ เป็น Flagship Store ครบวงจร ไม่เพียงแต่ธุรกิจอสังหาฯ  ต้องปรับตัวเพื่อสร้างการเติบโตให้ได้ตามเป้าหมายเท่านั้น แต่ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์เองก็ต้องปรับตัวเช่นกัน เพราะคู่แข่งในตลาดเยอะมาก แถมการแข่งขันก็สูงจากสงครามราคา แต่ละแบรนด์จึงต้องสร้างความแตกต่าง และเพิ่มความหลากหลายในสินค้าเพื่อเป็นทางเลือกกับลูกค้ามากที่สุด   นางธัญญรักข์ ชวาลดิฐ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท เอสบี เฟอร์นิเจอร์ เปิดเผยว่า ได้ทุ่มงบประมาณกว่า 200 ล้านบาท ขยายพื้นที่ เอสบี ดีไซน์สแควร์ สาขา คริสตัล ดีไซน์เซ็นเตอร์ (CDC) เพิ่มจาก 10,000 ตาราเมตร เป็น 15,000 ตารางเมตร พร้อมปรับโฉมใหม่ให้เป็น Flagship Store  ครบวงจร ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The New Era of Luxe Design Home Decorations” เนื่องจากเป็นสาขาที่เปิดให้บริการมานานนับ 10 ปี  ซึ่งมีสินค้าตกแต่งบ้านใหม่ๆ แบรนด์ชั้นนำจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายมาเพิ่มมากขึ้น  แต่พื้นที่มีจำกัดจึงจำเป็นต้องขยายพื้นที่รองรับ นอกจากการขยายพื้นที่ให้บริการแล้ว  ยังมีการเปิดตัว Zelection Built-in ซึ่งเป็นแบรนด์ของกลุ่มสินค้าบิลท์อิน และได้เปิดตัว SB Designer Club Workspace ซึ่งจะเป็น Hub แห่งแรกของเหล่าอินทีเรียดีไซเนอร์เฉพาะที่เป็นสมาชิก “SB Designer Club” เท่านั้น โดยการจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมายไม่ว่าจะเป็น Meeting Rooms, Smart TV, Free WIFI, Pointer, Bluetooth Speaker, F&B Special Pack (อ่านข่าวเพิ่มเติม) “ออริจิ้น” ร่วมทุน “กลุ่มดุสิตธานี” ปั้นคอนโดไฮเอนด์ การทำธุรกิจในยุคนี้ บางครั้งก็ต้องมีเพื่อนทางธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตร่วมกัน แบบว่าใช้จุดเด่นของแต่ละบริษัทมาทำให้เกิดความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ดีกว่าจะมาแข่งขันกันเอง ลุ่ดกลุ่มออริจิ้นจึงจับมือกับกลุ่มดุสิตธานี พัฒนาโครงการร่วมกัน   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า ได้จับมือกับบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DTC ร่วมกันครั้งแรกในสัดส่วน 51% ต่อ 49% เพื่อพัฒนาโครงการร่วมทุน (Joint Venture Project) ภายใต้ชื่อ “เดอะ แฮมป์ตัน ศรีราชา บาย ออริจิ้น แอนด์ ดุสิต” (The Hampton Sriracha by Origin and Dusit) เป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ 26 ชั้น 1 อาคาร แบ่งเป็นยูนิตพักอาศัย 468 ยูนิต และยูนิตเพื่อการพาณิชย์ 3 ยูนิต บริเวณตรงข้ามตึกคอม ใจกลาง ศรีราชา มูลค่าโครงการประมาณ 1,400 ล้านบาท   เนื่องจากมองว่าพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC มีศักยภาพการเติบโต เนื่องจากมีทั้งเมกะโปรเจ็คท์และเม็ดเงินลงทุนสะพัดมหาศาล มีนักลงทุนเข้ามาในพื้นที่จำนวนมาก รวมถึงมีการคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในพื้นที่ปีละไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน  ประกอบกับอำเภอศรีราชา ถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพที่สุดอีกแห่งหนึ่งใน EEC เนื่องจากมีทั้งนิคมอุตสาหกรรมดั้งเดิม เช่น นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง และนิคมอุตสาหกรรมที่กำลังจะพัฒนาขึ้นใหม่อีกจำนวนมาก อยู่ใกล้แหล่งโลจิสติกส์ระหว่างประเทศที่กำลังจะพัฒนาขึ้นอย่างท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 รวมถึงยังเป็นที่ตั้งของโครงการเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล หรือ ดิจิทัล พาร์ค ไทยแลนด์ ซึ่งเป็นเมกะโปรเจ็คท์และแลนด์มาร์คใหม่ของบริษัทด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพในไทยและภูมิภาคบนพื้นที่กว่า 700 ไร่   เอพี ไทยแลนด์ จับมือพันธมิตร ผนึกม.สแตนด์ฟอร์ด เปิดทำวิจัยระดับโลก การทำธุรกิจหัวใจหลักของความสำเร็จ คือ “คน” เพราะ คือ ผู้ที่จะขับเคลื่อนองค์กรให้ไปในทิศทางที่วางเอาไว้  การพัฒนาบุคลากรจึงเป็นความสำคัญอันดับแรกๆ ขององค์กร  เอพี ไทยแลนด์ จึงได้ร่วมกับเอไอเอส และธนากคารกสิกรไทย จับมือร่วมกันพร้อมด้วยมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เปิด The Stanford Thailand Research Consortium การทำวิจัยระดับโลก ภายใต้การดูแลของ SEAC   ครั้งแรกของโลก ที่รวมศาสตราจารย์และผู้เชี่ยวชาญระดับสูงของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด 20 คน จากกว่า 9 สาขาวิชาเพื่อดำเนินการศึกษา ค้นคว้า และวิจัยเจาะลึกเต็มรูปแบบ ครอบคลุม 4 มิติองค์ความรู้เพื่ออนาคต ได้แก่ 1. ยกระดับความสามารถคนไทยให้เท่าทันโลก 2. นำเทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์มาพัฒนาธุรกิจและเศรษฐกิจไทย  3. เสริมสร้างมาตรฐานคุณภาพชีวิตของคนไทยให้สูงขึ้น  อย่างยั่งยืน และ 4. ส่งเสริมการพัฒนาสังคมเมืองที่คิดถึงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนดำเนินการศึกษา ค้นคว้า และวิจัยผ่านหลากหลายโครงการวิจัยและพัฒนาในระยะเวลา 5 ปี  ภายใต้การดูแลและสนับสนุนจาก เอสอีเอซี (SEAC) ศูนย์พัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแห่งภูมิภาคอาเซียน   นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การก่อตั้ง “The Stanford Thailand Research Consortium” ซึ่งเป็นการทำวิจัยระดับโลกครั้งแรกของไทย ในการนำความรู้ ความสามารถ ตลอดจนทรัพยากรต่างๆ ที่มีมาช่วยพัฒนาศักยภาพประเทศไทยของเราในหลากหลายมิติ  ท่ามกลางความท้าทายที่เกิดขึ้นมากมาย ‘คุณภาพของคน’ คือ ประเด็นสำคัญที่โลกธุรกิจกำลังเผชิญอยู่ ดังนั้น ประเด็นเรื่อง การยกระดับความสามารถของคนไทยให้เท่าทันโลกนี้เองจะเป็นหัวข้อหนึ่งในงานวิจัยที่ทาง The Stanford Thailand Research Consortium จะหยิบขึ้นมาทำการศึกษา ค้นคว้า และวิจัยเจาะลึกอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อสร้างการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ และยั่งยืน   เครือบีทีเอสกรุ๊ป ทุ่มงบ 5 พันล้าน เปิดตัวโรงเรียนนานาชาติ กลุ่มบีทีเอส เองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องของการศึกษา เพราะเห็นไปในทิศทางเดียวกับหลายองค์กรว่า การจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้ “คน” ที่มีคุณภาพคือปัจจัยความสำเร็จนั้น  จึงได้จับมือ พันธมิตร บริษัท ฟอร์จูน แฮนด์ เวนเจอร์ ลิมิเต็ด จากฮ่องกง ประกาศร่วมลงทุน  5,000 ล้านบาท  เพื่อก่อตั้ง “โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ”   นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) ในเครือของบริษัท  ได้จับมือกับบริษัท ฟอร์จูน แฮนด์ เวนเจอร์ ลิมิเต็ด จากฮ่องกง ประกาศร่วมลงทุน 5,000 ล้านบาทเพื่อก่อตั้งโรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 168 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับโรงเรียนนานาชาติแห่งอื่นๆ ในเขตกรุงเทพฯ  ติดกับโครงการธนาซิตี้ ย่านบางนา สามารถรองรับจำนวนนักเรียนได้ถึง 1,800 คน ตั้งแต่ชั้นเตรียมอนุบาลจนถึงเกรด 12 และจะเริ่มเปิดสอนตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2563 เป็นต้นไป   “การลงทุนในครั้งนี้ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งในยุทธศาสตร์ของ ยู ซิตี้ ที่จะพัฒนาที่ดินในบริเวณใกล้กับโครงการธนาซิตี้ให้กลายเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าอย่างยั่งยืนในอนาคต ทั้งนี้ โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซมีพื้นที่รวมทั้งหมด 168 ไร่ หรือ 66 เอเคอร์ จึงถือเป็นโรงเรียนนานาชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเขตกรุงเทพฯ ตลอดจนมีพื้นที่สีเขียวรวมมากถึงประมาณ 60% ของพื้นที่ทั้งหมด เพื่อให้นักเรียนได้รับทั้งความผ่อนคลาย ใกล้ชิดกับธรรมชาติ และช่วยส่งเสริมสติปัญญาและแรงบันดาลใจด้านศิลปะ”   การร่วมลงทุนของบริษัท ฟอร์จูน แฮนด์ เวนเจอร์ จำกัด ในโรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ ถือเป็นการลงทุนจากต่างประเทศที่มีมูลค่าสูงสุดในภาคการศึกษาระบบโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย โดยเงินลงทุนดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ในการพัฒนาทั้งในด้านการก่อสร้างอาคารเรียนและสถานที่ ตลอดจนการคิดค้นรูปแบบการเรียนการสอนแบบใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์และมีประสิทธิภาพ   ​   “บริทาเนีย” เปิด 5 โครงการใหม่ เพราะตลาดคอนโดฯ ปีนี้ได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV ทำให้หลายดีเวลลอปเปอร์ เบนเข็มพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น  ค่ายออริจิ้นก็มาในทิศทางเดียวกัน เพิ่มสัดส่วนพอร์ตบ้านแนวราบมากกว่าที่ผ่านมา โดยล่าสุด บริษัทลูกอย่างบริษัท บริทาเนีย จำกัด ก็เดินหน้าเปิดโครงการใหม่ถึง 5 โครงการ   นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด ในเครือ บริษัท  ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า หลังจากโครงการบริทาเนีย ศรีนครินทร์ โครงการแรกของบริษัทที่เปิดตัวเมื่อปลายปี 2560 สามารถปิดการขายได้ในเวลาเพียง 1 ปีเศษ และ 2 โครงการที่เปิดตัวเมื่อปลายปี 2561 คือบริทาเนีย บางนา กม.12 และบริทาเนีย เมกะทาวน์ บางนา ได้รับการตอบรับที่ดี บริษัทจึงเตรียมเปิดตัวโครงการบ้านจัดสรรใหม่เพิ่มอีก 5 โครงการ  ทั้งโครงการบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม เมื่อรวมกับโครงการบริทาเนีย วงแหวน-หทัยราษฎร์ ที่เปิดตัวไปแล้วในช่วงไตรมาส 1/2562 จะทำให้มีการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องมูลค่าโครงการรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท   แผนการพัฒนาโครงการใหม่ 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 10,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.บริทาเนีย บางนา-สุวรรณภูมิ เป็นโครงการบ้านเดี่ยว และบ้านแฝด จำนวน รวม 485 ยูนิต 2.บริทาเนีย บางนา กม.42 ครอบคลุมทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม จำนวนรวม 492 ยูนิต 3.บริทาเนีย คูคต สเตชั่น เป็นโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด จำนวน 138 ยูนิต 4.บริทาเนีย วงแหวน-รามอินทรา เป็นโครงการบ้านเดี่ยว จำนวน 278 ยูนิต และ 5.บริทาเนีย สายไหม เป็นโครงการบ้านแฝดและทาวน์โฮม จำนวน 294 ยูนิต โดยจะเริ่มทยอยเปิดพรีเซลอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4/2562 (อ่านข่าวเพิ่มเติม) โกลเด้นแลนด์ เปิดบริการ “สามย่านมิตรทาวน์” ปิดท้ายของสัปดาห์ กับการเปิดให้บริการโปรเจ็กต์มิกซ์ยูสแรก บนถนนพระราม 4 กับโครงการสามย่านมิตรทาวน์ เมื่อวันศุกร์ที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งได้รับกระแสการตอบรับที่ดี จากทั้งชาวสามย่าน จุฬาฯ และผู้อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง เพราะที่นี่มีโซนเปิดให้บริการแบบ 24 ชั่วโมงด้วย     นายธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทใช้งบประมาณกว่า 9,000 ล้านบาท พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบผสมผสานหรือมิกซ์ยูส ภายใต้ชื่อ “สามย่านมิตรทาวน์” ขณะนี้พร้อมแล้วในการเปิดให้บริการแก่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายเพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัย การทำงาน การพักผ่อนหย่อนใจ ตลอดจนการช้อปปิ้ง ให้ครบวงจรในที่เดียว สำหรับจุดเด่นของโครงการสามย่านมิตรทาวน์ ถือเป็นมิกซ์ยูสแห่งแรกบนหัวมุมถนนพญาไท - พระราม 4 ที่มีความสมบูรณ์แบบ รวมพื้นที่ใช้สอย 222,000 ตารางเมตร เนื่องจากภายในโครงการประกอบด้วย ที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม “ทริปเปิ้ล วาย เรสซิเด้นซ์” โรงแรม “ทริปเปิ้ล วาย โฮเทล” อาคารสำนักงาน “มิตรทาวน์ ออฟฟิศ ทาวเวอร์” และพื้นที่ค้าปลีก “ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์” (อ่านข่าวเพิ่มเติม)    
โปรโมชั่นเฟอร์นิเจอร์-ของตกแต่งบ้าน เดือนกันยายน 2562

โปรโมชั่นเฟอร์นิเจอร์-ของตกแต่งบ้าน เดือนกันยายน 2562

มาแล้วจ้า รวมโปรโมชั่นเฟอร์นิเจอร์-ของตกแต่งบ้าน เดือนกันยายน 2562 ไม่ได้มีแค่เฟอร์นิเจอร์ หรือของตกแต่งบ้านเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าด้วย ลองดูรายละเอียดกันเลย     โฮมโปร ฉลองยิ่งใหญ่ครบ 23 ปี พร้อมผนึกพันธมิตร เสิร์ฟโปรโมชั่นบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ ฉลองครบรอบ 23 ปี สุดยิ่งใหญ่ มอบของขวัญคืนกำไรสุดพิเศษให้ลูกค้า “ลดทุกชั้น ทุกแผนก ทุกสาขาทั่วไทย พร้อมช้อปออนไลน์ราคาพิเศษ”ตลอด 1 เดือนเต็ม อัดแน่นพาเหรดสินค้าเรื่องบ้าน และโปรโมชั่นสุดปัง บัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพรับเครดิตเงินคืนรวมสูงสุด 200,000 บาท พร้อมบัตรเครดิตที่ร่วมรายการผ่อนทั้งร้าน 0% นานสูงสุด 24 เดือน ตั้งแต่ วันนี้  - 29 ก.ย. 62 ที่โฮมโปรทุกสาขาทั่วประเทศ   Index Living Mall 17th Anniversary Index Living Mall ฉลองครบรอบ 17 ปี ลดสูงสุด 71% พิเศษสำหรับสมาชิกสามารถซื้อสินค้าในราคาเริ่มต้น 17 บาท และร่วมลุ้นสิทธิ์รถยนต์ The All New NISSAN NOTE มูลค่า 640,000 บาท เมื่อช้อปครบทุก 1,000 บาท ที่ Index Living Mall และ The walk และสิทธิ์แลกซื้อเฟอร์นิเจอร์ ของใช้และของตกแต่งบ้าน พร้อมโปรโมชั่นร่วมกับบัตรเครดิตอื่นๆ อีกมากมาย ตั้งแต่วันที่ 29 ส.ค. 62 - 25 ก.ย. 62 ที่ Index Living Mall ทุกสาขา SB DESIGN SQUARE XTREME SALE  พบกับสินค้าลดราคาทุกชิ้น ทั้งร้าน! สูงสุดถึง 70%* - ชุดห้องนอนราคาเริ่มต้น 19,900 บาท! - ยกขบวนเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านมาให้ช้อปในราคาเดียวเพียง 990 บาท และยังมีสินค้าราคาเดียว อีกมากมาย เช่น โซฟา ชุดโต๊ะอาหาร ตู้เสื้อผ้าและอื่นๆ ในราคาเริ่มต้นที่ 9,900 บาท - พิเศษสำหรับสมาชิก SB Family แลกรับส่วนลดเพิ่ม 15%* เมื่อใช้คะแนนเท่ากับยอดซื้อ - เท่านั้นยังไม่พอ ช้อปครบตามที่กำหนด รับบัตรกำนัลเงินคืน SB Cash Rewards สูงสุดถึง 20,000บาท - นอกจากนี้ยังจะได้รับสิทธิ์ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน กับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ - พิเศษสุดๆ ! สำหรับลูกค้าบัตรเครดิต SCB รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 80,000 บาท และ Top Spenders ประจำสัปดาห์ 10 ท่านแรกยังจะได้รับบัตรกำนัลที่พักสุดหรู 5 ดาว ที่หัวหิน มูลค่า รวม 85,000 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน. 2562 - 30 กันยายน. 2562 ที่เอสบี ดีไซน์สแควร์ ทุกสาขา ลดดุ!! ลดสูงสุด 70% ชุดเครื่องนอนแบรนด์ดัง Robinson Online รวมชุดเครื่องนอน 4 แบรนด์ดัง JESSICA, TULIP, FOUNTAIN, VELASSE ลดแรงสูงสุด70% ➕ รับคะแนน The 1 Card X 9 เท่า เมื่อช้อปครบ 4,000 บาทขึ้นไป (ยอดซื้อหลังหักส่วนลด) ตั้งแต่วันที่ 3 ก.ย. 62-15 ก.ย. 62 เฉพาะการสั่งซื้อแบบออนไลน์ https://www.robinson.co.th   Power Mall ลดสูงสุด 50% เครื่องใช้ไฟฟ้าหลากแบรนด์ดัง Power Mall กำลังยกขบวนเครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำ มาลดราคาสูงสุดถึง 50% เฉพาะที่ Power Mall สาขา MCC Hall เดอะมอลล์งามวงศ์วาน, เดอะ คริสตัล เอสบี ราชพฤกษ์, บลูพอร์ต หัวหินตั้งแต่วันที่ วันที่ 1-15 ก.ย. 62    
“ล็อก แอนด์ ล็อก” ล้างภาพถูกมองเป็นแค่ กล่องใส่อาหาร สู่แบรนด์อุปกรณ์เครื่องครัวครบวงจร

“ล็อก แอนด์ ล็อก” ล้างภาพถูกมองเป็นแค่ กล่องใส่อาหาร สู่แบรนด์อุปกรณ์เครื่องครัวครบวงจร

ผลิตภัณฑ์ ล็อกแอนด์ล็อก (LocknLock) กล่องใส่อาหารสัญชาติเกาหลี เริ่มต้นเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย ตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งบริษัทแม่เข้ามาทำตลาดและจัดจำหน่ายเอง ก่อนจะร่วมทุนกับบริษัท ศรีไทย ซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) ในปี 2553   โดยได้จัดตั้งบริษัท ศรีไทย ซุปเปอร์แวร์ ล็อกแอนด์ล็อก จำกัด ขึ้น ด้วยทุนจดทะเบียน 17 ล้านบาท โดยศรีไทย ซุปเปอร์แวร์ ถือหุ้นสัดส่วน 51% และล็อกแอนด์ล็อก ถือหุ้นสัดส่วน 49% พร้อมกับแต่งตั้งให้ “ดีเคเอสเอช” เป็นตัวแทนจำหน่าย เพื่อกระจายสินค้าไปยังช่องทางต่างๆ ในช่วงปี 2556 ก่อนจะหมดสัญญาลงเมื่อเดือนสิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา   แต่ปัจจุบันมีการปรับโครงสร้างการถือหุ้นใหม่ โดยบริษัทได้ซื้อหุ้นจากศรีไทย ซุปเปอร์แวร์กลับมาเพื่อทำตลาดเอง  จนทำให้ล็อกแอนด์ล็อกมีสัดส่วนการถือหุ้น 97% ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์ล็อกแอนด์ล็อก ถือว่าได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าที่ดีพอสมควร จนทำให้เกิดแบรนด์คู่แข่งออกมาทำตลาด  เพื่อช่วงชิงยอดขาย แถมยังมีสินค้าลอกเลียนแบบวางเกลือนตลาด  ตั้งแต่ราคาถูกไปจนถึงราคาแพง     โจทย์ด้านยอดขายถือเป็นเรื่องหนึ่งที่สำคัญ  แต่โจทย์ทางการตลาดที่สำคัญกว่าในยุคปัจจุบัน คือ ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ตอนนี้คนส่วนใหญ่ สนุกและชื่นชอบการทำอาหาร เพิ่มมากขึ้น สนุกกับการทำธุรกิจอาหาร และการทำตลาดผ่านออนไลน์  ทำให้โจทย์ของ ล็อกแอนด์ล็อก ต้องตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคเหล่านั้น  วันนี้จึงไม่ได้ขายแค่กล่องใส่อาหาร เท่านั้น แต่ต้องขายสินค้าทุกอย่างที่จะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์พวกเขาด้วย และในความจริง สินค้าของบริษัทมีครอบคลุมทุกอย่างเกี่ยวกับอุปกรณ์เครื่องครัว แถมพ่วงด้วยสินค้าไลฟ์สไตล์อื่นๆ อีกหลายชนิด   สิ่งที่บริษัทแม่ในประเทศเกาหลี ต้องการแก้โจทย์ทางการตลาดสำหรับประเทศไทย จึงมุ่งเน้นไปที่ การสร้างภาพลักษณ์ของแบรนด์ ล็อกแอนด์ล็อก คือ สินค้าอุปกรณ์เครื่องครัวครบวงจร ซึ่งตอบโจทย์การทำอาหาร และล้างภาพเป็นแค่ “ผลิตภัณฑ์ซุปเปอร์แวร์ หรือแค่กล่องใส่อาหาร” เท่านั้น  ภายหลังจากหมดสัญญากับดีเคเอสเอช  ผลิตภัณฑ์ล็อกแอนด์ล็อก จึงทำตลาดและกระจายสินค้าด้วยตนเอง     นายจุง วุง มูน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ล็อกแอนด์ล็อก (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า แนวทางการทำตลาดในปีนี้จะมุ่งเน้นการสร้างภาพลักษณ์และการจดจำแบรนด์ ล็อกแอนด์ล็อก ไม่ใช่แค่ผลิตภัณฑ์กล่องใส่อาหาร แต่เป็นอุปกรณ์เครื่องครัว เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวครบวงจร เพื่อตอบโจทย์การทำอาหาร เพราะไลฟ์สไตล์คนในยุคปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป   แนวทางการทำตลาดและสร้างแบรนด์ในปีนี้ จะผ่าน 3 กลยุทธ์การตลาด ที่สำคัญ ได้แก่  1.เปิดร้านคอนเซ็ปต์สโตร์ภายใต้ชื่อ PlaceLL (เพลสแอลลแอล) ซึ่งเป็นร้านที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ล็อกแอนด์ล็อก  ไม่ว่าจะเป็นกล่องถนอมอาหาร ขวดน้ำ กระบอกน้ำเก็บอุณหภูมิ เครื่องใช้ในครัวเรือน อุปกรณ์ทำอาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก ยังมีสินค้าด้านการเดินทางและท่องเที่ยว   โดยร้านคอนเซ็ปต์สโตร์ดังกล่าว เป็นการปรับเปลี่ยนตามบริษัทแม่ที่ประเทศเกาหลี  ซึ่งเปิดตัวไปแล้ว 3 สาขา และในประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกในภูมิภาคอาเซียนที่เปิดร้านดังกล่าว  ต่อไปในปีหน้าจะเปิดร้าน ​PlaceLL ในประเทศเวียดนาม ด้วยการปรับร้านล็อกแอนด์ล็อกที่มีอยู่ 45 สาขาให้เป็นในรูปแบบร้านคอนเซ็ปต์สโตร์  ส่วนในประเทศไทยจะปรับปรุงร้านที่มีอยู่เดิม 2 สาขาให้เป็น ร้านรูปแบบใหม่ และในปีหน้าจะเปิดเพิ่มอีก 5 สาขา   2.ปรับโซนจำหน่ายในห้างสรรพสินค้า เป็นร้านรูปแบบ Shop in shop ในห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลและเดอะมอลล์ ด้วยภาพลักษณ์ใหม่ภายใต้แบรนด์ PlaceLL  เบื้องต้นจะปรับ 3 สาขาที่ห้างเดอะมอลล์งามวงศ์วาน บางกะปิ และสยามพารากอน จากก่อนหน้านี้ได้ปรับเปลี่ยนที่ห้างอิเซตันแล้ว 1 สาขา     3.ทำตลาดและสร้างแบรนด์ผ่านสื่อออนไลน์ บริษัทจะมุ่งเน้นการสื่อสาร การโฆษณา และการทำตลาดผ่านสื่อออนไลน์ เพิ่มมากขึ้น เพื่อสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของสินค้า นอกจากนี้ ยังจะเน้นการสนับสนุนพันธมิตรทางธุรกิจในกิจกรรมการตลาดต่างๆ เพิ่มมากขึ้น และการจัดกิจกรรมเพื่อสังคม   นายจุง วุง มูน กล่าวอีกว่า ประเทศไทยถือว่าเป็นตลาดสำคัญของบริษัท เนื่องจากเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวของภูมิภาค ซึ่งมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาประเทศไทยจำนวนมาก แม้ว่ายอดขายหลักจะอยู่ในประเทศเวียดนาม เนื่องจากมีสาขาจำนวนมาก แต่ยอดขายตลาดประเทศไทยถือว่ามีอัตราการเติบโตที่ดี ในปีนี้คาดว่าจะสามารถทำยอดขายโดยรวมได้ 325 ล้านบาท และในปีหน้าจะทำยอดขายได้ 487 ล้านบาท      
เปิด 5 เรื่อง (ไม่) ลับ ของแคตตาล็อกอิเกีย 2020 เพื่อแรงบันดาลใจในการอยู่อาศัย

เปิด 5 เรื่อง (ไม่) ลับ ของแคตตาล็อกอิเกีย 2020 เพื่อแรงบันดาลใจในการอยู่อาศัย

แม้ว่าปัจจุบันจะเป็นยุคดิจิทัล ที่ข้อมูลข่าวสารถูกจัดเก็บไว้บนโลกออนไลน์ สามารถเรียกดูข้อมูลได้บน “สมาร์ทโฟน” หรืออุปกรณ์ไอทีต่างๆ แต่ดูเหมือนว่า “แคตตาล็อก” ในรูปแบบหนังสือเล่ม ซึ่งรวบรวมข้อมูลสินค้า ยังเป็นหัวใจสำคัญและเป็นสิ่งที่ “อิเกีย” ศูนย์จำหน่ายเฟอร์นิเจอร์สัญชาติ สวีเดน ยังคงให้ความสำคัญ และผลิตออกมาใช้เป็นเครื่องทางการตลาด สร้างแรงบันดาลใจในการเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านอยู่ทุกปี   แคตตาล็อกอิเกีย สำหรับปี 2020  ได้เปิดตัวออกมาแล้ว เพื่อให้ลูกค้าได้หยิบไปใช้ สำหรับเป็นคู่มือและสร้างแรงบันดาลใจในการเลือกซื้อสินค้าของ “อิเกีย” ซึ่งในปีนี้มาในธีม “Easy Renewal For Better Sleep” กับการมุ่งเน้นนำเสนอสินค้าด้วยการเน้นสินค้าห้องนอน เนื่องจากมองว่ากลุ่มสินค้าห้องนอน เป็นสินค้าที่ลูกค้าให้ความสำคัญและเลือกซื้อเป็นอันดับแรกๆ  ปัจจุบันกลุ่มสินค้าห้องนอนมีสัดส่วน 12-13% ของยอดขายทั้งหมด   นายทอม ซูเทอร์ ผู้จัดการสโตร์ อิเกีย บางใหญ่ เปิดเผยว่า การนอนมีผลต่อทุกอย่างกับชีวิต อิเกีย จึงโฟกัสสินค้ากลุ่มห้องนอน เป็นแนวทางการทำตลาดทั่วโลก แต่รูปแบบและสไตล์การนำเสนอของห้องนอน  จะแตกต่างกันในแต่ละประเทศ  ซึ่งสินค้ากลุ่มห้องนอนได้รับความนิยมซื้อ จากกลุ่มลูกค้าคนไทยเป็นลำดับต้นๆ แตคตาล็อกปีนี้จึงเน้นสินค้ากลุ่มดังกล่าว  แตกต่างจากปีที่ผ่านมาที่เน้นกลุ่มสินค้าห้องนั่งเล่น (Living room)     แคตตาล็อกอิเกียเล่มใหม่ จึงได้รวบรวมเทคนิค การปรับแต่งบ้านเพื่อให้ทุกคนในบ้านพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ โดยทุกไอเดียที่คัดสรรมาล้วนทำตามได้ง่าย เพียงแค่เปลี่ยนปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน เติมผ้าม่าน มู่ลี่ โคมไฟ ต้นไม้ หรือแม้กระทั่งแก้วน้ำสักใบเข้ามา เป็นตัวช่วยเปลี่ยนบรรยากาศภายในห้องให้มีความสงบ ผ่อนคลาย ช่วยให้นอนหลับฝันดีได้ตลอดทั้งคืน   เปิด 5 ความต้องการที่คนเรียกว่า “บ้าน”     ทุกๆ ปี ดีไซน์เนอร์อิเกียจากทั่วโลก จะทำงานร่วมกัน  เพื่อศึกษาข้อมูลเชิงลึกต่างๆ ของผู้บริโภคซึ่งเก็บรวบรวมจากการพูดคุย ทำวิจัย และออกไปเยี่ยมบ้านลูกค้า เพื่อทำความเข้าใจและหาแนวทางพัฒนาแรงบันดาลใจ  รวมถึงพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการ  และการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปของผู้คนทั่วโลก พร้อมจัดทำเป็นรายงาน Life at Home ข้อมูลที่ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของการจัดทำเนื้อหา แคตตาล็อกอิเกียในแต่ละปี   ปีนี้เป็นครั้งแรกที่อิเกีย  ได้ศึกษา ข้อมูลเชิงลึกของคนยุคปัจจุบัน ต่อการตัดสินใจเรียกที่ใดที่หนึ่งว่าเป็น “บ้าน”  ซึ่งได้ถอดรหัสความต้องการด้านอารมณ์ 5 ด้าน ได้แก่ การเป็นส่วนหนึ่ง (Belonging) ความเป็นเจ้าของ (Ownership) ความปลอดภัยมั่งคง (Security)  ความสบาย (Comfort) และ ความเป็นส่วนตัว (Privacy) ซึ่งปัจจัยด้านอารมณ์ทั้ง 5 นี้ เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกถึงความเป็น “บ้าน” นิยามคำว่าบ้านจากรายงานฉบับนี้จึงไม่ได้หมายถึงแค่ “ที่พักอาศัย” แต่ยังรวมไปถึงสถานที่อื่นๆ ที่ทำให้เกิดความรู้สึกทั้ง 5 ด้านนี้ได้     ความต้องการด้านอารมณ์ทั้ง 5 ด้านที่ทำให้บ้านเป็น “บ้าน” มีดังนี้   1.การเป็นส่วนหนึ่ง (Belonging) ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่ยอมรับตัวตนที่แท้จริงของเรา รวมถึงสถานที่ที่สะท้อนตัวตนของเรา อิเกียนำเสนอเฟอร์นิเจอร์สำหรับบ้านหรือห้องที่ใช้งานร่วมกันที่ทำให้ทุกคนมีพื้นที่แห่งความสุข และเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่   2.ความเป็นเจ้าของ (Ownership) ไม่ใช่แค่เรื่องของสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของเท่านั้น แต่หมายถึงความรู้สึกว่าเรามีอำนาจในการควบคุมพื้นที่หรือสถานที่นั้นๆ เรามีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ ความรู้สึกว่าเราเป็นเจ้าของบ้านนั้น (ถึงแม้ว่าจะเป็นบ้านเช่าก็ตาม) เช่น โซลูชันอุปกรณ์จัดเก็บของอิเกีย ที่ช่วยให้คุณสามารถจัดสรรพื้นที่ในบ้านในอย่างลงตัว   3.ความปลอดภัยมั่นคง (Security) ความปลอดภัยในที่นี้ไม่ได้หมายถึงบ้านที่มี การป้องกันอย่างแน่นหนา แต่เป็นสถานที่ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น มั่นคง วิธีง่ายๆ ในการเติมความอบอุ่นให้กับบ้าน คือการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ไม้ เหล็ก และกระจก   4.ความสบาย (COMFORT) หมายถึงความรู้สึกสบายใจและมีความสุขกับบรรยากาศรอบข้าง นั่นคือการถ่ายทอดตัวตน หรือใส่ความเป็นเราลงไปในที่ที่เราอาศัยอยู่   5.ความเป็นส่วนตัว (PRIVACY) ความเป็นส่วนตัวไม่ใช่ว่าเราจะต้องอยู่คนเดียวในห้องเท่านั้น แต่หมายถึงการสร้างความสมดุลในบ้านที่เราอาศัยอยู่ร่วมกับผู้อื่น หรือบ้านที่มีพื้นที่จำกัด แต่ก็ยังมีพื้นที่ที่เราสามารถพักผ่อน นอนหลับ หรือตัดขาดจากความวุ่นวายต่างๆ ได้ ด้วยการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีฟังก์ชั่นช่วยแบ่งพื้นที่ในบ้านได้อย่าง ชาญฉลาด   ทำความรู้จัก แคตตาล็อก “อิเกีย” 2020     1.เปลี่ยนฟอนต์ใหม่ทั้งหมด แคตตาล็อกเล่มใหม่นี้จะเป็นเล่มแรกที่เปลี่ยนฟอนต์ใหม่ทั้งหมด จากฟอนต์ Verdana ที่ใช้มาต่อเนื่องถึง 11 ปี เป็นฟอนต์ Noto ที่ได้รับการพัฒนาโดย Google อิเกียเลือกใช้ฟอนต์นี้เพราะสะท้อนตัวตนของแบรนด์ที่มองผ่านสายตาของคนยุคปัจจุบันได้ดี มีความชัดเจน อ่านง่ายและครบสมบูรณ์ เหมาะกับการอ่านบนจอดิจิทัลเล็กๆ ทั้งยังมีตัวอักษรเกือบครบทุกภาษาในโลก โดยแคตตาล็อกเล่มนี้จะแปลเป็นภาษาต่างๆ ถึง 38 ภาษา ซึ่งฉบับภาษาฟินแลนด์จะมีความยาวมากที่สุด   2.หน้าปก 50 ปี นับจากวันที่จอห์น เลนนอน และโยโกะ โอโนะ ภรรยาของเขา พากันนอนประท้วงเพื่อเรียกร้องสันติภาพในช่วงต้นสงครามเวียดนามที่โรงแรมอัมสเตอร์ดัม ฮิลตัน เมื่อเดือนมีนาคม ปี 1969 วันนี้ Bed-In for Peace อันโด่งดังของทั้งคู่จะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง บนภาพปกแคตตาล็อกอิเกียเล่มล่าสุด   3.เรื่องราวภายในแคตตาล็อก ธีมของแคตตาล็อกอิเกียในปีนี้คือ “การพักผ่อนนอนหลับ” เน้นการเปลี่ยนโฉมห้องนอนให้ ตอบโจทย์ทั้งเรื่องความสวยงามและความสบาย รวมไปถึงแนะวิธีต่างๆ ที่จะช่วยเพิ่มคุณภาพ การพักผ่อนของคุณ เช่น การจัดท่านอนและเลือกหมอนที่เหมาะกับอิริยาบถการนอน การทำสมาธิ กิจวัตรตอนนอน และเคล็ดลับหลับสบายด้วยน้ำมันลาเวนเดอร์ เป็นต้น   ระหว่างจัดทำเนื้อหาในแคตตาล็อก มีการเปลี่ยนเตียงทั้งหมดถึง 7 แบบเพื่อให้ครอบคลุมการจัดเตียงทุกแบบในตลาด และถ่ายภาพไปทั้งหมด 1,651 ภาพ มากกว่าปีที่แล้วถึง 400 ภาพเลยทีเดียว   4.กระบวนการผลิตแคตตาล็อก แคตตาล็อกเล่มนี้ใช้ใช้เวลาสร้างสรรค์นานถึง 12 เดือน ตั้งแต่การระดมความคิด ไปจนถึงการพิมพ์ และจัดส่งไปยังสโตร์อิเกียทั่วโลก นับจากจุดเริ่มต้นจนสิ้นสุดกระบวนการผลิตต้องอาศัย ความร่วมมือของทีมงานจากหลากหลายประเทศ ทั้งอเมริกา อิตาลี ออสเตรเลีย เวลส์ เยอรมัน สวีเดน รัสเซีย สเปน อังกฤษ เปอร์โตริโก แอฟริกาใต้ เดนมาร์ก โปแลนด์ ฟินแลนด์ และ จีน   5.ข้อมูลของแคตตาล็อกเล่มใหม่   มีจำนวนหน้าทั้งหมด 280 หน้า + หน้าปก 4 หน้า โดยมียอดตีพิมพ์รวม 124,000,000 เล่ม ใน 54 ประเทศที่อิเกียเปิดให้บริการ กับภาษาที่ตีพิมพ์ถึง 38 ภาษา รวม 80 เวอร์ชัน ที่มีการจัดพิมพ์ในครั้งนี้        
สรุปข่าวอสังหาฯ รอบสัปดาห์ วันที่ 2-8 กันยายน 2562

สรุปข่าวอสังหาฯ รอบสัปดาห์ วันที่ 2-8 กันยายน 2562

เริ่มต้นสัปดาห์แรกของเดือนกันยายน 2562 เดือนสุดท้ายของไตรมาส 3 ซึ่งกำลังจะเข้าสู่ช่วงไฮท์ซีซั่นของหลายธุรกิจแล้ว ตอนนี้บรรยากาศตลาดอสังหาริมทรัพย์ ยังถือว่าไม่เงียบเหงามากนัก แต่ก็ไม่ได้คึกคักจนน่าดีใจ  หลายดีเวลลอปเปอร์ตอนนี้ก็พยายามกระตุ้นยอดขาย  จัดแคมเปญกันสารพัด หวังเรียกให้ลูกค้าหันมาซื้อหาอสังหาฯ เพื่อทำให้ปีนี้ปิดผลประกอบการได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้...   ยังไงก็ยังคงพอมีเวลาให้เร่งสปีดทำยอดขายกัน แต่จะทำผลงานได้ดีแตะเป้าหมายที่วางกันไว้หรือไม่นั้น  ต้องลุ้นกันอีกที..   เอสซี เดินหน้าขาย 28 Chidlom     หลังจากเปิดตัวขายโดยโครงการทเวนตี้เอท ชิดลม (28 Chidlom) ไปก่อนหน้านี้ และสามารถทำยอดขายได้ 60% และได้หยุดการขายไประยะหนึ่ง เนื่องจากไม่มีพื้นที่สำหรับสำนักงานขาย ต้องเอาพื้นที่ไปก่อสร้างโครงการ จนปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จ บริษัทก็เดินหน้าขายโครงการต่อ พร้อมกับเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ให้กับลูกค้า ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายนเป็นต้นไป นายประยงค์ยุทธ อิทธิรัตน์ชัย รองหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านพัฒนาทรัพย์สินแนวสูง บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยว่า ได้เริ่มโอนกรรมสิทธิ์ โครงการทเวนตี้เอท ชิดลมแล้ว ซึ่งโครงการมีมูลค่ารวม 8,000 ล้านบาท  เป็นคอนโดซุปเปอร์ลักชัวรี่ ฟรีโฮลด์ บนถนนชิดลม พื้นที่กว่า 3 ไร่  มีจำนวน 2 อาคาร แบ่งเป็น  The Tower ขนาด 47 ชั้น จำนวน 243 ยูนิต รูปแบบห้องมีให้เลือกทั้งแบบ ห้องขนาด 1-3 ห้องนอน และแบบเพนท์เฮ้าส์ ขนาดพื้นที่เริ่มต้นที่ 40-200 ตารางเมตร  กับอาคาร The Villa ขนาด 20 ชั้น จำนวน 182 ยูนิต รูปแบบห้องมีให้เลือกขนาด 1-3 ห้องนอน ขนาดพื้นที่เริ่มต้นที่ 37-132 ตารางเมตร   โดยช่วงครึ่งปีหลังบริษัทยังมีแผนเปิดตัวโครงการคอนโดฯ อีก 2 โครงการ มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ THE CREST PARK RESIDENCES  คอนโดฯ ใกล้ BTS สถานีห้าแยกลาดพร้าว มูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท พัฒนาโดยบริษัท เอสซี เอ็นเอ็นอาร์ วัน จำกัด (SC NNR1 Co.,Ltd.) บริษัทร่วมทุนกับ Nishitetsu Group ยักษ์ใหญ่ด้านอสังหาฯและคมนาคมจากภูมิภาคคิวชู ประเทศญี่ปุ่น (อ่านข่าวเพิ่มเติม) กลุ่มออเนอร์ ทุ่ม 2,000 ล้าน ปั้นโปรเจ็กต์ "วันส์ พัทยา"   ตลาดอคอนโดฯ ไม่ใช่เป็นตลาดเฉพาะในกรุงเทพฯ เท่านั้น ที่มีต้องการที่อยู่อาศัยในรูปแบบนี้  เมืองท่องเที่ยวหรือเมืองเศรษฐกิจในต่างจังหวัด ก็มีดีมานด์เช่นกัน อย่างเมืองพัทยา ดีเวลลอปเปอร์ทั้งต่างชาติและไทย พร้อมใจกันเข้าไปพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นดีเวลลอปเปอร์จากส่วนกลางหรือในท้องถิ่นเอง ระดับราคาก็ไม่ใช่แบบภูธร แต่น้องๆ กรุงเทพฯ ดีดีนี่เอง   ล่าสุด กลุ่มออเนอร์ ซึ่งเดิมทำธุรกิจร้านทองและโรงแรม ก็หันมาบุกตลาดที่อยู่อาศัยทุ่มงบ 2,000 ล้าน ปั้นโปรเจ็กต์ “วันส์ พัทยา” คอนโดฯ ระดับไฮเอนด์ตารางเมตรละ 130,000 บาท เป็นโครงการในรูปแบบมิกซ์ยูส ทั้งคอนโดฯ โรงแรมและพื้นที่รีเทล   นางสาวธิดา เชิดสุริยา ประธานคณะกรรมการบริหารบริษัท ออเนอร์ เอสเตท จำกัด เปิดเผยว่า ได้พัฒนาโครงการวันส์ พัทยา  เป็นคอนโดมิเนียม ขนาดความสูง 32 ชั้น  จำนวน 427 ยูนิต มีห้อง 4 แบบ ได้แก่ แบบ Studio  แบบ 1 ห้องนอน  1 ห้องน้ำ ห้องแบบ 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ  และห้องแบบ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ มีขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 28.00-59.80 ตารางเมาตร ราคาขายตั้งแต่ 2.85-22 ล้านบาท หรือราคาขายเฉลี่ย 130,000 บาทต่อตารางเมตร  ปัจจุบันโครงการมียอดขายแล้ว 43%  ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ จะเริ่มการก่อสร้างโครงการ และคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 2 ปี 2565 (อ่านข่าวเพิ่มเติม)    ปิดโครงการ "วี ธารา สุขุมวิท 36" ยอดขาย 100% ในภาวะตลาดคอนโดฯ ที่ถูกแรงบีบคั้นจากมาตรการ LTV ปีนี้ยอดเปิดตัวโครงการใหม่จึงน้อยลง ดีเวลลอปเปอร์เร่งขายของเก่าออก ไม่งั้นสต็อกจะบานเกินไป แม้จะมีหลายโปรเจ็กต์ที่ขายได้ช้า แต่หลายโปรเจ็กต์ก็ปิดการขายได้หมดแล้ว อย่างโครงการ วีธารา สุขุมวิท 36 ตอนนี้ ปิดการขายได้ครบ 100% แล้ว  นายธีร ชุติวราภรณ์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เปิดเผยว่า โครงการ วีธารา สุขุมวิท 36 สามารถทำยอดขายโครงการได้ครบ 100% ทุกยูนิต สร้างรายได้สู 2020งถึง 2,700 ล้านบาท   อิเกีย เปิดแคตตาล็อกใหม่ FC อิเกีย ที่เฝ้ารอแคตตาล็อก สำหรับปี 2020 ตอนนี้ คงนั่งเปิดหาแรงบันดาลใจกันสนุกแล้ว เพราะสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เปิดตัวแคตตาล็อกใหม่เป็นที่เรียบร้อย ปีนี้มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ภายในห้องนอน เพราะมีความเชื่อว่า คุณภาพชีวิตที่ดีต้องเริ่มจากคุณภาพการนอน เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วจะได้เริ่มต้นวันดีดีได้ต่อไป     นายทอม ซูเทอร์ ผู้จัดการสโตร์ อิเกีย บางใหญ่ กล่าวว่า แคตตาล็อกอิเกียปีนี้จัดทำภายใต้ธีม “Easy Renewal For Better Sleep”  เป็นการชวนทุกคนมาปรับเปลี่ยนแนวคิด และลุกขึ้นมาเปลี่ยนบรรยากาศในห้องนอน เริ่มจากสิ่งเล็กๆ ที่ทำได้ง่ายๆ โดยมีแคตตาล็อกเป็นตัวสร้างไอเดีย เพื่อจุดประกายความคิด เพิ่มพลังบวก สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับบ้านและชีวิต พร้อมเริ่มต้นวันใหม่อย่างสดชื่น   ล็อกแอนด์ล็อก เปิดร้านคอนเซ็ปต์สโตร์ "PlaceLL"     ส่วนผู้ที่ชื่นชอบการทำอาหาร ผลิตภัณฑ์ “ล็อกแอนด์ล็อก” ได้เปิดสโตร์ของตัวเองภายใต้ชื่อ PlaceLL ซึ่งเป็นโมเดลจากเกาหลี กับคอนเซ็ปต์ร้านที่รวบรวมสินค้าของบริษัทไว้ด้วยกัน โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ในครัว สำหรับการประกอบการอาหาร นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์อื่นๆ ให้ได้ซื้อกันด้วย  ถือเป็นการรองรับกับไลฟ์สไตล์ของคนยุคปัจจุบันที่ชอบการทำอาหาร   นายจุง วุง มูน กรรมการผู้จัดการบริษัท ล็อก แอนด์ ล็อก (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ปีนี้เราต้องการสร้างแบรนด์ให้ลูกค้าคนไทยรู้จัก บริษัท ล็อก แอนด์ ล็อก (ประเทศไทย) จำกัด มากขึ้น และทราบว่าเรามีสินค้าอื่นๆ ด้วย จึงได้เปิดคอนเซ็ปต์สโตร์ในชื่อ PlaceLL ซึ่งที่เกาหลีเปิดไปแล้ว 3 สาขา ประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เราเลือกมาเปิด   ภายในร้านมีผลิตภัณฑ์คุณภาพดีหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นกล่องถนอมอาหาร ขวดน้ำ กระบอกน้ำเก็บอุณหภูมิ เครื่องใช้ในครัวเรือน อุปกรณ์ทำอาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก อีกทั้งเอาใจคนรักการท่องเที่ยวโดยมีของใช้สำหรับการเดินทางให้เลือกมากมาย  ซึ่งภายในปีนี้เราจะทยอยปรับปรุงร้านค้าที่มีอยู่เดิมทั้ง 2 สาขาให้เป็นไปตามคอนเซ็ปต์ใหม่ รวมถึงตั้งเป้าขยายสาขาเพิ่มเติมอีก 5 สาขาภายในปี 2563 ด้วย        
เปิด 10 ร้าน ไฮไลท์ ที่ “มิกซ์ จตุจักร” แหล่งช้อปปิ้งที่ไม่มีวันหยุด

เปิด 10 ร้าน ไฮไลท์ ที่ “มิกซ์ จตุจักร” แหล่งช้อปปิ้งที่ไม่มีวันหยุด

โครงการ มิกซ์ จตุจักร (Mixt Chatuchak) ศูนย์การค้าแห่งใหม่ ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 10 ไร่ ติดกับตลาดนัดสวนจตุจักร กับมูลค่าการลงทุน 900 ล้านบาท ภายใต้การบริหารงานโดยบริษัท สยาม พิริยา ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ตอนนี้ได้เปิดให้บริการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว   ต่อไปนี้ขาช้อปทั้งหลายจะสามารถหาซื้อสินค้าได้ โดยไม่ต้องรอวันหยุดเสาร์และอาทิตย์อีกต่อไปแล้ว วันไหนๆ ก็มาช้อปปิ้งได้ เพราะนี่คือตลาดนัดสวนจตุจักร ติดแอร์ ขนาดอาคารสูง 5 ชั้น  มีความยาวถึง 350 เมตร  พื้นที่ขายรวมกว่า 60,000 ตารางเมตร   ภายในโครงการมีร้านค้าที่เข้ามาเปิดบริการกว่า 700 ร้าน มีทั้งที่ย้ายมาจากตลาดสวนจตุจักร  และบางร้านก็ขยายสาขาเพิ่ม โดยมีสัดส่วน 60% เป็นร้านค้าที่ธุรกิจเติบโตมาจากสวนจตุจักร อีก 20% กลุ่มธุรกิจธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่เริ่มต้นสร้างแบรนด์ มีสินค้าสร้างสรรค์ แตกต่าง มีการสะท้อนสไตล์ความเป็นไทย แต่ยังไม่มีเงินทุนเพียงพอที่จะเข้าไปอยู่ในห้าง ก็เข้ามาเปิดในที่แห่งนี้เพื่อแจ้งเกิดแบรนด์ และเติบโตไปด้วยกัน ส่วนที่เหลืออีก 20% คือ ร้านออนไลน์ที่มีแบรนด์ แต่ยังไม่เคยมีหน้าร้านก็เข้ามาเปิดพัฒนาหน้าร้านและสร้างแบรนด์ในช่องทางออนไลน์ไปพร้อมกันด้วย ภายในโครงการ มิกซ์ จตุจักร แบ่งออกเป็น  5 ชั้น ซึ่งแต่ละชั้นก็จะมีร้านค้าหลากหลายให้เลือกช้อปกันได้อย่างเต็มที่ ชั้น 1 เป็นพื้นที่ร้านค้ามิกซ์ จตุจักร กว่า 140 ยูนิต ในโซนแฟชั่น มีทั้งสินค้าแฟชั่นผู้หญิง ผู้ชาย และเด็ก โดยเฉพาะสินค้าสไตล์วินเทจ ยังมีโซนร้านอาหาร และคาเฟ่ชื่อดัง รวมถึงโซนบริการต่าง ๆ อาทิ บริการด้านการจัดส่งสินค้า และบริการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ  มีลานกิจกรรมหมุนเวียน บนพื้นที่กว่า 800 ตารางเมตร ที่จะมีกิจกรรมพิเศษในแต่ละเดือน ชั้น 2​ เป็นพื้นที่ต่อเนื่องในมิกซ์ จตุจักร ของโซนแฟชั่น สไตล์ฟิวชั่น บนพื้นที่ร้านค้ากว่า 240 ยูนิต รวมแฟชั่นสุดแนวไปจนถึงสตรีทแวร์ เครื่องสำอาง เครื่องหนังดีไซน์สวยทั้งรองเท้า กระเป๋า และโซนรวมเครื่องประดับ จิวเวลรี่ รวมทั้งสินค้างานคราฟต์ และสินค้าไอที ชั้น 3  เป็นพื้นที่รวมร้านค้าของมิกซ์ จตุจักร กว่า 120 ยูนิต โซนสินค้าตกแต่งบ้าน งานศิลปะ หัตถกรรมกับงานแฮนด์เมด ของที่ระลึกต่าง ๆ โซนสปาและความงาม ศูนย์อาหารสไตล์สตรีทฟู้ด บนพื้นที่กว่า 2,000 ตารางเมตร มีร้านอาหารให้เลือกกว่า 45 ร้าน ราคาเริ่มต้นเพียง 30 บาทเท่านั้น ชั้นที่ 4 – 5 และชั้นดาดฟ้า เป็นพื้นที่ลานจอดรถของมิกซ์ จตุจักร ที่รองรับได้กว่า 700 คัน โครงการมิกซ์ จตุจักร มีความพิเศษและน่าสนใจ มีสินค้าและบริการตรงใจลูกค้าหรือไม่ คงต้องลองไปสัมผัสของจริงกัน แต่เป็นการเรียกน้ำย่อยและให้เห็นภาพคร่าว ๆ ของโครงการ เรามีตัวอย่าง 10 ร้านไฮไลท์ มานำเสนอ ว่าภายในโครงการมิกซ์ จตุจักร น่าไปเดินช้อปปิ้งกันอย่างไรบ้าง 1.ไก่เขี่ย (KAI KIA) Shop No: 3032 ชั้น 3 โซน Souvenir&Thai Handicraft   ร้านนี้ จำหน่ายเครื่องหนัง Handmade ดีไซน์เป็นเอกลักษณ์ ในแบบฉบับของตัวเอง  จะซื้อสินค้าภายในร้าน หรือจะสั่งทำช่างก็สามารถเนรมิตให้ได้ ไม่ว่ากระเป๋นจะเป็นแบบไหน ส่วนงานที่ทำออกมาขายก็เน้นฟังก์ชั่นการใช้งานหลากหลาย กระเป๋าหนึ่งใบสามารถปรับเปลี่ยนได้หลายรูปทรงตามการใช้งาน และตามที่ลูกค้าต้องการ มีทั้งกระเป๋าสะพาย กระเป๋าสตางค์ กระเป๋าถือ และอื่น ๆ ราคาตั้งแต่ 200 - 5,000 บาท 2.Amaree Aroma Shop No: 3041 ชั้น 3 โซน Souvenir&Thai Handicraft   ผลิตภัณฑ์เครื่องหอมที่ช่วยผ่อนคลาย ลดความตึงเครียด สร้างความสุขให้แก่บ้าน มีทั้งแบบ Diffuser ก้านไม้กระจายหอม ใช้งานง่ายเพียงแค่ใส่ก้านไม้ในขวดที่มีน้ำหอม น้ำหอมใส่รถ สบู่อโรม่าราคาเริ่มต้น 120 - 400 บาท 3.Inter Fish Thailand Shop No: 3060 ชั้น 3 โซน Art   ปลากัดไทยสวยงามระดับพรีเมียม ชื่อเสียงของร้านดังไกลไปทั่วโลก เพราะไม่เพียงแต่เจ้าของร้านเคยชนะปลากัดระดับโลก รุ่นที่ 2 ของ Inter fish Thailand Shopแล้ว ร้านนี้ยังจำหน่ายปลากัดไปทั่วโลก ทั้งอเมริกา ยุโรป และเอเชียหลายประเทศ สำหรับร้านนี้ มีที่มาเริ่มต้นจากห้องเช่าหลังสวนจตุจักร สู่ความมุ่งมั่นสร้างร้านปลากัดติดแอร์ และศูนย์การเรียนรู้การเลี้ยงปลากัดในห้องแอร์แห่งแรกที่ ศูนย์การค้า มิกซ์ จตุจักร ราคาตั้งแต่ 200 – 10,000 บาทขึ้นไป 4.ไทยเท่ คาเฟ่ (ThaiThae Café) Shop No: 3003 ชั้น 3 โซน Food&Beverage กาแฟสไตล์ไทยร้านไทยเท่ (Thaithae) เจ้าของร้านมีความฝันอยากเปิดร้านคาเฟ่สไตล์ไทยประยุกต์เป็นของตัวเอง จึงเกิดเป็นร้านไทยเท่ จำหน่ายทั้งเครื่องดื่มและขนมหลากหลายเมนู อาทิ อัญชัญนมสด อัญชัญมะนาว หรือจับคู่ความอร่อย ชาเย็นกับทาโกยากิ อร่อยลงตัว ราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 39 – 69 บาท 5.อานนท์ (ARNON) Shop No: 2114 ชั้น 2 โซน Men’s Fashion ร้านอานนท์ สาขาแรกตั้งอยู่ในสวนจตุจักร จำหน่ายเสื้อยืดผู้ชาย เสื้อแขนยาวสไตล์เกาหลี เนื้อผ้าคอตตอนอย่างดี คัดติ้งได้มาตรฐาน พร้อมด้วยสัญลักษณ์เป็นรูปหมีที่เป็นเอกลักษณ์ของร้าน และที่สำคัญราคาไม่แพง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อ กางเกง และกระเป๋า ราคาตั้งแต่ 100 – 400 บาท 6.Papilo Shop No: 2163 ชั้น 2 โซน Shoe & Handbag & Leather   งานสาน Handmade จากธรรมชาติ สไตล์ Eco-product สามารถสั่งทำรูปแบบการตกแต่งสินค้าตามสไตล์ ที่ต้องการในแบบที่ไม่ซ้ำใคร ทั้งกระเป๋าสะพาย กระเป๋าถือ กระเป๋าไซส์ใหญ่ หมวก และรองเท้า รับรองว่าเก๋ไก๋ไม่มีเชยแน่นอน ราคาตั้งแต่ 100 - 1,000 บาท 7.Sea Shop No: 1122 ชั้น 1 โซน Vintage สินค้าตกแต่งบ้านสไตล์บาหลี มีดีไซน์เก๋ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวไม่ซ้ำใคร ด้วยวัสดุสีทองและเงินที่ช่วยเพิ่มความคลาสสิกให้บ้านหรือออฟฟิศของคุณดูมีสไตล์มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีแอ็คเซสซอรี่ให้เลือกอีกหลากหลายแบบ เปลี่ยนบรรยากาศในบ้านด้วยรูปภาพติดผนังสไตล์บาหลี (เครื่องประดับยังไม่เข้ามา) ราคาเริ่มต้น 80 - 1,600 บาท 8.Hyena Shop No: 1107-1108 ชั้น 1 โซน Woman Fashion Children & Mom   แฟชั่นผ้ามัดย้อมที่ใส่ได้ทุกฤดูกาล เพิ่มความเก๋ดูมีสไตล์ให้โททัลลุคดูเรียบแต่เก๋ ด้วยสไตล์ผ้ามัดย้อมโทนสีฟ้าขาว จะใส่ไปเที่ยวทะเล หรือให้ไปเดินช้อปปิ้งก็ดูดีไม่เบา มีทั้งเสื้อผ้าและกระเป๋าให้เลือกช้อปในแบบที่ใช่ ราคาตั้งแต่ 80 - 2,500 บาท 9.SEVEN HEAVEN Shop No: 1027 ชั้น 1 โซน Women Fashion, Children & Mom   เสื้อยืดแฟชั่นสีสันสดใส Seven Heaven เสื้อผ้า​แฟชั่น​ดีไซน์สุดจี๊ด ลุคสตรีท มาหมดทั้ง นีออน โฮโลแกรม รีเฟลก คลาสสิคชิคชิค Swag แหวกทุกเทรนด์ ทั้งเสื้อสีสะท้อนแสง​ ลุคสตรีท​ แขนกุด​ แมตช์กับกางเกง ​Hologram ​กางเกงสะท้อนแสง ให้ลุคเปรี้ยวไม่ซ้ำใคร ราคาตั้งแต่ 250 – 890 บาท 10.เด็กโข่ง ปิ่นโตสีหวาน Shop No: 1138 ชั้น 1 โซน Vintage   จากปิ่นโต จาน ชามสังกะสี ดัดแปลกไอเดียเติมเต็มสีหวานสดใสกลายเป็นร้านเด็กโข่ง ปิ่นโตสีหวานถึง 42 เฉดสีด้วยกัน มีสีสดชัดระดับแม่สีไปจนถึงสีพาสเทลโทนต่างๆ จะซื้อมาใช้เองหรือซื้อเป็นของที่ระลึกฝากเพื่อนก็น่ารักไปอีกแบบ ราคาตั้งแต่ 25 - 400 บาท   นี่เป็นเพียงร้านค้าส่วนหนึ่งในจำนวนกว่า 700 ร้านค้า ที่ให้ลูกค้าได้เลือกซื้อกันได้อย่างจุใจ  แต่จะถูกใจหรือไม่ ต้องลองไปสัมผัสด้วยตัวเอง เพื่อค้นหาคำตอบว่า โครงการ มิกซ์​ จตุจักร จะประสบความสำเร็จ ท่ามกลางศูนย์การค้าที่อยู่รายรอบจตุจักร ซึ่งวันนี้เงียบเหงา และดูเหมือนจะทำผลงานได้ไม่เป็นไปตามเป้า เวลาเท่านั้นจะเป็นเครื่องพิสูจน์ สุดท้ายแล้วใครจะสามารถครองใจลูกค้าได้มากกว่ากัน รายละเอียดอื่นๆ จาก มิกซ์ จตุจักร Mixt Chatuchak ไปดูรีวิวที่อื่นๆ ที่น่าสนใจ SINGHA COMPLEX ครบทุกไลฟ์สไตล์คนเมือง 5 Co-Working Space ทั่วกรุงฯ ทำงานยังไงก็ไม่เบื่อ!! COTTO LIFE โลกของกระเบื้องที่ไม่ใช่แค่เรื่องพื้นๆ
[PR] ลงทุน+บริหารเอง นักเลงพอ อินเด็กซ์  ปั้นร้านเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ “วินเนอร์” โมเดลใหม่

[PR] ลงทุน+บริหารเอง นักเลงพอ อินเด็กซ์ ปั้นร้านเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ “วินเนอร์” โมเดลใหม่

“อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์”  เปิดร้านโมเดลใหม่   “วินเนอร์ เฟอร์นิเจอร์ เซ็นเตอร์” ลงทุนและบริหารเอง ประเดิมสาขาแรกที่จังหวัดราชบุรี 1 ใน 12 เมืองต้องห้ามพลาด  ก่อนเดินหน้าขยายเพิ่มปีหน้าทุกรูปแบบ   นางสาวกฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้มีแผนขยายร้านค้าเฟอร์นิเจอร์วินเนอร์ (Winner Furniture) ด้วยรูปแบบโมเดลใหม่ ที่บริษัทเป็นผู้ลงทุนและบริหารร้านเอง (Company Owned Company Operated)  หรือ COCOในรูปแบบสแตนด์อโลน ( Standalone) ภายใต้ชื่อ “วินเนอร์ เฟอร์นิเจอร์ เซ็นเตอร์” (Winner Furniture Center)   โดยร้านดังกล่าวจะจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ “วินเนอร์ เฟอร์นิเจอร์”  ซึ่งเป็นสินค้าเน้นกลุ่มลูกค้าระดับ Mass เป็นหลัก  มีรูปแบบร้านค้าทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ 1.รูปแบบคอมแพ็ก (Compact) พื้นที่ประมาณ 1,050 ตารางเมตร 2.รูปแบบสแตนดาร์ด (Standard) พื้นที่ประมาณ 1,411 ตารางเมตร และ 3.รูปแบบเอ็กซ์ตร้า (Extra) พื้นที่ประมาณ 1,700 ตารางเมตร     ล่าสุด ได้เปิดสาขาแรกที่จังหวัดราชบุรี ในรูปแบบสแตนดาร์ด (Standard) ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 1,500 ตารางเมตร เพื่อขยายตลาดให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น จากเดิมที่แบรนด์วินเนอร์  มีจำหน่ายที่ “อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์” (Index Living Mall) และ “อินเด็กซ์ เฟอร์นิเจอร์ เซ็นเตอร์”  (Index Furniture center) รวมทั้งหมด 37 สาขา  ครอบคลุมกว่า 22 จังหวัดทั่วประเทศไทย   สาเหตุที่เลือกเปิดสาขาในจังหวัดราชบุรีนั้น เป็นเพราะบริษัทเล็งเห็นถึงศักยภาพและการเติบโตทุกภาคส่วนของจังหวัดราชบุรี ซึ่งถือเป็น 1 ใน 12 เมืองต้องห้ามพลาด ที่ได้รับการคัดเลือกจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)  และมีแผนพัฒนาเมืองรอบด้านอย่างต่อเนื่อง     รวมถึงมีการแนวโน้มที่ปรับตัวดีขึ้นของภาคเกษตรกรรม  การขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งภาคบริการ ธุรกิจค้าส่ง-ค้าปลีก การท่องเที่ยว และภาคอุตสาหกรรม ส่งผลต่อภาพรวมการขยายตัวของเศรษฐกิจในจังหวัด  และในอนาคตหากมีรถไฟไฮสปีดเทรนเข้ามา จะทำให้ราชบุรีเป็นอีกหนึ่งจังหวัดทางเลือกที่จะพัฒนาสู่การเป็นเมืองที่น่าอยู่อาศัย   โดยภายในปีหน้า บริษัทมีแผนเปิดร้านค้า  “วินเนอร์ เฟอร์นิเจอร์ เซ็นเตอร์” ครบทั้ง 3 รูปแบบ  
สิ้นสุดการรอคอย ขาช้อปแบรนด์เนม “เซ็นทรัล วิลเลจ” พร้อมเปิดบริการ 31 สิงหาคมนี้

สิ้นสุดการรอคอย ขาช้อปแบรนด์เนม “เซ็นทรัล วิลเลจ” พร้อมเปิดบริการ 31 สิงหาคมนี้

ดีเดย์วันที่ 31 สิงหาคม 2562 นี้แล้ว บรรดาขาช้อปแบรนด์เนมทั้งหลาย เตรียมหอบเงินไปช้อปปิ้งได้เลย กับโครงการ เซ็นทรัล วิลเลจ (Central Village) ลักชูรี่ เอาท์เล็ตระดับโลกแห่งแรกในประเทศไทย ที่บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN พัฒนาขึ้นมาบนพื้นที่ 100 ไร่ พื้นที่โครงการ 40,000 ตารางเมตร ติดสนามบินสุวรรณภูมิ   โครงการ เซ็นทรัล วิลเลจ ภายใต้การดำเนินงานของ "ซีพีเอ็น" ซึ่งได้ทุ่มเม็ดเงินพัฒนาไปกว่า 5,000 ล้านบาท ถือเป็นโปรเจ็กต์ระดับโลก ที่ชูอัตลักษณ์ความเป็นไทยสมศักดิ์ศรี Bangkok Luxury Outlet  ภายในโครงการมีแบรนด์ดังระดับอินเตอร์รวมกว่า 130 สโตร์ที่เตรียมทยอยเปิดให้ได้ช้อปปิ้งกันอย่างจุใจ  โดยความพิเศษคือมากกว่าครึ่งเป็น First Time Outlet Shop ในประเทศไทย อีกทั้งกว่า 60 แบรนด์ได้เลือกเปิด Exclusive Outlet Store ที่มีเพียงที่เซ็นทรัล วิลเลจ ที่เดียวเท่านั้น เซ็นทรัล วิลเลจ มีอะไรบ้าง ยกตัวอย่างให้เป็นน้ำจิ้ม สำหรับร้านแบรนด์เนมที่จะมาเปิดให้บริการ  อาทิ CHLOE, CLUB 21 (OUTLET BY CLUB 21), COACH, ERMENEGILDO ZEGNA, KATE SPADE NEW YORK, KENZO, POLO RALPH LAUREN, SALVATORE FERRAGAMO, CALVIN KLEIN JEANS, JIM THOMPSON, L’OREAL LUXE, MAX & CO., MICHAEL KORS, PANDORA, SWAROVSKI, THE COSMETICS COMPANY STORE, VICTORIA’S SECRET งานนี้ขนส่วนลดตั้งแต่ 35-70% ในทุกวัน   ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด ของซีพีเอ็น เปิดเผยว่า เซ็นทรัล วิลเลจ บุกเบิกเซ็กเมนต์ใหม่ Luxury Outlet ให้เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในไทย ซึ่งซีพีเอ็นตั้งใจสร้าง New Retail Platform นี้ขึ้นมาเติมเต็มช่องว่างในตลาด โดยสร้างมิติใหม่ให้เอาท์เล็ตเป็น Shopping Destination ที่สื่อถึงความเป็นเมืองท่องเที่ยวชั้นนำระดับโลก อย่างเช่น ญี่ปุ่น เกาหลี ฮ่องกง ที่มีเอาท์เล็ตชั้นนำของเอเชีย   ส่วนเซ็นทรัล วิลเลจ ถือเป็น Bangkok Luxury Outlet ที่มีศักยภาพของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยคาดว่าจะดึงดูดทราฟฟิก ได้ 6-10 ล้านคนตลอดทั้งปี แบ่งเป็นตลาด Domestic 65% เน้นไปที่กลุ่ม Young / Mass Affluent ของนักช้อปชาวกรุงเทพฯ และชาวไทยทั่วประเทศ และตลาด International Tourist 35% โดยโฟกัสไปที่กลุ่มที่บินมายังกรุงเทพฯ ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขที่เพิ่มสูงขึ้นของกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง (Middle Class) และกลุ่ม Young Affluent ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่ประสบความสำเร็จด้วยอายุที่ยังน้อยทั่วโลก มีความชื่นชอบในการซื้อสินค้าแบรนด์เนมในราคาที่คุ้มค่า   นอกจาก จะมีร้านแบรนด์เนมชั้นนำระดับโลกรวมกว่า 130 สโตร์ ยังมีร้านอาหาร, ท็อปส์ มาร์เก็ต, สนามเด็กเล่น และจุดบริการนักท่องเที่ยว อีกทั้งเรายังอำนวย  ความสะดวกในการเดินทางมายังโครงการที่ตั้งอยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ด้วยการจัด Shuttle Bus รับส่งใน 3 จุดที่เซ็นทรัลเวิลด์, BTS อุดมสุข และที่จุดขึ้นรถที่โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ สำหรับใครที่ขับรถ  มาเองก็สะดวกด้วยเส้นทางหลากหลายทั้งทางด่วนและถนนเส้นหลัก นักท่องเที่ยวจึงสามารถแวะช้อปก่อนหรือหลังเดินทางไปสนามบินได้ง่าย   เดินทางไปเซ็นทรัล วิลเลจ อย่างไร สำหรับการเดินทางสามารถเดินทางมาได้สะดวกด้วยเส้นทางต่างๆ ดังนี้ บริการฟรีรถรับส่ง  (Free Shuttle Bus) จากเซ็นทรัลเวิลด์วันละ 3 รอบ คือ 11.00 น. – 15.00 น. และ 19.00 น. ใช้บริการขนส่งสาธารณะ เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีอุดมสุข ใช้ทางออก 1-3-5 แล้วต่อ Free Shuttle Bus มายังโครงการ หรือ เดินทางด้วย Airport Link ลงที่สถานีสุวรรณภูมิ จากนั้นมายังจุดจอดรถ Shuttle Bus ที่โรงแรมโนโวเทล สุวรรณภูมิ เพื่อเดินทางต่อมายังโครงการ จับมือ GRAB จัดโปรโมชั่น เพื่อรับส่วนลดการเดินทางมายังโครงการ ใช้รถยนต์ส่วนตัว เดินทางมุ่งหน้ายังสนามบินสุวรรณภูมิ ได้ทั้งจากถนนมอเตอร์เวย์และบางนาตราด โดยโครงการจัดเตรียมที่จอดรถไว้กว่า 1,500 คัน   นอกจากนี้ ซีพีเอ็นยังวางแผนโปรโมทแบรนด์ไทย สร้างสรรค์ Thai Pavilion มหกรรมงานแสดงสินค้าภูมิปัญญาไทยผสานศิลปะร่วมสมัยในมาตรฐานระดับโลก โดยจับมือกับภาครัฐนำโดยกระทรวงวัฒนธรรมและกรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ หรือ DIT จัดอีเว้นต์ธีมโมเดิร์นไทย ประกอบด้วยสินค้าแนวของขวัญ ของฝาก ของที่ระลึก เช่น สบู่แกะสลัก ขนมไทย ตุ๊กตาหัวโขน กระเป๋าผ้ามัดย้อม และสินค้าแฟชั่นผสานอินโนเวชั่นจากทั่วประเทศ  
สรุปข่าวอสังหาฯ​ รอบสัปดาห์ วันที่ 12-18 สิงหาคม  2562

สรุปข่าวอสังหาฯ​ รอบสัปดาห์ วันที่ 12-18 สิงหาคม 2562

เริ่มต้นสัปดาห์หลังจากพักผ่อนยาว เนื่องจากเทศกาลวันแม่ 12 สิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา ข่าวความเคลื่อนไหวในแวดวงอสังหาริทรัพย์ก็คึกคัก กับการออกมาประกาศผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2 ที่เป็นไปตามคาดการณ์ของหลายๆ ฝ่าย คือ ตลาดอสังหาฯ​ จะชะลอตัวลง จากมาตารการควบคุมวงเงินสินเชื่อต่อมูลค่าหลักทรัพย์  หรือ LTV ที่แบงก์ชาติ เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา แต่หลายบริษัทผลประกอบการก็ยังปิดลงได้สวย ไม่ถึงกับแย่งมากนัก สามารถประคับประครองให้ธุรกิจยังไปต่อได้   ++พฤกษา รายได้+กำไรQ2ติดลบ   นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลประกอบการในไตรมาส 2 เป็นไปตามที่คาดการณ์ว่าจะชะลอตัวลง โดยมียอดขาย 12,277 ล้านบาท เติบโต 5.1% มีรายได้ 7,781 ล้านบาท ลดลง 28.1% และมีกำไรสุทธิ 933 ล้านบาท ลดลง 44.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  แต่จากผลประกอบการในไตรมาสแรกที่ทำไว้ดี  จึงส่งผลให้ภาพรวมของผลประกอบการในครึ่งปีแรกยังคงเติบโตได้ดี  โดยมีรายได้รวม 19,662 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 3% ทำกำไรได้อยู่ที่ 2,618 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมียอดขายอยู่ที่ 23,368 ล้านบาท  บริษัท ยังมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) รวมทั้งสิ้น 36,938 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้อยู่ที่ 17,435 ล้านบาท และจากผลการดำเนินงานที่ยังเติบโตในช่วงครึ่งปีแรก พฤกษาจึงได้มีการพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลประจำปี 2562 ให้กับผู้ถือหุ้นได้ในอัตราหุ้นละ 0.60 บาท   ++เปิดชมห้องตัวอย่าง เดอะเรสซิเดนซ์ฯ      นายคีรินทร์ ชูธรรมสถิตย์ ประธานผู้อำนวยการ กลุ่มธุรกิจงานอสังหาริมทรัพย์และบริการ  บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) เปิดเผยว่า  บริษัท ดิ ไอคอนสยาม ซูเปอร์ลักซ์ เรสซิเดนซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด และแมนดาริน โอเรียนเต็ล โฮเต็ล กรุ๊ป จับมือเป็นพันธมิตรร่วมกันเพื่อพัฒนาโครงการเดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ   ห้องชุดพักอาศัยสุดหรูริมแม่น้ำที่ตกแต่งอย่างหรูหราเหนือระดับจำนวน 146 ยูนิต โดยมีทั้งแบบ 2 และ 3 ห้องนอน ขนาดตั้งแต่ 130 – 230 ตารางเมตร รวมถึงห้องเพนท์เฮาส์และดูเพล็กซ์เพนท์เฮาส์ขนาด 380 – 710 ตารางเมตร พร้อมลิฟต์ส่วนตัว เพดานห้องโปร่งสบายด้วยความสุงถึง 3.2 เมตร และมอบพื้นที่พักผ่อนสำหรับผู้พักอาศัยที่มีขนาดใหญ่กว่า 3 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับโครงการห้องชุดชั้นนำแห่งอื่น ๆ ในกรุงเทพฯ โดยล่าสุดได้เปิดให้ชมห้องตัวอย่างอย่างเป็นทางการ ซึ่งโครงการสามารถขายได้แล้วกว่า 85%   ++ศุภาลัย ลุยเปิดโปรเจ็กต์ครึ่งปีหลัง 2 หมื่นล้าน     นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึง แผนงานในครึ่งปีหลังว่า บริษัทฯ เร่งรุกตลาดอสังหาฯ โดยเดินหน้าแผนงานเปิดตัวโครงการใหม่ต่อเนื่อง ทั้งโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียม รวม 21 โครงการ มูลค่ากว่า 20,240 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูมิภาค   โดยเชื่อว่าบริษัทฯ จะสามารถสร้างยอดขายที่เติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อยู่ที่ 35,000 ล้านบาท เนื่องจากปัจจัยสำคัญในเชิงบวก อย่างการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งล่าสุดก็มีการประกาศแผนนโยบายที่สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ และขยายเส้นทางระบบการคมนาคมในปัจจุบัน  อาทิ รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงิน บางซื่อ – หลักสอง ที่จะเปิดใช้อย่างเป็นทางการในเดือนกันยายนนี้  รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียว หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ที่จะเปิดให้บริการ สถานีห้าแยกลาดพร้าว อย่างเป็นทางการในเดือนสิงหาคมเช่นเดียวกัน รวมไปถึงโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายที่อยู่ระหว่างก่อสร้างในกรุงเทพฯ และปริมณฑลหลายเส้นทาง ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยเติบโตขึ้นในอนาคต เชื่อว่าปัจจัยเหล่านี้   จะสามารถกระตุ้นกำลังซื้อภาคประชาชนให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง   ++‘เซ็นทรัล ลาดพร้าว’ เปิดทางเชื่อมรถไฟฟ้าสายสีเขียว      ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด ซีพีเอ็น เปิดเผยว่า   รฟม. ได้อนุมัติการก่อสร้างทางเดินเชื่อมยกระดับ (Skywalk) เพื่อเชื่อมการเดินทางระหว่างรถไฟฟ้าสายสีเขียวสถานีห้าแยกลาดพร้าว และรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงินสถานีพหลโยธิน รวมประมาณ 200 เมตร เป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนอย่างเต็มที่นั้น นับเป็นการเชื่อมต่อระบบขนส่งสาธารณะทุกระนาบ ทั้งใต้ดิน บนดิน และลอยฟ้าอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งบริษัทได้รับอนุญาตให้สร้างทางเดินเชื่อมจากสถานีห้าแยกลาดพร้าว (N9) เข้าสู่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลลาดพร้าวถึง 2 จุด   ++อิมแพ็ค จัดงาน INTERMAT ASEAN และ CONCRETE ASIA 2019     นางสาววาทินี สายทอง ผู้จัดการโครงการ บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า อิมแพ็ค ร่วมมือกับหน่วยงานด้านอุตสาหกรรมก่อสร้าง โครงสร้างพื้นฐาน อาทิ สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ หรือ ทีเส็บ เป็นต้น จัดงาน INTERMAT ASEAN และงาน CONCRETE ASIA งานแสดงสินค้าและการประชุมสัมมนาระดับนานาชาติ ด้านอุตสาหกรรมก่อสร้าง โครงสร้างพื้นฐาน และเทคโนโลยีคอนกรีตระดับภูมิภาค เพื่อร่วมขับเคลื่อนยุทธศาตร์ชาติในด้านการก่อสร้าง โดยรวบรวมสินค้าจากแบรนด์ชั้นนำกว่า 300 แบรนด์มาจัดแสดงระหว่างวันที่ 5 -7 กันยายน 2562 อาคาร 9 – 10 อิมแพ็ค เมืองทองธานี พร้อมทั้งกิจกรรมเจรจาธุรกิจกว่า 450 นัดหมาย อัดแน่นด้วยสัมมนาจากผู้เชี่ยวชาญแถวหน้าของประเทศไทย และการสาธิตเทคโนโลยีใหม่ คาดดึงบุคคลากรที่อยู่ในอุตสาหกรรมกว่า 5,000 ราย   ++SCG EXPRESS เปิดตัวมาสคอตใหม่ล่าสุด       นายไพฑูรย์ จิรานันตรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด และบริษัทเอสซีจี ยามาโตะ เอ็กซ์เพรส จำกัด เปิดเผยว่า ได้เปิดตัวมาสคอตใหม่ล่าสุด “น้องเปียกปูน” และ “น้องใบตอง” ที่ออกแบบโดย คุณตั้ม-วิศุทธิ์ พรนิมิตร ศิลปินวาดภาพประกอบแถวหน้าของประเทศไทย และเป็นเจ้าของคาแร็กเตอร์การ์ตูน "น้องมะม่วง" ที่โด่งดังทั้งใประเทศไทย และประเทศญี่ปุ่น สะท้อนภาพลักษณ์ของเอสซีจี เอ็กซ์เพรส สู่คาแร็กเตอร์มาสคอตตัวใหม่ นำเสนอการส่งมอบความสุขพร้อมคุณภาพในการให้บริการการจัดส่งพัสดุตรงตามเวลาและการดูแลพัสดุอย่างดีรวมถึงการบริการที่เป็นมิตรและเอาใจใส่ของพนักงานตอกย้ำสโลแกน “Deliver Your Happiness”   ++Q-CON ลุยตลาดอิฐมวลเบา    นายกิตติ สุนทรมโนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้คอนสตรัคชั่น โปรดัคส์ จำกัด (มหาชน)  ผู้ผลิตคอนกรีตมวลเบา ภายใต้แบรนด์สินค้า Q-CON ซึ่งอยู่ในกลุ่มธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างในเครือเอสซีจี เปิดเผยว่า กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจภายหลังจากครบรอบ 25 ปี บริษัทจะเดินหน้าชูกลยุทธ์ “Q Solution” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น โดยคำนึงถึงความต้องการลูกค้า เน้นเรื่อง Customer Centric จึงผลักดัน Q Solution ตอบโจทย์ลูกค้ายุคแรงงานขาดแคลน และต้องการความเร็วในการก่อสร้าง อาทิ   Q Panel ระบบผนังกันความร้อนครบวงจร ระบบ Q Network และ Q Kitchen ครัวปูนทันสมัย พร้อมการบริการติดตั้งครบวงจร เป็นต้น (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)   ก่อนหมดสัปดาห์.... ก่อนหมดสัปดาห์  ดูเหมือนว่าตลาดอสังหาฯ​ จะมีตัวช่วยที่เป็นข่าวดีเข้ามากระตุ้นให้ตลาดคึกคักขึ้นบ้าง เมื่อแบงก์ชาติผ่อนปรนเกณฑ์ LTV กับผู้กู้ร่วม  และบรรดาแบงก์ต่างๆ ออกมาประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้กันแทบทุกราย เป็นสัญญาณที่ดีสำหรับคนจะกู้เงิน เพราะแบกรับภาะดอกเบี้ยที่ลดลง ไม่รู้ว่าสองเรื่องนี้จะพอเยียวยาอาการซึมๆ ของตลาดอสังหาฯ​ ได้แค่ไหน เราคงต้องจับตาทิศทางของรัฐบาลกันต่อไปว่าจะเอายังไงกันต่อในช่วงครึ่งปีหลังนี้  
[PR News] อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์  โชว์กำไร  Q2 โต 20% แม้ยอดขายลด

[PR News] อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ โชว์กำไร Q2 โต 20% แม้ยอดขายลด

อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ โชว์ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ทำกำไรสุทธิโต 20% แม้ยอดขายลด เหตุได้อานิสงค์จากค่าเช่าเพิ่ม พร้อมเดินหน้าขยายสาขาต่อเนื่องทั้งในไทยและขายแฟรนไชส์ในเวียดนาม   นางสาวกฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ILM เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2562 (เมษายน – มิถุนายน) บริษัทฯ มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น 158 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% เทียบกับไตรมาส 1 ปี 2562 (มกราคม – มีนาคม) ที่มีกำไรสุทธิ 132 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 2,426 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อย 0.8% เทียบกับไตรมาส 1 ปี 2562 ที่มีรายได้รวม 2,446 ล้านบาท โดยปัจจัยที่กำไรสุทธิไตรมาสนี้สูงกว่าไตรมาสก่อน เนื่องจาก ILM มีรายได้ค่าเช่าพื้นที่เพิ่มขึ้น บวกกับการใช้สิทธิประโยชน์ทางภาษีจากการส่งเสริมการลงทุนโดยสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI)   ส่วนภาพรวมผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปีนี้ มีกำไรสุทธิ 290 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 202 ล้านบาท ถึงแม้รายได้รวมอยู่ที่ 4,872 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 4,890 ล้านบาท เนื่องจากผลกระทบภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างชัดเจน ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้า  อย่างไรก็ตาม บริษัทฯยังสามารถทำกำไรสุทธิได้เพิ่มขึ้น   โดยภายหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ILM ได้เดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนงานที่วางไว้ ล่าสุด ILM ได้เปิดให้บริการร้าน อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ สาขาจันทบุรี อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา เพื่อรองรับความต้องการซื้อเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง รวมถึงการค้าชายชายแดนกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างกัมพูชาที่กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง   นอกจากนี้ยังได้เตรียมเปิดร้านเฟอร์นิเจอร์ขนาดเล็ก (COCO) Winner Furniture Center ที่ราชบุรี ภายในเดือนสิงหาคม 2562 นี้  รวมทั้งมีแผนเปิดแฟรนไชส์ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ที่ประเทศเวียดนาม ภายในไตรมาส 3 ของปี 2562 นี้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อภาพรวมผลการดำเนินงานของ ILM ในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้เป็นต้นไป   ทั้งนี้ ปัจจุบันจังหวัดจันทบุรีถือเป็นหนึ่งในจังหวัดเศรษฐกิจของภาคตะวันออก ที่มีรายได้จากภาคการเกษตร สินค้า อัญมณี ท่องเที่ยว และประมง และในอนาคตภาครัฐจะมีโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ชุมทางศรีราชา ระยอง และมาบตาพุด ระยอง จันทบุรี ตราด คลองใหญ่ ซึ่งจะส่งผลดีต่อการขยายตัวของเมืองโดยรอบสถานีรถไฟและเกิดความต้องการใช้เฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านเพื่อการตกแต่งและปรับปรุงที่อยู่อาศัย
เปิด 4 กลยุทธ์การเติบโตของ “Q-CON” ในภาวะตลาดอิฐมวลเบาทรงตัว

เปิด 4 กลยุทธ์การเติบโตของ “Q-CON” ในภาวะตลาดอิฐมวลเบาทรงตัว

ปัจจุบันตลาดอิฐมวลเบามีผู้เล่นหลักๆ 6-7 ราย ซึ่งมีโรงงานผลิตรวมกันปีละกว่า 50 ล้านตารางเมตร มีการใช้งานปีละ 60-65% ของกำลังการผลิต หรือมีปริมาณการใช้ 30-40 ล้านตารางเมตร ซึ่งปริมาณการใช้มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นใน เพราะการผลิตอิฐมอนมีน้อยลง เนื่องจากต้นทุนแรงงานและเชื้อเพลิงสูงขึ้น  แต่จากสภาพเศรษฐกิจโดยรวมในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมายังไม่ฟื้นตัวดีนัก ทำให้ปริมาณการใช้อยู่ในภาวะทรงตัว หรือแม้แต่ในปีนี้แนวโน้มสภาพเศรษฐกิจก็ยังไม่ได้ปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน ภาพรวมตลาดก็น่าจะยังคงทรงตัวต่อเนื่อง แต่ในเชิงมูลค่าน่าจะยังเติบโตได้  ซึ่งครึ่งปีแรกเติบโตอยู่ประมาณ 6-7%   สำหรับอิฐมวลเบาแบรนด์ Q-CON ของบริษัท ควอลิตี้คอนสตรัคชั่น โปรดัคส์ จำกัด (มหาชน) ในกลุ่มธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างในเครือเอสซีจี ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก ยังคงเติบโตได้ท่ามกลางตลาดที่ทรงตัวต่อเนื่อง โดยมีรายได้ 1,032.9 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตสูงถึง 12% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สูงกว่าเป้าหมายว่าปีนี้จะเติบโต 10% และมีผลกำไรครึ่งปีแรก 86.90 ล้านบาท ซึ่งสูงขึ้นจากปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตสูงถึง 393%   นายกิติ สุนทรมโนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้คอนสตรัคชั่น โปรดัคส์ จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า ปีที่ผ่านมาบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 42-43% หรือมียอดขาย 1,800 ล้านบาท มีกำลังการผลิตรวมจาก 5 โรงงาน 20.8 ล้านตารางเมตร ปัจจุบันผลิตอยู่ประมาณ 80-85% ของกำลังการผลิตโดยรวม ซึ่งทิศทางธุรกิจมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และคาดว่าจะทำผลประกอบการสูงกว่าเป้าหมาย  แม้ว่าภาพรวมตลาดจะทรงตัวก็ตาม   สำหรับกลยุทธ์สร้างการเติบโตของแบรนด์ Q-CON ในปีนี้ คือ   1.การขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเพิ่มตลาดใหม่อย่างประเทศอินเดีย  รวมถึงการผลักดันสินค้า Q Panel ออกสู่ตลาดต่างประเทศ   เช่น ออสเตรเลีย สปป.ลาว กัมพูชา และมัลดีฟส์ เป็นต้น   2.การขยายตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าโครงการบ้านจัดสรรแนวราบ  เพื่อสร้างการเติบโตตามตลาดอสังหาริมรัพย์ โดยทำตลาดกับดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ อาทิ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) บริษัท เอสซี แอสเสท จำกัด (มหาชน)  ซึ่งปัจจุบันดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่มีสัดส่วนยอดขายประมาณ 20-25%   3.การใช้กลยุทธ์ “Q Solution” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น โดยคำนึงถึงความต้องการลูกค้า เน้นเรื่อง Customer Centric ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ Q Panel ระบบผนังกันความร้อนครบวงจร  ระบบ Q Network เครือข่ายทีมช่างที่มีประสบการณ์ พร้อมให้บริการติดตั้งแก่ลูกค้าทั่วประเทศที่ไม่มีแรงงาน   นอกจากนี้ Q-CON ยังมี Solution อื่นๆ อีก เช่น Q Kitchen ครัวปูนทันสมัย ดีไซน์สวย และมีโครงสร้างเสริมเหล็ก High Strength ที่แข็งแรงได้มาตรฐาน พร้อมการบริการติดตั้งครบวงจร โดยใช้เวลาติดตั้งเพียงไม่กี่วัน Q Stair ระบบบันไดที่แข็งแรง  ช่วยลดต้นทุน และลดเวลาการทำงานของลูกค้า Q Sound Barrier ระบบผนังกันเสียงที่ช่วยป้องกันเสียงดังจากรอบข้างได้เป็นอย่างดี เช่น ผนังกันเสียงริมทางหลวงแผ่นดิน รั้วหมู่บ้าน รั้วโรงงาน และรั้วคอนโด   4.การจัดกิจกรรมครบรอบ 25 ปี อาทิ จัดแต่ง Display ร้านค้าทั่วประเทศที่จำหน่ายสินค้า Q-CON  จัดโปรแกรมส่งเสริมการขายพิเศษสำหรับผู้แทนจำหน่าย จัดกิจกรรมสัมมนานวัตกรรมคอนกรีตมวลเบาแก่สถาปนิก วิศวกร ผู้ควบคุมงาน และผู้รับเหมา และยังมีโครงการ Q-CON CSR 25 ปี เป็นต้น ซึ่งแต่ละปีบริษัทจะใช้งบประมาณการตลาดสัดส่วนไม่เกิน 3%        
บี.เอฟ.เอ็ม. จับมือ มิตซูบิชิ เคมิคอล เปิดตัว ALPOLIC A2 แผ่นอลูมิเนียมไส้กลางกันไฟ

บี.เอฟ.เอ็ม. จับมือ มิตซูบิชิ เคมิคอล เปิดตัว ALPOLIC A2 แผ่นอลูมิเนียมไส้กลางกันไฟ

บี.เอฟ.เอ็ม. ตัวแทนจำหน่ายวัสดุตกตแ่งอาคารเกรดพรีเมียมนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น ร่วมมือกับ มิตซูบิชิ เคมิคอล ประเทศญี่ปุ่น ประกาศรุกธุรกิจ พร้อมเปิดตัว ALPOLIC A2 (อัลโพลิค เอ2) แผ่นอะลูมิเนียมคอมโพสิทไส้กลางกันไฟมาตรฐานใหม่ ปลอดภัยต่อกรณีเกิดไฟไหม้อาคารยิ่งขึ้น และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นครั้งแรก หลังครองเจ้าตลาดในไทยมานานกว่า 20 ปี   นายกศิปัญญ์ ศิริธรรม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บี.เอฟ.เอ็ม. (BFM) จำกัด เปิดเผยเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์แผ่นอะลูมิเนียมคอมโพสิทไส้กลางกันไฟมาตรฐานใหม่ว่า เหตุการณ์อัคคีภัยในอาคารสูงหลายครั้งที่ผ่านมา ทั้งในและต่างประเทศ หลายครั้งพบสาเหตุเกิดจากการใช้วัสดุลามไฟ เกิดความเสียหายทั้งต่อชีวิตและทรัพย์สิน ในบางกรณีก็ยากที่จะประเมินมูลค่าการสูญเสีย ด้วยเหตุดังกล่าว BFM ที่เป็นผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายวัสดุตกแต่งอาคารเกรดพรีเมียมมายาวนานกว่า 20 ปี จึงได้มีการร่วมมือกับ มิตซูบิชิ เคมิคอล ประเทศญี่ปุ่น นำเข้าเปิดตัว อัลโพลิค คลาส เอ2 (ALPOLIC A2) แผ่นอะลูมิเนียมคอมโพสิทไส้กลางกันไฟมาตรฐานใหม่สู่ตลาดเมืองไทยอย่างเป็นทางการ     ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียมคอมโพสิทในบ้านเราที่ใช้กันทั่วไปมักจะเป็นแบบไส้กลาง Polyethylene (PE) ซึ่งเป็นพลาสติกที่ไฟติดได้ง่ายมาก หากเกิดเพลิงไหม้ก็จะลุกลามสร้างความเสียหายได้เป็นวงกว้าง แต่มีราคาต่ำกว่าพันบาท/ตารางเมตร ขณะที่แบบไส้กลางเป็นพลาสติกกันไฟ Non-Combustible MiniralFiledd Core (FR) ราคาจะอยู่ที่ประมาณ 1,200 บาท/ตารางเมตร ส่วน ALPOLIC A2 จะมีราคาเพิ่มจากตัว FR ประมาณ 20% ไม่เกิน 1,500 บาท/ตารางเมตร แต่จะได้คุณภาพที่ดีกว่ามาก เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่คายความร้อน อุณหภูมิจากการเผาไหม้และควันพิษน้อยกว่า โดยบริษัทจะนำผลิตภัณฑ์เข้ามาจากญี่ปุ่นโดยตรง เพื่อเป็นการยกระดับความปลอดภัยให้ทัดเทียมสากล   มูลค่าตลาดวัสดุอลูมิเนียมคอมโพสิทในประเทศไทยนั้นมีมากกว่า 2,000 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี เพราะมีการใช้วัสดุกันอย่างแพร่หลายมากขึ้น โดยเฉพาะตามเมกะโปรเจ็คต์ขนาดใหญ่ของภาครัฐ ทั้งสนามบิน สถานีรถไฟฟ้า และรถไฟความเร็วสูงในอนาคต รวมถึงอาคาร Mixed use ขนาดใหญ่ของภาคเอกชน โดยตั้งเป้าในปีนี้คาดว่าเติบโตประมาณ 5-10% และระยะยาวในปีพ.ศ.2562-2563 ประมาณ 400,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นยอดขายผลิตภัณฑ์ คลาส เอ2 10% และ FR 90%  ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต แต่ประเทศไทยยังคงไม่มีมาตรการด้านกฏหมายเกี่ยวกับการบังคับใช้ ควบคุม และตรวจสอบความปลอดภัยของวัสดุประเภทนี้อย่างจริงจัง เหมือนเช่นประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์ ที่กำหนดให้ผู้นำเข้าและผู้ผลิตต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐานความปลอดภัยในระดับสากล        
COTTO LIFE โลกของกระเบื้องที่ไม่ใช่แค่เรื่องพื้นๆ

COTTO LIFE โลกของกระเบื้องที่ไม่ใช่แค่เรื่องพื้นๆ

สร้างบ้านสักหลังว่ายากแล้ว การตกแต่งภายในนั้นยากและเสียเวลายิ่งกว่า ว่ากันแค่เรื่องของกระเบื้อง ก็คิดกันหนักแล้วว่าควรจะเลือกชนิดไหนให้เข้ากับห้อง ใช้ลวดลายอะไร มีคุณสมบัติอะไรบ้าง แค่นี้ก็ปวดหัวแล้ว นี่ยังไม่นับ การติดต่อช่างผู้รับเหมาฝีมือดี ไม่ทิ้งงานอีก สิ่งเหล่านี้จะไม่เป็นปัญหาเลยคะ ถ้าได้รู้จักกับโลกของกระเบื้องอย่าง COTTO LIFE  ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชั้น 2 ของอาคาร SCG Experience ที่ Crystal Design Center เลียบทางด่วนเอกมัย-รามอินทรา   ทีมงาน Reviewyourliving ได้มีโอกาสไปเดินชม COTTO LIFE บนพื้นที่ 1,300 ตารางเมตร ที่เพิ่งจะปรับปรุง กันไปเมื่อช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมาคะ ที่นี่มีหลากหลายเรื่องราวของกระเบื้องที่สร้างสรรค์ขึ้นมาเพื่อนักออกแบบ สถาปนิก ไปจนถึงกลุ่มคนรักบ้านจะต้องเดินชมกันเพลินแน่นอนคะ โดยที่ชั้น 2 ของ SCG Experience แห่งนี้จะเป็น COTTO LIFE ทั้งชั้น ซึ่งจะมีทั้ง กระเบื้องทั้งนำเข้า และผลิตในประเทศ รวมถึงสุขภัณฑ์ ก๊อกน้ำหลากหลายชนิด แต่ครั้งนี้เราจะโฟกัสกันที่เรื่องของ กระเบื้องคะ เริ่มกันที่ฝั่งของกระเบื้องนำเข้า Italia Collection ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความเป็น Exclusive Products ของ COTTO ด้วยความร่วมมือกันระหว่าง COTTO กับ บริษัท ฟลอริม เซรามิเช่ เอส.พี.เอ. จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องชั้นนำ จากประเทศอิตาลี ร่วมกันออกแบบ วิจัยและพัฒนาสินค้าพร้อมอาศัยเทคโนโลยีและฐาน การผลิต เพื่อออกมาเป็น กระเบื้องพอร์ซเลน (Porcelain) อิตาลีแท้ 100% โดยมุ่งจับกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ ไม่ว่าจะเป็นสถาปนิก นักออกแบบ ซึ่งเรามักจะเห็น เข้าไปอยู่ในโปรเจคใหญ่ๆ อย่างห้างสรรพสินค้า โรงแรม สปา ร้านอาหาร หรือแม้แต่ ในบ้านของคุณเองในจุดที่อยากให้เป็นไฮไลท์พิเศษของบ้าน     ด้วยความที่ Italia Collection ได้แรงบันดาลใจจากเรื่องราวของธรรมชาติจริง เน้นลวดลายตามแบบธรรมชาติไม้ จากต่างประเทศ รวมถึงลายหิน หินอ่อน ลายไม้ อย่างกระเบื้องลายไม้โอ๊ค ก็จะมีมีความเป็นโอ๊คที่แตกต่างกัน ในแต่ละลักษณะของป่า ช่วงฤดูการเติบโต และไม่ใช่แค่เรื่องของลวดลาย แต่จะได้ผิวสัมผัสที่เลียนแบบลายไม้จริงด้วยเช่นกัน เพื่อให้ได้อารมณ์เหมือนอยู่กับธรรมชาติมากที่สุด   กระเบื้องลายหินอ่อน Grande Collection เป็นผลิตภัณฑ์ที่ค่อนข้างมีความเป็น Exclusive ที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็น Limited Collection ลายหินอ่อน เพราะการออกแบบได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติจริง ซึ่งหาได้ยากแล้ว โดยลวดลายที่เห็นจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่ตายตัว โดยพัฒนาจากอิตาลี ด้วยเทคโนโลยี Continue af plus ที่ทำให้ลายหินร้อยเรียงต่อกันอย่าง Smooth ที่สุด เหมาะสำหรับใครที่อยากได้ผนังสักด้านที่เป็นไฮไลท์ ดูโดดเด่นขึ้นมา หรือจะทำเป็น Top เคาน์เตอร์ แม้กระทั่งกรุฟาซาดภายนอก   คุณสมบัติ น้ำหนักเบา แผ่นใหญ่พิเศษ โดยมีไซส์ใหญ่ที่สุด 1.6*3.2 สามารถปูได้อย่างไร้รอยต่อ ดูดซึมน้ำค่อนข้างต่ำมาก ทำให้ไม่สะสมคราบ ไม่เกิดเชื้อรา ทำความสะอาดง่าย ทนต่อการกัดกร่อน ทนความร้อนได้ดีเยี่ยม ที่สำคัญคือ มีความทนทานมากกว่าหินจากธรรมชาติ     Texture ไม่เหมือนใครด้วย Espanya Collection ดีไซน์และผลิตจากสเปน จะได้เบจแบบ Earth Tone แต่จะมีความแตกต่างด้วยการเน้น Texture มีให้เลือก 6-8 ลาย เน้นการใช้งาน Outdoor   GEOLUXE เมื่อหินจากธรรมชาติเริ่มหาได้ยากเต็มที ประกอบกับการหันมาใส่ใจดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมมากขึ้น จึงเกิดเป็นหิน Pyrolytic Stone ที่พัฒนามาจากการวิจัยใน Lab ซึ่ง Built มาทั้งชิ้น เนื้อเดียวกันทั้งหมด ทำให้ได้หินแผ่นใหญ่ มีความหนา 10-12 มม. น้ำหนักมาก ทนการถูกกระแทกหนักๆได้ดี และทนความร้อนสูง จึงนิยมนำมาเป็น Top ครัว แต่ต้องวางอยู่บนเคาน์เตอร์ที่มีฐานแข็งแรง แน่นหนาตามไปด้วย และทั้งแผ่นจะโชว์ให้เห็นลวดลายเส้นสาย ของแร่หินที่สั่งสมกว่าพันปี จนกลายเป็นหินแผ่นใหญ่ แต่สามารถสั่งตามขนาดที่ต้องการได้   โซน Italia Collection นี้ เหมาะกับงานสไตล์โมเดิร์น เรียบง่าย แต่โดดเด่น ล้ำสมัย ซึ่งก็ตรงตามความต้องการของ COTTO เอง ที่ตั้งใจเจาะกลุ่มไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่มากขึ้น   COTTO Collection มาถึงโซนของ COTTO ที่ผลิตเองในประเทศ ราคาก็จับต้องได้ง่ายขึ้น แต่คุณภาพยังคงไม่ลดน้อยลงไปกว่ากันเท่าไรนัก เพราะยังคงเน้นคุณสมบัติดูดซึมน้ำต่ำ แข็งแรง รองรับน้ำหนักได้ดี ทนทานต่อการเสียดสีและขูดขีด เนื้อสีขาว เนื้อเดียวกันตลอดทั้งแผ่น รองรับการทุกใช้งานพื้น ผนัง ทั้งนอกบ้านและในบ้าน มีให้เลือกมากกว่า 80 ซีรี่ย์ ในเรื่องของลวดลายกระเบื้อง พยายามตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองที่โหยหายความเป็นธรรมชาติย่งขึ้น ซึ่งเทรนด์ ลายตามธรรมชาติได้รับความนิยมขึ้นเรื่อยๆ โดยจะเลียนแบบลายไม้ ลายหินพื้นถิ่นในบ้านเรา ให้สัมผัสต่างกันออกไป   กระเบื้องโมเสก  ระยะหลังมานี้กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้งคะ ส่วนใหญ่เราจะเห็นการใช้ตกแต่ง ในร้านคาเฟ่กันเยอะขึ้น ด้วยความที่เป็นกระเบื้องชิ้นเล็กจึงสามารถเข้าไปอยู่ได้ในทุกพื้นที่ เน้นไปที่การตกแต่งเพิ่มสีสัน แต่เนื้อกระเบื้องจะเหมือนกับกระเบื้องแผ่นใหญ่ รวมถึงคุณสมบัติในการใช้งานได้ทั้งภายนอกและภายในเช่นกัน   นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์สวยงาม ดูทันสมัยแล้ว เรื่องการบริการก็สำคัญไม่แพ้กันคะ เพราะ COTTO LIFE มีผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำทั้งเรื่องการออกแบบด้วยโปรแกรม 3D ของทีม Creative Designer ให้เห็นภาพจริงก่อนตัดสินใจ บริการติดตั้ง Tile Installation Service ไปจนถึงการรับประกันยาวนาน ด้วยตัวผลิตภัณฑ์เอง ที่มีความโดนเด่นเฉพาะตัว แตกต่างจากท้องตลาดทั่วไป จึงจำเป็นต้องใช้ช่าง ที่มีความชำนาญเฉพาะ รวมถึงอุปกรณ์พิเศษในการติดตั้ง เพื่อไม่ให้เกิดความผิดพลาดกับบ้านของคุณ   แม้ว่าที่ COTTO LIFE แห่งนี้จะเปิดให้ผู้ที่สนใจเข้ามาสัมผัสสินค้าจริง แต่ถ้าไม่สะดวกเดินทางมาล่ะก็ เขามีบริการ ซื้อผ่านออนไลน์ได้ และยังบริการส่งฟรีถึงบ้านอีกด้วยคะ    
“คาเฟ่ ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน 2019” กับ 18 เมนูใหม่ พร้อมของสะสมสุดพิเศษ

“คาเฟ่ ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน 2019” กับ 18 เมนูใหม่ พร้อมของสะสมสุดพิเศษ

ใครเป็นแฟนอะนิเมชั่นสุดอมตะอย่างโคนันจะต้องฟินกันอีกครั้งกับการกลับมาอีกครั้งของ “คาเฟ่ ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน 2019” (Detective Conan Cafe 2019) ณ ร้าน เบค อะ วิช (Bake A Wish) ชั้น G ของสยามเซ็นเตอร์ เป็นปีที่ 2 แล้วนะคะ ครั้งนี้มาพร้อมกับ 18 เมนูที่รังสรรค์ขึ้นมาเพื่อแฟนๆ โดยเฉพาะ พร้อมของสะสมโคนันลิขสิทธิ์แท้จากญี่ปุ่น วางจำหน่ายเฉพาะที่ร้านเท่านั้น แต่จะมีอะไรกันบ้าง Reviewyourliving ได้เก็บภาพมาฝากกันค่ะ   คอนเซ็ปต์ของทั้ง 18 เมนู ถูกคิดขึ้นมาตามธีมของยอดนักสืบจิ๋วโคนัน เดอะมูฟวี่ 23 ตอน: ศึกชิงอัญมณีสีคราม (Detective Conan The Movie 23: The Fist of Blue Sapphire) ที่จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์อย่างเป็นทางการในไทยเร็วๆ นี้ โดยเป็นการร่วมมือกันระหว่าง Bake A Wish กับ PARCO (สิงคโปร์) ให้เป็นผู้พัฒนาคอนเซ็ปต์ และดำเนินการรังสรรค์เมนูต่างๆ ขึ้นมา ซึ่งจะใช้การผสมผสานระหว่างวัตถุดิบที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย กับวัฒนธรรมป๊อปอะนิเมะของญี่ปุ่น ในราคาตั้งแต่ 180-350 บาท    อาหาร 6 เมนู ไก่กะรัต อาเกะอัญมณีสีคราม เฟรนช์ฟรายส์กับรอยยิ้มลึกลับ ข้าวแกงเขียวหวานแคปซูลยา เรโทร นโปลิตัน พาสต้า จากคาเฟ่ปัวโรต์ ศึกแห่งเบอร์เกอร์ จอมโจรคิด ปะทะเคียวโกขุ ข้าวห่อไข่ในคืนวันเพ็ญ จอมโจรคิด (แถมโปสการ์ดเป็นลายใน Movie Scene)    ขนมหวาน 4 เมนู พาร์เฟ่ต์ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน (แถมพวงกุญแจอะคริลิคลายโคนัน) ชินอิจิ&รัน ของหวานแห่งรัก มายากลของหวานของจอมโจรคิด  ยินดีต้อนรับสู่การ์เด้นซิตี้วาฟเฟิล (แถมโปสการ์ด)   เครื่องดื่ม 4 เมนู  ใครที่สั่งเมนูเครื่องดื่มใดก็ตามจะได้รับแผ่นรองแก้วลายลิมิเต็ดฟรี  โคนันฮอตลาเต้ ลายบนตัวลาเต้จะไม่สามารถเลือกลายได้นะคะ เพราะจะสุ่มตัวละครจากทั้งหมด 6 ลาย   สิงคโปร์ บลู พาราไดซ์ จิงเจอร์เอลของโคโกโร่ ตัวนี้ไม่มีแอลกอฮอล์ ใครที่สั่งเมนูนี้ก็สามารถถือขวดกลับบ้านได้เลยค่ะ อัญมณีสีครามในน้ำแอปเปิ้ลโซดา เมนูเครื่องดื่มที่มาพร้อมขวดลายพิเศษเฉพาะปี 2019 สามารถถือกลับบ้านได้เลยเช่นกัน     4 เมนูสำหรับ Takeaway  ใครที่ไม่ได้มีโอกาสมาที่สาขาสยามก็อย่าเพิ่งน้อยใจไปนะคะ เพราะจะมีทั้ง 4 เมนูนี้วางจำหน่ายที่ร้าน Bake A Wish กว่า 14 สาขาทั่วประเทศ  เค้กกาแล็กซี่จอมโจรคิด  เซ็ท สารพัดเค้กยอดนักสืบจิ๋วโคนัน เลม่อนพายของชินอิจิ&รัน คุ้กกี้รูปไพ่ของจอมโจรคิด    นอกจากนี้ยังมีของสะสมโคนันลิขสิทธิ์แท้จากญี่ปุ่น และสินค้าที่ระลึกสุดพิเศษจากภาพพยนตร์วางจำหน่ายเฉพาะที่นี่เท่านั้น พร้อมสนุกไปกับเกม Walk Rally ในธีมยอดนักสืบจิ๋ว โคนัน The Phantom Quest ซึ่งจะเปิดให้เล่นระหว่างวันที่ 1–18 สิงหาคม 2562       สุดท้ายของความพิเศษค่ะ ถ้าใครที่อยากจะนั่งรถไฟฟ้ามาลงที่บีทีเอสสถานีสยาม เพื่อมาที่ร้านก็อย่าลืมลองหาบัตรโดยสารแรบบิท ลายยอดนักสืบจิ๋ว โคนัน ซึ่งจะได้สิทธิพิเศษรับชูครีมที่ทำสดใหม่ทุกวัน ฟรี 1 ชิ้น จากร้าน Bake A Wish สาขาสยามเซ็นเตอร์ (จำกัด 1 ชิ้น/วัน/หมายเลขบัตรแรบบิท) ตั้งแต่วันที่ 7 สิงหาคม-15 กันยายน 2562 นี้   เห็นแบบนี้แล้วคงจะอยากไปสัมผัสกันด้วยตัวเองใช่ไหมล่ะคะ ฉะนั้นอย่าชะล่าใจไปเชียว เพราะ “คาเฟ่ ยอดนักสืบจิ๋วโคนัน 2019” จะเปิดให้ฟินกันเพียง 46 วัน ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม-15 กันยายน 2562 นี้        
SIRI ผนึก 3 พันธมิตร สานต่อ Green Mission ผลิตชุดเฟอร์นิเจอร์จากขวดพลากสติก

SIRI ผนึก 3 พันธมิตร สานต่อ Green Mission ผลิตชุดเฟอร์นิเจอร์จากขวดพลากสติก

หนึ่งในภารกิจสำคัญของ SIRI หรือบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เรื่อง Green Mission คือ การลดปริมาณขยะ หรือ  Waste Management ทั้งในพื้นที่โครงการก่อสร้าง และภายในโครงการที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นการคัดแยกขยะ หรือการลดปริมาณวัสดุที่จะก่อให้เกิดขยะ   ไม่เพียงแต่เรื่องของการลดปริมาณขยะเท่านั้น แต่แสนสิริพยายามต่อยอดแนวความคิดของ Green Mission ไปสู่เรื่องอื่นๆ โดยเฉพาะการนำเอาขยะมารีไซเคิล และสร้างมูลค่าเพิ่มขึ้น ด้วยการพัฒนาเป็นสินค้าใหม่ ตามแนวคิด Upcycling  ซึ่งล่าสุดได้จับมือกับ 3 พันธมิตร ได้แก่ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GC แบรนด์พาซาญ่า (PASAYA) และเอสบี เฟอร์นิเจอร์ ร่วมกันผลิตเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้าน เพื่อนำมาใช้ภายในโครงการของแสนสิริ   ความร่วมมือกันดังกล่าว เบื้องต้นจะมีการผลิตชุดเฟอร์นิเจอร์  ได้แก่ โซฟา ปลอกหมอนอิง และผ้าม่าน จากวัสดุรีไซเคิล ซึ่งเป็นเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์รีไซเคิล ที่มีคุณสมบัติใกล้เคียงเส้นใยธรรมชาติ ซึ่งนำเอาขวดพลาสติกใส (PET) ที่ไม่ใช้งานแล้วมาเป็นวัตถุดิบผลิตเส้นด้าย ทำให้มีคุณสมบัติกันน้ำ น้ำมันซึม ป้องกันฝุ่นฝังในตัวผ้า ซึ่งชุดเฟอร์นิเจอร์ดังกล่าวจะถูกนำเอามาใช้ในห้องตัวอย่างของโครงการแสนสิริกว่า 30 โครงการ นายอุทัย อุทัยแสนสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ แสนสิริ เปิดเผยว่า  นอกจากการนำเอาชุดเฟอร์นิเจอร์ดังกล่าวมาใช้ภายห้องตัวอย่างภายในโครงการของบริษัทแล้ว ยังวางแผนจะผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายให้กับลูกบ้านของแสนสิริที่สนใจนำเอาเฟอร์นิเจอร์ไปใช้  ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษา  แต่เบื้องต้นราคาสินค้าจะสูงกว่าปกติทั่วไป  เนื่องจากต้นทุนวัสดุสำหรับการผลิตสินค้าสูงกว่าวัสดุทั่วไป 10-20%   สำหรับรายละเอียดสินค้าที่ผลิตร่วมกัน ประกอบด้วย โซฟารุ่น Sofa Maoro Limited จากขวดพลาสติกเหลือใช้กว่า 500 ขวด ถูกนำมาแปรรูปเป็นเส้นด้ายโพลีเอสเตอร์รีไซเคิล เพื่อนำมาใช้เป็นเส้นยืนในการผลิตผ้าบุโซฟา โดย PASAYA เป็นสีเทา BELUGA เพิ่มความเรียบหรู คลาสสิก สามารถเข้ากับการตกแต่งได้เกือบทุกรูปแบบ และนำมาตกแต่งโซฟารักษ์โลก SB Furniture เพิ่มความโดดเด่นของรูปทรงที่มีเส้นสายสไตล์โมเดิร์นที่เฉียบขาด   ผ้าม่าน PASAYA รุ่น JUPITER ผ้าม่านรักษ์โลกที่ออกแบบและผลิตขึ้นด้วยเทคนิคเฉพาะตัวของ PASAYA โดยนำเส้นด้ายพอลิเอสเตอร์รีไซเคิลจากขวดพลาสติก PET มาถักทอเป็นเส้นยืนในการผลิตผ้าม่านด้วยลวดลายพิเศษรุ่น JUPITER ในโทนสีเทา-น้ำตาล แบบ Shadow ที่สร้างความรู้สึกถึงผิวสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์ สร้างบรรยากาศให้กับห้องได้อย่างลงตัว ช่วยลดปริมาณขวดพลาสติกบนโลกได้มากกว่า 500 ขวด   ปลอกหมอนอิงรุ่น TETRA ขนาด 18 นิ้ว จาก PASAYA  ปลอกหมอนอิงสีขาว-ดำ BLACK WHITE ขนาด 18 นิ้ว แปรรูปจากขวดพลาสติกเหลือใช้ 12 ขวดต่อปลอกหมอน 1 ใบ กลายเป็นเส้นด้ายพอลิเอสเตอร์รีไซเคิล ที่นำมาใช้เป็นเส้นยืนในการถักทอผ้าตกแต่งบ้าน ด้วยความเชี่ยวชาญด้านการสร้างสรรค์ลายผ้าและตัดเย็บอย่างประณีตโดย PASAYA เมื่อจับคู่กับโซฟา MAORO ยิ่งช่วยเพิ่มดีเทลให้ชุดโซฟาที่เรียบหรูดูไม่ธรรมดาอีกต่อไป     ปลอกหมอนอิงรุ่น REPP ขนาด 15 นิ้ว จาก PASAYA   ที่มาพร้อมสีสันสดใสอย่างสีเหลือง LEMON CHROME และสีแดง MANDARIN RED ที่จะช่วยสร้างคอนทราสต์ให้การตกแต่งบ้านดูสนุกสนานมากยิ่งขึ้น โดยเส้นยืนของผ้าผลิตขึ้นจากเส้นด้ายพอลิเอสเตอร์รีไซเคิลที่สามารถช่วยลดปริมาณพลาสติกบนโลกได้ถึง 8 ขวดต่อปลอกหมอน 1 ใบ
วิธีใช้ปลั๊กพ่วงอย่างไรให้ปลอดภัย

วิธีใช้ปลั๊กพ่วงอย่างไรให้ปลอดภัย

เกือบทุกบ้านต้องมีปลั๊กพ่วงไว้ใช้งานอยู่แล้ว แต่ทราบวิธีการใช้ที่ถูกต้องหรือยังครับ เพราะหลายครั้งหลายหนที่สาเหตุของการเกิดอัคคีภัยนั้นมาจากไฟฟ้าลัดวงจร โดยเฉพาะจากการใช้ปลั๊กพ่วงผิดวิธี หรือการเสื่อมสภาพของตัวปลั๊กพ่วงนี่แหละครับ ฉะนั้นมาดูวิธีการใช้งานที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาครับ     ปลั๊กพ่วงที่ดี ส่วนประกอบต้องครบ ก่อนจะเลือกซื้อปลั๊กพ่วงสักอันต้องดูส่วนประกอบเหล่านี้ให้ครบครับ สวิตช์เปิด-ปิด หากใช้ไฟฟ้าเกินกำหนดจะช่วยตัดกระแสไฟฟ้า เต้าเสียบ มีฉนวนหุ้มที่โคนขาปลั๊กทั้งสองขา เต้ารับ มีแรงดันไฟฟ้าที่กำหนดไม่เกิน 250 โวลต์  ควรทำจากทองแดงหรือทองเหลือง เพราะนำไฟฟ้าได้ดีกว่า สายไฟได้มาตรฐาน หุ้มฉนวน 2 ชั้น ฟิวส์ หรือ CB   ตรวจสอบสภาพก่อนใช้งาน ปลั๊กพ่วงต้องมีสภาพสมบูรณ์ก่อนการใช้งานทุกครั้ง หากมีร่องรอยชำรุดเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นฉนวนหุ้มสายไฟแตก ขาปลั๊กมีรอยไหม้ หรือเมื่อเสียบปลั๊กไฟแล้วมีประกายไฟขึ้น ขณะใช้งานมีเสียงดัง สายไฟร้อน ปลั๊กหลวม ฯลฯ ให้หยุดใช้งานแล้วเปลี่ยนปลั๊กพ่วงใหม่ได้เลยครับ อย่าเสียดาย เพราะเราต้องป้องกันก่อนจะเกิดอันตราย   ห้ามใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟเยอะ เช่น ตู้เย็น เครื่องทำน้ำเย็น ฯลฯ ควรจะเสียบกับเต้ารับจากไฟบ้านโดยตรงครับ หากเสียบกับปลั๊กพ่วงอาจทำให้เกินพิกัดกระแสไฟฟ้าที่ตัวเต้าจะรับได้ ซึ่งปกติแล้วจะอยู่ที่ 16 แอมป์ หรือ 2,600 โวลต์   ไม่พ่วงแล้ว พ่วงอีก ถ้าความยาวสายไฟไม่พอ ก็ลองหาตัวใหม่ที่มีความยาวเพียงพอกับการใช้งานครับ อย่าใช้วิธีพ่วงแล้ว พ่วงอีกต่อกันไปเรื่อยๆ เพราะจะทำให้ปริมาณไฟฟ้ารวมกันเกินขนาด เกิดความร้อนสูงจนอาจไปละลายสายทองแดงด้านในสายไฟทั้งสองเส้น แล้วเมื่อแตะกันก็จะเกิดลัดวงจรขึ้นครับ   ใช้งานแค่ชั่วคราวเท่านั้น ปลั๊กพ่วงถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานชั่วคราวเท่านั้นนะครับ ทำให้มีการเสื่อมสภาพเร็วกว่าเต้ารับตามบ้านทั่วไป ดังนั้นเมื่อใช้งานเสร็จแล้วก็ควรดึงปลั๊กออกจากเต้ารับ ห้ามนำไปเดินสายแล้วติดกับผนังกลายเป็น และอย่าใช้งานจนเต็มทุกรู     อย่าลืมตรวจสอบปลั๊กพ่วงอย่างสม่ำเสมอ และใช้ให้ถูกวิธีนะครับ เพราะหากเกิดอัคคีภัยขึ้นมา จากประกายไฟเล็กๆ ที่เราคาดไม่ถึง อาจลุกลามไปทำลายทรัพย์สิน หรือถึงแก่ชีวิตได้ครับ      
เปิดแผน “บีไอดับบลิว” รุกตลาดผ้าม่านม้วน 2,000 ล้าน

เปิดแผน “บีไอดับบลิว” รุกตลาดผ้าม่านม้วน 2,000 ล้าน

แม้ว่าประเทศไทยจะมีฤดูหนาว ฤดูฝน และฤดูร้อน แต่ด้วยสภาพอากาศเมืองไทยส่วนใหญ่จะเผชิญกับอุณหภูมิที่ร้อนเสียเป็นส่วนใหญ่  แนวทางในการอยู่อาศัยไม่ว่าจะเป็นที่พักหรือสำนักงาน จึงมุ่งเน้นที่จะรักษาอุณหภูมิภายในห้องไม่ให้ร้อน การเปิดเครื่องปรับอากาศถือเป็นทางเลือกอันดับแรกๆ แต่ขณะเดียวกันการป้องกันไม่ให้อุณภูมิหรือแสงแดดส่งความร้อนเข้ามาในตัวห้อง ก็เป็นวิธีที่ถูกนำมาใช้ควบคู่กันด้วย วัสดุที่ถูกนึกถึงอันดับแรกๆ จึงเป็นผ้าม่าน เพื่อป้องกันไม่ให้แสงแดดและอุณหภูมิเข้ามาภายในห้อง ธุรกิจผ้าม่านจึงเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง ตามการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  ไม่ว่าจะเป็นในรูปแบบของที่อยู่อาศัยหรือสำนักงานก็ตาม   โอกาสทางการตลาดดังกล่าวทำให้ “บีไอดับบลิว” ผู้ผลิตและนำเข้าผ้าม่านและอุปกรณ์  วางแผนธุรกิจเพื่อรองรับกับการเติบโตดังกล่าว โดยได้ลงทุน 40 ล้านบาท เพื่อขยายโรงงานผลิตผ้าม่านม้วนและมู่ลี่ไม้ เป็นโรงงานแห่งที่ 2  บนเนื้อที่ 15 ไร่ ซึ่งคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงปลายปีนี้  โดยสินค้าจะผลิตภายใต้แบรนด์ BIW ซึ่งจะใช้วัสดุทั้งไม้และหนังมาผลิตเป็นสินค้า เพื่อสร้างความแตกต่างจากท้องตลาด     นายสิริชัย ฤทธิปัญญาวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บีไอดับบลิว เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดผ้าม่านโดยรวมมีผู้ประกอบการกว่า 8,000 ร้านค้า แต่หากเป็นสินค้าที่มีแบรนด์จะมีกว่า 20 แบรนด์ซึ่งทำตลาดอยู่ในปัจจุบัน โดยผู้ประกอบการรายใหญ่ที่ถือเป็นผู้เล่นหลักจะมีประมาณ ​6 ราย ซึ่งครองส่วนแบ่งกว่า 80% จากมูลค่าตลาดรวมกว่า  20,000 ล้านบาท  โดยที่ผ่านมาตลาดอยู่ในภาวะทรงตัว  แต่ตลาดที่เติบโตได้ดี คือ กลุ่มผ้าม่านม่วนซึ่งมีมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่งปีที่ผ่านมาเติบโตกว่า 140% เป็นเพราะผู้บริโภคเริ่มหันมาให้ความสนใจติดตั้งผ้าม่านม้วนมากขึ้น ประกอบกับการพัฒนาสินค้าที่มีคุณสมบัติและดีไซน์ที่ดีขึ้น   โดยปัจจุบันบริษัทเป็นตัวแทนจำหน่ายและทำตลาดสินค้ากลุ่มผ้าม่านม้วน  ภายใต้แบรนด์คูลิส (Coulisse) จากประเทศเนเธอร์แลนด์มาต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 3 ปี  ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี  เนื่องจากผลิตภัณฑ์มีจุดเด่น 3 เรื่อง ได้แก่ 1.ดีไซน์ที่เชื่อมโยงกับเทรนด์แฟชั่น อาทิ การนำเอาแรงบันดาลใจจากการแสดงแฟชั่นของแบรนด์คริสเตียนดิออร์ และแอร์เมสมาดีไซน์ผ้าม่าน ทั้งสีและลวดลาย  2.ใช้วัสดุเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ การนำเอาขวด PET มาช้เป็นส่วนผสมในวัสดุ  และ 3.ใช้เทคโนโลยีเข้ามาร่วมในการใช้งาน อาทิ การใช้ระบบแอพพลิเคชั่นควบคุมการเปิด-ปิดผ้าม่าน  เป็นต้น   “ผ้าม่านม้วนได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เพราะผู้ผลิตพัฒนาวัสดุที่มีคุณสมบัติพิเศษ เช่น วัสดุทนไฟ ป้องกันเชื้อรา ไม่มีสารพิษ  และลดอุณหภูมิได้ดี เป็นต้น และพัฒนาดีไซน์ที่ทันสมัยมากขึ้น”   โดยแนวทางการทำตลาดบริษัทจะมุ่งเน้นการสื่อสารและสร้างการรับรู้ในแบรนด์สินค้าและข้อมูลผลิตภัณฑ์ ผ่านตัวแทนร้านค้ากว่า 1,000 รายทั่วประเทศ คาดว่าปีนี้จะทำยอดขายได้ 140 ล้านบาท ส่วนทั้งกลุ่มบริษัทที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์ผ้าม่านและอุปกรณ์ภายใต้แบรนด์อื่นด้วยนั้น คาดว่าในปีนี้จะทำยอดขายได้ 240-300 ล้านบาท          
เปิดแผน CCP ปี 62 ลุยตลาดพรีคาสท์-งานภาครัฐ สร้างรายได้ 2,500 ล้าน

เปิดแผน CCP ปี 62 ลุยตลาดพรีคาสท์-งานภาครัฐ สร้างรายได้ 2,500 ล้าน

แม้ว่าปีนี้ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์จะส่งสัญญาณชะลอตัว การก่อสร้างก็อาจจะไม่ได้เติบโตหวือหวา แต่ก็ยังมีปริมาณความต้องการที่อยู่อาศัยอยู่  ทำให้ตลาดวัสดุก่อสร้างยังคงเติบโตไปในทิศทางเดียวกันกับตลาดอสังหาฯ  แต่สำหรับงานก่อสร้างโครงการใหญ่ ที่เป็นระดับเมกะโปรเจ็กจ์  ก็มีออกมาต่อเนื่อง ถือเป็นผลดีกับผู้ประกอบการวัสดุก่อสร้างรายใหญ่  ที่มีโอกาสเข้าไปรับงาน และสร้างการเติบโต  ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ CCP หรือ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) ภายหลังจากได้ปรับโครงสร้างธุรกิจของตัวเอง ในปีที่ผ่านมา ปีนี้ทิศทางการดำเนินธุรกิจก็เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้น ซึ่งวางแผนจะมุ่งจับตลาดภาครัฐ พร้อมกับเน้นผลิตภัณฑ์พรีคาสท์มากขึ้น เป็นไปตามไลฟ์สไตล์และความต้องการใช้งานของลูกค้ายุคปัจจุบัน   นายอาทิตย์ ทีปกรสุขเกษม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์คอนกรีตชลบุรี จำกัด (มหาชน) หรือ CCP เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่บริษัทได้ปรับโครงสร้างธุรกิจ  ด้วยการขายแพล้นปูน หรือ โรงงานผลิตคอนกรีตผสมเสร็จ ให้กับบริษัท ปูซีเมนต์เอเชีย จำกัด (มหาชน) ในช่วงไตรมาส 3 ปีที่ผ่านมา ด้วยมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท  ทำให้ปัจจุบันบริษัทไม่ต้องมีภาระและต้นทุนในด้านการบริหารจัดการ และยังส่งผลทำให้การบริหารงานขายเกิดความคล่องตัวมากขึ้น เพราะบริษัทมีพื้นที่ขายสินค้าได้ครอบคลุมพื้นที่เกือบทุกจังหวัดในภาคอีสาน จากก่อนหน้านี้มีพื้นที่ขายหลักอยู่ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง และปราจีนบุรี   “การขายแพล้นปูนออกไป ทำให้โอเวอร์เฮดลดลง 3-4 ล้านบาทต่อเดือน และสามารถขายสินค้าไปได้ไกลถึงพื้นที่อีสาน ทำให้ยอดขายสูงขึ้น”   สำหรับแผนธุรกิจของ CCP ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทจะมุ่งเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป (พรีคาสท์) สเปคพิเศษ  เพื่อรองรับการใช้งานได้หลากหลายและตอบสนองความต้องการของลูกค้า  ทั้งด้านงานโครงสร้างพื้นฐาน งาน Landscape  อาทิ ท่อคอนกรีตขนาดใหญ่พิเศษ แผงกั้นคอนกรีต เพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่ทั่วประเทศ อีกทั้งเพิ่มความสามารถในการทำกำไร พร้อมปรับปรุงเครื่องจักรเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต โดยเน้นการเข้ารับงานภาครัฐ ในส่วนโครงการลงทุนขนาดใหญ่เมกะโปรเจ็กต์ งานกรมทางหลวง และเดินหน้าติดตามโครงการต่างๆอย่างต่อเนื่อง อาทิ ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด โครงการสนามบินอู่ตะเภา   นายอาทิตย์ กล่าวอีกว่า ความต้องการผลิตภัณฑ์คอนกรีตในช่วงครึ่งปีหลังแนวโน้มดี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ที่จะเดินหน้าลงทุน ทยอยดำเนินงานก่อสร้างต่อเนื่องในงานโครงสร้างพื้นฐานโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) อาทิ ท่าเรืออุตสาหกรรมมาบตาพุด นิคมอุตสาหกรรม  อีกทั้งโครงการของหน่วยงานภาครัฐในพื้นที่ต่างๆ ที่มีการก่อสร้างอย่างต่อเนื่อง อาทิ งานถนน ขณะที่การลงทุนภาคเอกชน ยังคงรอความชัดเจนหลังการจัดตั้งรัฐบาล คาดว่าความเชื่อมั่นของนักลงทุนหรือผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์กลับมาลงทุนอีกครั้งในช่วงครึ่งปีหลังนี้   ส่วนงานเอกชน มุ่งเน้นเข้ารับงานนิคมอุตสาหกรรม ที่ทยอยดำเนินงานก่อสร้างต่อเนื่อง ขณะที่ภาพรวมการเติบโตของกลุ่มผู้ประกอบการรับเหมา และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายย่อย ขยายตัวค่อนข้างน้อย แต่ก็ยังมีกลุ่มผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์บางกลุ่มที่ยังคงมีการขยายงาน อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงเน้นเรื่องการพัฒนาสินค้ากลุ่ม Precast อย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้มากขึ้น ในช่วงที่ผ่านมามีการแนะนำผลิตภัณฑ์กับลูกค้าผ่านช่องทางต่างๆ ซึ่งมีกระแสตอบรับที่ดีและเริ่มมีคำสั่งซื้อทยอยเข้ามา     “นโยบายหลักของเรานับจากนี้ จะขายคอนกรีตได้ทั่วประเทศ โดยติดต่อแพล้นปูนในพื้นที่ในการผลิตปูนสำเร็จให้ โดยรายได้ในปี้จะมาจากคอนกรีตผสมเสร็จ 20% หรือประมาณ​ 25,000 คิวต่อเดือน จากเมื่อก่อนมีสัดส่วน 1 ใน 3 ของรายได้ และที่เหลืออีก 80% จะเป็นผลิตภัณฑ์พรีแคส”   ปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือ (Backlog)  ประมาณ 2,000 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ในระยะเวลา 1 ปี 6 เดือน  แบ่งเป็นการรับรู้รายได้ภายในปีนี้ 60% โดยบริษัทจะทยอยประมูลงานเข้ามาเพิ่มอีกในอนาคต เพื่อรักษาระดับ Backlog ไว้ไม่ต่ำกว่า 2,000 ล้านบาท ขณะที่การเติบโตปีนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ไว้ประมาณ 2,500 ล้านบาท สัดส่วนรายได้มาจากงานภาครัฐ 80% และภาคเอกชน 20%      
3 เหตุผลสำคัญที่ “อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์” เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น

3 เหตุผลสำคัญที่ “อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์” เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้น

สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ ดูแล้วไม่ได้คึกคักเหมือนหลายปีที่ผ่านมา เพราะมีมาตรการ LTV มาลดระดับความร้อนแรงของกลุ่มนักเก็งกำไรและกลุ่มนักลงทุน แถมสภาพเศรษฐกิจก็ยังไม่ได้ฟื้นตัวดีขึ้น ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง อย่างกลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้าน  ก็เลยออกอาการชะลอตัวตามไปด้วย  ทำให้ช่วงนี้ได้เห็นการทำตลาดสารพัดรูปแบบ และการจัดโปรโมชั่น “ลด แลก แจก แถม” ออกมากันทุกค่าย  เพราะต้องกระตุ้นยอดขายกันหน่อย ไม่เช่นนั้นยอดขายจะไปไม่ถึงเป้าหมายที่วางกันไว้   นอกจากความเคลื่อนไหวในเรื่องสงครามโปรโมชั่นแล้ว  เห็นกันถี่ยิบแทบทุกเดือนแล้ว ความเคลื่อนไหวสำคัญของตลาดเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านที่สำคัญ คือ กลุ่มอินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ เดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อนำเงินมาขยายธุรกิจและเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ให้สามารถแข่งขันได้กับเพื่อนๆ ในสงครามการค้า ที่มีทั้งแบรนด์ไทยและต่างชาติแข่งขันกันอย่างสนุกสนาน   หลังจาก บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ  ILM ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ล่าสุด ก.ล.ต.ได้อนุมัติให้สเนอขายหุ้นกับประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก ซึ่งคาดว่าจะสามารถเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ได้ภายในไตรมาส 3 ของปี 2562 นี้ 3 เหตุผลระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ปัจจุบันบริษัท มีทุนจดทะเบียน 2,525 ล้านบาท เป็นหุ้นสามัญจำนวน 505 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (PAR) หุ้นละ 5 บาท เป็นทุนชำระแล้วจำนวน 2,000 ล้านบาท เป็นหุ้นสามัญจำนวน 400 ล้านหุ้น ซึ่งเตรียมเสนอขายหุ้นไอพีโอ จำนวน 105 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 20.79% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของบริษัท โดยวัตถุประสงค์ของการระดมทุนครั้งนี้ จะนำไปใช้ใน 3 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.ขยายธุรกิจของบริษัท ผ่านการลงทุนในรูปแบบต่างๆ  2.ชำระคืนเงินกู้ยืมแก่สถาบันการเงิน เช่น เงินกู้ยืมระยะสั้น สำหรับการจ่ายเงินปันผล 1,200 ล้นาบาท ให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน)  และ 3.ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินงาน   นางสาวกฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ ILM เปิดเผยว่า การเข้าระดมทุนครั้งนี้ เพื่อเสริมศักยภาพและขีดความสามารถการแข่งขันธุรกิจร้านค้าปลีกของแต่งบ้าน ที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่  ผ่านร้านค้าปลีกทั้ง 4 แบรนด์หลัก ได้แก่ 1.Index Living Mall 2. Trend Design 3. Winner และ 4. Younique ที่มีสินค้าครอบคลุมตั้งแต่ เฟอร์นิเจอร์ อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน ของใช้ภายในบ้านและเครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำหลากหลายแบรนด์ ทำให้สามารถตอบสนองกลุ่มลูกค้าได้ทุกไลฟ์สไตล์   เปิด 3 สาขา Index Living Mall      บริษัทมีแผนขยายสาขาเพิ่ม เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคให้ได้มากขึ้น รองรับกับการขยายตัวของเมืองต่างๆ โดยจะเลือกทำเลที่ตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์สำคัญ มีศักยภาพในการเติบโต และยังไม่มีร้านค้าของบริษัทตั้งอยู่ในบริเวณใกล้เคียง พื้นที่ดังกล่าวจะต้องมีประชากรหนาแน่นและมีศักยภาพในการซื้อสินค้า รวมถึงมีความสะดวกสบายในการเดินทางและสามารถเข้าถึงร้านค้าของบริษัทได้ง่าย   ปัจจุบันบริษัทมี Index Living Mall และ Index Furniture Center จำนวน 36 แห่ง  มีแผนขยายสาขาของร้านค้า Index Living Mall เพิ่ม 2-3 สาขาต่อปี ภายในปี 2562 – 2563  มีแผนเปิดร้าน Index Living Mall จำนวน 3 สาขา ได้แก่   1.สาขาจันทบุรี มีพื้นที่ขายประมาณ 3,500 ตารางเมตร ใช้เงินลงทุนประมาณ 160 ล้านบาท และคาดว่าจะเปิดบริการได้ภายในเดือนกรกฎาคม 2562 2.สาขาสุขาภิบาล 3 ปัจจุบันโครงการดังกล่าวอยู่ระหว่างดำเนินการออกแบบรูปแบบโครงการ โดยโครงการดังกล่าวจะมีพื้นที่ขายประมาณ 3,500 ตารางเมตร และคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 160 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถเปิดบริการได้ภายในเดือนธันวาคม 2563 3.สาขารามอินทรา โครงการดังกล่าวจะมีพื้นที่ขายและพื้นที่ให้เช่าประมาณ 9,200 ตารางเมตร คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 300 ล้านบาท และเปิดบริการได้ภายในเดือนตุลาคม 2563 ปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกแบบรูปแบบโครงการ นอกจากนี้ บริษัทยังมีแผนที่จะเปิดสาขาเพิ่มในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ โดยจะคำนึงถึงศักยภาพและการเติบโตของพื้นที่ดังกล่าวเป็นหลัก เดินหน้าขยาย Younique+Winner เพิ่ม   ในปี 2560 บริษัทได้เปิดตัวบริการ “Younique Customized Furniture 4.0” ซึ่งเป็นบริการเฟอร์นิเจอร์สั่งตัดรูปแบบใหม่ที่ลูกค้าสามารถปรับแต่งขนาดและดีไซน์ได้เองตามความต้องการ และลูกค้าสามารถปรับขนาดของเฟอร์นิเจอร์สั่งตัดดังกล่าวได้อย่างอิสระ โดยในปี 2562 มีแผนขยาย Younique เพิ่มเติมในสาขาร้าน Index Living Mall โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 60 ล้านบาท และคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ทั้งหมดภายในเดือนธันวาคม 2562   นอกจากนี้ ยังแผนขยายร้าน “Winner Furniture Center”  ที่จะจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ WINNER ซึ่งบริษัทดำเนินการและบริการเอง เป็นแบรนด์จับตลาดแมสเป็นหลัก ใน 3 รูปแบบ ได้แก่ 1.รูปแบบ Compact ที่มีพื้นที่ประมาณ 1,050 ตารางเมตร และใช้เงินลงทุนประมาณ 25 ล้านบาทต่อสาขา   2.รูปแบบ Standard ที่มีพื้นที่ประมาณ 1,411 ตารางเมตร และใช้เงินลงทุนประมาณ 33 ล้านบาทต่อสาขา และ  3.รูปแบบ Extra ที่มีพื้นที่ประมาณ 1,700 ตารางเมตร และใช้เงินลงทุนประมาณ 35 ล้านบาทต่อสาขา   ในปีนี้บริษัทจะเปิดทั้งหมด 2 สาขา และคาดว่าจะใช้เงินลงทุนทั้งหมดประมาณ 60 ล้านบาท โดยจะเปิดร้านค้าเฟอร์นิเจอร์ขนาดเล็กสาขาแรกที่จังหวัดราชบุรี ในรูปแบบ Standard ซึ่งคาดว่าจะมีพื้นที่ขายประมาณ 1,500 ตารางเมตร ปัจจุบันได้จัดหาและลงนามสัญญาเช่าที่ดินสำหรับร้านดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างออกแบบรูปแบบโครงการ โดยจะสามารถเปิดบริการได้ภายในเดือนสิงหาคม 2562   ลุยโปรเจ็กต์ “โซลาร์รูฟท็อป” ลดค่าไฟฟ้า   ในปี 2561  กลุ่มบริษัท ได้ทดลองติดตั้งแผงโซลาร์รูฟท็อป (Solar Rooftop) เพื่อลดค่าใช้จ่าย ซึ่งได้เริ่มติดตั้งที่โรงงานและร้านค้า Index Living Mall จำนวน 4 สาขา ผลปรากฎว่าทั้งโรงงานและร้านค้าทั้ง 4 สาขา มีค่าไฟฟ้าลดลง ในปีนี้บริษัทจึงมีแผนขยายการลงทุนติดตั้งแผงโซลาร์รูฟท็อป ที่ร้าน Index Living Mall อีกจำนวน 6 สาขา  คาดว่าใช้เงินลงทุนประมาณ 100 ล้านบาท   ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนลงทุนเพื่อขยายกำลังการผลิต ด้วยการนำเครื่องจักรที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมาใช้มากขึ้น และเน้นการผลิตแบบอัตโนมัติ เพื่อลดต้นทุน เพิ่มมาตรฐาน และความแม่นยำในการผลิตสินค้า ลดความผิดพลาดจากพนักงานในกระบวนการผลิต เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งรับรองการผลิตสินค้า Younique ซึ่งบริษัทฯ คาดว่าจะต้องใช้เงินลงทุนทั้งหมดประมาณ 223 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทได้ซื้อเครื่องจักรและเริ่มติดตั้งแล้วบางส่วน ซึ่งคาดว่าทั้งหมดจะแล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคม 2562 ในปีนี้บริษัทยังมีแผนการลงทุนในโครงการย่อย ๆ อื่น โดยคาดว่าจะใช้เงินลงทุนทั้งหมดประมาณ 213 ล้านบาท ได้แก่ 1.โครงการปรับปรุงอาคารของร้านค้า Index Living Mall และอาคารสำนักงานใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 98 ล้านบาท 2. โครงการลงทุนทางด้านระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ สำหรับการซื้อโปรแกรมและอัพเกรดโปรแกรม ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 80 ล้านบาท 3. โครงการปรับปรุงพื้นอาคารและซื้อชั้นวางสินค้าของศูนย์กระจายสินค้าเอกชัย และซื้อสินทรัพย์อื่นๆ ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 18 ล้านบาท และ 4. โครงการซื้อรถยนต์และรถบรรทุกส่งสินค้าใหม่ ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 17 ล้านบาท   3 ปีรายได้โตเฉลี่ย 1.2%    สำหรับผลประกอบการของบริษัทในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา  มีรายได้จากการขายอยู่ที่ 2,299 ล้านบาท ลดลง 1.15% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้จากการขาย 2,326 ล้านบาท ส่วนปี 2561 บริษัทมีรายได้ รวมที่ 9,767 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 431 ล้านล้านบาท โดยมีอัตรากำไรขั้นต้น ที่ 44% ขณะที่อัตรากำไรสุทธิที่ 4.4%  ส่วนผลประกอบการในช่วงปี 2559-2561 ที่ผ่านมา บริษัทเติบโตเฉลี่ย 1.20% ต่อปี โดยในปี 2559 มีรายได้รวม 8,954.90 ล้านบาท  ปี 2560 มีรายได้รวม 8,908.30 ล้านบาท และปี 2561 มีรายได้รวม 9,174.20 ล้านบาท