Tag : Products

144 ผลลัพธ์
[PR News] เลอ เมอริเดียน จับมือ โตโต้ พลิกโฉมโรงแรมใหม่

[PR News] เลอ เมอริเดียน จับมือ โตโต้ พลิกโฉมโรงแรมใหม่

โรงแรมเลอ เมอริเดียน กรุงเทพ รีโนเวทโรงแรม เตรียมรับนักท่องเที่ยวในยุค New Normal ด้วยเงินลงทุนกว่า 232 ล้านบาท พร้อมติดตั้งโถสุขภัณฑ์และฝารองนั่งอัตโนมัติ WASHLET จากแบรนด์ TOTO ตอบโจทย์ทั้งด้านสุขอนามัยและความสะดวกสบาย มุ่งสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้กับนักท่องเที่ยว สอดคล้องกับคอนเซปต์ “ศิลปะแห่งการใช้ชีวิตในสไตล์ยุโรป”    เลอ เมอริเดียน จับมือ โตโต้ พลิกโฉมโรงแรมใหม่ จากแผนการปรับปรุงโรงแรมเลอ เมอริเดียน กรุงเทพ นับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ปีพ.ศ. 2563 โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สอดคล้องกับคุณค่าของแบรนด์ “เลอ เมอริเดียน 2022” ด้วยคอนเซปต์ “ศิลปะแห่งการใช้ชีวิตในสไตล์ยุโรป” ใจกลางกรุงเทพฯ ทั้งนี้การปรับปรุงโรงแรมทั้งหมดแบ่งออกเป็น 2 ช่วงด้วยกัน โดยการปรับปรุงในช่วงแรกแล้วเสร็จเมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2564 ในขณะที่ช่วงที่ 2 นั้น เสร็จสมบูรณ์ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565 รวมระยะเวลาทั้งสิ้น 2 ปี 4 เดือน ด้วยเงินลงทุนกว่า 232 ล้านบาท . การรีโนเวทในครั้งนี้นับเป็นการพลิกโฉมทุกพื้นที่ทั้งส่วนกลางภายในโรงแรม ตลอดจนห้องพัก ไม่ว่าจะเป็นบริเวณล็อบบี้ของโรงแรม ภายในห้องพักพรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกเต็มรูปแบบ ดื่มด่ำกับความสงบ สุนทรีย์ภายใต้เพดานสีครีมอันงดงาม ด้วยการตกแต่งในสไตล์โมเดิร์นผสมผสานกับวัฒนธรรมไทยได้อย่างลงตัว ยกระดับความสะอาดและความสะดวกสบายขึ้นอีกขั้นด้วยฝารองนั่งอัตโนมัติ WASHLET จากแบรนด์ TOTO แบรนด์สุขภัณฑ์อันดับ 1 ของประเทศญี่ปุ่น สอดคล้องกับแนวทางของแบรนด์แมริออท ที่มุ่งเน้นในด้านความสะอาด    เลอ เมอริเดียน จับมือ โตโต้ พลิกโฉมโรงแรมใหม่ คุณ ดีเธอร์ รุคเค้นเบาออร์ (Mr. Dieter Ruckenbauer) ผู้จัดการทั่วไป โรงแรมเลอเมอริเดียน กรุงเทพ เปิดเผยว่า “ด้วยมาตรการของโรงแรมเลอ เมอริเดียน กรุงเทพ ภายใต้การบริหารงานของแบรนด์แมริออทที่มุ่งเน้นในด้านความสะอาดและความปลอดภัยของแขกผู้เข้าพักเป็นหลัก การคัดเลือกผลิตภัณฑ์ทั้งหมดภายในโรงแรมจึงมีความเข้มงวดเป็นอย่างมาก เราเลือกสรรผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงที่มีอยู่ในตลาดเท่านั้น สำหรับฝารองนั่งอัตโนมัติ TOTO WASHLET ตรงกับเกณฑ์ของเรา ทั้งในด้านของฟังก์ชันการใช้งานและการออกแบบ เนื่องมาจากความมีชื่อเสียงในด้านคุณภาพสูง ระบบชำระล้างที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งในแง่ของการรับรู้แบรนด์ของ TOTO นั้นเป็นแบรนด์ไฮเอนด์ ซึ่งเป็นภาพตัวแทนของประเทศญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี และสอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายหลักของเราซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่นอยู่แล้ว ห้องพักของเราทั้ง 282 ห้อง ติดตั้งโถสุขภัณฑ์พร้อมฝารองนั่งอัตโนมัติ TOTO WASHLET ทั้งหมด เพื่อเตรียมรองรับนักท่องเที่ยวในยุค New Normal ซึ่งกระแสตอบรับจากลูกค้านั้นน่าประทับใจมาก”               คุณ ทาคายะสุ ชิมาดะ (Mr. Takayasu Shimada) ประธานบริษัท โตโต้ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ทางบริษัท โตโต้ ดำเนินธุรกิจตามวิสัยทัศน์ของผู้ก่อตั้งบริษัท ที่จะสร้างสรรค์การใช้ชีวิตที่สมบูรณ์แบบและสะดวกสบายให้กับทุกคน ผ่านผลิตภัณฑ์และเทคโนโลยีภายในห้องน้ำ เพราะเราเชื่อมั่นว่าการมีห้องน้ำที่ดีนั้นจะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตที่ดี รวมถึงสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจสำหรับผู้ใช้งานได้   “โรงแรมเลอ เมอริเดียน กรุงเทพ นั้น โดดเด่นและมีชื่อเสียงในฐานะเป็นโรงแรมชั้นนำของแบรนด์ เลอ เมอริเดียน ในเอเชียแปซิฟิก ทั้งนี้การติดตั้งฝารองนั่งอัตโนมัติ WASHLET ของ TOTO ไม่เพียงแต่จะช่วยมอบความสะดวกสบายจากฟังก์ชันและเทคโนโลยีต่างๆ เท่านั้น แต่ยังช่วยมอบสุขอนามัยที่ดีจากการใช้งานก้านฉีดชำระที่สามารถเลือกรูปแบบการทำความสะอาดได้หลากหลาย ทั้งยังมีระบบกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ ช่วยให้แขกผู้เข้าพักสามารถสุนทรีย์และมีความสุขกับช่วงเวลาภายในห้องพักได้ นอกเหนือไปจากความผ่อนคลายที่จะได้รับจากห้องพักที่ตกแต่งอย่างงดงาม” นายทาคายะสุ ชิมาดะ กล่าว   . สำหรับฝารองนั่งอัตโนมัติ WASHLET ของ TOTO ที่ติดตั้งภายในห้องพักของโรงแรมเลอ เมอริเดียน กรุงเทพ นั้น มาพร้อมก้านฉีดชำระที่สามารถเลือกรูปแบบการทำความสะอาดได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นระบบทำความสะอาดด้านหลัง สำหรับผู้ใช้งานทั่วไป ระบบทำความสะอาดด้านหลังแบบนุ่มนวล เพื่อสัมผัสอ่อนโยน ระบบทำความสะอาดด้านหน้า สำหรับคุณสุภาพสตรี นอกจากนี้ยังมีระบบทำความสะอาดแบบเป็นจังหวะ ช่วยสร้างความรู้สึกแปลกใหม่ และระบบทำความสะอาดแบบเคลื่อนที่ไปมา เพื่อการทำความสะอาดที่ทั่วถึง ทั้งนี้ก้านฉีดชำระสามารถปรับตำแหน่งของก้านฉีด ปรับอุณหภูมิของน้ำ และปรับแรงดันของน้ำที่ใช้ในการทำความสะอาดได้ นอกจากนี้ยังมีฝารองนั่งที่ปรับอุณหภูมิได้ มอบความอุ่นสบายอย่างสม่ำเสมอ ระบบกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ทำงานอัตโนมัติในระหว่างการใช้งาน หมดห่วงเรื่องกลิ่นกวนใจ เมื่อใช้งานเสร็จสิ้น ผู้ใช้งานสามารถเลือกฟังก์ชันลมเป่าแห้งได้ ซึ่งช่วยลดการใช้กระดาษชำระ โดยฟังก์ชันการทำงานทั้งหมดสามารถควบคุมได้อย่างง่ายดายด้วยรีโมทคอนโทรล เหมาะสำหรับผู้ใช้งานทุกคนอย่างแท้จริง        ทางด้านโถสุขภัณฑ์ของ TOTO ที่ติดตั้งภายในห้องพักคือโถสุขภัณฑ์สองชิ้น รุ่น CST769U ด้านในของโถสุขภัณฑ์เคลือบด้วยสาร CEFIONTECT ทำให้พื้นผิวของเซรามิกมีความเรียบลื่น ทำความสะอาดง่าย สิ่งสกปรกเกาะติดยาก ดูสวยเงางามอยู่เสมอ ระบบชำระล้างแบบ TORNADO FLUSH ทำความสะอาดหมุนวนภายในโถสุขภัณฑ์ 360 องศา สะอาดหมดจด ทั่วถึงรอบทิศทางภายในดีไซน์โถสุขภัณฑ์แบบไร้ขอบ RIMLESS ช่วยลดมุมอับที่สิ่งสกปรกมักสะสมอยู่ นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยในการประหยัดน้ำ เพราะใช้น้ำเพียงแค่ 4.5 ลิตรสำหรับการชำระล้างแบบหนัก และเพียงแค่ 3 ลิตรสำหรับการชำระล้างแบบเบา นับว่าเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน ตามนโยบายและวิสัยทัศน์ด้านสิ่งแวดล้อมที่บริษัท โตโต้ ยึดถือในการดำเนินธุรกิจมาโดยตลอด     หลังจากปรับปรุงโรงแรมเลอ เมอริเดียน กรุงเทพ เสร็จสิ้นเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2565 แล้วนั้น ทางโรงแรมเปิดเผยในเรื่องของแผนดำเนินการทางธุรกิจตลอดทั้งปีพ.ศ. 2565 จนถึงในปีหน้าว่า “ในฐานะที่โรงแรม เลอ เมอริเดียน กรุงเทพฯ เป็นโรงแรมเรือธง ของแบรนด์ เลอ เมอริเดียน ในเอเชียแปซิฟิกและทั่วโลก เรามุ่งเน้นที่จะมอบประสบการณ์ที่น่าดึงดูดใจให้กับทางนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นภายในหรือภายนอกโรงแรม แขกผู้เข้าพักจะได้เพลิดเพลินกับศิลปะแห่งการใช้ชีวิตในสไตล์ยุโรปใจกลางกรุงเทพฯ โดยเราปรับปรุงโรงแรมเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของนักท่องเที่ยวที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ เพราะกลุ่มคนเหล่านี้ให้ความสนใจกับการสร้างประสบการณ์ในสถานที่ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทาง ซึ่งมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าตลาดชาวญี่ปุ่น ที่เป็นแบรนด์รอยัลตี้ของเราอยู่แล้ว” คุณ ดีเธอร์ รุคเค้นเบาออร์ กล่าวทิ้งท้าย . ทั้งนี้ โรงแรมเลอ เมอริเดียน กรุงเทพ นอกจากจะมีจุดเด่นในด้านร้านอาหารชั้นเลิศ ห้องพักที่เพียบพร้อมด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอย่างครบครันแล้ว ยังตั้งอยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจใจกลางกรุงเทพมหานคร ทำให้ใกล้กับสถานที่สำคัญมากมาย เดินทางได้โดยสะดวก อยู่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสามย่านและสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสศาลาแดงเพียงไม่กี่นาทีเท่านั้น                   บทความน่าสนใจ เมื่อสุขภัณฑ์เป็นมากกว่าส้วม เดอะมอลล์ x โตโต้ ปรับโฉมห้องน้ำสาขาท่าพระ รับวิถีชีวิตยุคโควิด-19 AWC ปี 64 ทำกำไรกว่า 861 ล้าน หลังคลายล็อกดาวน์-เปิดการท่องเที่ยว
มิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย.  เร่งสปีดขยายร้าน 2 วันต่อ 1 สาขา  วางเป้าสิ้นปีครบ 550 แห่งทั่วไทย

มิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย. เร่งสปีดขยายร้าน 2 วันต่อ 1 สาขา วางเป้าสิ้นปีครบ 550 แห่งทั่วไทย

มิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย. เดินหน้าขยายสาขาต่อเนื่อง เร่งสปีดขยายร้าน 2 วันต่อ 1 สาขา วางเป้าสิ้นปีครบ 550 แห่งทั่วไทย ล่าสุดฉลองสาขา 500 ที่โลตัส บางกะปิ   มิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย. (Mr.D.I.Y.) ร้านค้าปลีกสินค้าตกแต่งและซ่อมแซมบ้าน สัญชาติมาเลเซีย ได้เข้ามาปักหมุดในตลาดไทยสาขาแรกที่ศูนย์การค้าซีคอน บางแค​ ในปี 2559 หลังจากนั้นก็ใช้ระยะเวลาประมาณ 6 ปี ก็สามารถขยายสาขาได้ครบ 500 สาขา ซึ่งได้ฉลองการเปิดสาขาที่ 500 ในโลตัส บางกะปิ ไปเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม ที่ผ่านมา   โดยมิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย.ไม่ได้จะหยุดการขยายสาขาไว้เพียงเท่านี้ แต่ยังคงวางเป้าหมายการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง เฉพาะสิ้นปี 2565 วางแผนไว้ว่าจะขยายสาขาให้ครบ 550 สาขา ขณะที่แผน 3-5 ปีข้างหน้ายังคงขยายสาขาในเชิงรุก ด้วยอัตราการขยายเช่นนี้อย่างต่อเนื่อง นายแอนดี้ ชิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร มิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย.(ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ตลาดประเทศไทยถือว่ามีการขยายสาขามากที่สุดในกลุ่มประเทศที่บริษัทแม่ได้เข้าไปลงทุนขยาย ซึ่งปัจจุบันมีทำตลาดอยู่ 10 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย ไทย บรูไน อินโดนีเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ กัมพูชา อินเดีย ตุรเคีย และสเปน โดยประเทศไทยมีสาขาคิดเป็นสัดส่วน 25% จากจำนวนทั้งหมด 2,000 สาขาทั่วโลก ​ ประเทศไทย ถือเป็นตลาดสำคัญ เพราะลูกค้าไทยมากกว่าในมาเลเซียถึง 2 เท่าตัว และตลาดรีเทลมีการเติบโต ซึ่งการขยายสาขาในไทยมีอัตราการเติบโตถึง 40% เฉลี่ย 1 สาขาใช้ระยะเวลาประมาณ 2 วัน ซึ่งบริษัทมีทีมงานในการซัพพอทจึงขยายร้านได้เร็ว 2 ปัจจัยขยายร้านได้เร็ว สำหรับเหตุผลสำคัญที่ทำให้มิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย.ได้อย่างรวดเร็วมาจาก 2 เหตุผลสำคัญ 1.การมีเงินทุนที่มีมั่นคง มิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย.ประเทศไทย มีบริษัทแม่อยู่ที่ประเทศมาเลเซีย ซึ่งจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ที่นำเสนอขายหุ้น IPO ใหญ่ที่สุดในรอบ 3 ปี(จดทะเบียนปี 2563) ซึ่งการขยายสาขาทั้งหมดในไทยเป็นการลงทุนโดยมิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย.เองทั้งหมด ไม่มีการขายแฟรนไชส์ จึงถือว่ามิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย.มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง พร้อมลงทุนขยายสาขาได้อย่างต่อเนื่อง   นอกจากนี้ จากการที่มิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย.ขายสินค้าราคาถูก เริ่มต้นราคาหลักบาท ไปจนถึงหลักพันบาท จึงทำให้ราคาเข้าถึงกลุ่มคนส่วนใหญ่ของไทย ทำให้มีเงินหมุนเวียนอยู่ในบริษัท  สามารถนำเงินมาลงทุนขยายสาขาได้อย่างรวดเร็ว 2.มีทีมงานในการขยายธุรกิจ-จับมือโลตัส แม้ว่ามิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย. จะไม่เปิดเผยตัวเลขของทีมงานในการขยายสาขา แต่จากจำนวนสาขาที่สามารถขยายได้อย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา ก็ยืนยันได้ว่าทีมงานของมิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย.คือ หัวใจสำคัญที่ทำให้เปิดสาขาได้อย่ารวดเร็ว   นอกจากนี้ การมีพันธมิตรทางธุรกิจสำคัญ อย่างโลตัส ก็ช่วยส่งเสริมให้สามารถขยายสาขาไปได้อย่างรวดเร็ว เพราะโลตัสพร้อมจะนำเสนอพื้นที่ให้กับมิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย. ปัจจุบันมิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย.มีสาขาในโลตัสแล้ว 86 สาขา และภายในสิ้นปีนี้จะขยายสาขาเพิ่มเป็น 90 สาขา 3 คีย์ซัคเซสสู่ 500 สาขา การที่ มิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย. สามารถขยายสาขาจนได้ครบ 500 สาขาได้ ถือเป็นดัชนีชี้วัดความสำเร็จได้ระดับหนึ่ง แม้ว่าผู้บริหารจะไม่เปิดตัวเลขผลประกอบการด้านรายได้หรือกำไรก็ตาม ซึ่งปัจจัยความสำเร็จ หรือ Key Success สำคัญของมิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย. คงมาจาก 3 เรื่องหลักเหล่านี้ คือ 1.ราคาเข้าถึงได้ง่าย สินค้าของมิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย.เป็นระดับราคาที่คนส่วนใหญ่เข้าถึงได้ง่าย เริ่มต้นหลักบาทไปจนถึงหลักพันบาท เพราะใช้หลักการ Economy of Scale ด้วยปริมาณการสั่งซื้อสินค้าจำนวนมาก ทำให้มีอำนาจการต่อรองและบริหารจัดการต้นทุนสินค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ  แม้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว หรือมีปัจจัยลบต่าง ๆ ก็ไม่ได้ส่งผลต่อยอดขายของมิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย.เพราะคนที่จำเป็นต้องใช้สินค้า จะหันมาเลือกซื้อสินค้าของมิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย.ที่มีราคาถูกกว่าที่อื่น ซึ่งลูกค้าที่เข้ามาซื้อสินค้าจะมีอัตราการซื้อเฉลี่ย 220-250 บาทต่อใบเสร็จ หรือประมาณ 4-5 รายการ 2.สินค้ามีความหลากหลาย 18,000 รายการ มีสินค้าหลากหลายกว่า 18,000 รายการ ครอบคลุม 10 กลุ่มสินค้า ได้แก่ ฮาร์ดแวร์ เครื่องใช้ในครัวเรือน เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์ประดับยนต์ อุปกรณ์ตกแต่งบ้าน เครื่องเขียน อุปกรณ์กีฬา ของเล่น ของขวัญ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และโทรศัพท์มือถือ เครื่อ่งประดับ เครื่องสำอาง 3.ทำเลหลากหลายและจำนวนมาก เพื่อให้ลูกค้าเข้าถึงสินค้าได้ง่ายมิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย.จึงเน้นที่จะขยายสาขาให้ครอบคลุมทั่วประเทศมากที่สุด ปัจจุบันครอบคลุม 70 จังหวัด ใน 3 รูปแบบ คือ รูปแบบสแตนด์อโลน รูปแบบในศูนย์การค้า และรูปแบบเอ็กซ์เพรส ที่จะเน้นเปิดในแหล่งชุมชนสำคัญขนาดเล็ก ด้วยการนำสินค้าขายดีไปขาย ทั้ง 3 ปัจจัยดังกล่าว จึงถือเป็นคีย์ความสำเร็จของมิสเตอร์ ดี.ไอ.วาย. ในการทำตลาดประเทศไทย ที่เชื่อว่าในอนาคตจะขยายสาขาไปถึง 1,000 สาขาได้ไม่ยากนัก
[PR News] “CHIC” เคาะราคาขาย IPO 0.90 บาท จำนวน 360 ล้านหุ้น  เปิดจองซื้อ 18-21 ก.ค.นี้

[PR News] “CHIC” เคาะราคาขาย IPO 0.90 บาท จำนวน 360 ล้านหุ้น เปิดจองซื้อ 18-21 ก.ค.นี้

“CHIC” เคาะราคาขายหุ้นไอพีโอ ราคาหุ้นละ 0.90 บาท จำนวน 360 ล้านหุ้น เปิดจองซื้อ 18-21 ก.ค. เตรียมเข้าเทรด mai ก.ค. นี้ แต่งตั้ง เมย์แบงก์ (MST) พร้อมด้วย ASP และ LHS ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย เผยธุรกิจมีโอกาสเติบโตสูง ผนึก KSS และ KTBST เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย   นายธีร์ จารุศร กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน บริษัท ชิค รีพับบลิค จำกัด (มหาชน) หรือ “CHIC” เปิดเผยว่า หลังจาก บมจ. ชิค รีพับบลิค ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวน 360 ล้านหุ้น คิดเป็น 26.47% ของจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมด มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท  ปัจจุบัน สำนักงาน ก.ล.ต.ได้อนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบ   ไฟลิ่งมีผลใช้บังคับแล้ว   ล่าสุด บมจ.ชิค รีพับบลิค ลงนามสัญญาแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด และ บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ให้กับประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) พร้อมผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายอีก 2 แห่ง ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) (KTBST)   โดยกำหนดราคา IPO ที่หุ้นละ 0.90 บาท เปิดให้นักลงทุนจองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 18-20 กรกฏาคม 2565 ระหว่างเวลา 9.00-16.00 น. และวันที่ 21 กรกฏาคม 2565 ระหว่างเวลา 9.00-12.00 น.  คาดว่าหุ้น CHIC จะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) กลุ่มอุตสาหกรรมบริการ (Service) หมวดธุรกิจพาณิชย์ (Commerce) ภายในเดือน ก.ค. 2565 โดยใช้ชื่อย่อในการซื้อขายหลักทรัพย์ว่า “CHIC” สำหรับการกำหนดราคา IPO ดังกล่าว ถือเป็นระดับราคาเหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐาน และสอดคล้องกับสภาวะตลาดปัจจุบัน  คาดว่า CHIC จะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากมีปัจจัยพื้นฐานที่ดี ทั้งโอกาสการเติบโตของธุรกิจ และมีความพร้อมในการขยายธุรกิจรองรับการเติบโตในอนาคต นางยอดฤดี สันตติกุล กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวว่า CHIC เป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ผู้บริหารและทีมงานมีประสบการณ์ ความเชี่ยวชาญในธุรกิจเฟอร์นิเจอร์มายาวนาน เข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หลากหลาย โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อ อีกทั้งได้รับการยอมรับจากผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำในประเทศ การระดมทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพและขยายธุรกิจ รองรับความต้องการของตลาดที่มีแนวโน้มสูงขึ้น จะช่วยเสริมการเติบโตได้ในอนาคต   ด้านนายกานต์ อรรถธรรมสุนทร  กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวว่า บริษัทมีศักยภาพเติบโต ตามความต้องการใช้เฟอร์นิเจอร์ของภาคอสังหาริมทรัพย์ อีกทั้ง จุดแข็งของบริษัทที่มีนโยบายบริหารจัดการต้นทุน ควบคุมค่าใช้จ่ายด้านการผลิต กำหนดราคาสินค้าที่เหมาะสม สามารถสร้างความได้เปรียบด้านการแข่งขัน อีกทั้งความสามารถด้านการเงิน ของบริษัทที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง ซึ่งหลังจากการระดมทุนครั้งนี้  จะส่งผลให้บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรมากขึ้น เนื่องจากสัดส่วนหนี้สินต่อทุนลดลง   ขณะที่นายกิจจา ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ  CHIC​ เปิดเผยว่า บริษัทจะนำเงินที่ได้รับจากการเสนอขายหลักทรัพย์ในครั้งนี้ไปใช้ เพื่อเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ ขยายสาขาทั้งในและต่างประเทศ พัฒนาเว็บไซต์ของบริษัทเพิ่มเติม สำหรับการขายแบบ E-Commerce ในประเทศและกัมพูชา เพื่อรองรับฐานลูกค้าที่มีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ปรับปรุงพื้นที่บางสาขาในประเทศและขยายพื้นที่ให้เช่า สร้างแหล่งที่มาของรายได้ประจำ รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการและชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันทางการเงิน เพิ่มสภาพคล่องด้านการเงินของบริษัท   "เชื่อมั่นว่าการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) จะช่วยเสริมศักยภาพและความแข็งแกร่งในการขยายธุรกิจตามแผนงานที่วางไว้ ปัจจุบันบริษัทฯ มีสาขาที่เปิดดำเนินการแล้วรวม 6 สาขา โดยแบ่งเป็น 5 สาขาในประเทศ ได้แก่ สาขาประดิษฐ์มนูธรรม พัทยา บางนา ราชพฤกษ์ และรามอินทรา และ 1 สาขาในต่างประเทศ ได้แก่ สาขากัมพูชา โดยมีแผนเตรียมขยายสาขาในจังหวัดอุดรธานี ซึ่งถือเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง รวมถึงเป็นฐานการจำหน่ายและการกระจายสินค้าสู่ประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ประเทศลาว เป็นโอกาสในการขยายฐานลูกค้าของบริษัทในอนาคต"   นอกจากนี้ บริษัทเล็งเห็นถึงโอกาสในการเพิ่มรายได้ จากการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ธุรกิจงานโครงการมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง มีกระแสตอบรับที่ดีจากผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำทั้งแนวราบ-แนวสูง เตรียมขยายฐานลูกค้าโครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม โรงแรม โรงพยาบาล เพิ่มยอดขายและเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น รวมถึงขยายบริการ “Chic Design Studio” ให้บริการออกแบบและตกแต่งภายในแบบครบวงจร ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำ รวมถึงธุรกิจให้เช่าและรับจัดตกแต่งเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน ภายใต้ชื่อ “Chic Rent In Style” รองรับความต้องการลูกค้ากลุ่มบริษัทรับออกแบบ-ตกแต่ง บริษัทรับจัดงาน Event ต่าง และเจ้าของบ้าน ควบคู่กับการพัฒนาช่องทางจำหน่ายออนไลน์ ตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลง สนับสนุนธุรกิจหลักของบริษัท และนำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -3 เหตุผล ชิค รีพับบลิค ระดมทุนในตลาด เอ็ม เอ ไอ ขาย 360 ล้านหุ้น  
3 เหตุผล ชิค รีพับบลิค  ระดมทุนในตลาด เอ็ม เอ ไอ  ขาย 360 ล้านหุ้น

3 เหตุผล ชิค รีพับบลิค ระดมทุนในตลาด เอ็ม เอ ไอ ขาย 360 ล้านหุ้น

ชิค รีพับบลิค เดินหน้าตามแผนระดมทุนขายหุ้น 360 ล้านหุ้น ในตลาด เอ็ม เอ ไอ ดีเดย์เตรียมเคาะราคาภายในเดือนกรกฎาคมนี้ หลังต้องเลื่อนกำหนดมา 2 ครั้ง ยันมีความพร้อมและมองเห็นโอกาสการเติบโตในธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ เล็งนำเงินไปต่อยอดธุรกิจ เพิ่มสาขาใหม่จ.อุดรธานี และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนธุรกิจ   ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ เป็นหนึ่งในธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่สำคัญ เพราะเป็นสินค้าที่จำเป็นเพื่อการอยู่อาศัยภายในบ้าน หรือคอนโดมิเนียม ซึ่งแน่นอนว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบกับธุรกิจเฟอร์นิเจอร์  ไม่ต่างจากภาพรวมของธุรกิจอสังหาฯ เช่นกัน โดยหนึ่งในผู้ดำเนินธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 คือ บริษัท ชิค รีพับบลิค จำกัด (มหาชน)  หรือ “CHIC” ผู้จัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ สินค้าตกแต่งบ้าน ของใช้ในบ้าน ที่นอนและเครื่องนอนครบวงจร ในรูปแบบร้านค้าเดี่ยวขนาดใหญ่ ซึ่งได้รับผลกระทบหลัก ๆ ใน 3 เรื่อง คือ 1.เลื่อนแผนการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ จากกำหนดที่จะเข้าจดทะเบียนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จากก่อนหน้านี้ได้เลื่อนแผนมาแล้วครั้งหนึ่ง เพราะภาวะตลาดหุ้นไม่ดีนัก   2.การล็อกดาวน์ประเทศ ส่งผลให้ต้องปิดร้านจำหน่ายสินค้าเฟอร์นิเจอร์   3.การปิดแคมป์คนงานก่อสร้าง ซึ่งส่งผลต่อการส่งมอบงานเฟอร์นิเจอร์และการติดตั้ง กับลูกค้าโครงการอสังหาฯ   อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ แต่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีการปรับตัว  ปรับแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งในภาพรวมส่วนใหญ่ก็สามารถผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 มาได้ด้วยดี รวมถึง ชิค รีพับบลิค ที่ผ่านพ้นวิกฤตมาได้ และเดินหน้าตามแผนธุรกิจ ในการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ อีกครั้ง   นายกิจจา ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชิค รีพับบลิคฯ เปิดเผยว่า ช่วง 5 ปีที่ผ่านมาบริษัทเคยยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) เพื่อเสนอขายหุ้น IPO ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเตรียมจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ แต่สภาวะตลาดในช่วงเวลาดังกล่าวไม่ดีนัก เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อนักลงทุน บริษัทที่ปรึกษาด้านการเงิน จึงปรึกษากับคณะกรรมการบริษัท ประกอบกับ​บริษัทยังไม่จำเป็นต้องรีบเข้าจดทะเบียน จึงเลื่อนการเสนอขายหุ้นออกไปก่อน   หลังจากนั้นในช่วง 2 ปีก่อน เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 บริษัทจึงเลื่อนไฟลิ่งเป็นครั้งที่ 2  และกลับมาปรับปรุงโครงสร้างภายในเพื่อความแข็งแกร่งของธุรกิจ จนกระทั้งปลายปีที่ผ่านมา  บริษัทได้ดำเนินการยื่นไฟลิ่งอีกครั้ง และได้รับการอนุมัติจากก.ล.ต.เป็นที่เรียบร้อย  บริษัทจึงดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ซึ่งคาดว่าบริษัทจะเสนอขายหุ้น และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ 3 เหตุผลทำไม ชิค รีพับบลิค ต้องเข้าตลาดหลักทรัพย์ นายกิจจา กล่าวว่า การจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ  ต้องใช้เวลา และต้องทุ่มเท เพราะมีการจัดการระบภายในค่อนข้างเยอะ  ซึ่งเหตุผลสำคัญที่ตัดสินใจนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้น มีด้วยกัน 3 ประเด็นหลัก  คือ 1.มีศักยภาพในการเติบในอนาคต ​การนำบริษัทเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทจะต้องมีศักยภาพในการเติบโตได้ในอนาคต ซึ่งบริษัทได้พิจารณาศักยภาพของบริษัทแล้ว เห็นว่ามีความพร้อม มองเห็นโอกาสทางธุรกิจ และเห็นว่าธุรกิจจะมีการเติบโตต่อไปในอนาคตได้อย่างไร  จากการที่มีประสบการณ์ในธุรกิจเฟอร์นิเจอร์มากว่า 30 ปี และได้จัดตั้งบริษัทขึ้นเมื่อกว่า 10 ปีที่ผ่านมา มองเห็นว่าธุรกิจนี้ยังสามารถสร้างการเติบโตในอนาคตได้อีกมาก  หากสามารถปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยน 2.เพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขัน บริษัทมีความสามารถในการแข่งขัน เพราะจับกลุ่มลูกค้าระดับ B+ ขึ้นไป โดยมีจุดแข็ง จากการนำเสนอสินค้าที่มีรูปแบบดีไซน์ ซึ่งเป็นตลาด Blue Ocean ที่มีช่องว่างและโอกาสทางการตลาด ไม่ใช่เช่น Red Ocean ที่มีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะการแข่งขันด้วยการตัดราคา บริษัทไม่เข้าไปในตลาดดังกล่าวเพื่อของแบ่งส่วนแบ่งทางการตลาด ​แต่บริษัทจะไปตลาดใหม่ที่เรียกว่า Home Fashion แห่งแรกของเมืองไทย ที่รองรับกลุ่มลูกค้ามีกำลังซื้อ ต้องการสินค้าที่มีดีไซน์ มีความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง และมีความแตกต่างจากที่อื่น เราคือคำตอบ เมื่อบริษัทมีความสามารถทางการแข่งขัน เมื่อไปอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ จะทำให้บริษัทมีการเติบโต จากการมีแหล่งเงินทุนและความน่าเชื่อถือ สามารถดึงทีมบริหารและบุคลากรมืออาชีพเข้ามาช่วยงานได้ 3.สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน เมื่อธุรกิจเกิดแล้วจะต้องเติบโต ที่สำคัญเติบโตแบบยั่งยืน การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สิ่งสำคัญ คือ การทำตามระเบียบของก.ล.ต. จะต้องมีคณะกรรมการอิสระ มากำกับดูแลบริษัท ดูด้านความโปร่งใส รักษาผลประโยชน์ให้ทั้งกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่และรายย่อย   นอกจากนี้ ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาบริษัทมีการปรับโครงสร้างขององค์กรให้มีประสิทธิภาพ ให้มีความสามารถด้านการแข่งขัน จากการปรับองค์กรทำให้รู้ว่าอะไรคือปัญหา หรืออะไรเป็นสิ่งที่จะต้องแก้ไข ที่สำคัญการอยู่ในตลาดหลักทรัพย์จะต้องมี ผู้ตรวจสอบ (Auditor) เพื่อความโปร่งใส ซึ่งการจะให้องค์กรเติบโตได้อย่างยั่งยืน จะต้องมีกระบวนการต่าง ๆ เหล่านี้ ​เพื่อทำให้บริษัทมีมาตรฐาน และทำให้คนรุ่นใหม่อยากเข้ามาร่วมงาน ถือเป็นความยั่งยืนของธุรกิจ 4 แนวทางบริหารเงินจากการระดมทุน โดยบริษัทวางแผนการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ จำนวน 360 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ซึ่งมีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 500 ล้านบาท และภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ CHIC จะมีทุนจดทะเบียนเพิ่มเป็น 680 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้มีการกำหนดราคาที่จะขาย แต่ได้มีการวางแผนเอาไว้แล้วว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ จะถูกนำไปขยายธุรกิจต่อไป ซึ่งวางแผนใช้เงินไว้ดังนี้ 1.ขยายสาขาใหม่ที่ จ.อุดรธานี บริษัทวางแผนขยายสาขาเพิ่มที่จ.อุดร เป็นสาขาที่ 6 ในประเทศไทย และยังเป็นศูนย์กระจายสินค้าสำหรับพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หลังจากที่เห็นศักยภาพของจังหวัดอุดรธานี เป็นจังหวัดมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่  มีการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และจังหวัดใกล้เคียงก็มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี รวมถึงยังมีกลุ่มชาวสปป.ลาว ที่มีกำลังซื้อสูง เข้ามาซื้อสินค้าในจังหวัดอุดรธรธานีด้วย   บริษัทคาดว่าในช่วงต้นปี 2566 จะเริ่มทำการออกแบบและขอใบอนุญาตก่อสร้าง หลังจากนั้นจะมีการเปิดประมูลการก่อสร้าง โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลาการก่อสร้าง 1 ปี และน่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงปี 2567 2.ชำระคืนเงินกู้ เงินที่ได้จากการระดมทุน บริษัทจะนำมาชำระคืนเงินกู้ เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายทางด้านการเงิน 3.การปรับปรุงสาขา บริษัทวางแผนนำเงินส่วนหนึ่งมาปรับปรุงสาขา 2 แห่ง เพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับร้านค้า ซูปเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้จากการให้เช่า เป็นการกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้หลัก และยังเพิ่มปริมาณลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากขึ้น 4.การสำรองเงินทุนหมุนเวียน เพื่อให้ธุรกิจมีความมั่นคง บริษัทจึงจะนำเงินส่วนหนึ่งจากการระดมทุน มาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโต   ปัจจุบันชิค รีพับบลิค มีร้านค้าเดี่ยวขนาดใหญ่  ที่รวบรวมเฟอร์นิเจอร์ สินค้าตกแต่งบ้าน ของใช้ในบ้าน ที่นอนและเครื่องนอน ที่มีดีไซน์และสไตล์ที่หลากหลาย มีรูปแบบทันสมัย และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (Uniqueness)  ภายใต้แบรนด์หลัก “ชิค รีพับบลิค” (CHIC) และ“ริน่า เฮย์” (RINA HEY) และสินค้านำเข้าจากต่างประเทศภายใต้ แบรนด์ “แอชลีย์ (Ashley)”   มีช่องทางจำหน่ายหลัก ได้แก่ 1.ร้านสาขา 5 แห่งในประเทศไทย และ 1 แห่งที่กัมพูชา 2.ช่องทางออนไลน์และมาร์เก็ตเพลส 3.งานโครงการที่จำหน่ายให้กับดีเวลลอปเปอร์อสังหาฯ รายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ต่าง ๆ โดยในปีนี้มีแผนขยายเข้าสู่ช่องทางโรงแรมและโรงพยาบาล รวมถึงการขยายธุรกิจการให้เช่าเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านกับกลุ่มลูกค้าต่าง ๆ ด้วย ​   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News]CHIC ชูกลยุทธ์สร้าง New S Curves ใหม่ ลุยเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)
อิเกียสุขุมวิท  ซิตี้สโตร์แห่งแรกในเซาท์อีสเอเชีย ปักหมุด ดิ เอ็มสเฟียร์ พร้อม เปิดปลายปี 66

อิเกียสุขุมวิท ซิตี้สโตร์แห่งแรกในเซาท์อีสเอเชีย ปักหมุด ดิ เอ็มสเฟียร์ พร้อม เปิดปลายปี 66

อิเกียสุขุมวิท อิเกีย ปักหมุดสาขา 4 กับคอนเซ็ปต์ซิตี้สโตร์ ที่ดิ เอ็มสเฟียร์ สุขุมวิท แห่งแรกในเซาท์อีสเอเชีย เปิดแน่ปลายปี 66 ชี้ 4 เหตุผลสำคัญเลือกย่านใจกลางธุรกิจ มั่นใจคนเดินช้อปปิ้ง 4 ล้านคนต่อปี   หลังจากอิเกีย ร้านจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน สัญชาติสวีเดน ได้มาปักหมุดในประเทศไทยเมื่อ 10 ปีก่อนหน้านี้ โดยสาขาแรกที่ปักหมุดลงมือทำธุรกิจ คือ อิเกียบางนา ซึ่งอยู่ที่ศูนย์การค้าเมกาบางนา บนถนนบางนา-ตราด ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ ต่อมาขยายสาขาไปที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวสต์เกต พื้นที่จังหวัดนนทบุรี ขณะเดียวกัน อิเกียยังมีจุดสั่งซื้อและรับสินค้าที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อรองรับกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าในภาคใต้ ที่กำลังซื้อสูงไม่แพ้พื้นที่อื่น ๆ ก่อนจะพัฒนาขึ้นเป็นสาขาขนาดเล็ก ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 2,198 ตารางเมตร   ล่าสุด อิเกีย วางแผนเปิดสาขาแห่งที่ 4 บนถนนสุขุมวิท ย่านใจกลางธุรกิจของกรุงเทพฯ โดยการจับมือกับกลุ่มเดอะมอลล์ ที่จะเปิดสาขาแห่งที่ 4 บริเวณชั้น 3 ของศูนย์การค้าดิ เอ็มสเฟียร์ (The Emsphere) ในโครงการช้อปปิ้งมอลล์ขนาดใหญ่ของกลุ่มเดอะมอลล์ คือ ดิ เอ็มดิสทริค (The EM District) ซึ่งกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2566 4 เหตุผลทำไมต้องเลือกถนนสุขุมวิท ด้วยคอนเซ็ปต์การทำธุรกิจของอิเกีย คือ การขายสินค้าปริมาณมาก ในราคาที่ต่ำ หรือ High Value Low Price จึงทำให้อิเกียต้องมีร้านค้าขนาดใหญ่ เพื่อขายสินค้าจำนวนมากมายหลายพันรายการ การให้ลูกค้าเลือกหยิบสินค้าด้วยตนเอง และนำเอาไปประกอบเองที่บ้าน ที่สำคัญตั้งอยู่ในพื้นที่ชานเมือง เพราะจะได้ราคาต้นทุนที่ดินหรือการพัฒนาโครงการได้ไม่สูง เป็นโมเดลธุรกิจที่ช่วยสร้างความสำเร็จ ในการเข้าไปทำธุรกิจในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย   แต่การขยับเข้ามาเปิดสาขาอิเกียสุขุมวิท ซึ่งเป็นสาขาแห่งที่ 4 ในประเทศไทยนั้น เป็นเพราะอิเกียมองว่าเป็นทำเลศักยภาพที่มีโอกาสสร้างการเติบโต และสร้างยอดขายได้สูง จากกำลังซื้อของคนในย่านสุขุมวิทและใกล้เคียง โดยนางสาวลีโอนี่ ฮอสกิ้น ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจค้าปลีก อิเกีย ประเทศไทย และเวียดนาม ได้ให้เหตุผลสำคัญที่อิเกียเลือกมาเปิดสาขาที่ถนนสุขุมวิท ​ดังนี้ ​ 1.ชื่อเสียงถนนสุขุมวิทเป็นที่รู้จัก ถนนสุขุมวิท เป็นทำเลที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นถนนเศรษฐกิจ และเป็นที่รู้จักไม่เฉพาะชาวไทยเท่านั้น แต่รวมถึงต่างชาติด้วย หลายช่วงซอยของถนนสุขุมวิท เป็นแหล่งที่อยู่และชื่นชอบของชาวต่างชาติหลายเชื้อชาติด้วยกัน 2.ประชากรหนาแน่น 3 แสนคน  ถนนสุขุมวิทนอกจากจะเป็นแหล่งธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ แล้ว ยังพบว่าเป็นอีกหนึ่งทำเลที่คนนิยมพักอาศัย ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยหรือต่างชาติ จากการศึกษาของอิเกียพบว่า บริเวณรอบ ๆ รถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีพร้อมพงษ์ พบว่ามีจำนวนประชกรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น มากกว่า 300,000 คน ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่จะมาเป็นลูกค้าของอิเกีย 3.การคมนาคมสะดวกด้วยรถไฟฟ้า รถไฟฟ้าบีทีเอส คือ รถไฟฟ้าสายแรกของไทย ที่เข้ามาสร้างความสะดวกสบาย ในการเดินทางของคนกรุงเทพฯ ซึ่งรถไฟฟ้าบีทีเอสก็วิ่งผ่านถนนสุขุมวิทยาวไปตลอดสายจนถึงจังหวัดสมุทรปราการ ทำให้การเดินทางเข้ามาสู่ย่านธุรกิจเป็นไปได้สะดวก จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้อิเกีย เลือกปักหมุดที่โครงการเอ็มสเฟียร์ ของกลุ่มเดอะมอลล์ ​นอกจากนี้ ทำเลที่ตั้งของโครงการยังอยู่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีอโศกด้วย จึงทำให้การเดินทางมายังอิเกียสุขุมวิทสะดวกมากขึ้น 4.การจับมือกับกลุ่มเดอะมอลล์ อิเกีย มีการศึกษาตลาดและวางแผนในการจะพัฒนาสาขาในรูปแบบซิตี้สโตร์​มาตั้งแต่ปี 2560  จนเมื่อเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ขึ้นจึงได้กลับมาทบทวนแผนกันอีกครั้ง ประกอบกับการได้พันธมิตรอย่างกลุ่มเดอะมอลล์ ที่มีการพัฒนาโครงการดิ เอ็ม ดิสทริค  และมีการเจรจากันลงตัว จึงเลือกมาเช่าพื้นที่ของศูนย์การค้าดิ เอ็มสเฟียร์ ขนาด 12,000 ตร.ม. บริเวณชั้น 3 3 เรื่องน่ารู้ของอิเกียสุขุมวิท สำหรับอิเกียสุขุมวิท ถือเป็นสาขาที่อิเกียตั้งใจ และพยายามจะทำการตลาด เพื่อสร้างความสำเร็จให้เกิดขึ้น ตามเป้าหมายที่จะต้องดึงคนให้เข้ามาช้อปปิ้งซื้อสินค้าที่สาขาให้ได้ปีละ 4 ล้านคน ขณะที่จำนวนลูกค้าเฉลี่ยใน 3 สาขาที่เข้าไปซื้อสินค้ามีประมาณ 30,000 คนต่อวัน นอกจากนี้ ยังคาดว่าอิเกียสุขุมวิท จะมีส่วนแบ่งทางการตลาดในพื้นที่สุขุมวิทได้ 10% จากตลาดสินค้าเดียวกันด้วย   อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอิเกียสุขุมวิทจะเป็นสาขาที่มีขนาดเล็ก เมื่อเทียบกับสาขาบางนาและสาขาบางใหญ่ แต่ถือว่ามี 3 เรื่องที่น่าสนใจและเป็นบทสรุปสำคัญ ดังกนี้ ​ 1.ซิตี้สโตร์แห่งแรกและใหญ่สุดใน Southeast Asia   อิเกียสุขุมวิท ถือเป็นสาขาในคอนเซ็ปต์ซิตี้สโตร์ (City-Centre Store) ใหญ่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia) ด้วยขนาดพื้นที่ 12,000 ตารางเมตร อยู่ที่ชั้น 3 โครงการดิเอ็มสเฟียร์ หากไม่นับเกาะฮ่องกง ที่มีขนาดพื้นที่ 15,000 ตารางเมตร แต่มีจำนวนหลายชั้น ที่สำคัญเป็นสาขาในคอนเซ็ปต์​ซิตี้สโตร์แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย   ขณะเดียวกัน​ อิเกียสุขุมวิท เป็นสาขาที่ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อเป็นสาขาในย่านใจกลางเมืองโดยเฉพาะ จะแตกต่างจากสาขาในคอนเซ็ปต์ซิตี้สโตร์ที่อยู่ในเมืองอื่น ไม่ว่าจะเป็นที่ลอนดอน หรือปารีส ซึ่งแม้จะมีสาขาในรูปแบบซิตี้สโตร์ แต่พัฒนามาจากร้านในรูปแบบ Pop-Up Store ที่ทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาด ก่อนจะพัฒนาขึ้นมาเป็นสาขา 2.ซื้อสินค้าได้ครบเหมือนสาขาใหญ่ แม้ว่าพื้นที่ของอิเกียสุขุมวิท จะอยู่ในศูนย์การค้ามีขนาดพื้นที่ 12,000 ตารางเมตร แต่ยังถือว่าเล็กกว่าในสาขาปกติ  อย่างสาขาบางใหญ่ ที่มีขนาดพื้นที่สโตร์  50,278 ตารางเมตร และสาขาบางนา ที่มีขนาด 44,000 ตารางเมตร ซึ่งยังไม่ได้รวมพื้นที่อื่น ๆ เช่น พื้นที่โชว์รูม พื้นที่มาร์เก็ตฮออล์ พื้นที่เซลฟ์เสิร์ฟ และพื้นที่ร้านอาหาร แต่อิเกียสุขุมวิท ก็มีพื้นที่จำหน่ายสินค้าครบเช่นเดียวกับสาขาใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นโชว์รูม มาร์เก็ตฮอลล์ ร้านอาหาร   ขณะที่สินค้าภายในอิเกียสุขุมวิท ก็มีครบกว่า 9,400-9,500 รายการ เป็นสินค้าจัดโชว์ 2,500 รายการ และสินค้าที่สามารถหยิบซื้อกลับบ้านได้เลย 4,500-5,000 รายการ 3.สินค้าราคาเดียวกันทั่วไทย จากคอนเซ็ปต์ในการทำธุรกิจของอิเกีย หรือการขายสินค้าในปริมาณมากแต่มีราคาถูก ซึ่งแม้ว่าจะเข้ามาเปิดตลาดในย่านใจกลางสุขุมวิท ที่ราคาที่ดินพุ่งแตะตารางวาละ 7 หลัก และเปิดในศูนย์การค้าระดับไฮเอ็นด์อย่างดิ เอ็มสเฟียร์  แต่สินค้าที่นำมาขายจะมีราคาเดียวกันกับสาขาอื่น ๆ ตามนโยบาย One Price   แต่เพื่อความพิเศษของการเปิดอิเกียสุขุมวิท ทางบริษัทจึงวางแผนที่จะนำสินค้าพิเศษเฉพาะสาขาสุขุมวิทมาขาย รวมถึงสินค้าพิเศษเฉพาะประเทศไทย ที่ไม่มีสินค้าชนิดดังกล่าวขายในประเทศอื่นด้วย   นางสาวลีโอนี่ กล่าวอีกว่า  นอกจากสาขาสุขุมวิทแล้ว อิเกีย ยังวางแผนการพัฒนาพื้นที่สาขาจังหวัดภูเก็ตให้มีขนาดใหญ่ขึ้น รวมถึงการขยายสาขาไปยังพื้นที่ต่างจังหวัด อาทิ นครราชสีมา เชียงใหม่ เพื่อรองรับกับความต้องการสินค้าของกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัดด้วย อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -10 ปีอิเกีย กับ 5 กลยุทธ์ สร้างการเติบโตปีละ 5%
สีจระเข้  รีแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบเกือบ 20 ปี  ปูทางสร้างยอดขาย 300 ล้าน

สีจระเข้ รีแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบเกือบ 20 ปี ปูทางสร้างยอดขาย 300 ล้าน

สีจระเข้ จระเข้ ลุยตลาดสีอีกครั้ง รีแบรนด์ใหม่ในรอบเกือบ 20 ปี ปูทางสร้างยอดขาย 300 ล้าน จับตลาดนิชมาร์เกต ชูนวัตกรรมสีธรรมชาติรายแรกและรายเดียวในไทย พร้อมเดินหน้าบุกตลาดงานเมกะโปรเจ็กต์ 800,000 ล้าน     ถ้าพูดถึงสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง แบรนด์จระเข้ คนส่วนใหญ่จะนึกถึงสินค้ากลุ่มยาแนว กลุ่มกันรั่วซึม เพราะว่าเป็นสินค้าที่ทำตลาดและสร้างแบรนด์จนเป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่ในความเป็นจริงแล้วผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์จระเข้นั้น มีอยู่จำนวนมากและหลายกลุ่มสินค้า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีก่อสร้าง กลุ่มคอนกรีตคุณสมบัติพิเศษ รวมถึงกลุ่มสี ที่เคยเปิดตัวและทำตลาดมาแล้วตั้งแต่ปี 2546 ภายใต้แบรนด์สีจระเข้ แต่ช่วงที่ผ่านมาไม่ได้ทำตลาดสินค้ากลุ่มสีมากนัก   นายศุภพงษ์ เพชรสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า ​ในช่วงปลายปี 2564 ที่ผ่านมาบริษัทได้รีแบรนด์สินค้ากลุ่มสีใหม่ ทั้งภาพลักษณ์และโลโก้สินค้า  เนื่องจากไม่ได้ทำตลาดมานาน ประกอบกับทิศทางการดำเนินธุรกิจ ได้วางกลยุทธ์การทำตลาดภายใต้คอนเซ็ปต์ “ใช้จระเข้ร่วมกัน ปกป้องบ้านทั้งหลัง” จึงขยายตลาดผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมมากที่สุด   โดยผลิตภัณฑ์สีจระเข้ (SEE JORAKAY) เป็นกลุ่มตลาดสีพรีเมียม ที่ต้องการใช้งานมีลักษณะเฉพาะ สามารถใช้งานลักษณะเดียวกับคัลเลอร์ซีเมนต์ สามารถพ่นหรือฉาบได้ ซึ่งจุดเด่นและจุดขายหลักของสีจระเข้ คือการใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ 100% จากประเทศสเปน ถือเป็นผู้ทำตลาดรายแรกและรายเดียวในปัจจุบัน ซึ่งหากใช้ผลิตภัณฑ์สีจระเข้ จะสามารถเพิ่มคะแนนกับอาคารที่ยื่นขอรับรองคุณภาพอาคารฉลากเขียว และ LEED ได้ด้วย ปัจจุบันสีจระเข้เป็นกลุ่มสินค้า Green กว่า 90% ด้านแนวทางการทำตลาดสีจระเข้ บริษัทจะใช้ช่องทางการทำตลาดหลักผ่านสื่อออนไลน์ ทั้งด้านการสื่อสารการตลาด และช่องทางจัดจำหน่าย โดยแยกการทำตลาดและสร้างแบรนด์ ให้ชัดเจนจากผลิตภัณฑ์จระเข้อื่น ๆ นอกจากนี้ ยังจัดทีมช่างไว้ใบริการให้คำปรึกษา และบริการงานสี โดยบริษัทคาดว่าในปีแรกจะสามารถทำยอดขายได้ 50 ล้านบาท ซึ่งเป้าหมายภายใน 2-3 ปีน่าจะทำยอดขายได้ 300 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 10% จากยอดขายรวมที่น่าจะทำได้ประมาณ 4,000 ล้านบาท   นายศุภพงษ์ กล่าวอีกว่า ในปีที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายรวม 2,800 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในอัตราใกล้เคียงกับก่อนที่จะเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่วนปีนี้คาดว่าจะสามารถทำยอดขายได้ประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตประมาณ 10% ซึ่งในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายเติบโต 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า   นอกเหนือจากการออกผลิตภัณฑ์สีแล้ว บริษัทยังวางแนวทางการตลาด ด้วยการเข้าประมูลงานโครงการภาครัฐ เนื่องจากปัจจุบันโครงการภาครัฐ ถือว่าเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจหลักของประเทศ เพราะภาคเอกชนมีการลงทุนน้อย โดยมูลค่างานเมกะโปรเจ็กต์ของภาครัฐมีมูลค่ากว่า 800,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้ในงานภาครัฐเป็นจำนวนมาก เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีอุตสาหกรรม และกลุ่มคอนกรีตคุณสมบัติพิเศษ โดยเฉพาะโครงการของหน่วยงานภายใต้กระทรวงคมนาคม อาทิ กรมเจ้าท่า   ทั้งนี้ การขยายสู่การ ปกป้องงานโครงสร้างพื้นฐาน  Infrastructure เป็นการต่อยอดจากงานโครงสร้างพื้นฐานเดิมที่มีอยู่ โดยจระเข้ได้พัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์เคมีหลากหลายที่ตอบโจทย์การใช้งาน เพื่อให้เกิดความแข็งแรงและช่วยให้การทำงานโดยรวมได้รวดเร็วขึ้น ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย โดยครอบคลุมการใช้งานตั้งแต่งานโครงสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง ทางยกระดับต่าง ๆ ไปจนถึงงานท่าเทียบเรือ เป้าหมายในการทำการตลาดสำหรับปี 2565 จระเข้มีความมุ่งหวังว่าเจ้าของบ้าน สถาปนิก นักออกแบบและตกแต่งภายใน และโครงการขนาดใหญ่ จะได้มุมมองใหม่จากกลุ่มสินค้าเคมีภัณฑ์จากจระเข้ และเชื่อมั่นว่าจะได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี     นายศุภพงษ์ กล่าวเสริมว่า  ปัจจุบัน “จระเข้” มีสินค้านวัตกรรมเพื่องานก่อสร้าง ซ่อมแซม และตกแต่งแบบครบวงจร และเป็นแบรนด์ไทยที่เข้าใจความต้องการของคนในภูมิภาค รวมทั้งยังพร้อมเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้า ควบคู่กับมุมมองในการเลือกใช้วัสดุรักษ์โลกที่จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ โดยทุกกลุ่มสินค้าของจระเข้ เป็นสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตามมาตรฐานระดับประเทศและระดับสากล   อ่านบทความที่น่าสนใจ -ถอดรหัสเทรนด์สีใหม่ ปี 64 เพื่อที่อยู่อาศัยในยุค New Normal
ไขข้อสงสัย? บ้านแบบไหนเหมาะกับ การติดโซลาร์เซลล์ และ 7 เรื่องควรรู้

ไขข้อสงสัย? บ้านแบบไหนเหมาะกับ การติดโซลาร์เซลล์ และ 7 เรื่องควรรู้

การติดโซลาร์เซลล์ การติดโซลาร์เซลล์ บนหลังคาอาคาร หรือที่พักอาศัย เป็นแนวทางหนึ่งที่เข้ามาช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้อย่างมาก โดยเฉพาะหากคิดถึงความคุ้มค่าในระยะยาว เพราะเป็นการลงทุนครั้งเดียว และเป็นการใช้พลังงานธรรมชาติที่ไม่ต้องลงทุนเพิ่มเติม ยกเว้นแต่การดูแลรักษา และการซ่อมบำรุงตามอายุการใช้งาน โดยเฉพาะตอนนี้อากาศเมืองไทยร้อนกันสุด ๆ แดดแรงแทบจะเผาผิวเราให้ไหม้ได้เลย ถ้าขืนไปยืนอยู่กลางแดดนาน ๆ โดยไม่ได้มีการป้องกัน ทำให้คนส่วนใหญ่เลือกจะอยู่แต่ภายในอาคาร เปิดเครื่องปรับอากาศเย็น ๆ เพื่อความสบายตัว ลดความเสี่ยงออกไปสัมผัสอากาศร้อนภายนอก   เมื่อต้องอยู่แต่ภายในอาคาร หรือบ้านเรือน ที่พักอาศัย แถมต้องเปิดเครื่องปรับอากาศ หรือ พัดลมเป็นเวลานาน ๆ แน่นอน ค่าไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นแน่นอน แม้ว่าจะใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าแบบประหยัดไฟเบอร์ 5 ก็ตาม แต่ช่วงหน้าร้อนแบบนี้ ค่าไฟฟ้าสูงขึ้นสูงสุดของปี การติดโซลาร์เซลล์ จึงน่าจะเป็นตัวช่วยที่ดีในการประหยัดค่าไฟฟ้า บ้านแบบไหนเหมาะกับ การติดโซลาร์เซลล์ ระบบโซลาร์เซลล์ หรือระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ถือเป็นพลังงานทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้น​ เพราะนอกจากจะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้ว ปัจจุบันราคายังถูกลงกว่าในอดีตค่อนข้างมาก และยิ่งในระยะยาวก็มีความคุ้มค่า เพราะเป็นการลงทุนครั้งเดียว ไม่นับรวมกับการซ่อมบำรุง และในอนาคตโซลาร์จะเป็นหนึ่งในพลังงานที่สามารถทดแทนพลังงานหลักได้หากมีความต้องการใช้ไฟฟ้าที่มากขึ้น   ปัจจุบันดีเวลลอปเปอร์ที่พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ก็ใชระบบโซลาร์เซลล์ ที่มีการติดตั้งตามอาคารหรือบ้านมาเป็นหนึ่งจุดขายสำคัญ เพราะช่วยทำให้คนที่อยู่บ้านลดค่าใช้จ่ายจากค่าไฟฟ้าลงได้มาก ทำให้ระบบโซลาร์เซลล์ ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนบ้านไหนที่ยังไม่ได้ติดตั้งโซลาร์เซลล์ แล้วมีความสนใจที่จะนำมาติดตั้งบ้าง คงต้องศึกษาข้อมูลและวัดความคุ้มค่าดูก่อน เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ปรกอบการตัดสินใจ เพราะแม้ว่าปัจจุบันราคาโซลาร์เซลล์จะถูกลง แต่ก็ต้องใช้งบประมาณมากพอสมควร ​   สำหรับบ้านที่จะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ควรมีพื้นที่บนหลังคาหรือดาดฟ้าที่รับแสงได้ดี โดยทิศใต้จะรับแสงได้ดีที่สุด ส่วนทิศเหนือจะรับแสงได้น้อยที่สุด การติดตั้งจะใช้พื้นที่ประมาณ 14 – 18 ตารางเมตรขึ้นไป และพื้นที่ติดตั้งต้องรับน้ำหนักได้ประมาณ 20 กิโลกรัมต่อตารางเมตรขึ้นไปด้วย ซึ่งบ้านที่เหมาะกับการติดตั้งระบบโซลาร์จะเป็นบ้านแบบไหนบ้าง มาดูกัน -บ้านที่มีการใช้ไฟระหว่างวันมาก เช่น บ้านที่มีผู้อยู่อาศัยช่วงเวลากลางวัน อาคารโฮมออฟฟิศ ร้านอาหารที่มีการเปิดแอร์ตลอดวัน ส่วนใครที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้า การชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ช่วงกลางวันถือว่าเหมาะมาก เพราะเป็นช่วงที่สามารถใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ได้เต็มที่ ช่วยลดการใช้ไฟจากการไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี -เจ้าของบ้านที่อยากมีส่วนร่วมในการใช้พลังงานสะอาด และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยการติดตั้งระบบโซลาร์จะช่วยลดการเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกได้ นอกจากนี้ การติดโซลาร์เซลล์ยังช่วยให้บ้านเย็นขึ้นด้วย เพราะเหมือนมีหลังคาอีกชั้นช่วยบังแดดไว้ -บ้านที่ต้องการประหยัดค่าไฟในระยะยาว การติดโซลาร์ เป็นการตอบรับการมาของโลกยุคดิจิทัล ที่ค่าไฟมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี โดยบ้านที่มีค่าไฟเกิน 3,000 บาทต่อเดือน มีความเหมาะสมที่จะติดโซลาร์เซลล์ 7 ข้อต้องรู้ในการติดตั้งโซลาร์เซลล์ สำหรับบ้านไหน หรืออาคารไหน ที่ต้องการจะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ หรือโซลาร์รูฟท็อป คงต้องทำการศึกษาหาข้อดีข้อเสีย วางแผนด้านการติดตั้ง เพราะว่าจะต้องมีขั้นตอนการขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการวางแผนงบประมาณ  ข้อมูลด้านการใช้งาน การดูแล และบำรุงรักษา เพื่อจะได้เข้าใจระบบการทำงาน ลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นภายหลังด้วย โดยแนวทางการติดโซลาร์เซลล์  มี 7 เรื่องสำคัญที่จะต้องทำความเข้าใจ และต้องปฏิบัติ ดังนี้ 1.เช็คพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าในบ้านด้วย บิลค่าไฟฟ้าย้อนหลัง 3 เดือน – 1 ปี ก่อนจะหาสเปคแผงโซลาร์เซลล์ หรือคิดว่าบ้านเราจะต้องติดตั้งกี่แผงดี? หยุดความคิดนั้นก่อน เพราะสิ่งที่ต้องทำอันดับหนึ่งคือต้องคำนวนว่าบ้านเราใช้ไฟฟ้ามากน้อยแค่ไหน ด้วยการดูบิลค่าไฟฟ้าย้อนหลัง 3 เดือน – 1 ปี เพราะพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าของเราจะเป็นเหมือนแนวทางให้เราสามารถตัดสินใจได้ว่าเราจะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่มีกำลังผลิตเท่าไร 2.สำรวจปริมาณการใช้ไฟฟ้าทั้งกลางวันและกลางคืน ลองดูว่าปริมาณที่เราใช้ไฟฟ้าในตอนกลางวันมากน้อยแค่ไหน เอามาเปรียบเทียบกับปริมาณการใช้ไฟฟ้าในตอนกลางคืน เราจะได้เห็นว่าถ้าเราจะสามารถลดค่าไฟฟ้าช่วงกลางวันไปได้เท่าไรหากติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป 3.เช็คค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง สำหรับค่าใช้จ่ายในการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ขอเปรียบเทียบกับข้อมูล ดังนี้ หากเราต้องการติดตั้งโซลาร์เซลล์ที่มีกำลังติดตั้ง 1,000 วัตต์ จะมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ 25,000 บาท ถึง 35,000 บาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่รวมทุกๆอย่างแล้วทั้ง ค่าบริการติดตั้ง ค่าใช้จ่ายในการขออนุญาตติดตั้ง ทั้งนี้ การติดตั้ง 1,000 วัตต์หรือ 1 กิโลวัตต์ สามารถลดค่าไฟฟ้าได้ประมาณ 500-800 บาทต่อเดือน 4.สำรวจพื้นที่สำหรับติดตั้งและการยื่นเรื่องขออนุญาตติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ เมื่อเราสำรวจการใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน และเลือกปริมาณในการผลิตแล้ว ให้เราแจ้งขออนุญาตติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่เขตโยธาท้องถิ่นที่เราอาศัยอยู่ ทางเขตโยธาจะส่งวิศวกรมาสำรวจหลังคาบ้านของเราว่ามีความพร้อมติดตั้งหรือไม่ หรือจะต้องซ่อมแซมหลังคา หรือต้องเพิ่มเติมอะไรเพื่อให้ติดตั้งแผงได้โดยปลอดภัย หลังจากเช็คความพร้อมของหลังคาบ้านแล้ว เราจะต้องทำเรื่องขออนุญาตการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) หรือการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.)ในเขตพื้นที่ ที่บ้านเราตั้งอยู่โดยส่งแบบแปลน 2 แบบไปให้การไฟฟ้าฯ พิจารณา แบบที่1 เรียกว่า “ส่งแบบ Single Line Diagram” เป็นแปลนระบบไฟฟ้า และ 2 เป็นแปลนอินเวอร์เตอร์ 5.ยื่นเรื่องกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เมื่อเราได้รับการพิจารณาจากเขตโยธาท้องถิ่น และการไฟฟ้าฯเรียบร้อยแล้ว ให้เรานำเอกสารที่ได้รับมายื่นเรื่องต่อไปที่ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เพราะเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ รับเรื่องและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการขอใบอนุญาตการประกอบกิจการ พลังงานตามประเภท ขนาดและลักษณะของกิจการพลังงาน ตลอดจน ตรวจสอบการและสนับสนุนการดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการออกใบอนุญาตทั้งก่อนและหลังในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบ กกพ.จะพิจารณาว่าเราสามารถติดตั้งโซลาร์เซลล์ได้หรือไม่ 6.เริ่มติดตั้งโซลาร์เซลล์  ขั้นตอนที่ 6 นี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญเพราะเราจะต้องเริ่มขึ้นหลังคาแล้ว โดยเราจะต้องเตรียมตัวดังนี้ -เลือกทีมช่างที่มีความชำนาญการ เลือกใช้บริษัทที่มีความน่าเชื่อถือ มีประวัติการติดตั้ง และเคยรับงานมากน้อยแค่ไหน ลักษณะงานขนาดเล็กใหญ่แค่ไหน -เลือกใช้อินเวอร์เตอร์ที่มีคุณภาพ -เลือกแผงโซลาร์เซลล์และรุ่นของแผงที่เหมาะสม เมื่อช่างมาติดตั้ง เราจะต้องเช็คว่าสิ่งที่ช่างแนะนำก่อนหน้านี้ กับอุปกรณ์ที่นำมาติดจริงตรงกันหรือไม่  อย่างไรก็ดียังไม่ต้องกังวลไป เพราะจะมีวิศวกรจากโยธาเขตท้องถิ่นมาตรวจเช็คอีกครั้ง ว่าอุปกรณ์ได้มาตรฐานหรือไม่ 7.การใช้งาน การดูแลรักษา และการรีไซเคิล เมื่อติดตั้งแล้วเสร็จ ก็เป็นหน้าที่ของเราเจ้าของบ้านที่จะเป็นคนดูแลรักษา เบื้องต้นคือการล้างแผงโซลาร์เซลล์ไม่ให้มีฝุ่นหรือสิ่งสกปรกมาเกาะเพราะจะลดประสิทธิภาพการผลิตพลังงานไฟฟ้าของแผงโซลาร์เซลล์เพียงแค่ใช้น้ำสะอาดฉีดล้างและใช้ผ้าเช็ดให้แห้ง แผงโซลาร์เซลล์จะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับบ้านเรานานประมาณ 25 ปีโดยมาตรฐาน  (หากดูแลรักษาดีสามารถใช้งานนานถึง 30 ปี) เมื่อแผงโซลาร์หมดอายุการใช้งานแล้วก็จะต้องนำแผงเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลแผงโซลาร์ซึ่งปัจจุบันมีเทคโนโลยีนำร่องที่สามารถรีไซเคิลแผงโซลาร์เซลล์ได้แล้ว   ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลสำหรับการใช้พิจาณา และประกอบการตัดสินใจ รวมถึงขั้นตอนการดำเนินการติดตั้ง  ซึ่งบ้านไหนจะติดตั้งโซลาร์เซลล์ ก็ควรหาข้อมูลให้รอบด้าน ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ และดำเนินการต่าง ๆ ให้ถูกต้อง เพื่อที่จะได้มีพลังงานได้ใช้ในต้นทุนที่ประหยัดลง   CR : SCB, Greenpace Thailand อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง SENA ส่ง “ทาวน์โฮมติดโซลาร์” 1 กิโลวัตต์ รับกระแส Work Form Home
[PR News] LET จับมือ Dahua เสริมแกร่ง “โมเดิร์น ซิเคียวริตี้” รุกตลาดเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัย

[PR News] LET จับมือ Dahua เสริมแกร่ง “โมเดิร์น ซิเคียวริตี้” รุกตลาดเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัย

โมเดิร์น ซิเคียวริตี้ ล็อกซเล่ย์ อีโวลูชั่น เทคโนโลยี หรือ LET เดินหน้าแนวคิด "โมเดิร์น ซิเคียวริตี้" ต่อเนื่อง ล่าสุดจับมือ ด้าหัว เทคโนโลยี ยักษ์ใหญ่ผู้เชี่ยวชาญระบบรักษาความปลอดภัยชั้นนำของจีน เสริมศักยภาพเทคโนโลยีดิจิทัลรักษาความปลอดภัยตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างของลูกค้าแบบครบวงจร   นายยุทธพร จิตตเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท​ ล็อกซเล่ย์ อีโวลูชั่น เทคโนโลยี จำกัด หรือ LET  เปิดเผยว่า​ บริษัทได้ลงนามความร่วมมือกับ ด้าหัว เทคโนโลยี เป็นพันธมิตรเพิ่มขีดความสามารถดำเนินธุรกิจเทคโนโลยีด้านรักษาความปลอดภัยเหนือระดับ “โมเดิร์น ซิเคียวริตี้” ภายใต้กลยุทธ์ The New Society Market  ซึ่งการจับมือเป็นพันธมิตรกับด้าหัวฯ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งระบบรักษาความปลอดภัยชั้นนำจากประเทศจีน ครั้งนี้เป็นการผนึกความเชี่ยวชาญและเสริมจุดแข็งทางด้านเทคโนโลยีความปลอดภัย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการในแข่งขันทางธุรกิจ ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรด้วยการผสานอุปกรณ์ แพลตฟอร์มและโซลูชั่นทั้งของ LET และ Dahua เข้าด้วยกันเพื่อตอบโจทย์ และรองรับความต้องการของลูกค้าด้านงานรักษาความปลอดภัยที่แตกต่างกัน สำหรับกลยุทธ์ The New Society Market จะเป็นการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างทีมงานของ LET และ Dahua เพื่อการตัดสินใจที่รวดเร็ว และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าหลักได้แก่ องค์กรภาครัฐ องค์กรภาคธุรกิจ รัฐวิสาหกิจ อาทิ หน่วยงานราชการ โรงพยาบาล ธนาคาร บริษัทประกันภัย และหมู่บ้านจัดสรร เป็นต้น อีกทั้งยังเฟ้นหาลูกค้าใหม่ๆ โดยทีมจะมุ่งเน้นแผนการศึกษา พัฒนา ออกแบบระบบ และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมผสานเข้ากับ บียอน แพลทฟอร์ม (Beyond Platform) แพลทฟอร์มอัจฉริยะด้านรักษาความปลอดภัย ผ่านบิ๊กดาต้าและการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ทำงานร่วมกับกล้องโทรทัศน์วงจรปิด และระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับต่างๆ   พร้อมการบริหารจัดการแบบศูนย์รวมผ่านห้องปฏิบัติการ Single Command Control Center เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกันทั้งด้านระดับความปลอดภัย และข้อกำหนดในโครงการของลูกค้าให้ตรงใจกับผู้ใช้งานมากที่สุด นอกจากตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายแล้ว บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญเรื่องการจัดฝึกอบรมให้กับลูกค้าโดยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญที่พัฒนาระบบ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% จากปีก่อน นายโจว ชิง คันทรี่เมเนเจอร์ บริษัท ด้าหัว เทคโนโลยี เชื่อมั่นว่า การผนึกกำลังกันในครั้งนี้จะช่วยให้ด้าหัวฯ สามารถขยายตลาดในประเทศไทยได้เพิ่มมากขึ้น ด้วยความพร้อมด้านอุปกรณ์ ฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ของด้าหัวฯ ผนวกรวมกับประสบการณ์ความเชี่ยวชาญ และบียอน แพลทฟอร์ม (Beyond Platform) ที่ทันสมัยของ LET จะทำให้ลูกค้าได้รับประโยชน์จากการพัฒนาและออกแบบระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีขึ้น มีประสิทธิภาพสูงสุด และตรงความต้องการของลูกค้ามากที่สุด
แต่งห้องนอน 12 ราศี ให้ถูกโฉลก  เฮง ๆ ปัง ๆ กับ  “หมอช้าง”

แต่งห้องนอน 12 ราศี ให้ถูกโฉลก  เฮง ๆ ปัง ๆ กับ  “หมอช้าง”

แต่งห้องนอน เรื่องการนอน ถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมนุษย์ทุกคน เพราะในแต่ละวันหลังจากที่เราออกไปใช้ชีวิต หรือไปทำงาน จนเหนื่อยเมื่อยล้าแล้ว ร่างกายก็ต้องการพักผ่อน เพื่อเติมพลังให้ในวันต่อไปเราได้ลุกขึ้นมาใช้ชีวิตและทำงานกันต่อไป การนอนมีความสำคัญแค่ไหน คงดูได้จากในหนึ่งวันที่มี 24 ชั่วโมง เรามักจะใช้เวลา 1 ใน 3 ไปเพื่อการนอนหลับและพักผ่อนแล้ว การนอน นอกจากเป็นการเติมพลังให้กับร่างกายแล้ว การนอนยังมีผลสำคัญต่อภาวะจิตใจ และอารมณ์ของคนเราด้วย เพราะถ้านอนไม่พอ นอนไม่เต็มอิ่ม หรือนอนไม่สบาย ตื่นมาอารณ์ก็อาจจะไม่แจ่มใส จิตใจขุ่นมัวได้ด้วย แต่บางคนก็ให้ความสำคัญกับการนอนไปมากกว่านั้น เพราะบางคนมีความเชื่อว่า ถ้านอนให้ดีให้ถูกต้อง หรือถูกโฉลกตามหลักโหราศาสตร์ หรือตามหลักฮวงจุ้ยแล้ว ก็อาจจะส่งผลดีในเรื่องของโชคลาภ หรือเสริมดวงชะตาได้อีกด้วย หลายคนจึงต้องมีการจัดห้องนอนและวิธีการนอน ให้ถูกหลักตามศาสตร์ของฮวงจุ้ย   แต่นอกเหนือจากนั้น เรื่องของอุปกรณ์การนอน หรือเรื่องของสี สำหรับเป็นอุปกรณ์ใช้ในการนอน อย่างพวก ผ้าปูที่นอน ผ้าห่ม หลายคนก็มีความเชื่อว่า หากใช้ให้ถูกกับราศีหรือดวงชะตาของตนเองแล้ว จะช่วยเสริมความเฮง สร้างความโชคดีให้เกิดขึ้นได้ด้วย ศาสตร์การนอนตามหลักโหราศาสตร์ หรือฮวงจุ้ยจึงมีออกมาแนะนำกันในหลายวิธี   วันนี้ Reviewyourliving มีวิธีการเลือกใช้ผ้าปูที่นอนที่ส่งเสริมชะตาราศี จากคำแนะนำของหมอช้าง-ทศพร ศรีตุลา นักพยากรณ์ชื่อดังมาฝาก เพื่อใช้เลือกอุปกรณ์การนอนที่เหมาะสมในแต่ละราศี เอามาฝากกัน   หมอช้าง เล่าถึงความสำคัญของการเลือกผ้าปูที่นอนที่ส่งเสริมชะตาราศีว่า ห้องนอนเป็นห้องที่เราใช้งานบ่อยที่สุด เพราะมนุษย์เราใช้เวลาถึง 1 ใน 3 ของชีวิตไปกับการนอน ดังนั้นผ้าปูที่นอนจึงมีอิทธิพลกับชีวิต ตั้งแต่ยามหลับไปจนถึงตอนตื่นนอน ซึ่งหากเราเลือกผ้าปูที่นอนที่ถูกโฉลก ก็จะช่วยให้เราสัมผัสได้ถึงพลังงานดี ๆ ในยามเช้าและส่งผลดีกับการใช้ชีวิตในตลอดวันอีกด้วย แต่งห้องนอนให้ถูกโฉลกในแต่ละราศี ราศีเมษ (15 มี.ค. - 13 เม.ย.)  สีที่เป็นมงคล คือ คู่สี ฟ้า-เทา ด้วยลายวงกลมคล้องกันเปรียบเสมือนการเติบโตของเมล็ดพันธุ์ ส่งเสริมชีวิตให้เจริญรุ่งเรืองและก้าวหน้าในทุก ๆ ด้าน ทั้งการเงิน การงาน การค้า โดยลายวงกลมที่หมายถึงความต่อเนื่องอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อถูกวางคล้องเข้าด้วยกันจะส่งเสริมบารมีและความรักสามัคคีกับคนในครอบครัวอีกด้วย ราศีพฤษภ (14 เม.ย. - 14 พ.ค) สีที่เป็นมงคล คือ คู่สี เขียว – ฟ้า ด้วยลายเกลียวคลื่นสื่อถึง ‘น้ำ’ หรือชีวิตอันอุดมสมบูรณ์ มีความคล่องตัวในอาชีพการงาน การเงินและการค้า ผ่านพ้นอุปสรรคได้อย่างราบรื่น ลายเกลียวคลื่นที่มาเป็นคู่ยังส่งเสริมให้ครอบครัว คนรอบข้างและบริวารพลอยฟ้าพลอยฝนโชคดีไปกับคุณ ราศีเมถุน (15 มิ.ย. - 16 ก.ค.) สีที่เป็นมงคล คือ คู่คู่สี แดง-ครีม  ด้วยลายสัญลักษณ์ของเครื่องหมาย Zen ช่วยส่งเสริมด้านสติปัญญาทั้งแก่ตัวเองและครอบครัว เติมความสมดุลให้กับชีวิตความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง ตลอดจนการเงินให้มีความคล่องตัวและมั่นคง ราศีกรกฎ (17 ก.ค. - 16 ส.ค.) สีที่เป็นมงคล คือ คู่สี น้ำเงิน-ส้ม ด้วยลายสัญลักษณ์ของเครื่องหมาย Zen ช่วยส่งเสริมด้านสติปัญญาทั้งแก่ตัวเองและครอบครัว เติมความสมดุลให้กับชีวิตความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง ตลอดจนการเงินให้มีความคล่องตัวและมั่นคง ราศีสิงห์ (17 ส.ค. – 16 ก.ย.)   สีที่เป็นมงคล คือ คู่สี เทา-เขียว ด้วยลายวงกลมคล้องกันเปรียบเสมือนการเติบโตของเมล็ดพันธุ์ ส่งเสริมชีวิตให้เจริญรุ่งเรืองและก้าวหน้าในทุก ๆ ด้าน ทั้งการเงิน การงาน การค้า โดยลายวงกลมที่หมายถึงความต่อเนื่องอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อถูกวางคล้องเข้าด้วยกันจะส่งเสริมบารมีและความรักสามัคคีกับคนในครอบครัวอีกด้วย ราศีกันย์ (17 ก.ย.- 17 ต.ค ) สีที่เป็นมงคล คือ คู่สี ฟ้า – น้ำเงิน​​ ด้วยลายเกลียวคลื่นสื่อถึง ‘น้ำ’ หรือชีวิตอันอุดมสมบูรณ์ มีความคล่องตัวในอาชีพการงาน การเงินและการค้า ผ่านพ้นอุปสรรคได้อย่างราบรื่น ลายเกลียวคลื่นที่มาเป็นคู่ยังส่งเสริมให้ครอบครัว คนรอบข้างและบริวารพลอยฟ้าพลอยฝนโชคดีไปกับคุณ ราศีตุลย์ (18 ต.ค. – 16 พ.ย.) สีที่เป็นมงคล คือ คู่สี เทา-แดง ด้วย​ลายวงกลมคล้องกันเปรียบเสมือนการเติบโตของเมล็ดพันธุ์ ส่งเสริมชีวิตให้เจริญรุ่งเรืองและก้าวหน้าในทุก ๆ ด้าน ทั้งการเงิน การงาน การค้า โดยลายวงกลมที่หมายถึงความต่อเนื่องอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อถูกวางคล้องเข้าด้วยกันจะส่งเสริมบารมีและความรักสามัคคีกับคนในครอบครัวอีกด้วย ราศีพิจิก (17 พ.ย. – 15 ธ.ค.) สีที่เป็นมงคล คือ คู่สี เขียวเข้ม-น้ำตาล ด้วยลายสัญลักษณ์ของเครื่องหมาย Zen ช่วยส่งเสริมด้านสติปัญญาทั้งแก่ตัวเองและครอบครัว เติมความสมดุลให้กับชีวิตความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง ตลอดจนการเงินให้มีความคล่องตัวและมั่นคง ราศีธนู (16 ธ.ค.-14 ม.ค. )      สีที่เป็นมงคล คือ คู่สี ม่วง-ฟ้า ด้วยลายเกลียวคลื่นสื่อถึง ‘น้ำ’ หรือชีวิตอันอุดมสมบูรณ์ มีความคล่องตัวในอาชีพการงาน การเงินและการค้า ผ่านพ้นอุปสรรคได้อย่างราบรื่น ลายเกลียวคลื่นที่มาเป็นคู่ยังส่งเสริมให้ครอบครัว คนรอบข้างและบริวารพลอยฟ้าพลอยฝนโชคดีไปกับคุณ ราศีมังกร (15 ม.ค.-12 ก.พ. )   สีที่เป็นมงคล คือ คู่สี แดง-ม่วง ด้วยลายเกลียวคลื่นสื่อถึง ‘น้ำ’ หรือชีวิตอันอุดมสมบูรณ์ มีความคล่องตัวในอาชีพการงาน การเงินและการค้า ผ่านพ้นอุปสรรคได้อย่างราบรื่น ลายเกลียวคลื่นที่มาเป็นคู่ยังส่งเสริมให้ครอบครัว คนรอบข้างและบริวารพลอยฟ้าพลอยฝนโชคดีไปกับคุณ ราศีกุมภ์ (13 ก.พ.-14 มี.ค.)    สีที่เป็นมงคล คือ คู่สี ครีม – เขียวอ่อน ด้วย​ลายวงกลมคล้องกันเปรียบเสมือนการเติบโตของเมล็ดพันธุ์ ส่งเสริมชีวิตให้เจริญรุ่งเรืองและก้าวหน้าในทุก ๆ ด้าน ทั้งการเงิน การงาน การค้า โดยลายวงกลมที่หมายถึงความต่อเนื่องอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เมื่อถูกวางคล้องเข้าด้วยกันจะส่งเสริมบารมีและความรักสามัคคีกับคนในครอบครัวอีกด้วย ราศีมีน (15 มี.ค. – 13 เม.ย.)   สีที่เป็นมงคล คือ คู่สี สีม่วง-ครีม  ด้วยลายสัญลักษณ์ของเครื่องหมาย Zen ช่วยส่งเสริมด้านสติปัญญาทั้งแก่ตัวเองและครอบครัว เติมความสมดุลให้กับชีวิตความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้าง ตลอดจนการเงินให้มีความคล่องตัวและมั่นคง สำหรับใครที่อยากจะปรับโฉมห้องนอน แต่งห้องนอนใหม่ ด้วยชุดเครื่องนอนในคู่สี และลวดลายที่ถูกโฉลก เพื่อเสริมราศี สร้างความเฮง ความปัง ก็ลองเลือกตามคำแนะนำของ "หมอช้าง" ดู หวังว่าทุกคนจะเฮง ๆ ปัง ๆ กันทุกคน   ขอบคุณข้อมูลจาก ชุดเครื่องนอน Satin (Satin Plus Lucky Me Lucky You Special Collection 2022)   บทความที่เกี่ยวข้อง 6 สิ่งต้องมี ในห้องนอน เพื่อการหลับอย่างมีคุณภาพ 9 วิธีจัดห้องนอนเสริมดวง
เปิดความหมาย 9 ของขวัญวันตรุษจีนมงคล ที่ต้องมอบให้กันในวันตรุษจีน

เปิดความหมาย 9 ของขวัญวันตรุษจีนมงคล ที่ต้องมอบให้กันในวันตรุษจีน

ของขวัญวันตรุษจีน เทศกาลสำคัญของชาวจีน และคนไทยเชื้อสายจีน ที่ทุกคนให้ความสำคัญและต้องเข้าร่วม เพื่อความเป็นสิริมงคล และการเริ่มต้นชีวิตที่ดีของทุกปี คือ เทศกาลตรุษจีน เพราะถือว่าเป็นวันขึ้นปีใหม่ของชาวจีน เทศกาลนี้คนเชื้อสายจีน จะมีการไหว้เจ้า ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไหว้บรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ไหว้เทพเจ้าแห่งโชคลาภ หรือเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี๊ย และทำการเฉลิมฉลอง​ เพื่อสร้างความเป็นสิริมงคล ร่ำรวย และเจริญรุ่งเรือง นอกจากการไหว้เจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ แล้ว สิ่งหนึ่งที่ทำกัน คือ การไหว้และขอพรผู้ใหญ่ที่เคารพ และจะมีการมอบของขวัญที่เป็นมงคลให้แก่กัน ผู้ใหญ่เองก็จะเตรียมของขวัญวันตรุษจีนที่เป็นมงคลไว้ให้ลูกหลาน หรือคนที่เข้ามาอวยพรด้วย ​   การให้ของขวัญวันตรุษจีนนั้นถือได้ว่า เป็นธรรมเนียมที่สำคัญ และต้องปฏิบัติ เพื่อเสริมสร้างความเป็นสิริมงคล รวมถึงเป็นการขอพร และให้พร ระหว่างผู้ให้กับผู้รับอีกด้วย ทำให้ชาวจีนส่วนใหญ่ รวมทั้งครอบครัวของคนไทยที่มีเชื้อสายจีน มักจะหาของขวัญวันตรุษจีนมามอบให้กันในช่วงเทศกาลขึ้นปีใหม่ของจีนของทุก ๆ ปีนั่นเอง แต่ของขวัญตรุษจีนแต่ละชนิดมีความหมาย และสื่อความหมายถึงความเป็นสิริมงคลอย่างไรบ้างนั้น วันนี้เรามาดูกัน ของขวัญวันตรุษจีน 9 อย่างที่เป็นมงคล 1.อั่งเปา หรือ แต๊ะเอีย อั่งเปา มีความหมายว่า “กระเป๋าสีแดง”  ซึ่งเป็นของขวัญวันตรุษจีนอย่างแรกที่คนส่วนใหญ่มอบให้กัน โดยซองแดงจะมีอักษรจีนที่มีความหมายดี ๆ เป็นมงคล อยู่บนหน้าซอง เช่น ขอให้มีสุขภาพยืนยาว ขอให้ร่ำรวย การงานเจริญก้าวหน้า เป็นต้น 2.ส้ม ส้ม ถือ เป็นผลไม้ที่นิยมนำมาใช้ในเทศกาลตรุษจีนมากที่สุด ทั้งการนำมาใช้พิธีไหว้ และการนำไปมอบให้กับญาติผู้ใหญ่ สำหรับเด็กหรือผู้ที่อายุน้อยกว่า เมื่อต้องไปไหว้ขอพร และรับคำอวยพรจากญาติผู้ใหญ่ ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติอีกอย่างหนึ่งของเทศกาลตรุษจีน   โดยสิ่งที่จะต้องนำติดตัวไปเพื่อเป็นการขอพรด้วยนั้นก็คือ “ส้ม” จำนวน 4 ผล เนื่องจากคำว่าส้มอ่านออกเสียงว่า “ไต้กิก” ในภาษาจีนแต้จิ๋ว หรือ “เฉิงจึ” ในภาษาจีนกลาง ซึ่งมีความหมายว่าความสุข หรือโชคลาภ ให้เฮง ๆ รวย ๆ โดยญาติผู้ใหญ่ที่รับส้มไปแล้ว ก็จะเก็บเอาไว้ 2 ผล และคืนให้กับคนที่มามอบ 2 ผล เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนความโชคดีให้แก่กัน  ส้มจึงเป็นของขวัญวันตรุษจีนที่สำคัญอย่างหนึ่ง 3.ตุ้ยเหลียน “ตุ้ยเหลียน” หรือป้ายอวยพร มีลักษณะเป็นแผ่นกระดาษสีแดงยาว ๆ มีอักษรภาษาจีนที่เป็นมงคลเขียนอยู่บนป้าย นิยมเขียนเป็นกลอน และหาคำจีนที่คล้องจองกัน ซึ่งต้องออกมาเป็นความหมายที่ดี ตัวอักษรจีนในตุ้ยเหลียน มักเป็นคำอวยพรให้สุขภาพแข็งแรง มีความร่ำรวย มีความสุข และมีชีวิตที่ดี โดยนิยมใช้กระดาษสีแดง และตัวอักษรสีทองในการเขียนอวยพร จึงถือเป็นของขวัญวันตรุษจีนที่ดี 4.ทองคำ ชาวจีนมีความเชื่อกันว่า ทองคำ เป็นตัวแทนของพลัง อำนาจ และโชคลาภ นอกจากจะมีความหมายที่ดีแล้ว ยังเป็นสิ่งที่มีมูลค่า คนส่วนใหญ่จึงนิยมให้ทองคำกัน เพราะทองคำเป็นสิ่งที่ยิ่งเก็บไว้ก็จะยิ่งมีมูลค่าสูงขึ้น  สำหรับทองคำที่คนส่วนใหญ่มักจะมอบให้กัน เป็นของขวัญวันตรุษจีน คือ ทองรูปพรรณ และทองคำแท่ง บางคนก็เลือกทองคำที่มีลวดลายสวยงาม บางคนอาจจะเน้นน้ำหนักทองคำขึ้นอยู่กับความต้องการ และความเหมาะสม 5.หยก นอกจาก ทองคำ ที่ถูกนำมาเป็นของขวัญวันตรุษจีนแล้ว อัญมณีที่ชาวจีนนิยมมอบให้แก่กัน คือ “หยก” เพราะมีความเชื่อว่า “หยก” เป็นทั้งอัญมณีและเป็นหินนำโชคที่อยู่คู่กับชาวจีนมาอย่างยาวนาน เป็นสิ่งที่จะทำให้เกิดความเป็นสิริมงคล นำพามาซึ่งโชคลาภ และให้ชีวิตมีความเจริญรุ่งเรือง   โดยสมัยก่อนชาวจีนมักจะชอบนำหยกไปแกะสลัก เพื่อนำมาทำเป็นหยกประจำตระกูล หยกจึงได้รับความนิยมจากชาวจีนมาตั้งแต่สมัยอดีต จนถึงปัจจุบัน การเลือกให้หยกสวย ๆ สักชิ้น เป็นของขวัญวันตรุษจีนก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี และเป็นที่นิยม 6.พัด “พัด” เป็นสิ่งของที่นิยมให้เป็นของขวัญในวันตรุษจีน เพราะคำว่าพัดอ่านออกเสียงในภาษาจีนว่า “ซ่าน” แปลว่าเมตตากรุณา ถือว่าเป็นความหมายที่ดี และยังเชื่อกันว่า เมื่อนำไปประดับตกแต่งบ้าน จะช่วยพัดเงินทองให้ไหลมาเทมา จึงทำให้พัดเป็นสิ่งมงคลอีกหนึ่งอย่าง ที่มีความสำคัญสำหรับเทศกาลตรุษจีน และเหมาะที่จะให้เป็นของขวัญวันตรุษจีนอีกด้วย 7.ชุดน้ำชา เนื่องจากชาวจีนนิยมดื่มน้ำชากันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะเวลามีเทศกาล หรือมีแขกมาเยี่ยมบ้าน สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ “ชุดน้ำชา” การมอบชุดน้ำชาจึงเป็นสิ่งที่นิยมมอบให้เป็นของขวัญวันตรุษจีน เพราะชุดน้ำชาที่ครบเซ็ตส่วนใหญ่ รวมถึงใบชาเกรดดี ๆจะมีมูลค่าราคาที่แพง คนส่วนใหญ่จึงนิยมมอบชุดน้ำชาให้กัน ไม่เฉพาะแต่เทศกาลตรุษจีนเท่านั้น ยังรวมถึงในโอกาสพิเศษอื่น ๆ ด้วย 8.ขนมมงคลจีน ขนมมงคล ที่มีความหมายที่ดีในวันตรุษจีน เช่น ขนมเข่ง นิยมให้กันเพราะมีรสชาติหวาน ซึ่งเชื่อกันว่าจะทำให้ชีวิตมีความหวาน สมหวังราบรื่น ขนมเทียน เชื่อกันว่าเปรียบเสมือนแสงไฟ หรือแสงเทียน จะช่วยให้ชีวิตมีแต่แสงสว่าง และขนมปุยฝ้าย หรือขนมถ้วยฟู จะช่วยให้ชีวิตเฟื่องฟู และรุ่งเรือง เหมือนกับรูปลักษณ์ของขนม ในช่วงเทศกาลตรุษจีน แนะนำให้ถือขนมมงคลติดไม้ติดมือไปฝากญาติผู้ใหญ่ด้วย เพื่อเป็นการอวยพรอีกอย่างหนึ่ง ถือได้ว่าเป็นของขวัญวันตรุษจีนที่มีความหมายดีและอร่อยด้วย 9.ของใช้ ที่มีสีแดง ชาวจีนเชื่อว่า “สีแดง” เป็นสีแห่งความโชคดี สีแห่งความมงคล จึงนิยมใช้สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ด้วยสีแดง โดยเฉพาะในเทศกาลวันตรุษจีน ที่เป็นเสมือนวันเริ่มต้นอะไรใหม่ ๆ ของชาวจีน สิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ จึงเป็นสีแดงไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า หรือข้าวของเครื่องใช้ เพื่อความเป็นสิริมงคล และต้อนรับวันปีใหม่ เพื่อโชคลาภ ความเจริญรุ่ง   ของทั้ง 9 อย่างดังกล่าว ถือเป็นของมงคล ของที่มีความหมายดี นำมาใช้ในการทำพิธี การประดับตกแต่งบ้าน หรือแม้แต่การมอบให้เป็นของขวัญวันตรุษจีน กับคนที่รักและเคารพ หรือญาติผู้ใหญ่ ยังไงก็หวังว่าในวาระปีใหม่ตามประเพณีจีนนี้ ทุกคนคงประสบความสุข ความสำเร็จ และเฮง ๆ กันตลอดไป   ที่มา - เชียงใหม่นิวส์ ,shopback, medium   บทความที่เกี่ยวข้อง ตรุษจีนนี้ ทำความสะอาดบ้านต้อนรับความเฮง ผลไม้ต้องห้าม ไม่ควรไหว้ตรุษจีน
5 คำถามเริ่มต้นที่ต้องตอบ สำหรับคนที่คิดจะสร้างบ้าน

5 คำถามเริ่มต้นที่ต้องตอบ สำหรับคนที่คิดจะสร้างบ้าน

การมีบ้านสักหลังคงเป็นความฝันของใครหลาย ๆ คน ยิ่งในภาวะปัจจุบัน ที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงมีอยู่  การอยู่บ้านที่มีพื้นที่กว้าง ๆ เพื่อใช้ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน การทำงาน หรือการเรียน เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ต้องการ มากกว่าการอยู่ในห้องคอนโดมิเนียม เป็นทางเลือกที่คนส่วนใหญ่ต้องการ แต่การจะมีบ้านสักหลัง คนส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกซื้อจากดีเวลลอปเปอร์ ที่พัฒนาขึ้นมาขายมากมายหลายรูปแบบ หลายทำเล และระดับราคา แต่ก็มีไม่น้อยเลือกที่จะปลูกสร้างบ้านเอง ตามรูปแบบและขนาดที่ต้องการ โดยเฉพาะเลือกที่จะอยู่ในทำเลเดิมที่คุ้นเคย บนที่ดินของตนเอง แล้วการจะปลูกสร้างบ้านของตนเอง จะต้องเริ่มต้นอย่างไรดี เราจึงมี 5 คำถามสำคัญ สำหรับคนที่ต้องการปลูกสร้างบ้านเอง มาใช้เป็นแนวทางการวางแผน เพื่อให้ได้บ้านที่ถูกใจ ตรงความต้องการของผู้อยู่อาศัยมากที่สุด มาเป็นไอเดียกัน ​ 1.เริ่มต้นด้วยแบบและขนาดเท่าไรดี จุดเริ่มต้นของการสร้างบ้าน คนส่วนใหญ่จะคิดถึงรูปแบบและหน้าตาของบ้าน ว่าตนเองต้องการบ้านสไตล์ไหน หน้าตาบ้านเป็นอย่างไร หลังจากนั้นก็จะลงไปในรายละเอียดของตัวบ้าน ว่าจะต้องมีขนาดพื้นที่เท่าไร มีกี่ห้องนอน มีพื้นที่อะไรบ้าง   ปัญหาที่ต้องเจอหากเริ่มต้นแบบนี้ คือ ความไม่สอดคล้องกันของการใช้งานกับขนาดสัดส่วน รูปร่างหน้าตาของบ้านในภายหลัง  ซึ่งทางออกของปัญหานี้ คงต้องเริ่มจากการสำรวจความต้องการของสมาชิกภายในบ้านก่อน ทั้งความต้องการใช้งานและด้านความสวยงาม เมื่อรวบรวมมาได้ส่วนหนึ่งจะถูกแปลงไปเป็นขนาดพื้นที่ใช้สอย ทำให้ขนาด สัดส่วน รูปร่างหน้าตา สอดคล้องกับการใช้งาน อีกทั้งขนาดพื้นที่ใช้สอยยังสามารถนำมาตั้งต้นประเมินค่าใช้จ่ายในงานออกแบบก่อสร้างอย่างคร่าว ๆ ได้อีกด้วย 2.เตรียมงบประมาณเท่าไรจะพอ เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เป็นหัวใจสำคัญของการปลูกสร้างบ้านของตนเอง เพราะปัญหาที่มักจะพบบ่อยเสมอ คือ งบประมาณบานปลาย จากเดิมที่วางไว้เท่านี้ แต่พอสร้างจริงก็มีค่าใช้จ่ายงอกขึ้นมา โดยเฉพาะหากมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการก่อสร้าง ขนาด หรือวัสดุที่ใช้   โดยเราสามารถประเมินค่าใช้จ่ายในการสร้างบ้านได้ตั้งแต่ต้น ซึ่งตัวเลขเบื้องต้นที่ได้มานั้น จะมีความคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงค่อนข้างมาก แต่จะทำให้เจ้าของบ้านเห็นวงเงินงบประมาณที่ต้องเตรียมเอาไว้ใช้จ่ายได้ในภาพรวมได้ โดยรายละเอียดค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียมไว้ จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ค่าออกแบบ และ ค่าก่อสร้าง   อัตราค่าออกแบบ ส่วนมากจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของค่าก่อสร้าง โดยสมาคมสถาปนิกกำหนดมาตรฐานค่าก่อสร้างบ้านพักอาศัยไว้ที่ 7.5% ของค่าก่อสร้าง โดยค่าออกแบบจะมากหรือน้อย นอกจากจะขึ้นอยู่กับพื้นที่ก่อสร้างแล้วยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ความยากง่ายของแบบ,  ระดับของการให้บริการ, ความน่าเชื่อถือ เป็นต้น  อัตราค่าก่อสร้าง มักจะแตกต่างกันตามข้อจำกัดของสภาพที่ตั้ง สภาพแวดล้อม, ความยากง่ายในงานก่อสร้าง, ค่าจ้างแรงงาน, ค่าวัสดุก่อสร้าง และค่าดำเนินงานของผู้รับเหมา   แต่หากต้องการตัวเลขค่าใช้จ่ายที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากขึ้น จำเป็นจะต้องดำเนินการออกแบบให้แล้วเสร็จก่อน จากนั้นจึงทำการคิดคำนวณค่าก่อสร้างจากการถอดปริมาณวัสดุ และปริมาณเนื้องาน ออกมาจากแบบก่อสร้าง รวมกับค่าดำเนินงานของผู้รับเหมา เพื่อเป็นราคารวมทั้งหมด ซึ่งวิธีนี้เราก็จะได้ค่าก่อสร้างที่ใกล้เคียงความจริง รวมถึงเห็นค่าใช้จ่ายแยกตามรายการงานแต่ละส่วนอย่างชัดเจน หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ BOQ (Bill of Quantity) นั่นเอง 3.เลือกใช้วัสดุอย่างไรในแบบที่ไช่ การเลือกใช้วัสดุ เป็นหนึ่งขั้นตอนในงานออกแบบ ที่ทางสถาปนิกจะทำหน้าที่ช่วยเหลือเจ้าของบ้านหรือเจ้าของงาน เลือกวัสดุเพื่อนำมาใช้ในงานก่อสร้างได้อย่างเหมาะสม ตรงตามความต้องการทั้งด้านการใช้งาน ความสวยงาม และการควบคุมงบประมาณ ในกรณีที่เจ้าของบ้านต้องเลือกวัสดุด้วยตัวเอง ควรศึกษา และทำการเปรียบเทียบคุณสมบัติ ความยากง่ายในการใช้งาน ราคา รวมถึงพิจารณาความยากง่ายในการจัดหามาซ่อมแซมเมื่อเกิดการชำรุดในภายหลังเอาไว้ด้วย   ในปัจจุบันเพื่ออำนวยความสะดวก และเป็นทางเลือกใหม่ให้กับเจ้าของงาน ผู้ผลิตสินค้าวัสดุก่อสร้างจึงมักจะมีบริการสินค้าพร้อมงานติดตั้งในรูปแบบของ Solution งานส่วนต่าง ๆ ของบ้าน ให้เจ้าของงานเลือกใช้แทนการขายแค่ตัววัสดุก่อสร้างเป็นชิ้น ๆ แถมยังมีการรับประกันงานติดตั้ง ช่วยลดความกังวลหลังงานก่อสร้าง เช่น งานมุงกระเบื้องหลังคา, งานติดตั้งประตูหน้าต่างไวนิล, งานจัดสวนปูทางเดิน, งานติดตั้งฉนวนกันความร้อน และ งานปรับปรุงห้องน้ำ เป็นต้น 4.ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะได้อยู่บ้าน การสร้างบ้านสักหลังจะใช้ระยะเวลานานแค่ไหน สามารถพิจารณาจากระยะเวลาที่ใช้ในงานออกแบบ หรือระยะเวลาที่ใช้ในการจัดหาแบบก่อสร้างบ้าน รวมเข้ากับระยะเวลาที่ใช้ในงานก่อสร้างบ้าน โดยปกติสถาปนิกมักจะใช้ระยะเวลาในงานออกแบบบ้านตั้งแต่ 2 เดือนขึ้นไป บ้านบางหลังที่เจ้าของบ้านพิถีพิถันในงานออกแบบอาจจะใช้ระยะเวลาในการออกแบบยาวนานมากกว่าหนึ่งปีเลยทีเดียว   ในส่วนของงานก่อสร้างถ้านับระยะเวลาที่ใช้ตั้งแต่จัดหาผู้รับเหมา ทำเรื่องขออนุญาตก่อสร้างกับทางราชการ จนถึงงานก่อสร้างบ้านแล้วเสร็จ ยกตัวอย่างบ้านที่มีรูปแบบเรียบง่ายไม่มีรายละเอียดงานก่อสร้างที่ซับซ้อน มักจะใช้ระยะเวลาดำเนินงานประมาณ 8-12 เดือน โดยยังไม่รวมระยะเวลาของงานตกแต่งภายในและการจัดสวนรอบบ้าน 5.เจอปัญหากับผู้รับเหมา แก้ไขอย่างไรไม่ให้ปวดหัว ปัญหาส่วนใหญ่ที่เจ้าของบ้านไม่อยากพบเจอในช่วงงานก่อสร้าง คือ งานก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามกำหนด ไม่เป็นไปตามข้อตกลง ผู้รับเหมาทิ้งงาน, คุณภาพงานก่อสร้างไม่ตรงตามความคาดหวัง งานไม่ตรงแบบ งานไม่เรียบร้อย, งานก่อสร้างยืดเยื้อ ปรับแก้แบบหน้างาน ทำให้ค่าใช้จ่ายบานปลาย  ฯลฯ   ปัญหาเหล่านี้มักทำให้งานก่อสร้างสะดุด เจ้าของบ้าน และช่างผู้รับเหมารู้สึกกังวลใจ แต่ปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นสามารถควบคุมดูแลได้ด้วยการมีแบบก่อสร้างคุณภาพดี มีรายละเอียดงานก่อสร้างครบถ้วน, มีคนคอยควบคุมงานก่อสร้างพร้อมมีทีมช่างก่อสร้างที่มีประสบการณ์ เอาใจใส่คอยติดตามตรวจสอบแก้ไขข้อผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนที่จะลุกลามเป็นปัญหาใหญ่ และที่สำคัญเจ้าของบ้าน กับช่างผู้รับเหมาจะต้องรับรู้และมีความเข้าใจเนื้อหาของแบบและงานก่อสร้างไปในทิศทางเดียวกัน มีการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน ต่อกันโดยตลอดระหว่างงานก่อสร้าง เพียงเท่านี้งานก่อสร้างก็จะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น   ทั้งหมดนี้ ก็เป็น 5 คำถามสำคัญสำหรับผู้ที่คิดจะปลูกสร้างบ้านเอง แทนการไปเลือกซื้อจากโครงการบ้านจัดสรรต่าง ๆ หวังว่าจะใช้เป็นแนวทางการวางแผน เพื่อปลูกสร้างบ้านและได้บ้านตามที่ฝันไว้ ที่สำคัญควรปรึกษาและเลือกใช้บริการจากผู้ที่มีประสบการณ์และเชื่อถือได้เสมอ   ที่มา : SCG Home  
สีเดอลต้า  ออกสินค้าใหม่-เพิ่มเครื่องจักรนับ 100  ลุยตลาดสีปี 65 หวังสร้างยอดขายโตต่อเนื่อง

สีเดอลต้า ออกสินค้าใหม่-เพิ่มเครื่องจักรนับ 100 ลุยตลาดสีปี 65 หวังสร้างยอดขายโตต่อเนื่อง

สีเดลต้า ลุยตลาดสีปี 65 ส่งสินค้านวัตกรรมจับตลาดพรีเมียม พร้อมเดินหน้าลงทุนเพิ่มเครื่องจักร 100 เครื่อง ขยายช่องทางขายเพิ่ม หวังปั๊มยอดขายโตต่อเนื่อง หลังปี 64 เข็นบริษัทเข้าตลาด mai และจับมือ เดอะ วอลท์ ดิสนีย์ ประเทศไทย บุกตลาดสีสร้างยอดขายโตทะลุเป้า  ขยายฐานร้านค้าเพิ่มอีก 14%   นายรณฤทธิ์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สีเดลต้า จำกัด (มหาชน) หรือ DPAINT เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2565 ว่า บริษัทยังคงรุกตลาดด้วยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มพรีเมียม ซึ่งเป็นสินค้าที่พัฒนาขึ้นด้วยการใช้นวัตนกรรม ถือเป็นเซกเมนต์ที่ใหญ่ที่สุดของตลาดสีทาอาคาร โดยเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เพิ่มอีก 4 ผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง   นอกจากนี้ ยังวางแผนการขยายเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจเพิ่มมากขึ้น จากที่ผ่านนมา​ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย 2 ราย และขยายช่องทางการจัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการพัฒนาด้านบุคลากร โดยสรรหาผู้ที่มีความสามารถและประสบการณ์มาเสริมทีม   บริษัทยังมีแผนการลงทุน ด้วยการซื้อเครื่องผสมสีเพิ่มอีกจำนวน 100 เครื่อง คิดเป็นสัดส่วน 25% ของจำนวนเครื่องทั้งหมด ดำเนินการวางระบบ ERP ใหม่ เพื่อยกระดับการบริหารทรัพยากรในองค์กรผ่านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ล้ำสมัย ซึ่งคาดว่าจะเริ่มใช้งานจริงได้ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2565 รวมทั้งดำเนินการออกแบบและเตรียมก่อสร้างโรงงานใหม่   นายรณฤทธิ์ กล่าวอีกว่า  สำหรับปี 2565 บริษัทคาดหวังว่าจะเป็นปีแห่งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลให้มีการขยายตัวของอุตสาหกรรมก่อสร้าง ทั้งโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ของภาครัฐ และการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของภาคเอกชน และส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมสีทาอาคาร และจากกลยุทธ์การเปิดตัวผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ จึงคาดว่าเราจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง   สำหรับช่วงปลายเดือนตุลาคม​ 2564 ที่ผ่านมา ​บริษัทสามารถเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ไอ (mai) ซึ่งการเข้าซื้อขายในวันแรกประสบความสำเร็จด้วยราคาหุ้นอยู่ที่  22.50 บาท เหนือจองถึง 200% หรือเพิ่มขึ้น 15 บาท จากราคาไอพีโอ (IPO) ที่ 7.50 บาท ในปี 2564 ถือว่าเป็นปีที่น่าจดจำสำหรับ DPAINT จากความสำเร็จที่เหนือความคาดหมายในการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งส่งผลให้ฐานะทางการเงินของเราแข็งแกร่งขึ้นพร้อมสร้างการเติบโตในอนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ในส่วนของผลประกอบการและยอดขายมีการเติบโตอย่างน่าพอใจ เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งสวนทางกับแนวโน้มของอุตสาหกรรม เนื่องจากทีมทำงานทุกฝ่ายทั้งองค์กรเตรียมพร้อมปรับตัวและรับมือกับสถานการณ์โควิดได้อย่างดี สำหรับยอดขายเติบโตอย่างโดดเด่นในช่วงปีที่ผ่านมา เกิดจากการเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ที่เปิดตัวใหม่  การมุ่งพัฒนาสินค้าในกลุ่มพรีเมียม และขยายจำนวนช่องทางการจัดจำหน่ายตามแผนธุรกิจของบริษัท เพื่อรองรับและเข้าถึงลูกค้าอย่างครอบคลุมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าโมเดิร์นรีเทล และร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม ซึ่งปัจจุบันมีรวมกันมากกว่า 1,000 สาขาทั่วประเทศ   นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวกที่สนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการก่อสร้าง โดยเฉพาะในกลุ่มอสังหาฯ ตลอดจนการเติบโตของการซ่อมแซมปรับปรุงที่อยู่อาศัยในกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป ซึ่งช่วยสนับสนุนความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์สีทาอาคารขยายตัวขึ้นตลอดทั้งปี   โดยในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์สีดิสนีย์ สีเดลต้า เมจิก ชิลด์ ซึ่งเป็นการจับมือกับเดอะ วอลท์ ดิสนีย์ ประเทศไทย และดิสนีย์ โกลบอล ทำงานร่วมกันตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตสี จนถึงการผลิตวิดีโอแอนิเมชัน 3 มิติ เพื่อใช้เป็นสื่อโฆษณา ถือผลิตภัณฑ์ไฮไลท์ที่ปฏิวัติอุตสาหกรรมสีแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ประสบความสำเร็จอย่างสูงมียอดขายสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ รวมถึงมีร้านค้าให้ความสนใจเข้ามาเป็นคู่ค้าใหม่อีกจำนวนมาก โดยมีจำนวนร้านค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้น14% จากปีที่ก่อนหน้า    
เดอะมอลล์ x โตโต้  ปรับโฉมห้องน้ำสาขาท่าพระ  รับวิถีชีวิตยุคโควิด-19

เดอะมอลล์ x โตโต้ ปรับโฉมห้องน้ำสาขาท่าพระ รับวิถีชีวิตยุคโควิด-19

เดอะมอลล์ จับมือ โตโต้ ตอบโจทย์ชีวิตคนเดินห้างยุคโควิด-19  รีโนเวทห้องน้ำ ใช้สุขภัณฑ์อัตโนมัติ สร้างพื้นที่ความสุขมากกว่าการขับถ่าย ขณะที่คนไทยยังเลือกซื้อสุขภัณฑ์ ด้วยการให้ความสำคัญกับ 3 เรื่องหลัก ดีไซน์ ขนาด​และราคา    ปัจจุบันพื้นที่ของ “ห้องน้ำ” ที่อยู่ตามห้างสรรพสินค้า หรือศูนย์การค้าต่าง ๆ ที่ผู้คนเข้าไปใช้บริการจำนวนมาก กลายเป็นพื้นที่สำคัญที่เจ้าของโครงการได้ให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ไม่ต่างจากพื้นที่ขาย แม้ว่า “ห้องน้ำ” จะไม่ใช่พื้นที่สร้างรายได้หรือยอดขาย แต่ถือว่าเป็นพื้นที่สร้างแรงดึงดูดให้คนได้เข้ามาใช้บริการภายในพื้นที่นั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี   เทรนด์นี้จริง ๆ แล้วมีมานานมากพอสมควร เห็นได้จากปั๊มน้ำมันทั่วไป ที่ให้ความสำคัญกับห้องน้ำ มีการทุ่มงบประมาณในการสร้างให้สวยงาม บางแห่งมีการติดเครื่องปรับอากาศ แต่สำคัญที่สุด คือ การดูแลและทำความสะอาดให้ดีอยู่เสมอ ปั้นน้ำมันขนาดใหญ่หลายแห่ง จึงมีการติดข้อความประกาศว่า “ห้องน้ำสะอาด” เพื่อดึงดูดให้คนเข้ามาใช้บริการ   ปัจจุบันการทำให้ห้องน้ำสะอาดน่าใช้บริการ ไม่ใช่แค่เป็นจุดดึงดูดคนให้เข้ามายังพื้นที่เท่านั้น แต่การให้ความสำคัญกับความสะอาดของน้ำ เป็นเรื่องของสุขอนามัย และความปลอดภัย ภายใต้มาตรการด้านการรักษาความปลอดภัยในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้วย เพราะห้องน้ำ คือ จุดสัมผัสที่มีโอกาสเกิดเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ง่าย ไม่เฉพาะไวรัสโควิด-19 เท่านั้น และภายใต้วิถีชีวิตปกติใหม่ (New Normal) คนส่วนใหญ่ไม่ต้องการสัมผัสกับสิ่งของต่าง ๆ การนำเอาเทคโนโลยีแบบ Touchless จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสถานที่ต่าง ๆ ในยุคปัจจุบัน เดอะมอลล์ท่าพระ รีโนเวทใหญ่รอบ 32 ปี เดอะมอลล์ กรุ๊ป ถือเป็นผู้ดำเนินธุรกิจด้านการพัฒนาศูนย์การค้า ที่ได้ให้ความสำคัญกับพื้นที่ของ “ห้องน้ำ” เช่นกัน เพราะถือว่าเป็นพื้นที่หลักแห่งหนึ่งที่ลูกค้าต้องเข้าใช้บริการทุกครั้ง เมื่อเข้ามาซื้อสินค้าหรือใช้บริการภายในศูนย์การค้า เฉลี่ยอย่างน้อยคนละ 2 ครั้งต่อวัน  ทำให้แผนการรีโนเวทศูนย์การค้าเดอะมอลล์ไม่ว่าจะเป็น สาขางามวงศ์วาน ท่าพระ บางแค หรือบางกะปิ มีการดีไซน์พื้นที่ของห้องน้ำให้ทั้งสวย สะอาด มีการใช้งานที่สะดวกสบาย และมีจำนวนที่มากเพียงพอรองรับกับจำนวนลูกค้า   โดยล่าสุด เดอะมอลล์ กรุ๊ป​ ได้คัดเลือกสุขภัณฑ์โตโต้ (TOTO) เข้ามาใช้กับห้องน้ำของเดอะมอลล์ ท่าพระ เป็นสาขาแรก จากก่อนหน้านี้ใช้แบรนด์อเมริกันสแตนดาร์ดมาโดยตลอด รวมถึงการรีโนเวทสาขา งามวงศ์วาน ก็ได้ใช้สุขภัณฑ์ของอเมริกันสแตนดาร์ด   สาเหตุที่เดอะมอลล์ กรุ๊ป เลือกใช้สุขภัณฑ์จากแบรนด์โตโต้ นางเมธินี สุวรรณะบุณย์ ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส เดอะมอลล์ กรุ๊ป เปิดเผยว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้คนส่วนใหญ่ หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขอนามัยกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุขอนามัยในพื้นที่สาธารณะ เช่น ห้องน้ำ ขณะที่แผนการรีโนเวทศูนย์การค้าเดอะมอลล์ ให้ความสำคัญกับพื้นี่ภายในห้องน้ำ จึงเลือกสุขภัณฑ์ที่ลดการสัมผัส และมีคุณภาพมาตรฐานสุขอนามัย เป็นสินค้าที่มีเทคโนโลยี มีระบบอัตโนมัติ จึงเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของโตโต้ เป็นเป็นสินค้าที่ตอบโจทย์ตรงกับศูนย์การค้าเดอะมอลล์   สำหรับแผนการรีโนเวทของเดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้วางงบประมาณไว้ 20,000 ล้านบาท ภายในระยะ 5 ปีดำเนินการภายใต้คอนเซ็ปต์ A HAPPY PLACE TO LIVE LIFE : ชีวิตที่มีความสุขทุกครอบครัว ปัจจุบันรีโนเวทแล้วเสร็จ 2 ศูนย์การค้า คือ สาขางามวงศ์วาน และสาขาท่าพระ ซึ่งสาขาท่าพระเป็นสาขาล่าสุดที่เปิดให้บริการหลังจากการรีโนเวทมาได้ 1 ปี ภายใต้การออกแบบตกแต่งภายในด้วยคอนเซ็ปต์ URBAN PLAYGROUND สร้างพื้นที่แห่งความสนุก สุขทุการใช้ชีวิตสำหรับทุกคนในครอบครัว  ด้วยงบประมาณการลงทุน 3,000 ล้านบาท บนพื้นที่ 150,000 ตารางเมตร ถือเป็นการรีโนเวทครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 32 ปีนับตั้งแต่สาขาท่าพระเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2532 คนมาเดินห้างเฉลี่ยวันละ 2-3 ชั่วโมงในวันหยุด และประมาณ 1.30 ชั่วโมงในวันธรรมดา และใช้ห้องน้ำอย่างน้อย 2 ครั้ง เข้าเมื่อมาถึงและเข้าก่อนออกจากห้าง ซึ่งสิ่งที่ลูกค้าต้องการคือ ห้องน้ำสะอาด และมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบโจทย์ชีวิตนิว นอร์มอล โตโต้ แนะ 2 เรื่องเลือกซื้อสุขภัณฑ์ให้คุ้มค่า ด้านนายทาคายะสุ ชิมาดะ ประธานบริษัท โตโต้ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า  คนไทยส่วนใหญ่เลือกซื้อสุขภัณฑ์โดยพิจารณาจาก 3 เหตุผลหลัก​​​ ได้แก่  1.ดีไซน์ 2.ขนาดของสุขภัณฑ์ และ 3.ราคา  แต่ความจริงหลักการเลือกสุขภัณฑ์ที่ดีนั้น ควรเลือกจาก 2 เหตุผลนี้ คือ 1.การฟลัชน้ำครั้งเดียวต้องสะอาด และ 2.สุขภัณฑ์ต้องทำความสะอาดง่าย 1.การฟลัชน้ำครั้งเดียวต้องสะอาด เพราะตามปกติในชีวิตปกติประจำวัน คนจะใช้ห้องน้ำเฉลี่ยวันละ 1-2 ครั้งเป็นอย่างน้อย หากสุขภัณฑ์ไม่ประหยัดน้ำ หรือกดครั้งเดียวไม่สะอาด ก็จะทำให้สูญเสียน้ำต่อวันเป็นจำนวนมาก เพราะการกดน้ำเพื่อชำระสิ่งสกปรก 1 ครั้งจะต้องใช้น้ำประมาณ 6 ลิตร หากกดฟลัชแล้วไม่สะอาดจะทำให้การใช้น้ำมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น การใช้สุขภัณฑ์ที่สามารถฟลัชน้ำเพียงครั้งเดียวแล้วสะอาด จะช่วยทำให้ประหยัดน้ำ และยังทำให้ถูกสุขลักษณะทีดี 2.สุขภัณฑ์ต้องทำความสะอาดง่าย สุขภัณฑ์ที่ดี วัสดุจะต้องทำความสะอาดได้ง่าย หรือจะไม่มีสิ่งปฏิกูลเกาะติดได้ง่าย ซึ่งคุณสมบัติที่ดีอย่างแรก คือ เมื่อฟลัชน้ำแล้วสามารถชำระสิ่งปฏิกูลออกไปได้ทั้งหมด หลังจากนั้นการใช้งานตามปกติ หากต้องมีการทำความสะอาดจะต้องทำความสะอาดได้ง่าย วัสดุต้องไม่เกิดคราบสกปรกหรือคราบฝังแน่นได้ง่าย  ส่วนเรื่องราคาและดีไซน์ เป็นเรื่องที่ตามมาเป็นโจทย์ที่ผู้บริโภคจะต้องพิจารณาให้ดี ซึ่งการซื้อสุขภัณฑ์ที่มีราคาถูกอาจจะไม่ได้คุณสมบัติในการช่วยประหยัดน้ำ หรือดีไซน์ที่สวยงามแต่การใช้งานไม่ได้ฟังก์ชั่นอื่น ก็อาจจะทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมภายหลัง   ทั้ง 2 เรื่องดังกล่าว จึงเป็นโจทย์ทางการตลาด ที่ทางโตโต้ต้องการสื่อสารและสร้างความเข้าใจให้กับผู้บริโภคคนไทย จึงทำให้เกิด Restroom Revolution แคมเปญการตลาดและการสื่อสารการตลาด ที่ทำอย่างไรให้การใช้สุขภัณฑ์ได้อย่างมีความสุข ซึ่งเริ่มทำมาตั้งแต่ปี  2563 มาจนถึงปัจจุบัน และในปี 2565 ยังเป็นแคมเปญการตลาดที่ทำต่อเนื่องด้วย ซึ่งหนึ่งเรื่องสำคัญของแคมเปญดังกล่าว คือ การปรับปรุงพื้นที่ห้องน้ำในสถานที่ต่าง ๆ เพื่อการใช้ห้องน้ำให้เป็นพื้นที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่เรื่องการขับถ่าย นอกจากนี้ โตโต้ยังวางแผนขยายฐานลูกค้าไป ยังกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ เพิ่มเติมไม่ว่าจะเป็นช้อปปิ้งมอลล์ ห้างสรรพสินค้า จากเดิมที่โฟกัสและทำตลาดในกลุ่มคอนโดมิเนียมและโรงแรมเป็นหลัก    
10 จุดตรวจเช็คสุขภาพบ้าน เพื่อยืดอายุการใช้งานให้ยาวนาน

10 จุดตรวจเช็คสุขภาพบ้าน เพื่อยืดอายุการใช้งานให้ยาวนาน

สิ่งหนึ่งที่จะทำให้ร่างกายคนเราแข็งแรงและมีสุขภาพดีได้ คือ การตรวจร่างกายประจำปี เพราะจะทำให้เรารู้ว่าร่างกายเรามีอะไรต้องดูแล  ซ่อมแซม หรือฟื้นฟูให้กลับมาเป็นปกติ หรืออย่างน้อยก็ไม่ให้เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา สำหรับบ้านพักอาศัยที่เราอยู่ ก็ไม่ได้ต่างจากร่างกายมนุษย์  การจะทำให้บ้านยังมีความมั่นคงแข็งแรง และมีสภาพการใช้งานที่ดีอยู่เสมอ ก็ต้องมีการตรวจสุขภาพบ้านด้วยเช่นกัน เพราะจะได้รู้ว่ามีส่วนไหนต้องซ่อมแซม และดูแล เพื่อให้บ้านมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน อายุบ้านกับจุดที่ต้องดูแล สำหรับบ้านที่ก่อสร้างมา มีจุดการตรวจสอบแตกต่างกันเป็นพิเศษบ้าง ตามระยะเวลาหรืออายุของตัวบ้าน ดังนี้ -บ้านที่มีอายุ 0-5 ปี ปัญหาที่พบส่วนใหญ่มักเกิดจากความบกพร่องของการก่อสร้าง เรียกว่า Defect อาทิ การแตกร้าวของผนังจากการฉาบ หรือเลือกใช้ปูนฉาบที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือความบกพร่องของอุปกรณ์ภายในบ้านที่มาจากการติดตั้งไม่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้ อาจพบปัญหาดินรอบบ้านทรุดตัว จนเกิดโพรงใต้บ้าน ซึ่งหากเป็นบ้านในโครงการและอยู่ในช่วงรับประกัน ให้สอบถามทางโครงการว่าปัญหานี้อยู่ในเงื่อนไขการรับประกันหรือไม่ แต่หากเป็นบ้านสั่งสร้างก็อาจจะพิจารณาซ่อมแซมเป็นจุด ๆ ไป -บ้านที่มีอายุ 5-15 ปี เป็นช่วงเวลาควรเริ่มทำการตรวจสอบและบำรุงรักษา ซึ่งหากแก้ไขได้ทันจะช่วยลดการเกิดปัญหาที่อาจบานปลายในอนาคตได้ โดยเน้นตรวจ 3 จุดสำคัญ ได้แก่ ภายนอกบ้าน, ภายในบ้าน และโครงสร้างของบ้าน 10 จุดตรวจสุขภาพบ้าน 1.รอยร้าวที่ผนังบ้าน การตรวจสอบ: สามารถตรวจสอบได้ด้วยตา โดยจะเห็นรอยร้าวขนาดเล็กแตกยาวไปมาแบบไร้ทิศทาง สร้างความเสียหายให้ผนังและสีภายนอก โดยเฉพาะทิศที่ได้รับความร้อนจากแสงแดดตลอดวัน เช่น ทิศใต้ และทิศตะวันตก รอยร้าวชนิดนี้ไม่อันตราย ไม่ส่งผลกับโครงสร้างอาคาร แต่ถ้าปล่อยไว้นานอาจเป็นสาเหตุให้เกิดการรั่วซึมของน้ำฝนเข้าสู่อาคารได้ การแก้ไข: แก้ไขได้โดยแต่งรอยแตกร้าวให้กว้างขึ้นเล็กน้อยเป็นรูปตัววี พร้อมทำความสะอาดให้เรียบร้อย หลังจากนั้นทำการทารองพื้นปูนเก่า และเก็บรอยร้าวด้วยวัสดุอุดโป้วที่มีความยืดหยุ่นสูง ก่อนทาสีทับหน้าชนิดยืดหยุ่นตามระบบการทาสีที่ถูกต้อง   แต่หากเป็นรอยเพียงเท่าเส้นผมให้ทาสีทับหน้าชนิดยืดหยุ่นตัวสูงทาทับปิดรอยแตกร้าวได้เลย 2.การรั่วซึมที่ผนัง การตรวจสอบ: รอยรั่วบริเวณมุมประตูหน้าต่างมักมาพร้อมรอยแตกร้าวบริเวณมุมวงกบ ทำให้น้ำรั่วซึมเข้าบ้าน  อาจเกิดจากไม่ได้ใส่ลวดกรงไก่ จึงสร้างรอยร้าวเวลาใช้งานประตูหรือหน้าต่าง การแก้ไข: ควรใส่ลวดกรงไก่เพื่อป้องกันรอยแตกร้าวอันเป็นสาเหตุรั่วซึม 3.รอยรั่วบริเวณรอยต่อผนังชนท้องคาน การตรวจสอบ: แตกร้าวเป็นเส้นระหว่างใต้คานกับผนัง ทำให้น้ำฝนไหลเข้าตัวบ้าน สาเหตุมักเกิดตั้งแต่ขั้นตอนการก่อสร้าง การผิดขั้นตอน หรือเร่งฉาบปูนเร็วเกินไป ทำให้ปูนเกิดการหดตัวลง การแก้ไข: ใช้ซิลิโคน หรืออครีลิกยิงเข้าไประหว่างร่อง ความยืดหยุ่นของสารเชื่อมประสานจะช่วยอุดรอยร้าวได้ 4.รอยรั่วบริเวณรอยต่อแนวดิ่งข้างเสา สาเหตุอาจเกิดจากการเก็บงานรอยต่อจุดนี้ไม่ดี หรือร้ายแรงหน่อยคือ ไม่ได้เสียบเหล็กหนวดกุ้งระหว่างเสากับผนังบ้าน การตรวจสอบ : จุดรอยรั่วบริเวณรอยต่อแนวดิ่งข้างเสา การแก้ไข:  สกัดรอยแตกร้าวให้ใหญ่ขึ้นเป็นรูปตัววี จากนั้นยาด้วย PU แล้วทาสีเก็บความเรียบร้อย และควรใส่เหล็กหนวดกุ้งทุกครั้งในการก่อผนังชนเสา 5.การทรุดตัวของดินและพื้นรอบบ้าน การตรวจสอบ: หลังจากที่พบการทรุดตัวของดินรอบบ้านในช่วง 5 ปีแล้วนั้น ปัญหาที่มักตามมาคือ ปัญหาพื้นรอบบ้านและพื้นจอดรถมีการทรุดตัวเสียหาย เป็นเพราะพื้นส่วนนี้ส่วนใหญ่มักไม่ได้ทำการลงเสาเข็ม หรือเป็นการลงเสาเข็มแบบสั้นที่อาศัยแรงฝืดในชั้นดินช่วยพยุงน้ำหนักของพื้นไว้ และเมื่อเวลาผ่านไปพื้นดินมีการทรุดตัวตามธรรมชาติ ทำให้เกิดความเสียหายตามมา  โดยหากหากเป็นพื้นคอนกรีตจะเริ่มจากการสังเกตเห็นว่ามีระดับที่เอียงผิดปกติ และหากมีการทรุดมากขึ้น จะเห็นรอยแตกร้าวบริเวณพื้นตามมา การแก้ไข : หากเป็นพื้นจอดรถควรทำการลงเข็ม เพื่อช่วยลดการทรุดตัวในอนาคต และควรแยกขาดจากตัวบ้านเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายในกรณีที่มีการขยับตัวของโครงสร้าง 6.ตรวจสอบหลังคาเพื่อป้องกันสัตว์เล็ก ปัญหาสัตว์เล็กทำลายหลังคา ทั้งกัดกินโครงสร้างและเข้ามาทำรัง ซึ่งสัตว์เล็ก ๆ เหล่านี้คือตัวการที่ทำให้หลังคาบ้านโดนทำลาย ผุพังง่าย ก่อความรำคาญทั้งกลิ่นและเสียง รวมถึงทำให้บ้านสกปรก การตรวจสอบ: ครอบข้าง  อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ไม่พบช่องว่าง, สันหลังคา  ไม่ชำรุด เเตกร้าว, เชิงชายอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ไม่แตกหัก, สันตะเข้  อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ไม่พบช่องว่าง, ครอบปิดปลายสันตะเข้ อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ไม่พบช่องว่าง และ ฝ้าชายคา ไม่ชำรุด เเตกหักเสียหาย การแก้ไข: ติดตั้งระบบหลังคากันสัตว์เล็ก SCG เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้สัตว์ต่างๆ เข้ามาทำลายโครงสร้างหลังคาหรือเข้ามาอยู่อาศัยได้ ประกอบไปด้วยอุปกรณ์ 5 ชนิด ช่วยป้องกันจุดเสี่ยง 5 จุดด้วยกัน ได้แก่  แผ่นปิดครอบข้าง  แผ่นปิดครอบสันหลังคา  แผ่นปิดเชิงชาย แผ่นปิดครอบสันตะเข้  แผ่นปิดปลายสันตะเข้ 7.การรั่วซึมที่หลังคา การตรวจสอบ: สังเกตรูปทรงหลังคาว่าได้ระดับ มีความสมมาตรดีหรือไม่ กระเบื้องมุงหลังคาติดตั้งได้แนว ไม่เผยอ ไม่มีรอยแตกร้าว, ครอบหลังคาทั้งแนวสันหลังคาและตะเข้สันปิดมิดชิด  ถ้าครอบเปียกให้สังเกตว่าปูนใต้ครอบมีรอยร้าวหรือไม่ เพราะเป็นจุดที่น้ำซึมผ่านได้, มองหาคราบน้ำบนฝ้าชายคาว่ามีหรือไม่ และลองเปิดฝ้าเพดานชั้นบนแล้วสังเกตดูว่ามีช่องของแสง หรือคราบน้ำในโถงหลังคาหรือไม่ การแก้ไข : ปรึกษาช่างผู้ชำนาญและมีประสบการณ์ 8.พื้นไม้กับปัญหาเรื่องปลวก การตรวจสอบพื้นที่ภายในบ้าน การตรวจสอบ: ตรวจสอบพื้นไม้ภายในบ้านว่ายังใช้งานได้ดี มีปัญหาเรื่องปลวกหรือไม่ ตรวจพบมีรอยทางเดินปลวกภายในบ้าน, ตรวจพบเศษปีกหรือมูลของแมลงเม่าภายในตัวบ้าน, ประตูหน้าต่างที่เป็นไม้เมื่อใช้งานเริ่มฝืดและเปิดยากขึ้น และได้ยินเสียงปลวกที่กำลังกินไม้อยู่ การแก้ไข: ควรเรียกบริษัทกำจัดปลวกมาทำการฉีดพ่นน้ำยาทั้งภายนอกและภายในบ้าน ทุก 1-3 ปี หรือ เลือกใช้วิธีเพาะเชื้อ เพื่อความปลอดภัยกับสุขภาพของผู้อยู่อาศัย  9.พื้นกระเบื้องเซรามิค การตรวจสอบ:พื้นกระเบื้องเมื่อใช้งานไปนาน ๆ อาจเกิดปัญหากระเบื้องหลุดร่อน หรือยาแนวหลุดวิธีแก้ปัญหาเบื้องต้นสามารถทำการแก้ไขเป็นจุด ๆ ได้ การแก้ไข: แนะนำว่าให้เตรียมซื้อกระเบื้องเซรามิคในเฉดสีเดียวกันสำรองไว้ เผื่อต้องการปรับปรุงหรือซ่อมแซมในบางจุด เพราะหากดำเนินการซื้อภายหลังอาจทำให้เฉดสีกระเบื้องแตกต่างกันได้ หรือบางรุ่นอาจไม่ทำการผลิตแล้ว อาจจะเช็คกับทางบริษัทผู้ผลิต เพื่อตรวจสอบกระเบื้องรุ่นที่เคยซื้อมาว่ายังมีหรือไม่  10.การตรวจสอบโครงสร้างของบ้าน รอยแตกร้าวที่อันตรายกับโครงสร้าง จะมีรูปแบบรอยแตกร้าวที่มีขนาดใหญ่ ในตำแหน่งโครงสร้าง เช่น เสา คาน พื้น ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าโครงสร้างของบ้านอาจมีปัญหา และไม่ปลอดภัยสำหรับผู้อยู่อาศัย การตรวจสอบ: พบรอยแตกร้าวขนาดใหญ่ที่ตำแหน่งเสา คาน พื้น ร้ายแรงหน่อยอาจเห็นเหล็กเสริมภายในโครงสร้าง, พบรอยแตกร้าวหรือรอยแตกเฉียง 45 องศาที่ผนัง, พบรอยแยกแตกแยกระหว่างโครงสร้างบ้านเดิมกับส่วนต่อเติม, พบเหล็กเส้นที่ตำแหน่งท้องพื้นชั้นดาดฟ้า และพบการล้มเอียงของพื้น หรือผนังของตัวบ้าน การแก้ไข: แนะนำให้ปรึกษาวิศวกรโครงสร้างเพื่อทำการแก้ไข   ทั้งหมดนี้ก็เป็นการตรวจสุขภาพบ้านทั้ง 10 จุดที่สำคัญ ซึ่งมักจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับบ้านที่ปลูกสร้างมาเป็นระยะเวลานาน ๆ และเป็นปัญหาที่มีผลต่อโครงสร้างของความมั่นคงแข็งแรง เราจึงควรหมั่นตรวจสอบและดูแลเป็นประจำทุก ๆ ปี โดยเฉพาะหลังจากหมดฤดูฝน หรือก่อนเข้าสู่ฤดูฝน เพราะบางปัญหาอาจจะลุกลามใหญ่โตได้ หากโดยน้ำฝน เช่น ปัญหารั่วซึมของโครงสร้างหลังคา หรือรอยร้าวของผนังบ้าน เป็นต้น   ที่มา SCG HOME  
Cerocco บางนา 36 คอนโดใหม่จาก CMC เริ่มต้น 1.49 – 2.8 ลบ.

Cerocco บางนา 36 คอนโดใหม่จาก CMC เริ่มต้น 1.49 – 2.8 ลบ.

CMC เปิดตัวคอนโดใหม่ Cerocco บางนา 36 ราคาเริ่มต้น 1.49 - 2.8 ล้านบาท กระแสตอบรับดีเกินคาด ยอดจองแรงทะลุ ONLINE TRIAL SALE พร้อม OPEN HOUSE เร็วๆ นี้ บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน) พัฒนาโครงการใหม่บนทำเลศักยภาพย่านบางนา ตรงข้ามศูนย์การค้า เซ็นทรัล บางนา เป็นโปรเจคแรก ภายใต้ชื่อโครงการ “Cerrocco Bangna 36 (ซีร็อคโค บางนา 36)” เป็นคอนโดมิเนียม Low Rise 8 ชั้น 4 อาคาร จำนวน 752 ยูนิต มูลค่า 1,390 ล้านบาท มอบราคายูนิตพิเศษ 1.49 ล้านบาท จากราคา 1.89 ล้านบาท เปิดจองสิทธิรอบ Online Trial Sale มีลูกค้าสนใจลงทะเบียนจองสิทธิทะลุเป้ากว่า 50%  ซึ่งขณะนี้ทางโครงการได้ดำเนินการเร่งเตรียมเปิดสำนักงานขายเพื่อรองรับลูกค้าที่สนใจ Walk- In เยี่ยมชม พร้อมกับเตรียมแผนจัดงาน Open House เร็วๆ นี้     โครงการ “Cerrocco Bangna 36 (ซีร็อคโค บางนา 36)” คอนโดมิเนียมใหม่ ตรงข้าม Central Plaza บางนา ออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ Moroccan ในคอนเซ็ป “The Oasis Of Bangna” สัมผัสกลิ่นอายการอยู่อาศัยสไตล์รีสอร์ทในทุกวัน มีห้องพักให้เลือกแบบ 1 Bedroom ครัวปิดแยกส่วนทุกยูนิต ขนาด 25.26 - 37.82 ตารางเมตร     เพียบพร้อม Facilities มากมาย เช่น Oasis Pool ขนาด 5.5 * 25 เมตร จำนวน 2 สระ, Fitness, Co-Working Space, Passion Studio Room และ Sauna แยกชาย-หญิง สะดวกทุกการเดินทางใกล้รถไฟฟ้า BTS บางนา /MRT ศรีเอี่ยม และทางด่วน 2 สาย ซึ่งโครงการตั้งอยู่ฝั่งขาเข้าของถนนบางนา-ตราด ทำให้เดินทางเข้าใจกลางเมืองได้สะดวก ที่สำคัญใกล้กับโรงพยาบาลบางนา 1 และอยู่ตรงข้ามกับศูนย์กลางค้า Central Plaza บางนา และ Big C บางนา รวมถึงใกล้ Mega บางนา, ไบเทค บางนา, อาคารสำนักงานขนาดใหญ่, โรงพยาบาลเอกชน และสถานศึกษาชั้นนำทั้งหลักสูตรไทยและนานาชาติ ซึ่งคาดว่าจะดำเนินก่อสร้างแล้วเสร็จภายในปี 2566   ข้อมูลรายละเอียดโครงการเพิ่มเติมที่ FB Page: Cerocco Bangna Website: www.CMC.co.th สอบถามโทร.1172 กด 36   บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ แบงก์ช่วยลูกหนี้สินเชื่อบ้านโดนพิษโควิด-19 6 ไฮไลท์ศูนย์ฯ สิริกิติ์โฉมใหม่ ที่พร้อมใช้งาน ก.ย.65  
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ลุยธุรกิจผลิต-สกัด CBD จากกัญชง  ลงทุน 25% ใน “ไทย ลีฟ ไบโอเทคโนโลยี”

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ลุยธุรกิจผลิต-สกัด CBD จากกัญชง ลงทุน 25% ใน “ไทย ลีฟ ไบโอเทคโนโลยี”

“ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” ตอกย้ำวิสัยทัศน์ NEXT LEVEL ส่งบริษัทลูก ออริจิ้น เฮลท์แคร์ ลงทุนในบริษัทผลิตและสกัด CBD จากกัญชง รับเมกะเทรนด์โลก เดินหน้าลงทุน “ไทย ลีฟ ไบโอเทคโนโลยี” ในสัดส่วน 25% ต่อยอดธุรกิจความงาม-ธุรกิจเฮลท์แคร์ในเครือ เพื่อจำหน่ายในกลุ่มธุรกิจอาหาร-เครื่องดื่ม-ยา-เวชสำอาง     นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า หลังเดินหน้าธุรกิจตามแผน ORIGIN NEXT LEVEL ด้าน Business Expansion ขยายสู่ธุรกิจใหม่ โดยจัดตั้งบริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด เป็นบริษัทหลักในการดำเนินกลุ่มธุรกิจบริการสุขภาพ (Healthcare) ล่าสุด บริษัทได้นำออริจิ้น เฮลท์แคร์ เข้าลงทุนในบริษัท ไทย ลีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจด้านการผลิต และสกัด CBD จากกัญชง ที่มีพันธมิตรแข็งแกร่งจากทั้งออสเตรเลีย แคนาดา และสหรัฐอเมริกา โดยภายหลังการจดทะเบียนเพิ่มทุนของไทย ลีฟ บริษัทจะถือหุ้นในสัดส่วน 25% ของหุ้นสามัญทั้งหมด รองรับการขยายตัวของตลาดผลิตภัณฑ์จากสารสกัด CBD จากกัญชงที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง “สารสกัด CBD จากกัญชงถือเป็นเมกะเทรนด์ของโลกที่น่าจับตามอง เนื่องจากมีสรรพคุณทางการแพทย์และสามารถนำมาต่อยอดกับผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย เฉพาะในสหรัฐอเมริกา คาดว่ายอดขายผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับสารสกัด CBD จากกัญชงจะมีมูลค่ากว่า 1,200 ล้านเหรียญสหรัฐในปีหน้า มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย หรือ CAGR ที่ 27% ในไทยก็เองเริ่มเห็นแนวโน้มการนำมาประยุกต์ใช้กับหลากหลายผลิตภัณฑ์มากขึ้น เราจึงมองหาช่องทางต่อยอดธุรกิจนี้ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจเฮลท์แคร์ของเราในระยะยาว”     ไทย ลีฟ ไบโอเทคโนโลยี ดำเนินธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสารสกัด CBD จากกัญชง เช่น น้ำมัน CBD จำหน่ายให้แก่บริษัทยา บริษัทอาหารและเครื่องดื่ม ที่มีความต้องการใช้น้ำมัน CBD เป็นส่วนผสมในผลิตภัณฑ์ การต่อยอดสร้างผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพของตัวเอง ขณะที่ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จะนำสารสกัด CBD มาประยุกต์ใช้กับธุรกิจกลุ่มเฮลท์แคร์ในหลากหลายด้าน เช่น ใช้เป็นส่วนผสมเครื่องสำอางในธุรกิจความงาม ใช้เพื่อช่วยส่งเสริมการนอนหลับ เมื่อมีการทำ Sleep Test คาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ CBD ในปี 2566 ด้านนายยิ่งยศ จารุบุษปายน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย ลีฟ ไบโอเทคโนโลยี จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทได้รับอนุญาตให้ดำเนินธุรกิจนำเข้าเมล็ดพันธุ์และเพาะปลูกกัญชง และได้รับอนุมัติแบบก่อสร้างโรงงานสกัด CBD ตามมาตรฐาน GMP Pic/s (Pharmaceutical) จากทางคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) แล้ว และได้เริ่มดำเนินการก่อสร้างแล้ว เมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา  นอกจากนี้ยังได้รับการเข้าร่วมลงทุนจากพันธมิตรหลากหลายกลุ่มทั้งไทยและต่างประเทศ รวมถึงการเข้าลงทุนจากเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ คาดว่าจะมีการแถลงข่าวทิศทางธุรกิจร่วมกับพันธมิตรทั้งไทยและต่างชาติทั้งหมดในวันที่ 13 ธ.ค.นี้   เรามีพันธมิตรทั้งด้านการเพาะปลูก การสกัด การวิจัยและพัฒนา การดำเนินงาน ไปจนถึงการสร้างผลิตภัณฑ์ ด้วยเครือข่ายที่รอบด้านทั้งในไทยและระดับสากล จะนำไปสู่โอกาสการเติบโตที่สำคัญ  
คอตโต้ เผย 5 ดีไซน์เทรนด์สุขภัณฑ์หลังโควิด  กับ 2 ความท้าทายหลังเปิดประเทศ

คอตโต้ เผย 5 ดีไซน์เทรนด์สุขภัณฑ์หลังโควิด กับ 2 ความท้าทายหลังเปิดประเทศ

ตั้งแต่เกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 คนส่วนใหญ่ก็อยู่อาศัยในบ้านมากขึ้น สิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องทำเมื่อต้องอยู่บ้านมากขึ้น หรือต้องอยู่กับสมาชิกในบ้านหลายคน คือ การจัดสรรพื้นที่ความเป็นส่วนตัว หรือพื้นที่ในการทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว คงไม่สามารถทำงานได้อย่างราบรื่น   นอกจากพื้นที่ส่วนตัวหรือพื้นที่สำหรับการทำงานแล้ว  ห้องน้ำ ก็เป็นอีกหนึ่งห้องที่ถูกปรับปรุงให้สะดวกต่อการใช้งานมากขึ้น เพราะเมื่อคนหลายคนมาอยู่รวมกัน การใช้ห้องน้ำก็ต้องรองรับสมาชิกทั้งครอบครัวได้อย่างสะดวกสบาย และถูกสุขลักษณะด้วย เพราะห้องน้ำถือเป็นหนึ่งสถานที่ที่สามารถเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ง่าย   แม้ว่าพื้นที่หรือห้องทำงานและห้องน้ำ จะเป็น 2 ห้องหลักที่คนในยุคโควิด-19 เลือกจะปรับปรุงให้พร้อมใช้งานได้ดี ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ต้องเผชิญอยู่กับการแพร่ระบาดของเชื้อโรค แต่ก็ไม่ได้ทำให้ตลาดวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะตลาดก๊อกน้ำและสุขภัณฑ์สามารถเติบโตได้ เพราะภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อโดยรวมชะลอตัว โดยในปีนี้ประเมินว่าภาพรวมตลาดน่าจะลดลง 5% มีมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท   นายอนุวัตร เฉลิมไชย Head of Ceramics Business ในธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี ประเมินว่า จากทิศทางการเปิดประเทศตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป เชื่อว่าทุกภาคส่วนจะร่วมกันผลักดันให้ภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว ซึ่งจะทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจของไทยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลดีต่อกำลังซื้อของประชาชน และทำให้ภาพรวมของธุรกิจก๊อกน้ำและสุขภัณฑ์ในปี 2565 น่าจะกลับมาฟื้นตัวและเติบโตได้อย่างน้อย 2% จากปีนี้ที่ติดลบไป ความท้าทายตลาดก็อกน้ำและสุขภัณฑ์หลังโควิด-19 แม้ว่าภาพรวมและแนวโน้มเศรษฐกิจจะไปในทิศทางที่ดี จากการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ แต่สถานการณ์ทุกอย่างแปรผันได้ตลอดเวลา และความไม่แน่นอนเกิดขึ้นเสมอ ทำให้ในปี 2565 ตลาดสุขภัณฑ์และก๊อกน้ำยังคงมีความท้าทายที่จะต้องเผชิญและต้องฟันฝ่าไปให้ได้ด้วย   นายกิตติพงษ์ โพธิ์ธรานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามซานิทารีแวร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสุขภัณฑ์ชั้นนำภายใต้แบรนด์คอตโต้ กล่าวว่า ความท้าทายของบริษัทในการดำเนินธุรกิจปี 2565 มี 2 เรื่องสำคัญ คือ  1. ต้นทุนพลังงานที่ปรับตัวสูง และ 2. การเข้าไปทำตลาดในอาเซียน ซึ่งแนวทางที่บริษัทวางแผนรับมือในเรื่องของต้นทุนพลังงานที่ปรับตัวสูง คือ การบริหารจัดการระบบซัพพลายเชนด้านพลังงาน การควบคุมต้นทุนการผลิต และการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่น การติดตั้งโซลาร์ลูฟ เพื่อนำมาใช้ลดการใช้พลังงานไฟฟ้า ส่วนการทำตลาดในอาเซียน ได้เน้นการสร้างแบรนด์และสร้างการรับรู้ในผลิตภัณฑ์มากขึ้น รวมถึงการร่วมมือกับกลุ่มเอสซีจีที่ได้ขยายตลาดไปในประเทศต่าง ๆ ของอาเซียน เช่น ในอินโดนีเซียร่วมกับพันธมิตรของเอสซีจี ขยายช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอตโต้ เป็นต้น   โดยในปี 2565 บริษัทคาดว่าจะสามารถทำยอดขายได้เติบโต 10% จากปีนี้ที่คาดว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์ก๊อกน้ำและสุขภัณฑ์จะมียอดขาย 3,800-3,900 ล้านบาท เติบโตเพียงเล็กน้อยจากปีที่ผ่านมา โดยกลยุทธ์และแผนสร้างการเติบโตต่อเนื่องของบริษัทในช่วง 2-3 ปีนับจากนี้ คือ 1.การทำตลาดและตอกย้ำในความเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์กลุ่มสมาร์ทและไฮยีน 2.การขยายตลาดไปยังประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน เพิ่มมากขึ้น และ 3.การลงทุนพัฒนาโรงงานด้วยเทคโนโลยีและเป็นมิตรสิ่งแวดล้อมมากขึ้น  5 ดีไซน์เทรนด์รักษาผู้นำสมาร์ท-ไฮยีน แนวทางในการตอกย้ำความเป็นผู้นำของกลุ่มสินค้าสมาร์ทและไฮยีน คือ การทุ่มงบประมาณด้านการพัฒนาและวิจัยมากถึง 3% ของยอดขาย เพื่อศึกษาเทรนด์ของตลาดและผู้บริโภค ซึ่งเปลี่ยนแปลงอยู่ตลาดเวลา โดยเฉพาะช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีปัจจัยด้านการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เข้ามากระตุ้นให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วด้วย โดยเฉพาะด้านการรักษาสุขภาวะอนามัยที่ดี สำหรับผลวิจัยล่าสุดด้านเทรนด์ของคอตโต้ ได้ถูกสะท้อนออกมากับงานดีไซน์ของผลิตภัณฑ์ ​ 5 ห้อง 5 ดีไซน์เทรนด์ ดังนี้ ​ 1.RE-VITAL เทรนด์ที่ผสานระหว่างเทคโนโลยีกับความเรียบง่าย เป็นเทรนด์สำหรับยกระดับความสุขทั้งกายและใจ รี-ไวทัลเป็น Gen Y ที่กล้าลอง และเปิดใจรับเทคโนโลยีใหม่ แต่ต้องใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน เน้นดีไซน์ที่เป็นมิตร เรียบง่าย อย่างสุขภัณฑ์ VERZO ที่มีนวัตกรรม ULTRA CLEAN+ ยับยั้งแบคทีเรียได้เอง 99% ใน 24 ชั่วโมง เรียกว่าทุกชิ้นต้องดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ของสมาชิกในครอบครัวได้จริง 2.RE-BALANCE เทรนด์ความสมดุลระหว่างมนุษย์ เทคโนโลยี และธรรมชาติ เป็นเทรนด์ที่ให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างการใช้งานของมนุษย์ เทคโนโลยี และธรรมชาติ การดึงสีเขียวมาเป็นส่วนหนึ่งของจุดสนใจในห้อง เพราะพลังของสีเขียวทำให้ประสาทตาผ่อนคลาย และความดันโลหิตลดลง  รี-บาลานซ์จึงเป็นเทรนด์แห่งการ Blending Environment หรือเทรนด์แห่งการปลอบประโลมจิตใจ เพื่อให้ชีวิตสมดุล อย่างอ่างล้างหน้าเฉดสีเขียว เฉดสีใหม่ที่คอตโต้ได้ออกแบบมาเพื่อนำไปตกแต่งห้องน้ำให้ดูกลมกลืนและเสมือนได้ใกล้ชิดธรรมชาติ 3.RE-VIBE เทรนด์แห่งความเป็นอิสระ เทรนด์แห่งความเป็นอิสระในตัวเอง ฟุ้งฝัน และสร้างสรรค์ หลุดออกจากกรอบเดิม ๆ เพื่อช่วยเยียวยาจิตใจ เทรนด์รีไวป์เป็นเทรนด์แห่งการมิกซ์แอนด์แมทช์ของสะสม ของรัก รวมถึงของโบราณ หรือรสนิยมความชอบส่วนตัว ที่ ‘ต้องเลือกเอง’ เท่านั้น อย่าง ก๊อกน้ำ Geo Series ซีรีส์ใหม่ ที่ทุกคนสามารถ Mix & Match ส่วนประกอบต่าง ๆ ให้ออกมาเป็นก๊อกน้ำสไตล์เฉพาะของตัวเอง 4.RE-CO เทรนด์ให้ความสำคัญกับธรรมชาติ เทรนด์ที่ให้ความสำคัญกับธรรมชาติในเชิงที่รักษาสิ่งแวดล้อม แต่ต้องดูดี ดูเท่ ไม่เชยเหมือนแนว go green แบบเดิม ๆ ทำให้เกิดเป็นนิยาม Black is a New Green ชาวรีโค่มักมองหาสินค้าที่ประหยัดน้ำ แต่ยังมีดีไซน์ อย่างสุขภัณฑ์ Simply Modish สีดำด้านที่ประหยัดน้ำมากกว่าสุขภัณฑ์ทั่วไป เพราะพวกเขาใส่ใจทั้งตนเอง คนรุ่นถัดไป และโลกในวันข้างหน้าด้วย 5.RE-WILD เทรนด์แห่งการอยู่ร่วมสมัยกันระหว่างวัย จากการคาดการณ์ว่าในปี 2583 ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุมากถึง 1 ใน 4 ของประชากรทั้งหมด การอยู่ร่วมกับผู้สูงวัยจึงต้องให้ความสำคัญกับความต้องการที่หลากหลาย อย่างทรงวงรีของอ่างอาบน้ำ หรือสุขภัณฑ์รุ่นฟรีเกทที่มีรูปทรงโค้ง และดูเป็นมิตร ใช้งานได้ทั้งครอบครัว ในเชิงดีไซน์ และการตกแต่งก็จะใช้รูปทรงที่ร่วมสมัย เข้าถึงง่าย หรือ สุขภัณฑ์ตัวใหม่รุ่น Simply Modish - Waving Sensor ในกลุ่มTouchless ที่เพิ่มฟังก์ชั่นด้านความสะดวกสบาย ลดสัมผัส พร้อมฝารองนั่ง Slim Design ที่เพิ่มเรื่อง Comfort seat ช่วยให้นั่งสบายเหมาะกับหลากหลายสรีระ สำหรับเทรนด์ทั้งหมดถูกนำเสนอผ่านโชว์รูมเสมือนจริง หรือ Virtual Showroom ที่จะทำให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ใหม่ที่สะดวกสบาย เข้าถึงง่าย และสามารถซื้อสินค้าได้โดยไม่ต้องสัมผัส ซึ่งบริษัทจะใช้ Virtual Showroom เป็นสถานที่เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ด้วย ซึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์สมาร์ทและไฮยีนบริษัทนับว่าเป็นผู้นำตลาดในกลุ่มนี้ ด้วยส่วนแบ่งตลาดกว่า 40% และมีอัตราการเติบโตถึง 50% หรือคิดเป็นสัดส่วน 7-8% ของยอดขายบริษัท และวางเป้าหมายว่าจะมีสัดส่วนยอดขาย 10% ของบริษัท รวมถึงเติบโตประมาณ 20%
Zara Home เปิดตัวช้อปปิ้งออนไลน์ครั้งแรกในไทย  เอาใจคนชอบการแต่งบ้านช่วง WORK FROM HOME

Zara Home เปิดตัวช้อปปิ้งออนไลน์ครั้งแรกในไทย เอาใจคนชอบการแต่งบ้านช่วง WORK FROM HOME

ถ้าใครที่ชื่นชอบแฟชั่น โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มฟาสต์แฟชั่น  ต้องรู้จักแบนด์ซาร่า (Zara) จากประเทศสเปน ที่มีสาขากระจายอยู่ทั่วโลก ซึ่งแบรนด์ซาร่า ถือเป็นในสินค้าแฟชั่นของ Inditex Group ที่ยังมีแบรนด์สินค้าแฟชั่นอื่น ๆ อีกหลายแบรนด์ อาทิ PULL&BEAR, Massimo Dutti และ Bershka เป็นต้น ซึ่งส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด เป็นสินค้าแฟชั่นประเภทเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย แต่ภายใต้ Inditex Group ไม่ได้มีเฉพาะแบรนด์เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายเท่านั้น ยังมีสินค้าประเภทของแต่งบ้านต่าง ๆ​ อุปกรณ์บนโต๊ะ สิ่งทอ เฟอร์นิเจอร์ขนาดเล็กและขนาดกลาง และอื่น ๆ อีกหลายอย่างที่ใช้ในบ้านหรือสำนักงาน ภายใต้แบรนด์ ซาร่า โฮม (Zara Home) ซึ่งเริ่มก่อตั้งแบรนด์ในปี 2003 ปัจจุบัน Zara Home ดำเนินธุรกิจครอบคลุมทั้ง 4 ทวีป ใน 71 ประเทศ มีร้านค้ามากกว่า 533 สาขาทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย ซึ่งได้เข้ามาเปิดสาขาแรกเมื่อเดือนตุลาคม 2556   ด้วยการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคปัจจุบัน โดยเฉพาะเทคโนโลยีและดิจิทัล ซึ่งมีผลการใช้ชีวิตของผู้คนยุคปัจจุบัน และยิ่งปัจจุบันโลกมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้คนอยู่บ้านมากขึ้น จึงทำให้การซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหนึ่งในวิถีชีวิตของคนยุคปัจจุบันไปแล้ว แบรนด์ซาร่า โฮม จึงวางแผนเปิดตัวร้านค้าออนไลน์ zarahome.com/th อย่างเป็นทางการในประเทศไทย ตั้งแต่ 11 พฤษภาคมนี้ เป็นต้นไป ซึ่งในต่างประเทศแบรนด์ซาร่า โฮมได้เริ่มให้บริการแบบออนไลน์ บนเว็บไซต์มาแล้วตั้งแต่ปี  2562 โดย zarahome.com/th จะให้บริการสินค้าหลากหลายที่ครอบคลุมทุกความต้องการภายในบ้าน ทั้งสิ่งทอสำหรับใช้ในห้องนอน ห้องน้ำ เฟอร์นิเจอร์เครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร ชุดอุปกรณ์ช้อนส้อมมีด และแอคเซสซอรีสำหรับตกแต่งบ้านอื่น ๆ รวมถึงชุดอยู่บ้านและชุดนอน และไอเทมส์สำหรับมอบเป็นของขวัญให้คนพิเศษ  เพื่อให้ผู้ชื่นชอบการตกแต่งบ้านได้สนุกไปกับการช้อปปิ้งอย่างปลอดภัยไร้กังวลในช่วง Work From Home และเพื่อรักษาระยะห่างทางสังคม  นอกจากการช้อปปิ้งผ่านเว็บไซต์แล้ว แบรนด์ซาร่า โฮม ยังสามารถช้อปผ่านแอปพลิเคชันได้ ทั้งบนระบบปฏิบัติการ iOS และ Android อีกด้วย   ​  
นิปปอนเพนต์  ออกสีใหม่ “เวเธอร์บอนด์”  สู้ตลาด 2 หมื่นล้านหดตัว 15%

นิปปอนเพนต์ ออกสีใหม่ “เวเธอร์บอนด์” สู้ตลาด 2 หมื่นล้านหดตัว 15%

นิปปอนเพนต์ แก้โจทย์ตลาดสีหดตัว 15% หลังโดนผลกระทบจากโควิด-19 เดินหน้าตอบสนองความต้องการของลูกค้า ออกสีตัวใหม่ “เวเธอร์บอนด์” รับตลาดไตรมาสแรกยังติดลบต่อเนื่อง 5-7% พร้อมเดินหน้าใช้งบ 5% ทำตลาดสร้างแบรนด์   นายวัชระ ศิริฤทธิชัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสีนิปปอนเพนต์  เปิดเผยว่า ปีที่ผ่านมาธุรกิจสีทาบ้านและสีทาอาคารติดลบไป 15% จากปกติแต่ละปีจะมีมูลค่าตลาดรวมต่อปีประมาณ 22,000 ล้านบาท เนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  ซึ่งมีการปิดประเทศ การล็อกดาวน์ที่มีการปิดห้างสรรพสินค้าและร้านค้าต่าง ๆ  ส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลง  ความต้องการใช้สีจึงลดลงตามไปด้วย   อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในปี 2564 จะเริ่มมีการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดเริ่มกลับมารุนแรงเพิ่มมากขึ้นอีกครั้ง ทำให้ในไตรมาสแรกของปีนี้ จึงคาดว่าตลาดสียังปรับตัวลดลง แต่ไม่รุนแรงเท่ากับช่วงปีที่ผ่านมา คาดว่าภาพรวมธุรกิจสีทาบ้านและสีทาอาคารจะลดลงประมาณ ​ 5-7% เพราะยังมีปัจจัยบวกที่เข้ามาช่วย อาทิ รวมทั้งแผนการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ เชื่อว่าจะช่วยให้การท่องเที่ยวกลับมาคึกคักและทำรายได้เข้าประเทศเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เศรษฐกิจโดยรวมมีการขับเคลื่อนมากขึ้น เชื่อมั่นว่าในครึ่งปีหลังภาพรวมเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวขึ้น หลังการฉีดวัคซีนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ปัจจุบันตลาด​สีน้ำทาบ้านและอาคาร แบ่งออกเป็นตลาดสีทาบ้านระดับบน (Premium) 3,000-4,000 ล้านบาท  ระดับปานกลาง (Medium) 4,000-5,000 ล้านบาท และระดับประหยัด (Economy) 2,000-3,000 ล้านบาท ซึ่งแม้ว่าในภาพรวมตลาดสีจะไม่เติบโต แต่ตลาดสีทาบ้านระดับบนมีแนวโน้มการเติบโตต่อเนื่องในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากพฤติกรรมของผู้บริโภค ที่เลือกใช้สีที่มีคุณภาพและมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลายเพิ่มมากขึ้น  จึงถือเป็นตลาดสีที่ยังมีโอกาสในการขยายตลาดได้อีกมาก   นายวัชระ กล่าวอีกว่า  ล่าสุด บริษัทฯ จึงเปิดตัว “นิปปอนเพนต์ เวเธอร์บอนด์” (Nippon Paint Weatherbond) เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในทุกกลุ่ม โดยเฉพาะตลาดกลุ่มบนที่ลูกค้ามีความต้องการใช้สีซึ่งมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลาย  ซึ่งสีดังกล่าวเป็นสีทาภายนอก เกรดอัลตร้าพรีเมียม ที่พัฒนาและปรับสูตรใหม่ขึ้นด้วย NIPPON CROSS-LINK TECHNOLOGY เทคโนโลยีสีครบ จบ ทน เพื่อตอบโจทย์เรื่องความครบของฟีเจอร์ที่จำเป็นต่อการใช้งาน  โดยอาศัยจุดแข็งของนิปปอนเพนต์ที่เป็น Global Business Network มีเครือข่ายทั่วโลก มีทีมวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งในยุโรปและเอเชีย โดยเฉพาะที่ญี่ปุ่นซึ่งถือเป็นต้นกำเนิดของนิปปอนเพนต์ สีนิปปอนเพนต์ เวเธอร์บอนด์ ทาครั้งเดียวทนทาน  15 ปี ทำให้มีความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับสีทั่วไป ที่อาจต้องทาใหม่ทุก ๆ 2-3 ปี ด้านนายณรงค์ฤทธิ์ มาลัยนวล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด  กล่าวเพิ่มเติมว่า  ได้ใช้งบการตลาดราว 5% ของยอดขาย ในการสร้างแบรนด์และการรับรู้ของแคมเปญโฆษณาสีนิปปอนเพนต์ เวเธอร์บอนด์ ผ่านช่องทางทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ภายใต้แนวคิด “ครบที่รุ่นนี้ สีเวเธอร์บอนด์”  โดยแคมเปญสีนิปปอนเพนต์ เวเธอร์บอนด์ เน้นที่สื่อออนไลน์เป็นหลัก และขยายการรับรู้ให้เข้าถึงผู้บริโภค ผ่านสื่อ Out of Home ไม่ว่าจะเป็น Digital Billboard ตามจุดสำคัญต่าง ๆ รอบกรุงเทพฯ แหล่งชุมชน  เป็นต้น รวมถึงการจัดแคมเปญส่งเสริมการขายต่าง ๆ    
อิเกีย บางใหญ่  เปิด  “IKEA PLANNING STUDIO”  แห่งแรกของโลกเพื่องานออกแบบหอ้ง

อิเกีย บางใหญ่ เปิด  “IKEA PLANNING STUDIO” แห่งแรกของโลกเพื่องานออกแบบหอ้ง

อิเกีย เปิด  “IKEA PLANNING STUDIO”  ให้บริการด้านงานออกแบบแห่งแรกของโลก ตอบโจทย์ลูกค้าต้องการใช้เวลาซื้อสินค้าน้อยลง พร้อมทั้งเดินหน้าขยายตลาดลูกค้าองค์กร ลุยกลุ่ม B2B วางเป้าเพิ่มยอดขาย 2 เท่าตัว   ด้วยวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจที่มุ่งเน้นเรื่อง “การสร้างสรรค์ชีวิตที่ดีกว่าในทุกวัน” ของอิเกีย ศูนย์จำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านที่ใหญ่ที่สุดในโลกสัญชาติสวีเดน ซึ่งมีจำนวนสโตร์มากกว่า 443 แห่ง ใน 53 ประเทศทั่วโลก และในประเทศไทย​ ทำให้อิเกีย พยายามที่จะแก้ไขปัญหา และหาแนวทางการพัฒนาธุรกิจ เพื่อสร้างความสะดวกสบาย และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า   ล่าสุด อิเกีย สาขาบางใหญ่ จึงได้เปิด “IKEA Planning Studio” พื้นที่ให้บริการออกแบบของห้องครัว ห้องนั่งเล่น และตู้เสื้อผ้ารวมไว้ในที่เดียว  ซึ่งนอกจากการให้บริการด้านการออกแบบ และงานดีไซน์  ยัง รวมถึงบริการอื่น ๆ เช่น ชำระเงิน บริการจัดส่งและติดตั้ง ไว้ในที่เดียว ช่วยประหยัดเวลา และยังมีผู้เชี่ยวชาญของอิเกียช่วยดูแล  ให้คำแนะนำการแต่งบ้าน ที่ถือว่าเป็นแห่งเดียวของโลก ขณะที่พื้นที่การให้บริการของการออกแบบในลักษณะดังกล่าวจะมีให้บริการในบางประเทศ เช่น สิงค์โปร์  แต่จะอยู่ภายนอกสโตร์ นายทอม ซูเทอร์ ผู้จัดการสโตร์ อิเกีย บางใหญ่ เปิดเผยว่า การเปิดให้บริการ “IKEA Planning Studio” เพื่อเป็นการบริการด้านการออกแบบห้องครัว ห้องนั่งเล่น และห้องนอน ไว้ในพื้นที่เดียวกัน เพราะลูกค้าต้องการคามสะดวกสบาย และลดระยะเวลาการใช้บริการให้น้อยลง และทำให้ลูกค้าสามารถวางแผนการออกแบบห้องได้มากกว่า 1 ห้อง เดิมลูกค้าที่วางแผนออกแบบห้อง ต้องใช้เวลา 1 ชั่วโมงครึ่งเพื่ออกแบบห้อง 1 ห้อง แต่ถ้าใช้บริการ IKEA Planning Studio 2 ชั่วโมงจะออกแบบได้มากกว่า 1 ห้อง ปัจจุบันจุดให้บริการด้านการออกแบบ ตามพื้นที่ต่าง ๆ ภายในสโตร์ ยังมีให้บริการด้วยกัน 4 แห่ง แต่การเปิด “IKEA Planning Studio” เพิ่มขึ้นมา จะทำให้สามารถรองรับลูกค้าได้มากขึ้น โดยจากการทดลองเปิดให้บริการอย่างไม่เป็นทางการ พบว่ามีจำนวนลูกค้ามาใช้บริการมากถึง 160 ครอบครัว หรือเฉลี่ยวันละ 3-4 ครอบครัว   นายทอม กล่าวอีกว่า นอกจาก “IKEA Planning Studio” จะให้บริการกับลูกค้าทั่วไป ยังมีการให้บริการที่ปรึกษาสำหรับธุรกิจขนาดต่าง ๆ (B2B) หรือ IKEA For Business สำหรับลูกค้าองค์กรขนาดเอสเอ็มอี และลูกค้าขนาดใหญ่ หรือกลุ่ม B2B ซึ่งอิเกียได้ให้ความสำคัญและต้องการเพิ่มสัดส่วนลูกค้าในกลุ่มดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น ปัจจุบันฐานลูกค้า B2B ยังถือว่าน้อยเพียง 1% เท่านั้น ทางอิเกียคาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนลูกค้าขึ้นอีก 2 เท่าในปีหน้า เนื่องจากเป็นกลุ่มลูกค้ามีศักยภาพ และมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี แนวทางการทำตลาดอิเกีย ได้จัดตั้งทีมงานขายและตลาดกลุ่มลูกค้า B2B เพื่อเจาะตลาดโดยเฉพาะ โดยจะทำการนำเสนอสินค้า และฟังก์ชั่นการใช้งานของเฟอร์นิเจอร์อิเกีย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ซึ่งนอกจากฐานลูกค้ากลุ่ม B2B ที่ดำเนินธุรกิจต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเวลเนสเซ็นเตอร์ ร้านจำหน่ายสินค้าอุปกรณ์กีฬา อิเกียยังได้จับมือกับดีเวลลอปเปอร์อสังหาริมทรัพย์ อย่างบริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) ในการนำเอาเฟอร์นิเจอร์ไปใช้ในการตกแต่งห้องชุดคอนโดมิเนียมด้วย และยังมีดีเวลลอปเปอร์ที่อยู่ระหว่างการเจรจาอีกหลายหลาย   นอกเหนือจากการจัดตั้งทีมงานเพื่อทำตลาดกับกลุ่มลูกค้า B2B แล้ว เทรนด์การทำงานจากที่บ้าน หรือ  Work From Home ที่เพิ่มมากขึ้นจากผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ทำให้สินค้ากลุ่มอุปกรณ์สำนักงานของอิเกียมียอดขายเพิ่มมากขึ้นถึง 25% ทำให้อิเกียวางแผนจัดดิสเพลย์ห้องทำงานในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้ลูกค้าทั่วไป และลูกค้ากลุ่ม B2B ได้เห็นฟังก์ชั่นและการใช้งานของอุปกรณ์สำนักงานด้วย สำหรับการให้บริการ IKEA Planning Studio จะเป็นการให้บริการฟรี สำหรับสมาชิก IKEA Family ซึ่งปัจจุบันอิเกีย มีฐานสมาชิก 1.7 แสนคน โดยสมาชิกสามารถใช้บริการที่ IKEA Planning Studio ตั้งอยู่โซนโชว์รูมห้องนอน ชั้น 3A อิเกีย บางใหญ่ ส่วนลูกค้าที่ไม่ได้เป็นสมาชิก IKEA Family สามารถสมัครได้ฟรี และใช้บริการได้ทันที โดยมีขั้นตอน ดังนี้ 1.เตรียมขนาดพื้นที่ห้องที่ต้องการออกแบบ พร้อมบัตรสมาชิก 2.กดบัตรคิวเลือกบริการที่ต้องการ ได้แก่ บริการออกแบบชุดครัว, บริการออกแบบชุดตู้เสื้อผ้า, บริการออกแบบชุดวางทีวี, บริการติดตั้งชุดครัวและห้องน้ำ และบริการจัดส่งและประกอบเฟอร์นิเจอร์ 3.เมื่อถึงคิว ผู้เชี่ยวชาญของอิเกียจะช่วยให้บริการออกแบบและให้คำแนะนำในการเลือกสินค้าให้เหมาะสมกับพื้นที่  การใช้งาน และฟังก์ชั่นต่าง ๆ บริการออกแบบฟรี ไม่มีค่าใช้จ่าย เมื่อเสร็จแล้วจะพิมพ์แบบพร้อมด้วยรายการสินค้า และคู่มือต่าง ๆ เพื่อให้ลูกค้านำไปประกอบการตัดสินใจ (ไม่จำเป็นต้องตัดสินใจและชำระเงินทันที) ทั้งนี้ อิเกียจะเก็บข้อมูลไว้เพื่อให้ลูกค้าสามารถกลับมาใช้บริการในครั้งต่อไปได้ 4.กรณีที่ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้า สามารถชำระเงิน (ไม่รับเงินสด) และติดต่อบริการต่าง ๆ ได้จากที่ IKEA Planning Service ครบจบที่เดียว IKEA Planning Studio ที่อิเกีย บางใหญ่ เป็นสตูดิโอออกแบบแห่งแรกในโลกที่ตั้งอยู่ในสโตร์อิเกีย หากได้รับการตอบรับที่ดี ในอนาคตก็จะเปิดให้บริการที่สโตร์อื่น ๆ ด้วย  
พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค วาง 3 กลยุทธ์ล้างขาดทุน ​ ตั้งเป้าโตแบบเทิร์นอะราวด์

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค วาง 3 กลยุทธ์ล้างขาดทุน ​ ตั้งเป้าโตแบบเทิร์นอะราวด์

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ตั้งเป้าธุรกิจ ปี 64 เติบโตแบบเทิร์นอะราวด์ ด้วย 3 กลยุทธ์​ สร้างธุรกิจหลักโต ขายที่ดินและลดหนี้สินลง พร้อมเดินหน้าธุรกิจใหม่ “ผลิตและจำหน่ายถุงมือยาง” สร้างรายได้ปีแรกกว่า 3,000 ล้าน   รอบปีที่ผ่านมาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต้องเผชิญกับความยากลำบาก กับสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งผลกระทบยังมีต่อเนื่องมาถึงปี 2564 และกระทบหนักมากขึ้น เมื่อเกิดการแพร่ระบาดระรอกใหม่ สำหรับกลุ่มบริษัทพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ตกอยู่ในสถานการณ์เช่นเดียวกับผู้ประกอบการรายอื่น  แต่อาจจะหนักกว่าผู้ประกอบการบางราย เพราะมีธุรกิจโรงแรมอยู่ในพอร์ต ซึ่งผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ที่มีต่อธุรกิจโรงแรม รุนแรงกว่าธุรกิจที่อยู่อาศัย   ผลประกอบการในรอบปี 2563 ที่ผ่านมาของกลุ่มบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 10,596.3 ล้านบาท ลดลง 35.3% จากปีก่อนหน้าที่มี 16,367.1 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรขั้นต้น 3,026 ล้านบาท ลดลง 46.9% ส่วนธุรกิจโรงแรม มีรายได้ 1,469.8 ล้านบาท ขาดทุนขั้นต้น 191.6 ล้านบาท นายศานิต อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้  เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึง ทิศทางการดำเนินงานปี 2564 ว่า วางแผนการดำเนินธุรกิจอย่างเข้มข้น ด้วยการดำเนินการใน 2 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.กลุ่มบริษัทวางแผนปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การดำเนินงานเพื่อพลิกกลับมาสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และ 2.สร้างความมั่นคงทางการเงิน เพื่อเข้าสู่การโหมดของการเทิร์นอะราวด์   บริษัทจะดำเนินการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนและ เพื่อให้เข้าสู่โหมดเทิร์นอะราวด์ ด้วย 3 กลยุทธ์ ได้แก่ 1.ขับเคลื่อนธุรกิจหลักให้มีรายได้เติบโต โดยปีนี้วางแผนเปิดโครงการใหม่เพิ่ม 6 โครงการ มูลค่า 9,930  ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบทั้งหมด ส่วนโครงการคอนโดมิเนียมไม่มีแผนเปิด ซึ่งบริษัทหยุดการเปิดโครงการคอนโดต่อเนื่องเป็นปีที่ 3  ปีนี้บริษัทยังมีสินค้าใหม่เซกเมนต์ใหม่บ้านเดี่ยว 3 ชั้นและโฮมออฟฟิศ 5 ชั้น ใจกลางเมืองทำเลพหลโยธินเพิ่มเติม   สำหรับแนวคิดการพัฒนาโครงการ นอกจากการพัฒนารูปแบบบ้านให้รองรับการดำเนินชีวิตวิถีใหม่แล้ว ปีนี้ยังเพิ่มบริการด้านต่างๆ เพื่อตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์ใหม่ของผู้บริโภค อาทิ การให้ลูกบ้านสามารถใช้บริการพื้นที่ทำงาน (Work from Hotel) ได้ทุกโรงแรมในเครือแกรนด์ แอสเสทฯ รองรับการติดตั้ง EV Charger ด้วยการเดินระบบไฟ และติดตั้ง VDO Doorbell ในโครงการเปิดใหม่ ร่วมกับ AIS ให้บริการสัญญาณ AIS 5G ที่โรงแรมและโครงการต่างๆ เป็นต้น ด้านนายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ  กล่าวว่า สำหรับโครงการร่วมทุนที่จะเปิดตัวใหม่ในปีนี้ เป็นการร่วมทุนกับ ฮ่องกงแลนด์ ตั้งอยู่บนทำเลบางนา-สุวรรณภูมิ ในคอนเซ็ปท์บ้านริมทะเลสาบขนาด 100 ไร่ มูลค่าโครงการ 5,100 ล้านบาท  ปีนี้บริษัทยังมีสินค้าใหม่เซกเมนต์ใหม่บ้านเดี่ยว 3 ชั้นและโฮมออฟฟิศ 5 ชั้น ทำเลพหลโยธินเพิ่มเติม 2.ขายที่ดินและการลงทุนเพื่อลดหนี้และทำกำไร ปีนี้วางเป้าขาย 17,300 ล้านบาท จากโครงการแนวราบ 12,000 ล้านบาท โครงการร่วมทุน 2,000 ล้านบาท คอนโดมิเนียมในประเทศ 2,500 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมประเทศญี่ปุ่น 800 ล้านบาท  และมีแผนทั้งการขายที่ดินที่ไม่มีแผนพัฒนาโครงการและสิทธิการเช่า รวมถึงขายการลงทุนในโรงแรมและจัดตั้งกองทรัสต์ รวม 20,200 ล้านบาท ซึ่งเป็นแนวทางที่จะเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้ดีขึ้น ลดต้นทุนทางการเงิน  และลดภาระหนี้ โดยตั้งเป้าหนี้สินสุทธิต่อทุนที่ระดับ 1.2 จากปัจจุบันมีอัตรา 2.1 แผนการขายที่ดินและสิทธิการเช่า และการลงทุน แบ่งเป็น 1.ขายที่ดินและการลงทุน อาทิ ที่ดินบริเวณแจ้งวัฒนะ รามอินทรา และรามคำแหง รวมมูลค่า 10,200 ล้านบาท 2.การลงทุนในโรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน และไฮแอท รีเจนซี่ สุขุมวิท มูลค่า 8,500 ล้าน 3.ที่ดินถนนรัชดาภิเษก มูลค่า 1,500 ล้านบาท   ในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้รวมปีนี้จะอยู่ที่ 21,370 ล้านบาท ประกอบด้วย รายได้ของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค 13,070 ล้านบาท  แกรนด์ แอสเสทฯ 2,100 ล้านบาท และรายได้จากการขายที่ดินและการลงทุน 6,200 ล้านบาท ขณะที่ยังจะมีรายได้จากโครงการร่วมทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 4,000 ล้านบาท และธุรกิจถุงมือยาง 3,000 ล้านบาท ด้านนายวิทวัส วิภากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปีนี้ แกรนด์ แอสเสทฯ วางเป้าขายจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 1,100 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียม 500 ล้านบาท และ วิลล่าในจังหวัดระยอง 600 ล้านบาท ส่วนธุรกิจโรงแรม สถานการณ์โควิด-19 มีผลกระทบอย่างมากกับธุรกิจท่องเที่ยว ส่งผลให้รายได้ของโรงแรมปีที่ผ่านมาต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้มาก   สำหรับปีนี้ คาดว่าจะฟื้นตัวและเติบโตอย่างรวดเร็วในครึ่งปีหลัง โดยประมาณการรายได้ไว้ที่ 1,500 ล้านบาท อย่างไรก็ดี เนื่องจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสยังคงมีความไม่แน่นอนอยู่มาก แผนการดำเนินงานในปี 2564 จึงยังมุ่งเน้นไปที่ตลาดชาวไทยท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก ตั้งเป้าให้มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยทั้งปีที่ 50% 3.ลงทุนในธุรกิจผลิตและจำหน่ายถุงมือยาง ขณะเดียวกัน ​ในปีนี้ กลุ่มบริษัทยังขยายการลงทุนในธุรกิจใหม่ซึ่งมีดีมานด์สูงและกำไรสูงได้แก่ ธุรกิจผลิตและส่งออกถุงมือยาง ที่จะช่วยเสริมสร้างรายได้ในระยะยาว โดยการร่วมมือกับ​ บริษัท วัฒนชัย รับเบอร์เมท จำกัด ซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกถุงมือยางจัดตั้ง บริษัท แกรนด์ โกลบอล โกลฟส์ จำกัด (GGG) เพื่อผลิตและจำหน่ายถุงมือยางสังเคราะห์ (Nitrile) ภายใต้แบรนด์ GGG สู่ตลาดทั้งภายในและต่างประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มประเทศที่มีอัตราการใช้ถุงมือยางสูง เช่น สหรัฐอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น โดยได้ลงทุน 1,100 ล้านบาท สร้างโรงงานบนเนื้อที่ 21 ไร่  ในนิคมอุตสาหกรรม ทีเอฟดี 2 จังหวัดฉะเชิงเทรา จำนวน 2 อาคาร ซึ่งอยู่ระหว่างก่อสร้างอาคารหลังแรก ที่มี 8 สายการผลิต มีกำลังการผลิต 21 ล้านกล่องต่อปี หรือ 2,100 ล้านชิ้นต่อปี คาดว่าจะแล้วเสร็จเดือนเมษายนนี้ และเริ่มดำเนินการผลิตได้ในเดือนพฤษภาคมนี้   ส่วนอาคารหลังที่ 2 มีกำหนดแล้วเสร็จปลายปีนี้  มีจำนวนเครื่องจักร 8 เครื่อง กำลังการผลิตรวม 21 ล้านกล่องต่อปี นอกจากนี้ ยังมีแผนขยายกำลังการผลิตถุงมือยางธรรมชาติควบคู่ไปกับถุงมือยางไนไตรล์ เพื่อรองรับการเติบโตของตลาดโลก โดยรายได้จากธุรกิจถุงมือยางในปีนี้ประมาณการไว้ที่ 3,000 ล้านบาท
เจ.ดี.พูลส์  ชู 3 กลยุทธ์สู้โควิด-19  ปั้นรายได้ 1,000 ล้าน

เจ.ดี.พูลส์ ชู 3 กลยุทธ์สู้โควิด-19 ปั้นรายได้ 1,000 ล้าน

เจ.ดี.พูลส์ ชู 3 กลยุทธ์สร้างการเติบโตธุรกิจสระว่ายน้ำ ออกสินค้าราคาจับต้องได้ การขยายตลาดงานราชการ และเพิ่มสาขาแฟรนไชส์  หวังสถานการณ์โควิด-19 ฟื้นตัวดีขึ้น สร้างรายได้ทะลุ 1,000 ล้าน   นายธนูศักดิ์ พึ่งเดช ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท เจ.ดี.พูลส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสระว่ายน้ำแบรนด์ เจ.ดี.พูลส์ (J.D.Pools) เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2564 ว่า ได้ตั้งเป้าหมายการสร้างรายได้ 1,000 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมามีรายได้ 950 ล้านบาท  แม้ว่าในปีนี้ยังมีสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังกระทบกับภาวการณ์ท่องเที่ยว เพราะธุรกิจสระน้ำมีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบันยังไม่ฟื้นตัวมากนัก แต่จากแนวทางการทำตลาด และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้​   สำหรับกลยุทธ์ในการสร้างการเติบโตปีนี้ บริษัทวางแนวทางการทำตลาดไว้ใน 3 เรื่อง คือ 1.การขยายตลาดสระว่ายน้ำในบ้านทั่วไป เป็นสระว่ายน้ำราคาจับต้องได้ 2.การขยายตลาดไปยังกลุ่มงานราชการ และ 3.การขยายสาขาแฟรนไชน์ โดยปีนี้เปิดตัวสินค้าใหม่เพื่อขยายตลาด ซึ่งเป็นสินค้าราคาที่จับต้องได้ ซึ่งเน้นการทำตลาดกับกลุ่มบ้านที่อยู่อาศัยทั่วไป และกลุ่มผู้สนใจรักสุขภาพ ในการใช้สระน้ำเพื่อช่วยออกกำลังกายและการบำบัดโรค โดยได้เปิดตัวสระว่ายน้ำระดับราคาประมาณ 300,000 บาท ขนาดความยาว 5 เมตร ที่สามารถติดตั้งได้ในบ้านเดี่ยว บ้านแฝด หรือทาวน์โฮม บริษัทพยายามทำราคาสระว่ายน้ำให้จับต้องได้ ซึ่งตลาดที่กำลังมาแรง คือ ตลาดสุขภาพ ที่สระว่ายน้ำช่วยด้านการรักษาโรคและช่วยให้ร่างกายแข็งแรง เช่น การเดินในสระน้ำเพื่อรักษาข้อเข่า เป็นต้น   ส่วนแนวทางการขยายตลาดกลุ่มงานราชการ บริษัทได้นำเสนองานผ่านองค์การบริหารส่วนท้องถิ่น และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องด้านการกีฬา เช่น กรมพลศึกษา เพื่อนำเสนอสินค้าที่ตรงความต้องการของหน่วยงานดังกล่าว เนื่องจากปัจจุบันหน่วยงานราชการมีนโยบายด้านการส่งเสริมให้ประชาชนออกกำลังกายมากขึ้น โดยเฉพาะตามแหล่งชุมชนที่ต้องการให้มีสระวายน้ำเพื่อการออกกำลังกายมากขึ้น ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนรายได้จากงานราชการเพียง 50 ล้านบาท เนื่องจากเพิ่งเริ่มต้นเข้าทำตลาด แต่คาดว่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง นายธนูศักดิ์ กล่าวอีกว่า ส่วนการขยายสาขาแฟรนไชน บริษัทต้องการขยายสาขาให้ครอบคลุมทั่วประเทศ  แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความพร้อม และภาวะเศรษฐกิจโดยรวม ซึ่งเมื่อมีโอกาสจะขยายตลาดอย่างต่อเนื่อง แต่เบื้องต้นวางเป้าหมายเพิ่มบริษัทมีแผนเพิ่มศูนย์บริการและจัดจำหน่ายเพิ่มอย่างน้อย 10 แห่ง จากปัจจุบันที่มีอยู่ 22 แห่งใน 20 จังหวัด ภายในระยะเวลา 3 ปีนี้ ซึ่งในจำนวนดังกล่าวเป็นสาขาที่บริษัทลงทุนเอง 8 แห่ง   นอกจาก การทำตลาดในประเทศ ปัจจุบันบริษัทมีตัวแทนจำหน่ายและพันธมิตรในประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งเมียนมา สปป.ลาว และกัมพูชา โดยในเมียนมาสามารถทำยอดขายได้มากที่สุดกว่า 20 ล้านบาท จากยอดขายโดยรวมของกลุ่มตลาดต่างประเทศกว่า 100 ล้านบาท แต่ปีที่ผ่านมายอดขายตลาดต่างประเทศได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ทำให้มียอดขายลดลงไปประมาณ 20%  
ตราเพชร เปิดตัวบ้านน็อกดาวน์ 1.2 ล้าน ตอบโจทย์มีสินค้าครบทั้งหลัง

ตราเพชร เปิดตัวบ้านน็อกดาวน์ 1.2 ล้าน ตอบโจทย์มีสินค้าครบทั้งหลัง

ตราเพชร เดินเครื่องผลิตสินค้ากลุ่มไม้สังเคราะห์ 55,000  ตัน ดันเป้ารายได้โต 5% พร้อมเปิดตัวบ้านน็อกดาวน์ 1.2 ล้าน ตอบโจทย์ความต้องการ สินค้าบ้านมีครบทั้งหลัง    นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT เปิดเผยถึงทิศทางธุรกิจในปี 2564 ว่า ตั้งเป้าหมายการเติบโตด้านรายได้ไว้ 5% จากปีที่ผ่านมาสามารถทำรายได้ 4,409 ล้านบาท  โดยการเติบโตจะมาจากปัจจัยหลัก คือ การเพิ่มกำลังการผลิตสินค้ากลุ่มไม้สังเคราะห์ ซึ่งมีการเดินเครื่องจักร NT-11 ทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 5% หรือประมาณ 55,000 ตันต่อปี    นอกจากนี้ บริษัทยังได้เพิ่มความหลากหลายของสินค้า อาทิ นำเข้าวัสดุมุงหลังคาเมทัลชีท การผลิตผนังที่สามารถสั่งพิมพ์ลวดลายได้โดยเฉพาะ และการจัดทำบ้านสำเร็จรูป หรือบ้านน็อกดาวน์ โดยได้เปิดตัว Diamond Studio แบบบ้านน็อกดาวน์ พื้นที่ใช้สอย 75 ตารางเมตร ในราคา 1.2 ล้านบาท หรือ 16,000 บาทต่ารางเมตร  ซึ่งวัสดุเกือบทั้งหมดจะเป็นของตราเพชร ซึ่งนอกจากการก่อสร้างบ้านแล้ว ยังสามารถปรับเป็นรูปแบบร้านกาแฟ หรือคาเฟ่ต่าง ๆ ได้อีกด้วย  ซึ่งใช้เวลาการก่อสร้างเพียง 3 สัปดาห์ วัสดุโดยเฉพาะผนัง สามารถออกแบบลวดลายและขนาดตามความต้องการของลูกค้าได้โดยเฉพาะ บ้านน็อกดาวน์บริษัทมองช่องทางบริษัทรับสร้างบ้าน หรือดีเวลลอปเปอร์ในการนำไปทำตลาด  ซึ่งเป็นการตอกย้ำคอนเซ็ปต์ของบริษัท ในเรื่องการมีสินค้าครบของบ้านทั้งหลัง ปัจจุบันบริษัทมี 4 ช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า  ได้แก่ 1.ตัวแทนจำหน่าย ซึ่งถือเป็นช่องทางหลักในการสร้างยอดขายและรายได้ โดยมีสัดส่วนมากกว่า 50% ของรายได้รวม  2.ช่องทางโมเดิร์นเทรด 3.กลุ่มลูกค้าโครงการ ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และ 4.ตลาดต่างประเทศ ทั้งกลุ่มประเทศเพื่อนบ้าน และเอเชียแปซิฟิค   ปัจจุบันกลุ่มลูกค้ายังนำวัสดุไปใช้ในการก่อสร้างหรือซ่อมแซมบ้านแนวราบ ซึ่งบริษัทมองว่าจากการพัฒนาผลิตภัณฑ์และการเพิ่มความหลากหลายของสินค้า เช่น ผนังดิจิตอลพริ้นติ้ง และอิฐมวลเบา จะสามารถขยายตลาดไปยังกลุ่มคอนโดมิเนียมได้ในอนาคต รวมถึงการขยายตลาดไปยังกลุ่มบริษัทรับสร้างบ้าน ในการนำเอาวัสดุก่อสร้างของบริษัทไปประกอบเป็นบ้านน็อกดาวน์ ซึ่งบริษัทจะหาพันธมิตรมาร่วมทำตลาด หรืออนาคตอาจจะขยายตลาดด้วยตนเองเพื่อสร้างการเติบโตเพิ่มมากขึ้น   โดยในปีนี้บริษัทประเมินว่าตลาดวัสดุก่อสร้างจะฟื้นตัว โดยมีการเติบโตประมาณ 5-10% เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ราคาพืชผลการเกษตรเริ่มดีขึ้น สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เริ่มคลี่คลาย ห้างสรรพสินค้าต่าง ๆ เปิดขายได้ตามปกติ และผู้ประกอบการเริ่มมีการก่อสร้างบ้านมากขึ้น รวมถึงตลาดซ่อมแซมยังคงมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง​ ความท้าทายในการทำธุรกิจปีนี้ คือ สถานการณ์โควิด-19 กำลังซื้อของผู้บริโภค และการขยายตลาดใหม่ ๆ 
สีนิปปอนเพนต์ วางเป้าโต 20% ลุยตลาดสีท่ามกลางโควิด-19

สีนิปปอนเพนต์ วางเป้าโต 20% ลุยตลาดสีท่ามกลางโควิด-19

นิปปอนเพนต์ เปิดเกมรุกปี 64 หวังเติบโต 20% ท่ามกลางตลาดสีทาบ้าน 25,000 ล้าน แนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง ลุยหน้าแคมเปญการตลาดครบวงจร พร้อมสร้างการรับรู้สู่กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ​    นายวัชระ ศิริฤทธิชัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสีนิปปอนเพนต์ในประเทศไทย  เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจสีทาบ้านและอาคารใน ช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 ยังคงชะลอตัวต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา เพราะผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่หากสถานการณ์ปรับตัวดีขึ้น คาดว่าตลาดจะฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2564 นี้ ซึ่งในปี 2563 ที่ผ่านมา ตลาดสีทาบ้านและอาคารลดลงประมาณ 5-10% จากมูลค่าตลาดประมาณ 25,000 ล้านบาท ส่วนความต้องการใช้งานคาดว่าจะลดลง 15%   อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในภาพรวมตลาดจะมีการหดตัวลง แต่ยังพบว่ากลุ่มสีเพื่อสุขภาพและสุขภาวะที่ดี  ยังคงมีอัตราการเติบโตขยายตัวที่ดี คาดว่าจะมีมูลค่าตลาด 1,000-1,500 ล้านบาท เห็นได้จากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์สี air care ของบริษัทที่ได้รับการตอบรับที่ดี สำหรับการเติบโตในปี 2564 คาดว่าบริษัทจะสร้างการเติบโตได้ประมาณ 20% จากปีที่ผ่านมา ภายใต้การประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของโวรัสโควิด-19 ในปัจจุบัน และแนวโน้มการนำเอาวัคซีนเข้ามาใช้ แต่หากสถานการณ์ปรับตัวดีขึ้นกว่าปัจจุบัน บริษัทคาดหวังว่าจะสามารถสร้างการเติบโตได้มากกว่า 20% โดยบริษัทวางแผนธุรกิจในปีนี้ด้วยการจัดกิจกรรมการตลาดแบบครบวงจร รวมถึงกลยุทธ์การทำตลาดอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ การขยายตลาดไปยังกลุ่มเป้าหมายใหม่   "ปัจจุบันต้องยอมรับว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นกับสีทาบ้านหรือสีทาอาคาร มีทั้งการเกิดรอยด่าง สีซีด สีลอกล่อน ซึ่ง มาจากหลายสาเหตุ ขณะที่บางคนมองแต่ความสวยงาม แต่เมื่อใช้งานผ่านไปเพียง 3-4 ปี เริ่มเกิดปัญหา นิปปอนเพนต์ จะนำนวัตกรรมต่างๆ ออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ทันกับความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม โดยเฉพาะการ ยกระดับคุณภาพชีวิตให้ปลอดภัยในยุคโควิดที่กำลังระบาดระลอกใหม่นี้"   ขณะที่กลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการโครงการต่างต้องการเดินหน้าโครงการต่อเนื่อง พร้อมมองหา "เทคโนโลยีใหม่" มาเป็นตัวช่วยเสริมให้การทำงานเร็วขึ้น  ลดการใช้แรงงานคน ลดต้นทุน แต่คงประสิทธิภาพของงานได้ดี ทำให้ส่งมอบงานได้เร็วยิ่งขึ้น จึงเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำคัญของนิปปอนเพนต์ที่โฟกัสกลุ่มลูกค้า B2B ต่อเนื่อง รวมถึงมุ่งสร้างความรู้ ความเข้าใจ และความสำคัญของการเลือกใช้สีและ วัสดุเคลือบผิวที่มีคุณภาพ และขั้นตอน การทำงานที่ถูกต้อง ล่าสุด บริษัทเปิดตัแคมเปญ  “เครื่องสำอางเพื่อบ้านคุณ” ซึ่งเป็นการต่อยอดจากความสำเร็จในปีที่ผ่านมา ​เพื่อตอกย้ำความเป็น The Coatings Expert ที่จะช่วยแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น และบริษัทฯ ยังมีเป้าประสงค์ที่ต้องการสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องอย่างแท้จริงให้ผู้บริโภค ว่าสีและวัสดุเคลือบผิวแต่ละชนิด แต่ละประเภทมีความแตกต่างกัน การเลือกสี การใช้สี การเตรียมสี ก็แตกต่างกันขึ้นอยู่กับสภาพพื้นผิวของผนังหรือวัสดุนั้น ๆ เพื่อให้ได้ผลงานที่ดีและมีคุณภาพ ผ่านแคมเปญโฆษณา “เครื่องสำอางเพื่อบ้านคุณ” ที่จะมาบอกเล่าเรื่องราว ของการแต่งเติมบ้านให้ยังคงความสวยสด งดงาม แม้เวลาจะผ่านไป โดยประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อออนไลน์เป็นหลัก   ​