Tag : Townhome

792 ผลลัพธ์
อสังหาฯ ไทยจะเปลี่ยนไปอย่างไร?  หลังวิกฤตโควิด-19

อสังหาฯ ไทยจะเปลี่ยนไปอย่างไร? หลังวิกฤตโควิด-19

เน็กซัส ชี้โควิด-19 สร้าง Covid Shock จุดเปลี่ยนอสังหาฯ พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแบบพลิกฝ่ามือ ทุกคนถูก Fast Forward เข้าสู่โลกอนาคตเพียงพริบตา ปีนี้ซัพพลายเก่าจะถูกเร่งขาย ในขณะที่ซัพพลายใหม่  จะเข้าสู่ตลาดไม่เกิน 30,000 ยูนิต   ถือเป็นโอกาสทองของคนเงินเย็นที่พร้อมช้อนซื้อสินค้าดีราคาประหยัด  ส่งสัญญาณไปยังภาครัฐช่วยพิจารณามาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ทั้งมาตรการการโอน ผ่อนปรนภาษีธุรกิจเฉพาะ และ LTV พร้อมเสนอผ่อนปรนกฎการถือครองกรรมสิทธิ์ ชาวต่างชาติเพื่อช่วยดีเวลลอปเปอร์ไทย   นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด  ประเมินสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์หลังวิกฤตโควิด-19  ว่า ในช่วงปีนี้เป็นช่วงเวลาแห่งการระบายสต๊อกเก่า ข้อมูลจากเน็กซัสพบว่าซัพพลายของคอนโดมิเนียมคงค้างในกรุงเทพฯ ตั้งแต่ปลายปี 2562 มีประมาณ 60,000 ยูนิต คาดว่าในปีนี้ตลาดจะสามารถดูดซับไปได้ประมาณ 80% โดยเราจะเริ่มเห็นการลดราคาจากดีเวลลอปเปอร์ ซึ่งราคาที่ลดลงจะอยู่ในเรทเหมาะสมและค่อนข้างดี เป็นระดับราคาที่ดีเวลลอปเปอร์ยอมรับได้และคุ้มค่าที่จะซื้อในฝั่งผู้บริโภค   คาดการณ์ว่ากลุ่มอสังหาริมทรัพย์ที่จะกลับมาได้รับความสนใจเร็วที่สุดหลังวิกฤติโควิด-19 คือ คอนโดฯ​ ราคาไม่เกิน 4 ล้านบาท เพราะเป็นระดับราคาที่คนกรุงเทพฯ​ ส่วนใหญ่รับได้ และเป็นเรียลดีมานด์ที่ต้องการอยู่อาศัยเลย ส่วนอีกตลาดที่จะฟื้นตัวเร็ว คือ สินค้าในระดับลักซ์ชัวรี ที่ถึงแม้คนส่วนใหญ่จะมีเงินลดลง แต่ยังมีกำลังซื้อมากพอที่จะจ่ายได้ โดยตัวผู้บริโภคเองจะเลือกซื้อสินค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ใหม่ของตัวเอง และมีฟังก์ชั่นที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ เช่น การปรับให้มีห้องทำงานที่เหมาะกับการทำงานที่บ้านได้ เป็นต้น อสังหาฯ ไทยหลังวิกฤตโควิด-19     หากประเมินภาพเชิงลบที่สุด คือ หากวิกฤติโควิด-19 ยังดำเนินต่อไปและไม่สามารถลดปริมาณผู้ติดเชื้อได้ ผู้ประกอบการภาคเอกชนจะอยู่ได้ยาวที่สุดอีกเพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น และจะเป็นงานหนักสำหรับดีเวลลอปเปอร์ เพราะเมื่อภาคธุรกิจขาดสภาพคล่อง จะเริ่มเห็นแนวโน้มการปิดตัวลงของผู้ประกอบการจำนวนมาก ทำให้เม็ดเงิน ในกระเป๋าของผู้บริโภคลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลต่อการตัดสินใจชะลอการซื้อ จะกระทบต่อตลาด อสังหาริมทรัพย์มากขึ้นตามไปด้วย   หากประเมินในภาพบวกเพิ่มขึ้น คือ หากเราสามารถควบคุมจำนวนผู้ติดเชื้อได้  และจำนวนผู้ติดเชื้อค่อยๆ ลดลงจนอยู่ในระดับที่น่าพอใจ ประเมินว่าในช่วงไตรมาส 2 นี้ ตลาดก็อาจจะ ยังไม่สดใสนัก แต่จะเห็นแนวโน้มที่จะค่อยๆ ดีขึ้นตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป เนื่องจากผู้บริโภคเริ่มปรับตัว กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้บ้าง แต่จะเห็นว่าทุกอย่างจะกลับมาดีขึ้นอย่างจริงจังในไตรมาส 3 โดยผู้ประกอบการ หลายรายจะเริ่มกลับมามีกิจกรรมทางการตลาด เพราะอย่างไรก็ตามธุรกิจต้องดำเนินไป   ไตรมาสที่4 จะดีที่สุด และคาดว่าจะเป็นไตรมาสที่รัฐบาลหันกลับมาพิจารณาให้ความสำคัญกับภาคอสังหาฯ โดยมีมาตรการช่วยเหลือ และผ่อนปรนต่างๆ ออกมาเพื่อสนับสนุนให้อสังหาฯ ยังคงเดินต่อไปได้ ในไตรมาส 4 หากภาครัฐออกมาตรการเพื่อสนับสนุนภาคอสังหาฯ  จะเห็นตลาดรีบาวด์กลับมาอย่างชัดเจน  ไม่ว่าจะเป็น มาตรการลดค่าโอน ที่ขยายให้ครอบคลุมทั้งตลาดอสังหาฯ การยืดหยุ่นภาษีธุรกิจเฉพาะ การผ่อนปรนมาตรการ LTV รวมถึงการผ่อนคลายกฎเกณฑ์การถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินของชาวต่างชาติ โดยอาจปรับให้สามารถซื้อที่ดินหรือบ้านในโครงการจัดสรรที่พัฒนาเพื่อที่อยู่อาศัยได้ ซึ่งกำลังซื้อจากต่างชาติจะช่วยให้ตลาดอสังหาฯ ไทยกลับมาได้เร็วมากยิ่งขึ้น เทรนด์การอยู่อาศัยในปี 2564   เนื่องจากปีนี้ ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเร่งระบายสต๊อกเก่า ดังนั้นจะส่งผลให้ซัพพลายใหม่ที่จะออกมา น่าจะไม่เกิน 30,000 ยูนิต จากปกติในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ตลาดคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ จะมีซัพพลายใหม่ออกมาเฉลี่ยปีละ 52,000 ยูนิต และเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 11%ทุกปี ซึ่งผลจาก Covid Shock ในครั้งนี้ส่งผลให้ยอดสะสมของคอนโดฯ จะลดลง ถือเป็นการปรับฐานใหม่อีกครั้งสำหรับอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ   การปรับฐานในครั้งนี้  ไม่เพียงแค่เรื่องจำนวนคอนโดฯ เท่านั้น แต่ยังปรับไปถึงเรื่องการเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้งานในคอนโดฯ หรือบ้านด้วย เพราะการใช้ชีวิตของคนเปลี่ยนไป ทำให้การออกแบบที่อยู่อาศัยต้องตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ใหม่ อาทิ การเริ่มคุ้นชินกับการทำงานที่บ้าน ดังนั้นดีเวลลอปเปอร์จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนเรื่องฟังก์ชั่นภายในบ้านหรือคอนโดฯ เช่น ให้ความสำคัญกับห้องทำงานมากพอกับห้องนอน เป็นต้น   ในส่วนกลางที่เคยให้ความสำคัญกับการมี Co-working space หรือ Co-kitchen แต่ด้วยสถานการณ์โควิด-19 ทำให้คนเรามีระยะห่างมากขึ้น มีความนิ่ง อยู่กับตัวเอง และรักความสะอาดมากกว่าเดิม ดังนั้นสินค้าใหม่ของดีเวลลอปเปอร์ที่จะผลิตออกมา จะชูจุดขายเกี่ยวกับความเป็นส่วนตัว เช่น ห้องครัว หรือห้องทำงาน แบบรองรับคนเพียงคนเดียวจะเป็นรูปแบบที่ถูกได้รับความสำคัญมากอย่างยิ่ง เพราะคนใช้ชีวิตกับตัวเองมากขึ้น รวมถึงการให้น้ำหนักไปกับ Living Room หรือห้องทำงานมากกว่าห้องนอน เพราะเมื่อคนทำงานอยู่ที่บ้าน มักใช้เวลาในห้องเหล่านี้มากกว่าห้องนอน โดยคาดว่าจะเห็นสินค้าใหม่ๆ รูปแบบนี้ออกมาจากดีเวลลอปเปอร์ในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ตลาดรีเทล-อาคารสำนักงานกระทบหนัก กลุ่มรีเทลเป็นอีกกลุ่มสำคัญที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ผู้เช่าที่เคยเช่าพื้นที่ขายของในห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน หรือแม้แต่คอมมูนิตี้มอลล์ต่างๆ จะเริ่มคุ้นชินกับการขายของผ่านออนไลน์ ดังนั้น ต่อจากนี้ไปหน้าร้านจะถูกลดบทบาทความสำคัญลง ผู้เช่าคุ้นชินกับการขายของผ่านโลกออนไลน์มากยิ่งขึ้น มีทักษะด้านออนไลน์เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้การมีหน้าร้านหรือการเช่าพื้นที่ขนาดใหญ่จะถูกลดทอนขนาดการเช่าลง แต่เน้นเรื่องการให้บริการออนไลน์ และการส่งเดลิเวอรี่หรือให้ลูกค้าไปรับสินค้าที่หน้าร้านแทนมากยิ่งขึ้น   ทำให้กลุ่มธุรกิจส่วนนี้ ต้องวางแผนการปรับตัวอย่างมากเพื่อให้พื้นที่เช่ายังคงเป็นที่ต้องการอยู่ ร้านค้าจะเป็นดิสเพลย์ที่ให้ประสบการณ์หลังจากศึกษาข้อมูลออนไลน์ หรือเข้ามาเพื่อรับบริการหลังการขายต่างๆ มากกว่า การตกแต่งภายในของพื้นที่อาจมีความจำเป็นน้อยลง นอกจากนี้พื้นที่ค้าปลีกอาจมี Stand alone เพื่อบริการเดลิเวอรี่มากขึ้น ไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้างสรรพสินค้าใหญ่อีกต่อไป   สำหรับตลาดอาคารสำนักงานนั้น เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ได้รับผลกระทบเช่นกัน เนื่องจากปีที่ผ่านมาและอีก 2 ปีข้างหน้า ตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ จะมีซัพพลายใหม่ออกมาอีกนับเป็นล้านตารางเมตร จากอาคารที่กำลังก่อสร้าง กว่า 40 อาคาร พื้นที่ประมาณ 1.61 ล้านตารางเมตร และจะแล้วเสร็จพร้อมกันในปี 2564 - 2566 แต่พฤติกรรมของคนได้ถูกปรับเปลี่ยนไปแล้ว เพราะการทำงานที่บ้านเริ่มได้รับการยอมรับ และมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดเทรนด์ต่อไป แม้ว่าเหตุการณ์โควิดจะผ่านไปแล้วก็ตาม ส่งผลให้บริษัทต้องการพื้นที่ออฟฟิศลดลง ทั้งจำนวนที่นั่ง โต๊ะทำงาน และห้องประชุม และจะส่งผลกระทบต่อเจ้าของอาคารอย่างชัดเจน เทรนด์ที่เปลี่ยนไปเหล่านี้ล้วนเป็นไลฟ์สไตล์ใหม่  เทรนด์ใหม่ที่ออกมาท้าทายโลกของเราอย่าง Fast Forward แบบที่เราเองก็ไม่นึกมาก่อน ผู้ประกอบการต้องเตรียมความพร้อมที่จะรับมือและต้องปรับตัว อาทิเช่น 1.Facilities ปรับปรุงระบบ Facilities ของอาคารให้สามารถสนับสนุนการทำงาน  ข้ามไปข้ามมาระหว่างที่อาคารสำนักงาน (Head Office) กับการทำงานนอกสถานที่ (Home) โดย Facilities ที่สำคัญ ได้แก่ ระบบทางด้าน IT ที่จะต้องมีความพร้อมในขั้นสูงสุด และพร้อมที่จะปรับเปลี่ยนระบบให้ได้อย่างรวดเร็วตามกระแสการใช้งาน 2.Flexibility เนื่องจากเทรนด์สมัยใหม่ ผู้เช่าหลายๆ รายต้องการความยืดหยุ่นในการใช้พื้นที่ ปรับลด-เพิ่ม ได้ตามความต้องการ ผู้ประกอบการที่เข้าใจในรูปแบบของผู้เช่า อาจจะต้องปรับรูปแบบของสัญญาเช่าและพื้นที่เช่าให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น 3.Fair Price จากการที่ Supply & Demand กำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งยิ่งใหญ่ ในขณะที่ Supply กำลังจะมีคู่แข่งเข้ามาในตลาดที่มากขึ้น ทางด้าน Demand ก็กำลังจะเปลี่ยนรูปแบบของความต้องการ แน่นอนเลยคือตลาด จะพบกับการแข่งขันที่ดุเดือด สิ่งที่จะเห็นได้คือ สงครามราคา ดังนั้นผู้ประกอบการที่ปรับตัวและพร้อมที่จะแข่งขัน ในเรื่องราคาและบริการได้ก่อนผู้ประกอบการรายอื่น ก็จะสามารถผ่านช่วงเวลาท้าทายช่วงนี้ไปได้อย่างไม่ลำบาก  
โกลเด้นแลนด์ กระจายความเสี่ยงธุรกิจ ฝ่าวิกฤตโควิด-19 กวาดรายได้กว่า 3,500 ล้านบาท

โกลเด้นแลนด์ กระจายความเสี่ยงธุรกิจ ฝ่าวิกฤตโควิด-19 กวาดรายได้กว่า 3,500 ล้านบาท

โกลเด้นแลนด์ ปิดยอดธุรกิจในช่วง 3 เดือนแรก ยังทำได้ 3,500 ล้านบาท  ใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมา  จากการปรับกลยุทธ์รับมือสถานการณ์โควิด-19 ทั้งเปลี่ยนรูปแบบการขายไปสู่ออนไลน์ และเพิ่มมาตรการดูแลลูกค้า คู่ค้า พันธมิตร และการกระจายความเสี่ยงธุรกิจ ทั้งพอร์ตที่อยู่อาศัยและรีเทล    นายธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในช่วง 3 เดือนแรกของปีนี้ว่า สามารถทำยอดรับรู้รายได้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 – 31 มีนาคม 2563 เป็นจำนวน 3,500 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมา โดยเป็นผลจากการปรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะการรับมือกับสถานการณ์โควิด-19  รวมถึงการกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ   “บริษัทฯ มีการกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ โดยแบ่งรายได้ออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ โครงการแนวราบ มีโครงการทาวน์โฮม นีโอโฮม และบ้านเดี่ยว ซึ่งเป็นการลงทุนที่ได้ผลตอบแทนระยะสั้น สร้างรายได้ทันที และโครงการเชิงพาณิชย์ ซึ่งมีรายได้จากค่าเช่า ได้แก่ อาคารสำนักงาน  และรีเทล เป็นการลงทุนเพื่อผลตอบแทนระยะยาว ส่งผลให้บริษัทฯ มีความยืดหยุ่นของรายได้ ท่ามกลางสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงกับธุรกิจแทบทุกด้าน"   สำหรับกลยุทธ์การสร้างพอร์ตธุรกิจหลากหลายรูปแบบ การกระจายความเสี่ยงพิสูจน์แล้วว่า ช่วยให้องค์กรผ่านพ้นในทุกวิกฤตได้  ซึ่งในสถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบัน บริษัทฯ ยังได้ปรับกลยุทธ์การดำเนินงานในแต่ละด้านเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ดังนี้ กลยุทธ์ด้านโครงการแนวราบ เนื่องจากความเข้มข้นของสถานการณ์ทำให้ลูกค้าเข้าชมโครงการได้ลำบากมากขึ้น ทางบริษัทฯ จึงได้ปรับรูปแบบการขายไปสู่ออนไลน์มากขึ้นเพื่อเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้กว้างขึ้น อีกทั้งยังลดขั้นตอนเอกสาร และอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าไม่ต้องเข้ามาที่โครงการ สำหรับการก่อสร้างยังคงดำเนินการต่อ เนื่องจากบริษัทฯ มี Backlog รอโอนที่สะสมมาตั้งแต่ปี 2562 และนับเป็นช่วงเวลาที่ดีที่โครงการจะได้ปรับปรุงบ้านของลูกบ้าน และส่วนกลางของโครงการให้มีสภาพที่ดียิ่งขึ้น สิ่งที่น่าสนใจท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ คือ ลูกค้ามีความสนใจโครงการแนวราบมากขึ้น สังเกตจากปริมาณลูกค้าที่ติดต่อเข้ามาที่โครงการยังมีอย่างต่อเนื่อง และเป็นลูกค้าที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจริง กลยุทธ์ด้านโครงการเชิงพาณิชย์ สำหรับศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ บริษัทฯ มีมาตรการในการช่วยเหลือผู้เช่า โดยการไม่เก็บค่าเช่า และค่าส่วนกลาง 100% สำหรับร้านค้าที่ต้องปิดให้บริการตามคำสั่งภาครัฐ และลดค่าเช่า 50% สำหรับร้านค้าที่ยังเปิดให้บริการ นอกจากนี้ยังช่วยเหลือผู้เช่าส่วนอาคารสำนักงานทั้งอาคารปาร์คเวนเชอร์ อีโคเพล็กซ์ สาทรสแควร์  เอฟวายไอ เซ็นเตอร์ และมิตรทาวน์ออฟฟิศทาวเวอร์ที่ได้รับผลกระทบ เพื่อเป็นส่วนช่วยให้พันธมิตร ร้านค้า และผู้เช่า ทุกรายสามารถผ่านวิกฤตนี้ไปด้วยกัน กลยุทธ์ด้านการบริหารจัดการ การบริหารค่าใช้จ่ายอย่างรัดกุม และการจัดการกระแสเงินสดอย่างรอบคอบ เป็นหัวใจสำคัญของการบริหารจัดการในขณะนี้ และทำให้เรามั่นใจว่า บริษัทฯ สามารถดำเนินธุรกิจผ่านพ้นช่วงวิกฤตนี้ไปได้ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า คือ การดูแลพนักงานไม่ให้ได้รับผลกระทบทางด้านการเงิน  และดูแลความปลอดภัยของพนักงานเป็นสำคัญ อาทิ การแจกหน้ากากอนามัย และผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้อ ฯลฯ พร้อมยกระดับระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ด้วยนโยบายการทำงานจากบ้าน (Work from home) โดยทางบริษัทฯ ได้สนับสนุนด้านอุปกรณ์ และเทคโนโลยีอย่างเต็มที่ และยังกระตุ้นให้พนักงานฝึกอบรมเพื่อการพัฒนาตัวเองทางออนไลน์อย่างต่อเนื่อง”   “วิกฤติโควิด-19 นี้เราต้องมีสติในการรับมือกับปัญหา ในทุกวิกฤตมีโอกาสเสมอ เป็นโอกาสให้ได้เรียนรู้ วิกฤตครั้งนี้ไม่มีใครคาดการณ์ได้ว่าจะจบลงเมื่อไร เราต้องดูแลพนักงาน และพันธมิตรทางธุรกิจ เพื่อเป็นกำลังสำคัญให้ธุรกิจของเราผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้ อย่าปล่อยให้วิกฤตผ่านไปโดยไร้ค่า เรียนรู้ จดจำ และทุกคนต้องเชื่อมั่น และร่วมมือกันปรับตัวให้ทัน โกลเด้นแลนด์ขอเป็นกำลังใจให้ทุกฝ่ายผ่านพ้นวิกฤติได้ในที่สุด”
มองแนวโน้มตลาดอสังหาฯ EEC ในสถานการณ์โควิด-19 ปี 2563

มองแนวโน้มตลาดอสังหาฯ EEC ในสถานการณ์โควิด-19 ปี 2563

การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ต้นปีนี้  ได้ส่งผลกระทบไปยังทุกภาคส่วน ทั้งวิถีชีวิตของประชาชน และธุรกิจต่างๆ ซึ่งในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นั้น ก็ได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้   ล่าสุด ทางศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ดำเนินการรวบรวมและวิเคราะห์สถานการณ์ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยใน 3 จังหวัด “โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” หรือ EEC ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ปี 2562 และประเมินแนวโน้มภาพรวมปี 2563 ตามปัจจัยประกอบต่างๆ ที่เกิดขึ้นว่าจะมีแนวโน้มและทิศทางเป็นเช่นไร ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า  ภาพรวมในปี 2562 สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยใน 3 จังหวัด “โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก” หรือ EEC ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ในด้านอุปทานมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2561 ทั้งการขออนุญาตจัดสรรที่ดิน และการออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร    แต่ในด้านอุปสงค์การโอนกรรมสิทธิ์มีจำนวนยูนิตลดลงเล็กน้อย แต่มูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปี 2561 แสดงให้เห็นว่าที่อยู่อาศัยที่โอนในปี 2562 มีราคาเฉลี่ยต่อยูนิตสูงกว่าปี 2561 และเป็นที่สังเกตว่า ในพื้นที่อำเภอสัตหีบ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่รัฐบาลประกาศให้เป็น “เมืองการบินภาคตะวันออก” มีผู้ประกอบการให้ความสนใจลงทุกพัฒนาโครงการอาคารชุดเพิ่มมากขึ้น ปี 63 อสังหาฯ หดตัวตามเศรษฐกิจ-พิษโควิด   สำหรับในปี 2563 ตลาดที่อยู่อาศัยจะมีปัจจัยลบรุมเร้ามากกว่าปัจจัยบวก สาเหตุจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อ COVID-19 และภาวะภัยแล้งรุนแรง มีผลทำให้เศรษฐกิจของประเทศหดตัว ส่งผลให้มีการเลิกจ้างแรงงานจำนวนมาก และรายได้ของเกษตรกรลดลง กระทบกับกำลังซื้อที่อยู่อาศัยในวงกว้าง แม้ว่าในปีนี้จะมีปัจจัยบวกในด้านอัตราดอกเบี้ยขาลง ราคาน้ำมันลดลง มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาลที่มีผลไปถึงสิ้นปี 2563 และมีการผ่อนปรนเกณฑ์ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทยก็ตาม   ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ จึงคาดการณ์ว่า ในปี 2563 ตลาดที่อยู่อาศัยจะมีการหดตัวตามภาวะเศรษฐกิจ ทั้งในด้านอุปทานและอุปสงค์ โดยในด้านอุปทานการขออนุญาตจัดสรรที่ดินคาดว่าจะหดตัว 17.8% และการออกใบอนุญาตก่อสร้างคาดว่าจะหดตัว 15.3% เมื่อเทียบกับปี 2562 โดยอาคารชุดจะหดตัวมากกว่าที่อยู่อาศัยแนวราบ ส่วนในด้านอุปสงค์การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยคาดว่าจำนวนยูนิตจะหดตัว 11.9% และมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์จะหดตัว 21.5% จัดสรรใหม่ปี 62 มีกว่า 2 หมื่นยูนิต ภาพรวมในปี 2562 ทั้งปี มีการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเพื่อที่อยู่อาศัยใน EEC จำนวน 175 โครงการ 21,814 ยูนิต  จำนวนโครงการเพิ่มขึ้น 2.9% และจำนวนยูนิต เพิ่มขึ้น 22.6%  เมื่อเทียบกับปี 2561 โดยใบอนุญาตจัดสรรที่ดินส่วนใหญ่เป็นทาวน์เฮ้าส์มากที่สุด จำนวน 14,066 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 64.5% ของจำนวนการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยวจำนวน 3,978 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 18.2% และบ้านแฝดจำนวน 3,461 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 15.9% เป็น อาคารพาณิชย์จำนวน 218 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 1.0% และที่เหลือเป็นที่ดินจัดสรร ตามลำดับ เมื่อพิจารณารายจังหวัดในพื้นที่ EEC ในปี 2562 จังหวัดที่มีการออกใบอนุญาตจัดสรรมากที่สุด ได้แก่ 1.จังหวัดระยอง มีสัดส่วน 44.5% ของการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอปลวกแดงอำเภอนิคมพัฒนาและอำเภอเมืองระยอง 2.จังหวัดชลบุรี มีสัดส่วน 44.4% ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอศรีราชา อำเภอนิคมเมืองชลบุรี และอำเภอพานทอง ตามลำดับ 3.จังหวัดฉะเชิงเทรา มีสัดส่วน 11.1% ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอบางปะกงอำเภอเมืองฉะเชิงเทราและอำเภอแปลงยาวตามลำดับ   สำหรับแนวโน้มการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินใน 3 จังหวัดEEC ในปี 2563 ศูนย์ข้อมูลฯ คาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 17,938 ยูนิต ลดลงจากปี 2562 17.8% โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ประมาณ 16,145-16,938 ยูนิตและลดลงจากปี 2562 ระหว่าง -26.0% ถึง -9.5% ใบอนุญาตสร้างคอนโดฯ พุ่ง 151.6% ภาพรวมในปี 2562 ทั้งปีมีการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัย มีจำนวนประมาณ 41,949 ยูนิต เพิ่มขึ้น 35.0% เมื่อเทียบกับปี 2561 แบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบ จำนวน 29,845 ยูนิต เพิ่มขึ้น 14.3% และอาคารชุด จำนวน 11,649 ยูนิต เพิ่มขึ้นมากถึง 151.6%   เมื่อพิจารณารายจังหวัดในพื้นที่ EEC ในปี 2562 จังหวัดที่มีการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยมากที่สุด ได้แก่ 1.จังหวัดชลบุรี มีการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยประมาณ 26,527 ยูนิตคิดเป็นสัดส่วน  63.9% ของการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั้งหมด โดยแบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 17,803 ยูนิต และอาคารชุดจำนวน 8,724 ยูนิตส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอศรีราชา อำเภอเมืองชลบุรี และอำเภอสัตหีบ ตามลำดับ 2.จังหวัดระยอง มีการออกใบอนุญาตก่อสร้างประมาณ 10,378 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 25.0% โดยแบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 7,480 ยูนิต และอาคารชุดจำนวน 2,898 ยูนิต ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอเมืองระยอง อำเภอปลวกแดง และอำเภอแกลง ตามลำดับ 3.จังหวัดฉะเชิงเทรา มีการออกใบอนุญาตก่อสร้างประมาณ 4,590 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 11.1% โดยแบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 4,562 ยูนิต และอาคารชุดจำนวน 28 ยูนิต ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา อำเภอแปลงยาว และอำเภอพนมสารคาม   สำหรับแนวโน้มการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยใน 3 จังหวัด EEC ปี 2563 ศูนย์ข้อมูลฯ คาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 35,166 ยูนิต ลดลง 15.3% โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ประมาณ 31,649 -37,275 ยูนิตและขยายตัวลดลงระหว่าง  23.7% ถึง 10.2% เมื่อเทียบกับปี 2562 ซึ่งมีจำนวน 41,494 ยูนิต โดยคาดว่าจะมีการขออนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยอาคารชุดลดลง 43.7% และที่อยู่อาศัยแนวราบคาดว่าจะลดลง 4.1% จำนวนโอนลดแต่มูลค่าเพิ่มขึ้น ภาพรวมในปี 2562 ทั้งปี มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย มีจำนวน 50,675 ยูนิต และมีมูลค่า 99,905 ล้านบาท ซึ่งจำนวนยูนิตลดลงเล็กน้อย 0.3%  แต่มูลค่าเพิ่มขึ้น 5.9% เมื่อเทียบกับปี 2561 ซึ่งมีจำนวน 50,825 ยูนิต และมูล่า 94,377 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบ จำนวน 36,718 ยูนิต มีมูลค่า 69,316 ล้านบาท และอาคารชุด จำนวน13,957 ยูนิตมีมูลค่า 30,589 ล้านบาท   เมื่อพิจารณารายจังหวัดที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบมากที่สุด ได้แก่ 1.จังหวัดชลบุรีมีจำนวน 21,888 ยูนิต และมีมูลค่า 45,010 ล้านบาท (ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอศรีราชา บางละมุง และเมืองชลบุรี) 2.จังหวัดระยองมีจำนวน 10,967 ยูนิต และมีมูลค่า 17,381 ล้านบาท (ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอเมืองระยอง อำเภอปลวกแดง และบ้านฉาง) 3.จังหวัดฉะเชิงเทรามีจำนวน 3,863 ยูนิต และมีมูลค่า 6,924 ล้านบาท (ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา บางปะกง และบ้านโพธิ์)   ส่วนจังหวัดที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยอาคารชุดมากที่สุด ได้แก่ 1.จังหวัดชลบุรี มีจำนวน 12,705 ยูนิต และมีมูลค่า 29,096 ล้านบาท (ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอบางละมุง ศรีราชา และสัตหีบ) 2.จังหวัดระยอง มีจำนวน 711 ยูนิต และมีมูลค่า 963 ล้านบาท (ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอเมืองระยอง แกลง และปลวกแดง) 3.จังหวัดฉะเชิงเทรา มีจำนวน 541ยูนิต และมีมูลค่า 530 ล้านบาท (ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอเมืองฉะเชิงเทรา บ้านโพธิ์ และบางปะกง) ทั้งนี้ ในปี 2562 การโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่ (หรือบ้านที่โอนจากนิติบุคคล) มีจำนวน 28,817 ยูนิต และโอนกรรมสิทธิ์บ้านมือสอง (บ้านที่โอนจากบุคคลธรรมดา) มีจำนวน 21,858 ยูนิต ทำให้สัดส่วนจำนวนยูนิตโอนกรรมสิทธิ์บ้านสร้างใหม่ต่อบ้านมือสองในปี 2562 เท่ากับ 57: 43 ขณะที่มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ของบ้านสร้างใหม่ต่อบ้านมือสองมีสัดส่วน 64: 36 สำหรับแนวโน้มการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยใน 3 จังหวัด EEC ในปี 2563 ศูนย์ข้อมูลฯ  คาดว่าจะมีจำนวนประมาณ  44,657 ยูนิตลดลง 11.9%  จากปี 2562โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ที่ประมาณ  40,191 - 49,123 ยูนิต และมีมูลค่า 78,443 ล้านบาท ลดลง 21.5% จากปี 2562 โดยมีช่วงคาดการณ์อยู่ที่ประมาณ  70,599 - 86,288 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2562
มั่นคง เดินแผนธุรกิจ 5 ปี รักษาธุรกิจให้โตในภาวะผลกระทบ  Covid-19

มั่นคง เดินแผนธุรกิจ 5 ปี รักษาธุรกิจให้โตในภาวะผลกระทบ Covid-19

มั่นคงเคหะการ เดินหน้าตามแผนธุรกิจ 5 ปี เน้นปรับตัวและรูปแบบการดำเนินงาน รับมือผลกระทบ ไวรัสโควิด-19  ดึงเทคโนโลยีออนไลน์ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคปัจจุบัน   แจงไตรมาสแรกของปี 2563 ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย สามารถทำยอดขายได้กว่า 500 ล้านบาท ในขณะที่ยอดจอง Pre-Approve และ Backlog เพิ่มขึ้นถึง 80% ด้านธุรกิจเพื่อเช่าและการบริการ ยังคงมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง  สิ้นปี 2562  รายได้เพิ่มขึ้น 30% เตรียมขายทรัพย์สินกว่า 2,000 ล้านบาท เข้ากองทรัสต์ เพื่อการบริหารจัดการสภาพคล่องทางการเงิน นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการจำกัด (มหาชน)  หรือ MK  เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของทุกภาคธุรกิจ ในส่วนของบริษัทได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวไม่มากนัก  เนื่องจากได้เตรียมพร้อมรับมือ และปรับเปลี่ยนแผนงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การปรับการทำงานของทีมงาน​ การปรับการขายที่ดึงเอาเทคโนโลยี  Virtual Tour 360 องศา มาใช้  ให้ลูกค้าชมบ้านเสมือนจริงแม้ไม่ได้เดินทางมาที่โครงการ  และยังสามารถเลือกเป็นเจ้าของผ่านช่องทาง Line ได้อีกด้วย   นอกจากนี้ กลุ่มลูกค้าของบริษัท ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง และกว่า 70% เป็นลูกค้าไม่ติดภาระสัญญากู้เงินที่อยู่อาศัย ประกอบกับสินค้าของบริษัทอยู่ในระดับราคา 3-5 ล้านบาท จึงทำให้ได้รับผลกระทบ   ไม่มากหนัก ยิ่งไปกว่านั้นยังออกโปรโมชั่นต่างๆ ที่ช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อบ้านได้ง่ายขึ้น ทำให้บริษัทฯ ยังสามารถ   ทำยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง   "ในไตรมาสแรกของปีนี้บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้กว่า 500 ล้านบาท ซึ่งหากนับรวมยอดจอง Pre-Approve และ Backlog แล้ว สามารถทำยอดขายคิดเป็น 35% ของเป้าตลอดทั้งปี 2563 และช่วง 2 เดือนแรกที่ผ่านมา บริษัทมียอดจอง Pre-Approve และ Backlog  ประมาณ  90 ล้านบาทต่อสัปดาห์ เพิ่มขึ้น 80%" ส่วนภาพรวมธุรกิจเพื่อเช่าและการบริการในปี 2562 มีรายได้รวม 530 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากปี 2561 เป็นผลจากความแข็งแกร่งของแผนธุรกิจ 5 ปี  ที่มุ่งสร้างสมดุลรายได้เพื่อความมั่นคง  นับว่าเป็นแผนการดำเนินงานของบริษัทซึ่งดำเนินมาถูกทางแล้ว  แม้ในภาพรวมของการขายอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย  จะชะลอตัวไปบ้างด้วยปัจจัยต่างๆ แต่ด้วยแผนธุรกิจของบริษัท ทำให้เรามีรายได้จากธุรกิจเพื่อเช่าและการบริการ หรือธุรกิจรายได้ประจำเข้ามาเสริมและช่วยรักษาสมดุล   สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน ที่บริหารงานโดย บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด  ยังคงทำผลงานได้ดี ในปี 2562 ที่ผ่านมามีผู้เช่าแล้วกว่า 90% ของพื้นที่เช่า, ธุรกิจโครงการ พาร์ค คอร์ท (Park Court) สุขุมวิท 77 คอนโดมิเนียมและอพาร์ตเมนต์ระดับลักซ์ชัวรี่ไฮเอนด์ให้เช่า ยังสามารถรักษาอัตราเช่าให้อยู่ที่ 80% ของจำนวนห้องเช่าทั้งหมด, ธุรกิจสนามกอล์ฟ ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรีคลับ, ธุรกิจบริการด้านดูแลจัดการบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดย บริษัท ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด รวมไปถึงธุรกิจโครงการสถานพยาบาล สถานฟื้นฟู และเวชศาสตร์ชะลอวัย (Wellness Center) ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มการเติบโต และมีแผนจะเปิดตัวช่วงปลายปี 2563   ในส่วนของหุ้นกู้และตั๋วแลกเงินที่จะครบกำหนดในช่วงปีนี้ บริษัทได้มีการเตรียมแผนการเงินเพื่อเสริมสภาพคล่องไว้ล่วงหน้าแล้ว โดยในช่วงปลายปีที่ผ่านมาบริษัทได้ระดมออกหุ้นกู้ 3 ปี 11 เดือน เป็นจำนวนเงิน 1,565 ล้านบาท  อีกทั้งได้มีการขายทรัพย์สินที่ไม่อยู่ในแผนพัฒนาในอนาคตอันใกล้เป็นจำนวนเงินกว่า 2,600 ล้านบาทในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา นอกเหนือจากนี้ยังมีทรัพย์สินที่ไม่มีภาระผูกพันอีกมากกว่า 2,500 ล้านบาท ทำให้บริษัทฯ มีความยืดหยุ่นเพื่อใช้เป็นช่องทางในการเสริมสภาพคล่อง สำหรับปีนี้ได้เตรียมที่จะขายทรัพย์สินในส่วนของโรงงานและคลังสินค้าให้เช่ากว่า 130,000 ตารางเมตร มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท เข้ากองทรัสต์ เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์  โดยทาง กลต.ได้อนุมัติให้จัดตั้งบริษัทจัดการกองทรัสต์ดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว และคาดว่ากองทรัสต์จะเสนอขายต่อประชาชนได้ในไตรมาส 3 นี้  ทั้งนี้เมื่อปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน (Interest bearing debt ratio) ให้ยังคงอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดย ณ สิ้นปี มีสัดส่วนเท่ากับ 1.3 เท่า ซึ่งถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม   ในปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ท้าทายด้วยปัจจัยหลายๆ ด้าน ทั้งปัจจัยจากไวรัสโควิด-19 และสภาวะเศษฐกิจทั้งหลาย แต่บริษัทยังคงเดินหน้าสานต่อนโยบายสร้างความสมดุลของรายได้  ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายและธุรกิจที่สร้างรายได้  อย่างสม่ำเสมอทั้งเช่าและการบริการ และมุ่งมองหาโอกาสในการพัฒนาโครงการที่มีศักยภาพ เพื่อขยายในส่วนของธุรกิจเพื่อสร้างรายได้ ตามแผนการดำเนินธุรกิจ 5 ปี พร้อมขยับสัดส่วนกำไรของทั้ง 2 ฝั่งให้อยู่ที่  50:50 ภายใน ปี 2564 เพื่อเป็นการเพิ่มความมั่นคงให้บริษัทฯ ตามแผนที่วางไว้
บทวิเคราะห์ ไวรัส “โควิด-19” กับก้าวย่างที่ไม่ง่ายของอสังหาฯไทย

บทวิเคราะห์ ไวรัส “โควิด-19” กับก้าวย่างที่ไม่ง่ายของอสังหาฯไทย

สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา หรือ ไวรัส COVID-19 ที่ส่งผลอย่างมากต่อทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคมหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย ทั้งนี้ภาคอสังหาริมทรัพย์เป็นภาคเศรษฐกิจหนึ่งที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก คำถามที่อยู่ในใจของเรา คือ “แล้วภาคอสังหาริมทรัพย์จะเดินหน้าต่อไปอย่างไร”   ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า  คำถามนี้เป็นคำถามที่ไม่มีใครทราบคำตอบที่แน่นอน แต่ในเบื้องต้นลองมาพิจารณาข้อมูลล่าสุด ของศูนย์ข้อมูลฯ  กัน เนื่องจากจะเป็นโจทย์ที่สำคัญในการขับเคลื่อนภาคอสังหาฯ ด้านที่อยู่อาศัยในปี 2563 ยอดขายใหม่ลดฮวบ ! 30% จากข้อมูลการสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยจาก 26 จังหวัดหลักทั่วประเทศ  ของศูนย์ข้อมูลฯ ที่สรุปตัวเลขเบื้องต้นออกมา พบว่า “ยอดขายได้ใหม่” ในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 ขายได้ประมาณ 54,000 ยูนิต ลดลงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนประมาณ  30% และยังพบว่ามีการปรับตัวลดลงของ “อัตราการดูดซับ” เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  โดยลดลงเหลือ 2.54% จาก 4.11% ในปีก่อน ภาวะเช่นนี้ได้สะท้อนให้เห็นว่า สถานการณ์ด้านการขายอสังหาฯ ด้านที่อยู่อาศัยครึ่งหลังของปี 2562 มีการชะลอตัวที่ชัดเจน หลังจากที่มีการใช้มาตรการตั้งแต่เดือนเมษายน 2562 ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2562 ก็มีภาวะที่ชะลอตัวเช่นกัน  ส่งผลให้สถาบันการเงินมีการเข้มงวด การพิจารณาการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น   ประเด็นที่มีการจับตามองของทุกภาคส่วนคือ ปริมาณที่อยู่อาศัยเหลือขาย โดยผลการสำรวจพบว่า “ยูนิตที่อยู่อาศัยเหลือขาย” ทั่วประเทศ ณ สิ้นปี 2562 มีประมาณ 300,000 ยูนิต ซึ่งมีจำนวนยูนิตเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนประมาณ 10% ทั้งที่การเปิดตัวของโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในปี 2562 ลดลงกว่าปีก่อนหน้าถึงประมาณ 20% นับว่าเพิ่มมากกว่าที่ศูนย์ข้อมูลฯ ได้คาดไว้ ซึ่งประเด็นสำคัญคงเป็นผลมาจากภาวการณ์ของตลาดดังเช่นที่กล่าวมาข้างต้น   หากพิจารณาแยกสถานะของการก่อสร้างของที่อยู่อาศัยเหลือขาย พบว่ามี “ยูนิตเหลือขายที่สร้างเสร็จแล้ว” ประมาณ 68,000 ยูนิต หรือเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนประมาณ 12% แต่หากมองแยกประเภทที่อยู่อาศัยจะเห็นได้ว่ามี “อาคารชุด (คอนโดมิเนียม) เหลือขายที่สร้างเสร็จแล้ว” เพียงประมาณ 30,000 ยูนิต หรือเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อนเพียง 2% ซึ่ง 2 ใน 3 อยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล จึงอาจกล่าวได้ว่าไม่ผิดปกติอะไร โดยอาคารชุดที่สร้างเสร็จเหล่านี้ส่วนหนึ่งมาจากโครงการที่ทยอยก่อสร้างเสร็จตามแผน   ดังนั้น จึงอาจกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ยูนิตเหลือขายที่สร้างเสร็จแล้ว ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่จะเป็นบ้านแนวราบ โดยจำนวนรวม 38,000 ยูนิต มีการเพิ่มสูงกว่าปีก่อนถึง 21% ตามกระแสของการพัฒนาที่อยู่อาศัยในปัจจุบันที่ผู้ประกอบการทุกค่ายมุ่งไปสู่ Real Demand กันเป็นส่วนใหญ่ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญกับตัวเลขนี้ในการวางแผนทางธุรกิจอย่างมาก เพราะจะกระทบต่อสภาพคล่องและต้นทุนในการประการ   อย่างไรก็ตาม เรายังต้องให้ความสำคัญกับ “ยูนิตเหลือขายที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง” อีกประมาณ 98,000 ยูนิต ที่เป็นอาคารชุดประมาณ 47,000 ยูนิต ซึ่งประมาณ 3 ใน 4 อยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล  และบ้านแนวราบประมาณ 51,000 ยูนิต ซึ่งประมาณครึ่งหนึ่งอยู่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล โดยยูนิตเหลือขายเหล่านี้อยู่กำลังก่อสร้าง และกำลังจะเสร็จในอีก 1 – 2 ปีข้างหน้า ซึ่งผู้ประกอบการต้องทำการขายให้ได้ก่อนที่จะก่อสร้างเสร็จ และนี่คืออีกหนึ่งภาระที่หนักอึ้งของผู้ประกอบการภายใต้สถานการณ์ในปัจจุบัน ที่มีสถานการณ์โรคระบาด และภาวะเศรษฐกิจที่กำลังจะเข้าสู่ภาวะถดถอย ยอดโอนทั่วประเทศขยายตัว 2.7% ในภาวะที่ดูเหมือนว่าการขายในตลาดที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน  ยังดูซบเซาลงอย่างมาก แต่ยังมีสัญญานที่ดีในเรื่องการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ จะเห็นได้ว่าในปี 2562 ตัวเลขยูนิตโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศยังคงขยายตัวอยู่ประมาณ 2.7% และมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์กลับสูงถึง 4.3% โดยเป็นการขยายตัวของยูนิตการโอนกรรมสิทธิ์จากบ้านแนวราบถึง 4.4% ส่วนอาคารชุดแทบจะไม่ลดลงเลย คือลดลงเพียง 0.6% เท่านั้น สำหรับยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศในเดือนมกราคม 2563 ก็ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ซึ่งมียอดลดลงเพียง 0.5% เท่านั้น แต่มีมูลค่าสูงขึ้น 3.9% โดยยูนิตโอนกรรมสิทธิ์ของบ้านแนวราบขยายตัว2.8% แต่ยูนิตการโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดมีการเคลื่อนไหวลดลง  6.9% ซึ่งส่วนใหญ่ลดลงจากการโอนกรรมสิทธิ์ของคนต่างชาติเนื่องจากภาวะโรคระบาดไวรัส COVID-19 สิ่งนี้ได้สะท้อนให้เห็นได้ว่า การโอนกรรมสิทธิ์ของคนในประเทศของเรายังแข็งแรง และจะเป็นแรงขับเคลื่อนภาคอสังหาริมทรัพย์ของไทยต่อไป   สำหรับสถานการณ์โอนกรรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ  ในภาพรวมทั้งปี 2563 ซึ่งได้รับผลกระทบที่รุนแรง จากไวรัส COVID-19 และส่งผลรุนแรงต่อเศรษฐกิจของประเทศ อาจส่งผลให้ภาพรวมยูนิตโอนกรรมสิทธิ์ลดลงในช่วงประมาณ 333,000 – 312,000 ยูนิต หรือลดลง 11.1% ถึง 16.7% และมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ลดลงในช่วงประมาณ 755,000 – 726,000 ล้านบาท หรือลดลง 13.8% ถึง 17.1% ซึ่งจะมียูนิต ที่ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับ 5 ปีก่อนหน้า แม้ว่ายังคงมีนโยบายกระตุ้นภาคอสังหาฯ ในการลดค่าธรรมเนียมการโอน และค่าจดจำนองให้เหลือประเภทละ 0.01% อยู่ถึงปลายปี   อย่างไรก็ตาม จากแนวทางเชิงนโยบายของรัฐบาล ที่จะใช้ภาคอสังหาฯ เป็นเครื่องจักรสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นขึ้นมาโดยเร็ว เนื่องจากสามารถสร้างการจ้างงานได้จำนวนมากแล้ว ทำให้เชื่อว่า รัฐบาลจะออกนโยบายและมาตรการใหม่ๆ ในการกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา หลังจากภาวการณ์แพร่ระบาดในภาวะวิกฤต  ในช่วงเดือนมีนาคม – เมษายน 2563 ได้ผ่านไป แนะรัฐกระตุ้น Real Demands ทั้งนี้ ศูนย์ข้อมูลฯ ขอสนับสนุนนโยบายต่างๆ ที่ผ่านมาของรัฐบาล และขอเสนอเป็นแนวทางเพื่อพิจารณาเพิ่มเติมในการเสริมสร้างให้ภาคอสังหาฯ  กลับมาแข็งแรง โดยมีความเห็นว่าการสร้าง Demand ใหม่ๆ เข้ามาหนุนเสริมตลาดเป็นเรื่องที่สำคัญ โดยส่งเสริมให้กลุ่มที่มีกำลังซื้อและมีเงินเก็บ นำเงินออกมาลงทุนในการซื้อที่อยู่อาศัย ในภาวะที่ดอกเบี้ยต่ำมากในปัจจุบัน  พร้อมไปกับการเสริมสร้างแรงจูงใจและความมั่นใจให้กับ Real Demands เข้ามาซื้อที่อยู่อีกครั้งหนึ่งเป็นเรื่องสำคัญ เพื่อเป็นการระบาย Supply ส่วนเกินออกไปได้เร็วขึ้น   การกระตุ้นให้เกิดการโอนกรรมสิทธิ์ ผู้ซื้อที่อยู่อาศัยชาวไทย โดยพิจารณาพิจารณาเลื่อนการใช้มาตรการ  Macroprudential และสร้างโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินกู้ของประชาชนให้ง่ายขึ้น นับเป็นปัจจัยสำคัญ และสำหรับกลุ่มผู้ซื้อชาวต่างชาติ อาจพิจารณาเร่งการโอนกรรมสิทธิ์ โดยใช้มาตรการจูงใจในด้านวีซ่าเพื่อการอยู่อาศัย และการลดค่าธรรมเนียมบางประการในช่วงสั้นๆ ประกอบกัน การย่างเท้าเพื่อก้าวเดินหน้าแต่ละก้าวของภาคอสังหาริมทรัพย์ในวันนี้นับเป็นเรื่องที่ยาก แต่เมื่อย่างก้าวแรกไปให้ได้แล้ว ก้าวต่อไปจะง่ายขึ้น เนื่องจากโมเมนตั้มของระบบเศรษฐกิจจะผลักผลักดันให้การขับเคลื่อนไปได้อย่างลื่นไหลได้อย่างดี ขอให้กำลังใจต่อผู้ประกอบการอวังหาริมทรัพย์ทุกบริษัท และขอให้มีความอดทนและรอบคอบกับสถานการณ์เช่นนี้ แล้วเราจะผ่านมันไปด้วยกัน  
แสนสิริ ทำยอดขายไตรมาสแรก 11,000 ล้าน เดินหน้าบุกทำตลาดออนไลน์ต่อ

แสนสิริ ทำยอดขายไตรมาสแรก 11,000 ล้าน เดินหน้าบุกทำตลาดออนไลน์ต่อ

แสนสิริโชว์ยอดขายไตรมาสแรก ทำยอดพุ่ง 11,000 ล้าน  คิดเป็น 40%  ของเป้ารวมทั้งปี 63   ประกาศลุยต่อไตรมาส 2 ขนอสังหาฯ พร้อมอยู่ทำตลาด และขายผ่านทุกช่องทาง     นายอุทัย  อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า บริษัทสามารถสร้างยอดขายไตรมาสแรกของปี 2563 ได้สูงถึง 11,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นยอดขายที่สูงที่สุดในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในขณะนี้ และคิดเป็นการสร้างยอดขายได้ถึง 40% จากเป้าหมายยอดขายทั้งปีที่วางไว้ 29,000 ล้านบาท เป็นการสร้างยอดขายที่ประสบความสำเร็จและรวดเร็วได้ภายในไตรมาสแรกของปีนี้  รวมทั้งยังเติบโตขึ้นเกือบ 70% จากช่วงไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ความสำเร็จของยอดขายดังกล่าว เป็นผลมาจากแสนสิริเป็น “แบรนด์อันดับหนึ่งของคนอยากมีบ้าน” ที่ได้รับรางวัลผู้นำแบรนด์อสังหาฯ ทรงพลังที่สุดต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 จากผลการวิจัยเชิงลึกของ Terra BKK นอกจากนี้ ยังรวมถึงการบริการ ทั้งในส่วนของ Sansiri Service ที่ให้บริการทั้งก่อนและหลังการขาย  LIV-24  การบริการที่ดูแลความปลอดภัยส่งตรงจากศูนย์ควบคุมแบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง มาตรฐานแสนสิริ พร้อมเจ้าหน้าที่พร้อมดูแลทุกจุดในโครงการ  การให้สิทธิพิเศษจากแสนสิริ แฟมิลี่  รวมถึงภาพรวมดีมานต์ที่อยู่อาศัยที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง   ขณะเดียวกัน บริษัทยังประสบความสำเร็จ จากการนำเสนอขายหุ้นกู้มูลค่า 4,000 ล้านบาทในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้มีสภาพคล่องที่สูงจากการนำเงินทุนที่ได้มาพัฒนาโครงการใหม่อย่างมีประสิทธิภาพและขยายการลงทุนได้อย่างเต็มที่  รวมถึงบริษัทยังมี Presale Backlog ที่พร้อมเป็นยอดขายที่สำคัญให้กับแสนสิริในปีนี้และรองรับการเติบโตระยะยาวใน 4 ปี อีกถึง 49,100 ล้านบาท   สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงไตรมาส 2 บริษัทยังมีโครงการที่อยู่อาศัยพร้อมเข้าอยู่ในทุกรูปแบบ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม มิกซ์โปรดักส์ และคอนโดมิเนียม ที่ครอบคลุมในทุกระดับราคา เริ่มตั้นตั้งแต่ 990,000 บาท ขณะเดียวกันยังได้เตรียมพร้อม และมีมาตรการป้องกัน เพื่อความปลอดภัยของลูกค้าในการเข้ามาใน Sale Gallery ของแสนสิริ   ส่วนในไตรมาสที่ 2 บริษัทได้เตรียมเปิดตัวแคมเปญใหม่  ที่จะช่วยกระตุ้นตลาดและตอบรับกลุ่มลูกค้าได้ดีเช่นเดียวกับไตรมาสแรก รวมถึงการรุกการขายในทุกช่องทาง โดยได้เตรียมต่อยอด “24 Hrs. Pre-Sale Online Booking” พรีเซลแบบออนไลน์เรียลไทม์ 100%  ครั้งแรกในไทย ที่ประสบความสำเร็จจากการนำร่องเปิดขายที่โครงการ เดอะ ไลน์ พหลโยธิน พาร์ค ในสัปดาห์ที่ผ่านมา   โดยลูกค้าสามารถเลือกซื้อโครงการคุณภาพพร้อมอยู่ด้วยตนเอง ผ่านช่องทางออนไลน์แบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง สะดวก ง่าย ปลอดภัย และคุ้มค่า ด้วยระบบติดต่อและรับคำปรึกษาจากที่ปรึกษาการขาย Online Agent ผ่าน Live Chat หรือ VDO Call รวมถึงเจ้าหน้าที่คอยดูแลและให้ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับโครงการ ระบบธุรกรรมการเงิน ที่สามารถชำระเงินจองผ่านบัตรเครดิตที่มีความปลอดภัยสูง โดยไม่เสียค่าธรรมเนียม   แสนสิริ ยังขนทัพโครงการพร้อมอยู่อีก 10 โครงการ ใน 10 สุดยอดทำเล ให้ลูกค้าสามารถเลือกซื้อและชมโครงการได้ทาง Sansiri 24 Online Booking พร้อมโปรโมชั่นพิเศษลุ้นรับส่วนลดสูงสุดถึง 1 ล้านบาท โดยแสนสิริ ได้เริ่มนำเอาเทคโนโลยีออนไลน์  เข้ามาทำการตลาดเพื่ออำนวยความสะดวก และตอบโจทย์พฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของลูกค้า ในปี 2552  ซึ่งเริ่มนำ Digital Sales Kit มาใช้  รวมถึงพัฒนา Home Service Application ขึ้น และยังขยายฐานการตลาดเพิ่มช่องทางการขายออนไลน์ สู่แพลตฟอร์มอื่น โดยร่วมกับลาซาด้าเปิด “แสนสิริ ออฟฟิเชียล สโตร์ บน LazMall” ที่ปัจจุบันสร้างยอดขายแล้วกว่า 100 ล้านบาท   ก่อนหน้านี้ แสนสิริ ได้เปิดบริการ Online Booking สำหรับลูกค้าที่สนใจจองโครงการเป็นรอบพิเศษที่ทำควบคู่กับกลยุทธ์การตลาดโปรโมชั่นและราคาที่ดึงดูดเปิดการขายผ่านช่องทางออนไลน์มาแล้วหลายโครงการ อาทิ kawa HAUS, oka HAUS, EDGE Central Pattaya และ THE BASE Phetkasem โดยทุกโครงการมียอดจองมากกว่า 90% ของจำนวนที่เปิดจอง   สำหรับแนวทางการเตรียมความพร้อมรับมือ Covid-19 บริษัทโดยได้ผนึก พลัส พร็อพเพอร์ตี้  วางมาตรการเน้นย้ำความปลอดภัยและสุขอนามัยของลูกบ้าน ลูกค้า พนักงานและพันธมิตร ซึ่งนับเป็นหัวใจสำคัญ โดยชูแนวทาง “Sansiri Care เพราะเราห่วงใย” เตรียมความพร้อมในการป้องกันและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยยกระดับ 3 มาตรการแบบเต็มขั้น ได้แก่   -มาตรการการป้องกัน การดูแล และการรับมือ ครอบคลุมทั้งในด้านความสะอาด -การอำนวยความสะดวกและเตรียมพร้อมรับมือ -การจัดตั้งทีมงานศึกษาและติดตามสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างใกล้ชิด  
พฤกษาปรับกลยุทธ์การขายสู้โควิด-19 ลุยทุกช่องทางออนไลน์  พร้อมอัดแคมเปญพิเศษดันยอดขาย

พฤกษาปรับกลยุทธ์การขายสู้โควิด-19 ลุยทุกช่องทางออนไลน์ พร้อมอัดแคมเปญพิเศษดันยอดขาย

พฤกษา ลุยตลาดออนไลน์ สู้โควิด-19 ที่ทวีความรุแรง พร้อมจับตาสถานสถานการณ์รายววัน เดินหน้าอัดสารพัดแคมเปญและโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขาย    นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่มีความรุนแรงขึ้น ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการติดตามและประเมินสถานการณ์อย่างใกล้ชิดเป็นรายวัน บริษัทฯ จึงได้เร่งปรับกลยุทธ์การขายโดยเน้นในทุกช่องทางออนไลน์ และมีการจัดแคมเปญพิเศษเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ และเป็นการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายของลูกค้าในช่วงนี้   ไม่ว่าจะเป็น   -Online Booking กดจองซื้อบ้านได้ง่ายๆ ตลอด 24 ชม. ผ่าน pruksa.com ที่มีการคัดยูนิตสวย ทั้งทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว คอนโด หลายหลายทำเล ในราคาและเงื่อนไขสุดพิเศษ (Hot Deals) โดยลูกค้าสามารถจองโครงการ และชำระเงินด้วยบัตรเครดิตผ่านระบบ Online ได้ทันที   -จัดแคมเปญพิเศษร่วมกับ Shopee เพียงซื้อ Voucher สำหรับจองโครงการพลัมคอนโด พหลโยธิน 89  ในราคา 4,000 บาท จะได้รับส่วนลดราคาห้อง  10% สำหรับยูนิตที่ร่วมรายการ โดยสามารถซื้อ Voucher ได้ตั้งแต่วันนี้  - 30 เมษายน  2563  พิเศษ !! รับเพิ่มทองคำมูลค่าสูงสุด 2 บาท เพียงโอนในภายใน 31 พฤษภาคม 2563   -ลูกค้าสามารถเยี่ยมชมโครงการผ่าน Facebook Live : Pruksa family club ที่เสมือนชมโครงการด้วยตนเอง และสามารถจองผ่านช่องทางออนไลน์ได้เช่นกัน   -เพิ่มช่องทางการขายผ่านแอพลิเคชั่น Line พร้อมทีมเซลล์คอยซัพพอร์ตผ่าน Live เมื่อต้องการชมห้องตัวอย่างจริง   -บริการผ่อนดาวน์ชำระค่างวดบ้านผ่าน The Living App โดยสามารถเช็คจำนวนงวดผ่อนชำระคงเหลือ พร้อมรับใบเสร็จผ่าน App ได้ทันที     สำหรับลูกค้าที่สนใจเข้าชมโครงการที่สำนักงานขายด้วยตนเอง ยังสามารถเข้าชมโครงการได้ตามตามเวลาทำการปกติ จนกว่าจะมีคำสั่งการเปลี่ยนแปลงจากรัฐบาล โดยบริษัทฯ มีมาตรการรับมือกับไวรัสโควิด-19 อย่างเข้มข้น โดยคำนึงถึงสุขอนามัยของลูกค้าและพนักงานเป็นสำคัญ   นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีบริการให้คำปรึกษาในด้านของการขอสินเชื่อรวมถึงการวางแผนทางการเงินเพื่อให้ลูกค้าทุกคนสามารถมีบ้านได้ในช่วงสถานการณ์นี้  ลูกค้าสามารถนัดหมายเข้าเยี่ยมชมโครงการและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมผ่าน Contact Center โทร. 1739 หรือ ผ่าน www.pruksa.com ได้ตลอด 24 ช.ม.  
ORI กวาดยอดขายกว่า 4,500 ล. พร้อมออก 3 มาตรการรับมือโควิด-19

ORI กวาดยอดขายกว่า 4,500 ล. พร้อมออก 3 มาตรการรับมือโควิด-19

“ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้”  คาดปิดยอดขายไตรมาสแรกได้มากกว่า 4,500 ล้าน สวนกระแสปัจจัยลบ ไวรัส COVID-19 พร้อมเดินหน้า 3 มาตรการเข้าสู้ มั่นใจทำผลงานทั้งปีได้ตามเป้าหมาย 21,500 ล้าน   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า สถานการณ์ของภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมทุกกลุ่มในปีนี้ ถือเป็นสถานการณ์แห่งความท้าทาย เนื่องจากมีปัจจัยภายนอกที่ควบคุมได้ยากอย่าง COVID-19 เข้ามากระทบ อย่างไรก็ดี ยอดขายของบริษัทตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 24 มีนาคม 2563 ยังถือว่าเป็นไปได้อย่างยอดเยี่ยมภายใต้สถานการณ์ดังกล่าว  โดยมียอดขายประมาณ  4,500 ล้านบาท หรือคิดเป็น 21% ของเป้ายอดขายทั้งปี 2563   ทั้งนี้ ยอดขายดังกล่าวแบ่งเป็นยอดขายจากกลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม ทั้งโครงการที่เพิ่งเปิดขายเมื่อปี 2562 และโครงการสร้างเสร็จพร้อมอยู่ (Ready to move) รวมกว่า 3,000 ล้านบาท และจากกลุ่มธุรกิจบ้านจัดสรร อีกกว่า 1,500 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจากกระแสตอบรับที่ดีของโครงการเปิดตัวใหม่ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการบริทาเนีย สายไหม และโครงการแกรนด์บริทาเนีย วงแหวน-รามอินทรา “เราได้ทำแผนการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง หรือ Business Continuity Plan มาตั้งแต่ต้นปี พยายามทำการบ้านอย่างหนักมากในช่วงก่อนหน้านี้ เพื่อให้ผู้บริโภคยังคงมั่นใจ ไว้ใจ เข้าใจ และสามารถเข้าถึงโครงการของเราได้อย่างปลอดภัย ไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพ ทั้งผ่านมาตรการการจัดการ COVID-19 อย่างเข้มงวดในบริเวณสำนักงานขาย ตลอดจนการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ ทำให้เรายังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค”     นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ปี 2563 ถือเป็นปีแห่งความท้าทาย โดยเฉพาะจากเรื่อง COVID-19 ที่สถานการณ์ยังมีความเปลี่ยนแปลงและมีมาตรการใหม่ๆ จากภาครัฐออกมาอย่างต่อเนื่อง บริษัทให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว จึงได้จัดประชุมผู้บริหารอยู่เป็นประจำ เพื่อให้สามารถออกมาตรการใหม่ๆ ได้อย่างทันท่วงที และในช่วงเวลานี้ บริษัทตระหนักดีว่าทุกภาคส่วนจำเป็นต้องมีความเข้าอกเข้าใจ (Empathy) ซึ่งกันและกัน   เพื่อให้ผ่านสถานการณ์อันยากลำบากไปได้ จึงพิจารณามาตรการใหม่ๆ เพื่อคน 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.มาตรการเพื่อผู้บริโภค ทั้งเพื่อกลุ่มที่กำลังพิจารณาจะซื้อโครงการของออริจิ้น และกลุ่มที่ปัจจุบันเป็นลูกบ้านออริจิ้นแล้ว 2.มาตรการเพื่อพนักงาน โดยมีมาตรการที่ได้เริ่มดำเนินการไปแล้ว เช่น การเปิดให้พนักงานบางส่วนที่ไม่ต้องทำงานเกี่ยวข้องกับลูกค้าโดยตรง สามารถ Work From Home ได้ตั้งแต่เมื่อวันจันทร์ที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา 3.มาตรการเชิงธุรกิจ เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการธุรกิจ เดินหน้าจับมือพันธมิตรใหม่ๆ ในรูปแบบ Open Platform เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้บริโภค พร้อมทั้งพิจารณาปรับปรุงแผนให้ธุรกิจยังคงสามารถขับเคลื่อนไปได้ภายใต้ทุกสถานการณ์ โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นมาตรการใหม่ๆ ในทั้ง 3 ด้านดังกล่าว ออกมาอย่างต่อเนื่องในเดือน เมษายนนี้   สำหรับปี 2563 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 14 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 20,000 ล้านบาท โดยเปิดตัวไปแล้ว 2 โครงการในช่วงไตรมาส 1 คือ โครงการ บริทาเนีย สายไหม มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท และ โครงการ แกรนด์ บริทาเนีย วงแหวน-รามอินทรา มูลค่าโครงการ 1,900 ล้านบาท   “ตามปกติแล้ว ช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คือช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 เราจึงเชื่อมั่นว่า ด้วยยอดขายที่สามารถทำได้อย่างยอดเยี่ยมในไตรมาส 1 ประกอบกับยอดขายในไตรมาส 3 และ 4 ซึ่งสถานการณ์น่าจะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้นแล้ว เราจะยังสามารถทำยอดขายได้ 21,500 ล้านบาทตามเป้า”    
พีดีเฮ้าส์ ฝ่าวิกฤตโควิด-19 เน้นสื่อออนไลน์ พร้อมปรับแผนตามสถานการณ์

พีดีเฮ้าส์ ฝ่าวิกฤตโควิด-19 เน้นสื่อออนไลน์ พร้อมปรับแผนตามสถานการณ์

โควิด-19 ฉุดเศรษฐกิจทั่วโลกทรุด หลายภาคธุรกิจชะงักงัน ไม่เว้นรับสร้างบ้านที่อาจได้รับผลกระทบหากสถานการณ์ของโควิด-19 ยืดเยื้อ พีดีเฮ้าส์เผยยอดจองสร้างบ้านในช่วง 2 เดือนแรกที่ผ่านมา ยังคงเป็นไปตามแผนโดยกวาดยอดจองเกือบ 200 ล้านบาท เล็งจัดงาน "รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์แฟร์ ครั้งที่ 1" เอาใจผู้บริโภค   นายพิศาล  ธรรมวิเศษ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป จำกัด ภายใต้แบรนด์ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ (PD House)  เปิดเผยว่า แม้สถานการณ์ของไวรัสโควิด -19 จะส่งผลกระทบต่อหลายธุรกิจเป็นวงกว้าง หลายธุรกิจเกิดการชะงักงันหรือหนักสุดอาจถึงขั้นหยุดดำเนินการ แต่ในส่วนของธุรกิจรับสร้างบ้านเอง แม้ภาพรวมอาจได้รับผลกระทบไม่มากนัก เนื่องจากลูกค้ามีการวางแผนปลูกสร้างบ้านไว้ล่วงหน้าแล้ว แต่หากสถานการณ์ของไวรัสโควิด -19 ยืดเยื้อก็คงไม่อาจหลีกเลี่ยงผลกระทบรุนแรงครั้งนี้อย่างแน่นอน   สำหรับพีดีเฮ้าส์เอง ในช่วง 2 เดือนแรกที่ผ่านมา (มกราคม-กุมภาพันธ์ 2563) ยอดขายรวมถือว่าสวนกระแสปัจจัยลบรอบด้าน เพราะมียอดจองแล้วเกือบ 200 ล้านบาท หรือจำนวนเกือบ 50 หน่วย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะลูกค้ามีการวางแผนออมเงินสำหรับปลูกสร้างบ้านไว้แล้ว จึงพร้อมที่จะใช้จ่ายเงินกับเรื่องที่อยู่อาศัย โดยมิได้กังวลกับปัจจัยภายนอก รวมถึงผู้บริโภคเองต้องการปลูกสร้างบ้านกับบริษัทรับสร้างบ้านมืออาชีพ มีผลงานคุณภาพมาตรฐานและเป็นที่ยอมรับ โดยเฉพาะลูกค้าจากต่างจังหวัด ได้หันมาใช้บริการกับบริษัทรับสร้างบ้านมากขึ้น ซึ่งพีดีเฮ้าส์เองมีสาขารองรับอยู่ทั่วทุกภูมิภาคอยู่แล้ว ทำให้ตัวเลขยอดจองของบริษัทขยายตัวและสามารถครองส่วนแบ่งทางการตลาดในพื้นที่ต่างจังหวัดเพิ่มขึ้นทุกปี โดยในครึ่งปีแรกนี้บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดจองสร้างบ้านไว้ 400-500 ล้านบาท   อย่างไรก็ตามในปี 2563 นี้พีดีเฮ้าส์เองยังคงจับตามองดูสถานการณ์ของเศรษฐกิจภายในประเทศและการระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างใกล้ชิด หากสถานการณ์เลวร้ายไปกว่านี้ก็คงต้องมีการปรับแผนรับมือให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยในช่วงปลายไตรมาสแรกต่อเนื่องต้นไตรมาส 2 ปีนี้ พีดีเฮ้าส์จะเน้นเรื่องของข้อมูลข่าวสารที่ส่งตรงถึงลูกค้าผ่านการโฆษณาและประชาสัมพันธ์  สื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดียในหลาย ๆ ช่องทาง อาทิ Google Facebook Instagram Twitter ฯลฯ และเน้นให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ   นอกจากนี้ ยังเพิ่มความต่อเนื่องในเรื่องกิจกรรมทางการตลาด โดยเตรียมจัดงาน "รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์แฟร์ ครั้งที่1"  ขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศ ระหว่างวันที่ 18 - 31 มีนาคม 2563 นี้ เพื่อตอบรับมาตรการลดความเสี่ยงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าที่มีความต้องการปลูกสร้างบ้านหลังใหม่ ในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยบริษัทจะจัดงานพร้อมกัน ณ ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ ทั้ง 24 สาขา ครอบคลุมพื้นที่ให้บริการสร้างบ้านมากกว่า 50 จังหวัด   ด้านนางสาวถิรพร สุวรรณสุต กรรมการบริหารสายงานการตลาด บริษัท พีดี เฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้บริหารสิทธิ์แฟรนไชส์ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ กล่าวเพิ่มเติมว่า  จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 บริษัท จึงต้องปรับกิจกรรมทางการตลาดให้เข้ากับสถานการณ์ เพื่อความสะดวกของผู้บริโภคโดยเน้นใช้ช่องทางโซเชียลมีเดีย (Social Media) หรือเครือข่ายสังคมออนไลน์ (Social Network) ควบคู่ไปกับการจัดอีเว้นท์พร้อมกันทุกสาขาของศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ในทุกภูมิภาค   โดยล่าสุดได้จัดแคมเปญ "มีนาต้องมีโปร@รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์แฟร์" หรือ PD House on Sale@ PD House Fair ยกทัพแบบบ้านสวยในฝันและแบบบ้านขายดี รวมทั้งแบบบ้านซีรีย์ใหม่ Modern Mediterranean และ Modern Farmhouse Style รวมกว่า 200 แบบ ซึ่งแคมเปญนี้จะมอบรับส่วนลดเงินสดสูงสุด 1,000,000 บาท, ฟรี! Voucher แทนเงินสดค่าออกแบบตกแต่งภายในสูงสุด 200,000 บาท, ฟรี! เครื่องปรับอากาศทั้งหลัง มูลค่าสูงสุด 100,000 บาท, พร้อมอัพเกรดวัสดุคุณภาพ เราจัดให้แบบไม่ต้องขอ สำหรับลูกค้าที่จองปลูกสร้างบ้านกับศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 มีนาคมนี้ โดยคาดการณ์จะมียอดจองรวมจากแคมเปญนี้ 100-150 ล้านบาท
ดีเวลลอปเปอร์ ต้องรอด!! ออกมาตรการสู้ไวรัสโควิด-19

ดีเวลลอปเปอร์ ต้องรอด!! ออกมาตรการสู้ไวรัสโควิด-19

ตอนนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขยายวงกว้างมากขึ้น แถมจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง แม้ไม่รุนแรงเหมือนหลายประเทศ แต่ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะจบลง และไม่รู้จะจบเมื่อไรด้วย   ไม่เพียงแต่ไวรัสโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนโดยทั่วไป แต่ยังได้กระทบไปถึงธุรกิจต่างๆ แทบจะทุกธุรกิจไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม ทำให้เจ้าของกิจการพยายามหาหนทาง เพื่อที่จะอยู่รอดให้ได้ในสถานการณ์ปัจจุบัน   สำหรับแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ผู้ประกอบการโดนผลกระทบมาต่อเนื่อง จากมาตรการ LTV ปัญหาค่าเงินบาท ปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อหดหาย ซ้ำร้ายปีนี้มาเจอกับไวรัสโควิด-19 เป็นแรงหนุนเพิ่มปัญหาให้หนักเข้าไปอีก แต่ผู้ประกอบการต่างพยายามดิ้นรน หาหนทางรอดเพื่อสู้กับปัญหา หลายรายยังมองว่าทุกวิกฤติมีโอกาส หากมีกำลังใจและต่อสู้กับปัญหาอย่างเต็มที่ มาดูกันว่าตอนนี้ผู้ประกอบการอสังหาฯ  ใช้อะไรในการสู้กับวิกฤตครั้งนี้บ้าง เพอร์เฟค จับมือ วิริยะ มอบประกันโควิด-19    พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค มอบประกันคุ้มครองไวรัสโคโรนา โดย วิริยะประกันภัย สำหรับลูกค้าที่ซื้อบ้านและทาวน์โฮม รวมถึง ลูกค้าที่เข้าเยี่ยมชมทุกโครงการ ภายในเดือนเมษายนนี้ นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มอบความคุ้มครองให้แก่ลูกค้าของ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ด้วยแผนประกันโควิดชีลด์  ติดปุ๊ปรับปั๊ป เมื่อตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด-19 รับเงินก้อนทันที 100,000 บาท หากนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลจากโควิด-19 มีค่าชดเชยรายวัน วันละ 300 บาท สูงสุด 14 วัน พร้อมคุ้มครองการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุอีก 100,000 บาท   โดยลูกค้าที่ซื้อบ้านและทาวน์โฮมที่โอนกรรมสิทธิ์ภายในเดือนเมษายนนี้ จะได้รับความคุ้มครองดังกล่าว เป็นระยะเวลา 1 ปี  เพื่อให้ความอุ่นใจในช่วงที่โควิด-19 มีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว  นอกจากนี้ ลูกค้าที่เข้าเยี่ยมชมโครงการของพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ทุกโครงการ ภายในเดือนเมษายนนี้ จะได้รับสิทธิ์ความคุ้มครองนาน 30 วัน โดยไม่มีค่าใช้จ่าย หากตรวจพบว่าติดเชื้อโควิด-19 รับทันที 30,000 บาท พร้อมค่าชดเชยรายวันกรณีนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลและประกันชีวิตด้วยเช่นกัน เป็นการส่งมอบความห่วงใยแก่ลูกค้าที่มีความกังวลเรื่องการระบาดของไวรัสโควิด-19 ในขณะนี้ LPN ให้พนักงาน Work from Home LPN ออกนโยบาย Work from Home ลดความเสี่ยงติดเชื้อไวรัสโควิด-19 หลังพบอัตราการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะที่ผ่านมา เตรียมแผนรับมือและจัดตั้งทีมเฉพาะกิจ ให้พนักงานสามารถทำงานที่บ้านได้อย่างราบรื่น เน้นย้ำเรื่องการสื่อสารในภาวะวิกฤต ต้องรวดเร็วและถูกต้อง   นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า  จากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ระบาดทั่วโลกและมีอัตราการระบาดเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในประเทศไทยในระยะเวลาที่ผ่านมา LPN ได้ติดตามและเฝ้าดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด และเตรียมมาตรการ Work from Home เพื่อให้พนักงานสามารถทำงานที่บ้าน เป็นการลดความแออัดและลดโอกาสในการแพร่เชื้อ   โดยบริษัทได้ประกาศคิกออฟมาตรการดังกล่าว เริ่มต้นวันแรกในวันที่ 17 มีนาคม 2563 ซึ่งได้ลดสัดส่วนจำนวนพนักงานประจำสำนักงานใหญ่ให้เหลือ 50% สลับกับพนักงานที่ทำงานที่บ้าน โดยบริษัทได้เตรียมพร้อมในแง่ระบบการทำงาน มีการใช้ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อความคล่องตัวในการสื่อสารและการประชุมร่วมกัน รวมถึงสนับสนุนอุปกรณ์การทำงาน เพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ในส่วนของสำนักงานขายและนิติบุคคลตามโครงการต่างๆ ยังปฏิบัติหน้าที่ตามปกติ โดยมีแผนรองรับหากเกิดภาวะฉุกเฉิน   มาตรการ Work from Home 50% ในครั้งนี้ ถือเป็นการเตรียมความพร้อมของบริษัท หากประเทศไทยเข้าสู่ภาวะติดเชื้อโควิด-19 ระยะ 3 และจำเป็นต้องปิดสำนักงานทั้งหมด เพื่อให้ลูกค้าสามารถมั่นใจได้ว่า LPN จะยังคงดำเนินงานได้แบบไม่มีสะดุด จะยังคงให้บริการลูกค้าอย่างสมบูรณ์ที่สุด   ในส่วนของการดูแลพนักงานนั้น นอกเหนือจากนโยบาย Work from Home ที่ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อของพนักงานแล้ว LPN ยังได้ยกเลิกระบบสแกนนิ้วที่อาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อ รวมถึงได้ทำการพ่นยาฆ่าเชื้อที่สำนักงานใหญ่ นอกจากนี้ ยังมีระบบเฝ้าระวังและติดตามพร้อมให้การดูแลหากพนักงานติดเชื้อโควิด-19 และมีการซื้อประกันโควิด-19 ให้กับกลุ่มพนักงานผู้ปฏิบัติงานประจำโครงการต่างๆ อีกด้วย   ที่ผ่านมา บริษัทได้เชิญวิทยากรจากกรมคุมโรคติดต่อ กระทรวงสาธารณสุข มาจัดอบรมแก่พนักงานและบริษัทในเครือ ในการดูแลตัวเอง และแนวทางการปฏิบัติหากเกิดกรณีพนักงานหรือเจ้าของร่วมในโครงการต่างๆ ติดเชื้อโควิด-19 จึงถือว่า LPN มีการเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ต่อสถานการณ์ขณะนี้ แสนสิริ ขายคอนโดฯ ออนไลน์ รับดีมานด์ลูกค้าช่วง COVID-19 แสนสิริ เปิดขายคอนโดฯ ออนไลน์ ผ่าน “Sansiri 24 Online Booking” รับไลฟ์สไตล์ลูกค้าในยุคดิจิทัล และดีมานด์ลูกค้าไม่ออกจากบ้านช่วง COVID-19 ขน 10 โปรเจ็กต์ 70 ยูนิตจัดราคาพิเศษ   นายปิติ จารุกำจร รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและบริหารกลยุทธ์โครงการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้รุกตลาดผ่านกลยุทธ์การขายและบริการออนไลน์ “Sansiri 24 Online Booking” เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ลูกค้าในยุคดิจิทัล ตอบโจทย์ดีมานด์ในตลาดที่ยังมีอยู่สูง ซึ่งต้องการซื้อที่อยู่อาศัยพร้อมเข้าอยู่ได้ทันที ผ่านช่องทางการตลาดออนไลน์ที่อำนวยความสะสวกให้กับลูกค้าได้ซื้อคอนโดฯพร้อมอยู่ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องออกจากบ้าน   รวมถึงเพิ่มโอกาสรองรับดีมานด์ลูกค้าช่วง COVID-19 อีกด้วย ซึ่งบริษัทยังจัดโปรโมชั่นราคาพิเศษ  ให้ลูกค้าเลือกซื้อยูนิตที่ชอบ และชมโครงการได้เสมือนกับมาที่โครงการ โดยมีเจ้าหน้าฝ่ายขายติดต่อกลับทันที เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกหลังการจอง โดยมีโครงการของแสนสิริเข้ารวม 10 โครงการ จำนวน 70 ยูนิตพิเศษ ซึ่งลูกค้าสามารถซื้อคอนโดฯ ได้ง่าย ทุกที่ตลอด 24 ชั่วโมง   “แสนสิริ ยังมีบริการ Sansiri Service เพื่อมอบประสบการณ์ดีที่แตกต่างแก่ลูกค้า โดยพร้อมดูแลตลอดทุกช่วงการอยู่อาศัย ที่ทำให้บ้านได้มากกว่าบ้าน ตั้งแต่บริการโอน ดูแลบริหารโครงการโดยพลัส พร็อพเพอร์ตี้ อุ่นใจมากกว่าด้วยบริการ LIV-24 ปลอดภัย 24 ชม. บริการ Move-In Experience เตรียมความพร้อมก่อนการเข้าอยู่อาศัยอย่างครบวงจรผ่าน และไลฟ์สไตล์พริวิเล็จมากมายจากแสนสิริ แฟมิลี่”  “อัลติจูด แจกประกันลูกค้าเยี่ยมชมโครงการ  “อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์” รับมือไวรัสโควิด-19 เตรียมแจกประกันภัย สำหรับผู้เข้าชมโครงการ   นายชยพล หรรรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้แบรนด์ ‘ALTITUDE’ เปิดเผยว่า ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้แม้จะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอตัว และจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่กระทบกับทั้งประเทศไทยและทั่วโลก บริษัทฯ ได้ตระหนักและคำนึงถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยมีการปรับตัวในการดำเนินธุรกิจมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา   โดยให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน จึงได้ซื้อประกันภัยโควิด-19 มอบให้กับพนักงาน และผู้เข้าเยี่ยมชมโครงการของอัลติจูด ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยผู้ต้องการเข้าชมโครงการต้องลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ของบริษัท www.altiude.co.th เค.อี. เน้นความสะอาดสูงสุด รับมือโควิด-19 เค.อี.แลนด์ เน้นความสะอาดสูงสุด รับมือไวรัสโควิด-19 พร้อมออก 7 มาตรการให้พนักงานปฎิบัติ พร้อมเฝ้าระวัง-ติดตามข่าวสารอย่างใกล้ชิด    นางศุภานวิต เอี่ยมสกุลรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เค.อี. และผู้บริหารกองทรัสต์ BKER เปิดเผยว่า บริษัทได้เตรียมมาตรการรับมือไวรัสโควิด-19 เพื่อสุขภาพและความปลอดภัย ของร้านค้า ผู้เช่า ลูกค้าที่มาใช้บริการศูนย์การค้า คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์ (ซีดีซี)  เดอะ คริสตัล (เอกมัย-รามอินทรา, ราชพฤกษ์, ชัยพฤกษ์) เพลินนารี่ มอลล์, เดอะซีน (ทาวน์อินทาวน์)  อมอรินี่, แอมพาร์ค (จุฬา)  สัมมากร (รามคำแหง, ราชพฤกษ์, รังสิต) และพนักงานทุกคน   โดยออกประกาศมาตรการป้องกันและเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยกำชับทุกหน่วยงานให้เข้มงวดและดำเนินมาตรการป้องกันสูงสุด ทั้งการเฝ้าระวัง การป้องกัน และการควบคุม ตามที่กระทรวงสาธารณสุขและราชกิจจานุเบกษา ประกาศให้โรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ โควิด-19 (Coronavirus Disease 2019 : COVID-19) เป็นโรคติดต่ออันตราย   สำหรับมาตรการการดูแลความสะอาดของสถานที่อย่างต่อเนื่อง มีดังนี้ 1.การฉีดพ่นทำความสะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อและการเช็ดทำความสะอาดบริเวณพื้นที่ส่วนกลาง 2.ให้บริการเจลแอลกอฮอล์ล้างมือในจุดต่างๆ บริเวณทางเข้า-ออกหน้าลิฟท์ บันไดเลื่อน ห้องน้ำ โดยเติมแอลกอฮอล์ไม่ให้ขาด 3.เพิ่มความถี่ในการทำความสะอาดจุดสัมผัสต่างๆ ในพื้นที่ที่ใช้ร่วมกัน เช่น ปุ่มลิฟท์โดยสาร ราวบันไดเลื่อน 4.ทำความสะอาดห้องน้ำด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น ก๊อกน้ำ ชักโครก สายฉีดชำระ ทุกครึ่งชั่วโมง 5.จัดเตรียมอุปกรณ์ทำความสะอาดภายในห้องน้ำส่วนกลางให้มีเพียงพอ 6.กำหนดให้พนักงาน ร้านค้าผู้เช่า สวมหน้ากากอนามัย และหากพบมีอาการป่วย ไอ เป็นไข้ ให้หยุดปฏิบัติงานทันที โดยให้พบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย และรักษาจนกว่าจะหาย หรือกรณีเดินทางกลับจากต่างประเทศจะให้หยุดงานเพื่อเฝ้าระวัง 14 วัน 7.กรณีฉุกเฉินหรือมีข้อสงสัยเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 นอกจากนี้ ยังมีการรณรงค์และขอความร่วมมือจากร้านค้าผู้เช่า โดยการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันเชื้อไวรัสดังกล่าว โดยร่วมกับทุกร้านค้าทำความสะอาดพื้นที่ภายในร้าน (Big Cleaning) เพื่อสร้างความปลอดภัยและความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการ และพนักงานของร้านค้าผู้เช่าด้วย   ทั้งนี้ บริษัทฯ จะติดตามสถานการณ์และเตรียมความพร้อมในการเสริมมาตรการต่างๆ เพื่อสร้างความปลอดภัยให้กับร้านค้าผู้เช่า ลูกค้าที่มาใช้บริการ และพนักงานทุกคนอย่างดีที่สุด เพื่อให้ทุกฝ่ายร่วมผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปพร้อมกัน
รวมโปรโมชั่น “บ้าน-คอนโดฯ” สู้ไวรัสโควิด-19

รวมโปรโมชั่น “บ้าน-คอนโดฯ” สู้ไวรัสโควิด-19

ระยะเวลาปี 2563 เดินทางมาเกือบจะหมดไตรมาสแรกของปีกันแล้ว แวดวงอสังหาริมทรัพย์ดูเหมือนจะเงียบเหงา ดีเวลลอปเปอร์ส่วนใหญ่แทบไม่มีใครเปิดโครงการใหม่ออกขาย ส่วนใหญ่จะกินบุญเก่ากับโครงการเดิมๆ ที่เปิดขายมาก่อนหน้า เพราะสถานการณ์ปีนี้ เต็มไปด้วยปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องมาจากปีที่ผ่านมา  และต้นปีนี้ยังมีปัญหาไวรัสโควิด-19 มาซ้ำเติมให้เจ็บหนักกันไปอีก   สิ่งหนึ่งที่ดีเวลลอปเปอร์ทำกันตอนนี้ คงหนีไม่พ้นการจัดโปรโมชั่น เพื่อเรียกยอดขาย และหาแนวทางในการกระตุ้นยอดขายให้มากขึ้น จากสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยปัจจัยลบ มาดูกันว่าตอนนี้มีโปรโมชั่นจากผู้ประกอบการอะไรออกมากันบ้าง เมเจอร์ จัด LAST CHANCE!! LUCKY NO.9 เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จัดโปร LAST CHANCE!! LUCKY NO.9  ส่งท้ายกับ คอนโดฯ 8 โครงการ ทำเลใจกลางเมือง ใกล้รถไฟฟ้า ราคาพิเศษเริ่ม 2.9 ล้านบาท รับโปรโมชั่นฟรี 9 รายการ พร้อมลุ้นรับ On Top ส่วนลดเพิ่มสูงสุด 200,000 บาท   นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทประสบความสำเร็จจากแคมเปญ “LUCKY NO.9 เฮง 9 ต่อ รับฟรี 9 อย่าง” จึงได้จัดแคมเปญต่อเนื่องโอกาสสุดท้าย สำหรับผู้ที่ต้องการเลือกซื้อคอนโดฯ ใจกลางเมืองใกล้รถไฟฟ้า กับแคมเปญ LAST CHANCE!! LUCKY NO.9  ฟรี! โปรโมชั่นกว่า 9 รายการ ด้วยฟรีค่าโอนฯ, ส่วนกลาง, เงินกองทุน, ประกันและติดตั้งมิเตอร์ไฟ, บัตรกำนัลเฟอร์นิเจอร์และเครื่องใช้ไฟฟ้า, ที่พักสุดชิคจาก Centra Maris Resort Jomtien และแก็ตเจต โดนใจ IPhone 11   โดยบริษัทได้คัดสรร 8 โครงการ พร้อมอยู่ มาจัดแคมเปญครั้งนี้  อาทิ  โครงการเอ็ม จตุจักร ใกล้ BTS หมอชิต และ สะพานควาย, MRT จตุจักร และ กำแพงเพชร  โครงการมาเอสโตร19 รัชดา19 – วิภา ทำเลใจกลางรัชดาฯ ใกล้ MRT สถานีรัชดาภิเษก โครงการมาเอสโตร 03 รัชดา – พระราม 9 ใกล้ MRT สถานีพระราม 9, สถานีศูนย์วัฒนธรรม Airport Link สถานีมักกะสัน และใกล้จุดขึ้นลงทางด่วนพิเศษศรีรัช  โครงการมาเอสโตร 14 สยาม – ราชเทวี ทำเลศักยภาพ 'ราชเทวี' ใกล้รถไฟฟ้า BTS ราชเทวี เพียง 300 เมตร สถานีเดียวถึงสยาม นอกจากนี้ยังมีโครงการเมทริส พระราม 9 - รามคำแหง ทำเลติดริม ถ.พระราม 9 และถนนรามคำแหง ใกล้ MRT รามคำแหง 12  โครงารเมทริส พัฒนาการ – เอกมัย ตั้งอยู่บนถนนพัฒนาการ ใกล้ทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ โครงการเอ็ม ทองหล่อ 10 ใกล้ BTS ทองหล่อ และโครงการมาเอสโตร 01 สาทร-เย็นอากาศ ทำเลย่านธุรกิจ ใกล้ BTS ศาลาแดง และ MRT ลุมพินี   ขณะเดียวกันในวันที่ 21-22 มีนาคมนี้ บริษัทได้เพิ่มข้อเสนอสุดพิเศษ ลุ้นรับส่วนลด On Top สูงสุดถึง 200,000 บาท** ในงาน Event ที่ Sales Gallery สำหรับ 6 โครงการ ได้แก่  เอ็ม จตุจักร, มาเอสโตร19 รัชดา19 – วิภา, มาเอสโตร 03 รัชดา – พระราม 9, มาเอสโตร 14  สยาม – ราชเทวี, เมทริส พระราม 9 – รามคำแหง และเมทริส พัฒนาการ – เอกมัย  อีกด้วย   ตลาดอสังหาฯ ปีนี้ยังคงเติบโต แต่ไม่ได้หวือหวามากนัก มั่นใจว่าตลาดยังมีเรียลดีมานด์ มีความต้องการที่อยู่อาศัยอย่างแท้จริง  เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง จัด NC EXPO 2020 เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง  เปิดแคมเปญใหญ่ NC EXPO 2020   Hot Price Hot Zone  ผนึก 8 แบงค์ มอบอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ชูมหกรรมบ้าน เอ็น.ซี  9 แบรนด์คุณภาพ รีบจอง ภายใน 31 มีนาคมนี้   นายสมนึก ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึง แคมเปญใหญ่ต้นปี 2020  “NC EXPO 2020 Hot Price Hot Zone” นำโครงการบ้าน-คอนโดฯ พร้อมอยู่ 9 โครงการทุกทำเล จัดราคาพิเศษ และได้รับแคมเปญพิเศษ อาทิ G1 GOLD  ซื้อบ้านได้ทอง  สูงสุด 20 บาท  G2 GIFT ซื้อบ้านรับของแถม ครบคุ้ม อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า G3 GIFT VOUCHER ตกแต่งบ้าน มูลค่าสูง ถึง 100,000 บาท G4 GIVE AWAY ซึ่งเป็นการร่วมสมทบเงินมอบส่วนหนึ่ง เพื่อโครงการรักษ์โลก  ทุกยอดโอน 1 ล้านบาท ร่วมบริจาคสนับสนุน ด้านการคัดแยกขยะลดปัญหาสิ่งแวดล้อม และ G5 GET MORE  รับส่วนลดสูงสุด 2 ล้านบาท  ฟรีทุกค่าใช้จ่ายวันโอนกรรมสิทธ์ ทุกรายการ กรณีโอนเร็ว ภายในเดือนมีนาคม รับ iPhone 11 Pro Max ,IPad gen 7,Apple Wach ,Air Pods ความมั่นใจแคมเปญใหญ่ NC EXPO 2020 Hot Price Hot Zone จะสามารถทำยอดขายกว่า  270 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังได้ร่วมกับ 8 สถาบันการเงิน ให้อัตราดอกเบี้ยพิเศษ ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์กู้สูงสุด 110% ธนาคารออมสิน ดอกเบี้ยพิเศษ 2.7% 3 ปี ธนาคารกสิกรไทย รับดอกเบี้ย 3.32%นาน 3 ปี ธนาคารทหารไทย รับดอกเบี้ย 2.89 % 3 ปี ฟรีค่าประกันอัคคีภัย ธนาคารกรุงไทย ดอกเบี้ยพิเศษ 0.99% ปีแรก ธนาคารกรุงศรี รับดอกเบี้ยคงที่ 1% นาน 1 ปี พร้อมฟรี จดจำนอง ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กู้ได้วงเงินสูงสุด 110%  และ LH Bank รับดอกเบี้ยเริ่มเต้น 2.9% หรือผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท  (2ปีแรก ) “อัลติจูด” แจกประกันโควิด-19   “อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์” ลุยตลาดแนวราบ เจาะกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่จริง เตรียมแจกประกันภัยโควิด-19 สำหรับผู้เข้าชมโครงการ ตั้งเป้ายอดขาย 2,000 ล้านบาท     นายชยพล หรรรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้แบรนด์ "ALTITUDE" เปิดเผยว่า ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้แม้จะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ชะลอตัว และจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่กระทบกับทั้งประเทศไทยและทั่วโลก บริษัทฯ ได้ตระหนักและคำนึงถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยมีการปรับตัวในการดำเนินธุรกิจมาตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ซึ่งในปี 2563 จึงยังเน้นย้ำกลยุทธ์การเติบโตด้วยธุรกิจร่วมทุนและรับจัดการและพัฒนาสินทรัพย์ (Turnkey Asset Development) เป็นการขับเคลื่อนธุรกิจด้วยโครงการร่วมทุนและร่วมค้า เพื่อเป็นการแก้เกมเศรษฐกิจช่วงขาลง   สำหรับเป้าหมายยอดขายปี 2563 ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 2,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา นับเป็นการเติบโตแบบก้าวกระโดดจากปี 2561 ซึ่งเป็นผลมาจากการดำเนินตามกลยุทธ์ธุรกิจ และกลยุทธ์การตลาดที่บริษัท วางไว้ได้อย่างถูกต้อง และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 บริษัทได้ตระหนักและให้ความสำคัญด้านความปลอดภัยกับผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน จึงได้ซื้อประกันภัยโควิด-19 มอบให้กับพนักงาน และผู้เข้าเยี่ยมชมโครงการของอัลติจูด ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป โดยผู้ต้องการเข้าชมโครงการต้องลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ของบริษัท www.altiude.co.th แสนสิริ จัดโปรลื่นปรื้ด แสนสิริ เปิดเกมส์รุกหนักไตรมาสแรกปี 63  ยกทัพโครงการพร้อมอยู่และเปิดขายใน 55 โครงการทั่วประเทศ จัดแคมเปญใหญ่ “โปรลื่นปรื้ด”  ตั้งเป้ากวาดยอดขายแคมเปญ 3,000 ล้านบาท กระตุ้นตลาดอสังหาฯ คึกคัก ดันยอดขายปิดไตรมาสแรก   นายอุทัย  อุทัยแสงสุข  ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้ลุยสร้างยอดขายและกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ตั้งแต่ไตรมาสแรก ด้วยราคาและและข้อเสนอพิเศษแบบไม่เคยมีใครให้มาก่อน กับแคมเปญ “โปรลื่นปรื้ด” ล้มทุกโปร ลื่นทุกข้อเสนอ ยกทัพโครงการพร้อมอยู่และเปิดขายใน 55 โครงการทั่วประเทศ ทั้งบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม และทาวน์โฮม มาจัดราคาพิเศษ พร้อมข้อเสนอพิเศษทางการเงินจาก 3 ธนาคารชั้นนำ ทั้งธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารกรุงไทย และธนาคารออมสิน ที่จะร่วมมอบอัตราดอกเบี้ยสุดพิเศษเฉพาะลูกค้าแสนสิริอีกด้วย   ตัวอย่างโครงการที่ร่วมแคมเปญ อาทิ ดีคอนโด แคมปัส กำแพงแสน เริ่มต้นเพียง 890,000 บาท  ดีคอนโด แคมปัส โดม รังสิต เริ่มต้นเพียง 1.69 ล้านบาท ทาวน์โฮมแบรนด์สิริ เพลส ราชพฤกษ์ – 346  ราคาพิเศษเริ่มเพียง 1.89 ล้านบาท มิกซ์โปรดักส์ รวมบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮมไว้ในโครงการเดียว อณาสิริ มะลิวัลย์ ขอนแก่น ราคาพิเศษเริ่มเพียง 2.29 ล้านบาท และคณาสิริ บนหลายทำเล อาทิ บางนา, พระราม 2, ราชพฤกษ์ – 346 ราคาพิเศษเริ่มเพียง 3.99 ล้านบาท สราญสิริ โคราช ราคาพิเศษเริ่ม 4.99 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวแบรนด์บุราสิริ ราคาพิเศษเฉพาะในงาน เริ่ม 4.99 บ้านเดี่ยวแบรนด์เศรษฐสิริ ราคาพิเศษเฉพาะในงาน เริ่ม 5.99 ล้านบาท   ไฮไลท์ที่น่าสนใจของแคมเปญ ยังลุ้นเป็นเจ้าของยูนิตราคาสุดพิเศษ ใน 12 คอนโดฯ พร้อมอยู่ อาทิ ลา กาซิต้า หัวหิน ลุ้นรับราคาพิเศษ 1.79 ล้านบาท เดอะ เบส ไฮท์ อุดรธานี ลุ้นรับราคาพิเศษเพียง 1.39 ล้านบาท  เดอะ เบส เพชรเกษม ลุ้นรับราคาพิเศษเพียง 1.79 ล้านบาท และเดอะ เบส สุขุมวิท 50 ลุ้นรับราคาพิเศษ 1.99 ล้านบาท สำหรับโครงการบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม นอกจากพบแปลงสวยราคาพิเศษในทุกโครงการ ทุกทำเลแล้ว ยังมีโปรโมชั่นจัดเต็มส่วนลดสูงสุดกว่า 1 ล้านบาท ให้คุณเป็นเจ้าของบ้านได้ง่ายที่สุด เพราะแสนสิริจ่ายให้ทั้งหมด ทั้งค่าจดจำนอง ค่าโอนกรรมสิทธิ์ และค่าส่วนกลางสูงสุด ถึง 10 ปี   คาดว่าแคมเปญนี้จะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า และสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ 3,000 ล้านบาท และยังจะช่วยผลักดันให้ยอดขายในช่วงไตรมาสแรกเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้  
สรุปผลงานบิ๊กอสังหาฯ ปี 2562 ทำรายได้รวมกว่า 2.77 แสนล้าน

สรุปผลงานบิ๊กอสังหาฯ ปี 2562 ทำรายได้รวมกว่า 2.77 แสนล้าน

รอบปี 2562 ที่ผ่านมา ต้องยอมรับเลยว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์เมืองไทย ต้องเผชิญภาวะชะลอตัวอย่างชัดเจน จากปัจจัยลบสำคัญ คือ ผลกระทบจากมาตรการ LTV ที่มาซ้ำเติมกับภาวะกำลังซื้อของคนส่วนใหญ่ชะลอตัวลง เพราะภาพโดยรวมไม่ว่าจะเป็นเศรษฐกิจโลก หรือเศรษฐกิจไทย ต่างก็มีปัญหามาก่อนหน้านี้ เมื่อกำลังซื้อมีจำกัด มาเจอกับการเข้มงวดจากการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน และวงเงินการปล่อยกู้ที่ลดลง ตลาดอสังหาฯ จึงได้รับผลกระทบแบบเต็มๆ   จากการสำรวจผลประกอบการของบริษัทอสังหาฯ ที่จะทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ประมาณ 30 บริษัท ซึ่งดำเนินธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาฯ ประเภทที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม หรือคอนโดมิเนียม พบว่ารายได้เมื่อสิ้นปี 2562 ต่างได้รับผลกระทบ ตัวเลขรายได้และกำไรต่างลดลงจากปี 2561 ส่วนใหญ่เหตุผลมาจาก ลูกค้าไม่สามารถกู้เงินซื้อบ้านได้  เพราะมีข้อจำกัดเรื่อง LTV แม้ลูกค้าที่มีความสามารถในการซื้อ แต่ความมั่นใจก็ลดลง จึงชะลอแผนการซื้อที่อยู่อาศัยไปก่อน ขณะที่ฝั่งผู้ประกอบการเอง ยังชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ออกไปก่อน และบางรายก็ลดจำนวนโครงการที่เปิดใหม่ในปีที่ผ่านมาด้วย 30 ดีเวลลอปเปอร์ทำรายได้ลด 4.07% หากดูตัวเลขจากการสำรวจข้อมูลในปี 2562 ที่ผ่านมาพบว่า ผู้ประกอบการอสังหาฯ 30 รายหลัก มีรายได้จากการพัฒนาอสังหาฯ ซึ่งเป็นประเภทที่อยู่อาศัย มีรายได้รวมกว่า 277,810 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 4.07% ซึ่งมีรายได้รวม 289,607 ล้านบานท ขณะที่กำไรในส่วนที่บริษัทได้รับมีมูลค่ารวม  50,144 ล้านบาท ลดลง 6.37% จากปีก่อนหน้าที่มีกำไร 53,558 ล้านบาท แต่หากพิจาณาจากรายได้รวมทั้งหมด ของผู้ประกอบการอสังหาฯ ในปีที่ผ่านมา จะพบว่า มีรายได้เติบโตเล็กน้อย ประมาณ 1.49% จากรายได้รวมจำนวน 332,651 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มีจำนวน 327,766.65 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิรวม 50,438 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยในอัตรา 0.51% จากปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิรวม 50,698 ล้านบาท   เหตุผลที่บริษัทอสังหาฯ ส่วนใหญ่ยังทำรายได้รวมเพิ่มขึ้น และกำไรลดลงเล็กน้อย ซึ่งเรียกได้ว่ายังรักษาความสามารถในการทำกำไรได้ดี ในภาวะและสถานการณ์ที่มีแต่ปัจจัยลบนั้น เป็นเพราะการขยายพอร์ตธุรกิจไปสูตลาดอสังหาฯ ประเภทอื่นๆ ที่ไม่ได้จำกัดตัวเองไว้แต่เฉพาะตลาดที่อยู่อาศัยเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นตลาดสำนักงานให้เช่า ศูนย์การค้า โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ ธุรกิจบริการ คลังสินค้า หรือแม้แต่โรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งหลายธุรกิจไม่ได้รับผลกระทบจากกำลังซื้อที่ชะลอตัวลง แถมยังเป็นธุรกิจทำกำไรได้ดีกว่าธุรกิจที่อยู่อาศัยด้วยซ้ำ ดีเวลลอปเปอร์ Top10 ครองตลาดกว่า 73% ถ้าพิจารณาบรรดาผู้ประกอบการรายใหญ่ 10 อันดับแรก ยังพบว่าเป็นผู้ประกอการที่สามารถสร้างรายได้จากธุรกิจอสังหาฯ เพื่ออยู่อาศัยได้ระดับหมื่นล้านบาทขึ้นไป และยังเป็นกลุ่มผู้ประกอบการที่ครองส่วนแบ่งการตลาดรวมกันมากกว่า 73% อีกด้วย โดยกลุ่มพฤกษา โฮลดิ้ง (PSH) ยังคงเป็นแชมป์ทำรายได้สูงสุดถึง 39,885.21 ล้านบาท แม้ว่าจะลดลง 11.17% จากปีก่อนหน้าที่ทำได้ 44,900.70 ล้านบาทก็ตาม โดยกลุ่มออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) เป็นกลุ่มผู้ประกอบการ Top10 ที่ทำรายได้น้อยสุดด้วยรายได้ 12,278.60 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 15.5% ที่ทำรายได้ 14.523.10 ล้านบาท   หากมาดูการเปลี่ยนแปลงของรายได้จากธุรกิจอสังหาฯ เพื่ออยู่อาศัย 7 ใน 10 บริษัท มีรายได้ลดลงทั้งหมด ที่ลดลงมาก็คือ กลุ่มแลนด์แอนด์เฮ้าส์ (LH) ลดงถึง 17.57%  รายได้ที่ทำได้ในปี 2561 จำนวน 30,513.63 ล้านบาท ลดลงเหลือ 25,15137 ล้านบาท ส่วนบริษัทที่มีรายได้ลดลงเพียงเล็กน้อย คือ กลุ่มศุภาลัย (SPALI) ที่มีรายได้จากการขายอสังหาฯ เพื่อที่อยู่อาศัยดลง 7.85% จากปี 2561 มีรายได้ 25,203.08 ล้านบาท เหลือ 25,151.37 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา   ขณะที่ดีเวลลอปเปอร์ซึ่งติด Top10 สามารถฝ่าปัจจัยลบ สร้างยอดขายเติบโตได้ดี คือ กลุ่มโนเบิล ดีเวลลอปเปอร์ (NOBLE) ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจาก การรับรุ้รายได้จากการขายที่ดินรอการพัฒนา มูลค่า 8,680.7 ล้านบาท รวมถึงการขายสินทรัพย์เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาฯ จำนวน 210 ล้านบาท ซึ่งอาจจะถือว่าเป็นรายได้จากการขายที่พิเศษขึ้นมา หากหักรายการพิเศษนี้ออกไป กลุ่มโนเบิลฯ จะมีรายได้ประมาณ 6,000 ล้านบาท ซึ่งคงไม่ได้ติดอันดับ Top10 แต่ยังคงมีรายได้เติบโตจากปีที่ผ่านมา ซึ่งทำได้ประมาณ 4,974.20 ล้านบาท   ส่วนอีก 2 บริษัทที่สามารถสร้างรายได้จากการขายเติบโต คือ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) (GOLD) ที่ทำรายได้ในช่วง ปี 2562 (มกราคาถึงธันวาคม 2562) จำนวน 15,299.99 ล้านบาท เติบโต 9.02% จากปีที่ผ่านมามีรายได้ 14,034.33 ล้านบาท และอีกบริษัท คือ กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ เฟอร์เฟค (PF) ที่สามารถสร้างการเติบโตได้ 5.01% ด้วยรายได้ 16,367.10 ล้านบาท จากปีก่อนหน้าทำได้ 15,586.60 ล้านบาท   Top10 โกยกำไรกว่า 4 หมื่นล้าน สำหรับปีที่ผ่านมาบิ๊กดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ ยังคงความสามารถในการทำกำไรในส่วนของบริษัท ได้ใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า โดย 10 บริษัทรายใหญ่ทำกำไรในส่วนของบริษัทได้มากถึง 40,088.45 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยเพียง 2.76% จากปี 2561 ที่ทำได้จำนวน 41,224.19 ล้านบาท บริษัทที่ทำกำไรได้สูงสุด และแตะระดับหมื่นล้านบาทนั้น ยังคงเป็นบริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ฯ ที่มีกำไร 10,024.90 ล้านบาท ลดลง 4.30% จากปีก่อนหน้าทำได้ 10,475.42 ล้านบาท ส่วนบริษัทที่กำไรลดลงมากสุด คือ บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) (QH) โดยกำไรลดลง 24.86% จากกำไรในปี 2561 จำนวน 3,797.85 ล้านบาท เหลือจำนวน 2,853.86 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา แม้บริษัทส่วนใหญ่จะกำไรลดลง แต่ยังพบว่ากลุ่ม Top10 มี 3 บริษัทที่กำไรเติบโต คือ บริษัท โนเบิลฯ มีกำไรเติบโต 211.18% จากกำไรจำนวน 986.97 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 3,071.21 ล้านบาท. ซึ่งเป็นผลจากการขายรายการพิเศษนั่นเอง ส่วนอีก 2 บริษัทที่มีกำไรเติบโต คือ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) มีกำไรเติบโต 16.93% จากกำไร 2,045.97 ล้านบาท ในปี 2561  เพิ่มขึ้นเป็น 2,392.44 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา และบริษัท แผ่นดินทองฯ เป็นอีกหนึ่งบริษัทในกลุ่ม Top10 ที่มีกำไร โดยกำไร 2,093.92 ล้านบาท เติบโต 7.27% จากปี 2561 ซึ่งมีกำไร 1,951.97 ล้านบาท 3 บริษัทกำไรเติบโตเกิน 100% ส่วนภาพรวมในรอบปี 2562 บริษัทอสังหาฯ ในตลาดหลักทรัพย์ประมาณ 30 บริษัท สามารถทำกำไรในส่วนของบริษัทรวม  50,144.63 ล้านบาท ลดลง 6.37% จากปี 2561 ที่ทำกำไรได้ 53,558.26 ล้านบาท โดยบริษัทที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่ม Top10 มีกำไรเติบโตโดดเด่น มี 3 บริษัท  คือ  บริษัท ไรมอนแลนด์ จำกัด (มหาชน) (RML)  มีกำไรเติบโต 228.30% จากกำไรในปี 2561 จำนวน 17.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็น 79.30 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา และบริษัท ชาญอิสสระดีเวล็อปเนท์ จำกัด (มหาชน) (CI) ซึ่งทำกำไรเติบโตถึง 228.39% จากกำไรจำนวน 82.4 ล้านบาท ในปี 2561 เพิ่มขึ้นเป็น 270.59 ล้านบาท เป็นผลจากการโอนกรรมสิทธิ์จากโครงการต่างๆ ที่เปิดขายมาก่อนหน้า   ส่วนอีกบริษัทที่มีกำไรเติบโตโดดเด่น ไม่พูดถึงไม่ได้ เพราะสามารถผลิกฟื้นธุรกิจจากขาดทุนมาเป็นกำไร คือ บริษัท เอเวอร์แลนด์ จำกัด (มหาชน) (EVER)  ที่สามารถผลิกจากการขาดทุนในปี 2561 จำนวน  340.86 ล้านบาท มาเป็นกำไรได้ 323.84 ล้านบาท หรือเติบโตถึง 195% ซึ่งเป็นผลมาจาก การโอนกรรมสิทธิ์โครงการต่างๆ อาทิ  เดอะโพลิแทน รีฟ เฟส 1 และโครงการทาวน์โฮม แบรนด์เอเวอร์ ซิติ้ สุขสวัสดิ์ 30-พุทธบูชา โครงการเอเวอร ซิตี้ ศรีนครินทร์-หนามแดง และโครงการมายโอม อเวนิว เป็นต้น ถือว่าทำผลงานได้ดีที่สุดในรอบ 7 ปีเลยทีเดียว   บทสรุป ของปี 2562 ที่ผ่านมา คงเห็นภาพได้ชัดเจนว่า ตลาดอสังหาฯ​ ได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV ภาวะเศรษฐกิจ และกำลังซื้อ และน่าจะยังคงส่งผลกระทบต่อเนื่องมาถึงปี 2563 ยิ่งสถานการณ์ตอนนี้ เกิดปัญหาไวรัสโควิด-19 อีกด้วย เชื่อว่าตลาดอสังหาฯ ปีนี้ ก็คงชะลอตัวต่อเนื่องเช่นกัน แต่จะมากน้อยแค่ไหนนั้น คงต้องวัดผลกันอีกครั้งในช่วงสิ้นปี                        
รีวิวทาวน์โฮม 3 ชั้น “Supalai Urbana แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด” สไตล์โมเดิร์น ฟังก์ชั่นดี

รีวิวทาวน์โฮม 3 ชั้น “Supalai Urbana แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด” สไตล์โมเดิร์น ฟังก์ชั่นดี

2563 เป็นปีที่ทุก Developer หันมาบุกตลาดแนวราบกันอย่างเต็มกำลัง แม้แต่ค่ายใหญ่ที่ทำแนวราบอย่างต่อเนื่องในทำเลที่กระจายอยู่ทั่วประเทศมาตลอดอย่าง Supalai ที่ยังคงขยันทำการบ้านหาช่องว่างของตลาด เพื่อเติมโครงการให้เต็มทุก Segment และล่าสุดกับแบรนด์ทาวน์โฮมน้องใหม่ "Supalai Urbana" ซึ่งตั้งใจวางทำเลในชุมชนเมือง เน้นความสะดวกของการเดินทาง ดีไซน์เรียบงง่าย แต่แฝงไปด้วยฟังก์ชั่นที่สามารถปรับเปลี่ยนได้เองตามไลฟ์สไตล์อันหลากหลาย เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าวัย 28-38 ปี โดยประเดิมทำเลแรกย่านปากเกร็ด ใกล้กับถนนแจ้งวัฒนะ   Supalai Urbana แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด โครงการแรกภายใต้แบรนด์ Urbana เป็นทาวน์โฮม 3 ชั้น ดีไซน์ใหม่เน้นความยืดหยุ่นในการปรับเปลี่ยนพื้นที่ได้อย่างอิสระ เปิดรับแสงธรรมชาติได้มากขึ้น โดยไฮไลท์จะอยู่ที่พื้นที่อเนกประสงค์บริเวณชานพักบันได และส่วนอื่นของบ้านที่มีขนาดใหญ่พิเศษ สามารถปรับให้มีประโยชน์ใช้สอยได้เพิ่มมากขึ้น และพื้นที่ Open Plan บริเวณพื้นที่รับแขกและส่วนรับประทานอาหาร นอกจากนี้ยังมีระบบ Home Automation ควบคุมระบบไฟฟ้าทั้งหมดในบ้านอีกด้วย   เรียกได้ว่าเป็น Flexible Townhome สไตล์โมเดิร์น ที่ชูคอนเซป "สวิทช์ชีวิตให้สนุกทุกวัน ทาวน์โฮมที่ต่อติดทุกไลฟ์สไตล์" ซึ่งจะมี 2 Type ได้แก่ ศุภนรา พื้นที่ใช้สอย 156 ตร.ม. บนที่ดินขนาด 19.6 ตร.ว. 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 พื้นที่อเนกประสงค์ ที่จอดรถ 2 คัน หน้าบ้านกว้าง 5.7 เมตร ศุภธรา พื้นที่ใช้สอย 138 ตร.ม. บนที่ดินขนาด 17.2 ตร.ว. 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 พื้นที่อเนกประสงค์ ที่จอดรถ 2 คัน โครงการตั้งอยู่ถายในซอยสุขาสวรรค์ 3 สามารถเข้า-ออก ได้ทั้งจากถนนติวานนท์ และถนนแจ้งวัฒนะ ใกล้กับห้าแยกปากเกร็ด ซึ่งบริเวณนี้เป็นถือชุมชนที่มีความคึกคักอยู่ตลอด เพราะใกล้กับสถานที่สำคัญมากมาย โดยเฉพาะแหล่งงาน อาทิ เซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ, เมืองทองธานี, ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ, บิ๊กซี, โฮมโปร, โรบินสัน ศรีสมาน, โรงพยาบาลเวิลด์ เมดิคอล และสถานที่ราชการ รัฐวิสาหกิจอีกหลายหน่วยงาน ภาพทาวน์โฮม 3 ชั้น "Supalai Urbana แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด" ภาพทาวน์โฮม 3 ชั้น Type ศุภนรา ชานพักบันไดขนาดกว้างเป็นพิเศษ สามารถจัดให้เป็นมุมนั่งเล่นพักผ่อนเพิ่มได้ ด้วยกระจกสูงโปร่งทำให้ไม่เป็นมุมอับทึบที่อันตรายเหมือนกับบันไดทั่วไป ชั้น 3 เป็น Master Bedroom ขนาดใหญ่เพียงห้องเดียว สามารถกั้นห้องเป็น Walk In Closet ตามแบบห้องตัวอย่างได้ ซึ่งหน้าต่างจะได้กระจกขนาดใหญ่กว่าทาวน์โฮมทั่วไป ทำให้แสงสว่างส่องเข้ามาในห้องได้อย่างทั่วถึง ชานพักบันไดบนชั้น 3 ซึ่งจะมีขนาดใหญ่กว่า และเป็นส่วนตัวมากกว่าชานพักบันไดชั้น 2 สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นได้ตามไลฟ์สไตล์ ภาพทาวน์โฮม 3 ชั้น Type ศุภธรา พื้นที่ Open Plan ชั้นแรกของบ้าน ส่วนมาแล้วจะเป็นห้องรับแขกและโต๊ะทานข้าว ซึ่งดีไซน์แบบเปิดโล่งนี้สามารถปรับได้ตามการใช้งานของแต่ละครอบครัว พื้นที่อเนกประสงค์ชั้น 2 เป็นพื้นที่เปิดโล่ง ปรับเปลี่ยนประโยชน์ใช้สอยได้ตามความต้องการ โครงการอื่นจาก Supalai Supalai Lite Tha Phra-Wongwian Yai Supalai City Resort Sukhumvit 107 Supalai Bella Rama 2-Phanthai Norasing  
วิลล่า คุณาลัย เตรียมปั้นโปรเจ็กต์ บุกพื้นที่รังสิต-บางขุนเทียน

วิลล่า คุณาลัย เตรียมปั้นโปรเจ็กต์ บุกพื้นที่รังสิต-บางขุนเทียน

วิลล่า คุณาลัย เดินแผนปี 63 เปิด 2 โปรเจ็กต์ใหม่ พร้อมเตรียมขยายตลาดไปยังทำเลใหม่ นอกพื้นที่บางบัวทอง  เล็งรังสิต-บางขุนเทียน ปักหมุดบ้านแนวราบราคา 2-5 ล้าน จับตลาดเรียลดีมานด์ ปั้นรายได้โต 20%     หลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai เมื่อปลายปีที่ผ่านมา “วิลล่า คุณาลัย” หรือ KUN ได้เดินแผนธุรกิจต่อเนื่อง ในปีนี้วางแผนขยายตลาด ด้วยการกระจายพื้นที่ไปยังทำเลอื่น ตามแผนที่ได้ประกาศไว้ว่าจะขยายการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ให้ครอบคลุมทั้ง  4 ทิศของกรุงเทพฯ   สำหรับแผนธุรกิจในปีนี้ วางแนวทางไว้ ดังนี้ 1.เปิดโครงการใหม่ 2 โครงการ มูลค่า 2,300 ล้านบาท ได้แก่ 1.โครงการคุณาลัย บีกินส์ 2 ทาวน์โฮม จำนวน 363 ยูนิต มูลค่าโครงการ 800 ล้านบาท จะเปิดขายในช่วงไตรมาส 2 และ 2.โครงการคุณาลัย จอย 2  ประเภทบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด จำนวน 411 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท เปิดขายในไตรมาส 3   2.บริษัทวางแผนเปิดโครงการในพื้นที่โซนเหนือ ย่านรังสิต หรือโซนใต้ ย่านบางขุนเทียน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูลและการตลาด โดยบริษัทยังคงโฟกัสตลาดบ้านแนวราบ ระดับราคา 2-5 ล้านบาท คาดว่าจะมีความชัดเจนได้ในไตรมาส 2 และเปิดตัวได้ในช่วงไตรมาสสุดท้าย   3.แผนธุรกิจปีนี้ บริษัทคาดว่าจะส่งผลให้สามารถรายได้เติบโต 20% หลัก จากปีที่ผ่านมามีรายได้กว่า 652.67 ล้านบาท มีกำไรกว่า 56 ล้านบาท   4.บริษัทมียอดขายรอโอน (Backog) เพื่อผลักดันให้ได้รายได้ตามเป้าหมาย มูลค่า 140 ล้านบาท ที่จะรับรู้รายได้ภายในปี 2563 และมีสินค้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและขาย รวมมูลค่ากว่า 900 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ต่อเนื่องในปีนี้และปีหน้า นางประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2563 มีการแข่งขันรุนแรงต่อเนื่อง โดยเฉพาะด้านการตลาด การลด แลก แจก แถม ซึ่งผู้ประกอบการอสังหาฯ จะเข้มาแข่งขันในตลาดบ้านแนวราบมากขึ้น ทั้งผู้ประกอบการรายเดิมและรายใหม่ เนื่องจากเป็นตลาดเรียลดีมานด์ และสถานการณ์ตลาดปีนี้ที่มีปัจจัยกระทบมากในตลาดคอนโดมิเนียม   อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 เดือนแรกที่ผ่านมา ยังเห็นแนวโน้มการเติบโตที่ดีในกลุ่มตลาดบ้านแนวราบ ซึ่งกลยุทธ์ของบริษัทจะเน้นการรักษาฐานลูกค้าเดิม ในพื้นที่บางบัวทอง เพื่อป้องกันการเข้ามาของผู้ประกอบการรายใหม่ ขณะที่พื้นที่ฉะเชิงเทรา จะมุ่งเน้นการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น
สิงห์ เอสเตท ได้ยอดขายบ้านและคอนโดฯ ดันรายได้รวมปี 62 พุ่งกว่า 1.2 หมื่นล้าน

สิงห์ เอสเตท ได้ยอดขายบ้านและคอนโดฯ ดันรายได้รวมปี 62 พุ่งกว่า 1.2 หมื่นล้าน

สิงห์ เอสเตท เผยผลประกอบการปี 62 เติบโตสูงต่อเนื่อง ทำรายได้รวมโต 63% จำนวนกว่า12,275 ล้าน หลังจากยอดขายบ้านและคอนโดฯ สูงขึ้น 104% ขณะที่สร้างกำไรสุทธิราว 1,200 ล้าน   นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ “S” เปิดเผย ถึงผลการดำเนินงานประจำปี 2562 ว่า สิงห์ เอสเตท มีรายได้รวมทั้งสิ้น 12,275 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ประกอบด้วยบ้าน ทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดมิเนียมรวม 7,385 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 104% รายได้จากการให้เช่าและบริการ 4,805 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27% และรายได้จากการขายสินค้า 85 ล้านบาท ลดลง 32%   โดยรายได้จากการให้เช่าและบริการ ส่วนใหญ่มาจากธุรกิจโรงแรม 3,818 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48%จากปีก่อน เนื่องจากการรับรู้รายได้เต็มปีของโรงแรมภายใต้แบรนด์ Outrigger จำนวน 6 แห่ง ที่บริษัทฯ ซื้อกิจการเข้ามาเมื่อเดือนมิถุนายน 2561 และการเปิดโรงแรมใหม่ 2 แห่งในโครงการ CROSSROADS (ครอสโร้ดส์) ที่มัลดีฟส์  ขณะเดียวกัน รายได้จากการเช่าพื้นที่สำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกเพิ่มขึ้น 13% เป็น 759 ล้านบาท จากการเปิดอาคารสิงห์ คอมเพล็กซ์ ช่วงปลายปี 2561 สิงห์ เอสเตท มีกำไรขั้นต้นจากการดำเนินงาน 5,033 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% จากปี 2561 และอัตรากำไรขั้นต้นสำหรับปี 2562 เท่ากับ 41% ลดลงจาก 43% ในปี 2561 เป็นผลจากธุรกิจโรงแรมที่อัตรากำไรในช่วงแรกของโรงแรมในโครงการ CROSSROADS ที่มัลดีฟส์ ยังไม่สูงนัก เนื่องจากการเปิดธุรกิจโรงแรมใหม่ซึ่งปกติอัตรากำไรขั้นต้นจะค่อยๆ สูงขึ้นตามลำดับ และใช้เวลาในการดำเนินธุรกิจประมาณ 2-3 ปี จึงจะเห็นอัตรากำไรสำหรับการดำเนินกิจการในระยะยาว   ในขณะที่สิงห์ เอสเตท มีกำไรสุทธิในปี 2562 เท่ากับ 1,209 ล้านบาท ลดลง 16% เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลง ดอกเบี้ยจ่ายที่เพิ่มสูงขึ้นจากการขยายกิจการและภาษีสูงขึ้นจากการโอนโครงการที่อยู่อาศัยมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR ได้คืนเงินกู้เพื่อซื้อกิจการโรงแรม Outrigger จำนวน 5,357.8 ล้านบาท จากการเพิ่มทุนได้สำเร็จเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2562 ส่งผลให้หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยของบริษัทฯ ลดลง   “ปี 2562 เป็นปีที่ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยของสิงห์ เอสเตท เติบโตมากกว่าเท่าตัว ถึงแม้ว่าสภาวะตลาดอสังหาฯ โดยรวมยังคงเผชิญความท้าทายในหลายๆ ด้าน บริษัทเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดในโครงการ ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา และโอนโครงการ ดิ เอส อโศก และบันยันทรี เรสซิเดนซ์ ริเวอร์ไซด์ กรุงเทพฯ ที่พัฒนาโดยบริษัทในเครืออย่าง เนอวานา ไดอิ ได้อย่างต่อเนื่องอีกด้วย นอกจากนี้เรายังมี Backlog ที่จะโอนในปี 2563 มากกว่า 6,000 ล้านบาท” ส่วนธุรกิจโรงแรมทั้งหมดของบริษัทอยู่ภายใต้การบริหารงานของ SHR ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของสิงห์ เอสเตท สามารถระดมทุนจากการขายหุ้นเพิ่มทุนให้ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (Initial public offering) และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อ 12 พฤศจิกายน 2562   SHR ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 มีการลงทุนในโรงแรม 39 แห่ง มีจำนวนห้องพัก 4,647 ห้อง ครอบคลุม 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย มัลดีฟส์ ฟิจิ มอริเชียส และสหราชอาณาจักร โดยอัตราการเข้าพักเฉลี่ยของโรงแรมที่บริหารเองในปี 2562 เท่ากับ 72% กลุ่มโรงแรม Outrigger 78% โรงแรมในสหราชอาณาจักร 70% และโรงแรมในโครงการ CROSSROADS 34% และรายได้ต่อห้องพักต่อคืน (Revenue per available rooms) ของโรงแรมที่บริหารเองในปี 2562 เท่ากับ 5,591 บาท กลุ่มโรงแรม Outrigger 4,691 บาท โรงแรมในสหราชอาณาจักร 1,851 บาท และโรงแรมในโครงการ CROSSROADS 4,262 บาท   เมื่อปลายปี 2562 SHR ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนกับบริษัท Wai Eco World Developer Pte Ltd (WEWD)  กลุ่มธุรกิจใหญ่จากประเทศเมียนมาร์ที่ดำเนินธุรกิจหลากหลาย อาทิ อสังหาริมทรัพย์ โรงแรม อาหารและเครื่องดื่ม และเหมืองแร่ เพื่อพัฒนาไลฟสไตล์รีสอร์ทระดับไฮเอนด์ (High-end Lifestyle Resort) บนเกาะ 3 ในโครงการ CROSSROADS ประเทศมัลดีฟส์ โดยรีสอร์ทแห่งใหม่นี้จะมีห้องพักในรูปแบบวิลล่า 80 ห้อง ระดับราคา 900-1,000 เหรียญสหรัฐต่อคืน คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในปี 2563 และเปิดดำเนินการในปี 2565 ทั้งนี้การจำหน่ายหุ้น 50% ของบริษัท Prime Location Management 3 Limited ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนได้แล้วเสร็จไปเมื่อ 19 กุมภาพันธ์ 2563 การได้พันธมิตรที่ดีอย่าง WEWD มาเสริมความแข็งแกร่งทั้งในด้านธุรกิจและด้านการเงินในครั้งนี้ ทำให้เรามั่นใจว่าโครงการ CROSSROADS  ประเทศมัลดีฟส์ เกาะ 3 จะประสบความสำเร็จและเปิดดำเนินการตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้อย่างแน่นอน   นอกจากนี้ บริษัท ได้รับโอนสิทธิการเช่าที่ดินและเข้าซื้ออาคารสำนักงานเมโทรโพลิส บริเวณใกล้กับสถานี BTS พร้อมพงษ์ ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 26,157 ตารางเมตร มูลค่า 1,725 ล้านบาท เมื่อต้นเดือนมกราคม ที่ผ่านมา และมีความประสงค์จะขายสิทธิการเช่าที่ดินและอาคารดังกล่าวให้กองทรัสต์ S Prime Growth Leasehold Real Estate Trust (SPRIME) ในลำดับถัดไป   “ปี 2563 ถือเป็นก้าวสำคัญของสิงห์ เอสเตท ที่จะต่อยอดการเติบโตจากฐานธุรกิจในรูปแบบ Global Holding Company อย่างสมบรูณ์แบบ นอกเหนือจากการลงทุนขยายธุรกิจในทุกมิติอย่างยั่งยืนแล้ว (Sustainable Growth)สิงห์ เอสเตท จะเริ่มพัฒนาธุรกิจใหม่อย่างพลังงานทดแทน (Renewable Energy) ที่จะเริ่มดำเนินการในปีนี้ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการในตลาดโลกและสร้างความยั่งยืนให้กับสิ่งแวดล้อม”     ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2562 สิงห์ เอสเตท มีสินทรัพย์รวม 67,681 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8,751 ล้านบาท จากสิ้นปี 2561 แบ่งเป็น สินทรัพย์หมุนเวียน 24,087 ล้านบาท และสินทรัพย์ไม่หมุนเวียน 43,594 ล้านบาท ในส่วนของหนี้สินรวม มีมูลค่า 40,085 ล้านบาท โดยมีอัตราหนี้สินทีมีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่เพียง 0.77 เท่า ด้วยอัตราหนี้สินที่ต่ำเช่นนี้ ถือได้ว่าบริษัทมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งและพร้อมสำหรับการเติบโตอย่างต่อเนื่อง   ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 2/2562 วันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2563 อนุมัติการนำเสนอการจ่ายเงินปันผลในอัตรา 0.045 บาทต่อหุ้น จากกำไรสุทธิของผลประกอบการระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2562 โดยมีกำหนด Record Date วันที่ 7 พฤษภาคม 2563 และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 21 พฤษภาคม 2563 ซึ่งมติการจ่ายเงินปันผลนี้ จะต้องได้รับการพิจารณาและอนุมัติจากที่ประชุมใหญ่สามัญผู้ถือหุ้น ประจำปี 2563 ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 27 เมษายน 2563  
ริสแลนด์ ลุยเปิด 4 โปรเจ็กต์กว่า 3 หมื่นล้าน ไม่หวั่นไวรัสโควิด 

ริสแลนด์ ลุยเปิด 4 โปรเจ็กต์กว่า 3 หมื่นล้าน ไม่หวั่นไวรัสโควิด 

ริสแลนด์ ประเทศไทย เดินหน้าปั้น 4 โปรเจ็กต์ใหม่กว่า 30,000 ล้าน ไม่หวั่นปัจจัยลบรอบด้าน มั่นใจเงินทุนหนา สามารถทำตลาดได้ต่อเนื่องจนกว่าไวรัสโควิด-19 จะแก้ไขได้ วางเป้าลุยตลาดไทยสร้างการเติบโตปีละ 50%   นายเนี่ย ซงเชียน  ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการขายและการตลาด ประจำภูมิภาคไทย บริษัท ริสแลนด์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ได้เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 4 โครงการมูลค่ารวมกว่า 30,400 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดเนียม 2 โครงการ และโครงการ Mixed use 2 โครงการ โดยมุ่งเน้นเปิดโครงการในทำเลที่มีศักยภาพ การคมนาคมสะดวกสบาย ในระดับราคาที่เอื้อมถึง ตอบสนองกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการอย่างแท้จริง   สำหรับโครงการคอนโดฯ ที่เปิดตัวในปีนี้ ได้แก่ 1. โครงการ คลาวด์ เรสซิเดนซ์ สุขุมวิท 23 มูลค่ากว่า 3,600 ล้านบาท เป็นคอนโดฯ  High Rise ตกแต่งพร้อมอยู่ 1 อาคาร สูง 43 ชั้น มีห้องชุดรวม 372 ยูนิต มีห้องพัก 5 รูปแบบ  ได้แก่  ขนาด 1 ห้องนอนขนาด 29 - 30 ตารางเมตร ขนาด 1 ห้องนอน เอ๊กซ์ตร้าขนาด 41 - 43 ตารางเมตร ขนาด 2 ห้องนอนขนาด 57 - 60 ตารางเมตร ขนาดดับเบิ้ลสเปซขนาด 47 - 95 ตารางเมตร และเพนท์เฮ้าส์ ขนาด 79 - 99 ตารางเมตร โครงการตั้งอยู่ใจในซอยสุขุมวิท 23  ซึ่งจะเปิดขายอย่างเป็นทางการ (FIRST CALL) ในวันที่ 20 – 21 มีนาคม 2563 นี้ นอกจานี้ ยังเตรียมเปิดตัวโครงการคอนโดฯ อีก 1 โครงการในช่วงไตรมาส 3 คือ โครงการ เดอะ ลิฟวิน รามคำแหง (The Livin Ramkhamhaeng) มูลค่า 5,000 ล้านบาท จำนวน 1,938 ยูนิต ส่วนโครงการมิกซ์ยูสที่เตรียมเปิดในปีนี้ ได้แก่ 1.สกาย ไรส์ อเวนิว (Sky Rise Avenue) โครงการคอนโดฯ 7 อาคาร รวม 3,000 ยูนิต และพื้นที่ออฟฟิศให้เช่า 4 ชั้นขนาด 2,000 ตารางเมตร โดยจะแบ่งการพัฒนาออกเป็น 3 เฟส ซึ่งเฟสแรกจะเปิดตัวก่อน 1,000 ยูนิต  ในช่วงไตรมาส 2   ขณะที่ในไตรมาสที่ 4 บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงารมิกซ์ยูสอีก 1 โครงการ มูลค่ามากกว่า 10,000 ล้านบาท  ในจังหวัดภูเก็ต ประกอบด้วยที่พักอาศัยประเภทคอนโดฯ และวิลล่า ซึ่งจะใช้เชนโรงแรมมาบริหาร หรือแบรนด์เด็ดเรสซิเดนซ์ ซึ่งเฟสแรกจะเปิดตัวที่อยู่อาศัยจำนวน 650 ยูนิต  มูลค่า 5,800 ล้านบาท   นายเนี่ย กล่าวอีกว่า สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ในปี 2563 นี้ ต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายๆด้าน ทั้งการชะลอตัวของเศรษฐกิจในระดับโลก จากสงครามการค้าที่ส่งผลไปยังหลายประเทศรวมถึงประเทศไทยค่าเงินบาทที่แข็งตัวอย่างต่อเนื่อง และการแพร่ระบาดของไวรัส COVID-19 ยังซ้ำเติมให้เศรฐกิจยิ่งซบเซา แต่แผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทยังดำเนินอย่างต่อเนื่อง  เพราะมีความมั่นใจในสถานะการเงินของบริษัท  ที่สามารถรองรับสภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวยได้นาน  จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย   สำหรับปีผ่านมา ริสแลนด์ ประเทศไทย เปิดตัวโครงการไป 2 โครงการ ได้แก่ คลาวด์ ทองหล่อ-เพชรบุรี ปัจจุบันปิดการขายไปได้แล้วกว่า 50% และโครงการ The LIVIN เพรชเกษม ซึ่งมียอดจองจากการเปิดขาย เฟสแรกมูลค่ารวม 750 ล้านบาท และสามารถขายไปได้มากถึง 700 ล้านบาท ทำให้ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มียอดขายเพิ่มขึ้นจาก 2 โครงการรวมกว่า 2,400 ล้านบาท   ปัจจุบัน ริสแลนด์ มีโครงการอสังหาฯ อยู่ใน 7 ประเทศ รวม 15 โครงการ อาทิ ประเทศสหรัฐอเมริกา นิวซีแลนด์ อินเดีย อังกฤษ เวียดนาม และประเทศไทย รวมมูลค่าโครงการทั่วโลกประมาณ 100,000 ล้านบาท โดยในปี 2563 นี้ ริสแลนด์ตั้งเป้ารายได้จากทั่วโลก เพิ่มขึ้น 50%  โดยใช้กลยุทธ์ "Think Global, Act Local” ดำเนินงานภายใต้แนวคิด “Be the Change, Create the Future” กล้าที่จะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลง กล้าที่จะสร้างอนาคตด้วยการลองผิดลองถูก ล้มเร็วลุกเร็ว เรียนรู้จากอดีต และนำมาแก้ไข เพื่อพัฒนาอนาคต   ด้านนางสาวมณีกานต์ อิสรีย์โกศล ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์การตลาดและสื่อสารภาพลักษณ์องค์กร ประจำภูมิภาคไทย บริษัท ริสแลนด์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดคอนโดฯ ในโซนสุขุมวิท  ที่มีราคามากกว่ายูนิตละ 5 ล้านบาท มีการเปิดขายใหม่จำนวน 8,795 ยูนิต ปรับตัวลดลงจากปี 2561 ที่มีการเปิดขายอยู่ที่ 19,691 ยูนิต มียูนิตคงค้างลดลงจากปี 2561 ในอัตรา 3% ในปี 2563 นี้คาดการณ์ว่า ตลาดคอนโดมิฯ ระดับราคายูนิตละ 5 ล้านบาทขึ้นไป จะมีสัดส่วนในตลาดอยู่ที่ 17% เท่ากับปี 2561  แสดงให้เห็นว่าภาพรวมตลาดคอนโดฯ ลักซ์ชัวรี ยังคงไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทำเลอโศก ที่ยังมีอัตราการดูดซับของตลาดกว่า 82% และมีโครงการใหม่ที่เข้ามาในตลาดน้อยลง ทำให้คอนโดฯ ในกลุ่มนี้มีการตอบรับที่ค่อนข้างดี   ส่วนพฤติกรรมผู้บริโภคในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จะเป็นการซื้อเพื่อการอยู่อาศัยอย่างแท้จริง แต่การซื้อเพื่อการลงทุนลดลงพอสมควร และในช่วง 1-2 ปีนี้ กลุ่มนักลงทุนนักเก็งกำไรได้หายไปจากตลาดบางส่วน จากปัจจัยภาวะเศรษฐกิจโลก และนโยบายของภาครัฐที่ส่งผลกระทบทางตรงกับลูกค้ากลุ่มนี้   ขณะที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีอายุในช่วง 25-35 ปี จะมีพฤติกรรมชอบและเลือกซื้อคอนโดฯ ใจกลางเมือง ที่มีการออกแบบที่มีอัตลักษณ์เฉพาะตัว สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์การทำงานและการใช้ชีวิต ซึ่งนิยมพักอาศัยอยู่ใจกลางเมือง ส่งผลให้คอนโดฯ ลักซ์ชัวรี ในเขตกลางเมือง กลายเป็นตัวเลือกแรกๆ ในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย   นอกจากนี้ จากการท่องเที่ยวไทยที่มีการขยายตัวสูง ได้รับความนิยมจากกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศจีน ที่หลั่งไหลเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศอย่างต่อเนื่อง จนส่งผลให้ในช่วง 3 ถึง 5 ปีที่ผ่านมา มียอดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยมากกว่า 30 ล้านคนต่อปี ทำให้ชาวต่างชาติเข้ามาทำธุรกิจและซื้อที่อยู่อาศัยในบ้านเราจำนวนไม่น้อย โดยมีเม็ดเงินต่อปีประมาณ 37,561 ล้านบาทในกรุงเทพฯ ซึ่งไม่นับการซื้อเพื่อการลงทุน เก็งกำไร รวมถึงการซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่าในรูปแบบอื่นๆ  
ออริจิ้น ทรานฟอร์ม แตก 6 บริษัทเพื่อเติบโต

ออริจิ้น ทรานฟอร์ม แตก 6 บริษัทเพื่อเติบโต

“ออริจิ้น” เข้าสู่ยุคทรานฟอร์ม แตก 6 บริษัทย่อยปั้นรายได้ พร้อมเปิดรับพันธมิตรทุกรูปแบบ เตรียมแผนเปิด 14 โครงการใหม่มูลค่า 20,000 ล้าน สร้างยอดขาย 21,500 ล้าน และรายได้ 16,000 ล้าน   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2563 ว่า ในวาระก้าวเข้าสู่ทศวรรษที่ 2 บริษัทได้วางวิสัยทัศน์ระยะยาวในการปรับเปลี่ยนบริษัทให้กลายเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ที่สามารถเติบโตไปได้อย่างยั่งยืน พร้อมรับมือทุกสภาวะความเปลี่ยนแปลงของโลก โดยในปีนี้วางแนวทางปีนี้จะเป็นทศวรรษแห่งการปฏิรูป (The Decade of Transformation) ปฏิรูปองค์กรสู่ลักษณะกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ ปรับเปลี่ยนออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ โดยแตกบริษัทย่อยออกมา 6 กลุ่มบริษัท เพื่อเดินหน้าใน 6 ประเภทธุรกิจ ประกอบด้วย 1.บริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด  ดำเนินธุรกิจพัฒนาคอนโดมิเนียมกลุ่มสมาร์ทคอนโด มีแบรนด์หลักคือ ดิ ออริจิ้น (The Origin) 2.บริษัท พาร์ค ลักชัวรี่ จำกัด  ดำเนินธุรกิจพัฒนาคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ มีแบรนด์หลักคือ ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge) และพาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) 3.บริษัท บริทาเนีย จำกัด  ดำเนินธุรกิจพัฒนาบ้านจัดสรร มีแบรนด์หลักคือ บริทาเนีย (Britania) 4.บริษัท ออริจิ้น อีอีซี จำกัด   ดำเนินธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในแถบเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) 5.บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด  ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม พื้นที่ค้าปลีก สำนักงานให้เช่า โครงการมิกซ์ยูส 6.บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด ดำเนินธุรกิจบริการด้านอสังหาริมทรัพย์สมัยใหม่ครบวงจร วางลยุทธ์ “Open for Growth, Open Platform” การเติบโตในปีนี้ “ออริจิ้น” วางกลยุทธ์ “Open for Growth, Open Platform” เพื่อสร้างการเติบโต ด้วยการเปิดรับพันธมิตรทางธุรกิจในหลากหลายรูปแบบ  เข้ามาร่วมธุรกิจกับบริษัทในทุกกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นกรที่สนใจเข้าร่วมทุน (JV Partner) เจ้าของที่ดิน  ผู้พัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับการบริการและอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มซัพพลายเออร์ต่างๆ   ล่าสุด บริษัทได้เซ็นต์ MOU ร่วมทุนกับพันธมิตรใหม่จากประเทศเกาหลีใต้ คือ GS E&C (GS Engineering and Construction corporation) เพื่อพัฒนาคอนโดฯ 2 โครงการ ได้แก่ The Origin ลาดพร้าว 111 มูลค่า 1,900 ล้านบาท และ Knightsbridge Space พระราม 4 มูลค่า 2,300 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเปิดตัวได้ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้   สำหรับแผนธุรกิจในปี 2563 บริษัทจะให้ความสำคัญกับการปรับโครงสร้างภายในองค์กร สร้างรากฐานการเติบโตของทุกประเภทธุรกิจอย่างยั่งยืน พร้อมทั้งปรับแผนให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจัยภายนอก เปิด 14 โปรเจ็กต์รับมือ “ไวรัสโควิค” แผนกการเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ เตรียมพัฒนา 14 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท เป็นโครงการคอนโดฯ 4 โครงการ มูลค่า 7,900 ล้านบาท เป็นโครงการสมาร์ทคอนโดฯ แบรนด์ดิ ออริจิ้น 2 โครงการ มูลค่ารวม 4,200 ล้านบาท โครงการลักชัวรี่คอนโดฯ 1 โครงการ มูลค่ารวม 2,300 ล้านบาท และโครงการบ้านจัดสรร 10 โครงการ มูลค่ารวม 12,100 ล้านบาท  ภายใต้แบรนด์บริทาเนีย และอีก 3 แบรนด์ใหม่ คือ แบรนด์แกรนด์บริทาเนีย, ไบรตัน และเบลกราเวีย นอกจานี้ยังมีโครงการกลุ่มอีอีซีอีก 1 โครงการ มูลค่ารวม 1,400 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์เดอะ แฮมป์ตัน (The Hampton) ในศรีราชา ถ้าหากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 แก้ไขได้เร็ว และสถานการณ์ทุกอย่างดีขึ้น บริษัทพร้อมเปิดตัวโครงการคอนโดฯ เพิ่มอีก 4 โครงการ ส่วนเป้าหมายรายได้ในปีนี้คาดว่าบริษัทจะทำได้ 16,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมามีรายได้รวม 14,122 ล้านบาท (อ่านข่าวผลประกอบการปี 2562) วางเป้าหมายยอดโอน 14,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขาย 21,500 ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมา ทำยอดขายได้ 28,942 ล้านบาท ในปีนี้บริษัทวางงบลงทุนไว้ที่ 15,000 ล้านบาท แบ่งเป็นงบซื้อที่ดินและเช่า สำหรับธุรกิจโรงแรมจำนวน 7,000 ล้านบาท และอีก 8,000 ล้านบาท ใช้สำหรับการก่อสร้าง ปัจจุบันรายได้จารขาย ลดลง จากสัดส่วน 90% เหลือ 85% ในอีก 5 ปีข้างหน้า รายได้อื่นๆ  เช่น รายได้จากการเช่า การบริการ โดยรวมน่าจะมีสัดส่วน 30% เหลือรายได้จากกขายสัดส่วน 70%    
โกลเด้นแลนด์ ต่อยอดอาณาจักร โกลเด้น เอ็มไพร์ เชียงราย พร้อมเปิดอีก 2 โครงการที่เชียงใหม่และชลบุรี

โกลเด้นแลนด์ ต่อยอดอาณาจักร โกลเด้น เอ็มไพร์ เชียงราย พร้อมเปิดอีก 2 โครงการที่เชียงใหม่และชลบุรี

โกลเด้นแลนด์ ยกโมเดลของกรุงเทพฯ ต่อยอดอาณาจักร “โกลเด้น เอ็มไพร์ (GOLDEN EMPIRE)” ชูจุดเด่นทะเลสาบแห่งแรกที่ใหญ่ที่สุดในเชียงราย ตั้งบนทำเลศักยภาพใกล้สนามบินและติดบิ๊กซี พร้อมเปิดโครงการใหม่ทั้งทาวน์โฮม นีโอโฮม และบ้านเดี่ยวภายในโกลเด้น เอ็มไพร์ เพื่อตอบรับกลุ่มลูกค้าได้ครอบคลุม และเตรียมเปิดอีก 2 โครงการในปีนี้ที่เชียงใหม่และชลบุรี คุณอภิชาติ เฮงวาณิชย์ กรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาโครงการต่างจังหวัด บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ดีเวลลอปเม้นท์จากัด (มหาชน) หรือโกลเด้นแลนด์ กล่าวว่า "โกลเด้นเอ็มไพร์เป็นโครงการขนาดใหญ่ มูลค่ารวมประมาณ 2,600 ล้านบาท โดยยกโมเดลในรูปแบบอาณาจักร ที่ประสบความสำเร็จจากกรุงเทพฯ มาไว้บนทำเลศักยภาพของจังหวัดเชียงราย ริมถนนพหลโยธินและถนนใกล้สนามบิน ติดกับบิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์ ชูจุดเด่นทะเลสาบขนาดใหญ่แห่งแรกในเชียงราย พร้อมสวนพักผ่อนกว่า 20 ไร่ นำร่องโครงการแรกคือโกลเด้นทาวน์ โฮม 2 ชั้น ในระดับราคาประมาณ 1.7-3 ล้านบาท เปิดจองเมื่อประมาณกลางปีที่ผ่านมา เพียง 2 วันแรกที่เปิดจองกวาดยอดขายไป กว่า 500 ล้านบาท บริษัทจึงเดินหน้าต่อยอดพัฒนาโครงการต่อไปชื่อว่า โกลเด้น วิลเลจ ในรูปบ้านเดี่ยว และ นีโอโฮม บ้านแฝดราคา 3.69-10 ล้านบาท จำนวนรวม 98 หลัง มูลค่ารวม 480 ล้านบาท โดยได้เปิดจองอย่างไม่เป็นทางการเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งได้ผลตอบรับเกินคาด มียอดจองกว่า 320 ล้านบาท" เตรียมเปิดอีก 2 โครงการท่ีเชียงใหม่และชลบุรี คุณอภิชาติ กล่าวว่า แม้เพิ่งเริ่มทำตลาดต่างจังหวัดเมื่อกลางปี 2560 จนถึงปัจจุบันมีโครงการในต่างจังหวัดรวม 8 โครงการ มูลค่า รวมประมาณ 6,900 ล้านบาท โดยในปี 2562 ได้เปิดโครงการใหม่ถึง 6 โครงการ ทั้งยังสามารถขายหมดทั้งโครงการภายในวันเปิดจอง เช่นโครงการที่พัทยาใต้ เป็นต้น   สำหรับปี 2563 ยังคงใช้กลยุทธ์ปักธงขยายตลาดหัวเมืองต่างจังหวัด เน้นพัฒนาโครงการที่อยู่บนทำเลศักยภาพ ใกล้เมือง มีสิ่งอำนวยความสะดวก ในราคาที่แข่งขันได้ โดยแผนเปิดโครงการเพิ่มอีก 2 แห่ง ที่จังหวัดชลบุรี อ่างศิลา และจังหวัดเชียงใหม่ ย่านกาดรวมโชค เป็น “ทาวน์โฮม ในทำเลคอนโด” ขนาด 37 ไร่ จำนวน 398 ยูนิต มูลค่ากว่า 1,200 ล้านบาท คาดว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเช่นที่ผ่านมา   “ในปีที่ผ่านมา เฉพาะตลาดต่างจังหวัดมียอดรับรู้รายได้อยู่ที่ 973 ล้านบาท และปีนี้ตั้งเป้ารับรู้รายได้ไว้ที่ 2,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 126% แม้ตลาดต่างจังหวัดจะมีความหวือหวาไม่มาก แต่ยังคงมีความต้องการที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง การที่ก้าวเข้าสู่ตลาดต่างจังหวัดและได้ผลตอบรับที่ดีนับว่าเป็นที่น่าพอใจ และพร้อมเดินหน้าต่อไปอย่างรอบคอบและมั่นคง” คุณอภิชาติกล่าวโดยสรุป ข่าวอื่นจาก Goldenland โกลเด้นแลนด์ ชู Classic Model ฝ่าวิกฤตอสังหาฯ โกลเด้นแลนด์ กวาดรายได้และกำไร โตสวนกระแสตลาดชะลอตัว 5 เหตุผล “โกลเด้นแลนด์” ปักหมุดเชียงรายปั้น โกลเด้น เอ็มไพร์ 2,600 ล้าน
แสนสิริ เปิดโปรเจ็กต์ใหม่ ปั้นยอดขายโต 40%

แสนสิริ เปิดโปรเจ็กต์ใหม่ ปั้นยอดขายโต 40%

แสนสิริ เปิดโปรเจ็กต์ใหม่ 24,000 ล้าน หวังสร้างยอดขายโต 40% มุ่งจับตลาดกำลังซื้อระดับกลางลงล่าง กลุ่มราคา 1.5-5 ล้าน ปั้นรายได้ 24,000 ล้าน ไม่หวั่นลูกค้าจีน 2,000 ล้าน ยกเลิกซื้อคอนโดฯ เหตุได้เงินดาวน์ตุนไว้แล้ว 30% พร้อมนำกลับมาขายใหม่ทำกำไร   นายวันจักร์ บุรณศิริ ประธานผู้บริหารสายงานการเงินและสนับสนุนธุรกิจ บริษัทแสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2563 ว่า แสนสิริวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 18 โครงการ รวมมูลค่า 24,000 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 6 โครงการ มูลค่ารวม 8,800 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 6 โครงการ มูลค่ารวม 8,600 ล้านบาท และทาวน์โฮม และมิกซ์ โปรเจกต์ 6 โครงการ มูลค่ารวม 6,600 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในเซกเมนต์ Medium และ Affordable เป็นหลัก หรือระดับราคา 1.5-5 ล้านบาท เพื่อให้บริษัทเป็นแบรนด์ที่เข้าถึงง่ายในกลยุทธ์ด้านการวางราคาขาย ขณะเดียวก็ยังคงขยายฐานลูกค้าในเซกเมนต์ Luxury และ Super Luxury  ด้วยคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ภายใต้ Sansiri Luxury Collection อาทิ 98 ไวร์เลส, เดอะ โมนูเมนต์ ทองหล่อ, คุณ บาย ยู และบ้านแสนสิริ โดยคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขาย 29,000 ล้านบาทในปี 2563 เติบโตขึ้น 40% จากปีก่อนที่มียอดขาย 21,000 ล้านบาท รวมทั้งวางเป้าหมายการโอนไว้ 33,000 ล้านบาท นอกจากนี้ แสนสิริยังมียอดขายรอโอนรองรับการเติบโตระยะยาวในอีก 4 ปี อีกถึง 47,500 ล้านบาท ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจให้แสนสิริได้เป็นอย่างดี และเสริมความแข็งแกร่งในทุกสภาวะเศรษฐกิจ ตั้งเป้ายอดขาย 63 โต 40% โดยบริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายในปีนี้มูลค่า 29,000 ล้านบาท เติบโต 40% จากปีก่อนที่มียอดขาย 21,000 ล้านบาท วางเป้าหมายการโอน 33,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมามียอดโอน 31,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทยังมียอดขายรอโอน 47,500 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยโอนไปอีก 4 ปีข้างหน้า แบ่งรับรู้รายได้ภายในปีนี้ 24,000 ล้านบาทในจำนวนนี้เป็นของบริษัทร่วมทุน 14,000 ล้านบาท เป็นของแสนสิริ 10,000 ล้านบาท   ยอดขายกว่า 62% ของปี 2562 มาจากความสำเร็จของยอดขายแนวราบในปีที่ผ่านมา อาทิ แบรนด์ทาวน์โฮม ‘สิริ เพลส’, แบรนด์บ้านเดี่ยว ‘บุราสิริ’, ‘คณาสิริ’ ราชพฤกษ์-346 และ ‘เศรษฐสิริ’ จรัญฯ – ปิ่นเกล้า 2 ขณะที่กลุ่มคอนโดมิเนียม ได้รับการตอบรับที่ดีจากการโอนคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จพร้อมโอน อาทิ เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 101,  เดอะ ไลน์ พหล-ประดิพัทธ์, เดอะ เบส สุขุมวิท 50, เดอะ เบส เพชรเกษม, ทากะ เฮาส์, ดีคอนโด แคมปัส โดม รังสิต และดีคอนโด หาดใหญ่ วางยุทธศาสตร์ “Made for Life…Made for Everyone” ด้านนายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปีนี้ บริษัทได้วางยุทธศาสตร์ “Made for Life…Made for Everyone” เพื่อสร้างภาพแบรนด์ที่จับต้องง่ายขึ้น และเป็น “แบรนด์ที่ทุกคนเข้าถึงได้” โดยได้กำหนดกลยุทธ์สำคัญที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าในทุกเซกเมนต์ ได้แก่ การเดินหน้ามุ่งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยคุณภาพ ครอบคลุมความต้องการที่หลากหลาย โฟกัสในตลาดกลุ่มใหญ่ที่มีดีมานด์  ด้วยการพัฒนาโครงการ ภายใต้แบรนด์ดีคอนโด, เดอะเบส, สิริ เพลส, อณาสิริและสราญสิริ รวมทั้งขยายการพัฒนาโครงการไปในย่าน Community ใกล้เมืองในราคาเข้าถึงง่าย  ตลอดจนพัฒนาโครงการไปในทำเลใหม่ๆ อาทิ ทำเลย่านสุวรรณภูมิด้วย สราญสิริ ศรีวารี และการเข้าไปยังทำเลป่าคลอก ภูเก็ต ของแบรนด์อณาสิริ ส่วนคอนโดมิเนียม แสนสิริมีการเตรียมส่งมอบโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ 8 โครงการ ในปีนี้ ได้แก่ ดีคอนโด ริน เชียงใหม่, ดีคอนโด บลิซ ศรีราชา, เดอะ เบส เซ็นทรัล ภูเก็ต, เดอะ เบส สะพานใหม่,เอ็กซ์ที เอกมัย, เอ็กซ์ที  ห้วยขวาง, คาวะ เฮาส์ และลา ฮาบาน่า หัวหิน” โดยมียอดขายแล้ว 60% จากมูลค่าโครงการรวม 24,000 ล้านบาท  ในปีนี้แสนสิริยังมีการขยายารลงทุน ในโรงงานพรีคาสต์ เพื่อรองรับการพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยจะเปิดตัวโรงงานพรีคาสต์แห่งที่ 3 และ 4  ซึ่งจะส่งผลให้สามารถเพิ่มกำลังการผลิตจาก 700,000 ตารางเมตรต่อปี เพิ่มขึ้นเป็น 1,200,000 ตารางเมตร  รองรับการพัฒนาที่อยู่อาศัยจาก 2,000 ยูนิต เพิ่มขึ้นเป็น 3,500 ยูนิต ไม่ห่วงชาวจีนยกเลิก ตุนเงินดาวน์แล้ว 30% สำหรับกลุ่มลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะลูกค้าชาวจีน บริษัทได้รับผลกระทบมาตั้งแต่ เกิดเหตุการณ์สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน ซึ่งทำให้ยอดขายของกลุ่มลูกค้าต่างชาติลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยยอดขายที่เคยทำได้กว่า 10,000 ล้านบาท ในปี 2561 ลดลงเหลือประมาณ 3,000 ล้านบาท ในปี 2562 ซึ่งมีกลุ่มลูกค้าชาวจีนประมาณ 50%   ปัจจุบันบริษัทมีกลุ่มลูกค้าชาวจีนประมาณ 500 ราย ซื้อคอนโดฯ คิดเป็นมูลค่า 2,000 ล้านบาท ใน 8 โครงการ ที่จะเริ่มก่อสร้างแล้วเสร็จและโอนในปีนี้ โดยโครงการแรกจะเริ่มโอนในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งหากปัญหาไวรัสโควิค-19 ไม่ยุติ หรือยังมีผลกระทบต่อเนื่อง บริษัทมีแนวทางในการผ่อนปรนการโอน อาจจะเป็นการยืดระยะเวลาออกไป แต่อย่างไรก็ตาม กลุ่มลูกค้าชาวจีนไม่น่าจะเป็นปัญหา หากทำการยกเลิกเนื่องจากมีการวางเงินดาวน์สูงในอัตรา 30% หากลูกค้ายกเลิก บริษัทยังมีรายได้และสามารถนำกลับมาขายใหม่ได้  
ORI สร้างยอดขายปี 2562 เติบโตกว่า 29,000 ล้านบาท

ORI สร้างยอดขายปี 2562 เติบโตกว่า 29,000 ล้านบาท

ออริจิ้น สร้างผลงานปี 62 คว้ากำไรสุทธิ 3,027 ล้านบาท หลังเปิดโครงการไป 20 โครงการ มูลค่ากว่า 24,200 ล้านบาท พร้อมกวาดยอดขายกว่า 29,000 ล้าน สูงกว่าเป้าหมาย ตุนแบ็คล็อกกว่า 41,000 ล้านสร้างรายได้ต่อเนื่องใน 3 ปี    นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI   เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2562 จะถือเป็นช่วงปรับฐาน แต่บริษัทยังคงความสามารถในการรักษาระดับกำไรและอัตราการทำกำไรไว้ได้ดี โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 3,027 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนความสามารถในการบริหารต้นทุนขายได้ดี ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ระดับ 43.5% รวมถึงการบริหารค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น จนสามารถทำอัตรากำไรสุทธิได้ถึง 21.4% ซึ่งถือเป็นอัตรากำไรที่โดดเด่นเมื่อเทียบกับภาพรวมของกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่กำลังเผชิญมรสุมสงครามราคาในภาวะตลาดอสังหาฯหดตัว   ด้วยความตั้งใจของทีมงาน ผนวกกับการปรับกลยุทธ์และการวางแผนงาน เลือกเจาะตลาดลูกค้าได้ถูกกลุ่ม ทำให้บริษัทสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่มีราคาขายไม่แพง มีความสามารถสู้กับตลาดในภาวการณ์แข่งขันที่สูง จนทำให้สร้างยอดขายในโครงการที่เปิดใหม่ในปีที่ผ่านมาเฉลี่ยสูงถึงกว่า 76% ขณะเดียวกัน ด้วยคุณภาพของโครงการภายใต้แบรนด์ต่างๆ ทำให้ผู้บริโภคให้ความไว้วางใจ และยังคงทยอยโอนกรรมสิทธิ์ สร้างทั้งรายได้และกำไรกลับเข้าสู่บริษัทอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งผลการขยายธุรกิจใหม่ในส่วนรายได้จากธุรกิจบ้านจัดสรรที่เติบโตจากปี 2561 กว่า 200% ทำให้มี Contribution ในผลประกอบการ ปี 2562 ราว 1,500 ล้านบาท หรือ 11% ของรายได้รวม   รวมถึงการกระจายความเสี่ยงในการสร้างธุรกิจบริการในกลุ่มบริษัท พรีโม ที่เติบโตกว่า 30% และรุกคืบขยายไปสู่ธุรกิจสร้างรายได้ประจำ หรือ Recurring income ที่สามารถสร้างโรงแรมใหม่ ในทำเลทองอย่าง ทองหล่อ และ ศรีราชา เสร็จก่อนกำหนดในปี 2562 ที่ผ่านมา และจะเริ่มเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในไตรมาส 2 ปีนี้   ทั้งนี้ ในปี 2562 บริษัทเปิดตัวโครงการใหม่ไปทั้งสิ้น 20 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 24,200 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้าน 4 โครงการ มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม 16 โครงการ มูลค่ารวม 18,200 ล้านบาท ขณะเดียวกัน บริษัทมียอดขายในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 28,942 ล้านบาท และมีรายได้รวมอยู่ที่ 14,122 ล้านบาท ตุนแบ็คล็อก 3 ปี 41,000 ล้านสร้างรายได้ นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับปี 2563 บริษัทมั่นใจว่าจะยังคงสามารถรักษาประสิทธิภาพของอัตรากำไรขั้นต้นและอัตรากำไรสุทธิได้ในระดับเดิม โดยในปี 2563 บริษัทมีโครงการคอนโดมิเนียมขนาดใหญ่หลายโครงการที่มีแผนรับรู้รายได้ต่อเนื่อง และที่จะทยอยสร้างเสร็จและรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง อาทิ โครงการไนท์บริดจ์ ไพรม์ สาทร มูลค่าโครงการ 3,900 ล้านบาท โครงการไนท์บริดจ์ ไพรม์ รัชโยธิน มูลค่าโครงการ 1,680 ล้านบาท โครงการไนท์บริดจ์ ไพรม์ อ่อนนุช มูลค่าโครงการ 2,600 ล้านบาท โครงการไนท์บริดจ์ คอลลาจ รามคำแหง มูลค่าโครงการกว่า 2,054 ล้านบาท โครงการไนท์บริดจ์ สเปซ รัชโยธิน มูลค่าโครงการกว่า 2,700 ล้านบาท และโครงการไนท์บริดจ์ เกษตรโซไซตี้ มูลค่าโครงการกว่า 1,300 ล้านบาท โดยปัจจุบันบริษัทมีแบ็คล็อกพร้อมทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องกว่า 3 ปีสูงถึงกว่า 41,000 ล้านบาท   นอกจากนี้ บริษัทจะเริ่มมีการรับรู้รายได้จากธุรกิจโรงแรมที่เปิดให้บริการในปี 2563 จำนวน 2 โรงแรมได้แก่ ได้แก่ โรงแรมสเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ และโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา แหลมฉบัง รวม 650 ห้องพัก ซึ่งจะช่วยเพิ่มพอร์ตการรับรู้รายได้ให้แก่บริษัท ผนึกพันธมิตรสร้างรายได้และโอกาสทางธุรกิจ ขณะที่ไตรมาส 4 ปี 2562 กลุ่มธุรกิจโรงแรมได้จับมือกับพันธมิตรใหม่ โดย บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ได้เข้าร่วมทุนกับพันธมิตรรายใหม่ชื่อ CI:Z Limited Liability Partnership ซึ่งเป็นนักลงทุนสัญชาติญี่ปุ่น โดยการขายหุ้น บริษัท วัน สุขุมวิท 59 จำกัด ซึ่งจะพัฒนาโครงการ Intercontinental Bangkok Thonglor ร่วมกันต่อไป   ทั้งนี้บริษัทยังคงมองเห็นโอกาสในการเติบโตจากธุรกิจหลัก รวมทั้งในธุรกิจใหม่ๆ และยังเปิดรับพันธมิตรใหม่ๆ มาร่วมทุนและร่วมขับเคลื่อนแพลทฟอร์มในทุกกลุ่มธุรกิจของบริษัท โดยบริษัทจะเปิดเผยแผนธุรกิจประจำปี 2563 ของทุกกลุ่มบริษัทในเครือในวันที่ 4 มี.ค.นี้   ในปี 2562 บริษัท มีการร่วมทุนกับพันธมิตรเดิม และ พันธมิตรใหม่เพิ่มเติม อันได้แก่  1.บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จํากัด เพื่อพัฒนาโครงการ “พาร์ค ออริจิ้น จุฬา-สามย่าน” 2.บริษัท เอสคอน เจแปน (ประเทศไทย) จํากัด เพื่อพัฒนาโครงการ “ไนท์บริดจ์ สุขุมวิท-เทพารักษ์” 3.บริษัท ดุสิตธานี จํากัด (มหาชน) เพื่อพัฒนาโครงการ “เดอะ แฮมป์ตัน ศรีราชา บาย ออริจิ้น แอนด์ ดุสิต” และ 4.CI:Z Limited Liability Partnership จากประเทศญี่ปุ่น เพื่อพัฒนาโรงแรมระดับไฮเอนด์ต่อไป ทุกกลุ่มบริษัทในเครือจะยังคงเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของบริษัทในปีนี้ ทั้งกลุ่มธุรกิจดั้งเดิมอย่างธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย ไปจนถึงธุรกิจใหม่ๆ อย่างธุรกิจที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง ธุรกิจบริการ เพื่อสร้างความยั่งยืนกลับมาสู่บริษัท   นายพีระพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติเห็นชอบให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญจ่ายปันผลสำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทรอบหกเดือนหลัง ของปี 2562 ในอัตรา 0.29 บาทต่อหุ้น หรือ คิดเป็น Dividend Yield กว่า 9% จากราคาปิดเมื่อวานนี้ เป็นเงินปันผลจ่ายทั้งสิ้นไม่เกิน 711.33 ล้านบาท โดยบริษัทจะจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสด โดยกำหนดในวันที่ 15 พฤษภาคม 2563 เป็นวันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) และกำหนดจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 29 พฤษภาคม​ 2563  
14 คำถามกับ AP เดินกลยุทธ์เติบโตอย่างไร ให้ได้รายได้  40,550 ล้าน

14 คำถามกับ AP เดินกลยุทธ์เติบโตอย่างไร ให้ได้รายได้  40,550 ล้าน

เอพี ไทยแลนด์ กรุ๊ป วางเป้าหมายการเติบโตในปี 2563 ด้านรายได้ 40,550 ล้านบาท กับการเปิดตัวโครงการในปีนี้ 37 โครงการ รวมมูลค่า 47,150 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 33 โครงการ มูลค่า 35,050 ล้านบา และคอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่า 12,100 ล้านบาท ถือเป็นความท้าทาย ท่ามกลางบรรยากาศทางการตลาด ซึ่งล้วนแต่มีปัจจัยฉุดให้ไม่เติบโต และต้องทำงานกันอย่างยากลำบาก   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ เอพี ไทยแลนด์ กรุ๊ป หรือ AP ได้ไขข้อสงสัยและตอบคำถาม 14 ข้อ เพื่อให้เห็นภาพรวมของบริษัทที่จะมุ่งหน้าไป และแนวทางที่จะทำให้บริษัทสามารถเติบโตต่อไปได้ คำถามที่ 1 วิเคราะห์ภาพรวมตลาด อสังหาริมทรัพย์ปี 2020 และการรับมือกับความท้าทาย ? ปีนี้เป็นปีท้าทายมากๆ ไม่ว่าจะธุรกิจอะไรก็ตาม สำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ เราก็ได้รับผลกระทบจากกวิกฤตเศรษฐกิจต่างๆ เยอะมาก และเป็นปีที่ทดสอบเราจริงๆ ด้วยวิสัยทัศน์ และด้วยวิธีการปรับปรุงองค์กร ทุกครั้งเมื่อธุรกิจเริ่มจะช้าลง ใช้โอกาสในการปรับปรุงองค์กร การนำเอา AP Value หรือค่านิยมใหม่ๆ เข้ามา  ก็จะเป็นหนึ่งที่ทำให้เราแข็งแรงขึ้น ไม่ใช่ว่าที่ผ่านมาเราอ่อนแอนะ เราแข็งแรงบ้างแล้ว แต่การไปต่อในอนาคตเราต้องปรับปรุงตัวอย่างมาก   ธุรกิจแนวราบเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพสูง ในการที่จะทำเราเตรียมตัวเรื่องพวกนี้ค่อนข้างดี การพัฒนาระบบ ECOSYSTEM โคซิสเต็ม ตั้งแต่การนำเอาเทคโนโลยี และการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ เชื่อว่าจะทำให้เราผ่านปีนี้ไปได้ คำถามที่ 2 รายได้รวม ปี 2019 เท่าไหร่ 3 ภาคธุรกิจใหม่ที่เปิดตัวขึ้นมา เมื่อต้นปีที่ผ่านมา (SEAC-CLAYMORE-VARRI) ได้เริ่มสร้างรายได้แล้วหรือยัง ? ปีที่แล้วเรามีรายได้ 32,452 ล้านบาท จากเป้าหมายที่วางไว้ 35,700 ล้านบาท เราทำไปได้ 91% ของเป้าที่วางไว้ ด้วยความท้าทายปีที่แล้ว   ซึ่งถือว่าเราทำได้ดีมาก 56% เป็นแนวราบ 18,145 ล้านบาท  แนวสูงอีก 40% มูลค่า 12,877 ล้านบาท ที่น่าสนใจคือ เซอร์วิส ไม่ว่าจะเป็น บางกอกซิตี้สมาร์ท ที่ทำเรื่องรีเซล มีมูลค่า 1100 ล้านบาท เซอร์วิสเป็นส่วนหนึ่งเริ่มโชว์ขึ้นมา ปีที่แล้วมีสัดส่วนอยู่ 4% ปีนี้ ของรายได้รวมทั้งหมด และปีต่อไปน่าจะเห็นเพิ่มมากขึ้น   3 ธุรกิจที่เปิดตัวขึ้นมา มีรายได้แล้วสำหรับแต่ละธุรกิจ แต่รายได้ยังไม่กลับเข้ามาที่เอพี เพราะยังขาดทุนอยู่ เรื่องอินโนเวชั่น ต้องใช้เวลา SEAC ปีนี้เริ่มเข้าสู่โหมดไม่ขาดทุนแล้ว และอีก 2 ปีข้างหน้าจะเป็นรายได้กลับเข้ามาหาเอพี ส่วน CLAYMORE น่าจะเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น เริ่มเอาออกสู่ตลาด แต่ปีแรกยังคงไม่มีกำไร ยังขาดทุนอยู่ แต่อีกสัก 2 ปีข้างหน้าจะมีรายได้กลับมาหาเอพี   SEAC เราทำขึ้นมาได้รับความสนใจจากองค์กรหลายองค์กร ไม่ใช่องค์กรที่อยากเข้ามาเรียนรู้ หลายองค์กรอยากเป็น Share Holder ด้วยซ้ำ คำถามที่ 3 ปัจจุบัน เอพีมี Backlog เท่าไหร่ แบ่งการรับรู้อย่างไร ? เรามี Backlog อยู่ 51987 ล้าน ถึงวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2563 เป็นแนวราบ 8,300 ล้านบาท รับรู้รายได้หมด เทียบยอดรับรู้รายได้ทั้งหมดของแนวราบ 21,000 ล้านบาท ประมาณ​ 40% ที่เหลือเป็นการเปิดโครงการใหม่ ส่วนแนวสูง เรามี Backlog โอนปีนี้  16560 ล้านบาท  เทียบรายได้ที่ตั้งใจ 18,000 เรามีพร้อมโอนแล้ว 90% แนวสูงก็พร้อมจะโอน แต่อาจจะมียกเลิก ซึ่งมีแค่ 15% แต่เราก็มีโครงการที่พร้อมขายพร้อมโอน เรื่องนี้เราไม่ค่อยห่วงเท่าไร คำถามที่ 4 ปีนี้ Developer ส่วนใหญ่ ปรับแผนบุกตลาดแนวราบ เอพีมีแผนรับมืออย่างไร ? ปีนี้เป็นปีแห่งแนวราบ ทุกคนเข้ามา สิ่งที่เราจะรับมือกับคู่แข่งที่จะเข้ามาในตลาดมากขึ้น ประสบการณ์ที่ทำมา 2 ปี ได้ลองผิดลองถูกมา แม้ว่าเราจะทำแนวราบมานาน  แต่วิธีการทำสมัยใหม่ เรามีการปรับเปลี่ยนวิธีคิด และได้ทดลองมา 2 ปี เราเชื่อว่าวันนี้ มิกซ์องค์ประกอบ ที่ทำให้ลูกค้ามาซื้อบ้านเอพีได้ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสเปซ​ ที่อยู่อาศัย การทำเรื่องราคา การพัฒนาคุณภาพ และการมีเซอร์วิส การเอาบางกอกซิตี้สมาร์ท เข้าไปจับ หรือการเอาอินโนเวชั่นไปจับ ทุกวันนี้ถูกเอาไปใช้ในโครงการแนวราบทุกโครงการ   และจะเป็นปีแรกที่เราไปทดสอบตลาดต่างจังหวัด เพราะมีหลายจังหวัดมีศักยภาพ เมื่อ 5 ปีที่แล้วไปแนวสูง ปีนี้ไปแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์  บ้านแฝด จังหวัดแรกที่ไป คือ  นครศรีธรรมราช เหมือนเป็นเมืองรองแต่มีศักยภาพมาก มีเศรษฐีเยอะ คำถามที่ 5 ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา เอพีได้เปิดตัวไปแล้วกี่โครงการ ผลตอบรับเป็นอย่างไร ? เราเปิดบ้านเดี่ยวไป 4 โครงการ ทาวน์เฮ้าส์ไป 7 ช่วง 8 สัปดาห์ บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ มียอดขายเฉลี่ยต่อสัปดาห์ 200-300 ล้านบาท ถึงวันที่ 23 กุมภาพันธ์  2563 มียอดขายแล้ว 4,230 ล้านบาท เป็นแนวราบ 3,493 ล้านบาท ถ้าเทียบกับปีที่แล้วก็ยังสูสี ทั้งๆ ที่สถานการณ์ปีนี้เลวร้ายมาก ปีที่แล้วลูกค้าอยากซื้อก็ต้องรีบโอน แต่ปีนี้ไม่ใช่ แม้กระทั้งคอนโดฯ  ไม่ได้โครงการเปิดใหม่ แต่เรายังขายได้  737 ล้านบาน  ในช่วง 8 สัปดาห์ที่ผ่านมา ด้วยสถานการณ์แบบนี้ ไม่มีโครงการใหม่เปิด ขายสัปดาห์ละ 70-80 ล้านบาท ถือว่าไม่น้อยทีเดียว ถ้าเราทำโปรดักส์ ถูก ราคาถูก การทำตลาดได้ถูกต้อง ยังถือว่าได้ผลลัพท์ที่ดี  ยังมีดีมานด์ในตลาด คำถามที่ 6 ปีนี้เอพีเปิดตัวคอนโดลดลงหรือไม่ ทางพันธมิตรญี่ปุ่น Concern เรื่องการลงทุนในประเทศไทยหรือไม่ ? คอนโดฯ เราเปิดปีละ 4-6 โครงการอยู่แล้ว ปีนี้เราเปิด 4 โครงการ ถ้าถามเรื่องการคอนเซิร์นของพันธมิตรญี่ปุ่น เราต้องมองว่า พันธมิตรเรา บริษัทมิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป (MEC)  เป็นมืออาชีพในการพัฒนาอสังหาฯ​ ในญี่ปุ่น เขามีความเข้าใจในการทำธุรกิจอสังหาฯ​ มันมีขึ้นมีลง เขาคุยเสมอว่าเขาเข้าใจ ว่าอะไรบ้างมีผลกระทบต่อตลาดอสังหาฯ แต่ความมั่นใจของเขา ไม่ได้อยู่ที่สภาพแวดล้อม หรือเรื่องเศรษฐกิจที่ทำให้ลดตัวลง แต่มันอยู่ที่การบริหารจัดการภายใน   ตลอดระยะเวลา 5-6 ปีที่ทำงานมา เราทำให้เขาเห็นถึงความมั่นใจ การทำงานของเรา ไม่ว่าจะเรื่องระบบ ความเชื่อถือเชื่อมั่น และที่สำคัญ คือ แผนงานของเรา แผนการเปิดตัวคอนโดฯ มีการผ่อนหนักผ่อนเบา โอกาสมาก็เปิดเยอะ โอกาสน้อยก็เปิดน้อย แล้วจะเห็นว่าการได้มาซึ่งการรับรู้รายได้ มันต้องบาลานซ์ให้คงที่อยู่ตลอด อาจจะมีลดบ้างเพิ่มบ้าง แต่เรามีการทำให้มีการรับรู้รายได้อยู่ตลอดเวลา  อย่างปีที่แล้วก็เริ่มมีการรับรู้รายได้ของโครงการที่สร้างเสร็จ ปีนี้ก็จะมีอีก แล้วปีนี้จะเปิดตัวถึง 4 โครงการ ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ แต่การเปิดโครงการเป็นการรับรู้รายได้ อีก 2-3 ปีข้างหน้า เรามีระยะเวลาการขาย   เราไม่ได้มองว่าเปิดมาแล้วต้องขายหมด เช่น เมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมามีการเปิดตัว เราก็ได้รับผลประโยชน์ในปีนี้ ด้วยแผนการ วิธีการการทำงาน ความเชื่อมั่นที่เราปฏิบัติกับเขา  เราไม่มีการหมกเม็ด เราเปิดเผยข้อมูลทั้งหมด เขาอยากรู้อะไร เราตอบเขาหมด เรามีการพบปะผู้บริหารอยู่ตลอดเวลา ทำให้ญี่ปุ่นมีความมั่นใจในศักยภาพของตลาดเมืองไทย เพราะอย่างไรก็ตามมันมีวงจรของการขายไม่คงที แต่การรับรู้รายได้มีอย่างต่อเนื่อง คำถามที่ 7 งบซื้อที่ดินปี 2020 เท่าไหร่ ใช้ไปแล้วเท่าไหร่ และโครงการต่างจังหวัด มีที่ดินครบแล้วหรือยัง ? ปีนี้ เรามีงบซื้อที่ดิน 8,500 ล้านบาท สำหรับการซื้อที่ดิน เราใช้ไป 700 ล้านบาท เป็นการพัฒนาแนวราบเสียเยอะ ส่วนต่างจังหัดที่จบไป คือ ที่นครศรีธรรมราช ส่วนที่เหลือ ก็อยู่ระหว่างการจัดซื้อ และการตัดสินใจ ว่าเราจะไปจังหวัดไหนต่อ คำถามที่ 8 AP มี Stock สินค้า พร้อมขายพร้อมอยู่กี่โครงการ และมีแผนการขายอย่างไร ท่ามกลางกำลังซื้อหดตัว ? องค์รวมยอดขายหดตัวอยู่แล้ว แต่มาดูรายเซ็กเมนต์แนวราบยังไปได้ แต่เรายังเห็นการเติบโตอยู่ ส่วนเรื่องสต็อก แนวราบแทบไม่มีสต็อกเลย ซื้อมาโอนไป ส่วนแนวสูง มีสต็อกเหลืออยู่ โครงการพร้อมขาย พร้อมโอน 3,200 ล้านบาท ถ้าเทียบจากอัตราการขาย 70-80 ล้านต่อสัปดาห์ ถ้าไม่มีอะไรที่เลวร้ายไปกว่านี้ สต็อกนี้ไม่เป็นปัญหาในการที่เราจะเคลียร์ได้ คำถามที่ 9สถานการณ์ลูกค้าต่างประเทศ เป็นอย่างไร มีปัญหาเรื่องการโอนคอนโดหรือไม่ ? ถ้าบอกลูกค้าต่างประเทศไม่มีปัญหา มันคงไม่ใช่ เป็นปัญหาแน่ๆ แต่เราอยู่ที่การบริหารจัดการมากกว่า ปีที่แล้ว ไลฟ์ วิทยุ ที่มีลูกค้าต่างชาติเข้ามา เราโอนไปได้ 180 ยูนิต เกือบ 200 ยูนิตในเดือนเดียว มันมีองค์ประกอบหลายอย่าง ที่จะบริหารลูกค้าต่างชาติ ประการแร  เริ่มจากการขาย เรามีการบริหารจัดการขาย ผ่านบางกอกซิตี้สมาร์ท 2. กระบวนการจะส่งมอบ อย่างไลฟ์ วิทยุ เราตั้งเป้าให้ลูกค้าโอนเร็วที่สุด เพราะลูกค้าอาจจะเปลี่ยนใจได้ จึงทำเรื่อง Zero defect  ซึ่งเราทำได้ถึง 90% ลูกค้าเข้ามาตรวจ ถ้าต้องการแก้งาน เราแก้งานให้จบในวันนั้นแล้วโอนเลย มันเป็นสิ่งที่กระบวนการจัดการการโอน เพื่อส่งมอบสินค้าอย่างมีคุณภาพ ส่งผลให้การโอนไลฟ์วิทยุ ภายในเดือนธันวาคมเราทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้  และ 3.การกลับไปบางกอกซิตี้สมาร์ท การบริหารลูกค้า ติดตามลูกค้า การปรับเอาห้องของลูกค้าไปขายต่อ ซึ่งก็ขายได้ดี มันอยู่ที่องค์ประกอบในการแก้ไขปัญหา มันมีปัญหาแหละ ขึ้นอยู่กับการเตรียมตัวมาอย่างดี คำถามที่ 10 งบประมาณในการลงทุนเรื่อง BIM และ BIM ช่วยลดต้นทุนการก่อสร้างได้เท่าไหร่ มีผลต่อราคาขายหรือไม่ ? BIM ลงทุนไปเกือบ 20 ล้านบาท ทั้งในเรื่องของการพัฒนากระบวนการ การยอมรับของคน การพัฒนาศักยภาพของคน รวมถึงการซื้อซอฟท์แวร์ต่างๆ แน่นอนว่า เรามองเป้าหมายใหญ่กว่านั้น เป็นการส่งมอบคุณภาพของสินค้าให้กับลูกค้า และในมุมของดีเวลลอปเปอร์ นอกจากเรื่องคุณภาพแล้ว ยังมองเรื่องการบริหารจัดการเรื่องราคาขาย ที่ผ่านมา ที่ดินก็ราคาขึ้น ค่าก่อสร้างก็ราคาขึ้น ทำไมเรายังทำราคาขายให้อยู่ในการแข่งขันที่ดี   เราพยายามเมนเทนราคาของเราไม่ให้เกิน 200,000 บาทต่อตารางเมตร อยู่แสนต้นๆ ถึงแสนปลายๆ เราก็ทำได้ไม่ว่าราคาที่ดินจะเป็นเท่าไร แน่นอนว่า ราคาที่ดินไม่สูงเกินไป หรือในอดีตที่ดินราคา 200,000-300,000 บาท มาวันนี้ 600,000-700,000 บาท เราก็ต้องทำราคาให้ได้ให้อยู่ในราคานี้  ราคาที่ดินและค่าก่อสร้างมันขึ้นมาก แต่รายได้ของคนไม่ได้ขึ้นไปตามนั้น BIM มีส่วนช่วย ทำให้ลูกค้าได้ราคาที่ดี ลูกค้าสามารถได้ของมีคุณภาพ สิ่งที่เราเอาบินมาลดต้นทุน เราเอากลับไปให้ลูกค้า ในเชิงรูปแบบของราคา เราลดต้นทุน คือ Crack detection  เราต้องไปแก้งาน ยกตัวอย่าง ไลฟ์พระราม 9 เราลดต้นทุนไปได้ 70-80 ล้านบาท จากการไม่ต้องไปทุบคาน ไม่ต้องแก้คาน การเดินงานใหม่ เป็นต้นทุนที่ซ่อนอยู่ ที่เราจ่ายออกไปง่ายมาก ในการแก้งาน แต่การแก้ในซอฟแวร์ต้นทุนไม่มี และเป็นการประหยัดเวลาด้วย การลด Crack detection การลดเวลาการก่อสร้างลง เป็นการประหยัดต้นทุน   การก่อสร้างถ้าโอนเร็วขึ้นสักเดือน เราสามารถประหยัดไปได้เกือบ 10 ล้านบาท เพราะเป็นต้นทุนทางด้านไฟแนนซ์ เรื่องการกู้ แต่พวกนี้เรามีประสบการณ์มากขึ้น เราลดต้นทุนได้ ก็จะถูกส่งกลับไปให้ลูกค้าในเชิงราคา มันสร้าง Competitiveness ให้กับ เอพี ลูกค้าก็ได้ราคาที่ดี คุณภาพที่ดี เทคโนโลยีที่ Implement ทุกวันนี้มันต้องทำให้ดีขึ้น  แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นยาก การเปลี่ยนแปลงให้คนมาทำ BIM ไม่ง่าย เราใช้เวลามา 2 ปีแล้ว  การประสบความสำเร็จของเราที่ทำได้ขนาดนี้  อาจจะทำได้แค่ 50% เหลืออีก 50% ที่เราต้องทำงานต่อไป คำถามที่ 11 ธุรกิจการศึกษา ปีที่ผ่านมา ผลตอบรับเป็นยังไง ทำไมถึงพัฒนาหลักสูตรสำหรับเด็ก ธุรกิจการศึกษา ปีที่แล้วเป็นปีแรกที่เราเข้ามาทำจริงจัง แล้วมีการเปิดตัว YOUR NET U  เราจะเห็นว่า เราได้รับการตอบรับจากองค์กรดีมาก องค์กรใหญ่ๆ มีการมุ่งมันพัฒนาศักยภาพของคนในองค์กรของตัวเอง เพราะทุกคนรู้ว่าตัวเองต้องเตรียมความพร้อมในการรับมือกับ Digital disrupt ที่เกิดขึ้น การพัฒนาศักยภาพของคนวันนี้ ส่วนใหญ่ไม่ใช่ Functional skill แต่เป็น Soft skill เป็น เรื่องของ Mindset เรื่องของความคิด เราจะเห็นว่าทุกองค์กรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก   เราทำ YOUR NET U  จะเห็นว่าคนที่ได้รับผลกระทบจาก Digital disrupt  คือ กลุ่มสตาร์ทอัพ เอสเอ็มอี คนเหล่านี้หันมาสนใจการศึกษา การเพิ่มพูนความรู้ การปรับเปลี่ยนวิธีคิดของตนเองมาก พนักงานในองค์กรยังไม่เห็นความจำเป็นของเรื่องพวกนี้มาก เพราะยังใช้ชีวิตสะดวกสบาย ทำงานไป ได้เงินเดือน มีโบนัส ​แต่ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป จะมีผลกระทบกับพนักงานแรงๆ จะเห็นการปิดตัว ของหลายบริษัท การลดคนงาน  คนจะอยู่ในโหมด Survival จะเกิดขึ้นทันที การเอาตัวรอด ซึ่ง คือ การเรียนรู้ ธุรกิจการศึกษาเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพมากๆ   ส่วนทำไมเราถึงพัฒนาสำหรับเด็ก ต้องยอมรับว่า เราเห็น gap ของการทำงาน ของเด็กจบใหม่ก็เยอะ เด็กจบใหม่ตกงานก็เยอะ บริษัทอยากได้คนทำงานก็เยอะ แต่สองอันนี้ไม่ชนกัน สิ่งหนึ่งที่เห็นคือ คนไม่ได้มี passion ในสิ่งที่ตนเองเรียนมา และไม่สามารถเอาความรู้เหล่านั้นมาใช้เต็มศักยภาพที่เป็น แต่ถ้ามองถอยหลังกลับไป มันเกิดจากตอนเอ็นซ์ฯ ก่อนสอบเข้ามหาลัย คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้ตัว จะเอ็นซ์ฯ ไปตามเทรนด์ที่เกิดขึ้น เด็กผู้ชายต้องเอ็นซ์ฯ วิศวะ สิ่งเหล่านี้ ถ้าเราจะพัฒนาระบบการศึกษา หรือพัฒนาคน ต้องพัฒนาตั้งแต่ก่อนเอ็นซ์ฯ เราเลยหลักสูตรขึ้นมา เป็นการพัฒนาวิธีคิด พัฒนา mindset ให้พร้อมรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต คำถามที่ 12 ปัจจุบัน Platform ’SMART WORLD’ มีผู้ใช้จำนวนเท่าไร มีโครงการนอกเครือเอพีหรือไม่ คิดเป็นสัดส่วนเท่าไร ได้รับผลตอบรับจากผู้ใช้อย่างไรบ้าง ? บางกอกซิตี้ สมาร์ท  เราดูแลลูกบ้าน 58,000 ครอบครัว วันนี้ มีคนดาวน์โหลดไปแล้ว 40,000 เราเชื่อว่าต้องทำให้ครบ ให้คนมีโอกาสใช้งาน สิ่งที่ต้องทำมากขึ้น คือ engagement กับแอพพลิเคชั่น ยังต่ำ 10-15%  เป้าหมายของเราทำอย่างไรให้คน ใช้แอพทุกวันเหมือนเปิดเฟสบุ๊ค ไลน์​เป็นความท้าทายของคนทำ SMART WORLD แต่เรายังเชื่อมั่นว่า เราจะทำได้ ถ้าเราใส่องค์ประกอบที่ถูกต้องลงไป คำถามที่ 13 ทำไมทาง Claymore ถึงโฟกัสเรื่อง Health และ Ageing เป็นการศึกษาของเรา เทรนด์ของโลกนี้ เป็น Health และ Ageing กลับไปมองที่คน คนแก่มากขึ้น เด็กน้อยลง และคนให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น เนื่องจากเรามีมลภาวะ ทางอากาศ การกิน เรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว และเป็นเทรนด์ในอนาคต  เรื่อง Ageing เราพัฒนาเพื่อบริการคน 70-80 ปี ก็จริง แต่เราไม่ได้มองว่าจะเซอร์วิสคนเหล่านี้ เราหาอินไซด์ เราจะไปหาจากคนก่อนเกษียณ  เพราะคนเหล่านี้ จะใช้เซอร์วิสเราจริงๆ ในอนาคต คนปัจจุบันส่วนใหญ่ยังเป็น Gen baby boomer บ้าง Gen X บ้าง ซึ่งยังมีครอบครัว แต่วันนี้สิ่งที่เราพบ Ageing ไปอยู่คนเดียวเยอะมาก เราเป็นลูกหลาน Gen X Gen Y อยากดูแลพ่อแม่ แต่เป็นความอยากหรือแค่ความฝัน เพราะลำพัง แค่เอาตัวเองให้รอดไปวันๆ ก็ลำบากจะแย่อยู่แล้ว สิ่งที่เรากลับไปคิดว่ามีอะไรบ้างจะช่วงเรื่องพวกนี้บ้าง   ส่วนเรื่อง Health  ทุกคนมีความฝันเรื่องการมีสุขภาพดี ทุกคนมีความฝันว่าตัวเองมีซิคแพก รู้สึกว่าตัวเองมีแคลอรี่ไม่เกิน แต่พอไปตรวจร่างกายแล้วจะรู้สึกว่าฉันต้องออกกำลังกายทุกที แต่พอผ่านไปสักเดือนก็เลิกแล้ว มันเป็นไซเคิล เพราะอุปสรรคมันเยอะเหลือเกิน เราจะเข้าไปแก้ไขทำอย่างไรให้ตรงนี้มันง่ายขึ้น ให้เขามีสุขภาพดีได้ง่ายขึ้น คำถามที่  14 ความคาดหวังของพันธกิจ EMPOWER LIVING คืออะไร ? นวัตกรรมวันนี้มันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พอพูดถึงนวัตกรรม ไม่ใช่แค่รีโมทเปิดไฟได้ เรื่องพวกนี้มันธรรมดาไปแล้ว แต่ในอนาคตจะทำอย่างไร บ้านวันนี้มีวิธีคิดใหม่ เราก็ไม่รู้ในอนาคตจะมีเทคโนโลยีใหม่ๆ อะไรออกมาบ้าง  แต่เราจะทำอย่างไร ให้บ้านมันถูกปรับแต่งได้ง่ายขึ้น มันถูกเอาไปใช้ปลั๊กอินได้มากขึ้น ถ้าทำให้บ้านมีระบบปลั๊กอิน  เพราะเราคงไม่สามารถไปรื้อบ้านสร้างใหม่ได้ตลอดเวลา  ปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยที่เป็นมันน่าจะตอบโจทย์ลูกบ้านมากเลย          
มั่นคงฯ ปิดปี 62 โชว์ผลงานธุรกิจ “เช่า-บริการ” โต 27%

มั่นคงฯ ปิดปี 62 โชว์ผลงานธุรกิจ “เช่า-บริการ” โต 27%

มั่นคงฯ แจงผลการดำเนินงานปี 2562  สร้างรายได้ธุรกิจเพื่อเช่าและบริการ โต 27%  ขณะที่ธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ ชะลอตัว หลังโดนผลกระทบจาก LTV ทำรายได้ลดลง 5.2% แต่ยังคง ทำรายได้รวม 4,438.11 ล้าน มีกำไรสุทธิกว่า 177 ล้าน   นายสุเทพ วงศ์วรเศรษฐ ประธานกรรมการ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK เปิดเผยถึงผลประกอบการปี 2562 ว่า บริษัทและบริษัทย่อยสามารถทำรายได้รวมจากการขายและบริการได้ถึง 4,438.11 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายจำนวน 3,936.77 ล้านบาท รายได้จากธุรกิจเพื่อเช่าและบริการ  จำนวน 501.34 ล้านบาท เติบโต 27% จากปีที่ 2561 บริษัทสามารถทำกำไรสุทธิ 177.45 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.16 บาท ซึ่งตลอดช่วงระยะ 4 ปีที่ผ่านมากลุ่มบริษัทสามารถดำเนินธุรกิจเป็นไปตามแผนการปรับโครงสร้างรายได้ระยะยาว โดยสามารถเพิ่มสัดส่วนกำไรขั้นต้นจากธุรกิจเพื่อเช่าและการบริการ ต่อรายได้จากการดำเนินการในทุกธุรกิจเป็น 25.8% ในปี 2562 จากสัดส่วน 4.5% เมื่อสิ้นปี 2558   ในปี 2562  บริษัทมีรายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ เป็นจำนวน 3,936.77 ล้านบาท ลดลงเพียงเล็กน้อยจากปี 2561 จำนวน 216.16 ล้านบาท หรือ 5.2%  ปัจจัยมาจากผลกระทบของธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่า จะเป็นความเข้มงวดของ LTV ซึ่งผลกระทบดังกล่าวส่งผลต่อความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค อย่างไรก็ดี บริษัทมีมาตรการช่วยเหลือลูกค้า เพื่อผ่อนคลายผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว เช่น ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการจัดเตรียมข้อมูลทางการเงินอย่างรัดกุม การยื่นขออนุมัติเครดิตเบื้องต้น (Pre Approve) และให้ลูกค้าเช็คเครดิตบูโรกับธนาคารพาณิชย์ก่อนทำการเปิด  ใบจอง   นอกจากนี้ ในช่วงปลายปีได้มีมาตรการกระตุ้นของภาครัฐเรื่องการลดค่าธรรมเนียม จดทะเบียนการโอน และค่าจดทะเบียนการจำนองสำหรับบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีสินค้าที่อยู่ในระดับราคานี้  หลายโครงการ อีกทั้งลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทกว่า 70% เป็นลูกค้าที่ไม่ติดภาระสัญญากู้เงินที่อยู่อาศัย จึงทำให้บริษัทยังคงสามารถรักษาระดับรายได้จากการขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ได้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา   ในส่วนของรายได้จากธุรกิจให้เช่าและบริการ ในปี 2562 มีรายได้ถึง 501.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ถึง 107.4 ล้านบาท หรือคิดเป็น 27% โดยรายได้หลักมาจากโครงการบางกอกฟรีเทรดโซน ของ บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด จำนวน 291.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 78.53 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 36.81% ซึ่งโครงการบางกอกฟรีเทรดโซนสามารถขยายสัดส่วนพื้นที่ให้เช่าเพิ่มขึ้นเป็น 193,872 ตารางเมตร ส่วนธุรกิจสนามกอล์ฟและบริหารอสังหาริมทรัพย์ มีรายได้ 119.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.52 ล้านบาท คิดเป็น 9.63% นอกจากนี้ยังมีรายได้มาจาก โครงการพาร์คคอร์ท สุขุมวิท 77 และ บริษัท ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด   นายสุเทพ กล่าวว่า จากผลการดำเนินงานในแต่ละธุรกิจของกลุ่มบริษัท ถึงแม้ว่ารายได้หลักจากธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ จะชะลอตัวลดลง เนื่องจากผลกระทบในหลายปัจจัยในปีที่ผ่านมา แต่บริษัทก็ยังสามารถควบคุมต้นทุนการดำเนินงานทำให้สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้มากกว่า 30% ใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า รวมถึงได้เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการที่เป็นระบบและมีมาตรฐานมากยิ่งขึ้น
ถอดกลยุทธ์ “เอสซี แอสเสท” ใช้ความยืดหยุ่น สร้างพอร์ตธุรกิจให้เติบโต พร้อมเพิ่มรายได้ประจำ

ถอดกลยุทธ์ “เอสซี แอสเสท” ใช้ความยืดหยุ่น สร้างพอร์ตธุรกิจให้เติบโต พร้อมเพิ่มรายได้ประจำ

ปีที่ผ่านมาภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ ต้องเผชิญกับปัจจัยลบมากมาย ส่งผลให้ภาพรวมของการเปิดโคงการใหม่ลดลง 20% ยอดขายลดลง 23% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่วนปีนี้ปัจจัยลบต่างๆ ยังมีต่อเนื่อง แถมยังมีปัญหาใหม่เพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณภาครัฐที่ล่าช้า ไวรัสโคโรนา ตัวเลขจีดีพีซึ่งมีโอกาสต่ำกว่า 2 ทำให้ไม่สามารถประเมินสถานการณ์ตลาดได้ว่าจะเป็นอย่างไร   สำหรับบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) แม้ว่าปีที่ผ่านมาสามารถสร้างการเติบโต และทำนิวไฮด์ได้หลายตัวเลข  ไม่ว่าจะเป็นรายได้ และกำไรโดยมีรายได้รวม 17,787 ล้านบาท เติบโต 15%  มีกำไรสุทธิ 2,026 ล้านบาท  เติบโต 13% ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ “เอสซี แอสเสท” สามารถทำกำไรได้มากกว่า   2,000 ล้านบาท แต่การดำเนินธุรกิจต่อไปนับจากนี้ อาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย และมีความท้าทายหลายเรื่อง ซึ่งกลยุทธ์ที่ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างการเติบโตต่อไป คือ “ความยืดหยุ่น” หรือ Resilient ชูกลยุทธ์ “ความยืดหยุ่น” สู้ความยุ่งเหยิง เพื่อความยั่งยืน นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า กลยุทธ์ในการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวนและไม่แน่นอน “เอสซี แอสเสท” ใช้กลยุทธ์ความยืดหยุ่น หรือ  Resilient เพื่อความยั่งยืน พร้อมปรับตัว และมองโอกาสหา S-curve ให้บริษัทสำหรับการเติบโตระยะยาว โดยขับเคลื่อนใน  2 เรื่องหลัก  คือ “Resilient Portfolio” กับ “Resilient People” แนวทาง Resilient Portfolio ที่จะสร้างการเติบโต แบ่งเป็น 3 เรื่องสำคัญ ได้แก่ 1.For Sale เน้นโปรเจ็กต์แนวราบ ในปี 2562 ที่ผ่านมาบริษัทมีการเติบโตของบ้านเดี่ยวทุกระดับราคา  และยังสามารถสร้างส่วนแบ่งตลาดได้เป็น อันดับ 1 กลุ่มบ้านราคา 20-50 ล้านบาท และ อันดับ 3 ของบ้านเดี่ยวทุกระดับราคา แผนธุรกิจในปีนี้ จึงเน้นการเพิ่มการเติบโตของแนวราบ โดยเพิ่มสัดส่วนของแนวราบราคาน้อยกว่า 10 ล้านบาท จาก 40%  เป็น 50% ในปี 3 ปีนี้ 2.For Rent เสริมพอร์ตรายได้ประจำ “เอสซี แอสเสท” จะกระจายความเสี่ยงและเพิ่มพอร์ตรายได้ประจำ (recurring income) ให้มากขึ้น โดยวางสัดส่วนให้มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นในอนาคตมากกว่า 20% ผ่านธุรกิจโรงแรม ออฟฟิศ และอพาร์ทเม้นท์ ในต่างประเทศโดยได้จัดตั้งบริษัท เอสซี เอ็กซ์เพดิชั่น จำกัด (SC Expedition) เพื่อพัฒนาธุรกิจโรงแรมกลุ่มตลาดระดับ 3-4 ดาว (mid-to-upscale) รองรับนักท่องเที่ยวทั้งต่างประเทศและในไทย โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวเดินทางด้วยตนเอง หรือ FIT (Free Individual Travelers) ที่ชอบท่องเที่ยวด้วยตนเองและกำลังเติบโต   บริษัทวางแผนลงทุนโรงแรมภายในปี 2566 จะมีโรงแรม 5 แห่ง รวม 1,000 ห้อง โดยปีนี้จะเปิดแห่งแรกที่ย่านราชวัตร ขนาด 70-80 ห้อง ใช้เงินลงทุนประมาณ​ 100 ล้านบาท ส่วนปีหน้าจะลงทุนเปิดที่ทำเลรัชดา  ส่วนปีต่อไปจะเปิดที่ทำเลสุขุมวิท วิภาวดี และพัทยา ซึ่งบริษัทจะใช้แบรนด์ของตนเอง ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา   นอกจากนี้ ยังจัดตั้ง บริษัท เอสซี อัลฟ่า อินคอร์ปอเรชั่น (SC Alpha Inc.) เพื่อลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในประเทศสหรัฐอเมริกา  ซึ่งจากปัจจัยและโอกาสของตลาด อพาร์ทเม้นท์ในบอสตันที่มีศักยภาพพร้อมเติบโต จึงได้ทำสัญญาซื้อและบริหารอาคาร ที่ 244 Hanover Street & 20 Parmenter Street ในเมืองบอสตัน รัฐ แมสซาชูเซตส์  มูลค่า 24.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อดำเนินธุรกิจอพาร์ทเม้นท์ ซึ่งจะมีการลงทุนพัฒนาอพาร์ทเม้นท์อย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทวางงบลงทุนแต่ละปี 30 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 900 ล้านบาท 3.หา S-curve ใหม่สร้างรายได้จาก Living Solutions  นอกจาก รายได้จากการขายและรายได้ประจำแล้ว “เอสซี แอสเสท” ยังมองหาโอกาสในการสร้างรายได้จากธุรกิจที่เป็น S-curve ใหม่ๆ ซึ่งเป็นการต่อยอดจากโมเดลธุรกิจ Living Solutions บนการพัฒนา platform  โดยได้เตรียมเปิดตัว  RueJai Club ไว้ดูแลลูกค้า ซึ่งเป็นวิถีของโลกยุคใหม่ ที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อส่งมอบ solutions ให้กับลูกค้าทุกๆ บ้าน ด้วยโมเดลช่วยเรื่องบ้าน จัดการเรื่องชีวิต  ประกอบด้วยแพ็กเกจบริการรายครั้งหรือรายเดือน  สำหรับอำนวยความสะดวกทุกสิ่งที่เกี่ยวกับบ้าน ได้แก่ แม่บ้าน, ทำสวน , ล้างแอร์ เป็นต้น พร้อม solutions ที่มากกว่า  ได้แก่ บริการส่งน้ำ ,ส่งแก็ส , ตัดผม, ซักรีด , ประกันภัย, อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า และอื่นๆ  อีกมากมายที่จะร่วมกับบริษัทพาร์ทเนอร์ชั้นนำในอนาคต   นายณัฐพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนแนวทาง “Resilient People” การให้ความสำคัญกับบุคลากร ที่เป็นหัวใจของความสำเร็จขององค์กร  บริษัทได้นำวัฒนธรรมองค์กรชื่อ #SKYDIVE ภายใต้ค่านิยม (core values) 4 ประการคือ care, courage, collaboration, continuous improvement  โดยทั้งหมดเป็นส่วนผสมที่ลงตัว เปิดโอกาสให้กล้าคิดและทำอย่างมีประสิทธิภาพ  เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการขับเคลื่อนองค์กรให้สอดคล้องต่อการเป็น Living Solutions Provider แผน "เอสซี แอสเสท" เปิด 13 โปรเจ็กต์ 16,000 ล้าน สำหรับแผนธุรกิจในปี 2563 บริษัทตั้งเป้ารายได้ที่ 17,800 ล้านบาท และ ยอดขาย 18,000 ล้านบาท  โดยการเติบโตของรายได้และยอดขาย มาจากโครงการเปิดขายทั้งหมด 64 โครงการมูลค่ารวมกว่า 58,300 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการต่อเนื่อง 51 โครงการ มูลค่ารวม 42,300 ล้านบาท พร้อมกับการเปิด 13 โครงการใหม่ มูลค่า 16,000 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 12 โครงการใหม่ มูลค่า 12,500 ล้านบาท มีทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮมซีรีย์ใหม่ทุกระดับราคา  เริ่มต้น 2-50 ล้านบาท ทำเลวิภาวดี พระราม 5 , แจ้งวัฒนะ, พระราม 9, พัฒนาการ , บางนา-อ่อนนุช   โดยเตรียมเปิดโครงการแรก วี คอมพาวด์  ติวานนท์-รังสิต ในเดือนมี.ค.นี้ ส่วนโครงการคอนโดมิเนียม ปีนี้เปิดเพียง 1 โครงการ ได้แก่ โครงการ The Crest Park Residences คอนโดฯระดับลัชัวรี่ พัฒนาภายใต้บริษัท เอสซี เอ็นเอ็นอาร์ วัน  จำกัด(SC NNR1 Co.,Ltd.) ที่บริษัทร่วมทุนกับ Nishitetsu Group ยักษ์ใหญ่และผู้นำในภูมิภาคคิวชูของประเทศญี่ปุ่น  บนทำเลห้าแยกลาดพร้าว เพียง 75 เมตร ถึง MRT พหลโยธิน ขนาดพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ จำนวน 429 ยูนิต มูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท กำหนดเปิดขายในไตรมาส 2 ของปีนี้ หรือประมาณเดือนพฤษภาคมนี้ มีราคาเฉลี่ยกว่า 200,000-250,000 บาทต่อตารางเมตร หรือราคาเริ่มต้น 5.9 ล้านบาท
คนไทยแห่จองสิทธิเช่าบ้านราคาพิเศษ “บ้านดีทั่วไทย” กว่า 17,000  ราย

คนไทยแห่จองสิทธิเช่าบ้านราคาพิเศษ “บ้านดีทั่วไทย” กว่า 17,000  ราย

การเคหะ เดินหน้ามอบสัญญาเช่า “บ้านถูกทั่วไทย” ราคาเริ่มต้น 999 บาท จำนวน 10,000 ยูนิต หลังเปิดจองผ่านออนไลน์ คนไทยแห่จองกว่า 17,000 ราย  พร้อมจัดงาน “บ้านของเรา ก้าวไปด้วยกัน” อัดโปรชั่นหนุนคนรายได้น้อย ให้มีที่อยู่   นับตั้งแต่การเคหะแห่งชาติ ได้เปิดโครงการ “เช่าทั่วไทย” ด้วยการให้ประชาชนได้สิทธิเช่าบ้านราคาพิเศษ เริ่มต้น 999 บาท ซึ่งให้ประชาชนได้เริ่มจองสิทธิผ่านระบบออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม – 30 มิถุนายน 2563 โดยนับตั้งเปิดให้จองจนถึงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา พบว่ามีประชาชนสนใจจองสิทธิเช่าดังกล่าวกว่า 17,000 ราย   ต่อมาวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานมอบสัญญาเช่าบ้านราคาพิเศษ ชุดแรก จำนวน 50 ราย จากโครงการร่มเกล้า 2 และโครงการลาดกระบัง 2 ให้กับประชาชนที่สนใจจองไปแล้ว  และในวันที่ 23-25 กุมภาพันธ์ 2563 ตั้งแต่เวลา 08.30-18.00 น. สำนักงานใหญ่ การเคหะแห่งชาติ สำนักงานเคหะนครหลวง และสำนักงานเคหะจังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศที่มีโครงการเปิดให้เช่า ได้เดินหน้ามอบสัญญาเช่าบ้านราคาพิเศษ พร้อมกันทั่วประเทศ ในงาน “บ้านของเรา ก้าวไปด้วยกัน”   โดยมีจำนวนบ้านเข้าร่วมในโครงการจำนวน 10,000 หน่วยทั่วประเทศ แบ่งเป็น โครงการที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล จำนวน 6,500 หน่วย ประกอบด้วย กรุงเทพฯ นนทบุรี นครปฐม ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และโครงการในเขตภูมิภาค จำนวน 3,500 หน่วย อาทิ เชียงใหม่ ลำปาง ภูเก็ต หาดใหญ่ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา นครราชสีมา บุรีรัมย์ หนองคาย อยุธยา สระบุรี เป็นต้น   ดร.ธัชพล กาญจนกูล ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) เปิดเผยว่า การเคหะแห่งชาติ (กคช.) มีภารกิจหลักในการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลางควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ทั้งด้านกายภาพ เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมมากว่า 47 ปี และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายภารกิจที่ตั้งไว้ ในปี 2563 ทาง การเคหะแห่งชาติ จึงได้ร่วมกับ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มอบของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนภายใต้แคมเปญ “บ้านถูกทั่วไทย”   สำหรับโครงการ “เช่าทั่วไทย” มีกรอบระยะเวลาการทำสัญญาเช่ากับการเคหะแห่งชาติเป็นระยะเวลา 1 ปี และต่อสัญญาเช่าทุกปี โดยผู้ลงทะเบียนจองสิทธิ "บ้านเช่า" จะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ 1.เป็นผู้มีสัญชาติไทย และบรรลุนิติภาวะแล้ว 2.มีรายได้ครัวเรือนไม่เกิน 40,000 บาทต่อเดือน 3.ไม่เป็นคู่สัญญาเช่ากับการเคหะแห่งชาติ และไม่มีหนี้ค้างชำระ ทั้งนี้หากผู้เช่ามีความประสงค์จะซื้อในภายหลัง สามารถเปลี่ยนมาเป็นซื้อได้ตามเงื่อนไขที่              การเคหะแห่งชาติกำหนด ในงานยังมีโปรโมชั่นสุดพิเศษ “Shock Price” ลดราคาบ้านจำนวน 35 โครงการ ให้กับผู้ที่สนใจซื้อเป็นของตนเอง โดยราคาเริ่มต้นแค่เพียง 250,000 บาท สูงสุดที่ราคา 420,000 บาท โดยผู้สนใจวางเงินจองเพียง 1,000 บาท กู้ได้สูงสุด 100% หรือผ่อนบ้านกับการเคหะแห่งชาติในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ฟรีค่าธรรมเนียมโอนกรรมสิทธิ์ และ ฟรีมุ้งลวด-เหล็กดัด (เฉพาะโครงการอาคารชุดชั้น 4 – 5) สำหรับประชาชนที่โอนกรรมสิทธิ์และจดจำนองบ้านการเคหะฯ ตามมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนฯ ของรัฐบาล ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2563 มีสิทธิ์ลุ้นรับของรางวัลต่างๆ มากมาย ทั้งนี้ ภายในงานยังได้มีการทำพิธีมอบสัญญาเช่าโครงการบ้านเช่าราคาพิเศษให้แก่ผู้ได้สิทธิ์ จำนวน 10 ราย โดยมี นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มาเป็นประธานเปิดงาน พร้อมทั้งมอบสัญญาเช่าดังกล่าว เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่ต้องการช่วยเหลือประชาชนอย่างแท้จริง ด้วยการลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงที่อยู่อาศัยของประชาชนผู้มีรายได้น้อย การเคหะแห่งชาติ (กคช.) ในฐานะรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)  มีภารกิจหลักในการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลางควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ทั้งด้านกายภาพ เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันดำเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ เป็นองค์กรหลักด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุมชนและเมือง เพื่อความมั่นคงและยั่งยืนของสังคมไทย ซึ่งได้พัฒนาที่อยู่อาศัยทั่วประเทศแล้วกว่า 7 แสนหน่วย พร้อมทั้งขับเคลื่อนภารกิจการพัฒนาที่อยู่อาศัยในโครงการเร่งด่วนตามนโยบายของรัฐบาล ภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560 – 2579) โดยมีเป้าหมายที่จะดูแลประชาชนที่ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยประมาณ 2.27 ล้านครัวเรือน พร้อมดำเนินการควบคู่ไปกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย 10 ปี (พ.ศ.2559-2568)