Tag : Home

816 ผลลัพธ์
ซื้อบ้าน-คอนโด ในปี 64 อย่างไรเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด

ซื้อบ้าน-คอนโด ในปี 64 อย่างไรเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด

ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย ตั้งแต่ปี 2563 ที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ทั้งการลดจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่ โดยเฉพาะในกลุ่มคอนโดมิเนียม และหันมาเร่งระบายสต็อก รวมถึงการใช้กลยุทธ์โปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม มาช่วยกระตุ้นตลาดและยอดขาย โดยเฉพาะกลยุทธ์ด้านการลดราคา รวมถึงการอยู่ฟรี เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ไม่มั่นใจต่อสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันและอนาคต ทำให้ต่างชะลอการตัดสินใจซื้ออสังหาฯ ออกไป   นอกจากบรรดาดีเวลลอปเปอร์จะพยายามกระตุ้นตลาดด้วยตัวเองแล้ว ภาครัฐเองก็มองเห็นว่ามีความจำเป็นจะต้องมีมาตรการออกมาช่วยธุรกิจ ให้สามารถดำเนินต่อไปได้ จึงออกมาตรการในส่วนของการลดค่าธรรมเนียมการโอนและการจดจำนอง ให้เหลือในอัตรา 0.01% ซึ่งเดิมกำหนดสิ้นสุดในช่วงปลายปี 2563 แต่จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระรอกใหม่ ทำให้ภาครัฐจึงต้องนำเอามาตรการดังกล่าวกลับมาใช้อีกครั้ง และมีการขยายกรอบเวลาไปจนถึงสิ้นปี 2564 นี้ มาตรการรัฐปี 64 ตัวช่วยทำให้เรามีบ้าน เป็นของตนเองง่ายขึ้น ในการจะเป็นเจ้าของบ้านหรือคอนโดนั้น นอกจาก “ราคาขาย” ที่ต้องจ่ายแล้วก็ยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ อยู่อีกหลายส่วนที่ต้องรับผิดชอบ ซึ่ง​ 2 ค่าใช้จ่ายที่ถือว่าไม่น้อยเลยก็คือ “ค่าโอนกรรมสิทธิ์” และ “ค่าจดจำนอง” ​ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อราคาบ้านหรือคอนโดสูงขึ้นเท่าไร ก็จะเป็นต้องจ่ายค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองมากยิ่งขึ้นเท่านั้น และด้วยเหตุ นี้เองจึงทำให้ มาตรการรัฐมีส่วนสำคัญในการช่วยให้เราเป็นเจ้าของ บ้านหรือคอนโดได้ง่ายมากขึ้น เพราะจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายใน 2 ส่วนนี้ลงไปได้มาก โดยมีรายละเอียดในการลดหย่อน ดังนี้ 1.ลดค่าโอนกรรมสิทธิ์ เหลือเพียง 0.01% โดยปกติแล้วในการซื้อบ้านหรือคอนโด เราจะต้องเสียค่า “โอนกรรมสิทธิ์” เป็นจำนวน 2% ของราคาประเมินหรือราคาขาย ซึ่งต้องชำระให้กับกรมที่ดิน แต่ด้วยมาตรการรัฐเพื่อที่อยู่อาศัยปี 2564  จึงทำให้เราชำระค่าโอนกรรมสิทธิ์เหลือเพียง 0.01% เท่านั้น ซึ่งถือว่าช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายลงไปได้มาก ทำให้เราเหลือเงินเพิ่มมากขึ้น สำหรับนำไปใช้จ่ายในการดำเนินชีวิต ​เพราะหากบ้านหรือคอนโดราคา หลังละ 3,00,000 บาท จากเดิมที่ต้องชำระค่าโอนกรรมสิทธิ์สูงถึง 60,000 บาท แต่ผลจากมาตรการรัฐจะทำให้เหลือต้องชำระเพียงแค่ 300 บาทเท่านั้น 2.ลดค่าจดจำนอง​เหลือเพียง 0.01% ค่าจดจำนอง คือ อีกหนึ่งค่าธรรมเนียมที่จำเป็นจะต้องชำระให้กับกรมที่ดิน ​ในการซื้อบ้านหรือคอนโดเช่นเดียวกับค่าโอนกรรมสิทธิ์ โดยมีการขอสินเชื่อหรือใช้บริการเงินกู้กับธนาคาร ซึ่งปกติจะคิดอยู่ที่ 1% ของวงเงินจำนอง หรือยอดเงินกู้ในกรณีที่ขอสินเชื่อกับธนาคารมาซื้อ  มาตรการรัฐเพื่อที่อยู่อาศัยปี 2564 จะทำให้เราจ่ายค่าจดจำนอง น้อยลงกว่าเดิม เหลือเพียง 0.01% โดยหากบ้านหรือคอนโดหลังละ 3,000,000 บาท จากที่ต้องชำระค่าจดจำนอง 30,000 บาท ก็จะเหลือชำระเพียงแค่ 300 บาทเท่านั้น   ทั้งนี้ ในการกระบวนการซื้อขายบ้านหรือคอนโด เราจะต้อง ชำระค่าโอนกรรมสิทธิ์ และค่าจดจำนอง พร้อมกันซึ่ง​พอรวมกันแล้ว จะทำให้กลายเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก อย่างในกรณีบ้านหรือคอนโดราคา 3,000,000 บาท ก็ต้องชำระค่าใช้จ่ายสูงถึง 90,000 บาทเลยทีเดียว แต่ผลจากมาตรการรัฐปี 2564 ทำให้เราเหลือชำระเพียงแค่ 600 บาท เท่านั้น หลักเกณฑ์และเงื่อนไข การใช้มาตรการรัฐ เพื่อที่อยู่อาศัยปี 64 มาตรการรัฐเพื่อที่อยู่อาศัยปี 2564 สามารถช่วยให้ความฝัน ของคนที่อยากมีบ้านหรือคอนโดเป็นของตัวเอง สำเร็จเป็นจริงได้ง่าย มากขึ้น เสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ น้อยลง แต่ทั้งนี้ การจะได้สิทธิ์และ เข้าเกณฑ์ตามเงื่อนไขที่ได้รับการลดหย่อนค่าโอนและค่าจดจำนองนั้น ก็มีรายละเอียดที่ต้องปฏิบัติให้ได้ตามเงื่อนไขเช่นกัน ดังต่อไปนี้ Check List ที่ต้องใส่ใจ ซื้อบ้าน-คอนโด แบบไหน ถึงใช้มาตรการรัฐได้ -ผู้ซื้อจะต้องเป็นบุคคลธรรมดาและเป็นคนไทยเท่านั้น -ต้องเป็นการซื้อบ้านหรือคอนโดที่เป็นที่อยู่อาศัยใหม่ บ้านหรือคอนโดมือสอง รวมถึงบ้านสร้างเอง จะไม่ได้รับสิทธิ์ลดหย่อนตามเงื่อนไข -ต้องเป็นการซื้อบ้านพร้อมที่ดิน หรือคอนโดจากโครงการที่ได้รับอนุญาตให้จัดสร้างถูกต้องตามกฎหมาย -ต้องเป็นบ้านหรือคอนโดที่มีมูลค่าไม่เกิน 3 ล้านบาทเท่านั้น -ต้องเป็นการโอนจากการซื้อ-ขายเท่านั้น และเป็นการโอนจากการซื้อ-ขายพร้อมจดจำนองในคราวเดียวกัน -ใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 3 กุมภาพันธ์–31ธันวาคม2564 หากเป็นการโอนและจดจำนองหลังจากนี้ อาจไม่ได้สิทธิ์ลดหย่อน ดังกล่าว ขึ้นอยู่กับการต่อระยะเวลาของ มาตรการในอนาคต ตารางแสดง การลดค่าใช้จ่าย จากการใช้มาตรการรัฐ ตามเงื่อนไขของการลดหย่อนค่าโอนและจดจำนอง ของมาตรการรัฐเพื่อที่อยู่อาศัยปี 2564 ที่กำหนดราคาบ้านและคอนโดไว้ ไม่เกิน 3,000,000 บาท เพื่อให้มองเห็นภาพของการแบ่งเบาภาระ ค่าใช้จ่ายได้ชัดเจนมากขึ้น สามารถพิจารณาจำนวนเงินที่ประหยัด ไปได้ดังนี้ สรุปเพื่อให้เห็นภาพง่ายขึ้น คือ ทุก ๆ 1 ล้านบาทของราคาบ้านหรือคอนโดที่เราซื้อ ​จะเสียค่าโอนและจดจำนองเพียงแค่ 200 บาทเท่านั้น จากเดิมที่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงถึง ล้านละ 30,000 บาท เตรียมตัวอย่างไรดี ให้ปีนี้ มีบ้าน เป็นของตนเอง ได้สำเร็จ จากมาตรการรัฐ ปี 2564 นี้ ถือว่ามีส่วนช่วยให้การ ซื้อบ้านหรือคอนโดที่อยู่อาศัยแห่งแรกได้เป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้  เพื่อความมั่นคงและให้มีความเสี่ยงน้อยที่สุด ก็ควรต้องมีการเตรียมตัวและให้รอบครอบ โดยสิ่งที่จำเป็นต้องใส่ใจในการซื้อที่อยู่อาศัย โดยใช้มาตรการรัฐสำหรับปีนี้ ได้แก่ ​ 1.ตรวจสอบความต้องการ ที่อยู่อาศัยให้เป็นไปตาม เงื่อนไขมาตรการรัฐ เงื่อนไขสำคัญที่ต้องใส่ใจเป็นอันดับแรกสุดเลย คือ เราต้องถามตัวเองให้แน่ใจว่า เราต้องการบ้านหรือว่าคอนโดกันแน่ ซึ่งควรพิจารณาแบบวางแผนระยะยาว เช่น เลือกทำเลให้เหมาะกับสถานที่ทำงาน หรือ เลือกจากขนาดของครอบครัว โดยหากอยู่คนเดียว ก็อาจเลือกซื้อเป็นคอนโด  แต่หากวางแผนจะแต่งงาน หรือเป็นครอบครัวที่มีสมาชิกมากกว่า 3 คนขึ้นไป การเลือกซื้อบ้านก็จะตอบโจทย์มากกว่า ซึ่งเมื่อตั้งเป้าหมายได้แล้ว ลำดับต่อมาก็ต้องไม่ลืมว่า การจะได้สิทธิ์ลดหย่อนตามมาตรการรัฐนั้น จะต้องเป็นบ้านหรือคอนโดใหม่ ที่มี​มูลค่า ไม่เกิน 3 ล้านบาท 2.เลือกซื้อบ้านหรือคอนโด ที่พร้อมโอนและเข้าอยู่ได้ทันที สิทธิ์ลดหย่อนค่าโอนและค่าจดจำนองตามมาตรการรัฐ จะใช้ได้ถึงภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ดังนั้น ในการเลือกซื้อบ้าน หรือคอนโดเพื่ออยู่อาศัย จึงควรเลือกซื้อบ้านหรือคอนโดที่สร้างเสร็จแล้ว พร้อมโอนและเข้าอยู่ได้เลยทันทีภายในสิ้นปีนี้ หรือหากเป็น คอนโดหรือบ้านที่ยังสร้างไม่เสร็จ ก็จะต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่า จะดำเนินการก่อสร้างและโอนได้ภายในปีนี้ เพราะหากยืดระยะเวลาการโอนออกไป ก็จะไม่ได้สิทธิ์ลดหย่อนตามมาตรการ และทำให้เราต้องสูญเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ​​ 3.ตรวจสอบสถานะการเงิน และเอกสารในการขอสินเชื่อ ให้พร้อม แม้จะได้สิทธิ์ลดหย่อนค่าโอนและค่าจดจำนองก็จริง แต่เราจะสามารถซื้อบ้านหรือคอนโดได้จริงหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่า สถานะการเงินของเราผ่านพิจารณาตามเงื่อนไขของธนาคารหรือไม่ด้วย​ ซึ่งหากต้องการยื่นขอสินเชื่อให้อนุมัติ เราควรมีภาระผ่อนหนี้รวมกัน ต่อเดือนไม่เกิน 40% เช่นถ้ามีรายได้เดือนละ 40,000 บาท ก็ควรมี หนี้ผ่อนบ้านและอื่น ๆ รวมกันไม่เกิน​ 16,000 บาท ถ้ามากกว่านั้น ธนาคารก็อาจไม่พิจารณาอนุมัติสินเชื่อให้ เพราะเมื่อต้องรับภาระ ผ่อนบ้านอาจไม่เพียงพอต่อการใช้จ่ายได้   นอกจากนั้นแล้ว เราก็ควรมีเงินเก็บสำรองเผื่อฉุกเฉินไว้ด้วยก้อนหนึ่ง เพราะต้องไม่ลืมว่าเราจะเป็นต้องมีเงินก้อนประมาณ 20-30% ของค่าบ้านเตรียมไว้ด้วยก้อนหนึ่ง เนื่องจากธนาคารอาจไม่อนุมัติสินเชื่อให้ 100% เต็ม ทั้งนี้ เอกสาร สำคัญในการอนุมัติขอสินเชื่อจากธนาคารที่ต้องเตรียมให้พร้อม เพื่อ ไม่ให้เป็นการเสียเวลา และอาจทำให้สูญเสียโอกาสในการใช้สิทธิ์ ตามมาตรการรัฐ ได้แก่ -หลักฐานเอกสารประจำตัว ได้แก่ สำเนาทะเบียนบ้าน สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน ทะเบียนสมรส สำเนาเอกสารการเปลี่ยนชื่อ-สกุล (ถ้ามี) -หลักฐานเอกสารเกี่ยวกับการแสดงรายได้ ในกรณีของผู้มีรายได้ประจำสิ่งที่ต้องเตรียม ได้แก่ ใบรับรองเงินเดือน หรือหลักฐานการรับ/จ่ายเงินเดือนจากนายจ้าง สมุดบัญชีเงินฝากธนาคาร กรณีผู้ที่ประกอบอาชีพอิสระ ต้องเตรียมสำเนาทะเบียน การค้า หรือหนังสือรับรองการจดทะเบียนนิติบุคคล และบัญชีเงินฝาก พร้อมหลักฐานแสดงการเดินบัญชีย้อนหลังอย่างน้อย 6 เดือน ซึ่งนอกจากนี้แล้วหากมีเอกสารรายได้หรือทรัพย์สินอื่น ๆ อีก ก็จะยิ่ง ทำให้การรับพิจารณาอนุมัติสำเร็จได้ง่ายมากขึ้น -หลักฐานเกี่ยวกับหลักทรัพย์และการซื้อขาย ได้แก่​ สำเนาโฉนดที่ดิน สำเนาหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์ห้องชุด แผนที่แสดงทำเลที่ตั้งของที่ดินหลักประกัน สำเนาสัญญา จะซื้อจะขายหรือสัญญามัดจำเป็น ถ้าเป็นกรณีการซื้อห้องชุด ต้องมีสำเนาหนังสือสำคัญการจดทะเบียนอาคารชุด รวมถึงรายละเอียดทรัพย์ส่วนบุคคล และทรัพย์ส่วนกลาง ​ -กรณีมีผู้กู้ร่วม จะต้องมีหลักฐานส่วนตัว และเอกสารหลักฐานแสดงรายได้ของผู้กู้ร่วมยื่นประกอบการพิจารณาคำร้องของสินเชื่อด้วย 4.ซื้อบ้านหรือคอนโดกับใคร ต้องแน่ใจว่าน่าเชื่อถือ การจะได้สิทธิ์ลดหย่อนค่าโอนและค่าจดจำนองจาก มาตรการรัฐปี 2564 นั้น จะต้องเป็นบ้านหรือคอนโดที่ขายโดยผู้ประกอบการที่ได้สิทธิ์ดำเนินการโครงการตามกฎหมายเท่านั้น ดังนั้น ​เราจึงจำเป็นจะต้องตรวจสอบความน่าเชื่อถือของโครงการบ้านหรือ คอนโดก่อนซื้อให้ดี ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำให้เราได้สิทธิ์ตามมาตรการรัฐ แล้ว ก็ยังทำให้เราได้บ้านหรือคอนโดที่มีคุณภาพคุ้มค่ากับราคาที่จ่าย ไปด้วย   แม้ปี 2564 นี้ สถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงไม่หายไป แต่ท่ามกลางวิกฤตก็ยังมีโอกาสสำหรับคนไทยที่ฝันอยากมีบ้านหลังแรกเป็นของตัวเองอยู่จากมาตรการรัฐเพื่อที่อยู่อาศัย​  ซึ่งหากเราวางแผนเตรียมความพร้อม และเตรียมตัวเป็นอย่างดี ตามเงื่อนไขแล้วล่ะก็ จะสามารถซื้อบ้านหรือ คอนโดได้อย่างคุ้มค่าและลดค่าใช้จ่ายลงได้เป็นจำนวนมาก อันจะส่งผลให้เรามีเงินเหลือเก็บไว้ ใช้เพิ่มมากขึ้น มีบ้านเป็นของตัวเอง และดำเนินชีวิตต่อไปได้อย่างมี ความสุขและราบรื่นแม้จะอยู่ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน   ที่มา-ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธอส.
พฤกษา เปิดโปรเจ็กต์ 2.6 หมื่นล้าน สร้างยอดขายโต 45%

พฤกษา เปิดโปรเจ็กต์ 2.6 หมื่นล้าน สร้างยอดขายโต 45%

พฤกษาเชื่อมั่นตลาดอสังหาฯ ยังเติบโต เดินหน้าสร้างธุรกิจปีแห่งคุณภาพ “A Year of Value” พร้อม 3 กลยุทธ์ ลุยธุรกิจ หวังเพิ่มรายได้และยอดขาย เตรียม​เปิด 29 โครงการใหม่ มูลค่า 26,630 ล้านบาท พร้อมเปิดให้บริการโรงพยาบาลวิมุต สร้างรายได้ปีแรก 400 ล้าน ปูทางสร้างสัดส่วนรายได้ประจำในอนาคต 10-20%   นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2564 ยังมีหลายปัจจัยที่ต้องติดตาม ทั้งด้านเศรษฐกิจ ภาคการส่งออกและท่องเที่ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจัยโควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการจัดหาวัคซีนให้ทั่วถึงที่จะเป็นตัวแปรสำคัญ แต่ยังเชื่อมั่นว่าภาพรวมตลาดในปีนี้จะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา 9 % ที่มีมูลค่าตลาดกว่า 268,811 ล้านบาท   ส่วนแผนธุรกิจของกลุ่มพฤกษาในปี 2564  ได้วางกลยุทธ์ให้เป็นปีแห่งคุณค่า หรือ “A Year of Value” ในการสร้างสินค้าที่มีคุณภาพตอบโจทย์ความต้องการของกลูกค้า ซึ่งไม่ใช่แค่ที่อยู่อาศัยแต่รวมถึงไลฟ์สไตล์ด้านอื่น ๆ โดยเฉพาะด้านสุขภาพจากแผนการเปิดให้บริการโรงพยาบาลวมุตในช่วงเดือนพฤษภาคมนี้  โดยมี​ 3 กลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ ได้แก่ 1.การบริหารจัดการสินทรัพย์ 2.การสร้างคุณค่าในโครงการ และ 3.การผนวกธุรกิจด้านสุขภาพ เดินหน้าอัดโปร กระตุ้นยอดขาย สำหรับกลยุทธ์ด้านการบริหารจัดการสินทรัพย์  บริษัทยังคงใช้กลยุทธ์ด้านราคาและโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่อง เพื่อทำตลาดและสร้างยอดขาย ซึ่งถือว่าในช่วงปีที่ผ่านมาและปีนี้ เป็นโอกาสของผู้ซื้อเพราะราคาที่อยู่อาศัยลดต่ำลงมาอย่างมาก จากความสำเร็จจากไตรมาสที่ผ่านมา ส่งผลให้ในต้นปีนี้ พฤกษายังคงใช้กลยุทธ์ทางด้านราคาและโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่อง  ปล่อยแคมเปญในไตรมาสแรก “มหกรรมแจกฟรี PRUKSA FREE FEST”  มอบสิทธิ อยู่ฟรี นานสูงสุดถึง 36 เดือน  หรือ ดอกเบี้ยฟรี 0% สูงสุด 36 เดือน หรือ ฟรี ค่าส่วนกลาง สูงสุดนานถึง 36 เดือน (เงื่อนไขตามที่แต่ละโครงการกำหนด) สำหรับลูกค้าที่จองและโอนที่อยู่อาศัยภายใน  31 มี.ค. นี้   โดยพฤกษาเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ให้ลูกค้าทั้งหมด ซึ่งมีโครงการทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมที่เข้าร่วมแคมเปญทั่วประเทศมากกว่า 1,000 ยูนิต มูลค่ารวมอยู่ที่ 3,377 ล้านบาท และเชื่อว่าแคมเปญนี้กระตุ้นการตัดสินใจ และช่วยบรรเทาความกังวลสำหรับคนที่อยากมีบ้านได้ดี  ประกอบกับมาตรการรัฐที่ขยายระยะเวลาลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนองเหลือ 0.01% ซึ่งถือเป็นกำไรเพิ่มอีกขั้นสำหรับลูกค้า  อย่างไรก็ตามเห็นว่าหากภาครัฐมีการขยายเพดานไปยังบ้านราคา 3-5 ล้านบาทด้วย มาตรการดังกล่าวน่าจะช่วยกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ และช่วยเหลือคนไทยที่อยากมีบ้านได้มากขึ้นไปอีก ปั้น 29 โปรเจ็กต์สร้างยอดโต 45% ส่วนการสร้างคุณค่าในโครงการ ปีนี้บริษัทวางแผนเปิดตัว 29 โครงการใหม่ มูลค่า 26,630 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการทาวน์เฮ้าส์ 17 โครงการ มูลค่า 14,680 ล้านบาท โครงการบ้านเดี่ยว 8 โครงการ มูลค่า 7,560 ล้านบาท และเปิดคอนโดมิเนียม 4 โครงการมูลค่า 4,390 ล้านบาท  ทั้งนี้ การเปิดตัวโครงการใหม่บริษัทจะมุ่งเน้นตลาดระดับราคา 2-3 ล้านบาท เนื่องจากกลุ่มลูกค้าที่สามารถซื้อที่อยู่อาศัยในระดับราคาดังกล่าวได้ เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพจะมีฐานรายได้เฉลี่ย 30,000-50,000 บาทต่อเดือน และเป็นกลุ่มราคาที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย ซึ่งปีนี้จะมีการพัฒนาสินค้ากลุ่มราคา 2-3 ล้านบาทออกมาทำตลาดกว่า 33% นายปิยะ กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ 32,000 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 45% สามารถทำยอดขายได้ 21,968 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้ 32,000 ล้านบาท เติบโต 9% จากปีที่ผ่านมา ​รายได้ 29,244 ล้านบาท ด้านผลการดำเนินงานในปี 2563 บริษัทมีกำไรสุทธิ 2,771 ล้านบาท เปิดตัวโครงการทั้งสิ้น 13 โครงการ มูลค่า 15,756 ล้าน มียอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่าสูงถึง 21,940  ล้านบาท  โดยสามารถลดสินค้าคงค้างไปได้ถึง (Inventory) 41% จากปลายปี 2562 โดยเฉพาะอย่างยิ่งในไตรมาส 4 ที่ใช้กลยุทธ์ทางด้านราคาผนวกกับโครงการฮีโร่โปรเจค (Hero Projects) โดยทุ่มงบการตลาดไปยังโครงการที่มีศักยภาพสูง ทำให้รายได้ในไตรมาส 4 มีมูลค่า 9,584 ล้านบาท เติบโตจากไตรมาส 3 ถึง 51% พร้อมทั้งทำยอดขาย 5,807 ล้านบาท เติบโต 409% เมื่อเทียบกับยอดขายไตรมาสเดียวกันในปี  2562 เตรียมเปิดรพ.วิมุตสร้างรายได้ 400 ล. สำหรับกลยุทธ์การผนวกธุรกิจด้านสุขภาพ ในปีนี้ได้เตรียมเปิดให้บริการโรงพยาบาลวิมุต ซึ่งได้ลงทุนกว่า 4,900 ล้านบาท ตั้งแต่ช่วงปี 2560 เป็นโรงพยาบาลทั่วไป ระดับตะติยภูมิ ขนาด 236 เตียง เน้นการดูแลรักษาโรคด้านกระดูก หัวใจ และสมอง​ตั้งอยู่บนพื้นที่ 4 ไร่ ริมถนนพหลโยธิน ติดสี่แยกสะพานควาย ซึ่งนอกจากการเปิดให้บริการโรงพยาบาลวิมุตแล้ว บริษัทยังวางแผนสร้างเครือข่ายการให้บริการด้านสุขภาพ ในพื้นที่โครงการของบริษัทและตามแหล่งชุมชนต่าง ๆ  โดยจะเปิดศูนย์ดูแลสุขภาพ  ประกอบด้วยคลีนิค ศูนย์กายภาพ ศูนย์ดูแลและบริบาลผู้สูงอายุ รวมทั้งการให้บริการดูแลสุขภาพถึงบ้าน (Home Health Care)   ด้านนายแพทย์กฤตวิทย์ เลิศอุตสาหกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิมุต โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ​โรงพยาบาลวิมุต พหลโยธิน เป็นโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ (Tertiary Care) ที่สามารถรักษาโรครุนแรง และซับซ้อนได้ มีการออกแบบตามมาตรฐานสากล JCI มีทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ รักษาได้ตรงจุดด้วยเทคโนโลยี และเครื่องมือที่ทันสมัย โดยมีค่าใช้จ่ายที่เข้าถึงได้  มีศูนย์เฉพาะทางที่โดดเด่นคือ ศูนย์กระดูก หัวใจ สมอง  ศูนย์เบาหวานครบวงจร และจัดตั้ง ศูนย์ผู้สูงอายุ (Geriatric center) เพื่อตอบโจทย์การเป็นสังคมผู้สูงอายุ รวมทั้งให้ความสำคัญกับกลุ่มโรค NCDs (โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง) ซึ่งมีสถิติการเจ็บป่วยสูงและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น อย่างรวดเร็ว มีแพทย์ประจำครอบครัว (Family Medicine Doctor) ดูแลสมาชิกในครอบครัวแบบองค์รวม มี Transitional care ฟื้นฟูหลังการเจ็บป่วย เพื่อเตรียมผู้ป่วยก่อนกลับบ้าน รวมทั้งเปิด Nursing Home ในโรงพยาบาล เพื่อการเติบโตและก้าวหน้าของธุรกิจโรงพยาบาล ล่าสุดโรงพยาบาลวิมุตได้เข้าลงทุนในโรงพยาบาล  เทพธารินทร์ ถนนพระราม 4  ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงเชี่ยวชาญในด้านโรคเบาหวานและต่อมไร้ท่อมานานกว่า 36 ปี เพื่อรวมทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และองค์ความรู้มา พัฒนาศูนย์เบาหวานครบวงจรให้มีความเป็นเลิศ รวมทั้งขยายผล การป้องกัน ดูแลรักษา สู่สังคมให้กว้างขวางยิ่งขึ้นต่อไป   ทั้งนี้ พฤกษาได้วางเป้าหมายจะสร้างโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการควบรวมกิจการกับโรงพยาบาลที่มีแนวทางการดำเนินงานในทิศทางเดียวกัน ในอนาคตวางเป้าหมายมีเครือข่ายโรงพยาบาบภายใน 8 ปี อีก 2-3 แห่ง เพื่อสร้างรายได้ให้กับกลุ่มพฤกษาสัดส่วน 10-20% แต่ระยะ 3-5 ปีคาดว่าจะทำรายได้ประมาณ 5% ของรายได้รวม ส่วนในปีแรกน่าจะทำรายได้ 400 ล้านบาท  
อนันดา ขน 26 โปรเจ็กต์ ผ่อนให้ 36 เดือน ดึง “น้าค่อม” กระตุ้นยอดขาย

อนันดา ขน 26 โปรเจ็กต์ ผ่อนให้ 36 เดือน ดึง “น้าค่อม” กระตุ้นยอดขาย

อนันดา ขน 26 โปรเจ็กต์ ผ่อนให้ 36 เดือน ดึง “น้าค่อม” กระตุ้นยอดขายไตรมาสแรก หวังสร้างยอดขาย 18,570 ล้าน เล็งเปิดตัว 5 โครงการ 24,422 ล้าน พร้อมปัดฝุ่นโปรเจ็กต์ทำเลสะพานควาย รอจังหวะเปิดตัวใหม่ ​   นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2564 ยังเป็นปีที่มีความท้าทาย และความไม่แน่นอน  จากผลกระทบของไวรัสโควิด-19  โดย​บริษัทได้มีการวางแผนเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับความเสี่ยง และความไม่แน่นอนต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้น  พร้อมรองรับ ปรับเปลี่ยน ยืดหยุ่นไปตามสถานการณ์ เพื่อให้ธุรกิจสามารถดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 1 ของปี 2564 เตรียมเปิดตัวแคมเปญพิเศษ #อนันดาทุบไม่ยั้ง” เป็น “อนันดา” x “น้าค่อม” ดาราตลกอารมณ์ดี คาแรกเตอร์โดดเด่น ขวัญใจมหาชน ทุกเพศ ทุกวัย มาสร้างสีสันให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ ให้กับแคมเปญ #อนันดาทุบไม่ยั้ง” ผ่อนให้ฟรี นานถึง 36 เดือน ในราคาที่ดีที่สุด ที่ไม่เคยมีมาก่อน กับ 26 โครงการ ทั้งคอนโดติดรถไฟฟ้า บ้าน และทาวน์โฮม พร้อมเข้าอยู่ทุกทำเล   สำหรับในปี 2564  บริษัทได้วางเป้าหมายการสร้างยอดขาย 18,570 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม 16,762 ล้านบาท และบ้านแนวราบ 1,808 ล้านบาท วางเป้าหมายยอดโอน 16,008 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโด 14,311 ล้านบาท และบ้านแนวราบ 1,697 ล้านบาท โดยในปี 2563 ที่ผ่านมา บริษัทมียอดขาย 17,495 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากโครงการคอนโด 15,074 ล้านบาท และบ้านแนวราบ 2,421 ล้านบาท มียอดโอน 18,340 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดโอนจากโครงการคอนโด 16,913 ล้านบาท และบ้านแนวราบ 1,427 ล้านบาท   ด้านนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ยอดขายของตลาดคอนโดทั้งหมดในปี 2563 ดูลดลงอย่างมากจากปีก่อนหน้า เนื่องมาจากการลดลงของการเปิดโครงการ และการขายโครงการใหม่ที่มีอัตราการลดลงถึง 63% แต่ทั้งนี้เมื่อมองดูตัวเลขภาพรวมการโอนกรรมสิทธิ์ของคอนโด พบว่าลดลงจากปีก่อนหน้าเพียง 10% เท่านั้น ดังนั้น จากข้อมูลนี้ แสดงให้เห็นว่า คอนโดพร้อมเข้าอยู่ยังคงเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการ และยังคงมีการโอนอยู่ เพราะยอดการโอนกรรมสิทธิ์ลดลงเพียงเล็กน้อยจากปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะผ่านสถานการณ์ Lock down ประเทศ และกำลังซื้อของชาวต่างชาติที่ลดลงก็ตาม สำหรับปี 2564 บริษัทเชื่อมั่นทิศทางเศรษฐกิจที่คาดว่าจะดีขึ้น แม้ว่าจะยังมีความไม่แน่นอนอยู่บ้างก็ตาม โดยได้วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 5 โครงการ  มูลค่ารวม 24,422 ล้านบาท บน 5 ทำเล ได้แก่ ทองหล่อ สุรวงศ์ สะพานควาย สุขุมวิท 38 และลำสาลี ที่มาพร้อมแนวคิดใหม่ ดีไซน์การออกแบบใหม่ เพื่อตอบโจทย์วิถีการใช้ชีวิตแบบใหม่ตามสถานการณ์ปัจจุบันและในอนาคต           
REIC มองตลาดอสังหาฯ 64 เปิดตัวใหม่เพิ่มแต่การโอนยังลด

REIC มองตลาดอสังหาฯ 64 เปิดตัวใหม่เพิ่มแต่การโอนยังลด

จากภาวะเศรษฐกิจไทยในปี 2563 ซึ่งได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ หรือ GDP มีการปรับลดลง 6.1% ซึ่งเป็นการขยายตัวที่ต่ำสุดในรอบ 22 ปี   ภาพรวมดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์  โดยจากการจัดเก็บข้อมูลตลอดปี 2563 ที่ผ่านมาของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIC พบความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ รวมถึงแนวโน้มของตลาดอสังหาฯ ที่จะเกิดขึ้นในรอบปี 2564 ปี 64 หลายปัจจัยบวกและลบ แม้ว่าความสามารถในการควบคุมการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ของไทย จะทำได้ดีกว่าในหลายประเทศทั่วโลก แต่ยังถือว่ามีความล่าช้า โดยเฉพาะยังมีความไม่มั่นใจในประสิทธิภาพของวัคซีน และยังมีการล็อกดาวน์ในธุรกิจบางประเภทด้วย จึงถือว่าเป็นปัจจัยลบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และภาพรวมของธุรกิจอสังหาฯ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยลบอีกหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของหนี้ครัวเรือนที่ยังเพิ่มขึ้น ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน การเข้มงวดของสถาบันการเงินในการปล่อยสินเชื่อ ต่างชาติยังไม่สามารถเดินทางเข้ามาในประเทศได้  ส่งผลต่อตลาดคอนโดมิเนียมอย่างชัดเจน   แต่อย่างไรก็ตาม ในหลากหลายปัจจัยลบต่าง ๆ ยังคงพอมีมุมมองในเชิงบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจและตลาดอสังหาฯ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ การต่ออายุมาตรการลดค่าธรรมเนียม จดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมอีก 1 ปี การลดภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสิ่งสร้างเหลือ 10% การเลื่อนประกาศใช้ราคาประเมินที่ดินใหม่ไปในปี 2565 การเริ่มทยอยฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในหลาย ๆ ประเทศ ราคาอสังหาฯ มีแนวโน้มปรับตัวลดลง เพราะผู้ประกอบการยังคงจัดโปรโมชั่นกระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง เปิดตัวใหม่เริ่มฟื้นตัวแต่การโอนยังลด ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยถึงทิศทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2564 ว่า พบการเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากการปรับตัวของผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาฯ ​โดยมีการลดจำนวนโครงการใหม่เข้าสู่ตลาด  เพื่อให้ที่อยู่อาศัยที่เปิดการขายก่อนหน้านี้ ได้ถูกดูดซับออกไปจากระบบ คาดว่าปี 2564 จะมีการเปิดตัวใหม่ในกรุงเทพฯ​ และปริมณฑล จำนวน 82,594 ยูนิต เพิ่มขึ้น 32.7% จากปี 2563 ที่เปิดตัว 62,227 ยูนิต โดยการเปิดตัวใหม่จะเห็นชัดเจนได้ในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ของปี 2564 และคาดว่าผู้ประกอบการยังจะลงทุนในบ้านจัดสรรมากกว่าคอนโด  ซึ่งคาดว่าบ้านจัดสรรจะเปิดตัวใหม่ในปี 2564 เพิ่มขึ้น 22.5% จากปี 2563 หรือมีจำนวนยูนิตประมาณ 43,732 ยูนิต ส่วนโครงการคอนโดเปิดตัวใหม่ ปี 2564 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 46.5% จากปี 2563  สัดส่วนอาจจะดูเพิ่มขึ้นมากแต่เป็นการเพิ่มขึ้นจากฐานที่ต่ำมากจากปี 2563 หรือมีจำนวนยูนิตประมาณ 38,862 ยูนิต   สถานการณ์ที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ ปี 2563 ถือว่าผู้ประกอบการเปิดตัวอยู่อาศัยใหม่ต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี โดยสัดส่วนการเปิดตัวใหม่เริ่มเปลี่ยนไปจากเดิมที่คอนโดจะมากกว่าบ้านจัดสรร แต่ในปี 2563 สัดส่วนเปิดตัวใหม่บ้านจัดรรมากกว่าคอนโด เท่ากับ 57.4 ต่อ 42.6 ด้านการเปิดตัวโครงการใหม่จากการสำรวจพบว่า จำนวนยูนิตที่เปิดขายใหม่ (ไม่นับรวมบ้านมือสอง) เฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ปี 2563 ลดลง 36.7% จากปี 2562  โดยมีการเปิดตัวใหม่ จำนวน 62,227 ยูนิต ประกอบด้วยโครงการบ้านจัดสรรเปิดตัวใหม่ 35,702 ยูนิต ลดลง 17.9% จากปี 2562  และโครงการคอนโดเปิดตัวใหม่ 26,525 ยูนิต ลดลง 51.6% จากปี 2562 โอนบ้าน-คอนโด ยังลดลงต่อเนื่อง REIC ประเมินสถานการณ์โดยรวมว่าปี 2564 จากการเกิดขึ้นของโควิด-19 ระรอกใหม่ ทำให้มียูนิตโอนกรรมสิทธิ์ประมาณ 353,236 ยูนิต จะลดลง 1.5% จากปี 2563  ซึ่งการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบจะลดลงเพียงเล็กน้อยหรือประมาณ 0.1% ในขณะที่คอนโดจะลดลง 4.2% ปี 2563 ที่ผ่านมาการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศมีจำนวน 358,496 ยูนิตลดลง 8.5% จากปี 2562  เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่ยู่อาศัยแนวราบจำนวน 236,158 ยูนิต ลดลง 10.0% จากปี 2562 และเป็นการโอนกรรมสิทธิ์โครงการคอนโด 122,338 ยูนิต ลดลง 5.5% จากปี 2562   ด้านมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คาดว่าปี 2564 จะมีมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ประมาณ 876,121 ล้านบาท ลดลง 5.6% จากปี 2563  โดยมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบจะลดลง 7.7% ขณะที่คาดว่ามูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดจะลดลง 1.4%   ส่วนมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ในปี 2563 มีมูลค่า 928,376 ล้านบาท ลดลง 0.3% จากปี 2562  โดยเป็นการลดลงของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คอนโด 4.7% ขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 2.2% หวังเศรษฐกิจฟื้นดันยอดสินเชื่อโต 7% ขณะที่สถานการณ์สินเชื่อที่อยู่อาศัยยังคงมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง โดยในปี 2564 คาดว่าจะมีมูลค่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยประมาณ 595,141 ล้านบาท ลดลงต่อเนื่อง 2.8% จากปีที่ผ่านมา ซึ่งเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่หากสถานการเศรษฐกิจในปีนี้กลับมาฟื้นตัวได้ในภายหลัง อาจจะทำให้สินเชื่อปล่อยใหม่กลับมาเติบโตเพิ่มขึ้น 7.0% หรือมียอดสินเชื่อ 654,655 ล้านบาท โดยในปี 2563 มูลค่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ทั่วประเทศ มีมูลค่า  612,084 ล้านบาท ลดลง 4.4% จากปี 2562 ซึ่งเป็นผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ระรอกแรก ตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี 2563 และต่อเนื่องมาถึงไตรมาส 2 แม้ว่าช่วงครึ่งปีหลังของปี 2563 สถานการณ์จะปรับตัวดีขึ้น และมีมาตรการออกมากระตุ้น แต่ผลกระทบของไวรัสโควิด-19 ส่งผลในวงกว้างทำให้ในภาพรวมของปี 2563 การปล่อยสินเชื่อยังลดลง ใช้มาตการรัฐกระตุ้นตลาดบ้าน3-7ล. จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ภาพรวมของธุรกิจอสังหาฯ ยังคงชะลอตัวลงต่อเนื่อง ทางศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ จึงเห็นว่าภาครัฐควรกระตุ้นตลาด ด้วยการขยายเพดานาราคาของที่อยู่อาศัย ให้ได้รับสิทธิประโยชน์จากมาตรการภาครัฐที่ออกมาก่อนหน้า โดยเฉพาะกลุ่มตลาดบ้านระดับราคา 3-7 ล้านบาท เพราะเป็นตลาดหลักและครอบคลุมตลาดอสังหาฯ ได้มากถึง 80% เมื่อรวมกับกลุ่มบ้านไม่เกิน 3 ล้านบาท ที่ภาครัฐได้ออกมาตรการมาช่วยเหลือก่อนหน้านี้แล้ว   นอกจากนี้ เห็นว่ามาตรการที่จะให้สิทธิประโยชน์กับกลุ่มบ้านมือ 2 ด้วย เพราะปัจจุบันมาตรการด้านภาษีและค่าธรรมเนียมที่ออกมา บ้านใหม่เท่านั้นที่ได้รับประโยชน์ การให้สิทธิประโยชน์กับกลุ่มบ้านมือ 2 จะส่งผลดีที่ทำให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนทั้งระบบ เพราะเจ้าของบ้านที่ขายบ้านเก่าไปแล้ว ก็จะต้องหาซื้อบ้านใหม่ที่ใหญ่ขึ้น หรือในทำเลใหม่ ทำให้เกิดสภาพคล่องของตลาดอสังหาฯ
เอ็น.ซี.ฯ ลุยอ 7 โปรเจ็กต์แนวราบ สร้างรายได้ 2,000 ล้าน

เอ็น.ซี.ฯ ลุยอ 7 โปรเจ็กต์แนวราบ สร้างรายได้ 2,000 ล้าน

เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง ลุยตลาดบ้านแนวราบ เปิด 7 โปรเจ็กต์ใหม่ 5,000 ล้าน พร้อม 3 กลยุทธ์สู่เป้าหมายรายได้ 2,000 ล้าน แตกธุรกิจใหม่ด้านสุขภาพ สร้างรายได้ประจำ ​​   นายสมนึก  ตันฑเทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ  บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2564 ว่า ได้วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่  7 โครงการใน  4  ทำเลกลักของพื้นที่กรุงเทพฯ โดยเป็นโครงการแนวราบทั้งหมด รวมมูลค่า  5,000 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้ายอดขาย 3,500 ล้านบาท และรับรู้รายได้ปี 2564  ที่ 2,000 ล้านบาท เติบโต 30% จากเป้าหมายรายได้ในปี 2563 ที่คาดว่าจะทำได้ 1,600 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ประมาณ​  500-600 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้ภายในปี 2564 ทั้งหมด และมีโครงการอยู่ระหว่างการขายรวมมูลค่า 8,000 ล้านบาท   สำหรับราคาบ้านที่บริษัทจะมุ่งเน้นการทำตลาดหลักในปีนี้ คือ กลุ่มบ้านแนวราบระดับราคา 3-5 ล้านบาท เนื่องจากสอดคล้องกับกำลังซื้อและความต้องการของลูกค้าปัจจุบัน เป็นกลุ่มราคาที่ลูกค้าสามารถจับต้องได้  และเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งแนวทางการทำตลาดบริษัทจะเน้น 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1.เปิดตลาดเชิงรุกใน 4 ทำเล ด้วยการพัฒนาโครงการแนวราบ  ทั้งโครงการทาวน์เฮ้าส์​  บ้านแฝด และบ้านเดี่ยว ในระดับราคาที่สอดคล้องกับความต้องการของตลาดบ้านแนวราบ โดยขยายทำเลเพิ่มครอบคลุมพื้นที่ 4 ทำเลศักยภาพ (โซนเหนือ , โซนตะวันตก,โซนใต้ และตะวันออก ของกรุงเทพฯและปริมณฑล) เพิ่มกำลังการผลิตบ้านด้วยระบบเทคโนโลยีการก่อสร้างทันสมัย การทำตลาดผ่านช่องทางการสื่อสารออนไลน์ แพลตฟอร์มดิจิทัลการชมบ้าน 360องศา และ Facebook Live 2.พัฒนาโปรดักส์ตอบโจทย์คนทุกช่วงวัย การพัฒนานวัตกรรมบ้านตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัย ในทุกไลฟ์สไตล์และกลุ่มลูกค้าทุกช่วงวัย (a///gen)  ควบคู่การพัฒนาสินค้าด้วยนวัตกรรมผ่าน  Smart Eco, Smart Care เพิ่มความแตกต่าง Function ที่ตอบรับครอบครัววิถีใหม่ เพิ่มทางเลือกรูปแบบการใช้ชีวิต Life Style หลากหลาย การอยู่บ้านอย่างมีความสุข ผสานเทคโนโลยีที่ทำให้ชีวิตในบ้านสะดวกสบายมากขึ้น การดูแลสุขภาพของสมาชิกในครอบครัวยุค New Normal 3.ผนึกพันธมิตรลุยธุรกิจสุขภาพ การร่วมมือกับห้างหุ้นส่วนจำกัด เดอะแคร์แอนด์เฮลธ์ กรุ๊ป เพื่อดำเนินธุรกิจด้านศูนย์บริการด้านการฟื้นฟูสุขภาพ และดูแลผู้สูงอายุ (Wellness & Healthcare Business) เพื่อเป็นฐานรายได้ประจำในอนาคต ปัจจุบันเปิดให้บริการแล้ว 3 ศูนย์ด้วยกัน ภายใต้แนวคิด Vacation Time   นายสมนึก กล่าวอีกว่า ​ทิศทางอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ ยังคงเป็นโอกาสทองของผู้ซื้อบ้านแนวราบ และยังเป็นตลาดของผู้ซื้อที่มีความพร้อมเรื่องบ้าน ด้วยปัจจัยบวกทั้งอัตราดอกเบี้ยซื้อบ้านที่ลดลงและ จากมาตรการรัฐ ที่มอบให้กับกลุ่มผู้ซื้อบ้านหลังแรก ที่ผ่านมา เอ็น.ซี ได้มีการเรียนรู้จากวิกฤตโควิด-19 มีมาตรการป้องกันรองรับอย่างฉับไวทุกส่วนงาน สร้างความเชื่อมั่นทุกโครงการ ในฐานะผู้ประกอบการอสังหาฯ คาดการณ์ว่าตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบยังเติบโตเนื่อง โดยเฉพาะตลาดบ้านระดับ 3-5 ล้านบาท
เปิดข้อมูลตลาดบ้านหรู 5 ปีพัฒนา 40,000 ล้าน

เปิดข้อมูลตลาดบ้านหรู 5 ปีพัฒนา 40,000 ล้าน

เน็กซัสฯ เปิดข้อมูลตลาดบ้านหรู 5 ปีพัฒนา 40,000 ล้าน โดย 5 ทำเลหลัก อยู่ย่านใจกลางเมืองและพื้นที่เชื่อมต่อสู่ใจกลางเมืองได้สะดวก ราคาที่พัฒนามากสุดคือ บ้านหรู 30-50 ล้าน   นางนลินรัตน์  เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาภาพรวมตลาดบ้านหรูใจกลางเมืองยังคงเติบโต มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง​ โดยมีโครงการใหม่เกิดขึ้น 56 โครงการ มีจำนวนอยู่ในตลาด 796 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าตลาดมากกว่า 40,000 ล้านบาท  เป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สัดส่วน 39% และบริษัทรายย่อยในสัดส่วน 61% สำหรับทำเลที่ตั้งหลักของโครงการบ้านหรู​ จะอยู่ใจกลางเมืองที่มีความสะดวกสบาย  โดย 90% ของจำนวนทั้งหมด อยู่ในโซนที่เชื่อมต่อกับใจกลางเมือง มีการเดินทางสะดวกและคล่องตัว ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าหรือขนส่งสาธารณะ โดยทำเลที่มีบ้านมากที่สุดคือ 1.ทำเลเอกมัย-รามอินทรา สัดส่วน 26% 2.ทำเลสาทร-พระราม 3 สัดส่วน 21% 3.ทำเลสุขุมวิท สัดส่วน 20% 4.ทำเลรัชดา-ลาดพร้าวตอนต้น สัดส่วน 17% 5.ทำเลพหลโยธิน สัดส่วน 6%   ทั้งนี้ ส่วนใหญ่โครงการจะอยู่ในซอยย่อย ที่สามารถเดินทางเข้าออกสะดวก โดยที่ดินนั้นอาจมีข้อจำกัดในการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ ส่งผลทำให้ราคาที่ดินต่ำกว่าบริเวณใกล้เคียง ซึ่งก็ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบทางการตลาดจากศักยภาพที่ดินที่ต่างกัน โดยสินค้าในตลาดนี้ ระดับราคาต่อยูนิตมีความแตกต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ ประกอบไปด้วย ทำเลที่ตั้ง ขนาดของที่ดิน ขนาดบ้าน และวัสดุที่ใช้ในโครงการ โดยนิยามบ้านหรูในระดับนี้ จะเริ่มต้นที่ระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป จนถึงมากกว่า 100 ล้านบาท   สัดส่วนราคาในการพัฒนาโครงการบ้านหรู 1.บ้านหรูระดับราคา​ 30 - 50 ล้านบาท สัดส่วน 42% 2.บ้านหรูระดับราคา​ 20 - 30 ล้านบาท สัดส่วน 27% 3.บ้านหรูระดับราคา​ 50 - 75 ล้านบาท สัดส่วน 21% 4.บ้านหรูระดับราคา​ 75 ล้านบาทขึ้นไป สัดส่วน 9% การจะเปรียบเทียบราคาบ้านในกลุ่มนี้ได้ดีที่สุด คือ เปรียบเทียบกับราคาคอนโดมิเนียม โดยที่บ้านระดับนี้ ราคาต่อตารางเมตรในแต่ละทำเล จะมีราคาถูกกว่าคอนโดอย่างน้อย 3 เท่า เช่น บริเวณสาทร คอนโดซูเปอร์ลักซูรี่ เฉลี่ย 293,000 บาทต่อตารางเมตร ในขณะที่บ้าน ราคาคิดเป็นตารางเมตรอยู่ที่ 78,000 บาท จะเห็นได้ว่าในงบประมาณ 50 ล้านบาท อาจจะได้คอนโดเพนท์เฮาส์ 200 ตารางเมตร เปรียบเทียบกับบ้าน ที่ได้บ้านพร้อมที่ดินที่ใหญ่กว่า 700 ตารางเมตร เป็นต้น   นางนลินรัตน์ กล่าวอีกว่า สำหรับความต้องการบ้านประเภทนี้ ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ​ส่วนหนึ่งจะมาจากไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป ของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยระดับบน จากคอนโดมาเป็นบ้านใจกลางเมือง แต่ยังคงความสะดวกสบายและหรูหรา เหมือนใช้ชีวิตในตึกสูง ขณะเดียวกัน ยังได้เป็นเจ้าของที่ดินและบ้านด้วย เป็นกลุ่มผู้อยู่อาศัยจริง (Real demand)  โดยปกติแล้ว การขายบ้านประเภทนี้อาจไม่ได้รวดเร็วมากนัก ซึ่งระยะเวลาการขายเฉลี่ยแต่ละโครงการอยู่ที่ 2 - 3 ปี ยอดขายเฉลี่ยในตลาดอยู่ที่ 53% ปัจจัยที่ทำให้ยอดขายแตกต่างกันขึ้นอยู่กับราคา เมื่อเปรียบเทียบกับทำเลที่เหมาะสม ความสะดวกสบายของทำเลเมื่อเทียบกับราคา และคุณภาพของสินค้าโดยรวม 9 บทสรุปความน่าสนใจตลาดบ้านหรู จากข้อมูลทางการตลาดและผลวิจัยเบื้องต้น เน็กซัส สรุปความน่าสนใจและข้อดีของตลาดบ้านหรูกลางเมืองสำหรับผู้บริโภค โดยแบ่งเป็น 9 ข้อดีของการมีบ้านในเมือง ได้แก่ 1.ตลาดยังคงเติบโตและมีอุปทานคุณภาพดีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 2.ทำเลกลางเมืองเดินทางสะดวกสบาย 3.ราคาที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับทำเลและพื้นที่ใช้สอยที่ได้ 4.ได้ทรัพย์สินเป็นที่ดิน และความรู้สึกความเป็นเจ้าของที่แท้จริง 5.มีความเป็นส่วนตัวสูง 6.ได้บ้านที่แตกต่างสะท้อนตัวตนของผู้อยู่อาศัย 7.คุณภาพและวัสดุที่ใช้ 8.ไลฟ์สไตล์คนเมือง 9.สำคัญที่สุดเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าทั้งในปัจจุบันและอนาคต   จากความน่าสนใจของตลาดบ้านหรูใจกลางเมือง เราจึงมองเห็นโอกาส ที่จะทำให้ “ผู้ซื้อ” สามารถเลือกซื้อสินค้าประเภทนี้ ได้อย่างเหมาะสมกับความต้องการที่แท้จริง ทั้งในแง่ของงบประมาณและไลฟ์สไตล์ ในขณะที่ “ผู้ขาย” ก็มีโอกาสขายสินค้าได้ ตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น จึงเป็นที่มาของการจัดแคมเปญ “Luxury House Grand Sale” เพื่อรวบรวมบ้านหรู Rare Item โครงการคุณภาพใจกลางเมืองกว่า 20 โครงการ มาให้เลือกช้อปแบบครบ จบที่เดียว!  ในราคาเริ่มต้น 22.9 - 70 ล้านบาท พร้อมส่วนลดสูงสุดถึง 11 ล้านบาท* และ Voucher เฟอร์นิเจอร์โดย Euro Creations จากอิตาลี รวมทั้งโปรโมชั่นพิเศษอีกมากมาย พิเศษเฉพาะลูกค้าเน็กซัส! ตั้งแต่วันนี้ – 31 มี.ค. 2564      
โควิดระรอกใหม่ ฟาดตลาดอสังหาฯ ซึมต่อเนื่อง

โควิดระรอกใหม่ ฟาดตลาดอสังหาฯ ซึมต่อเนื่อง

โควิดระรอกใหม่ ฟาดตลาดอสังหาฯ ซึมต่อเนื่อง สงครามราคาคาดเอาไม่อยู่ ดัชนีลดลงต่อเนื่อง ขณะที่คอนโด ยังเหลือมากสุดในตลาด หวัง “วัคซีนต้านไวรัส - มาตรการภาครัฐ” ปลุกตลาดฟื้นตัวเร็วขึ้น   ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เปิดเผยข้อมูลล่าสุดจากรายงาน DDproperty Thailand Property Market Index  พบว่า ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 197 จุด จาก 201 จุด หรือลดลง 2% จากไตรมาสก่อน ถือเป็นดัชนีราคาที่ต่ำที่สุดในรอบ 14 ไตรมาส (นับตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ปี 2560) หลังจากเคยมีแนวโน้มฟื้นตัวในช่วงคลายล็อกดาวน์จากการแพร่ระบาดรอบแรก คาดแนวโน้มราคาอสังหาริมทรัพย์​ และจำนวนจะลดลงต่อเนื่องจากไตรมาส 4 ปีที่แล้ว และยังไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก แต่ยังคงมีความหวังว่าวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 และมาตรการเยียวยาเพิ่มเติมจากภาครัฐจะช่วยกระตุ้นให้ตลาดอสังหาฯ กลับมาฟื้นตัวเร็วขึ้น สงครามราคาไม่ช่วยกระตุ้นตลาดอสัหาฯ นางกมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทยของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เปิดเผยว่า  คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.50% ต่อปี เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง สาเหตุหลักมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่น่าจะน้อยกว่าที่คาด และความไม่แน่นอนจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ซึ่งนอกจากจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของสภาพเศรษฐกิจโดยตรงแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อการเติบโตในตลาดอสังหาฯ พอสมควร โดยคาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2564 จะฟื้นตัว 3.2%   เมื่อผนวกกับความท้าทายจากกำลังซื้อของชาวต่างชาติที่หายไปเป็นระยะเวลานาน และความไม่แน่นอนทางการเมือง ปัจจัยเหล่านี้อาจทำให้ตลาดอสังหาฯ ไทยกลับมาฟื้นตัวช้าขึ้น จากเดิมที่เคยคาดไว้ว่าจะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ เห็นได้จากรายงานล่าสุด พบว่า การแพร่ระบาดระลอกใหม่ ได้ส่งผลให้แนวโน้มราคาอสังหาฯ ลดลงต่อเนื่องจากไตรมาส 4 ปีที่แล้ว และคาดการณ์ว่าจะไม่มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564   ส่วนดัชนีอุปทานก็มีแนวโน้มลดลงเช่นกัน เนื่องจากผู้ประกอบการหันมาเร่งระบายสต็อกคงค้างและชะลอการเปิดโครงการใหม่ออกไปก่อนในช่วงนี้ ในขณะที่ความต้องการซื้อของผู้บริโภคก็ถูกดูดซับไปแล้วจำนวนมาก จากสงครามราคาที่รุนแรงในช่วงที่ผ่านมา จึงส่งผลให้การเติบโตในตลาดช่วงต้นปีนี้ไม่คึกคักเท่าที่ควร   ปีนี้สงครามราคาอาจไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่มาช่วยกระตุ้นการฟื้นตัวในตลาดได้เหมือนเดิม โดยมองว่าความชัดเจนของการฉีดวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ในไทย และมาตรการเยียวยาจากภาครัฐอย่างตรงจุดจะเป็นตัวแปรสำคัญที่เร่งการฟื้นตัวในตลาดอสังหาฯ ได้ดีขึ้น   อย่างไรก็ตาม แม้ว่าภาครัฐจะมีการออกมาตรการลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และลดค่าธรรมเนียมการโอนอสังหาฯ เพื่อบรรเทาผลกระทบในรอบนี้แล้ว แต่คาดว่ามาตรการดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อของผู้บริโภคได้ไม่มากนัก เนื่องจากเพดานของมาตรการยังคงจำกัดอยู่แค่การซื้อบ้านและคอนโด ใหม่จากผู้ประกอบการอสังหาฯ ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทเท่านั้น คนไทย ต้องการซื้อบ้านไม่เกิน 5 ล้าน จากข้อมูลผู้เข้าเยี่ยมชมในเว็บไซต์ DDproperty.com ทั่วประเทศในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา พบว่า เกือบ 3 ใน 4 ของผู้บริโภค (74%) ให้ความสนใจเข้าชมประกาศซื้อ-ขาย-เช่าที่อยู่อาศัยในระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท ในขณะที่การเข้าชมอสังหาฯ ระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท มี 55%   สะท้อนให้เห็นเทรนด์ความต้องการซื้อของผู้บริโภค (Demand) ที่มองหาที่อยู่อาศัยในระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท แม้อาจมีความจำเป็นต้องชะลอการใช้จ่ายออกไปก่อน แต่ถือเป็นอีกโอกาสในตลาดที่ไม่ควรมองข้าม หากภาครัฐต้องการกระตุ้นภาคอสังหาฯ จึงควรที่จะขยายเพดานของมาตรการลดค่าโอน-ค่าจดจำนองให้สูงกว่าเดิม เพื่อช่วยดึงกำลังซื้อใหม่ ๆ เข้าสู่ตลาดมากขึ้น รวมทั้งช่วยดูดซับโครงการคงค้างที่มีราคามากกว่า 3 ล้านบาทของผู้ประกอบการอสังหาฯ ในช่วงที่ผ่านมาให้ลดลงได้ โควิด-19 ระรอกใหม่ ทำตลาดอสังหาฯ สั่นคลอน   รายงาน DDproperty Thailand Property Market Index ฉบับล่าสุด เผยข้อมูลเชิงลึกและทิศทางตลาดอสังหาฯ ไทยหลังต้องเผชิญการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่แบบไม่ทันตั้งตัว ส่งผลกระทบให้การเติบโตของตลาดที่อยู่อาศัยและการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคปรับทิศทางชะลอตัวลง ราคาอสังหาฯ ลด ที่อยู่อาศัยแนวราบยังทรงตัว เมื่อผู้บริโภคเพิ่มความระมัดระวังในการใช้จ่ายมากขึ้น ส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ จำเป็นต้องใช้สงครามราคา ออกมาเป็นตัวช่วยในการเร่งระบายสต็อกคงค้างอย่างต่อเนื่อง เพื่อเร่งการตัดสินใจซื้อในเวลานี้ ข้อมูลจากรายงานยังพบว่า ดัชนีราคาอสังหาฯ ไตรมาสที่ผ่านมาทุกรูปแบบที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มลดลง  โดยเฉพาะประเภทคอนโด ที่ดัชนีราคาลดลง 2% จากไตรมาสก่อน และลดลงถึง 5% ในรอบปี (YoY)   ในขณะที่อสังหาฯ แนวราบได้อานิสงส์ จากการที่ผู้บริโภคหันมา Work from Home ในช่วงที่มีการแพร่ระบาดฯทำให้สนใจโครงการแนวราบมากขึ้น ส่งผลให้ดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์ยังคงทรงตัว ในขณะที่บ้านเดี่ยวแม้ดัชนีราคาจะลดลง 2% จากไตรมาสก่อน แต่ถือว่ามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 10% ในรอบ 2 ปี สะท้อนให้เห็นโอกาสจากกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงที่ยังคงมีอยู่ในตลาด (Real Demand) คอนโด ยังครองแชมป์สต็อกเหลือมากสุด นอกจากการระบาดฯ ระลอกใหม่ จะส่งผลกระทบต่อการวางแผนใช้จ่ายของผู้ซื้อโดยตรงแล้ว ยังส่งผลให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ นักลงทุน และผู้บริโภคที่ต้องการขายอสังหาฯ ที่มีอยู่ตอนนี้ เลือกที่จะชะลอการขายออกไปก่อนอีกด้วย   จากรายงานพบว่า ดัชนีอุปทานลดลงมาอยู่ที่ 363 จุด จาก 385 จุด หรือลดลงถึง 6% จากไตรมาสก่อน และคาดการณ์ว่าจะส่งผลต่อเนื่องไปอีกอย่างน้อยหนึ่งไตรมาส ในช่วงที่ผ่านมาตลาดคอนโด ถือว่าได้รับผลกระทบมากที่สุดจนมีสินค้าคงค้างในตลาดเป็นจำนวนมาก แม้ไตรมาสนี้จำนวนคอนโด จะลดลงจากไตรมาสก่อน 7% แต่เมื่อมองภาพรวมแล้วคอนโด ยังคงมีสัดส่วนมากที่สุดถึง 88% ของจำนวนอสังหาฯ ทั้งหมดในกรุงเทพฯ ในขณะที่ดัชนีอุปทานบ้านเดี่ยวมีสัดส่วน 7% และทาวน์เฮ้าส์มีเพียง 5% เท่านั้น เขตคลองเตย ตลาดเช่ามาแรง   สำหรับทำเลในกรุงเทพฯ ที่มีจำนวนลดลงมากที่สุดในรอบไตรมาส ส่วนใหญ่อยู่ในทำเลใจกลางเมือง ได้แก่ เขตวัฒนา เขตคลองเตย และเขตสาทร แม้ภาพรวมการซื้อขายในตลาดอสังหาฯ จะยังมีแนวโน้มชะลอตัว แต่หากมองในมุมอสังหาฯ ให้เช่ากลับพบว่ายังมีโอกาสเติบโตไม่น้อย โดยผู้บริโภคยังมีความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในเขตคลองเตยที่มีการเติบโตในหลายทำเล ได้แก่ แขวงคลองเตย เพิ่มขึ้นถึง 17% ตามมาด้วยแขวงพระโขนง เพิ่มขึ้น 12% และแขวงคลองตัน เพิ่มขึ้น 11%   ส่วนในเขตวัฒนาก็ได้รับความสนใจไม่แพ้กัน โดยผู้บริโภคสนใจเช่าที่อยู่อาศัย ในแขวงคลองเตยเหนือ เพิ่มขึ้น 15% ตามมาด้วยแขวงคลองตันเหนือ เพิ่มขึ้น 10% และแขวงพระโขนงเหนือ เพิ่มขึ้น 9% สะท้อนให้เห็นทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยแบบให้เช่าที่ยังมีแนวโน้มเติบโตในอนาคต สวนทางกับจำนวนอุปทานที่ลดลงในบางทำเล ถือเป็นโอกาสที่น่าสนใจสำหรับนักลงทุนที่มีอสังหาฯ ในทำเลดังกล่าว ที่อาจจะเลือกชะลอการขายออกไปก่อนเพื่อรอจังหวะในการสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า และเปลี่ยนมาปล่อยเช่าแทนในเวลานี้ เพื่อจับความต้องการผู้บริโภคที่มีในตลาด        
เอสซี ทุ่มกว่า 2.5 หมื่นล้าน รุกหนักแนวราบขึ้นเบอร์ 1 บ้านเดี่ยว

เอสซี ทุ่มกว่า 2.5 หมื่นล้าน รุกหนักแนวราบขึ้นเบอร์ 1 บ้านเดี่ยว

เอสซี แอสเสท เดินหน้าลุยตลาดแนวราบ ปั้น 8 โปรเจ็กต์ใหม่ 9,000 ล้าน สู่ผู้นำเบอร์ 1 บ้านเดี่ยว ราคา 10  ล้านบาทขึ้นไป พร้อมเปิดตัว 2 บ้านฟังก์ชั่นใหม่ เอาใจคนโสด และเจนวาย ปูทางสร้างรายได้ 19,000 ล้านบาท ​​   นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยถึงแผนธุรกิจในปี 2564-2565 ว่า ได้วางแผนรุกตลาดแนวราบอย่างหนัก ด้วยการทุมเม็ดเงินลงทุน 25,000 ล้านบาท เพื่อเป้าหมายสู่การเป็นแบรนด์บ้านเดี่ยวอันดับ 1 ภายใต้ความพร้อมใน 3 ด้าน ได้แก่ ความพร้อมด้านที่ดิน ด้านสภาพคล่อง และสินค้า โดยกลยุทธ์สำคัญทั้ง 3 ประการ ภายใต้ความพร้อมของ SC ในแบบ Fully-Loaded ประกอบด้วย​ 1.ที่ดินพร้อม         ทุ่มเงินลงทุน 25,000 ล้านบาท ใน 2 ปีนี้ (2564-2565)  เพื่อโอนที่ดินจำนวนมากกว่า 30 แปลง  และรุกพัฒนาโครงการแนวราบแบบจัดหนัก  ครอบคลุมทุกระดับราคาทั่วกรุงเทพ-ปริมณฑล 2.สภาพคล่องพร้อม มีสภาพคล่องแข็งแกร่ง มีเงินสดและวงเงินพร้อมเบิกมากกว่า 10,000 ล้านบาท พร้อมกับมีระดับหนี้ลดเหลือ D/E 1.38 จาก D/E 1.58  ในปี 2562  ถือว่าปัจจุบันมีระดับหนี้ต่ำสุดในรอบ 5 ปี 3.สินค้าพร้อม โดยให้ความสำคัญกับการพัฒนาสินค้าตามปรัชญาแบรนด์ ‘For Good Mornings’ สร้างทุกเช้าที่ดีให้ลูกค้าทุกคน  ใน  3 เรื่องหลัก ได้แก่ Design, Technology และ Living Solutions เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าในยุค new normal  พร้อมรองรับกิจกรรมที่เพิ่มขึ้นภายในบ้าน นายณัฐพงศ์ กล่าวว่า ในปี 2564  บริษัทตั้งเป้ายอดขาย 20,000 ล้านบาท และรายได้ 19,000 ล้านบาท ซึ่งจะมาจากโครงการเพื่อขายทั้งหมดในปีนี้จำนวน 69 โครงการ มูลค่า รวม 57,500 ล้านบาท โดยในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการใหม่  11 โครงการ​ มูลค่ารวม 17,000 ล้านบาท  แบ่งเป็นแนวราบ  8 โครงการ มูลค่า 9,000 ล้านบาท และแนวสูง 3 โครงการ มูลค่า 8,000 ล้านบาท   ในส่วนบ้านแนวราบปีนี้ จะมีการเปิดตัวบ้านซีรี่ส์ใหม่ ได้แก่ บ้านคนโสด และ บ้าน SoU-21 ภายใต้แนวคิด  ‘One Size doesn’t Fit All’ บ้านที่ปรับเปลี่ยนได้ตามไลฟ์สไตล์ จะเปิดตัวครั้งแรกที่โครงการเวนิว พระราม 9 การเปิดตัวบ้านซีรี่ยส์ใหม่ดังกล่าว เนื่องจาก SC มีนโยบายในการพัฒนาบ้านเพื่อตอบโจทย์คนทุกกลุ่ม ในทุกระดับราคา ​ สำหรับผลการดำเนินงานในรอบ​ปี 2563 ที่ผ่านมาถือเป็นปีแห่งความท้าทายของบริษัท เนื่องจากมีปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่บริษัทสามารถสร้างผลการดำเนินงานเป็นที่น่าพอใจ ทำยอดขายสูงสุดเป็นประวัติศาสตร์ ด้วยยอดขายรวม​ 16,602 ล้านบาท  และสามารถทำยอดขายแนวราบสูงสุดเติบโตสวนกระแสตลาด คิดเป็นยอดขายแนวราบ 14,757 ล้านบาท เติบโต 37% จากช่วงปีก่อนหน้า  ส่งผลให้ส่วนแบ่งการตลาดของบ้านเดี่ยวในกลุ่มราคามากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป  เพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 1 มีส่วนแบ่งการตลาด 26% เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้าที่มีส่วนแบ่งการตลาด 19%  
แสนสิริ x บาร์บีกอน ดันยอดขายสู่ 5,000 ล้าน

แสนสิริ x บาร์บีกอน ดันยอดขายสู่ 5,000 ล้าน

แสนสิริ จับมือ บาร์บีคิวพลาซ่า ปั้นยอดขายไตรมาสแรก 5,000 ล้าน พร้อมสร้างแบรนด์สู่ตลาดแมส ใช้ฐานลูกค้าบาร์บีคิวพลาซ่ากว่า 2 ล้านราย สร้างการรับรู้บุกตลาดบ้าน-คอนโด ราคาล้านกว่าบาท   ก่อนหน้านี้ นายเศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้ออกมาสร้างกระแสบนโลกออนไลน์ ด้วยการนำเอาตัว “บาร์บีกอน” ตัวการ์ตูนคาแรคเตอร์ร้านปิ้งย่าง บาร์บีคิวพลาซ่า มาสร้างกระแสทางการตลาด ด้วยการนำเอาตัวบาร์บีกอนไปอยู่ตามบ้านและคอนโดมิเนียม ในโครงการต่าง ๆ ของแสนสิริ จากเดิมที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าร้าน เพื่อสร้างความสงสัยว่าจะเกิดความร่วมมืออะไรกันขึ้น   ล่าสุด ผู้บริหารจากแสนสิริและบาร์บีคิวพลาซ่า ได้ออกมาจัดงานแถลงข่าว เพื่อเฉลยถึงความร่วมมือที่ทั้งสองบริษัทจะดำเนินการร่วมกัน ซึ่งประเด็นหลัก คือ การจัดทำแคมเปญการตลาดร่วมกัน เพื่อขยายตลาดและสร้างยอดขาย  ซึ่งทางแสนสิริคาดว่าแคมเปญที่ทำร่วมกันครั้งนี้  จะได้ยอดขาย 1,500 ล้านบาท  เพื่อทำให้ไตรมาสแรกของปี 2564 แสนสิริทำยอดขายได้ 5,000 ล้านบาท จากเดือนมกราคมที่ผ่านมา สามารถทำยอดขายได้แล้ว 3,500 ล้านบาท   นางสาวชลีรัตน์ ต่อจรัส ผู้อำนวยการฝ่ายลูกค้าสัมพันธ์และองค์กร บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้ร่วมมือกับบาร์บีคิวพลาซ่า จัดทำแคมเปญ “แสนสิริ x บาร์บีคิวพลาซ่า กระจายความสุข” และนำแคมเปญ “แสนสิริ ผ่อนให้ 24 เดือน*” กลับมาทำการตลาดอีกครั้ง เพื่อกระตุ้นตลาดและสร้างยอดขาย โดยคาดว่าแคมเปญที่ร่วมกับบาร์บีคิวพลาซ่า จะสร้างยอดขายได้ 1,500 ล้านบาท สำหรับแคมเปญแสนสิริ x บาร์บีคิว พลาซ่า กระจายความสุขให้คนไทยทั้งประเทศ และ​ แสนสิริ ผ่อนให้ 24 เดือน จะเป็นการให้สิทธิพิเศษกับผู้ที่ซื้อ​โครงการบ้าน คอนโดมิเนียม และ ทาวน์โฮมพร้อมอยู่ รวม 59 โครงการ ระหว่างวันที่ 11 ก.พ. – 31 มี.ค. 2564 ซึ่ง​จะได้รับสิทธิพิเศษ คือ ​1. แสนสิริ ผ่อนให้ 24 เดือน 2.ได้ลุ้นเพิ่ม อาทิ ทองคำ, ส่วนลด on top, บัตรกำนัลเงินสด,  ค่าส่วนกลางเพิ่ม, เครื่องใช้ไฟฟ้าครบชุด และเฟอร์นิเจอร์ครบเซ็ต ​​​3. ลูกค้าบาร์บีคิวพลาซ่า ซึ่งปัจจุบันมีฐานลูกค้ากว่า 2 ล้านราย ชวนเพื่อนมาซื้อโครงการแสนสิริ รับค่าแนะนำไปเลยสูงสุด 200,000 บาท และ​ 4. รับ ฟรี! Gift voucher ชุดหมูพิเศษ ‘แสนสิริ มงGON’ ไปกินที่ร้าน Bar B Q plaza เมื่อเยี่ยมชมโครงการแสนสิริและร่วมกิจกรรมถ่ายภาพ* กับบาร์บีกอนที่โครงการบ้าน คอนโดมิเนียม และทาวน์โฮม จากแสนสิริ แสนสิริมีบ้านทุกเซ็กเมนต์ ตั้งแต่ราคา 1-20 ล้านบาท กระจายทุกเซ็กเมนต์ แต่แคมเปญนี้น่าจะทำให้เกิดการรับรู้มากขึ้นในกลุ่ม affordable ด้านนางสาวบุณย์ญานุช บุญบำรุงทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ด้านการสร้างโอกาสทางการตลาดกลุ่มธุรกิจอาหาร บริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด กล่าวว่า​ กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของบริษัทในปีนี้ มุ่งเน้นการตอบโจทย์ปัจจัย 4 ของผู้บริโภค ซึ่งการร่วมมือกับแสนสิริ เป็นการตอบโจทย์ด้านการอยู่อาศัย ในอนาคตบริษัทยังจะมีความร่วมมือกับพันธมิตร ในการตอบโจทย์ความต้องการด้านเครื่องแต่งกาย และด้านยาหรือ Hospitality ต่อไปด้วย   สำหรับความร่วมมือกันครั้งนี้ ถือเป็นการตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจของบริษัทในปีนี้ รวมถึงเป็นการต่อยอดการทำโมเดล Licensing Partnership  จากการที่เรามีความแข็งแกร่งและเชี่ยวชาญเรื่องการทำ Character Marketing ซึ่งเป็นโอกาสอันดีในการต่อยอดสำหรับการสร้างรายได้ช่องทางใหม่ให้กับองค์กร ด้วยการใช้มาสคอต บาร์บีกอน  ที่เป็นตัวแทนของความสุข ไป Stay with customers ในทุก ๆ กิจกรรมการตลาด และเพื่อสนับสนุนให้พาร์ทเนอร์ไปถึงเป้าหมายที่ต้องการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆมากขึ้น เช่น การขยายฐานไปยังกลุ่มลูกค้าที่เป็น GON Lover โดยลูกค้าของแสนสิริที่ปัจจุบันมีกว่า 1 แสนครอบครัว จะได้รับสิทธิพิเศษจาก บาร์บีคิวพลาซ่า  ตั้งแต่ 11 ก.พ. – 30 มิ.ย. 2564 อาทิ สั่งชุดแสนสิริ มงGON สำหรับชุดหมู ในราคาเพียง 249 บาท  ชุดเนื้อ ในราคาเพียง 259 บาท และสามารถสั่งกลับบ้านได้ด้วย ซึ่ง แสนสิริ มงGON เป็นชื่อชุดอาหารพิเศษจากการ​ผสมผสานชื่อเมนู จาก แสนสิริ และ บาร์บีกอน  เข้าไว้ด้วยกัน  การบริการจัดส่งเดลิเวอรี่ ให้ลูกบ้านนแสนสิริ 134 โครงการ  สมาชิกลูกบ้านแสนสิริรับโค้ดส่วนลดพิเศษ 100 บาท  และการนำรถ GON Food Truck ให้บริการที่โครงการของแสนสิริ โดยรถคันแรกจะเปิดตัวที่โครงการเศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา ตั้งแต่วันที่​ 7 มี.ค. 2564  
ซีบีอาร์อี แนะใช้ยาแรงฟื้นตลาดบ้าน-คอนโด  ขยายฐานราคา0-15ล.รับมาตรการรัฐ

ซีบีอาร์อี แนะใช้ยาแรงฟื้นตลาดบ้าน-คอนโด ขยายฐานราคา0-15ล.รับมาตรการรัฐ

ซีบีอาร์อี คาดตลาดอสังหาฯ ไทยปี 64 แต่ละธุรกิจฟื้นตัวแตกต่างกัน  จากภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้น มีความท้าทายจากความผันผวนของโรคโควิด-19  ตลาดโลจิสติกส์ขึ้นแท่นนำ ขณะที่ตลาดอาคารสำนักงานต้องเตรียมรับมือกับซัพพลายใหม่จำนวนมาก ส่วนตลาดโรงแรมและพื้นที่ค้าปลีกจะฟื้นตัวช้าสุด แนะภาครัฐอัดยาแรงในตลาดที่อยู่อาศัย ขยายฐานกลุ่มบ้าน-คอนโด ราคาตั้งแต่ 0-15 ล้านให้ได้รับอานิสงค์ พร้อมปลดล็อกขายลิสโฮลด์ขายบ้าน-ที่ดินได้ถึง 60 ปี ตลาดที่พักอาศัย : ปรับสมดุลราคา ซีบีอาร์อีเชื่อว่าตลาดที่พักอาศัยโดยรวมในกรุงเทพฯ จะยังคงชะลอตัวในปี 2564 และมีความเสี่ยงเนื่องจากโควิด-19 รอบใหม่ ได้ทำให้ผู้ซื้อชาวไทยและชาวต่างชาติใช้เวลาในการตัดสินใจนานขึ้น   การเปิดตัวโครงการใหม่จะมีไม่มากนักโดยจะเป็นโครงการในย่านรอบนอกใจกลางเมือง (มิดทาวน์) และชานเมือง เพราะราคาที่ดินยังอยู่ในระดับราคาที่พัฒนาได้และทำให้ราคาขายเริ่มมีความสมเหตุสมผลมากขึ้น   ในปี 2564 ผู้พัฒนาโครงการจะยังให้ความสำคัญกับยูนิตที่แล้วเสร็จแต่ยังเหลือขายที่มีอยู่ในมือ แต่ขณะเดียวกันก็มองหาโอกาสใหม่ในทำเลใหม่ๆ และให้ความสำคัญกับสภาพคล่องทางการเงินด้วย   ตลาดที่พักอาศัยแนวราบจะเป็นตลาดหลักสำหรับการพัฒนาโครงการใหม่ๆ เนื่องจากผู้พัฒนาโครงการต้องการลดความเสี่ยง   ขณะที่ความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมยังคงมีอยู่แต่มีงบประมาณที่น้อยลง   นอกจากนี้ผู้พัฒนาโครงการจะเปลี่ยนไปพัฒนาโครงการที่มีขนาดเล็กลง เพื่อลดขนาดการลงทุน และทำให้ผ่านเกณฑ์การอนุมัติเงินทุนจากธนาคารได้ง่ายขึ้น   นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย ให้ความเห็นว่า  จากธุรกรรมซื้อขายที่ผ่านซีบีอาร์อีในปี 2563 พบว่าตลาดที่พักอาศัยระดับลักซ์ชัวรี่ที่เป็นกลุ่มเฉพาะยังคงเป็นที่ต้องการอย่างมากจากทั้งลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเองและนักลงทุน โดยเฉพาะที่พักอาศัยที่บริหารโดยเครือโรงแรมและบ้านหรู แต่ลูกค้าใช้ระยะเวลาการตัดสินใจนานขึ้น   เป็นที่น่าสังเกตว่ายูนิตขนาดใหญ่ในตลาดระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ซึ่งยอดขายชะลอตัวในอดีตกลับมามียอดขายมากขึ้นในปีที่ผ่านมา  นักลงทุนต่างชาติที่สนใจลงทุนในไทย โดยเฉพาะชาวจีน ยังคงให้ความสนใจตลาดในทุกระดับ แต่ยอดขายจากลูกค้ากลุ่มนี้จะกลับมาก็ต่อเมื่อสามารถเดินทางเข้ามาไทยได้ โปรโมชั่นและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีประสิทธิภาพจากรัฐบาลยังคงมีความจำเป็นสำหรับการดึงดูดผู้ซื้อต่างชาติ  ซีบีอาร์อีคาดหวังว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ได้ผลออกมาอีกโดยควรจะครอบคลุมมากยิ่งขึ้นเพื่อช่วยตลาดในปีนี้   โดยเห็นว่ามาตรการที่จะช่วยกระตุ้นตลาดที่อยู่อาศัยได้ดี คือ การขยายฐานระดับราคาที่อยู่อาศัย ให้ครอบคลุมมากขึ้น จากปัจจุบันที่ให้เฉพาะระดับบ้านไม่เกิน 3 ล้านบาท เห็นว่าควรขยายฐานราคาที่อยู่อาศัยตั้งแต่ 0 บาทไปจนถึง 15 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มที่อยู่อาศัยแบบสิทธิการเช่า หรือ ลิสโฮลด์นั้นควรขยายระยะเวลาให้เช่านานถึง 60 ปี เพื่อกระตุ้นตลาดในกลุ่มชาวต่างชาติให้เข้ามาซื้ออสังหาฯ​ ไทยเพิ่มมากขึ้น​ สิ่งที่จะช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ได้ คือ นโยบายของรัฐบาล ซึ่งปัจจุบันมาตรการยังกระจัดกระจายและยังไม่อิมแพคมากพอ ตลาดอาคารสำนักงาน: ปรับเปลี่ยนอนาคตของสถานที่ทำงาน ซีบีอาร์อีมองเห็นว่าองค์กรต่างๆ กำลังคิดทบทวนเรื่องการออกแบบสถานที่ทำงานและวิธีการใช้พื้นที่ เนื่องจากการให้พนักงานเป็นศูนย์กลางและการทำงานแบบไฮบริดหรือการใช้พื้นที่สำนักงานรูปแบบเดิมควบคู่ไปกับการผสมผสานระหว่างการใช้พื้นที่ที่มีความยืดหยุ่นกับการทำงานระยะไกลจะเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยความสำเร็จจะขึ้นอยู่กับหน้าที่และลักษณะเฉพาะของแต่ละบริษัทและแต่ละหน่วยธุรกิจ นางสาวรุ่งรัตน์ วีระภาคย์การุณ หัวหน้าแผนกพื้นที่สำนักงาน ซีบีอาร์อี ประเทศไทย ให้ความเห็นว่า สำหรับอนาคตของตลาดอาคารสำนักงาน ความกังวลที่สำคัญประการหนึ่งของซีบีอาร์อีคือจำนวนซัพพลายใหม่ที่จะเพิ่มเข้าสู่ตลาด  โดยในปี 2564 มีพื้นที่สำนักงานที่คาดว่าจะแล้วเสร็จจำนวน 334,000 ตารางเมตร  ซึ่งจะทำให้พื้นที่สำนักงานทั้งหมดในกรุงเทพฯ ขยับขึ้นไปอยู่ที่ 9.49 ล้านตารางเมตร   ในสภาวะตลาดที่ไม่แน่นอนเช่นนี้  ซีบีอาร์อีได้เห็นว่าเจ้าของอาคารมีการเลื่อนกำหนดแล้วเสร็จของอาคารเพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขัน  นอกจากนี้ยังคาดว่าค่าเช่าโดยรวมในตลาดจะอยู่ในระดับทรงตัว  และตลาดจะเปลี่ยนไปสู่การเป็นตลาดของผู้เช่าโดยเฉพาะผู้เช่ารายใหญ่ที่ใช้พื้นที่สำนักงานขนาดใหญ่ ตลาดพื้นที่ค้าปลีก: พฤติกรรมเปลี่ยนส่งผลให้ต้องปฏิรูป ธุรกิจค้าปลีกของไทยได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และส่งผลให้ในปี 2563 ยอดผู้ใช้บริการลดลงอย่างมากและความเชื่อมั่นผู้บริโภคก็ลดลงเช่นกัน   ซีบีอาร์อีเห็นว่าเจ้าของพื้นที่ค้าปลีกได้มีการทบทวนโครงการที่มีการวางแผนไว้ รวมถึงแผนการลงทุน  ซึ่งจะมีการเสนอสัญญาเช่าที่ยืดหยุ่นมากขึ้นให้กับผู้เช่าและจะมีนวัตกรรมใหม่ๆ ภายในพื้นที่ศูนย์การค้า    ในทางกลับกัน ผู้ค้าปลีกจะลดขนาดและปรับรูปแบบพื้นที่เช่าเพื่อลดค่าใช้จ่ายและทำให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น  ธนาคารต่างกำลังย้ายไปสู่แพลตฟอร์มออนไลน์และต้องการพื้นที่สาขาน้อยลง   ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มจะให้ความสำคัญกับบริการส่งอาหารมากขึ้น และร้านขายสินค้าแฟชั่นจะมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่หลากหลายมากขึ้น   นอกจากการเปลี่ยนสถานะการเช่าจากแบบถาวรมาเป็นแบบชั่วคราวแล้ว ผู้เช่าจะพัฒนาให้เป็นร้านค้ารูปแบบที่เล็กลง เช่น ป๊อปอัปสโตร์ เพื่อรักษาผลกำไรในช่วงที่สถานการณ์ไม่แน่นอนเช่นนี้   ตลาดโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์: เปลี่ยนกลุ่มเป้าหมายผู้เข้าพักและผู้เช่า ตลาดโรงแรมและเซอร์วิสอพาร์ตเมนต์ในกรุงเทพฯ คือหนึ่งในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เพราะนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาในประเทศไทยลดลงจาก 40 ล้านคนในปี 2562 ไปเป็นต่ำกว่า 7 ล้านคนในปี 2563 ซีบีอาร์อีคาดการณ์ว่าอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยจะกลับคืนสู่ระดับเดียวกับปี 2562 ได้ในปี 2565 โดยต้องขึ้นอยู่กับความสำเร็จของวัคซีนและการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศที่เป็นนักท่องเที่ยวหลักของไทยอย่างจีน รัสเซีย ญี่ปุ่น และอินเดีย   นายรัฐวัฒน์ คูวิจิตรสุวรรณ หัวหน้าแผนกวิจัยและที่ปรึกษาการพัฒนาโครงการ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย  กล่าวว่า “ในขณะเดียวกัน  เจ้าของโรงแรมและผู้บริหารจัดการโรงแรมถูกบังคับให้มุ่งเน้นไปที่ตลาดท่องเที่ยวในประเทศ โดยอาศัยรายได้จากนักท่องเที่ยวในประเทศแต่เพียงอย่างเดียวเพื่อให้อยู่รอด   ซีบีอาร์อีเห็นว่าโรงแรมต่างๆ ได้หาหนทางใหม่ๆ ในการดำเนินงานและทำการตลาด ตั้งแต่แพ็กเกจการทำงานจากโรงแรม (Work From Hotel) แพ็กเกจการเข้าพักแบบ Staycation (การพักผ่อนในสถานที่ใกล้ๆ) ไปจนถึงข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าที่ไม่ได้เข้าพัก    โรงแรมบางแห่งอาจเลือกที่จะเปิดให้บริการเป็นบางส่วนหรือเปิดเฉพาะร้านอาหารและเครื่องดื่ม  โดยอาศัยช่วงเวลาที่มีผู้เข้าใช้บริการน้อยเป็นการทดลองเปิดให้บริการ และพยายามให้มีค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานน้อยที่สุด” ตลาดพื้นที่อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์: ความต้องการสะสมถูกขัดขวางด้วยการห้ามเดินทาง นายอาดัม เบลล์ หัวหน้าแผนกพื้นที่อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดโลจิสติกส์ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นหนึ่งในตลาดที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดจากการแพร่ระบาด เนื่องจากโควิด-19 เป็นตัวกระตุ้นให้ผู้บริโภคไทยปรับตัวเข้าสู่อี-คอมเมิร์ซและเศรษฐกิจดิจิทัลมากขึ้น ซึ่งผลักดันให้เกิดความต้องการพื้นที่คลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้ารุ่นใหม่ (Modern Logistics Property - MLP) ในประเทศไทย   พื้นที่คลังสินค้าและศูนย์กระจายสินค้ารุ่นใหม่มากกว่า 400,000 ตร.ม. ซึ่งส่วนใหญ่จะเข้าสู่ตลาดภายในปี 2564 ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบสร้างขึ้นตามความต้องการเฉพาะ (Built-to-Suit)   สำหรับด้านซัพพลายเชน  ผู้ผลิตในจีนหลายรายพิจารณาย้ายฐานการผลิตมายังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่ต่ำกว่า  นักลงทุนเริ่มให้ความสนใจซื้อโรงงานมากกว่าเช่าโรงงานมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อให้สามารถควบคุมดูแลสถานที่ได้มากขึ้น  ในขณะที่ผู้พัฒนาโรงงานหลายรายชะลอการสร้างโรงงานสำเร็จรูป (Ready-Built Factory - RBF) แบบสร้างเสร็จก่อนขาย   ตลาดการลงทุน: ทบทวนพอร์ตและกลยุทธ์การลงทุน โควิด-19 ทำหน้าที่เป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลง  ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะเป็นตลาดของผู้เช่าและผู้ซื้อมากขึ้น โดยผู้เช่าจะมีอำนาจในการต่อรองมากขึ้นโดยอสังหาริมทรัพย์จะถูกนำออกมาขายมากขึ้น  เนื่องจากเจ้าของพื้นที่และเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ต้องการถือเงินสด  ซีบีอาร์อีเชื่อว่าเรื่องนี้อาจเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนที่กำลังมองหาอสังหาริมทรัพย์ที่ยอมลดราคา แต่ความคาดหวังที่แตกต่างกันระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อจะยังคงเป็นปัญหาสำคัญ  ราคาที่ดินจะอยู่ในระดับที่สมเหตุสมผลมากขึ้นเพราะราคาที่ดินโดยรวมในทำเลชั้นนำยังไม่เปลี่ยนแปลง  อย่างไรก็ตาม ราคาที่ดินในย่านรอบนอกใจกลางเมืองและชานเมืองโดยรวมลดลง ยกเว้นบางพื้นที่จะปรับตัวสูงขึ้นตามการขยายเส้นทางระบบขนส่งมวลชนและการขยายถนนในพื้นที่   นางกุลวดี สว่างศรี หัวหน้าแผนกการลงทุนและที่ดิน ซีบีอาร์อี ประเทศไทย กล่าวสรุปว่า เจ้าของพื้นที่และเจ้าของอสังหาริมทรัพย์จำเป็นต้องมีการบริหารจัดการสินทรัพย์ในเชิงรุกเพื่อรักษารายได้และบริหารจัดการค่าใช้จ่ายต่างๆ   การลงทุนแต่ละครั้งจะได้รับการประเมินหลายครั้งเพื่อทำความเข้าใจกับการแทรกแซงจากคู่แข่ง รวมถึงความต้องการของผู้เช่านั้นกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร และช่วงเวลานี้เหมาะสมที่จะลงทุนเพิ่มในสินทรัพย์ที่มีอยู่หรือขายออก      
เรียลแอสเสท ปั้น 4 โปรเจ็กต์ สร้างยอดโต 15%

เรียลแอสเสท ปั้น 4 โปรเจ็กต์ สร้างยอดโต 15%

เรียลแอสเสท เดินหน้าเปิด 4 โปรเจ็กต์ใหม่ สร้างยอดขาย 2,350 ล้าน  โต 15%  รับปี 64 วางเป้าหมายรายได้สู่ 4,000 ล้าน ในอีก 3 ปี หลังเทคโอเวอร์โปรเจ็กต จากอารียามาลุยต่อ   นายบดินทร์ธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เรียลแอสเสท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า  ได้วางแผนพัฒนาโครงการใหม่ในปีนี้จำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวม 4,660 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการแนวราบ จำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวม 2,510 ล้านบาท ได้แก่ 1.สตอรี่ส์ บางนา - สุวรรณภูมิ 2.สตอรี่ส์ รังสิต - วงแหวน  3.วิรัณยา บางนา - วงแหวน และ โครงการคอนโดมิเนียม มูลค่า 2,150 ล้านบาท  จำนวน 1 โครงการ ได้แก่ โครงการ “เดอะ สเตจ มายด์สเคป รัชดา - ห้วยขวาง” (THE STAGE Mindscape Ratchada – Huai Khwang)   นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่เทกโอเวอร์ มาจาก บริษัท อารียา พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ภายใต้แบรนด์ “MEGA Space 1&2” เป็นคอนโดไฮไรส์ จำนวน 2 อาคาร รวม 2,329 ยูนิต มูลค่าโครงการ 4,300 ล้านบาท ในปี 2564 คาดว่า บริษัทจะสามารถสร้างยอดขายจำนวน 2,350 ล้านบาท  เติบโตขึ้น 15% จากปีก่อนที่มียอดขาย 2,050 ล้านบาท และจากการเทคโอเวอร์จะสามารถทำให้บริษัทโตได้อย่างก้าวกระโดด โดยตั้งเป้าว่าในปี 2567 จะสามารถสร้างรายได้แตะ 4,000 ล้านบาท และมี Backlog ทั้งหมด 5,660  ล้านบาทระหว่างปี 2564-2567   นายบดินทร์ธร กล่าวอีกว่า จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปี 2563 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  มีการเปิดตัวโครงการใหม่ลดลงจาก​ปี 2562  ซึ่งผู้ประกอบการมีการปรับแผนการดำเนินธุรกิจและเลื่อนการเปิดตัวโครงการใหม่ออกไป โดยเฉพาะกลุ่มคอนโดมิเนียม ส่งผลให้สต๊อกคงค้างในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ลดลง  รวมทั้งกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติลดลงจำนวนมาก เนื่องจากไม่สามารถเดินทางเข้ามาประเทศไทยได้ และกลุ่มนักลงทุนที่ชะลอการลงทุน เพื่อรอดูความชัดเจนของสถานการณ์ ปัจจัยต่าง ๆ ดังกล่าว ส่งผลให้ตลาดอสังหาฯ ไม่เติบโต ผลกระทบดังกล่าวยังคงต่อเนื่องมาถึงต้นปี 2564 ทำให้บริษัทพิจารณาถึงความรอบคอบในการดำเนินงานเพื่อให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทบทวนแผนงานรายเดือนและรักษากระแสเงินสดสร้างความมั่นคงของการดำเนินธุรกิจ สำหรับแนวโน้มในปี 2564  ทางบริษัทฯยังคงมั่นใจในทำเลและสินค้าของโครงการที่จะเปิดใหม่ในปีนี้ เน้นฐานลูกค้าเรียลดีมานด์เป็นหลัก มุ่งการทำวิจัยตลาดอสังหาฯศึกษาถึงข้อมูลและพฤติกรรมของกลุ่มลูกค้า เพิ่อให้สินค้าออกมา ตรงตามความต้องการมากที่สุด เน้นกลยุทธ์การตลาดในด้านราคามากขึ้น  ชูราคาเป็นจุดขาย เนื่องจากสภาวะความคิด และพฤติกรรมของลูกค้า ณ ปัจจุบันต้องการความคุ้มค่าในราคาที่จับต้องได้  
ศุภาลัย วาง 4 กลยุทธ์ ทำรายได้ New High 28,000 ล้านบาท

ศุภาลัย วาง 4 กลยุทธ์ ทำรายได้ New High 28,000 ล้านบาท

ศุภาลัย วาง 4 กลยุทธ์ ปูทางสร้างรายได้ในปี 64 จำนวน 28,000 ล้าน New High สูงสุดในรอบ 32 ปี ทั้งโอน 4 โปรเจ็กต์ยักษ์ ปั้นแบรนด์ใหม่ ลุยตลาดแนวราบ และเปิดตัวแอป “ศุภาลัย สบาย” มัดใจลูกค้า   แม้ว่าในปี 2564 จะยังมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ภาวะเศรษฐกิจยังไม่กลับมาเติบโตเป็นปกติ แต่การเติบโตของการ “ศุภาลัย” ในปีนี้  ยังคงคาดหวังว่าจะปรับตัวดีกว่าปีที่ผ่านมา และน่าจะสร้างรายได้เติบโตแบบ New High ด้วยรายได้ถึง 28,000 ล้านบาท ท่ามกลางกำลังซื้อที่ยังไม่กลับมาเป็นปกติ สภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็ยังคงชะลอตัวลง   นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้ตั้งเป้าหมายรายได้ในปี 2564 จำนวน 28,000 ล้านบาท ซึ่งรายได้จะสูงสุดในรอบ 32 ปีนับจากดำเนินธุรกิจมาและเป้าหมายยอดขาย 27,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 9% จากปีที่ผ่านมาทำได้ 24,376 ล้านบาท ศุภาลัยวาง 4 กลยุทธ์ทำรายได้ New High   สำหรับเหตุผลสำคัญที่ทำให้ ศุภาลัย มั่นใจว่าจะสร้างสถิติรายได้สูงสุด แม้ว่าภาวะตลาดอสังหาฯ จะยังไม่กลับมาฟื้นตัวเป็นปกตินั้น เป็นเพราะเหตุผลสำคัญ 4 เรื่อง คือ 1.รายได้จาก 4 โปรเจ็กต์ยักษ์ พร้อมโอน ในปี 2564 จะมีโครงการขนาดใหญ่ สร้างเสร็จพร้อมโอน ทำให้มีรายได้เข้ามาอย่างชัดเจน หลังจากเปิดตัวขายในช่วง 2-3 ปีก่อนหน้านี้ อาทิ ​  -ศุภาลัยพรีเมียร์ เจริญนคร มูลค่า 2,990 ล้านบาท ถือเป็นโครงการที่สร้างกระแส talk of the town ในช่วงเปิดตัวโครงการ เพราะมีลูกค้านับร้อยรายมาต่อแถวเพื่อจอง  และสามารถปิดการขายได้ภายในวันแรกของการเปิดตัว ด้วยศักยภาพของทำเลติดสายรถไฟฟ้าสายสีทอง  และห่างจากศูนย์การค้าไอคอนสยามเพียง 1 สถานีเท่านั้น -ศุภาลัย ริเวอร์แกรนด์ มูลค่า 6,800 ล้านบาท   เป็นโครงการขนาดใหญ่ แต่มีที่จอดรถมากถึง 130% ทำให้ได้รับความสนใจ ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 73% -ศุภาลัย เวอรันดา ภาษีเจริญ มูลค่า 4,500 ล้านบาท โครงการตั้งอยู่ห่างจากรถไฟฟ้าที่เปิดใช้บริการแล้ว เพียง 100 เมตร ทำให้ได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้า ปัจจุบันมียอดขายขายแล้ว 87% -ศุภาลัย ออเรนทัล สุขุมวิท 39 มูลค่า 10,000 ล้านบาท เป็นโครงการที่เริ่มโอนกรรมสิทธิ์ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 แต่จะมาโอนกรรมสิทธิ์จำนวนมากต่อเนื่องมาในปีนี้ 2.เปิด 31 โปรเจ็กต์ 34,000 ล้านบาท แผนธุรกิจในปี 2564 ศุภาลัยวางแผนเปิดตัว 31 โครงการ มูลค่า 34,000 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 27 โครงการ ในกรุงเทพฯ 11 โครงการ ต่างจังหวัด 16 โครงการ และคอนโดมิเนียม 4 โครงการ อยู่ในกรุงเทพฯ 3 โครงการ ต่างจังหวัด 1 โครงการ และวางงบประมาณการจัดซื้อที่ดิน 8,000 ล้านบาท โดยเฉพาะโครงการแนวราบที่จะเป็นโครงการที่สามารถรับรู้รายได้ภายในปีนี้ เพราะเป็นสินค้าสร้างเสร็จพร้อมขาย และโอนกรรมสิทธิ์ได้ทันที โดยเชื่อว่าตลาดอสังหาฯ แนวราบยังเติบโตได้ดี แม้ว่าในภาพรวมตลาดอสังหาฯ จะได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ปีที่ผ่านมาทั้งตลาดคอนโดมิเนียม และแนวราบติดลบทั้งหมด แต่สำหรับศุภาลัยยังสามารถสร้างการเติบโตในตลาดแนวราบได้ 16-17% 3.ปั้นแบรนด์ใหม่ บุกตลาด 3-5 ล้าน ในปีนี้ ศุภาลัย วางแผนพัฒนาแบรนด์สินค้าใหม่ออกมาทำตลาด ในกลุ่มระดับราคา 3-5 ล้านบาท เพื่อทำตลาดกลุ่มลูกค้าในพื้นที่กรุงเทพฯ พร้อมกับการพัฒนาแบบบ้านใหม่ และฟังก์ชั่นบ้านในรูปแบบใหม่ เพื่อขยายตลาดและตอบสนองความต้องการของตลาดที่หลากหลายมากขึ้น และทำให้ได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นด้วย 4.เปิดตัวแอพ “ศุภาลัยสบาย” อีกหนึ่งกลยุทธ์การสร้างความสำเร็จของศุภาลัยในปี 2564 คือ การนำเทคโนโลยีใหม่มาประยุกต์ใช้ในการบริหารและดำเนินธุรกิจ ด้วยการเปิดตัวแอปพลิเคชั่นใหม่ “ศุภาลัย สบาย” (Supalai Sabai) เพื่อให้บริการกับกลุ่มลูกค้าของศุภาลัยแบบครบวงจร ตั้งแต่ก่อนจะเข้ามาเป็นลูกค้า ในการเลือกซื้อสินค้า จนถึงเป็นลูกค้า และบริการหลังการขายทั้งหมด คาดว่าจะเปิดตัวได้ในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์นี้   นอกจากนี้ ศุภาลัย ยังวางกลยุทธ์การดำเนิน​ธุรกิจในปี 2564 ด้วยการบริหารงานภายในองค์กรด้วย​การนำหลักการทำงานแบบ Agile มาปรับใช้ภายในองค์กร เพื่อพัฒนาสินค้า และบริการ ขององค์กรได้อย่างรวดเร็ว และการส่งเสริมด้าน Waste management ในกระบวนการก่อสร้าง โดยกำหนดแนวทางการทำงานเพื่อลดปริมาณความสูญเสียของวัสดุก่อสร้างได้อย่างเหมาะสม และสามารถจัดการกับเศษวัสดุก่อสร้างให้เกิดมูลค่าสูงสุด รวมทั้งลดผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อม อีกทั้งการจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจรายใหญ่ ที่มีความน่าเชื่อถือ และเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม  
4 มุมคิดชาว Millennials ต่อตลาดอสังหาฯ ไทยในช่วงโควิด-19

4 มุมคิดชาว Millennials ต่อตลาดอสังหาฯ ไทยในช่วงโควิด-19

เพราะสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด -19  จึงทำให้หลายธุรกิจต้องหยุดชะงัก หรือไม่ก็ต้องปรับแผนรับมือ งัดสารพัดกลยุทธ์ออกมา เพื่อสร้างยอดขายและการเติบโต ตลาดบ้านและคอนโดมิเนียมก็เช่นเดียวกัน จากที่ยอดขายดี ๆ ก็ต้องสะดุดลง เพราะคนไม่มั่นใจว่า จะมีเงินมาจ่ายค่าผ่อนหนี้ธนาคารหรือไม่ เพราะการงานและอาชีพของตนจะไม่รู้จะยังมั่นคงนานแค่ไหน แม้ว่าความต้องการซื้อบ้านหรือคอนโดจะยังมีอยู่มากก็ตาม โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่ม Millennials  หรือ Gen Y (ผู้ที่เกิดช่วงปี พ.ศ. 2527 – 2539) ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน หรือเริ่มต้นสร้างครอบครัว   ผู้บริโภคกลุ่ม Millennials นับว่ามีความสำคัญ และได้กลายมาเป็นฟันเฟืองสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศในศตวรรษที่ 21 ด้วยพื้นฐานการเติบโตมากับโลกดิจิทัลจึงเรียนรู้และรับเทคโนโลยีมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว และนำมาพัฒนาทักษะใหม่ ๆ ตลอดเวลา นอกจากนั้นยังตัดสินใจรวดเร็ว จึงทำให้คนกลุ่มนี้พร้อมรับมือการเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสังคม เศรษฐกิจ หรือการดำเนินชีวิต อีกทั้งยังเป็นวัยที่เต็มไปด้วยไฟในการทำงานเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในชีวิตและอยู่ในช่วงสร้างฐานะให้มั่นคง จึงทำให้เป็นกลุ่มที่มีศักยภาพการใช้จ่ายสูงและคาดว่าจะเป็นกำลังซื้อสำคัญในอนาคตไปอีกหลายปี จากข้อมูลจากการคาดประมาณประชากรของประเทศไทย พ.ศ.2553-2583 (ฉบับปรับปรุง) ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ พบว่า ในปีนี้ประชากรไทยในช่วงอายุ 25-39 ปี จะมีจำนวนถึง 13.7 ล้านคน หรือคิดเป็น 31.53% ของประชากรวัยแรงงานทั้งหมด (ช่วงอายุ 15-59 ปี) กว่า 43 ล้านคน จึงทำให้หลายธุรกิจจับตามองและช่วงชิงกำลังซื้อจากคนกลุ่มนี้มากขึ้น   แน่นอนว่าเมื่อชาว Millennials เป็นกลุ่มลูกค้าที่มีศักยภาพในสายตาของหลากหลายธุรกิจ ย่อมถูกดึงดูดให้ใช้จ่ายสนองความต้องการด้านต่าง ๆ เสมอ และกลายเป็นอีกช่วงวัยที่เริ่มมีภาระหนี้เพื่อซื้อทรัพย์สินที่มีราคาสูงโดยเฉพาะที่อยู่อาศัยเมื่อเกิดวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในไทย ภาคธุรกิจและผู้บริโภคต่างได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อม รวมทั้งกลุ่ม Millennials ด้วยเช่นกัน   บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ได้เปิดเผยข้อมูลอัปเดต ณ สิ้นไตรมาสแรกปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มมีการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในไทย พบว่า กลุ่มผู้บริโภคที่มีการสร้างหนี้มากที่สุด คือ กลุ่ม Millennials  หรือ Gen Y โดยมีหนี้สินรวมกันถึง 4 ล้านล้านบาท คิดเป็นหนี้เสีย (NPL) คงค้าง 270,000 ล้านบาท เมื่อพิจารณาเรื่องสินเชื่อบ้านที่อนุมัติใหม่ในช่วงเวลานั้นจำนวน 80,494 สัญญา พบว่าเป็นของกลุ่ม Millennials หรือ Gen Y มากที่สุดถึง 64% และเป็นที่น่ากังวลในเรื่องปัญหาค้างชำระในอนาคต สะท้อนให้เห็นถึงสภาพคล่องในการใช้จ่ายของผู้บริโภคกลุ่มนี้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดฯ และเริ่มส่งสัญญาณเตือนให้เห็นปัญหาการวางแผนด้านการเงิน แม้จะมีกำลังซื้อสูงก็ตาม   ข้อมูลจากดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) ยังรายงานผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study ฉบับล่าสุด เจาะลึกมุมมองด้านการวางแผนการใช้จ่ายของกลุ่ม Millennials และความต้องการด้านที่อยู่อาศัยท่ามกลางความท้าทายทั้งด้านการเงินและการงานจากสภาพเศรษฐกิจที่เปราะบางและสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่ยังไม่คลี่คลาย ว่าส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของชาว Millennials ในตลาดอสังหาฯ มากน้อยเพียงใด 4 มุมคิด มนุษย์กลุ่ม Millennials โดยผลสำรวจพบ 4 มุมมองซึ่งประเด็นสำคัญ ดังนี้ 1.อยากใช้จ่ายหลากหลาย แต่ครอบครัวต้องมาก่อน เมื่อพูดถึงการวางแผนการใช้จ่ายใน 1 ปีข้างหน้าของผู้บริโภคกลุ่ม Millennials นั้น ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญไปที่การใช้จ่ายภายในครอบครัวถึง 74% สะท้อนให้เห็นถึงการเป็นกำลังสำคัญในการสร้างรายได้และดูแลรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในครอบครัวของคนวัยนี้ อย่างไรก็ตาม ชาว Millennials ยังคงมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองอยู่ไม่น้อยแม้จะยังไม่มีความพร้อมด้านการเงินในตอนนี้ โดย 59% เผยว่ามีความตั้งใจออมเงินเพื่อวางแผนซื้อบ้านในอนาคต ในขณะที่ 46% ระบุว่าอยากออกไปท่องเที่ยวในวันหยุด เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ ปัจจุบันทำให้ทุกคนจำเป็นต้องเก็บตัวอยู่บ้าน และชะลอแผนท่องเที่ยวออกไป เพื่อช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และหยุดการแพร่ระบาดในประเทศ 2.เตรียมความพร้อม หวังซื้อบ้านหลังแรกตอน 31 ปี เมื่อพิจารณาในด้านการครอบครองอสังหาฯ ในปัจจุบัน พบว่ายังมีสัดส่วนที่ไล่เลี่ยกัน โดยผู้ตอบแบบสอบถามกลุ่ม Millennials มีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองแล้วถึง 57% ในขณะที่อีก 43% ยังไม่ได้เป็นเจ้าของอสังหาฯ ใด ๆ ซึ่ง 2 ใน 3 ของผู้บริโภคกลุ่มนี้ (66%) เผยว่า พวกเขาได้วางแผนที่จะซื้อบ้านหลังแรกเมื่ออายุ 31 ปีขึ้นไป ซึ่งน่าจะเป็นช่วงวัยที่มีความพร้อมมากพอทั้งด้านหน้าที่การงานที่มั่นคงและสถานะทางการเงินที่เหมาะสมเมื่อต้องเป็นหนี้ก้อนใหญ่มากกว่าตอนนี้ 3.สถานะทางการเงินสั่นคลอน อุปสรรคหลักของการมีบ้าน กลุ่ม Millennials ยอมรับว่าปัญหาทางการเงินจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในตอนนี้ถือเป็นอุปสรรคหลัก ๆ ที่ทำให้พวกเขายังไม่มีแผนย้ายออกจากบ้านพ่อแม่ โดย 1 ใน 2 ของกลุ่มนี้ (50%) เผยว่า ยังไม่มีเงินออมมากพอที่จะไปเช่าหรือซื้อบ้านเป็นของตนเอง ในขณะที่ 41% ต้องการที่จะอยู่บ้านเดิมเพื่อดูแลพ่อแม่อย่างใกล้ชิด ตามมาด้วยกลุ่มที่ไม่คิดจะย้ายออกเพราะยังไม่ได้แต่งงาน 33% และตั้งใจจะรับช่วงต่อบ้านเดิมจากพ่อแม่อยู่แล้ว 33% จึงยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องซื้ออสังหาฯ เป็นของตัวเองในตอนนี้ 4.การเช่าโดนใจ ตอบโจทย์ที่อยู่อาศัยแบบไร้ข้อผูกมัดระยะยาว ด้วยข้อจำกัดทางการเงินจากปัจจัยต่าง ๆ ส่งผลให้ชาว Millennials  94% ตัดสินใจเช่าแทนการซื้อที่อยู่อาศัยในตอนนี้ เนื่องจากมองว่าการเช่าบ้าน/คอนโดฯ จะมีค่าใช้จ่ายที่น้อยกว่าการซื้ออสังหาฯ ซึ่งต้องมีความพร้อมทางการเงินในระดับหนึ่งจึงจะได้รับการอนุมัติสินเชื่อ ผู้บริโภคส่วนใหญ่จึงเลือกเก็บเงินก้อนที่มีสำรองไว้ใช้ในยามฉุกเฉินและหันไปเลือกเช่าอสังหาฯ ในรูปแบบที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยแทน นอกจากนี้การมีสถานภาพโสดอยู่ตัวคนเดียวก็เป็นอีกปัจจัยที่ส่งผลให้การเช่าที่อยู่อาศัยได้รับความนิยมมากกว่าการซื้อเช่นกัน แม้ผลกระทบจากภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวจากหลายปัจจัยในตอนนี้ จะทำให้แผนบริหารจัดการเงินของชาว Millennials ต้องสะดุดลงหรือชะลอการใช้จ่ายในเรื่องที่ยังไม่จำเป็นเร่งด่วนออกไปก่อน อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคกลุ่มนี้ยังคงเป็นกำลังซื้อที่สำคัญในหลายอุตสาหกรรมในระยะยาว เพียงแต่รอดูสัญญาณบวกของสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อหาเวลาที่เหมาะสมในการออกมาใช้จ่ายแทน   ดังจะเห็นได้จากการวางแผนใช้จ่ายในอนาคตที่ผู้บริโภคกลุ่ม Millennials  ยังคงให้ความสำคัญไปยังสิ่งที่จำเป็นมาก่อนความต้องการส่วนตัว ด้วยการวางแผนบริหารจัดการการเงินที่รอบคอบนี้เชื่อว่าจะช่วยให้กลุ่ม Millennials สามารถปรับพฤติกรรมและปรับเปลี่ยนแผนการใช้จ่ายที่มีให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันได้อย่างทันท่วงที และกลับมาเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตได้ในอนาคตแน่นอน    
ศุภาลัย วางเป้ารายได้ 5,350 ล้าน จาก 7 โปรเจ็กต์ในออสเตรเลีย

ศุภาลัย วางเป้ารายได้ 5,350 ล้าน จาก 7 โปรเจ็กต์ในออสเตรเลีย

นโยบายกระจายความเสี่ยง สร้างรายได้ให้ “ศุภาลัย” กว่า 1,983 ล้าน จากโปรเจ็กต์ในออสเตรเลีย ปี 64 เดินหน้าปั้นรายได้จาก 7 โปรเจ็กต์ขายดี หวังสร้างรายได้เพิ่มกว่า 5,350 ล้าน ​   ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปี 2563 ที่ผ่านมา บริษัทสามารถทำยอดขายจากการร่วมลงทุน พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศออสเตรเลีย ได้จำนวน 1,983 ล้านบาท คิดเป็น 7.5% ของยอดขายรวมในประเทศไทยของบริษัทฯ ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมาย แม้จะเกิดเหตุการณ์โควิด-19 ซึ่งนโยบายการลงทุนในต่างประเทศ เพื่อกระจายความเสี่ยงและเพิ่มศักยภาพการเติบโตของศุภาลัยนั้น นับว่าได้ผลดี   ส่วนในปี 2564 นี้ บริษัทน่าจะมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะสามารถทำยอดขายได้เพิ่มเป็น 5,350 ล้านบาท หรือคิดเป็นประมาณ 19% ของเป้าการขายรวมในประเทศไทย ทั้งนี้ เพราะออสเตรเลียเป็นประเทศใหญ่ ที่มีความมั่นคง ประกอบกับรัฐบาลออสเตรเลีย สร้างแรงจูงใจที่ส่งเสริมการซื้อที่อยู่อาศัยของประชาชน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่แรงกว่าประเทศไทยมาก  ในปีที่ผ่านมา รัฐบาลของออสเตรเลีย มีงบประมาณช่วยผู้ซื้อบ้านรายละ 40,000 เหรียญออสเตรเลีย หรือประมาณ 930,000 บาท   ส่วนดร.ประศาสน์ ตั้งมติธรรม กรรมการที่ปรึกษา  ซึ่งรับผิดชอบดูแลโครงการลงทุนต่างประเทศ กล่าวว่า ปัจจุบันศุภาลัยเข้าไปลงทุนในประเทศออสเตรเลียแล้วจำนวน 11 โครงการ ได้แก่ Balmoral Quay, Officer, Greenvale, Gen Fyansford, Eden’s Crossing, Whole Green, Narangba, Ballarat Street, Eglinton, Madora Bay และ Katalia  โดยมีการเติบโตด้านยอดขายอย่างต่อเนื่อง   ในปี 2564 บริษัทมีแผนการขายโครงการของศุภาลัยในออสเตรเลีย ที่ได้รับความสนใจจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง 7 โครงการ ดังนี้   1.โครงการ Balmoral Quay เป็นโครงการที่อยู่อาศัยโดดเด่นริมทะเล ที่ขนาบด้วยสวนสาธารณะ  ทั้งซ้าย-ขวา มีทั้งที่อยู่อาศัยแบบทาวน์เฮ้าส์ คอนโดมิเนียม และที่จอดเรือสำราญ 300 ลำ โดยโครงการได้เปิดขายไปประมาณครึ่งหนึ่ง และมีลูกค้าย้ายเข้าอยู่แล้วบางส่วน ปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างงานสาธารณูปโภค ก่อสร้างตัวอาคารในเฟสสุดท้าย 2.โครงการ Officer เป็นโครงการที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ อยู่ทิศตะวันออกของ Melbourne ที่ร่วมทุนกับ Satterley ซึ่งเป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เอกชนที่ใหญ่ที่สุดใน Australia เป็นโครงการที่มีสถานีรถไฟฟ้า ถึง 2 แห่ง ท้ายของโครงการ มีโรงเรียน ศูนย์สันทนาการ ศูนย์การค้าฯ เปิดขายตั้งแต่ปี 2557 และสามารถทำยอดขายได้ดีอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว ปี 2561 - 2562 ก็สามารถสร้างผลการดำเนินงานที่ยอดเยี่ยม (Best Performer) ปัจจุบันโครงการใกล้ดำเนินการแล้วเสร็จ และคาดว่าจะมีสินค้าสามารถขายได้ถึงช่วงปลาย  ปี 2565 โดยมีอัตราการขายของโครงการ จำนวน 12 แปลงต่อเดือน รวมเป็นยอดขายและยอดสัญญา จำนวน 180 แปลงในปี 2564 3.โครงการ Greenvale   เป็นโครงการที่ร่วมทุนกับ Satterley เช่นกัน ทำเลตั้งอยู่ฝั่งตะวันตกของ Melbourne และเป็นแหล่งทำเลที่ราคาที่ดินค่อนข้างสูง ทำให้อัตราการขายไม่ได้สูงเท่า Officer แต่สามารถสร้างยอดขายได้ต่อเนื่อง โดยคาดว่าอัตราการขายจะอยู่ที่ 10 แปลงต่อเดือน  สาเหตุที่ยอดขายโดยรวมไม่สูง เนื่องจากที่ดิน Neighborhood 4 ยังไม่มีผังเมืองรองรับ ซึ่งจะทำให้เกิดความล่าช้าในการเปิดขายประมาณ 3 เดือน 4.โครงการ Whole Green เป็นโครงการร่วมทุนกับ Peet ซึ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนอสังหาฯ ที่เก่าแก่ที่สุดในออสเตรเลีย โครงการตั้งอยู่ทางตะวันตกของ Melbourne ห่างไปประมาณ 30 กม. ซึ่งเป็นบริเวณที่มีโครงการอยู่จำนวนมาก ทั้งนี้เนื่องจากระดับราคาที่ดินไม่สูงมากนัก อีกทั้งถือว่าไม่ไกลจากตัวเมือง Melbourne คาดว่ายอดขาย/ยอดสัญญาจะอยู่ที่ 100 แปลง ในปี 2564 5.โครงการ Gen Fyansford เป็นโครงการจัดสรรที่ดินบนทำเลที่เป็นเหมืองหินปูนเดิม ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันตกของเมือง Geelong ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของ Melbourne ปัจจุบันกำลังเปิดขายเฟสที่ 9.1 และ 9.2 จากที่โครงการมีทั้งหมด 9 เฟส และขายหมดไปแล้ว 3 เฟส 6.โครงการ Ballarat Street เป็นอพาร์ทเม้นท์ทำเลดี ตั้งอยู่ที่ Brunswick ห่างจาก Melbourne ไปทางเหนือประมาณ 6 กม. เปิดขายอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคม 2564 นี้  โดยช่วงครึ่งปีหลังคาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ ​ 7.โครงการ Katalia เป็นการร่วมเป็นพันธมิตรกับกลุ่ม Stockland บริษัทจดทะเบียนอสังหาริมทรัพย์  ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศออสเตรเลีย โดยเริ่มเปิดขายในปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้ประมาณการขายอยู่ที่ 10 แปลงต่อเดือน  ไตรมาส 4 ของปี 2563 นั้น ได้รับผลตอบรับที่ดีเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยสามารถทำยอดขายอยู่ที่ 20 แปลงต่อเดือน โครงการนี้อยู่ทางเหนือของ Melbourne ห่างออกไปประมาณ 50 กม. และที่ดินราคาถูก เหมาะสมสำหรับครอบครัวที่ซื้อบ้านเป็นหลังแรก ด้วยเป้าการขายของโครงการและชื่อเสียงของกลุ่ม Stockland จะสามารถสร้างยอดขายและยอดสัญญาในปี 2564 โดยคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 240 แปลง สำหรับโครงการต่าง ๆ ดังกล่าว บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ถือหุ้นในสัดส่วนโดยรวมเฉลี่ยประมาณ 50% เมื่อพิจารณาจากประมาณการยอดขายโครงการทั้งหมดแต่ละโครงการ ด้วยสัดส่วนการถือหุ้นของบริษัท คาดว่าจะทำให้มียอดสัญญาจากโครงการทั้งหมดในประเทศออสเตรเลีย เฉพาะส่วนของศุภาลัย เป็นจำนวนเงินประมาณ 226 ล้านเหรียญออสเตรเลีย หรือคิดเป็นจำนวนเงินประมาณ 5,350 ล้านบาท        
“Affordable Housing” คำตอบของคนกรุง​ ในวันที่เงินเดือนโตไม่ทันราคาอสังหาฯ ​

“Affordable Housing” คำตอบของคนกรุง​ ในวันที่เงินเดือนโตไม่ทันราคาอสังหาฯ ​

หลายคนคงเคยตั้งเป้าหมายว่าในวันนึง เมื่อมีรายได้สูงมากพอ จะหาซื้อคอนโดมิเนียม หรือบ้านใจกลางเมืองที่ตนเองใฝ่ฝัน เพื่อจะได้อยู่ใกล้เมืองมากขึ้น เพื่อให้เดินทางได้สะดวกสบาย และใกล้แหล่งความเจริญต่าง ๆ  ไม่ว่าจะเป็นศูนย์การค้า ธนาคาร โรงพยาบาล หรือโรงเรียนที่มีคุณภาพ เพื่อความสะดวกของคนในครอบครัว แต่ความเป็นจริงกลับไม่ง่ายอย่างที่คิด เมื่อระดับเงินเดือนของคนกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่นั้น เพิ่มขึ้นไม่ทันกับราคาที่พักอาศัยในเมือง ที่สูงขึ้นแบบก้าวกระโดด ซึ่งพวกเค้าวาดฝันว่าอยากจะมีโอกาศอยู่อาศัยได้ในระยะยาว   ทางออกในการอยากเป็นเจ้าของที่พักอาศัยของตัวเองนั้น ก็ต้องเลือกโครงการที่ห่างไกลออกจากตัวเมือง เมื่อมีความต้องการที่พักอาศัยในลักษณะแบบนี้มากขึ้น บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ก็เลือกที่จะตั้งโครงการแบบกระจัดกระจาย และห่างไกลจากระบบขนส่งสาธารณะหลัก เพื่อให้คนกลุ่มนี้ซื้อที่พักอาศัยในราคาย่อมเยาว์ขึ้น ซึ่งทำให้เกิดปัญหาเมืองกระจัดกระจาย (Urban sprawl) เพิ่มมากขึ้นตาม รวมทั้งยังทำให้ต้นทุนค่าครองชีพ โดยเฉพาะค่าเดินทาง สูงขึ้นมากในคนกลุ่มนี้ คนกรุงเทพฯไม่สามารถซื้อที่อยู่อาศัยในเมืองได้ ในปัจจุบัน “คนกรุงเทพส่วนใหญ่ไม่สามารถซื้อที่อยู่อาศัยในเมืองได้” จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติและการเคหะแห่งชาติ ในปี 2563 พบว่า รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนของคนกรุงเทพฯ นั้นอยู่ที่ 37,750 บาทต่อเดือน โดยหากคิดตามความสามารถในการกู้คนกลุ่มนี้จะสามารถกู้ซื้อที่อยู่อาศัยได้ในราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท (คิดเทียบเงินเดือนกับวงเงินที่จะสามารถกู้ได้ โดยคิดที่ 40% ระยะสัญญา 30 ปี และไม่มีภาระทางการเงินอื่น ๆ) ซึ่ง งบประมาณดังกล่าว คนกลุ่มนี้จะสามารถซื้อคอนโดในเขตปทุมวันได้เพียงแค่ 8 ตารางเมตร จึงไม่น่าแปลกใจที่คนกรุงเทพฯ กว่า 50% ไม่มีกรรมสิทธิในที่อยู่อาศัย และมีแนวโน้มที่จำนวนจะสูงขึ้นต่อเนื่องในทุกปี เพราะ “ราคาอสังหาริมทรัพย์ที่เติบโตเร็วกว่ารายได้ต่อครัวเรือน”   ปัญหาดังกล่าวส่งผลกระทบกับคนกรุงเทพฯ ในทุกระดับรายได้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ที่ไม่มีความมั่นคงและความแน่นอนในอาชีพการงานและรายได้ และส่วนใหญ่ไม่มีเงินเก็บสำรองไว้ในยามฉุกเฉิน ในหลายๆ ประเทศ จึงมีนโยบายสนับสนุนให้ประชาชนเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น เพื่อให้อัตราการถือครองที่อยู่อาศัยสูงขึ้น เช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกา และหลายประเทศในยุโรป รวมทั้งในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น และเกาหลี ซึ่งสะท้อนการลดปัญหาสังคมในเรื่องการขาดแคลนที่อยู่อาศัยได้   สำหรับประเทศไทยนั้น ภาครัฐได้เริ่มให้ความสำคัญกับประเด็นดังกล่าว ด้วยการออกนโยบายเพื่อดึงดูดให้ภาคเอกชนหันมาลงทุน พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อผู้มีรายได้น้อยมากขึ้น ด้วยการเพิ่มสิทธิพิเศษต่างๆ เพื่อลดภาระให้กับภาคเอกชน ไม่ว่าจะเป็นด้านภาษี การให้อัตราดอกเบี้ยพิเศษ หรือมาตรการส่งเสริมการพัฒนาด้วยการเพิ่มอัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดิน (Floor Area Ratio Bonus :FAR Bonus) ในผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร พ.ศ.2556   แต่อย่างไรก็ตาม มาตราการดังกล่าว ยังไม่สามารถดึงดูดภาคเอกชนให้ร่วมลงทุนได้มากนัก เนื่องจากผู้ประกอบการเห็นว่าเป็นภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น และไม่ได้สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการได้ โดยเฉพาะมาตรการการจัดให้มีหรือพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยภายในพื้นที่โครงการ (Affordable Housing) จนถึงปัจจุบัน โครงการที่เข้าร่วมมาตรการ FAR Bonus เลือกทำเพียงมาตรการเดียวเท่านั้น ที่มีต้นทุนน้อยที่สุดและไม่ส่งผลกระทบกับโครงการ นั่นคือ มาตรการการจัดให้มีพื้นที่รับน้ำในแปลงที่ดิน ทั้งหมดนี้ทำให้โครงการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยในเขตเมืองนั้นเกิดขึ้นได้ยากมาก สวนทางกับความต้องการของคนกรุงเทพฯ ที่ต้องการอยู่อาศัยในเขตเมืองกันมากขึ้น “วัฒนา-จตุจักร” ควรเพิ่ม Affordable Housing มากขึ้น ที่มา: ข้อมูลจากการเคหะแห่งชาติและสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2563   จากข้อมูลรายงาน การคาดประมาณความต้องการของที่อยู่อาศัยในประเทศไทย ที่จัดทำโดยการเคหะแห่งชาติ มีการคาดประมาณว่าเฉพาะในปี 2564 ความต้องการที่อยู่อาศัยของจำนวนครัวเรือนผู้มีรายได้น้อย ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 4,972 ครัวเรือน โดยเขตที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยของครัวเรือนของคนกลุ่มดังกล่าวมากที่สุดคือ เขตจตุจักร จำนวน 166 ครัวเรือน รองลงมา คือ เขตบางเขน จำนวน 166 ครับเรือน และเขตบางกะปิ จำนวน 163 ครัวเรือน ตามลำดับ   เมื่อเปรียบเทียบข้อมูล ระหว่างระดับความต้องการที่อยู่อาศัย ของจำนวนครัวเรือนผู้มีรายได้น้อย (Real demand) กับความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัย ของครัวเรือนที่มีรายได้น้อย (Affordability) พบว่า เขตวัฒนา​และเขตจตุจักร เป็นพื้นที่ที่เหมาะสมต่อการพัฒนาโครงการ Affordable Housing มากที่สุด ทั้งในด้านอุปสงค์ (Demand) และด้านการเพิ่มโอกาสให้ผู้มีรายได้น้อย สามารถเข้าถึงอสังหาริมทรัพย์ในเขตเมือง ที่มีราคาตลาดสูงกว่าความสามารถในการซื้อของคนกลุ่มดังกล่าว นอกจากนั้น โครงการในเขตเมืองเหล่านี้ ยังสามารถช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนกลุ่มดังกล่าวได้ ไม่ว่าจะเป็น -การเข้าถึงบริการสาธารณะได้ง่ายขึ้น -ลดต้นทุนด้านเวลาและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง -เพิ่มความปลอดภัยในการใช้ชีวิต เป็นต้น ถ้าภาครัฐและภาคเอกชนร่วมกันพัฒนาโครงการ (Joint development) หรือสนับสนุนให้ภาคเอกชนพัฒนาโครงการที่พักอาศัยสำหรับคนทุกระดับรายได้ (Affordable housing) มากขึ้น ภายใต้แผนพัฒนาเมืองที่มีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผู้มีรายได้น้อยได้มีโอกาสอยู่อาศัยภายในเมือง จะช่วยลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคมลงได้ รวมทั้งช่วยเพิ่มอัตราการถือครองกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ สูงขึ้นอีกด้วย ซึ่งจะช่วยสนับสนุนแนวความคิดการพัฒนาเมืองสมัยใหม่อย่างยั่งยืน ที่เรียกว่า “การพัฒนาที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง (Inclusive Development)”       บทความโดย -นายภาวิน ศิริพงษ์ นักศึกษาปริญญาโท สาขาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ – MRE (รุ่น 19) -ดร.พรรัตน์ พงษ์ประเสริฐ อาจารย์ประจำ ภาควิชาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์      
แอสเซทไวส์ พร้อมขาย IPO หลังก.ล.ต.อนุมัติให้ระดมทุน 206 ล้านหุ้น

แอสเซทไวส์ พร้อมขาย IPO หลังก.ล.ต.อนุมัติให้ระดมทุน 206 ล้านหุ้น

แอสเซทไวส์  ยิ้มรับ ก.ล.ต. อนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหุ้น ASW เล็งหาจังหวะความพร้อมดีเดย์ขายหุ้น IPO ชี้ 9 เดือนแรกปี 63 ทำกำไรกว่า 886 ล้าน ขณะที่ปี 64 ได้โปรเจ็กต์พร้อมโอนหนุนรายได้เติบโต    นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” (We Build Happiness) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้รับอนุมัติแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เมื่อวันที่ 22 มกราคม 2564 ที่ผ่านมาเรียบร้อยแล้ว ซึ่งบริษัทฯ อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อม เพื่อเสนอขายหุ้น IPO และนำหุ้นเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ตามแผนที่วางไว้ หลังจากเตรียมตัวมากว่า 3 ปี   ทั้งนี้ บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน  ได้มีการเตรียมความพร้อม และอยู่ระหว่างประเมินสถานการณ์ต่าง ๆ เพื่อพิจารณาช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเสนอขายหุ้น IPO ASW และที่ปรึกษาทางการเงิน อยู่ระหว่างติดตามดูแนวโน้มเศรษฐกิจ และบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้น รวมถึงพิจารณาความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ  หากสถานการณ์โดยรวม มีความชัดเจนมากขึ้น บริษัทฯ ก็พร้อมเดินหน้าเสนอขายหุ้นไอพีโอและพร้อมเข้าจดทะเบียนใน SET ได้อย่างแน่นอน  ASW มีแผนจะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 206 ล้านหุ้น คิดเป็น 27.07% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชําระแล้วทั้งหมดหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยกลุ่มบริษัท ASW มีบริษัทย่อยทั้งหมด 15 บริษัท ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจหลักคือ ธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย ทั้งโครงการอาคารชุดที่พักอาศัยประเภทคอนโดมิเนียม และโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทแนวราบ ได้แก่ บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮมและโฮมออฟฟิศ จำนวน 12 บริษัท และบริษัทย่อยอีก 3 บริษัท ประกอบธุรกิจอื่น ซึ่งเป็นธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ เช่น ธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่า, ธุรกิจรับฝากขายฝากเช่า   สำหรับภาพรวมของผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนปี 2563 ที่ผ่านมา  ASW มีรายได้จากการขายและบริการรวม  2,176.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันจากปีก่อนที่ทำได้  1,779.30 ล้านบาท ขณะที่กลุ่มบริษัทมีกำไรสุทธิ 307.35 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 110.51 % จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้  146.00  ล้านบาท  โดยกลุ่มบริษัทมีกำไรขั้นต้นเท่ากับ 886.20 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นที่ 40.72%   ในช่วงไตรมาส 3 และไตรมาส​4 ปี 2563 บริษัทฯ ได้มีการเปิดขายโครงการโดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการบนทำเลศักยภาพที่มีความต้องการอยู่อาศัยจริงและเติบโตอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการโมดิซ ราห์ม รามคำแหง (Modiz Rhyme Ramkhamhaeng) ตั้งอยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้ารามคำแหง ซึ่งเป็นทำเลที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี (อ่านข่าวเพิ่มเติม...“แอสเซทไวส์” แบ่งเฟสขาย “โมดิซ ไรห์ม รามคำแหง” รับมือโควิด-19)   นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นการพัฒนาทำเลในกลุ่มตลาดบลู โอเชี่ยน เนื่องจากมีกำลังซื้อที่มีสัญญาณดีต่อเนื่อง เช่น โครงการโมดิซ ลอนซ์ (Modiz Launch)  ทำเลย่านมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต  ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า และโครงการทาวน์โฮมแนวคิดใหม่ “บ้านภูริปุรี คอร์ทยาร์ด – พัฒนาการ” (Baan Puripuri Courtyard - Pattanakarn) โครงการทาวน์โฮมที่มีดีไซน์ Private Courtyard ใจกลางบ้านในระดับราคา 14.2 – 22 ล้านบาท  ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างบริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท บ้านภูริ ปุรี โฮลดิ้ง จำกัด ขณะเดียวกัน ยังมีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ และอยู่ระหว่างโอนกรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่องไปในปี 2564 เช่น  โครงการแอทโมซ รัชดา - ห้วยขวาง (Atmoz Ratchada - Hauikwang) (อ่านรายละเอียดโครงการเพิ่มเติม....แอสเซทไวส์ เปิดตัว “แอทโมซ รัชดา-ห้วยขวาง”)  และโครงการเคฟ ทาวน์ สเปซ (Kave Town Space) ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียมใกล้มหาวิทยาลัยกรุงเทพ  โดยโครงการต่าง ๆ จะสนับสนุนให้ผลประกอบการในปีนี้เติบโตได้เป็นอย่างดี   ในช่วงไตรมาส 1/2564 บริษัทฯ ยังคงเดินหน้าการเปิดขายโครงการอย่างต่อเนื่องในทำเลศักยภาพที่รองรับการขยายของเมืองและระบบคมนาคมเส้นทางใหม่ โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการให้สอดคล้องกับความต้องการด้านการอยู่อาศัยของลูกค้าอย่างแท้จริง
พิษโควิด-19 ระรอกใหม่ กดดันดัชนีราคาอสังหาฯ ลดต่อเนื่อง​

พิษโควิด-19 ระรอกใหม่ กดดันดัชนีราคาอสังหาฯ ลดต่อเนื่อง​

รอบปี 2563 ที่ผ่านมา ปรากฏการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ คือ การจัดโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม ชนิดเป็นสงครามราคาชนิดแบบไม่เคยเห็นมาก่อน ราคาอสังหาฯ โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม ลดต่ำลงมากในรอบหลายปี เรียกได้ว่าบางโครงการนำยูนิตเหลือขายมาลดราคาชนิดแทบไม่มีกำไรกันเลยทีเดียว   ส่วนราคาอสังหาฯ ในรอบปีที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้างนั้น ทางศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) ได้จัดทำรายงานดัชนีราคาที่อยู่อาศัยใหม่ที่อยู่ระหว่างการขายในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ประจำไตรมาส 4 ปี 2563 เพื่อสะท้อนภาพของราคาอสังหาฯ ในช่วงที่ผ่านมา ภายใต้ภาวการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19   REIC รายงานว่า ภาพรวมของดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขายลดลงต่อเนื่อง 3 ไตรมาส นับตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปี 2563 และ ดัชนีราคาคอนโดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขายลดลงต่อเนื่อง 4 ไตรมาส นับตั้งแต่ไตรมาส 1 ของปี 2563 ที่อยู่อาศัยทั้ง 2 ประเภทยังคงมีแนวโน้มจะลดลงอย่างต่อเนื่องในไตรมาสที่ 1 ปี 2564 โดยเป็นผลมาการแพร่ระบาดโควิด-19 รอบใหม่ กระทบความเชื่อมั่นและกำลังซื้อ ทำให้ผู้ประกอบการจำต้องจัดแคมเปญส่วนลดราคาขาย  ทั้งราคาขายและของแถมต่างๆ เพื่อกระตุ้นยอดขาย บ้านจัดสรรลดเล็กน้อย 0.2% ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า  ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย ไตรมาส 4 ปี 2563 ลดลงต่อเนื่อง โดยดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 4 ปี 2563  มีค่าดัชนีเท่ากับ 127.8 จุด โดยดัชนีราคาบ้านจัดสรรลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2563 ซึ่งค่าดัชนีติดลบติดต่อกัน 3 ไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2563 เป็นต้นมา เป็นผลมาจากการลดราคาและจัดรายการส่งเสริมการขายของผู้ประกอบการ เพื่อเร่งรัดการตัดสินใจของผู้ซื้อในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีการล็อกดาวน์ทางเศรษฐกิจในช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 แต่เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 กลับเพิ่มขึ้น​ 0.2% ซึ่งสะท้อนว่า ในภาพรวมของตลาดบ้านจัดสรรมีจุดสูงสุดของราคาที่ไตรมาส 2 ปี 2563 และมีการปรับราคาลงมาอย่างต่อเนื่อง   ส่วนดัชนีราคาบ้านเดี่ยว ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 4 ปี 2563 ซึ่งมีค่าเท่ากับ 126.0 จุด มีการปรับลดลง 0.3% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2563 แต่มีราคาเพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน   ขณะที่ดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์มีค่าเท่ากับ 129.7 จุด มีทิศทางเดียวกับดัชนีราคาบ้านเดี่ยว คือ ลดลง​ 0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) แต่มีราคาเพิ่มขึ้น 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  เช่นกัน สำหรับรายการส่งเสริมการขายบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขายในไตรมาสนี้ พบว่าส่วนใหญ่ 41.6% เป็นของแถม เช่น เครื่องปรับอากาศ เฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน ปั๊มน้ำ แท้งก์น้ำ ฯลฯ รองลงมา 33.0% เป็นส่วนลดค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ และ/หรือ ฟรีค่าส่วนกลาง และ 25.4% เป็นส่วนลดเงินสด ราคาคอนโดไตรมาส 4 ลดลง 0.8% สำหรับ ดัชนีราคาคอนโดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ไตรมาส 4 ปี 2563 ในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล พบว่ามีค่าดัชนีเท่ากับ 151.9 จุด ลดลง 0.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ซึ่งเป็นอัตราการขยายตัวติดลบติดต่อกัน 4 ไตรมาส นับตั้งแต่มีการล็อกดาวน์ทางเศรษฐกิจในช่วงต้นปี 2563 และยังเป็นไตรมาสแรกที่ดัชนีราคาลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า(YoY) ซึ่งลดลงถึง 1.2% สะท้อนว่า ในภาพรวมของตลาดคอนโดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขายมีจุดสูงสุดของราคาที่ไตรมาส 4 ปี 2562 และมีการปรับราคาลงมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลที่กำลังซื้อหดตัวทั้งผู้ซื้อชาวไทยในกลุ่มนักลงทุนและชาวต่างชาติที่ติดปัญหาจาก โควิด-19 ประกอบกับจำนวนคอนโดที่เหลือขายที่ทยอยสร้างเสร็จจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นพอสมควร ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องจัดแคมเปญลดราคาขายและจัดโปรโมชั่นเพื่อเร่งรัดการตัดสินใจของผู้ซื้ออย่างต่อเนื่อง   ทั้งนี้ ดัชนีราคาคอนโดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในไตรมาส 4 ปี 2563 นี้ เมื่อพิจารณาแยกตามพื้นที่ พบว่ากรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 153.3 จุด ลดลง 0.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และลดลง 1.4% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และขณะที่ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 144.8 จุด ลดลง 0.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และลดลง 0.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) เช่นกัน สำหรับรายการส่งเสริมการขายคอนโดใหม่ที่อยู่ระหว่างการขายในไตรมาสนี้ พบว่า ส่วนใหญ่ 43.8% เป็นส่วนลดเงิน รองลงมา 38.4% เป็นของแถม เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ และ 17.8% เป็นส่วนลดค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์   ดร.วิชัย  กล่าวว่า ที่อยู่อาศัยที่เหลือขายที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่ศูนย์ข้อมูลได้สำรวจ ณ สิ้นครึ่งแรกของปี 2563 ซึ่งเป็นบ้านจัดสรรที่มีอยู่ประมาณ  27,907 ยูนิต​ และอาคารชุดที่มีประมาณ 34,481 ยูนิต และส่วนหนึ่งจะทยอยสร้างเสร็จออกมาเป็น inventory ของผู้ประกอบการในปี 2564 ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยอยู่ในภาวะที่อาจมีกำลังซื้อและความมั่นใจลดลง น่าจะเป็นปัจจัยที่กดดันให้ผู้ประกอบการยังคงมีการใช้มาตรการลดราคาและส่วนลดของแถมมากระตุ้นตลาดอยู่อย่างต่อเนื่อง   เนื่องจากส่วนหนึ่งผู้ประกอบการจะมีภาระด้านต้นทุนที่ลดลงจากความช่วยเหลือของรัฐบาลในเรื่องภาษีที่ดินฯ และการยืดระยะเวลาในการใช้ราคาประเมินฯ ใหม่ออกไป อีกทั้งการออกแคมเปญยังเป็นการสอดรับกับมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ของรัฐในการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ที่จะมีขึ้นและขยายเพดานไปครอบคลุมบ้านราคาสูงกว่า 3 ล้านบาทอีกด้วย "การประสานมือของภาครัฐและเอกชนเช่นนี้ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นการซื้อที่อยู่อาศัยในตลาดได้ดี  เพราะประชาชนจะสามารถซื้อบ้านในราคาไม่แพง และค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ก็น้อย นับเป็นโอกาสดีสำหรับคนไทยที่ต้องการมีบ้านนะครับ  สำหรับผู้ประกอบการคงต้องอดทน การขยายโครงการใหม่ๆ จะต้องสอดคล้องความต้องการของกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัย และต้องมีการบริหารสภาพคล่องที่ดี ผมเชื่อว่า การดำเนินการเช่นนี้จะช่วยให้เราจะผ่านวิกฤตนี้ได้อย่างดีด้วยกัน"            
จับตาตลาดอสังหาฯ 3 จังหวัดท่องเที่ยวท่ามกลางโควิด-19 ระลอกใหม่

จับตาตลาดอสังหาฯ 3 จังหวัดท่องเที่ยวท่ามกลางโควิด-19 ระลอกใหม่

หลังจากหลายฝ่ายตั้งความหวังไว้ว่าปี 2564 น่าจะเป็นการเริ่มต้นศักราชใหม่ที่เศรษฐกิจมีโอกาสฟื้นตัว และขับเคลื่อนธุรกิจทุกภาคส่วนให้กลับมาเติบโตได้อีกครั้ง เมื่อมีสัญญาณบวกจากการพัฒนาวัคซีนต้านเชื้อไวรัสโควิด-19 และแผนการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ ซึ่งถือเป็นข่าวดีสำหรับประเทศไทย และสร้างความมั่นใจให้กับภาคธุรกิจทุกภาคส่วน แต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ได้ทำให้ทั้งประเทศต้องปรับแผนใหม่อีกรอบแบบไม่ทันตั้งตัว   ในขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์นั้น เมื่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเริ่มกลับมาในช่วงแรก ทำให้ผู้พัฒนาอสังหาฯ ต่างขนโปรโมชั่นลด แลก แจก แถมออกมาเพื่อกระตุ้นกำลังซื้ออย่างต่อเนื่อง พร้อมวางแผนเปิดตัวโครงการต่าง ๆ มาเจาะกลุ่มผู้ซื้อที่เป็นผู้อยู่อาศัยจริง (Real Demand) เพิ่มขึ้นในปี 2564 แม้การแพร่ระบาดระลอกใหม่นี้จะทำให้แผนธุรกิจต้องสะดุดไปบ้าง แต่คาดว่าสถานการณ์จะไม่หยุดชะงักกินระยะเวลายาวนานเหมือนรอบที่ผ่านมา   นางกมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทยของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เปิดเผยว่า ​การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ในไทย ถือเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญ ที่ส่งผลต่อการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ปีนี้ ผู้ประกอบการหลายรายจำเป็นต้องปรับแผนเพื่อรับมือ จากที่เคยคาดการณ์ว่าปี 2564 จะเป็นปีปรับสมดุลของตลาดอสังหาฯ ทั้งในแง่ของราคาและอุปทาน และจะฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี แต่การแพร่ระบาดระลอกใหม่อาจส่งผลให้ต้องใช้ระยะเวลาปรับตัวนานขึ้น แม้ตอนนี้จะยังไม่สามารถประเมินผลกระทบ ที่มีต่อการเติบโตในตลาดได้ชัดเจน เนื่องจากมีระยะเวลาที่สั้นเกินไป แต่เชื่อว่าจากประสบการณ์ตรงที่ผู้พัฒนาอสังหาฯ นักลงทุน และผู้บริโภครับมือการแพร่ระบาดในปีที่ผ่านมา จะทำให้สามารถปรับตัวและจัดการกับสถานการณ์ครั้งนี้ได้ดีขึ้น ผนวกกับการที่วัคซีนต้านเชื้อไวรัสโควิด-19 กำลังจะเข้าไทยเร็ว ๆ นี้ ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้ทุกฝ่ายสามารถข้ามผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปได้ เมืองท่องเที่ยวกระทบหนัก หลังเจอโควิดระลอกใหม่ แม้ว่าทิศทางการขับเคลื่อนตลาดอสังหาฯ ของผู้ประกอบการจะยังโฟกัสกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงหรือกลุ่ม Real Demand มากขึ้น โดยภาพรวมตลาดอสังหาฯ มีสัญญาณดีขึ้นหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 คลี่คลายในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2563 ที่ผ่านมา จากรายงาน DDproperty Thailand Property Market Index ของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty)  เปิดเผยข้อมูลว่า ดัชนีราคาอสังหาฯ ในช่วงดังกล่าวเพิ่มขึ้น 2% ถือเป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส (นับจากช่วงไตรมาสที่ 1 ปี 2562) ถือเป็นสัญญาณชีพของภาคอสังหาฯ ที่เริ่มกระเตื้องขึ้น   โดยภาพรวมเกือบทุกจังหวัดมีการกระเตื้องขึ้นของดัชนีราคาและจำนวนอุปทาน ซึ่งการรุกหัวเมืองต่างจังหวัดยังมีความน่าสนใจ เนื่องจากยังมีกลุ่ม Real Demand ที่มีกำลังซื้อในพื้นที่อยู่ และที่ดินต่างจังหวัดก็มีราคาต่ำกว่าในกรุงเทพฯ จึงเป็นอีกตลาดที่น่าจับตามองและลงทุน เพื่อสร้างแต้มต่อทางธุรกิจในอนาคตได้ ท่ามกลางการแข่งขันในตลาดที่ยังเป็น “Blue Ocean” ผนวกกับปัจจัยอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาระบบคมนาคม และระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ แหล่งงานในนิคมอุตสาหกรรม ตลอดจนการมีห้างสรรพสินค้าเพื่อดึงดูดกำลังซื้อผู้บริโภคในพื้นที่ ล้วนช่วยอำนวยความสะดวกให้การดำรงชีวิตในต่างจังหวัดสะดวกสบายยิ่งขึ้น   นอกจากความต้องการที่อยู่อาศัยจากกลุ่ม Real Demand ในพื้นที่แล้ว ยังมีกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการซื้ออสังหาฯ ในจังหวัดท่องเที่ยวไว้เป็นบ้านพักตากอากาศกับครอบครัว หลีกหนีความวุ่นวายจากการทำงาน หรือซื้อเพื่อลงทุนเก็บไว้ปล่อยเช่าสร้างผลตอบแทนในอนาคตอีกด้วย จับตา ­3 จังหวัดท่องเที่ยวท่ามกลางโควิด-19 แต่ก็เหมือนเป็นภาพฝันค้าง หลังจากมีการระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้ตลาดอสังหาฯ ที่เคยมีแนวโน้มไปได้ดีกลับชะงักลงอีกรอบ โดยเฉพาะในจังหวัดท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบก่อนเป็นอันดับแรก ๆ ทั้งที่ช่วงปลายปีควรจะเป็นช่วงที่ตลาดท่องเที่ยวกลับมาบูมอีกครั้งหลังจากอั้นมาจากช่วงล็อกดาวน์ โดยพบว่า ใน 3 จังหวัดท่องเที่ยวสำคัญได้รับผลกระทบในช่วงปลายปี 2563 ที่ผ่านมา ทั้งในแง่ของการท่องเที่ยว และตลาดอสังหาฯ ภูเก็ต ดัชนีอุปทานเพิ่มขึ้น 18% ประเด็นผลกระทบจากโควิด-19 ต่อตลาดอสังหาฯ ในจังหวัดภูเก็ต -หลังจากได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รอบแรกในไทย ตลาดอสังหาฯ ในภูเก็ตเริ่มกลับมาส่งสัญญาณฟื้นตัวอีกครั้งหลังคลายล็อกดาวน์ พร้อมทั้งได้แรงหนุนที่ดีจากการท่องเที่ยวของคนไทยที่เลือกเดินทางมาภูเก็ตมากขึ้นในช่วงที่ปิดประเทศ รวมถึงสัญญาณของภาครัฐที่เปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเข้ามาในภูเก็ตได้อีกครั้ง แม้จะมีจำนวนไม่มากนัก แต่ก็ยังเป็นสัญญาณที่ดี ซึ่งล้วนส่งผลให้มีการเติบโตในตลาดอสังหาฯ อีกครั้ง   โดยภูเก็ตได้รับผลกระทบไม่มากนักจากการระบาดระลอกใหม่ เนื่องจากยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อไม่มากนัก (3 ราย ณ วันที่ 15 มกราคม 2564) ดัชนีราคาอสังหาฯ ในภาพรวมยังคงเพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสก่อน ซึ่งเพิ่มขึ้นมาจากบ้านเดี่ยวที่มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นถึง 3% และคอนโดฯ เพิ่มขึ้น 5% จากไตรมาสก่อน สะท้อนให้เห็นความต้องการที่อยู่อาศัยที่มีทิศทางเติบโต   -ในขณะที่ดัชนีอุปทานเพิ่มขึ้นถึง 18% จากไตรมาสก่อนเช่นกัน โดยอยู่ในอำเภอกะทู้ อำเภอเมืองภูเก็ต และอำเภอถลางในสัดส่วนที่เท่า ๆ กัน รูปแบบที่อยู่อาศัยที่มีจำนวนมากที่สุดในภูเก็ตคือ คอนโดมิเนียม คิดเป็นสัดส่วน 56% ของอุปทานทั้งหมดในจังหวัด ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอกะทู้   -เมื่อพิจารณาจำนวนอุปทานตามระดับราคา พบว่า ส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับราคา 5-10 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดฯ และบ้านเดี่ยวส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคา 5-10 ล้านบาท และทาวน์เฮ้าส์อยู่ในระดับราคา 3-5 ล้านบาท ชลบุรี ราคาอสังหาฯ ลดลง 10% ประเด็นผลกระทบจากโควิด-19 ต่อตลาดอสังหาฯ ในจังหวัดชลบุรี -ชลบุรีเป็นอีกหนึ่งจังหวัดท่องเที่ยวที่เริ่มฟื้นตัวขึ้นอีกครั้งหลังจากคลายล็อกดาวน์ ซึ่งได้อานิสงส์จากการท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมาดีขึ้น ทั้งยังมีปัจจัยสนับสนุนจากการพัฒนาโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่กลับมาเดินหน้าอีกครั้ง รวมไปถึงการพัฒนาระบบคมนาคมและนิคมอุตสาหกรรมต่าง ๆ   แต่ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2563 ดัชนีอุปทานและราคาอสังหาฯ กลับปรับลดลงอย่างมากจากไตรมาสก่อน คาดว่าเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ทำให้ชลบุรีกลายเป็นหนึ่งในพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด โดยพบว่า ดัชนีราคาอสังหาฯ ในภาพรวมลดลง 10% ในไตรมาสที่ 4 ปี 2563 จากที่เคยเพิ่มขึ้น 5% ในไตรมาสก่อนหน้า โดยเกือบทุกทำเลมีดัชนีราคาลดลง ยกเว้นอำเภอเมืองชลบุรี ดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 6% และอำเภอศรีราชาเพิ่มขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน   -ดัชนีอุปทานลดลงอย่างมากถึง 70% จากไตรมาสก่อน โดยอุปทานส่วนใหญ่ถึง 70% อยู่ในอำเภอบางละมุง รูปแบบที่อยู่อาศัยที่มีจำนวนมากที่สุด ได้แก่ คอนโดฯ  มีจำนวนถึง 64% ของอุปทานทั้งหมดในจังหวัด ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอบางละมุงเช่นกัน   -หากแบ่งจำนวนอุปทานตามระดับราคา พบว่า ที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับราคา 1-3 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโดฯ และทาวน์เฮ้าส์ส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับราคา 1-3 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวอยู่ที่ระดับราคา 5-10 ล้านบาท ซัพพลายเชียงใหม่เพิ่มขึ้น 8% ประเด็นผลกระทบจากโควิด-19 ต่อตลาดอสังหาฯ ในจังหวัดเชียงใหม่ -เชียงใหม่ เป็นจังหวัดท่องเที่ยวทางภาคเหนือที่แม้จะมีสัญญาณดีขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 ซึ่งตลาดอสังหาฯ ได้อานิสงส์จากภาคการท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมาดีขึ้น รวมถึงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านคมนาคมต่าง ๆ แต่ในช่วงปลายปีที่มีผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 พบว่า ดัชนีราคาอสังหาฯ ในภาพรวมลดลง 7% จากไตรมาสก่อน ถือเป็นดัชนีราคาที่ต่ำที่สุดในรอบ 4 ไตรมาส (ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปี 2562) โดยดัชนีราคาลดลงทุกรูปแบบที่อยู่อาศัยในเกือบทุกทำเล เช่น อำเภอเมืองเชียงใหม่ลดลง 3% และลดลงมากที่สุดในอำเภอพร้าว ลดลงถึง 35% ยกเว้นในอำเภอแม่แตง และอำเภอแม่วัง เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 23% และ 22% ตามลำดับ   -ในขณะที่ดัชนีอุปทานมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น 8% จากไตรมาสก่อน โดยส่วนใหญ่ถึง 43% อยู่ในอำเภอเมืองเชียงใหม่ รูปแบบที่อยู่อาศัยที่มีจำนวนมากที่สุดในเชียงใหม่คือ บ้านเดี่ยว มีจำนวนถึง 66% ของอุปทานทั้งหมดในจังหวัด ส่วนใหญ่อยู่ในอำเภอเมืองเชียงใหม่ และอำเภอสันทราย   -หากแบ่งจำนวนอุปทานตามระดับราคา พบว่า ที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับราคา 1-3 ล้านบาท โดยคอนโดฯ บ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์ ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ระดับราคา 1-3 ล้านบาททั้งหมด          
PF ผนึกพันธมิตรต่างชาติ สร้างรายได้ 9,000 ล้าน

PF ผนึกพันธมิตรต่างชาติ สร้างรายได้ 9,000 ล้าน

กลุ่มพันธมิตรต่างชาติ ดันรายได้กลุ่ม “พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค”  คาดปี 2564 รายได้เพิ่มขึ้นจากโครงการร่วมทุน รวม 9,000 ล้าน จี้ภาครัฐใช้งบ 20,000 ล้าน ฉีดวัคซีนให้เร็ว กระตุ้นเศรษฐกิจฟื้นตัวเร็ว      นายชายนิด อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พร็อพเพอร์ตี้  เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF เปิดเผยว่า ปีนี้ธุรกิจและกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศเชื่อว่าจะกลับมาฟื้นตัว หลังจากผ่านการระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง สำหรับกลุ่มบริษัท ยอดขายและรายได้ในปีนี้จะกลับมาเติบโต โดยเฉพาะการดำเนินงานตามแผนสร้างการเติบโต  จากการผนึกพันธมิตรที่แข็งแกร่งทั้งต่างประเทศและในประเทศ ผสานจุดแข็งการร่วมลงทุนต่อยอดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และการรุกเข้าสู่ธุรกิจใหม่ด้านสุขภาพหรือเฮลท์แคร์เพิ่มเติม ปีนี้ กลุ่มบริษัทคาดว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้น เฉพาะจากโครงการร่วมทุนรวม 9,000 ล้านบาท โดยจะมาจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 4,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการคอนโดมิเนียมไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ ภายใต้การร่วมทุนกับ “ซูมิโตโม ฟอเรสทรี” จำนวน 2,000 ล้านบาท โครงการบ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์ “เลค เลเจ้นด์” ร่วมทุนกับ “ฮ่องกง แลนด์” ใน 2 ทำเล คือแจ้งวัฒนะ และ บางนา-สุวรรณภูมิ จำนวน 1,000 ล้านบาท รวมทั้ง โครงการบ้านเดี่ยวอีก 1,000 ล้านบาท จากการร่วมทุนทั้งกับ “เซกิซุย เคมิคอล” ใน 5 ทำเล และ “ซูมิโตโม ฟอเรสทรี” ซึ่งปีนี้จะมีการเปิดโครงการใหม่เพิ่มเติมด้วย โดยแผนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ร่วมทุนของกลุ่มบริษัทขณะนี้มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 29,650 ล้านบาท   นอกจากโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรต่างประเทศ กลุ่มบริษัทโดย บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ยังได้ขยายไปยังธุรกิจการผลิตและส่งออกถุงมือยาง โดยร่วมลงทุนกับ บริษัท วัฒนชัย รับเบอร์เมท จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำด้านการผลิตและจำหน่ายถุงมือยางที่ประสบความสำเร็จในการส่งออกไปทั่วโลก โดยขณะนี้อยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงานผลิตถุงมือยาง ในนิคมอุตสาหกรรมทีเอฟดี จังหวัดฉะเชิงเทรา ซึ่งเริ่มก่อสร้างไปเมื่อเดือนธันวาคม 2563 ที่ผ่านมา กำหนดแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคมนี้ และจะดำเนินการผลิตได้ทันที คาดว่าจะมีรายได้จากธุรกิจใหม่นี้อีก 5,000 ล้านบาท จากความต้องการใช้ถุงมือยางของโลกที่เพิ่มขึ้นและยังมีแนวโน้มขยายตัวได้อีกมาก หากมีการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้เร็ว ธุรกิจและเศรษฐกิจจะฟื้นตัวเร็ว สิ่งที่อยากฝากให้ภาครัฐพิจารณาเพิ่มเติม คือ ควรลงทุน 20,000 ล้านบาท ในการแจกจ่ายวัคซีนให้กับประชากรในเมืองท่องเที่ยวหลัก อาทิ กรุงเทพฯ และปริมณฑล เชียงใหม่ ภูเก็ต กระบี่ สมุย ชลบุรี ระยอง และอื่นๆ  รวมถึงกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและบริการเป็นกลุ่มแรก ๆ  เพราะการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยต้องอาศัยรายได้จากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวซึ่งถือเป็นรายได้หลัก โดยมีสัดส่วนถึง 17% ของ GDP ในขณะที่ 11 เดือนแรกของปี 2563 ที่ผ่านมา รายได้จากภาคท่องเที่ยวลดลง 1.93 ล้านล้านบาท หรือติดลบ 71.75% จากช่วงเดียวกันของปี 2562 นอกจากนี้ การท่องเที่ยวยังมีบทบาทสำคัญต่อการจ้างงาน ซึ่งการจ้างงานในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและบริการมีอยู่ถึง 4,393,294 คน หรือ 11.16% ของการจ้างงานทั้งหมด ทั้งนี้ เศรษฐกิจของประเทศจะฟื้นตัวเร็ว หากธุรกิจการท่องเที่ยวฟื้นตัว และภาพรวมของธุรกิจอุตสาหกรรมอื่น ๆ ก็จะดีไปด้วย
REIC คาดตลาดอสังหาฯ ปี 64 แย่สุดทั่วประเทศติดลบ 20%

REIC คาดตลาดอสังหาฯ ปี 64 แย่สุดทั่วประเทศติดลบ 20%

เริ่มต้นปี 2564 ที่มีข่าวการประกาศแผนธุรกิจ ของบรรดาผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายราย ซึ่งเป็นการประกาศแผนการลงทุน ที่ยังคงเป็นปกติ ขณะที่บางรายมีแผนการลงทุนที่เพิ่มมากขึ้น แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะยังมีอยู่ และยังไม่ได้เริ่มใช้วัคซีนเพื่อป้องกันโรค แต่ในภาพรวมสถานการณ์การแพร่ระบาดดังกล่าว มีทิศทางที่ปรับตัวดีขึ้น และการนำเอาวัคซีนมาใช้จริงก็มีความชัดเจนมากกว่าปีที่ผ่านมา    ปัจจัยต่าง ๆ ดังกล่าว คงเป็นสาเหตุที่ช่วยสร้างความมั่นใจ ให้กับบรรดาผู้ประกอบการอสังหาฯ  ทั้งหลาย ว่าภาวะเศรษฐกิจคงจะเริ่มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับ ช่วงปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าแม้จะมีสถาการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่จากการทำตลาด และการปรับตัวรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ตลาดอสังหาฯ ก็ยังไปได้ดี ผู้ประกอบการหลายรายสามารถทำยอดขายและรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง   ความมั่นใจของผู้ประกอบการในธุรกิจอสังหาฯ  จึงมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง สอดคล้องกับรายงานของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC)  ที่ระบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ​ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2563 (Current Situation Index) มีภาวะความเชื่อมั่นดีขึ้น   โดยมีดัชนีเท่ากับ 46.3%  เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ­ของปี 2563  ที่มีค่าดัชนีอยู่ที่ 42.8% แต่ยังคงต่ำกว่าค่ากลางที่ระดับต่ำกว่า 50% ติดต่อกัน 7 ไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2562 ซึ่งเป็นผลสืบเนื่องมาจากการประกาศใช้มาตรการ LTV ได้สะท้อนให้เห็นว่า ปัจจุบันผู้ประกอบการฯยังคงขาดความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย   ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ รายงานอีกว่า ผลการสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 6 เดือนข้างหน้า (Expectations Index) ผู้ประกอบการฯ ที่ดำเนินการสำรวจในช่วงปลายปี 2563 ซึ่งยังไม่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่​ มีค่าเท่ากับ​ 54.4% ที่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีค่าดัชนีอยู่ที่  52.9%  สูงกว่าค่ากลางที่มีค่าดัชนี 50.0% สะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบขณะนั้นเริ่มมีความหวังต่อการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2564 เนื่องจาก ภาวะเศรษฐกิจมีการฟื้นตัวจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐอย่างต่อเนื่อง   แต่อย่างไรก็ตาม การแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่นี้ คาดว่าจะส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ  ใน 6 เดือนแรกของปี 2564 ปรับตัวลดลงกว่าผลที่สำรวจข้างต้นได้   ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ในไตรมาส 4 ปี 2563 ผู้ประกอบการยังคงขาดความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย แม้ว่าค่าดัชนีความเชื่อมั่นภาพรวมได้เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน จากการเริ่มฟื้นตัวของเศรษฐกิจจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ของภาครัฐที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง  แต่จะเห็นได้ว่ากลุ่มผู้ประกอบการที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์​ (Llisted Companies) มีค่าดัชนีเท่ากับ 49.2% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งมีค่าดัชนีอยู่ที่ 43.1%  ขณะที่ผู้ประกอบการกลุ่มซึ่งไม่ได้จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ (Non-listed Companies) กลับมีค่าดัชนีเท่ากับ 42.1% ลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้าที่มีค่าดัชนีอยู่ที่ 42.4%   ทั้งนี้ จะเห็นได้ว่า กลุ่มผู้ประกอบการ Listed Companies จะมีระดับความเชื่อมั่นที่สูงกว่า 50% ในด้าน ยอดขาย การจ้างงาน และการเปิดตัวโครงการใหม่ ขณะที่ผู้ประกอบการกลุ่ม Non-listed Companies ไม่มีความเชื่อมั่นด้านใดเลยที่เกินกว่า 50% ซึ่งสะท้อนได้อย่างชัดเจนว่า กลุ่มผู้ประกอบการ Listed Companies จะเป็นผู้บทบาทหลักในการลงทุนและการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล  (ดูตารางที่ 1 และแผนภูมิที่ 1) ดีเวลลอปเปอร์มองบวก ก่อนเกิดโควิด-19 รอบใหม่  ดร.วิชัย  กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 6 เดือนข้างหน้า (Expectations Index) มีค่าเท่ากับ 54.4% ที่เพิ่มขึ้นจาก ไตรมาสก่อนหน้า แสดงเห็นว่าในภาพรวมผู้ประกอบการมีมุมมองเชิงบวกสำหรับธุรกิจพัฒนาที่อยุ่อาศัยในอีก 6 เดือนข้างหน้า ซึ่งคาดว่าวัคซีนป้องกันโควิด-19 จะนำมาใช้อย่างกว้างขวางและสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ และเศรษฐกิจจะขยายตัวได้มากขึ้น แต่จะเห็นได้ชัดว่า มุมมองเชิงบวกเช่นนี้ เป็นผลมาจากกลุ่มผู้ประกอบการ Listed Companies ที่มีค่าดัชนีความเชื่อมั่นในอีก 6 เดือนข้างหน้าเท่ากับ  59.7% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนซึ่งอยู่ที่ระดับ 58.0%   แต่สำหรับกลุ่มผู้ประกอบการ Non-listed Companies มีค่าดัชนีเพียง  46.5% แม้จะเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าเล็กน้อยที่ระดับ 45.2 แต่ได้แสดงให้เห็นได้ว่ากลุ่มผู้ประกอบการ Non-listed Companies ยังคงขาดความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยในปี 2564 ขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการฯ Listed Companies มีความเชื่อมั่นมากขึ้นชัดเจนในทุกด้าน โดยเฉพาะในด้านยอดขาย การลงทุน และการเปิดตัวโครงการใหม่ (ดูตารางที่ 2 และแผนภูมิที่ 2) การสำรวจความเชื่อมั่นฯ นี้ ดำเนินการในช่วงปลายปี 2563 ก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 รอบใหม่ ดังนั้นจึงคาดได้ว่า ในช่วงครึ่งปีแรก โดยเฉพาะในไตรมาสแรก ปี 2563 นี้ ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการคงจะปรับลดลงจากการสำรวจช่วงปลายปีอย่างแน่นอน โดยเห็นว่า ผู้ประกอบการยังคงระมัดระวังเกี่ยวกับการเปิดขายโครงการใหม่ เพื่อลดจำนวนอุปทานเหลือขายที่ยังมีอยู่มากในตลาด และรอดูผลกระทบจากการระบาดรอบใหม่อีกครั้งหนึ่ง โควิด-19 ทำตลาดอสังหาฯ แย่สุดติดลบ 20% อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปจากช่วงการสำรวจ ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ​ประเมินว่า การเปิดตัวปี 2564 ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะมีจำนวนประมาณ 89,000 ยูนิต แบ่งเป็นแนวสูง 36,000 -37,000 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 30-40% และแนวราบ 52,000 ยูนิต แต่ถ้าโควิด-19 ยืดเยื้ออาจจะลดลงอีก 10,000 ยูนิต เหลือ 79,000 ยูนิต เท่ากับปีนี้จะอยู่ระหว่าง 79,000 -89,000 หน่วย สูงกว่าปี 2563 ที่เปิดรวม 71,500 ยูนิต แม้ว่าปีนี้เศรษฐกิจจะยังไม่ฟื้นตัว แต่ผู้ประกอบการยังคงต้องเปิดตัวโครงการใหม่ เพราะสต็อกพร่องลงจากปีก่อน   โดยมีการคาดการณ์ผ่านการจำลองหลายสถานการณ์ (Scenario) เพื่อเปรียบเทียบให้เห็นถึงภาพรวมแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ระดับดีที่สุด (best) คือ ตลาดจะโต 5-10% ระดับกลาง (base) ตลาดทรงตัวบวกลบไม่เกิน 0.5% และระดับแย่ที่สุด (worst) ติดลบ 10% เท่ากับปี 2563 เท่ากับภาพรวมตลาดทั่วประเทศลดลงถึง 20% ซึ่งรุนแรงพอควร เพราะต่ำสุดในรอบ 5 ปี ใกล้เคียงกับช่วงเกิดน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 มีความเป็นไปได้ว่าปี 2564 จะติดลบถึง 10 % ซึ่งเป็นจุดที่ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะปีนี้กำลังซื้อที่อั้นอยู่อาจมีไม่มากเหมือนปีที่แล้ว เนื่องจากผู้บริโภคได้รับผลกระทบในแง่ของรายได้ต่อเนื่องมานาน ส่งผลให้ดีมานด์ใหม่ของที่อยู่อาศัยได้รับผลกระทบรุนแรง  
แลนด์แอนด์เฮ้าส์ เดินหน้าลงทุน 11,000 ล.พร้อมระดมทุนผ่านหุ้นกู้ 12,000 ล.​

แลนด์แอนด์เฮ้าส์ เดินหน้าลงทุน 11,000 ล.พร้อมระดมทุนผ่านหุ้นกู้ 12,000 ล.​

แม้ว่าปี 2564 จะยังมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่ธุรกิจยังคงต้องเดินหน้าต่อ เพื่อสร้างการเติบโตและผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น โดยบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์  จำกัด (มหาชน) เป็นหนึ่งในดีเวลลอปเปอร์ที่ยังคงเดินหน้าลงทุนพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การบริหารงานของ นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ  ประธานคณะกรรมการบริษัท และ​นายอดิศร ธนนันท์นราพูล  กรรมการผู้จัดการ   โดยแผนธุรกิจของ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ในปีนี้ ประกอบไปด้วย 1.เตรียมงบลงทุนไว้ทั้งหมดประมาณ 11,000 ล้านบาท สำหรับการซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประมาณ 6,000 ล้านบาท และงบลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่าอีกจำนวน 5,000 ล้านบาท   แผนการลงทุนในการซื้อที่ดินเพื่อรองรับการขยายตัวในอนาคต บริษัทจะพิจารณาทำเลที่สามารถนำมาพัฒนาโครงการได้ทันทีและมีศักยภาพที่ดี  ทั้งในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล  และต่างจังหวัด   โดยปี 2563  ที่ผ่านมา บริษัทมีการลงทุนประมาณ 6,800 ล้านบาท  แบ่งเป็นรายจ่ายในการซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัย 4,600 ล้านบาท และรายจ่ายในการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่า มูลค่ารวม 2,200  ล้านบาท  ประกอบด้วย การลงทุนในการพัฒนาโครงการ Shopping Mall  - Terminal  21   จำนวน    900  ล้านบาท  และการลงทุนในธุรกิจโรงแรมและอพาร์ทเมนต์  จำนวน 1,300  ล้านบาท   2.บริษัทมีแผนพัฒนา 12 โครงการ มูลค่ารวม 20,660 ล้านบาท ลดลงจากปี 2563 ที่เปิดโครงการใหม่  16  โครงการ มูลค่าโครงการรวม 28,620  ล้านบาท แผนการพัฒนาโครงการในปีนี้ แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 5 โครงการ มูลค่า 12,730 ล้านบาท โครงการทาวน์โฮมและบ้านแฝด 7 โครงการ มูลค่า 6,950 ล้านบาท (มี 2 โครงการที่มีทั้งโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมอยู่ในโครงการเดียวกัน) และคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่า 980 ล้านบาท ซึ่งมีการพัฒนาโครงการคอนโดในจังหวัดเชียงใหม่ 1 โครงการมูลค่า 160 ล้านบาท   โดยในช่วงต้นปี 2564 บริษัทมีโครงการที่เปิดดำเนินการอยู่ทั้งสิ้น  75   โครงการ  เป็นโครงการในกรุงเทพฯ และปริมณฑล  45  โครงการ  และต่างจังหวัด   30  โครงการ   3.วางแผนออกหุ้นกู้อีกจำนวน 12,000 ล้านบาท จากปี 2563 ซึ่งออกหุ้นกู้ มูลค่ารวม 8,400 ล้านบาท  ระยะเวลา 2-3 ปี  อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.29% ต่อปี   4.ตั้งเป้าหมายแผนการดำเนินงานในปี 2564 ด้วยยอดขาย (Booking)  28,000  ล้านบาท  และเป้าหมายรับรู้รายได้จากยอดโอนกรรมสิทธิ์  30,000 ล้านบาท มีราคาเฉลี่ยต่อยูนิต เท่ากับ 7.0 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากปี 2563 ซึ่งมีราคาเฉลี่ยต่อยูนิต  7.5  ล้านบาท   สัดส่วนของยอดขาย ในปี 2564   พิจารณาตามมูลค่า  จำแนกตามประเภทที่อยู่อาศัย มีสัดส่วน บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด  78% , ทาวน์เฮ้าส์  13% และคอนโด  9%   จากแผนการดำเนินงานของบริษัทฯ  ในปี 2564  คาดว่า ณ  สิ้นปี  2564  บริษัทฯ จะมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับเมื่อสิ้นปี 2563  โดยจะมีต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยลดลงกว่าระดับเฉลี่ย ณ สิ้นปี 2563  เล็กน้อย   ส่วนบริษัทในเครือในรอบปี 2563 ที่ผ่านมา มีการพัฒนาโครงการใหม่ ได้แก่ บริษัท LHMH  ได้ดำเนินการพัฒนาโครงการอีก 1  โครงการ คือ  โครงการ Grande Centre Point  Lumpini   บนที่ดิน 6-2-73.5  ไร่ ในรูปแบบ Mixed Use  ประกอบด้วย โรงแรม จำนวน 512 ห้อง อาคารสำนักงาน  13,000 ตารางเมตร  มูลค่าการลงทุน 4,830  ล้านบาท แล้วเสร็จประมาณ Q1/2567   บริษัท LH USA ได้ขายโครงการอพาร์ทเมนท์  The Mode Residence  ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา  ให้กับบุคคลที่ไม่มีความสัมพันธ์กับบริษัท ในราคา 80.05 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย ประมาณ  2,415 ล้านบาท  โดยมีกำไรก่อนภาษีประมาณ  13.77 ล้านเหรียญสหรัฐ  หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ  416 ล้านบาท        
พีดีเฮ้าส์ ปรับแผนธุรกิจสู้โควิด -19  เปิด 2 สาขาเมืองรอง-​ลุยตลาดออนไลน์

พีดีเฮ้าส์ ปรับแผนธุรกิจสู้โควิด -19 เปิด 2 สาขาเมืองรอง-​ลุยตลาดออนไลน์

พีดีเฮ้าส์ ประเมินสถานการณ์รับสร้างบ้านต้นปี 2564 งานหนัก หลังเจอพิษโควิด-19 ระลอกใหม่ ฉุดกำลังซื้อ คาดภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านไตรมาสแรกชะลอตัว เร่งเดินหน้าปรับตัวสร้างความแตกต่าง พร้อมนำนวัตกรรมใหม่ PD Fresh Airflow ป้องกันฝุ่น PM 2.5 เพื่อคุณภาพการอยู่อาศัยเอาใจลูกค้ารักสุขภาพ ล่าสุดลุยเปิด 2 สาขาใหม่ พิจิตร และ นครนายก เจาะดีมานด์ต่างจังหวัดหวัง   นายพิศาล ธรรมวิเศษ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป จำกัด หรือศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ เปิดเผยว่า  สถานการณ์ตลาดรับสร้างบ้านในช่วงไตรมาสแรกของปี 2564 นี้ มีแนวโน้มชะลอตัว เนื่องจากผู้บริโภคที่ต้องการปลูกสร้างบ้าน ยังคงรอดูทิศทางเศรษฐกิจและการแก้ไขปัญหาโรคระบาดโควิด-19 ของรัฐบาล  ภายหลังจากสถานการณ์ที่โควิด-19 กลับมาระบาดระลอกใหม่ ในพื้นที่หลายจังหวัด และบางจังหวัดต้องประกาศเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุด  และเข้มงวดการเดินทางข้ามจังหวัดของประชาชน อันเป็นการป้องกันการแพร่ระบาด สถานการณ์ดังกล่าว ได้ส่งผลกระทบและทำให้การตัดสินใจปลูกสร้างบ้าน ของผู้บริโภคต้องยืดระยะเวลาออกไป แม้ว่าความต้องการของผู้บริโภค ที่ต้องการใช้บริการกับบริษัทรับสร้างบ้าน ยังมีอยู่มากพอสมควรก็ตาม นอกจากนี้ ยังส่งผลทำให้บ้านที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ต้องล่าช้าออกไปด้วยเช่นกัน ถือเป็นผลกระทบต่อภาพรวมธุรกิจรับสร้างบ้าน และผู้ประกอบการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนว่าสถานการณ์รอบนี้นับเป็นความยากลำบาก หากผู้ประกอบการที่ไม่สามารถปรับตัวได้ จะต้องเดือดร้อนและอยู่รอดยาก​   สำหรับ “ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป” ในฐานะบริษัทรับสร้างมืออาชีพที่ผู้บริโภคให้ความเชื่อถือและอยู่ในธุรกิจนี้มานานกว่า 30 ปี บริหารจัดการภายใต้ระบบแฟรนไชส์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์  ที่มีมาตรฐานเดียวกันได้มีการประเมินสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา เพื่อปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ พร้อมกับได้วางกลยุทธ์การตลาด ให้สอดคล้องกับความต้องการ และกำลังซื้อของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย   โดยในไตรมาสแรกนี้บริษัทฯ จะยังคงให้ความสำคัญกับตลาดรับสร้างบ้านต่างจังหวัด โดยเฉพาะจังหวัดเมืองรองในแถบภาคกลางตอนบนและภาคตะวันออก  เนื่องจากประเมินว่าลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของบริษัทฯ​ ยังมีความต้องการรับสร้างบ้านอยู่จำนวนมาก   “เหตุผลที่ปีนี้ บริษัทฯ หันมาเจาะตลาดเมืองรองนั้น สืบเนื่องจากปีที่ผ่านมา พบว่ามีกลุ่มลูกค้าเฉพาะ (Niche Market) ที่มีกำลังซื้อสูงและต้องการสร้างบ้านพร้อมตกแต่งภายใน จากจังหวัดใกล้เคียงที่บริษัทฯ มีสาขาตั้งอยู่ในจังหวัดเศรษฐกิจหลักแล้ว เข้ามาใช้บริการเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยยะ โดยเฉพาะกลุ่มราคาบ้าน 10 ล้านบาทขึ้นไป มีอัตราการเติบโตสวนทางกับภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านที่ชะลอตัว จึงน่าจะเป็นโอกาสดีหากว่าบริษัทฯ สามารถขยายการให้บริการครอบคลุมพื้นที่ได้มากขึ้น เพื่อเป็นการเข้าถึงและอำนวยความสะดวกกับกลุ่มลูกค้าเฉพาะดังกล่าว”   ล่าสุด บริษัทฯ​ ได้เปิดตัวศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ 2 สาขาใหม่ในพื้นที่เมืองรอง ได้แก่ สาขาจังหวัดพิจิตรและนครนายก เพื่อรองรับความต้องการและกำลังซื้อผู้บริโภคที่ต้องการเลือกใช้บริการกับบริษัทรับสร้างบ้านมืออาชีพที่น่าเชื่อถือ   ด้าน นางสาวถิรพร สุวรรณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท พีดี เฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในฐานะผู้บริหารสิทธิ์ระบบแฟรนไชส์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ กล่าวว่า ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ มีแนวโน้มทำให้ตลาดรับสร้างบ้านโดยรวมชะลอตัวลง ในส่วนของพีดีเฮ้าส์ได้มีการปรับแผนการตลาดใหม่ โดยผ่านช่องทางโซเซียลมีเดีย (Social Media) ในทุกช่องทาง เพื่อจะสื่อสารและเข้าถึงผู้บริโภคให้มากขึ้น   รวมถึงการมุ่งเน้นบริการสร้างบ้านแบบครบวงจร การนำเสนอวัสดุอุปกรณ์ที่มีมาตรฐานและคุณภาพแตกต่าง การขยายสาขาใหม่ให้ครอบคลุมพื้นที่บริการทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อผู้บริโภคไม่ต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มใด ๆ พร้อมทั้งออกแบบบ้านใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายที่ชื่นชอบความลักซูรี่ ซึ่งเร็ว ๆ นี้เตรียมเปิดตัวแบบบ้านหรูขนาดพื้นที่ใช้สอย 1,000 ตารางเมตรขึ้นไป ในราคาค่าก่อสร้างเริ่มต้น 20 ล้านบาท ภายใต้แนวคิดการสร้างบ้านอนุรักษ์พลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม นางสาวถิรพร กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากจุดยืนเรื่องการสร้างบ้านอนุรักษ์พลังงานฯ ที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว  พีดีเฮ้าส์ยังเพิ่มจุดขายในเรื่องสุขภาพของผู้อยู่อาศัยในบ้านอีกด้วย ล่าสุดได้นำนวัตกรรมการควบคุมคุณภาพอากาศภายในบ้านที่เรียกว่า PD Fresh Airflow หรือ “ระบบสร้างอากาศบริสุทธิ์และป้องกันฝุ่น PM2.5” ซึ่งระบบดังกล่าวจะเป็นการถ่ายเทหรือดึงอากาศจากภายนอกเข้ามาสู่ภายในบ้าน ผ่านการกรองจากอุปกรณ์นำอากาศเข้าที่สามารถกรองฝุ่นละอองขนาดเล็กหรือฝุ่น PM2.5 เพื่อจะสร้างอากาศบริสุทธิ์และควบคุมเมื่ออากาศภายในบ้านเริ่มมีมลพิษหรือคุณภาพต่ำลง   ในส่วนอากาศที่เป็นมลพิษก็จะมีอุปกรณ์นำอากาศออก เพื่อจะทำให้อากาศภายในบ้านบริสุทธิ์และดีต่อสุขภาพของผู้อยู่อาศัยเหมาะ กับผู้อยู่อาศัยที่มีปัญหาโรคภูมิแพ้และระบบทางเดินหายใจ หรือผู้ที่ต้องการสร้างบ้านอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่สภาพอากาศมีควัน พิษและฝุ่นควันเกินจากค่ามาตรฐานอากาศปกติอยู่เสมอ ๆ เช่น พื้นที่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งจังหวัดในภาคเหนือ สำหรับลูกค้าที่สนใจสามารถศึกษาข้อมูลหรือสอบถามรายละเอียดได้ที่ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ 25 สาขาใกล้บ้านได้ทุกวันทำการ
ทำความรู้จัก 4 เทรนด์ที่อยู่อาศัยปี 2021

ทำความรู้จัก 4 เทรนด์ที่อยู่อาศัยปี 2021

นับตั้งแต่เกิดโรคระบาด “ไวรัสโควิด-19” วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ รวมถึงการทำงาน การดำเนินธุรกิจของคนยุคปัจจุบันก็เปลี่ยนแปลงไป ต่างต้องอยู่ภายใต้วิถีชีวิตปกติใหม่ หรือ New Normal ซึ่งต้องมีการเว้นระยะห่างทางสังคม และอยู่ภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุข ที่เน้นความสะอาดปลอดภัย จากการได้รับเชื้อโรค ทั้งการสวมหน้ากากอนามัย การลดการสัมผัส และการล้างมือให้สะอาดหลังการสัมผัสกับสิ่งของ   ไม่เพียงแต่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งสร้างผลกระทบในปัจจุบัน ก่อนหน้านี้วิถีชีวิตและไลฟ์สไตล์ของคนยุคปัจจุบัน ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงมาก่อนหน้าแล้ว จากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลอันตรายต่อสุขภาพและอนามัยของคน แต่เป็นเรื่องที่ทุกคนจะต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี หรือ Digital Disruption   จากการเปลี่ยนแปลงในปัจจุบัน ส่งผลทำให้หลายธุรกิจต้องปรับตัวให้ทัน และต้องสนองตอบความต้องการของกลุ่มลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป ในวงการอสังหาริมทรัพย์ ก็ไม่ได้แตกต่างจากธุรกิจอื่น ๆ ต้องมีการปรับตัวเช่นเดียวกัน  ​เพราะไลฟ์สไตล์ ความต้องการ และพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปไม่เหมือนเดิม 4 เทรนด์ที่อยู่อาศัยปี 2021  การจะพัฒนาสินค้าและบริการ ออกมารองรับความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไป นักการตลาดหรือดีเวลลอปเปอร์ คงต้องวิเคราะห์และคาดการณ์แนวโน้มกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น  เทรนด์การอยู่อาศัย รวมถึงการก่อสร้างในปี 2021 คงจะแตกต่างจากอดีต ซึ่ง SCG ได้วิเคราะห์เทรนด์การก่อสร้างและที่อยู่อาศัย 2021 ซึ่งพบว่ามี 4 เรื่องที่จะเข้ามามีอิทธิพล และเกิดการเปลี่ยนแปลง 1.Digital Transformation คือการนำเอาดิจิทัล เทคโนโลยี มาปรับใช้กับทุกภาคส่วน ซึ่งเป็นหนึ่งตัวแปรการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ขับเคลื่อนอย่างรวดเร็ว โดยจะเห็นได้อย่างชัดเจนจากคนส่วนใหญ่ได้ให้เวลาและเรียนรู้การใช้งานเครื่องมือและเทคโนโลยีต่าง ๆ เพื่อความสะดวกสบายที่เพิ่มขึ้นในชีวิตประจำวัน จนกลายเป็นเรื่องปกติใหม่ (New Normal) ที่ทุกคนต้องทำไปเสียแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชันโปรแกรมการประชุมออนไลน์ เข้ามาอำนวยความสะดวกแทนการเดินทางมาประชุมในรูปแบบเก่า หรือ การสั่งอาหารผ่านแอปพลิเคชันต่างๆ  เป็นต้น ที่ตอบโจทย์ความสะดวกสบาย และง่าย แบบ Anywhere Anytime ของคนทุกเพศ ทุกวัย 2.การใส่ใจกับพื้นที่อยู่อาศัยมากขึ้น ผู้คนหันมาให้ความสำคัญ ใส่ใจกับพื้นที่อยู่อาศัยมากขึ้น  เทรนด์นี้เกิดขึ้นจากช่วงล็อคดาวน์ เมื่อคนอยู่บ้านกันมากกว่าที่เคย จะเห็นได้ว่า มีการปรับปรุงตกแต่งบ้านให้น่าอยู่และรองรับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปมากยิ่งขึ้น ดังนั้นไม่ว่าโลกจะมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงไปมากเพียงใด “ที่อยู่อาศัย” ก็ยังคงเป็นปัจจัยพื้นฐานสําคัญ และเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด 3.Well-Being เทรนด์สุขอนามัยที่ขาดไม่ได้ เทรนด์การอยู่อาศัยซึ่งเป็นตัวแปรที่สาม คือ  Well-Being โลกกำลังตื่นตัวในเรื่องของสุขอนามัยกันมากขึ้น เทรนด์ที่กําลังอยู่ในความสนใจของผู้คนทุกเพศทุกวัย และเติบโตอย่างรวดเร็วอย่างต่อเนื่อง จากวิถีการใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ทำให้มองเห็นการมีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีเป็นเรื่องที่สำคัญและให้ความสนใจกับสิ่งรอบตัว ไปพร้อม ๆ กับการที่มีบ้านที่ดี มีความปลอดภัย   ในขณะเดียวกัน ประเทศไทยยังต้องปรับตัวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ (Aged Society) สอดคล้องกับพฤติกรรมการเลือกและใส่ใจกับความปลอดภัยเป็นเรื่องแรก ทั้งการอาศัยอยู่ภายในบ้าน รวมไปถึงการเตรียมความพร้อมตัวเอง และสมาชิกในบ้าน สู่การเป็นผู้สูงวัยในอนาคต 4.Circular Economy และการใส่ใจสิ่งแวดล้อม จากสถานการณ์ที่ทั่วโลกต่างรับมือกับการสภาวการณ์เปลี่ยนแปลงของโลกเรา ผู้คนเริ่มหันมาใส่ใจสิ่งแวดล้อม การประหยัดพลังงานกันมากขึ้น หรือแม้แต่เรื่องระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) การหมุนเวียนเอาทรัพยากรมาใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เป็นสิ่งที่มนุษย์เราเริ่มหันมามองสิ่งรอบตัว จนเกิดคำถามที่ว่า เมื่อโลกเปลี่ยน ถึงเวลาที่ต้องหันกลับมามองที่ตัวเราเอง ว่าที่ผ่านมาดูแลโลกนี้ดีเพียงพอหรือยัง? นายวชิระชัย คูนำวัฒนา Head of Living Solution Business ธุรกิจ เอสซีจี ซิเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง แสดงความเห็นว่า  เมื่อเกิดไวรัสโควิด-19 แล้ว เกิดคำถามขึ้นมากมายตามมาว่า ที่ผ่านมาเราดูแลโลกนี้ดีเพียงพอไหม เพราะต้องยอมรับหลาย ๆ เรื่องที่เกิดขึ้น ก็เกิดจากผลกระทบของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป คนจะกลับมาตระหนักเหมือนกันว่าเราดูแลตัวเราเองแล้ว เราดูแลโลกไปด้วยไหม ซึ่งจริง ๆ แล้ว เรื่องเทรนด์ กระแสนิยม รวมถึงแนวโน้มที่เกิดขึ้น อาทิ การดูแลสิ่งแวดล้อม การประหยัดพลังงาน การใส่ใจด้านสุขอนามัย คงต้องมองย้อนกลับมามองถึงการใช้ชีวิต และ รอบ ๆ ตัว ว่าเราจะดูแลต่อจากนี้อย่างไร สำหรับผมมองว่าทั้ง 4 ข้อข้างต้นก็เป็นเทรนด์ที่ได้เกิดขึ้นมาแล้วในก่อนหน้านี้ แต่สถานการณ์ปัจจุบันช่วยให้มันชัดเจนขึ้น และช่วยเร่งความเร็วมากขึ้น Smart Living ตอบโจทย์ การอยู่อาศัยปี 2021 นอกจากนี้  ด้วยบริบทของสังคมที่เปลี่ยนผ่าน ได้ยกระดับความต้องการพื้นฐานทางกายภาพของมนุษย์สู่ความเป็นดิจิทัล โดยการผนวกเทคโนโลยีเข้ามาอำนวยความสะดวกสบายในทุกมิติ ส่งผลให้ภาพของ Smart City หรือ เมืองอัจฉริยะ ชัดเจนมากขึ้น นำไปสู่การใช้ชีวิตในรูปแบบ Smart Living ที่เชื่อมต่อทุกประสบการณ์ด้วยเทคโนโลยี เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น ในฐานะองค์กรต้องเตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงและแนวโน้มที่เกิดขึ้น ทั้งด้านพฤติกรรม ความเป็นอยู่ การใช้ชีวิต สุขอนามัย   ขณะที่นายชูโชค ศิวะคุณากร Managing Director บริษัท ผลิตภัณฑ์และวัตถุก่อสร้าง จำกัด กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนอีกอย่าง คือการขาดแคลนแรงงาน รวมถึงผู้เกี่ยวข้องในสายงานก่อสร้าง และขาดแคลนในเชิงของคุณภาพและทักษะของงานก่อสร้างที่มีความหลากหลาย ซึ่งต้องเรียนรู้เรื่องเทคโนโลยี และการใช้ประโยชน์จากข้อมูลดาต้าควบคู่ อย่างเช่นการพัฒนาแรงงานฝีมือช่าง นอกจากนี้ ยังมีปัญหาอีกด้านหนึ่ง โดยเมื่อก่อนนี้นึกถึงแค่งานโครงสร้าง อาคาร แต่ปัจจุบันมันต้องมองทั้งระบบ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาโลกร้อน ซึ่งต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด ปัญหาเรื่องฝุ่นละออง เรื่องการจัดการน้ำ ซึ่งมันจะเชื่อมโยงในภาคการอุปโภค บริโภค ทั้งในเชิงของการเกษตร และอุตสาหกรรม   “ตัวกำหนดทิศทางสำคัญในการขับเคลื่อนแวดวงการก่อสร้าง คือความเบ็ดเสร็จ ครบวงจรและรวดเร็ว ทั้งรูปแบบของการใช้งานตัวอาคาร และโครงสร้าง ทั้งการเพิ่มฟังก์ชันการใช้งานบนโครงสร้างเดิมให้มีความหลากหลาย หรือเป็นการเปลี่ยนวัตถุประสงค์ของการใช้งานโครงสร้างเดิมให้ต่างออกไป รวมถึงการรีโนเวทปรับปรุงอาคาร สิ่งปลูกสร้าง ไปสู่การพัฒนานวัตกรรมและโซลูชันเพื่อตอบโจทย์สูงสุด” จากความต้องการความเบ็ดเสร็จและรวดเร็ว ทำให้เกิดแนวทางการก่อสร้างแนวใหม่ คือ Smart Construction ซึ่งจะช่วยจัดการกับการออกแบบที่ไม่มีประสิทธิภาพ เทคโนโลยีที่ล้าสมัย และส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังปรับให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้ใช้งาน ให้มีความเป็น Smart Building มากยิ่งขึ้น   นายชูโชค ศิวะคุณากร ทิ้งท้ายว่า ความน่าสนใจอีกข้อที่ก่อตัวขึ้นจากการเปลี่ยนแปลง คือ Networking การสร้างเครือข่ายขนาดใหญ่ที่ทำให้เกิดการแชร์ข้อมูลร่วมกัน แชร์ Resource หรือแม้แต่ Knowledge แลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน ทั้งกลุ่มเจ้าของโครงการและกลุ่มคนที่เกี่ยวข้องในแวดวงการก่อสร้าง ให้เกิดประโยชน์ต่อธุรกิจและภาพรวม เพิ่มทักษะงานก่อสร้าง ภายใต้ Ecosystem เดียวกัน ซึ่งจะทำให้การพัฒนาเป็นไปอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น  
เอพี ไทยแลนด์ เตรียมขึ้นเบอร์ 1 ผู้นำอสังหาฯ ปี 63 

เอพี ไทยแลนด์ เตรียมขึ้นเบอร์ 1 ผู้นำอสังหาฯ ปี 63 

เอพี ประกาศความสำเร็จก้าวข้ามผ่านวิกฤตมาได้อย่างสวยงาม มุ่งสู่การเป็นเบอร์ 1 ในอุตสาหกรรม คาดยอดโอนรวมปี 63 สูงถึงประมาณ 46,000 ล้านบาท โตกว่า 40% จากปี 2562 เชื่อจะเป็นยอดโอนที่มากที่สุดในตลาด       นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในรอบปี 2563 คาดว่าจะทำยอดโอนรวมเกือบ 46,000 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ตั้งแต่ต้นปีที่ 40,550 ล้านบาท หรือโตกว่า 40% จากปี 2562 และคาดว่าน่าจะเป็นยอดโอนที่มากที่สุดในตลาด พร้อมคาดการณ์ผลกำไรรวมทั้งปี 63 จะเติบโตอย่างมีนัยยะสำคัญ ผลการดำเนินงานดังกล่าว มาจากความสำเร็จในการส่งมอบสินค้า ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม ซึ่งนับว่าเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ของบริษัท และสูงสุดตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา และมั่นใจว่าเอพี ไทยแลนด์จะสามารถมุ่งสู่การเป็นเบอร์ 1 ในอุตสาหกรรมอสังหาฯ ไทย นายวิทการ กล่าวอีกว่า  ความสำเร็จของบริษัท เกิดจากความพร้อมของพนักงานในองค์กรกว่า 2,000 คน ในการตั้งรับกับการปรับตัวที่รวดเร็วจากวิกฤตที่เกิดขึ้น ตลอดจนความเข้มแข็งในการทำงานโดยมองไปที่เป้าหมาย EMPOWER LIVING เดียวกัน ควบคู่ไปกับการบริหารจัดการกระแสเงินสดที่รัดกุม ส่งผลให้บริษัท สามารถก้าวข้ามผ่านวิกฤตมาได้อย่างมั่งคง สร้างผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งในทุกไตรมาส   ทั้งนี้ อีกหนึ่งคีย์ซัคเซสสำคัญนอกเหนือจากการมีทีมงานที่แข็งแกร่งแล้ว นั่นคือแผนการบริหารจัดการภายในองค์กรที่ดำเนินควบคู่ไปกับการบริหารจัดการพอร์ตสินค้าที่นำมาซึ่งการตอบรับที่ดีจากลูกค้าอย่างต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมานอกจากความสำเร็จในการขายและโอนกรรมสิทธิ์สินค้าในกลุ่มธุรกิจแนวราบแล้วนั้น บริษัท  ยังได้รับการตอบรับที่ดีมากจากการโอนสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียม โดยมี LIFE ลาดพร้าว LIFE อโศก-พระราม 9 LIFE วัน ไวร์เลส และ Aspire อโศก-รัชดา เป็นคีย์สำคัญ ทั้งนี้ปี 2563 ที่ผ่านมาบริษัทฯ เปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 40 โครงการ รวมมูลค่า 45,020 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 18 โครงการ มูลค่า 20,860  ล้านบาท ทาวน์โฮม 18 โครงการ มูลค่า 18,530 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 3 โครงการ มูลค่า 2,430 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่า 3,200 ล้านบาท   บริษัทยังคงดำเนินแผนธุรกิจด้วยความรัดกุม ควบคู่ไปกับความพร้อมที่จะปรับตัวอย่างรวดเร็ว ด้วย  การบริหารจัดการกระแสเงินสด ภายใต้พันธกิจใหญ่ขององค์กร “EMPOWER LIVING” ที่พร้อมเติมเต็มทุกเป้าหมายของชีวิต ด้วยนวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีคุณค่าและมีความหมาย