แม้ว่าปี 2564 จะยังมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่ธุรกิจยังคงต้องเดินหน้าต่อ เพื่อสร้างการเติบโตและผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น โดยบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เป็นหนึ่งในดีเวลลอปเปอร์ที่ยังคงเดินหน้าลงทุนพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การบริหารงานของ นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานคณะกรรมการบริษัท และนายอดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการผู้จัดการ โดยแผนธุรกิจของ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ในปีนี้ ประกอบไปด้วย 1.เตรียมงบลงทุนไว้ทั้งหมดประมาณ 11,000 ล้านบาท สำหรับการซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประมาณ 6,000 ล้านบาท และงบลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่าอีกจำนวน 5,000 ล้านบาท แผนการลงทุนในการซื้อที่ดินเพื่อรองรับการขยายตัวในอนาคต บริษัทจะพิจารณาทำเลที่สามารถนำมาพัฒนาโครงการได้ทันทีและมีศักยภาพที่ดี ทั้งในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด โดยปี 2563 ที่ผ่านมา บริษัทมีการลงทุนประมาณ 6,800 ล้านบาท แบ่งเป็นรายจ่ายในการซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัย 4,600 ล้านบาท และรายจ่ายในการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่า มูลค่ารวม 2,200 ล้านบาท ประกอบด้วย การลงทุนในการพัฒนาโครงการ Shopping Mall - Terminal 21 จำนวน 900 ล้านบาท และการลงทุนในธุรกิจโรงแรมและอพาร์ทเมนต์ จำนวน 1,300 ล้านบาท 2.บริษัทมีแผนพัฒนา 12 โครงการ มูลค่ารวม 20,660 ล้านบาท ลดลงจากปี 2563 ที่เปิดโครงการใหม่ 16 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 28,620 ล้านบาท แผนการพัฒนาโครงการในปีนี้ แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 5 โครงการ มูลค่า 12,730 ล้านบาท โครงการทาวน์โฮมและบ้านแฝด 7 โครงการ มูลค่า 6,950 ล้านบาท (มี 2 โครงการที่มีทั้งโครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมอยู่ในโครงการเดียวกัน) และคอนโดมิเนียม 2 โครงการ มูลค่า 980 ล้านบาท ซึ่งมีการพัฒนาโครงการคอนโดในจังหวัดเชียงใหม่ 1 โครงการมูลค่า 160 ล้านบาท โดยในช่วงต้นปี 2564 บริษัทมีโครงการที่เปิดดำเนินการอยู่ทั้งสิ้น 75 โครงการ เป็นโครงการในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 45 โครงการ และต่างจังหวัด 30 โครงการ 3.วางแผนออกหุ้นกู้อีกจำนวน 12,000 ล้านบาท จากปี 2563 ซึ่งออกหุ้นกู้ มูลค่ารวม 8,400 ล้านบาท ระยะเวลา 2-3 ปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.29% ต่อปี 4.ตั้งเป้าหมายแผนการดำเนินงานในปี 2564 ด้วยยอดขาย (Booking) 28,000 ล้านบาท และเป้าหมายรับรู้รายได้จากยอดโอนกรรมสิทธิ์ 30,000 ล้านบาท มีราคาเฉลี่ยต่อยูนิต เท่ากับ 7.0 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยจากปี 2563 ซึ่งมีราคาเฉลี่ยต่อยูนิต 7.5 ล้านบาท สัดส่วนของยอดขาย ในปี 2564 พิจารณาตามมูลค่า จำแนกตามประเภทที่อยู่อาศัย มีสัดส่วน บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 78% , ทาวน์เฮ้าส์ 13% และคอนโด 9% จากแผนการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปี 2564 คาดว่า ณ สิ้นปี 2564 บริษัทฯ จะมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับเมื่อสิ้นปี 2563 โดยจะมีต้นทุนทางการเงินเฉลี่ยลดลงกว่าระดับเฉลี่ย ณ สิ้นปี 2563 เล็กน้อย ส่วนบริษัทในเครือในรอบปี 2563 ที่ผ่านมา มีการพัฒนาโครงการใหม่ ได้แก่ บริษัท LHMH ได้ดำเนินการพัฒนาโครงการอีก 1 โครงการ คือ โครงการ Grande Centre Point Lumpini บนที่ดิน 6-2-73.5 ไร่ ในรูปแบบ Mixed Use ประกอบด้วย โรงแรม จำนวน 512 ห้อง อาคารสำนักงาน 13,000 ตารางเมตร มูลค่าการลงทุน 4,830 ล้านบาท แล้วเสร็จประมาณ Q1/2567 บริษัท LH USA ได้ขายโครงการอพาร์ทเมนท์ The Mode Residence ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ให้กับบุคคลที่ไม่มีความสัมพันธ์กับบริษัท ในราคา 80.05 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทย ประมาณ 2,415 ล้านบาท โดยมีกำไรก่อนภาษีประมาณ 13.77 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 416 ล้านบาท