Tag : Home

816 ผลลัพธ์
รีวิวบ้านเดี่ยว ติวานนท์ “เสนา แกรนด์โฮม รังสิต-ติวานนท์”

รีวิวบ้านเดี่ยว ติวานนท์ “เสนา แกรนด์โฮม รังสิต-ติวานนท์”

โครงการใหม่จาก SENA มาร่วมค้นหานวัตกรรมใหม่ล่าสุด Green Tech for Life ที่เพิ่มความสะดวกสบายให้การใช้ชีวิตเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่ “เสนา แกรนด์โฮม รังสิต-ติวานนท์” บ้านที่สร้างพลังงานความสุขให้ทุกคนในครอบครัว Facilities สำหรับ 3 Generation ที่ตอบสนองทุกกิจกรรมของทุกวัยได้อย่างลงตัวในบรรยากาศร่มรื่น สงบเป็นส่วนตัว ที่มีเพียง 88 หลังเท่านั้น พร้อมติดตั้งแผง โซลาร์ที่ตัวบ้าน เปลี่ยนพลังงานไฟฟ้า ช่วยลดค่าไฟได้ตลอดวัน บนทำเลศักยภาพที่รายล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ใกล้ทุกการเดินทาง ชื่อโครงการ Sena Grand Home Rangsit-Tiwanon (เสนา แกรนด์โฮม รังสิต-ติวานนท์) เจ้าของโครงการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)หรือ SENA ที่ตั้งโครงการ ถ.รังสิต-บางพูน ต.บางพูน อ.เมือง จ.ปทุมธานี 12000 พื้นที่โครงการ 8-0-33.4 ไร่ ลักษณะโครงการ บ้านเดี่ยว 2 ชั้น  จำนวนหลัง 88 ยูนิต ขนาดที่ดิน 50-90 ตร.วา  สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง Private Lounge & Clubhouse, Panorama Fitness, Infinity Edge Swimming Pool, POSH Garden, Meeting Room, CCTV, Securities 24 hrs., Underground Cable, WIFI Village ปีที่สร้างเสร็จ คาดว่าแล้วเสร็จบางส่วนเดือนธันวาคม 2562 ราคาเริ่มต้น 6.99-14 ล้านบาท จุดเด่นโครงการ บ้านเดี่ยวนวัตกรรมใหม่ Green Tech for Life พร้อมระบบรักษาความปลอดภัย 5 ชั้น เดินทางสะดวกสบาย ติดถนนใหญ่ ใกล้รถไฟฟ้า ทางด่วน 2 สายและสนามบินดอนเมือง จุดขึ้น-ลงทางด่วน ทางด่วนขั้นที่ 2 บางโคล่ - แจ้งวัฒนะ, ทางยกระดับอุตราภิมุข (ดอนเมืองโทลล์เวย์) สถานที่ใกล้เคียง เทสโก้ โลตัส, แม็คโคร, ฟิวเจอร์พาร์ค, เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์, ZPELL, ตลาดพูนทรัพย์, ม.รังสิต   รายละเอียดบ้านเดี่ยว ติวานนท์ "เสนา แกรนด์โฮม รังสิต-ติวานนท์" Sena Grand Home Rangsit-Tiwanon โครงการอื่นๆ จาก SENA เสนาพาร์คแกรนด์ รามอินทรา เสนา อีโคทาวน์ รามอินทรา-วงแหวน เสนา วิลล์ ลำลูกกา คลอง 6  
[PR News] แลนดี้ โฮม ชู Big Data กวาดยอดขาย 2,000 ล้าน

[PR News] แลนดี้ โฮม ชู Big Data กวาดยอดขาย 2,000 ล้าน

แลนดี้ โฮม ใช้ Big Data เสริมแกร่งธุรกิจรับสร้างบ้าน เปิดตัวแอปพริเคชั่น ดันเป้ายอดขายโต 5-10% มั่นใจปิดตัวเลข 2,000 ล้าน แม้การแข่งขันสูง ผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาชิงตลาด   นางสาวพรรัตน์ มณีรัตนะพร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัทแลนดี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า  จากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน องค์กรหลายๆ องค์กร ต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการบริหารจัดการองค์กร และต้องรู้จักปรับใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเพื่อนำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จ ซึ่งในสถานการณ์นี้ หลายๆ องค์กร ต่างมุ่งเน้นการใช้เทคโนโลยี กับข้อมูล Big Data เพื่อบริหารจัดการความต้องการของลูกค้า เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง     สำหรับบริษัทได้นำเอาเทคโนโลยี และ Big Data มาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน อาทิเช่น  การเปิดตัว Landy Home Application รับปรึกษาแบบและงานขาย ในงาน Home Builder & Materials Expo 2019 ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลเพื่อนำเสนอแก่ลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ช่วยให้ลูกค้า เข้าใจสินค้าและบริการได้ดียิ่งขึ้น  สามารถเสนอราคาพร้อมกับแบบบ้านที่ลูกค้าได้เลือกไว้ส่งเข้า Email หรือ Line ของลูกค้าได้ทันที ทำให้ลูกค้าเห็นภาพและตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ส่งผลให้ภายในงาน Home Builder & Materials Expo 2019 บริษัทมียอดจองเพิ่มขึ้น 20% ​   “เรามองว่า Big Data คือเทคโนโลยีและสถาปัตยกรรมไอทีรุ่นใหม่ ที่สามารถรองรับการจัดเก็บ การจัดการ กรองเลือกข้อมูล การวิเคราะห์  ซึ่งในอดีตที่ผ่านมายังไม่มีเครื่องมือมารองรับ หรือยังไม่เคยนำมารวมกันเพื่อตั้งโจทย์ที่เป็นประโยชน์กับธุรกิจ แต่ก่อนอาจต้องให้สถาบันการศึกษาหรือ หน่วยงานวิจัย ทำแบบสอบถาม  การค้นหาผลลัพธ์ ผ่านกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูลและดูความสัมพันธ์ เลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสม จะได้เกิดประโยชน์กับธุรกิจ แต่ยุคนี้ทุกอย่างลัดขั้นตอน ง่าย เร็ว และเห็นผลชัดมากขึ้น”   ปัจจุบัน Digital Marketing มีเครื่องมือมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Google Analytics, Google Adwords หรือ Facebook Ads Manager ถ้าหากใช้เครื่องมือเหล่านี้เป็น และคอยเก็บบันทึกข้อมูลเป็นระยะเวลาต่อเนื่อง นั่นแหละคือ Big Data และนำข้อมูลเหล่านั้นมาวิเคราะห์ต่อยอดได้ว่า มีคนเข้าคลิกเว็บไซต์จำนวนกี่คน ระยะเวลาที่เปิดหน้าเว็บไซต์ คำค้นหาใดยอดฮิต หรือเป็นสิ่งที่ตลาดมีความต้องการ อยากรู้ ข้อมูลเหล่านี้นับว่ามีค่าเป็นอย่างมาก เพราะมีผลต่อครีเอทหรือทำแคมเปญที่เขาสนใจ ช่วยเพิ่มความรวดเร็วให้ฝ่ายการตลาด, ทำให้เรามองเห็นความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้ชัดฯลฯ AI พัฒนา และ จดจำ ไปคล้ายๆ กับสมองของมนุษย์ การเริ่มต้นใช้เครื่องมือในวันนี้ ทำให้เราได้เรียนรู้ไปพร้อมๆ กับโลกของธุรกิจด้วย   นางสาวพรรัตน์  กล่าวว่า เมื่อก่อนบริษัทฯ เน้นสร้างบ้าน เสร็จเร็ว ส่งต่อ รับมอบ หาลูกค้าใหม่ แต่ปัจจุบัน Big Data ทำให้องค์กร มองวิธีการแข่งขันไม่เหมือนเดิม บริษัทได้นำระบบการบริหารข้อมูล Big Data มาพัฒนาการบริการ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมช่วยลดขั้นตอนต่างๆ ที่ไม่จำเป็น  แม้กระทั่งโฆษณาและโปรโมชั่นที่ไม่เหมาะกับความต้องการของตัวลูกค้า ทางบริษัทเองสามารถคัดสรรข้อมูล ข่าวสาร หรือโฆษณารวมทั้งโปรโมชั่นต่างๆ โดยไม่จำเป็นออกซึ่งช่วยประหยัดงบโฆษณาได้ราว 1% ของยอดขาย     นอกจากนี้ ยังมีการนำเอาระบบการควบคุมงานก่อสร้าง Work Flow System โดย Work Flow System ซึ่งเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่ถูกสร้างขึ้น มาใช้บริหารจัดการ การทำงานของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ส่วนงานขาย งานออกแบบ งานก่อสร้าง ตลอดจนในส่วนของการบริการหลังการขายให้เป็นลำดับขั้นตอนอย่างมีประสิทธิภาพ เริ่มต้นตั้งแต่ การเปิดใบงาน เพื่อเข้าสู่กระบวนการปฏิบัติงาน เพื่อให้บุคลากรในฝ่ายที่เกี่ยวข้องทราบถึงขั้นตอนการทำงานได้อย่างชัดเจน หากเกิดความล่าช้าในจุดใดก็สามารถทราบได้ทันทีถึงสาเหตุ สามารถแก้ไขปัญหาได้รวดเร็วการจัดการอย่างมีประสิทธิภาพนี้เองทำให้ แลนดี้ โฮม สามารถสร้างบ้านได้พร้อมกันเป็นจำนวนมาก เสร็จทันหรือก่อนเวลาส่งมอบ สร้างความประทับใจแบบปากต่อปาก   นางสาวพรรัตน์  กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นผลมาจากมหกรรมรับสร้างบ้าน เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา สามารถปิดยอดจองได้ถึง 180 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80% จากปีที่ผ่านมา  และคาดว่าจะปิดยอดขายในปี 2562  ได้ตามเป้าหมายที่ 2,000 ล้านบาท แม้ว่าจะมีการแข่งขันที่รุนแรงจาก การมีผู้เล่นรายใหม่เข้ามาอย่างต่อเนื่อง แต่บริษัทยังคงเติบโตตามเป้าหมายในอัตรา 5-10% ทุกปี เป็นผลจาก Brand Awareness ของบริษัทที่มีสูงถึง 80% และการนำนวัตกรรมการก่อสร้างบ้านต่างๆ มาใช้  อาทิ ห้องน้ำผู้สูงอายุ ระบบบ้านปลอดแมลงสาบ โปรโมชั่น ฟรีเสาเข็มเจาะ อัพเกรดวัสดุ
สรุปข่าวรอบสัปดาห์ วันที่ 14-22 กันยายน 2562

สรุปข่าวรอบสัปดาห์ วันที่ 14-22 กันยายน 2562

เหลือเวลาไม่อีกกี่วันเดือนกันยายนก็จะผ่านพ้นไป และเป็นการก้าวเข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้แล้ว วันเวลาผ่านไปเร็วมาก ฤดูกาลสุดท้ายในการทำธุรกิจและเร่งยอดขาย คงเหลือเวลาอีกแค่ 3 เดือน เพื่อพิชิตเป้าหมายให้ได้ตามที่ได้ประกาศไว้ตั้งแต่ต้นปี บรรยากาศธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็น่าจะคึกคักมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา ช่วงรอบสัปดาห์ของวันที่ 14-22 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา กิจกรรมของดีเวลลอปเปอร์ก็มีออกมาอย่างต่อเนื่อง ใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ติดตามกันได้... พฤกษา เปิดคอนโดใหม่ ไลฟ์สไตล์สุขุมวิท The Privacy S101   “พฤกษา” ถือเป็นเจ้าตลาดบ้านและคอนโดมิเนียม ที่เปิดตัวโครงการใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ The Privacy S101 (เดอะไพรเวซี่ สุขุมวิท 101) มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท  เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 8 ชั้น จำนวน 2 อาคารที่เชื่อมต่อถึงกัน บนพื้นที่ประมาณ 3 ไร่ จำนวน 394 ยูนิต  เป็นแบบตกแต่งครบ (Fully Furnished) มีให้เลือก 3 รูปแบบคือ แบบ 1 Bedroom ขนาด 26-29 ตารางเมตร แบบ 1 Bedroom Plus ขนาด 35 ตารางเมตร และ Combined Unit ขนาด 55 ตารางเมตร   นายปิยะ ประยงค์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท - แวลู บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โครงการดังกล่าวพัฒนา ภายใต้แนวคิด “Live SUKhumvit Moment” ซึ่งมาจากที่ตั้งโครงการ ที่อยู่ในซอยสุขุมวิท 101 เพียง 450 เมตรถึงรถไฟฟ้าสถานีปุณณวิถี เชื่อมต่อ Skywalk ถึง ทรูดิจิทัลพาร์ค โครงการเป็นห้องชุดตกแต่งครบราคาเริ่มต้นเพียง 2.49 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 100,000 บาทต่อตารางเมตร   ดีแลนด์ฯ จับมือ “วราภรณ์ ซาลาเปา-ชาตรามือ” เปิดไดร์ฟทรูแห่งแรก   หลังจากบริษัท ดี-แลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ได้เปิดตัวคอมมูนิตี้มอลภายใต้แบรนด์ “พอร์โต้ โก” (Porto Go) ไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว กับทำเลบางปะอิน ตั้งอยู่บนถนนสายเอเชีย กิโลเมตรที่ 4 ฝั่งขาออกจากกรุงเทพฯ ที่อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในชื่อ “พอร์โต้ โก บางปะอิน” และประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี จึงเดินพัฒนาโครงการที่ 2   นายสุเทพ ปัญญาสาคร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี-แลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ได้ทุ่มงบประมาณ 400 ล้านบาท พัฒนาโครงการ “พอร์โต้ โก ท่าจีน” บนพื้นที่  23 ไร่  ตำบลบางโทรัด อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ก่อนถึงวัดเกตุมวดีศรีวราราม  เจาะกลุ่มนักเดินทางบนถนนพระราม 2 ซึ่งมีปริมาณการจราจร เฉลี่ยสูงถึงวันละ 120,000 คัน เพื่อสร้างประสบการณ์และความสะดวกสบาย  ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำติดแอร์พร้อมระบบสุขภัณฑ์แบบไร้การสัมผัส สถานีบริการน้ำมัน ร้านค้า ร้านอาหารมากถึง 30 ร้าน บริการชาร์จไฟฟ้ารถยนต์ และที่จอดรถมากกว่า 200 คัน พร้อมที่จอดรถทัวร์  คาดว่าจะสร้างเสร็จสมบูรณ์และเปิดให้บริการได้เต็ม รูปแบบภายในต้นปี 2563   บริษัทยังได้ดึงพันธมิตรทางธุรกิจที่พร้อมจะขยายธุรกิจในรูปแบบไดร์ฟทรูและรูปแบบใหม่ๆ ที่จะ เกิดขึ้นในอนาคตเข้าร่วม ซึ่งปัจจุบันโครงการ “พอร์โต้ โก ท่าจีน” มีพันธมิตร ทั้ง Starbucks และ KFC เปิดให้ บริการไดร์ฟทรู จนถึง 4 ทุ่มทุกวันแล้ว อีกทั้ง วราภรณ์ ซาลาเปา และ ชาตรามือ สองแบรนด์ดังสัญชาติไทย ได้เตรียมเปิดไดร์ฟทรูเป็นสาขาแรกในประเทศไทยในวันที่ 27 กันยายน และ 10 ตุลาคมนี้ ในส่วนสถานีบริการน้ำมัน ได้จับมือกับบริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด ในการเปิดสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ ซึ่งจะเป็นสาขาที่ 3 บนถนนพระราม 2 เปิดให้บริการในเดือนพฤศจิกายนนี้ (อ่านข่าวเพิ่มเติม) ฮาบิแทท กรุ๊ป ชู 4 จุดแข็ง ไลฟ์สไตล์อินเวสเม้นท์ ธุรกิจอสังหาฯ แม้ว่าตลาดโดยรวมจะชะลอตัว โดยเฉพาะมาตรการ LTV ที่ออกมา ส่งผลกระทบให้กำลังซื้อของกลุ่มลูกค้าบางส่วนหายไป  แต่สำหรับกลุ่มนักลงทุนที่ยังมีกำลังซื้อก็ยังคงมีอยู่ในตลาด ถ้าสินค้าใช่ ทำกำไรตอบโจทย์พวกเขาได้ กลุ่มฮาบิแทท จึงยังคงเดินหน้าจับตลาดกลุ่มนักลงทุนที่มองหาโอกาสทางการตลาดและผลตอบแทนจากธุรกิจอสังหาฯ อย่างต่อเนื่อง   นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีอัตราการเติบโตที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอสังหาฯ เพื่อการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่า ตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ หรือ “ไลฟ์สไตล์ อินเวสเม้นท์” (Lifestyle Investment) ซึ่งเป็นแนวทางที่บริษัท มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจเป็นผู้นำทางการตลาด และวันนี้พร้อมก้าวไปอีกขั้นด้วยการประกาศวิสัยทัศน์เพื่อก้าวสู่ “THE CREATOR OF LIFESTYLE INVESTMENT” ซึ่งเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในตลาดอสังหาฯเพื่อการลงทุน ที่ไม่ใช่แค่พัฒนาโปรดักส์และการให้บริการเท่านั้น แต่ยังเป็นการมอบความคุ้มค่าในการลงทุน ภายใต้แนวคิด Invest Remarkably, Live Extraordinary   ทั้งนี้ ฮาบิแทท กรุ๊ป มีความมุ่งมั่นที่จะก้าวสู่ “THE CREATOR of LIFESTYLE INVESTMENT” เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนในรูปแบบไลฟ์สไตล์ อินเวสเม้นท์ ผ่านจุดเด่นที่แตกต่าง 4 ด้านสู่ความสำเร็จ ได้แก่ 1.UNBREAKABLE CHALLENGER ทีมงานที่มีความมุ่งมั่น และไม่หยุดแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อลูกค้า มองไปข้างหน้าเพื่อพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตและการลงทุนที่คุ้มค่าในอนาคต 2.REALISTIC OPTIMIST เตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคต ด้วยการยึดถือความเป็นจริงเป็นหลัก และสร้างโอกาสความเป็นไปได้อยู่เสมอ โดยไม่หวั่นไหวกับปัญาหาและอุปสรรคใดๆ 3.SERVICE INNOVATOR มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมบริการ สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว เพื่อยกระดับสู่การเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ล้ำหน้าอยู่เสมอ 4.ZENITH OF VISIONARIES มุ่งศึกษาค้นคว้าและเรียนรู้ถึงพฤิตกรรมของลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด สอดรับกับการขยายตัวของตลาดโลก   เอสบี ปรับลุคสาขา CDC ใหม่ เป็น Flagship Store ครบวงจร ไม่เพียงแต่ธุรกิจอสังหาฯ  ต้องปรับตัวเพื่อสร้างการเติบโตให้ได้ตามเป้าหมายเท่านั้น แต่ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์เองก็ต้องปรับตัวเช่นกัน เพราะคู่แข่งในตลาดเยอะมาก แถมการแข่งขันก็สูงจากสงครามราคา แต่ละแบรนด์จึงต้องสร้างความแตกต่าง และเพิ่มความหลากหลายในสินค้าเพื่อเป็นทางเลือกกับลูกค้ามากที่สุด   นางธัญญรักข์ ชวาลดิฐ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท เอสบี เฟอร์นิเจอร์ เปิดเผยว่า ได้ทุ่มงบประมาณกว่า 200 ล้านบาท ขยายพื้นที่ เอสบี ดีไซน์สแควร์ สาขา คริสตัล ดีไซน์เซ็นเตอร์ (CDC) เพิ่มจาก 10,000 ตาราเมตร เป็น 15,000 ตารางเมตร พร้อมปรับโฉมใหม่ให้เป็น Flagship Store  ครบวงจร ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The New Era of Luxe Design Home Decorations” เนื่องจากเป็นสาขาที่เปิดให้บริการมานานนับ 10 ปี  ซึ่งมีสินค้าตกแต่งบ้านใหม่ๆ แบรนด์ชั้นนำจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายมาเพิ่มมากขึ้น  แต่พื้นที่มีจำกัดจึงจำเป็นต้องขยายพื้นที่รองรับ นอกจากการขยายพื้นที่ให้บริการแล้ว  ยังมีการเปิดตัว Zelection Built-in ซึ่งเป็นแบรนด์ของกลุ่มสินค้าบิลท์อิน และได้เปิดตัว SB Designer Club Workspace ซึ่งจะเป็น Hub แห่งแรกของเหล่าอินทีเรียดีไซเนอร์เฉพาะที่เป็นสมาชิก “SB Designer Club” เท่านั้น โดยการจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมายไม่ว่าจะเป็น Meeting Rooms, Smart TV, Free WIFI, Pointer, Bluetooth Speaker, F&B Special Pack (อ่านข่าวเพิ่มเติม) “ออริจิ้น” ร่วมทุน “กลุ่มดุสิตธานี” ปั้นคอนโดไฮเอนด์ การทำธุรกิจในยุคนี้ บางครั้งก็ต้องมีเพื่อนทางธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตร่วมกัน แบบว่าใช้จุดเด่นของแต่ละบริษัทมาทำให้เกิดความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ดีกว่าจะมาแข่งขันกันเอง ลุ่ดกลุ่มออริจิ้นจึงจับมือกับกลุ่มดุสิตธานี พัฒนาโครงการร่วมกัน   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า ได้จับมือกับบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DTC ร่วมกันครั้งแรกในสัดส่วน 51% ต่อ 49% เพื่อพัฒนาโครงการร่วมทุน (Joint Venture Project) ภายใต้ชื่อ “เดอะ แฮมป์ตัน ศรีราชา บาย ออริจิ้น แอนด์ ดุสิต” (The Hampton Sriracha by Origin and Dusit) เป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ 26 ชั้น 1 อาคาร แบ่งเป็นยูนิตพักอาศัย 468 ยูนิต และยูนิตเพื่อการพาณิชย์ 3 ยูนิต บริเวณตรงข้ามตึกคอม ใจกลาง ศรีราชา มูลค่าโครงการประมาณ 1,400 ล้านบาท   เนื่องจากมองว่าพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC มีศักยภาพการเติบโต เนื่องจากมีทั้งเมกะโปรเจ็คท์และเม็ดเงินลงทุนสะพัดมหาศาล มีนักลงทุนเข้ามาในพื้นที่จำนวนมาก รวมถึงมีการคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในพื้นที่ปีละไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน  ประกอบกับอำเภอศรีราชา ถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพที่สุดอีกแห่งหนึ่งใน EEC เนื่องจากมีทั้งนิคมอุตสาหกรรมดั้งเดิม เช่น นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง และนิคมอุตสาหกรรมที่กำลังจะพัฒนาขึ้นใหม่อีกจำนวนมาก อยู่ใกล้แหล่งโลจิสติกส์ระหว่างประเทศที่กำลังจะพัฒนาขึ้นอย่างท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 รวมถึงยังเป็นที่ตั้งของโครงการเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล หรือ ดิจิทัล พาร์ค ไทยแลนด์ ซึ่งเป็นเมกะโปรเจ็คท์และแลนด์มาร์คใหม่ของบริษัทด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพในไทยและภูมิภาคบนพื้นที่กว่า 700 ไร่   เอพี ไทยแลนด์ จับมือพันธมิตร ผนึกม.สแตนด์ฟอร์ด เปิดทำวิจัยระดับโลก การทำธุรกิจหัวใจหลักของความสำเร็จ คือ “คน” เพราะ คือ ผู้ที่จะขับเคลื่อนองค์กรให้ไปในทิศทางที่วางเอาไว้  การพัฒนาบุคลากรจึงเป็นความสำคัญอันดับแรกๆ ขององค์กร  เอพี ไทยแลนด์ จึงได้ร่วมกับเอไอเอส และธนากคารกสิกรไทย จับมือร่วมกันพร้อมด้วยมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เปิด The Stanford Thailand Research Consortium การทำวิจัยระดับโลก ภายใต้การดูแลของ SEAC   ครั้งแรกของโลก ที่รวมศาสตราจารย์และผู้เชี่ยวชาญระดับสูงของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด 20 คน จากกว่า 9 สาขาวิชาเพื่อดำเนินการศึกษา ค้นคว้า และวิจัยเจาะลึกเต็มรูปแบบ ครอบคลุม 4 มิติองค์ความรู้เพื่ออนาคต ได้แก่ 1. ยกระดับความสามารถคนไทยให้เท่าทันโลก 2. นำเทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์มาพัฒนาธุรกิจและเศรษฐกิจไทย  3. เสริมสร้างมาตรฐานคุณภาพชีวิตของคนไทยให้สูงขึ้น  อย่างยั่งยืน และ 4. ส่งเสริมการพัฒนาสังคมเมืองที่คิดถึงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนดำเนินการศึกษา ค้นคว้า และวิจัยผ่านหลากหลายโครงการวิจัยและพัฒนาในระยะเวลา 5 ปี  ภายใต้การดูแลและสนับสนุนจาก เอสอีเอซี (SEAC) ศูนย์พัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแห่งภูมิภาคอาเซียน   นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การก่อตั้ง “The Stanford Thailand Research Consortium” ซึ่งเป็นการทำวิจัยระดับโลกครั้งแรกของไทย ในการนำความรู้ ความสามารถ ตลอดจนทรัพยากรต่างๆ ที่มีมาช่วยพัฒนาศักยภาพประเทศไทยของเราในหลากหลายมิติ  ท่ามกลางความท้าทายที่เกิดขึ้นมากมาย ‘คุณภาพของคน’ คือ ประเด็นสำคัญที่โลกธุรกิจกำลังเผชิญอยู่ ดังนั้น ประเด็นเรื่อง การยกระดับความสามารถของคนไทยให้เท่าทันโลกนี้เองจะเป็นหัวข้อหนึ่งในงานวิจัยที่ทาง The Stanford Thailand Research Consortium จะหยิบขึ้นมาทำการศึกษา ค้นคว้า และวิจัยเจาะลึกอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อสร้างการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ และยั่งยืน   เครือบีทีเอสกรุ๊ป ทุ่มงบ 5 พันล้าน เปิดตัวโรงเรียนนานาชาติ กลุ่มบีทีเอส เองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องของการศึกษา เพราะเห็นไปในทิศทางเดียวกับหลายองค์กรว่า การจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้ “คน” ที่มีคุณภาพคือปัจจัยความสำเร็จนั้น  จึงได้จับมือ พันธมิตร บริษัท ฟอร์จูน แฮนด์ เวนเจอร์ ลิมิเต็ด จากฮ่องกง ประกาศร่วมลงทุน  5,000 ล้านบาท  เพื่อก่อตั้ง “โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ”   นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) ในเครือของบริษัท  ได้จับมือกับบริษัท ฟอร์จูน แฮนด์ เวนเจอร์ ลิมิเต็ด จากฮ่องกง ประกาศร่วมลงทุน 5,000 ล้านบาทเพื่อก่อตั้งโรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 168 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับโรงเรียนนานาชาติแห่งอื่นๆ ในเขตกรุงเทพฯ  ติดกับโครงการธนาซิตี้ ย่านบางนา สามารถรองรับจำนวนนักเรียนได้ถึง 1,800 คน ตั้งแต่ชั้นเตรียมอนุบาลจนถึงเกรด 12 และจะเริ่มเปิดสอนตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2563 เป็นต้นไป   “การลงทุนในครั้งนี้ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งในยุทธศาสตร์ของ ยู ซิตี้ ที่จะพัฒนาที่ดินในบริเวณใกล้กับโครงการธนาซิตี้ให้กลายเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าอย่างยั่งยืนในอนาคต ทั้งนี้ โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซมีพื้นที่รวมทั้งหมด 168 ไร่ หรือ 66 เอเคอร์ จึงถือเป็นโรงเรียนนานาชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเขตกรุงเทพฯ ตลอดจนมีพื้นที่สีเขียวรวมมากถึงประมาณ 60% ของพื้นที่ทั้งหมด เพื่อให้นักเรียนได้รับทั้งความผ่อนคลาย ใกล้ชิดกับธรรมชาติ และช่วยส่งเสริมสติปัญญาและแรงบันดาลใจด้านศิลปะ”   การร่วมลงทุนของบริษัท ฟอร์จูน แฮนด์ เวนเจอร์ จำกัด ในโรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ ถือเป็นการลงทุนจากต่างประเทศที่มีมูลค่าสูงสุดในภาคการศึกษาระบบโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย โดยเงินลงทุนดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ในการพัฒนาทั้งในด้านการก่อสร้างอาคารเรียนและสถานที่ ตลอดจนการคิดค้นรูปแบบการเรียนการสอนแบบใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์และมีประสิทธิภาพ   ​   “บริทาเนีย” เปิด 5 โครงการใหม่ เพราะตลาดคอนโดฯ ปีนี้ได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV ทำให้หลายดีเวลลอปเปอร์ เบนเข็มพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น  ค่ายออริจิ้นก็มาในทิศทางเดียวกัน เพิ่มสัดส่วนพอร์ตบ้านแนวราบมากกว่าที่ผ่านมา โดยล่าสุด บริษัทลูกอย่างบริษัท บริทาเนีย จำกัด ก็เดินหน้าเปิดโครงการใหม่ถึง 5 โครงการ   นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด ในเครือ บริษัท  ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า หลังจากโครงการบริทาเนีย ศรีนครินทร์ โครงการแรกของบริษัทที่เปิดตัวเมื่อปลายปี 2560 สามารถปิดการขายได้ในเวลาเพียง 1 ปีเศษ และ 2 โครงการที่เปิดตัวเมื่อปลายปี 2561 คือบริทาเนีย บางนา กม.12 และบริทาเนีย เมกะทาวน์ บางนา ได้รับการตอบรับที่ดี บริษัทจึงเตรียมเปิดตัวโครงการบ้านจัดสรรใหม่เพิ่มอีก 5 โครงการ  ทั้งโครงการบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม เมื่อรวมกับโครงการบริทาเนีย วงแหวน-หทัยราษฎร์ ที่เปิดตัวไปแล้วในช่วงไตรมาส 1/2562 จะทำให้มีการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องมูลค่าโครงการรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท   แผนการพัฒนาโครงการใหม่ 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 10,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.บริทาเนีย บางนา-สุวรรณภูมิ เป็นโครงการบ้านเดี่ยว และบ้านแฝด จำนวน รวม 485 ยูนิต 2.บริทาเนีย บางนา กม.42 ครอบคลุมทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม จำนวนรวม 492 ยูนิต 3.บริทาเนีย คูคต สเตชั่น เป็นโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด จำนวน 138 ยูนิต 4.บริทาเนีย วงแหวน-รามอินทรา เป็นโครงการบ้านเดี่ยว จำนวน 278 ยูนิต และ 5.บริทาเนีย สายไหม เป็นโครงการบ้านแฝดและทาวน์โฮม จำนวน 294 ยูนิต โดยจะเริ่มทยอยเปิดพรีเซลอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4/2562 (อ่านข่าวเพิ่มเติม) โกลเด้นแลนด์ เปิดบริการ “สามย่านมิตรทาวน์” ปิดท้ายของสัปดาห์ กับการเปิดให้บริการโปรเจ็กต์มิกซ์ยูสแรก บนถนนพระราม 4 กับโครงการสามย่านมิตรทาวน์ เมื่อวันศุกร์ที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งได้รับกระแสการตอบรับที่ดี จากทั้งชาวสามย่าน จุฬาฯ และผู้อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง เพราะที่นี่มีโซนเปิดให้บริการแบบ 24 ชั่วโมงด้วย     นายธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทใช้งบประมาณกว่า 9,000 ล้านบาท พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบผสมผสานหรือมิกซ์ยูส ภายใต้ชื่อ “สามย่านมิตรทาวน์” ขณะนี้พร้อมแล้วในการเปิดให้บริการแก่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายเพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัย การทำงาน การพักผ่อนหย่อนใจ ตลอดจนการช้อปปิ้ง ให้ครบวงจรในที่เดียว สำหรับจุดเด่นของโครงการสามย่านมิตรทาวน์ ถือเป็นมิกซ์ยูสแห่งแรกบนหัวมุมถนนพญาไท - พระราม 4 ที่มีความสมบูรณ์แบบ รวมพื้นที่ใช้สอย 222,000 ตารางเมตร เนื่องจากภายในโครงการประกอบด้วย ที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม “ทริปเปิ้ล วาย เรสซิเด้นซ์” โรงแรม “ทริปเปิ้ล วาย โฮเทล” อาคารสำนักงาน “มิตรทาวน์ ออฟฟิศ ทาวเวอร์” และพื้นที่ค้าปลีก “ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์” (อ่านข่าวเพิ่มเติม)    
บ้านแนวคิดใหม่ “บริทาเนีย” เปิดตัว 5 โครงการใหม่ ยึดทำเลกรุงเทพฯตะวันออก-เหนือ

บ้านแนวคิดใหม่ “บริทาเนีย” เปิดตัว 5 โครงการใหม่ ยึดทำเลกรุงเทพฯตะวันออก-เหนือ

เกือบ 2 ปีมาแล้วที่แบรนด์"บริทาเนีย" จากออริจิ้น  ได้ลงสนามเข้าชิงตลาดแนวราบจากโครงการแรกบริทาเนีย ศรีนครินทร์, บริทาเนีย บางนา กม.12, บริทาเนีย เมกะทาวน์ บางนา และโครงการบริทาเนีย วงแหวน-หทัยราษฎร์ ที่เปิดตัวไปช่วงต้นปีจนได้รับกระแสตอบรับที่ดีมาตลอด ล่าสุดได้ลุยเปิดรวด 5 โครงการ โดยยึดทำเลกรุงเทพฯตะวันออก-เหนือ   นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด บริษัทพัฒนาบ้านจัดสรรในเครือ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริทาเนียการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องจาก 4 โครงการที่ผ่านมา รวมถึงอีก 5 โครงการที่เปิดตัวล่าสุด จะมีมูลค่าโครงการรวมประมาณ 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเรายังคงมองเห็นเรียลดีมานด์ในทำเล Blue Ocean หลายทำเล รวมถึงการพัฒนากลยุทธ์การสร้างบ้านแนวคิดใหม่ด้วยคอนเซ็ปต์ “B Genius Mode” ประกอบด้วย 1.B Smart Home Automation ให้เชื่อมต่อกับระบบรักษาความปลอดภัยภายในบ้านได้อย่างง่ายดายทุกที่ทุกเวลา เช่น IP Camera, Motion Sensor 2.B Smart Design ออกแบบอย่างเข้าใจไลฟ์สไตล์ผู้อยู่อาศัยและทุกฟังก์ชันของการใช้ชีวิต อาทิ ครัวไทยแบบปิด แยกออกจากตัวบ้าน ป้องกันกลิ่นรบกวนภายในบ้าน   พร้อมทั้งตอบโจทย์ผู้รักการทำอาหาร การจัดวาง USB Outlet ทุกจุดสำคัญภายในบ้าน ตอบโจทย์การใช้งาน device ทุกพื้นที่       การทำ Double Volume เพดานสูงในห้องนั่งเล่น การเพิ่มห้องนอนที่ 4 ในทาวน์โฮม 3.B Smart Home Services มีบริการหลังการขายแบบ On demand ทั้งบริการทำความสะอาดและช่างเทคนิค ผ่านแอปพลิเคชัน Origin Connect 4.B Smart Community อาศัยความเข้าใจผู้บริโภคและประสบการณ์ที่มีในธุรกิจคอนโดมิเนียมมาอย่างยาวนาน มาประยุกต์ใช้กับแบรนด์บริทาเนียแบบจัดเต็ม สร้างคลับเฮาส์ทันสมัยภายใต้ชื่อ Club Britania เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ สระว่ายน้ำ, สนามเด็กเล่น, Steam Room, Tea Room, Co-working space   ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จ (Key Success Factor) ประกอบด้วย 4 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.Prime Location บริษัทเลือกพัฒนาโครงการเฉพาะในทำเลที่มีศักยภาพอย่างแท้จริง ใกล้ถนนหลัก ใกล้ทางด่วน มีเมกะโปรเจ็คท์และสถานที่สำคัญต่างๆ อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง ทั้งร้านอาหาร คอมมูนิตี้ มอลล์ โรงเรียน โรงพยาบาล ฯลฯ 2.Smart Design คำนึงถึง Human-centric ออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยใส่ใจหาโซลูชั่นมาขจัด Pain Point ของผู้บริโภค 3.Smart Products พัฒนาบ้านให้มีนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยและไลฟ์สไตล์ทุกรูปแบบ และ 4.Smart Services มีบริการแบบ On demand เช่น บริการพนักงานทำความสะอาด คอยตอบสนองความต้องการหลังการขาย   นายธำรง ปลูกจิตรสม กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริทาเนีย จำกัด กล่าวว่า สำหรับ 5 โครงการใหม่ ได้แก่ 1.บริทาเนีย บางนา-สุวรรณภูมิ เป็นโครงการบ้านเดี่ยว และบ้านแฝด จำนวน รวม 485 ยูนิต 2.บริทาเนีย บางนา กม.42 ครอบคลุมทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม 68-70 ไร่ ราคาเริ่มต้น 2-5 ล้านบาท จำนวนรวม 492 ยูนิต 3.บริทาเนีย คูคต สเตชั่น เป็นโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด จำนวน 138 ยูนิต 4.บริทาเนีย วงแหวน-รามอินทรา เป็นโครงการบ้านเดี่ยว 68 ไร่ ราคาเริ่มต้น 6-9 ล้านบาท  จำนวน 278 ยูนิต 5.บริทาเนีย สายไหม เป็นโครงการบ้านแฝดและทาวน์โฮม 65 ไร่ ราคาเริ่มต้น 2-4 ล้านบาท จำนวน 294 ยูนิต โดยจะเริ่มทยอยเปิดพรีเซลอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4/2562 เริ่มจากโครงการบริทาเนีย บางนา-สุวรรณภูมิ ในวันที่ 19-20 ต.ค.นี้   ทุกโครงการจะตั้งอยู่ใน Prime Location เกาะทำเลกรุงเทพฯ ตะวันออก ตอกย้ำภาพของเราในฐานะเจ้าทำเลที่เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคย่านดังกล่าวเป็นอย่างดี รวมทั้งตอกย้ำกลยุทธ์การเจาะตลาด Blue Ocean ที่เครือออริจิ้นให้ความสำคัญตลอดมา และยังมีจุดเด่นร่วมกันอีกหลากหลายเรื่อง อาทิ การตกแต่งสไตล์ Modern British Luxury ผสมผสานกลิ่นอายและเอกลักษณ์ความเป็นอังกฤษแบบคลาสสิคเข้ากับความทันสมัย เช่น ใช้ความโค้งมนและโทนสีขาว-เทา-ดำของยุควิคตอเรีย ฟังก์ชันบ้านที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในแบบที่คุณรัก เช่น Multi-purpose spaces ที่สามารถใช้ทำกิจกรรมกับครอบครัวได้อย่างอบอุ่นและหลากหลาย Built-in Furniture ที่คัดสรรแบรนด์คุณภาพและสิ่งที่จำเป็นเพื่อการอยู่อาศัย ขณะเดียวกัน ยังใส่ใจเรื่องเทคโนโลยีและนวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์กลุ่มผู้ซื้อบ้านจัดสรรที่ปัจจุบันมีอายุเฉลี่ยน้อยลง เหลือเพียงประมาณ 30-45 ปี ให้สามารถ ใช้ชีวิตในแบบที่รัก หรือ “A Life You Love”      
โปรโมชั่น “บ้าน-คอนโดฯ” เดือนกันยายน 2562

โปรโมชั่น “บ้าน-คอนโดฯ” เดือนกันยายน 2562

"ดีเวลลอปเปอร์" ยังคงมีจัดโปรโมชั่นออกมากระตุ้นตลาดอย่างต่อเนื่อง ทั้งโปรโมชั่นบ้าน และโปรโมชั่นคอนโดมิเนียม ให้ลูกค้าได้เลือกซื้อ บ้าน-คอนโดฯ ที่ชอบ ในทำเลต่างๆ ทุกระดับราคา หลากหลายแคมเปญ และโปรโมชัน ชอบแบบไหน อยากได้อย่างไร เลือกซื้อ เลือกหากันได้ตามสะดวก แต่ที่สำคัญ ต้องศึกษารายละเอียดและเงื่อนไขแคมเปญให้ดี   นีโอ กรุ๊ป ผุด 3 โครงการใหม่ ใจโปรโมชั่น     บริษัท นีโอ 3241 ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด หรือ นีโอ กรุ๊ป (NEO Group) เปิดตัว 3 โครงการใหม่ มูลค่ารวมประมาณ 300 ล้านบาท บน 3 ทำเลย่านลาดพร้าว  พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ กับกิจกรรมพรีเซลล์ พร้อมชมบ้านตัวอย่างในวันที่ 28-29 กันยายน 2562 หากลูกค้าจองในวันดังกล่าวรับส่วนลดสูงสุด 1,000,000 บาท  ได้แก่   1.โครงการ SENSE นาคนิวาส 48 BY NEO GROUP  บ้านเดี่ยว บ้านแฝด สไตล์โมเดิร์น 3 ชั้น 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ พร้อมห้องอเนกประสงค์   บนพื้นที่เริ่มต้นเพียง 39 - 50 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 285 - 325 ตารางเมตร สามารถเพิ่ม “สระว่ายน้ำ” ได้ มีทั้งหมด 9 หลัง หน้าบ้านกว้าง 8 เมตร ที่จอดรถ 3 คัน ตั้งอยู่ในซอยนาคนิวาส 48 แยก 18 - 20 2.โครงการ NEO SPACE @ WORK ลาดพร้าว 41 โฮมออฟฟิศ 3 ชั้น 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ห้องอเนกประสงค์โถงสูง 5.7 เมตร บนพื้นที่ 27 - 43 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 230 – 300 ตารางเมตร มีทั้งหมด 15 ยูนิต หน้าบ้านกว้าง 5.30 เมตร ที่จอดรถ 4 – 6 คัน มีลิฟต์จอดรถ (Auto Parking) สามารถรับน้ำหนักได้ 2.3 ตัน ตั้งอยู่บนทำเลภาวนา ซอยลาดพร้าว 41 แยก 16 ราคาเริ่มต้นที่ 8.99 ล้านบาท 3.โครงการ NEO HAUS PLUS นาคนิวาส 32 พรีเมี่ยมทาวน์โฮม สไตล์โมเดิร์น  3 ชั้นครึ่ง 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ พร้อม DOUBLE VOLUME สูง 5.8 เมตร บนพื้นที่ 17 - 26 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 196 - 237 ตารางเมตร มีทั้งหมด 8 ยูนิต หน้าบ้านกว้าง 5.40 เมตร ที่จอดรถ 2 คัน ตั้งอยู่บนทำเล ซอย นาคนิวาส 32  ราคาเริ่มต้นที่ 6.99 ล้านบาท   เปิดจอง “เดอะคิวบ์ ลอฟท์ฯ” พร้อมโปรโมชั่น     บริษัท คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้พัฒนาและบริหารงานโครงการ The Cube Loft Srinakarin-Thepharak (เดอะคิวบ์ ลอฟท์ ศรีนครินทร์-เทพารักษ์) คอนโดมิเนียมสูง 8 ชั้น รวม 2 อาคาร  ซอยศรีด่าน 18 และเชื่อมต่อถนนเทพารักษ์  พร้อมเปิดให้จองครั้งแรก วันที่ 21 – 30 กันยายน 2562 ที่บูธ The Cube Loft Srinakarin-Thepharak บริเวณชั้น 1 ใกล้ร้านกาแฟ Starbucks ห้างเทสโก้ โลตัส สาขาศรีนครินทร์ ราคาเริ่มต้น 1.29 ล้านบาท* พิเศษเฉพาะวันงานจองสิทธิ์เพียง 2,000 บาท/ยูนิต* รับส่วนลดสูงสุดถึง 150,000 บาท* มีขนาดให้เลือกตั้งแต่  23.5 – 34.5 ตารางเมตร และจัดเลย์เอาท์ให้เลือกถึง 6 แบบ พร้อมเฟอร์นิเจอร์คุณภาพสูงครบทุกฟังก์ชั่น (Fully Furnished) ดีโซน์มีเอกลักษณ์เฉพาะโครงการจาก เอสบี เฟอร์นิเจอร์ (SB Furniture) ประตูดิจิตอลจากซัมซุง (Digital Door Lock)   เนอวานา จัดแคมเปญ “Live Beyond Limits”      บริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) กระตุ้นตลาดบ้านระดับไฮเอนด์ ในไตรมาส 3 จัดแคมเปญ “LIVE BEYOND LIMITS”  โปรโมชั่นดอกเบี๊ยปีแรกเพียง 0.5%  ผ่อนเพียงล้านละ 1,000 บาทต่อเดือน  พร้อม ส่วนลดสูงสุด 5 ล้านบาท และฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน  กับโครงการเนอวานา บน 8 ทำเลคุณภาพติดถนนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และ โฮมออฟฟิศ ราคาเริ่มต้นที่ 8 – 60 ล้านบาท ในงาน Live Beyond Limits วันที่ 14-22 กันยายนนี้ ที่ Sale Gallery ทุกโครงการเท่านั้น   SYS จัดโปรสุดคุ้ม “SYS Reward 2019”     บริษัท เหล็กสยามยามาโตะ จำกัด หรือ SYS ผู้ผลิตเหล็กเอชบีม ไวด์แฟลงก์ จัดโปรโมชั่นสุดคุ้ม “SYS Reward 2019” ใช้เหล็ก ได้แต้ม แลกทอง รับคะแนนสะสมคูณ 2 เพื่อตอบแทนลูกค้าที่ซื้อเหล็ก SYS ที่ร่วมรายการ และเหล็กแปรรูปจาก Steel Solution by SYS โดยลูกค้าสามารถรับคะแนนสะสมคูณ 2 ได้ตั้งแต่วันนี้ – 30 กันยายน 2562 และสามารถนำคะแนนสะสมไปแลกของกำนัลได้ทาง  ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2562          
19 ร้านคอนเซ็ปต์ “ใหม่”  ในสามย่านมิตรทาวน์

19 ร้านคอนเซ็ปต์ “ใหม่” ในสามย่านมิตรทาวน์

เพราะคอนเซ็ปต์การพัฒนาโครงการ “สามย่านมิตรทาวน์” คือ “Urban Life Library – คลังแห่งอาหารและการเรียนรู้” เป็นวิธีการสร้างความแตกต่าง และการจดจำ โดยไม่ได้มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการให้สวยงามที่สุดเป็นหลัก แต่เน้นสร้างการจดจำ ไม่ได้มุ่งเน้นในเรื่องความหรูหรา แต่เน้นไปสู่ในเรื่องของ Smart & Friendly คีย์เวิร์ดสำคัญที่ถูกนำมาใช้เป็นแนวคิดในการพัฒนา จึงประกอบด้วย 2 คำ คือ “ความรู้” (Knowledge)  และ “อาหาร” (Food) เนื่องจากสร้างโครงการบนพื้นที่ของสำนักทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และที่ดินเดิม คือ ตลาดสามย่าน แหล่งรวมร้านอาหารที่ขึ้นชื่อและอร่อย การพัฒนาจึงมุ่งเน้นการตอบสนองใน 2 เรื่องดังกล่าว โครงการ  “สามย่านมิตรทาวน์” ภายใต้การดำเนินงานของ โกลเด้นแลนด์ หรือ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน)  จึงเต็มไปด้วยร้านค้าและร้านอาหารต่างๆ มากมาย ทั้งที่เคยอยู่ในย่านตลาดสามย่าน และร้านค้าทั่วไป  แต่ที่สำคัญมีหลายร้านที่เพิ่งมาเปิดภายในโครงการเป็นสาขาแรก หรือไม่ก็เป็นคอนเซ็ปต์ใหม่ ซึ่งไม่เคยเปิดที่ไหนมาก่อน รวมถึงยังมีร้านที่เปิดให้บริการแบบ 24 ชั่วโมงด้วย     นี่คือ 19 ร้านค้าร้านอาหาร กับคอนเซ็ปต์ใหม่ที่มีมาเปิดบริการ ใน “สามย่านมิตรทาวน์” เป็นที่แรก ได้แก่                         1.เซ็น บ็อกซ์ (Zen box) อาหารญี่ปุ่นสไตล์ Grab & Go ที่มีรูปแบบร้านขนาดกะทัดรัด และเมนูตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพ   2.อากะ (AKA) เป็นร้านปิ้งย่างสไตล์ญี่ปุ่นในรูปแบบบุฟเฟ่ต์แบบพรีเมียม และปรับปรุงเมนูบุฟเฟ่ต์ซาซิมิมาเป็นครั้งแรกที่สาขานี้   3.มูจิ ไลฟ์สไตส์ แอนด์ คาเฟ่ (Muji Lifestyle and Café) สาขาแรกในประเทศไทย ที่เพิ่มความพิเศษด้วยของว่าง ขนมหวาน และเครื่องดื่ม รวมถึงเมนูอาหารที่ทำจากผักหลากหลายชนิด และวัตถุดิบธรรมชาติ พร้อมจำหน่ายเครื่องเขียน เสื้อผ้า อาหาร และอุปกรณ์เครื่องครัวครบครัน   4.เม่ย เว้ย หว่าน นู้ดเดิ้ล (Mei wei wan noodle) ร้านก๋วยเตี๋ยวเนื้อ สูตรจากไต้หวัน และเนื้อวัวนำเข้าจากออสเตรเลีย   5.ร้านไก่ทอด โต คิว โจ  (To Kio Jo) จากเกาหลี ที่มาเปิดเป็นสาขาแรก   6.ร้านอาหารสไตล์จีน ดินส์ (Din's) ที่มีการสร้างสรรค์ลูกเล่นหรือกิมมิคใหม่ๆ ที่แตกต่างไปจากร้านอาหารในเครือเซ็นกรุ๊ป เป็นแบรนด์ใหม่ที่ถูกขึ้นมาและปักหมุดเป็นสาขาแรก   7.ร้านกาแฟและอาหารบริการด่วน ทิม ฮอร์ตันส์ (Tim Hortons) ซึ่งเป็นร้านชื่อดังจากประเทศแคนาดา     8.ศูนย์อาหารสตรีท ฟู้ด สามย่าน ฟู้ด เลเจ้นด์ส บาย เอ็มบีเค (SAMYAN FOOD Legends by MBK) ที่รวมร้านอาหารระดับตำนานในสามย่าน สะพานเหลือง และเยาวราช  แห่งแรกของเมืองไทยมาเสิร์ฟลูกค้ากว่า 10 ร้าน เช่น เพ้งคั่วไก่ ทูเดย์สเต็ก ไฮเช็งลูกชิ้นปลา   9.เอพรอน วอร์ค (Apron Walk) ชั้น B1 เป็นศูนย์รวมอุปกรณ์เครื่องครัวทันสมัยและครบครันที่สุดในสามย่าน โดยลูกค้าจะมีสินค้าเครื่องครัวให้เลือกหลากหลายแบรนด์ ทั้งยังมีการจำหน่ายวัตถุดิบในการทำอาหารทั้งในส่วนของวัตถุดิบในประเทศและต่างประเทศ รวมไปถึงการมีคุ้กกิ้ง คลาส เพื่อเอาใจคนรักการทำอาหาร     10.ร้านมีเดียม แอนด์ มอร์ (Medium & More) ชั้น 3 ศูนย์รวม อาร์ต แอนด์ คราฟต์ ซัพพลาย (Art and Craft Supply) ความโดดเด่นของร้านนี้ คือ ความครบเครื่องในด้านของอุปกรณ์ศิลปะงานประดิษฐ์ รวมถึงสินค้าแปลกใหม่จากทุกมุมโลก นอกจากนี้ยังมีบริการในส่วนของการสลักชื่อ และปั๊มตัวอักษรหรือลวดลายเงิน ทองลงบนวัสดุหนัง โดยผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้ลูกค้ารู้สึกถึงความเป็น “เจ้าของ” และ “จับจอง” ได้ ซึ่ง “โกลเด้นแลนด์” พัฒนาร้านนี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ   11.เซเลบริตี้ฟิตเนส (Celebrity Fitness) สตูดิโอออกกำลังกาย เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายอายุ 21 - 35 ปี แบรนด์ใหม่ของค่ายฟิตเนส เฟิร์สท   12.แองกริซ (Angkriz) โรงเรียนกวดวิชาภาษาอังกฤษ ที่จะเพิ่มคอร์สอินเตอร์เป็นสาขาแรก เจาะกลุ่มนักเรียนที่ต้องการไปเรียนต่อในต่างประเทศ ปี 2563 จะเพิ่มหลักสูตรในส่วนของคอร์ส PRIVATE CHAMBER หรือ PC (พีซี) คือ คอร์สเรียนส่วนตัวของโรงเรียนกวดวิชาอาจารย์ปิง (ดาว้องก์) เป็นต้น   13.รำปุรี (rumPUREE) โรงเรียนสอนเต้นด้วยคลาสระดับโลก ที่รวบรวมคลาสเต้นมากมาย   14.บิ๊กซี ฟู้ด เพลส (Big C Food Place) แพลตฟอร์มใหม่ของซูเปอร์มาร์เก็ตพร้อมนำอินโนเวชั่นมาบริการลูกค้า อาทิ ป้ายราคาดิจิทัล และมุ่งลดการใช้ถุงพลาสติกอย่างจริงจัง   15.ก๋วยเตี๋ยวเรือพระนคร ก๋วยเตี๋ยวเรือชื่อดังย่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมงสาขาแรก   16.ชาบูชิ บุพเฟ่ต์ (Shabushi buffet) ร้านอาหารญี่ปุ่นประเภทหม้อไฟยอดนิยมที่เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง สาขาแรก   17.เคเอฟซี (KFC) เปิดประสบการณ์ใหม่ พร้อมเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง ภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘1 OF A KIND' สั่งออเดอร์อาหารด้วยระบบ Self-ordering Kiosk ได้เห็นกระบวนการประกอบอาหารผ่าน Open Kitchen รวมไปถึงการจ่ายเงินในรูปแบบ Cashless และสามารถสั่งผ่านมือถือได้ด้วยบริการ Click & Collect ที่สำคัญยังใช้ชื่อร้าน ภายใต้ชื่อต้นตำรับดั้งเดิมของ KFC คือ Kentucky Fried Chicken เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นตลาดย่านเก่าของ “สามย่าน”      18.สเวนเซ่นส์ (Swensens) สาขาแรกที่จะเปิดให้บริการภายในโซน 24 ชั่วโมง   19.ไวท์สตอรี่ เดลี่ (White Story Daily) ร้านเบเกอรี่ และอาหารเครื่องดื่ม ของทานเล่น ในรูปแบบเทคอะเวย์ ที่มีให้เลือกมากมายหลายอย่างและสดใหม่วันต่อวัน เพื่อให้ลูกค้าได้ทานขนม อาหารที่ดีมีคุณภาพในราคาเป็นกันเอง        
3 ความท้าทายและวิธีไปต่อ ของศูนย์ข้อมูลฯ ธอส. ในยุค Digital Disruption

3 ความท้าทายและวิธีไปต่อ ของศูนย์ข้อมูลฯ ธอส. ในยุค Digital Disruption

ตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2547 ที่มีการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์​ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จนถึงปัจจุบัน นับอายุของศูนย์ข้อมูลฯ ดำเนินงานมาถึง 15 ปีแล้ว การเกิดขึ้นของศูนย์ข้อมูลฯ วัตถุประสงค์หลักแรก คือ ต้องการให้ทำหน้าที่รวบรวบข้อมูลด้านอสังหาฯ ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในงานต่างๆ เข้ามาไว้ด้วยกัน   โดยเฉพาะการจัดทำฐานข้อมูลสำคัญด้านอสังหาฯ  ที่หน่วยงานอื่นไม่จัดเก็บ และจัดทำรายงานสถานการณ์ธุรกิจ เพื่อเผยแพร่ให้ประชาชนทั่วไป และหน่วยงานราชการได้รับรู้  หลังจากที่ประเทศไทยเผชิญกับปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 เกิดปัญหาฟองสบู่แตกในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพราะไม่มีฐานข้อมูลมาใช้ในการวางแผน     ผนึกรวมกับธอส. เสริมศักยภาพ แม้ว่าจะดำเนินงานมานานถึง 15  ปีแล้ว แต่ดูเหมือนว่าศูนย์ข้อมูลฯ  ยังมีข้อจำกัดในการทำงาน และการเพิ่มขีดความสามารถของตนเองให้ได้มากกว่านี้  เพราะการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลฯ ในช่วงเริ่มต้น ถูกวางบทบาทและสถานะให้เป็น “หน่วยงานอิสระ” และมี ธอส. เป็นผู้ดูแล ซึ่งตลอด 15 ปี โครงสร้างของศูนย์ข้อมูลฯ ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง ยังคงเป็นหน่วยงานที่มีธอส. เป็นผู้ดูแลเหมือนเดิม  แต่ยังมีข้อจำกัดในการเพิ่มเจ้าหน้าที่ และงบประมาณ​ ไม่สามารถขยายศักยภาพของตัวเองได้มากกว่านี้  เพราะถูกมองเป็นภาระสำหรับธอส. ปัจจุบันศูนย์ข้อมูลฯ มีเจ้าหน้าที่ 40 คน และได้รับเงินงบประมาณจากธอส. ปีละ 80-90 ล้านบาทเท่านั้น   แนวคิดของนายนริทร์ กัลยาณมิตร ประธานกรรมการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และประธานกรรมการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ มองว่าจะต้องนำเอาศูนย์ข้อมูลฯ​ ควบรวม (Merge) กับธอส. ให้กลายเป็นหนึ่งหน่วยงานของธอส.​ แต่ต้องมีอิสระในด้านการทำงาน  การควบรวมกันเพื่อให้ศูนย์ข้อมูลฯ มีศักยภาพเพิ่มมากขึ้น จากการใช้ทรัพยากรและศักยภาพของธอส. ไม่ว่าจะเป็นเครือข่ายสาขา 200 แห่งทั่วประเทศของธอส. ในการทำงาน รวมถึงอุปกรณ์ เครื่องมือ และงบประมาณ  เพราะศักยภาพของศูนย์ข้อมูลฯ มีมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน สามารถพัฒนาไปได้ถึงการศูนย์ฝึกอบรมด้านอสังหาฯ ของประเทศ หรือการเป็นผู้ให้ใบอนุญาตในธุรกิจอสังหาฯ ก็ยังสามารถพัฒนาไปได้     ศูนย์ข้อมูลฯ​ ยังสามารถก้าวไปสู่การเป็นหน่วยงาน Warning indicator จากการนำเอาข้อมูลมาวิเคราะห์และคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาฟองสบู่เหมือนในยุควิกฤตปี 2540 ซึ่งเป็นเป้าหมายสำคัญที่น่าจะต้องเป็นให้ได้  รวมถึงการพัฒนาให้ศูนย์ข้อมูลฯ​ ทำการวิเคราะห์ข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ และมีความยืดหยุ่นสูง จนถึงระดับสามารถตอบสนองความต้องการของการใช้งานได้แบบเฉพาะเจาะจง อยากได้ข้อมูลพื้นที่ไหนก็วิเคราะห์ออกมาได้   นอกจากนี้ สิ่งที่ศูนย์ข้อมูลฯ ต้องทำหน้าที่รับผิดชอบ คือ การทำหน้าที่รวบรวมข้อมูล จากหน่ายงานต่างๆ  และเป็นผู้ให้คำแนะนำ ชี้แนะหน่วยงานราชการ หรือหน่วยงานที่จะออกมาตรการด้านอสังหาฯ เพื่อให้คำแนะนำได้ว่า มาตรการนั้นๆ ส่งผลดีหรือไม่ดี หรือมีผลกระทบอย่างไรบ้าง   “มาตรการภาครัฐ ที่ออกมา มันไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงก็หลายเรื่อง ถ้าทำให้ศูนย์ข้อมูลฯ นำข้อมูลหลายหน่วยงานมาวิเคราะห์ร่วมกันได้จะเป็นประโยชน์”   ปัจจุบันศูนย์ข้อมูลฯ ยังถือว่าทำหน้าที่เพียงรวบรวมข้อมูล นำข้อมูลมาวิเคราะห์ระดับพื้นฐาน ยังไม่ถึงระดับส่งสัญญาณเตือนได้ สิ่งที่ศูนย์ข้อมูลฯ ต้องพัฒนาอย่างต่อเนื่อง คือ เพิ่มข้อมูลการบริการ เพิ่มบริการมากขึ้น การวิเคราะห์ในเชิงลึก การวิเคราะห์ด้วยความแม่นยำ เพื่อให้ได้ประโยชน์  รู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำ เพื่อไม่ให้ผู้นำข้อมูลไปใช้ได้ประโยชน์สูงสุด และไม่กระทบกับแผนการลงทุนของภาคเอกชน     4 ความท้าทายในยุคดิจิทัล ที่ศูนย์ข้อมูลฯ ต้องเผชิญ   ศูนย์ข้อมูลฯ ไม่เพียงแต่ต้องเผชิญกับข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ  และบุคลากร ซึ่งทำให้ไม่สามารถเพิ่มขีดความสามารถในการทำงานได้มากกว่าปัจจุบันเท่านั้น แต่ต้องยอมรับว่าในโลกยุคดิจิทัลปัจจุบัน ซึ่งเป็นโลกของข้อมูลข่าวสารที่มีมากมายมหาศาล และคนส่วนใหญ่เข้าถึงแหล่งข้อมูลได้ง่าย ก็ถือว่าส่งผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับธุรกิจและพฤติกรรมของคนในยุคปัจจุบันด้วย  ถือเป็นสิ่งที่เข้ามากระทบกับทุกหน่วยงานเช่นกัน ศูนย์ข้อมูลฯ เองก็ต้องปรับตัวให้ทันกับโลกยุคดิจิทัลเช่นกัน   ความท้าทายของศูนย์ข้อมูลฯ ที่ต้องเผชิญในยุคดิจิทัลมีด้วยกัน 3 เรื่องสำคัญ  คือ  1.ข้อมูลที่มีมหาศาลและรวดเร็วแบบเรียลไทม์ ปัจจุบันถือเป็นยุคของ Big Data หรือ Data Science ที่มีข้อมูลมหาศาล และยังมีความรวดเร็วแบบเรียลไทม์ ซึ่งศูนย์ข้อมูลฯ ยังไม่สามารถจัดทำฐานข้อมูลในระดับนั้นได้ โดยเฉพาะการจัดทำข้อมูลในเชิงคาดการณ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกหน่วยงานต้องการข้อมูลประเภทนี้ การวิเคราะห์ข้อมูล หรือ Data Analytic ทางศูนย์ข้อมูลฯ ยังจัดทำได้ไม่สมบูรณ์ จึงถือว่าเป็นความท้าทายสำคัญ ซึ่งจะต้องพัฒนาและก้าวตามไปให้ทัน รวมถึงต้องเพิ่มขีดความสามารถเหล่านั้นให้ได้   2.เครื่องมือและเทคนิคการวิเคราะห์ข้อมูล ปัจจุบันศูนย์ข้อมูลฯ ยังขาดเครื่องมือในการวิเคราะห์ข้อมูล รวมถึงเทคนิคและวิธีการในการวิเคราะห์ข้อมูล ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องสำคัญมากในการพยากรณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต การวิเคราะห์ดีมานด์และซัพพลาย โดยเฉพาะการส่งสัญญาณเตือน หรือ Warning สถานการณ์ตลาดอสังหาฯ  รวมถึงการสร้างนวัตกรรม หรือเครื่องมือในการวิเคราะห์ข้อมูล เช่น Machine Learning เพื่อทำให้เห็นภาพเสมือนจริงของสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้น เพื่อให้ผู้นำเอาข้อมูลไปใช้ได้ง่าย และปฏิบัติตามได้ง่าย   3.การเกิดขึ้นของ Financial Disruption การพัฒนาเครื่องมือทางการเงินในยุคดิจิทัล ส่งผลทำให้เกิดสกุลเงินดิจิทัล รูปแบบทางการเงินดิจิทัล หรือนวัตกรรมทางการเงินในส่วนที่เป็นดิจิทัล แม้ว่าอาจจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับศูนย์ข้อมูลฯ โดยตรง แต่ Financial Disruption ได้ส่งผลกระทบกับภาพใหญ่ของประเทศ ซึ่งศูนย์ข้อมูลฯ ต้องติดตามและวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ด้วย เพราะมีผลต่อการซื้อขายอสังหาฯ ด้วยเช่นกัน   บอร์ดบริหารของศูนย์ข้อมูลฯ  พยายามผลักดันให้ศูนย์ข้อมูลฯ ได้ควบรวมเป็นหนึ่งเดียวกันธอส. เพื่อให้มีศักยภาพและขีดความสามารถในการทำงานด้านข้อมูล ของธุรกิจอสังหาฯ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ซึ่งคงต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง และดูเหมือนจะเป็นหนทางเดียวที่มีความเป็นไปได้มากที่สุด และมีประสิทธิภาพมากที่สุดเช่นกัน ซึ่งนี่คงเป็นหนทางที่จะทำให้ศูนย์ข้อมูลฯ สามารถไปต่อได้    
[PR News] ปิดฉากมหกรรมบ้านและคอนโด 4 วันโกยยอด 3,500 ล้าน

[PR News] ปิดฉากมหกรรมบ้านและคอนโด 4 วันโกยยอด 3,500 ล้าน

ปิดฉากงานมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งที่ 41 ดีเวลลอปเปอร์กวาดยอดขายกว่า 3,500 ล้านบาท โตกว่า 10% ตลาดอสังหาฯ ยังมีดีมานด์  มั่นใจตลาดไตรมาส 3-4 ปรับตัวดีขึ้น     นายชูรัชฏ์ ชาครกุล ประธานจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 41 เปิดเผยว่า การจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 41 ระหว่าง 12-15 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา ซึ่งจัดโดย 3 สมาคมหลักทางด้านอสังหาริมทรัพย์ ประกอบไปด้วย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร สมาคมอาคารชุดไทย และสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สามารถทำยอดขายตลอดการจัดงาน 4 วัน ถือว่าได้รับผลตอบรับดีตามเป้าหมายที่คาดไว้     โดยมียอดผู้เข้าชมงานใกล้เคียง จากการจัดงานครั้งที่แล้ว ขณะที่ยอดจองซื้อภายในงานมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 10% คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 3,500 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการทาวน์เฮ้าส์ 37% คอนโดมิเนียม 34% บ้านเดี่ยว 20% บ้านแฝด 6% และที่ดินเปล่ารวมถึงอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ อีก 3% ขณะที่ยอดขอสินเชื่อของสถาบันการเงินในช่วงการจัดงานก็มีสูงถึงกว่า 4,000 ล้านบาท   “ตัวเลขคนชมงานและยอดขายภายในงานถือเป็นที่น่าพอใจ ความต้องการที่แท้จริงของที่อยู่อาศัยยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจากการตอบรับของตลาดแบบนี้น่าจะส่งผลดีโดยรวมต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะในไตรมาสที่ 3-4 ที่ตลาดน่าจะปรับตัวดีขึ้น”     นายชูรัชฏ์ กล่าวว่า จากผลสำรวจของผู้เข้าชมงานครั้งนี้พบว่า อายุของกลุ่มที่เข้าชมงานอยู่ระหว่าง 21-30 ปี มากที่สุดที่ 39%  รองลงมาจะมีอายุ 31-40  ปี จำนวน 31% และ 41-50 ปี อีก 16% โดยผู้เข้าชมงานจะมีช่วงรายได้ระหว่าง 30,000 – 50,000 บาท มากที่สุดคิดเป็น 28% รองลงมาจะมีรายได้ระหว่าง 10,000 – 30,000 บาทที่ 22% และ 50,000 – 70,000 บาท จำนวน16%   ขณะที่ผู้เข้าชมงานในปีนี้พบว่า ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อจริงโดยกว่า 24% มีความต้องการที่จะซื้อที่อยู่อาศัยในระยะเวลา 1-3 เดือน รองลงมา 23% ต้องการจะซื้อที่อยู่อาศัยในระยะเวลา 1 ปี  โดยที่อยู่อาศัยระดับราคา 2 – 2.99 ล้านบาท ยังคงเป็นที่สนใจของผู้เข้าชมงานมากที่สุด 29% รองลงมาเป็นที่อยู่อาศัยระดับราคา 1 – 1.99  ล้านบาท จำนวน 22% และระดับราคา 3-3.99 ล้านบาท จำนวน 18% ขณะที่ประเภทโครงการที่ได้รับความสนใจมากที่สุดจะเป็นโครงการประเภทคอนโดมิเนียม จำนวน 40% รองลงมาคือโครงการประเภทบ้านเดี่ยวจำนวน 35% และโครงการทาวน์เฮ้าส์ จำนวน 15%  
โฮมออฟฟิศติดรถไฟฟ้า ใกล้ทางด่วน Nirvana @WORK-เนอวานา แอทเวิร์ค : รีวิวโฮมออฟฟิศ

โฮมออฟฟิศติดรถไฟฟ้า ใกล้ทางด่วน Nirvana @WORK-เนอวานา แอทเวิร์ค : รีวิวโฮมออฟฟิศ

ในยุคของเหล่าเมล็ดพันธุ์ Start Up กำลังเติบโตงอกงาม สิ่งสำคัญคือรากฐานที่มั่นคงแข็งแรง เพราะจุดเริ่มต้นที่ดีจะส่งให้เราไปคว้าเอาความสำเร็จมาครอบครองได้ ซึ่งเรากำลังกล่าวถึงออฟฟิศดีๆ สักแห่ง ที่จะกลายเป็นบ้านหลังที่สองของเรา โดยปัจจัยของการเลือกที่ตั้งของออฟฟิศ ก็ถือเป็นด่านแรกของจุดเริ่มต้นที่ไม่ง่ายนัก แต่ก็ไม่ยากจนเกินไปหากเราเจอสิ่งที่ใช่สำหรับองค์กรของเราอย่างโฮมออฟฟิศที่เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ ของเหล่า Start Up ด้วยความโดดเด่นทั้งทำเล และภายในสามารถดีไซน์ต่อได้ เพื่อบ่งบอกถึงอัตลักษณ์องค์กรของเรา และยังได้บรรยากาศการทำงานที่ไม่ชวนให้อึดอัด หรือเคร่งเครียดจนเกินไป            สำหรับ Nirvana @WORK โฮมออฟฟิศของคนรุ่นใหม่นั้นมีให้เลือก 2 โครงการ ที่มีความโดดเด่นไม่แพ้กันในแง่ของทำเลที่ตั้ง ซึ่งจะยึดเอาความสะดวกในการเดินทางของพนักงาน และลูกค้าที่จะต้องมาติดต่อธุระก็สามารถเดินทางมาได้ง่ายเช่นเดียวกัน เพราะใกล้ทั้งรถไฟฟ้าและทางด่วน      ทำเลสไตล์ @WORK  เริ่มกันที่โครงการแรก Nirvana @WORK รามอินทรา ทำเลติดถนนเส้นหลักสายสำคัญสายหนึ่งในละแวกนี้ นั่นคือ ถ.รามอินทรา ช่วงกม.2  ซึ่งถือเป็นช่วงที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดช่วงหนึ่งของถนน เพราะอยู่ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกหลายแห่ง รอบๆ มีอาหารการกินเพียบ ที่สำคัญคือการเดินทางอยู่ใกล้ทั้งรถไฟฟ้าและทางด่วน เป็นออฟฟิศที่อยู่ในทำเลเดินทางได้สะดวกทั้งพนักงานเองและผู้ที่มาติดต่อกับบริษัท     รถไฟฟ้าสายสีชมพู แคราย-มีนบุรี ที่กำลังก่อสร้างอยู่ในปัจจุบันจะผ่านหน้าโครงการเลยค่ะ โดยโครงการจะอยู่ใกล้กับสถานีรามอินทรา กม.3 บริเวณศูนย์พัฒนากีฬากองทัพบก โดยห่างไปอีกเพียง 1 สถานีก็จะเป็น Interchange กับรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือส่วนต่อขยาย สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ ทำให้สามารถต่อเข้าเมืองได้สะดวก และห่างออกไปอีก 3 สถานี ก็เป็น Interchange กับรถไฟฟ้าสายสีแดง บางซื่อ-รังสิต สถานีหลักสี่ ที่กำลังสร้างอยู่เช่นกัน ขณะเดียวกันก็ยังอยู่ห่างจากทางด่วนฉลองรัช ประมาณ 4 กิโลเมตร ไม่ว่าจะเลือกเดินทางด้วยวิธีไหนก็ง่ายดายไปหมดค่ะ    ใครที่อยู่ย่านนี้จะทราบกันดีว่าอาหารการกินไม่น้อยเลยค่ะ ทั้งช่วงกลางวันไปจนถึงช่วงค่ำ ตั้งแต่ภายในศูนย์การค้าอย่างเซ็นทรัลรามอินทรา ที่อยู่ห่างจากโครงการเพียง 700 เมตร และยังมี Ease Park, Lotus หลักสี่, MaxValu หลักสี่ ที่อยู่ไม่ไกลจากโครงการ ยิ่งถ้าเข้าถ.ลาดปลาเค้า ก็ยิ่งมีของอร่อยตลอดทั้งเส้นทางยาวไปจนถึงโชคชัยสี่ นอกจากนี้ยังอยู่ไม่ไกลจากสถานที่สำคัญหลายแห่งทั้งทางด้านถ.พหลโยธิน และถ.แจ้งวัฒนะ ที่เชื่อมต่อกับถ.รามอินทราช่วง กม. 2 นิดเดียวเท่านั้น อาทิ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม Major รัชโยธิน ฯลฯ โรงพยาบาลวิภาวดี และยังอยู่ไม่ไกลจากสนามบินดอนเมืองอีกด้วย     Nirvana @WORK ลาดพร้าว-เกษตรนวมินทร์ อีกหนึ่งโครงการที่ไม่ใกล้ไม่ไกลกันกับโครงการแรกสักเท่าไรนัก แต่มีความโดดเด่นด้านทำเลไม่น้อย เพราะอยู่ริมถ.ประเสริฐมนูกิจ ขาเข้า ใกล้กับทางด่วนฉลองรัช (รามอินทรา-อาจณรงค์) 1.3 กม. ซึ่งสามารถเดินทางเข้า-ออกใจกลางเมืองได้ง่ายดาย และถ.กาญจนาภิเษก (วงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันออก) ประมาณ 5 กม. อยู่ท่ามกลางแหล่งร้านอาหารบรรยากาศดี ร้านแฮงค์เอาท์มันส์ๆ แบบที่พอเลิกงานแล้วก็ไปปาร์ตี้กันต่อได้เลย หรือจะนัดลูกค้าทานข้าวย่านนี้ก็เหมาะไม่น้อย ใครที่มีไลฟ์สไตล์แบบ Work Hard, Play Hard นี่แหละค่ะ ตอบโจทย์กับทำเลนี้มาก  ในอนาคตหน้าโครงการจะมีรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล แคราย-บึงกุ่ม ผ่านหน้าโครงการโดยจะห่างจากสถานีคลองลำเจียกประมาณ 200 เมตร เป็นรถไฟฟ้าสายที่มีความโดดเด่นในเรื่องของการมีจุดเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายอื่นมากถึง 7 สาย รวม 5 จุด Interchange ตั้งแต่เริ่มต้นสายที่สถานีศูนย์ราชการนนทบุรี ซึ่งจะเป็น Interchange ของสีม่วง สายสีชมพู และสายสีน้ำตาล ต่อมาที่สถานีบางเขน สายสีแดง สถานีแยกเกษตรฯ สายสีเขียว สถานีฉลองรัช สายสีเทา และสิ้นสุดที่สถานีลำสาลี Interchange กับสายสีเหลืองและสีส้ม รวมแล้ว 22 กิโลเมตร จำนวน 20 สถานี และยังเป็นสายที่จะมีทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือตอน N2 คร่อมไปเกือบตลอดแนว เริ่มจากถ.กาญจนาภิเษก (วงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันออก) ไปตามถ.ประเสริฐมนูกิจ แล้วเข้าสู่ถ.วิภาวดีรังสิต ไปจนถึงทางแยกต่างระดับรัชวิภา ทั้งรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาลกับทางด่วนนี้มีแผนก่อสร้างไปพร้อมๆ กันในปี 63-64    จุดเริ่มต้นที่ดีของธุรกิจ อาจหมายถึงโฮมออฟฟิศทำเลดี พื้นที่เหมาะสักหลัง  ภาพรวมโครงการ  ทั้งสองโครงการจะมีความเหมือนกันตรงที่โฮมออฟฟิศของทั้ง 2 Type ใช้แบบเดียวกันค่ะ คือ    Type A 4.5 ชั้น หน้ากว้าง 8 เมตร ที่ดิน 35.5 ตร.วาขึ้นไป พื้นที่ใช้สอย 452 ตร.ม. / 2 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ Type B 4.5 ชั้น หน้ากว้าง 6 เมตร ที่ดิน 25.5 ตร.วา ขึ้นไป พื้นที่ใช้สอย 363 ตร.ม. / 1 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ   จะมีเพียง Type Single Unit ที่จะมีเฉพาะที่โครงการ Nirvana @WORK ลาดพร้าว-เกษตรนวมินทร์ มีเพียง 8 ยูนิต (ปัจจุบันเหลือ 6 ยูนิต) โดยมีภาพรวมของแต่ละโครงการ ดังนี้   Nirvana @WORK รามอินทรา ที่ดินโครงการทั้งหมด 9-0-39.1 ไร่ 61 ยูนิต ขนาดที่ดิน 25.5-53.5 ตารางวา รั้วโครงการสูงกว่า 6 เมตร ถนนภายในโครงการกว้าง 12-16 เมตร มีที่จอดรถส่วนกลางรองรับได้ 197 คัน ใช้ระบบ Key Card ตรงทางเข้า-ออก ติดตั้ง CCTV รอบโครงการ 10 ตัว และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชม. ราคา 14.5–25 ล้านบาท   Nirvana @WORK ลาดพร้าว-เกษตรนวมินทร์ ที่ดินโครงการทั้งหมด 7-1-76 ไร่ ไม่รวมพื้นที่นอกจัดสรร 48 ยูนิต รั้วโครงการสูงกว่า 6 เมตร ถนนภายในโครงการกว้าง 12-16 เมตร มีที่จอดรถส่วนกลางรองรับได้ 154 คัน ใช้ระบบ Key Card ตรงทางเข้า-ออก ติดตั้ง CCTV รอบโครงการ 10 ตัว และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชม. ราคา 15–35 ล้านบาท      ชมโครงการ ครั้งนี้เราเข้ามาชมโฮมออฟฟิศตัวอย่างกันที่ Nirvana @WORK ลาดพร้าว-เกษตรนวมินทร์ เพราะจะมีให้ชมครบทั้ง 3 Type ซึ่งทั้ง 2 โครงการปัจจุบันมีหลายออฟฟิศที่เริ่มเข้ามาอยู่กันแล้วนะคะ บรรยากาศภายในโครงการไม่วุ่นวาย ที่จอดรถจะล็อคหน้าออฟฟิศไว้ให้แยกกันแต่ละหลัง แต่ก็มีที่จอดส่วนกลางให้มาด้วยเยอะพอสมควรค่ะ โดยโฮมออฟฟิศแต่ละหลังจะขายแบบบ้านเปล่า มีการติดตั้งปั๊มน้ำ แทงค์น้ำ และ VDO Door Phone ติดให้ชั้นที่ 2 สามารถมองเห็นหน้าพร้อมคุยกันกับผู้มาติดต่อได้เลยจากกล้องที่ติดอยู่หน้าประตูออฟฟิศ      Type B 4.5 ชั้น หน้ากว้าง 6 เมตร พื้นที่ใช้สอย 363 ตร.ม. 1 Bedroom 4 Bathroom 2 Parking lots  เริ่มกันที่ Type B ขนาดเริ่มต้น แต่ขนาดไม่ใช่น้อยเลยค่ะ เพราะหากตกแต่งตามแบบหลังตัวอย่างออกมากแล้ว ก็จะสามารถรองรับพนักงานได้ประมาณ 20-25 คน เลยทีเดียว แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการตกแต่งของแต่ละบริษัท นั่นหมายความว่าอาจสามารถรองรับพนักงานได้มากกว่า 25 คน ค่ะ โดยจะเหมาะกับธุรกิจที่ต้องการพื้นที่โล่งๆ ไม่เน้นการกั้นห้องแยก เช่น งานสถาปนิก งานออกแบบต่างๆ       หน้าโฮมออฟฟิศทุกยูนิตจะติดตั้งกล้องพร้อม Speaker เอาไว้ด้านหน้าสำหรับผู้มาติดต่อสื่อสารไปยังด้านในออฟฟิศที่สามารถมองเห็นหน้าและเสียงได้โดยไม่ต้องเดินลงมา เพื่อความปลอดภัยอีกขั้นหนึ่ง   ชั้นแรก เพดานสูงถึง 5.8 เมตร พื้นปูด้วยกระเบื้องแกรนิตโต้ ตรงกลางชั้นตามบ้านตัวอย่างจะกั้นเป็นห้องประชุม รองรับได้ประมาณ 10 ที่นั่ง    ชั้นลอยเพดานจะดรอปลงมาเล็กน้อยที่ 2.4 เมตร มีพื้นที่ว่างสำหรับกั้นเป็นห้องทำงานตามแบบบ้านตัวอย่างนี้ หรือจะใช้เป็นพื้นที่อื่นๆ ได้ค่ะ เช่น ห้องเก็บของ ห้องประชุม ส่วนบันไดใช้แบบโครงเหล็ก ใช้ไม้ประสานวางเป็นลูกนอน แต่จะไม่มีลูกตั้ง ข้อดีคือทำให้ดูโปร่ง บวกกับกระจกด้านหน้า-หลังออฟฟิศ จะทำให้แสงสว่างส่องเข้ามาอย่างทั่วถึง ไม่มีจุดอับทึบ   ชั้น 2-3 จะได้ความสูงของเพดานประมาณ 2.6-2.8 เมตร  วัสดุพื้นใช้ไวนิลลายไม้ ห้องน้ำวางไว้ด้านในสุดใกล้กับบันได ซึ่งจะมีการติดตั้งสุขภัณฑ์ภายในมาให้พร้อมใช้งาน      ชั้นบนสุดกั้นห้องนอนให้ แล้วตกแต่งให้เหมือนกับเป็นที่อยู่อาศัย แต่ถ้าเจ้าของโฮมออฟฟิศไม่ได้ใช้พักอาศัยก็สามารถเพิ่มพื้นที่ออฟฟิศได้อีก 1 ชั้น  หรือจะจัดเป็น Canteen ของออฟฟิศ เพื่อให้ช่วงกลางวันได้มีโอกาสมานั่งพักผ่อนทานข้าว พูดคุยแบบสบายๆ กัน ก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีนะคะ   พื้นที่ใช้สอยกว้างๆ ออกแบบได้ทุกความต้องการ Type A 4.5 ชั้น หน้ากว้าง 8 เมตร พื้นที่ใช้สอย 452 ตร.ม. 2 Bedroom 5 Bathroom 3 Parking lots  ขยับไซส์ขึ้นมาที่ Type A ค่ะ ซึ่งจะได้หน้ากว้างขึ้น ที่จอดรถหน้าออฟฟิศเพิ่มขึ้น และติดตั้งลิฟท์ Mitsubishi มาให้ด้วย โดยเฉพาะราคาลิฟท์ก็อยู่ที่ 1 ล้านบาท พร้อมประกันการดูแลรักษาให้ 1 ปี หลังจากนั้นก็จะมีค่าซ่อมบำรุงลิฟท์ประมาณ 10,000 บาท/ปี โดยถ้าตกแต่งตามหลังตัวอย่างก็สามารถรองรับพนังงานได้ตั้งแต่ 25-30 คน หรือมากกว่านี้ขึ้นอยู่กับการตกแต่ง       สำหรับ Type นี้จะถูกตกแต่งเหมือนยกคาเฟ่มาไว้ในโฮมออฟฟิศ ด้วยการวาง Coffee Bar ยาว พร้อมโต๊ะสำหรับนั่งทำงานไป ดื่มกาแฟไปบนชั้นลอย การจัดพื้นที่ลักษณะนี้เหมาะกับธุรกิจที่อยากจะมีการเปิด Workshop รองรับลูกค้าเข้ามาร่วมกิจกรรม หรือเป็นพื้นที่ให้พนักงานได้มา joy มา share กันได้ ส่วนหลังสุดภายในตัวบ้านเหมาะสำหรับการวางเคาน์เตอร์ครัว เพื่อให้พร้อมต่อการเตรียมอาหาร และล้างได้สะดวก   บันไดชั้นล่างถูก Built in เพิ่มเติมให้เป็นขั้นบันไดเต็มผนังสองข้าง ให้ Feeling ของห้องประชุมสไตล์ Start Up แบบเปิดกว้างให้ทุกคนสามารถมองเห็นและรับฟังกันได้ทั้งทีม แต่สำหรับตัวบ้านจริงที่จะได้ มีบันไดส่วนซ้ายมือพร้อมติดราวบันไดเหล็กโปร่งเท่านั้นนะคะ   ชั้นลอยบริเวณห้องประชุมนี้เป็นการต่อเติมเพิ่มพื้นที่ขึ้นมา โดยมีการทำคานเอาไว้รองรับสำหรับการทำห้องเพิ่มแบบนี้ไว้อยู่แล้ว แต่หากเป็นหลังจริงตรงนี้จะเป็นพื้นที่โล่ง Double volume สูงขึ้นมาจากชั้นล่าง     ชั้น 2 บ้านจริงจะเป็นพื้นที่โล่ง แต่มีเสาคานอยู่ 2 ต้น หากอยากจะกั้นเป็นห้องตามแบบบ้านตัวอย่างก็สามารถทำได้ง่าย และยังมีพื้นที่ตรงกลางเป็น Double volume มองเห็นชั้น 3 ส่วนห้องน้ำจะถูกวางเอาไว้ด้านหลังลิฟท์ใกล้กับบันได   ชั้น 3 ถูกแบ่งเป็น 2 ห้อง กระจกผนังด้านข้างของทั้ง 2 ห้องที่เห็นนี้ บ้านจริงจะกั้นด้วยเหล็กโปร่งแทนค่ะ   ชั้นบนสุดถูกตกแต่งออกมาให้เป็นเหมือ้นที่พักผ่อนส่วนตัวที่มีช่องแสงธรรมชาติช่วยประหยัดพลังงาน โดยชั้นบนสุดของบ้านตัวอย่างหลังนี้จะถูกจัดให้เหมือนกับอยู่ในคอนโดมิเนียมระดับ Hi-End แบบ 2 Bedroom กว้างๆ หนึ่งยูนิต มีทั้ง Living Room, Dining Room และสามารถ Built in ครัวเปิด ได้ด้วย และยังคล้ายกับการได้ Private lift ถึงชั้นบนห้องส่วนตัวนี้ด้วยค่ะ   เปิดมุมมองใหม่ เปิดไอเดีย สร้างสรรค์ผลงานใหม่ ไม่รู้จบType Single Unit 4 ชั้น หน้ากว้าง 11 เมตร พื้นที่ใช้สอย 517 ตร.ม. 1 Bedroom 7 Bathroom 6 Parking lots  ยูนิตพิเศษที่มีเฉพาะในโครงการ Nirvana @WORK ลาดพร้าว-เกษตรนวมินทร์ อยู่พื้นที่ด้านหน้าของโครงการโฮมออฟฟิศพื้นที่ใกล้เคียงบ้านเดี่ยวในแบบ Independent Unit ความเป็นส่วนตัวสูง เพราะไม่ต้องแชร์ผนังกับใคร มีรั้วไฟฟ้าหน้าออฟฟิศ ติดตั้งลิฟท์ Mitsubishi มาให้ พร้อมกับ VDO Door Phone เพื่อการมาติดต่อกับออฟฟิศเป็นไปได้อย่างลื่นไหล ไม่มีสะดุด โดย Single Unit จะเน้นงานดีไซน์ทางสถาปัตยกรรมที่ไม่เหมือนใครในความเป็น Modern ด้วยการซ่อนบันไดไว้ด้านข้างแยกออกจากพื้นที่ใช้สอยภายใน ตั้งแต่ลานจอดรถไปจนถึงชั้นบนสุด เหมาะสำหรับออฟฟิศที่เน้นดีไซน์สวย ต้อนรับลูกค้าได้บ่อยๆ ปัจจุบันมียูนิตที่ทำการปล่อยเช่าได้ราคาประมาณ 120,000 บาท/เดือน ได้พื้นที่รอบบ้านทั้งด้านข้างและหลังบ้านที่กว้างเป็นพิเศษ จนสามารถจัดเป็นพื้นที่สำหรับทำกิจกรรมกันภายในออฟฟิศหรือต่อเติมเพิ่มพื้นที่ใช้สอยออกไปได้   เปิดประตูด่านแรกของออฟฟิศเข้าไปก็จะพบลิฟท์ด้านข้าง ตรงกลางพื้นที่สามารถจัดเป็นเคาน์เตอร์ Reception และลึกเข้าไปจากข้างลิฟท์วางห้องน้ำเอาไว้ตำแหน่งเดียวกันทุกชั้น ซึ่งภายในห้องน้ำนั้นจะแบ่งห้อง shower กับห้องที่เป็นโถสุขภัณฑ์   ชั้นที่ 2-3 พื้นที่ใช้สอยภายในแนวลึก ซึ่งข้อดีของพื้นที่แนวลึกนั่นคือสามารถจัดวางโต๊ะทำงานได้ง่าย ลงตัวเป็นสัดส่วนมากกว่า โดยหากเลือกขึ้นบันไดจากด้านข้างลานจอดรถขึ้นมาก็จะพบกับระเบียงหน้าบ้าน ผนังด้านข้างเป็นหน้าต่างกระจกสไลด์บานใหญ่ และมีตัว VDO Door Phone ที่ฉายให้เห็นผู้ที่มาติดต่อทางหน้าบ้านติดตั้งมาไว้ให้ด้วย         ชั้นบนสุดยังคงถูกตกแต่งออกมาให้เป็นพื้นที่พักอาศัยส่วนตัวค่ะ มีการกั้นห้องนอนเอาไว้ 1 ห้อง ห้องน้ำอีก 1 และพื้นที่กลางสำหรับจัดเป็น Living Room สำหรับเจ้าของออฟฟิศ ที่สามารถเป็นเจ้าของออฟฟิศทำเลดีสักแห่งไปพร้อมๆ กับมีที่อยู่อาศัยของตัวเองไปด้วย ไม่ต้องผ่อนบ้าน 2 ต่อทำให้มีภาระเพิ่ม เพราะยิ่งเริ่มต้นเร็วเท่าไร ความสำเร็จก็จะยิ่งมาถึงเร็วเท่านั้น   แม้จะขึ้นชื่อว่าเป็นออฟฟิศ แต่ในเรื่องของงานดีไซน์ และพื้นที่ใช้สอยกว้างๆ ก็ยังคงเอกลักษณ์ความเป็นเนอวานา ไดอิ เอาไว้ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะเรื่องของทำเลที่มีความสำคัญมาก ไม่แพ้เรื่องอื่น เพราะการติดต่อกันทางธุรกิจ และความสะดวกในการเดินทางของพนักงานก็เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้ามไป ซึ่งทั้ง 2 โครงการก็สามารถวางทำเลได้เหมาะสม ประกอบกับดีไซน์ในทุกแง่มุมของชีวิตวัยทำงานที่ต้องพร้อมลุยทุกสถาณการณ์เพื่อเติบโตจากเมล็ดพันธุ์กลายเป็นต้นไม้ใหญ่ต่อไปที่ Nirvana @WORK #createyourownculture @work      โครงการ Nirvana @wok รามอินทรา http://nirvana.bz/ATWORK-RM-RYL โครงการ Nirvana @wok ลาดพร้าว-เกษตรนวมินทร์  nirvana.bz/ATWORK-LP-RYL            
[PR News] คนไทยยังอยากมีบ้าน ดันยอดงาน NPA Grand Sale ทะลุ 2,000 ล.

[PR News] คนไทยยังอยากมีบ้าน ดันยอดงาน NPA Grand Sale ทะลุ 2,000 ล.

เรียลดีมานด์ ดันยอดขาย NPA ทะลุ 2,000 ล้านบาท แบงก์ปล่อยสินเชื่อได้กว่า 1,500 ล้านบาท สวนภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว คนยังนิยมซื้อบ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮ้าส์ มากกว่าคอนโด เผยทำเลฮอต อยู่ในโซนกิ่งแก้ว ช้างเอราวัณ เมืองทองธานี     นายกิตติ พัฒนพงศ์พิบูล ประธานสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย เปิดเผยว่า จากการจัดงาน NPA Grand Sale & Home Loan 2019 เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม-1 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา แม้ว่าจะอยู่ในช่วงที่ภาวะเศรษฐกิจยังชะลอตัว และมีปัจจัยลบที่เป็นอุปสรรคต่อการซื้อ-ขายอยู่พอสมควร แต่ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้ที่ต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่เป็นทรัพย์สินรอการขาย หรือ NPA (Non Performing Asset) ของธนาคารและบริษัทบริหารสินทรัพย์     โดยภายในงานมียอดขายรวมประมาณ 2,000 ล้านบาท และคาดว่าจะมียอดขายหลังงานอีกจำนวนหนึ่ง เนื่องจากผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) และต้องการที่อยู่อาศัยที่มีราคาคุ้มค่า   ทรัพย์ที่ขายได้ส่วนใหญ่จะเป็นบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์มากกว่าคอนโดมิเนียม   “บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ที่เป็นบ้านมือสองส่วนใหญ่อยู่ในทำเลที่หาซื้อบ้านมือหนึ่งแบบใกล้เคียงกันไม่ได้แล้วในปัจจุบัน“   ประกอบกับ ทรัพย์ NPA ที่ธนาคารและบริษัทบริหารสินทรัพย์นำมาเสนอขายนั้น มีราคาส่วนลดตั้งแต่ 30-50% และมีปัจจัยเกื้อหนุนอื่นๆ ที่ทำให้ผู้ที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ได้แก่   อัตราดอกเบี้ยที่ยังอยู่ในระดับต่ำ การผ่อนคลายมาตรการ LTV  มาตรการลดหย่อนภาษีเพื่อสนับสนุนการซื้อบ้านหลังแรกราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท ที่ต้องซื้อขายและโอนภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2562 และการลดค่าธรรมเนียมการโอนเหลือและค่าธรรมเนียมการจดจำนองเหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยในราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ที่มีการซื้อขายและโอนกรรมสิทธิ์ภายในวันที่ 23 มิถุนายน 2563   สำหรับการขายทรัพย์ NPA ครั้งนี้มีธนาคารและบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่ร่วมงาน ได้แก่  บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ บริษัท เพียวเวลเนส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด   นอกจากนี้ ยังมีธนาคารที่ร่วมนำเสนอผลิตภัณฑ์สินเชื่อให้กับประชาชนที่สนใจ ได้แก่  ธนาคารกรุงเทพ  ธนาคารกสิกรไทย  ธนาคารออมสิน  ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารแห่งประเทศจีน โดยมีการปล่อยสินเชื่อภายในงานรวมกันมากกว่า 1,500 ล้านบาท     ขณะเดียวกันทางสมาคมฯ ได้ใช้เทคโนโลยี Big Data ทำ Lead Generation เพื่อให้ได้ลูกค้าที่ตรงกลุ่มเป้าหมายมากยิ่งขึ้น ซึ่งจากการสำรวจข้อมูลผ่านระบบออนไลน์ที่ใช้สื่อสารในการจัดงาน พบว่า ข้อมูลสอดคล้องกับผู้ที่ตัดสินใจซื้อในงาน โดยประเภทที่อยู่อาศัยที่ได้รับความสนใจอันดับ 1 คือ บ้านเดี่ยว อันดับ 2 ได้แก่ ทาวน์เฮ้าส์ ขณะที่คอนโดมิเนียมมาเป็นอันดับ 3 ส่วนทำเลที่ได้รับความสนใจ อันดับ 1 ได้แก่ ทำเลกิ่งแก้ว สมุทรปราการ อันดับ 2 ทำเลเมืองทองธานี ปากเกร็ด และอันดับ 3 ได้แก่ ทำเลช้างเอราวัณ สมุทรปราการ   สำหรับราคาที่อยู่อาศัยที่ได้รับความสนใจยังคงเป็นที่อยู่อาศัยระดับกลาง และกลาง-ล่าง โดยราคาทาวน์เฮ้าส์ที่ได้รับความสนใจอันดับ 1 ได้แก่ 1.5-2 ล้านบาท อันดับ 2 ราคา 1-1.5 ล้านบาท และอันดับ 3 ราคา 2-3 ล้านบาท บ้านเดี่ยวราคาที่ได้รับความสนใจ อันดับ 1 ได้แก่ บ้านเดี่ยวราคา 3 - 5 ล้านบาท อันดับ 2 ราคา 2-3 ล้านบาท และอันดับ 3 ราคา 5-7 ล้านบาท สำหรับคอนโดมิเนียม อันดับ 1 ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท อันดับ 2 ราค 1-2 ล้านบาท และอันดับ 3 ราคา 2-3 ล้านบาท    
เปิด 5 เรื่อง (ไม่) ลับ ของแคตตาล็อกอิเกีย 2020 เพื่อแรงบันดาลใจในการอยู่อาศัย

เปิด 5 เรื่อง (ไม่) ลับ ของแคตตาล็อกอิเกีย 2020 เพื่อแรงบันดาลใจในการอยู่อาศัย

แม้ว่าปัจจุบันจะเป็นยุคดิจิทัล ที่ข้อมูลข่าวสารถูกจัดเก็บไว้บนโลกออนไลน์ สามารถเรียกดูข้อมูลได้บน “สมาร์ทโฟน” หรืออุปกรณ์ไอทีต่างๆ แต่ดูเหมือนว่า “แคตตาล็อก” ในรูปแบบหนังสือเล่ม ซึ่งรวบรวมข้อมูลสินค้า ยังเป็นหัวใจสำคัญและเป็นสิ่งที่ “อิเกีย” ศูนย์จำหน่ายเฟอร์นิเจอร์สัญชาติ สวีเดน ยังคงให้ความสำคัญ และผลิตออกมาใช้เป็นเครื่องทางการตลาด สร้างแรงบันดาลใจในการเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้านอยู่ทุกปี   แคตตาล็อกอิเกีย สำหรับปี 2020  ได้เปิดตัวออกมาแล้ว เพื่อให้ลูกค้าได้หยิบไปใช้ สำหรับเป็นคู่มือและสร้างแรงบันดาลใจในการเลือกซื้อสินค้าของ “อิเกีย” ซึ่งในปีนี้มาในธีม “Easy Renewal For Better Sleep” กับการมุ่งเน้นนำเสนอสินค้าด้วยการเน้นสินค้าห้องนอน เนื่องจากมองว่ากลุ่มสินค้าห้องนอน เป็นสินค้าที่ลูกค้าให้ความสำคัญและเลือกซื้อเป็นอันดับแรกๆ  ปัจจุบันกลุ่มสินค้าห้องนอนมีสัดส่วน 12-13% ของยอดขายทั้งหมด   นายทอม ซูเทอร์ ผู้จัดการสโตร์ อิเกีย บางใหญ่ เปิดเผยว่า การนอนมีผลต่อทุกอย่างกับชีวิต อิเกีย จึงโฟกัสสินค้ากลุ่มห้องนอน เป็นแนวทางการทำตลาดทั่วโลก แต่รูปแบบและสไตล์การนำเสนอของห้องนอน  จะแตกต่างกันในแต่ละประเทศ  ซึ่งสินค้ากลุ่มห้องนอนได้รับความนิยมซื้อ จากกลุ่มลูกค้าคนไทยเป็นลำดับต้นๆ แตคตาล็อกปีนี้จึงเน้นสินค้ากลุ่มดังกล่าว  แตกต่างจากปีที่ผ่านมาที่เน้นกลุ่มสินค้าห้องนั่งเล่น (Living room)     แคตตาล็อกอิเกียเล่มใหม่ จึงได้รวบรวมเทคนิค การปรับแต่งบ้านเพื่อให้ทุกคนในบ้านพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ โดยทุกไอเดียที่คัดสรรมาล้วนทำตามได้ง่าย เพียงแค่เปลี่ยนปลอกหมอน ผ้าปูที่นอน เติมผ้าม่าน มู่ลี่ โคมไฟ ต้นไม้ หรือแม้กระทั่งแก้วน้ำสักใบเข้ามา เป็นตัวช่วยเปลี่ยนบรรยากาศภายในห้องให้มีความสงบ ผ่อนคลาย ช่วยให้นอนหลับฝันดีได้ตลอดทั้งคืน   เปิด 5 ความต้องการที่คนเรียกว่า “บ้าน”     ทุกๆ ปี ดีไซน์เนอร์อิเกียจากทั่วโลก จะทำงานร่วมกัน  เพื่อศึกษาข้อมูลเชิงลึกต่างๆ ของผู้บริโภคซึ่งเก็บรวบรวมจากการพูดคุย ทำวิจัย และออกไปเยี่ยมบ้านลูกค้า เพื่อทำความเข้าใจและหาแนวทางพัฒนาแรงบันดาลใจ  รวมถึงพัฒนาสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการ  และการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปของผู้คนทั่วโลก พร้อมจัดทำเป็นรายงาน Life at Home ข้อมูลที่ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของการจัดทำเนื้อหา แคตตาล็อกอิเกียในแต่ละปี   ปีนี้เป็นครั้งแรกที่อิเกีย  ได้ศึกษา ข้อมูลเชิงลึกของคนยุคปัจจุบัน ต่อการตัดสินใจเรียกที่ใดที่หนึ่งว่าเป็น “บ้าน”  ซึ่งได้ถอดรหัสความต้องการด้านอารมณ์ 5 ด้าน ได้แก่ การเป็นส่วนหนึ่ง (Belonging) ความเป็นเจ้าของ (Ownership) ความปลอดภัยมั่งคง (Security)  ความสบาย (Comfort) และ ความเป็นส่วนตัว (Privacy) ซึ่งปัจจัยด้านอารมณ์ทั้ง 5 นี้ เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดความรู้สึกถึงความเป็น “บ้าน” นิยามคำว่าบ้านจากรายงานฉบับนี้จึงไม่ได้หมายถึงแค่ “ที่พักอาศัย” แต่ยังรวมไปถึงสถานที่อื่นๆ ที่ทำให้เกิดความรู้สึกทั้ง 5 ด้านนี้ได้     ความต้องการด้านอารมณ์ทั้ง 5 ด้านที่ทำให้บ้านเป็น “บ้าน” มีดังนี้   1.การเป็นส่วนหนึ่ง (Belonging) ความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มที่ยอมรับตัวตนที่แท้จริงของเรา รวมถึงสถานที่ที่สะท้อนตัวตนของเรา อิเกียนำเสนอเฟอร์นิเจอร์สำหรับบ้านหรือห้องที่ใช้งานร่วมกันที่ทำให้ทุกคนมีพื้นที่แห่งความสุข และเป็นตัวของตัวเองได้อย่างเต็มที่   2.ความเป็นเจ้าของ (Ownership) ไม่ใช่แค่เรื่องของสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของเท่านั้น แต่หมายถึงความรู้สึกว่าเรามีอำนาจในการควบคุมพื้นที่หรือสถานที่นั้นๆ เรามีอิสระที่จะทำอะไรก็ได้ ความรู้สึกว่าเราเป็นเจ้าของบ้านนั้น (ถึงแม้ว่าจะเป็นบ้านเช่าก็ตาม) เช่น โซลูชันอุปกรณ์จัดเก็บของอิเกีย ที่ช่วยให้คุณสามารถจัดสรรพื้นที่ในบ้านในอย่างลงตัว   3.ความปลอดภัยมั่นคง (Security) ความปลอดภัยในที่นี้ไม่ได้หมายถึงบ้านที่มี การป้องกันอย่างแน่นหนา แต่เป็นสถานที่ที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น มั่นคง วิธีง่ายๆ ในการเติมความอบอุ่นให้กับบ้าน คือการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่ทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น ไม้ เหล็ก และกระจก   4.ความสบาย (COMFORT) หมายถึงความรู้สึกสบายใจและมีความสุขกับบรรยากาศรอบข้าง นั่นคือการถ่ายทอดตัวตน หรือใส่ความเป็นเราลงไปในที่ที่เราอาศัยอยู่   5.ความเป็นส่วนตัว (PRIVACY) ความเป็นส่วนตัวไม่ใช่ว่าเราจะต้องอยู่คนเดียวในห้องเท่านั้น แต่หมายถึงการสร้างความสมดุลในบ้านที่เราอาศัยอยู่ร่วมกับผู้อื่น หรือบ้านที่มีพื้นที่จำกัด แต่ก็ยังมีพื้นที่ที่เราสามารถพักผ่อน นอนหลับ หรือตัดขาดจากความวุ่นวายต่างๆ ได้ ด้วยการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่มีฟังก์ชั่นช่วยแบ่งพื้นที่ในบ้านได้อย่าง ชาญฉลาด   ทำความรู้จัก แคตตาล็อก “อิเกีย” 2020     1.เปลี่ยนฟอนต์ใหม่ทั้งหมด แคตตาล็อกเล่มใหม่นี้จะเป็นเล่มแรกที่เปลี่ยนฟอนต์ใหม่ทั้งหมด จากฟอนต์ Verdana ที่ใช้มาต่อเนื่องถึง 11 ปี เป็นฟอนต์ Noto ที่ได้รับการพัฒนาโดย Google อิเกียเลือกใช้ฟอนต์นี้เพราะสะท้อนตัวตนของแบรนด์ที่มองผ่านสายตาของคนยุคปัจจุบันได้ดี มีความชัดเจน อ่านง่ายและครบสมบูรณ์ เหมาะกับการอ่านบนจอดิจิทัลเล็กๆ ทั้งยังมีตัวอักษรเกือบครบทุกภาษาในโลก โดยแคตตาล็อกเล่มนี้จะแปลเป็นภาษาต่างๆ ถึง 38 ภาษา ซึ่งฉบับภาษาฟินแลนด์จะมีความยาวมากที่สุด   2.หน้าปก 50 ปี นับจากวันที่จอห์น เลนนอน และโยโกะ โอโนะ ภรรยาของเขา พากันนอนประท้วงเพื่อเรียกร้องสันติภาพในช่วงต้นสงครามเวียดนามที่โรงแรมอัมสเตอร์ดัม ฮิลตัน เมื่อเดือนมีนาคม ปี 1969 วันนี้ Bed-In for Peace อันโด่งดังของทั้งคู่จะกลับมามีชีวิตอีกครั้ง บนภาพปกแคตตาล็อกอิเกียเล่มล่าสุด   3.เรื่องราวภายในแคตตาล็อก ธีมของแคตตาล็อกอิเกียในปีนี้คือ “การพักผ่อนนอนหลับ” เน้นการเปลี่ยนโฉมห้องนอนให้ ตอบโจทย์ทั้งเรื่องความสวยงามและความสบาย รวมไปถึงแนะวิธีต่างๆ ที่จะช่วยเพิ่มคุณภาพ การพักผ่อนของคุณ เช่น การจัดท่านอนและเลือกหมอนที่เหมาะกับอิริยาบถการนอน การทำสมาธิ กิจวัตรตอนนอน และเคล็ดลับหลับสบายด้วยน้ำมันลาเวนเดอร์ เป็นต้น   ระหว่างจัดทำเนื้อหาในแคตตาล็อก มีการเปลี่ยนเตียงทั้งหมดถึง 7 แบบเพื่อให้ครอบคลุมการจัดเตียงทุกแบบในตลาด และถ่ายภาพไปทั้งหมด 1,651 ภาพ มากกว่าปีที่แล้วถึง 400 ภาพเลยทีเดียว   4.กระบวนการผลิตแคตตาล็อก แคตตาล็อกเล่มนี้ใช้ใช้เวลาสร้างสรรค์นานถึง 12 เดือน ตั้งแต่การระดมความคิด ไปจนถึงการพิมพ์ และจัดส่งไปยังสโตร์อิเกียทั่วโลก นับจากจุดเริ่มต้นจนสิ้นสุดกระบวนการผลิตต้องอาศัย ความร่วมมือของทีมงานจากหลากหลายประเทศ ทั้งอเมริกา อิตาลี ออสเตรเลีย เวลส์ เยอรมัน สวีเดน รัสเซีย สเปน อังกฤษ เปอร์โตริโก แอฟริกาใต้ เดนมาร์ก โปแลนด์ ฟินแลนด์ และ จีน   5.ข้อมูลของแคตตาล็อกเล่มใหม่   มีจำนวนหน้าทั้งหมด 280 หน้า + หน้าปก 4 หน้า โดยมียอดตีพิมพ์รวม 124,000,000 เล่ม ใน 54 ประเทศที่อิเกียเปิดให้บริการ กับภาษาที่ตีพิมพ์ถึง 38 ภาษา รวม 80 เวอร์ชัน ที่มีการจัดพิมพ์ในครั้งนี้        
สรุปข่าวอสังหาฯ รอบสัปดาห์ วันที่ 2-8 กันยายน 2562

สรุปข่าวอสังหาฯ รอบสัปดาห์ วันที่ 2-8 กันยายน 2562

เริ่มต้นสัปดาห์แรกของเดือนกันยายน 2562 เดือนสุดท้ายของไตรมาส 3 ซึ่งกำลังจะเข้าสู่ช่วงไฮท์ซีซั่นของหลายธุรกิจแล้ว ตอนนี้บรรยากาศตลาดอสังหาริมทรัพย์ ยังถือว่าไม่เงียบเหงามากนัก แต่ก็ไม่ได้คึกคักจนน่าดีใจ  หลายดีเวลลอปเปอร์ตอนนี้ก็พยายามกระตุ้นยอดขาย  จัดแคมเปญกันสารพัด หวังเรียกให้ลูกค้าหันมาซื้อหาอสังหาฯ เพื่อทำให้ปีนี้ปิดผลประกอบการได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้...   ยังไงก็ยังคงพอมีเวลาให้เร่งสปีดทำยอดขายกัน แต่จะทำผลงานได้ดีแตะเป้าหมายที่วางกันไว้หรือไม่นั้น  ต้องลุ้นกันอีกที..   เอสซี เดินหน้าขาย 28 Chidlom     หลังจากเปิดตัวขายโดยโครงการทเวนตี้เอท ชิดลม (28 Chidlom) ไปก่อนหน้านี้ และสามารถทำยอดขายได้ 60% และได้หยุดการขายไประยะหนึ่ง เนื่องจากไม่มีพื้นที่สำหรับสำนักงานขาย ต้องเอาพื้นที่ไปก่อสร้างโครงการ จนปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จ บริษัทก็เดินหน้าขายโครงการต่อ พร้อมกับเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ให้กับลูกค้า ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายนเป็นต้นไป นายประยงค์ยุทธ อิทธิรัตน์ชัย รองหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านพัฒนาทรัพย์สินแนวสูง บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยว่า ได้เริ่มโอนกรรมสิทธิ์ โครงการทเวนตี้เอท ชิดลมแล้ว ซึ่งโครงการมีมูลค่ารวม 8,000 ล้านบาท  เป็นคอนโดซุปเปอร์ลักชัวรี่ ฟรีโฮลด์ บนถนนชิดลม พื้นที่กว่า 3 ไร่  มีจำนวน 2 อาคาร แบ่งเป็น  The Tower ขนาด 47 ชั้น จำนวน 243 ยูนิต รูปแบบห้องมีให้เลือกทั้งแบบ ห้องขนาด 1-3 ห้องนอน และแบบเพนท์เฮ้าส์ ขนาดพื้นที่เริ่มต้นที่ 40-200 ตารางเมตร  กับอาคาร The Villa ขนาด 20 ชั้น จำนวน 182 ยูนิต รูปแบบห้องมีให้เลือกขนาด 1-3 ห้องนอน ขนาดพื้นที่เริ่มต้นที่ 37-132 ตารางเมตร   โดยช่วงครึ่งปีหลังบริษัทยังมีแผนเปิดตัวโครงการคอนโดฯ อีก 2 โครงการ มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ THE CREST PARK RESIDENCES  คอนโดฯ ใกล้ BTS สถานีห้าแยกลาดพร้าว มูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท พัฒนาโดยบริษัท เอสซี เอ็นเอ็นอาร์ วัน จำกัด (SC NNR1 Co.,Ltd.) บริษัทร่วมทุนกับ Nishitetsu Group ยักษ์ใหญ่ด้านอสังหาฯและคมนาคมจากภูมิภาคคิวชู ประเทศญี่ปุ่น (อ่านข่าวเพิ่มเติม) กลุ่มออเนอร์ ทุ่ม 2,000 ล้าน ปั้นโปรเจ็กต์ "วันส์ พัทยา"   ตลาดอคอนโดฯ ไม่ใช่เป็นตลาดเฉพาะในกรุงเทพฯ เท่านั้น ที่มีต้องการที่อยู่อาศัยในรูปแบบนี้  เมืองท่องเที่ยวหรือเมืองเศรษฐกิจในต่างจังหวัด ก็มีดีมานด์เช่นกัน อย่างเมืองพัทยา ดีเวลลอปเปอร์ทั้งต่างชาติและไทย พร้อมใจกันเข้าไปพัฒนา ไม่ว่าจะเป็นดีเวลลอปเปอร์จากส่วนกลางหรือในท้องถิ่นเอง ระดับราคาก็ไม่ใช่แบบภูธร แต่น้องๆ กรุงเทพฯ ดีดีนี่เอง   ล่าสุด กลุ่มออเนอร์ ซึ่งเดิมทำธุรกิจร้านทองและโรงแรม ก็หันมาบุกตลาดที่อยู่อาศัยทุ่มงบ 2,000 ล้าน ปั้นโปรเจ็กต์ “วันส์ พัทยา” คอนโดฯ ระดับไฮเอนด์ตารางเมตรละ 130,000 บาท เป็นโครงการในรูปแบบมิกซ์ยูส ทั้งคอนโดฯ โรงแรมและพื้นที่รีเทล   นางสาวธิดา เชิดสุริยา ประธานคณะกรรมการบริหารบริษัท ออเนอร์ เอสเตท จำกัด เปิดเผยว่า ได้พัฒนาโครงการวันส์ พัทยา  เป็นคอนโดมิเนียม ขนาดความสูง 32 ชั้น  จำนวน 427 ยูนิต มีห้อง 4 แบบ ได้แก่ แบบ Studio  แบบ 1 ห้องนอน  1 ห้องน้ำ ห้องแบบ 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ  และห้องแบบ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ มีขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 28.00-59.80 ตารางเมาตร ราคาขายตั้งแต่ 2.85-22 ล้านบาท หรือราคาขายเฉลี่ย 130,000 บาทต่อตารางเมตร  ปัจจุบันโครงการมียอดขายแล้ว 43%  ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ จะเริ่มการก่อสร้างโครงการ และคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 2 ปี 2565 (อ่านข่าวเพิ่มเติม)    ปิดโครงการ "วี ธารา สุขุมวิท 36" ยอดขาย 100% ในภาวะตลาดคอนโดฯ ที่ถูกแรงบีบคั้นจากมาตรการ LTV ปีนี้ยอดเปิดตัวโครงการใหม่จึงน้อยลง ดีเวลลอปเปอร์เร่งขายของเก่าออก ไม่งั้นสต็อกจะบานเกินไป แม้จะมีหลายโปรเจ็กต์ที่ขายได้ช้า แต่หลายโปรเจ็กต์ก็ปิดการขายได้หมดแล้ว อย่างโครงการ วีธารา สุขุมวิท 36 ตอนนี้ ปิดการขายได้ครบ 100% แล้ว  นายธีร ชุติวราภรณ์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วี พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เปิดเผยว่า โครงการ วีธารา สุขุมวิท 36 สามารถทำยอดขายโครงการได้ครบ 100% ทุกยูนิต สร้างรายได้สู 2020งถึง 2,700 ล้านบาท   อิเกีย เปิดแคตตาล็อกใหม่ FC อิเกีย ที่เฝ้ารอแคตตาล็อก สำหรับปี 2020 ตอนนี้ คงนั่งเปิดหาแรงบันดาลใจกันสนุกแล้ว เพราะสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้เปิดตัวแคตตาล็อกใหม่เป็นที่เรียบร้อย ปีนี้มุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ภายในห้องนอน เพราะมีความเชื่อว่า คุณภาพชีวิตที่ดีต้องเริ่มจากคุณภาพการนอน เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วจะได้เริ่มต้นวันดีดีได้ต่อไป     นายทอม ซูเทอร์ ผู้จัดการสโตร์ อิเกีย บางใหญ่ กล่าวว่า แคตตาล็อกอิเกียปีนี้จัดทำภายใต้ธีม “Easy Renewal For Better Sleep”  เป็นการชวนทุกคนมาปรับเปลี่ยนแนวคิด และลุกขึ้นมาเปลี่ยนบรรยากาศในห้องนอน เริ่มจากสิ่งเล็กๆ ที่ทำได้ง่ายๆ โดยมีแคตตาล็อกเป็นตัวสร้างไอเดีย เพื่อจุดประกายความคิด เพิ่มพลังบวก สร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับบ้านและชีวิต พร้อมเริ่มต้นวันใหม่อย่างสดชื่น   ล็อกแอนด์ล็อก เปิดร้านคอนเซ็ปต์สโตร์ "PlaceLL"     ส่วนผู้ที่ชื่นชอบการทำอาหาร ผลิตภัณฑ์ “ล็อกแอนด์ล็อก” ได้เปิดสโตร์ของตัวเองภายใต้ชื่อ PlaceLL ซึ่งเป็นโมเดลจากเกาหลี กับคอนเซ็ปต์ร้านที่รวบรวมสินค้าของบริษัทไว้ด้วยกัน โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ในครัว สำหรับการประกอบการอาหาร นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์ไลฟ์สไตล์อื่นๆ ให้ได้ซื้อกันด้วย  ถือเป็นการรองรับกับไลฟ์สไตล์ของคนยุคปัจจุบันที่ชอบการทำอาหาร   นายจุง วุง มูน กรรมการผู้จัดการบริษัท ล็อก แอนด์ ล็อก (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า “ปีนี้เราต้องการสร้างแบรนด์ให้ลูกค้าคนไทยรู้จัก บริษัท ล็อก แอนด์ ล็อก (ประเทศไทย) จำกัด มากขึ้น และทราบว่าเรามีสินค้าอื่นๆ ด้วย จึงได้เปิดคอนเซ็ปต์สโตร์ในชื่อ PlaceLL ซึ่งที่เกาหลีเปิดไปแล้ว 3 สาขา ประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เราเลือกมาเปิด   ภายในร้านมีผลิตภัณฑ์คุณภาพดีหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นกล่องถนอมอาหาร ขวดน้ำ กระบอกน้ำเก็บอุณหภูมิ เครื่องใช้ในครัวเรือน อุปกรณ์ทำอาหาร เครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็ก อีกทั้งเอาใจคนรักการท่องเที่ยวโดยมีของใช้สำหรับการเดินทางให้เลือกมากมาย  ซึ่งภายในปีนี้เราจะทยอยปรับปรุงร้านค้าที่มีอยู่เดิมทั้ง 2 สาขาให้เป็นไปตามคอนเซ็ปต์ใหม่ รวมถึงตั้งเป้าขยายสาขาเพิ่มเติมอีก 5 สาขาภายในปี 2563 ด้วย        
[PR News] ปิดฉากงานรับสร้างบ้าน ยอดขายต่ำเป้า สมาคมหวังโค้งท้ายฟื้นตัวจบปีตลาดโต 5-8%

[PR News] ปิดฉากงานรับสร้างบ้าน ยอดขายต่ำเป้า สมาคมหวังโค้งท้ายฟื้นตัวจบปีตลาดโต 5-8%

ปิดฉากงาน รับสร้างบ้านและวัสดุ Expo 2019 พลาดเป้า 12% ทำยอดขายได้แค่ 2,640 ล้าน เหตุเศรษฐกิจชะลอตัว คนชะลอสร้างบ้าน แต่สมาคมยังมองบวก คาดครึ่งปีหลังตลาดรับสร้างบ้านฟื้นตัว ทั้งปียังเติบโต 5-8%     นางศิริพร สิงหรัญ  นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน  เปิดเผยว่า  การจัดงาน รับสร้างบ้านและวัสดุ Expo 2019 ระหว่างวันที่ 29 สิงหาคม - 1 กันยายน 2562  ที่อาคาร 6 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพค เมืองทองธานี  ถือว่าได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นที่น่าพอใจ โดยสามารถทำยอดขายภายในงานได้รวม 2,640 ล้านบาท  ต่ำกว่าเป้าหมาย 12% จากยอดขาที่คาดว่าจะทำได้ 3,000 ล้านบาท เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง  ทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มมีการชะลอการตัดสินใจออกไป     “การนับยอดขายภายในงานทางสมาคมฯ จะให้ผู้เข้าแสดงงานสามารถส่งยอดขายตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 28 สิงหาคม 2562 เข้ามารวมด้วยได้เพื่อเก็บตัวเลขยอดขายในไตรมาสที่ 2 ซึ่งในปีนี้ยอดขายก่อนงานถือว่ามีเกณฑ์ที่ลดลง ซึ่งคงเป็นผลมาจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 2 แต่เมื่อมีการจัดงานและมีการจัดโปรโมชันรูปแบบต่าง ๆ ผู้บริโภคก็เร่งกลับเข้ามาซื้ออีกครั้ง โดยยอดขายในงานมีสัดส่วน 65% ต่อยอดขายก่อนงานที่มีสัดส่วน 35% เพิ่มขึ้นจากการจัดงานในปีก่อนหน้าที่มีสัดส่วน 50%”   นางศิริพร กล่าวต่อไปว่า จากการเก็บตัวเลขยอดขายภายในงาน โดยใช้มูลค่ารวมของการขายเป็นเกณฑ์ พบว่าในปีนี้ บ้านระดับราคา 2.51 – 5 ล้านบาท มีสัดส่วนสูงที่สุดคือ 40.1% รองลงมาคือบ้านระดับราคา 5.01 – 10 ล้านบาท ที่ 29.9%  บ้านระดับราคา 10.01 – 20 ล้านบาท ที่ 13.2%  ส่วนบ้านระดับราคาไม่เกิน 2.5 ล้านบาท มีสัดส่วน 12.7%  และ บ้านระดับราคา 20.01 ล้านบาทขึ้นไปมีสัดส่วน 4.1%   โดยตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า บ้านระดับกลางถึงบน มีกำลังซื้อที่หนาแน่นสุด เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้ ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่ไม่มากนัก ขณะเดียวกันเมื่อดูถึงแนวโน้มความต้องการปลูกสร้างบ้าน ซึ่งเป็นการสำรวจผู้บริโภคที่เข้าชมงานพบว่า ส่วนใหญ่ต้องการปลูกสร้างบ้านภายใน  3-6  เดือนซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านด้วยเช่นกัน     สำหรับการจัดงานในปีนี้ ยังพบข้อมูลสำคัญที่น่าสนใจเพิ่มขึ้น คือ ตัวเลขของผู้ที่ต้องการสร้างบ้านในต่างจังหวัดมีปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งน่าจะมาจากความต้องการในตลาดต่างจังหวัดเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับเริ่มมีบริษัทรับสร้างบ้าน ได้ไปเปิดสาขาในต่างจังหวัด และมีบริษัทรับสร้างบ้านท้องถิ่นพัฒนาขึ้นมามากขึ้น  นอกจากนี้ผู้บริโภคในต่างจังหวัดมีการเปลี่ยนพฤติกรรมจากการใช้ผู้รับเหมาทั่วไป มาว่าจ้างบริษัทรับสร้างบ้านที่เป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น     ส่วนมูลค่าตลาดรวมของธุรกิจรับสร้างบ้านในปีนี้ จากตัวเลขภายในงานที่ยอดขายในไตรมาสที่ 3 มีทิศทางการปรับตัวที่ดีขึ้น เนื่องจากยังมียอดขายที่จะตามหลังงานอีกไม่น่าจะต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท  ซึ่งสมาคมฯ คาดว่ามูลค่าตลาดรวมของธุรกิจรับสร้างบ้านน่าจะยังเติบโตตามที่ประมาณการไว้ที่ประมาณ 5-8% คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 12,500 – 13,000 ล้านบาท  
รวมโปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เดือนกันยายน 2562

รวมโปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เดือนกันยายน 2562

ตั้งแต่เริ่มต้นปี 62 มานี้ หลายโครงการที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะแนวราบ แนวดิ่ง เป็นโครงการที่เพิ่งเปิดตัวหรือพร้อมอยู่แล้วก็ตาม ต่างก็พร้อมใจขยันออกโปรโมชั่นกันออกมาช่วงชิงตลาดกันท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ โดยช่วงปลายไตรมาส 3 นี้ จะมีโปรโมชั่นอะไรเด็ดๆ บ้าง ตามมาดูกันค่ะ   อนันดา ส่ง 7 คอนโดใหม่ จัดโปร อนันดาส่ง 7 คอนโดใหม่ติดรถไฟฟ้า จองก่อน ได้ก่อน ไม่ต้องรอใคร เริ่ม 1.59 - 5.99 ล้าน* ไอดีโอ คิว ทองหล่อ สเตชั่น 230 เมตร จาก BTS ทองหล่อ* เริ่ม 5.99 ลบ. คิว ประสานมิตร 120 เมตร จาก มศว* เริ่ม 5.99 ลบ. ไอดีโอ สุขุมวิท-พระราม 4 350 เมตร จาก BTS พระโขนง* เริ่ม 3.59 ลบ. ไอดีโอ จุฬา-สามย่าน 400 เมตร จาก MRT สามย่าน* เริ่ม 3.59 ลบ. ไอดีโอ พหล-สะพานควาย 0 เมตร จาก BTS สะพานควาย* ไอดีโอ รามคำแหง-ลำสาลี สเตชั่น 50 เมตร จาก MRT ลำสาลี* เริ่ม 2.19 ลบ. ไอดีโอ จรัญ 70-ริเวอร์วิว 295 เมตร จาก MRT บางพลัด* เริ่ม 1.59 ลบ.   "พฤกษา"จัดแคมเปญ “GOLD ON TOP รับทองกว่าแสน ทุกหลัง”     พฤกษาจัดโปรโมชั่นสำหรับบ้านเดี่ยวแบรนด์ภัสสรและเดอะแพลนท์ กว่า 47 โครงการทั่วประเทศ เพียงจองและโอนภายใน 30 กันยายน 62 ฟรีทุกค่าใช้จ่าย พิเศษสุด 500 ยูนิตแรก รับฟรีทองคำหนัก 5 บาททุกยูนิตทันทีไม่ต้องลุ้นใดๆ   ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม–30 กันยายน 2562 รับโปรโมชั่นพิเศษมากมาย อาทิ  ฟรีค่าธรรมเนียมการโอน (สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท) และพิเศษสุด!! สำหรับลูกค้าที่จองบ้าน 500 ท่านแรกและโอนภายในวันที่ 30 กันยายน 2562 ทุกยูนิตรับฟรีทันทีทองคำหนัก 5 บาท ไม่ต้องลุ้น รวมมูลค่าของรางวัลและส่วนลดกว่า 50 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นพิเศษจากธนาคารพันธมิตร อาทิ กู้ได้ 100% หรือผ่อนเพียงล้านละ 1,000 บาทในปีแรก   LIFE Sathorn Sierra เตรียมจัด OPEN HOUSE 7-8 ก.ย. นี้   คอนโดมิเนียมจาก AP Thailand บนทำเลศักยภาพ ห่างจาก BTS ตลาดพลู 150 เมตร และ 100 เมตรจาก BRT ราชพฤกษ์ ราคาเริ่มต้น 2.49 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 87,000 บาท/ตร.ม. จัดงาน OPEN HOUSE 7-8 ก.ย.นี้ พร้อมเปิดคาเฟ่ใหม่ LIFE SATHORN SIERRA X NESCAFE HUB พบเมนูสุด EXCLUSIVE เฉพาะที่นี่ที่เดียว ลงทะเบียนออนไลน์รับส่วนลดสูงสุด 300,000 บาท* ฟรี Samsung Note 10+* เริ่ม 2.49 ล้าน*     ศุภาลัย ซิตี้ รีสอร์ท สุขุมวิท 107 เตรียม Per Sale 7-8 ก.ย. นี้ คอนโดที่เสมือนการใช้ชีวิตอยู่บนรีสอร์ทส่วนตัว รายล้อมด้วยสวนสีเขียวสไตล์ Tropical และสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อความคล่องตัวของการใช้ชีวิต บนพื้นที่กว่า 13 ไร่ 6 อาคาร 1,022 ยูนิต 4 ร้านค้า ขนาด 28.5-69.5 ตร.ม. (Studio-2 ห้องนอน) ราคาเริ่ม 1.78 ล้านบาท Per Sale 7-8 ก.ย. นี้ ณ Sales Gallery รับเฟอร์นิเจอร์ครบชุด และรับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 300,000 บาท   ดิ เอ็กเซล ลาซาล 17 เริ่มเปิดขาย 21 - 22 ก.ย. นี้ คอนโดใกล้รถไฟฟ้าสายสุขุมวิทแต่งครบจบทั้งห้อง พร้อมสระขนาดโอลิมปิกยาวกว่า 50 ม. เป็น Low Rise 8 ชั้น 4 อาคาร 581 ยูนิต ขนาด 25-44 ตร.ม. (1-2 ห้องนอน) กับราคาที่หาไม่ได้อีกแล้วบนเส้นสุขุมวิท เริ่ม 1.19 ลบ.* ผ่อนสบายเริ่ม 4,900 บ./ด.* เริ่มเปิดขาย 21 - 22 ก.ย.นี้ ภายในงานมีจับฉลากห้องโปรโมชั่นราคาพิเศษ ห้องมีจำนวนจำกัด!   เอ็ม จตุจักร โปรเด็ด 20 ยูนิต ราคาดีที่สุด     คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ จัดโปรโมชั่นราคาเดียว 1 ห้องนอน 28 ตร.ม. 3.5 ล้านบาท* 2 ห้องนอน 55 ตร.ม. 6.9 ล้านบาท* จัดให้ครบ ฟรี เฟอร์นิเจอร์ครบชุด* พร้อมเครื่องใช้ไฟฟ้า* และกู้เต็ม 100% วันที่ 7-8 ก.ย.นี้ ที่ Sales Gallery โครงการ BAAN 365 RAMA III By LPN มอบเอกสิทธิ์พิเศษในงาน EXCLUSIVE EVENT     บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เตรียมมอบเอกสิทธิ์พิเศษในงาน EXCLUSIVE EVENT  BAAN 365 RAMA III กับโครงการแรกภายใต้แบรนด์ “BAAN 365 By LPN” ในรูปแบบบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮมหรู  มูลค่า 3,200 ล้านบาท ขนาดเนื้อที่ 22 ไร่ ใน วันที่ 14-15 ก.ย. นี้ BAAN 365 RAMA III By LPN มอบเอกสิทธิ์พิเศษ  โดยเปิดจอง “บ้านหรู พร้อมอยู่” โซนส่วนตัวใหม่ เพียงจองภายในวันงาน รับข้อเสนอพิเศษ Exclusive Living Packages เฟอร์นิเจอร์ ค่าตกแต่งภายใน เครื่องปรับอากาศ และส่วนลด มูลค่ารวมกว่า 3 ล้านบาท* (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด*) ซึ่งผู้สนใจสามารถเข้าชมบ้านตัวอย่าง และบ้านจริงได้แล้ววันนี้ ณ Sales Gallery เจ.เอส.พี. ขนกว่า 20 โครงการผนึกแคมเปญพิเศษ ‘สุขพร้อมเสิร์ฟ’  บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เตรียมจัดโปรโมชั่นพิเศษโครงการ BAAN 365 RAMA III By LPN ในวันที่ 14-15 ก.ย. นี้  ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการแรกภายใต้แบรนด์ “BAAN 365 By LPN” ในรูปแบบบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮมหรู มูลค่า 3,200 ล้านบาท ขนาดเนื้อที่ 22 ไร่ ซึ่งเตรียมมอบเอกสิทธิ์พิเศษในงาน EXCLUSIVE EVENT โดยเปิดจอง “บ้านหรู พร้อมอยู่” โซนส่วนตัวใหม่ เพียงจองภายในวันงาน รับข้อเสนอพิเศษ Exclusive Living Packages เฟอร์นิเจอร์ ค่าตกแต่งภายใน เครื่องปรับอากาศ และส่วนลด มูลค่ารวมกว่า 3 ล้านบาท* (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด*) ซึ่งผู้สนใจสามารถเข้าชมบ้านตัวอย่าง และบ้านจริงได้แล้ววันนี้ ณ Sales Gallery ได้ทุกวัน   บริษัท  เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เตรียมขนโครงการบ้านและคอนโดฯ กว่า 20 โครงการ ร่วมออกบูธในงานมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งที่  41   อาทิ  โครงการคอนโด 2 ทำเล คือ สาทร - กัลปพฤกษ์ และบางปู, โครงการทาวน์โฮม 7 ทำเล อาทิ สุขุมวิท - แพรกษา, รังสิต - คลอง 1 และ สาทร-กัลปพฤกษ์  อาคารพาณิชย์ 7 ทำเล อาทิ สุขุมวิท - แพรกษา, ทิวลิป สแควร์ และ รังสิต - คลอง 1 บ้านแฝดมี 4 ทำเล ไม่ว่าจะเป็น สุขุมวิท - แพรกษา, รังสิต - คลอง 1 และแหวน - บางใหญ่  และโครงการบ้านเดี่ยวทำเลเด็ด 1 วงแหวน - บางใหญ่ ทุกทำเลแลทุกโครงการยกขบวนมาพร้อมกับโปรโมชั่นพิเศษ ‘เจ เอส พี สุขพร้อมเสิร์ฟ’ โดยเปิดให้ลูกค้าที่เข้าร่วมงานมีสิทธิ์จองเพียง 1,000 บาท เท่านั้น อีกทั้งมอบโอกาสผ่อนสบายเริ่มเพียง 1,500 บาท ต่อเดือน พร้อมส่วนลดอีกมากมาย  ในงานมหกรรมบ้านและคอนโดฯ ครั้งที่ 41 ระหว่างวันที่   12 - 15 กันยายนนี้   กาลิเลโอ รัชดา 32 จัดงาน Pre-Sale ครั้งแรก!! วันที่ 28-29 ก.ย. นี้   บริษัท พรีโม เรียลเตอร์ จำกัด เตรียมจัดงาน Pre-Sale โครงการคอนโดมิเนียม กาลิเลโอ รัชดา 32 ระหว่างวันที่ 28-29 กันยายน 2562 ครั้งแรก!! เปิดชมห้องตัวอย่างใหม่ ยูนิตพิเศษราคา 1.69 ล้านบาท ผ่อนเพียง 4,900 บาทต่อเดือน จำนวนจำกัด ด้วยจำนวนเพียง 64 ยูนิต ที่โครงการกาลิเลโอ รัชดา 32  คอนโดหรู แต่งครบ จัดเต็ม!! พร้อมส่วนกลางลอยฟ้า สระว่าย  กล้องดูดาว สวนลอยฟ้า บ้านไม้ สำหรับเด็กๆ  Co-Working Space 24 ชม. พร้อมลิฟท์ล๊อคชั้น  ความปลอดภัย และเทคโนโลยีครบครัน  อาทิ Home Automation, Digital Door Lock, Smart Mirror, Port USB พร้อมมีบริการรถ รับ-ส่ง รัชดา 32 – MRT ลาดพร้าว* และฟรีบริการนู๋เมด ทำความสะอาด 2 ปี โปรโมชั่นพิเศษ!! เหล่านี้เฉพาะภายในงานเท่านั้น ลงทะเบียนออนไลน์รับส่วนลดพิเศษ 200,000 บาท* RICHYจัดโปรฯแรง! งานมหกรรมบ้านและคอนโดฯ ครั้งที่ 41   บริษัท ริชี่ เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) (RICHY) เตรียมนำโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด 9 โครงการ ทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม 2 โครงการ ประกอบด้วย เดอะริชวิลล์ ราชพฤกษ์, เดอะริช บิชโฮม สุขุมวิท 105 ส่วนคอนโดมิเนียม 7 โครงการ ประกอบด้วย เดอะ ริช เอกมัย, ริช พอยท์ @บีทีเอสวุฒากาศ,  ริชพาร์ค @เตาปูน อินเตอร์เชนจ์, ริชพาร์ค @ เจ้าพระยา, ริชพาร์ค เทอมินอล @ พหลโยธิน 59, เดอะริช @สาทร-ตากสิน, ดิเอท คอลเลคชั่น พร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษเฉพาะในงานนี้เท่านั้น เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงครึ่งปีหลัง
SC เดินหน้าเปิดโปรเจ็กต์โค้งท้ายปี รักษาเป้าหมายสร้างรายได้ 19,000 ล้าน

SC เดินหน้าเปิดโปรเจ็กต์โค้งท้ายปี รักษาเป้าหมายสร้างรายได้ 19,000 ล้าน

"เอสซี แอสเสท" เดินหน้าเปิดโปรเจ็กต์โค้งท้ายปี รักษาเป้ารายได้ 19,000 ล้าน  มุ่งจับตลาดระดับบน กำลังซื้อสูง ล่าสุดเตรียมโอนโปรเจ็กต์ "ทเวนตี้เอท ชิดลม"  บนที่ดินเคยแพงสุดของถนนชิดลม หลังกวาดยอดขายกว่า 5,000 ล้าน  นายประยงค์ยุทธ อิทธิรัตน์ชัย รองหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านพัฒนาทรัพย์สินแนวสูง บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยถึงแผนเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมช่วงครึ่งปีหลังว่า ได้วางแผนเปิดตัว 2 โครงการ มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ THE CREST PARK RESIDENCES  คอนโดฯ ใกล้ BTS สถานีห้าแยกลาดพร้าว มูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท พัฒนาโดยบริษัท เอสซี เอ็นเอ็นอาร์ วัน จำกัด (SC NNR1 Co.,Ltd.) บริษัทร่วมทุนกับ Nishitetsu Group ยักษ์ใหญ่ด้านอสังหาฯและคมนาคมจากภูมิภาคคิวชู ประเทศญี่ปุ่น   โครงการที่ 2 คือ โครงการ SCOPE THONGLOR  คอนโดฯ ติด BTS สถานีทองหล่อ มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท พัฒนาโดยบริษัท สโคป ทาวเวอร์ จำกัด (Scope Tower Co., Ltd.) ส่วนช่วงปลายปีจะเปิดขายโครงการ แชมเบอร์ส อ่อนนุช สเตชั่น เฟส 2 มูลค่า 1,400 ล้านบาท ผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อซอฟท์ลอนซ์  ก่อนเปิดตัวเป็นทางการในช่วงต้นปีหน้าอีกครั้งหนึ่ง   สำหรับการเปิดตัวโครงการคอนโดฯ​ บริษัทมุ่งเน้นจับตลาดระดับบน หรือคอนโดฯ ราคาขายตั้งแต่ 120,000-250,000 บาตรต่อตารางเมตรขึ้นไป  ซึ่งแผนในระยะ 3-5 ปี บริษัทจะพัฒนาโครงการคอนโดฯ ภายใต้แบรนด์เดอะเครสท์ และแชมเบอร์ส เพื่อบริหารพอร์ตรายได้ของบริษัท ให้มีสัดส่วนรายได้จากโครงการคอนโดฯ 1 ใน 3 ของรายได้รวม รายได้จากโครงการแนวราบมีสัดส่วน 2 ใน 3 ของรายได้รวม และมีรายได้ประจำจากการปล่อยเช่าและการธุรกิจโรงแรม สัดส่วนไม่เกิน 10% ของรายได้รวมด้วย   ด้านความคืบหน้าโครงการในกลุ่มลักชัวรี ลิมิเต็ด คอลเลคชั่น ของบริษัท ซึ่งมีด้วยกัน 3 โครงการ  ได้แก่ 1.โครงการศาลาแดงวัน มูลค่า 4,000ล้านบาท ปัจจุบันเหลือขายมูลค่า 1,400 ล้านบาท  2.โครงการบีทนิค สุขุมวิท มูลค่า 3,000 ล้านบาท ปัจจุบันเหลือขาย  2,000 ล้านบาท และ 3.โครงการทเวนตี้เอท ชิดลม (28 ชิดลม) มูลค่า 8,000 ล้านบาท ปัจจุบันเหลือขายประมาณ 3,000 ล้านบาท   ส่วนความคืบหน้าโครงการทเวนตี้เอท ชิดลม บริษัทก่อสร้างแล้วเสร็จ พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้าได้ในวันที่ 6 กันยายนนี้ ซึ่งที่ผ่านมาสามารถขายห้องชุดได้กว่า 60% หรือประมาณ 5,000 ล้านบาท  จากมูลค่าโครงการรวม 8,000 ล้านบาท ส่วนห้องที่เหลืออีก 40% จะจัดงาน Open House ในวันที่ 7-8 กันยายน 2562 พร้อมเปิดให้ชมโครงการอย่างเป็นทางการ     โดยโครงการทเวนตี้เอท ชิดลม เป็นคอนโดซุปเปอร์ลักชัวรี่ ฟรีโฮลด์ บนถนนชิดลม พื้นที่กว่า 3 ไร่  มีจำนวน 2 อาคาร แบ่งเป็น  The Tower ขนาด 47 ชั้น จำนวน 243 ยูนิต รูปแบบห้องมีให้เลือกทั้งแบบ ห้องขนาด 1-3 ห้องนอน และแบบเพนท์เฮ้าส์ ขนาดพื้นที่เริ่มต้นที่ 40-200 ตารางเมตร  กับอาคาร The Villa ขนาด 20 ชั้น จำนวน 182 ยูนิต รูปแบบห้องมีให้เลือกขนาด 1-3 ห้องนอน ขนาดพื้นที่เริ่มต้นที่ 37-132 ตารางเมตร   สำหรับเป้าหมายรายได้ในปีนี้บริษัทคาดว่าจะทำได้ 19,000 ล้านบาท เติบโตมากกว่า 20%  ในช่วงครึ่งปีหลังวางแผนเปิดโครงการใหม่ทุกกลุ่ม 10 โครงการ มูลค่ารวม 13,300 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 8 โครงการ มูลค่า 7,300 ล้านบาท  ได้แก่ กลุ่มบ้านเดี่ยว ภายใต้แบรนด์ เพฟ, เวนิว โฟลว์, บางกอก บูเลอวาร์ด และ บางกอก บูเลอวาร์ด ซิกเนเจอร์ ราคาตั้งแต่ 4-30 ล้านบาท กลุ่มบ้านแฝดและทาวน์โฮม ภายใต้แบรนด์ วี-คอมพาวด์ และ เวิร์ฟ ราคา 2-6 ล้านบาท โดยทั้ง 8 โครงการ ตั้งอยู่ในหลากหลายทำเล เช่น พระราม 5, รังสิต, เสรีไทย, และบางนา ส่วนโครงการแนวสูง 2 โครงการ มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท   ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน หรือ backlog มูลค่า 10,600  ล้านบาท 57% จะรับรู้รายได้ในปีนี้ จากทั้งโครงการแนวราบและแนวสูง โดยมีคอนโดฯ 2 โครงการที่จะสร้างเสร็จและเริ่มโอนในครึ่งปีหลัง คือ โโครงการทเวนตี้เอท ชิดลม และโครงการเซ็นทริค รัชโยธินเริ่มโอนปลายไตรมาส 4   ส่วนผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของ บริษัทมีรายได้รวม 6,698  ล้านบาท สัดส่วนคือ 93% จากอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย และสัดส่วน 6% จากอสังหาฯ เพื่อเช่าและบริการ รายได้จากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 6,236  ล้านบาท มาจากโครงการแนวราบ 5,202 ล้านบาท เติบโต 16% (yoy) และโครงการแนวสูง 1,034 ล้านบาท กำไรสุทธิ 598 ล้านบาท และมียอดขายรวม 7,023 ล้านบาท
สรุปข่าวอสังหาฯ รอบสัปดาห์ วันที่ 24 สิงหาคม- 1 กันยายน 2562

สรุปข่าวอสังหาฯ รอบสัปดาห์ วันที่ 24 สิงหาคม- 1 กันยายน 2562

หมดไปแล้วอีก 1 เดือน และก้าวเข้าสู่เดือนใหม่ ที่เรียกได้ว่ากำลังจะเข้าสู่โค้งท้ายของปีนี้แล้ว วันเวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน เผลอแพร๊บเดียวเราคงได้ฉลองปีใหม่กันอีกรอบแล้ว...   เมื่อเวลาของปีเหลือน้อยลงน้อยลง บรรยากาศของธุรกิจก็พอจะเริ่มมีความคึกคักขึ้นมาบ้าง เพราะดีเวลลอปเปอร์แต่ละรายต้องเร่งทำตลาด และสร้างยอดขายเพื่อให้ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่จะไปได้ดีแค่ไหนต้องลุ้นกันอีกครั้ง   ++ออลล์ อินสไปร์ ลุยโปรเจ็กต์ครึ่งปีหลัง     สำหรับ “ออลล์ อินสไปร์” คงไม่ต้องลุ้นจนเหนื่อย เพราะนายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ออกมาแถลงข่าวผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก  โดยเปิดเผยว่าสามารทำผลประกอบการเติบโตตามที่ได้คาดการณ์ไว้ โดยกลุ่มบริษัทมีรายได้รวม 1,692 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49%  และมีกำไรสุทธิ 213 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อน ในขณะที่ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2562 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม 840 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% และมีกำไรสุทธิ 116 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% จากช่วงเดียวกันปีก่อน นายธนากร กล่าวอีกว่า จากความสำเร็จในช่วงครึ่งปีแรก  ส่งผลให้ทางบริษัทเตรียมวางยุทธศาสตร์ แผนขยายการลงทุนในครึ่งปีหลังอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมเปิดโครงการใหม่มูลค่ากว่า 12,500 ล้านบาท ทั้งโครงการคอนโดมิเนียม โลว์ไรส์ ไฮไรส์ และทาวน์โฮม  จากแผนการเปิดโครงการใหม่ ทำให้บริษัทมีความมั่นใจว่าในปีนี้จะทำรายได้ 4,500 ล้านบาทตามที่วางเป้าหมายไว้ด้วย   ++“เสนา ฮันคิว ฮันชิน” ผนึกพันธมิตรเสริมบริการระดับโรงแรม   ด้าน “เสนาฯ” ก็วางแผนขยายตลาดไปยังกลุ่มพรีเมี่ยมเพิ่มขึ้น ทั้งในปีนี้และต่อเนื่องไปถึงปีหน้า ด้วยการจับมือกับพันธมิตรอย่าง ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป (ONYX Hospitality Group) เพื่อเสริมจุดแข็งด้านบริการระดับโรงแรม 5 ดาว ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการ บริษัท เสนา ฮันคิว ฮันชิน จำกัด  เปิดเผยว่า เสนา ฮันคิว ฮันชิน มีแผนขยายตลาดเซกเมนต์พรีเมี่ยมเพิ่มขึ้นทั้งในปีนี้และปีหน้า  ล่าสุดจับมือกับ ออนิกซ์ ฮอสพิทาลิตี้ กรุ๊ป หนึ่งในบริษัทผู้นำด้านบริหารจัดการโรงแรมจากหลากหลายประเทศ อาทิ โอเรียนเต็ล เรสซิเดนซ์ กรุงเทพฯ มาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ช่วยบริหารโครงการ “ปีติ” ให้มีมาตรฐานการบริการระดับโรงแรม 5 ดาว ซึ่งโดยปกติจะพบที่คอนโดมิเนียมระดับซุปเปอร์ลักชูรี่เท่านั้น นับเป็นพรีเมี่ยมคอนโดเจ้าแรกที่ให้บริการระดับลักชัวรี่ เซอร์วิส (Luxury Service)   ++โนเบิลฯ ตั้ง CFO คนใหม่ การขับเคลื่อนองค์กร หัวใจสำคัญอยู่ที่ “คน”  บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (NOBLE) จึงเสริมทีมงานเพิ่มเข้ามา เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัท โดยได้แต่งตั้ง นายอรรถวิทย์  เฉลิมทรัพยากร ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  สายงานการเงิน  โดยบริษัทฯได้แจ้งมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ต่อ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  มีผลตั้งแต่วันที่ 30 สิงหาคม  2562  เป็นต้นไป   ++ ส.สินเชื่อจัดงานเซลล์ ช่วงระหว่างวันที่ 29 สิงหาคม-1 กันยายน 2562  สมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้จัดงาน NPA Grand Sale & Home Loan 2019 ใน ที่ ฮอลล์ 6 อิมแพค เมืองทองธานี ซึ่งภายในงานมีทรัพย์เด่น ราคาลดสูงสุดถึง 50% พร้อมสินเชื่อ 0%  ซึ่งภายในงานมีธนาคารและบริษัทบริหารสินทรัพย์มาร่วมงานหลายราย อาทิ  บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) บริษัทบริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน  ซึ่งมีทรัพย์สินรอการขายมาเสนอขายแสดงในงานเกือบ 10,000 รายการ มูลค่าประมาณ 20,000 ล้านบาท งานนี้ตั้งเป้ามียอดขายภายในงานประมาณ 3,000 ล้านบาท และยอดขายที่ตามมาหลังงานอีกประมาณ 10,000 ล้านบาทเลยทีเดียว   ++3 สมาคมเตรียมจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด นอกจากงาน NPA Grand Sale & Home Loan 2019 ที่ผ่านพ้นไปแล้ว ในแวดวงอสังหาฯ  ก็จะมีงานใหญ่มาให้คนที่ต้องการบ้านและคอนโดฯ  ได้เลือกช้อปกันอีกงานหนึ่ง คือ  งาน “มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 41” ระหว่าง 12-15 ก.ย.นี้ ชั้น 5 สยามพารากอน ซึ่งงานนี้ “3 สมาคมอสังหา” ประกอบด้วย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร, สมาคมอาคารชุดไทย และสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยร่วมกันจัดขึ้นโดยในปีนี้ได้ใช้งบการจัดงานกว่า 20 ล้านบาท จัดขึ้นมาภายใต้คอนเซ็ปต์ “Amazing Deals” สุดยอดข้อเสนอสำหรับคนอยากมีบ้านและคอนโดฯ ภายในงานจะเป็นการรวบรวมโครงการที่อยู่อาศัย “ ครบทุกที – ทุกทำเล - ทุกราคา” รวมกว่า 1,000 โครงการ พร้อมด้วย “BEST PROMOTION”   นอกจากนั้น คณะผู้จัดงานยังได้จัดโปรโมชั่น และแคมเปญ Amazing Deals ลุ้นรับบัตรกำนัลส่วนลดเงินสด และ เครื่องใช้ไฟฟ้าจากพานาโซนิค รวมมูลค่ากว่า 1.1 ล้านบาท และเฉพาะในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 41 เท่านั้น ที่ผู้เข้าชมงานจะได้อัพเดทโปรโมชั่น ราคาและข้อเสนอพิเศษของแต่ละโครงการจากทุกบริษัทที่มาร่วมแสดงงาน ในรูปแบบ Real Time ณ บริเวณเวทีกลางภายในงานอีกด้วย   ++เปิดโครงการ "เดอะ ลอฟท์ ราชเทวี" ส่วนโครงการเปิดตัวใหม่รอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็มีโครงการ “เดอะ ลอฟท์ ราชเทวี”  ของบริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม  มูลค่ากว่า 3,600 ล้านบาท ภายใต้แนวคิด “Experience the Extraordinary Space” พร้อมชูนวัตกรรม Dual Keys   ในราคาเริ่มต้น 6.2 ล้านบาท จำนวนห้องพักเพียง 273 ยูนิต สูง 33 ชั้น  พร้อมชั้นใต้ดิน 1 ชั้น 1 อาคาร ตั้งอยู่บนพื้นที่ 1-2-31.5  ไร่  ซึ่งเตรียมเปิดพรีเซลล์รอบแรก 7-8 กันยายน 2562 ณ โรงแรม VIE HOTEL BANGKOK กรุงเทพ   สำหรับห้องชุดภายในโครงการมีให้เลือกถึง 3 แบบ คือ แบบ “ซิมเพล็ก” (Simplex: ห้องชุด แบบชั้นเดียว) เพดานสูงประมาณ 3 เมตร ขนาด 25.5 – 109.5 ตารางเมตร แบบ “ลอฟท์” (Lofts) เพดานสูงประมาณ 4.7 เมตร แบบ 2 ชั้น ขนาด 29 – 64.5 ตารางเมตร และแบบ “ดูอัล คีย์” (Dual Keys) สำหรับห้องชุดประเภท Simplex เพดานสูงประมาณ 3 เมตร ที่มีจำนวนจำกัดเพียง 20 ห้องเท่านั้น และยังออกแบบ Juliet Balcony เพิ่มทางเลือกให้ผู้อยู่อาศัยได้ขยายห้องรับแขก  รวมกับระเบียงเพื่อให้ได้ห้องชุดที่กว้างและทุกห้องถูกออกแบบให้มีบานกระจกหน้าต่างสูงจากพื้นจรดเพดานแบบเต็มบานช่วยให้เห็นวิวเมืองแบบมุมกว้าง   ++เดอะ เมโทรโพลิส สำโรง อินเตอร์เชนจ์ พร้อมโอนแล้ว   นอกจากการเปิดตัวโครงการใหม่แล้ว โครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและพร้อมส่งมอบให้ลูกค้าก็มีโครงการ เดอะ เมโทรโพลิส สำโรง อินเตอร์เชนจ์ (The Metropolis Samrong Interchange ) บริหารงานโดยบริษัท เมโทรโพลิส พรอพเพอร์ตี้ส์ จำกัด บริษัทในเครือว่องไววิทย์ฯ   โดยโครงการดังกล่าว ตั้งอยู่บนพื้นที่โครงการทั้งหมดกว่า 8 ไร่ พัฒนาเป็น High Rise Condominium จำนวน 2 อาคาร  และเป็น Low Rise Condominium  จำนวน 1 อาคาร   และอาคารจอดรถ   มีแบบห้องให้เลือก 3 แบบขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ขนาด 29 – 67 ตร.ม. คือห้องแบบ Studio ขนาด 28 ตร.ม./ห้องแบบ 1 ห้องนอน ขนาด 35 ตร.ม. และห้องแบบ 2 ห้องนอน ขนาด 52 และ 67 ตร.ม. ราคาเริ่ม 2.6 ล้านบาทต่อยูนิต มูลค่าโครงการรวมทั้งสิ้น 5,700 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายไปแล้ว 70% ++จัดโครงการ “GIVE GREEN CBD : SYNERGY POWER 2019”   ดีเวลลอปเปอร์นอกจากจะสร้างที่อยู่อาศัยแล้ว ต้องมีส่วนสร้างชุมชมรอบข้างให้น่าอยู่ และมีส่วนช่วยเหลือชุมชนในด้านต่างๆ ด้วย ล่าสุด มูลนิธิแอสเสท เวิรด์ เพื่อการกุศล ภายใต้ แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่นจับมือกรุงเทพมหานครและผู้ประกอบการย่านสาทรจัดโครงการ “GIVE GREEN CBD : SYNERGY POWER 2019” ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 เพื่อผลักดันไปให้กรุงเทพฯ เป็นมหานครน่าอยู่และสังคมที่ยั่งยืน  “The Charity Society: สังคมแห่งการแบ่งปัน”   โครงการนี้ถือเป็นการมอบ สิ่งดีๆ สู่สังคมและสิ่งแวดล้อม ยกระดับคุณภาพชีวิตชาว กทม. และเยาวชนผู้ด้อยโอกาส ผ่าน 4 กิจกรรมหลัก เริ่มสิงหาคม 2562 ถึงมกราคม 2563 ประเดิมด้วยกิจกรรมตลาดนัดการกุศล AWC Charity Market Around, กิจกรรมวิ่งอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมพร้อมลดขยะ Empire Tower We Run 2019 with Virgin Active, กิจกรรมต้นคริสต์มาสยักษ์ที่ประดับตกแต่งด้วยอุปกรณ์การเรียนและอุปกรณ์กีฬา ภายใต้แนวคิด A Sathorn District Charity Christmas Tree  The Green Happiness Society   ปิดท้ายด้วยกิจกรรมปันฝัน เพื่อเสริมสร้างสุขภาพที่ดีและส่งต่อโอกาสทางการศึกษา ผ่านอุปกรณ์การเรียนและอุปกรณ์กีฬาให้กับน้องๆในวันเด็กแห่งชาติในปี 2563 และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในโครงการรักษาเด็กแรกเกิด เด็กเล็ก ที่ สถาบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี หรือโรงพยาบาลเด็ก ถือเป็นกิจกรรมดีดีที่ต้องบอกต่อ....   แล้วกลับพบกันใหม่สัปดาห์หน้า      
สรุปข่าวอสังหาฯ รอบสัปดาห์ 17-25 สิงหาคม 2562

สรุปข่าวอสังหาฯ รอบสัปดาห์ 17-25 สิงหาคม 2562

ตลาดอสังหาฯ ผ่านพ้นไตรมาส 2 มา ยอดขายก็ลดลงไปตามๆ กัน เพราะผลกระทบจากมาตรการ LTV แต่ เดินหน้าลุยกันต่อในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะบรรยากาศโดยรวมน่าจะดีขึ้น ล่าสุดแบงก์ชาติก็ผ่อนเกณฑ์ LTV ในส่วนของผู้กู้ร่วมแล้ว ต่อไปก็น่าจะมีอะไรดีๆ ออกมาอีก ผู้ประกอบการแอบหวังไว้เช่นนั้น   ++ดิ ออริจิ้น รัชดา-ลาดพร้าว กวาดยอดจอง 100% สำหรับค่าย “ออริจิ้น” ดูจะทำผลงานในแบรนด์ใหม่ The Origin ได้โดดเด่นเกินหน้าเพื่อนฝูงร่วมวงการ เพราะเมื่อวันที่ 17-18 สิงหาคมที่ผ่านมา จัดอีเวนท์ First Exclusive สำหรับ โครงการดิ ออริจิ้น รัชดา-ลาดพร้าว (The Origin Ratchada-Ladprao) และดิ ออริจิ้น ลาดพร้าว 15 (The Origin Ladprao 15) ให้แก่ลูกค้าทั้ง VIP และลูกค้าทั่วไป ก็มีคนสนใจล้นหลาม โดยโครงการที่รัชดา-ลาดพร้าว สามารถ Sold Outกวาดยอดจองไป 100% ขณะที่ลาดพร้าว 15 ก็กวาดยอดจอง 80% และจะพรีเซลอย่างทางการในวันที่ 31 สิงหาคมนี้  ++SENA รุกตลาดแนวราบ     ส่วนบริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ที่มีผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดูแลอยู่ก็เดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ โดยเตรียมเปิดตัวโครงการ “เสนาแกรนด์โฮม รามอินทรา ก.ม.8” พัฒนาเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น  จำนวนเพียง 7 หลัง ในราคาเริ่ม 7-10 ล้านบาท  จุดเด่นของโครงการแวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู (สถานีคู้บอน) ใกล้ห้างแฟชั่นไอส์แลนด์ เดอะพรอมานาด  เดอะคริสตัล และเซ็นทรัล เฟสติวัล อีสต์วิลล์ เป็นต้น   ++พราว กรุ๊ป ทุ่ม 7,000 ล้าน บุกตลาดท่องเที่ยวภูเก็ต ตลาดอสังหาฯ  ไม่ได้มีแต่ตลาดบ้านและคอนโดฯ​ เท่านั้น ยังมีการพัฒนาโครงการในรูปแบบอื่นๆ อีกหลายอย่าง เช่น โรงแรม ศูนย์การค้า เป็นต้น  ซึ่ง “พราว กรุ๊ป” เป็นหนึ่งในดีเวลลอปเปอร์ที่ วางนโยบายเอาไว้ว่าจะเป็นผู้พัฒนาโครงการซึ่งไม่ใช่ที่อยู่อาศัย  โดยเลือกประเภทโรงแรม และสถานที่ท่องเที่ยว ที่สร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้า ซึ่งเลือกพัฒนา “สวนน้ำ” อย่างโครงการวานา นาวา วอเตอร์ จังเกิ้ล หัวหิน ซึ่งกลายเป็นสถานที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเที่ยวหัวหินไปแล้ว   ล่าสุด ได้ทุ่มงบลงทุนกว่า 7,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนา 2 โปรเจ็กต์ ในจังหวัดภูเก็ต คือ ‘อันดามันดา’ แหล่งพักผ่อน สวนน้ำ และความบันเทิงบนเนื้อที่ 58 ไร่ ตั้งเป้าเป็น Integrated Entertainment and Resort Destination ซึ่งจะเปิดบริการให้บริการในช่วงต้นปี 2564 และ ‘โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ภูเก็ต รีสอร์ท’ ที่พร้อมเปิดให้บริการเต็มรูปแบบไตรมาส  3 ปีนี้ (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   ++AWC ชู 3  กลยุทธ์ลุยธุรกิจอสังหาฯ   ความยิ่งใหญ่ของตระกูล “สิริวัฒนภักดี” คนไทยทั้งประเทศรู้ดี เพราะมีธุรกิจในมือหลากหลาย แต่และธุรกิจก็ยิ่งใหญ่ระดับประเทศทั้งน้านนนน แม้แต่ธุรกิจอสังหาฯ แต่ละโปรเจ็กต์ก็ระดับบิ๊กๆ ทั้งนั้น  อย่างเช่น ธุรกิจอสังหาฯ ในกลุ่มแอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น ที่เป็นเจ้าของโครงการหลากหลาย อาทิ  เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ อาคารสำนักงานเอ็มไพร์  ทาวเวอร์ ฯลฯ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ประกาศแผนธุรกิจในส่วนโรงแรมไปแล้ว ล่าสุดออกมาขับเคลื่อนธุรกิจในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ กับ 3 กลยุทธ์สำคัญ   นางวัลลภา ไตรโสรัส  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) (AWC) เปิดเผยว่า กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์(Retail & Commercial Building) มี 2 กลุ่มใหญ่ คือ อสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้า (Retail and Wholesale) และอาคารสำนักงาน (Office) ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ ที่มีศักยภาพและมีแนวโน้มเติบโต โดยเตรียม 3 กลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโตต่อเนื่อง ได้แก่ 1.การตอบรับความต้องการทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติและผู้คนในบริเวณโดยรอบโครงการ ภายใต้ Barbell Strategy ซึ่งเป็นการสร้างสมดุลระหว่างโครงการหลากหลายประเภท 2. การวางคอนเซ็ปต์โครงการที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ AWC สามารถเปิดโครงการใหม่ เพื่อสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ยังไม่มีโครงการในตลาดที่ตอบโจทย์  และกลยุทธ์ที่ 3 คือ การบริหารจัดการโครงการและผู้เช่าอย่างมีประสิทธิภาพ (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   ++อนันดา เปิดแคมเปญ “คิด..เพื่อชีวิตคนเมือง” เจ้าพ่อคอนโดฯ ติดรถไฟฟ้าต้องยกให้เขาเลย “อนันดา” เพราะแต่ละโปรเก็จต์อยู่ใกล้ชิดติดสถานีของรถไฟฟ้า แม้จะไกลแต่ก็ยังเดินถึงสถานีได้ไม่ลำบาก  นี่คือ คีย์ความสำเร็จตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา  แต่ไม่ใช่แค่นี้  ความสำเร็จของอนันดายังมาจากหลายปัจจัย หนึ่งในนั้น คือการสร้างแบรนด์ ผ่านแคมเปญต่างๆ ล่าสุด เปิดตัว ตัวแคมเปญ “คิด...เพื่อชีวิตคนเมือง” ตอกย้ำแนวคิด Urban Living Solutions  คอร์ปอเรทแคมเปญที่ทำต่อเนื่องมาหลายปี   นอกจากนี้ ยังจัดงาน URBAN EXPO ด้วยการขน 32 โครงการ  พร้อมอยู่ ทั้ง คอนโดฯ ติดรถไฟฟ้า บ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์ มาจัดโปรโมชั่นพิเศษ และยังจะมีโปรโมชั่นออกมากระตุ้นตลาดเป็นระยะๆ  โดยช่วง 2-3 เดือนนับจากนี้ อนันดา คาดหวังจะทำยอดขายได้ 5,000 ล้านบาท ส่วนช่วงเวลาที่เหลือของปีก็เตรียมเปิดโครงการใหม่อีก 7 โครงการด้วย      ++แสนสิริ เปิดเกมส์รุกแนวราบ   จากภาวะตลาดคอนโดฯ​ ที่อออกอากาศจะไม่สดใส และชะลอตัวลง สิ่งหนึ่งที่ดีเวลลอปเปอร์ทำเพื่อรับมือกับยอดขายซึ่งอาจจะหดหายไป คือ การขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้ากลุ่มใหม่  เทรนด์ส่วนใหญ่ที่ทำกันในปีนี้ จึงเห็นการขยายตลาดไปพัฒนาโครงการแนวราบ  เพราะเป็นกลุ่มเรียลดีมานด์ ไม่มีกลุ่มนักเก็งกำไร ซึ่งเทรนด์นี้ “แสนสิริ” ก็เอากับเขาด้วย โดยครึ่งหลังปีเตรียมตัวเปิด 16 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 24,000 ล้านบาท โดยจำนวน 10 โครงการใหม่ มูลค่า 13,000 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบ   “ในวันนี้แสนสิริพร้อมสร้างความแตกต่าง เพื่อก้าวสู่เป้าหมายในการเป็นผู้นำในตลาดบ้านเดี่ยว และ Top 3 ในตลาดทาวน์เฮาส์ภายใน3 ปี ทั้งนี้กลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนกลุ่มธุรกิจแนวราบมาจากการพัฒนาโครงการที่ครอบคลุมแบรนด์แนวราบ ตอบโจทย์ลูกค้าทุกเซ็กเมนต์ พร้อมสร้างความแข็งแกร่ง และจุดเด่นในแต่ละแบรนด์ที่ชัดเจน แตกต่างเหนือคู่แข่ง” นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)  เล่าถึงเป้าหมายของการรุกตลาดแนวราบ (อ่านข่าวเพิ่มเติม) ​   ++พร็อพเพอร์ตี้  โชว์ผลงานครึ่งปีแรก   ขณะที่ “พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค” ดูเหมือนว่าช่วงครึ่งปีแรก สามารถรับมือกับผลกระทบจาก LTV  และภาวะตลาดชะลอตัวได้ดี สามารถสร้างผลงานได้ดีกว่าหลายๆ ปีที่ผ่านมา  โดยมีรายได้จากธุรกิจโรงแรมเพิ่มขึ้น  มีรายได้และกำไรพิเศษจากการขายที่ดิน โดยบริษัทมีรายได้รวม 10,004 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  และยังทำกำไรสุทธิได้สูงถึง 1,132 ล้านบาท เติบโตขึ้น 225% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน   ส่วนแนวโน้มครึ่งปีหลังน่าจะดียิ่งกว่าครึ่งปีแรก  นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน)  เล่าว่า บริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ 4,700 ล้านบาท ทั้งบ้าน คอนโดในประเทศ และคอนโดประเทศญี่ปุ่น มีขายที่ดินและการลงทุนอีก 3,000 ล้านบาท  จึงมีโอกาสทำกำไรต่อเนื่องพร้อมลดภาระหนี้ลงได้กว่า 4,000 ล้านบาท ปลายปีนี้เตรียมเปิดตัวโครงการร่วมทุนกับต่างประเทศ ทั้งบ้านนวัตกรรมร่วมกับเซกิซุยฯ และจับมือฮ่องกงแลนด์ เปิดตัวบ้านหรูริมทะเลสาบ “เลค เลเจนด์ แจ้งวัฒนะ” อีกด้วย   ++เอพี ออกแบรนด์ใหม่กระตุ้นยอดขาย ในภาวะตลาดที่ยอดขายทรงตัว กลยุทธ์หนึ่งที่นักการตลาดมักจะนำมาใช้ คือ การออกสินค้าใหม่ หรือไม่ก็แบรนด์ใหม่ เพื่อสร้างสีสันและกระตุ้นดีมานด์ใหม่ๆ เพื่อสร้างยอดขาย ค่าย “เอพี ไทยแลนด์” ก็มาในเวย์นี้เหมือนกัน ล่าสุด  เปิดตัวแบรนด์ใหม่ ‘THE SONNE’ ในรูปแบบ Luxury Duplex Home เพื่อรุกตลาดช่วงครึ่งปีหลัง ประเดิมกับโปรเจ็กต์แฟล็กชิพแรกย่านศรีนครินทร์-บางนา  มูลค่าโครงการ 630 ล้านบาท จำนวน 56 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 12-15 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดขายอย่างเป็นทางการ 7-8 กันยายนนี้ ที่ ส่วน 7 เดือนยอดขายก็ทำได้กว่า 24,060 ล้านบาท เป็นยอดขายจากสินค้าแนวราบมูลค่า 14,000 ล้านบาท เฉลี่ยยอดขายต่อสัปดาห์ประมาณ 451 ล้านบาท ซึ่งถือว่าโตเกินจากเป้าหมายที่วางไว้อย่างมาก (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   ++ลลิล เปิด 5 โครงการครึ่งปีหลัง   อย่างที่บอก ครึ่งปีหลังนี้ เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของปี ที่ต้องเร่งทำตลาดและสร้างยอด ในช่วงเวลาที่เหลือ เพราะแต่ละบริษัทมี “เป้าหมาย” ต้องพุ่งชน “ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” ก็เช่นกัน ประกาศแผนรุกตลาดครึ่งปีหลัง เตรียมเปิด 5 โครงการใหม่ มูลค่า 3,500 ล้านบาท พร้อมปักธงรุกตลาดในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ที่ครอบคลุม 3 จังหวัดคือ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และระยอ เพื่อตอบสนองวิสัยทัศน์เชิงนโยบาย Thailand 4.0 เพิ่มอีกด้วย   ซึ่งนายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN)  มองว่า   ภาพรวมธุรกิจอสังหาฯ  ครึ่งปีหลังยังมีทิศทางที่เป็นบวก  แต่อัตราการปรับตัวอาจอยู่ในกรอบที่ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา จากตลาดที่อยู่อาศัยที่ยังคงมีอุปทานคงเหลือในหลายพื้นที่  (อ่านข่าวเพิ่มเติม)    
แสนสิริ รุกแนวราบทุกเซ็กเมนต์ ตั้งเป้า No.1 บ้านเดี่ยว และ Top 3 ทาวน์เฮาส์ใน 3 ปี

แสนสิริ รุกแนวราบทุกเซ็กเมนต์ ตั้งเป้า No.1 บ้านเดี่ยว และ Top 3 ทาวน์เฮาส์ใน 3 ปี

เป็นอีกหนึ่ง Developer ที่ออกมาประกาศเปิดเกมส์รุกตลาดแนวราบอย่างเป็นทางการ โดยการสร้างทีมบริหาร พัฒนาสินค้าควบคู่ไปกับการบริการ เพื่อการขึ้นเป็นอันดับ 1 ของตลาดบ้านเดี่ยว และเป็น Top 3 ของตลาดทาวน์เฮาส์ ตั้งเป้าภายในระยะเวลา 3 ปี   นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังนี้ว่า ครึ่งปีแรกที่ผ่านในของปีนี้ เราทำยอดขายโครงการแนวราบได้ค่อนข้างดี จึงเชื่อว่าครึ่งปีหลังตลาดแนวราบจะเติบโตไปได้ดี โดย 6 เดือนแรกทำยอดขายได้ 10,924 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับยอดของปีที่แล้วในช่วงเวลาเดียวกัน มีกำไรอยู่ที่ 689 ล้านบาท มียอด Backlog อยู่ที่ 55,000 ล้านบาท และมีโครงการที่เตรียมโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงครึ่งปีหลังอยู่ 10 โครงการ คาดว่าจะมียอดรับรู้รายได้กว่าหมื่นล้านบาท   "เทรนด์อสังหาฯ ในครึ่งปีหลัง เชื่อว่าจะมีการปรับดอกเบี้ยลดลงอีกจากหลายปัจจัย และเชื่อว่าจะมีมาตรการต่างๆ จากภาครัฐออกมา เพื่อดันให้มีตัวเลขที่โตขึ้นได้" แสนสิริเตรียมเปิดอีกทั้งหมด 16 โครงการ โดยแบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 4 โครงการ ทาวน์เฮ้าส์ 6 โครงการ และคอนโดมิเนียม 6 โครงการ รวมมูลค่า 24,000 ล้านบาท ซึ่งเฉพาะแนวราบ 10 โครงการ จะมีมูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท ซึ่งกุญแจสำคัญที่จะทำให้ก้าวไปสู่เป้าหมายในการเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดบ้านเดี่ยว และ Top 3 ในตลาดทาวน์เฮาส์ภายใน 3 ปี คือการวางกลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนกลุ่มธุรกิจแนวราบมาจากการพัฒนาโครงการที่ครอบคลุมแบรนด์แนวราบ ตอบโจทย์ลูกค้าทุกเซ็กเมนต์ สร้างจุดเด่นในแต่ละแบรนด์ที่ชัดเจน และโดดเด่นด้าน Service แตกต่างเหนือคู่แข่ง ส่วนคอนโดมิเนียมนั้นมีการปรับแผนหันมาเปิดโครงการที่จับกลุ่มระดับกลาง พร้อมปรับไปตามความต้องการของกลุ่มลูกค้า โดยมีแบรนด์หลักที่จะนำมาเปิดตัวช่วงปีหลังนี้ อาทิ   บุราสิริ “บ้านบรรยากาศรีสอร์ท บ้านเพื่อการพักผ่อนที่แท้จริง” บ้านเดี่ยวบรรยากาศรีสอร์ท ตั้งแต่ทางเข้าโครงการ คลับเฮาส์ ตัวบ้านที่ออกแบบมาให้มีโอกาสได้สัมผัส กับธรรมชาติได้มากกว่า สวนส่วนกลางที่เน้นการปลูกด้วยต้นไม้ใหญ่ เพิ่มพื้นที่ Strip Park เชื่อมต่อระหว่างบ้าน ตัวซอย เพิ่มพื้นที่สีเขียว ให้ความเขียวชอุ่ม ทำให้ร่มรื่น สบายตาและเลือกใช้วัสดุที่คำนึงถึงรูปแบบ สีสันที่ให้ความกลมกลืนกับธรรมชาติ ในระดับราคา 8-20   “สราญสิริ” เตรียมเปิดตัว Double Volume ลักซ์ชัวรี่สเปซในบ้านเดี่ยว บ้านเดี่ยวภายใต้แนวคิด Built for Love พร้อมเพิ่มพื้นที่ความสุขด้วย Double Volume เพื่อให้สมาชิกครอบครัวทุกรุ่นทุกวัยได้ใช้ชีวิต และเวลาดีๆ ร่วมกัน โดยจะเปิดตัวครั้งแรกที่บ้านเดี่ยวสราญสิริโครงการใหม่ ในชื่อ “สราญสิริ ศรีวารี” ในช่วงเดือนตุลาคมนี้ ระดับราคา 5–7 ล้านบาท   Garden Connect ฟังก์ชั่นบ้านแนวคิดใหม่ ในแบรนด์เศรษฐสิริและบุราสิริ  ครั้งแรกกับแนวคิดใหม่ในการใช้พื้นที่ภายในบ้าน บนแปลนบ้านแบบใหม่ สร้างพื้นที่พิเศษ ให้ความเป็นส่วนตัว เชื่อมต่อพื้นที่ใช้สอยภายนอกบ้านสู่ภายในบ้าน สามารถจัดสรรพื้นที่เป็นสระว่ายน้ำ หรือสวนขนาดใหญ่ได้ โดยจะเริ่มพัฒนาในรูปแบบของเอ็กซ์คลูซีฟยูนิตใน 5 โครงการ ภายใต้แบรนด์เศรษฐสิริ และบุราสิริ นำร่องด้วยโครงการบุราสิริ วงแหวนอ่อนนุชในช่วงปลายปีนี้และเศรษฐสิริ ทวีวัฒนาในช่วงต้นปีหน้า   สิริเพลส ทาวน์เฮาส์สไตล์ Modern Loft ครองใจกลุ่ม Young Gen ทาวน์เฮาส์คุณภาพในระดับ Best in Class ในปีนี้แสนสิริจะนำเสนอทาวน์เฮาส์รูปแบบล่าสุดในสีสันและดีไซน์ที่สนุกสนาน โดยยังคงคอนเซ็ปต์ "Modern Loft" ที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ พร้อมนำเสนอฟังก์ชั่นการอยู่อาศัยที่มีห้องน้ำในตัว รวมถึงเพดานสูงใน Master Bedroom และห้องเอนกประสงค์ชั้นล่างที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามไลฟ์สไตล์และความชื่นชอบ ซึ่งจะเปิดตัว 4 โครงการใน 4 ทำเลใหม่ในเดือพฤศจิกายนนี้   สำหรับแผนการเปิดตัว 10 โครงการแนวราบที่จะเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 ได้แก่ โครงการไทเกอร์ เลน (Tiger Lane) มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท โครงการคณาสิริ ราชพฤกษ์ 346 มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท โครงการสราญสิริ ศรีวารี มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท โครงการอณาสิริ บางใหญ่ มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท โครงการเศรษฐสิริ จรัญฯ ปิ่นเกล้า 2 มูลค่าโครงการ 3,300 ล้านบาท โครงการบุราสิริ พระราม 2 มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท สิริเพลส 4 โครงการใน 4 ทำเลใหม่ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 3,500 ล้านบาท ในทำเล เพชรเกษม ราชพฤกษ์ตัดใหม่ และบางใหญ่อีก 2 โครงการ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ Sansiri Service ที่แสนสิริเป็นผู้นำด้านการบริการลูกบ้านของวงการอสังหาริมทรัพย์ ที่จะช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าเรียลดีมานด์ในด้านบริการและความปลอดภัย เพื่อมอบประสบการณ์ด้านบริการทั้งก่อนและหลังการอยู่อาศัยที่ดีที่สุดในทุกด้านให้กับลูกบ้าน ตั้งแต่การซื้อที่อยู่อาศัย การย้ายเข้าอยู่อาศัย และตลอดระยะเวลาในการอยู่อาศัย พร้อมตั้งเป้าหมายเป็น Top of Mind ด้านความปลอดภัยในโครงการอสังหาริมทรัพย์ในไทย ด้วยความโดดเด่นของระบบรักษาความปลอดภัย Sansiri Security System และศูนย์ควบคุมสังเกตการณ์จากส่วนกลาง พร้อมนำเสนอครั้งแรกของการเปิดตัว Sansiri Home Care Card แพ็กเกจต่อประกันบ้านหลังหมดระยะประกันแบบรายปีที่ลูกบ้านสามารถเลือกดูแลบ้านได้เองตามความต้องการ ซึ่งในขณะนี้เรากำลังพัฒนาแพ็กเกจที่พัฒนาให้เหมาะกับโครงการทาวน์เฮาส์แบรนด์สิริเพลสโดยเฉพาะ        
รีวิวบ้าน เฉลิมพระเกียรติ ร.9 “THE SONNE ศรีนครินทร์-บางนา” Luxury Duplex Home ระดับแฟล็กชิพ

รีวิวบ้าน เฉลิมพระเกียรติ ร.9 “THE SONNE ศรีนครินทร์-บางนา” Luxury Duplex Home ระดับแฟล็กชิพ

บ้านแบรนด์ใหม่ล่าสุดจาก AP Thailand "THE SONNE Srinakarin-Bangna" (เดอะ ซอนเน่ ศรีนครินทร์-บางนา) บ้านแนวคิดใหม่ Luxury Duplex Home ระดับแฟล็กชิพลักชัวรี่ ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘The New Original’ เจาะกลุ่มลูกค้ากลุ่มใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์นิยมสินค้าหรือบริการที่สะท้อนตัวตน มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว สามารถรองรับการอยู่อาศัยร่วมกันของสมาชิกทุกวัยในครอบครัวใหญ่แบบ Cross Generations ชื่อโครงการ THE SONNE Srinakarin-Bangna (เดอะ ซอนเน่ ศรีนครินทร์-บางนา) เจ้าของโครงการ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ที่ตั้งโครงการ 99 ซ.เฉลิมพระเกีรติ ร.9 ซอย 28 แยก 14-2 แขวงดอกไม้ เขตประเวศ จ.กรุงเทพฯ 10250 พื้นที่โครงการ 12-1-16 ไร่ ลักษณะโครงการ Luxury Duplex Home 3 ชั้น หน้ากว้าง 13.56 เมตร 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 2 ห้องอเนกประสงค์ และ ที่จอดรถ 2 คัน จำนวนหลัง 56 ยูนิต ขนาดที่ดิน 40-73 ตร.วา  พื้นที่ใช้สอย สูงสุด 249 ตารางเมตร แบบบ้าน  TYPE A 249.14 ตร.ม. TYPE B 244.72 ตร.ม. TYPE C 245.84 ตร.ม. TYPE D 243.28 ตร.ม.     สิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลาง พื้นที่ส่วนกลางภายใต้การออกแบบโดยยึดหลัก Universal Design เพื่อการอยู่อาศัยร่วมกันของสมาชิกหลากหลายช่วงวัย อาทิ คลับเฮ้าส์ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส และ สวนสาธารณะขนาดใหญ่เปรียบดังโอเอซิสภายในโครงการ ราคาเริ่มต้น 12-15 ล้านบาท จุดเด่นโครงการ  1.ครั้งแรกของการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยให้บ้านทุกหลังมีเอกลักษณ์ความงามและความหรูหราที่แตกต่างด้วยกา รนำแรงบัลดาลใจจากสถาปัตยกรรมสไตล์คลาสสิค รังสรรค์เป็นแบบบ้านใหม่ Luxury Duplex Home ขนาดใหญ่ 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ มีห้องน้ำในตัวทุกห้อง 2 ห้องอเนกประสงค์ และ 2 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอยสูงสุด 249 ตร.ม. 2.การเดินทางเข้าสู่โครงการอย่างง่ายดาย ด้วย 4 เส้นทางหลัก ได้แก่ ถนนเทพรัตน (บางนา-ตราด) ถนนศรีนครินทร์ ถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 และ ถนนกาญจนาภิเษก 3.การเดินทางสะดวกสบายด้วยทำเลที่เข้าถึงได้ทุกการเดินทาง เชื่อมต่อสู่กลางใจเมือง ทั้งถนนศรีนครินทร์ ถนนบางนา-ตราด และ ถนนอ่อนนุช ซึ่งถนนทั้ง 3 สาย เป็นถนนที่เชื่อมต่อกับย่านธุรกิจใจกลางกรุงเทพมหานคร (CBD) ทั้งโซนสุขุมวิท และพระราม9 4.ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) (โครงการรถไฟฟ้าในอนาคต) จุดขึ้น-ลงทางด่วน ถ.กาญจนาภิเษก, บูรพาวิถี  สถานที่ใกล้เคียง เมกา บางนา, พาราไดซ์ พาร์ค, ซีคอนสแควร์ ศรีนครินทร์, เซ็นทรัล บางนา, สวนหลวง ร.9, สนามบินสุวรรณภูมิ ภาพบ้าน เฉลิมพระเกียรติ ร.9 "THE SONNE ศรีนครินทร์-บางนา" รายละเอียดบ้าน เฉลิมพระเกียรติ ร.9 "THE SONNE ศรีนครินทร์-บางนา" THE SONNE Srinakarin-Bangna โครงการอื่นๆ จาก AP (Thailand) บ้านกลางเมือง รามอินทรา เดอะ ซิตี้ รัชดา-วงศ์สว่าง CENTRO ชัยพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ 2  
‘เอพี ไทยแลนด์’ เปิดตัว ‘THE SONNE ศรีนครินทร์-บางนา’ บ้านแนวคิดใหม่ Luxury Duplex Home

‘เอพี ไทยแลนด์’ เปิดตัว ‘THE SONNE ศรีนครินทร์-บางนา’ บ้านแนวคิดใหม่ Luxury Duplex Home

ช่วงครึ่งปีหลังมานี้หลาย Developers เลือกที่จะเปิดตัวโครงการแนวราบเสียเป็นส่วนใหญ่ด้วยภาวะตลาด ซึ่งหลายค่ายก็เชื่อว่าตลาดแนวราบยังคงมีดีมานด์เติบโตต่อเนื่อง ‘เอพี ไทยแลนด์’ ก็เช่นเดียวกัน ล่าสุดได้เปิดตัวบ้านแนวคิดใหม่ เพื่อเติมเต็มพอร์ตสินค้าแนวราบของเอพี และเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคให้ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ประเดิมด้วยแบรนด์ใหม่เอี่ยมจากโครงการ ‘THE SONNE ศรีนครินทร์-บางนา’   นายภมร ประเสริฐสรรค์ รองกรรมการผู้อำนวยการสายงานธุรกิจแนวราบ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากความสำเร็จใน 7 เดือนที่ผ่านมา มียอดขายแล้วกว่า 24,060 ล้านบาท เป็นยอดขายจากสินค้าแนวราบมูลค่า 14,000 ล้านบาท เฉลี่ยยอดขายต่อสัปดาห์ประมาณ 451 ล้านบาท ซึ่งถือว่าโตเกินจากเป้าหมายที่วางไว้อย่างมาก จึงพร้อมลุยตลาดแนวราบด้วยการเติมเต็มพอร์ตสินค้าให้ครบลูป ผ่านการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ ‘THE SONNE ศรีนครินทร์-บางนา’ เซ็ทมาตรฐานใหม่ของ Luxury Duplex Home เจาะเข้าไปยังช่องว่างลูกค้าครอบครัวรุ่นใหม่ที่มองหาบ้านลักชัวรี่ที่มีทั้งเอกลักษณ์และสเปซฟังก์ชั่นที่มากกว่า   ปัจจุบันพอร์ตสินค้าแนวราบเครือเอพี ประกอบด้วย 6 แบรนด์ในเครือครอบคลุมเทรนด์การใช้ชีวิตของลูกค้า 2 กลุ่มหลัก ได้แก่ บ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ THE PALAZZO, CLASSE, THE CITY และ CENTRO ที่เน้นตอบไลฟ์สไตล์ลูกค้ากลุ่ม ‘Serene Wellness’ ครอบครัวขนาดใหญ่ 2-3 ช่วงวัยที่ต้องการบ้านที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ กว้างขวาง ขณะที่ทาวน์โฮม ภายใต้แบรนด์บ้านกลางเมือง และ PLENO เน้นตอบไลฟ์สไตล์ลูกค้ากลุ่ม ‘Dreamolutioner’ คนรุ่นใหม่ที่กำลังเริ่มสร้างครอบครัวเป็นของตนเอง ในทำเลเข้า-ออกเมืองได้อย่างสะดวก และล่าสุดกับการเปิดตัวแบรนด์ THE SONNE โครงการแฟล็กชิพระดับลักชัวรี่ เจาะกลุ่มลูกค้ากลุ่มใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์นิยมสินค้าหรือบริการที่สะท้อนตัวตน มีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว สามารถรองรับการอยู่อาศัยร่วมกันของสมาชิกทุกวัยในครอบครัวใหญ่แบบ Cross Generations   THE SONNE ศรีนครินทร์-บางนา ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘The New Original’ ชูไฮไลท์ 4 มิติแห่งความเป็นที่สุด ได้แก่ 1. Classical Architectural Details ที่สุดของการนำแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมสไตล์คลาสสิคผสานเข้ากับความทันสมัยในบริบทปัจจุบัน สู่การรังสรรค์บ้านแนวคิดใหม่สุดหรู 3 ชั้นที่คงเสน่ห์อัตลักษณ์ความงามเหนือกาลเวลา 2. Multi – Façade Design with Triple Layer Ventilation ที่สุดของการดีไซน์เพื่อให้บ้านทุกหลังมีเอกลักษณ์ความงามและความหรูหราที่แตกต่างกัน พร้อมดึงจุดเด่นการออกแบบ Horizontal Space ของบ้านเดี่ยวที่ตอบสุนทรียะความเหนือระดับในสเปซที่มากกว่า ผนวกเข้ากับความทันสมัยและความคุ้มค่าของฟังก์ชั่นใช้สอยในบริบทของ Vertical Timeless Design ของทาวน์โฮมไว้อย่างลงตัว ยกระดับคุณภาพการใช้ชีวิตเหนือระดับที่มากกว่า พร้อมสุนทรียะและประสบการณ์พิเศษจากทิศทางของแสงแดดและลม ที่พาดผ่านตัวบ้าน 3. Inclusive Design Approach ที่สุดของการออกแบบสเปซภายใต้แนวคิด Universal Design เพื่อให้มั่นใจว่าทุกๆ สเปซ ไม่ว่าจะเป็น เด็กเล็ก ผู้สูงวัย หรือ ผู้ใช้รถเข็นต่างๆ สามารถเข้าถึงได้อย่างไร้สิ่งกีดขวาง อาทิ ทางลาดเข้าสู่บ้านรองรับการใช้งานของรถเข็นต่างๆ พื้นที่ชั้น 1 ที่ไม่มีสเต็ป (Step-free Floor) สวนเชื่อมต่อห้องส่วนตัวของผู้สูงอายุ บานประตูกว้าง 1.38 เมตร ที่รองรับการใช้งานของวีลแชร์ และห้องน้ำแบบไม่มีขั้นบันได เป็นต้น 4. The New Tomorrow Security ที่สุดแห่งนวัตกรรมความปลอดภัยในโลกอนาคตสู่การอยู่อาศัยจริงอย่าง ‘KATSAN’ ที่เปรียบเสมือนผู้คุ้มกันส่วนตัวอัจฉริยะ (Personal Guardian) ที่ทำหน้าที่คัดสรร ดูแลความปลอดภัยในทุกมิติของการอยู่อาศัยเพื่อความอุ่นใจตลอด 24 ชั่วโมง   THE SONNE ศรีนครินทร์-บางนา ตั้งอยู่บนถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 ซอย 28 แยก 14/2 สามารถเข้า-ออกได้หลายเส้นทาง เช่น ถนนเทพรัตน (บางนา-ตราด) ถนนศรีนครินทร์ ถนนเฉลิมพระเกียรติ ร.9 และถนนกาญจนาภิเษก พื้นที่ทั้งหมด 12-1-16 ไร่ โดยมีขนาดที่ดินเริ่มต้น 40-73 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยสูงสุด 249 ตารางเมตร 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ พื้นที่รับรองแขก ห้องรับประทานอาหาร พื้นที่ครัว ห้องพักผ่อนสำหรับครอบครัว และ 2 ที่จอดรถ พร้อมคลับเฮ้าส์ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส สวนสาธารณะ รูฟท็อปบาร์ และพื้นที่สีเขียวที่ผสานทุกกิจกรรมของทุกเจเนอเรชั่นของครอบครัวได้อย่างครบครัน ในสังคมคุณภาพเพียง 56 ยูนิต ราคาเริ่มต้นเพียง 12-15 ล้านบาท พร้อมเปิดจองอย่างเป็นทางการวันที่ 7-8 กันยายนนี้ ณ สำนักงานขายโครงการ     
สรุปข่าวอสังหาฯ​ รอบสัปดาห์ วันที่ 12-18 สิงหาคม  2562

สรุปข่าวอสังหาฯ​ รอบสัปดาห์ วันที่ 12-18 สิงหาคม 2562

เริ่มต้นสัปดาห์หลังจากพักผ่อนยาว เนื่องจากเทศกาลวันแม่ 12 สิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา ข่าวความเคลื่อนไหวในแวดวงอสังหาริทรัพย์ก็คึกคัก กับการออกมาประกาศผลประกอบการในช่วงไตรมาส 2 ที่เป็นไปตามคาดการณ์ของหลายๆ ฝ่าย คือ ตลาดอสังหาฯ​ จะชะลอตัวลง จากมาตารการควบคุมวงเงินสินเชื่อต่อมูลค่าหลักทรัพย์  หรือ LTV ที่แบงก์ชาติ เริ่มบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา แต่หลายบริษัทผลประกอบการก็ยังปิดลงได้สวย ไม่ถึงกับแย่งมากนัก สามารถประคับประครองให้ธุรกิจยังไปต่อได้   ++พฤกษา รายได้+กำไรQ2ติดลบ   นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลประกอบการในไตรมาส 2 เป็นไปตามที่คาดการณ์ว่าจะชะลอตัวลง โดยมียอดขาย 12,277 ล้านบาท เติบโต 5.1% มีรายได้ 7,781 ล้านบาท ลดลง 28.1% และมีกำไรสุทธิ 933 ล้านบาท ลดลง 44.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  แต่จากผลประกอบการในไตรมาสแรกที่ทำไว้ดี  จึงส่งผลให้ภาพรวมของผลประกอบการในครึ่งปีแรกยังคงเติบโตได้ดี  โดยมีรายได้รวม 19,662 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 3% ทำกำไรได้อยู่ที่ 2,618 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมียอดขายอยู่ที่ 23,368 ล้านบาท  บริษัท ยังมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) รวมทั้งสิ้น 36,938 ล้านบาท ซึ่งจะสามารถรับรู้เป็นรายได้ในปีนี้อยู่ที่ 17,435 ล้านบาท และจากผลการดำเนินงานที่ยังเติบโตในช่วงครึ่งปีแรก พฤกษาจึงได้มีการพิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลประจำปี 2562 ให้กับผู้ถือหุ้นได้ในอัตราหุ้นละ 0.60 บาท   ++เปิดชมห้องตัวอย่าง เดอะเรสซิเดนซ์ฯ      นายคีรินทร์ ชูธรรมสถิตย์ ประธานผู้อำนวยการ กลุ่มธุรกิจงานอสังหาริมทรัพย์และบริการ  บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) เปิดเผยว่า  บริษัท ดิ ไอคอนสยาม ซูเปอร์ลักซ์ เรสซิเดนซ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด และแมนดาริน โอเรียนเต็ล โฮเต็ล กรุ๊ป จับมือเป็นพันธมิตรร่วมกันเพื่อพัฒนาโครงการเดอะ เรสซิเดนซ์ แอท แมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพฯ   ห้องชุดพักอาศัยสุดหรูริมแม่น้ำที่ตกแต่งอย่างหรูหราเหนือระดับจำนวน 146 ยูนิต โดยมีทั้งแบบ 2 และ 3 ห้องนอน ขนาดตั้งแต่ 130 – 230 ตารางเมตร รวมถึงห้องเพนท์เฮาส์และดูเพล็กซ์เพนท์เฮาส์ขนาด 380 – 710 ตารางเมตร พร้อมลิฟต์ส่วนตัว เพดานห้องโปร่งสบายด้วยความสุงถึง 3.2 เมตร และมอบพื้นที่พักผ่อนสำหรับผู้พักอาศัยที่มีขนาดใหญ่กว่า 3 เท่า เมื่อเปรียบเทียบกับโครงการห้องชุดชั้นนำแห่งอื่น ๆ ในกรุงเทพฯ โดยล่าสุดได้เปิดให้ชมห้องตัวอย่างอย่างเป็นทางการ ซึ่งโครงการสามารถขายได้แล้วกว่า 85%   ++ศุภาลัย ลุยเปิดโปรเจ็กต์ครึ่งปีหลัง 2 หมื่นล้าน     นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึง แผนงานในครึ่งปีหลังว่า บริษัทฯ เร่งรุกตลาดอสังหาฯ โดยเดินหน้าแผนงานเปิดตัวโครงการใหม่ต่อเนื่อง ทั้งโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียม รวม 21 โครงการ มูลค่ากว่า 20,240 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูมิภาค   โดยเชื่อว่าบริษัทฯ จะสามารถสร้างยอดขายที่เติบโตตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อยู่ที่ 35,000 ล้านบาท เนื่องจากปัจจัยสำคัญในเชิงบวก อย่างการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ซึ่งล่าสุดก็มีการประกาศแผนนโยบายที่สนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ และขยายเส้นทางระบบการคมนาคมในปัจจุบัน  อาทิ รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงิน บางซื่อ – หลักสอง ที่จะเปิดใช้อย่างเป็นทางการในเดือนกันยายนนี้  รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียว หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ที่จะเปิดให้บริการ สถานีห้าแยกลาดพร้าว อย่างเป็นทางการในเดือนสิงหาคมเช่นเดียวกัน รวมไปถึงโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายที่อยู่ระหว่างก่อสร้างในกรุงเทพฯ และปริมณฑลหลายเส้นทาง ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้ภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยเติบโตขึ้นในอนาคต เชื่อว่าปัจจัยเหล่านี้   จะสามารถกระตุ้นกำลังซื้อภาคประชาชนให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง   ++‘เซ็นทรัล ลาดพร้าว’ เปิดทางเชื่อมรถไฟฟ้าสายสีเขียว      ดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด ซีพีเอ็น เปิดเผยว่า   รฟม. ได้อนุมัติการก่อสร้างทางเดินเชื่อมยกระดับ (Skywalk) เพื่อเชื่อมการเดินทางระหว่างรถไฟฟ้าสายสีเขียวสถานีห้าแยกลาดพร้าว และรถไฟฟ้าใต้ดินสายสีน้ำเงินสถานีพหลโยธิน รวมประมาณ 200 เมตร เป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพและอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนอย่างเต็มที่นั้น นับเป็นการเชื่อมต่อระบบขนส่งสาธารณะทุกระนาบ ทั้งใต้ดิน บนดิน และลอยฟ้าอย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งบริษัทได้รับอนุญาตให้สร้างทางเดินเชื่อมจากสถานีห้าแยกลาดพร้าว (N9) เข้าสู่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลลาดพร้าวถึง 2 จุด   ++อิมแพ็ค จัดงาน INTERMAT ASEAN และ CONCRETE ASIA 2019     นางสาววาทินี สายทอง ผู้จัดการโครงการ บริษัท อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น แมเนจเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า อิมแพ็ค ร่วมมือกับหน่วยงานด้านอุตสาหกรรมก่อสร้าง โครงสร้างพื้นฐาน อาทิ สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ หรือ ทีเส็บ เป็นต้น จัดงาน INTERMAT ASEAN และงาน CONCRETE ASIA งานแสดงสินค้าและการประชุมสัมมนาระดับนานาชาติ ด้านอุตสาหกรรมก่อสร้าง โครงสร้างพื้นฐาน และเทคโนโลยีคอนกรีตระดับภูมิภาค เพื่อร่วมขับเคลื่อนยุทธศาตร์ชาติในด้านการก่อสร้าง โดยรวบรวมสินค้าจากแบรนด์ชั้นนำกว่า 300 แบรนด์มาจัดแสดงระหว่างวันที่ 5 -7 กันยายน 2562 อาคาร 9 – 10 อิมแพ็ค เมืองทองธานี พร้อมทั้งกิจกรรมเจรจาธุรกิจกว่า 450 นัดหมาย อัดแน่นด้วยสัมมนาจากผู้เชี่ยวชาญแถวหน้าของประเทศไทย และการสาธิตเทคโนโลยีใหม่ คาดดึงบุคคลากรที่อยู่ในอุตสาหกรรมกว่า 5,000 ราย   ++SCG EXPRESS เปิดตัวมาสคอตใหม่ล่าสุด       นายไพฑูรย์ จิรานันตรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเอสซีจี โลจิสติกส์ แมเนจเม้นท์ จำกัด และบริษัทเอสซีจี ยามาโตะ เอ็กซ์เพรส จำกัด เปิดเผยว่า ได้เปิดตัวมาสคอตใหม่ล่าสุด “น้องเปียกปูน” และ “น้องใบตอง” ที่ออกแบบโดย คุณตั้ม-วิศุทธิ์ พรนิมิตร ศิลปินวาดภาพประกอบแถวหน้าของประเทศไทย และเป็นเจ้าของคาแร็กเตอร์การ์ตูน "น้องมะม่วง" ที่โด่งดังทั้งใประเทศไทย และประเทศญี่ปุ่น สะท้อนภาพลักษณ์ของเอสซีจี เอ็กซ์เพรส สู่คาแร็กเตอร์มาสคอตตัวใหม่ นำเสนอการส่งมอบความสุขพร้อมคุณภาพในการให้บริการการจัดส่งพัสดุตรงตามเวลาและการดูแลพัสดุอย่างดีรวมถึงการบริการที่เป็นมิตรและเอาใจใส่ของพนักงานตอกย้ำสโลแกน “Deliver Your Happiness”   ++Q-CON ลุยตลาดอิฐมวลเบา    นายกิตติ สุนทรมโนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้คอนสตรัคชั่น โปรดัคส์ จำกัด (มหาชน)  ผู้ผลิตคอนกรีตมวลเบา ภายใต้แบรนด์สินค้า Q-CON ซึ่งอยู่ในกลุ่มธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างในเครือเอสซีจี เปิดเผยว่า กลยุทธ์การดำเนินธุรกิจภายหลังจากครบรอบ 25 ปี บริษัทจะเดินหน้าชูกลยุทธ์ “Q Solution” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น โดยคำนึงถึงความต้องการลูกค้า เน้นเรื่อง Customer Centric จึงผลักดัน Q Solution ตอบโจทย์ลูกค้ายุคแรงงานขาดแคลน และต้องการความเร็วในการก่อสร้าง อาทิ   Q Panel ระบบผนังกันความร้อนครบวงจร ระบบ Q Network และ Q Kitchen ครัวปูนทันสมัย พร้อมการบริการติดตั้งครบวงจร เป็นต้น (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)   ก่อนหมดสัปดาห์.... ก่อนหมดสัปดาห์  ดูเหมือนว่าตลาดอสังหาฯ​ จะมีตัวช่วยที่เป็นข่าวดีเข้ามากระตุ้นให้ตลาดคึกคักขึ้นบ้าง เมื่อแบงก์ชาติผ่อนปรนเกณฑ์ LTV กับผู้กู้ร่วม  และบรรดาแบงก์ต่างๆ ออกมาประกาศลดดอกเบี้ยเงินกู้กันแทบทุกราย เป็นสัญญาณที่ดีสำหรับคนจะกู้เงิน เพราะแบกรับภาะดอกเบี้ยที่ลดลง ไม่รู้ว่าสองเรื่องนี้จะพอเยียวยาอาการซึมๆ ของตลาดอสังหาฯ​ ได้แค่ไหน เราคงต้องจับตาทิศทางของรัฐบาลกันต่อไปว่าจะเอายังไงกันต่อในช่วงครึ่งปีหลังนี้  
[PR News] ธอส. ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.125% ต่อปี

[PR News] ธอส. ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ 0.125% ต่อปี

ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.125% ต่อปี ประกอบด้วย อัตราดอกเบี้ย MLR ลดลงเหลือ 6.125% ต่อปี อัตราดอกเบี้ย MOR ลดลงเหลือ 6.875% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ย MRR ลดลงเหลือ 6.625% ต่อปี มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2562 เป็นต้นไป นายฉัตรชัย ศิริไล กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายให้แก่ลูกค้าและประชาชน และเพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจภายหลังธนาคารแห่งประเทศไทยประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ธอส.ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” จึงประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.125% ต่อปี ประกอบด้วยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) จาก 6.250% ต่อปี ลดลงเหลือ 6.125% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) จาก 7.000% ต่อปี ลดลงเหลือ 6.875% ต่อปี และอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้ารายย่อยชั้นดี (MRR) จาก 6.750% ต่อปี ลดลงเหลือ 6.625% ต่อปี ทั้งนี้ ถือเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยที่ต่ำสุดในระบบสถาบันการเงินในปัจจุบัน โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2562 เป็นต้นไป
เปิดโปรเจ็กต์ Tiger Lane ลักช์ชัวรี่โฮมออฟฟิศ บนทำเลท้องมังกร ใจกลางย่านธุรกิจ “เยาวราช”

เปิดโปรเจ็กต์ Tiger Lane ลักช์ชัวรี่โฮมออฟฟิศ บนทำเลท้องมังกร ใจกลางย่านธุรกิจ “เยาวราช”

ถ้าจะนับเอาเฉพาะจำนวนยูนิตต่อโครงการ  “Tiger Lane” (ไทเกอร์ เลน) ลักช์ชัวรี่โฮมออฟฟิศ  คงเป็นโปรเจ็กต์ที่เล็กสุดของแสนสิริ เพราะมียูนิตขายเพียงแค่ 5 ยูนิตเท่านั้น จากจำนวนทั้งโครงการมีด้วยกัน 10 ยูนิต  ส่วนที่ไม่ได้เอาออกขาย (ทั้งๆ ที่ก่อสร้างเสร็จแล้ว) ก็เพราะกำลังคิดอยู่ว่าจะเอายังไงดี ทำเช่าดีใหม หรือปรับรูปแบบยังไงให้ได้ผลตอบแทนเพิ่มมากขึ้น  และว่าแม้จะเป็นโปรเจ็กต์ขนาดเล็ก แต่ถ้าคิดราคาต่อยูนิตก็ไม่ถือว่าเล็กเลย  เพราะเริ่มต้นราคาก็ปาเข้าไป 38 ล้านบาทแล้ว  (สูงสุดราคา 79.9 ล้านบาท) ก็เพราะเป็นโครงการที่ตั้งอยู่บนที่ดินผืนงาม ใจกลางย่านธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ​ อย่าง “ย่านเยาวราช” ซึ่งราคาที่ดินก็ไม่ได้หนีย่านใจกลางธุรกิจอื่นเลย     ทำเลทองท้องมังกร แห่ง “เยาวราช”   ที่ตั้งของโครงการ อยู่บนถนนสายเจ้าคำรบ ซึ่งมีความเชื่อว่าเป็นทำเลของท้องมังกร  เป็นย่านแห่งความเจริญรุ่งเรืองของการทำมาค้าขาย และมีความมั่งคั่ง  ที่ตั้งโครงการยังอยู่บนที่ดินฟรีโฮลด์  ซึ่งเหลืออยู่น้อยจนแทบเรียกได้ว่าที่ดินแปลงนี้จะกลายเป็นผืนสุดท้ายแล้ว ส่วนใหญ่ที่ดินในย่านเยาวราชจะเป็นที่ดินราชพัสดุ ทำให้บริเวณย่านเยาวราช ราคาที่ดินติดอันดับ Top 5 ราคาสูงสุดของกรุงเทพฯ​     บริเวณที่ตั้งโครงการอยู่ใกล้กับสถานที่สำคัญต่างๆ ของเยาวราช โดยเฉพาะใกล้ MRT สถานีวัดมังกร เพียง 5 นาที  ซึ่งรอบๆ โครงการมีสถาที่สำคัญอย่างเช่น ศูนย์การค้าคลองถมเซ็นเตอร์ คลองถมพลาซ่า และ Mega Plaza วังบูรพา  โรงพยาบาลกลาง โรงพยาบาลหัวเฉียว และโรงพยาบาลสมิติเวช โรงเรียนเทพศิรินทร์ โรงเรียนสายปัญญา และโรงเรียนสวนกุหลาบ  วัดเล่งเน่ยยี่หรือวัดมังกร วัดคณิกาผล และมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง   สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลักของ  โครงการ Tiger Lane คือ กลุ่มคนไทยเชื้อสายจีน นักธุรกิจ เจ้าของกิจการ และผู้อาศัยอยู่ในย่านเยาวราช โดยเฉพาะกลุ่มครอบครัวขนาดใหญ่ ซึ่งมีคนหลายเจเนอเรชั่นที่ยังต้องการพักอาศัย หรือทำธุรกิจอยู่ในย่านนี้     โครงการ Tiger Lane ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 158.5 ตารางวา โดยพัฒนาโครงการให้มีรูปแบบบ้านในสไตล์ “ชิโน-โปรตุกีส"  มีการออกแบบให้ปรับแต่งบ้านได้ตามความต้องการ  ไม่ว่าจะทำเป็นที่อยู่อาศัยหรือการทำธุรกิจ  โดยทุกยูนิตมีขนาดความสูง 4 ชั้น ที่จอดรถส่วนตัว 2 คัน พร้อมด้วยลิฟท์ส่วนตัวจากแบรนด์ KONE ประเทศฟินแลนด์  ตัวบ้านมีพื้นที่ใช้สอย 254-400 ตารางเมตร ขนาดที่ดิน 24-50 ตารางวา หน้าบ้านกว้าง 5.5 – 12.3 เมตร  เพดานชั้นล่างสูงถึง 3 เมตร   แบ่งประเภทบ้านออกเป็น 2 แบบ THE IMPERIAL (ดิ อิมพีเรียล) ขนาดที่ดิน 24 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 254 ตารางเมตร สำหรับแบบบ้าน Residence ประกอบด้วย 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ   THE EMPEROR (ดิ เอ็มเพอร์เรอร์) ขนาดที่ดิน 50 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 403 ตารางเมตร​ สำหรับแบบบ้าน Residence ประกอบด้วย 4 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ   นอกจากการออกแบบให้พื้นที่ของบ้าน สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของลูกค้าแล้ว ยังได้เติมด้วยเทคโนโลยีให้กับการอยู่อาศัยที่มั่นใจได้ในเรื่องความปลอดภัย ไม่ว่าจะเป็นกล้อง CCTV และ Smart Security ในทุกหลัง รวมถึง Smoke Sensor และ Door Detector ซึ่งสามารถส่งสัญญาณเข้าไปยังแอพพลิเคชั่นของแสนสิริได้โดยตรง   ปัจจุบันโครงการ Tiger Lane เริ่มเปิดพรีเซลล์แล้ว โดยขายได้แล้ว 1 ยูนิต โดยเป็นเจ้าของกิจการรับเหมาก่อสร้าง ซึ่งซื้อด้วยเงินสด จึงทำให้โครงการเหลือยูนิตขายเพียง 4 ยูนิตเท่านั้น  ซึ่งแสนสิริจะเปิดขายอย่างเป็นทางการ พร้อมพบกับสิทธิพิเศษในวันที่ 31 สิงหาคม และ 1 กันยายนนี้อีกครั้ง    
เปิด 4 กลยุทธ์การเติบโตของ “Q-CON” ในภาวะตลาดอิฐมวลเบาทรงตัว

เปิด 4 กลยุทธ์การเติบโตของ “Q-CON” ในภาวะตลาดอิฐมวลเบาทรงตัว

ปัจจุบันตลาดอิฐมวลเบามีผู้เล่นหลักๆ 6-7 ราย ซึ่งมีโรงงานผลิตรวมกันปีละกว่า 50 ล้านตารางเมตร มีการใช้งานปีละ 60-65% ของกำลังการผลิต หรือมีปริมาณการใช้ 30-40 ล้านตารางเมตร ซึ่งปริมาณการใช้มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นใน เพราะการผลิตอิฐมอนมีน้อยลง เนื่องจากต้นทุนแรงงานและเชื้อเพลิงสูงขึ้น  แต่จากสภาพเศรษฐกิจโดยรวมในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมายังไม่ฟื้นตัวดีนัก ทำให้ปริมาณการใช้อยู่ในภาวะทรงตัว หรือแม้แต่ในปีนี้แนวโน้มสภาพเศรษฐกิจก็ยังไม่ได้ปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจน ภาพรวมตลาดก็น่าจะยังคงทรงตัวต่อเนื่อง แต่ในเชิงมูลค่าน่าจะยังเติบโตได้  ซึ่งครึ่งปีแรกเติบโตอยู่ประมาณ 6-7%   สำหรับอิฐมวลเบาแบรนด์ Q-CON ของบริษัท ควอลิตี้คอนสตรัคชั่น โปรดัคส์ จำกัด (มหาชน) ในกลุ่มธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างในเครือเอสซีจี ผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก ยังคงเติบโตได้ท่ามกลางตลาดที่ทรงตัวต่อเนื่อง โดยมีรายได้ 1,032.9 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตสูงถึง 12% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา สูงกว่าเป้าหมายว่าปีนี้จะเติบโต 10% และมีผลกำไรครึ่งปีแรก 86.90 ล้านบาท ซึ่งสูงขึ้นจากปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตสูงถึง 393%   นายกิติ สุนทรมโนกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้คอนสตรัคชั่น โปรดัคส์ จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า ปีที่ผ่านมาบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 42-43% หรือมียอดขาย 1,800 ล้านบาท มีกำลังการผลิตรวมจาก 5 โรงงาน 20.8 ล้านตารางเมตร ปัจจุบันผลิตอยู่ประมาณ 80-85% ของกำลังการผลิตโดยรวม ซึ่งทิศทางธุรกิจมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง และคาดว่าจะทำผลประกอบการสูงกว่าเป้าหมาย  แม้ว่าภาพรวมตลาดจะทรงตัวก็ตาม   สำหรับกลยุทธ์สร้างการเติบโตของแบรนด์ Q-CON ในปีนี้ คือ   1.การขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเพิ่มตลาดใหม่อย่างประเทศอินเดีย  รวมถึงการผลักดันสินค้า Q Panel ออกสู่ตลาดต่างประเทศ   เช่น ออสเตรเลีย สปป.ลาว กัมพูชา และมัลดีฟส์ เป็นต้น   2.การขยายตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าโครงการบ้านจัดสรรแนวราบ  เพื่อสร้างการเติบโตตามตลาดอสังหาริมรัพย์ โดยทำตลาดกับดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ อาทิ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) บริษัท เอสซี แอสเสท จำกัด (มหาชน)  ซึ่งปัจจุบันดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่มีสัดส่วนยอดขายประมาณ 20-25%   3.การใช้กลยุทธ์ “Q Solution” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น โดยคำนึงถึงความต้องการลูกค้า เน้นเรื่อง Customer Centric ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ Q Panel ระบบผนังกันความร้อนครบวงจร  ระบบ Q Network เครือข่ายทีมช่างที่มีประสบการณ์ พร้อมให้บริการติดตั้งแก่ลูกค้าทั่วประเทศที่ไม่มีแรงงาน   นอกจากนี้ Q-CON ยังมี Solution อื่นๆ อีก เช่น Q Kitchen ครัวปูนทันสมัย ดีไซน์สวย และมีโครงสร้างเสริมเหล็ก High Strength ที่แข็งแรงได้มาตรฐาน พร้อมการบริการติดตั้งครบวงจร โดยใช้เวลาติดตั้งเพียงไม่กี่วัน Q Stair ระบบบันไดที่แข็งแรง  ช่วยลดต้นทุน และลดเวลาการทำงานของลูกค้า Q Sound Barrier ระบบผนังกันเสียงที่ช่วยป้องกันเสียงดังจากรอบข้างได้เป็นอย่างดี เช่น ผนังกันเสียงริมทางหลวงแผ่นดิน รั้วหมู่บ้าน รั้วโรงงาน และรั้วคอนโด   4.การจัดกิจกรรมครบรอบ 25 ปี อาทิ จัดแต่ง Display ร้านค้าทั่วประเทศที่จำหน่ายสินค้า Q-CON  จัดโปรแกรมส่งเสริมการขายพิเศษสำหรับผู้แทนจำหน่าย จัดกิจกรรมสัมมนานวัตกรรมคอนกรีตมวลเบาแก่สถาปนิก วิศวกร ผู้ควบคุมงาน และผู้รับเหมา และยังมีโครงการ Q-CON CSR 25 ปี เป็นต้น ซึ่งแต่ละปีบริษัทจะใช้งบประมาณการตลาดสัดส่วนไม่เกิน 3%