Tag : Home

816 ผลลัพธ์
Wat Arun

Wat Arun

การรับโอนบ้าน ถือว่าเป็นขั้นตอนสำคัญ เพราะถ้าหากไม่ตรวจบ้านให้ดีก่อนรับโอน อาจจะก่อให้เกิดปัญหาตามมาไม่จบไม่สิ้น หรือบางรายอาจจะรับโอนมาก่อนทั้งๆที่บ้านยังไม่เรียบร้อยดี ก็ต้องมาวุ่นวายซ่อมแซมแก้ไขปัญหาบ้าน ทั้งๆที่เพิ่งสร้างใหม่หรือเพิ่งเข้าอยู่ได้ไม่นาน ดังนั้น ขั้นตอนการตรวจรับบ้านจึงสำคัญและเป็นสิ่งทีละเลยไม่ได้ มาดูกันครับว่า 4 ขั้นตอนโอนรับบ้านที่ควรรู้ มีอะไรบ้าง 1. แบบบ้าน,ขนาดที่ดิน,วัสดุอุปกรณ์เป็นการตรวจความถูกต้องตรงกันระหว่างเอกสารหลักฐานและบ้านจริง เพราะมักมีปัญหาเรื่องของแบบบ้านไม่เหมือนในสัญญา หรือขนาดที่ดินไม่เท่ากับในสัญญา สำหรับวัสดุอุปกรณ์นั้นต้องตรงกับเอกสารแนบท้ายด้วย แต่ถ้าได้ยี่ห้อไม่เหมือนกันก็ต้องได้คุณภาพดีกว่าหรือเทียบเท่า 2. ความเรียบร้อยสมบูรณ์เป็นการตรวจความเรียบร้อยของบ้าน ซึ่งก่อนจะโอนรับบ้านควรจะเป็นบ้านที่สร้างเสร็จแล้ว แต่ถ้าบ้านที่ยังไม่เรียบร้อยดีหรือมีการแก้ไข จะเรียกว่า Defect ซึ่งในขั้นตอนนี้โครงการมักจะเร่งให้รับโอนทั้งๆที่ยังแก้ไม่เรียบร้อย ทางที่ดีควรจะให้มีการแก้ไขให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยมีการรับโอนบ้าน 3. ระยะเวลาส่งมอบขั้นตอนนี้จะมีเวลากำหนดแน่นอนไว้ในใบสัญญาว่ามีการส่งมอบเมื่อไร แต่ถ้าโครงการส่งมอบล่าช้ากว่าที่กำหนด ทางโครงการต้องเสียค่าปรับให้แก่ผู้ซื้อ ผู้ซื้อมีสิทธิ์ในการเรียกร้องค่าเสียหายจากความล่าช้า 4. การรับประกันงานก่อสร้างในทางกฏหมายโครงการต้องรับประกันความเสียหายหรือชำรุดบกพร่องของบ้าน โดยโครงสร้างบ้านจะรับประกัน 5 ปี ส่วนอุปกรณ์หรือส่วนควบอื่นๆจะรับประกัน 1 ปี ดังนั้น ถ้ามีการเสียหายก็สามารถเรียกร้องความรับผิดชอบจากโครงการได้ ขอขอบคุณข้อมูลจาก  นิตยสาร Home Buyers' Guide เดือนสิงหาคม 2559
ARTALE พัฒนาการ-ทองหล่อ : รีวิวบ้าน

ARTALE พัฒนาการ-ทองหล่อ : รีวิวบ้าน

ARTALE พัฒนาการ-ทองหล่อ บ้านเดี่ยวระดับลักส์ชัวรี่ใหม่ล่าสุด บนทำเลศักยภาพย่านพัฒนาการ ตั้งอยู่ในซอยพัฒนาการ 20 ภายใต้แนวคิดการออกแบบพื้นที่ที่ผสานกันระหว่างศิลปะและฟังก์ชั่นที่ลงตัว จาก Ananda Development     รายละเอียดโครงการ   ราคาเริ่มต้น   28 ล้านบาท เจ้าของโครงการ    บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์จำกัด (มหาชน) ลักษณะโครงการ    บ้านเดี่ยว 3 ชั้น จำนวน 49 ยูนิต พื้นที่โครงการ    13 - 0 - 73.1 ไร่ ที่ตั้งโครงการ      ซอยพัฒนาการ 20 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ   สถานที่สำคัญใกล้เคียง   1.5 กิโลเมตร ถึงทางด่วนพัฒนาการ 3.5 กิโลเมตร ถึงทองหล่อ 6 กิโลเมตร ถึง BTS สถานีเอกมัย ใกล้โรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์กรุงเทพฯ(เอกมัย) โรงเรียนนานาชาติเซนต์แอนดรูว์ส โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ วิทยาเขตหัวหมาก มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ แบบบ้านและขนาดพื้นที่ใช้สอย   MEDIO พื้นที่ใช้สอย 395 ตร.ม. 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 1 ห้องแม่บ้าน ที่จอดรถ 3 คัน GRANDE พื้นที่ใช้สอย 450 ตร.ม. 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ 1 ห้องแม่บ้าน ที่จอดรถ 4 คัน สิ่งอำนวยความสะดวก ฟิตเนส สระว่ายน้ำ สวนส่วนกลาง CCTV กล้องวงจรปิด ระบบรักษาความปลอดภัย ตลอด 24 ชม. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร :  02-316-2222 ดูรายละเอียดเพิ่มเติม :  www.ananda.co.th/house/artale/
Male Tourist Videoing Houses From Longtail Boat On Klong Bangkok Noi

Male Tourist Videoing Houses From Longtail Boat On Klong Bangkok Noi

ปัญหาอุทกภัยไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร ก็สร้างความเดือดร้อนแสนสาหัสแก่ผู้คนและอาคารบ้านเรือน ทำให้บ้านถูกน้ำท่วมเสียหายเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการพิจารณาเลือก “ทำเล” ซึ่งเป็นปัจจัยแรกๆ ของการพิจารณาเลือกซื้อที่อยู่อาศัยอยู่แล้ว ยิ่งต้องเพิ่มความสำคัญในการพิจารณาปัจจัยด้านนี้ให้ละเอียดมากขึ้นอีก โดยเฉพาะคำถามที่ว่า “ทำเลนี้น้ำท่วมหรือเปล่า” การเลือกทำเลที่อยู่อาศัยมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาดังนี้ *การเดินทาง หมายถึง ถนน ทางด่วน ทางลัด เส้นทางรถไฟฟ้า บริการด้านการขนส่ง *สาธารณูปโภคและสาธารณูปการ อาทิ น้ำประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์ รวมไปถึงสถานบริการ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล สถานีตำรวจ เป็นต้น *แนวเวนคืนที่ดิน คือการตรวจสอบแนวเส้นทางโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคของรัฐ เช่น ถนน ทางด่วน สะพาน ฯลฯ *ผังเมือง หมายถึง ข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินจากรัฐ ซึ่งระบุพื้นที่เป็นสีต่างๆ เช่น สีแดง กำหนดเป็นพื้นที่พาณิชยกรรม, สีม่วงเป็นพื้นที่อุตสาหกรรม, สีเหลืองเป็นพื้นที่อยู่อาศัย ฯลฯ *ลักษณะพื้นที่ หมายถึง ลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ เช่น ที่ลุ่มต่ำหรือที่สูง หากวัตถุประสงค์ในการเลือกทำเลคือการเลี่ยงน้ำท่วม ประเด็นหลักที่ต้องพิจารณาเป็นอันดับต้นๆ ได้แก่  การพิจารณาผังเมือง ซึ่งทำเลที่อยู่อาศัยควรสอดคล้องกับข้อกำหนดผังเมือง เช่น ถ้าต้องการปลูกสร้างบ้านที่อยู่อาศัยควรเลือกทำเลในเขตสีเหลือง เพราะหากไปปลูกบ้านในพื้นที่สีม่วง แม้จะไม่มีข้อห้าม แต่วันดีคืนดีอาจมีโรงงานโผล่มาใกล้บ้านๆ ก็ได้ หรือการปลูกสร้างบ้านไม่ควรไปอยู่ในพื้นที่เขียวลาย หรือพื้นที่อนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม  เนื่องจากพื้นที่เหล่านี้มักเป็นที่ลุ่มหรือทางผ่านของน้ำ มีโอกาสสูงที่จะถูกน้ำท่วม ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องดูลักษณะทางกายภาพของพื้นที่และแปลงที่ดิน เช่น ไม่เป็นที่ลุ่มต่ำ หรือต่ำกว่าระดับถนน เพราะจะมีโอกาสถูกน้ำท่วมขังได้ง่าย โดยทั่วไปแปลงที่ดินที่จะปลูกสร้างบ้านมักถมสูงกว่าถนนประมาณ 30 เซนติเมตร แต่จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ ความสูงระดับนี้อาจไม่เพียงพอแล้วก็ได้ นอกจากประเด็นที่พิจารณาเพื่อเลี่ยงน้ำท่วมแล้ว อีกสิ่งที่ต้องพิจารณาคือที่ดินอยู่ในแนวเวนคืนของราชการหรือไม่ ข้อมูลเหล่านี้สามารถตรวจสอบกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง เช่น สำนักการโยธา กรุงเทพมหานคร, กรมทางหลวงชนบท, การทางพิเศษแห่งประเทศไทย เป็นต้น นอกจากนี้ทำเลที่เหมาะสมต้องสามารถเดินทางได้สะดวก เช่น มีถนนหลายสาย มีทางด่วนหรือทางลัดที่จะเป็นทางเลือกในการเดินทาง มีบริการด้านการขนส่งเพียงพอ เช่น รถเมล์ รถตู้ หรือมอเตอร์ไซค์รับจ้าง  เป็นต้น รวมถึงมีบริการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการครบถ้วน มีศักยภาพและแนวโน้มเจริญเติบโตสูง เพราะนั่นหมายความว่าผลดีจะตกแก่ที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ของเราด้วย ขอขอบคุณข้อมูลจาก  home.co.th
ความสุขดีไซน์ได้ที่ Areeya Como บางนา-วงแหวนฯ : รีวิวบ้าน

ความสุขดีไซน์ได้ที่ Areeya Como บางนา-วงแหวนฯ : รีวิวบ้าน

"หลายคนกำลังมองหาบ้าน.... บ้านซักหลังที่อบอุ่น มีพื้นที่สีเขียวให้มอง สามารถเป็นที่หลบหนีความวุ่นวาย แต่ในขณะเดียวกันสังคมความเจริญก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม"   บางนา-วงแหวนรอบนอก (ถ.กาญจนาภิเษก) จุดตัดของถนนสายหลักที่จะนำไปสู่ส่วนต่างๆ ของกรุงเทพฯ ได้อย่างต้องการ คือที่ตั้งของโครงการ Areeya Como บ้านเดี่ยวดีไซน์ใหม่ ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกความสุขของครอบครัว   “ซอยมหาชัย” คือที่ตั้งของโครงการ Areeya Como ซอยนี้มีจุดเด่นตรงที่สามารถทะลุออกไปได้หลายทาง ทั้งทางเข้าหลักจากถนนบางนา-ตราดฝั่งขาเข้าช่วง กม.10, ทะลุไปออกกิ่งแก้ว-เทพารักษ์ หรือจะวิ่งทะลุผ่านอาณาจักรอารียา ไปออกตรงด่านวงแหวนฯ ตรงข้าม เมกาบางนา ได้พอดิบพอดี (ปากทางเป็นคอนโด A space me) เส้นทางนี้ยังนับเป็นอีกเส้นทางลัดที่เราสามารถตรงสู่แหล่งช็อปปิ้งสำคัญในย่านนี้ได้อย่างสะดวกและรวดเร็วที่สุดด้วยนะครับ แผนที่การเดินทางรอบๆ โครงการ เราซูมเข้ามาดูใกล้ๆ กันอีกหน่อย จะเห็นว่าโครงการอยู่ในซอยมหาชัย (สีน้ำเงิน) ซึ่งเข้าได้จากทางถนนบางนา-ตราด หรืออีกเส้นทางที่ลัดมาจาก Mega บางนา (สีเหลือง)   ถ้าพูดถึงความเพียบพร้อมในเรื่องของไลฟ์สไตล์แล้ว ทำเลที่ตั้งโครงการ Areeya Como ยังถูกแวดล้อมไปด้วยแหล่งไลฟ์สไตล์ที่ทันสมัย เช่น Ikea, Mega Bangna, Central บางนา, Homepro บางนา, Index บางนา, Tesco Lotus, Secon Square, Paradise Park, คอกม้า Phoenix, สนามกอล์ฟ, โรงพยาบาล, มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ, มหาวิทยาลัยหัวเฉียว, ร้านค้า ร้านอาหารจำนวนมาก รวมถึงสนามบินสุวรรณภูมิก็อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ด้วยระยะทางจากในซอยเพียงนิดเดียวก็สามารถเข้าสู่ถนนบางนา-ตราด, ทางด่วนพิเศษบูรพาวิถี และถนนวงแหวนรอบนอก ก็ทำให้การเดินทางสู่ใจกลางกรุงเทพเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว   Areeya Como สังคมของชีวิตสุขนิยม   Areeya Como บางนา-วงแหวนฯ เป็นโครงการบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่คุณจะมีเพื่อนบ้านร่วมแบ่งปันความสุขเพียง 128 หลังเท่านั้น จึงได้เปรียบเรื่องความเป็นส่วนตัว เงียบสงบ เหมาะกับการพักผ่อนอย่างแท้จริง บริเวณซุ้มทางเข้าโครงการ อุ่นในด้วยระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งกล้องวงจรปิด CCTV และประตู Double Gate Security เข้าออกด้วย Key Card   บริเวณหน้าทางเข้าโครงการ ประตู Double Gate Security เข้าออกด้วย Key Card ถนนเมนของโครงการกว้างประมาณ 12 เมตร ในโครงการออกแบบให้มีพื้นที่สีเขียวล้อมรอบตัวบ้าน เพิ่มความร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ได้บรรยากาศท่ามกลางธรรมชาติ เพียบพร้อมด้วยคลับเฮ้าส์หรู สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ และพื้นที่ออกกำลังกายที่ทุกคนสามารถใช้งานได้จริง รวมถึงมุมนั่งเล่นพักผ่อนทั้งในบริเวณคลับเฮ้าส์ และในสวนสวยกลางแจ้ง พื้นที่สีเขียวภายในโครงการ คลับเฮ้าส์จะแยกอยู่คนละส่วนกับโครงการ บริเวณคลับเฮ้าส์จะมีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ พร้อมสระเด็ก พื้นที่นั่งเล่นริมสระว่ายน้ำ มีห้องน้ำและตู้ล็อกเกอร์ไว้ให้บริการ เข้ามาด้านในคลับเฮ้าส์กันบ้าง ฟิตเนสจะอยู่ด้านในคลับเฮ้าส์ ใกล้ๆ กันจะมีพื้นที่นั่งรับรอง บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ของโครงการ Areeya Como มาพร้อมพื้นที่ใช้สอย 165 ตร.ม. แบ่งเป็น 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ โดยห้องนอนที่ 4 ซึ่งอยู่ในส่วนชั้นล่างสามารถปรับเปลี่ยนเป็นห้องอเนกประสงค์ ที่จะมาเติมเต็มความต้องการของคนในบ้านให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญทุกยูนิตสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ได้เลยครับ รูปแบบบ้านจะเป็นแนว Contemporary Modern Style ประตูหน้าบ้านจะเป็นเหล็กโปร่ง บริเวณที่จอดรถหน้าบ้านจะเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก จอดรถได้ 2 คัน ด้านข้างที่จอดรถจะมีพื้นที่เล็กๆ ให้จัดสวนหย่อมไว้หน้าบ้าน ส่วนด้านข้างบ้านก็จะมีพื้นที่ให้จัดสวนหรือพื้นที่นั่งเล่นอีกจุดหนึ่ง แต่เดี๋ยวเราค่อยไปดูกันต่อนะครับ ประตูเข้าบ้านจะเป็นประตูกระจกบานเลื่อน 2 ตอน ทุกรายละเอียดของตัวบ้าน ทาง Areeya ให้ความสำคัญในทุกรายละเอียดจริงๆ ตั้งแต่ดีไซน์ที่โดดเด่นในสไตล์ Contemporary Modern สะท้อนถึงความทันสมัย เรียบง่ายด้วยโทนสีอบอุ่น ในส่วนของพื้นที่จอดรถหน้าบ้านทางโครงการก็เทพื้นและทำหลังคามาให้เรียบร้อยทุกยูนิต เปิดประตูบ้านไปดูพื้นที่ใช้สอยภายใน ก็จะเห็นว่าพื้นที่ทั้งหมดออกแบบมาให้สามารถใช้สอยประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ของห้องนั่งเล่น และบริเวณรับประทานอาหารที่เชื่อมต่อถึงกันอย่างลงตัว แถมยังได้บรรยากาศโล่ง โปร่งสบายตาด้วย Bay Window ประตูกระจกขนาดใหญ่ สูงจรดเพดาน เปิดรับแสงธรรมชาติ และเชื่อมต่อกับเฉลียงข้างบ้านได้อย่างกลมกลืน บรรยากาศสวนสวยๆ พร้อมมุมพักผ่อนบริเวณข้างบ้านยิ่งช่วยเสริมให้บ้านหลังนี้อบอุ่น เหมาะกับเป็นพื้นที่ชาร์ทแบตให้พร้อมออกไปทำงานอีกครั้ง เข้ามาด้านในบ้านโครงการจะ Built in เป็นพาทิชั่นกั้นก่อนจะเข้าไปที่ Living Area ถัดเข้ามาด้านในจะเป็นพื้นที่ Living Area ขนาดใหญ่ อยู่ติดกับส่วน Dining Area พื้นที่บริเวณ Living Area โครงการตกแต่งด้วยโซฟาขนาด 4 ที่นั่ง มีชั้นวางของ Built in อยู่ด้านข้าง อีกด้านจะ Built in เป็นจุดวางทีวี ถัดเข้ามาอีกหน่อยจะเป็นส่วน Dining Area ซึ่งโครงการตกแต่งด้วยการวางโต๊ะทานอาหารขนาด 4-6 ที่นั่ง ใกล้ๆ กันโต๊ะทานอาหาร จะเป็นส่วนครัว ส่วนครัวโครงการ Built in ไว้ให้ดูเป็นตัวอย่างสวยงามทีเดียวครับ ห้องน้ำที่ชั้น 1 จะอยู่ใกล้ๆ กับส่วนครัว ใช้สุขภัณฑ์ของ American Standard พร้อมพื้นที่อาบน้ำ ข้างโต๊ะทานอาหารอีกด้านจะมีหน้าต่างแบบ Sky Bay Window เพื่อรับแสงจากสวนด้านนอก ด้านนอกโครงการตกแต่งเป็นพื้นที่นั่งเล่นพักผ่อน พร้อมมีสวนสีเขียวให้ความร่มรื่น ส่วนสำคัญอีกส่วนที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ พื้นที่ของห้องอเนกประสงค์ ซึ่งทางโครงการตั้งใจออกแบบไว้ให้พื้นที่ตรงนี้สามารถปรับเปลี่ยนประโยชน์ใช้สอยได้ตามความต้องการ ไม่ว่าจะจัดตกแต่งให้เป็นห้องทำงาน หรือพื้นที่นั่งเล่น ก็ดูจะเหมาะสมและลงตัวเป็นที่สุด ในขณะเดียวกันถ้าหากต้องการจะใช้ให้เป็นห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุ หรือห้องนอนแขก ก็สามารถกั้นประตูเพิ่มได้เช่นกันครับ พื้นที่บริเวณชั้น 2 ของตัวบ้าน จัดแบ่งออกเป็น 3 ห้องนอนด้วยกัน โดยที่ Master Bedroom จะมีพื้นที่กว้างขวางสามารถจัดสรรพื้นที่ให้มี walk-in closet ได้อย่างลงตัว รวมถึงห้องน้ำส่วนตัวภายในห้องที่มาพร้อมกระจกกั้นพื้นที่อาบน้ำมาให้เรียบร้อย ห้องนอน Master จะได้ขนาดใหญ่เลยนะครับ สามารถเลือกว่างเตียงใหญ่ๆ ได้ตามใจชอบเลย อย่างที่เห็นในบ้านตัวอย่างก็วางเตียง King Size 6 ฟุตไปเลย ระเบียงในห้องนอน Master ระเบียงจะกั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน 2 ตอน ปลายเตียงโครงการตกแต่งด้วยการ Built in ฉากกั้นเพื่อแยกห้องนอนกับตู้เสื้อผ้าแบบ Walk-in Closet ด้านในโครงการตกแต่งเป็นตู้เสื้อผ้าแบบ Walk-in Closet แต่บ้านมาตรฐานที่ได้ จะไม่ได้กั้นให้แบบนี้นะครับ ห้องน้ำจะอยู่ติดกับ Walk-in Closet สุขภัณฑ์ที่ใช้จะเป็นของ American Standard Shower Box จะมีฉากกั้นเป็นบานเลื่อน 3 ตอนให้เรียบร้อย ในขณะที่ห้องนอนอีก 2 ห้องในบริเวณชั้น 2 ก็มีพื้นที่ห้องกว้างไม่แพ้กัน ห้องแรกตกแต่งไว้เป็นห้องนอกเด็ก ด้วยดีไซน์น่ารักสดใส กลับกันกับอีกห้องที่ตกแต่งมาในสไตล์เข้มขรึม แต่กลับลงตัวด้วยพื้นที่ใช้สอยที่ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี ห้องแรกโครงการตกแต่งเป็นห้องนอนเด็ก ใช้โทนสีสว่างน่ารักดีทีเดียวครับ โครงการตกแต่งด้วย Built in อย่างเต็มเหนี่ยว เหมาะกันเด็กๆ เป็นที่สุด ส่วนห้องนอนอีกห้องตกแต่งเป็นแนวผู้ใหญ่ขึ้นมาหน่อย ด้วยโทนสีเข้ม เท่าที่ได้มีโอกาสเยี่ยมชมโครงการ Areeya Como ในครั้งนี้ ก็ทำให้เห็นว่าพื้นที่แห่งความสุขของทุกคนในบ้าน สามารถจัดสรรได้จริงๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ส่วนตัวของทุกคน และพื้นที่ส่วนกลางที่เราจะได้แชร์ความสุขร่วมกันอย่างคุ้มค่า คุ้มเวลาที่สุด ตัวบ้านเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญ เพราะบ้านคือพื้นที่ที่ทุกคนในบ้านจะได้พักผ่อน แบ่งปันความสุข ความอบอุ่น เพื่อให้พร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งต่างๆ ภายนอก ในขณะที่ทำเลที่ตั้งก็มีส่วนเสริมให้ชีวิตสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นได้นะครับ.... “บ้าน” Areeya Como ความสุขที่คุณออกแบบได้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.areeya.co.th หรือ โทร. 1797
การดูแลรักษาหญ้าหน้าบ้าน

การดูแลรักษาหญ้าหน้าบ้าน

จะว่าไปแล้วการดูแลสวนก็เป็นสิ่งที่เราทำกันประจำอยู่แล้ว ซึ่งบางครั้งอาจจะดูแลถูกต้องบ้างหรือละเลยบางอย่างไปบ้างเล็กๆ น้อยๆ ทำให้ต้นไม้หรือสิ่งต่างๆ ในสวนของเราดูไม่สวยเอาเสียเลย  ดังนั้นเรามาเริ่มกันใหม่เช่นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เราอาจจะมองข้ามอย่างพื้นสนามหญ้า ที่หลายคนมองว่าแค่รดน้ำก็เพียงพอแล้ว แต่รายละเอียดภายใต้ใบเล็กๆ สีเขียวสบายตานั้นยังมีอีกเยอะ  ซึ่งครั้งนี้เราได้รับคำปรึกษาจากนักจัดสวนและเจ้าของไร่หญ้าอย่างคุณศักดิ์ เรืองพร้อม มาให้คำแนะนำการดูแลให้สนามเราสวยทนอีกด้วย เลือกชนิดให้ถูกปลูกแล้วสวย หญ้านวลน้อย หญ้านวลน้อยเป็นหญ้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากขึ้นง่ายทุกสภาพดิน แถมยังดูแลง่าย เป็นหญ้าที่ชอบแดดจัด นิยมปลูกกลางแจ้ง และหญ้านวลน้อยนิยมสวนหย่อมในบริเวณบ้าน โรงแรม ในสนามกอล์ฟ นอกจากนี้ยังใช้ในการจัดสวน เพราะเป็นหญ้าที่ทนการเหยียบย่ำ รวมทั้งเป็นหญ้าที่ดูแลรักษาง่ายกว่าหญ้าชนิดอื่น ๆ ถึงแม้จะปล่อยปละละเลยไปบ้าง เมื่อกลับมาดูแลรักษาใหม่ ก็ยังจะได้สนามหญ้าที่มีคุณภาพดีเหมือนกัน หญ้ามาเลเซีย สามารถเป็นหญ้าที่ทนร่มและแสงแดดแรงได้ดี ชอบแดดรำไรถึงแดดจ้า เหมาะที่จะปลูกใต้ไม้ใหญ่ หรือที่แดดรำไรมี ความต้องการน้ำมากเพราะขนาดของใบที่ใหญ่ดังนั้นควรรดน้ำสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรให้ท่วมขัง ไม่ควรเดินเหยียบบ่อยๆ เพราะจะทำให้ช้ำตายได้ หญ้าญี่ปุ่น เป็นหญ้าที่มีเส้นใบที่เล็กละเอียด มีการเจริญเติบโตช้าแต่พอโตแล้วจะหนาแน่น ทนทานต่อการเหยียบย่ำได้ดีที่สุด เป็นหญ้าคล้ายหญ้ามาเลเซีย ที่ชอบแดดและต้องการน้ำมาก และทนต่ออากาศหนาวได้ดี การดูแลรักษา 1. ช่วงเวลาที่รดน้ำ ควรเป็นช่วงที่แดดไม่จัด เวลาเช้าตรู่ถือเป็นเวลาที่เหมาะที่สุด เพราะช่วงเช้าถึงเที่ยงเป็นเวลาที่หญ้าปรุงอาหารได้ดีที่สุด การรดน้ำช่วงเย็นสามารถทำได้แต่ควรทำในช่วงประมาณบ่าย 3 โมง เพื่อว่าเมื่อให้น้ำแล้ว สนามจะได้แห้งก่อนมืด ดินจะได้ไม่เก็บความชื้นไว้ อันเป็นสาเหตุของโรคพืชได้ หลังรดน้ำสนามหญ้า ไม่ควรไปเดินเหยียบย่ำพื้นหญ้าขณะเปียก 2.วิธีรดน้ำ ควรรดน้ำแต่ละครั้งให้มากพอและไม่ควรรดน้ำบ่อยเกินไป เพราะนอกจากจะเปลืองน้ำแล้วยังชะล้างธาตุอาหารในดิน ทำให้ดินแน่นเร็วและเกิดโรคได้ง่าย และอย่ารดน้ำน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง เพราะน้ำจะซึมอยู่บนผิวดินตื้นๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้รากหญ้าเจริญเติบโตในระดับผิวดินตื้นๆ หญ้าจะอ่อนแอและหาอาหารได้น้อย ขาดน้ำได้ง่าย 3. หากปูหญ้าเสร็จใหม่ ให้รดน้ำวันละ 2 – 3 ครั้ง โดยสังเกตจากใบหญ้า หากเริ่มเหี่ยวหรือแห้งให้รดน้ำทันทีทำต่อเนื่องอย่างนี้ประมาณ 10 วัน หญ้าจะเริ่มหยั่งรากและเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ จากนั้นให้รดน้ำอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง 4. การใส่และเร่งการเจริญเติบโต ด้วยการใส่ปุ๋ยสูตร 20 – 20 - 0 หรือ 46 - 0 - 0 แล้วรดน้ำให้ชุ่มทันทีเพื่อป้องกันการไหม้ของใบหญ้า 5. หากใบหญ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 20 – 20 - 0 หรือ 46 - 0 - 0 แล้วรดน้ำให้ชุ่มทันที เพื่อบำรุงต้นหญ้าให้กลับมาเขียวชอุ่มเช่นเดิม 6. หากมีวัชพืชขึ้นแซมบนพื้นหญ้า ให้กำจัดโดยใช้มือดึงหรือใช้อุปกรณ์ที่มีความแหลมคมแซะออก เพื่อรักษาพื้นหญ้าให้คงความสวยงามตลอดไป 7.หน้าฝนควรฉีดยากันเชื้อรา และควรตัดแต่งให้บ่อยขึ้นเพราะหากปล่อยให้รกรุงรังอาจมีสัตว์ที่เป็นอันตรายมาอาศัยอยู่ได้ การตัดหญ้า 1. ความสูงของหญ้าในการตัด ควรตัดให้เหลือความสูงประมาณ 1 นิ้ว 2. ถ้าเป็นไปได้ควรตัดทุกๆ สัปดาห์ หรือไม่ควรเกิน 10 วันต่อครั้ง และควรกำหนดเวลาตัดหญ้าให้ตรงเวลา จะทำให้หญ้าไม่อ่อนแอหลังการตัด ถ้าปล่อยให้หญ้ายาวมากเกินไป เมื่อตัดแล้วจะเหลือแต่โคนหญ้าที่แห้งเหลืองและแข็ง ไม่เขียวสวยงาม 3. ทิศ ทางการตัดหญ้า การตัดหญ้าในทิศทางเดียวกันติดต่อกันนานๆ จะทำให้หญ้าลู่ไปทางเดียว นอกจากจะดูไม่สวยแล้วยังทำให้หญ้าเติบโตไม่ดีด้วย ควรมีการสลับทิศทางการตัดหญ้าสนามบ้าง โดยสลับทุกๆ 1-2 เดือน 4. หลักการตัดหญ้า ต้องตัดขณะที่สนามแห้ง ไม่เปียกแฉะ เพราะจะทำให้ต้นหญ้าช้ำ 5. เวลาที่เหมาะสำหรับการตัดหญ้าอย่างยิ่งคือเวลาบ่าย สักประมาณบ่ายสามโมง เนื่องเพราะเป็นเวลาที่ใบหญ้าถูกแดดจนน้ำค้างแห้งดีแล้ว ใบหญ้าที่ยังชื้นจะตัดยากกว่าใบหญ้าที่แห้ง พอตัดเสร็จแล้วอีกสักพักในเช้าวันรุ่งขึ้นน้ำค้างก็จะเริ่มลง ช่วยให้หญ้าที่ช้ำเพราะเพิ่งถูกตัดฟื้นตัวได้เร็ว ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.sanook.com  
ไม่อยากรับโอนบ้านที่ชำรุด ต้องทำยังไง?

ไม่อยากรับโอนบ้านที่ชำรุด ต้องทำยังไง?

มีหลายครั้งที่เราพบว่าผู้จะซื้อบ้านไม่ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ตามที่ผู้จะขายนัดไว้ เพราะเหตุผลที่ว่า บ้านหลังนั้นยังสร้างเสร็จไม่เรียบร้อยดี ทั้งๆที่ในหนังสือระบุไว้ว่า “ถ้าไม่ไปพบตามวันเวลาที่นัดตามหนังสือระบุไว้ ให้ถือว่าผู้จะซื้อเป็นฝ่ายผิดสัญญาและให้รับเงินที่ผู้จะซื้อได้ชำระไว้แล้วทั้งหมด” ซึ่งในทางกฏหมายจะถือว่าผู้ซื้อเป็นฝ่ายผิดสัญญาได้ และยังหมดสิทธิ์เรียกค่าเสียหายใดๆจากผู้ขายอีกด้วย ดังนั้น ถ้าหากพบว่าบ้านที่เราจะซื้อยังสร้างไม่เสร็จ หรือมีปัญหา แล้วไม่อยากรับโอนบ้านเหล่านี้ ต้องรู้วิธีที่จะเลี่ยงการรับโอนด้วยนะครับ 1. ถ้าพบเห็นความชำรุดบกพร่องของบ้านที่จะซื้อ ให้บันทึกส่วนต่างๆของบ้านที่ยังสร้างไม่เรียบร้อยและถ่ายภาพเก็บไว้เป็นหลักฐาน และให้ผู้จะขายหรือตัวแทนผู้รับมอบอำนาจจากผู้จะขายได้ลงลายมือไว้ในบันทึกดังกล่าวด้วย 2. ในบันทึกที่จดความชำรุดบกพร่องของบ้านนั้น ให้กำหนดระยะเวลาพอสมควรที่จะแก้ไขความชำรุดแก่ผู้จะขายด้วย 3. เมื่อถึงวันนัดรับโอน ให้ผู้จะซื้อนำบันทึกและภาพถ่ายดังกล่าวไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ณ สำนักงานที่ดินที่อยู่ในเขตอำนาจตามวันและเวลาที่นัด เพื่อให้รับทราบเรื่องที่ผู้จะขายยังสร้างบ้านไม่เรียบร้อยดี โดยให้ยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานที่ดินในฐานะเจ้าพนักงานของรัฐได้จดบันทึกเรื่องนี้ไว้เป็นหลักฐานว่า ผู้ซื้อได้มาตามวันเวลานัดที่ผู้จะขายนัดแล้ว แต่มีข้อโต้แย้งทำให้ไม่อาจรับจดทะเบียนนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านที่ซื้อไว้ได้ เนื่องจากบ้านที่ซื้อขายยังมีความชำรุดเสียหาย และยังไม่ได้รับการแก้ไขจากผู้จะขาย จึงขอให้ผู้จะขายจัดการแก้ไขให้เรียบร้อยภายในเวลาพอสมควร 4. ถ้าหลังจากที่ครบกำหนดเวลาแล้ว ยังพบว่าบ้านยังไม่ได้รับการแก้ไขให้เรียบร้อย ให้ผู้จะซื้อใช้สิทธิบอกเลิกสัญญากับผู้จะขายโดยตรง เพราะถือว่าพฤติกรรมของผู้จะขายถือว่าเป็นฝ่ายผิดสัญญา 5. เมื่อบอกเลิกสัญญาเรียบร้อยแล้ว ให้เรียกร้องขอเงินที่ชำระไปแล้วทั้งหมดคืนจากผู้จะขายพร้อมดอกเบี้ยตามกฏหมาย 6. ถ้าผู้จะขายต่อสู้ว่าไม่ได้ผิดตามสัญญา แนะนำให้ผู้จะซื้อใช้สิทธิในทางศาล ทั้งนี้ต้องฟ้องผู้จะขายให้รับผิดชอบในความชำรุดบกพร่องต่อศาลภายใน 1 ปี นับตั้งแต่เวลาที่ผู้จะซื้อได้พบเห็นความชำรุดบกพร่องนั้น (ตามประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 474 บัญญัติว่า “ในข้อรับผิดเพื่อชำรุดบกพร่องนั้น “ในข้อรับผิดเพื่อชำรุดบกพร่องนั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นเวลาปีหนึ่งนับแต่เวลาที่ได้พบเห็นความชำรุดบกพร่อง”) เมื่อผู้จะซื้อพบเห็นความชำรุดของบ้านให้แจ้งผู้ขาย ผู้ขายจะต้องรับผิดชอบซ่อมแซม ถ้าถูกปฏิเสธให้นำเรื่องนี้ฟ้อง สคบ. และให้แจ้งวิศวกรวิชาชีพของหน่วยงานรัฐ เช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) หรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ที่อยู่ในพื้นที่ของบ้านที่ตั้งอยู่ หรือวิศวกรวิชาชีพจากสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถมภ์ (วสท.) เข้าไปตรวจสอบความชำรุด ถ้าผลการตรวจสอบเกิดการทรุดตัวต่างระดับของฐานราก (เสาเข็ม) และพื้นอาคาร เมื่อตรวจสอบเสร็จและเสนอรายการซ่อมให้ผู้ซื้อทราบ จึงถือได้ว่าผู้จะซื้อพบเห็นความชำรุดบกพร่องนับแต่เวลานั้น ดังนั้น ให้นับอายุความ 1 ปี ตั้งแต่วันที่ผู้ซื้อทราบผลการตรวจความชำรุดของบ้านนั้นจากวิศวกรผู้มีวิชาชีพ และรายการการค่าเสียหาย (เทียบค่าพิพากษาศาลฎีกาที่ 5584/2544)   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  home.co.th
ผ่อนดาวน์หมด แต่บ้านยังไม่สร้าง ควรทำอย่างไร?

ผ่อนดาวน์หมด แต่บ้านยังไม่สร้าง ควรทำอย่างไร?

หนึ่งในปัญหาที่คนซื้อบ้านส่วนใหญ่พบเจอ คือ การผ่อนดาวน์หมดแล้ว แต่ตัวบ้านยังไม่ได้สร้าง หรือผ่อนไปเกือบหมดแล้ว แต่บ้านยังแค่เพิ่งเริ่มก่อสร้าง ดูยังไงก็คงเสร็จไม่ทันตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญาแน่นอนหากเกิดปัญหาแบบนี้จะทำอย่างไรดี? กรณีแบบนี้ ในมุมกฎหมายบอกว่า หากผ่อนชำระจนครบตามงวดแล้วหรือแม้ว่ายังไม่ครบ แต่ระหว่างผ่อนชำระเจ้าของโครงการก็ไม่ดำเนินการใดๆ เลยหรือทิ้งร้างไปบ้าง หรือว่าเหลือเงินดาวน์น้อยแล้วแต่ยังไม่สร้างสักทีดูแล้วหากผ่อนจนครบงวดเงินดาวน์คงสร้างไม่ทันแน่ๆกรณีนี้คนซื้อบ้านควรมีหนังสือแจ้งให้ผู้ขายดำเนินการและผู้ซื้อยังสามารถหยุดชำระเงินดาวน์ไว้ก่อน จนกว่าจะได้ก่อสร้างให้มีความคืบหน้าหรือแล้วเสร็จ ทั้งนี้ เป็นไปตามแนวพิพากษาว่าสัญญาจะซื้อจะขายเป็นสัญญาต่างตอบแทน เมื่อผู้ขายไม่ก่อสร้างเพื่อเป็นการตอบแทนแล้วผู้ซื้อมีสิทธิยึดหน่วงเงินที่จะต้องชำระเอาไว้ก่อนโดยไม่ถือว่าผิดสัญญานอกจากนั้นหากผู้ขายไม่ก่อสร้างจนล่วงเลยระยะเวลาไปพอสมควรก็เลิกสัญญาขอเงินคืนได้ โดยหลักหรือแนวทางของสัญญาซื้อขายหากคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาไม่ส่งมอบตรงตามกำหนดเวลาผู้ซื้อมีสิทธิทำได้สองอย่างแต่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ เลิกสัญญาแล้วคู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิมกรณีนี้จะเรียกร้องค่าปรับไม่ได้กับอีกทางเลือกหนึ่ง คือ ยังคงให้สัญญามีผลต่อไปแต่ต้องสงวนสิทธิเรียกร้องค่าปรับเอาไว้เมื่อส่งมอบล่าช้าจึงเรียกร้องค่าปรับในฐานะเป็นค่าเสียหายของผู้ซื้อ ส่วนผลของการบอกเลิกสัญญาคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมเงินที่ผู้ซื้อผ่อนชำระไปทั้งหมดผู้ขายต้องคืนแก่ผู้ซื้อพร้อมดอกเบี้ยในอัตรา 7.5 % ต่อปี ของต้นเงินแต่ละงวด จนกว่าจะชำระคืนครบถ้วน เกี่ยวกับการทำซื้อขายบ้าน บางกรณีสัญญามีความซับซ้อนและดูจะเป็นผลเสียต่อผู้ซื้อ เช่น สัญญาไม่มีการกำหนด “ค่าปรับ กรณีผู้จะขายหรือเจ้าของโครงการ” ผิดสัญญาส่งมอบบ้านไม่ทันภายในกำหนด แต่กลับมีการกำหนด “ค่าปรับกรณีผู้จะซื้อ” ผิดนัดชำระเงินหรือในสัญญาระบุว่าให้สามารถปรับได้กรณีก่อสร้างล่าช้าแต่ไม่ระบุหรือกำหนดวันโอนกรรมสิทธิ์ เป็นต้น หากเจอแบบนี้ ผู้ซื้อควรหลีกเลี่ยง เพราะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบตั้งแต่แรกแล้ว ครั้นจะหวังให้ผู้ขายรับผิดชอบในวันข้างหน้าเกรงว่าจะยาก เนื่องจาก บ้านเป็นสินค้าราคาแพง หลายคนต้องเก็บออมเงินมาทั้งชีวิตจึงจะสามารถซื้อได้ การที่เรามีเงินพร้อมและเก็บไว้กับตัวย่อมปลอดภัยกว่าอยู่กับคนอื่นที่สำคัญ โครงการดีๆ สัญญาที่ไม่เอาเปรียบคนซื้อยังมีอยู่มากมาย ค่อยๆ เลือก ค่อยๆ ตัดสินใจจะดีกว่า   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  home.co.th
ต่อเติมครัวไทย แบบโปร่งหรือแบบทึบดี?

ต่อเติมครัวไทย แบบโปร่งหรือแบบทึบดี?

ครอบครัวที่ชอบทำอาหารแบบไทยๆ คงไม่พ้นการประกอบอาหารที่ต้องผัด ทอด ก่อให้เกิด เสียง กลิ่น ควัน แผ่ฟุ้งกระจาย เมนูเหล่านี้อาจไม่เหมาะกับพื้นที่ปรุงอาหารในบ้านที่มีขนาดเล็กและระบายอากาศได้น้อย เจ้าของบ้านจึงมักเริ่มคิดต่อเติมครัว แยกออกมาจากตัวบ้าน ตามด้วยคำถามต่างๆ หนึ่งในนั้นคือ  “จะต่อเติมครัวไทยแบบทึบหรือแบบโปร่งดี ?” ต่อเติมครัวไทย “แบบทึบ” กับ “แบบโปร่ง” ก่อนอื่นขอเล่าถึงการต่อเติมครัว 2 แบบนี้ว่าต่างกันอย่างไร การต่อเติมครัวแบบทึบโดยทั่วไปจะต่อเติมขึ้นมาเป็นห้อง มีผนังเต็มล้อมรอบโดยเจาะช่องเปิดตามความเหมาะสม พร้อมหลังคาครอบมิดชิด ส่วนครัวแบบโปร่งจะมีจุดเด่นตรงความโปร่งโล่ง จึงมักทำแผงระแนงไม้/ไม้เทียมแทนผนัง บางทีอาจเลือกทำผนังทึบเฉพาะช่วงล่าง ส่วนด้านบนปล่อยโล่งหรือทำเป็นแผงระแนง เพื่อความปลอดภัยและเป็นส่วนตัว ในส่วนของหลังคา อาจทำติดลอยไว้กับผนังบ้านเดิม เลือกซื้อกันสาดสำเร็จรูปมาติด หรือจะใช้โครงสร้างเสาส่วนต่อเติมรับหลังคาเช่นเดียวกับครัวแบบทึบ  ทั้งนี้ครัวแบบโปร่งสำหรับบางบ้านอาจทำง่ายๆ เพียงแค่ติดหลังคากันสาดและก่อเคาน์เตอร์ครัว หรือถ้าจะให้ง่ายกว่านั้นคือซื้อชุดครัวสำเร็จรูปมาติดตั้งเลยก็ได้ ตัวอย่างการต่อเติมครัวแบบโปร่ง ต่อเติมครัวไทยแบบโปร่ง เน้นความโล่ง จะเห็นได้ว่าครัวแบบโปร่งเป็นรูปแบบที่เน้นความโปร่งโล่ง กลิ่นควันและความอับชื้นต่างๆ จึงระบายออกไปได้ง่าย สามารถฉีดน้ำล้างทำความสะอาดได้ (โดยต้องมีทางระบายน้ำรองรับ) วัสดุที่ใช้มักมีน้ำหนักเบา ทั้งยังสร้างได้รวดเร็วง่ายดายกว่าเมื่อเทียบกับครัวแบบทึบ แต่ในขณะเดียวกัน ความโปร่งโล่งของครัวแบบโปร่งอาจทำให้ต้องผจญกับ น้ำฝน ฝุ่นและสิ่งปรกต่างๆ ที่สาดซัดเล็ดรอดเข้ามาได้ง่าย ทั้งยังต้องระวังป้องกันไม่ให้สัตว์เล็กสัตว์น้อย อย่างแมลง นก หนู และอาจรวมถึงแมวหรือสุนัขตัวเล็กๆ เข้ามาก่อกวนภายในห้องครัวด้วย (ในส่วนนี้อาจใช้ ตะแกรง มุ้งลวด ช่วยป้องกันได้บ้าง)   จะเห็นว่าการทำครัวแบบโปร่งจะต้องควบคุมเรื่องความสะอาดและป้องกันสิ่งปนเปื้อนจากภายนอกให้ดี  ซึ่งสำคัญมากเพราะเป็นพื้นที่ประกอบอาหาร  อุปกรณ์ต่างๆ จึงควรมีที่เก็บมิดชิด หรือเจ้าของบ้านอาจจะเลือกใช้ครัวแบบโปร่งเฉพาะตอนประกอบอาหารและล้างภาชนะเท่านั้น ส่วนอุปกรณ์ทั้งหมดนำไปเก็บไว้ในบ้านแทนก็ย่อมได้เช่นกัน นอกจากนี้ ครัวแบบโปร่งซึ่งระบายอากาศได้สะดวกย่อมหมายความว่า กลิ่น ควัน รวมถึงไอน้ำมันจากการทำอาหารจะกระจายไปถึงเพื่อนบ้านได้ง่าย นับเป็นอีกเรื่องที่ต้องระวังเช่นกัน ครัวต่อเติมนอกบ้านแบบโปร่ง ขอบคุณภาพ : topicstock.pantip.com ต่อเติมครัวไทยแบบทึบ เน้นมิดชิด สำหรับห้องครัวแบบทึบซึ่งมีผนังมิดชิดจะมีข้อดีข้อเสียเป็นคู่ตรงข้ามกับห้องครัวแบบโปร่ง ไม่ว่าจะเป็นการใช้วัสดุที่มีน้ำหนักมากกว่าจึงมีโอกาสทรุดตัวเร็วกว่า (เมื่อเทียบกับโครงสร้างรองรับแบบเดียวกัน) ส่วนเรื่องของระบบระบายอากาศ อาจต้องพึ่งอุปกรณ์ช่วยอย่างเครื่องดูดควันหรือพัดลมระบายอากาศ นอกจากนี้การสร้างห้องครัวแบบทึบจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าห้องครัวแบบโปร่ง ด้วยปริมาณวัสดุ โครงสร้าง และการเตรียมงานระบบที่มากกว่า   สำหรับข้อดีของครัวแบบโปร่งที่มีผนังมิดชิดก็คือ สามารถป้องกันสิ่งสกปรกและสิ่งไม่พึงประสงค์จากภายนอกได้ดี   รวมถึงการใช้เครื่องดูดควันพร้อมปล่องระบายอากาศ ยังช่วยป้องกันกลิ่นควันจากการประกอบอาหารไม่ให้รบกวนเพื่อนบ้านได้ง่ายด้วย นอกจากนี้ผนังที่มิดชิดของครัวแบบทึบยังให้ความรู้สึกปลอดภัยและเป็นส่วนตัว รวมถึงมีพื้นที่ติดตั้งชั้นเก็บของได้มาก ในเรื่องการทำความสะอาด ครัวแบบทึบควรใช้วิธีเช็ดถูเอาสิ่งสกปรกออก ไม่ควรใช้วิธีฉีดน้ำล้างอย่างครัวแบบโปร่ง และควรหมั่นทำความสะอาดเป็นประจำ การติดพัดลมดูดอากาศด้านข้างห้องครัวส่วนต่อเติม เพื่อช่วยระบายกลิ่น/ควัน ตู้ลอยติดผนังเหนือเคาน์เตอร์สำหรับเก็บของในห้องครัวแบบทึบ ขอบคุณภาพ : www.banidea.com อย่างไรก็ตามเมื่อเจ้าของบ้านตัดสินใจเลือกต่อเติมครัวตามแบบที่ตนเองต้องการแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแบบโปร่งหรือแบบทึบ มีเรื่องสำคัญที่ห้ามละเลยคือ โครงสร้างที่ถ่ายน้ำหนักลงพื้นของครัวส่วนต่อเติม จะต้องแยกจากกันกับโครงสร้างบ้านเดิม เพราะส่วนต่อเติมซึ่งมักลงเสาเข็ม สั้นนั้นโดยปกติจะทรุดตัวเร็วกว่าตัวบ้านเดิม จึงควรให้การทรุดตัวเป็นอิสระจากกัน  ไม่ดึงรั้งกันจนกลายเป็นปัญหาบ้านทรุดแบบเอียงและเกิดการฉีกขาดของโครงสร้าง ซึ่งนับเป็นปัญหาใหญ่ที่แก้ไขได้ยากมาก ขอขอบคุณข้อมูลจาก SCG เกี่ยวกับการต่อเติมบ้านส่วนต่างๆ บ้านชั้นเดียวต่อเติมเป็นบ้านสองชั้นได้หรือไม่ 4 ปัญหาคาใจต่อเติมครัวแล้วทรุด พื้นที่บันได ทำอะไรเพิ่มเติมได้
X2 Pattaya Oceanphere : รีวิวบ้าน

X2 Pattaya Oceanphere : รีวิวบ้าน

X2 Pattaya Oceanphere (ครอสทู พัทยา โอเชี่ยนเฟียร์) พูลวิลล่า ตากอากาศสุดหรูพร้อมอยู่สไตล์ โมเดิร์น ลักซ์ชัวรี่ รีสอร์ท จาก Habitat       รายละเอียดโครงการ   ราคาเริ่มต้น    9,790,000 บาท เจ้าของโครงการ    บริษัท ฮาบิแทท วัน จำกัด (บริษัทในเครือ ฮาบิแทท กรุ๊ป) ลักษณะโครงการ    บ้านเดี่ยวพูล วิลล่า จำนวน 59 หลัง พื้นที่โครงการ    9 - 3 - 3 ไร่ ที่ตั้งโครงการ      ซอยนาจอมเทียน 56 อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เริ่มก่อสร้าง     ไตรมาส 3 ปี พ.ศ. 2559 คาดว่าจะแล้วเสร็จ    ไตรมาส 4 ปี พ.ศ. 2561 ค่าส่วนกลาง    30 บาท/ตารางเมตร ค่ากองทุน    300 บาท/ตารางเมตร สถานที่สำคัญใกล้เคียง   สวนน้ำ Cartoon Network สวนนงนุช Ocean Marina สวนน้ำรามายณะ ไร่องุ่น Silver Lake แบบบ้านและขนาดพื้นที่ใช้สอย   พูล วิลล่า แบบ 1 ห้องนอน  พื้นที่ใช้สอยประมาณ 137.68 – 193.4 ตารางเมตร พูล วิลล่า แบบ 2 ห้องนอน  พื้นที่ใช้สอยประมาณ 193.91 – 257.71 ตารางเมตร สิ่งอำนวยความสะดวก สโมสรพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน 3 ชั้น โถงต้อนรับ พนักงานต้อนรับ และอำนวยความสะดวก สระว่ายน้ำแบบอินฟินิตี้เอดจ์ อ่างจากุชซี่ และ Hydrotherapy ห้องออกกำลังกาย ครอสทู ยาน สปา (X2 Yan Spa) ห้องอาหาร และ บาร์ (4K restaurant and Bar) บริการทำความสะอาด มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง กล้อง CCTV บริเวณพื้นที่ส่วนกลาง ระบบ Key card ควบคุมการเข้าออก Security Gate สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร :  081-451-0002 ดูรายละเอียดเพิ่มเติม :  www.x2pattaya.com/
จะก่อสร้างบ้านต้องรู้เรื่องระยะห่างระหว่างอาคารกรณีอยู่ในที่ดินเจ้าของเดียวกัน

จะก่อสร้างบ้านต้องรู้เรื่องระยะห่างระหว่างอาคารกรณีอยู่ในที่ดินเจ้าของเดียวกัน

หลายครอบครัวเมื่อลูกหลานโตพอ หรือมีการแต่งงานสร้างครอบครัวใหม่ บางครั้งก็วางแผนต่อเติม ปรับปรุงบ้าน หรือสร้างบ้านใหม่อีกหลังในที่ดินเดียวกับบ้านหลังเดิม เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ๆ กัน หรือบางท่านมีที่ดินผืนใหญ่ แล้ววางแผนจะสร้างบ้านหลายหลังบนที่ดินผืนนั้น เพื่อให้ลูกหลานอยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ แต่ยังไม่ได้แยกกรรมสิทธิ์ที่ดินออกไป ถ้าท่านกำลังมีแผนเช่นที่ว่าอยู่พอดี หากได้ศึกษาเกี่ยวกับกฎหมายต่อเติม สร้างบ้าน ก็จะทราบว่า กฎหมายควบคุมอาคารมีข้อกำหนดเรื่องการก่อสร้างอาคารในที่ดินเจ้าของเดียวกันไว้  โดยอาคารแต่ละหลังจะต้องมีระยะห่างระหว่างกัน  ดังนั้น ไม่ว่าท่านกำลังจะก่อสร้างบ้านใหม่อีกหลังใกล้กับบ้านหลังเดิม หรือท่านกำลังสร้างบ้านใหม่หลายหลังพร้อมกัน ถ้าบ้านทั้งสองหลังหรือหลายหลังนั้นสร้างอยู่ในที่ดินเจ้าของเดียวกันจะต้องคำนึงถึงระยะห่างระหว่างอาคารด้วย บ้านแต่ละหลังจะต้องมีระยะห่างระหว่างกันไม่น้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งกำหนดไว้ในข้อ 48 ของกฎกระทรวงฉบับที่ 55 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ระยะห่างระหว่างบ้านหรืออาคารในที่ดินเจ้าของเดียวกัน จะห่างเท่าใด กฎหมายกำหนดให้พิจารณาจาก 2 เงื่อนไข คือ 1) ความสูงของอาคารทั้งสองหลัง และ 2) ผนังของอาคารทั้งสองหลังด้านที่ใกล้กันนั้นเป็นผนังทึบหรือมีช่องเปิด-ช่องแสง-ระเบียง แยกเป็น 3 กรณี ดังนี้ กรณีที่ 1 เมื่อผนังอาคารด้านที่ใกล้กันเป็นผนังที่มีช่องเปิด-ช่องแสงหรือมีระเบียง ทั้งสองหลัง ผนังของอาคารด้านที่มี หน้าต่าง ประตู ช่องระบายอากาศหรือช่องแสงหรือระเบียงของอาคาร ต้องมีระยะห่างจากผนังของอาคารอื่นด้านที่มีหน้าต่าง ประตู ช่องระบายอากาศหรือช่องแสง หรือระเบียงของอาคาร ดังต่อไปนี้ (ก) อาคารที่มีความสูงไม่เกิน 9 เมตร ผนังหรือระเบียงของอาคารต้องอยู่ห่างจากผนังหรือระเบียงของอาคารอื่นที่มีความสูงไม่เกิน 9 เมตร ไม่น้อยกว่า 4 เมตร (ข) อาคารที่มีความสูงไม่เกิน 9 เมตร ผนังหรือระเบียงของอาคารต้องอยู่ห่างจากผนังหรือระเบียงของอาคารอื่นที่มีความสูงเกิน 9 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ไม่น้อยกว่า 5 เมตร (ค) อาคารที่มีความสูงเกิน 9 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ผนังหรือระเบียงของอาคารต้องอยู่ห่างจากผนังหรือระเบียงของอาคารอื่นที่มีความสูงเกิน 9 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ไม่น้อยกว่า 6 เมตร กรณีที่ 2 เมื่อผนังอาคารด้านที่ใกล้กัน มีหลังหนึ่งเป็นผนังทึบ และอีกหลังเป็นผนังที่มีช่องเปิด-ช่องแสง หรือมีระเบียง ผนังของอาคารด้านที่เป็นผนังทึบต้องมีระยะห่างจากผนังของอาคารอื่นด้านที่มี หน้าต่าง ประตู ช่องระบายอากาศหรือช่องแสง หรือระเบียงของอาคาร ดังต่อไปนี้ (ก) อาคารที่มีความสูงไม่เกิน 15 เมตร ผนังของอาคารต้องอยู่ห่างจากผนังหรือระเบียงของอาคารอื่นที่มีความสูงไม่เกิน 9 เมตร ไม่น้อยกว่า 2 เมตร (ข) อาคารที่มีความสูงไม่เกิน 15 เมตร ผนังของอาคารต้องอยู่ห่างจากผนังหรือระเบียงของอาคารอื่นที่มีความสูงเกิน 9 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ไม่น้อยกว่า 3 เมตร (ค) อาคารที่มีความสูงเกิน 15 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ผนังของอาคารต้องอยู่ห่างจากผนังหรือระเบียงของอาคารอื่นที่มีความสูงไม่เกิน 9 เมตร ไม่น้อยกว่า 2.50 เมตร (ง) อาคารที่มีความสูงเกิน 15 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ผนังของอาคารต้องอยู่ห่างจากผนังหรือระเบียงของอาคารอื่นที่มีความสูงเกิน 9 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ไม่น้อยกว่า 3.50 เมตร กรณีที่ 3 เมื่อผนังอาคารด้านที่ใกล้กัน เป็นผนังทึบทั้งสองหลัง และทั้งสองหลังมีความสูงเกิน 15 เมตรแต่สูงไม่ถึง 23 เมตร ผนังของอาคารที่มีความสูงเกิน 15 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ด้านที่เป็นผนังทึบต้องอยู่ห่างจากผนังของอาคารอื่นที่มีความสูงเกิน 15 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ด้านที่เป็นผนังทึบไม่น้อยกว่า 1 เมตร กรณีที่ 3 นี้ ถ้าเป็นอาคารที่ก่อสร้างอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ระยะห่างจะต้องไม่น้อยกว่า 2 เมตรนะครับ เนื่องจากมีข้อกำหนดเรื่องที่ว่างโดยรอบอาคารที่สูงเกิน 15 เมตรไว้ สำหรับกรณีที่ 2 และกรณีที่ 3 ถ้าหากมีอาคารหลังใดหลังหนึ่งหรือทั้งสองหลังชั้นบนสุดทำเป็นดาดฟ้าขึ้นไปใช้สอยได้ กฎหมายยังได้กำหนดอีกว่า ผนังของดาดฟ้าของอาคารด้านที่อยู่ใกล้กับอาคารอื่นต้องสร้างเป็นผนังทึบสูงจากพื้นดาดฟ้าไม่น้อยกว่า 1.80 เมตรอีกด้วย   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  www.scgbuildingmaterials.com
สร้างบ้านใหม่เลือกแบบบ้านชั้นเดียวหรือแบบบ้านสองชั้นดี?

สร้างบ้านใหม่เลือกแบบบ้านชั้นเดียวหรือแบบบ้านสองชั้นดี?

สำหรับใครที่มีที่ดินอยู่แล้ว และอยู่ในขั้นตอนกำลังตัดสินใจจะสร้างบ้าน แต่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกแบบบ้านชั้นเดียว หรือแบบบ้านสองชั้นดี  ลองพิจารณาจากปัจจัยและความเหมาะสมในด้านต่างๆ ต่อไปนี้เพื่อช่วยตัดสินใจ 1. ความต้องการ/ฟังก์ชั่น และขนาดพื้นที่ใช้สอย การกำหนดความต้องการใช้งานในบ้านหรือฟังก์ชั่นของบ้าน จะมีผลต่อขนาดพื้นที่ใช้สอย จำนวนชั้นและลักษณะของบ้าน ยกตัวอย่างเช่น ปลูกเรือนหอสามชั้นเพื่อเตรียมขยายครอบครัวซึ่งมีความต้องการพิเศษ เช่น ห้องอเนกประสงค์ ห้องทำงาน ฯลฯ,  สร้างบ้านใหม่สองชั้นโดยเตรียมพื้นที่สำหรับพ่อแม่อยู่อาศัย (ผู้สูงอายุ) ในชั้นล่าง, สร้างบ้านชั้นเดียวเพื่ออยู่อาศัยในวัยชรา, สร้างบ้าน 4 ชั้นเพื่อทำธุรกิจควบคู่ด้วย เช่น สำนักงาน ร้านกาแฟ ร้านอาหาร หรือปล่อยเช่าบางส่วน เป็นต้น ดังนั้น เจ้าของบ้านควรทำรายการความต้องการใช้สอยพื้นที่ของบ้านในส่วนต่างๆ เตรียมไว้ เพื่อปรึกษาสถาปนิกให้ออกแบบตรงตามความต้องการ หรือเลือกแบบบ้านที่ใกล้เคียงกับความต้องการมากที่สุด สำหรับครอบครัวที่มีสมาชิกในบ้านน้อยประมาณ 1-3 คน อาจเลือกแบบบ้านชั้นเดียวได้ หากไม่ได้มีความต้องการพื้นที่ใช้สอยมากนัก นอกจากนี้แบบบ้านชั้นเดียวยังเหมาะกับผู้สูงอายุ หรือผู้พิการ โดยทำเป็นพื้นระดับเดียวไม่มีขั้นบันได เพื่อช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ ส่วนครอบครัวที่มีสมาชิกหลายคนหรือบ้านที่ทำธุรกิจควบคู่ไปด้วย แบบบ้านสองชั้นหรือหลายชั้นจะตอบโจทย์การใช้งานมากกว่า เพราะสามารถออกแบบและจัดสรรพื้นที่ใช้สอยให้เหมาะสม เพียงพอต่อการใช้งาน เช่น มีสวนภายนอกสำหรับเด็กหรือสัตว์เลี้ยง มีบ่อปลาคาร์พ มีพื้นที่จอดรถได้หลายคัน ออกแบบพื้นที่และห้องนอนและห้องน้ำสำหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะ หรือแบ่งพื้นที่ชั้นล่างเป็นส่วนที่คนนอกเข้าใช้งานได้เป็นร้านหรือสำนักงาน (Public Space) ส่วนชั้นบนทำเป็นพื้นที่อยู่อาศัยส่วนตัว (Private Space) เป็นต้น นอกจากนี้ ความชอบเรื่องสเปซ (Space) ก็เป็นอีกปัจจัยในการเลือกแบบบ้านเช่นกัน สำหรับบ้านชั้นเดียวสามารถออกแบบให้มีห้องโถงสูงทั้งหลัง (ฝ้าเพดานยกสูง) เพื่อช่วยทำให้ห้องดูโปร่งสบายได้ โดยยังกลมกลืนกับบ้านพักอาศัยโดยรอบ ส่วนบ้านสองชั้นสามารถเพิ่มลูกเล่นให้พื้นที่พิเศษได้ เช่น ทำห้องโถงหรือห้องรับแขกแบบดับเบิ้ลสเปซ (Double Space) หรือแม้แต่การเล่นระดับพื้นสูงต่ำภายในบ้านเพื่อแบ่งพื้นที่ส่วนต่างๆ ก็ได้เช่นกัน 2. ขนาดที่ดิน และทำเลที่ตั้ง ขนาดที่ดินก็นับว่าเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจเลือกแบบบ้านชั้นเดียวหรือแบบบ้านสองชั้น เนื่องจากการสร้างบ้านก็มีกฎหมายควบคุมซึ่งต้องคำนึงถึงระยะร่นแนวอาคารดังนั้นเมื่อมีที่ดินพร้อมปลูกบ้านแล้ว เจ้าของบ้านจะทราบขนาดพื้นที่ที่สามารถสร้างบ้านได้เมื่อหักลบระยะร่นออกไป จากนั้นจึงพิจารณาความเหมาะสมในการสร้างบ้านให้เหมาะสมกับขนาดที่ดิน เช่น หากมีที่ดินขนาดใหญ่ จะสามารถสร้างบ้านชั้นเดียวหรือสองชั้นก็ได้ตามฟังก์ชั่นการใช้งาน แต่หากมีที่ดินขนาดเล็กซึ่งเมื่อหักลบระยะร่นออกแล้ว การสร้างบ้านสองชั้นหรือมากกว่าสองชั้นนั้นอาจเหมาะสมกว่า เพราะสามารถเพิ่มขนาดพื้นที่ใช้สอยในทางสูงได้ โดยไม่ควรสร้างบ้านที่มีความสูงเกินที่กฎหมายกำหนดตามแต่ละพื้นที่เช่นกัน ด้านทำเลที่ตั้ง ควรดูบริบทโดยรวมว่าที่ดินอยู่ในพื้นที่แบบใด เช่น ที่ดินอยู่ในเขตชุมชนเมืองที่มีตึกสูงรายล้อม อยู่ในหมู่บ้านจัดสรร อยู่ใกล้แหล่งน้ำ หรือมีที่ดินอยู่ในเขตที่เสี่ยงน้ำท่วม บริบทและสภาพ:แวดล้อมเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการออกแบบบ้าน ลักษณะของบ้านที่จะสร้างจึงต้องพิจารณาด้านทำเลที่ตั้งร่วมด้วยตามความเหมาะสม เช่น สร้างบ้านแบบอาคารสามชั้นในเขตชุมชนเมืองเนื่องจากพื้นที่ขนาดเล็ก สร้างบ้านเดี่ยวสองชั้นในหมู่บ้านจัดสรร หรือสร้างบ้านใต้ถุนสูงในเขตพื้นที่ที่มีความเสี่ยงน้ำท่วม เป็นต้น 3. งบประมาณการก่อสร้าง งบประมาณเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวกำหนดการสร้างบ้าน  เพราะหากเปรียบเทียบระหว่างบ้านชั้นเดียวและบ้านสองชั้นที่มีพื้นที่ใช้สอยเท่ากันแล้ว บ้านสองชั้นจะมีราคาก่อสร้างที่ต่ำกว่า เพราะไม่ต้องลงเสาเข็มในพื้นที่บริเวณกว้าง และขนาดผืนหลังคาขนาดเล็กกว่าบ้านชั้นเดียว อย่างไรก็ตาม ราคาการก่อสร้างก็ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ร่วมด้วย ควรศึกษาข้อมูล หรือปรึกษาสถาปนิกก่อนตัดสินใจ 4. การดูแลรักษา นอกจากการอยู่อาศัยแล้ว การดูแลรักษาก็เป็นสิ่งที่ควรพิจารณา สำหรับบ้านชั้นเดียวจะเป็นบ้านที่ดูแลรักษาได้ง่าย เช่น การเช็ดกระจก ทำความสะอาดผนังและรางน้ำฝน การซ่อมแซมงานหลังคา ฯลฯ แต่สำหรับบ้านสองชั้นหรือมากกว่าสองชั้นนั้นจะดูแลรักษาลำบากกว่าเพราะระดับความสูง อาจต้องใช้บันได หรืออุปกรณ์เสริมอื่นๆ ในการทำความสะอาด หรือซ่อมแซมส่วนต่างๆ 5. การต่อเติมในอนาคต หากคิดไว้ว่าในอนาคตอาจมีการต่อเติม โดยเฉพาะการต่อเติมขยายพื้นโดยรอบ เช่น ปลูกบ้านอีกหลังเชื่อมกับบ้านเดิม ต่อเติมห้องครัว ต่อเติมห้องนอนชั้นล่าง ฯลฯ ซึ่งต้องมีพื้นที่เพียงพอสำหรับการก่อสร้าง การเลือกแบบบ้านสองชั้นที่ประหยัดการใช้ที่ดินมากกว่าก็อาจจะเหมาะกว่าการเลือกแบบบ้านชั้นเดียวที่มีพื้นที่ใช้สอยเท่ากัน หรือหากวางแผนต่อเติมเพิ่มจำนวนชั้นในอนาคต ซึ่งในช่วงแรกของการอยู่อาศัยจะเป็นบ้านชั้นเดียว โดยเตรียมทำแบบบ้านสองชั้นไว้ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ ไม่ว่าจะเป็น รูปแบบหน้าตาบ้าน งานโครงสร้าง รวมถึงงานระบบต่างๆ เป็นต้น หลังจากพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาเพื่อเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจเลือกแบบบ้านแล้ว ไม่ว่าจะตัดสินใจเลือกแบบบ้านชั้นเดียวหรือแบบบ้านสองชั้นก็ตาม สิ่งสำคัญของการสร้างบ้านขึ้นมาสักหลังคือ ควรตอบโจทย์การใช้งานของสมาชิกในบ้าน อยู่แล้วมีความสุขสบาย ปลอดภัย และไม่ขัดต่อกฎหมายควบคุมอาคาร   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  www.scgbuildingmaterials.com
5 ความเสี่ยงจากการซื้อบ้านและคอนโด

5 ความเสี่ยงจากการซื้อบ้านและคอนโด

การจะซื้อบ้านหรือคอนโดแต่ละครั้ง เราก็รู้กันดีอยู่แล้วว่าต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อย และก็ใช่ว่าบ้านหรือคอนโดที่เราซื้อมาแล้วนั้นจะได้คุณภาพดีเสมอไป ดังนั้นก่อนจะซื้อบ้านหรือคอนโด เราจึงควรต้องมีการวางแผนให้ดี และเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงเหล่านี้ให้ดีด้วยครับ 1. สินค้าด้อยคุณภาพ ปัญหานี้ถือได้ว่าเป็นปัญหาที่เรามักพบเจอกันได้มากที่สุด โดยสาเหตุนั้นมาจากการที่โครงการใช้สินค้าไม่มีคุณภาพหรือใช้วัสดุเกรดต่ำกว่าที่โฆษณาไว้ จึงทำให้เกิดปัญหาบ้านทรุด , กำแพงร้าว , น้ำรั่ว , ท่อตัน ตามมา 2. ส่งมอบล่าช้า ปัญหานี้มักเกิดกับคอนโดเป็นส่วนใหญ่ ด้วยสาเหตุหลักๆที่ทำให้เกิดการส่งมอบล่าช้า คือ โครงการไม่ผ่านEIA , โครงการยังขายไม่ถึงเป้า ซึ่งปัญหาการส่งมอบล่าช้านั้นถ้าผู้ซื้อเห็นว่าโครงการช้าเกินกว่ากำหนดแน่นอน ผู้ซื้อสามารถยกเลิกสัญญาได้ทันที และเรียกเงินคืนทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันกับที่โครงการเรียกเก็บเราเมื่อมีการจ่ายเงินดาวน์ช้า หรือถ้าไม่ยกเลิกสัญญาก็มีสิทธิ์เรียกค่าปรับเป็นรายวันได้ร้อยละ 0.1% ของราคาห้องชุด แต่รวมแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 10 โดยที่ในความเป็นจริงแล้วเมื่อคอนโดมีการส่งมอบล่าช้ากว่ากำหนด ส่วนใหญ่จะชดเชยเป็นโปรโมชั่นในวันโอนแทน 3. ของจริงไม่เหมือนโฆษณา ปัญหานี้มักพบบ่อย เพราะตอนไปดูบ้านหรือห้องตัวอย่าง มีสวยงามตกแต่งเป็นอย่างดี แต่พอได้ของจริง กลับไม่มีคุณภาพ ปัญหาที่มักพบได้แก่ งานไม่เรียบร้อย ไม่สมราคา และไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งปัญหาเหล่านี้เราจะไม่รับโอนก็ได้ เพราะถือว่าสินค้นผิดจากในสัญญา 4. การบริการแย่ ปัญหานี้มักเกิดจากการบริการหลังการขาย เพราะเมื่อผู้ซื้อจ่ายเงินครบ และมีการโอนรับบ้านหรือห้องเมื่อไร ผู้ซื้อจะหมดความสำคัญทันที เพราะหลังจากมีการโอนรับบ้านหรือห้องแล้ว เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นจะตามมาแก้ไข มาเก็บงานก็เป็นได้ยากแล้ว แต่ปัญหานี้เหล่านี้เราสามารถแก้ไขได้โดยการต้องยอมจ้างบริษัทตรวจรับบ้านคอนโดมาตรวจงานให้ละเอียดเรียบร้อยก่อนมีการโอนรับบ้านคอนโด 5. ยื้อเวลา ปัดความรับผิดชอบ ถึงแม้ว่าปัญหานี้จะมีกฏหมายรองรับไว้แล้ว แต่ผู้ซื้อก็มักเสียเปรียบอยู่ดี เพราะเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว การจะเรียกร้องเอาเงินคืน ก็เป็นไปได้ค่อนข้างยากแล้ว ดังนั้นก่อนทำสัญญา ต้องมีการตกลงกันให้ดีก่อน ว่าถ้ากู้ไม่ผ่านยินดีคืนเงินอย่างไร และต้องทำเป็นหนังสือแนบท้ายสัญญาไว้ทุกขั้นตอน ตั้งแต่เงื่อนไข และวิธีการชำระเงินคืน ทุกปัญหาถือว่ามีความเสี่ยงทั้งนั้น ดังนั้นก่อนจะซื้อบ้านหรือคอนโด เราจึงต้องมีการตรวจสอบให้ดีครับ ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.co.th
10 ลำดับขั้นตอนการก่อสร้างบ้าน

10 ลำดับขั้นตอนการก่อสร้างบ้าน

การปลูกบ้าน หรือสร้างบ้านใหม่ จะเริ่มสร้างจากล่างขึ้นบน กล่าวคือต้องเริ่มจากโครงสร้างเสาเข็ม ฐานราก จากนั้นจะเริ่มงานโครงสร้างจากชั้นหนึ่ง และชั้นสองตามลำดับ แล้วจึงติดตั้งหลังคา ก่อผนัง เตรียมงานระบบ จนเมื่องานโครงสร้างเรียบร้อยก็จะตกแต่งงานสถาปัตย์ เก็บรายละเอียดงาน ทำความสะอาดจนพร้อมส่งมอบบ้านให้แก่เจ้าของบ้าน ทั้งนี้ แต่ละขั้นตอนต้องวางแผนการดำเนินงานเป็นอย่างดี เพราะมีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย และสำหรับตัวเจ้าของบ้านเองควรเข้าใจลำดับขั้นตอนเพื่อสามารถตรวจและควบคุมงานในเบื้องต้น รวมถึงจดบันทึกตำแหน่งหรือข้อมูลทั้งงานระบบท่อไฟฟ้า-ประปา ตำแหน่งระบบสุขาภิบาล เผื่อการบำรุงซ่อมแซมในอนาคต 10 ลำดับขั้นตอนการก่อสร้างบ้าน ที่เจ้าของบ้านทุกคนควรทราบ มีดังนี้ 1.เริ่มขั้นตอนสร้างบ้าน โดยการเตรียมพื้นที่ เมื่อมีแบบก่อสร้างบ้าน และทำสัญญากับผู้รับเหมาเรียบร้อยแล้ว ทางผู้รับเหมาจะเริ่มเข้าหน้างานเตรียมพื้นที่ กำหนดจุดวางและขนย้ายเครื่องมืออุปกรณ์ อาจมีสถานที่พักสำหรับคนงาน (ในกรณีที่คนงานพักในพื้นที่) หากมีบ้านเดิมจะต้องรื้อถอนออกก่อน หรือหากเป็นที่ดินเปล่าจะมีการขอน้ำและไฟฟ้าชั่วคราวสำหรับใช้งาน สำหรับงานเตรียมพื้นที่ จะครอบคลุมอยู่หลายเรื่อง ตั้งแต่ระดับพื้นบ้านที่ต้องพิจารณา อาจต้องถมที่ดินเพื่อปรับระดับ ให้เหมาะสม ซึ่งโดยทั่วไปจะถมให้สูงกว่าระดับถนน 50-80 ซม. และควรสูงกว่าท่อระบายน้ำสาธารณะ ส่วนระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการถมดินอยู่ในช่วงหน้าแล้ง (ช่วงเดือนธันวาคม – พฤษภาคม) เพราะสามารถทำงานได้สะดวก ได้ดินที่แน่นและมีคุณภาพ เพราะหากถมในช่วงหน้าฝนอาจเกิดเหตุการณ์ดินไหลได้ ภาพ: การปรับระดับดินก่อนลงเสาเข็ม 2.งานวางผังอาคาร ขั้นตอนสร้างบ้านที่ต้องวางแผนให้ดี เมื่อเตรียมพื้นที่เรียบร้อย จะเริ่มวางผังแนวอาคารซึ่งเป็นการกำหนดตำแหน่งของเสาเข็มโดยอ้างอิงจากแบบ เพื่อให้ทุกฝ่ายทั้งเจ้าของบ้าน ผู้ออกแบบ วิศวกร บริษัทรับเหมาก่อสร้าง และบริษัทรับเหมางานเสาเข็มมีความเข้าใจที่ตรงกัน ในขั้นตอนนี้ อาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือปรับระยะต่างๆ ให้เหมาะสมได้เนื่องจากอาจพบอุปสรรคที่หน้างาน เช่น แนวต้นไม้ใหญ่ แนวเสาเข็มโครงสร้างอาคารเดิม หรือตำแหน่งอาคารข้างเคียงที่มีผลต่อพื้นที่ใช้สอยอาคาร เป็นต้น โดยผู้รับเหมาจะนำเสนอแนวทางแก้ไขให้ผู้ออกแบบเซ็นชื่อรับรอง เพื่อดำเนินการก่อสร้างต่อไป ภาพ: ตรวจแบบก่อสร้างเพื่อเตรียมวางผังอาคาร (กำหนดจุดลงเสาเข็ม) 3.หนึ่งในขั้นตอนสร้างบ้านสำคัญ คือ งานเสาเข็ม สำหรับงานเสาเข็มมักจะจ้างบริษัทรับเหมางานเสาเข็มโดยเฉพาะ ซึ่งทางผู้ออกแบบจะสำรวจหน้างานและกำหนดมาแล้วว่าบ้านแต่ละหลังเหมาะจะใช้เสาเข็มประเภทใด ไม่ว่าจะเป็นเสาเข็มตอกหรือเสาเข็มเจาะ (อ่านรายละเอียด Material Guide ทรุดไม่ทรุด จุดเริ่มต้นอยู่ที่เสาเข็ม) การตรวจสอบคุณภาพเสาเข็มต้องทดสอบความแข็งแรง (Load Test) สามารถรับน้ำหนักได้ตามมาตรฐาน ไม่เยื้องศูนย์ แต่หากเกิดความผิดพลาดหรืออุปสรรคในการตอกหรือเจาะเสาเข็ม ผู้ออกแบบอาจต้องแก้ไขแบบเพื่อให้เสาเข็มและฐานรากดังกล่าวสามารถรับน้ำหนักได้ นอกจากนี้สำหรับการตัดหัวเสาเข็มเพื่อเตรียมหล่อฐานราก ผู้รับเหมางานเสาเข็ม และผู้รับเหมาหลักต้องยืนยันระดับฐานรากให้ตรงกันก่อนส่งต่องาน ภาพ: การทำเสาเข็มเจาะ 4.ขั้นตอนสร้างบ้านของงานฐานรากโครงสร้างชั้นล่าง เมื่อตัดหัวเสาเข็มแล้ว ผู้รับเหมาหลักจะเริ่มงานส่วนโครงสร้างฐานรากซึ่งประกอบด้วยฐานรากและเสาตอม่อจากนั้นจึงขึ้นโครงสร้างชั้น 1 ซึ่งประกอบด้วย คานคอดิน เสา คาน และพื้นชั้นล่าง โดยอาจอาจเลือกเป็นพื้นหล่อในที่ (พื้นห้องน้ำ) ร่วมกับพื้นคอนกรีตสำเร็จรูป หากโครงสร้างต่างๆ เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ควรมีขนาดและค่ากำลังอัด ตามที่วิศวกรได้คำนวณไว้ ซึ่งต้องใช้เวลาในการบ่มคอนกรีต และถอดแบบค้ำยัน ช่วงระยะเวลาหนึ่ง (ประมาณ 14-28 วัน ขึ้นอยู่กับลักษณะงานและประเภทปูน) เพื่อให้โครงสร้างมีความแข็งแรง พร้อมรับน้ำหนักโครงสร้างอื่นๆ ต่อไป แต่ในกรณีที่สร้างบ้านโครงสร้างเหล็ก ก็จะเริ่มนำชิ้นส่วนเหล็กในแต่ละส่วนมาเชื่อมกันทั้งในส่วน เสา คาน ตง เป็นต้น ในระหว่างขั้นตอนนี้ จะมีการขุดดินเพื่อวางระบบสุขาภิบาล เช่น บ่อพัก  Manhole ระบบท่อน้ำทิ้ง ท่อประปา เป็นต้น ซึ่งเจ้าของบ้านควรถ่ายรูปและจดบันทึกตำแหน่งและระยะงานระบบเอาไว้เพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิงหากมีการซ่อมแซมในอนาคต ภาพ: งานเตรียมเหล็กเสริมโครงสร้างคานและเสาชั้นล่าง 5. งานโครงสร้างชั้นสอง โครงหลังคา และโครงสร้างงานระบบสุขาภิบาล งานโครงสร้างชั้นสองก็ทำเช่นเดียวกับโครงสร้างชั้นล่าง ทั้งเสา คานอะเส(คานหลังคา) และอาจมีงานหล่อชิ้นส่วนตกแต่ง เช่น บัว กันสาด ขอบปูน ซึ่งโครงสร้างแต่ละส่วนจะต้องใช้ระยะเวลาบ่มคอนกรีตเช่นเดียวกับโครงสร้างชั้นล่าง นอกจากนี้จะเริ่มขึ้นโครงหลังคา ซึ่งมีหลายประเภท เช่น โครงหลังคาเหล็ก หรือโครงหลังคาสำเร็จรูป เป็นต้น ในส่วนของงานระบบประปาและสุขาภิบาลทั้งถังเก็บน้ำใต้ดิน ท่อน้ำทิ้ง และถังบำบัดจะถูกติดตั้งในช่วงนี้โดยสมบูรณ์เพื่อเตรียมการเดินท่อเข้าภายในบ้าน ภาพ: ติดตั้งโครงหลังคาเหล็ก 6.ขั้นตอนสร้างบ้าน งานมุงหลังคา และโครงสร้างบันได เมื่องานโครงสร้างหลักเสร็จเรียบร้อย จะเริ่มติดตั้งวัสดุมุงหลังคาเพื่อให้ภายในบ้านมีร่มเงาและลดอุปสรรคจากลมฟ้าอากาศในการทำงาน ในช่วงนี้จะเริ่มหล่อโครงสร้างบันไดคอนกรีตเสริมเหล็ก หรือติดตั้งบันไดเหล็กตามที่แบบระบุ นอกจากนี้อาจเก็บงานโครงสร้างในส่วนอื่นๆ ให้พร้อมก่อนเริ่มงานก่อผนังและติดตั้งวัสดุปิดผิว ภาพ: (บน) มุงหลังคากันแดดและฝน  (ล่าง) ติดตั้งบันไดโครงสร้างเหล็ก 7.งานก่อผนัง ติดตั้งวงกบไม้ประตู-หน้าต่าง และงานระบบไฟฟ้า-ประปา เมื่อมุงหลังคาเรียบร้อย จะเข้าสู่ขั้นตอนการก่อผนังและหล่อเสาเอ็น-คานเอ็น ในขั้นตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับบ้านแต่ละหลังว่าเลือกใช้ผนังบ้านแบบใด เช่น ผนังก่ออิฐ หรือผนังเบา ซึ่งในช่วงนี้จะเดินท่องานระบบต่างๆ ที่ฝังในผนังไปด้วย ทั้งระบบไฟฟ้าและประปา รวมถึงติดตั้งวงกบไม้ประตูหน้าต่างตามตำแหน่งที่ระบุตามแบบ ภาพ: การก่อผนัง หล่อเสาเอ็น-คานเอ็น และฝังท่อไฟฟ้า-ประปาในผนัง 8.ขั้นตอนสร้างบ้าน งานฉาบผนัง และงานติดตั้งฝ้าเพดาน  ในงานฉาบผนังก่ออิฐ จะต้องจับปุ่มจับเซี้ยม หรืออาจขึงลวดกรงไก่ เพื่อฉาบผนังให้เรียบสม่ำเสมอ ส่วนผนังเบาจะต้องฉาบเก็บรอยต่อระหว่างแผ่นผนังให้เรียบเนียน เตรียมพร้อมก่อนขั้นตอนการปิดผิว ในขั้นตอนนี้ต้องอาศัยความชำนาญของช่างเพื่องานที่ละเอียดเรียบร้อย ผนังต้องได้ดิ่ง-ฉากทุกพื้นที่ สำหรับฝ้าเพดานจะมีการกำหนดระดับความสูงตามแบบทั้งภายในและภายนอกบ้าน โดยติดตั้งโครงฝ้าและปิดด้วยวัสดุฝ้าเพดาน เช่น แผ่นยิปซั่ม แผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์ เป็นต้น ในขั้นตอนนี้จะมีการติดตั้งระบบไฟฟ้า โคมไฟ และช่องเซอร์วิสไปพร้อมกัน ภาพ: การฉาบผนัง และติดตั้งฝ้าเพดานทั้งภายนอกและภายใน 9. งานวัสดุตกแต่งพื้นผิว ขั้นตอนสร้างบ้าน ติดตั้งอุปกรณ์ ติดตั้งประตู-หน้าต่าง และงาน Build-In เป็นขั้นตอนที่ต้องอาศัยความประณีตของช่างอย่างมาก เพราะทำให้บ้านเนี้ยบสวยงาม ซึ่งในขั้นตอนนี้จะประกอบไปด้วย   9.1 วัสดุตกแต่งผนังและพื้น ขึ้นอยู่กับการออกแบบและความชอบของเจ้าของบ้าน โดยวัสดุพื้นผิวผนัง เช่น ทาสี ฉาบสกิมโค้ท ปูกระเบื้องเซรามิก ติดวอลล์เปเปอร์ ฯลฯ ส่วนวัสดุพื้น เช่น หินขัด กรวดล้าง/ทรายล้าง ปูกระเบื้องเซรามิก ไม้ปาร์เกต์ ไม้ลามิเนต เป็นต้น 9.2 ระบบแสงสว่างและติดตั้งดวงโคมการติดตั้งแสงสว่างและหลอดไฟจะเริ่มในช่วงนี้เพราะติดตั้งฝ้าเพดาน โคมไฟ และเดินงานระบบเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ช่างจะเดินสายไฟเชื่อมกับสวิตช์ไฟ ปลั๊ก และติดตั้งเครื่องปรับอากาศ 9.3 ติดตั้งบานประตู หน้าต่างไม้ ชุดประตู-หน้าต่างไวนิล/อะลูมิเนียม ขั้นตอนนี้จะเป็นการติดตั้งบานประตู บานกระจก หน้าต่างเข้ากับวงกบไม้ที่ติดตั้งเอาไว้ก่อนหน้านี้ รวมถึงติดตั้งชุดประตู-หน้าต่างไวนิลหรืออะลูมิเนียมเข้ากับผนังที่เว้นช่องไว้ ซึ่งขอบผนังโดยรอบต้องเรียบสม่ำเสมอ ได้ระดับดิ่ง-ฉาก เพื่อให้ชุดประตู-หน้าต่างติดตั้งได้พอดี ลดความเสี่ยงการรั่วซึมในอนาคต 9.4 งาน Build-in ด้านงาน Build-in อาจมารวมอยู่ในช่วงนี้ได้ เช่น ตู้เสื้อผ้า ชั้นวางของ เคาน์เตอร์ครัว เป็นต้น 9.5 ติดตั้งวัสดุอุปกรณ์ สุขภัณฑ์ในห้องน้ำ และอุปกรณ์เครื่องครัว วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เมื่อติดตั้งแล้วควรคลุมด้วยพลาสติกเพื่อป้องกันฝุ่นละออง รอยขีดข่วน และสีที่อาจกระกระเด็นเปรอะเปื้อนในช่วงการเก็บงาน 9.6 สวนและทางเดินรอบบ้านอาจเริ่มทำในช่วงนี้ หรืออาจทำในช่วงที่บ้านสร้างเสร็จแล้วก็ได้ ภาพ: การตกแต่งภายใน ติดตั้งวัสดุปูพื้น-ผนัง ประตูหน้าต่าง (บานเฟี้ยม) และงานBuild-in 10. ทำความสะอาดและตรวจความเรียบร้อยในการเก็บงาน ขั้นตอนสร้างบ้านสุดท้าย ช่างจะเก็บรายละเอียดต่างๆ เช่น งานทาสี ตรวจสอบงานระบบต่างๆ ซึ่งในช่วงนี้เจ้าของบ้านควรเข้ามาตรวจสอบด้วยตัวเอง ซึ่งถ้าเจอข้อผิดพลาด ควรแจ้งให้ช่างแก้ไขให้เรียบร้อยก่อนจะส่งจะส่งมอบงาน จากนั้นจะเริ่มทำความสะอาด (โดยมากจะจ้างบริษัททำความสะอาดหลังงานก่อสร้างโดยตรง) แล้วเสร็จจนพร้อมส่งมอบงานให้เจ้าของบ้านขนย้ายเฟอร์นิเจอร์เข้าอยู่ ภาพ: บ้านที่อยู่ในช่วงการเก็บงาน การเรียงลำดับขั้นตอนตามที่กล่าวมาอาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือซ้อนทับกันได้ในแต่ละงาน อาจมีเพิ่ม หรือแยกย่อยมากกว่า 10 ลำดับได้ขึ้นอยู่กับปลายปัจจัย เช่น วัสดุที่เข้าหน้างาน ความถนัดของช่าง/ผู้รับเหมา ปัจจัยสภาพคล่องทางการเงิน ปัญหาแรงงานช่าง และสภาพลมฟ้าอากาศที่ไม่อำนวย เป็นต้น Tip: เจ้าของบ้านควรตรวจสอบสัญญาการรับประกันผลงานของทั้งผู้รับเหมา และตัวผลิตภัณฑ์สินค้า รวมถึงการติดตั้งวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตามที่ระบุในเอกสาร เพื่อรับรองคุณภาพการก่อสร้าง และตัวสินค้าให้ได้ตามมาตรฐาน ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก www.scgbuildingmaterials.com เกี่ยวกับการสร้างบ้านอื่นๆ ซื้อบ้านจัดสรรกับสร้างบ้านเอง แบบไหนดีกว่ากัน สร้างบ้านใหม่เลือกแบบบ้านชั้นเดียวหรือแบบบ้านสองชั้นดี? จะก่อสร้างบ้านต้องรู้เรื่องระยะห่างระหว่างอาคารกรณีอยู่ในที่ดินเจ้าของเดียวกัน 7 ความผิดพลาดในการสร้างบ้าน ที่ควรใส่ใจ  
THE CITY บางใหญ่ : รีวิวบ้าน

THE CITY บางใหญ่ : รีวิวบ้าน

การจะเลือกซื้อบ้านซักหลังไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ไหนจะต้องเลือกว่าบ้านหลังไหนที่เหมาะกับสมาชิกในครอบครัว ทำเลที่ต้องเดินทางสะดวก สภาพแวดล้อมเอื้อต่อไลฟ์สไตล์ หรือมีอะไรใกล้ๆ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกบ้าง จึงต้องใช้เวลาเปรียบเทียบบ้านหลายๆ หลัง เพื่อให้ได้บ้านที่คุ้มค่า ตอบโจทย์ความต้องการในชีวิตประจำวันมากที่สุดเท่าที่ บ้านเดี่ยวน่าจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ตอบความต้องการของครอบครัว ซึ่ง AP เองก็เข้าใจกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี จึงเปิดโครงการใหม่ล่าสุดบนทำเลบางใหญ่ ทำเลที่มีศักยภาพเหมาะกับการอยู่อาศัยมากที่สุดแห่งหนึ่ง ภายใต้แบรนด์ “The City บางใหญ่” บ้านเดี่ยวหลังใหญ่สุดหรูสำหรับไลฟ์สไตล์ที่สมบูรณ์ ศักยภาพทำเล   ความได้เปรียบเด่นๆ ของ The City บางใหญ่ คือ ทำเลที่ตั้งของโครงการที่อยู่ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง ซึ่งเปิดให้บริการอย่างเต็มตัวแล้ว ทำให้การเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองเป็นเรื่องง่ายดาย สถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุดคือ สถานีคลองบางไผ่ ห่างจากโครงการเพียงแค่ 3 นาทีเท่านั้น อีกทั้งสถานีนี้ยังเป็นสถานีต้นทาง มีอาคารจอดแล้วจรขนาดใหญ่ ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกในการสัญจรได้มากขึ้น ในขณะที่เส้นทางเชื่อมต่อเข้าเมืองด้วยรถส่วนตัวก็เป็นเรื่องง่ายไม่แพ้กัน เนื่องจากมีให้เลือกหลายเส้นทางทั้งถนนสายหลักอย่าง ถนนกาญจนาภิเษก เชื่อมต่อกับถนนรัตนาธิเบศร์ไปงามวงศ์วานได้ไม่ยาก หรือจะเลือกใช้เส้นทางถนนนครอินทร์ ตัดเข้าถนนราชพฤกษ์ รวมถึงเส้นทางด่วนพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกก็เป็นอีกเส้นทางใหม่ที่ช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการเดินทางเข้าเมืองได้อีกทาง ปัจจุบันย่านบางใหญ่เป็นหนึ่งในพื้นที่น่าจับตา เพราะกำลังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และจะกลายเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางแหล่งช็อปปิ้งชื่อดัง เช่น ห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ อย่าง Central Westgate, Big C, Home Pro, Index Living Mall และกำลังจะมี Ikea เปิดให้บริการในอนาคต ขณะเดียวกันห่างออกมาทางวงเวียนพระราม 5 ก็ยังมีทั้ง The Walk ราชพฤกษ์, The Crystal, Home Work  และร้านอาหารอีกเพียบให้แวะเวียนไปเปลี่ยนบรรยากาศได้ ในขณะเดียวกันในโซนบางใหญ่ก็มีตลาดขนาดใหญ่ รวมถึงร้านค้า ร้านอาหารให้เลือกพึ่งพาเป็นจำนวนมากไม่แพ้กัน จัดได้ว่าเป็นทำเลที่มีองค์ประกอบต่างๆ เหมาะสมสำหรับการอยู่อาศัยเป็นอย่างมาก แผนที่โครงการ การเดินทางวันนี้เราเริ่มจากบริเวณแยกแคราย ด้านขวามือจะเป็นเอสพลานาดแคราย เลยจากแยกแครายมาเราจะเข้าสู่ถนนรัตนาธิเบศร์ จะเริ่มเห็นรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วงกันแล้วนะครับ ตรงนี้จะเป็นสถานีศูนย์ราชการนนทบุรี เราขับรถตามถนนรัตนาธิเบศร์ไปเรื่อยๆ ตรงขึ้นสะพานพระนั่งเกล้าไปเลยครับ ลงจากสะพานพระนั่งเกล้ามาเราก็ยังคงตรงต่อไปเรื่อยๆ ตามป้ายถนนกาญจนาภิเษกไปเลยครับ ตรงกันไปยาวๆ พอใกล้ถึงถนนกาญจนาภิเษกให้เราชิดขวาไปทางสุพรรณบุรี เพื่อขึ้นสะพานวนเข้าสู่ถนนกาญจนาภิเษก เมื่อเราเข้าสู่ถนนกาญจนาภิเษกแล้วจะเห็นเซ็นทรัล เวสต์เกต อยู่ด้านขวามือ เลยมาอีกนิดหน่อยจะเห็นบิ๊กซี บางใหญ่อยู่ฝั่งซ้ายมือ เราขับเลยบิ๊กซีมานิดหน่อยจะเห็นจุดสังเกตคือโชว์รูมโตโยต้าอยู่เ้านซ้ายมือ ให้เตรียมเลี้ยวซ้ายเข้าซอยได้เลยนะครับ เลยโชว์รูมโตโยต้ามาแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนคลองถนนได้เลยครับ จะเห็นป้ายของโครงการตั้งอยู่ริมถนนด้วย บรรยากาศบนถนนคลองถนน จะเป็นถนน 2 เลน เลียบคลองยาวตลอดแนว บรรยากาศในซอยจะมีทั้งคอนโดและโครงการหมู่บ้านขึ้นเยอะเลยครับ ร้านค้าต่างๆ ก็ตามมามากมาย จากปากซอยถนนกาญจนาภิเษกเข้ามาประมาณ 2 กิโลเมตร ก็ถึงทางเข้าโครงการแล้วครับ ปากซอยจะมีป้ายติดชื่อซอยสองพี่น้อง เลี้ยวเข้าซอยมาแล้วต้องขับตรงเข้าไปอีกหน่อย ถึงโครงการแล้วครับ หน้าทางเข้าโครงการทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว สวยงามที่เดียวครับ คราวนี้เราลองมาดูการเดินทางขาออกจากโครงการหันดูบ้างนะครับ โดยนอกจากการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวแล้ว ใกล้ๆ โครงการยังมีรถไฟฟ้าสายสีม่วงไว้คอยรองรับอีกด้วย สำหรับสถานีที่ใกล้โครงการมากที่สุดจะเป็นสถานีคลองบางไผ่ ออกมาจากโครงการแล้วเลี้ยวซ้ายมาเลยครับ ออกมานิดเดียวก็จะเห็นสถานีคลองบางไผ่แล้วครับ บริเวณใกล้ๆ สถานีคลองบางไผ่ซึ่งเป็นสถานีต้นทางจะมีที่จอดรถไว้สำหรับผู้ที่ใช้บริการรถไฟฟ้า MRT เรียกว่า "อาคารจอดแล้วจร" จะอยู่ตรงทางขึ้นสะพานกลับรถ แล้วมีทางแยกออกเพื่อเข้าอาคาร หน้าตาของอาคารจอดแล้วจร อยู่ใกล้กับสถานีคลองบางไผ่ หรือใครสะดวกจอดไว้ที่เซ็นทรัล เวสต์เกต ก็ได้นะครับ แล้วขึ้น MRT สถานีตลาดบางใหญ่ แต่รู้สึกว่าทางเซ็นทรัล จะเริ่มเก็บค่าที่จอดรถกันแล้ว ยังไงลองเช็คกันดูอีกทีนะครับ บรรยากาศบนสถานีรถไฟฟ้ายังมีผู้ใช้บริการค่อนข้างบางตาอยู่นะครับ เลือกที่นั่งได้สบาย ไม่ได้แย่งกับใคร ฮ่าๆ The City โครงการ The City บางใหญ่ ถูกออกแบบมาภายใต้คอนเซปต์ “Modern Art Deco” ผสมผสานความสวยงามของงานออกแบบให้สอดคล้องกับธรรมชาติไว้ได้อย่างลงตัว เพื่อให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่มักจะเลือกสรรแต่สิ่งที่ดีที่สุด ทางโครงการใส่ใจในทุกรายละเอียดตั้งแต่การตกแต่งหน้าทางเข้าให้สวยงามอลังการ ด้วยวงเวียนต้นไม้ขนาดใหญ่ซึ่งช่วยโอบล้อมทางเข้าหมู่บ้านให้ร่มรื่นน่าอยู่ ด้านหน้าทางเข้ามีระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ทั้ง CCTV และ รปภ. ประตูหลักเป็นระบบ Security Gate ผ่านเข้าออกด้วยระบบเดียวกับ Easy Pass ที่สามารถผ่านเข้าออกได้สะดวกโดยไม่ต้องจอดรถแตะบัตรให้เสียเวลา ประตูทางเข้าหลักของโครงการ Security Gate ผ่านเข้าออกด้วยระบบเดียวกับ Easy Pass ภายในโครงการร่มรื่นด้วยต้นไม้มากมาย ในพื้นที่ส่วนกลางจัดเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ พร้อมด้วย Club House หลักที่ลูกบ้านทั้งหมด 133 หลังจะได้ใช้พื้นที่ส่วนกลางร่วมกันได้อย่างเต็มที่ ภายใน Club House เพียบพร้อมไปด้วย สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือขนาดใหญ่ ที่ถูกออกแบบมาสวยงามเหมือนได้มาพักผ่อนในรีสอร์ท พร้อมกับแยกสระเด็กไว้ให้เรียบร้อย ในขณะที่ด้านบนมีทั้ง Social Room และห้อง Fitness พร้อมอุปกรณ์ครบครันและวิวสนามหญ้าที่สวยงาม ซึ่งสิ่งต่างๆ ที่ทางโครงการจัดไว้ให้อย่างเต็มที่และใส่ใจในทุกรายละเอียดขนาดนี้ก็เพื่อความเป็นอยู่ที่สมบูรณ์แบบที่สุดของลูกบ้านทุกหลัง ถนน Main ของโครงการจะกว้าง ประมาณ 16 เมตร ส่วนถนนซอยจะกว้างประมาณ 9 เมตร Kathaleeya Kathaleeya เป็นบ้านตัวอย่างหลังใหญ่ ที่เป็นเหมือนตัวอย่างแรกที่เราจะได้สัมผัสกับคำว่า Elegant Living ภายในพื้นที่ใช้สอยขนาด 185.92 ตร.ม. แบ่งออกเป็น 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ บนที่ดินมากกว่า 52 ตร.ว บริเวณหน้าบ้านกว้างสามารถจอดรถได้ 2 คัน แบบบ้าน Kathaleeya ตรงนี้จะเป็นที่จอดรถสามารถจอดได้ 2 คัน บริเวณที่จอดรถจะมีประตูทางเข้าให้อีก 1 จุด ภาพนี้จะเป็นแบบบ้าน Vanda ที่เป็นตัวบ้านมาตรฐาน รั้วบานจะเป็นแบบนี้ทั้ง 2 Type เลยนะครับ ภายในตัวบ้านตกแต่งไว้อย่างเรียบหรู สะท้อนให้เห็นถึงการออกแบบในสไตล์ Modern ในขณะที่ก็ยังสอดแทรกรายละเอียดของดีไซน์ต่างๆ ไว้ทั่วบ้าน ชั้นล่างมี Living Area กว้างขวาง ซึ่งมีพื้นที่นั่งเล่นเชื่อมต่อกับ Dining Area หน้าครัวได้อย่างกลมกลืน ตัวบ้านมีหน้าต่างและประตูกระจกบานใหญ่ช่วยเปิดรับแสงธรรมชาติและวิวสวนสวยจากภายนอกได้อย่างเต็มที่ บริเวณครัวตกแต่งใหม่ ใช้กระจกใสบานใหญ่แทนผนังทึบตามแบบบ้านมาตรฐาน ทำให้บรรยากาศในครัวดูโปร่งสบายตากว่าเดิม ซึ่งแน่นอนว่าถ้าอยากได้ครัวสวยแบบนี้บ้างก็ต้องตกแต่งเพิ่มเติมกันไป แต่ถ้าไม่ซีเรียสมากก็จะได้ครัวปิดตามแบบบ้านมาตรฐาน ที่ก็ดูเป็นสัดส่วนเรียบร้อยไปอีกแบบ นอกจากนี้บริเวณชั้นล่างยังมี 1 ห้องนอนเล็ก ที่สามารถดัดแปลงใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็นห้องทำงานเหมือนในบ้านตัวอย่าง หรือจะยังคงใช้เป็นห้องนอนสำหรับสมาชิกอาวุโสของบ้านก็ถือว่าสะดวกดีทีเดียว ประตูทางเข้าหลักของตัวบ้านจะเป็นประตูกระจกบ้านเลื่อน 2 ตอน ยกพื้นขึ้นมา 1 สเตป โครงการจะใช้บานเลื่อนของ Windsor เปิดประตูเข้ามาด้านในแล้วจะเป็นส่วน Living Area อยู่ด้านหน้าเลยนะครับ พื้นที่บริเวณ Living Area ถือว่ากว้างขวางพอสมควร ด้านที่วางโซฟาโครงการวางโซฟา 2 ที่นั่งมาให้ดูเป็นตัวอย่าง แต่ดูจากพื้นที่แล้วสามารถวางโซฟา 3-4 ที่นั่ง ได้สบายๆ ด้านชั้นวางทีวีโครงการ Built-in แบบเต็มพื้นที่มาให้ดู เลยจาก Living Area เข้ามาด้านในจะเป็นส่วน Dining Area โครงการวางโต๊ะทานอาหารขนาดใหญ่ 6 ที่นั่ง พื้นที่บริเวณ Dining Area กว้างขวางพอสมควรเลยนะครับ สามารถเลือกวางโต๊ะทานอาหารใหญ่ๆ ได้ตามใจชอบเลยครับ ติดกับส่วน Dining Area จะมีระเบียงออกไปที่สวนข้างบ้าน เป็นประตูบานเลื่อน 2 ตอน บานใหญ่ ออกมาบริเวณสวนข้างบ้านโครงการตกแต่งเป็นพื้นที่สำหรับนั่งเล่นเล็กๆ ไว้ข้างบ้าน กลับเข้ามาด้านใน อีกฝั่งของโต๊ะทานอาหารจะเป็นห้องครัว บริเวณห้องครัวโครงการตกแต่งใหม่โดยใช้กระจกใสแทนผนังทึบเหมือนในบ้านแบบมาตรฐาน จึงทำให้โปร่ง ส่วนบ้านจริงที่ได้จะเป็นผนังทึบแบบนี้นะครับ ในครัวโครงการ Built-in ชุดครัวมาให้ดูเป็นตัวอย่าง อย่างครบครัน ส่วนห้องครัวในบ้านจริงโครงการจะก่อเคาน์เตอร์ครัวแบบนี้มาให้นะครับ มีซิงค์ล้างจานมาให้เรียบร้อย อีกด้านก็จะเป็นเคาน์เตอร์โล่งๆ แบบนี้ จากห้องครัวมีประตูออกมาส่วนหลังบ้าน ฝั่งตรงข้ามห้องครัวจะเป็นบันไดขึ้นชั้น 2 มีห้องเก็บของอยู่ใต้บันได เลยจากห้องครัวเข้าไปด้านในจะเป็นห้องนอนเล็กอยู่ที่ชั้น 1 ก่อนจะไปดูที่ห้องนอน เรามาดูห้องน้ำที่อยู่ด้านหน้าห้องนอนกันก่อนนะครับ การจัดวาง Layout ในห้องน้ำ จะวางสุขภัณฑ์เรียงกันยาวเข้าไปด้านใน สุขภัณฑ์ที่ใช้จะเป็นของ American Standard อ่างล้างหน้าทรงสี่เหลี่ยม มาพร้อมกับกระจกเงาบานใหญ่ มีเคาน์เตอร์วางของเล็กๆ อยู่ด้วย โถสุขภัณฑ์จะวางอยู่ติดกับอ่างล้างหน้า ด้านในสุดจะเป็นพื้นที่เปียกสำหรับอาบน้ำ ไม่มีฉากกั้นให้นะครับ มาต่อกันที่ห้องนอน โครงการวางเตียงขนาด 3.5 ฟุต ไว้ให้ดูเป็นตัวอย่าง หน้าต่างในห้องนอนจะเป็นบานเลื่อน 2 ตอน ข้างเตียงอีกด้าน Built-in เป็นตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเครื่องแป้ง ด้านปลายเตียงมีพื้นที่เหลือนิดหน่อยให้วางชั้นวางทีวี แต่ใช้ทีวีแบบแขวนผนังจะช่วยให้มีพื้นที่เหลือมากกว่าครับ   ขณะเดียวกันพื้นที่ใช้สอยบริเวณชั้น 2 ก็จัดสรรแบ่งเป็น 3 ห้องนอน และยังได้ Common Area สำหรับจัดเป็นมุมนั่งเล่น สังสรรค์เพื่อสมาชิกของครอบครัวได้ทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน Master Bedroom มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง ติดกับระเบียงใหญ่ที่เปิดออกไปรับวิวได้เต็มตา ส่วนพื้นที่ภายในก็จัดการตกแต่งไว้อย่างเป็นสัดส่วนพร้อมลงรายละเอียดในดีไซน์เพิ่มความหรูหราสะดุดตา ทั้งบริเวณหัวเตียงสวยหรู และ Walk-in Closet บริเวณหน้าห้องน้ำที่ตกแต่งมาได้อย่างลงตัว เช่นเดียวกับห้องนอนเล็กอีก 2 ห้อง ที่ตกแต่งไว้ตามประโยชน์ใช้สอย ทั้งห้องนอนหวานแหววของลูกสาวตัวน้อย และห้องทำงานเข้มขรึมของคุณพ่อ ที่พร้อมจะจัดสรรใหม่ได้ตลอดเวลาเพื่อสมาชิกที่อาจเพิ่มขึ้นในอนาคต ขึ้นมาที่ชั้น 2 ก็จะเจอ Common Area ที่โครงการจัดไว้เป็นมุมนั่งเล่นๆ เล็กๆ น่ารักๆ พื้นที่ของ Common Area สามารถวางชั้นวางทีวีเล็กๆ และเก้าอี้อาร์มแชร์ หรือโซฟาเล็กๆ ได้อยู่นะครับ จาก Common Area เราไปดูห้อง Master Bedroom ที่อยู่ทางขวามือกันก่อนเลย ห้อง Master Bedroom จะได้พื้นที่ค่อนข้างใหญ่เลยนะครับ โครงการวางเตียง King Size ไว้ให้ดูเป็นตัวอย่าง ปลายเตียงยังมีที่เหลือพอให้วางชั้นวางทีวีหรือจะใช้ทีวีแบบแขวนผนัง ก็จะได้พื้นที่เพิ่มขึ้นอีก ในห้องนอน Master จะมีระเบียงให้ด้วยนะครับ ประตูระเบียงจะเป็นบานเลื่อน 2 ตอน พื้นที่ระเบียงกว้างประมาณ 1 เมตร มุมมองจากระเบียงเข้าไปในห้องนอน ข้ามมาอีกด้านโครงการตกแต่งเป็นตู้เสื้อผ้าแบบ Walk-in Closet ตั้งอยู่หน้าทางเข้าห้องน้ำ เข้าไปดูในห้องน้ำกันต่อเลยดีกว่าครับ การจัดวาง Layout และสุขภัณฑ์ในห้องน้ำจะคล้ายๆ กับห้องน้ำที่ชั้น 1 เลยนะครับ แต่งต่างกันที่การตกแต่ง และขนาดของห้องนี้จะใหญ่กว่าอยู่สักหน่อย อ่างล้างหน้าทรงสี่เหลี่ยมของ American Standard พร้อมกระจกเงาบานใหญ่และเคาน์เตอร์วางของ โถสุขภัณฑ์วางอยู่ข้างๆ ใครมาซื้อช่วงโปรโมชั่น จะได้โถสุขภัณฑ์อัจฉริยะแบบนี้นะครับ ด้านในสุดจะเป็นส่วนเปียก ชุดฝักบัว จากห้อง Master Bedroom เราเดินข้ามมาอีกด้านจะเป็นห้องนอนเล็กอีก 2 ห้อง ห้องแรกอยู่ด้านซ้ายมือโครงการตกแต่งด้านโทนสีชมพูหวานแหวว วางเตียง 3 ฟุตไว้กลางห้อง พร้อมโต๊ะข้างเตียงอยู่ทั้ง 2 ด้าน ห้องนี้จะไม่มีระเบียงนะครับ แต่จะได้หน้าต่างบานเลื่อน บานใหญ่เลย ปลายเตียงเหลือพื้นที่ค่อนข้างเยอะให้วางตู้เสื้อผ้าหรือโซฟาเล็กๆ ฝั่งตรงข้ามจะเป็นห้องน้ำอีก 1 ห้อง การจัดวาง Layout จะเหมือนกับ 2 ห้องแรกที่เราดูมาแล้ว อ่างล้างหน้าทรงสี่เหลี่ยม พร้อมกระจกเงาบานใหญ่ โถสุขภัณฑ์วางอยู่ติดๆ กัน พื้นที่เปียกอยู่ด้านในสุด มาถึงห้องสุดท้ายจะอยู่ด้านในสุด โครงการตกแต่งเป็นห้องทำงานเล็กๆ หน้าต่างในห้องจะเป็นบานเลื่อน 2 ตอน     Click to play สำหรับแบบบ้านของโครงการ The City บางใหญ่ ยังมีให้เลือกอีกแบบ ซึ่งมีขนาดพื้นที่ใช้สอยย่อมลงมาอีกหน่อยในแบบบ้านที่ชื่อว่า Vanda แต่โดยภาพรวมของฟังก์ชั่นการใช้งานภายในบ้านมีความคล้ายคลึงกัน เพราะมี 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำเช่นเดียวกัน บ้านทั้งหมดทางโครงการขายมาให้เป็นแบบบ้านมาตรฐาน ติด Wallpaper ให้ทั้งหลัง พร้อมด้วยเคาน์เตอร์ครัว Top ด้วยหินสังเคราะห์สีดำสวยงาม รวมถึงวัสดุ สุขภัณฑ์ก็จัดมาได้มาตรฐานทุกชิ้น.... เชื่อเถอะว่า บ้านดีๆ ซักหลังที่สามารถตอบโจทย์ทุกรายละเอียดของการอยู่อาศัยแบบที่ The City บางใหญ่ ไม่ได้หากันได้ง่ายๆ ถ้าอยากรู้ต้องมาสัมผัสเอง ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของชีวิตประจำวันที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพได้ที่ The City บางใหญ่ ในราคาเริ่มต้นที่ 4.99 ล้าน กับบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ดีไซน์หรูที่สุดในย่านบางใหญ่.... สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือลงทะเบียนรับส่วนลดได้ที่ www.apthai.com
Baranee Park ร่มเกล้า : รีวิวบ้าน

Baranee Park ร่มเกล้า : รีวิวบ้าน

Review Your Living ฉบับนี้ เราจะพาไปชมโครงการ Baranee Park ร่มเกล้า บ้านเดี่ยวดีไซน์ใหม่จาก บริษัท มานะพัฒนาการ จำกัด ที่ต้องการนำเสนอสัมผัสใหม่ของ “บ้านเงาไม้” จนมาเป็นคอนเซปต์ใหม่แห่งการอยู่อาศัยสไตล์ Courtyard ที่ผสานความร่มรื่นจากพรรณไม้หลากหลายชนิด แค่เกริ่นถึงคอนเซปต์ของโครงการก็มีความน่าสนใจแล้วใช่มั้ยครับ เดี๋ยวเราพาไปชมบรรยากาศโครงการและภายในบ้านตัวอย่าง ว่าจะมีรายละเอียดที่น่าสนใจแค่ไหน ตัวโครงการ Baranee Park ร่มเกล้า ตั้งอยู่ริมถนนร่มเกล้าใกล้แยกเจ้าคุณทหาร ช่วงระหว่างซอยร่มเกล้า 36 และ 38 การเดินทางสะดวกสบายด้วยถนนร่มเกล้า, ถนนมอเตอร์เวย์ กรุงเทพ-ชลบุรี, ถนนกรุงเทพกรีฑา, ถนนเจ้าคุณทหาร, ถนนอ่อนนุช และถนนสุขาภิบาล 3 รวมถึงมีรถไฟฟ้า Airport Link สถานีลาดกระบังอยู่ห่างออกไปไม่ไกล และยังเป็นจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตลิ่งชัน-มีนบุรี) และสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) ในอนาคตอีกด้วย แผนที่ของโครงการ แผนที่การเดินทางรอบๆ โครงการ การเดินทางวันนี้เราเริ่มต้นบนทางด่วนศรีรัชฝั่งขาออก ขับยาวเลยพระราม 9 ไปจนถึงมอเตอร์เวย์ กรุงเทพ-ชลบุรี สายใหม่ ตามป้ายเลยนะครับ เราขับตามถนนมอเตอร์เวย์ไปเรื่อยๆ มุ่งหน้าตามป้ายสุวรรณภูมิไปเรื่อยๆ เลยครับ ขับมาเรื่อยๆ จนเจอป้ายทางออกถนนร่มเกล้า ซึ่งจะออกทางเดียวกันกับสนามบินสุวรรณภูมิ ชิดซ้ายเตรียมออกได้เลยครับ ออกมาแล้วให้ชิดไว้อีกทีนะครับ เราต้องไปทางซ้ายเพื่อไปทางถนนร่มเกล้า ส่วนทางขวาจะไปสนามบินสุวรรณภูมิและถนนกิ่งแก้ว จากนั้นเลี้ยวขวาไปทางถนนร่มเกล้า เลี้ยวขวาแล้วก็ตรงไปอีกนิดนึงครับ พอเจอสามแยกให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนร่มเกล้า พอเข้าถนนร่มเกล้าแล้วก็สบายแล้วครับ ขับตรงยาวเลย เราตรงตามถนนร่มเกล้ามาเรื่อยๆ จนเจอสี่แยกตัดกับถนนเจ้าคุณทหาร เราตรงผ่านแยกไปแล้วชิดซ้ายไว้เลยนะครับ เพราะใกล้ถึงโครงการแล้ว จากสี่แยกมาประมาณ 250 เมตรก็ถึงโครงการแล้วครับ สำนักงานขายจะตั้งอยู่หน้าโครงการด้านขวามือ “บ้านเงาไม้” สัมผัสแรกเมื่อได้เห็นบรรยากาศโครงการจริง คือความร่มรื่นจากต้นไม้นานาชนิดที่ปลูกไว้ทั่วบริเวณ รวมถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในมุมต่างๆ เพื่อให้ลูกบ้านได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ วิวภายในโครงการเป็นสีเขียวจากต้นไม้สบายตา รวมถึงความโปร่งโล่งตาไร้สายไฟฟ้ารบกวน เนื่องจากทางโครงการเลือกนำระบบไฟฟ้าลงใต้ดินทั้งหมด ถนนเมนภายในโครงการกว้างมากสุดถึง 16 เมตร ซึ่งมาพร้อมเกาะกลางที่ปลูกต้นไม้ไว้ตลอดแนว บรรยากาศตั้งแต่หน้าทางเข้าโครงการก็ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ ถนนเมนในโครงการโล่งกว้างไปตลอดแนว บรรยากาศภายในโครงการสะอาดตา เนื่องจากระบบไฟฟ้าฝังลงดินทั้งหมด ถึงไม่มีสายไฟระโยงระยางให้เกะกะตา ในขณะเดียวกัน พื้นที่ส่วนกลางภายในโครงการก็ถูกจัดสรรให้ใกล้ชิดกับธรรมชาติด้วยดีไซน์ที่กลมกลืน ภายใน Club House ของโครงการจะมีทั้งพื้นที่เอาต์ดอร์ให้นั่งพักผ่อนชิลๆ มองเห็นวิวสระว่ายน้ำ และสนามเด็กเล่น พอขึ้นมาที่บริเวณชั้น 2 ของ Club House ก็มีห้องฟิตเนสสุดเริ่ด ซึ่งแยกเป็นห้องสำหรับคาร์ดิโอ และเวทเทรนนิ่ง พร้อมอุปกรณ์เครื่องออกกำลังกายครบครัน เวลาออกกำลังกายไปก็ได้มองเห็นวิวสระว่ายน้ำสวยๆ ด้วยเหมือนกัน แต่ถ้าไม่ชอบวิ่งบนลู่ จะออกไปเดินเล่นสูดอากาศที่สนามหญ้ากว้างข้างๆ Club House แวะนั่งพักใต้ต้นไม้มองดูเด็กๆ วิ่งเล่นก็ได้เช่นกัน ด้านล่างจะเป็นสระว่ายน้ำระบบเกลือ ติดกับสระว่ายน้ำจะมีพื้นที่นั่งเล่น หรือจัดกิจกรรมเล็กๆ ห้องน้ำ ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแยกชายหญิง ภายในห้องอาบน้ำบริเวณ Club House มีพร้อมทั้ง Locker รวมถึงห้อง Steam แยกไว้ทั้งห้องน้ำชาย และห้องน้ำหญิง พื้นที่บริเวณคลับเฮ้าส์มีขนาดประมาณ 1 ไร่ ทั้งส่วนที่เป็น Outdoor มีสนามเด็กเล่น โครงการ Baranee Park ร่มเกล้า มีบ้านเพียง 86 หลังเท่านั้น ดังนั้นจะไม่มีรถเข้าออกให้วุ่นวายมากนัก การันตีเรื่องความเป็นส่วนตัวและความเงียบสงบได้เป็นอย่างดี อีกทั้งโครงการยังมีระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง หน้าโครงการติดตั้งประตูสไลด์อัตโนมัติ เข้า-ออกด้วยคีย์การ์ด พร้อมระบบสัญญาณกันขโมยภายในตัวบ้านทุกหลัง    บ้านสไตล์ Courtyard มาถึงตัวบ้านกันบ้าง ทางโครงการเลือกดีไซน์ให้ภายในบ้านมี Courtyard หลากหลายมุม มองไปทางไหนก็สามารถมองเห็นต้นไม้น้อยใหญ่ในบรรยากาศธรรมชาติได้อย่างเต็มตา ในขณะเดียวกันก็ยังคงความเป็นส่วนตัวไว้ ไม่ได้เปิดโล่งไปเสียทั้งหมด ทำให้ลูกบ้านสามารถทำกิจกรรมครอบครัวได้อย่างสะดวก Fespa เริ่มกันด้วยบ้าน Fespa มีพื้นที่ใช้สอย 190 ตร.ม. มาพร้อมห้องนอน 3 ห้อง, 4 ห้องน้ำ และที่จอดรถ 2 คัน บนที่ดินขนาดเริ่มต้น 55.7 ตร.วา บริเวณรอบบ้านจัดสรรเป็น Courtyard ไว้นั่งเล่นสังสรรค์ได้หลายมุม ซึ่งพื้นที่ของสนามหญ้าในบ้านเชื่อมต่อกับตัวบ้านไว้ได้อย่างลงตัว สามารถเปิดประตูเปิดรับธรรมชาติได้รอบบ้านเลยทีเดียว บรรยากาศหน้าบ้าน Fespa บริเวณที่จอดรถจะปูด้วยคอนกรีตแสตมป์ สามารถจอดรถได้ 2 คัน ประตูทางเข้าสู่ตัวบ้าน ตกแต่งเป็นชานพักสามารถใช้เป็นมุมนั่งเล่นรอคนในบ้านได้ ด้านในบ้านจะมี Courtyard สวยๆ ไว้นั่งเล่น พักผ่อน ชมความร่มรื่นของต้นไม้ มุมนี้ไว้นั่งจิบกาแฟยามเช้าคงจะเข้าท่าดี เข้ามาในบ้านตัวอย่าง จะเห็นว่าทางโครงการจัดตกแต่งไว้ให้มีพื้นที่ใช้สอยครบถ้วน บรรยากาศภายในบ้านอบอุ่นน่าอยู่ มีพื้นที่เก็บของจัดไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย โซนกลางบ้านจัดวางโต๊ะกินข้าว ใกล้ๆ กันมี Pantry ครัวเปิดสำหรับจัดเตรียมอาหารเล็กน้อยๆ แยกจากครัวหลักที่เป็นครัวปิด ถัดเข้าไปด้านในสุดของบ้านเป็นมุมนั่งเล่น ดูทีวี หรือใช้รับแขกก็ได้ ซึ่งพื้นที่ตั้งแต่โต๊ะกินข้าวมา สามารถเปิดประตูกระจกบานใหญ่ออกเพื่อรับแสง รับลม จากภายนอกได้อย่างเต็มที่ เราจึงรู้สึกได้เลยว่าบรรยากาศของบ้านจะโปร่ง โล่ง สบาย และเหมาะสำหรับการพักผ่อน หรือทำกิจกรรมของครอบครัวได้เป็นอย่างดี พอเข้ามาในตัวบ้านแล้วมองตรงไปจะเป็นส่วน Dinig Area และ Living Area จะอยู่ถัดไป ก่อนจะเข้าไปด้านใน เรามาดูห้องครัวที่อยู่ทางขวามือกันก่อนนะครับ ห้องครัวจะอยู่ในส่วนแรกของตัวบ้านเลย ครัวออกแบบให้เป็นครัวปิด ติดตั้งประตูกระจกเพิ่มเพื่อช่วยป้องกันกลิ่นรบกวน จากห้องครัวจะมีประตูออกไปที่ทิ้งขยะได้ ประตูที่อยู่ติดกับห้องครัวคือห้องน้ำเล็ก โซนกลางบ้านจัดวางให้เป็น Dining Area บริเวณนี้มีประตูอีกบ้านที่สามารถเปิดออกไปบริเวณด้านข้างของตัวบ้าน ซึ่งเชื่อมไปถึงที่ทิ้งขยะได้ด้วย พื้นที่ Dining Area กว้างพอจะวางโต๊ะทานอาหารขนาด 6 ที่นั่งได้สบายๆ ทางโครงการตกแต่ง Pantry เล็กๆ สำหรับเตรียมอาหารบริเวณ Dinning Area ไว้ด้วย ตั้งแต่โซนกลางบ้านเข้าไป จะเชื่อมต่อกับ Courtyard ด้านนอก สามารถเปิดประตูออกหากันได้ตลอดเวลา ด้านในสุดเป็น Living Area กว้าง ทางโครงการตกแต่งด้วยโซฟายาวเข้ามุมเพื่อเป็นพื้นที่สำหรับทุกคนในครอบครัว อีกด้านของ Living Area ยังมี Courtyard อีกอัน นอกจากจะทำให้บรรยากาศใน Living Area ดูโปร่งสบายแล้ว ยังช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับตัวบ้านด้วย ขึ้นมาบนชั้น 2 เราจะพบกับ Common Area ซึ่งเป็นอีกโซนที่คนในบ้านจะได้ใช้ร่วมกัน ก่อนจะแยกย้ายเข้าสู่ห้องส่วนตัว แต่ละห้องมีห้องน้ำในตัวเพื่อความสะดวกของสมาชิกทุกคน ในขณะที่ห้องนอนใหญ่จะพิเศษกว่าด้วยพื้นที่ของ Walk-in Closet และอ่างอาบน้ำในห้องน้ำ ซึ่งห้องแต่ละห้องสามารถปรับเปลี่ยนประโยชน์ใช้สอยได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งใช้เป็นห้องทำงาน ห้องหนังสือ หรือห้องอเนกประสงค์อื่นๆ แต่ถ้าหากมีสมาชิกครอบครัวเยอะขึ้น ก็พร้อมที่จะเปลี่ยนเป็นห้องนอนรองรับสมาชิกทุกคนได้เช่นกัน Common Area บนชั้น 2 นี้จัดเป็นมุมนั่งเล่นดูทีวีเล็กๆ ซึ่งจะทำให้ทุกคนในครอบครัวมีกิจกรรมร่วมกันมากยิ่งขึ้น ไปดู Master Bedroom / ห้องนอนใหญ่กันเลยดีกว่า ห้องนอนใหญ่มีพื้นที่กว้างขวางดีทีเดียว ภายในมีหน้าต่างบานใหญ่เปิดรับแสงธรรมชาติได้เป็นอย่างดี จากหน้าต่างของห้องนอนใหญ่ มองลงไปสามารถเห็นบรรยากาศร่มรื่นของ Courtyard ในบ้านได้เต็มตา บริเวณหน้าห้องน้ำกว้างพอจะทำ Walk-in Closet ได้สบายๆ ภายในห้องน้ำมีทั้ง Bath Tub และ Shower Box มาให้เรียบร้อยแล้ว สุขภัณฑ์ทุกอย่างเป็นไปตามที่เห็นในรูปเลย มาดูในห้องนอนเล็กทั้ง 2 ห้องกันบ้าง ห้องแรกตกแต่งในโทนสีเข้มขรึม ภายในมีพื้นที่ใช้สอยขนาดกำลังดี แถมยังมีห้องน้ำในตัวอีกด้วย ห้องนอนเล็กอีกห้องตกแต่งมาคนละสไตล์ แต่พื้นที่ในห้องมีขนาดเท่าๆ กันเลย รวมถึงมีห้องน้ำในตัวด้วยเหมือนกัน Denfe บ้านเดี่ยวที่มาพร้อมพื้นที่ใช้สอย 215 ตร.ม. มีห้องนอน 3 ห้อง, 4 ห้องน้ำ, 1 ห้องอเนกประสงค์ และที่จอดรถได้ 2 คัน บนที่ดินเริ่มต้น 65.8 ตร.วา ตัวบ้านยังคงคอนเซปต์อย่างเหนียวแน่นด้วย Courtyard กว้างบริเวณด้านหน้าตัวบ้าน มีชานพักสำหรับนั่งเล่นโดยรอบ ตามมาด้วย Courtyard ขนาดย่อมในโซนกลางด้านหลัง พื้นที่รอบตัวบ้านจึงถูกโอบล้อมด้วยสวนสีเขียวไว้ทุกด้าน มาถึงแบบบ้าน Denfe กันบ้าง ลานจอดรถหน้าบ้านปูด้วยคอนกรีตแสตมป์ จอดรถได้ 2 คัน บริเวณหน้าประตูทางเข้าหลัก จัดตกแต่งเป็นชานพักนั่งเล่นร่มรื่น ประตูบานสีขาว คือประตูทางเข้าบ้านอีกบานจากทางด้านที่จอดรถ บ้าน Denfe มี Courtyard ขนาดใหญ่บริเวณด้านหน้าของตัวบ้าน บรรยากาศเป็นสีเขียวสบายตามากๆ ในขณะที่พื้นที่โซนกลางบ้านยังออกแบบให้เป็น Courtyard นั่งเล่นร่มๆ แบบส่วนตั๊วส่วนตัวอีกแห่ง ภายในตัวบ้านแบ่งพื้นที่ใช้สอยไว้เป็นสัดส่วน Living Area จัดไว้ในมุมที่สามารถเชื่อมต่อกับ Courtyard ทั้ง 2 ด้าน ในขณะที่อีกด้านของบ้านออกแบบให้มีครัวปิด ห้องน้ำ และห้องเก็บของใต้บันได แล้วใช้พื้นที่ในโซนกลางบ้านวางโต๊ะกินข้าวขนาดใหญ่ เพื่อเชื่อมโยงพื้นที่ใช้สอยต่างๆ ให้สอดคล้องกลมกลืนกันมากขึ้น และด้วยความที่พื้นที่ส่วนใหญ่ของตัวบ้านสามารถเปิดออกสู่ภายนอกได้เกือบทั้งหมด ตัวบ้านจึงโปร่ง สบายตาด้วยสีเขียวจากต้นไม้ใบหญ้า และร่มรื้นจากเงาไม้ใหญ่ เข้ามาในบ้านก็จะเห็น Dining Area ในโซนกลางของบ้านเลย พื้นที่บริเวณนี้เชื่อมต่อกับ Courtyard ได้ทั้ง 2 ด้าน แถมยังกว้างพอที่จะวางโต๊ะกินข้าวขนาด 8-10 ที่นั่งได้สบายๆ เลย จากบริเวณโต๊ะกินข้าว ไม่ว่าจะมองไปมุมไหนก็ได้เห็นต้นไม้เขียวๆ สบายตา เหมือนได้นั่งกินข้าวอยู่กลางสวนตลอดเวลา โซนด้านหนึ่งของตัวบ้าน จัดวางให้เป็น Living Area ตกแต่งด้วยชุดโซฟารับแขกขนาดใหญ่ สามารถรองรับการจัดปาร์ตี้ขนาดย่อมๆ ได้เลยทีเดียว จาก Living Area ยังสามารถมองเห็น Courtyard ของบ้านได้ทั้ง 2 ด้าน บรรยากาศภายในบ้านจึงโปร่งสบายไม่อึดอัด อีกฟากของตัวบ้าน มีห้องน้ำ ห้องครัว และห้องเก็บของใต้บันได ซึ่งถูกจัด Layout ไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ห้องครัวออกแบบมาให้เป็นครัวปิดครับ พื้นที่ใช้สอยในครัวก็กว้างมากพอจะลงครัวหนักๆ ได้เลย ประตูอีกด้านของห้องครัว เปิดออกไปยังพื้นที่ซักล้างบริเวณด้านหลังบ้าน ทางโครงการทำเป็นลานปูกระเบื้อง มีท่อระบายน้ำไว้เรียบร้อย ตรงบันไดทางขึ้นชั้น 2 มีห้องใต้บันไดไว้สำหรับเก็บของใช้ ส่วนประตูอีกบ้านเป็นประตูที่เปิดออกไปสู่ด้านนอกของตัวบ้านครับ บนชั้น 2 ของบ้าน มีห้องนอนทั้งหมด 3 ห้อง ที่แบ่งพื้นที่กันไปคนละมุมจึงได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้น โดยมีพื้นที่ Common Area บริเวณหน้าห้องเป็นเหมือนส่วนเชื่อมโยงสมาชิกทุกคนไว้ด้วยกัน โดยสามารถใช้พื้นที่ตรงนี้นั่งเล่น พักผ่อน ทำกิจกรรมร่วมกันตามที่ต้องการ ซึ่งมุมนั่งเล่นที่ชั้น 2 นี้มีหน้าต่างขนาดใหญ่เปิดรับวิวสวนหน้าบ้านได้อย่างเต็มตา ในขณะที่หน้าต่างอีกด้านก็สามารถมองเห็น Courtyard โซนหลังบ้านด้วยเช่นกัน ห้องนอนทุกห้องมีห้องน้ำในตัว ร่วมถึงพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางและลงตัว โดยเฉพาะห้องนอนใหญ่ ที่กว้างพอจะมี Walk-in Closet ขนาดใหญ่เพื่อเก็บเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวได้จุใจเลยทีเดียว ขึ้นมาดูที่บริเวณชั้น 2 กันครับ แน่นอนว่าส่วนแรกที่เราจะเจอคือ Common Area พื้นที่นั่งเล่นสำหรับทุกคนในครอบครัวก่อนแยกย้ายเข้าห้องนอน ห้องนอนใหญ่มีพื้นที่ใช้สอยมากดีทีเดียวครับ วางเตียงขนาด 6 ฟุตแล้วยังเหลือที่อีกเพียบ จากหน้าต่างห้องนอนใหญ่สามารถมองเห็น Courtyard หน้าบ้านได้เต็มตา พื้นที่บริเวณหน้าห้องน้ำจัดเป็น Walk-in Closet ได้อย่างลงตัว ภายในห้องน้ำกั้นห้องอาบน้ำมาให้เรียบร้อย รวมถึงติดตั้งอ่างอาบน้ำมาอีกเช่นกัน ไปดูในห้องนอนเล็กกันบ้างครับ โดย 2 ห้องนี้มีโถงบันไดกั้นอยู่ตรงกลาง จึงเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับเจ้าของห้องได้มากขึ้น ห้องแรกตกแต่งในสไตล์แมนๆ ด้วยโทนสีเข้มๆ มีมุมสำหรับงานอดิเรก โชว์ของรักของสะสมได้อย่างเต็มที่ ห้องนอนเล็กมีห้องน้ำในตัวเหมือนกันทุกห้อง ห้องนอนเล็กอีกห้องตกแต่งสไตล์สวยหวานเรียบง่าย ดูน่าอยู่ Liwa Liwa เป็นบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่สุดของโครงการ โดยมีพื้นที่ใช้สอยมากถึง 260 ตร.ม. ประกอบด้วย 4 ห้องนอน, 6 ห้องน้ำ, 1 ห้องแม่บ้าน และที่จอดรถ 3 คัน บนที่ดินเริ่มต้น 80 ตร.วา บ้านหลังนี้กว้างขวางสามารถรองรับสมาชิกของครอบครัวได้หลายคนเลยทีเดียว ซึ่งในบ้านตัวอย่างที่เราได้เข้าชมทางโครงการยังดีไซน์ให้มีสระว่ายน้ำเพิ่มเข้าไปด้วย โดยใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งของ Courtyard บริเวณด้านข้างของตัวบ้านทำสระว่ายน้ำไว้พร้อมกับชานพักผ่อนริมสระน้ำ ซึ่งเชื่อมโยงกับพื้นที่โซนกลางบ้านไว้อย่างลงตัว บ้านแบบสุดท้าย คือ Liwa เป็นแบบบ้านที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโครงการ ลานจอดรถกว้างปูด้วยคอนกรีตสแตมป์ สามารถจอดรถได้มากถึง 3 คัน ตามแบบบ้านมาตรฐาน ตัวบ้านจะมี Courtyard ขนาดใหญ่ และมีนั่งเล่นในสวนเกือบรอบตัวบ้าน แต่บ้านตัวอย่างหลังนี้ใช้พื้นทีส่วนหนึ่งของ Courtyard ปรับให้เป็นสระว่ายน้ำแทน เปลี่ยนบรรยากาศจากมุมนั่งเล่นในสวน มาเป็นริมสระว่ายน้ำแทน บ้าน Liwa นี้ จะเพิ่มห้องนอนที่บริเวณชั้นล่างมาอีก 1 ห้อง ซึ่งห้องนี้สามารถปรับแต่งให้ใช้สอยประโยชน์อื่นๆ ได้ตามต้องการ หรือจะใช้เป็นห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุหรือแขกผู้มาเยือนก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้ในบริเวณด้านหลังของตัวบ้านยังมีห้องแม่บ้านอีก 1 ห้องพร้อมห้องน้ำในตัว แยกไว้เป็นสัดส่วน การออกแบบในบ้านตัวอย่างจัดแต่งครัวขนาดใหญ่ มีกระจกบานเลื่อนขนาดใหญ่ที่สามารถเลื่อนปิด เพื่อช่วยป้องกันกลิ่นรบกวนขณะประกอบอาหารได้ด้วย ในขณะที่ห้องนั่งเล่นจัดให้อยู่ด้านเดียวกับสระว่ายน้ำ สามารถเปิดม่านออกไปเห็นวิวสระว่ายน้ำได้เลย เช่นเดียวกับโซนกลางบ้านที่วางโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ไว้ตรงกลาง ทำให้เปิดรับวิวธรรมชาติได้ทั้งสองด้านพร้อมๆ กัน เปิดประตูเข้าบ้านมาจะเจอกับ Dining Area ซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่าง Courtyard ทั้ง 2 ด้านของตัวบ้าน ด้านหนึ่งเป็นสวนเล็กๆ ช่วยเพิ่มความร่มรื่นสบายตา ในขณะที่อีกด้าน ตกแต่งใหม่ให้เป็นมุมนั่งเล่นพักผ่อนริมสระว่ายน้ำ ซึ่งเราสามารถเปิดประตูออกเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยได้ตามต้องการ โซนด้านในสุดออกแบบให้เป็นห้องครัวกึ่งปิด มีประตูกระจกบานเลื่อนขนาดใหญ่ที่สามารถเลื่อนปิดได้ตามการใช้งาน เคาน์เตอร์ครัวมีลักษณะกึ่ง Island ให้ความรู้สึกถึงความเชื่อมโยงถึงกันของพื้นที่การใช้งานในส่วนต่างของบ้าน ประตูด้านหลังห้องครัว สามารถเปิดออกไปสู่ลานซักล้างด้านหลังบ้าน และห้องแม่บ้านที่อยู่ทางด้านหลังด้วย ใกล้ๆ กับห้องครัว มีห้องน้ำเล็กอีก 1 ห้อง Living Area ถูกออกแบบไว้ในโซนด้านในสุดของตัวบ้าน มีหน้าต่างบานใหญ๋เปิดรับแสงธรรมชาติ และเห็นวิวสระว่ายน้ำได้พร้อมๆ กัน ทางโครงการจัดวางชุดโซฟาตัวยาวตลอดแนว เพื่อให้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับทุกคนในครอบครัว ที่บริเวณชั้นล่าง มีห้องนอนเล็กเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งห้อง ซึ่งสามารถปรับแต่งฟังก์ชันการใช้งานได้หลากหลายมาก ตามตัวอย่างที่ทางโครงการจัดไว้ เลือกที่จะแต่งห้องนี้เป็นห้องนั่งเล่นเล็กๆ เผื่อใช้เพื่อการรับแขกส่วนตัว หรือถ้าต้องการก็ยังสามารถใช้เป็นห้องนอนสำหรับสมาชิกในครอบครัวได้ด้วย เพราะภายในมีห้องน้ำส่วนตัวมาพร้อมแล้ว บนบริเวณชั้น 2 มีห้องนอนทั้งหมด 3 ห้อง ซึ่งทุกห้องมีห้องน้ำในตัว โดยห้องนอนหลักจะมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ ทำให้พื้นที่ของ Walk-in Closet บริเวณหน้าห้องน้ำกว้างขวางมาก พื้นที่หน้าห้องนอนชั้น 2 จัดเป็นมุมนั่งเล่นพักผ่อนที่สามารถเปิดรับวิวสวนสวยได้พร้อมกัน 2 ด้านเช่นเดียวกับแบบบ้านก่อนหน้า ซึ่งทางโครงการพยายามจัดสรรให้ทุกพื้นที่สามารถใช้สอยได้อย่างคุ้มค่าที่สุด Common Area บริเวณชั้น 2 มีพื้นที่กว้างมากๆ แถมยังโปร่งโล่งสบายตา เนื่องจากมีหน้าต่างบานใหญ่เปิดรับแสง รับลม และวิว Courtyard ได้ทั้ง 2 ทาง เชื่อว่ามุมนี้น่าจะเป็นโปรดของทุกคนในบ้าน ไม่ว่าจะใช้นั่งเล่นอ่านหนังสือ เล่นเกม หรือทำกิจกรรมอื่นๆ ร่วมกันได้อีกหลายรูปแบบ มาดูในห้องนอนใหญ่กันครับ ภายในกว้างขวาง มีหน้าต่างบานใหญ่ และช่องรับแสงได้หลายทาง พื้นที่ใช้สอยภายในห้องมีมากพอที่จะจัดตกแต่งให้ใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้อย่างเต็มที่ พื้นที่ Walk-in Closet ขนาดใหญ่ น่าจะถูกใจสาวๆ แม่บ้าน เพราะสามารถจัดเก็บข้าวของ เสื้อผ้าได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ภายในห้องน้ำ จัดวางห้องอาบน้ำ และอ่างอาบน้ำไว้คนละด้าน รวมถึงมุมทำธุระส่วนตัวก็จัดที่ทางไว้อย่างลงตัว มาดูห้องนอนเล็กห้องแรกกันบ้าง แน่นอนว่าพื้นที่ใช้สอยภายในห้องกว้างขวางเหลือเฟือขนาดวางเตียงและโซฟาเบดไว้คู่กันแล้วยังเหลือพื้นที่สบายๆ ภายในห้องมีห้องน้ำในตัว และเพิ่มพื้นที่เก็บของให้มากขึ้นด้วยการ Built-in ชั้นเก็บของมาเต็มพื้นที่ผนังเลยทีเดียว ในขณะที่ห้องนอนเล็กห้องที่ 2 จัดตกแต่งในสไตล์ที่แตกต่าง และดูเรียบง่ายมากกว่า ภายในห้องมีหน้าต่างทั้ง 2 มุม เปิดรับแสงธรรมชาติ และวิวสวนในบ้านได้เป็นอย่างดี พื้นที่ภายในห้องกว้างมากพอที่จะออกแบบให้มี Walk-in Closet เป็นสัดส่วนในบริเวณทางเดินไปยังห้องน้ำภายในห้อง หลังจากได้เยี่ยมชมบ้านตัวอย่างครบทั้ง 3 แบบแล้ว ต้องยอมรับว่าเราแอบหลงใหลกับบ้านสไตล์ Courtyard เข้าให้แล้วเหมือนกัน บ้านทุกหลังออกแบบมาเพื่อการพักผ่อนหลังจากเหน็ดเหนื่อยกับความวุ่นวายภายนอกมาทั้งวัน ซึ่งทางโครงการ Baranee Park ร่มเกล้า สามารถสอดแทรกพื้นที่สีเขียวอันร่มรื่นไว้ทุกซอกทุกมุมจริงๆ สมกับคำว่า “บ้านเงาไม้” ทางโครงการมีแบบบ้านให้เลือกทั้งบ้านมาตรฐาน และบ้านตกแต่งพร้อมอยู่ตามอย่างในบ้านตัวอย่างเลยนะครับ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสอบถามโปรโมชั่นได้ที่ : http://www.manapat.co.th/tha/projects/baranee-park-romklao ***พิเศษกับโปรโมชั่นล่าสุด (แนบโปรโมชั่นต่อท้าย // สามารถเปลี่ยนแปลงได้) Fespa - แอร์ห้องนอน Master ขนาด 14,300 BTU 1 เครื่อง แอร์ห้องนอน 2 ขนาด 12,300 BTU 1 เครื่อง แอร์ห้องนอน 3 ขนาด 12,300 BTU 1 เครื่อง ปูหญ้าจัดสวน 1 รายการ Shower ทุกห้องน้ำ 3 ชุด สัญญาณกันขโมย 1 ชุด ชุดครัว (เตา+เครื่องดูดควัน) 1 ชุด ประตูบานพับอัตโนมัติ พื้นลานจอดรถสแตมป์คอนกรีต Denfe - แอร์ห้องนอน Master ขนาด 14,300 BTU 1 เครื่อง แอร์ห้องนอน 2 ขนาด 12,300 BTU 1 เครื่อง แอร์ห้องนอน 3 ขนาด 12,300 BTU 1 เครื่อง ปูหญ้าจัดสวน 1 รายการ Shower ทุกห้องน้ำ 3 ชุด สัญญาณกันขโมย 1 ชุด ชุดครัว (เตา+เครื่องดูดควัน) 1 ชุด ประตูบานพับอัตโนมัติ พื้นลานจอดรถสแตมป์คอนกรีต Liwa - แอร์ห้องนอน Master ขนาด 22,500 BTU 1 เครื่อง แอร์ห้องนอน 2 ขนาด 12,300 BTU 1 เครื่อง แอร์ห้องนอน 3 ขนาด 12,300 BTU 1 เครื่อง แอร์ห้องนอน 4 ขนาด 12,300 BTU 1 เครื่อง ปูหญ้าจัดสวน 1 รายการ Shower ทุกห้องน้ำ 4 ชุด สัญญาณกันขโมย 1 ชุด ชุดครัว (เตา+เครื่องดูดควัน) 1 ชุด ประตูบานพับอัตโนมัติ พื้นลานจอดรถสแตมป์คอนกรีต
Baranee Residence รังสิต-คลอง 3 : รีวิวบ้าน

Baranee Residence รังสิต-คลอง 3 : รีวิวบ้าน

ต้องยอมรับกันว่าปัจจุบันการจะหาบ้านเดี่ยวดีๆ ซักหลังเพื่อทุกคนในครอบครัวนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ใครๆ ก็อยากได้คุณภาพชีวิตที่ดี อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี มีสังคมเพื่อนบ้านที่เอื้ออำนวยต่อความเป็นอยู่ที่สงบสุข รวมไปถึงมีพื้นที่ใช้สอยที่เพียงพอต่อทุกกิจกรรมของคนในครอบครัวกันแทบทั้งนั้น แถมยังต้องพิจารณาให้อในราคาที่เอื้อมถึงก็จัดว่าเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญไม่น้อยเลย Review Your Living ฉบับนี้จะพาไปเจาะลึก ทำความรู้จักกับโครงการบ้านเดี่ยว “Baranee Residence” บ้านคุณภาพในย่านรังสิต ที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนที่มีครอบครัวได้อย่างแท้จริงกันแบบละเอียดยิบ ใครที่กำลังมีแผนจะซื้อบ้านเดี่ยว รีบตามมาดูกันเลย “Baranee Residence” ยึดทำเลในรังสิตคลอง 3 เป็นที่ตั้งโครงการ ซึ่งสามารถเข้าออกได้ทั้งทางฝั่งรังสิต และคลองหลวง รวมถึงเส้นทางหลักอย่างถนนพหลโยธิน ถนนกาญจนาภิเษกฝั่งตะวันออก และทางด่วนอุดรรัถยา (สายบางประอิน-ปากเกร็ด) ก็ทำให้การเดินทางเข้าออกเมืองมีทางเลือกหลายทาง สามารถหาทางเลี่ยงปัญหาการจราจรติดขัดได้อีกด้วย แผนที่ของโครงการ แผนที่การเดินทางรอบๆ โครงการ การเดินทางวันนี้เราใช้ถนนวิภาวดีรังสิต เริ่มจากบริเวณสนามบินดอนเมืองกันเลยนะครับ เราขับตามถนนวิภาวดีรังสิตมาเรื่อยๆ จนเข้าสู่ถนนพหลโยธิน ฝั่งขวามือจะเห็นเซียร์ รังสิต สังเกตป้ายนครนายกแล้วขับตามไปเรื่อยๆ เลยครับ เบี่ยงออกซ้ายเพื่อไปทางนครนายก ตามป้าย ขึ้นสะพานข้ามคลองไปเลยครับ ฝั่งขวามือจะเป็นเมเจอร์ รังสิต แสดงว่าใกล้ถึงทางโค้งไปทางนครนายกแล้วครับ เบี่ยงซ้ายตามป้าย เพื่อขึ้นสะพานไปเข้าถนนรังสิต-นครนายก โค้งซ้ายขึ้นสะพานไปเลยครับ ขึ้นสะพานวนข้ามถนนพหลโยธินมาแล้วเราจะเข้าสู่ถนนรังสิตนครนายก ฝั่งซ้ายมือจะเป็นฟิวเจอร์ พาร์ค รังสิตและ Zpell ส่วนฝั่งขวามือจะเป็นเมเจอร์ รังสิต จากนั้นตรงไปตามถนนรังสิต-นครนายกเรื่อยๆ เลยครับ จาก Zpell เราขับตรงไปตามถนนรังสิต-นครนายกอีกประมาณ 4.7 กม. ก็จะถึงทางเลี้ยวซ้ายเข้าถนนเลียบคลองสาม ตรงนี้ต้องสังเกตดีๆ นะครับ ไม่งั้นอาจจะเลยได้ ปากซอยทางเข้าคลองสาม มีอเวนิวเปิดใหม่ชื่อ ธาราอเวนิว ด้านในมีร้านอาหาร ร้านค้า ต่างอยู่ อยู่หลายร้านทีเดียวครับ จากนั้นเราขับตามถนนเลียบคลองสามต่อไปเรื่อยๆ เลยครับ ถนนเพิ่มเป็น 4 เลนแล้ว ขับสบายขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะเลยครับ ตรงเข้ามาเรื่อยๆ จะเจอบิ๊กซี คลองสาม อยู่ทางซ้ายมือ เวลาจะซื้อของเข้าบ้านตรงนี้ช่วยได้เยอะเลยครับ ไม่ต้องขับรถออกไปไกล เลยจากบิ๊กซีมาไม่ไกลก็ถึงโครงการแล้วครับ ถ้านับจากปากซอยคลองสามเข้ามาถึงโครงการก็ประมาณ 7 กิโลเมตร พื้นที่ในย่านรังสิตคลอง 3 เป็นย่านที่มีความเป็นชุมชนสูง ตลอดเส้นทางในถนนคลอง 3 มีพร้อมทุกอย่าง ทั้งร้านค้านานาชนิด ร้านอาหาร ร้านขายยา คลินิค ตลาดสด ซุปเปอร์มาร์เก็ต และโรงเรียน ในขณะเดียวกันทางด้านถนนคลองหลวงก็มีห้องโลตัส แมคโคร ห่างออกไปอีกหน่อยก็มี ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต และ Zpell ซึ่งเป็นแหล่งช็อปปิ้งที่สำคัญของคนในย่านนี้ “Quality Meets Life” เริ่มต้นจากทางเข้าโครงการที่ตกแต่งอย่างหรูหรา มีป้ายชื่อโครงการขนาดใหญ่ รวมถึงวงเวียนน้ำพุอลังการสังเกตุเห็นได้ง่าย เรื่องความปลอดภัยก็อุ่นใจได้ด้วยระบบ Key Card, กล้องวงจรปิดบันทึกภาพบริเวณทางเข้า-ออก และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำการภายในหมู่บ้านตลอด 24 ชั่วโมง ด้านหน้าทางเข้าโครงการหรูหราอลังการ เข้าออกด้วยระบบ Key Card และมีระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง โครงการ Baranee Residence รังสิตคลอง 3 มีบ้านทั้งหมด 140 หลังด้วยกัน ทุกหลังตั้งอยู่บนถนนหลักที่กว้างมากสุดถึง 16 เมตร โดยมีเกาะกลางช่วยเพิ่มความร่มรื่นให้เกือบตลอดแนว บรรยากาศโดยรวมภายในโครงการมีความร่มรื่นจากต้นไม้น้อยใหญ่ ซึ่งทางโครงการจัดสวนสวยไว้รอบโครงการ รวมถึงสวนในบ้านด้วย เพื่อให้ทุกคนในครอบครัวได้มีพื้นที่ทำกิจกรรมร่วมกัน ถนนเมนในโครงการกว้าง 16 เมตร พร้อมเกาะกลางร่มรื่น ถนนบางช่วงกว้าง 12-14 เมตร จึงไม่มีเกาะกลางขั้นกลาง บรรยากาศภายในโครงการร่มรื่นมาก เมื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของทุกคนในครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ พื้นที่ (Space) จึงถูกจัดสรรเพื่อตอบทุกความต้องการของไลฟ์สไตล์ที่ต่างกัน ลูกบ้านสามารถทำกิจกรรมที่หลากหลายในบริเวณ Club House ซึ่งประกอบไปด้วยสระว่ายน้ำขนาดมาตรฐาน ห้องฟิตเนสพร้อมอุปกรณ์สำหรับออกกำลังกายครบครัน รวมไปถึงสวนสาธารณะขนาดกว้างที่มีพื้นที่ให้เดินเล่น วิ่งออกกำลังกาย และกิจกรรมอื่นๆ ของเด็กๆ Earl Grey Earl Grey บ้านเดี่ยว 2 ชั้นที่มีพื้นที่ใช้สอยมากถึง 220 ตร.ม. ประกอบไปด้วย 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ตัวบ้านยกสูงจากถนน 90 เซนติเมตร ออกแบบให้มีชานนั่งเล่นหน้าบ้าน และสวนรอบบ้านเลยทีเดียว ลานหน้าบ้านสามารถจอดรถได้ 2 คัน ประตูทางเข้าบ้านมี Digital Door Lock เพิ่มความอุ่นใจและสะดวกสบายให้กับทุกคนในครอบครัว ลานจอดรถหน้าบ้าน ปูด้วยคอนกรีตสแตมป์ ยกสูงจากถนนอีก 15 ซม. พื้นที่จอดรถกว้างขวาง สามารถจอดรถได้ 2 คัน บันไดขึ้นสู่ตัวบ้านยกขึ้นมาอีก 3 ขั้น รวมๆ แล้วตัวบ้านจะสูงกว่าถนนหลักถึง 90 ซม. เลยทีเดียว บ้านทุกหลังมี Digital Door Lock ติดตั้งมาให้แล้ว พื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน ทางโครงการจัดสรรมาให้เป็นอย่างดี โดยในบ้านตัวอย่างได้ตกแต่งไว้ครบทุกฟังก์ชั่นการใช้งาน ทั้งห้องนั่งเล่นชั้นล่างและมุมรับประทานอาหาร ที่เชื่อมต่อถึงกันกับชานนั่งเล่นหน้าบ้านได้อย่างลงตัว เพียงแค่เปิดประตูกระจกด้านหน้าออกก็สามารถเพิ่มพื้นที่ในการจัดกิจกรรมร่วมกันได้แล้ว ทางด้านชานหน้าบ้านติดกับโรงรถ ก็ยกสูงขึ้นมาเท่ากับตัวบ้าน บริเวณนี้มีพื้นที่กว้างพอที่จะจัดเป็นมุมนั่งเล่นพักผ่อนในบรรยากาศติดสวน ก้าวเข้ามาในบ้านจะเจอกับ Living Area ก่อน พื้นที่ใช้สอยโปร่งโล่งไม่อึดอัด ประตูกระจกบานใหญ่ ช่วยให้ตัวบ้านเปิดรับแสงธรรมชาติได้เป็นอย่างดี พื้นที่ของห้องรับแขก เชื่อมต่อกับห้องกินข้าวซึ่งอยู่ติดกับประตูกระจกด้านข้างตัวบ้าน บริเวณชั้นล่างมีห้องนอนเล็กอีกหนึ่งห้องด้วยนะครับ ห้องครัวเป็นกึ่งครัวปิด มีห้องเก็บของบริเวณใต้บันไดช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บของให้เป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น บริเวณด้านหลังบ้านมีลานซักล้าง และพื้นที่สำหรับวางเครื่องซักผ้า ซึ่งทางโครงการก็จัดเตรียมระบบน้ำและไฟไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ห้องครัวอยู่ถัดเข้าไปด้านในสุดของตัวบ้าน ในห้องครัวมีหน้าต่างช่วยให้การระบายอากาศและกลิ่นได้ดีขึ้น ลานซักล้างด้านหลังมีพื้นที่กว้างขวางพอสมควรเลยทีเดียว ห้องนอนเล็กที่ชั้นล่างมีประตูกระจกบานใหญ่สามารถเปิดออกมาที่ด้านหลังบ้านได้ด้วย มุมนั่งเล่นด้านข้างของตัวบ้าน ใช้ทำกิจกรรม จัดปาร์ตี้ หรือนั่งเล่นพักผ่อนร่วมกับสมาชิกในครอบครัวได้เลย บริเวณชั้นล่างเสริมด้วยห้องนอนเล็ก 1 ห้อง ซึ่งสามารถจัดตกแต่งใช้เป็นห้องทำงาน หรือจะให้เป็นห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุก็สะดวกดีทีเดียว ส่วนห้องน้ำของชั้นหนึ่งจะอยู่ตรงข้ามห้องครัว ทางโครงการตกแต่งห้องนอนเล็กชั้นล่างให้เป็นห้องนั่งเล่น หรือห้องรับแขกส่วนตัว ห้องนอนเล็กนี้ มีประตูกระจกบานใหญ่เปิดออกไปด้านหลังตัวบ้านได้ด้วย ห้องน้ำที่ชั้นล่างอยู่ด้านตรงข้ามกับห้องครัว ขึ้นมาที่บริเวณชั้น 2 จะพบกับพื้นที่นั่งเล่นสำหรับการทำกิจกรรมร่วมกันของคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นนั่งดูทีวี พูดคุยร่วมกัน หรือแม้แต่ใช้เป็นพื้นที่รับแขกคนสนิทแบบส่วนตัวก็ได้เช่นกัน ในขณะที่พื้นที่ของห้องนอนทั้ง 3 ห้องบนชั้น 2 ก็แบ่งพื้นที่กันไว้อย่างลงตัว ทั้งห้องนอนใหญ่ที่กว้างมากพอที่จะมีห้องอาบน้ำและ Walk-in Closet ในตัว ส่วนห้องนอนเล็กอีก 2 ห้องก็จัดไว้ในโซนด้านเดียวกันอย่างเป็นสัดส่วน โดยพื้นที่ทั้งหมดนี้เพียงพอต่อการรองรับสมาชิกของครอบครัวขนาดใหญ่ หรืออาจจัดสรรให้ใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆ ได้อีกถ้าเป็นครอบครัวขนาดเล็ก โถงนั่งเล่นที่บริเวณชั้น 2 ติดกับระเบียงด้านหน้า มีประตูกระจกบานใหญ่ช่วยเปิดรับแสงได้เป็นอย่างดี จากบริเวณนี้สามารถมองลงไปเห็นบริเวณหน้าบ้านได้ชัดเจน ระเบียงกว้างพอที่จะปลูกต้นไม้เล็กๆ ได้บ้าง ไปดูห้องนอนเล็กทั้ง 2 ห้องกันดีกว่า ห้องแรกตกแต่งในโทนสีเข้มเลยทีเดียว พื้นที่ใช้สอยภายในห้องขนาดกะทัดรัดกำลังดี มีพื้นที่เก็บของได้พอสมควร ห้องน้ำด้านหน้าอยู่ระหว่างห้องนอนเล็ก ซึ่งต้องใช้ร่วมกัน ส่วนห้องอีกห้อง ตกแต่งเป็นห้องทำงาน เป็นมุมเวิร์คช็อปได้น่าสนใจดีทีเดียว ส่วนอีกโซนของบ้าน เป็นพื้นที่ของห้องนอนใหญ่ซึ่งมีห้องน้ำในตัวมาพร้อม พื้นที่ในห้องนอนใหญ่กว้างขวาง วางเตียงนอน 6 ฟุตแล้วยังเหลือที่อีกเหลือเฟือ ในห้องวาง Day Bed เข้ามุมไว้ติดริมหน้าต่าง เพิ่มมุมนั่งเล่นพักผ่อน อ่านหนังสือได้อีกมุม พื้นที่หน้าห้องน้ำกว้างพอที่จะจัดเป็น Walk-in Closet ได้ด้วย ในห้องน้ำจัดวางสุขภัณฑ์ไว้ได้อย่างลงตัว Darjeeling ถ้าบ้านแบบแรกยังมีพื้นที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ เรามาดูบ้านหลังใหญ่กันบ้าง บ้าน Darjeeling เป็นบ้านเดี่ยวแบบหน้ากว้าง มีพื้นที่ใช้สอยอยู่ที่ 240 ตร.ม. ส่วนพื้นที่รอบบ้านก็แล้วแต่ขนาดที่ดิน ซึ่งในบ้านตัวอย่างหลังที่เปิดให้เข้าชมเป็นแปลงมุม ทำให้มีชานนั่งเล่นบริเวณด้านข้างของตัวบ้านมากขึ้นอีกพอสมควร โดยทางโครงการจัดการตกแต่งพื้นที่ด้านข้างเป็นมุมนั่งเล่น จัดกิจกรรมปาร์ตี้ร่วมกันได้ ภายในตัวบ้านแบ่งพื้นที่ใช้สอยหลักๆ เป็น 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ บริเวณหน้าบ้านสามารถจอดรถได้ 2 คัน ลานจอดรถปูด้วยคอนกรีตสแตมป์สวยงาม ลานจอดรถรองรับจำนวนรถได้ 2 คัน สวนหน้าบ้านตกแต่งไว้อย่างสวยงาม ช่วยเพิ่มความร่มรื่นสบายตา บ้านตัวอย่างเป็นบ้านหัวมุม จึงมีพื้นที่พอสำหรับทำชานนั่งเล่นด้านข้างตัวบ้าน มุมนี้กว้างพอจะใช้จัดกิจกรรมร่วมกันได้ทั้งครอบครัว พื้นที่ซักล้างที่ด้านหลังตัวบ้านกว้างขวางพอจะวางเครื่องซักผ้าได้สบายๆ ประตูทางเข้าใช้ Digital Door Lock เช่นกัน รวมถึงตัวบ้านก็อยู่สูงจากถนน 90 เซนติเมตร ก็เป็นไปตามมาตรฐานของโครงการ บริเวณห้องรับแขกหรือห้องนั่งเล่นเปิดโล่งรับแสงจากภายนอกได้ดี เช่นเดียวกับพื้นที่ของโต๊ะกินข้าวที่สามารถเปิดออกไปยังบริเวณเฉลียงหน้าบ้านได้อีกเช่นกัน ซื่งพื้นที่บริเวณนี้สามารถเลือกตกแต่งได้ตามไลฟ์สไตล์ของเจ้าบ้านได้เลยว่าอยากให้อะไรอยู่มุมไหนบ้าง ชานพักนั่งเล่นด้านหน้าตัวบ้าน ยกสูงขึ้นมาเท่ากับตัวบ้าน ชานบ้านกว้างขวางมีพื้นที่เชื่อมต่อกับใสนตัวอย่างได้อย่างลงตัว ทางเดินจากลานจอดรถเข้าสู่ตัวบ้าน Living Area แบ่งโซนออกเป็นห้องนั่งเล่น วางชุดโซฟาใหญ่ไว้สำหรับนั่งดูทีวี สังสรรค์กับครอบครัว ประตูกระจกบานใหญ่ช่วยเปิดรับแสงธรรมชาติได้เป็นอย่างดี และทำให้สามารถมองเห็นสวนหน้าบ้านได้อย่างชัดเจน อีกด้านของ Living Area จัดไว้เป็นมุมกินข้าว วางโต๊ะชุดใหญ่ขนาด 6 ที่นั่งได้สบายๆ ในขณะที่ห้องครัวถูกออกแบบมาให้เป็นกึ่งครัวปิด มีหน้าต่างช่วยระบายอากาศได้ดี ถ้าเพียงติดตั้งประตูกระจกเพิ่มก็จะช่วยลดปัญหากลิ่นรบกวนในบ้านระหว่างทำครัวไปได้อีกทาง นอกจากนี้ที่บริเวณชั้นล่างยังมีอีก 1 ห้องนอนเล็กพร้อมห้องน้ำในตัว ที่สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้งานได้ตามความเหมาะสม โดยสามารถตกแต่งให้เป็นได้ทั้งห้องนอน ห้องทำงาน ห้องหนังสือ หรือห้องอเนกประสงค์อื่นๆ ก็ได้เช่นกัน ด้านในของตัวบ้านเป็นพื้นที่ของห้องครัว รวมถึงประตูทางออกไปยังด้านหลังของตัวบ้าน ห้องครัวเป็นแบบกึ่งปิด ไม่ได้มีประตูติดตั้งมาให้ แต่มีหน้าต่างสามารถเปิดออกไปทางชานนั่งเล่นข้างบ้านได้ ไปดูห้องนอนเล็กของชั้นล่างที่อีกด้านของตัวบ้านกันบ้างดีกว่า ทางโครงการตกแต่งให้ห้องนอนเล็กนี้เป็นห้องทำงาน ซึ่งภายในห้องมีห้องน้ำในตัวมาพร้อมแล้ว สามารถปรับประโยชน์ใช้สอยได้ตามใจชอบ ประตูกระจกในบานใหญ่ นอกจากจะช่วยเรื่องเปิดรับแสงแล้ว ยังสามารถเปิดออกไปยังด้านหลังของบ้านได้อีกด้วย ห้องน้ำในห้องพร้อมใช้งาน ขยับขึ้นมาดูที่บริเวณชั้น 2 กันบ้าง แน่นอนว่าทางโครงการค่อนข้างให้ความสำคัญกับการมีคุณภาพชีวิตครอบครัวที่ดี ดังนั้นจึงเพิ่มพื้นที่นั่งเล่นบริเวณชั้น 2 ขึ้นมาเพื่อให้พร้อมรองรับทุกกิจกรรมของครอบครัว ไม่ว่าจะจัดให้เป็นมุมดูทีวี มุมนั่งเล่น หรือพื้นที่จัดปาร์ตี้สังสรรค์เล็กๆ ของคนในบ้านก็ดูจะลงตัวไปเสียทุกอย่าง ในขณะที่พื้นที่ในห้องนอนทั้ง 3 ห้องก็มีความเป็นส่วนตัวมากพอสำหรับทุกคน ทั้งห้องนอนใหญ่ที่กว้างขวาง และห้องนอนเล็กอีก 2 ห้องที่ยังคงสามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามจำนวนสมาชิกในครอบครัว ขึ้นมาที่ชั้น 2 จะพบกับ Common Area ในโซนกลางบ้าน ซึ่งจัดเป็นมุมพักผ่อนสำหรับสมาชิกทุกคนในบ้าน มุมนี้ติดประตูกระจกบานเลื่อนทำให้สามารถเปิดประตูออกไปที่ระเบียงได้ โซนด้านหนึ่งของบริเวณชั้น 2 แบ่งเป็นห้องนอนเล็ก 2 ห้องและห้องน้ำบริเวณหน้าห้องทั้ง 2 ห้องแรกตกแต่งไว้สำหรับเด็กเล็ก จึงมีสีสันสดใสน่าอยู่ ห้องนอนเล็กห้องนี้อยู่ด้านหน้าของตัวบ้าน จึงมีระเบียงกว้างในบริเวณห้องด้วย ส่วนห้องนอนเล็กอีกห้อง ตกแต่งเป็นห้องพักผ่อน หรืออาจปรับให้เป็นห้องนอนเพื่อรองรับสมาชิกครอบครัวที่เพิ่มขึ้นก็ทำได้เช่นกัน ห้องน้ำเล็กบริเวณหน้าห้องสำหรับการใช้งานของสมาชิกนอนเล็ก ห้องสุดท้ายของตัวบ้านที่เราจะไปดูก็คือ ห้องนอนใหญ่ที่อยู่อีกด้านของตัวบ้าน ห้องนอนใหญ่กว้างขวาง มีพื้นที่ใช้สอยเพียงพอที่จะตกแต่งให้ใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย Day Bed วางไว้ริมหน้าต่างใช้เป็นมุมนั่งอ่านหนังสือได้เป็นอย่างดี บริเวณหน้าห้องน้ำก็จัดตกแต่งให้เป็น Walk-in Closet เก็บเสื้อผ้าได้เป็นระเบียบเรียบร้อย และมีหน้าต่างรับแสง ช่วยให้มุมนี้ไม่มืดจนเกินไป ห้องน้ำของห้องนอนใหญ่ จัดวางตำแหน่งของสุขภัณฑ์ต่างๆ ไว้อย่างลงตัว และติดตั้งกระจกเงาบานใหญ่เต็มผนังมาให้พร้อมแล้ว และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งโครงการคุณภาพจาก บริษัท มานะพัฒนาการ จำกัด ที่สะท้อนให้เราได้เห็นว่า โครงการบ้านที่ดีที่มีการออกแบบเพื่อให้ความสำคัญกับไลฟ์สไตล์ชีวิตคุณและครอบครัว มีสเปซสำหรับทุกคน และพื้นที่ที่พร้อมด้วย Facility ครบครัน ในทำเลโซนกรุงเทพฝั่งเหนือ ซึ่งพร้อมไปด้วยสภาพแวดล้อมที่ดีของการอยู่อาศัย จนคุณสามารถมั่นใจได้ว่าความเป็นอยู่ของทุกคนในครอบครัวจะอบอุ่นและได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นกว่าที่เคยไม่มากก็น้อย สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติม หรือนัดหมายเพื่อชมโครงการ Baranee Residence รังสิตคลอง 3 ได้ที่ : http://www.manapat.co.th/tha/projects/baranee_residence
ARNA Ekamai : รีวิวบ้าน

ARNA Ekamai : รีวิวบ้าน

ARNA Ekamai บ้านเดี่ยวหรูระดับ Super Luxury ในซอยสุขุมวิท 65 หรือซอยชัยพฤกษ์ ให้ความเป็นส่วนตัวด้วยยูนิตที่น้อยเพียง 11 ยูนิต เดินทางสะดวกใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีเอกมัย บ้านเดี่ยวโครงการแรกจาก  D'Well Grand Asset     รายละเอียดโครงการ   ราคาเริ่มต้น    32,000,000 บาท เจ้าของโครงการ    D'Well Grand Asset Co., Ltd. ลักษณะโครงการ   บ้านเดี่ยว 3-4 ชั้น จำนวน 11 หลัง เนื้อที่ทั้งหมด   1 - 3 - 74 ไร่ ที่ตั้งโครงการ  ซอยสุขุมวิท 65 แขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร เริ่มก่อสร้าง    ไตรมาสที่ 4 ปี 2016 คาดว่าจะแล้วเสร็จ    ไตรมาสที่ 1 ปี 2018   สถานที่สำคัญใกล้เคียง   BTS เอกมัย โรงพยาบาลสุขุมวิท Gateway เอกมัย เมเจอร์เอกมัย ท้องฟ้าจำลอง โรงเรียนปทุมคงคา W District Rain Hill Park Lane เอกมัย J Avenue โรงพยาบาลสมิติเวช แบบบ้านและขนาดพื้นที่ใช้สอย   Type A ที่ดิน 36-39 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 345 - 358 ตร.ม. 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ ราคาเริ่มต้น 32 ล้านบาท Type B ที่ดิน 45 - 51 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 407.23 ตร.ม. 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ ราคาเริ่มต้น 49 ล้านบาท Type C ที่ดิน 57-69 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 388 - 401 ตร.ม. 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ ราคาเริ่มต้น 53 ล้านบาท แบบบ้าน Type A ที่ดิน 36-39 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 345 - 358 ตร.ม. 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ ราคาเริ่มต้น 32 ล้านบาท แปลนบ้าน Type A แบบบ้าน Type B ที่ดิน 45 - 51 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 407.23 ตร.ม. 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ ราคาเริ่มต้น 49 ล้านบาท แปลนบ้าน Type B แบบบ้าน Type C ที่ดิน 57-69 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 388 - 401 ตร.ม. 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ ราคาเริ่มต้น 53 ล้านบาท แปลนบ้าน Type C สิ่งอำนวยความสะดวก   รั้วรอบโครงการสูง 3 เมตร Key Card Access เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและกล้อง CCTV 24 ชั่วโมง   สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร :  061-662-6565 ดูรายละเอียดเพิ่มเติม :  www.arna-ekamai.com
ข้อดีของการซื้อคอนโด ซื้อบ้าน หลุดดาวน์

ข้อดีของการซื้อคอนโด ซื้อบ้าน หลุดดาวน์

เศรษฐกิจไม่ดีเป็นปัญหาใหญ่ทำให้ผู้ที่กำลังผ่อนดาวน์บ้านหรือคอนโด เริ่มไมไหวกับภาระ ทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายและการผ่อนที่อยู่อาศัย และอาจรวมถึงคนที่ได้ยื่นขอสินเชื่อกับธนาคารแต่กู้ไม่ผ่าน จนเป็นเหตุให้เกิดปรากฏการณ์ “บ้าน คอนโด หลุดดาวน์” ที่เริ่มมีให้เห็นทั้งในรายงานยอดขายของบางบริษัทที่จู่ๆ ยอดขายก็ลดฮวบไปดื้อๆ สอดคล้องกับแคมเปญการตลาดที่เริ่มเห็นโปรฯ แรงๆ ของสินค้าหลุดดาวน์มากขึ้น แต่ในวิกฤติของคนกลุ่มหนึ่งก็เป็นโอกาสของคนอีกกลุ่มที่จะได้ซื้อของถูกชนิดไม่ทันตั้งตัว กู้ไม่ผ่านคือปัญหาและสาเหตุ ช่วง 1-2 ปีมานี้คนดาวน์บ้าน ดาวน์คอนโด มีปัญหากู้ไม่ผ่านกันมาก ตัวเลขจากบางโครงการพบว่าสัดส่วนลูกค้าที่กู้ไม่ผ่านสูงถึง 20-30% โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านและคอนโดระดับราคาปานกลางถึงล่างเปอร์เซ็นต์จะยิ่งมาก และเมื่อเทียบระหว่างโครงการบ้านและโครงการคอนโด ก็จะพบว่าลูกค้าที่กู้ไม่ผ่านส่วนใหญ่จะเป็นคอนโดมากกว่าบ้าน สาเหตุส่วนหนึ่งเกี่ยวเนื่องจากระยะเวลาในการผ่อนดาวน์ เพราะโครงการคอนโด จะมีระยะผ่อนดาวน์นานกว่าบ้าน ซึ่งทั่วไปถ้าเป็นคอนโด โลว์ไรส์ก็ต้องผ่อนอย่างน้อย 15-20 เดือน ในขณะที่ถ้าเป็นไฮไรส์อย่างตํ่าก็ต้อง 2 ปี ในระหว่างที่กำลังผ่อนดาวน์อาจเกิดปัญหาด้านการเงินทำให้ต้องตัดสินใจทิ้งดาวน์ หรือบางครั้งอาจเป็นการกระทำที่ไม่ตั้งใจหรือพลาด เช่น ไปสร้างหนี้เพิ่ม จนทำให้มีปัญหาในเวลาที่ต้องยื่นกู้ทั้งๆ ที่ตอนจองซื้อไม่มีปัญหาการ Pre-approved เรื่องนี้สำคัญ เพราะธนาคารเองก็เตือนอยู่เสมอว่าในระหว่างผ่อนดาวน์กรุณาอย่าไปสร้างหนี้เพิ่ม หรือไปทำอะไรที่มีผลเสียต่อเครดิต และเฉพาะอย่างยิ่งตอนใกล้ยื่นกู้ยิ่งต้องระวังให้มาก เพราะการกระทำหลายๆ อย่างสามารถตีความได้ว่าเรากำลังมีปัญหาทางการเงินได้ ส่วนกรณีการผ่อนบ้านไม่ค่อยเป็นปัญหา เพราะส่วนใหญ่เดี่ยวนี้เป็นบ้านที่สร้างเกือบเสร็จเกือบทั้งหมด ระยะผ่อนดาวน์มีน้อย วิธีนี้บังคับให้คนซื้อต้องเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี โดยหลายๆ โครงการถึงขนาดจองปุ๊บให้เตรียมเรื่องยื่นกู้ได้เลย ถ้าเตรียมตัวมาดีก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าไม่พร้อมก็จบเหมือนกัน บ้านหลุดดาวน์ “ส้มหล่น” คนซื้อมือรอง แต่ละบริษัทมีวิธีการจัดการกับปัญหาลูกค้ากู้ไม่ผ่าน หรือสินค้าหลุดดาวน์แตกต่างกันไป ทางเลือกของคนซื้อจึงไม่เท่ากัน บางบริษัทมีโครงการอยู่ในมือหลายโครงการ หลายทำเล อาจมีทางเลือกให้กับลูกค้าได้มากกว่า เช่น เปลี่ยนแปลงที่ดิน เปลี่ยนทำเล เพื่อไปเอาหลังที่ถูกกว่า เพื่อจะได้มีโอกาสในการกู้ผ่านมากกว่า แต่ถ้ามีอยู่โครงการเดียวจะไม่สามารถใช้วิธีนี้ได้ นอกจากนี้เงื่อนไขของสัญญาของผู้ประกอบการก็แตกต่างกัน เช่น บางบริษัทยอมคืนเงินดาวน์โดยไม่มีเงื่อนไข แต่บางบริษัทถ้ากู้ไม่ผ่านก็หมายถึงคนซื้อสูญเงินดาวน์ทั้งหมด เรื่องนี้ก็สำคัญที่คนซื้อจะต้องศึกษาให้ดีก่อนซื้อหรือทำสัญญา อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะโดยวิธีใด เมื่อมีบ้านหลุดดาวน์ยังไงเจ้าของโครงการก็ต้องนำบ้านหลังนั้นออกมาขายใหม่ ซึ่งจะขายโดยกลยุทธ์การตลาดแบบไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่แล้วมักนำมาขาย “ลดราคา” เพื่อจะได้จบโครงการไวๆ ซึ่งหากเป็นโครงการที่ยึดเงินดาวน์มาจากคนซื้อมือแรกบริษัทก็จะมีช่องทางทำการตลาดได้มาก เพราะมีเงินดาวน์ที่ได้มาฟรีๆ ตุนไว้แล้ว 5-10% ของราคาบ้าน ซึ่งนี่ก็เป็นโอกาสที่เกิดขึ้นกับคนซื้อมือถัดไป ฉะนั้นในวิฤกติของคนบางกลุ่มยอมเป็นโอกาสของคนอีกกลุ่ม โดยเฉพาะกับคนที่มีความพร้อมอยู่ตลอดเวลา   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  นิตยสาร Home Buyer's Guide เดือนมิถุนายน 2559
วิธีไล่หนูบนเพดาน กำจัดโดยไม่ต้องฆ่าให้เปลืองแรง

วิธีไล่หนูบนเพดาน กำจัดโดยไม่ต้องฆ่าให้เปลืองแรง

วิธีไล่หนูบนเพดาน วิธีกำจัดหนูบนฝ้าโดยไม่ต้องลงมือฆ่า เพื่อให้หมดปัญหาเรื่องเสียงหนูวิ่งบนเพดาน หนูแทะฝ้า และสารพัดปัญหาที่เกิดจากสัตว์ตัวเล็ก ๆ ชนิดนี้  ศัตรูของบ้านอีกตัวที่คอยสร้างความรำคาญให้กับเรา คงจะหนีไม่พ้นเจ้าสัตว์ฟันแทะอย่าง หนู ทั้งยังสร้างความเสียหาย กัดสายไฟและของในบ้าน ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ เจ้าหนูพวกนี้อาจจะนำโรคร้ายมาสู่คนในบ้านได้ พื้นที่อื่นของบ้านยังพอหาทางกำจัดได้ แต่บนเพดานและใต้หลังคาที่เจ้าหนูพวกนี้ชอบใช้กบดานมักจะกำจัดยากกว่าที่อื่น ๆ เนื่องจากเป็นพื้นที่ปิดและแคบ และวันนี้เราก็มีวิธีไล่หนูบนเพดานโดยไม่ต้องฆ่ามาบอกต่อครับ 1.ใช้กับดักหนู วิธีกำจัดหนูแบบนี้นั้นง่ายมาก ก็แค่นำกับดักหนูไปวางใต้เพดาน โดยวางในตำแหน่งที่ไม่ไกลจากแผ่นฝ้าที่แกะออก แล้วหมั่นตรวจดูกับดักทุกวัน ถ้ามีหนูติดให้รีบเอาออกและนำไปกำจัดทันที เพราะหากบังเอิญหนูตายในคากับดัก ก็จะส่งกลิ่นเหม็นเน่าไปทั่วบ้านนานหลายวัน 2.ใช้น้ำมันหอมระเหยสะระแหน่   ถึงแม้กลิ่นของน้ำมันหอมระเหยสะระแหน่จะเป็นที่ชื่นชอบของคน แต่เป็นกลิ่นที่หนูไม่อยากเข้าใกล้มากที่สุด เพราะกลิ่นของน้ำมันชนิดนี้ฉุนสุด ๆ สำหรับหนู วิธีใช้ก็คือนำสำลีก้อนชุบน้ำมันหอมระเหย จากนั้นนำแกะแผ่นฝ้าบนเพดานออก แล้วโยนก้อนสำลีเข้าไปให้ทั่วใต้เพดาน 3.ใช้กรงดัก ใช้กล้วยน้ำหว้าเป็นเหยื่อล่อ ตัดหัวตัดท้ายให้กลิ่นโชย หรือจะใช้หัวปลาทูทอดหรือปลาหมึกแห้งเสียบไว้ล่อหนูก็ได้ จากนั้นก็นำกรงดักมาตั้งบนเพดาน ผูกเชือกที่กรงเอาไว้ด้วย เวลาหนูติดกรงหนูจะดิ้นและพากรงไปไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึง เมื่อมีหนูมาติดกรงให้นำไปปล่อยทิ้งในป่าไกลบ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้กลับมาอีก แล้วกรงให้ล้างให้สะอาด กำจัดกลิ่นของหนูตัวเก่าออกให้หมด เพราะหนูตัวอื่นจะไม่เข้าใกล้ หากยังมีกลิ่นหนูตัวเก่าติดอยู่ 4.ใช้แผ่นปิดเชิงชายกระเบื้อง ชายคาบ้านเป็นอีกทางที่หนูใช้ไต่เข้ามาใต้หลังคา ฉะนั้นยิ่งปิดช่องทางที่นำมาสู้หลังคาไว้ใช้หมดยิ่งดี โดยเฉพาะหลังคาแบบลอน เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้หนูเข้ามาอาศัยและสร้างความรำคาญ ก็ควรติดแผ่นปิดเชิงชายกระเบื้องหรือแผ่นดักนกตามชายคาให้หมด 5.ใช้ทรายแมว กลิ่นของฉี่แมวอันลือเลื่อง ไม่ใช่แค่กับคนเท่านั้นที่ทนไม่ไหวกับกลิ่นฉี่แมว แม้แต่สัตว์ที่รักสกปรกอย่างหนูเองก็ไม่ชอบเช่นกัน วิธีใช้คือนำทรายแมวที่ใช้แล้วใส่ถุงผ้าแล้วโยนเข้าไปใต้เพดาน ให้เปิดช่องระบายอากาศไว้ด้วย แล้วหนูก็จะไม่เข้ามาใกล้เพดานอีกเลย   ทั้งนี้การกำจัดหนูให้สิ้นซาก ไม่ใช่ว่าจะได้ผลโดยการใช้วิธีใดวิธีหนึ่งหรือการทำเพียงแค่ครั้งเดียว ต้องอาศัยทั้งการไล่ กำจัด การป้องกัน รวมถึงวิธีการทำความสะอาดเพดานอย่างสม่ำเสมอควบคู่กันไปด้วยนะครับ ความรู้เกี่ยวกับหนู หนู  วิธีไล่หนูและสัตว์กวนใจอื่นๆ เพื่อความน่าอยู่ของบ้านเรา วิธีกำจัดมด ด้วยของใกล้ตัว กำจัดปลวก ด้วยวิธีธรรมชาติ วิธีเด็ดไล่ตุ๊กแก ให้รีบเผ่นหนีออกจากบ้าน
การเลือกซื้อที่ดิน การซื้อบ้านใหม่ให้ไกลจากน้ำ(ท่วม)ควรดูอะไรบ้าง?

การเลือกซื้อที่ดิน การซื้อบ้านใหม่ให้ไกลจากน้ำ(ท่วม)ควรดูอะไรบ้าง?

ตั้งแต่ช่วงน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 เวลาจะซื้อบ้านต้องไตร่ตรองและคิดให้รอบคอบมากขึ้นและอาจจะมีคําถามหลายๆประการตามมาว่า ควรจะซื้อบ้านหรือปลูกบ้านตรงไหน ที่ไหน แถวไหน ย่านไหน ควรต้องดูเรื่องอะไรบ้าง ถึงจะปลอดภัยจากน้ำท่วมจริงๆ เผื่อว่าเราอาจจะต้องเจอกับมวลน้ำแบบนี้อีกครั้งหรือหลายครั้งในอนาคต คำตอบง่ายๆ ในเมื่อเราเป็นห่วงว่า “น้ำ” จะท่วมบ้านเราอีกไหม เราก็ต้องพิจารณาปัจจัยและข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับ “น้ำ” เป็นหลัก บางคนอาจถามต่อไปว่า แล้วเราจะดู “น้ำ” กันอย่างไร จะไปดูตามท่อระบายน้ำ ตามคู คลองหรือแม่น้ำต่างๆ จะพอไหม จะรู้ไหมว่าน้ำท่วมหรือไม่อย่างไร หรือควรหาข้อมูลอะไร ที่ไหนประกอบหรือไม่อย่างไรก็ตาม หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ คนไทยเราคงจะมีความรู้เพิ่มมากขึ้น จากข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับ “น้ำ” ที่สื่อมวลชน นักวิชาการและรัฐบาลนําเสนอผ่านสื่อออกมาทุกวัน ในอดีตเวลาที่เราจะเลือกซื้อหาบ้านจัดสรร หรือเลือกซื้อที่ดินปลูกบ้านใหม่คงเลือกจากการที่มีเอกสารจัดสรร และโฉนดที่ดินว่ามีหรือไม่ ด้านทําเลที่ตั้งใกล้กับแหล่งอำนวยความสะดวกมากน้อยแค่ไหน ไปจนถึงจากรูปแบบบ้าน ราคา และชื่อเสียงของบริษัท เป็นต้น แต่หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้แล้ว “ผู้ซื้อ” หรือ “ผู้บริโภค” ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ “น้ำ”เพิ่มเติมก่อนที่จะตัดสินใจเลือกแหล่งที่อยู่อาศัย ข้อควรพิจารณามีดังนี้ 1. โซนผังเมือง : โซนสีต่างๆ ที่ปรากฎในผังเมืองเป็นตัวบ่งชี้ว่า เมืองนั้นๆ กําหนดแนวทางการใช้พื้นที่ดินแต่ละเขตเป็นอย่างไร มีการใช้งานในลักษณะใดบ้าง เช่น พาณิชยกรรม ที่อยู่อาศัย หรือพื้นที่เกษตรกรรม เป็นต้น จากกรณีน้ำท่วมครั้งนี้ เราจึงเห็นได้ว่าพื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ เช่น เขตหนองจอก มีนบุรี คลองสามวา ลาดกระบัง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กําหนดเป็นโซนสีเขียวและเขียวทแยง ซึ่งเป็นพื้นที่ชนบทและเกษตรกรรม และพื้นที่ชนบทอนุรักษ์และเกษตรกรรม จึงได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเป็นจํานวนมากเนื่องจากอยู่ในเส้นทางการระบายน้ำและรัฐมิได้กําหนดให้เป็นพื้นที่อยู่อาศัย 2. แนวคันกั้นน้ำ : ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลจะมีการวางตําแหน่งคันกั้นน้ำ เพื่อการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพตามแนวพระราชดําริไว้ ตั้งแต่เหนือจรดใต้และครอบคลุมทั้งสองฝั่งตะวันออกและตะวันตก โดยแนวคันกั้นน้ำจะมีความสูงต่ำแตกต่างกันและมีลักษณะซ้อนกันเป็นชั้นๆ ที่สัมพันธ์กับตําแหน่งคู คลองธรรมชาติ เพื่อป้องกันน้ำจากทางตอนเหนือเข้าท่วมบริเวณพื้นที่กรุงเทพชั้นกลางและชั้นใน ดังนั้นการเลือกซื้อบ้านหรือที่ดินที่อยู่ภายในแนวคันกั้นน้ำก็จะช่วยลดความเสี่ยงเรื่องน้ำท่วมได้ระดับหนึ่ง 3. ตําแหน่งคู คลอง แหล่งน้ำธรรมชาติ : จากประสบการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ เราคงเห็นได้ชัดเจนว่า เส้นทางการเคลื่อนที่หลักๆ ของน้ำจะเอ่อล้นมาจากเส้นทางน้ำธรรมชาติคือ คู คลองต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วเมืองและจากท่อระบายน้ำต่างๆตามถนนหนทางหน้าบ้านของเรา และการมาของน้ำทั้งสองทางนี้จะป้องกันได้ยากที่สุด ดังนั้นบ้านเรือนที่อยู่ริมน้ำคู คลองที่มีทัศนียภาพสวยงามก็จะมีความเสี่ยงจากน้ำมากเช่นกัน 4. ความสูงต่ำของที่ดิน/ที่ตั้ง (Topography) : ถ้าใครเคยเห็นแผนที่ในการวิเคราะห์ระดับน้ำท่วมกรุงเทพฯคราวนี้ จะพบว่าแต่ละพื้นที่จะมีการคาดการณ์ระดับน้ำท่วมที่สูงต่ำต่างกัน นั่นเป็นเพราะแต่ละพื้นที่มีระดับความสูงของแผ่นดินที่ต่างกันทําให้ระดับน้ำมีความลึกต่างกัน ถ้าเปรียบเทียบให้ง่ายขึ้นก็เหมือนกับสระว่ายน้ำเมื่อมองที่ผิวน้ำจะพบว่า มีผิวน้ำมีความเรียบเสมอกันแต่ก้นบ่อของสระว่ายน้ำมีระดับที่ไม่เท่ากันทําให้สระว่ายน้ำมีทั้งส่วนลึกและส่วนตื้น ดังนั้น หากเลือกที่ดินสําหรับปลูกบ้าน ในพื้นที่ที่มีระดับสูงกว่าจะมีความเสี่ยงจาก น้ำน้อยกว่า สําหรับข้อมูลส่วนนี้สามารถแสดงให้เข้าใจง่ายด้วยภาพตัดขวางแสดงระดับถนนภายนอกโครงการเข้าสู่ถนนซอยภายในจนถึงระดับความสูงของที่ดินแต่ละแปลง และระดับพื้นชั้นล่างของบ้านแต่ละหลัง 5. เส้นทางน้ำไหล : เมื่อฝนตกลงบนผิวดิน น้ำส่วนหนึ่งจะซึมลงไปในดินและอีกส่วนหนึ่งจะเป็นอยู่บนผิวดิน ส่วนที่เป็นน้ำบนผิวดินจะไหลลงสู่ที่ต่ำและไหลลงไปสู่แม่น้ำลําคลอง ฉะนั้นการเลือกตําแหน่งในการปลูกสร้างบ้านเรือนต้องไม่ขวางทางที่น้ำไหลผ่าน เพราะแรงของน้ำนั้นมหาศาลมากขนาดทําให้ถนนขาดได้ และไม่ว่าจะปลูกบ้านด้วยโครงสร้างแบบใด หากปลูกอยู่บนเส้นทางที่น้ำไหลผ่านก็คงยากที่จะทานแรงมหาศาลของมวลน้ำไหว ดังนั้น ก่อนจะสร้างบ้านหรือซื้อที่ดินต้องลองสังเกตว่าเมื่อฝนตกลงมาแล้ว เส้นทางการไหลของน้ำฝนได้ผ่านแนวที่ดินของเราหรือไม่ หากน้ำไหลผ่านให้ควรหลีกเลี่ยง 6. มาตรการป้องกันน้ำท่วม : ข้อมูลนี้เป็นประเด็นสําคัญที่ลูกค้าควรสอบถาม เพื่อความมั่นใจในยุคหลังน้ำท่วมครั้งนี้ว่า แต่ละโครงการได้มีการเตรียมการหรือมีแผนรองรับเหตุน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ในเรื่องของตัวบ้านและตัวโครงการไว้อย่างไรบ้าง อาทิ การจัดเตรียมพื้นที่หน่วงน้ำ การจัดทําเขื่อนหรือคันกั้นน้ำในโครงการ รูปแบบการระบายน้ำในโครงการไปจนถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อการอพยพหนีน้ำ ในกรณีวิกฤต ซึ่งแนวทางเหล่านี้จะมีระดับมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงกับระดับน้ำท่วมว่ามากเพียงใด จากประเด็นพิจารณาเหล่านี้ เป็นหน้าที่ของเราในฐานะผู้ซื้อบ้านหรือที่ดินใหม่ในอนาคต ควรศึกษาข้อมูลให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ เพราะประเด็นเหล่านี้จะบอกถึงความเสี่ยงในเรื่องของน้ำที่อาจจะต้องพบเจอในปีต่อๆ ไปได้ว่า บ้านเรือนของเรามีโอกาสน้ำท่วมหรือไม่ท่วม หรือท่วมมากแค่ไหน เพื่อรับมือได้อย่างถูกต้องรวมทั้งยังเป็นหน้าที่ของบริษัทบ้านจัดสรรและเจ้าของโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ที่จะต้องนําเสนอข้อมูลเหล่านี้ต่อลูกค้าเป็น ”A Must Information” ด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายในลักษณะ Infographic ที่เราคุ้นๆ กันในช่วงน้ำท่วมที่ผ่านมา เพื่อแสดงความจริงใจต่อลูกค้าและอาจใช้เป็นแรงจูงใจทางการตลาด ได้อีกทางหนึ่งด้วย   ที่มา รัชด ชมภูนิช คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ม.เกษตรฯ /ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) home.co.th
เปรียบเทียบ “ราคาบ้าน” ยังไงดี

เปรียบเทียบ “ราคาบ้าน” ยังไงดี

เป็นธรรมดาของคนซื้อบ้านที่ต้องมีการเปรียบเทียบก่อนตัดสินใจ เนื่องจากบ้านเป็นสินค้าราคาแพง ฉะนั้นเมื่อตัดสินใจเลือกทำเลที่ต้องการได้แล้ว ส่วนใหญ่ต้องหาลิสต์โครงการที่สนใจอย่างน้อย 3-5 โครงการ สิ่งที่เปรียบเทียบก็มีหลายอย่าง แต่หนึ่งในนั้นน่าจะดูว่าโครงการไหนถูก โครงการไหนแพงกว่ากัน ถ้าจะเทียบราคาบ้านจัดสรรมีสิ่งที่ควรพิจารณาอยู่ 2-3 ข้อดังนี้ 1. ราคาที่ดิน จริงๆ แล้วถ้าที่ดินอยู่ติดกันหรืออยู่ในทำเลเดียวกันราคาบ้านจะไม่ต่างกันมาก แต่ทั้งนี้ก็มีความเป็นไปได้หลายกรณีที่ทำให้ทำเลเดียวกันแต่ราคาบ้านต่างกัน เช่น ระยะเวลาในการซื้อขาย เทคนิคการต่อรองของผู้ซื้อ ความพึงพอใจของผู้ขาย ข้อกำหนดในการใช้ประโยชน์ เช่น แปลงหนึ่งติดถนนใหญ่แต่อีกแปลงที่ติดกันมีทางเข้าอยู่ในซอย เป็นต้น แต่โดยหลักการแล้วที่ดินทำเลเดียวกันไม่ควรมีราคาต่างกันมาก 2. ราคาค่าก่อสร้าง หากจะเปรียบเทียบค่าก่อสร้างน่าจะต้องดู 2 ส่วนหลักคือ “พื้นที่ก่อสร้าง”กับ “พื้นที่ใช้สอย” หากต้องการเปรียบเทียบขนาดพื้นที่ก่อสร้างทำได้ไม่ยาก เพราะส่วนใหญ่มักบอกขนาดพื้นที่ใช้สอยของบ้านแต่ละหลังอยู่แล้ว (หน่วยเป็นตารางเมตร) แต่ที่ต้องดูลึกลงไปก็คือประโยชน์ใช้สอยในพื้นที่ก่อสร้างนั้นๆ เนื่องจากพื้นที่ก่อสร้างแต่ละส่วนมีต้นทุนไม่เท่ากัน เช่น โรงจอดรถจะถูกกว่าระเบียง ระเบียงถูกกว่าห้องโถงทั่วไป ห้องโถงทั่วไปถูกกว่าห้องนอน ห้องนอนก็จะถูกกว่าห้องน้ำ เป็นต้น ถ้าพื้นที่เท่ากันและมีราคาพอๆ กัน แล้ว หลังหนึ่งมีระเบียงกว้างแต่ห้องน้ำเล็กนิดเดียว หลังที่สองมีระเบียงเล็กแต่ห้องน้ำกว้างมาก อนุมานได้ว่าหลังแรกต้นทุนก่อสร้างน่าจะต่ำกว่า ถ้าขายเท่ากันแสดงกว่าหลังแรกแพงกว่า นอกจากนี้ยังสามารถดูได้จากเกรดวัสดุที่ใช้ ส่วนใหญ่มักดูจากวัสดุปูพื้น ยี่ห้อสุขภัณฑ์หรืออุปกรณ์ในห้องน้ำ ผนัง/วัสดุก่อผนัง รวมถึงพื้นบันได เป็นต้น 3. สาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก สองปัจจัยที่ว่าอาจไม่พอสำหรับการประเมินความถูกแพง ก็ต้องดูว่าสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกของโครงการไหนพร้อมกว่าและมีมากกว่ากัน เช่น สวนสาธารณะ ต้นไม้ทางเข้า ถนนภายในโครงการ ยามรักษาความปลอดภัย ฯลฯ มากไปกว่านั้นอาจมีเรื่องของแบรนด์เข้ามาเกี่ยวด้วย เช่น ถ้าโครงการแบรนด์ดังๆ ราคาย่อมสูงกว่าโครงการที่ไม่มีชื่อเสียง ซึ่งคงต้องยอมรับ แต่เรื่องนี้ถ้าจะเปรียบเทียบเป็นตัวเลขหรือเม็ดเงินคงจะยาก เพราะน่าจะเกี่ยวกับคุณค่าทางจิตใจเสียมากกว่า   ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.co.th
บ้านชั้นเดียวต่อเติมเป็นบ้านสองชั้นได้หรือไม่

บ้านชั้นเดียวต่อเติมเป็นบ้านสองชั้นได้หรือไม่

เรื่อง:  นิยดา หวังวิวัฒน์ศิลป์ SCG Architect Writer "บ้านชั้นเดียวเมื่ออยู่อาศัยไปสักพัก หากรู้สึกว่าพื้นที่ใช้สอยไม่พอ และคิดจะต่อเติมบ้านให้กลายเป็นบ้าน 2 ชั้น จะทำได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสภาพโครงสร้างบ้านของเดิมว่าจะสามารถรับน้ำหนักส่วนต่อเติมได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งจะต้องให้วิศวกรช่วยคำนวณ และควรคำนึงถึงความคุ้มค่าก่อนจะตัดสินใจลงมือต่อเติม" สำหรับครอบครัวขนาดเล็กเมื่อเริ่มคิดปลูกบ้าน บางครั้งอาจเลือกสร้างบ้านชั้นเดียวเพราะเห็นว่าควบคุมงบประมาณและเวลาได้ง่าย ประหยัดโครงสร้างวัสดุ ง่ายต่อการดูแลรักษาและทำความสะอาด ทั้งยังเหมาะกับผู้สูงอายุซึ่งไม่สะดวกขึ้นลงบันได แต่เมื่ออาศัยไปสักระยะหนึ่งอาจมีปัจจัยบางอย่างเปลี่ยนแปลงทำให้ต้องการพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น โดยปกติเรามักเลือกต่อเติมเพิ่มออกมาจากตัวบ้าน แต่ถ้าที่พื้นที่รอบบ้านไม่พอจะมีวิธีอย่างไร จะต่อเติมบ้านชั้นเดียวให้กลายเป็น 2 ชั้นได้หรือไม่ ? ตัวอย่างบ้านชั้นเดียว (ภาพบน) ที่ต่อเติมเป็นบ้าน 2 ชั้น (ภาพล่าง) (ขอขอบคุณภาพจาก www.banandresort.com) ต่อเติมบ้านชั้นเดียวเป็นบ้าน 2 ชั้นได้จริงหรือ ? ในจุดนี้จะต้องพิจารณาหลายปัจจัยประกอบกัน โดยเรื่องสำคัญที่สุด คือ “สภาพของโครงสร้างบ้านเดิม” ทั้งเสาเข็มฐานราก  เสา คาน ว่าสามารถรับน้ำหนักส่วนต่อเติมชั้น 2 ได้หรือไม่และอย่างไรจึงจะไม่ถล่มพังลงมา ซึ่งจำเป็นต้องพึ่งวิศวกรโครงสร้างผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์คำนวณเพื่อความปลอดภัย เมื่อเจ้าของบ้านทราบถึงความเป็นไปได้และพิจารณาความคุ้มค่าในการต่อเติม ก็อาจลองมองทางเลือกอื่นประกอบด้วย เช่น กรณีเป็นบ้านที่อยู่อาศัยมานานจนทรุดโทรมมากอยู่แล้ว ถ้าทุบทิ้งแล้วสร้างใหม่หรือหาซื้อบ้านใหม่ไปเลยจะคุ้มกับระยะเวลาและค่าใช้จ่ายมากกว่าหรือไม่ เป็นต้น บ้านชั้นเดียวมักถูกออกแบบโครงสร้างมาเพื่อรับน้ำหนักบ้านเพียง 1 ชั้นเท่านั้น หากต้องการต่อเติมเป็น 2 ชั้น ต้องให้วิศวกรตรวจสอบว่า โครงสร้างจะรับน้ำหนักที่เพิ่มไหวหรือไม่ ต่อเติมบ้านชั้นเดียวเป็นบ้าน 2 ชั้นได้อย่างไร ? หากวิศวกรคำนวณแล้วพบว่าโครงสร้างบ้านเดิมสามารถรับน้ำหนักส่วนต่อเติมชั้น 2 ได้แล้ว  ยังมีปัจจัยที่ส่งผลต่อแนวทางการต่อเติม นั่นคือจะต่อเติมได้เต็มทั้งชั้นหรือได้เพียงส่วนเดียวเฉพาะแค่บางช่วงเสา รวมถึงน้ำหนักต่อตารางเมตรของส่วนต่อเติมซึ่งมีผลต่อการเลือกใช้วัสดุ ตั้งแต่ส่วนโครงสร้าง เช่น เสาที่จะต้องต่อให้สูงขึ้นไปเพื่อรับหลังคาชั้น 2 นั้น จะใช้วิธีสกัดหัวเสาคอนกรีตเดิมแล้วหล่อเสาต่อได้เลย หรือจะต้องใช้เสาเหล็กซึ่งน้ำหนักเบากว่าแทน เป็นต้น  ในส่วนของพื้นผนังกรณีที่โครงสร้างเดิมรับน้ำหนักเพิ่มได้พอสมควรอาจใช้ผนังก่ออิฐฉาบปูน  พื้นหล่อคอนกรีต แผ่นพื้นคอนกรีตสำเร็จรูป แต่ถ้ารับน้ำหนักเพิ่มได้ไม่มากอาจต้องใช้วัสดุที่เบาขึ้น เช่น ผนังอิฐมวลเบา ระบบพื้น Metal Deck  ระบบพื้นและผนังเบาไฟเบอร์ซีเมนต์  ระบบผนังและฝ้าเพดานยิปซั่ม เป็นต้น ซึ่งจะต้องให้วิศวกรโครงสร้างเป็นผู้แนะนำทางเลือกที่เหมาะสม พื้นเบาจากโครงเหล็ก ปูด้วยแผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์และวัสดุทับหน้า ผนังเบาจากวัสดุแผ่นปิดทับโครงคร่าว ระบบพื้น Metal Deck (ขอขอบคุณภาพจาก constructthai.com) กรณีโครงสร้างบ้านเดิมรับน้ำหนักได้ไม่มาก ส่วนหลังคาซึ่งจะต้องรื้อออกและประกอบใหม่อยู่แล้วอาจเป็นอีกจุดที่สามารถปรับให้มีน้ำหนักเบาขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นโครงหลังคาหรือวัสดุมุง (การเปลี่ยนวัสดุมุงอาจส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างด้วย เช่น ระยะแป เป็นต้น) ซึ่งจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำจากวิศวกรโครงสร้างผู้เชี่ยวชาญด้วยเช่นกัน โครงหลังคาสำเร็จรูป ผลิตจากเหล็กเคลือบป้องกันสนิม ซึ่งมีน้ำหนักเบากว่าเหล็กรูปพรรณ จะเห็นได้ว่าการต่อเติมบ้านชั้นเดียวให้กลายเป็นบ้าน 2 ชั้นนั้น  ต้องพิจารณาเรื่องความสามารถในการรับน้ำหนักของโครงสร้างเดิมเป็นหลัก (สำหรับใครที่จะสร้างบ้านชั้นเดียวอาจเลือกทำโครงสร้างรองรับการต่อเติมในอนาคตไว้ก็ได้)  นอกจากนี้ยังมีเรื่องของความคุ้มค่า โดยเฉพาะกรณีต่อเติมได้ไม่เต็มชั้นซึ่งต้องไม่ลืมว่าพื้นที่ส่วนหนึ่งของทั้ง 1 ชั้น 2 จะต้องถูกใช้เป็นบันไดด้วย ดังนั้นพื้นที่ที่ได้เพิ่มมาจะคุ้มค่าหรือไม่ต้องลองคิดคำนวณให้ดี ทั้งนี้หากเลือกที่จะต่อเติมแล้วก็ควรให้อยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมายเพื่อความถูกต้องและปลอดภัย  ไม่ว่าจะเป็นการยื่นขออนุญาตดัดแปลงบ้าน การคำนึงเรื่องที่ว่างและระยะร่นตามกฎหมายซึ่งสัมพันธ์กับตำแหน่งช่องเปิดและขนาดพื้นที่ใช้สอยของบ้าน เป็นต้น นับเป็นอีกเรื่องสำคัญที่ควรศึกษาให้ดีก่อนลงมือต่อเติม ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก  www.scgbuildingmaterials.com
อยากกู้ปลูกบ้านในฝันบนที่ดินเปล่า ต้องทำอย่างไร

อยากกู้ปลูกบ้านในฝันบนที่ดินเปล่า ต้องทำอย่างไร

หลายคนมีที่ดินเปล่าเป็นของตัวเองอยู่แล้ว ไม่ว่าจะได้มาจากการรับมรดกหรือซื้อที่ดินเอาไว้ก่อน และเมื่ออยากปลูกสร้างบ้านบนที่ดินผืนนั้น ด้วยการกู้เงินกับธนาคาร อาจเกิดข้อสงสัยไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร หรือไม่แน่ใจว่าสามารถขอกู้กับธนาคารได้หรือไม่ ต้องบอกว่าการกู้เงินเพื่อนำไปปลูกสร้างบ้านบนที่ดินกรรมสิทธิ์ของตนเองสามารถทำได้ครับ แต่จะมีความแตกต่างกับการกู้ซื้อบ้านแบบปกติบางเรื่อง จะมีอะไรบ้างนั้นเรามีคำแนะนำสำหรับผู้ที่กำลังวางแผนปลูกสร้างบ้านมาฝากครับ เอกสารการปลูกสร้างบ้านที่ต้องใช้ สำหรับการยื่นกู้ปลูกสร้างบ้านกับธนาคาร นอกจากจะต้องเตรียมเอกสารแสดงตนและเอกสารทางการเงินแล้ว เรายังต้องเตรียมเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปลูกสร้างอีกด้วยครับ ไม่ว่าจะเป็น แบบแปลนบ้าน สัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง และใบอนุญาตก่อสร้าง ซึ่งแน่นอนครับว่า ก่อนที่จะลงมือปลูกสร้างบ้านได้นั้น เราต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานราชการในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องเสียก่อน เช่น หากบ้านอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ก็สามารถยื่นขอใบอนุญาตก่อสร้างได้ที่ฝ่ายโยธา สำนักงานเขตในพื้นที่บ้านของเรา หรือหากบ้านอยู่ในเขตภูมิภาค สามารถยื่นขอได้ที่กองช่าง องค์การบริหารส่วนตำบล โดยการขอใบอนุญาตก่อสร้างจะต้องมีแบบแปลนบ้านให้ตรวจสอบ ซึ่งแบบแปลนเราสามารถใช้แบบมาตรฐานของหน่วยงานราชการในพื้นที่ที่มีอยู่ หรือหากใครมีแบบบ้านในใจก็สามารถจ้างสถาปนิกเขียนแบบแปลนให้ ทั้งนี้สถาปนิกหรือบริษัทรับสร้างบ้านมักจะอำนวยความสะดวกในเรื่องการขอใบอนุญาตก่อสร้างให้เราด้วยครับ ส่วนการก่อสร้างบ้านเมื่อเราติดต่อกับผู้รับเหมาได้แล้ว สิ่งสำคัญคือต้องทำสัญญารับเหมาก่อสร้างที่ระบุเงื่อนไขการเบิกเงินของผู้รับเหมาตามความคืบหน้าของการก่อสร้างด้วยครับ วงเงินกู้ที่ธนาคารจะอนุมัติ หลายคนอาจสงสัยว่า ธนาคารจะอนุมัติวงเงินกู้ให้ได้เท่าไร ในเมื่อบ้านยังสร้างไม่เสร็จ ธนาคารรู้มูลค่าบ้านได้อย่างไร ต้องบอกว่า การให้วงเงินกู้สำหรับปลูกสร้างบ้าน ธนาคารจะประเมินมูลค่าบ้านจากแบบแปลนบ้าน หรือที่เรียกว่าแบบพิมพ์เขียว ซึ่งในแบบแปลนบ้านนอกจากจะระบุรูปแบบบ้านแล้ว ยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างบ้านอีกด้วย นอกจากนี้ธนาคารต้องทำการประเมินมูลค่าที่ดินไปพร้อมๆ กัน ซึ่งปกติแล้วธนาคารมักให้วงเงินกู้ปลูกสร้างบ้านไม่เกิน 100% ของค่าปลูกสร้าง โดยวงเงินต้องไม่เกิน 80% ของราคาประเมินที่ดินพร้อมบ้านครับ และเมื่อเราได้รับอนุมัติวงเงินกู้ปลูกสร้างบ้านแล้วต้องไม่ลืมว่า หลักประกันที่จำนองกับธนาคารไม่ใช่แค่ตัวบ้านเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการจำนองที่ดินพร้อมบ้านที่เรากำลังจะก่อสร้างนั่นเองครับ วิธีรับเงินกู้ปลูกสร้างบ้าน หลังจากที่เราได้รับอนุมัติวงเงินกู้ปลูกสร้างบ้านแล้ว การรับเงินจะไม่ได้เป็นก้อนทีเดียวเหมือนกับการกู้ซื้อบ้านครับ แต่ธนาคารจะทยอยให้ตามสัญญาเงินกู้ ซึ่งรับเป็นงวดๆ ตามความคืบหน้าของการปลูกสร้างที่ระบุไว้ในสัญญาเงินกู้ เช่น งวดที่ 1 เบิก 500,000 บาท เมื่อวางผังและปรับพื้นตอกเสาเข็มเรียบร้อย จากนั้นสามารถเบิกงวดที่ 2 เป็นเงิน 300,000 บาท เมื่อตั้งเสาและเทพื้น เสร็จเรียบร้อย โดยในการเบิกเงินแต่ละงวด ธนาคารจะทำการประเมินความคืบหน้าของการก่อสร้างจริงว่า เป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาเงินกู้หรือไม่ครับ นอกจากเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับการปลูกสร้างบ้านที่ต้องเตรียมยื่นกู้กับธนาคารแล้ว อย่าลืมคำนึงถึงความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ของเราด้วยนะครับ หากเลือกแบบบ้านที่มีค่าใช้จ่ายการก่อสร้างสูงเกินความสามารถในการชำระหนี้อาจทำให้กู้ไม่ผ่านได้ครับ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก K-Expert
12 เคล็ดลับดูแลสวนในบ้านให้สวยชุ่มชื่นอยู่เสมอ

12 เคล็ดลับดูแลสวนในบ้านให้สวยชุ่มชื่นอยู่เสมอ

คนที่มีพื้นที่ในบ้านเพียงพอที่จะทำสวนสวย ๆ ไว้ชื่นชม อาจจะเป็นที่น่าอิจฉาของบ้านที่มีพื้นที่น้อย แต่การดูแลสวนให้สวยและสะอาดตาก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะมีปัจจัยแวดล้อมอย่างสภาพอากาศ สัตว์ รวมทั้งเหล่าวัชพืชมาคอยป่วนสวนอยู่ตลอด ทำให้หลายคนเริ่มเหนื่อยและท้อกับการดูแลสวนไม่น้อย จนคิดอยากจะจ้างบริษัทรับดูแลสวนให้รู้แล้วรู้รอดกันไป แต่อย่าเพิ่งใจร้อนขนาดนั้นเลยครับ เพราะจริง ๆ แล้วเราก็สามารถดูแลสวนด้วยตัวเองได้ ตามเคล็ดลับดูแลสวนเหล่านี้ รับรองว่าไม่ยากเกินความสามารถด้วยนะครับ 1. เตรียมพร้อมอุปกรณ์ทำสวน อุปกรณ์ทำสวนมีหลายชนิด ซึ่งแบ่งหน้าที่ตามการใช้งาน ฉะนั้นสำหรับคนมีสวนอยู่ในบ้าน ก็ควรต้องเตรียมอุปกรณ์ทำสวนอย่าง คราด พลั่ว หัวฉีดน้ำสำหรับรดน้ำต้นไม้ ฝักบัว และกรรไกรตัดกิ่งไว้ให้พร้อม หากต้องการจะทำสวนขึ้นมาวันใด จะได้เลือกใช้อุปกรณ์ได้ถูกหลักการใช้งาน 2. รดน้ำต้นไม้ให้ถูกเวลา เวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการรดน้ำต้นไม้ควรจะเป็นช่วงเช้าตรู่ เนื่องจากในตอนกลางวันแสงแดดจะค่อนข้างแรง และอาจจะทำให้ต้นไม้คายน้ำมากขึ้นได้ ดังนั้นเราจึงต้องรดน้ำป้องกันต้นไม้ขาดน้ำไว้ก่อน ต้นไม้จะได้มีน้ำเพียงพอสำหรับกระบวนการเจริญเติบโต 3. ใส่ปุ๋ยให้ถูกสูตร ก่อนจะเลือกต้นไม้มาปลูกในสวน เราควรต้องศึกษาข้อมูลของต้นไม้แต่ละชนิดก่อนว่า ต้องการน้ำ แสงแดด หรือปุ๋ยในปริมาณเท่าไร เพื่อให้เราดูแลเขาให้เติบโตมาอย่างสมบูรณ์ที่สุด โดยเฉพาะกับเรื่องปุ๋ย ที่น่าจะต้องรู้สูตรปุ๋ยที่เหมาะสมกับต้นไม้แต่ละชนิดให้ดี จะได้ใส่ปุ๋ยบำรุงต้นไม้ได้ถูกต้อง 4. คลุมหน้าดิน การคลุมหน้าดินสามารถป้องกันได้ทั้งวัชพืช ลดการกัดเซาะของหน้าดิน รวมทั้งช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้ดินได้อีกด้วย ข้อดีเป็นขบวนแบบนี้ เราก็คงต้องหาพืชมาคลุมหน้าดินบริเวณโคนต้นไม้กันแล้วล่ะเนอะ 5. ปลูกพืชล้มลุก พืชล้มลุกมีระยะเวลาการเจริญเติบโตเป็นของตัวเอง ซึ่งแต่ละชนิดก็จะแตกต่างเวลากันไป แต่ความแตกต่างตรงนี้ล่ะที่เป็นประโยชน์ดี ๆ กับสวนของเรา เพราะหากเราปลูกพืชล้มลุกถูกเวลา สวนก็จะดูเขียวชอุ่ม ชุ่มชื่นอยู่ตลอด แถมพอพืชล้มลุกหมดอายุแล้วจริง ๆ ซากพืชเหล่านี้ยังสามารถนำไปทำเป็นปุ๋ยได้ด้วยนะ 6. ปราบวัชพืช อย่างที่รู้กันดีว่า ศัตรูตัวฉกาจของสวนและสนามหญ้าก็คือวัชพืชตัวดีนั่นเอง และหากว่าในสวนของคุณมีวัชพืชอยู่ล่ะก็ ต้องรีบจัดการโดยด่วนเลยนะจ๊ะ จะถางออก หรือทำลายด้วยสูตรธรรมชาติก็ได้ ขอแค่ไม่ต้องให้วัชพืชมาอยู่กวนใจต้นไม้ต้นโปรดก็พอ 7. ปลูกไม้พุ่ม ไม้พุ่มมีส่วนช่วยให้สวนดูเขียวชอุ่มมีชีวิตชีวาไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้นหากคุณต้องการให้มีบรรยากาศของความสดชื่นจากธรรมชาติ ก็ควรปลูกไม้พุ่มไว้รอบ ๆ สวน แบบนี้ไม่ว่าจะฤดูไหน สวนของคุณก็จะดูสวยงามอยู่เสมอเลยจ้า 8. เริ่มปลูกพืชต้นใหม่ หลังจากที่ไม้ล้มลุกหมดอายุและล้มลงไปแล้ว ให้เริ่มลงต้นไม้ชนิดใหม่ได้เลย เพราะช่วงเวลานั้นคือโอกาสที่วัชพืชจะเจริญเติบโต ดังนั้นเราก็ควรชิงปลูกไม้ล้มลุกชนิดใหม่ลงไปก่อน จะได้เป็นการป้องกันไม่ให้วัชพืชมาป่วนสวนเราได้ครับ 9. อย่ารดน้ำเกินขนาด ต้นไม้ต้องการน้ำเพื่อการเจริญเติบโต แต่ทั้งนี้ก็ต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะหากต้นไม้ได้รับน้ำเกินขนาดก็มีสิทธิ์รากเน่า ใบเหลือง เสียสุขภาพได้เช่นกันจ้า 10. หมั่นเติมปุ๋ยคอก ปุ๋ยคอกเป็นปุ๋ยที่ได้จากมูลสัตว์ และซากพืช ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นของจากธรรมชาติทั้งสิ้น และด้วยเหตุนี้จึงสามารถช่วยบำรุงแร่ธาตุในดินได้ แถมยังคอยเติมสารอาหารที่ดินขาดไปได้ด้วย ฉะนั้นเราก็ควรหมั่นใส่ปุ๋ยคอกบำรุงดิน และต้นพืชเสมออย่าให้ขาด 11. ตัดเล็มต้นไม้เท่าที่จำเป็น ต้นไม้บางชนิด เช่น ไม้พุ่ม ไม่จำเป็นต้องตัดเล็มบ่อยนักก็ได้ เพราะจะได้รักษาน้ำให้ต้นไม้ได้เยอะ ๆ แต่หากต้นไม้เสียรูปทรง ก็ทำแค่เพียงตัดแต่งกิ่งเท่าที่จำเป็นก็พอ เพราะการเล็มต้นไม้บ่อยเกินไป ก็อาจจะทำให้เสียเวลาและเปลืองแรงโดยไม่จำเป็น อีกทั้งยังเป็นการทำลายต้นไม้ทางอ้อมด้วย 12. วิเคราะห์สภาพดิน เพราะดินเป็นพื้นฐานสำคัญในการปลูกต้นไม้ ดังนั้นเราก็ควรรู้จักสภาพดินในสวนของเราให้ได้ดีที่สุด เพราะหากดินมีปัญหา หรือขาดแคลนสารอาหารตัวไหน เราจะได้แก้ปัญหาดินได้อย่างตรงจุด ไม่ว่าคุณจะมีทักษะในการปลูกต้นไม้หรือทำสวนหรือเปล่าก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ขอแค่เพียงมีใจรักในการปลูกต้นไม้ และมีความต้องการอยากให้บ้านมีสวนสวย ๆ ก็แค่พกเคล็ดลับดูแลสวนเหล่านี้เอาไว้ แล้วนำไปใช้ดูแลสวนของเราก็พอนะครับ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.kapook.com