Tag : Home

816 ผลลัพธ์
ซื้อบ้านมือสอง มีความเสี่ยงอะไรบ้าง?

ซื้อบ้านมือสอง มีความเสี่ยงอะไรบ้าง?

เป็นเรื่องปกติที่เวลาเราซื้อบ้านมือสองจะมี “ความเสี่ยง” มากกว่าบ้านใหม่ เพราะถ้าเราซื้อบ้านใหม่ ก็สามารถเลือกได้เลยว่าจะเอาโครงการไหน รู้ประวัติที่มาของโครงการ ความน่าเชื่อถือ เเต่บ้านมือสองนั้นเเตกต่างกัน เพราะอย่างๆน้อยบ้านต้องมีเจ้าของมาก่อนแล้วเเน่นอน แล้วถ้าเราจะเลือกซื้อบ้านมือสองสักหลัง เราเตรียมตัวรับมือกับความเสี่ยงเรื่องอะไรบ้าง?    1.เเน่ใจได้ยังไงว่าคนที่อยู่บ้านหลังนั้นเป็นเจ้าของบ้าน? อย่างเเรกสุดที่เราต้องเจอเลย เพราะเราไม่อาจเเน่ใจได้เลยว่าเขาใช่เจ้าของบ้านตัวจริงหรือเปล่า? หรือเพียงเเค่ผู้อยู่อาศัย ผู้เช่าบ้าน ก่อนจะตกลงซื้อขายเบื้องต้นต้องตรวจสอบให้ดีก่อน วิธีตรวจสอบคือการเอาโฉนดไปตรวจสอบที่สำนักงานที่ดินว่าเจ้าของชื่ออะไร พอถึงวันนัดวางเงินก็เอาเอกสารมาเทียบกัน ถ้าตรงกันก็ถือว่าถูกต้อง เเต่ถ้าซื้อบ้านเอง เเนะนำให้สำนักกฎหมายเข้ามาดูเเล จะปลอดภัยกว่า     2.บ้านมีทางออกมั้ย? ความเสี่ยงต่อมาคือเรื่องทางออก ถ้าเป็นบ้านที่อยู่นอกโครงการหมู่บ้านจัดสรร และมีถนนตัดผ่านหน้าบ้าน ต้องตรวจสอบก่อนว่าถนนเส้นนั้นเป็นถนนส่วนบุคคลหรือเป็นถนนภาระจำยอมที่ให้บ้านอื่นสามารถใช้ได้ร่วมกัน เเต่ถ้าใครเลือกขอสินเชื่อธนาคารก็ไม่ต้องกังวล เพราะเจ้าหน้าที่ธนาคารจะส่งฝ่ายประเมินเอกสารไปตรวจสอบให้เรา สบายใจไร้กังวล   3.เรื่องราคาจะเป็นกลางมั้ย? เรื่องสำคัญที่หลายคนกังวลคือเรื่องราคา หลายคนอาจไม่มีประสบการณ์ซื้อขายบ้านมาก่อน ดังนั้นต้องตรวจสอบราคาให้ดีก่อนว่าเป็นราคาตลาดหรือมั้ย? ถ้าเก็บข้อมูลได้เยอะเเล้วเจอหลังที่ใช่ ก็ซื้อได้เลย เเต่ถ้าเพิ่งดูครั้งเเรกแล้วชอบ ก็อย่าพึ่งรีบตัดสินใจ เราอาจจะลองค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต เเล้วเปรียบเทียบราคาบ้านในละเเวกเดียวกัน เเต่ก็ต้องเช็คข้อมูลให้ถูกต้องด้วย อย่าเชื่อหมดทุกอย่าง ได้ข้อมูลที่พอใจเเล้วเราก็ลงพื้นที่จริงได้เลย อย่าลืมอีกเรื่องคือ เมื่อตกลงราคากันได้เรียบร้อย ต้องคุยกันให้เด็ดขาดว่าฝ่ายไหนจะจ่ายค่าใช้จ่ายส่วนใดบ้าง?   4.บ้านถูกอายัดอยู่หรือเปล่า? การอายัดเกิดจากการเอาบ้านไปติดจำนองเเล้วไม่ผ่อนเจ้าหนี้ เจ้าหนี้จึงไปขออำนาจศาลอายัดบ้านไว้ก่อน เหตุการณ์แบบนี้มักเกิดกับการซื้อขายบ้านในเมือง หลายคนเลยที่ดูบ้านเรียบร้อย ตกลงจะซื้อพร้อมวางเงิน เเต่บ้านกลับถูกอายัด วิธีแก้ไขคือเราสามารถไปขอดูโฉนดที่กรมที่ดินก่อนได้ เเจ้งว่าอยากจะตรวจสอบเพราะต้องการจะซื้อบ้านหลังนี้ ส่วนเรื่องการติดจำนอง ไม่ต้องเป็นกังวล เพราะว่าคนที่ติดจำนองต้องมาไถ่ถอนไปก่อนถึงจะซื้อขายได้   5.ถ้าเอกสารสิทธิที่ครอบครองไม่ใช่โฉนดที่ดินล่ะ? กรณีเป็นพื้นที่ต่างจังหวัด เอกสารสิทธิเป็น น.ส.3 และ น.ส.3ก สามารถซื้อได้ทั้งหมด เเต่ถ้าเป็น ภบท. หรือซื้อใบรับรองจากกำนัน ผู้ใหญ่บ้านที่ยืนยันว่าใช้เป็นที่ทำมาหากิน พวกนี้ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่ควรหลีกเลี่ยง   6.ถ้าซื้อไปแล้วถูกเวนคืน? ก่อนจะเลือกซื้อบ้าน ควรตรวจสอบว่าเเถวนั้นมีโครงการทำทางด่วน รถไฟฟ้า ถนนตัดผ่านใหม่หรือเปล่า? ถ้าอยู้ในช่วงสำรวจก็ถือเป็นความเสี่ยงส่วนหนึ่ง เเต่ถ้าการเวนคืนที่ดินเเถวนั้นออกเป็นกฤษฎีกาแล้วก็สบายใจได้ เพราะถือว่าที่ดินเเถวนั้นห้ามทำการซื้อขายเด็ดขาด     7.แล้วถ้าโฉนดบ้านมีชื่อมากกว่า 1 คน ทำไงดี? เรื่องนี้เวลาวางเงินซื้อขายทุกคนต้องเซ็นยินยอม ถ้าเกิดเหตุการณ์มีคนใดคนหนึ่งไม่ยินยอมในวันโอน เราอาจโดนยึดมัดจำไปฟรีๆ เเล้วต้องมาเสียเวลามาฟ้องร้องเรียกมัดจำคืน     8.ถ้าเกิดสิ่งปลูกสร้างที่ดินไม่มาพร้อมกัน ถ้าที่ดินเป็นชื่อคนละคนกับบ้าน จะซื้อขายต้องมีประกาศจากสำนักงานที่ดินว่าทั้งสองฝ่ายยินยอมก่อน จะต้องเสียเวลาอีก 1 เดือน และถ้าหากไม่ประกาศก็โอนกรรมสิทธิ์ไม่ได้   9.ถ้ามีปัญหา มีผู้จัดการมรดกจัดการหรือเปล่า? ถ้าคนถือครองเสียชีวิต ก็ต้องดูว่ามีใครเป็นผู้จัดการมรดก ทำเรื่องเรียบร้อยเเล้วหรือยัง? เเต่ถ้าเกิดวางเงินไปแล้ว เเต่กลัวว่าจะโอนไม่ได้ ซึ่งจริงๆแล้วสามารถโอนได้ โดยขออำนาจศาลเเต่งตั้งผู้จัดการมรดกก็สามารถทำเรื่องซื้อขายกันต่อได้เเล้ว ตอนนี้เรารู้เเล้วว่าความเสี่ยงที่จะเจอเวลาเราจะซื้อบ้านมือสองนั้นมีอะไรบ้าง ดังนั้นก่อนจะตัดสินใจซื้อบ้านมือสองสักหลังต้องคิดให้ดีๆ เก็บข้อมูลให้มากๆก่อนซื้อ   ขอบคุณแหล่งที่มา  :  https://www.home2nd.com/blog/87690  
ผ่อนไหวใช่ว่าดี คำนวณก่อน ดอกเบี้ยบ้าน คุ้มค่าจริงเปล่า?

ผ่อนไหวใช่ว่าดี คำนวณก่อน ดอกเบี้ยบ้าน คุ้มค่าจริงเปล่า?

การมีทรัพย์สินติดตัวไว้ใช่ว่าจะเป็นเรื่องดีเสมอไป ยิ่งเมื่อการได้มาเป็นภาระเกินความจำเป็น ยิ่งมีมูลค่ามาก การได้มากก็ยิ่งยากขึ้นเท่านั้น และผู้ให้บริการทางการเงินส่วนมากก็มอบช่องทางสบายๆให้กับคนใจร้อน คนที่มีความต้องการมากเสียจนลืมคิดหน้าคิดหลังให้ดีซะก่อน หากคุณไม่อยากเสียผลประโยชน์จากการไม่วางแผน ลองอ่านบทความนี้ให้จบ แล้วคุณจะพบว่า ดอกเบี้ยจากการผ่อนบ้าน หากไม่บริหารให้ดี จะเจ็บหนักขนาดไหน   อันดับแรกคือหาเจ้าที่ประหยัดที่สุด เวลาเราไปดูตารางดอกเบี้ยของผู้ให้บริการทางการเงินหลายๆเจ้า เรามักจะเห็นคำว่า MRR นำอยู่ข้างหน้าเสมอ ตามด้วย สามปีแรกดอกเบี้ยกี่ % แล้วหลังจากนั้นเป็น MRR ลบเท่าไหร่ เช่น MRR = 7.25% สามปีแรก ดอกเบี้ย 3.75% ปีที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2% เมื่อเห็นแบบนี้ก็เข้าใจง่ายๆว่าคุณจะต้องโดนดอกเบี้ยปีละกี่ % แต่ค่า MRR จะเปลี่ยนไปทุกปีตามกำหนดการของธนาคาร เป็นเหตุผลที่มีการรีไฟแนนซ์ ทำให้การตัดสินใจเลือกผู้บริการธุรกรรมทางการเงินเป็นเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญเป็นอันดับต้นๆ ยังไม่รวมไปถึงปริมาณการผ่อนชำระ   หลักการผ่อนไม่ให้ขาดทุน จุดสำคัญที่อยากให้ทุกคนเข้าใจกันคือปริมาณก่อนผ่อนชำระของคุณ เพราะคนส่วนมากมักจะเลือกผ่อนทีละน้อย เพื่อไม่ให้เดือดร้อนทรัพย์สินส่วนอื่น ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ถูกไปซะหมด โดยเฉพาะกับคนที่สามารถรับผิดชอบผ่อนชำระได้มาก บางคนมีรายได้พอจะผ่อนให้เสร็จในสิบปีได้ แต่เลือกจะผ่อน 20 ปีเพื่อจะเอาเงินไปใช้ทำส่วนอื่น ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดเต็มๆ ธนาคารมักจะมีการผ่อนชำระขั้นต่ำสุดอยู่ที่ประมาณ 1ล้านต่อ 7พันบาท จะผ่อนหมดในเวลาประมาณ 142 สัปดาห์หรือ 20 ปี ซึ่งใช้เวลานานมาก ในขณะที่ปริมาณดอกเบี้ยไม่ได้ลดลงเลย คุณอาจจะมีรายได้อยู่ที่ 30,000 บาทต่อเดือน ผ่อน 15,000 บาทต่อเดือนต่อเงินต้นสองล้านบาท คุณคิดว่าคุณจะโดนดอกเบี้ยเท่าไหร่? ดอกเบี้ยหรือค่า MRR อาจจะคงที่ในทุกทุกปีที่คุณผ่อน แต่ดอกเบี้ยจะมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับเงินต้นว่าคุณผ่อนไปแล้วมากน้อยแค่ไหน ซึ่งดอกเบี้ยนั้นจะคำนวณตามเงินต้นและต้องรับผิดชอบทุกเดือน หมายความว่ายิ่งคุณจ่ายทีละน้อย เงินต้นก็จะลดลงช้าลงเท่านั้น เท่ากับว่าดอกเบี้ยก็จะลดลงช้าด้วยเช่นกัน จากล้านละเจ็ดพัน เปลี่ยนมาเป็นล้านละหมื่น จะย่นระยะเวลาการผ่อนชำระลงได้มากกว่าที่คุณคิด ยอมลงทุนผ่อนทีละมากๆต่อทรัพย์สินทีละชิ้น ดีกว่ามานั่งผ่อนยาวๆแต่เมื่อคำนวณออกมาแล้ว ดอกเบี้ยสูงเท่าเงินต้นนะครับ   รายได้ไม่พอ จะแก้ปัญหาอย่างไร? สำหรับคนที่มีความจำเป็นที่จะต้องผ่อนบ้าน หรือคนที่ผ่อนชำระไปแล้วพึ่งพบว่าตนเองกำลังขาดทุนอยู่จะแก้ปัญหาได้ทางไหนบ้าง? จริงๆแล้วหากไม่มีรายได้เพิ่ม ก็อาจจะเป็นทางออกที่ยาก แต่ก็มีทางเลือกง่ายๆดังนี้ โปะก้อนใหญ่ วิธีการแก้ปัญหาเงินต้นลดช้า แก้ได้ด้วยการโปะเงินก้อนเข้าไปในทุกทุกปีหรือทุกทุกเดือน เพื่อเป็นการลดเงินต้นอีกรูปแบบหนึ่ง แม้จะต้องใช้เงินเยอะเหมือนเดิม แต่ก็ขึ้นอยู่กับการบริหารเงินของท่านว่าทำได้มากน้อยแค่ไหน รีไฟแนนซ์ การรีไฟแนนซ์นั้นมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเสมอ หากคำนวณไม่ดี จะกลายเป็นขาดทุนไปด้วย แต่หากทำถูกวิธี จะสามารถลดดอกเบี้ยลงอย่างเห็นได้ชัด ข้อเสนอปัจจุบัน ดอกเบี้ยกำไรผู้ซื้อมีเป็นช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก หลังจากนั้นไปการรีไฟแนนซ์จึงกลายมาเป็นทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่ง หาผู้กู้ร่วม ในเมื่อไม่สามารถรับผิดชอบด้วยตัวเองได้ ก็ต้องหาคนมาช่วยรับผิดชอบ อาจจะไม่ใช่รูปแบบของการ กู้ร่วมทั้งหมด แต่ก็สามารถหารายได้เพิ่มจากที่พักที่คุณมีนี่แหล่ะ ไม่ว่าจะเป็นเช่าที่ หรือเปลี่ยนเป็นหอพักก็ดีทั้งนั้น อย่างไรก็ตาม ปัญหานี้ไม่สามารถแก้ที่ปลายทางได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ วิธีการหลีกหนีดอกเบี้ยบ้านที่สูงเกินไป อยู่ตั้งแต่ตอนเริ่มขอสินเชื่อ ตั้งแต่ตอนคำนวณฐานรายได้และรูปแบบการชำระที่คุณต้องการ หากเตรียมพร้อมไว้ก่อน ก็จะไม่มีปัญหา อย่างไรก็ตาม คนที่ไม่มีทางเลือกก็จำเป็นต้องพยายามให้หนักกว่าคนอื่น หากต้องการจะออกจากวังวนนี้ แม้ว่าการผ่อนระยะเวลานานจะเป็นทางเลือกที่คุณสบายใจที่สุด แต่การผ่อนเงินเพียงสองล้านบาทอาจกลายเป็นดอกเบี้ยร่วมหนึ่งล้านบาทได้เลย มากพอที่จะคุณถอยรถยนต์อีกคันได้สบายๆ ดังนั้นก่อนจะทำการใหญ่ การศึกษาข้อมูลทางการเงินมีความจำเป็นมากกว่าที่คุณคิด อย่ารีบร้อน วางแผนให้ดีก่อน ขอบคุณข้อมูลจาก : https://finance.rabbit.co.th/blog/minimum-house-installment        
เรื่องควรรู้ก่อนตัดสินใจ รีไฟแนนซ์บ้าน

เรื่องควรรู้ก่อนตัดสินใจ รีไฟแนนซ์บ้าน

เรื่องของสินเชื่ออาจจะเป็นเรื่องที่เข้าใจยากซักหน่อย แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นเรื่องที่เราต้องรู้ไว้ ไม่ว่าคุณจะกำลังผ่อนบ้านอยู่ หรือกำลังตัดสินใจจะซื้อบ้านซักหลังเป็นของตัวเอง เรื่องสินเชื่อบ้าน ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องไกลตัวเลยค่ะ     รีไฟแนนซ์บ้านคืออะไร? การรีไฟแนนซ์บ้าน คือ การขอกู้ยืมสินเชื่อก้อนใหม่จากธนาคารหรือสถาบันการเงินที่เรามีสัญญาการผ่อนชำระอยู่เดิม หรือ จะทำเรื่องกู้เงินจากธนาคารหรือสถาบันการเงินแห่งใหม่ มาโปะหนี้จากธนาคารเดิมก็สามารถทำได้ การรีไฟแนนซ์บ้าน ไม่ว่าจะเป็นการขอกู้เงินจากธนาคารเดิม หรือธนาคารหรือสถาบันการเงินแห่งใหม่ ต่างมีจุดประสงค์เพื่อขยายระยะเวลาการผ่อนที่เหลือให้นานขึ้น และมีค่างวดน้อยลง หรือ เพื่อให้ผ่อนหมดเร็วขึ้น     คนส่วนใหญ่มักจะนิยมรีไฟแนนซ์บ้าน หรือ คอนโดมิเนียม กันทุกๆ 3  ปี หรือ เมื่อเริ่มที่จะรู้สึกว่าผ่อนไม่ไหว แต่ในความเป็นจริงแล้ว การรีไฟแนนซ์บ้าน ไม่จำเป็นต้องรอให้เรารู้สึกว่าผ่อนบ้านหรือคอนโดไม่ไหวถึงจะยื่นเรื่องขอรีไฟแนนซ์ เพราะ ธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆ มีกำหนดให้สามารถรีไฟแนนซ์ได้เรื่อยๆ (ทุกรอบ 3ปี) ทั้งนี้เพราะธนาคารและสถาบันการเงินแต่ละแห่งล้วนมีแรงจูงใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลงนั่นเอง เพราะอัตราดอกเบี้ยในการกู้เงินซื้อบ้านหรือคอนโดของทุกธนาคารจะถูกแค่ในช่วง 3 ปีแรกเท่านั้น และหลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ยจะเพิ่มขึ้น หมายความว่าคุณจะต้องจ่ายค่างวดและดอกเบี้ยการผ่อนบ้านในอัตราปกติ จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกค้าหลายๆคนจึงเลือกทำการรีไฟแนนซ์บ้านกับธนาคารหรือสถาบันการเงินแห่งใหม่นั่นเอง       1.เงื่อนไขการรีไฟแนนซ์ของธนาคารและสถาบันการเงินแต่ละแห่ง ปัจจัยหลักๆของการกู้สินเชื่อบ้านคือดอกเบี้ย ดังนั้นหากคุณต้องการจะรีไฟแนนซ์ ดอกเบี้ยคือสิ่งที่จะต้องพิจารณาเป็นอย่างแรก อัตราดอกเบี้ยสำหรับการรีไฟแนนซ์ที่เหมาะสม คือ อัตราดอกเบี้ยจะต้องต่ำกว่าดอกเบี้ยตลอดสินเชื่อที่ใช้ในปัจจุบัน รวมทั้งเงื่อนไขเรื่องจำนวนเงินผ่อนต่องวดที่ต้องลดลงและ ระยะการผ่อนที่นานขึ้นเพราะธนาคารและสถาบันการเงินแต่ละแห่ง ย่อมมีเงื่อนไขการรีไฟแนนซ์ที่ต่างกัน หากคุณรู้เงื่อนไขของธนาคารแต่ละแห่ง จะทำให้เราสามารถคำนวนได้ว่าการรีไฟแนนซ์บ้านแต่ละครั้งมีส่วนช่วยในการลดดอกเบี้ยได้มากน้อยแค่ไหน     2.ค่าใช้จ่ายโดยรวมทั้งหมด อัตราดอกเบี้ย ค่าประเมินราคาทรัพย์สิน ค่าธรรมเนียมการปล่อยกู้ ค่าอากรแสตมป์ ค่าจำนองที่ดิน ค่าทำประกัน หรือค่าบริการอื่นๆ (ค่าประกันอัคคีภัย) ส่วนมากค่าใช้จ่ายโดยรวมนี้คุณสามารถคำนวนได้จากเว็บไซต์ของธนาคารและสถาบันการเงินแต่ละแห่ง เพราะในปัจจุบันธนาคารและสถาบันการเงินที่มีการให้บริการรีไฟแนนซ์ จะมีบริการคำนวนค่าใช้จ่ายให้แก่ลูกค้าที่ต้องการใช้บริการรีไฟแนนซ์อยู่แล้ว     3.ต้องรู้ว่าใช้เอกสารอะไรในการยื่นขอรีไฟแนนซ์บ้าง สำเนาบัตรประชาชน/สำเนาทะเบียนบ้าน พร้อมฉบับจริง ใบรับรองเงินเดือน (ย้อนหลัง 3เดือน) หรือ หนังสือผ่านสิทธิสวัสดิการข้อตกลง ฉบับจริง ใบเสร็จการผ่อนชำระย้อนหลัง 24 เดือน (ในกรณีรีไฟแนนซ์บ้านแบบไถ่ถอน) สำเนาบัญชีเงินฝากแสดงรายการย้อนหลัง 6 เดือน และหลักฐานแสดงฐานะการเงินอื่น ๆ พร้อมฉบับจริง หรือ Statement พร้อมเซ็นต์รับรอง หากผู้ยื่นเรื่องขอรีไฟแนนซ์ ประกอบอาชีพส่วนตัว ให้นำสำเนาใบประกอบวิชาชีพ หรือ ใบอนุญาตประกอบการ มาแสดงด้วย แต่หากประกอบธุรกิจให้นำสำเนาทะเบียนการค้า ทะเบียนบริษัท หรือทะเบียนห้างหุ้นส่วนฯ พร้อมยื่นหลักฐานการเสียภาษีเงินได้ แนบใบเสร็จตัวจริงจากกรมสรรพากร ย้อนหลัง 6 เดือน มาด้วย (รูปถ่ายกิจการ จำนวน 3-4 รูป) สำเนาโฉนดที่ดิน/นส.3ก/หนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด/อช.2(2ชุด) พร้อมรับรองจาก สนง.ที่ดิน     4.ศึกษาขั้นตอนการรีไฟแนนซ์เบื้องต้น การศึกษาขั้นตอนการรีไฟแนนซ์บ้านจะทำให้คุณประหยัดเวลาในการดำเนินการได้มากขึ้น รวมถึงคุณสามารถเตรียมเอกสารและดำเนินการยื่นเอกสารได้ทันเวลาอีกด้วยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น การติดต่อขอสำเนาสรุปยอดหนี้เงินกู้กับธนาคารเก่า ยื่นเอกสารสรุปยอดหนี้ที่ได้จากธนาคารแห่งเก่าไปขอรีไฟแนนซ์กับธนาคารหรือสถาบันการเงินแห่งใหม่ เจ้าหน้าที่ธนาคารมาประเมินทรัพย์สิน การนัดวันไถ่ถอนที่สำนักงานที่ดินธนาคารเดิม การนัดวันทำสัญญากับธนาคารหรือสถาบันการเงินแห่งใหม่ ดำเนินการเรื่องโอนที่ที่ดินในเขตที่ของเราตั้งอยู่   แม้ว่าข้อมูลต่างๆจะสำคัญต่อการรีไฟแนนซ์บ้าน แต่การศึกษาข้อมูลอย่างเดียวอาจจะไม่ใช่ทางออกทั้งหมด คุณควรดูปัจจัยจากตัวคุณเพิ่มเข้าไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นรายได้ประจำ เงินเก็บ กำลังทรัพย์ แนวมโน้มทางการเงิน แนวโน้มหน้าที่การงาน รวมถึงการคำนวนความสามารถในการผ่อนค่างวด ดอกเบี้ย รวมถึงระยะเวลาในการผ่อนด้วย  ขอบคุณข้อมูลจาก : https://finance.rabbit.co.th/blog/re-finance-101        
ข้อคำนึงถึงความปลอดภัยของที่อยู่อาศัย

ข้อคำนึงถึงความปลอดภัยของที่อยู่อาศัย

เมื่อที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิต ดังนั้นการคิดเลือกซื้อคอนโดมิเนียมหรือบ้านสักหลังก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งเลยใช่ไหมคะ? ครั้นจะเลือกซื้อเพราะถูกใจในทำเล แนวคิดโครงการ ขนาดพื้นที่ใช้สอย หรือชื่อเสียงจากผลงานที่ผ่านมาของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังอย่างเดียวก็คงจะไม่พอ อีกหนึ่งข้อสำคัญที่พวกเราทีมงาน Review Your Living อยากให้คุณผู้อ่านพิจารณาให้ดีในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยนั่นก็คือ ‘ความปลอดภัย’ ทั้งในด้านของชีวิตและทรัพย์สินค่ะ เพราะถ้าลำดับเหตุการณ์จากข่าวโจรกรรมที่เกิดขึ้นในประเทศจะเห็นได้ว่ามีบ้านในโครงการหรือแม้กระทั่งคอนโดมิเนียมส่วนหนึ่งที่ดูเหมือนปลอดภัยดี แต่ก็ยังไม่วายที่จะโดนยกเค้า! วันนี้เราจึงรวบรวม 3 ข้อมูลโดยเน้นในเรื่องความปลอดภัยของที่อยู่อาศัยมาฝากค่ะ เพื่อให้ทุกคนได้คำนึงและนำไปตรวจสอบก่อนตัดสินใจซื้อพร้อมย้ายเข้าอยู่อย่างสบายใจ บทความโดย Review Your Living 1. ความปลอดภัยในการวางแผนออกแบบโครงการ ข้อนี้ถือว่าเป็นหัวใจหลักของการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยเลยล่ะค่ะ เพราะการออกแบบถนนและจัดวางตำแหน่งอาคารให้มีความเป็นอยู่ปลอดภัย การจัดแบ่งโซนนิ่งหรือการสัญจรในโครงการ รวมไปจนถึงการเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่ดี การจัดระบบรักษาความปลอดภัยและระเบียบการบริหารของหมู่บ้าน/คอนโดฯ  ก็ล้วนแต่มีความสำคัญที่จะทำให้ที่อยู่อาศัยสบายและปลอดภัยมากขึ้น 2. ระบบป้องกันภัยของโครงการ เป็นอีกเรื่องที่ถือว่ามีความสำคัญต่อความสุขและความสบายใจของครอบครัวไม่ใช่น้อยจริงๆ ค่ะ สำหรับระบบป้องกันภัยของโครงการ ฉะนั้นการเลือกระบบป้องกันภัยที่เราสามารถตรวจสอบได้หลักๆ เลยก็คือ ความสูงของรั้วโครงการควรสูงเกิน 3 เมตรขึ้นไป ระบบควบคุมการเข้าออกโครงการควรมีพนักงานรักษาความปลอดภัย ควมคุมการเข้าออกยานพาหนะด้วยระบบอิเล็คโทรนิกส์ เซ็นเตอร์ คอนโทรล แทนการติกสติ๊กเกอร์หน้ากระจก มีระบบประตูทางเข้า 2 ชั้น กล้องวงจรปิด CCTV ที่คอยบันทึกเทปตลอด 24 ชั่วโมง การควบคุมด้วยระบบ Key Card ทั้งการเข้าออกและการใช้ลิฟต์ การออกแบบโครงการให้ดูโปร่งโล่ง ง่ายต่อการมองเห็นหรือตรวจสอบลาดตระเวน เพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุจราจร 3. การจัดการและออกกฎระเบียบรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพสูง อย่างที่ทราบกันดีแหละค่ะว่าทุกๆ โครงการบ้านหรือคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่นั้นจะมีนิติบุคคลคอยดูแลทั้งในเรื่องของพื้นที่ส่วนกลางและระบบรักษาความปลอดภัย แต่ถ้าจะให้มั่นใจก็ควรตรวจสอบถึงกฎเกณฑ์ต่างๆ ให้รอบคอบกันสักนิดนะคะ อาทิ บุคคลภายนอกที่จะเข้ามาในโครงการนั้นต้องแลกบัตรทุกครั้ง หรือถ้าเป็นคอนโดฯ ก็ควรมีบริเวณพื้นที่ล็อบบี้รองรับไม่ให้เข้าไปสู่ด้านบนได้ทันที การตรวจสอบช่วงเวลาลาดตระเวนของรปภ. ที่ควรมีทุกชั่วโมง และการจัดยามรักษาการณ์ประจำบริเวณแยกแต่ละโซนนอกเหนือจากจุดผ่านเข้าออกโครงการ เป็นต้น ข้อมูลข้างต้นที่เรานำมาฝากนั้นก็เป็นเพียงตัวช่วยหนึ่งในการคำนึงถึงความปลอดภัยของที่อยู่อาศัย แต่ถ้าคุณผู้อ่านกำลังตัดสินใจจะเลือกซื้อบ้านหรือคอนโดฯ พวกเราทีมงาน Review Your Living แนะนำให้ลองศึกษาถึงข้อดีและข้อเสียของด้านอื่นๆ ด้วยนะคะ จะได้มีที่อยู่อาศัยที่ใช่และตรงใจที่สุดนั่นเอง เป็นยังไงกันบ้างค่ะกับบทความดีๆ ที่เราเอามาฝาก ยังมีบทความน่ารู้อีกมากมายให้ได้ติดตามกันได้ที่นะคะ https://goo.gl/dwpzgr  
จะกู้บ้านทั้งที ต้องทำประกันด้วยหรือ?

จะกู้บ้านทั้งที ต้องทำประกันด้วยหรือ?

เมื่อความฝันในการมีบ้านหลังแรกหรือคอนโดมิเนียมในปัจจุบันนั้นไม่ใช่เรื่องยากอยู่ไกลเกินเอื้อมสักเท่าไหร่  เพราะเพียงแค่คุณวางเงินจองหรือดาวน์ตามสัญญาข้อกำหนดของโครงการที่ถูกใจ จากนั้นก็ดำเนินตามขั้นตอนคือยื่นกู้ธนาคาร รอผลอนุมัติ เพียงเท่านี้ความฝันของคุณก็เป็นจริงขึ้นมาแล้วแล้วค่ะ แต่การทำเรื่องขอเงินกู้เพื่อซื้อบ้านกับธนาคารนั้นส่วนใหญ่มักจะมีเรื่องของข้อเสนอขายกรมธรรม์พ่วงเข้ามาเกี่ยวข้องให้เราทำด้วย เพื่อได้อัตราดอกเบี้ยในการกู้สินเชื่อที่ถูกกว่าการไม่ทำประกัน บางคนอาจจะสงสัยว่าเราต้องทำด้วยไหม? ทำไปแล้วได้อะไร? วันนี้ทีมงาน Review Your Living จึงได้รวบรวมข้อมูลคลายข้อสงสัยมาฝากค่ะ เรียบเรียงโดย Review Your Living   สำหรับประกันสินเชื่อบ้านนั้นมีอยู่ 3 ประเภท คือ   1. ประกันคุ้มครองหลักทรัพย์ เป็นประกันชีวิตที่คุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้านที่เราได้รับอนุมัติจากธนาคารนั่นเองค่ะ ซึ่งจะมีระยะเวลาคุ้มครองให้คุณเลือกตั้งแต่ 5 – 30 ปี อัตราค่าเบี้ยประกันนั้นก็ขึ้นอยู่กับวงเงินสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติ ส่วนวิธีการชำระค่าดอกเบี้ยก็มักจะรวมอยู่ในวงเงินสินเชื่อแล้วค่ะ สังเกตได้ว่าทุกๆ ธนาคารมักจะใช้อัตราดอกเบี้ยมาเป็นสิ่งจูงใจเพื่อให้ผู้บริโภคเลือกโปรแกรมสินเชื่อที่มีประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้านด้วย โดยทางเลือกนี้อัตราดอกเบี้ยจะถูกกว่าสินเชื่อธรรมดาประมาณ 0.5% ค่ะ   ทั้งนี้ประโยชน์ของประกันชนิดนี้ก็น่าสนใจไม่ใช่น้อยนะคะ ยกตัวอย่างเช่น กรณีที่คุณกำลังผ่อนบ้านอยู่กับธนาคารและเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดเสียชีวิตหรือทุพลภาพถาวรตามระยะเวลาที่ระบุไว้ในกรมธรรม์ บริษัทจะเป็นผู้จ่ายเงินกู้ที่เหลืออยู่ทั้งหมดกับธนาคารให้ หากคำนวณแล้วทุนประกันสูงกว่าจำนวนหนี้ที่เหลืออยู่นั้นครอบครัวก็มีสิทธิ์ได้ส่วนต่างคืน รวมถึงไม่ต้องกังวลว่าจะถูกยึดบ้านอีกด้วย และสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้นะคะ   2. ประกันอัคคีภัย เป็นประกันคุ้มครองบ้านระยะเวลาสั้นๆ แต่ต้องทำเป็นประจำทุกปีหรือ 2-3 ปีตามข้อตกลง กรณีที่เกิดอัคคีภัยซึ่งจะคุ้มครองเฉพาะตัวบ้านไม่รวมที่ดินนะคะ  หากเกิดอัคคีภัยขึ้นบ้านที่ไม่มีภาระหนี้ผลประโยชน์ก็จะเป็นของเจ้าของบ้านโดยตรง แต่ถ้าตัวบ้านติดจำนองกับธนาคาร ผู้รับประโยชน์คือธนาคารซึ่งจะหักไปกับหนี้ที่เหลืออยู่ ทำให้เจ้าของบ้านมีหนี้น้อยลงหรือหมดไปแล้วแต่กรณีข้อตกลง โดยประกันชนิดนี้จะคลอบคลุมความเสียหายของบ้านจาหเหตุการณ์อาทิ ไฟไหม้ ฟ้าผ้า แก๊สจากการทำแสงสว่าง แต่ไม่รวมการระเบิดดนื่องจากแผ่นดินไหว เป็นต้น   pinterest 3. ประกันภัยพิบัติ ประกันที่คุ้มครองบ้านจากภัยธรรมชาติต่างๆ อาทิ น้ำท่วม แผ่นดินไหว พายุเข้า เป็นต้น ซึ่งจะมีเงื่อนไขตามข้อกำหนดของแต่ละธนาคารและเสียเบี้ยประกัน 0.5% ของราคาบ้านต่อปี โดยที่รัฐบาลไม่ได้บังคับ จะทำหรือไม่ทำก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของคุณเองค่ะ แต่ประกันชนิดนี้จะไม่คลอบคลุมบ้านในพื้นที่ที่ถูกกำหนดว่าเป็นพื้นที่รองรับน้ำ กักเก็บน้ำ ทางผ่านน้ำนะคะ ดังนั้นถ้าจะซื้อบ้านอยู่ตรงไหนก็ควรศึกษาพื้นที่ให้ดีก่อนแล้วกันนะจ๊ะ     "สรุป" การทำประกันทุกๆ ชนิดที่มาพร้อมกับวงเงินกู้ซื้อบ้านนั้น ส่วนใหญ่ต่างก็มีข้อเสนอที่น่าสนใจไม่ใช่น้อยเลยใช่ไหมล่ะคะ? เพราะฉะนั้นถ้าใครกำลังจะตกลงปลงใจซื้อบ้านและยื่นกู้ธนาคาร ทีมงาน Review Your Living ก็อยากให้คุณศึกษาข้อมูลให้ดีก่อนตัดสินใจ ข้อแนะนำง่ายๆ คือลองปรึกษาเจ้าหน้าที่สินเชื่อขอคำอธิบายเงื่อนไขต่างๆ ให้เข้าใจทุกรายละเอียดอย่างถี่ถ้วนก่อน เพื่อลดความเสี่ยงและความสบายใจของครอบครัวคุณเอง       ขอขอบคุณภาพจาก www.toonpool.com/cartoons/Fire_7295            
11 ปัญหาสุดเบสิกของสนามหญ้า จัดการได้อยู่หมัด

11 ปัญหาสุดเบสิกของสนามหญ้า จัดการได้อยู่หมัด

สนามหญ้าสวย ๆ ต้องเป็นสนามหญ้าที่เขียวชอุ่ม ต้นหญ้าทุกต้น รวมถึงดินก็ต้องดูสุขภาพดี ซึ่งถ้าคุณเป็นอีกคนที่เลือกจะปลูกสนามหญ้าเอาไว้ที่บ้าน เพื่อเพิ่มความสดชื่นและบรรยากาศสวย ๆ แต่จัดการดูแลแค่ไหนสนามหญ้าก็ยังมีปัญหาจุกจิกกวนใจอยู่ตลอด ถ้าอย่างนั้นลองมาดูวิธีจัดการปัญหาสุดเบสิกของสนามหญ้าตามนี้กันดีกว่า เผื่อจะช่วยให้คุณแก้ปัญหาสนามหญ้าที่ไม่ได้ดั่งใจได้บ้างนะคะ   1. หญ้าไม่ขึ้นแถวโคนต้นไม้ สำหรับปัญหาพื้นที่สนามหญ้าเป็นช่องโหว่ เพราะปลูกหญ้าไม่ขึ้นบริเวณใต้โคนต้นไม้ แนะนำให้เลือกปลูกหญ้าให้ถูกทิศทาง ในพื้นที่ด้านทิศเหนือ ควรเลือกปลูกต้นหญ้าพันธุ์ที่ไม่ชอบแดดเท่าไร ส่วนพื้นที่ด้านทิศใต้ ให้เลือกปลูกหญ้าพันธุ์ที่มีลำต้นสูงสักนิด เพื่อให้เขาชูต้นมารับแดดได้สะดวก จะช่วยลดปัญหาหญ้าขึ้นเป็นหย่อม ๆ ได้ค่ะ   2. หญ้าเฉาตรงที่เป็นเนิน ในพื้นที่ที่เป็นเนินสูง อาจจะเจอปัญหาต้นหญ้าแห้งตาย หรือไม่เจริญเติบโตบ้าง ซึ่งหลัก ๆ แล้วก็เกิดจากพื้นที่ที่เป็นเนินสูง จะมีโอกาสได้รับแสงแดดดีกว่าปกติ ทำให้ดินแห้งได้ง่าย ต้นหญ้าก็เลยไม่ได้รับน้ำที่พอเพียงสำหรับการเจริญเติบโต วิธีแก้ปัญหาก็ง่าย ๆ เลย แค่จัดการระบบน้ำในส่วนนี้เพิ่มเข้าไปอีกหน่อย หรือเพื่อความยั่งยืน จะให้ผู้เชี่ยวชาญเลือกพันธุ์หญ้า และจัดการระบบรดน้ำให้ก็ได้   3. วัชพืชก่อกวนสนามหญ้า ถ้าสนามหญ้าของคุณเต็มไปด้วยวัชพืชที่ขึ้นแซมไม่หยุดหย่อน ให้จัดการวัชพืชเหล่านี้ด้วยยากำจัดวัชพืชไปเลย แต่ก็ควรเลือกสูตรที่เป็นธรรมชาติมากที่สุด และต้องฉีดกำจัดวัชพืช 2 ช่วง คือ ช่วงฤดูฝน และช่วงฤดูหนาว เนื่องจากวัชพืชในแต่ละฤดูก็เป็นวัชพืชต่างชนิดกัน อาจต้องใช้วิธีการกำจัดที่แตกต่างกันไปด้วย   4. สนามหญ้าโหว่เป็นช่วง ๆ สาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้สนามหญ้าไม่สวยเพอร์เฟคท์ คงหนีไม่พ้นสนามหญ้าเว้าแหว่งเป็นหย่อม ๆ ไม่เขียวชอุ่มทั่วกันทั้งผืน ซึ่งถ้าเกิดปัญหานี้ขึ้นกับสนามหญ้าของคุณ ให้จัดการถอนเศษหญ้า ปรับหน้าดินในบริเวณนั้นให้เรียบร้อย จากนั้นปลูกพันธุ์หญ้าลงไปใหม่รดน้ำให้ชุ่ม และหาพืชมาปกคลุมดินบริเวณนั้นให้ชุ่มชื้นอยู่ตลอดด้วย ปล่อยทิ้งไว้ 2 สัปดาห์ หมั่นรดน้ำบ่อย ๆ อนุบาลจนหญ้าค่อย ๆ เติบโตอย่างแข็งแรง หรือจะเลือกใช้หญ้าแผ่นสำเร็จรูปมาปูเสริมพื้นที่ก็ได้เช่นกัน แต่อาจจะต้องดูเรื่องพันธุ์หญ้า สี และขนาดของต้นหญ้าให้ใกล้เคียงที่สุด เพื่อเลี่ยงปัญหาผืนหญ้ามีสีไม่สม่ำเสมอกันด้วย   5. ต้นหญ้ากลายเป็นสีน้ำตาล หญ้าที่กลายเป็นสีน้ำตาลเป็นหย่อม ๆ มีสาเหตุมาจากเชื้อราฟูซาเรียม (Fusarium) ที่มาพร้อมกับความชื้นที่มากเกินไป จนทำให้ต้นหญ้ากลายเป็นสีน้ำตาลในบริเวณกว้าง ซึ่งเราก็ควรแก้ปัญหาด้วยการใส่ปุ๋ยบำรุง และพยายามลดความชื้นด้วยการหาทางระบายน้ำให้ดินมากขึ้น อีกทั้งควรจะหายาฆ่าเชื้อรามาจัดการเสริมด้วยอีกแรง   6. มีใยสีเทาปกคลุมต้นหญ้า ในตอนเช้าหลังน้ำค้างตก อาจจะมีโอกาสได้เห็นทั้งหยดน้ำค้าง และใยสีเทาจาง ๆ บนยอดหญ้าพร้อม ๆ กัน แต่ใยที่ว่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ดีกับสุขภาพของสนามหญ้านัก เพราะถ้าปล่อยไว้ไม่รีบจัดการ ใยบาง ๆ สีเทาที่เป็นเชื้อรา ก็อาจจะลุกลามปกคลุมต้นหญ้าในบริเวณกว้างกว่านี้ ฉะนั้นจึงต้องรีบหายาฆ่าเชื้อรามาฉีดพ่น เพื่อกำจัดเชื้อราทั้งหมดให้เกลี้ยง   7. โคนต้นหญ้าเป็นสีส้มสนิม ต้นหญ้าที่มีสุขภาพไม่ดี มักจะดูออกได้ง่าย ๆ ที่โคนต้น หากลำต้นของต้นหญ้าแห้งเหี่ยว แถมที่โคนต้นยังมีสีส้มคล้าย ๆ สีสนิมเกาะอยู่ด้วย ก็แปลได้ว่า สนามหญ้าของคุณขาดน้ำในปริมาณที่พอเพียงแล้วล่ะ รวมทั้งปุ๋ยและสารอาหารก็มีไม่พอเช่นกัน ดังนั้นก็ควรรีบหาปุ๋ยมาใส่ และบำรุงดูแลด้วยการรดน้ำให้ชุ่มชื้นเสมอ นอกจากนี้ก็ควรตัดหญ้าบ่อย ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้ต้นหญ้าได้ผลัดใบด้วย   8. หญ้าขึ้นเขียวชอุ่มล้อมต้นหญ้าที่ตายแล้ว หากเกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้นกับสนามหญ้าของคุณ ก็แสดงว่าพื้นดินบริเวณนั้นมีความชื้นมากเกินไป จนอาจจะมีเห็ดเติบโตขึ้นได้ และเราก็ควรปรับปรุงพื้นดินตรงนั้นให้อุดมสมบูรณ์ และร่วนซุยขึ้นอีกนิด ด้วยการใส่ปุ๋ยบำรุงลงไป จากนั้นก็ควบคุมความชื้นให้สม่ำเสมอประมาณ 3-5 วัน   9. สนามหญ้าแห้งตายขยายวงกว้าง ถ้าจู่ ๆ สนามหญ้าของคุณเริ่มกลายเป็นสีน้ำตาลมากขึ้นทุกที และขยายวงกว้างจนความสวยงามหายไปไม่มีเหลือ ให้ขุดดินตรงบริเวณที่เป็นปัญหาขึ้นมาสำรวจดูว่ามีเชื้อรา หรือแมลงอะไรมาก่อกวนสนามหญ้าของคุณหรือเปล่า ถ้ามีก็จัดการกำจัดให้สิ้นซาก โดยใช้ยากำจัดศัตรูพืชจำพวก Diazinon, Isofenphos หรือ Chlorpyrifos ซึ่งก่อนใช้ควรจะเช็กเรื่องความปลอดภัยต่อสัตว์เลี้ยง เด็ก และคนชราก่อนด้วย หรือทางที่ดีแจ้งหน่วยงานหรือผู้เชี่ยวชาญมาทำให้ดีกว่าค่ะ   10. มีเห็ดขึ้นหลากหลายชนิด หลายคนอาจจะกุมขมับหากจะบอกว่าเห็ดเป็นสิ่งมีชีวิตที่กำจัดออกยากที่สุดในบรรดาวัชพืชที่ขึ้นแซมมาในสนามหญ้า เพราะต้องใช้วิธีการดึงออกเท่านั้นจึงจะกำจัดได้ แต่นี่ก็เป็นเพียงวิธีการแก้ปัญหาชั่วคราว ดังนั้นทางที่ดีควรจะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ด้วยการจัดการระบบระบายน้ำให้ดี เพื่อเลี่ยงการสะสมความชื้น ต้นเหตุของเชื้อรา รวมทั้งกำจัดสารอินทรีย์ที่เน่าเปื่อย และตอไม้ออกจากสนามหญ้าด้วยค่ะ   11. น้ำท่วมขังในสนามหญ้า สาเหตุของการที่มีน้ำขังท่วมสนามหญ้ามีอยู่หลายปัจจัย ทั้งพื้นที่ต่ำเกินไป หรือฝนตามฤดูที่ตกชุก แต่ปัญหานี้ก็แก้ไม่ยาก แค่คุณลองหาไม้พุ่มหรือไม้ยืนต้นมาปลูกในสนามหญ้า เลือกเอาพันธุ์ที่ทนทานต่อสภาพน้ำท่วมขัง และดินที่แห้งแล้งด้วยก็ดี เช่น ต้นจั๋ง ต้นจันทร์ผา หรือหมากเหลือง เป็นต้น ปลูกต้นไม้เอาไว้แบบนี้ ก็จะช่วยให้น้ำที่ท่วมขังอยูในสนามหญ้า ค่อย ๆ ถูกดูดซึมจนหมดไปได้เองจ้า   จะว่าไปปัญหาสนามหญ้าก็จุกจิกพอตัวเลยนะคะ แต่ถ้าเรามีวิธีจัดการดูแลอย่างดีจะกี่ปัญหาก็เหมือนจะไม่ใช่ปัญหา แต่เป็นแค่อุปสรรคเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เราต้องปัดเป่าให้หมดไป เพื่อที่สนามหญ้าของเราจะได้เขียวชอุ่มสุดเพอร์เฟคท์อย่างที่ตั้งใจไว้จ้า   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  home.kapook.com
9 วิธีแต่งบ้านคลายร้อน ช่วยให้บ้านเย็นน่าอยู่ อากาศสบายไม่อบอ้าว

9 วิธีแต่งบ้านคลายร้อน ช่วยให้บ้านเย็นน่าอยู่ อากาศสบายไม่อบอ้าว

บ้านร้อนอบอ้าวทำไงดี แก้ปัญหาได้ง่าย ๆ ด้วย 9 ไอเดียแต่งบ้านรับซัมเมอร์ ที่จะทำให้บ้านเย็นสดชื่น ไม่อบอ้าว อยู่ในบ้านได้สบาย ๆ ไม่ต้องหาเรื่องออกไปเที่ยข้างนอก อย่างที่รู้ ๆ กันว่าประเทศของเราเป็นเมืองร้อนอยู่แล้ว พอย่างก้าวเข้าสู่ฤดูร้อนทีไรอากาศก็จะยิ่งทวีความร้อนให้เพิ่มพูนขึ้นไปอีก วันนี้เราเลยขอนำ 9 ไอเดียแต่งบ้านหน้าร้อนที่จะช่วยลดอุณหภูมิภายในและทำให้บ้านเย็นสบายขึ้นไม่ต้องหนีบ้านร้อน ๆ เพื่อดอดไปตากแอร์เย็น ๆ ที่ห้างอีกต่อไป แล้วจะมีวิธีไหนที่น่าสนใจนำมาใช้กับที่บ้านได้บ้างนั้นก็ตามไปไปดูกันเลยยย.. 1. ติดกันสาดกันแดด ในเมื่อเราไม่สามารถหลบเลี่ยงบ้านจากแสงแดดได้ การติดตั้งกันสาดช่วยลดความร้อนได้ โดยควรจะติดไว้บริเวณทิศตะวันตก ทิศตะวันออก และทิศใต้ เนื่องจากทั้ง 3 ทิศที่ว่ามานี้เป็นทิศที่มักจะมีแสงส่องเข้ามาเลยทำให้บ้านยิ่งร้อนหนักหากไม่มีอะไรมาบัง ถ้าจะให้ดีควรเลือกกันสาดชนิดโพลีไวนิลคลอไรด์และแบบวัสดุสังเคราะห์ เพราะจะทนทานสามารถใช้งานได้ยาวนานกว่าวัสดุชนิดอื่น ๆ และช่วยให้บ้านเย็นได้มากกว่า 2. ใช้หลังคาป้องกันความร้อน การเลือกหลังคาก็เป็นสิ่งสำคัญ หากไม่อยากให้บ้านร้อนระอุในหน้าร้อน ควรเลือกหลังคาที่มีสารเคลือบเซรามิคโค้ทติ้ง ซึ่งจะช่วยปกป้องและสะท้อนความร้อนจากแสงอาทิตย์ได้ดี หรืออีกหนึ่งวิธีก็คือใช้สีขาวทาหลังคาบ้าน เพราะสีขาวจะช่วยสะท้อนความร้อนและไม่อมความร้อนไว้เหมือนหลังคาสีเข้ม 3. ปลูกต้นไม้ให้ร่มเงา สังเกตไหมว่าต่อให้แดดจะร้อนแรงสักแค่ไหน แต่ถ้ามีต้นไม้ช่วยบังแสงไว้ก็จะทำให้บริเวณนั้นเย็นขึ้นมาทันที ดังนั้นเพื่อช่วยในการบังแสงและให้ร่มเงาแก่บ้าน ควรเลือกต้นไม้ที่สูงสักประมาณ 12 เมตร มาปลูกไว้ทางทิศใต้ และนำต้นไม้สูง 18 เมตรมาปลูกไว้ทางทิศตะวันตก นอกจากจะบังแสงได้แล้ว วิธีนี้ยังช่วยประหยัดพลังงาน ทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ต้องทำงานหนัก เพราะอุณหภูมิภายในลดลงนั่นเอง 4. เปิดหน้าต่างระบายอากาศ ถ้าอากาศในภายบ้านแลดูร้อนอบอ้าวไปซะทุกพื้นที่ ให้เปิดหน้าต่างทิ้งเอาไว้ให้ลมโกรก เพื่อให้อากาศถ่ายเทสะดวก โดยเมื่ออากาศจากด้านนอกจะเข้ามาภายในบ้าน มันก็จะดันอากาศร้อนที่อยู่ภายในบ้านให้ลอยตัวสูงและไหลออกไป ช่วยระบายความร้อนอบอ้าว ทำให้บ้านเย็นสบายไม่อึดอัด 5. ติดพัดลมเพดาน หลายคนอาจจะคิดว่าพัดลมเพดานนั้นไล่ความร้อนได้ช้า ไหนจะอยู่ไกลตัวจนไม่สามารถนำมาเปิดจ่อลมได้โดยตรงอย่างพัดลมตั้งพื้นทั่วไปอีก แต่ที่จริงแล้วพัดลมเพดานนี่แหละที่เหมาะกับการใช้งานในฤดูร้อนมากที่สุด เพราะมันจะดูดเอาความร้อนจากพื้นให้ลอยตัวสูงขึ้นและปล่อยให้อากาศเย็นสบายไหลเข้ามาแทนที่ ทำให้อุณหภูมิบริเวณนั้นเย็นสบายยังไงล่ะ 6. เลี่ยงการปูพรม พรมนี่แหละที่เป็นตัวการกักเก็บความร้อนเอาไว้ในบ้าน หากไม่อยากให้บ้านยิ่งร้อนหนัก เลือกปูด้วยไม้หรือกระเบื้องจะทำให้บ้านเย็นกว่า เพราะเป็นวัสดุที่ไม่อมความร้อน แต่ถ้ายังตัดใจจากพื้นพรมไม่ได้ก็ไม่เป็นไร แค่เลือกพรมที่ทำมาจากเส้นใยธรรมชาติ เช่น คอตตอนหรือขนสัตว์ เพราะทั้ง 2 วัสดุนี้จะช่วยกักเก็บความชื้นในอากาศไว้ในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่ทำให้บ้านร้อนและชื้นแต่อย่างใด 7. เลือกใช้หลอด LED หลอดไฟที่ติดตั้งอยู่ภายในบ้านก็เป็นอีกหนึ่งตัวการสำคัญที่ทำให้บ้านร้อนจากภายใน ดังนั้นควรจะหันมาใช้หลอดแอลอีดี (LED) เพราะหลอดไฟชนิดนี้จะปล่อยพลังงานความร้อนออกมาน้อยกว่าหลอดชนิดอื่น ๆ แสงก็ดูเย็นสบายตา ไม่ทำให้รู้สึกร้อนเหมือนหลอดฟลูออเรสเซนต์ทั่วไป แถมคุณภาพของแสงสว่างก็อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานอีกด้วยล่ะ 8. ทาผนังด้วยสีโทนเย็น โทนสีที่ใช้ตกแต่งภายในบ้านก็สำคัญไม่แพ้กัน ควรจะเลือกโทนสีสว่าง ๆ ที่ดูเย็นสบายตา อย่าง สีขาว สีมุก สีครีม และสีฟ้า หรือใช้ของตกแต่งที่ทำมาจากวัสดุธรรมชาติ ก็จะช่วยปรับอากาศในบ้านให้เย็นสบาย ไม่ร้อนตามอากาศภายนอก 9. ติดพัดลมอากาศในห้องน้ำ หากทำตามมาทุกวิธีแล้วสังเกตว่าบ้านยังร้อนอยู่เลย ให้ติดตั้งพัดลมดูดอากาศในห้องน้ำเพิ่มไปอีกตัว และเปิดพัดลมดูดอากาศพร้อมกับเปิดประตูห้องน้ำทิ้งไว้ หรือจะเปิดพัดลมเพดานที่ห้องข้าง ๆ ไว้ด้วยก็ได้ ซึ่งวิธีนี้จะช่วยดูดให้ความร้อนออกไปได้เร็วกว่าเดิม ทำให้บ้านเย็นสบายขึ้นเยอะเลย ต่อให้อากาศจะร้อนกว่านี้อีกสักเท่าไร แต่ถ้านำไอเดียแต่งบ้านในหน้าร้อนที่เรานำมาฝากกันในวันนี้ไปใช้ รับรองได้เลยว่าอุณหภูมิในบ้านจะลดลงไปได้เยอะเลย ไม่ต้องทนร้อน นอนทรมานอยู่กับความอบอ้าวอีกต่อไป   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  https://home.kapook.com/view168042.html
เทคนิคใช้ไฟฟ้าอย่างไรให้ปลอดภัยในหน้าฝน

เทคนิคใช้ไฟฟ้าอย่างไรให้ปลอดภัยในหน้าฝน

เข้าสู่ฤดูฝนอย่างเป็นทางการไปเรียบร้อยแล้ว นอกจากฝนตกฟ้าคะนองจะทำให้การเดินทางไปไหนมาไหนลำบากแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่อยากให้ทุกคนคำนึงถึงนั่นคือ การใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าในช่วงหน้าฝน หรือฝนตกหนัก เพราะฤดูฝนแบบนี้มักเกิดเหตุไฟดูด ไฟช็อตได้บ่อยครั้ง มาดูกันว่ามีเรื่องอะไรบ้างที่ควรระมัดระวัง 1.ระมัดระวังเวลาใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่วางไว้ในที่ชื้น มีเครื่องใช้ไฟฟ้าบางประเภทมักตั้งอยู่ในบริเวณที่มีความชื้นเช่นปั๊มน้ำ เครื่องซักผ้า ดังนั้นเวลาใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้ควรเพิ่มความระมัดระวัง สวมรองเท้าก่อนเข้าไปสัมผัสหรือใช้งานเพื่อป้องกันอันตรายจากไฟฟ้ารั่ว 2.ไม่ควรใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าขณะตัวเปียก เรื่องนี้เรารู้กันอยู่แล้ว แต่บางครั้งอาจหลงลืม หลายๆ คนพอตัวเปียกฝน หรือชื้นๆ มาจากนอกบ้าน พอเข้ามาในบ้านอาจเผลอตัวไปสัมผัสปลั๊กไฟ หรือบางคนชอบใช้ไดรฟ์เป่าผมหลังสระผมใหม่ๆ ซึ่ง ไม่แนะนำให้ทำแบบนั้น เนื่องจากหากเกิดไฟรั่วกระแสไฟจะผ่านร่างกายได้สะดวกขึ้น และเมื่อเกิดเหตุไฟฟ้าช็อตเราควรทำอย่างไร 1.ห้ามเข้าไปช่วยผู้ถูกไฟฟ้าช็อต จนกว่าจะแน่ใจว่าผู้บาดเจ็บไม่ได้สัมผัสกับสายไฟฟ้าหรือตัวนำไฟฟ้าใดๆ ถ้าจำเป็นต้องหาวัสดุที่เป็นฉนวนไม่นำกระแสไฟฟ้า เช่นไม้ หรือผ้ามาเขี่ยสายไฟออกจากผู้บาดเจ็บก่อน 2.ถ้าผิวหนังผู้ที่จะช่วยเปียกชื้น ห้ามเข้าไปช่วยเพราะยิ่งเป็นตัวนำกระแสไฟฟ้าและอาจถูกไฟฟ้าดูดได้ วิธีป้องกันอันตรายจากไฟฟ้าดูด หมั่นตรวจเช็คอุปกรณ์และสายไฟ และควรซ่อมแซมส่วนที่ชำรุด บริเวณที่วางสายไฟไม่ควรให้สิ่งของที่หนักไปทับ และวางให้พ้นทางเดิน เครื่องใช้ไฟฟ้าไม่ควรเปียกน้ำ ห้ามซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าเองโดยที่ไม่มีความรู้ ไม่ควรใช้ไฟฟ้าหลายอย่างกับปลั๊กไฟตัวเดียว ต่อสายดินเพื่อให้ไฟลงดิน และควรติดตั้งเครื่องตัดไฟฟ้าลัดวงจรภายในบ้าน เพื่อความปลอดภัยและเป็นการป้องกันที่ดี สิ่งเหล่านี้สามารถป้องกันได้ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายที่รุนแรง   ขอขอบคุณข้อมูลจาก คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลศิริราช มหาวิทยาลัยมหิดล home.sanook.com
ลดความร้อนที่ผนังก่ออิฐฉาบปูนได้อย่างไรบ้าง

ลดความร้อนที่ผนังก่ออิฐฉาบปูนได้อย่างไรบ้าง

การลดความร้อนที่ผนังบ้าน นับเป็นอีกหนึ่งในองค์ประกอบของการทำบ้านเย็น และบ้านประหยัดพลังงาน สำหรับเมืองร้อน  โดยหลักแล้วการทำให้ผนังบ้านร้อนน้อยลงมีอยู่ 2 วิธี  วิธีแรกเป็นการ “ปกป้องผนังจากแสงแดด” กับอีกวิธีคือ “ทำให้ผนังกันความร้อนได้มากขึ้น” การปกป้องผนังจากแสงแดดทำได้โดยสร้างร่มเงาเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นการปลูกต้นไม้ ติดตั้งหลังคากันสาด   แผงบังแดด  ระแนงกันแดด เป็นต้น ภาพ: แผงบังแดดตามทิศต่างๆ ของบ้าน ส่วนการทำให้ผนังกันความร้อนได้มากขึ้นนั้น โดยทางทฤษฎีก็คือ การเพิ่ม “ค่ากันความร้อน” ให้กับผนัง  ซึ่งจะทำให้ความร้อนผ่านผนังเข้ามาในบ้านได้น้อยลง ค่ากันความร้อนของวัสดุจะวัดเป็นตัวเลขได้ในรูปของ  ค่า R (มีหน่วยเป็น m2K/W) โดยค่า R ยิ่งสูงยิ่งกันความร้อนได้มาก ปกติแล้วผนังก่ออิฐมอญฉาบปูน 2 ด้าน หนา 10 ซม. จะมีค่า R = 0.3 m2K/W  ทั้งนี้การนำวัสดุอื่นๆ ที่ช่วยกันความร้อนได้มาติดตั้งกับผนังก่ออิฐฉาบปูน ไม่ว่าจะเป็น แผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์ ไม้ฝา ฉนวนกันความร้อนใยแก้ว ก็จะทำให้ค่า R ของผนังเพิ่มขึ้น ภาพ: ค่า R ของระบบผนังต่างๆ วิธีที่แนะนำทั่วไปในการเพิ่มค่ากันความร้อนให้กับผนังบ้านที่เป็นก่ออิฐฉาบปูน คือ การติดตั้งฉนวนกันความร้อนใยแก้ว ไว้ที่ผนัง โดยมีขั้นตอนคือ ให้ตีโครงคร่าวเหล็กกล่องบนผนัง แล้วนำฉนวนกันความร้อนใยแก้วติดตั้งระหว่างช่องโครงคร่าว จากนั้นปิดทับด้วยไม้ฝา ไม้เทียม หรือวัสดุแผ่นอย่างแผ่นยิปซั่ม (เฉพาะกรณีติดตั้งฝั่งภายในบ้าน) แผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์ แผ่นไม้อัดซีเมนต์ การติดตั้งฉนวนกันความร้อนที่ผนังนั้น จะติดตั้งไว้ฝั่งภายนอกบ้านหรือภายในบ้านก็ได้  หากเลือกติดตั้งฝั่งภายในบ้าน ความหนาของฉนวนและวัสดุปิดทับจะทำให้พื้นที่ในบ้านลดลง แต่ก็มีข้อดีคือ สามารถเลือกใช้วัสดุปิดทับได้หลากหลายและมีลูกเล่นเยอะกว่าการติดตั้งฉนวนไว้ภายนอกซึ่งมีข้อจำกัดเรื่องวัสดุปิดทับที่ต้องทนแดดทนฝน และยังต้องป้องกันไม่ให้น้ำรั่วไหลเข้าไปในผนังได้ ภาพ: การติดตั้งฉนวนกันความร้อนที่ผนังด้านนอก และปิดทับด้วยไม้ฝาแนวนอน ภาพ: กรณีเป็นผนังด้านใน จะสามารถติดตั้งไม้ฝาในแนวตั้งได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำรั่วเข้าในผนัง บทความโดย SCG Experience คู่คิดก่อนสร้างบ้าน ช่วยให้คุณสร้างบ้านได้อย่างมั่นใจ พร้อมให้คำปรึกษาตลอดการสร้างบ้าน โดยผู้เชี่ยวชาญจาก SCG เพียงนำแบบบ้านมายื่นรับคำปรึกษา พร้อมรับสิทธิพิเศษต่างๆ ได้ที่ SCGคู่คิดก่อนสร้างบ้าน​ 
Wat Arun

Wat Arun

การรับโอนบ้าน ถือว่าเป็นขั้นตอนสำคัญ เพราะถ้าหากไม่ตรวจบ้านให้ดีก่อนรับโอน อาจจะก่อให้เกิดปัญหาตามมาไม่จบไม่สิ้น หรือบางรายอาจจะรับโอนมาก่อนทั้งๆที่บ้านยังไม่เรียบร้อยดี ก็ต้องมาวุ่นวายซ่อมแซมแก้ไขปัญหาบ้าน ทั้งๆที่เพิ่งสร้างใหม่หรือเพิ่งเข้าอยู่ได้ไม่นาน ดังนั้น ขั้นตอนการตรวจรับบ้านจึงสำคัญและเป็นสิ่งทีละเลยไม่ได้ มาดูกันครับว่า 4 ขั้นตอนโอนรับบ้านที่ควรรู้ มีอะไรบ้าง 1. แบบบ้าน,ขนาดที่ดิน,วัสดุอุปกรณ์เป็นการตรวจความถูกต้องตรงกันระหว่างเอกสารหลักฐานและบ้านจริง เพราะมักมีปัญหาเรื่องของแบบบ้านไม่เหมือนในสัญญา หรือขนาดที่ดินไม่เท่ากับในสัญญา สำหรับวัสดุอุปกรณ์นั้นต้องตรงกับเอกสารแนบท้ายด้วย แต่ถ้าได้ยี่ห้อไม่เหมือนกันก็ต้องได้คุณภาพดีกว่าหรือเทียบเท่า 2. ความเรียบร้อยสมบูรณ์เป็นการตรวจความเรียบร้อยของบ้าน ซึ่งก่อนจะโอนรับบ้านควรจะเป็นบ้านที่สร้างเสร็จแล้ว แต่ถ้าบ้านที่ยังไม่เรียบร้อยดีหรือมีการแก้ไข จะเรียกว่า Defect ซึ่งในขั้นตอนนี้โครงการมักจะเร่งให้รับโอนทั้งๆที่ยังแก้ไม่เรียบร้อย ทางที่ดีควรจะให้มีการแก้ไขให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยมีการรับโอนบ้าน 3. ระยะเวลาส่งมอบขั้นตอนนี้จะมีเวลากำหนดแน่นอนไว้ในใบสัญญาว่ามีการส่งมอบเมื่อไร แต่ถ้าโครงการส่งมอบล่าช้ากว่าที่กำหนด ทางโครงการต้องเสียค่าปรับให้แก่ผู้ซื้อ ผู้ซื้อมีสิทธิ์ในการเรียกร้องค่าเสียหายจากความล่าช้า 4. การรับประกันงานก่อสร้างในทางกฏหมายโครงการต้องรับประกันความเสียหายหรือชำรุดบกพร่องของบ้าน โดยโครงสร้างบ้านจะรับประกัน 5 ปี ส่วนอุปกรณ์หรือส่วนควบอื่นๆจะรับประกัน 1 ปี ดังนั้น ถ้ามีการเสียหายก็สามารถเรียกร้องความรับผิดชอบจากโครงการได้ ขอขอบคุณข้อมูลจาก  นิตยสาร Home Buyers' Guide เดือนสิงหาคม 2559
ARTALE พัฒนาการ-ทองหล่อ : รีวิวบ้าน

ARTALE พัฒนาการ-ทองหล่อ : รีวิวบ้าน

ARTALE พัฒนาการ-ทองหล่อ บ้านเดี่ยวระดับลักส์ชัวรี่ใหม่ล่าสุด บนทำเลศักยภาพย่านพัฒนาการ ตั้งอยู่ในซอยพัฒนาการ 20 ภายใต้แนวคิดการออกแบบพื้นที่ที่ผสานกันระหว่างศิลปะและฟังก์ชั่นที่ลงตัว จาก Ananda Development     รายละเอียดโครงการ   ราคาเริ่มต้น   28 ล้านบาท เจ้าของโครงการ    บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์จำกัด (มหาชน) ลักษณะโครงการ    บ้านเดี่ยว 3 ชั้น จำนวน 49 ยูนิต พื้นที่โครงการ    13 - 0 - 73.1 ไร่ ที่ตั้งโครงการ      ซอยพัฒนาการ 20 แขวงสวนหลวง เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ   สถานที่สำคัญใกล้เคียง   1.5 กิโลเมตร ถึงทางด่วนพัฒนาการ 3.5 กิโลเมตร ถึงทองหล่อ 6 กิโลเมตร ถึง BTS สถานีเอกมัย ใกล้โรงเรียนนานาชาติสิงคโปร์กรุงเทพฯ(เอกมัย) โรงเรียนนานาชาติเซนต์แอนดรูว์ส โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ วิทยาเขตหัวหมาก มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ แบบบ้านและขนาดพื้นที่ใช้สอย   MEDIO พื้นที่ใช้สอย 395 ตร.ม. 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 1 ห้องแม่บ้าน ที่จอดรถ 3 คัน GRANDE พื้นที่ใช้สอย 450 ตร.ม. 5 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ 1 ห้องแม่บ้าน ที่จอดรถ 4 คัน สิ่งอำนวยความสะดวก ฟิตเนส สระว่ายน้ำ สวนส่วนกลาง CCTV กล้องวงจรปิด ระบบรักษาความปลอดภัย ตลอด 24 ชม. สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร :  02-316-2222 ดูรายละเอียดเพิ่มเติม :  www.ananda.co.th/house/artale/
Male Tourist Videoing Houses From Longtail Boat On Klong Bangkok Noi

Male Tourist Videoing Houses From Longtail Boat On Klong Bangkok Noi

ปัญหาอุทกภัยไม่ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร ก็สร้างความเดือดร้อนแสนสาหัสแก่ผู้คนและอาคารบ้านเรือน ทำให้บ้านถูกน้ำท่วมเสียหายเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการพิจารณาเลือก “ทำเล” ซึ่งเป็นปัจจัยแรกๆ ของการพิจารณาเลือกซื้อที่อยู่อาศัยอยู่แล้ว ยิ่งต้องเพิ่มความสำคัญในการพิจารณาปัจจัยด้านนี้ให้ละเอียดมากขึ้นอีก โดยเฉพาะคำถามที่ว่า “ทำเลนี้น้ำท่วมหรือเปล่า” การเลือกทำเลที่อยู่อาศัยมีปัจจัยที่ต้องพิจารณาดังนี้ *การเดินทาง หมายถึง ถนน ทางด่วน ทางลัด เส้นทางรถไฟฟ้า บริการด้านการขนส่ง *สาธารณูปโภคและสาธารณูปการ อาทิ น้ำประปา ไฟฟ้า โทรศัพท์ รวมไปถึงสถานบริการ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล สถานีตำรวจ เป็นต้น *แนวเวนคืนที่ดิน คือการตรวจสอบแนวเส้นทางโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคของรัฐ เช่น ถนน ทางด่วน สะพาน ฯลฯ *ผังเมือง หมายถึง ข้อกำหนดการใช้ประโยชน์ที่ดินจากรัฐ ซึ่งระบุพื้นที่เป็นสีต่างๆ เช่น สีแดง กำหนดเป็นพื้นที่พาณิชยกรรม, สีม่วงเป็นพื้นที่อุตสาหกรรม, สีเหลืองเป็นพื้นที่อยู่อาศัย ฯลฯ *ลักษณะพื้นที่ หมายถึง ลักษณะทางกายภาพของพื้นที่ เช่น ที่ลุ่มต่ำหรือที่สูง หากวัตถุประสงค์ในการเลือกทำเลคือการเลี่ยงน้ำท่วม ประเด็นหลักที่ต้องพิจารณาเป็นอันดับต้นๆ ได้แก่  การพิจารณาผังเมือง ซึ่งทำเลที่อยู่อาศัยควรสอดคล้องกับข้อกำหนดผังเมือง เช่น ถ้าต้องการปลูกสร้างบ้านที่อยู่อาศัยควรเลือกทำเลในเขตสีเหลือง เพราะหากไปปลูกบ้านในพื้นที่สีม่วง แม้จะไม่มีข้อห้าม แต่วันดีคืนดีอาจมีโรงงานโผล่มาใกล้บ้านๆ ก็ได้ หรือการปลูกสร้างบ้านไม่ควรไปอยู่ในพื้นที่เขียวลาย หรือพื้นที่อนุรักษ์ชนบทและเกษตรกรรม  เนื่องจากพื้นที่เหล่านี้มักเป็นที่ลุ่มหรือทางผ่านของน้ำ มีโอกาสสูงที่จะถูกน้ำท่วม ยิ่งไปกว่านั้นยังต้องดูลักษณะทางกายภาพของพื้นที่และแปลงที่ดิน เช่น ไม่เป็นที่ลุ่มต่ำ หรือต่ำกว่าระดับถนน เพราะจะมีโอกาสถูกน้ำท่วมขังได้ง่าย โดยทั่วไปแปลงที่ดินที่จะปลูกสร้างบ้านมักถมสูงกว่าถนนประมาณ 30 เซนติเมตร แต่จากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ ความสูงระดับนี้อาจไม่เพียงพอแล้วก็ได้ นอกจากประเด็นที่พิจารณาเพื่อเลี่ยงน้ำท่วมแล้ว อีกสิ่งที่ต้องพิจารณาคือที่ดินอยู่ในแนวเวนคืนของราชการหรือไม่ ข้อมูลเหล่านี้สามารถตรวจสอบกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้าง เช่น สำนักการโยธา กรุงเทพมหานคร, กรมทางหลวงชนบท, การทางพิเศษแห่งประเทศไทย เป็นต้น นอกจากนี้ทำเลที่เหมาะสมต้องสามารถเดินทางได้สะดวก เช่น มีถนนหลายสาย มีทางด่วนหรือทางลัดที่จะเป็นทางเลือกในการเดินทาง มีบริการด้านการขนส่งเพียงพอ เช่น รถเมล์ รถตู้ หรือมอเตอร์ไซค์รับจ้าง  เป็นต้น รวมถึงมีบริการสาธารณูปโภคและสาธารณูปการครบถ้วน มีศักยภาพและแนวโน้มเจริญเติบโตสูง เพราะนั่นหมายความว่าผลดีจะตกแก่ที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ของเราด้วย ขอขอบคุณข้อมูลจาก  home.co.th
ความสุขดีไซน์ได้ที่ Areeya Como บางนา-วงแหวนฯ : รีวิวบ้าน

ความสุขดีไซน์ได้ที่ Areeya Como บางนา-วงแหวนฯ : รีวิวบ้าน

"หลายคนกำลังมองหาบ้าน.... บ้านซักหลังที่อบอุ่น มีพื้นที่สีเขียวให้มอง สามารถเป็นที่หลบหนีความวุ่นวาย แต่ในขณะเดียวกันสังคมความเจริญก็อยู่ใกล้แค่เอื้อม"   บางนา-วงแหวนรอบนอก (ถ.กาญจนาภิเษก) จุดตัดของถนนสายหลักที่จะนำไปสู่ส่วนต่างๆ ของกรุงเทพฯ ได้อย่างต้องการ คือที่ตั้งของโครงการ Areeya Como บ้านเดี่ยวดีไซน์ใหม่ ที่ออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ทุกความสุขของครอบครัว   “ซอยมหาชัย” คือที่ตั้งของโครงการ Areeya Como ซอยนี้มีจุดเด่นตรงที่สามารถทะลุออกไปได้หลายทาง ทั้งทางเข้าหลักจากถนนบางนา-ตราดฝั่งขาเข้าช่วง กม.10, ทะลุไปออกกิ่งแก้ว-เทพารักษ์ หรือจะวิ่งทะลุผ่านอาณาจักรอารียา ไปออกตรงด่านวงแหวนฯ ตรงข้าม เมกาบางนา ได้พอดิบพอดี (ปากทางเป็นคอนโด A space me) เส้นทางนี้ยังนับเป็นอีกเส้นทางลัดที่เราสามารถตรงสู่แหล่งช็อปปิ้งสำคัญในย่านนี้ได้อย่างสะดวกและรวดเร็วที่สุดด้วยนะครับ แผนที่การเดินทางรอบๆ โครงการ เราซูมเข้ามาดูใกล้ๆ กันอีกหน่อย จะเห็นว่าโครงการอยู่ในซอยมหาชัย (สีน้ำเงิน) ซึ่งเข้าได้จากทางถนนบางนา-ตราด หรืออีกเส้นทางที่ลัดมาจาก Mega บางนา (สีเหลือง)   ถ้าพูดถึงความเพียบพร้อมในเรื่องของไลฟ์สไตล์แล้ว ทำเลที่ตั้งโครงการ Areeya Como ยังถูกแวดล้อมไปด้วยแหล่งไลฟ์สไตล์ที่ทันสมัย เช่น Ikea, Mega Bangna, Central บางนา, Homepro บางนา, Index บางนา, Tesco Lotus, Secon Square, Paradise Park, คอกม้า Phoenix, สนามกอล์ฟ, โรงพยาบาล, มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ, มหาวิทยาลัยหัวเฉียว, ร้านค้า ร้านอาหารจำนวนมาก รวมถึงสนามบินสุวรรณภูมิก็อยู่ห่างออกไปไม่ไกล ด้วยระยะทางจากในซอยเพียงนิดเดียวก็สามารถเข้าสู่ถนนบางนา-ตราด, ทางด่วนพิเศษบูรพาวิถี และถนนวงแหวนรอบนอก ก็ทำให้การเดินทางสู่ใจกลางกรุงเทพเป็นเรื่องง่ายนิดเดียว   Areeya Como สังคมของชีวิตสุขนิยม   Areeya Como บางนา-วงแหวนฯ เป็นโครงการบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่คุณจะมีเพื่อนบ้านร่วมแบ่งปันความสุขเพียง 128 หลังเท่านั้น จึงได้เปรียบเรื่องความเป็นส่วนตัว เงียบสงบ เหมาะกับการพักผ่อนอย่างแท้จริง บริเวณซุ้มทางเข้าโครงการ อุ่นในด้วยระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งกล้องวงจรปิด CCTV และประตู Double Gate Security เข้าออกด้วย Key Card   บริเวณหน้าทางเข้าโครงการ ประตู Double Gate Security เข้าออกด้วย Key Card ถนนเมนของโครงการกว้างประมาณ 12 เมตร ในโครงการออกแบบให้มีพื้นที่สีเขียวล้อมรอบตัวบ้าน เพิ่มความร่มรื่นด้วยต้นไม้น้อยใหญ่ ได้บรรยากาศท่ามกลางธรรมชาติ เพียบพร้อมด้วยคลับเฮ้าส์หรู สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ และพื้นที่ออกกำลังกายที่ทุกคนสามารถใช้งานได้จริง รวมถึงมุมนั่งเล่นพักผ่อนทั้งในบริเวณคลับเฮ้าส์ และในสวนสวยกลางแจ้ง พื้นที่สีเขียวภายในโครงการ คลับเฮ้าส์จะแยกอยู่คนละส่วนกับโครงการ บริเวณคลับเฮ้าส์จะมีสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ พร้อมสระเด็ก พื้นที่นั่งเล่นริมสระว่ายน้ำ มีห้องน้ำและตู้ล็อกเกอร์ไว้ให้บริการ เข้ามาด้านในคลับเฮ้าส์กันบ้าง ฟิตเนสจะอยู่ด้านในคลับเฮ้าส์ ใกล้ๆ กันจะมีพื้นที่นั่งรับรอง บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ของโครงการ Areeya Como มาพร้อมพื้นที่ใช้สอย 165 ตร.ม. แบ่งเป็น 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ โดยห้องนอนที่ 4 ซึ่งอยู่ในส่วนชั้นล่างสามารถปรับเปลี่ยนเป็นห้องอเนกประสงค์ ที่จะมาเติมเต็มความต้องการของคนในบ้านให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ที่สำคัญทุกยูนิตสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ได้เลยครับ รูปแบบบ้านจะเป็นแนว Contemporary Modern Style ประตูหน้าบ้านจะเป็นเหล็กโปร่ง บริเวณที่จอดรถหน้าบ้านจะเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก จอดรถได้ 2 คัน ด้านข้างที่จอดรถจะมีพื้นที่เล็กๆ ให้จัดสวนหย่อมไว้หน้าบ้าน ส่วนด้านข้างบ้านก็จะมีพื้นที่ให้จัดสวนหรือพื้นที่นั่งเล่นอีกจุดหนึ่ง แต่เดี๋ยวเราค่อยไปดูกันต่อนะครับ ประตูเข้าบ้านจะเป็นประตูกระจกบานเลื่อน 2 ตอน ทุกรายละเอียดของตัวบ้าน ทาง Areeya ให้ความสำคัญในทุกรายละเอียดจริงๆ ตั้งแต่ดีไซน์ที่โดดเด่นในสไตล์ Contemporary Modern สะท้อนถึงความทันสมัย เรียบง่ายด้วยโทนสีอบอุ่น ในส่วนของพื้นที่จอดรถหน้าบ้านทางโครงการก็เทพื้นและทำหลังคามาให้เรียบร้อยทุกยูนิต เปิดประตูบ้านไปดูพื้นที่ใช้สอยภายใน ก็จะเห็นว่าพื้นที่ทั้งหมดออกแบบมาให้สามารถใช้สอยประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ของห้องนั่งเล่น และบริเวณรับประทานอาหารที่เชื่อมต่อถึงกันอย่างลงตัว แถมยังได้บรรยากาศโล่ง โปร่งสบายตาด้วย Bay Window ประตูกระจกขนาดใหญ่ สูงจรดเพดาน เปิดรับแสงธรรมชาติ และเชื่อมต่อกับเฉลียงข้างบ้านได้อย่างกลมกลืน บรรยากาศสวนสวยๆ พร้อมมุมพักผ่อนบริเวณข้างบ้านยิ่งช่วยเสริมให้บ้านหลังนี้อบอุ่น เหมาะกับเป็นพื้นที่ชาร์ทแบตให้พร้อมออกไปทำงานอีกครั้ง เข้ามาด้านในบ้านโครงการจะ Built in เป็นพาทิชั่นกั้นก่อนจะเข้าไปที่ Living Area ถัดเข้ามาด้านในจะเป็นพื้นที่ Living Area ขนาดใหญ่ อยู่ติดกับส่วน Dining Area พื้นที่บริเวณ Living Area โครงการตกแต่งด้วยโซฟาขนาด 4 ที่นั่ง มีชั้นวางของ Built in อยู่ด้านข้าง อีกด้านจะ Built in เป็นจุดวางทีวี ถัดเข้ามาอีกหน่อยจะเป็นส่วน Dining Area ซึ่งโครงการตกแต่งด้วยการวางโต๊ะทานอาหารขนาด 4-6 ที่นั่ง ใกล้ๆ กันโต๊ะทานอาหาร จะเป็นส่วนครัว ส่วนครัวโครงการ Built in ไว้ให้ดูเป็นตัวอย่างสวยงามทีเดียวครับ ห้องน้ำที่ชั้น 1 จะอยู่ใกล้ๆ กับส่วนครัว ใช้สุขภัณฑ์ของ American Standard พร้อมพื้นที่อาบน้ำ ข้างโต๊ะทานอาหารอีกด้านจะมีหน้าต่างแบบ Sky Bay Window เพื่อรับแสงจากสวนด้านนอก ด้านนอกโครงการตกแต่งเป็นพื้นที่นั่งเล่นพักผ่อน พร้อมมีสวนสีเขียวให้ความร่มรื่น ส่วนสำคัญอีกส่วนที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือ พื้นที่ของห้องอเนกประสงค์ ซึ่งทางโครงการตั้งใจออกแบบไว้ให้พื้นที่ตรงนี้สามารถปรับเปลี่ยนประโยชน์ใช้สอยได้ตามความต้องการ ไม่ว่าจะจัดตกแต่งให้เป็นห้องทำงาน หรือพื้นที่นั่งเล่น ก็ดูจะเหมาะสมและลงตัวเป็นที่สุด ในขณะเดียวกันถ้าหากต้องการจะใช้ให้เป็นห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุ หรือห้องนอนแขก ก็สามารถกั้นประตูเพิ่มได้เช่นกันครับ พื้นที่บริเวณชั้น 2 ของตัวบ้าน จัดแบ่งออกเป็น 3 ห้องนอนด้วยกัน โดยที่ Master Bedroom จะมีพื้นที่กว้างขวางสามารถจัดสรรพื้นที่ให้มี walk-in closet ได้อย่างลงตัว รวมถึงห้องน้ำส่วนตัวภายในห้องที่มาพร้อมกระจกกั้นพื้นที่อาบน้ำมาให้เรียบร้อย ห้องนอน Master จะได้ขนาดใหญ่เลยนะครับ สามารถเลือกว่างเตียงใหญ่ๆ ได้ตามใจชอบเลย อย่างที่เห็นในบ้านตัวอย่างก็วางเตียง King Size 6 ฟุตไปเลย ระเบียงในห้องนอน Master ระเบียงจะกั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน 2 ตอน ปลายเตียงโครงการตกแต่งด้วยการ Built in ฉากกั้นเพื่อแยกห้องนอนกับตู้เสื้อผ้าแบบ Walk-in Closet ด้านในโครงการตกแต่งเป็นตู้เสื้อผ้าแบบ Walk-in Closet แต่บ้านมาตรฐานที่ได้ จะไม่ได้กั้นให้แบบนี้นะครับ ห้องน้ำจะอยู่ติดกับ Walk-in Closet สุขภัณฑ์ที่ใช้จะเป็นของ American Standard Shower Box จะมีฉากกั้นเป็นบานเลื่อน 3 ตอนให้เรียบร้อย ในขณะที่ห้องนอนอีก 2 ห้องในบริเวณชั้น 2 ก็มีพื้นที่ห้องกว้างไม่แพ้กัน ห้องแรกตกแต่งไว้เป็นห้องนอกเด็ก ด้วยดีไซน์น่ารักสดใส กลับกันกับอีกห้องที่ตกแต่งมาในสไตล์เข้มขรึม แต่กลับลงตัวด้วยพื้นที่ใช้สอยที่ถูกออกแบบมาเป็นอย่างดี ห้องแรกโครงการตกแต่งเป็นห้องนอนเด็ก ใช้โทนสีสว่างน่ารักดีทีเดียวครับ โครงการตกแต่งด้วย Built in อย่างเต็มเหนี่ยว เหมาะกันเด็กๆ เป็นที่สุด ส่วนห้องนอนอีกห้องตกแต่งเป็นแนวผู้ใหญ่ขึ้นมาหน่อย ด้วยโทนสีเข้ม เท่าที่ได้มีโอกาสเยี่ยมชมโครงการ Areeya Como ในครั้งนี้ ก็ทำให้เห็นว่าพื้นที่แห่งความสุขของทุกคนในบ้าน สามารถจัดสรรได้จริงๆ ครับ ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่ส่วนตัวของทุกคน และพื้นที่ส่วนกลางที่เราจะได้แชร์ความสุขร่วมกันอย่างคุ้มค่า คุ้มเวลาที่สุด ตัวบ้านเป็นหนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญ เพราะบ้านคือพื้นที่ที่ทุกคนในบ้านจะได้พักผ่อน แบ่งปันความสุข ความอบอุ่น เพื่อให้พร้อมที่จะเผชิญกับสิ่งต่างๆ ภายนอก ในขณะที่ทำเลที่ตั้งก็มีส่วนเสริมให้ชีวิตสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นได้นะครับ.... “บ้าน” Areeya Como ความสุขที่คุณออกแบบได้ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.areeya.co.th หรือ โทร. 1797
การดูแลรักษาหญ้าหน้าบ้าน

การดูแลรักษาหญ้าหน้าบ้าน

จะว่าไปแล้วการดูแลสวนก็เป็นสิ่งที่เราทำกันประจำอยู่แล้ว ซึ่งบางครั้งอาจจะดูแลถูกต้องบ้างหรือละเลยบางอย่างไปบ้างเล็กๆ น้อยๆ ทำให้ต้นไม้หรือสิ่งต่างๆ ในสวนของเราดูไม่สวยเอาเสียเลย  ดังนั้นเรามาเริ่มกันใหม่เช่นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เราอาจจะมองข้ามอย่างพื้นสนามหญ้า ที่หลายคนมองว่าแค่รดน้ำก็เพียงพอแล้ว แต่รายละเอียดภายใต้ใบเล็กๆ สีเขียวสบายตานั้นยังมีอีกเยอะ  ซึ่งครั้งนี้เราได้รับคำปรึกษาจากนักจัดสวนและเจ้าของไร่หญ้าอย่างคุณศักดิ์ เรืองพร้อม มาให้คำแนะนำการดูแลให้สนามเราสวยทนอีกด้วย เลือกชนิดให้ถูกปลูกแล้วสวย หญ้านวลน้อย หญ้านวลน้อยเป็นหญ้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากขึ้นง่ายทุกสภาพดิน แถมยังดูแลง่าย เป็นหญ้าที่ชอบแดดจัด นิยมปลูกกลางแจ้ง และหญ้านวลน้อยนิยมสวนหย่อมในบริเวณบ้าน โรงแรม ในสนามกอล์ฟ นอกจากนี้ยังใช้ในการจัดสวน เพราะเป็นหญ้าที่ทนการเหยียบย่ำ รวมทั้งเป็นหญ้าที่ดูแลรักษาง่ายกว่าหญ้าชนิดอื่น ๆ ถึงแม้จะปล่อยปละละเลยไปบ้าง เมื่อกลับมาดูแลรักษาใหม่ ก็ยังจะได้สนามหญ้าที่มีคุณภาพดีเหมือนกัน หญ้ามาเลเซีย สามารถเป็นหญ้าที่ทนร่มและแสงแดดแรงได้ดี ชอบแดดรำไรถึงแดดจ้า เหมาะที่จะปลูกใต้ไม้ใหญ่ หรือที่แดดรำไรมี ความต้องการน้ำมากเพราะขนาดของใบที่ใหญ่ดังนั้นควรรดน้ำสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรให้ท่วมขัง ไม่ควรเดินเหยียบบ่อยๆ เพราะจะทำให้ช้ำตายได้ หญ้าญี่ปุ่น เป็นหญ้าที่มีเส้นใบที่เล็กละเอียด มีการเจริญเติบโตช้าแต่พอโตแล้วจะหนาแน่น ทนทานต่อการเหยียบย่ำได้ดีที่สุด เป็นหญ้าคล้ายหญ้ามาเลเซีย ที่ชอบแดดและต้องการน้ำมาก และทนต่ออากาศหนาวได้ดี การดูแลรักษา 1. ช่วงเวลาที่รดน้ำ ควรเป็นช่วงที่แดดไม่จัด เวลาเช้าตรู่ถือเป็นเวลาที่เหมาะที่สุด เพราะช่วงเช้าถึงเที่ยงเป็นเวลาที่หญ้าปรุงอาหารได้ดีที่สุด การรดน้ำช่วงเย็นสามารถทำได้แต่ควรทำในช่วงประมาณบ่าย 3 โมง เพื่อว่าเมื่อให้น้ำแล้ว สนามจะได้แห้งก่อนมืด ดินจะได้ไม่เก็บความชื้นไว้ อันเป็นสาเหตุของโรคพืชได้ หลังรดน้ำสนามหญ้า ไม่ควรไปเดินเหยียบย่ำพื้นหญ้าขณะเปียก 2.วิธีรดน้ำ ควรรดน้ำแต่ละครั้งให้มากพอและไม่ควรรดน้ำบ่อยเกินไป เพราะนอกจากจะเปลืองน้ำแล้วยังชะล้างธาตุอาหารในดิน ทำให้ดินแน่นเร็วและเกิดโรคได้ง่าย และอย่ารดน้ำน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง เพราะน้ำจะซึมอยู่บนผิวดินตื้นๆ ติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้รากหญ้าเจริญเติบโตในระดับผิวดินตื้นๆ หญ้าจะอ่อนแอและหาอาหารได้น้อย ขาดน้ำได้ง่าย 3. หากปูหญ้าเสร็จใหม่ ให้รดน้ำวันละ 2 – 3 ครั้ง โดยสังเกตจากใบหญ้า หากเริ่มเหี่ยวหรือแห้งให้รดน้ำทันทีทำต่อเนื่องอย่างนี้ประมาณ 10 วัน หญ้าจะเริ่มหยั่งรากและเจริญเติบโตอย่างสมบูรณ์ จากนั้นให้รดน้ำอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง 4. การใส่และเร่งการเจริญเติบโต ด้วยการใส่ปุ๋ยสูตร 20 – 20 - 0 หรือ 46 - 0 - 0 แล้วรดน้ำให้ชุ่มทันทีเพื่อป้องกันการไหม้ของใบหญ้า 5. หากใบหญ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 20 – 20 - 0 หรือ 46 - 0 - 0 แล้วรดน้ำให้ชุ่มทันที เพื่อบำรุงต้นหญ้าให้กลับมาเขียวชอุ่มเช่นเดิม 6. หากมีวัชพืชขึ้นแซมบนพื้นหญ้า ให้กำจัดโดยใช้มือดึงหรือใช้อุปกรณ์ที่มีความแหลมคมแซะออก เพื่อรักษาพื้นหญ้าให้คงความสวยงามตลอดไป 7.หน้าฝนควรฉีดยากันเชื้อรา และควรตัดแต่งให้บ่อยขึ้นเพราะหากปล่อยให้รกรุงรังอาจมีสัตว์ที่เป็นอันตรายมาอาศัยอยู่ได้ การตัดหญ้า 1. ความสูงของหญ้าในการตัด ควรตัดให้เหลือความสูงประมาณ 1 นิ้ว 2. ถ้าเป็นไปได้ควรตัดทุกๆ สัปดาห์ หรือไม่ควรเกิน 10 วันต่อครั้ง และควรกำหนดเวลาตัดหญ้าให้ตรงเวลา จะทำให้หญ้าไม่อ่อนแอหลังการตัด ถ้าปล่อยให้หญ้ายาวมากเกินไป เมื่อตัดแล้วจะเหลือแต่โคนหญ้าที่แห้งเหลืองและแข็ง ไม่เขียวสวยงาม 3. ทิศ ทางการตัดหญ้า การตัดหญ้าในทิศทางเดียวกันติดต่อกันนานๆ จะทำให้หญ้าลู่ไปทางเดียว นอกจากจะดูไม่สวยแล้วยังทำให้หญ้าเติบโตไม่ดีด้วย ควรมีการสลับทิศทางการตัดหญ้าสนามบ้าง โดยสลับทุกๆ 1-2 เดือน 4. หลักการตัดหญ้า ต้องตัดขณะที่สนามแห้ง ไม่เปียกแฉะ เพราะจะทำให้ต้นหญ้าช้ำ 5. เวลาที่เหมาะสำหรับการตัดหญ้าอย่างยิ่งคือเวลาบ่าย สักประมาณบ่ายสามโมง เนื่องเพราะเป็นเวลาที่ใบหญ้าถูกแดดจนน้ำค้างแห้งดีแล้ว ใบหญ้าที่ยังชื้นจะตัดยากกว่าใบหญ้าที่แห้ง พอตัดเสร็จแล้วอีกสักพักในเช้าวันรุ่งขึ้นน้ำค้างก็จะเริ่มลง ช่วยให้หญ้าที่ช้ำเพราะเพิ่งถูกตัดฟื้นตัวได้เร็ว ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.sanook.com  
ไม่อยากรับโอนบ้านที่ชำรุด ต้องทำยังไง?

ไม่อยากรับโอนบ้านที่ชำรุด ต้องทำยังไง?

มีหลายครั้งที่เราพบว่าผู้จะซื้อบ้านไม่ไปรับโอนกรรมสิทธิ์ตามที่ผู้จะขายนัดไว้ เพราะเหตุผลที่ว่า บ้านหลังนั้นยังสร้างเสร็จไม่เรียบร้อยดี ทั้งๆที่ในหนังสือระบุไว้ว่า “ถ้าไม่ไปพบตามวันเวลาที่นัดตามหนังสือระบุไว้ ให้ถือว่าผู้จะซื้อเป็นฝ่ายผิดสัญญาและให้รับเงินที่ผู้จะซื้อได้ชำระไว้แล้วทั้งหมด” ซึ่งในทางกฏหมายจะถือว่าผู้ซื้อเป็นฝ่ายผิดสัญญาได้ และยังหมดสิทธิ์เรียกค่าเสียหายใดๆจากผู้ขายอีกด้วย ดังนั้น ถ้าหากพบว่าบ้านที่เราจะซื้อยังสร้างไม่เสร็จ หรือมีปัญหา แล้วไม่อยากรับโอนบ้านเหล่านี้ ต้องรู้วิธีที่จะเลี่ยงการรับโอนด้วยนะครับ 1. ถ้าพบเห็นความชำรุดบกพร่องของบ้านที่จะซื้อ ให้บันทึกส่วนต่างๆของบ้านที่ยังสร้างไม่เรียบร้อยและถ่ายภาพเก็บไว้เป็นหลักฐาน และให้ผู้จะขายหรือตัวแทนผู้รับมอบอำนาจจากผู้จะขายได้ลงลายมือไว้ในบันทึกดังกล่าวด้วย 2. ในบันทึกที่จดความชำรุดบกพร่องของบ้านนั้น ให้กำหนดระยะเวลาพอสมควรที่จะแก้ไขความชำรุดแก่ผู้จะขายด้วย 3. เมื่อถึงวันนัดรับโอน ให้ผู้จะซื้อนำบันทึกและภาพถ่ายดังกล่าวไปแสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดิน ณ สำนักงานที่ดินที่อยู่ในเขตอำนาจตามวันและเวลาที่นัด เพื่อให้รับทราบเรื่องที่ผู้จะขายยังสร้างบ้านไม่เรียบร้อยดี โดยให้ยื่นคำร้องขอให้เจ้าพนักงานที่ดินในฐานะเจ้าพนักงานของรัฐได้จดบันทึกเรื่องนี้ไว้เป็นหลักฐานว่า ผู้ซื้อได้มาตามวันเวลานัดที่ผู้จะขายนัดแล้ว แต่มีข้อโต้แย้งทำให้ไม่อาจรับจดทะเบียนนิติกรรมโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านที่ซื้อไว้ได้ เนื่องจากบ้านที่ซื้อขายยังมีความชำรุดเสียหาย และยังไม่ได้รับการแก้ไขจากผู้จะขาย จึงขอให้ผู้จะขายจัดการแก้ไขให้เรียบร้อยภายในเวลาพอสมควร 4. ถ้าหลังจากที่ครบกำหนดเวลาแล้ว ยังพบว่าบ้านยังไม่ได้รับการแก้ไขให้เรียบร้อย ให้ผู้จะซื้อใช้สิทธิบอกเลิกสัญญากับผู้จะขายโดยตรง เพราะถือว่าพฤติกรรมของผู้จะขายถือว่าเป็นฝ่ายผิดสัญญา 5. เมื่อบอกเลิกสัญญาเรียบร้อยแล้ว ให้เรียกร้องขอเงินที่ชำระไปแล้วทั้งหมดคืนจากผู้จะขายพร้อมดอกเบี้ยตามกฏหมาย 6. ถ้าผู้จะขายต่อสู้ว่าไม่ได้ผิดตามสัญญา แนะนำให้ผู้จะซื้อใช้สิทธิในทางศาล ทั้งนี้ต้องฟ้องผู้จะขายให้รับผิดชอบในความชำรุดบกพร่องต่อศาลภายใน 1 ปี นับตั้งแต่เวลาที่ผู้จะซื้อได้พบเห็นความชำรุดบกพร่องนั้น (ตามประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 474 บัญญัติว่า “ในข้อรับผิดเพื่อชำรุดบกพร่องนั้น “ในข้อรับผิดเพื่อชำรุดบกพร่องนั้น ท่านห้ามมิให้ฟ้องคดีเมื่อพ้นเวลาปีหนึ่งนับแต่เวลาที่ได้พบเห็นความชำรุดบกพร่อง”) เมื่อผู้จะซื้อพบเห็นความชำรุดของบ้านให้แจ้งผู้ขาย ผู้ขายจะต้องรับผิดชอบซ่อมแซม ถ้าถูกปฏิเสธให้นำเรื่องนี้ฟ้อง สคบ. และให้แจ้งวิศวกรวิชาชีพของหน่วยงานรัฐ เช่น องค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) หรือองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ที่อยู่ในพื้นที่ของบ้านที่ตั้งอยู่ หรือวิศวกรวิชาชีพจากสมาคมวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถมภ์ (วสท.) เข้าไปตรวจสอบความชำรุด ถ้าผลการตรวจสอบเกิดการทรุดตัวต่างระดับของฐานราก (เสาเข็ม) และพื้นอาคาร เมื่อตรวจสอบเสร็จและเสนอรายการซ่อมให้ผู้ซื้อทราบ จึงถือได้ว่าผู้จะซื้อพบเห็นความชำรุดบกพร่องนับแต่เวลานั้น ดังนั้น ให้นับอายุความ 1 ปี ตั้งแต่วันที่ผู้ซื้อทราบผลการตรวจความชำรุดของบ้านนั้นจากวิศวกรผู้มีวิชาชีพ และรายการการค่าเสียหาย (เทียบค่าพิพากษาศาลฎีกาที่ 5584/2544)   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  home.co.th
ผ่อนดาวน์หมด แต่บ้านยังไม่สร้าง ควรทำอย่างไร?

ผ่อนดาวน์หมด แต่บ้านยังไม่สร้าง ควรทำอย่างไร?

หนึ่งในปัญหาที่คนซื้อบ้านส่วนใหญ่พบเจอ คือ การผ่อนดาวน์หมดแล้ว แต่ตัวบ้านยังไม่ได้สร้าง หรือผ่อนไปเกือบหมดแล้ว แต่บ้านยังแค่เพิ่งเริ่มก่อสร้าง ดูยังไงก็คงเสร็จไม่ทันตามที่ตกลงกันไว้ในสัญญาแน่นอนหากเกิดปัญหาแบบนี้จะทำอย่างไรดี? กรณีแบบนี้ ในมุมกฎหมายบอกว่า หากผ่อนชำระจนครบตามงวดแล้วหรือแม้ว่ายังไม่ครบ แต่ระหว่างผ่อนชำระเจ้าของโครงการก็ไม่ดำเนินการใดๆ เลยหรือทิ้งร้างไปบ้าง หรือว่าเหลือเงินดาวน์น้อยแล้วแต่ยังไม่สร้างสักทีดูแล้วหากผ่อนจนครบงวดเงินดาวน์คงสร้างไม่ทันแน่ๆกรณีนี้คนซื้อบ้านควรมีหนังสือแจ้งให้ผู้ขายดำเนินการและผู้ซื้อยังสามารถหยุดชำระเงินดาวน์ไว้ก่อน จนกว่าจะได้ก่อสร้างให้มีความคืบหน้าหรือแล้วเสร็จ ทั้งนี้ เป็นไปตามแนวพิพากษาว่าสัญญาจะซื้อจะขายเป็นสัญญาต่างตอบแทน เมื่อผู้ขายไม่ก่อสร้างเพื่อเป็นการตอบแทนแล้วผู้ซื้อมีสิทธิยึดหน่วงเงินที่จะต้องชำระเอาไว้ก่อนโดยไม่ถือว่าผิดสัญญานอกจากนั้นหากผู้ขายไม่ก่อสร้างจนล่วงเลยระยะเวลาไปพอสมควรก็เลิกสัญญาขอเงินคืนได้ โดยหลักหรือแนวทางของสัญญาซื้อขายหากคู่ความอีกฝ่ายหนึ่งผิดสัญญาไม่ส่งมอบตรงตามกำหนดเวลาผู้ซื้อมีสิทธิทำได้สองอย่างแต่ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ เลิกสัญญาแล้วคู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะเดิมกรณีนี้จะเรียกร้องค่าปรับไม่ได้กับอีกทางเลือกหนึ่ง คือ ยังคงให้สัญญามีผลต่อไปแต่ต้องสงวนสิทธิเรียกร้องค่าปรับเอาไว้เมื่อส่งมอบล่าช้าจึงเรียกร้องค่าปรับในฐานะเป็นค่าเสียหายของผู้ซื้อ ส่วนผลของการบอกเลิกสัญญาคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมเงินที่ผู้ซื้อผ่อนชำระไปทั้งหมดผู้ขายต้องคืนแก่ผู้ซื้อพร้อมดอกเบี้ยในอัตรา 7.5 % ต่อปี ของต้นเงินแต่ละงวด จนกว่าจะชำระคืนครบถ้วน เกี่ยวกับการทำซื้อขายบ้าน บางกรณีสัญญามีความซับซ้อนและดูจะเป็นผลเสียต่อผู้ซื้อ เช่น สัญญาไม่มีการกำหนด “ค่าปรับ กรณีผู้จะขายหรือเจ้าของโครงการ” ผิดสัญญาส่งมอบบ้านไม่ทันภายในกำหนด แต่กลับมีการกำหนด “ค่าปรับกรณีผู้จะซื้อ” ผิดนัดชำระเงินหรือในสัญญาระบุว่าให้สามารถปรับได้กรณีก่อสร้างล่าช้าแต่ไม่ระบุหรือกำหนดวันโอนกรรมสิทธิ์ เป็นต้น หากเจอแบบนี้ ผู้ซื้อควรหลีกเลี่ยง เพราะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบตั้งแต่แรกแล้ว ครั้นจะหวังให้ผู้ขายรับผิดชอบในวันข้างหน้าเกรงว่าจะยาก เนื่องจาก บ้านเป็นสินค้าราคาแพง หลายคนต้องเก็บออมเงินมาทั้งชีวิตจึงจะสามารถซื้อได้ การที่เรามีเงินพร้อมและเก็บไว้กับตัวย่อมปลอดภัยกว่าอยู่กับคนอื่นที่สำคัญ โครงการดีๆ สัญญาที่ไม่เอาเปรียบคนซื้อยังมีอยู่มากมาย ค่อยๆ เลือก ค่อยๆ ตัดสินใจจะดีกว่า   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  home.co.th
ต่อเติมครัวไทย แบบโปร่งหรือแบบทึบดี?

ต่อเติมครัวไทย แบบโปร่งหรือแบบทึบดี?

ครอบครัวที่ชอบทำอาหารแบบไทยๆ คงไม่พ้นการประกอบอาหารที่ต้องผัด ทอด ก่อให้เกิด เสียง กลิ่น ควัน แผ่ฟุ้งกระจาย เมนูเหล่านี้อาจไม่เหมาะกับพื้นที่ปรุงอาหารในบ้านที่มีขนาดเล็กและระบายอากาศได้น้อย เจ้าของบ้านจึงมักเริ่มคิดต่อเติมครัว แยกออกมาจากตัวบ้าน ตามด้วยคำถามต่างๆ หนึ่งในนั้นคือ  “จะต่อเติมครัวไทยแบบทึบหรือแบบโปร่งดี ?” ต่อเติมครัวไทย “แบบทึบ” กับ “แบบโปร่ง” ก่อนอื่นขอเล่าถึงการต่อเติมครัว 2 แบบนี้ว่าต่างกันอย่างไร การต่อเติมครัวแบบทึบโดยทั่วไปจะต่อเติมขึ้นมาเป็นห้อง มีผนังเต็มล้อมรอบโดยเจาะช่องเปิดตามความเหมาะสม พร้อมหลังคาครอบมิดชิด ส่วนครัวแบบโปร่งจะมีจุดเด่นตรงความโปร่งโล่ง จึงมักทำแผงระแนงไม้/ไม้เทียมแทนผนัง บางทีอาจเลือกทำผนังทึบเฉพาะช่วงล่าง ส่วนด้านบนปล่อยโล่งหรือทำเป็นแผงระแนง เพื่อความปลอดภัยและเป็นส่วนตัว ในส่วนของหลังคา อาจทำติดลอยไว้กับผนังบ้านเดิม เลือกซื้อกันสาดสำเร็จรูปมาติด หรือจะใช้โครงสร้างเสาส่วนต่อเติมรับหลังคาเช่นเดียวกับครัวแบบทึบ  ทั้งนี้ครัวแบบโปร่งสำหรับบางบ้านอาจทำง่ายๆ เพียงแค่ติดหลังคากันสาดและก่อเคาน์เตอร์ครัว หรือถ้าจะให้ง่ายกว่านั้นคือซื้อชุดครัวสำเร็จรูปมาติดตั้งเลยก็ได้ ตัวอย่างการต่อเติมครัวแบบโปร่ง ต่อเติมครัวไทยแบบโปร่ง เน้นความโล่ง จะเห็นได้ว่าครัวแบบโปร่งเป็นรูปแบบที่เน้นความโปร่งโล่ง กลิ่นควันและความอับชื้นต่างๆ จึงระบายออกไปได้ง่าย สามารถฉีดน้ำล้างทำความสะอาดได้ (โดยต้องมีทางระบายน้ำรองรับ) วัสดุที่ใช้มักมีน้ำหนักเบา ทั้งยังสร้างได้รวดเร็วง่ายดายกว่าเมื่อเทียบกับครัวแบบทึบ แต่ในขณะเดียวกัน ความโปร่งโล่งของครัวแบบโปร่งอาจทำให้ต้องผจญกับ น้ำฝน ฝุ่นและสิ่งปรกต่างๆ ที่สาดซัดเล็ดรอดเข้ามาได้ง่าย ทั้งยังต้องระวังป้องกันไม่ให้สัตว์เล็กสัตว์น้อย อย่างแมลง นก หนู และอาจรวมถึงแมวหรือสุนัขตัวเล็กๆ เข้ามาก่อกวนภายในห้องครัวด้วย (ในส่วนนี้อาจใช้ ตะแกรง มุ้งลวด ช่วยป้องกันได้บ้าง)   จะเห็นว่าการทำครัวแบบโปร่งจะต้องควบคุมเรื่องความสะอาดและป้องกันสิ่งปนเปื้อนจากภายนอกให้ดี  ซึ่งสำคัญมากเพราะเป็นพื้นที่ประกอบอาหาร  อุปกรณ์ต่างๆ จึงควรมีที่เก็บมิดชิด หรือเจ้าของบ้านอาจจะเลือกใช้ครัวแบบโปร่งเฉพาะตอนประกอบอาหารและล้างภาชนะเท่านั้น ส่วนอุปกรณ์ทั้งหมดนำไปเก็บไว้ในบ้านแทนก็ย่อมได้เช่นกัน นอกจากนี้ ครัวแบบโปร่งซึ่งระบายอากาศได้สะดวกย่อมหมายความว่า กลิ่น ควัน รวมถึงไอน้ำมันจากการทำอาหารจะกระจายไปถึงเพื่อนบ้านได้ง่าย นับเป็นอีกเรื่องที่ต้องระวังเช่นกัน ครัวต่อเติมนอกบ้านแบบโปร่ง ขอบคุณภาพ : topicstock.pantip.com ต่อเติมครัวไทยแบบทึบ เน้นมิดชิด สำหรับห้องครัวแบบทึบซึ่งมีผนังมิดชิดจะมีข้อดีข้อเสียเป็นคู่ตรงข้ามกับห้องครัวแบบโปร่ง ไม่ว่าจะเป็นการใช้วัสดุที่มีน้ำหนักมากกว่าจึงมีโอกาสทรุดตัวเร็วกว่า (เมื่อเทียบกับโครงสร้างรองรับแบบเดียวกัน) ส่วนเรื่องของระบบระบายอากาศ อาจต้องพึ่งอุปกรณ์ช่วยอย่างเครื่องดูดควันหรือพัดลมระบายอากาศ นอกจากนี้การสร้างห้องครัวแบบทึบจะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าห้องครัวแบบโปร่ง ด้วยปริมาณวัสดุ โครงสร้าง และการเตรียมงานระบบที่มากกว่า   สำหรับข้อดีของครัวแบบโปร่งที่มีผนังมิดชิดก็คือ สามารถป้องกันสิ่งสกปรกและสิ่งไม่พึงประสงค์จากภายนอกได้ดี   รวมถึงการใช้เครื่องดูดควันพร้อมปล่องระบายอากาศ ยังช่วยป้องกันกลิ่นควันจากการประกอบอาหารไม่ให้รบกวนเพื่อนบ้านได้ง่ายด้วย นอกจากนี้ผนังที่มิดชิดของครัวแบบทึบยังให้ความรู้สึกปลอดภัยและเป็นส่วนตัว รวมถึงมีพื้นที่ติดตั้งชั้นเก็บของได้มาก ในเรื่องการทำความสะอาด ครัวแบบทึบควรใช้วิธีเช็ดถูเอาสิ่งสกปรกออก ไม่ควรใช้วิธีฉีดน้ำล้างอย่างครัวแบบโปร่ง และควรหมั่นทำความสะอาดเป็นประจำ การติดพัดลมดูดอากาศด้านข้างห้องครัวส่วนต่อเติม เพื่อช่วยระบายกลิ่น/ควัน ตู้ลอยติดผนังเหนือเคาน์เตอร์สำหรับเก็บของในห้องครัวแบบทึบ ขอบคุณภาพ : www.banidea.com อย่างไรก็ตามเมื่อเจ้าของบ้านตัดสินใจเลือกต่อเติมครัวตามแบบที่ตนเองต้องการแล้ว ไม่ว่าจะเป็นแบบโปร่งหรือแบบทึบ มีเรื่องสำคัญที่ห้ามละเลยคือ โครงสร้างที่ถ่ายน้ำหนักลงพื้นของครัวส่วนต่อเติม จะต้องแยกจากกันกับโครงสร้างบ้านเดิม เพราะส่วนต่อเติมซึ่งมักลงเสาเข็ม สั้นนั้นโดยปกติจะทรุดตัวเร็วกว่าตัวบ้านเดิม จึงควรให้การทรุดตัวเป็นอิสระจากกัน  ไม่ดึงรั้งกันจนกลายเป็นปัญหาบ้านทรุดแบบเอียงและเกิดการฉีกขาดของโครงสร้าง ซึ่งนับเป็นปัญหาใหญ่ที่แก้ไขได้ยากมาก ขอขอบคุณข้อมูลจาก SCG เกี่ยวกับการต่อเติมบ้านส่วนต่างๆ บ้านชั้นเดียวต่อเติมเป็นบ้านสองชั้นได้หรือไม่ 4 ปัญหาคาใจต่อเติมครัวแล้วทรุด พื้นที่บันได ทำอะไรเพิ่มเติมได้
X2 Pattaya Oceanphere : รีวิวบ้าน

X2 Pattaya Oceanphere : รีวิวบ้าน

X2 Pattaya Oceanphere (ครอสทู พัทยา โอเชี่ยนเฟียร์) พูลวิลล่า ตากอากาศสุดหรูพร้อมอยู่สไตล์ โมเดิร์น ลักซ์ชัวรี่ รีสอร์ท จาก Habitat       รายละเอียดโครงการ   ราคาเริ่มต้น    9,790,000 บาท เจ้าของโครงการ    บริษัท ฮาบิแทท วัน จำกัด (บริษัทในเครือ ฮาบิแทท กรุ๊ป) ลักษณะโครงการ    บ้านเดี่ยวพูล วิลล่า จำนวน 59 หลัง พื้นที่โครงการ    9 - 3 - 3 ไร่ ที่ตั้งโครงการ      ซอยนาจอมเทียน 56 อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี เริ่มก่อสร้าง     ไตรมาส 3 ปี พ.ศ. 2559 คาดว่าจะแล้วเสร็จ    ไตรมาส 4 ปี พ.ศ. 2561 ค่าส่วนกลาง    30 บาท/ตารางเมตร ค่ากองทุน    300 บาท/ตารางเมตร สถานที่สำคัญใกล้เคียง   สวนน้ำ Cartoon Network สวนนงนุช Ocean Marina สวนน้ำรามายณะ ไร่องุ่น Silver Lake แบบบ้านและขนาดพื้นที่ใช้สอย   พูล วิลล่า แบบ 1 ห้องนอน  พื้นที่ใช้สอยประมาณ 137.68 – 193.4 ตารางเมตร พูล วิลล่า แบบ 2 ห้องนอน  พื้นที่ใช้สอยประมาณ 193.91 – 257.71 ตารางเมตร สิ่งอำนวยความสะดวก สโมสรพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน 3 ชั้น โถงต้อนรับ พนักงานต้อนรับ และอำนวยความสะดวก สระว่ายน้ำแบบอินฟินิตี้เอดจ์ อ่างจากุชซี่ และ Hydrotherapy ห้องออกกำลังกาย ครอสทู ยาน สปา (X2 Yan Spa) ห้องอาหาร และ บาร์ (4K restaurant and Bar) บริการทำความสะอาด มีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง กล้อง CCTV บริเวณพื้นที่ส่วนกลาง ระบบ Key card ควบคุมการเข้าออก Security Gate สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร :  081-451-0002 ดูรายละเอียดเพิ่มเติม :  www.x2pattaya.com/
จะก่อสร้างบ้านต้องรู้เรื่องระยะห่างระหว่างอาคารกรณีอยู่ในที่ดินเจ้าของเดียวกัน

จะก่อสร้างบ้านต้องรู้เรื่องระยะห่างระหว่างอาคารกรณีอยู่ในที่ดินเจ้าของเดียวกัน

หลายครอบครัวเมื่อลูกหลานโตพอ หรือมีการแต่งงานสร้างครอบครัวใหม่ บางครั้งก็วางแผนต่อเติม ปรับปรุงบ้าน หรือสร้างบ้านใหม่อีกหลังในที่ดินเดียวกับบ้านหลังเดิม เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้ๆ กัน หรือบางท่านมีที่ดินผืนใหญ่ แล้ววางแผนจะสร้างบ้านหลายหลังบนที่ดินผืนนั้น เพื่อให้ลูกหลานอยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่ แต่ยังไม่ได้แยกกรรมสิทธิ์ที่ดินออกไป ถ้าท่านกำลังมีแผนเช่นที่ว่าอยู่พอดี หากได้ศึกษาเกี่ยวกับกฎหมายต่อเติม สร้างบ้าน ก็จะทราบว่า กฎหมายควบคุมอาคารมีข้อกำหนดเรื่องการก่อสร้างอาคารในที่ดินเจ้าของเดียวกันไว้  โดยอาคารแต่ละหลังจะต้องมีระยะห่างระหว่างกัน  ดังนั้น ไม่ว่าท่านกำลังจะก่อสร้างบ้านใหม่อีกหลังใกล้กับบ้านหลังเดิม หรือท่านกำลังสร้างบ้านใหม่หลายหลังพร้อมกัน ถ้าบ้านทั้งสองหลังหรือหลายหลังนั้นสร้างอยู่ในที่ดินเจ้าของเดียวกันจะต้องคำนึงถึงระยะห่างระหว่างอาคารด้วย บ้านแต่ละหลังจะต้องมีระยะห่างระหว่างกันไม่น้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด ซึ่งกำหนดไว้ในข้อ 48 ของกฎกระทรวงฉบับที่ 55 (พ.ศ. 2543) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ระยะห่างระหว่างบ้านหรืออาคารในที่ดินเจ้าของเดียวกัน จะห่างเท่าใด กฎหมายกำหนดให้พิจารณาจาก 2 เงื่อนไข คือ 1) ความสูงของอาคารทั้งสองหลัง และ 2) ผนังของอาคารทั้งสองหลังด้านที่ใกล้กันนั้นเป็นผนังทึบหรือมีช่องเปิด-ช่องแสง-ระเบียง แยกเป็น 3 กรณี ดังนี้ กรณีที่ 1 เมื่อผนังอาคารด้านที่ใกล้กันเป็นผนังที่มีช่องเปิด-ช่องแสงหรือมีระเบียง ทั้งสองหลัง ผนังของอาคารด้านที่มี หน้าต่าง ประตู ช่องระบายอากาศหรือช่องแสงหรือระเบียงของอาคาร ต้องมีระยะห่างจากผนังของอาคารอื่นด้านที่มีหน้าต่าง ประตู ช่องระบายอากาศหรือช่องแสง หรือระเบียงของอาคาร ดังต่อไปนี้ (ก) อาคารที่มีความสูงไม่เกิน 9 เมตร ผนังหรือระเบียงของอาคารต้องอยู่ห่างจากผนังหรือระเบียงของอาคารอื่นที่มีความสูงไม่เกิน 9 เมตร ไม่น้อยกว่า 4 เมตร (ข) อาคารที่มีความสูงไม่เกิน 9 เมตร ผนังหรือระเบียงของอาคารต้องอยู่ห่างจากผนังหรือระเบียงของอาคารอื่นที่มีความสูงเกิน 9 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ไม่น้อยกว่า 5 เมตร (ค) อาคารที่มีความสูงเกิน 9 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ผนังหรือระเบียงของอาคารต้องอยู่ห่างจากผนังหรือระเบียงของอาคารอื่นที่มีความสูงเกิน 9 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ไม่น้อยกว่า 6 เมตร กรณีที่ 2 เมื่อผนังอาคารด้านที่ใกล้กัน มีหลังหนึ่งเป็นผนังทึบ และอีกหลังเป็นผนังที่มีช่องเปิด-ช่องแสง หรือมีระเบียง ผนังของอาคารด้านที่เป็นผนังทึบต้องมีระยะห่างจากผนังของอาคารอื่นด้านที่มี หน้าต่าง ประตู ช่องระบายอากาศหรือช่องแสง หรือระเบียงของอาคาร ดังต่อไปนี้ (ก) อาคารที่มีความสูงไม่เกิน 15 เมตร ผนังของอาคารต้องอยู่ห่างจากผนังหรือระเบียงของอาคารอื่นที่มีความสูงไม่เกิน 9 เมตร ไม่น้อยกว่า 2 เมตร (ข) อาคารที่มีความสูงไม่เกิน 15 เมตร ผนังของอาคารต้องอยู่ห่างจากผนังหรือระเบียงของอาคารอื่นที่มีความสูงเกิน 9 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ไม่น้อยกว่า 3 เมตร (ค) อาคารที่มีความสูงเกิน 15 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ผนังของอาคารต้องอยู่ห่างจากผนังหรือระเบียงของอาคารอื่นที่มีความสูงไม่เกิน 9 เมตร ไม่น้อยกว่า 2.50 เมตร (ง) อาคารที่มีความสูงเกิน 15 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ผนังของอาคารต้องอยู่ห่างจากผนังหรือระเบียงของอาคารอื่นที่มีความสูงเกิน 9 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ไม่น้อยกว่า 3.50 เมตร กรณีที่ 3 เมื่อผนังอาคารด้านที่ใกล้กัน เป็นผนังทึบทั้งสองหลัง และทั้งสองหลังมีความสูงเกิน 15 เมตรแต่สูงไม่ถึง 23 เมตร ผนังของอาคารที่มีความสูงเกิน 15 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ด้านที่เป็นผนังทึบต้องอยู่ห่างจากผนังของอาคารอื่นที่มีความสูงเกิน 15 เมตร แต่ไม่ถึง 23 เมตร ด้านที่เป็นผนังทึบไม่น้อยกว่า 1 เมตร กรณีที่ 3 นี้ ถ้าเป็นอาคารที่ก่อสร้างอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ระยะห่างจะต้องไม่น้อยกว่า 2 เมตรนะครับ เนื่องจากมีข้อกำหนดเรื่องที่ว่างโดยรอบอาคารที่สูงเกิน 15 เมตรไว้ สำหรับกรณีที่ 2 และกรณีที่ 3 ถ้าหากมีอาคารหลังใดหลังหนึ่งหรือทั้งสองหลังชั้นบนสุดทำเป็นดาดฟ้าขึ้นไปใช้สอยได้ กฎหมายยังได้กำหนดอีกว่า ผนังของดาดฟ้าของอาคารด้านที่อยู่ใกล้กับอาคารอื่นต้องสร้างเป็นผนังทึบสูงจากพื้นดาดฟ้าไม่น้อยกว่า 1.80 เมตรอีกด้วย   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  www.scgbuildingmaterials.com
สร้างบ้านใหม่เลือกแบบบ้านชั้นเดียวหรือแบบบ้านสองชั้นดี?

สร้างบ้านใหม่เลือกแบบบ้านชั้นเดียวหรือแบบบ้านสองชั้นดี?

สำหรับใครที่มีที่ดินอยู่แล้ว และอยู่ในขั้นตอนกำลังตัดสินใจจะสร้างบ้าน แต่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกแบบบ้านชั้นเดียว หรือแบบบ้านสองชั้นดี  ลองพิจารณาจากปัจจัยและความเหมาะสมในด้านต่างๆ ต่อไปนี้เพื่อช่วยตัดสินใจ 1. ความต้องการ/ฟังก์ชั่น และขนาดพื้นที่ใช้สอย การกำหนดความต้องการใช้งานในบ้านหรือฟังก์ชั่นของบ้าน จะมีผลต่อขนาดพื้นที่ใช้สอย จำนวนชั้นและลักษณะของบ้าน ยกตัวอย่างเช่น ปลูกเรือนหอสามชั้นเพื่อเตรียมขยายครอบครัวซึ่งมีความต้องการพิเศษ เช่น ห้องอเนกประสงค์ ห้องทำงาน ฯลฯ,  สร้างบ้านใหม่สองชั้นโดยเตรียมพื้นที่สำหรับพ่อแม่อยู่อาศัย (ผู้สูงอายุ) ในชั้นล่าง, สร้างบ้านชั้นเดียวเพื่ออยู่อาศัยในวัยชรา, สร้างบ้าน 4 ชั้นเพื่อทำธุรกิจควบคู่ด้วย เช่น สำนักงาน ร้านกาแฟ ร้านอาหาร หรือปล่อยเช่าบางส่วน เป็นต้น ดังนั้น เจ้าของบ้านควรทำรายการความต้องการใช้สอยพื้นที่ของบ้านในส่วนต่างๆ เตรียมไว้ เพื่อปรึกษาสถาปนิกให้ออกแบบตรงตามความต้องการ หรือเลือกแบบบ้านที่ใกล้เคียงกับความต้องการมากที่สุด สำหรับครอบครัวที่มีสมาชิกในบ้านน้อยประมาณ 1-3 คน อาจเลือกแบบบ้านชั้นเดียวได้ หากไม่ได้มีความต้องการพื้นที่ใช้สอยมากนัก นอกจากนี้แบบบ้านชั้นเดียวยังเหมาะกับผู้สูงอายุ หรือผู้พิการ โดยทำเป็นพื้นระดับเดียวไม่มีขั้นบันได เพื่อช่วยลดความเสี่ยงที่อาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ ส่วนครอบครัวที่มีสมาชิกหลายคนหรือบ้านที่ทำธุรกิจควบคู่ไปด้วย แบบบ้านสองชั้นหรือหลายชั้นจะตอบโจทย์การใช้งานมากกว่า เพราะสามารถออกแบบและจัดสรรพื้นที่ใช้สอยให้เหมาะสม เพียงพอต่อการใช้งาน เช่น มีสวนภายนอกสำหรับเด็กหรือสัตว์เลี้ยง มีบ่อปลาคาร์พ มีพื้นที่จอดรถได้หลายคัน ออกแบบพื้นที่และห้องนอนและห้องน้ำสำหรับผู้สูงอายุโดยเฉพาะ หรือแบ่งพื้นที่ชั้นล่างเป็นส่วนที่คนนอกเข้าใช้งานได้เป็นร้านหรือสำนักงาน (Public Space) ส่วนชั้นบนทำเป็นพื้นที่อยู่อาศัยส่วนตัว (Private Space) เป็นต้น นอกจากนี้ ความชอบเรื่องสเปซ (Space) ก็เป็นอีกปัจจัยในการเลือกแบบบ้านเช่นกัน สำหรับบ้านชั้นเดียวสามารถออกแบบให้มีห้องโถงสูงทั้งหลัง (ฝ้าเพดานยกสูง) เพื่อช่วยทำให้ห้องดูโปร่งสบายได้ โดยยังกลมกลืนกับบ้านพักอาศัยโดยรอบ ส่วนบ้านสองชั้นสามารถเพิ่มลูกเล่นให้พื้นที่พิเศษได้ เช่น ทำห้องโถงหรือห้องรับแขกแบบดับเบิ้ลสเปซ (Double Space) หรือแม้แต่การเล่นระดับพื้นสูงต่ำภายในบ้านเพื่อแบ่งพื้นที่ส่วนต่างๆ ก็ได้เช่นกัน 2. ขนาดที่ดิน และทำเลที่ตั้ง ขนาดที่ดินก็นับว่าเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจเลือกแบบบ้านชั้นเดียวหรือแบบบ้านสองชั้น เนื่องจากการสร้างบ้านก็มีกฎหมายควบคุมซึ่งต้องคำนึงถึงระยะร่นแนวอาคารดังนั้นเมื่อมีที่ดินพร้อมปลูกบ้านแล้ว เจ้าของบ้านจะทราบขนาดพื้นที่ที่สามารถสร้างบ้านได้เมื่อหักลบระยะร่นออกไป จากนั้นจึงพิจารณาความเหมาะสมในการสร้างบ้านให้เหมาะสมกับขนาดที่ดิน เช่น หากมีที่ดินขนาดใหญ่ จะสามารถสร้างบ้านชั้นเดียวหรือสองชั้นก็ได้ตามฟังก์ชั่นการใช้งาน แต่หากมีที่ดินขนาดเล็กซึ่งเมื่อหักลบระยะร่นออกแล้ว การสร้างบ้านสองชั้นหรือมากกว่าสองชั้นนั้นอาจเหมาะสมกว่า เพราะสามารถเพิ่มขนาดพื้นที่ใช้สอยในทางสูงได้ โดยไม่ควรสร้างบ้านที่มีความสูงเกินที่กฎหมายกำหนดตามแต่ละพื้นที่เช่นกัน ด้านทำเลที่ตั้ง ควรดูบริบทโดยรวมว่าที่ดินอยู่ในพื้นที่แบบใด เช่น ที่ดินอยู่ในเขตชุมชนเมืองที่มีตึกสูงรายล้อม อยู่ในหมู่บ้านจัดสรร อยู่ใกล้แหล่งน้ำ หรือมีที่ดินอยู่ในเขตที่เสี่ยงน้ำท่วม บริบทและสภาพ:แวดล้อมเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการออกแบบบ้าน ลักษณะของบ้านที่จะสร้างจึงต้องพิจารณาด้านทำเลที่ตั้งร่วมด้วยตามความเหมาะสม เช่น สร้างบ้านแบบอาคารสามชั้นในเขตชุมชนเมืองเนื่องจากพื้นที่ขนาดเล็ก สร้างบ้านเดี่ยวสองชั้นในหมู่บ้านจัดสรร หรือสร้างบ้านใต้ถุนสูงในเขตพื้นที่ที่มีความเสี่ยงน้ำท่วม เป็นต้น 3. งบประมาณการก่อสร้าง งบประมาณเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่เป็นตัวกำหนดการสร้างบ้าน  เพราะหากเปรียบเทียบระหว่างบ้านชั้นเดียวและบ้านสองชั้นที่มีพื้นที่ใช้สอยเท่ากันแล้ว บ้านสองชั้นจะมีราคาก่อสร้างที่ต่ำกว่า เพราะไม่ต้องลงเสาเข็มในพื้นที่บริเวณกว้าง และขนาดผืนหลังคาขนาดเล็กกว่าบ้านชั้นเดียว อย่างไรก็ตาม ราคาการก่อสร้างก็ขึ้นอยู่กับการเลือกใช้วัสดุก่อสร้างและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ร่วมด้วย ควรศึกษาข้อมูล หรือปรึกษาสถาปนิกก่อนตัดสินใจ 4. การดูแลรักษา นอกจากการอยู่อาศัยแล้ว การดูแลรักษาก็เป็นสิ่งที่ควรพิจารณา สำหรับบ้านชั้นเดียวจะเป็นบ้านที่ดูแลรักษาได้ง่าย เช่น การเช็ดกระจก ทำความสะอาดผนังและรางน้ำฝน การซ่อมแซมงานหลังคา ฯลฯ แต่สำหรับบ้านสองชั้นหรือมากกว่าสองชั้นนั้นจะดูแลรักษาลำบากกว่าเพราะระดับความสูง อาจต้องใช้บันได หรืออุปกรณ์เสริมอื่นๆ ในการทำความสะอาด หรือซ่อมแซมส่วนต่างๆ 5. การต่อเติมในอนาคต หากคิดไว้ว่าในอนาคตอาจมีการต่อเติม โดยเฉพาะการต่อเติมขยายพื้นโดยรอบ เช่น ปลูกบ้านอีกหลังเชื่อมกับบ้านเดิม ต่อเติมห้องครัว ต่อเติมห้องนอนชั้นล่าง ฯลฯ ซึ่งต้องมีพื้นที่เพียงพอสำหรับการก่อสร้าง การเลือกแบบบ้านสองชั้นที่ประหยัดการใช้ที่ดินมากกว่าก็อาจจะเหมาะกว่าการเลือกแบบบ้านชั้นเดียวที่มีพื้นที่ใช้สอยเท่ากัน หรือหากวางแผนต่อเติมเพิ่มจำนวนชั้นในอนาคต ซึ่งในช่วงแรกของการอยู่อาศัยจะเป็นบ้านชั้นเดียว โดยเตรียมทำแบบบ้านสองชั้นไว้ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบ ไม่ว่าจะเป็น รูปแบบหน้าตาบ้าน งานโครงสร้าง รวมถึงงานระบบต่างๆ เป็นต้น หลังจากพิจารณาปัจจัยต่างๆ ที่กล่าวมาเพื่อเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจเลือกแบบบ้านแล้ว ไม่ว่าจะตัดสินใจเลือกแบบบ้านชั้นเดียวหรือแบบบ้านสองชั้นก็ตาม สิ่งสำคัญของการสร้างบ้านขึ้นมาสักหลังคือ ควรตอบโจทย์การใช้งานของสมาชิกในบ้าน อยู่แล้วมีความสุขสบาย ปลอดภัย และไม่ขัดต่อกฎหมายควบคุมอาคาร   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  www.scgbuildingmaterials.com
5 ความเสี่ยงจากการซื้อบ้านและคอนโด

5 ความเสี่ยงจากการซื้อบ้านและคอนโด

การจะซื้อบ้านหรือคอนโดแต่ละครั้ง เราก็รู้กันดีอยู่แล้วว่าต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อย และก็ใช่ว่าบ้านหรือคอนโดที่เราซื้อมาแล้วนั้นจะได้คุณภาพดีเสมอไป ดังนั้นก่อนจะซื้อบ้านหรือคอนโด เราจึงควรต้องมีการวางแผนให้ดี และเตรียมพร้อมรับมือกับความเสี่ยงเหล่านี้ให้ดีด้วยครับ 1. สินค้าด้อยคุณภาพ ปัญหานี้ถือได้ว่าเป็นปัญหาที่เรามักพบเจอกันได้มากที่สุด โดยสาเหตุนั้นมาจากการที่โครงการใช้สินค้าไม่มีคุณภาพหรือใช้วัสดุเกรดต่ำกว่าที่โฆษณาไว้ จึงทำให้เกิดปัญหาบ้านทรุด , กำแพงร้าว , น้ำรั่ว , ท่อตัน ตามมา 2. ส่งมอบล่าช้า ปัญหานี้มักเกิดกับคอนโดเป็นส่วนใหญ่ ด้วยสาเหตุหลักๆที่ทำให้เกิดการส่งมอบล่าช้า คือ โครงการไม่ผ่านEIA , โครงการยังขายไม่ถึงเป้า ซึ่งปัญหาการส่งมอบล่าช้านั้นถ้าผู้ซื้อเห็นว่าโครงการช้าเกินกว่ากำหนดแน่นอน ผู้ซื้อสามารถยกเลิกสัญญาได้ทันที และเรียกเงินคืนทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ยในอัตราเดียวกันกับที่โครงการเรียกเก็บเราเมื่อมีการจ่ายเงินดาวน์ช้า หรือถ้าไม่ยกเลิกสัญญาก็มีสิทธิ์เรียกค่าปรับเป็นรายวันได้ร้อยละ 0.1% ของราคาห้องชุด แต่รวมแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 10 โดยที่ในความเป็นจริงแล้วเมื่อคอนโดมีการส่งมอบล่าช้ากว่ากำหนด ส่วนใหญ่จะชดเชยเป็นโปรโมชั่นในวันโอนแทน 3. ของจริงไม่เหมือนโฆษณา ปัญหานี้มักพบบ่อย เพราะตอนไปดูบ้านหรือห้องตัวอย่าง มีสวยงามตกแต่งเป็นอย่างดี แต่พอได้ของจริง กลับไม่มีคุณภาพ ปัญหาที่มักพบได้แก่ งานไม่เรียบร้อย ไม่สมราคา และไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งปัญหาเหล่านี้เราจะไม่รับโอนก็ได้ เพราะถือว่าสินค้นผิดจากในสัญญา 4. การบริการแย่ ปัญหานี้มักเกิดจากการบริการหลังการขาย เพราะเมื่อผู้ซื้อจ่ายเงินครบ และมีการโอนรับบ้านหรือห้องเมื่อไร ผู้ซื้อจะหมดความสำคัญทันที เพราะหลังจากมีการโอนรับบ้านหรือห้องแล้ว เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นจะตามมาแก้ไข มาเก็บงานก็เป็นได้ยากแล้ว แต่ปัญหานี้เหล่านี้เราสามารถแก้ไขได้โดยการต้องยอมจ้างบริษัทตรวจรับบ้านคอนโดมาตรวจงานให้ละเอียดเรียบร้อยก่อนมีการโอนรับบ้านคอนโด 5. ยื้อเวลา ปัดความรับผิดชอบ ถึงแม้ว่าปัญหานี้จะมีกฏหมายรองรับไว้แล้ว แต่ผู้ซื้อก็มักเสียเปรียบอยู่ดี เพราะเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นแล้ว การจะเรียกร้องเอาเงินคืน ก็เป็นไปได้ค่อนข้างยากแล้ว ดังนั้นก่อนทำสัญญา ต้องมีการตกลงกันให้ดีก่อน ว่าถ้ากู้ไม่ผ่านยินดีคืนเงินอย่างไร และต้องทำเป็นหนังสือแนบท้ายสัญญาไว้ทุกขั้นตอน ตั้งแต่เงื่อนไข และวิธีการชำระเงินคืน ทุกปัญหาถือว่ามีความเสี่ยงทั้งนั้น ดังนั้นก่อนจะซื้อบ้านหรือคอนโด เราจึงต้องมีการตรวจสอบให้ดีครับ ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.co.th
10 ลำดับขั้นตอนการก่อสร้างบ้าน

10 ลำดับขั้นตอนการก่อสร้างบ้าน

การปลูกบ้าน หรือสร้างบ้านใหม่ จะเริ่มสร้างจากล่างขึ้นบน กล่าวคือต้องเริ่มจากโครงสร้างเสาเข็ม ฐานราก จากนั้นจะเริ่มงานโครงสร้างจากชั้นหนึ่ง และชั้นสองตามลำดับ แล้วจึงติดตั้งหลังคา ก่อผนัง เตรียมงานระบบ จนเมื่องานโครงสร้างเรียบร้อยก็จะตกแต่งงานสถาปัตย์ เก็บรายละเอียดงาน ทำความสะอาดจนพร้อมส่งมอบบ้านให้แก่เจ้าของบ้าน ทั้งนี้ แต่ละขั้นตอนต้องวางแผนการดำเนินงานเป็นอย่างดี เพราะมีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย และสำหรับตัวเจ้าของบ้านเองควรเข้าใจลำดับขั้นตอนเพื่อสามารถตรวจและควบคุมงานในเบื้องต้น รวมถึงจดบันทึกตำแหน่งหรือข้อมูลทั้งงานระบบท่อไฟฟ้า-ประปา ตำแหน่งระบบสุขาภิบาล เผื่อการบำรุงซ่อมแซมในอนาคต 10 ลำดับขั้นตอนการก่อสร้างบ้าน ที่เจ้าของบ้านทุกคนควรทราบ มีดังนี้ 1.เริ่มขั้นตอนสร้างบ้าน โดยการเตรียมพื้นที่ เมื่อมีแบบก่อสร้างบ้าน และทำสัญญากับผู้รับเหมาเรียบร้อยแล้ว ทางผู้รับเหมาจะเริ่มเข้าหน้างานเตรียมพื้นที่ กำหนดจุดวางและขนย้ายเครื่องมืออุปกรณ์ อาจมีสถานที่พักสำหรับคนงาน (ในกรณีที่คนงานพักในพื้นที่) หากมีบ้านเดิมจะต้องรื้อถอนออกก่อน หรือหากเป็นที่ดินเปล่าจะมีการขอน้ำและไฟฟ้าชั่วคราวสำหรับใช้งาน สำหรับงานเตรียมพื้นที่ จะครอบคลุมอยู่หลายเรื่อง ตั้งแต่ระดับพื้นบ้านที่ต้องพิจารณา อาจต้องถมที่ดินเพื่อปรับระดับ ให้เหมาะสม ซึ่งโดยทั่วไปจะถมให้สูงกว่าระดับถนน 50-80 ซม. และควรสูงกว่าท่อระบายน้ำสาธารณะ ส่วนระยะเวลาที่เหมาะสมสำหรับการถมดินอยู่ในช่วงหน้าแล้ง (ช่วงเดือนธันวาคม – พฤษภาคม) เพราะสามารถทำงานได้สะดวก ได้ดินที่แน่นและมีคุณภาพ เพราะหากถมในช่วงหน้าฝนอาจเกิดเหตุการณ์ดินไหลได้ ภาพ: การปรับระดับดินก่อนลงเสาเข็ม 2.งานวางผังอาคาร ขั้นตอนสร้างบ้านที่ต้องวางแผนให้ดี เมื่อเตรียมพื้นที่เรียบร้อย จะเริ่มวางผังแนวอาคารซึ่งเป็นการกำหนดตำแหน่งของเสาเข็มโดยอ้างอิงจากแบบ เพื่อให้ทุกฝ่ายทั้งเจ้าของบ้าน ผู้ออกแบบ วิศวกร บริษัทรับเหมาก่อสร้าง และบริษัทรับเหมางานเสาเข็มมีความเข้าใจที่ตรงกัน ในขั้นตอนนี้ อาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือปรับระยะต่างๆ ให้เหมาะสมได้เนื่องจากอาจพบอุปสรรคที่หน้างาน เช่น แนวต้นไม้ใหญ่ แนวเสาเข็มโครงสร้างอาคารเดิม หรือตำแหน่งอาคารข้างเคียงที่มีผลต่อพื้นที่ใช้สอยอาคาร เป็นต้น โดยผู้รับเหมาจะนำเสนอแนวทางแก้ไขให้ผู้ออกแบบเซ็นชื่อรับรอง เพื่อดำเนินการก่อสร้างต่อไป ภาพ: ตรวจแบบก่อสร้างเพื่อเตรียมวางผังอาคาร (กำหนดจุดลงเสาเข็ม) 3.หนึ่งในขั้นตอนสร้างบ้านสำคัญ คือ งานเสาเข็ม สำหรับงานเสาเข็มมักจะจ้างบริษัทรับเหมางานเสาเข็มโดยเฉพาะ ซึ่งทางผู้ออกแบบจะสำรวจหน้างานและกำหนดมาแล้วว่าบ้านแต่ละหลังเหมาะจะใช้เสาเข็มประเภทใด ไม่ว่าจะเป็นเสาเข็มตอกหรือเสาเข็มเจาะ (อ่านรายละเอียด Material Guide ทรุดไม่ทรุด จุดเริ่มต้นอยู่ที่เสาเข็ม) การตรวจสอบคุณภาพเสาเข็มต้องทดสอบความแข็งแรง (Load Test) สามารถรับน้ำหนักได้ตามมาตรฐาน ไม่เยื้องศูนย์ แต่หากเกิดความผิดพลาดหรืออุปสรรคในการตอกหรือเจาะเสาเข็ม ผู้ออกแบบอาจต้องแก้ไขแบบเพื่อให้เสาเข็มและฐานรากดังกล่าวสามารถรับน้ำหนักได้ นอกจากนี้สำหรับการตัดหัวเสาเข็มเพื่อเตรียมหล่อฐานราก ผู้รับเหมางานเสาเข็ม และผู้รับเหมาหลักต้องยืนยันระดับฐานรากให้ตรงกันก่อนส่งต่องาน ภาพ: การทำเสาเข็มเจาะ 4.ขั้นตอนสร้างบ้านของงานฐานรากโครงสร้างชั้นล่าง เมื่อตัดหัวเสาเข็มแล้ว ผู้รับเหมาหลักจะเริ่มงานส่วนโครงสร้างฐานรากซึ่งประกอบด้วยฐานรากและเสาตอม่อจากนั้นจึงขึ้นโครงสร้างชั้น 1 ซึ่งประกอบด้วย คานคอดิน เสา คาน และพื้นชั้นล่าง โดยอาจอาจเลือกเป็นพื้นหล่อในที่ (พื้นห้องน้ำ) ร่วมกับพื้นคอนกรีตสำเร็จรูป หากโครงสร้างต่างๆ เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ควรมีขนาดและค่ากำลังอัด ตามที่วิศวกรได้คำนวณไว้ ซึ่งต้องใช้เวลาในการบ่มคอนกรีต และถอดแบบค้ำยัน ช่วงระยะเวลาหนึ่ง (ประมาณ 14-28 วัน ขึ้นอยู่กับลักษณะงานและประเภทปูน) เพื่อให้โครงสร้างมีความแข็งแรง พร้อมรับน้ำหนักโครงสร้างอื่นๆ ต่อไป แต่ในกรณีที่สร้างบ้านโครงสร้างเหล็ก ก็จะเริ่มนำชิ้นส่วนเหล็กในแต่ละส่วนมาเชื่อมกันทั้งในส่วน เสา คาน ตง เป็นต้น ในระหว่างขั้นตอนนี้ จะมีการขุดดินเพื่อวางระบบสุขาภิบาล เช่น บ่อพัก  Manhole ระบบท่อน้ำทิ้ง ท่อประปา เป็นต้น ซึ่งเจ้าของบ้านควรถ่ายรูปและจดบันทึกตำแหน่งและระยะงานระบบเอาไว้เพื่อเป็นข้อมูลอ้างอิงหากมีการซ่อมแซมในอนาคต ภาพ: งานเตรียมเหล็กเสริมโครงสร้างคานและเสาชั้นล่าง 5. งานโครงสร้างชั้นสอง โครงหลังคา และโครงสร้างงานระบบสุขาภิบาล งานโครงสร้างชั้นสองก็ทำเช่นเดียวกับโครงสร้างชั้นล่าง ทั้งเสา คานอะเส(คานหลังคา) และอาจมีงานหล่อชิ้นส่วนตกแต่ง เช่น บัว กันสาด ขอบปูน ซึ่งโครงสร้างแต่ละส่วนจะต้องใช้ระยะเวลาบ่มคอนกรีตเช่นเดียวกับโครงสร้างชั้นล่าง นอกจากนี้จะเริ่มขึ้นโครงหลังคา ซึ่งมีหลายประเภท เช่น โครงหลังคาเหล็ก หรือโครงหลังคาสำเร็จรูป เป็นต้น ในส่วนของงานระบบประปาและสุขาภิบาลทั้งถังเก็บน้ำใต้ดิน ท่อน้ำทิ้ง และถังบำบัดจะถูกติดตั้งในช่วงนี้โดยสมบูรณ์เพื่อเตรียมการเดินท่อเข้าภายในบ้าน ภาพ: ติดตั้งโครงหลังคาเหล็ก 6.ขั้นตอนสร้างบ้าน งานมุงหลังคา และโครงสร้างบันได เมื่องานโครงสร้างหลักเสร็จเรียบร้อย จะเริ่มติดตั้งวัสดุมุงหลังคาเพื่อให้ภายในบ้านมีร่มเงาและลดอุปสรรคจากลมฟ้าอากาศในการทำงาน ในช่วงนี้จะเริ่มหล่อโครงสร้างบันไดคอนกรีตเสริมเหล็ก หรือติดตั้งบันไดเหล็กตามที่แบบระบุ นอกจากนี้อาจเก็บงานโครงสร้างในส่วนอื่นๆ ให้พร้อมก่อนเริ่มงานก่อผนังและติดตั้งวัสดุปิดผิว ภาพ: (บน) มุงหลังคากันแดดและฝน  (ล่าง) ติดตั้งบันไดโครงสร้างเหล็ก 7.งานก่อผนัง ติดตั้งวงกบไม้ประตู-หน้าต่าง และงานระบบไฟฟ้า-ประปา เมื่อมุงหลังคาเรียบร้อย จะเข้าสู่ขั้นตอนการก่อผนังและหล่อเสาเอ็น-คานเอ็น ในขั้นตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับบ้านแต่ละหลังว่าเลือกใช้ผนังบ้านแบบใด เช่น ผนังก่ออิฐ หรือผนังเบา ซึ่งในช่วงนี้จะเดินท่องานระบบต่างๆ ที่ฝังในผนังไปด้วย ทั้งระบบไฟฟ้าและประปา รวมถึงติดตั้งวงกบไม้ประตูหน้าต่างตามตำแหน่งที่ระบุตามแบบ ภาพ: การก่อผนัง หล่อเสาเอ็น-คานเอ็น และฝังท่อไฟฟ้า-ประปาในผนัง 8.ขั้นตอนสร้างบ้าน งานฉาบผนัง และงานติดตั้งฝ้าเพดาน  ในงานฉาบผนังก่ออิฐ จะต้องจับปุ่มจับเซี้ยม หรืออาจขึงลวดกรงไก่ เพื่อฉาบผนังให้เรียบสม่ำเสมอ ส่วนผนังเบาจะต้องฉาบเก็บรอยต่อระหว่างแผ่นผนังให้เรียบเนียน เตรียมพร้อมก่อนขั้นตอนการปิดผิว ในขั้นตอนนี้ต้องอาศัยความชำนาญของช่างเพื่องานที่ละเอียดเรียบร้อย ผนังต้องได้ดิ่ง-ฉากทุกพื้นที่ สำหรับฝ้าเพดานจะมีการกำหนดระดับความสูงตามแบบทั้งภายในและภายนอกบ้าน โดยติดตั้งโครงฝ้าและปิดด้วยวัสดุฝ้าเพดาน เช่น แผ่นยิปซั่ม แผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์ เป็นต้น ในขั้นตอนนี้จะมีการติดตั้งระบบไฟฟ้า โคมไฟ และช่องเซอร์วิสไปพร้อมกัน ภาพ: การฉาบผนัง และติดตั้งฝ้าเพดานทั้งภายนอกและภายใน 9. งานวัสดุตกแต่งพื้นผิว ขั้นตอนสร้างบ้าน ติดตั้งอุปกรณ์ ติดตั้งประตู-หน้าต่าง และงาน Build-In เป็นขั้นตอนที่ต้องอาศัยความประณีตของช่างอย่างมาก เพราะทำให้บ้านเนี้ยบสวยงาม ซึ่งในขั้นตอนนี้จะประกอบไปด้วย   9.1 วัสดุตกแต่งผนังและพื้น ขึ้นอยู่กับการออกแบบและความชอบของเจ้าของบ้าน โดยวัสดุพื้นผิวผนัง เช่น ทาสี ฉาบสกิมโค้ท ปูกระเบื้องเซรามิก ติดวอลล์เปเปอร์ ฯลฯ ส่วนวัสดุพื้น เช่น หินขัด กรวดล้าง/ทรายล้าง ปูกระเบื้องเซรามิก ไม้ปาร์เกต์ ไม้ลามิเนต เป็นต้น 9.2 ระบบแสงสว่างและติดตั้งดวงโคมการติดตั้งแสงสว่างและหลอดไฟจะเริ่มในช่วงนี้เพราะติดตั้งฝ้าเพดาน โคมไฟ และเดินงานระบบเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ช่างจะเดินสายไฟเชื่อมกับสวิตช์ไฟ ปลั๊ก และติดตั้งเครื่องปรับอากาศ 9.3 ติดตั้งบานประตู หน้าต่างไม้ ชุดประตู-หน้าต่างไวนิล/อะลูมิเนียม ขั้นตอนนี้จะเป็นการติดตั้งบานประตู บานกระจก หน้าต่างเข้ากับวงกบไม้ที่ติดตั้งเอาไว้ก่อนหน้านี้ รวมถึงติดตั้งชุดประตู-หน้าต่างไวนิลหรืออะลูมิเนียมเข้ากับผนังที่เว้นช่องไว้ ซึ่งขอบผนังโดยรอบต้องเรียบสม่ำเสมอ ได้ระดับดิ่ง-ฉาก เพื่อให้ชุดประตู-หน้าต่างติดตั้งได้พอดี ลดความเสี่ยงการรั่วซึมในอนาคต 9.4 งาน Build-in ด้านงาน Build-in อาจมารวมอยู่ในช่วงนี้ได้ เช่น ตู้เสื้อผ้า ชั้นวางของ เคาน์เตอร์ครัว เป็นต้น 9.5 ติดตั้งวัสดุอุปกรณ์ สุขภัณฑ์ในห้องน้ำ และอุปกรณ์เครื่องครัว วัสดุอุปกรณ์ต่างๆ เมื่อติดตั้งแล้วควรคลุมด้วยพลาสติกเพื่อป้องกันฝุ่นละออง รอยขีดข่วน และสีที่อาจกระกระเด็นเปรอะเปื้อนในช่วงการเก็บงาน 9.6 สวนและทางเดินรอบบ้านอาจเริ่มทำในช่วงนี้ หรืออาจทำในช่วงที่บ้านสร้างเสร็จแล้วก็ได้ ภาพ: การตกแต่งภายใน ติดตั้งวัสดุปูพื้น-ผนัง ประตูหน้าต่าง (บานเฟี้ยม) และงานBuild-in 10. ทำความสะอาดและตรวจความเรียบร้อยในการเก็บงาน ขั้นตอนสร้างบ้านสุดท้าย ช่างจะเก็บรายละเอียดต่างๆ เช่น งานทาสี ตรวจสอบงานระบบต่างๆ ซึ่งในช่วงนี้เจ้าของบ้านควรเข้ามาตรวจสอบด้วยตัวเอง ซึ่งถ้าเจอข้อผิดพลาด ควรแจ้งให้ช่างแก้ไขให้เรียบร้อยก่อนจะส่งจะส่งมอบงาน จากนั้นจะเริ่มทำความสะอาด (โดยมากจะจ้างบริษัททำความสะอาดหลังงานก่อสร้างโดยตรง) แล้วเสร็จจนพร้อมส่งมอบงานให้เจ้าของบ้านขนย้ายเฟอร์นิเจอร์เข้าอยู่ ภาพ: บ้านที่อยู่ในช่วงการเก็บงาน การเรียงลำดับขั้นตอนตามที่กล่าวมาอาจมีการเปลี่ยนแปลงหรือซ้อนทับกันได้ในแต่ละงาน อาจมีเพิ่ม หรือแยกย่อยมากกว่า 10 ลำดับได้ขึ้นอยู่กับปลายปัจจัย เช่น วัสดุที่เข้าหน้างาน ความถนัดของช่าง/ผู้รับเหมา ปัจจัยสภาพคล่องทางการเงิน ปัญหาแรงงานช่าง และสภาพลมฟ้าอากาศที่ไม่อำนวย เป็นต้น Tip: เจ้าของบ้านควรตรวจสอบสัญญาการรับประกันผลงานของทั้งผู้รับเหมา และตัวผลิตภัณฑ์สินค้า รวมถึงการติดตั้งวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตามที่ระบุในเอกสาร เพื่อรับรองคุณภาพการก่อสร้าง และตัวสินค้าให้ได้ตามมาตรฐาน ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก www.scgbuildingmaterials.com เกี่ยวกับการสร้างบ้านอื่นๆ ซื้อบ้านจัดสรรกับสร้างบ้านเอง แบบไหนดีกว่ากัน สร้างบ้านใหม่เลือกแบบบ้านชั้นเดียวหรือแบบบ้านสองชั้นดี? จะก่อสร้างบ้านต้องรู้เรื่องระยะห่างระหว่างอาคารกรณีอยู่ในที่ดินเจ้าของเดียวกัน 7 ความผิดพลาดในการสร้างบ้าน ที่ควรใส่ใจ  
THE CITY บางใหญ่ : รีวิวบ้าน

THE CITY บางใหญ่ : รีวิวบ้าน

การจะเลือกซื้อบ้านซักหลังไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ไหนจะต้องเลือกว่าบ้านหลังไหนที่เหมาะกับสมาชิกในครอบครัว ทำเลที่ต้องเดินทางสะดวก สภาพแวดล้อมเอื้อต่อไลฟ์สไตล์ หรือมีอะไรใกล้ๆ เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกบ้าง จึงต้องใช้เวลาเปรียบเทียบบ้านหลายๆ หลัง เพื่อให้ได้บ้านที่คุ้มค่า ตอบโจทย์ความต้องการในชีวิตประจำวันมากที่สุดเท่าที่ บ้านเดี่ยวน่าจะเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ตอบความต้องการของครอบครัว ซึ่ง AP เองก็เข้าใจกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี จึงเปิดโครงการใหม่ล่าสุดบนทำเลบางใหญ่ ทำเลที่มีศักยภาพเหมาะกับการอยู่อาศัยมากที่สุดแห่งหนึ่ง ภายใต้แบรนด์ “The City บางใหญ่” บ้านเดี่ยวหลังใหญ่สุดหรูสำหรับไลฟ์สไตล์ที่สมบูรณ์ ศักยภาพทำเล   ความได้เปรียบเด่นๆ ของ The City บางใหญ่ คือ ทำเลที่ตั้งของโครงการที่อยู่ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง ซึ่งเปิดให้บริการอย่างเต็มตัวแล้ว ทำให้การเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองเป็นเรื่องง่ายดาย สถานีรถไฟฟ้าที่ใกล้ที่สุดคือ สถานีคลองบางไผ่ ห่างจากโครงการเพียงแค่ 3 นาทีเท่านั้น อีกทั้งสถานีนี้ยังเป็นสถานีต้นทาง มีอาคารจอดแล้วจรขนาดใหญ่ ที่ช่วยเพิ่มความสะดวกในการสัญจรได้มากขึ้น ในขณะที่เส้นทางเชื่อมต่อเข้าเมืองด้วยรถส่วนตัวก็เป็นเรื่องง่ายไม่แพ้กัน เนื่องจากมีให้เลือกหลายเส้นทางทั้งถนนสายหลักอย่าง ถนนกาญจนาภิเษก เชื่อมต่อกับถนนรัตนาธิเบศร์ไปงามวงศ์วานได้ไม่ยาก หรือจะเลือกใช้เส้นทางถนนนครอินทร์ ตัดเข้าถนนราชพฤกษ์ รวมถึงเส้นทางด่วนพิเศษสายศรีรัช-วงแหวนรอบนอกก็เป็นอีกเส้นทางใหม่ที่ช่วยเพิ่มความรวดเร็วในการเดินทางเข้าเมืองได้อีกทาง ปัจจุบันย่านบางใหญ่เป็นหนึ่งในพื้นที่น่าจับตา เพราะกำลังมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และจะกลายเป็นเมืองที่เป็นศูนย์กลางแหล่งช็อปปิ้งชื่อดัง เช่น ห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆ อย่าง Central Westgate, Big C, Home Pro, Index Living Mall และกำลังจะมี Ikea เปิดให้บริการในอนาคต ขณะเดียวกันห่างออกมาทางวงเวียนพระราม 5 ก็ยังมีทั้ง The Walk ราชพฤกษ์, The Crystal, Home Work  และร้านอาหารอีกเพียบให้แวะเวียนไปเปลี่ยนบรรยากาศได้ ในขณะเดียวกันในโซนบางใหญ่ก็มีตลาดขนาดใหญ่ รวมถึงร้านค้า ร้านอาหารให้เลือกพึ่งพาเป็นจำนวนมากไม่แพ้กัน จัดได้ว่าเป็นทำเลที่มีองค์ประกอบต่างๆ เหมาะสมสำหรับการอยู่อาศัยเป็นอย่างมาก แผนที่โครงการ การเดินทางวันนี้เราเริ่มจากบริเวณแยกแคราย ด้านขวามือจะเป็นเอสพลานาดแคราย เลยจากแยกแครายมาเราจะเข้าสู่ถนนรัตนาธิเบศร์ จะเริ่มเห็นรถไฟฟ้า MRT สายสีม่วงกันแล้วนะครับ ตรงนี้จะเป็นสถานีศูนย์ราชการนนทบุรี เราขับรถตามถนนรัตนาธิเบศร์ไปเรื่อยๆ ตรงขึ้นสะพานพระนั่งเกล้าไปเลยครับ ลงจากสะพานพระนั่งเกล้ามาเราก็ยังคงตรงต่อไปเรื่อยๆ ตามป้ายถนนกาญจนาภิเษกไปเลยครับ ตรงกันไปยาวๆ พอใกล้ถึงถนนกาญจนาภิเษกให้เราชิดขวาไปทางสุพรรณบุรี เพื่อขึ้นสะพานวนเข้าสู่ถนนกาญจนาภิเษก เมื่อเราเข้าสู่ถนนกาญจนาภิเษกแล้วจะเห็นเซ็นทรัล เวสต์เกต อยู่ด้านขวามือ เลยมาอีกนิดหน่อยจะเห็นบิ๊กซี บางใหญ่อยู่ฝั่งซ้ายมือ เราขับเลยบิ๊กซีมานิดหน่อยจะเห็นจุดสังเกตคือโชว์รูมโตโยต้าอยู่เ้านซ้ายมือ ให้เตรียมเลี้ยวซ้ายเข้าซอยได้เลยนะครับ เลยโชว์รูมโตโยต้ามาแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนนคลองถนนได้เลยครับ จะเห็นป้ายของโครงการตั้งอยู่ริมถนนด้วย บรรยากาศบนถนนคลองถนน จะเป็นถนน 2 เลน เลียบคลองยาวตลอดแนว บรรยากาศในซอยจะมีทั้งคอนโดและโครงการหมู่บ้านขึ้นเยอะเลยครับ ร้านค้าต่างๆ ก็ตามมามากมาย จากปากซอยถนนกาญจนาภิเษกเข้ามาประมาณ 2 กิโลเมตร ก็ถึงทางเข้าโครงการแล้วครับ ปากซอยจะมีป้ายติดชื่อซอยสองพี่น้อง เลี้ยวเข้าซอยมาแล้วต้องขับตรงเข้าไปอีกหน่อย ถึงโครงการแล้วครับ หน้าทางเข้าโครงการทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว สวยงามที่เดียวครับ คราวนี้เราลองมาดูการเดินทางขาออกจากโครงการหันดูบ้างนะครับ โดยนอกจากการเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวแล้ว ใกล้ๆ โครงการยังมีรถไฟฟ้าสายสีม่วงไว้คอยรองรับอีกด้วย สำหรับสถานีที่ใกล้โครงการมากที่สุดจะเป็นสถานีคลองบางไผ่ ออกมาจากโครงการแล้วเลี้ยวซ้ายมาเลยครับ ออกมานิดเดียวก็จะเห็นสถานีคลองบางไผ่แล้วครับ บริเวณใกล้ๆ สถานีคลองบางไผ่ซึ่งเป็นสถานีต้นทางจะมีที่จอดรถไว้สำหรับผู้ที่ใช้บริการรถไฟฟ้า MRT เรียกว่า "อาคารจอดแล้วจร" จะอยู่ตรงทางขึ้นสะพานกลับรถ แล้วมีทางแยกออกเพื่อเข้าอาคาร หน้าตาของอาคารจอดแล้วจร อยู่ใกล้กับสถานีคลองบางไผ่ หรือใครสะดวกจอดไว้ที่เซ็นทรัล เวสต์เกต ก็ได้นะครับ แล้วขึ้น MRT สถานีตลาดบางใหญ่ แต่รู้สึกว่าทางเซ็นทรัล จะเริ่มเก็บค่าที่จอดรถกันแล้ว ยังไงลองเช็คกันดูอีกทีนะครับ บรรยากาศบนสถานีรถไฟฟ้ายังมีผู้ใช้บริการค่อนข้างบางตาอยู่นะครับ เลือกที่นั่งได้สบาย ไม่ได้แย่งกับใคร ฮ่าๆ The City โครงการ The City บางใหญ่ ถูกออกแบบมาภายใต้คอนเซปต์ “Modern Art Deco” ผสมผสานความสวยงามของงานออกแบบให้สอดคล้องกับธรรมชาติไว้ได้อย่างลงตัว เพื่อให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ที่มักจะเลือกสรรแต่สิ่งที่ดีที่สุด ทางโครงการใส่ใจในทุกรายละเอียดตั้งแต่การตกแต่งหน้าทางเข้าให้สวยงามอลังการ ด้วยวงเวียนต้นไม้ขนาดใหญ่ซึ่งช่วยโอบล้อมทางเข้าหมู่บ้านให้ร่มรื่นน่าอยู่ ด้านหน้าทางเข้ามีระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ทั้ง CCTV และ รปภ. ประตูหลักเป็นระบบ Security Gate ผ่านเข้าออกด้วยระบบเดียวกับ Easy Pass ที่สามารถผ่านเข้าออกได้สะดวกโดยไม่ต้องจอดรถแตะบัตรให้เสียเวลา ประตูทางเข้าหลักของโครงการ Security Gate ผ่านเข้าออกด้วยระบบเดียวกับ Easy Pass ภายในโครงการร่มรื่นด้วยต้นไม้มากมาย ในพื้นที่ส่วนกลางจัดเป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ พร้อมด้วย Club House หลักที่ลูกบ้านทั้งหมด 133 หลังจะได้ใช้พื้นที่ส่วนกลางร่วมกันได้อย่างเต็มที่ ภายใน Club House เพียบพร้อมไปด้วย สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือขนาดใหญ่ ที่ถูกออกแบบมาสวยงามเหมือนได้มาพักผ่อนในรีสอร์ท พร้อมกับแยกสระเด็กไว้ให้เรียบร้อย ในขณะที่ด้านบนมีทั้ง Social Room และห้อง Fitness พร้อมอุปกรณ์ครบครันและวิวสนามหญ้าที่สวยงาม ซึ่งสิ่งต่างๆ ที่ทางโครงการจัดไว้ให้อย่างเต็มที่และใส่ใจในทุกรายละเอียดขนาดนี้ก็เพื่อความเป็นอยู่ที่สมบูรณ์แบบที่สุดของลูกบ้านทุกหลัง ถนน Main ของโครงการจะกว้าง ประมาณ 16 เมตร ส่วนถนนซอยจะกว้างประมาณ 9 เมตร Kathaleeya Kathaleeya เป็นบ้านตัวอย่างหลังใหญ่ ที่เป็นเหมือนตัวอย่างแรกที่เราจะได้สัมผัสกับคำว่า Elegant Living ภายในพื้นที่ใช้สอยขนาด 185.92 ตร.ม. แบ่งออกเป็น 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ บนที่ดินมากกว่า 52 ตร.ว บริเวณหน้าบ้านกว้างสามารถจอดรถได้ 2 คัน แบบบ้าน Kathaleeya ตรงนี้จะเป็นที่จอดรถสามารถจอดได้ 2 คัน บริเวณที่จอดรถจะมีประตูทางเข้าให้อีก 1 จุด ภาพนี้จะเป็นแบบบ้าน Vanda ที่เป็นตัวบ้านมาตรฐาน รั้วบานจะเป็นแบบนี้ทั้ง 2 Type เลยนะครับ ภายในตัวบ้านตกแต่งไว้อย่างเรียบหรู สะท้อนให้เห็นถึงการออกแบบในสไตล์ Modern ในขณะที่ก็ยังสอดแทรกรายละเอียดของดีไซน์ต่างๆ ไว้ทั่วบ้าน ชั้นล่างมี Living Area กว้างขวาง ซึ่งมีพื้นที่นั่งเล่นเชื่อมต่อกับ Dining Area หน้าครัวได้อย่างกลมกลืน ตัวบ้านมีหน้าต่างและประตูกระจกบานใหญ่ช่วยเปิดรับแสงธรรมชาติและวิวสวนสวยจากภายนอกได้อย่างเต็มที่ บริเวณครัวตกแต่งใหม่ ใช้กระจกใสบานใหญ่แทนผนังทึบตามแบบบ้านมาตรฐาน ทำให้บรรยากาศในครัวดูโปร่งสบายตากว่าเดิม ซึ่งแน่นอนว่าถ้าอยากได้ครัวสวยแบบนี้บ้างก็ต้องตกแต่งเพิ่มเติมกันไป แต่ถ้าไม่ซีเรียสมากก็จะได้ครัวปิดตามแบบบ้านมาตรฐาน ที่ก็ดูเป็นสัดส่วนเรียบร้อยไปอีกแบบ นอกจากนี้บริเวณชั้นล่างยังมี 1 ห้องนอนเล็ก ที่สามารถดัดแปลงใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้ตามต้องการ ไม่ว่าจะเป็นห้องทำงานเหมือนในบ้านตัวอย่าง หรือจะยังคงใช้เป็นห้องนอนสำหรับสมาชิกอาวุโสของบ้านก็ถือว่าสะดวกดีทีเดียว ประตูทางเข้าหลักของตัวบ้านจะเป็นประตูกระจกบ้านเลื่อน 2 ตอน ยกพื้นขึ้นมา 1 สเตป โครงการจะใช้บานเลื่อนของ Windsor เปิดประตูเข้ามาด้านในแล้วจะเป็นส่วน Living Area อยู่ด้านหน้าเลยนะครับ พื้นที่บริเวณ Living Area ถือว่ากว้างขวางพอสมควร ด้านที่วางโซฟาโครงการวางโซฟา 2 ที่นั่งมาให้ดูเป็นตัวอย่าง แต่ดูจากพื้นที่แล้วสามารถวางโซฟา 3-4 ที่นั่ง ได้สบายๆ ด้านชั้นวางทีวีโครงการ Built-in แบบเต็มพื้นที่มาให้ดู เลยจาก Living Area เข้ามาด้านในจะเป็นส่วน Dining Area โครงการวางโต๊ะทานอาหารขนาดใหญ่ 6 ที่นั่ง พื้นที่บริเวณ Dining Area กว้างขวางพอสมควรเลยนะครับ สามารถเลือกวางโต๊ะทานอาหารใหญ่ๆ ได้ตามใจชอบเลยครับ ติดกับส่วน Dining Area จะมีระเบียงออกไปที่สวนข้างบ้าน เป็นประตูบานเลื่อน 2 ตอน บานใหญ่ ออกมาบริเวณสวนข้างบ้านโครงการตกแต่งเป็นพื้นที่สำหรับนั่งเล่นเล็กๆ ไว้ข้างบ้าน กลับเข้ามาด้านใน อีกฝั่งของโต๊ะทานอาหารจะเป็นห้องครัว บริเวณห้องครัวโครงการตกแต่งใหม่โดยใช้กระจกใสแทนผนังทึบเหมือนในบ้านแบบมาตรฐาน จึงทำให้โปร่ง ส่วนบ้านจริงที่ได้จะเป็นผนังทึบแบบนี้นะครับ ในครัวโครงการ Built-in ชุดครัวมาให้ดูเป็นตัวอย่าง อย่างครบครัน ส่วนห้องครัวในบ้านจริงโครงการจะก่อเคาน์เตอร์ครัวแบบนี้มาให้นะครับ มีซิงค์ล้างจานมาให้เรียบร้อย อีกด้านก็จะเป็นเคาน์เตอร์โล่งๆ แบบนี้ จากห้องครัวมีประตูออกมาส่วนหลังบ้าน ฝั่งตรงข้ามห้องครัวจะเป็นบันไดขึ้นชั้น 2 มีห้องเก็บของอยู่ใต้บันได เลยจากห้องครัวเข้าไปด้านในจะเป็นห้องนอนเล็กอยู่ที่ชั้น 1 ก่อนจะไปดูที่ห้องนอน เรามาดูห้องน้ำที่อยู่ด้านหน้าห้องนอนกันก่อนนะครับ การจัดวาง Layout ในห้องน้ำ จะวางสุขภัณฑ์เรียงกันยาวเข้าไปด้านใน สุขภัณฑ์ที่ใช้จะเป็นของ American Standard อ่างล้างหน้าทรงสี่เหลี่ยม มาพร้อมกับกระจกเงาบานใหญ่ มีเคาน์เตอร์วางของเล็กๆ อยู่ด้วย โถสุขภัณฑ์จะวางอยู่ติดกับอ่างล้างหน้า ด้านในสุดจะเป็นพื้นที่เปียกสำหรับอาบน้ำ ไม่มีฉากกั้นให้นะครับ มาต่อกันที่ห้องนอน โครงการวางเตียงขนาด 3.5 ฟุต ไว้ให้ดูเป็นตัวอย่าง หน้าต่างในห้องนอนจะเป็นบานเลื่อน 2 ตอน ข้างเตียงอีกด้าน Built-in เป็นตู้เสื้อผ้าและโต๊ะเครื่องแป้ง ด้านปลายเตียงมีพื้นที่เหลือนิดหน่อยให้วางชั้นวางทีวี แต่ใช้ทีวีแบบแขวนผนังจะช่วยให้มีพื้นที่เหลือมากกว่าครับ   ขณะเดียวกันพื้นที่ใช้สอยบริเวณชั้น 2 ก็จัดสรรแบ่งเป็น 3 ห้องนอน และยังได้ Common Area สำหรับจัดเป็นมุมนั่งเล่น สังสรรค์เพื่อสมาชิกของครอบครัวได้ทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน Master Bedroom มีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวาง ติดกับระเบียงใหญ่ที่เปิดออกไปรับวิวได้เต็มตา ส่วนพื้นที่ภายในก็จัดการตกแต่งไว้อย่างเป็นสัดส่วนพร้อมลงรายละเอียดในดีไซน์เพิ่มความหรูหราสะดุดตา ทั้งบริเวณหัวเตียงสวยหรู และ Walk-in Closet บริเวณหน้าห้องน้ำที่ตกแต่งมาได้อย่างลงตัว เช่นเดียวกับห้องนอนเล็กอีก 2 ห้อง ที่ตกแต่งไว้ตามประโยชน์ใช้สอย ทั้งห้องนอนหวานแหววของลูกสาวตัวน้อย และห้องทำงานเข้มขรึมของคุณพ่อ ที่พร้อมจะจัดสรรใหม่ได้ตลอดเวลาเพื่อสมาชิกที่อาจเพิ่มขึ้นในอนาคต ขึ้นมาที่ชั้น 2 ก็จะเจอ Common Area ที่โครงการจัดไว้เป็นมุมนั่งเล่นๆ เล็กๆ น่ารักๆ พื้นที่ของ Common Area สามารถวางชั้นวางทีวีเล็กๆ และเก้าอี้อาร์มแชร์ หรือโซฟาเล็กๆ ได้อยู่นะครับ จาก Common Area เราไปดูห้อง Master Bedroom ที่อยู่ทางขวามือกันก่อนเลย ห้อง Master Bedroom จะได้พื้นที่ค่อนข้างใหญ่เลยนะครับ โครงการวางเตียง King Size ไว้ให้ดูเป็นตัวอย่าง ปลายเตียงยังมีที่เหลือพอให้วางชั้นวางทีวีหรือจะใช้ทีวีแบบแขวนผนัง ก็จะได้พื้นที่เพิ่มขึ้นอีก ในห้องนอน Master จะมีระเบียงให้ด้วยนะครับ ประตูระเบียงจะเป็นบานเลื่อน 2 ตอน พื้นที่ระเบียงกว้างประมาณ 1 เมตร มุมมองจากระเบียงเข้าไปในห้องนอน ข้ามมาอีกด้านโครงการตกแต่งเป็นตู้เสื้อผ้าแบบ Walk-in Closet ตั้งอยู่หน้าทางเข้าห้องน้ำ เข้าไปดูในห้องน้ำกันต่อเลยดีกว่าครับ การจัดวาง Layout และสุขภัณฑ์ในห้องน้ำจะคล้ายๆ กับห้องน้ำที่ชั้น 1 เลยนะครับ แต่งต่างกันที่การตกแต่ง และขนาดของห้องนี้จะใหญ่กว่าอยู่สักหน่อย อ่างล้างหน้าทรงสี่เหลี่ยมของ American Standard พร้อมกระจกเงาบานใหญ่และเคาน์เตอร์วางของ โถสุขภัณฑ์วางอยู่ข้างๆ ใครมาซื้อช่วงโปรโมชั่น จะได้โถสุขภัณฑ์อัจฉริยะแบบนี้นะครับ ด้านในสุดจะเป็นส่วนเปียก ชุดฝักบัว จากห้อง Master Bedroom เราเดินข้ามมาอีกด้านจะเป็นห้องนอนเล็กอีก 2 ห้อง ห้องแรกอยู่ด้านซ้ายมือโครงการตกแต่งด้านโทนสีชมพูหวานแหวว วางเตียง 3 ฟุตไว้กลางห้อง พร้อมโต๊ะข้างเตียงอยู่ทั้ง 2 ด้าน ห้องนี้จะไม่มีระเบียงนะครับ แต่จะได้หน้าต่างบานเลื่อน บานใหญ่เลย ปลายเตียงเหลือพื้นที่ค่อนข้างเยอะให้วางตู้เสื้อผ้าหรือโซฟาเล็กๆ ฝั่งตรงข้ามจะเป็นห้องน้ำอีก 1 ห้อง การจัดวาง Layout จะเหมือนกับ 2 ห้องแรกที่เราดูมาแล้ว อ่างล้างหน้าทรงสี่เหลี่ยม พร้อมกระจกเงาบานใหญ่ โถสุขภัณฑ์วางอยู่ติดๆ กัน พื้นที่เปียกอยู่ด้านในสุด มาถึงห้องสุดท้ายจะอยู่ด้านในสุด โครงการตกแต่งเป็นห้องทำงานเล็กๆ หน้าต่างในห้องจะเป็นบานเลื่อน 2 ตอน     Click to play สำหรับแบบบ้านของโครงการ The City บางใหญ่ ยังมีให้เลือกอีกแบบ ซึ่งมีขนาดพื้นที่ใช้สอยย่อมลงมาอีกหน่อยในแบบบ้านที่ชื่อว่า Vanda แต่โดยภาพรวมของฟังก์ชั่นการใช้งานภายในบ้านมีความคล้ายคลึงกัน เพราะมี 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำเช่นเดียวกัน บ้านทั้งหมดทางโครงการขายมาให้เป็นแบบบ้านมาตรฐาน ติด Wallpaper ให้ทั้งหลัง พร้อมด้วยเคาน์เตอร์ครัว Top ด้วยหินสังเคราะห์สีดำสวยงาม รวมถึงวัสดุ สุขภัณฑ์ก็จัดมาได้มาตรฐานทุกชิ้น.... เชื่อเถอะว่า บ้านดีๆ ซักหลังที่สามารถตอบโจทย์ทุกรายละเอียดของการอยู่อาศัยแบบที่ The City บางใหญ่ ไม่ได้หากันได้ง่ายๆ ถ้าอยากรู้ต้องมาสัมผัสเอง ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของชีวิตประจำวันที่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพได้ที่ The City บางใหญ่ ในราคาเริ่มต้นที่ 4.99 ล้าน กับบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ดีไซน์หรูที่สุดในย่านบางใหญ่.... สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม หรือลงทะเบียนรับส่วนลดได้ที่ www.apthai.com
Baranee Park ร่มเกล้า : รีวิวบ้าน

Baranee Park ร่มเกล้า : รีวิวบ้าน

Review Your Living ฉบับนี้ เราจะพาไปชมโครงการ Baranee Park ร่มเกล้า บ้านเดี่ยวดีไซน์ใหม่จาก บริษัท มานะพัฒนาการ จำกัด ที่ต้องการนำเสนอสัมผัสใหม่ของ “บ้านเงาไม้” จนมาเป็นคอนเซปต์ใหม่แห่งการอยู่อาศัยสไตล์ Courtyard ที่ผสานความร่มรื่นจากพรรณไม้หลากหลายชนิด แค่เกริ่นถึงคอนเซปต์ของโครงการก็มีความน่าสนใจแล้วใช่มั้ยครับ เดี๋ยวเราพาไปชมบรรยากาศโครงการและภายในบ้านตัวอย่าง ว่าจะมีรายละเอียดที่น่าสนใจแค่ไหน ตัวโครงการ Baranee Park ร่มเกล้า ตั้งอยู่ริมถนนร่มเกล้าใกล้แยกเจ้าคุณทหาร ช่วงระหว่างซอยร่มเกล้า 36 และ 38 การเดินทางสะดวกสบายด้วยถนนร่มเกล้า, ถนนมอเตอร์เวย์ กรุงเทพ-ชลบุรี, ถนนกรุงเทพกรีฑา, ถนนเจ้าคุณทหาร, ถนนอ่อนนุช และถนนสุขาภิบาล 3 รวมถึงมีรถไฟฟ้า Airport Link สถานีลาดกระบังอยู่ห่างออกไปไม่ไกล และยังเป็นจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีส้ม (ตลิ่งชัน-มีนบุรี) และสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) ในอนาคตอีกด้วย แผนที่ของโครงการ แผนที่การเดินทางรอบๆ โครงการ การเดินทางวันนี้เราเริ่มต้นบนทางด่วนศรีรัชฝั่งขาออก ขับยาวเลยพระราม 9 ไปจนถึงมอเตอร์เวย์ กรุงเทพ-ชลบุรี สายใหม่ ตามป้ายเลยนะครับ เราขับตามถนนมอเตอร์เวย์ไปเรื่อยๆ มุ่งหน้าตามป้ายสุวรรณภูมิไปเรื่อยๆ เลยครับ ขับมาเรื่อยๆ จนเจอป้ายทางออกถนนร่มเกล้า ซึ่งจะออกทางเดียวกันกับสนามบินสุวรรณภูมิ ชิดซ้ายเตรียมออกได้เลยครับ ออกมาแล้วให้ชิดไว้อีกทีนะครับ เราต้องไปทางซ้ายเพื่อไปทางถนนร่มเกล้า ส่วนทางขวาจะไปสนามบินสุวรรณภูมิและถนนกิ่งแก้ว จากนั้นเลี้ยวขวาไปทางถนนร่มเกล้า เลี้ยวขวาแล้วก็ตรงไปอีกนิดนึงครับ พอเจอสามแยกให้เลี้ยวซ้ายเข้าสู่ถนนร่มเกล้า พอเข้าถนนร่มเกล้าแล้วก็สบายแล้วครับ ขับตรงยาวเลย เราตรงตามถนนร่มเกล้ามาเรื่อยๆ จนเจอสี่แยกตัดกับถนนเจ้าคุณทหาร เราตรงผ่านแยกไปแล้วชิดซ้ายไว้เลยนะครับ เพราะใกล้ถึงโครงการแล้ว จากสี่แยกมาประมาณ 250 เมตรก็ถึงโครงการแล้วครับ สำนักงานขายจะตั้งอยู่หน้าโครงการด้านขวามือ “บ้านเงาไม้” สัมผัสแรกเมื่อได้เห็นบรรยากาศโครงการจริง คือความร่มรื่นจากต้นไม้นานาชนิดที่ปลูกไว้ทั่วบริเวณ รวมถึงรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในมุมต่างๆ เพื่อให้ลูกบ้านได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ วิวภายในโครงการเป็นสีเขียวจากต้นไม้สบายตา รวมถึงความโปร่งโล่งตาไร้สายไฟฟ้ารบกวน เนื่องจากทางโครงการเลือกนำระบบไฟฟ้าลงใต้ดินทั้งหมด ถนนเมนภายในโครงการกว้างมากสุดถึง 16 เมตร ซึ่งมาพร้อมเกาะกลางที่ปลูกต้นไม้ไว้ตลอดแนว บรรยากาศตั้งแต่หน้าทางเข้าโครงการก็ร่มรื่นด้วยต้นไม้ใหญ่ ถนนเมนในโครงการโล่งกว้างไปตลอดแนว บรรยากาศภายในโครงการสะอาดตา เนื่องจากระบบไฟฟ้าฝังลงดินทั้งหมด ถึงไม่มีสายไฟระโยงระยางให้เกะกะตา ในขณะเดียวกัน พื้นที่ส่วนกลางภายในโครงการก็ถูกจัดสรรให้ใกล้ชิดกับธรรมชาติด้วยดีไซน์ที่กลมกลืน ภายใน Club House ของโครงการจะมีทั้งพื้นที่เอาต์ดอร์ให้นั่งพักผ่อนชิลๆ มองเห็นวิวสระว่ายน้ำ และสนามเด็กเล่น พอขึ้นมาที่บริเวณชั้น 2 ของ Club House ก็มีห้องฟิตเนสสุดเริ่ด ซึ่งแยกเป็นห้องสำหรับคาร์ดิโอ และเวทเทรนนิ่ง พร้อมอุปกรณ์เครื่องออกกำลังกายครบครัน เวลาออกกำลังกายไปก็ได้มองเห็นวิวสระว่ายน้ำสวยๆ ด้วยเหมือนกัน แต่ถ้าไม่ชอบวิ่งบนลู่ จะออกไปเดินเล่นสูดอากาศที่สนามหญ้ากว้างข้างๆ Club House แวะนั่งพักใต้ต้นไม้มองดูเด็กๆ วิ่งเล่นก็ได้เช่นกัน ด้านล่างจะเป็นสระว่ายน้ำระบบเกลือ ติดกับสระว่ายน้ำจะมีพื้นที่นั่งเล่น หรือจัดกิจกรรมเล็กๆ ห้องน้ำ ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าแยกชายหญิง ภายในห้องอาบน้ำบริเวณ Club House มีพร้อมทั้ง Locker รวมถึงห้อง Steam แยกไว้ทั้งห้องน้ำชาย และห้องน้ำหญิง พื้นที่บริเวณคลับเฮ้าส์มีขนาดประมาณ 1 ไร่ ทั้งส่วนที่เป็น Outdoor มีสนามเด็กเล่น โครงการ Baranee Park ร่มเกล้า มีบ้านเพียง 86 หลังเท่านั้น ดังนั้นจะไม่มีรถเข้าออกให้วุ่นวายมากนัก การันตีเรื่องความเป็นส่วนตัวและความเงียบสงบได้เป็นอย่างดี อีกทั้งโครงการยังมีระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง หน้าโครงการติดตั้งประตูสไลด์อัตโนมัติ เข้า-ออกด้วยคีย์การ์ด พร้อมระบบสัญญาณกันขโมยภายในตัวบ้านทุกหลัง    บ้านสไตล์ Courtyard มาถึงตัวบ้านกันบ้าง ทางโครงการเลือกดีไซน์ให้ภายในบ้านมี Courtyard หลากหลายมุม มองไปทางไหนก็สามารถมองเห็นต้นไม้น้อยใหญ่ในบรรยากาศธรรมชาติได้อย่างเต็มตา ในขณะเดียวกันก็ยังคงความเป็นส่วนตัวไว้ ไม่ได้เปิดโล่งไปเสียทั้งหมด ทำให้ลูกบ้านสามารถทำกิจกรรมครอบครัวได้อย่างสะดวก Fespa เริ่มกันด้วยบ้าน Fespa มีพื้นที่ใช้สอย 190 ตร.ม. มาพร้อมห้องนอน 3 ห้อง, 4 ห้องน้ำ และที่จอดรถ 2 คัน บนที่ดินขนาดเริ่มต้น 55.7 ตร.วา บริเวณรอบบ้านจัดสรรเป็น Courtyard ไว้นั่งเล่นสังสรรค์ได้หลายมุม ซึ่งพื้นที่ของสนามหญ้าในบ้านเชื่อมต่อกับตัวบ้านไว้ได้อย่างลงตัว สามารถเปิดประตูเปิดรับธรรมชาติได้รอบบ้านเลยทีเดียว บรรยากาศหน้าบ้าน Fespa บริเวณที่จอดรถจะปูด้วยคอนกรีตแสตมป์ สามารถจอดรถได้ 2 คัน ประตูทางเข้าสู่ตัวบ้าน ตกแต่งเป็นชานพักสามารถใช้เป็นมุมนั่งเล่นรอคนในบ้านได้ ด้านในบ้านจะมี Courtyard สวยๆ ไว้นั่งเล่น พักผ่อน ชมความร่มรื่นของต้นไม้ มุมนี้ไว้นั่งจิบกาแฟยามเช้าคงจะเข้าท่าดี เข้ามาในบ้านตัวอย่าง จะเห็นว่าทางโครงการจัดตกแต่งไว้ให้มีพื้นที่ใช้สอยครบถ้วน บรรยากาศภายในบ้านอบอุ่นน่าอยู่ มีพื้นที่เก็บของจัดไว้เป็นระเบียบเรียบร้อย โซนกลางบ้านจัดวางโต๊ะกินข้าว ใกล้ๆ กันมี Pantry ครัวเปิดสำหรับจัดเตรียมอาหารเล็กน้อยๆ แยกจากครัวหลักที่เป็นครัวปิด ถัดเข้าไปด้านในสุดของบ้านเป็นมุมนั่งเล่น ดูทีวี หรือใช้รับแขกก็ได้ ซึ่งพื้นที่ตั้งแต่โต๊ะกินข้าวมา สามารถเปิดประตูกระจกบานใหญ่ออกเพื่อรับแสง รับลม จากภายนอกได้อย่างเต็มที่ เราจึงรู้สึกได้เลยว่าบรรยากาศของบ้านจะโปร่ง โล่ง สบาย และเหมาะสำหรับการพักผ่อน หรือทำกิจกรรมของครอบครัวได้เป็นอย่างดี พอเข้ามาในตัวบ้านแล้วมองตรงไปจะเป็นส่วน Dinig Area และ Living Area จะอยู่ถัดไป ก่อนจะเข้าไปด้านใน เรามาดูห้องครัวที่อยู่ทางขวามือกันก่อนนะครับ ห้องครัวจะอยู่ในส่วนแรกของตัวบ้านเลย ครัวออกแบบให้เป็นครัวปิด ติดตั้งประตูกระจกเพิ่มเพื่อช่วยป้องกันกลิ่นรบกวน จากห้องครัวจะมีประตูออกไปที่ทิ้งขยะได้ ประตูที่อยู่ติดกับห้องครัวคือห้องน้ำเล็ก โซนกลางบ้านจัดวางให้เป็น Dining Area บริเวณนี้มีประตูอีกบ้านที่สามารถเปิดออกไปบริเวณด้านข้างของตัวบ้าน ซึ่งเชื่อมไปถึงที่ทิ้งขยะได้ด้วย พื้นที่ Dining Area กว้างพอจะวางโต๊ะทานอาหารขนาด 6 ที่นั่งได้สบายๆ ทางโครงการตกแต่ง Pantry เล็กๆ สำหรับเตรียมอาหารบริเวณ Dinning Area ไว้ด้วย ตั้งแต่โซนกลางบ้านเข้าไป จะเชื่อมต่อกับ Courtyard ด้านนอก สามารถเปิดประตูออกหากันได้ตลอดเวลา ด้านในสุดเป็น Living Area กว้าง ทางโครงการตกแต่งด้วยโซฟายาวเข้ามุมเพื่อเป็นพื้นที่สำหรับทุกคนในครอบครัว อีกด้านของ Living Area ยังมี Courtyard อีกอัน นอกจากจะทำให้บรรยากาศใน Living Area ดูโปร่งสบายแล้ว ยังช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับตัวบ้านด้วย ขึ้นมาบนชั้น 2 เราจะพบกับ Common Area ซึ่งเป็นอีกโซนที่คนในบ้านจะได้ใช้ร่วมกัน ก่อนจะแยกย้ายเข้าสู่ห้องส่วนตัว แต่ละห้องมีห้องน้ำในตัวเพื่อความสะดวกของสมาชิกทุกคน ในขณะที่ห้องนอนใหญ่จะพิเศษกว่าด้วยพื้นที่ของ Walk-in Closet และอ่างอาบน้ำในห้องน้ำ ซึ่งห้องแต่ละห้องสามารถปรับเปลี่ยนประโยชน์ใช้สอยได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งใช้เป็นห้องทำงาน ห้องหนังสือ หรือห้องอเนกประสงค์อื่นๆ แต่ถ้าหากมีสมาชิกครอบครัวเยอะขึ้น ก็พร้อมที่จะเปลี่ยนเป็นห้องนอนรองรับสมาชิกทุกคนได้เช่นกัน Common Area บนชั้น 2 นี้จัดเป็นมุมนั่งเล่นดูทีวีเล็กๆ ซึ่งจะทำให้ทุกคนในครอบครัวมีกิจกรรมร่วมกันมากยิ่งขึ้น ไปดู Master Bedroom / ห้องนอนใหญ่กันเลยดีกว่า ห้องนอนใหญ่มีพื้นที่กว้างขวางดีทีเดียว ภายในมีหน้าต่างบานใหญ่เปิดรับแสงธรรมชาติได้เป็นอย่างดี จากหน้าต่างของห้องนอนใหญ่ มองลงไปสามารถเห็นบรรยากาศร่มรื่นของ Courtyard ในบ้านได้เต็มตา บริเวณหน้าห้องน้ำกว้างพอจะทำ Walk-in Closet ได้สบายๆ ภายในห้องน้ำมีทั้ง Bath Tub และ Shower Box มาให้เรียบร้อยแล้ว สุขภัณฑ์ทุกอย่างเป็นไปตามที่เห็นในรูปเลย มาดูในห้องนอนเล็กทั้ง 2 ห้องกันบ้าง ห้องแรกตกแต่งในโทนสีเข้มขรึม ภายในมีพื้นที่ใช้สอยขนาดกำลังดี แถมยังมีห้องน้ำในตัวอีกด้วย ห้องนอนเล็กอีกห้องตกแต่งมาคนละสไตล์ แต่พื้นที่ในห้องมีขนาดเท่าๆ กันเลย รวมถึงมีห้องน้ำในตัวด้วยเหมือนกัน Denfe บ้านเดี่ยวที่มาพร้อมพื้นที่ใช้สอย 215 ตร.ม. มีห้องนอน 3 ห้อง, 4 ห้องน้ำ, 1 ห้องอเนกประสงค์ และที่จอดรถได้ 2 คัน บนที่ดินเริ่มต้น 65.8 ตร.วา ตัวบ้านยังคงคอนเซปต์อย่างเหนียวแน่นด้วย Courtyard กว้างบริเวณด้านหน้าตัวบ้าน มีชานพักสำหรับนั่งเล่นโดยรอบ ตามมาด้วย Courtyard ขนาดย่อมในโซนกลางด้านหลัง พื้นที่รอบตัวบ้านจึงถูกโอบล้อมด้วยสวนสีเขียวไว้ทุกด้าน มาถึงแบบบ้าน Denfe กันบ้าง ลานจอดรถหน้าบ้านปูด้วยคอนกรีตแสตมป์ จอดรถได้ 2 คัน บริเวณหน้าประตูทางเข้าหลัก จัดตกแต่งเป็นชานพักนั่งเล่นร่มรื่น ประตูบานสีขาว คือประตูทางเข้าบ้านอีกบานจากทางด้านที่จอดรถ บ้าน Denfe มี Courtyard ขนาดใหญ่บริเวณด้านหน้าของตัวบ้าน บรรยากาศเป็นสีเขียวสบายตามากๆ ในขณะที่พื้นที่โซนกลางบ้านยังออกแบบให้เป็น Courtyard นั่งเล่นร่มๆ แบบส่วนตั๊วส่วนตัวอีกแห่ง ภายในตัวบ้านแบ่งพื้นที่ใช้สอยไว้เป็นสัดส่วน Living Area จัดไว้ในมุมที่สามารถเชื่อมต่อกับ Courtyard ทั้ง 2 ด้าน ในขณะที่อีกด้านของบ้านออกแบบให้มีครัวปิด ห้องน้ำ และห้องเก็บของใต้บันได แล้วใช้พื้นที่ในโซนกลางบ้านวางโต๊ะกินข้าวขนาดใหญ่ เพื่อเชื่อมโยงพื้นที่ใช้สอยต่างๆ ให้สอดคล้องกลมกลืนกันมากขึ้น และด้วยความที่พื้นที่ส่วนใหญ่ของตัวบ้านสามารถเปิดออกสู่ภายนอกได้เกือบทั้งหมด ตัวบ้านจึงโปร่ง สบายตาด้วยสีเขียวจากต้นไม้ใบหญ้า และร่มรื้นจากเงาไม้ใหญ่ เข้ามาในบ้านก็จะเห็น Dining Area ในโซนกลางของบ้านเลย พื้นที่บริเวณนี้เชื่อมต่อกับ Courtyard ได้ทั้ง 2 ด้าน แถมยังกว้างพอที่จะวางโต๊ะกินข้าวขนาด 8-10 ที่นั่งได้สบายๆ เลย จากบริเวณโต๊ะกินข้าว ไม่ว่าจะมองไปมุมไหนก็ได้เห็นต้นไม้เขียวๆ สบายตา เหมือนได้นั่งกินข้าวอยู่กลางสวนตลอดเวลา โซนด้านหนึ่งของตัวบ้าน จัดวางให้เป็น Living Area ตกแต่งด้วยชุดโซฟารับแขกขนาดใหญ่ สามารถรองรับการจัดปาร์ตี้ขนาดย่อมๆ ได้เลยทีเดียว จาก Living Area ยังสามารถมองเห็น Courtyard ของบ้านได้ทั้ง 2 ด้าน บรรยากาศภายในบ้านจึงโปร่งสบายไม่อึดอัด อีกฟากของตัวบ้าน มีห้องน้ำ ห้องครัว และห้องเก็บของใต้บันได ซึ่งถูกจัด Layout ไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ห้องครัวออกแบบมาให้เป็นครัวปิดครับ พื้นที่ใช้สอยในครัวก็กว้างมากพอจะลงครัวหนักๆ ได้เลย ประตูอีกด้านของห้องครัว เปิดออกไปยังพื้นที่ซักล้างบริเวณด้านหลังบ้าน ทางโครงการทำเป็นลานปูกระเบื้อง มีท่อระบายน้ำไว้เรียบร้อย ตรงบันไดทางขึ้นชั้น 2 มีห้องใต้บันไดไว้สำหรับเก็บของใช้ ส่วนประตูอีกบ้านเป็นประตูที่เปิดออกไปสู่ด้านนอกของตัวบ้านครับ บนชั้น 2 ของบ้าน มีห้องนอนทั้งหมด 3 ห้อง ที่แบ่งพื้นที่กันไปคนละมุมจึงได้ความเป็นส่วนตัวมากขึ้น โดยมีพื้นที่ Common Area บริเวณหน้าห้องเป็นเหมือนส่วนเชื่อมโยงสมาชิกทุกคนไว้ด้วยกัน โดยสามารถใช้พื้นที่ตรงนี้นั่งเล่น พักผ่อน ทำกิจกรรมร่วมกันตามที่ต้องการ ซึ่งมุมนั่งเล่นที่ชั้น 2 นี้มีหน้าต่างขนาดใหญ่เปิดรับวิวสวนหน้าบ้านได้อย่างเต็มตา ในขณะที่หน้าต่างอีกด้านก็สามารถมองเห็น Courtyard โซนหลังบ้านด้วยเช่นกัน ห้องนอนทุกห้องมีห้องน้ำในตัว ร่วมถึงพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวางและลงตัว โดยเฉพาะห้องนอนใหญ่ ที่กว้างพอจะมี Walk-in Closet ขนาดใหญ่เพื่อเก็บเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัวได้จุใจเลยทีเดียว ขึ้นมาดูที่บริเวณชั้น 2 กันครับ แน่นอนว่าส่วนแรกที่เราจะเจอคือ Common Area พื้นที่นั่งเล่นสำหรับทุกคนในครอบครัวก่อนแยกย้ายเข้าห้องนอน ห้องนอนใหญ่มีพื้นที่ใช้สอยมากดีทีเดียวครับ วางเตียงขนาด 6 ฟุตแล้วยังเหลือที่อีกเพียบ จากหน้าต่างห้องนอนใหญ่สามารถมองเห็น Courtyard หน้าบ้านได้เต็มตา พื้นที่บริเวณหน้าห้องน้ำจัดเป็น Walk-in Closet ได้อย่างลงตัว ภายในห้องน้ำกั้นห้องอาบน้ำมาให้เรียบร้อย รวมถึงติดตั้งอ่างอาบน้ำมาอีกเช่นกัน ไปดูในห้องนอนเล็กกันบ้างครับ โดย 2 ห้องนี้มีโถงบันไดกั้นอยู่ตรงกลาง จึงเพิ่มความเป็นส่วนตัวให้กับเจ้าของห้องได้มากขึ้น ห้องแรกตกแต่งในสไตล์แมนๆ ด้วยโทนสีเข้มๆ มีมุมสำหรับงานอดิเรก โชว์ของรักของสะสมได้อย่างเต็มที่ ห้องนอนเล็กมีห้องน้ำในตัวเหมือนกันทุกห้อง ห้องนอนเล็กอีกห้องตกแต่งสไตล์สวยหวานเรียบง่าย ดูน่าอยู่ Liwa Liwa เป็นบ้านเดี่ยวขนาดใหญ่สุดของโครงการ โดยมีพื้นที่ใช้สอยมากถึง 260 ตร.ม. ประกอบด้วย 4 ห้องนอน, 6 ห้องน้ำ, 1 ห้องแม่บ้าน และที่จอดรถ 3 คัน บนที่ดินเริ่มต้น 80 ตร.วา บ้านหลังนี้กว้างขวางสามารถรองรับสมาชิกของครอบครัวได้หลายคนเลยทีเดียว ซึ่งในบ้านตัวอย่างที่เราได้เข้าชมทางโครงการยังดีไซน์ให้มีสระว่ายน้ำเพิ่มเข้าไปด้วย โดยใช้พื้นที่ส่วนหนึ่งของ Courtyard บริเวณด้านข้างของตัวบ้านทำสระว่ายน้ำไว้พร้อมกับชานพักผ่อนริมสระน้ำ ซึ่งเชื่อมโยงกับพื้นที่โซนกลางบ้านไว้อย่างลงตัว บ้านแบบสุดท้าย คือ Liwa เป็นแบบบ้านที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโครงการ ลานจอดรถกว้างปูด้วยคอนกรีตสแตมป์ สามารถจอดรถได้มากถึง 3 คัน ตามแบบบ้านมาตรฐาน ตัวบ้านจะมี Courtyard ขนาดใหญ่ และมีนั่งเล่นในสวนเกือบรอบตัวบ้าน แต่บ้านตัวอย่างหลังนี้ใช้พื้นทีส่วนหนึ่งของ Courtyard ปรับให้เป็นสระว่ายน้ำแทน เปลี่ยนบรรยากาศจากมุมนั่งเล่นในสวน มาเป็นริมสระว่ายน้ำแทน บ้าน Liwa นี้ จะเพิ่มห้องนอนที่บริเวณชั้นล่างมาอีก 1 ห้อง ซึ่งห้องนี้สามารถปรับแต่งให้ใช้สอยประโยชน์อื่นๆ ได้ตามต้องการ หรือจะใช้เป็นห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุหรือแขกผู้มาเยือนก็ได้เช่นกัน นอกจากนี้ในบริเวณด้านหลังของตัวบ้านยังมีห้องแม่บ้านอีก 1 ห้องพร้อมห้องน้ำในตัว แยกไว้เป็นสัดส่วน การออกแบบในบ้านตัวอย่างจัดแต่งครัวขนาดใหญ่ มีกระจกบานเลื่อนขนาดใหญ่ที่สามารถเลื่อนปิด เพื่อช่วยป้องกันกลิ่นรบกวนขณะประกอบอาหารได้ด้วย ในขณะที่ห้องนั่งเล่นจัดให้อยู่ด้านเดียวกับสระว่ายน้ำ สามารถเปิดม่านออกไปเห็นวิวสระว่ายน้ำได้เลย เช่นเดียวกับโซนกลางบ้านที่วางโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ไว้ตรงกลาง ทำให้เปิดรับวิวธรรมชาติได้ทั้งสองด้านพร้อมๆ กัน เปิดประตูเข้าบ้านมาจะเจอกับ Dining Area ซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่าง Courtyard ทั้ง 2 ด้านของตัวบ้าน ด้านหนึ่งเป็นสวนเล็กๆ ช่วยเพิ่มความร่มรื่นสบายตา ในขณะที่อีกด้าน ตกแต่งใหม่ให้เป็นมุมนั่งเล่นพักผ่อนริมสระว่ายน้ำ ซึ่งเราสามารถเปิดประตูออกเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยได้ตามต้องการ โซนด้านในสุดออกแบบให้เป็นห้องครัวกึ่งปิด มีประตูกระจกบานเลื่อนขนาดใหญ่ที่สามารถเลื่อนปิดได้ตามการใช้งาน เคาน์เตอร์ครัวมีลักษณะกึ่ง Island ให้ความรู้สึกถึงความเชื่อมโยงถึงกันของพื้นที่การใช้งานในส่วนต่างของบ้าน ประตูด้านหลังห้องครัว สามารถเปิดออกไปสู่ลานซักล้างด้านหลังบ้าน และห้องแม่บ้านที่อยู่ทางด้านหลังด้วย ใกล้ๆ กับห้องครัว มีห้องน้ำเล็กอีก 1 ห้อง Living Area ถูกออกแบบไว้ในโซนด้านในสุดของตัวบ้าน มีหน้าต่างบานใหญ๋เปิดรับแสงธรรมชาติ และเห็นวิวสระว่ายน้ำได้พร้อมๆ กัน ทางโครงการจัดวางชุดโซฟาตัวยาวตลอดแนว เพื่อให้มีพื้นที่เพียงพอสำหรับทุกคนในครอบครัว ที่บริเวณชั้นล่าง มีห้องนอนเล็กเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งห้อง ซึ่งสามารถปรับแต่งฟังก์ชันการใช้งานได้หลากหลายมาก ตามตัวอย่างที่ทางโครงการจัดไว้ เลือกที่จะแต่งห้องนี้เป็นห้องนั่งเล่นเล็กๆ เผื่อใช้เพื่อการรับแขกส่วนตัว หรือถ้าต้องการก็ยังสามารถใช้เป็นห้องนอนสำหรับสมาชิกในครอบครัวได้ด้วย เพราะภายในมีห้องน้ำส่วนตัวมาพร้อมแล้ว บนบริเวณชั้น 2 มีห้องนอนทั้งหมด 3 ห้อง ซึ่งทุกห้องมีห้องน้ำในตัว โดยห้องนอนหลักจะมีขนาดใหญ่เป็นพิเศษ ทำให้พื้นที่ของ Walk-in Closet บริเวณหน้าห้องน้ำกว้างขวางมาก พื้นที่หน้าห้องนอนชั้น 2 จัดเป็นมุมนั่งเล่นพักผ่อนที่สามารถเปิดรับวิวสวนสวยได้พร้อมกัน 2 ด้านเช่นเดียวกับแบบบ้านก่อนหน้า ซึ่งทางโครงการพยายามจัดสรรให้ทุกพื้นที่สามารถใช้สอยได้อย่างคุ้มค่าที่สุด Common Area บริเวณชั้น 2 มีพื้นที่กว้างมากๆ แถมยังโปร่งโล่งสบายตา เนื่องจากมีหน้าต่างบานใหญ่เปิดรับแสง รับลม และวิว Courtyard ได้ทั้ง 2 ทาง เชื่อว่ามุมนี้น่าจะเป็นโปรดของทุกคนในบ้าน ไม่ว่าจะใช้นั่งเล่นอ่านหนังสือ เล่นเกม หรือทำกิจกรรมอื่นๆ ร่วมกันได้อีกหลายรูปแบบ มาดูในห้องนอนใหญ่กันครับ ภายในกว้างขวาง มีหน้าต่างบานใหญ่ และช่องรับแสงได้หลายทาง พื้นที่ใช้สอยภายในห้องมีมากพอที่จะจัดตกแต่งให้ใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้อย่างเต็มที่ พื้นที่ Walk-in Closet ขนาดใหญ่ น่าจะถูกใจสาวๆ แม่บ้าน เพราะสามารถจัดเก็บข้าวของ เสื้อผ้าได้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ภายในห้องน้ำ จัดวางห้องอาบน้ำ และอ่างอาบน้ำไว้คนละด้าน รวมถึงมุมทำธุระส่วนตัวก็จัดที่ทางไว้อย่างลงตัว มาดูห้องนอนเล็กห้องแรกกันบ้าง แน่นอนว่าพื้นที่ใช้สอยภายในห้องกว้างขวางเหลือเฟือขนาดวางเตียงและโซฟาเบดไว้คู่กันแล้วยังเหลือพื้นที่สบายๆ ภายในห้องมีห้องน้ำในตัว และเพิ่มพื้นที่เก็บของให้มากขึ้นด้วยการ Built-in ชั้นเก็บของมาเต็มพื้นที่ผนังเลยทีเดียว ในขณะที่ห้องนอนเล็กห้องที่ 2 จัดตกแต่งในสไตล์ที่แตกต่าง และดูเรียบง่ายมากกว่า ภายในห้องมีหน้าต่างทั้ง 2 มุม เปิดรับแสงธรรมชาติ และวิวสวนในบ้านได้เป็นอย่างดี พื้นที่ภายในห้องกว้างมากพอที่จะออกแบบให้มี Walk-in Closet เป็นสัดส่วนในบริเวณทางเดินไปยังห้องน้ำภายในห้อง หลังจากได้เยี่ยมชมบ้านตัวอย่างครบทั้ง 3 แบบแล้ว ต้องยอมรับว่าเราแอบหลงใหลกับบ้านสไตล์ Courtyard เข้าให้แล้วเหมือนกัน บ้านทุกหลังออกแบบมาเพื่อการพักผ่อนหลังจากเหน็ดเหนื่อยกับความวุ่นวายภายนอกมาทั้งวัน ซึ่งทางโครงการ Baranee Park ร่มเกล้า สามารถสอดแทรกพื้นที่สีเขียวอันร่มรื่นไว้ทุกซอกทุกมุมจริงๆ สมกับคำว่า “บ้านเงาไม้” ทางโครงการมีแบบบ้านให้เลือกทั้งบ้านมาตรฐาน และบ้านตกแต่งพร้อมอยู่ตามอย่างในบ้านตัวอย่างเลยนะครับ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติม หรือสอบถามโปรโมชั่นได้ที่ : http://www.manapat.co.th/tha/projects/baranee-park-romklao ***พิเศษกับโปรโมชั่นล่าสุด (แนบโปรโมชั่นต่อท้าย // สามารถเปลี่ยนแปลงได้) Fespa - แอร์ห้องนอน Master ขนาด 14,300 BTU 1 เครื่อง แอร์ห้องนอน 2 ขนาด 12,300 BTU 1 เครื่อง แอร์ห้องนอน 3 ขนาด 12,300 BTU 1 เครื่อง ปูหญ้าจัดสวน 1 รายการ Shower ทุกห้องน้ำ 3 ชุด สัญญาณกันขโมย 1 ชุด ชุดครัว (เตา+เครื่องดูดควัน) 1 ชุด ประตูบานพับอัตโนมัติ พื้นลานจอดรถสแตมป์คอนกรีต Denfe - แอร์ห้องนอน Master ขนาด 14,300 BTU 1 เครื่อง แอร์ห้องนอน 2 ขนาด 12,300 BTU 1 เครื่อง แอร์ห้องนอน 3 ขนาด 12,300 BTU 1 เครื่อง ปูหญ้าจัดสวน 1 รายการ Shower ทุกห้องน้ำ 3 ชุด สัญญาณกันขโมย 1 ชุด ชุดครัว (เตา+เครื่องดูดควัน) 1 ชุด ประตูบานพับอัตโนมัติ พื้นลานจอดรถสแตมป์คอนกรีต Liwa - แอร์ห้องนอน Master ขนาด 22,500 BTU 1 เครื่อง แอร์ห้องนอน 2 ขนาด 12,300 BTU 1 เครื่อง แอร์ห้องนอน 3 ขนาด 12,300 BTU 1 เครื่อง แอร์ห้องนอน 4 ขนาด 12,300 BTU 1 เครื่อง ปูหญ้าจัดสวน 1 รายการ Shower ทุกห้องน้ำ 4 ชุด สัญญาณกันขโมย 1 ชุด ชุดครัว (เตา+เครื่องดูดควัน) 1 ชุด ประตูบานพับอัตโนมัติ พื้นลานจอดรถสแตมป์คอนกรีต