Tag : Home

816 ผลลัพธ์
Baranee Residence รังสิต-คลอง 3 : รีวิวบ้าน

Baranee Residence รังสิต-คลอง 3 : รีวิวบ้าน

ต้องยอมรับกันว่าปัจจุบันการจะหาบ้านเดี่ยวดีๆ ซักหลังเพื่อทุกคนในครอบครัวนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ใครๆ ก็อยากได้คุณภาพชีวิตที่ดี อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี มีสังคมเพื่อนบ้านที่เอื้ออำนวยต่อความเป็นอยู่ที่สงบสุข รวมไปถึงมีพื้นที่ใช้สอยที่เพียงพอต่อทุกกิจกรรมของคนในครอบครัวกันแทบทั้งนั้น แถมยังต้องพิจารณาให้อในราคาที่เอื้อมถึงก็จัดว่าเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญไม่น้อยเลย Review Your Living ฉบับนี้จะพาไปเจาะลึก ทำความรู้จักกับโครงการบ้านเดี่ยว “Baranee Residence” บ้านคุณภาพในย่านรังสิต ที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนที่มีครอบครัวได้อย่างแท้จริงกันแบบละเอียดยิบ ใครที่กำลังมีแผนจะซื้อบ้านเดี่ยว รีบตามมาดูกันเลย “Baranee Residence” ยึดทำเลในรังสิตคลอง 3 เป็นที่ตั้งโครงการ ซึ่งสามารถเข้าออกได้ทั้งทางฝั่งรังสิต และคลองหลวง รวมถึงเส้นทางหลักอย่างถนนพหลโยธิน ถนนกาญจนาภิเษกฝั่งตะวันออก และทางด่วนอุดรรัถยา (สายบางประอิน-ปากเกร็ด) ก็ทำให้การเดินทางเข้าออกเมืองมีทางเลือกหลายทาง สามารถหาทางเลี่ยงปัญหาการจราจรติดขัดได้อีกด้วย แผนที่ของโครงการ แผนที่การเดินทางรอบๆ โครงการ การเดินทางวันนี้เราใช้ถนนวิภาวดีรังสิต เริ่มจากบริเวณสนามบินดอนเมืองกันเลยนะครับ เราขับตามถนนวิภาวดีรังสิตมาเรื่อยๆ จนเข้าสู่ถนนพหลโยธิน ฝั่งขวามือจะเห็นเซียร์ รังสิต สังเกตป้ายนครนายกแล้วขับตามไปเรื่อยๆ เลยครับ เบี่ยงออกซ้ายเพื่อไปทางนครนายก ตามป้าย ขึ้นสะพานข้ามคลองไปเลยครับ ฝั่งขวามือจะเป็นเมเจอร์ รังสิต แสดงว่าใกล้ถึงทางโค้งไปทางนครนายกแล้วครับ เบี่ยงซ้ายตามป้าย เพื่อขึ้นสะพานไปเข้าถนนรังสิต-นครนายก โค้งซ้ายขึ้นสะพานไปเลยครับ ขึ้นสะพานวนข้ามถนนพหลโยธินมาแล้วเราจะเข้าสู่ถนนรังสิตนครนายก ฝั่งซ้ายมือจะเป็นฟิวเจอร์ พาร์ค รังสิตและ Zpell ส่วนฝั่งขวามือจะเป็นเมเจอร์ รังสิต จากนั้นตรงไปตามถนนรังสิต-นครนายกเรื่อยๆ เลยครับ จาก Zpell เราขับตรงไปตามถนนรังสิต-นครนายกอีกประมาณ 4.7 กม. ก็จะถึงทางเลี้ยวซ้ายเข้าถนนเลียบคลองสาม ตรงนี้ต้องสังเกตดีๆ นะครับ ไม่งั้นอาจจะเลยได้ ปากซอยทางเข้าคลองสาม มีอเวนิวเปิดใหม่ชื่อ ธาราอเวนิว ด้านในมีร้านอาหาร ร้านค้า ต่างอยู่ อยู่หลายร้านทีเดียวครับ จากนั้นเราขับตามถนนเลียบคลองสามต่อไปเรื่อยๆ เลยครับ ถนนเพิ่มเป็น 4 เลนแล้ว ขับสบายขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะเลยครับ ตรงเข้ามาเรื่อยๆ จะเจอบิ๊กซี คลองสาม อยู่ทางซ้ายมือ เวลาจะซื้อของเข้าบ้านตรงนี้ช่วยได้เยอะเลยครับ ไม่ต้องขับรถออกไปไกล เลยจากบิ๊กซีมาไม่ไกลก็ถึงโครงการแล้วครับ ถ้านับจากปากซอยคลองสามเข้ามาถึงโครงการก็ประมาณ 7 กิโลเมตร พื้นที่ในย่านรังสิตคลอง 3 เป็นย่านที่มีความเป็นชุมชนสูง ตลอดเส้นทางในถนนคลอง 3 มีพร้อมทุกอย่าง ทั้งร้านค้านานาชนิด ร้านอาหาร ร้านขายยา คลินิค ตลาดสด ซุปเปอร์มาร์เก็ต และโรงเรียน ในขณะเดียวกันทางด้านถนนคลองหลวงก็มีห้องโลตัส แมคโคร ห่างออกไปอีกหน่อยก็มี ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต และ Zpell ซึ่งเป็นแหล่งช็อปปิ้งที่สำคัญของคนในย่านนี้ “Quality Meets Life” เริ่มต้นจากทางเข้าโครงการที่ตกแต่งอย่างหรูหรา มีป้ายชื่อโครงการขนาดใหญ่ รวมถึงวงเวียนน้ำพุอลังการสังเกตุเห็นได้ง่าย เรื่องความปลอดภัยก็อุ่นใจได้ด้วยระบบ Key Card, กล้องวงจรปิดบันทึกภาพบริเวณทางเข้า-ออก และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยประจำการภายในหมู่บ้านตลอด 24 ชั่วโมง ด้านหน้าทางเข้าโครงการหรูหราอลังการ เข้าออกด้วยระบบ Key Card และมีระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง โครงการ Baranee Residence รังสิตคลอง 3 มีบ้านทั้งหมด 140 หลังด้วยกัน ทุกหลังตั้งอยู่บนถนนหลักที่กว้างมากสุดถึง 16 เมตร โดยมีเกาะกลางช่วยเพิ่มความร่มรื่นให้เกือบตลอดแนว บรรยากาศโดยรวมภายในโครงการมีความร่มรื่นจากต้นไม้น้อยใหญ่ ซึ่งทางโครงการจัดสวนสวยไว้รอบโครงการ รวมถึงสวนในบ้านด้วย เพื่อให้ทุกคนในครอบครัวได้มีพื้นที่ทำกิจกรรมร่วมกัน ถนนเมนในโครงการกว้าง 16 เมตร พร้อมเกาะกลางร่มรื่น ถนนบางช่วงกว้าง 12-14 เมตร จึงไม่มีเกาะกลางขั้นกลาง บรรยากาศภายในโครงการร่มรื่นมาก เมื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของทุกคนในครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ พื้นที่ (Space) จึงถูกจัดสรรเพื่อตอบทุกความต้องการของไลฟ์สไตล์ที่ต่างกัน ลูกบ้านสามารถทำกิจกรรมที่หลากหลายในบริเวณ Club House ซึ่งประกอบไปด้วยสระว่ายน้ำขนาดมาตรฐาน ห้องฟิตเนสพร้อมอุปกรณ์สำหรับออกกำลังกายครบครัน รวมไปถึงสวนสาธารณะขนาดกว้างที่มีพื้นที่ให้เดินเล่น วิ่งออกกำลังกาย และกิจกรรมอื่นๆ ของเด็กๆ Earl Grey Earl Grey บ้านเดี่ยว 2 ชั้นที่มีพื้นที่ใช้สอยมากถึง 220 ตร.ม. ประกอบไปด้วย 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ตัวบ้านยกสูงจากถนน 90 เซนติเมตร ออกแบบให้มีชานนั่งเล่นหน้าบ้าน และสวนรอบบ้านเลยทีเดียว ลานหน้าบ้านสามารถจอดรถได้ 2 คัน ประตูทางเข้าบ้านมี Digital Door Lock เพิ่มความอุ่นใจและสะดวกสบายให้กับทุกคนในครอบครัว ลานจอดรถหน้าบ้าน ปูด้วยคอนกรีตสแตมป์ ยกสูงจากถนนอีก 15 ซม. พื้นที่จอดรถกว้างขวาง สามารถจอดรถได้ 2 คัน บันไดขึ้นสู่ตัวบ้านยกขึ้นมาอีก 3 ขั้น รวมๆ แล้วตัวบ้านจะสูงกว่าถนนหลักถึง 90 ซม. เลยทีเดียว บ้านทุกหลังมี Digital Door Lock ติดตั้งมาให้แล้ว พื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน ทางโครงการจัดสรรมาให้เป็นอย่างดี โดยในบ้านตัวอย่างได้ตกแต่งไว้ครบทุกฟังก์ชั่นการใช้งาน ทั้งห้องนั่งเล่นชั้นล่างและมุมรับประทานอาหาร ที่เชื่อมต่อถึงกันกับชานนั่งเล่นหน้าบ้านได้อย่างลงตัว เพียงแค่เปิดประตูกระจกด้านหน้าออกก็สามารถเพิ่มพื้นที่ในการจัดกิจกรรมร่วมกันได้แล้ว ทางด้านชานหน้าบ้านติดกับโรงรถ ก็ยกสูงขึ้นมาเท่ากับตัวบ้าน บริเวณนี้มีพื้นที่กว้างพอที่จะจัดเป็นมุมนั่งเล่นพักผ่อนในบรรยากาศติดสวน ก้าวเข้ามาในบ้านจะเจอกับ Living Area ก่อน พื้นที่ใช้สอยโปร่งโล่งไม่อึดอัด ประตูกระจกบานใหญ่ ช่วยให้ตัวบ้านเปิดรับแสงธรรมชาติได้เป็นอย่างดี พื้นที่ของห้องรับแขก เชื่อมต่อกับห้องกินข้าวซึ่งอยู่ติดกับประตูกระจกด้านข้างตัวบ้าน บริเวณชั้นล่างมีห้องนอนเล็กอีกหนึ่งห้องด้วยนะครับ ห้องครัวเป็นกึ่งครัวปิด มีห้องเก็บของบริเวณใต้บันไดช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บของให้เป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น บริเวณด้านหลังบ้านมีลานซักล้าง และพื้นที่สำหรับวางเครื่องซักผ้า ซึ่งทางโครงการก็จัดเตรียมระบบน้ำและไฟไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ห้องครัวอยู่ถัดเข้าไปด้านในสุดของตัวบ้าน ในห้องครัวมีหน้าต่างช่วยให้การระบายอากาศและกลิ่นได้ดีขึ้น ลานซักล้างด้านหลังมีพื้นที่กว้างขวางพอสมควรเลยทีเดียว ห้องนอนเล็กที่ชั้นล่างมีประตูกระจกบานใหญ่สามารถเปิดออกมาที่ด้านหลังบ้านได้ด้วย มุมนั่งเล่นด้านข้างของตัวบ้าน ใช้ทำกิจกรรม จัดปาร์ตี้ หรือนั่งเล่นพักผ่อนร่วมกับสมาชิกในครอบครัวได้เลย บริเวณชั้นล่างเสริมด้วยห้องนอนเล็ก 1 ห้อง ซึ่งสามารถจัดตกแต่งใช้เป็นห้องทำงาน หรือจะให้เป็นห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุก็สะดวกดีทีเดียว ส่วนห้องน้ำของชั้นหนึ่งจะอยู่ตรงข้ามห้องครัว ทางโครงการตกแต่งห้องนอนเล็กชั้นล่างให้เป็นห้องนั่งเล่น หรือห้องรับแขกส่วนตัว ห้องนอนเล็กนี้ มีประตูกระจกบานใหญ่เปิดออกไปด้านหลังตัวบ้านได้ด้วย ห้องน้ำที่ชั้นล่างอยู่ด้านตรงข้ามกับห้องครัว ขึ้นมาที่บริเวณชั้น 2 จะพบกับพื้นที่นั่งเล่นสำหรับการทำกิจกรรมร่วมกันของคนในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นนั่งดูทีวี พูดคุยร่วมกัน หรือแม้แต่ใช้เป็นพื้นที่รับแขกคนสนิทแบบส่วนตัวก็ได้เช่นกัน ในขณะที่พื้นที่ของห้องนอนทั้ง 3 ห้องบนชั้น 2 ก็แบ่งพื้นที่กันไว้อย่างลงตัว ทั้งห้องนอนใหญ่ที่กว้างมากพอที่จะมีห้องอาบน้ำและ Walk-in Closet ในตัว ส่วนห้องนอนเล็กอีก 2 ห้องก็จัดไว้ในโซนด้านเดียวกันอย่างเป็นสัดส่วน โดยพื้นที่ทั้งหมดนี้เพียงพอต่อการรองรับสมาชิกของครอบครัวขนาดใหญ่ หรืออาจจัดสรรให้ใช้ประโยชน์ในด้านอื่นๆ ได้อีกถ้าเป็นครอบครัวขนาดเล็ก โถงนั่งเล่นที่บริเวณชั้น 2 ติดกับระเบียงด้านหน้า มีประตูกระจกบานใหญ่ช่วยเปิดรับแสงได้เป็นอย่างดี จากบริเวณนี้สามารถมองลงไปเห็นบริเวณหน้าบ้านได้ชัดเจน ระเบียงกว้างพอที่จะปลูกต้นไม้เล็กๆ ได้บ้าง ไปดูห้องนอนเล็กทั้ง 2 ห้องกันดีกว่า ห้องแรกตกแต่งในโทนสีเข้มเลยทีเดียว พื้นที่ใช้สอยภายในห้องขนาดกะทัดรัดกำลังดี มีพื้นที่เก็บของได้พอสมควร ห้องน้ำด้านหน้าอยู่ระหว่างห้องนอนเล็ก ซึ่งต้องใช้ร่วมกัน ส่วนห้องอีกห้อง ตกแต่งเป็นห้องทำงาน เป็นมุมเวิร์คช็อปได้น่าสนใจดีทีเดียว ส่วนอีกโซนของบ้าน เป็นพื้นที่ของห้องนอนใหญ่ซึ่งมีห้องน้ำในตัวมาพร้อม พื้นที่ในห้องนอนใหญ่กว้างขวาง วางเตียงนอน 6 ฟุตแล้วยังเหลือที่อีกเหลือเฟือ ในห้องวาง Day Bed เข้ามุมไว้ติดริมหน้าต่าง เพิ่มมุมนั่งเล่นพักผ่อน อ่านหนังสือได้อีกมุม พื้นที่หน้าห้องน้ำกว้างพอที่จะจัดเป็น Walk-in Closet ได้ด้วย ในห้องน้ำจัดวางสุขภัณฑ์ไว้ได้อย่างลงตัว Darjeeling ถ้าบ้านแบบแรกยังมีพื้นที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ เรามาดูบ้านหลังใหญ่กันบ้าง บ้าน Darjeeling เป็นบ้านเดี่ยวแบบหน้ากว้าง มีพื้นที่ใช้สอยอยู่ที่ 240 ตร.ม. ส่วนพื้นที่รอบบ้านก็แล้วแต่ขนาดที่ดิน ซึ่งในบ้านตัวอย่างหลังที่เปิดให้เข้าชมเป็นแปลงมุม ทำให้มีชานนั่งเล่นบริเวณด้านข้างของตัวบ้านมากขึ้นอีกพอสมควร โดยทางโครงการจัดการตกแต่งพื้นที่ด้านข้างเป็นมุมนั่งเล่น จัดกิจกรรมปาร์ตี้ร่วมกันได้ ภายในตัวบ้านแบ่งพื้นที่ใช้สอยหลักๆ เป็น 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ บริเวณหน้าบ้านสามารถจอดรถได้ 2 คัน ลานจอดรถปูด้วยคอนกรีตสแตมป์สวยงาม ลานจอดรถรองรับจำนวนรถได้ 2 คัน สวนหน้าบ้านตกแต่งไว้อย่างสวยงาม ช่วยเพิ่มความร่มรื่นสบายตา บ้านตัวอย่างเป็นบ้านหัวมุม จึงมีพื้นที่พอสำหรับทำชานนั่งเล่นด้านข้างตัวบ้าน มุมนี้กว้างพอจะใช้จัดกิจกรรมร่วมกันได้ทั้งครอบครัว พื้นที่ซักล้างที่ด้านหลังตัวบ้านกว้างขวางพอจะวางเครื่องซักผ้าได้สบายๆ ประตูทางเข้าใช้ Digital Door Lock เช่นกัน รวมถึงตัวบ้านก็อยู่สูงจากถนน 90 เซนติเมตร ก็เป็นไปตามมาตรฐานของโครงการ บริเวณห้องรับแขกหรือห้องนั่งเล่นเปิดโล่งรับแสงจากภายนอกได้ดี เช่นเดียวกับพื้นที่ของโต๊ะกินข้าวที่สามารถเปิดออกไปยังบริเวณเฉลียงหน้าบ้านได้อีกเช่นกัน ซื่งพื้นที่บริเวณนี้สามารถเลือกตกแต่งได้ตามไลฟ์สไตล์ของเจ้าบ้านได้เลยว่าอยากให้อะไรอยู่มุมไหนบ้าง ชานพักนั่งเล่นด้านหน้าตัวบ้าน ยกสูงขึ้นมาเท่ากับตัวบ้าน ชานบ้านกว้างขวางมีพื้นที่เชื่อมต่อกับใสนตัวอย่างได้อย่างลงตัว ทางเดินจากลานจอดรถเข้าสู่ตัวบ้าน Living Area แบ่งโซนออกเป็นห้องนั่งเล่น วางชุดโซฟาใหญ่ไว้สำหรับนั่งดูทีวี สังสรรค์กับครอบครัว ประตูกระจกบานใหญ่ช่วยเปิดรับแสงธรรมชาติได้เป็นอย่างดี และทำให้สามารถมองเห็นสวนหน้าบ้านได้อย่างชัดเจน อีกด้านของ Living Area จัดไว้เป็นมุมกินข้าว วางโต๊ะชุดใหญ่ขนาด 6 ที่นั่งได้สบายๆ ในขณะที่ห้องครัวถูกออกแบบมาให้เป็นกึ่งครัวปิด มีหน้าต่างช่วยระบายอากาศได้ดี ถ้าเพียงติดตั้งประตูกระจกเพิ่มก็จะช่วยลดปัญหากลิ่นรบกวนในบ้านระหว่างทำครัวไปได้อีกทาง นอกจากนี้ที่บริเวณชั้นล่างยังมีอีก 1 ห้องนอนเล็กพร้อมห้องน้ำในตัว ที่สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้งานได้ตามความเหมาะสม โดยสามารถตกแต่งให้เป็นได้ทั้งห้องนอน ห้องทำงาน ห้องหนังสือ หรือห้องอเนกประสงค์อื่นๆ ก็ได้เช่นกัน ด้านในของตัวบ้านเป็นพื้นที่ของห้องครัว รวมถึงประตูทางออกไปยังด้านหลังของตัวบ้าน ห้องครัวเป็นแบบกึ่งปิด ไม่ได้มีประตูติดตั้งมาให้ แต่มีหน้าต่างสามารถเปิดออกไปทางชานนั่งเล่นข้างบ้านได้ ไปดูห้องนอนเล็กของชั้นล่างที่อีกด้านของตัวบ้านกันบ้างดีกว่า ทางโครงการตกแต่งให้ห้องนอนเล็กนี้เป็นห้องทำงาน ซึ่งภายในห้องมีห้องน้ำในตัวมาพร้อมแล้ว สามารถปรับประโยชน์ใช้สอยได้ตามใจชอบ ประตูกระจกในบานใหญ่ นอกจากจะช่วยเรื่องเปิดรับแสงแล้ว ยังสามารถเปิดออกไปยังด้านหลังของบ้านได้อีกด้วย ห้องน้ำในห้องพร้อมใช้งาน ขยับขึ้นมาดูที่บริเวณชั้น 2 กันบ้าง แน่นอนว่าทางโครงการค่อนข้างให้ความสำคัญกับการมีคุณภาพชีวิตครอบครัวที่ดี ดังนั้นจึงเพิ่มพื้นที่นั่งเล่นบริเวณชั้น 2 ขึ้นมาเพื่อให้พร้อมรองรับทุกกิจกรรมของครอบครัว ไม่ว่าจะจัดให้เป็นมุมดูทีวี มุมนั่งเล่น หรือพื้นที่จัดปาร์ตี้สังสรรค์เล็กๆ ของคนในบ้านก็ดูจะลงตัวไปเสียทุกอย่าง ในขณะที่พื้นที่ในห้องนอนทั้ง 3 ห้องก็มีความเป็นส่วนตัวมากพอสำหรับทุกคน ทั้งห้องนอนใหญ่ที่กว้างขวาง และห้องนอนเล็กอีก 2 ห้องที่ยังคงสามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามจำนวนสมาชิกในครอบครัว ขึ้นมาที่ชั้น 2 จะพบกับ Common Area ในโซนกลางบ้าน ซึ่งจัดเป็นมุมพักผ่อนสำหรับสมาชิกทุกคนในบ้าน มุมนี้ติดประตูกระจกบานเลื่อนทำให้สามารถเปิดประตูออกไปที่ระเบียงได้ โซนด้านหนึ่งของบริเวณชั้น 2 แบ่งเป็นห้องนอนเล็ก 2 ห้องและห้องน้ำบริเวณหน้าห้องทั้ง 2 ห้องแรกตกแต่งไว้สำหรับเด็กเล็ก จึงมีสีสันสดใสน่าอยู่ ห้องนอนเล็กห้องนี้อยู่ด้านหน้าของตัวบ้าน จึงมีระเบียงกว้างในบริเวณห้องด้วย ส่วนห้องนอนเล็กอีกห้อง ตกแต่งเป็นห้องพักผ่อน หรืออาจปรับให้เป็นห้องนอนเพื่อรองรับสมาชิกครอบครัวที่เพิ่มขึ้นก็ทำได้เช่นกัน ห้องน้ำเล็กบริเวณหน้าห้องสำหรับการใช้งานของสมาชิกนอนเล็ก ห้องสุดท้ายของตัวบ้านที่เราจะไปดูก็คือ ห้องนอนใหญ่ที่อยู่อีกด้านของตัวบ้าน ห้องนอนใหญ่กว้างขวาง มีพื้นที่ใช้สอยเพียงพอที่จะตกแต่งให้ใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย Day Bed วางไว้ริมหน้าต่างใช้เป็นมุมนั่งอ่านหนังสือได้เป็นอย่างดี บริเวณหน้าห้องน้ำก็จัดตกแต่งให้เป็น Walk-in Closet เก็บเสื้อผ้าได้เป็นระเบียบเรียบร้อย และมีหน้าต่างรับแสง ช่วยให้มุมนี้ไม่มืดจนเกินไป ห้องน้ำของห้องนอนใหญ่ จัดวางตำแหน่งของสุขภัณฑ์ต่างๆ ไว้อย่างลงตัว และติดตั้งกระจกเงาบานใหญ่เต็มผนังมาให้พร้อมแล้ว และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งโครงการคุณภาพจาก บริษัท มานะพัฒนาการ จำกัด ที่สะท้อนให้เราได้เห็นว่า โครงการบ้านที่ดีที่มีการออกแบบเพื่อให้ความสำคัญกับไลฟ์สไตล์ชีวิตคุณและครอบครัว มีสเปซสำหรับทุกคน และพื้นที่ที่พร้อมด้วย Facility ครบครัน ในทำเลโซนกรุงเทพฝั่งเหนือ ซึ่งพร้อมไปด้วยสภาพแวดล้อมที่ดีของการอยู่อาศัย จนคุณสามารถมั่นใจได้ว่าความเป็นอยู่ของทุกคนในครอบครัวจะอบอุ่นและได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นกว่าที่เคยไม่มากก็น้อย สำหรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติม หรือนัดหมายเพื่อชมโครงการ Baranee Residence รังสิตคลอง 3 ได้ที่ : http://www.manapat.co.th/tha/projects/baranee_residence
ARNA Ekamai : รีวิวบ้าน

ARNA Ekamai : รีวิวบ้าน

ARNA Ekamai บ้านเดี่ยวหรูระดับ Super Luxury ในซอยสุขุมวิท 65 หรือซอยชัยพฤกษ์ ให้ความเป็นส่วนตัวด้วยยูนิตที่น้อยเพียง 11 ยูนิต เดินทางสะดวกใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีเอกมัย บ้านเดี่ยวโครงการแรกจาก  D'Well Grand Asset     รายละเอียดโครงการ   ราคาเริ่มต้น    32,000,000 บาท เจ้าของโครงการ    D'Well Grand Asset Co., Ltd. ลักษณะโครงการ   บ้านเดี่ยว 3-4 ชั้น จำนวน 11 หลัง เนื้อที่ทั้งหมด   1 - 3 - 74 ไร่ ที่ตั้งโครงการ  ซอยสุขุมวิท 65 แขวงพระโขนงเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร เริ่มก่อสร้าง    ไตรมาสที่ 4 ปี 2016 คาดว่าจะแล้วเสร็จ    ไตรมาสที่ 1 ปี 2018   สถานที่สำคัญใกล้เคียง   BTS เอกมัย โรงพยาบาลสุขุมวิท Gateway เอกมัย เมเจอร์เอกมัย ท้องฟ้าจำลอง โรงเรียนปทุมคงคา W District Rain Hill Park Lane เอกมัย J Avenue โรงพยาบาลสมิติเวช แบบบ้านและขนาดพื้นที่ใช้สอย   Type A ที่ดิน 36-39 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 345 - 358 ตร.ม. 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ ราคาเริ่มต้น 32 ล้านบาท Type B ที่ดิน 45 - 51 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 407.23 ตร.ม. 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ ราคาเริ่มต้น 49 ล้านบาท Type C ที่ดิน 57-69 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 388 - 401 ตร.ม. 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ ราคาเริ่มต้น 53 ล้านบาท แบบบ้าน Type A ที่ดิน 36-39 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 345 - 358 ตร.ม. 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ ราคาเริ่มต้น 32 ล้านบาท แปลนบ้าน Type A แบบบ้าน Type B ที่ดิน 45 - 51 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 407.23 ตร.ม. 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ ราคาเริ่มต้น 49 ล้านบาท แปลนบ้าน Type B แบบบ้าน Type C ที่ดิน 57-69 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 388 - 401 ตร.ม. 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ ราคาเริ่มต้น 53 ล้านบาท แปลนบ้าน Type C สิ่งอำนวยความสะดวก   รั้วรอบโครงการสูง 3 เมตร Key Card Access เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและกล้อง CCTV 24 ชั่วโมง   สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร :  061-662-6565 ดูรายละเอียดเพิ่มเติม :  www.arna-ekamai.com
ข้อดีของการซื้อคอนโด ซื้อบ้าน หลุดดาวน์

ข้อดีของการซื้อคอนโด ซื้อบ้าน หลุดดาวน์

เศรษฐกิจไม่ดีเป็นปัญหาใหญ่ทำให้ผู้ที่กำลังผ่อนดาวน์บ้านหรือคอนโด เริ่มไมไหวกับภาระ ทั้งเรื่องค่าใช้จ่ายและการผ่อนที่อยู่อาศัย และอาจรวมถึงคนที่ได้ยื่นขอสินเชื่อกับธนาคารแต่กู้ไม่ผ่าน จนเป็นเหตุให้เกิดปรากฏการณ์ “บ้าน คอนโด หลุดดาวน์” ที่เริ่มมีให้เห็นทั้งในรายงานยอดขายของบางบริษัทที่จู่ๆ ยอดขายก็ลดฮวบไปดื้อๆ สอดคล้องกับแคมเปญการตลาดที่เริ่มเห็นโปรฯ แรงๆ ของสินค้าหลุดดาวน์มากขึ้น แต่ในวิกฤติของคนกลุ่มหนึ่งก็เป็นโอกาสของคนอีกกลุ่มที่จะได้ซื้อของถูกชนิดไม่ทันตั้งตัว กู้ไม่ผ่านคือปัญหาและสาเหตุ ช่วง 1-2 ปีมานี้คนดาวน์บ้าน ดาวน์คอนโด มีปัญหากู้ไม่ผ่านกันมาก ตัวเลขจากบางโครงการพบว่าสัดส่วนลูกค้าที่กู้ไม่ผ่านสูงถึง 20-30% โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านและคอนโดระดับราคาปานกลางถึงล่างเปอร์เซ็นต์จะยิ่งมาก และเมื่อเทียบระหว่างโครงการบ้านและโครงการคอนโด ก็จะพบว่าลูกค้าที่กู้ไม่ผ่านส่วนใหญ่จะเป็นคอนโดมากกว่าบ้าน สาเหตุส่วนหนึ่งเกี่ยวเนื่องจากระยะเวลาในการผ่อนดาวน์ เพราะโครงการคอนโด จะมีระยะผ่อนดาวน์นานกว่าบ้าน ซึ่งทั่วไปถ้าเป็นคอนโด โลว์ไรส์ก็ต้องผ่อนอย่างน้อย 15-20 เดือน ในขณะที่ถ้าเป็นไฮไรส์อย่างตํ่าก็ต้อง 2 ปี ในระหว่างที่กำลังผ่อนดาวน์อาจเกิดปัญหาด้านการเงินทำให้ต้องตัดสินใจทิ้งดาวน์ หรือบางครั้งอาจเป็นการกระทำที่ไม่ตั้งใจหรือพลาด เช่น ไปสร้างหนี้เพิ่ม จนทำให้มีปัญหาในเวลาที่ต้องยื่นกู้ทั้งๆ ที่ตอนจองซื้อไม่มีปัญหาการ Pre-approved เรื่องนี้สำคัญ เพราะธนาคารเองก็เตือนอยู่เสมอว่าในระหว่างผ่อนดาวน์กรุณาอย่าไปสร้างหนี้เพิ่ม หรือไปทำอะไรที่มีผลเสียต่อเครดิต และเฉพาะอย่างยิ่งตอนใกล้ยื่นกู้ยิ่งต้องระวังให้มาก เพราะการกระทำหลายๆ อย่างสามารถตีความได้ว่าเรากำลังมีปัญหาทางการเงินได้ ส่วนกรณีการผ่อนบ้านไม่ค่อยเป็นปัญหา เพราะส่วนใหญ่เดี่ยวนี้เป็นบ้านที่สร้างเกือบเสร็จเกือบทั้งหมด ระยะผ่อนดาวน์มีน้อย วิธีนี้บังคับให้คนซื้อต้องเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี โดยหลายๆ โครงการถึงขนาดจองปุ๊บให้เตรียมเรื่องยื่นกู้ได้เลย ถ้าเตรียมตัวมาดีก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าไม่พร้อมก็จบเหมือนกัน บ้านหลุดดาวน์ “ส้มหล่น” คนซื้อมือรอง แต่ละบริษัทมีวิธีการจัดการกับปัญหาลูกค้ากู้ไม่ผ่าน หรือสินค้าหลุดดาวน์แตกต่างกันไป ทางเลือกของคนซื้อจึงไม่เท่ากัน บางบริษัทมีโครงการอยู่ในมือหลายโครงการ หลายทำเล อาจมีทางเลือกให้กับลูกค้าได้มากกว่า เช่น เปลี่ยนแปลงที่ดิน เปลี่ยนทำเล เพื่อไปเอาหลังที่ถูกกว่า เพื่อจะได้มีโอกาสในการกู้ผ่านมากกว่า แต่ถ้ามีอยู่โครงการเดียวจะไม่สามารถใช้วิธีนี้ได้ นอกจากนี้เงื่อนไขของสัญญาของผู้ประกอบการก็แตกต่างกัน เช่น บางบริษัทยอมคืนเงินดาวน์โดยไม่มีเงื่อนไข แต่บางบริษัทถ้ากู้ไม่ผ่านก็หมายถึงคนซื้อสูญเงินดาวน์ทั้งหมด เรื่องนี้ก็สำคัญที่คนซื้อจะต้องศึกษาให้ดีก่อนซื้อหรือทำสัญญา อย่างไรก็ตามไม่ว่าจะโดยวิธีใด เมื่อมีบ้านหลุดดาวน์ยังไงเจ้าของโครงการก็ต้องนำบ้านหลังนั้นออกมาขายใหม่ ซึ่งจะขายโดยกลยุทธ์การตลาดแบบไหนก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่แล้วมักนำมาขาย “ลดราคา” เพื่อจะได้จบโครงการไวๆ ซึ่งหากเป็นโครงการที่ยึดเงินดาวน์มาจากคนซื้อมือแรกบริษัทก็จะมีช่องทางทำการตลาดได้มาก เพราะมีเงินดาวน์ที่ได้มาฟรีๆ ตุนไว้แล้ว 5-10% ของราคาบ้าน ซึ่งนี่ก็เป็นโอกาสที่เกิดขึ้นกับคนซื้อมือถัดไป ฉะนั้นในวิฤกติของคนบางกลุ่มยอมเป็นโอกาสของคนอีกกลุ่ม โดยเฉพาะกับคนที่มีความพร้อมอยู่ตลอดเวลา   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  นิตยสาร Home Buyer's Guide เดือนมิถุนายน 2559
วิธีไล่หนูบนเพดาน กำจัดโดยไม่ต้องฆ่าให้เปลืองแรง

วิธีไล่หนูบนเพดาน กำจัดโดยไม่ต้องฆ่าให้เปลืองแรง

วิธีไล่หนูบนเพดาน วิธีกำจัดหนูบนฝ้าโดยไม่ต้องลงมือฆ่า เพื่อให้หมดปัญหาเรื่องเสียงหนูวิ่งบนเพดาน หนูแทะฝ้า และสารพัดปัญหาที่เกิดจากสัตว์ตัวเล็ก ๆ ชนิดนี้  ศัตรูของบ้านอีกตัวที่คอยสร้างความรำคาญให้กับเรา คงจะหนีไม่พ้นเจ้าสัตว์ฟันแทะอย่าง หนู ทั้งยังสร้างความเสียหาย กัดสายไฟและของในบ้าน ที่ร้ายไปกว่านั้นคือ เจ้าหนูพวกนี้อาจจะนำโรคร้ายมาสู่คนในบ้านได้ พื้นที่อื่นของบ้านยังพอหาทางกำจัดได้ แต่บนเพดานและใต้หลังคาที่เจ้าหนูพวกนี้ชอบใช้กบดานมักจะกำจัดยากกว่าที่อื่น ๆ เนื่องจากเป็นพื้นที่ปิดและแคบ และวันนี้เราก็มีวิธีไล่หนูบนเพดานโดยไม่ต้องฆ่ามาบอกต่อครับ 1.ใช้กับดักหนู วิธีกำจัดหนูแบบนี้นั้นง่ายมาก ก็แค่นำกับดักหนูไปวางใต้เพดาน โดยวางในตำแหน่งที่ไม่ไกลจากแผ่นฝ้าที่แกะออก แล้วหมั่นตรวจดูกับดักทุกวัน ถ้ามีหนูติดให้รีบเอาออกและนำไปกำจัดทันที เพราะหากบังเอิญหนูตายในคากับดัก ก็จะส่งกลิ่นเหม็นเน่าไปทั่วบ้านนานหลายวัน 2.ใช้น้ำมันหอมระเหยสะระแหน่   ถึงแม้กลิ่นของน้ำมันหอมระเหยสะระแหน่จะเป็นที่ชื่นชอบของคน แต่เป็นกลิ่นที่หนูไม่อยากเข้าใกล้มากที่สุด เพราะกลิ่นของน้ำมันชนิดนี้ฉุนสุด ๆ สำหรับหนู วิธีใช้ก็คือนำสำลีก้อนชุบน้ำมันหอมระเหย จากนั้นนำแกะแผ่นฝ้าบนเพดานออก แล้วโยนก้อนสำลีเข้าไปให้ทั่วใต้เพดาน 3.ใช้กรงดัก ใช้กล้วยน้ำหว้าเป็นเหยื่อล่อ ตัดหัวตัดท้ายให้กลิ่นโชย หรือจะใช้หัวปลาทูทอดหรือปลาหมึกแห้งเสียบไว้ล่อหนูก็ได้ จากนั้นก็นำกรงดักมาตั้งบนเพดาน ผูกเชือกที่กรงเอาไว้ด้วย เวลาหนูติดกรงหนูจะดิ้นและพากรงไปไกลเกินกว่าจะเอื้อมถึง เมื่อมีหนูมาติดกรงให้นำไปปล่อยทิ้งในป่าไกลบ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้กลับมาอีก แล้วกรงให้ล้างให้สะอาด กำจัดกลิ่นของหนูตัวเก่าออกให้หมด เพราะหนูตัวอื่นจะไม่เข้าใกล้ หากยังมีกลิ่นหนูตัวเก่าติดอยู่ 4.ใช้แผ่นปิดเชิงชายกระเบื้อง ชายคาบ้านเป็นอีกทางที่หนูใช้ไต่เข้ามาใต้หลังคา ฉะนั้นยิ่งปิดช่องทางที่นำมาสู้หลังคาไว้ใช้หมดยิ่งดี โดยเฉพาะหลังคาแบบลอน เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้หนูเข้ามาอาศัยและสร้างความรำคาญ ก็ควรติดแผ่นปิดเชิงชายกระเบื้องหรือแผ่นดักนกตามชายคาให้หมด 5.ใช้ทรายแมว กลิ่นของฉี่แมวอันลือเลื่อง ไม่ใช่แค่กับคนเท่านั้นที่ทนไม่ไหวกับกลิ่นฉี่แมว แม้แต่สัตว์ที่รักสกปรกอย่างหนูเองก็ไม่ชอบเช่นกัน วิธีใช้คือนำทรายแมวที่ใช้แล้วใส่ถุงผ้าแล้วโยนเข้าไปใต้เพดาน ให้เปิดช่องระบายอากาศไว้ด้วย แล้วหนูก็จะไม่เข้ามาใกล้เพดานอีกเลย   ทั้งนี้การกำจัดหนูให้สิ้นซาก ไม่ใช่ว่าจะได้ผลโดยการใช้วิธีใดวิธีหนึ่งหรือการทำเพียงแค่ครั้งเดียว ต้องอาศัยทั้งการไล่ กำจัด การป้องกัน รวมถึงวิธีการทำความสะอาดเพดานอย่างสม่ำเสมอควบคู่กันไปด้วยนะครับ ความรู้เกี่ยวกับหนู หนู  วิธีไล่หนูและสัตว์กวนใจอื่นๆ เพื่อความน่าอยู่ของบ้านเรา วิธีกำจัดมด ด้วยของใกล้ตัว กำจัดปลวก ด้วยวิธีธรรมชาติ วิธีเด็ดไล่ตุ๊กแก ให้รีบเผ่นหนีออกจากบ้าน
การเลือกซื้อที่ดิน การซื้อบ้านใหม่ให้ไกลจากน้ำ(ท่วม)ควรดูอะไรบ้าง?

การเลือกซื้อที่ดิน การซื้อบ้านใหม่ให้ไกลจากน้ำ(ท่วม)ควรดูอะไรบ้าง?

ตั้งแต่ช่วงน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 เวลาจะซื้อบ้านต้องไตร่ตรองและคิดให้รอบคอบมากขึ้นและอาจจะมีคําถามหลายๆประการตามมาว่า ควรจะซื้อบ้านหรือปลูกบ้านตรงไหน ที่ไหน แถวไหน ย่านไหน ควรต้องดูเรื่องอะไรบ้าง ถึงจะปลอดภัยจากน้ำท่วมจริงๆ เผื่อว่าเราอาจจะต้องเจอกับมวลน้ำแบบนี้อีกครั้งหรือหลายครั้งในอนาคต คำตอบง่ายๆ ในเมื่อเราเป็นห่วงว่า “น้ำ” จะท่วมบ้านเราอีกไหม เราก็ต้องพิจารณาปัจจัยและข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวกับ “น้ำ” เป็นหลัก บางคนอาจถามต่อไปว่า แล้วเราจะดู “น้ำ” กันอย่างไร จะไปดูตามท่อระบายน้ำ ตามคู คลองหรือแม่น้ำต่างๆ จะพอไหม จะรู้ไหมว่าน้ำท่วมหรือไม่อย่างไร หรือควรหาข้อมูลอะไร ที่ไหนประกอบหรือไม่อย่างไรก็ตาม หลังจากเหตุการณ์ครั้งนี้ คนไทยเราคงจะมีความรู้เพิ่มมากขึ้น จากข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับ “น้ำ” ที่สื่อมวลชน นักวิชาการและรัฐบาลนําเสนอผ่านสื่อออกมาทุกวัน ในอดีตเวลาที่เราจะเลือกซื้อหาบ้านจัดสรร หรือเลือกซื้อที่ดินปลูกบ้านใหม่คงเลือกจากการที่มีเอกสารจัดสรร และโฉนดที่ดินว่ามีหรือไม่ ด้านทําเลที่ตั้งใกล้กับแหล่งอำนวยความสะดวกมากน้อยแค่ไหน ไปจนถึงจากรูปแบบบ้าน ราคา และชื่อเสียงของบริษัท เป็นต้น แต่หลังจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้แล้ว “ผู้ซื้อ” หรือ “ผู้บริโภค” ควรศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ “น้ำ”เพิ่มเติมก่อนที่จะตัดสินใจเลือกแหล่งที่อยู่อาศัย ข้อควรพิจารณามีดังนี้ 1. โซนผังเมือง : โซนสีต่างๆ ที่ปรากฎในผังเมืองเป็นตัวบ่งชี้ว่า เมืองนั้นๆ กําหนดแนวทางการใช้พื้นที่ดินแต่ละเขตเป็นอย่างไร มีการใช้งานในลักษณะใดบ้าง เช่น พาณิชยกรรม ที่อยู่อาศัย หรือพื้นที่เกษตรกรรม เป็นต้น จากกรณีน้ำท่วมครั้งนี้ เราจึงเห็นได้ว่าพื้นที่ฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ เช่น เขตหนองจอก มีนบุรี คลองสามวา ลาดกระบัง ซึ่งเป็นพื้นที่ที่กําหนดเป็นโซนสีเขียวและเขียวทแยง ซึ่งเป็นพื้นที่ชนบทและเกษตรกรรม และพื้นที่ชนบทอนุรักษ์และเกษตรกรรม จึงได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเป็นจํานวนมากเนื่องจากอยู่ในเส้นทางการระบายน้ำและรัฐมิได้กําหนดให้เป็นพื้นที่อยู่อาศัย 2. แนวคันกั้นน้ำ : ในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑลจะมีการวางตําแหน่งคันกั้นน้ำ เพื่อการบริหารจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพตามแนวพระราชดําริไว้ ตั้งแต่เหนือจรดใต้และครอบคลุมทั้งสองฝั่งตะวันออกและตะวันตก โดยแนวคันกั้นน้ำจะมีความสูงต่ำแตกต่างกันและมีลักษณะซ้อนกันเป็นชั้นๆ ที่สัมพันธ์กับตําแหน่งคู คลองธรรมชาติ เพื่อป้องกันน้ำจากทางตอนเหนือเข้าท่วมบริเวณพื้นที่กรุงเทพชั้นกลางและชั้นใน ดังนั้นการเลือกซื้อบ้านหรือที่ดินที่อยู่ภายในแนวคันกั้นน้ำก็จะช่วยลดความเสี่ยงเรื่องน้ำท่วมได้ระดับหนึ่ง 3. ตําแหน่งคู คลอง แหล่งน้ำธรรมชาติ : จากประสบการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ เราคงเห็นได้ชัดเจนว่า เส้นทางการเคลื่อนที่หลักๆ ของน้ำจะเอ่อล้นมาจากเส้นทางน้ำธรรมชาติคือ คู คลองต่างๆ ที่มีอยู่ทั่วเมืองและจากท่อระบายน้ำต่างๆตามถนนหนทางหน้าบ้านของเรา และการมาของน้ำทั้งสองทางนี้จะป้องกันได้ยากที่สุด ดังนั้นบ้านเรือนที่อยู่ริมน้ำคู คลองที่มีทัศนียภาพสวยงามก็จะมีความเสี่ยงจากน้ำมากเช่นกัน 4. ความสูงต่ำของที่ดิน/ที่ตั้ง (Topography) : ถ้าใครเคยเห็นแผนที่ในการวิเคราะห์ระดับน้ำท่วมกรุงเทพฯคราวนี้ จะพบว่าแต่ละพื้นที่จะมีการคาดการณ์ระดับน้ำท่วมที่สูงต่ำต่างกัน นั่นเป็นเพราะแต่ละพื้นที่มีระดับความสูงของแผ่นดินที่ต่างกันทําให้ระดับน้ำมีความลึกต่างกัน ถ้าเปรียบเทียบให้ง่ายขึ้นก็เหมือนกับสระว่ายน้ำเมื่อมองที่ผิวน้ำจะพบว่า มีผิวน้ำมีความเรียบเสมอกันแต่ก้นบ่อของสระว่ายน้ำมีระดับที่ไม่เท่ากันทําให้สระว่ายน้ำมีทั้งส่วนลึกและส่วนตื้น ดังนั้น หากเลือกที่ดินสําหรับปลูกบ้าน ในพื้นที่ที่มีระดับสูงกว่าจะมีความเสี่ยงจาก น้ำน้อยกว่า สําหรับข้อมูลส่วนนี้สามารถแสดงให้เข้าใจง่ายด้วยภาพตัดขวางแสดงระดับถนนภายนอกโครงการเข้าสู่ถนนซอยภายในจนถึงระดับความสูงของที่ดินแต่ละแปลง และระดับพื้นชั้นล่างของบ้านแต่ละหลัง 5. เส้นทางน้ำไหล : เมื่อฝนตกลงบนผิวดิน น้ำส่วนหนึ่งจะซึมลงไปในดินและอีกส่วนหนึ่งจะเป็นอยู่บนผิวดิน ส่วนที่เป็นน้ำบนผิวดินจะไหลลงสู่ที่ต่ำและไหลลงไปสู่แม่น้ำลําคลอง ฉะนั้นการเลือกตําแหน่งในการปลูกสร้างบ้านเรือนต้องไม่ขวางทางที่น้ำไหลผ่าน เพราะแรงของน้ำนั้นมหาศาลมากขนาดทําให้ถนนขาดได้ และไม่ว่าจะปลูกบ้านด้วยโครงสร้างแบบใด หากปลูกอยู่บนเส้นทางที่น้ำไหลผ่านก็คงยากที่จะทานแรงมหาศาลของมวลน้ำไหว ดังนั้น ก่อนจะสร้างบ้านหรือซื้อที่ดินต้องลองสังเกตว่าเมื่อฝนตกลงมาแล้ว เส้นทางการไหลของน้ำฝนได้ผ่านแนวที่ดินของเราหรือไม่ หากน้ำไหลผ่านให้ควรหลีกเลี่ยง 6. มาตรการป้องกันน้ำท่วม : ข้อมูลนี้เป็นประเด็นสําคัญที่ลูกค้าควรสอบถาม เพื่อความมั่นใจในยุคหลังน้ำท่วมครั้งนี้ว่า แต่ละโครงการได้มีการเตรียมการหรือมีแผนรองรับเหตุน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต ในเรื่องของตัวบ้านและตัวโครงการไว้อย่างไรบ้าง อาทิ การจัดเตรียมพื้นที่หน่วงน้ำ การจัดทําเขื่อนหรือคันกั้นน้ำในโครงการ รูปแบบการระบายน้ำในโครงการไปจนถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อการอพยพหนีน้ำ ในกรณีวิกฤต ซึ่งแนวทางเหล่านี้จะมีระดับมากน้อยเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับความเสี่ยงกับระดับน้ำท่วมว่ามากเพียงใด จากประเด็นพิจารณาเหล่านี้ เป็นหน้าที่ของเราในฐานะผู้ซื้อบ้านหรือที่ดินใหม่ในอนาคต ควรศึกษาข้อมูลให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ เพราะประเด็นเหล่านี้จะบอกถึงความเสี่ยงในเรื่องของน้ำที่อาจจะต้องพบเจอในปีต่อๆ ไปได้ว่า บ้านเรือนของเรามีโอกาสน้ำท่วมหรือไม่ท่วม หรือท่วมมากแค่ไหน เพื่อรับมือได้อย่างถูกต้องรวมทั้งยังเป็นหน้าที่ของบริษัทบ้านจัดสรรและเจ้าของโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ที่จะต้องนําเสนอข้อมูลเหล่านี้ต่อลูกค้าเป็น ”A Must Information” ด้วยภาษาที่เข้าใจง่ายในลักษณะ Infographic ที่เราคุ้นๆ กันในช่วงน้ำท่วมที่ผ่านมา เพื่อแสดงความจริงใจต่อลูกค้าและอาจใช้เป็นแรงจูงใจทางการตลาด ได้อีกทางหนึ่งด้วย   ที่มา รัชด ชมภูนิช คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ม.เกษตรฯ /ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) home.co.th
เปรียบเทียบ “ราคาบ้าน” ยังไงดี

เปรียบเทียบ “ราคาบ้าน” ยังไงดี

เป็นธรรมดาของคนซื้อบ้านที่ต้องมีการเปรียบเทียบก่อนตัดสินใจ เนื่องจากบ้านเป็นสินค้าราคาแพง ฉะนั้นเมื่อตัดสินใจเลือกทำเลที่ต้องการได้แล้ว ส่วนใหญ่ต้องหาลิสต์โครงการที่สนใจอย่างน้อย 3-5 โครงการ สิ่งที่เปรียบเทียบก็มีหลายอย่าง แต่หนึ่งในนั้นน่าจะดูว่าโครงการไหนถูก โครงการไหนแพงกว่ากัน ถ้าจะเทียบราคาบ้านจัดสรรมีสิ่งที่ควรพิจารณาอยู่ 2-3 ข้อดังนี้ 1. ราคาที่ดิน จริงๆ แล้วถ้าที่ดินอยู่ติดกันหรืออยู่ในทำเลเดียวกันราคาบ้านจะไม่ต่างกันมาก แต่ทั้งนี้ก็มีความเป็นไปได้หลายกรณีที่ทำให้ทำเลเดียวกันแต่ราคาบ้านต่างกัน เช่น ระยะเวลาในการซื้อขาย เทคนิคการต่อรองของผู้ซื้อ ความพึงพอใจของผู้ขาย ข้อกำหนดในการใช้ประโยชน์ เช่น แปลงหนึ่งติดถนนใหญ่แต่อีกแปลงที่ติดกันมีทางเข้าอยู่ในซอย เป็นต้น แต่โดยหลักการแล้วที่ดินทำเลเดียวกันไม่ควรมีราคาต่างกันมาก 2. ราคาค่าก่อสร้าง หากจะเปรียบเทียบค่าก่อสร้างน่าจะต้องดู 2 ส่วนหลักคือ “พื้นที่ก่อสร้าง”กับ “พื้นที่ใช้สอย” หากต้องการเปรียบเทียบขนาดพื้นที่ก่อสร้างทำได้ไม่ยาก เพราะส่วนใหญ่มักบอกขนาดพื้นที่ใช้สอยของบ้านแต่ละหลังอยู่แล้ว (หน่วยเป็นตารางเมตร) แต่ที่ต้องดูลึกลงไปก็คือประโยชน์ใช้สอยในพื้นที่ก่อสร้างนั้นๆ เนื่องจากพื้นที่ก่อสร้างแต่ละส่วนมีต้นทุนไม่เท่ากัน เช่น โรงจอดรถจะถูกกว่าระเบียง ระเบียงถูกกว่าห้องโถงทั่วไป ห้องโถงทั่วไปถูกกว่าห้องนอน ห้องนอนก็จะถูกกว่าห้องน้ำ เป็นต้น ถ้าพื้นที่เท่ากันและมีราคาพอๆ กัน แล้ว หลังหนึ่งมีระเบียงกว้างแต่ห้องน้ำเล็กนิดเดียว หลังที่สองมีระเบียงเล็กแต่ห้องน้ำกว้างมาก อนุมานได้ว่าหลังแรกต้นทุนก่อสร้างน่าจะต่ำกว่า ถ้าขายเท่ากันแสดงกว่าหลังแรกแพงกว่า นอกจากนี้ยังสามารถดูได้จากเกรดวัสดุที่ใช้ ส่วนใหญ่มักดูจากวัสดุปูพื้น ยี่ห้อสุขภัณฑ์หรืออุปกรณ์ในห้องน้ำ ผนัง/วัสดุก่อผนัง รวมถึงพื้นบันได เป็นต้น 3. สาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก สองปัจจัยที่ว่าอาจไม่พอสำหรับการประเมินความถูกแพง ก็ต้องดูว่าสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกของโครงการไหนพร้อมกว่าและมีมากกว่ากัน เช่น สวนสาธารณะ ต้นไม้ทางเข้า ถนนภายในโครงการ ยามรักษาความปลอดภัย ฯลฯ มากไปกว่านั้นอาจมีเรื่องของแบรนด์เข้ามาเกี่ยวด้วย เช่น ถ้าโครงการแบรนด์ดังๆ ราคาย่อมสูงกว่าโครงการที่ไม่มีชื่อเสียง ซึ่งคงต้องยอมรับ แต่เรื่องนี้ถ้าจะเปรียบเทียบเป็นตัวเลขหรือเม็ดเงินคงจะยาก เพราะน่าจะเกี่ยวกับคุณค่าทางจิตใจเสียมากกว่า   ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.co.th
บ้านชั้นเดียวต่อเติมเป็นบ้านสองชั้นได้หรือไม่

บ้านชั้นเดียวต่อเติมเป็นบ้านสองชั้นได้หรือไม่

เรื่อง:  นิยดา หวังวิวัฒน์ศิลป์ SCG Architect Writer "บ้านชั้นเดียวเมื่ออยู่อาศัยไปสักพัก หากรู้สึกว่าพื้นที่ใช้สอยไม่พอ และคิดจะต่อเติมบ้านให้กลายเป็นบ้าน 2 ชั้น จะทำได้หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสภาพโครงสร้างบ้านของเดิมว่าจะสามารถรับน้ำหนักส่วนต่อเติมได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งจะต้องให้วิศวกรช่วยคำนวณ และควรคำนึงถึงความคุ้มค่าก่อนจะตัดสินใจลงมือต่อเติม" สำหรับครอบครัวขนาดเล็กเมื่อเริ่มคิดปลูกบ้าน บางครั้งอาจเลือกสร้างบ้านชั้นเดียวเพราะเห็นว่าควบคุมงบประมาณและเวลาได้ง่าย ประหยัดโครงสร้างวัสดุ ง่ายต่อการดูแลรักษาและทำความสะอาด ทั้งยังเหมาะกับผู้สูงอายุซึ่งไม่สะดวกขึ้นลงบันได แต่เมื่ออาศัยไปสักระยะหนึ่งอาจมีปัจจัยบางอย่างเปลี่ยนแปลงทำให้ต้องการพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น โดยปกติเรามักเลือกต่อเติมเพิ่มออกมาจากตัวบ้าน แต่ถ้าที่พื้นที่รอบบ้านไม่พอจะมีวิธีอย่างไร จะต่อเติมบ้านชั้นเดียวให้กลายเป็น 2 ชั้นได้หรือไม่ ? ตัวอย่างบ้านชั้นเดียว (ภาพบน) ที่ต่อเติมเป็นบ้าน 2 ชั้น (ภาพล่าง) (ขอขอบคุณภาพจาก www.banandresort.com) ต่อเติมบ้านชั้นเดียวเป็นบ้าน 2 ชั้นได้จริงหรือ ? ในจุดนี้จะต้องพิจารณาหลายปัจจัยประกอบกัน โดยเรื่องสำคัญที่สุด คือ “สภาพของโครงสร้างบ้านเดิม” ทั้งเสาเข็มฐานราก  เสา คาน ว่าสามารถรับน้ำหนักส่วนต่อเติมชั้น 2 ได้หรือไม่และอย่างไรจึงจะไม่ถล่มพังลงมา ซึ่งจำเป็นต้องพึ่งวิศวกรโครงสร้างผู้เชี่ยวชาญในการวิเคราะห์คำนวณเพื่อความปลอดภัย เมื่อเจ้าของบ้านทราบถึงความเป็นไปได้และพิจารณาความคุ้มค่าในการต่อเติม ก็อาจลองมองทางเลือกอื่นประกอบด้วย เช่น กรณีเป็นบ้านที่อยู่อาศัยมานานจนทรุดโทรมมากอยู่แล้ว ถ้าทุบทิ้งแล้วสร้างใหม่หรือหาซื้อบ้านใหม่ไปเลยจะคุ้มกับระยะเวลาและค่าใช้จ่ายมากกว่าหรือไม่ เป็นต้น บ้านชั้นเดียวมักถูกออกแบบโครงสร้างมาเพื่อรับน้ำหนักบ้านเพียง 1 ชั้นเท่านั้น หากต้องการต่อเติมเป็น 2 ชั้น ต้องให้วิศวกรตรวจสอบว่า โครงสร้างจะรับน้ำหนักที่เพิ่มไหวหรือไม่ ต่อเติมบ้านชั้นเดียวเป็นบ้าน 2 ชั้นได้อย่างไร ? หากวิศวกรคำนวณแล้วพบว่าโครงสร้างบ้านเดิมสามารถรับน้ำหนักส่วนต่อเติมชั้น 2 ได้แล้ว  ยังมีปัจจัยที่ส่งผลต่อแนวทางการต่อเติม นั่นคือจะต่อเติมได้เต็มทั้งชั้นหรือได้เพียงส่วนเดียวเฉพาะแค่บางช่วงเสา รวมถึงน้ำหนักต่อตารางเมตรของส่วนต่อเติมซึ่งมีผลต่อการเลือกใช้วัสดุ ตั้งแต่ส่วนโครงสร้าง เช่น เสาที่จะต้องต่อให้สูงขึ้นไปเพื่อรับหลังคาชั้น 2 นั้น จะใช้วิธีสกัดหัวเสาคอนกรีตเดิมแล้วหล่อเสาต่อได้เลย หรือจะต้องใช้เสาเหล็กซึ่งน้ำหนักเบากว่าแทน เป็นต้น  ในส่วนของพื้นผนังกรณีที่โครงสร้างเดิมรับน้ำหนักเพิ่มได้พอสมควรอาจใช้ผนังก่ออิฐฉาบปูน  พื้นหล่อคอนกรีต แผ่นพื้นคอนกรีตสำเร็จรูป แต่ถ้ารับน้ำหนักเพิ่มได้ไม่มากอาจต้องใช้วัสดุที่เบาขึ้น เช่น ผนังอิฐมวลเบา ระบบพื้น Metal Deck  ระบบพื้นและผนังเบาไฟเบอร์ซีเมนต์  ระบบผนังและฝ้าเพดานยิปซั่ม เป็นต้น ซึ่งจะต้องให้วิศวกรโครงสร้างเป็นผู้แนะนำทางเลือกที่เหมาะสม พื้นเบาจากโครงเหล็ก ปูด้วยแผ่นไฟเบอร์ซีเมนต์และวัสดุทับหน้า ผนังเบาจากวัสดุแผ่นปิดทับโครงคร่าว ระบบพื้น Metal Deck (ขอขอบคุณภาพจาก constructthai.com) กรณีโครงสร้างบ้านเดิมรับน้ำหนักได้ไม่มาก ส่วนหลังคาซึ่งจะต้องรื้อออกและประกอบใหม่อยู่แล้วอาจเป็นอีกจุดที่สามารถปรับให้มีน้ำหนักเบาขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นโครงหลังคาหรือวัสดุมุง (การเปลี่ยนวัสดุมุงอาจส่งผลถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างด้วย เช่น ระยะแป เป็นต้น) ซึ่งจำเป็นต้องได้รับคำแนะนำจากวิศวกรโครงสร้างผู้เชี่ยวชาญด้วยเช่นกัน โครงหลังคาสำเร็จรูป ผลิตจากเหล็กเคลือบป้องกันสนิม ซึ่งมีน้ำหนักเบากว่าเหล็กรูปพรรณ จะเห็นได้ว่าการต่อเติมบ้านชั้นเดียวให้กลายเป็นบ้าน 2 ชั้นนั้น  ต้องพิจารณาเรื่องความสามารถในการรับน้ำหนักของโครงสร้างเดิมเป็นหลัก (สำหรับใครที่จะสร้างบ้านชั้นเดียวอาจเลือกทำโครงสร้างรองรับการต่อเติมในอนาคตไว้ก็ได้)  นอกจากนี้ยังมีเรื่องของความคุ้มค่า โดยเฉพาะกรณีต่อเติมได้ไม่เต็มชั้นซึ่งต้องไม่ลืมว่าพื้นที่ส่วนหนึ่งของทั้ง 1 ชั้น 2 จะต้องถูกใช้เป็นบันไดด้วย ดังนั้นพื้นที่ที่ได้เพิ่มมาจะคุ้มค่าหรือไม่ต้องลองคิดคำนวณให้ดี ทั้งนี้หากเลือกที่จะต่อเติมแล้วก็ควรให้อยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมายเพื่อความถูกต้องและปลอดภัย  ไม่ว่าจะเป็นการยื่นขออนุญาตดัดแปลงบ้าน การคำนึงเรื่องที่ว่างและระยะร่นตามกฎหมายซึ่งสัมพันธ์กับตำแหน่งช่องเปิดและขนาดพื้นที่ใช้สอยของบ้าน เป็นต้น นับเป็นอีกเรื่องสำคัญที่ควรศึกษาให้ดีก่อนลงมือต่อเติม ขอขอบคุณภาพและข้อมูลจาก  www.scgbuildingmaterials.com
อยากกู้ปลูกบ้านในฝันบนที่ดินเปล่า ต้องทำอย่างไร

อยากกู้ปลูกบ้านในฝันบนที่ดินเปล่า ต้องทำอย่างไร

หลายคนมีที่ดินเปล่าเป็นของตัวเองอยู่แล้ว ไม่ว่าจะได้มาจากการรับมรดกหรือซื้อที่ดินเอาไว้ก่อน และเมื่ออยากปลูกสร้างบ้านบนที่ดินผืนนั้น ด้วยการกู้เงินกับธนาคาร อาจเกิดข้อสงสัยไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร หรือไม่แน่ใจว่าสามารถขอกู้กับธนาคารได้หรือไม่ ต้องบอกว่าการกู้เงินเพื่อนำไปปลูกสร้างบ้านบนที่ดินกรรมสิทธิ์ของตนเองสามารถทำได้ครับ แต่จะมีความแตกต่างกับการกู้ซื้อบ้านแบบปกติบางเรื่อง จะมีอะไรบ้างนั้นเรามีคำแนะนำสำหรับผู้ที่กำลังวางแผนปลูกสร้างบ้านมาฝากครับ เอกสารการปลูกสร้างบ้านที่ต้องใช้ สำหรับการยื่นกู้ปลูกสร้างบ้านกับธนาคาร นอกจากจะต้องเตรียมเอกสารแสดงตนและเอกสารทางการเงินแล้ว เรายังต้องเตรียมเอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปลูกสร้างอีกด้วยครับ ไม่ว่าจะเป็น แบบแปลนบ้าน สัญญาจ้างเหมาก่อสร้าง และใบอนุญาตก่อสร้าง ซึ่งแน่นอนครับว่า ก่อนที่จะลงมือปลูกสร้างบ้านได้นั้น เราต้องได้รับอนุญาตจากหน่วยงานราชการในพื้นที่ที่เกี่ยวข้องเสียก่อน เช่น หากบ้านอยู่ในเขตกรุงเทพมหานคร ก็สามารถยื่นขอใบอนุญาตก่อสร้างได้ที่ฝ่ายโยธา สำนักงานเขตในพื้นที่บ้านของเรา หรือหากบ้านอยู่ในเขตภูมิภาค สามารถยื่นขอได้ที่กองช่าง องค์การบริหารส่วนตำบล โดยการขอใบอนุญาตก่อสร้างจะต้องมีแบบแปลนบ้านให้ตรวจสอบ ซึ่งแบบแปลนเราสามารถใช้แบบมาตรฐานของหน่วยงานราชการในพื้นที่ที่มีอยู่ หรือหากใครมีแบบบ้านในใจก็สามารถจ้างสถาปนิกเขียนแบบแปลนให้ ทั้งนี้สถาปนิกหรือบริษัทรับสร้างบ้านมักจะอำนวยความสะดวกในเรื่องการขอใบอนุญาตก่อสร้างให้เราด้วยครับ ส่วนการก่อสร้างบ้านเมื่อเราติดต่อกับผู้รับเหมาได้แล้ว สิ่งสำคัญคือต้องทำสัญญารับเหมาก่อสร้างที่ระบุเงื่อนไขการเบิกเงินของผู้รับเหมาตามความคืบหน้าของการก่อสร้างด้วยครับ วงเงินกู้ที่ธนาคารจะอนุมัติ หลายคนอาจสงสัยว่า ธนาคารจะอนุมัติวงเงินกู้ให้ได้เท่าไร ในเมื่อบ้านยังสร้างไม่เสร็จ ธนาคารรู้มูลค่าบ้านได้อย่างไร ต้องบอกว่า การให้วงเงินกู้สำหรับปลูกสร้างบ้าน ธนาคารจะประเมินมูลค่าบ้านจากแบบแปลนบ้าน หรือที่เรียกว่าแบบพิมพ์เขียว ซึ่งในแบบแปลนบ้านนอกจากจะระบุรูปแบบบ้านแล้ว ยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ในการก่อสร้างบ้านอีกด้วย นอกจากนี้ธนาคารต้องทำการประเมินมูลค่าที่ดินไปพร้อมๆ กัน ซึ่งปกติแล้วธนาคารมักให้วงเงินกู้ปลูกสร้างบ้านไม่เกิน 100% ของค่าปลูกสร้าง โดยวงเงินต้องไม่เกิน 80% ของราคาประเมินที่ดินพร้อมบ้านครับ และเมื่อเราได้รับอนุมัติวงเงินกู้ปลูกสร้างบ้านแล้วต้องไม่ลืมว่า หลักประกันที่จำนองกับธนาคารไม่ใช่แค่ตัวบ้านเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการจำนองที่ดินพร้อมบ้านที่เรากำลังจะก่อสร้างนั่นเองครับ วิธีรับเงินกู้ปลูกสร้างบ้าน หลังจากที่เราได้รับอนุมัติวงเงินกู้ปลูกสร้างบ้านแล้ว การรับเงินจะไม่ได้เป็นก้อนทีเดียวเหมือนกับการกู้ซื้อบ้านครับ แต่ธนาคารจะทยอยให้ตามสัญญาเงินกู้ ซึ่งรับเป็นงวดๆ ตามความคืบหน้าของการปลูกสร้างที่ระบุไว้ในสัญญาเงินกู้ เช่น งวดที่ 1 เบิก 500,000 บาท เมื่อวางผังและปรับพื้นตอกเสาเข็มเรียบร้อย จากนั้นสามารถเบิกงวดที่ 2 เป็นเงิน 300,000 บาท เมื่อตั้งเสาและเทพื้น เสร็จเรียบร้อย โดยในการเบิกเงินแต่ละงวด ธนาคารจะทำการประเมินความคืบหน้าของการก่อสร้างจริงว่า เป็นไปตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในสัญญาเงินกู้หรือไม่ครับ นอกจากเอกสารต่างๆ เกี่ยวกับการปลูกสร้างบ้านที่ต้องเตรียมยื่นกู้กับธนาคารแล้ว อย่าลืมคำนึงถึงความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ของเราด้วยนะครับ หากเลือกแบบบ้านที่มีค่าใช้จ่ายการก่อสร้างสูงเกินความสามารถในการชำระหนี้อาจทำให้กู้ไม่ผ่านได้ครับ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก K-Expert
12 เคล็ดลับดูแลสวนในบ้านให้สวยชุ่มชื่นอยู่เสมอ

12 เคล็ดลับดูแลสวนในบ้านให้สวยชุ่มชื่นอยู่เสมอ

คนที่มีพื้นที่ในบ้านเพียงพอที่จะทำสวนสวย ๆ ไว้ชื่นชม อาจจะเป็นที่น่าอิจฉาของบ้านที่มีพื้นที่น้อย แต่การดูแลสวนให้สวยและสะอาดตาก็ไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด เพราะมีปัจจัยแวดล้อมอย่างสภาพอากาศ สัตว์ รวมทั้งเหล่าวัชพืชมาคอยป่วนสวนอยู่ตลอด ทำให้หลายคนเริ่มเหนื่อยและท้อกับการดูแลสวนไม่น้อย จนคิดอยากจะจ้างบริษัทรับดูแลสวนให้รู้แล้วรู้รอดกันไป แต่อย่าเพิ่งใจร้อนขนาดนั้นเลยครับ เพราะจริง ๆ แล้วเราก็สามารถดูแลสวนด้วยตัวเองได้ ตามเคล็ดลับดูแลสวนเหล่านี้ รับรองว่าไม่ยากเกินความสามารถด้วยนะครับ 1. เตรียมพร้อมอุปกรณ์ทำสวน อุปกรณ์ทำสวนมีหลายชนิด ซึ่งแบ่งหน้าที่ตามการใช้งาน ฉะนั้นสำหรับคนมีสวนอยู่ในบ้าน ก็ควรต้องเตรียมอุปกรณ์ทำสวนอย่าง คราด พลั่ว หัวฉีดน้ำสำหรับรดน้ำต้นไม้ ฝักบัว และกรรไกรตัดกิ่งไว้ให้พร้อม หากต้องการจะทำสวนขึ้นมาวันใด จะได้เลือกใช้อุปกรณ์ได้ถูกหลักการใช้งาน 2. รดน้ำต้นไม้ให้ถูกเวลา เวลาที่เหมาะสมที่สุดสำหรับการรดน้ำต้นไม้ควรจะเป็นช่วงเช้าตรู่ เนื่องจากในตอนกลางวันแสงแดดจะค่อนข้างแรง และอาจจะทำให้ต้นไม้คายน้ำมากขึ้นได้ ดังนั้นเราจึงต้องรดน้ำป้องกันต้นไม้ขาดน้ำไว้ก่อน ต้นไม้จะได้มีน้ำเพียงพอสำหรับกระบวนการเจริญเติบโต 3. ใส่ปุ๋ยให้ถูกสูตร ก่อนจะเลือกต้นไม้มาปลูกในสวน เราควรต้องศึกษาข้อมูลของต้นไม้แต่ละชนิดก่อนว่า ต้องการน้ำ แสงแดด หรือปุ๋ยในปริมาณเท่าไร เพื่อให้เราดูแลเขาให้เติบโตมาอย่างสมบูรณ์ที่สุด โดยเฉพาะกับเรื่องปุ๋ย ที่น่าจะต้องรู้สูตรปุ๋ยที่เหมาะสมกับต้นไม้แต่ละชนิดให้ดี จะได้ใส่ปุ๋ยบำรุงต้นไม้ได้ถูกต้อง 4. คลุมหน้าดิน การคลุมหน้าดินสามารถป้องกันได้ทั้งวัชพืช ลดการกัดเซาะของหน้าดิน รวมทั้งช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้ดินได้อีกด้วย ข้อดีเป็นขบวนแบบนี้ เราก็คงต้องหาพืชมาคลุมหน้าดินบริเวณโคนต้นไม้กันแล้วล่ะเนอะ 5. ปลูกพืชล้มลุก พืชล้มลุกมีระยะเวลาการเจริญเติบโตเป็นของตัวเอง ซึ่งแต่ละชนิดก็จะแตกต่างเวลากันไป แต่ความแตกต่างตรงนี้ล่ะที่เป็นประโยชน์ดี ๆ กับสวนของเรา เพราะหากเราปลูกพืชล้มลุกถูกเวลา สวนก็จะดูเขียวชอุ่ม ชุ่มชื่นอยู่ตลอด แถมพอพืชล้มลุกหมดอายุแล้วจริง ๆ ซากพืชเหล่านี้ยังสามารถนำไปทำเป็นปุ๋ยได้ด้วยนะ 6. ปราบวัชพืช อย่างที่รู้กันดีว่า ศัตรูตัวฉกาจของสวนและสนามหญ้าก็คือวัชพืชตัวดีนั่นเอง และหากว่าในสวนของคุณมีวัชพืชอยู่ล่ะก็ ต้องรีบจัดการโดยด่วนเลยนะจ๊ะ จะถางออก หรือทำลายด้วยสูตรธรรมชาติก็ได้ ขอแค่ไม่ต้องให้วัชพืชมาอยู่กวนใจต้นไม้ต้นโปรดก็พอ 7. ปลูกไม้พุ่ม ไม้พุ่มมีส่วนช่วยให้สวนดูเขียวชอุ่มมีชีวิตชีวาไม่น้อยเลยทีเดียว ดังนั้นหากคุณต้องการให้มีบรรยากาศของความสดชื่นจากธรรมชาติ ก็ควรปลูกไม้พุ่มไว้รอบ ๆ สวน แบบนี้ไม่ว่าจะฤดูไหน สวนของคุณก็จะดูสวยงามอยู่เสมอเลยจ้า 8. เริ่มปลูกพืชต้นใหม่ หลังจากที่ไม้ล้มลุกหมดอายุและล้มลงไปแล้ว ให้เริ่มลงต้นไม้ชนิดใหม่ได้เลย เพราะช่วงเวลานั้นคือโอกาสที่วัชพืชจะเจริญเติบโต ดังนั้นเราก็ควรชิงปลูกไม้ล้มลุกชนิดใหม่ลงไปก่อน จะได้เป็นการป้องกันไม่ให้วัชพืชมาป่วนสวนเราได้ครับ 9. อย่ารดน้ำเกินขนาด ต้นไม้ต้องการน้ำเพื่อการเจริญเติบโต แต่ทั้งนี้ก็ต้องอยู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะหากต้นไม้ได้รับน้ำเกินขนาดก็มีสิทธิ์รากเน่า ใบเหลือง เสียสุขภาพได้เช่นกันจ้า 10. หมั่นเติมปุ๋ยคอก ปุ๋ยคอกเป็นปุ๋ยที่ได้จากมูลสัตว์ และซากพืช ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นของจากธรรมชาติทั้งสิ้น และด้วยเหตุนี้จึงสามารถช่วยบำรุงแร่ธาตุในดินได้ แถมยังคอยเติมสารอาหารที่ดินขาดไปได้ด้วย ฉะนั้นเราก็ควรหมั่นใส่ปุ๋ยคอกบำรุงดิน และต้นพืชเสมออย่าให้ขาด 11. ตัดเล็มต้นไม้เท่าที่จำเป็น ต้นไม้บางชนิด เช่น ไม้พุ่ม ไม่จำเป็นต้องตัดเล็มบ่อยนักก็ได้ เพราะจะได้รักษาน้ำให้ต้นไม้ได้เยอะ ๆ แต่หากต้นไม้เสียรูปทรง ก็ทำแค่เพียงตัดแต่งกิ่งเท่าที่จำเป็นก็พอ เพราะการเล็มต้นไม้บ่อยเกินไป ก็อาจจะทำให้เสียเวลาและเปลืองแรงโดยไม่จำเป็น อีกทั้งยังเป็นการทำลายต้นไม้ทางอ้อมด้วย 12. วิเคราะห์สภาพดิน เพราะดินเป็นพื้นฐานสำคัญในการปลูกต้นไม้ ดังนั้นเราก็ควรรู้จักสภาพดินในสวนของเราให้ได้ดีที่สุด เพราะหากดินมีปัญหา หรือขาดแคลนสารอาหารตัวไหน เราจะได้แก้ปัญหาดินได้อย่างตรงจุด ไม่ว่าคุณจะมีทักษะในการปลูกต้นไม้หรือทำสวนหรือเปล่าก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ขอแค่เพียงมีใจรักในการปลูกต้นไม้ และมีความต้องการอยากให้บ้านมีสวนสวย ๆ ก็แค่พกเคล็ดลับดูแลสวนเหล่านี้เอาไว้ แล้วนำไปใช้ดูแลสวนของเราก็พอนะครับ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.kapook.com  
“มือใหม่” ซื้อบ้าน มักผิดพลาดในเรื่องใด

“มือใหม่” ซื้อบ้าน มักผิดพลาดในเรื่องใด

จะซื้อบ้านทั้งทีก็ต้องดูให้ดี ตัดสินใจให้แน่ เพราะมีหลายต่อหลายครั้งที่เรามักตัดสินใจซื้อบ้านแบบไม่ทันได้คิดให้รอบคอบ วันนี้เราจึงมีข้อผิดพลาดสำหรับมือใหม่ที่จะซื้อบ้านมาฝากไว้เป็นข้อเตือนใจกันครับ 1. ซื้อเกินงบ ส่วนใหญ่จะมองว่าเพิ่มเงินอีกนิดหน่อยก็จะได้หลัง/ห้องชุดที่ต้องการ  แต่ทางที่ถูกคือ มีงบเท่าไหร่ ควรซื้อเท่านั้น 2. ตัดสินใจเร็วไป  เช่น เปลี่ยนที่ทำงานใหม่ก็ตัดสินใจซื้อบ้านใหม่ทันที ทั้งๆที่อาจอยู่ได้ไม่นานก็ต้องย้ายงานอีก หรือบางทีแค่ทำงานไม่ครบปีก็จะซื้อบ้านซื้อคอนโดฯแล้ว ทางที่ดี ถ้าต้องอยู่อาศัยเป็นพักๆ ไม่แน่นอนก็อาจใช้วิธีลองเช่าดูก่อนแล้วค่อยซื้อ  หรือถ้าการงานยังไม่มั่นคง ทำงานเก็บเงินไปก่อนรอให้พร้อมแล้วค่อยซื้อ 3. จ่ายดาวน์น้อยเกินไป หลายคนชอบความสบาย ใช้เงินคนอื่นซื้อ(กู้ธนาคาร)มากกว่าเก็บเงินซื้อเอง จึงมักเลือกที่จะดาวน์น้อยและกู้มากๆ ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้กู้ไม่ผ่านหรือได้วงเงินกู้น้อยกว่าที่ต้องการ ทางที่ดีควรวางเงินดาวน์สัก 20% ของราคา 4. ไม่ได้สำรองค่าใช้จ่าย ซื้อบ้านไม่ได้จ่ายแค่เงินตามมูลค่าบ้าน แต่จะมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ มากมาย เช่น ค่าส่วนกลางล่วงหน้า,ค่าประกัน,ค่าโอน รวมถึงค่าตกแต่ง และของใช้ 5. มองข้ามรายละเอียดในสัญญา บ่อยครั้งที่เกิดปัญหาแล้วถึงค่อยกลับไปดู(อ่าน)สัญญา แต่ถึงตอนนั้นก็สายเกินไปเสียแล้ว  ฉะนั้น ก่อนเซ็นสัญญาทุกครั้งต้องอ่านอย่างละเอียด ถ้าเห็นว่าไม่ถูกต้องหรือถูกเอาเปรียบก็ต้องให้แก้ไขหรือเลี่ยงไปซื้อโครงการอื่น 6. ชอบอัพเกรดตัวเองด้วยสิ่งของใหม่ๆ คนจำนวนไม่น้อยนิยมอัพเกรดตัวเองด้วยการซื้อของใหม่ๆ หรือคิดว่าซื้อของใหม่ใช้ของใหม่แล้วชีวิตจะดูดีขึ้น เมื่อซื้อบ้านใหม่แล้ว ก็อยากได้รถคันใหม่ หรือเฟอร์นิเจอร์ใหม่ๆ ซึ่งจริงๆแล้วถ้าของเดิมดีอยู่แล้วก็ไม่จำเป็น เพราะรายได้ไม่มาก ไม่ควรแบกภาระหนี้มากเกินไป   ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.co.th
ข้อควรรู้ เมื่ออยากขายดาวน์บ้าน

ข้อควรรู้ เมื่ออยากขายดาวน์บ้าน

การขายดาวน์บ้านหรือคอนโดมักเกิดขึ้นด้วยหลายๆ สาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเพราะ ผ่อนดาวน์ต่อไม่ไหว เปลี่ยนใจอยากได้บ้านหลังอื่น หรือยื่นกู้ซื้อบ้านกับธนาคารแล้วกู้ไม่ผ่าน แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม หลายคนที่ตัดสินใจขายดาวน์ก็มักมีข้อสงสัยต่างๆ เกิดขึ้น ซึ่งเราได้ไปหาคำตอบสำหรับข้อสงสัยต่างๆ เหล่านี้มาให้แล้วครับ กู้ไม่ผ่านเงินดาวน์จะได้คืนมาครบไหม ในกรณีที่ผ่อนดาวน์จนครบกำหนด พอทำเรื่องยื่นกู้ซื้อกับธนาคารไปแล้ว ปรากฏว่าผลการยื่นกู้ไม่ผ่าน กรณีนี้เราอาจจะได้เงินดาวน์คืนทั้งหมด หรือโดนหักเงินบางส่วน  ก็ขึ้นอยู่กับข้อตกลงของโครงการตั้งแต่ตอนแรกๆ ที่ทำสัญญากันครับ และเมื่อกู้ไม่ผ่านแต่อยากจะขายดาวน์ เราอาจจะได้เงินเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ได้ครับ ซึ่งหากโครงการอยู่ในทำเลดี และเป็นที่ต้องการของตลาด ทำให้มีผู้สนใจซื้อเป็นจำนวนมาก ในกรณีนี้นอกจากจะได้เงินดาวน์ครบแล้วเรายังสามารถบวกกำไรเข้าไปกับราคาขายดาวน์ทำให้ได้เงินเพิ่มขึ้นครับ แต่หากโครงการอยู่ในทำเลที่ไม่ดี หรือโครงการไม่เป็นที่ต้องการของผู้ซื้อก็อาจส่งผลให้เราต้องขายดาวน์ในราคาขาดทุนได้ครับ ทำเรื่องโอนสิทธิ์หรือเปลี่ยนสัญญากันที่ไหน เมื่อมีผู้สนใจต้องการซื้อดาวน์ต่อจากเรา ก็ควรพาผู้ซื้อไปดูสภาพและสถานที่จริงหากผู้ซื้อพึงพอใจและตัดสินใจที่จะซื้อดาวน์ สิ่งที่ผู้ขายต้องดำเนินการก็คือ การทำเรื่องโอนสิทธิหรือเปลี่ยนสัญญาครับ โดยผู้ขายจะต้องนัดผู้ซื้อไปทำเรื่องโอนสิทธิหรือเปลี่ยนสัญญากันที่โครงการ เพื่อให้โครงการรับรู้ และผู้ซื้อเองก็จะได้รับทราบรายละเอียดการผ่อนดาวน์ต่อหรือต้องจ่ายเงินให้กับโครงการและผู้ขายดาวน์เท่าไร โดยโครงการจะออกเอกสารการโอนสิทธิให้กับผู้ซื้อคนใหม่ ที่ระบุรายละเอียดการจ่ายเงินที่ผู้ขายได้จ่ายให้กับโครงการไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็น เงินจอง เงินผ่อนดาวน์ และเงินส่วนที่เหลือที่ผู้ซื้อคนใหม่จะต้องจ่ายให้กับโครงการต่อไป นอกจากนี้หากผู้ขายหรือผู้ซื้อเดิมได้มีการทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายกับโครงการไว้แล้ว ก็จะต้องส่งมอบให้กับผู้ซื้อคนใหม่ด้วยครับ เพื่อให้ผู้ซื้อคนใหม่ตรวจสอบรายละเอียดการจ่ายเงินของผู้ซื้อเดิม รวมทั้งเงื่อนไขต่างๆ ที่ได้ทำไว้กับโครงการ ซึ่งช่วยเป็นการลดข้อโต้แย้งกันภายหลังจากการโอนสิทธิไปแล้ว ค่าธรรมเนียมโอนสิทธิหรือเปลี่ยนสัญญาต้องเสียหรือไม่ การโอนสิทธิจากผู้ซื้อเดิมเปลี่ยนเป็นผู้ซื้อคนใหม่ ปกติแล้วโครงการจะเก็บค่าธรรมเนียมในกรณีที่ผู้ซื้อยังถือเอกสารเป็นสัญญาจองสิทธิ โดยยังไม่ได้มีการทำสัญญาจะซื้อจะขาย ซึ่งในใบจองจะระบุว่าหากผู้ซื้อมีการโอนสิทธิจะต้องเสียค่าธรรมเนียมเท่าไร สำหรับค่าใช้จ่ายส่วนนี้ต้องบอกว่า แต่ละโครงการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมไม่เท่ากันครับ แต่หากผู้ซื้อเดิมได้มีการทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายกับโครงการแล้ว ต่อมาต้องการขายดาวน์ในกรณีนี้ปกติแล้วจะไม่เสียค่าธรรมเนียมในการโอนสิทธิ เนื่องจากในสัญญาจะซื้อจะขายได้มีการระบุไว้ครับ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก K-Expert
ข้อควรรู้ เมื่อถูกขอให้เป็นผู้กู้ร่วม

ข้อควรรู้ เมื่อถูกขอให้เป็นผู้กู้ร่วม

การกู้ร่วมอาจเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุ แต่สาเหตุหนึ่งที่มักพบเจอบ่อยๆ ก็คือ รายได้ของผู้กู้หลักเมื่อหักภาระหนี้ผ่อนแล้ว เหลือไม่พอที่จะผ่อนบ้านหลังใหม่ หรือความสามารถในการชำระหนี้ไม่เพียงพอตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร จึงต้องหาคนมากู้ร่วม เพื่อให้มีความสามารถในการชำระหนี้เพิ่มขึ้นนั่นเอง และไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม หากเรากำลังถูกขอให้ไปเป็นผู้กู้ร่วม เช่น กู้ร่วมกับพี่ชาย กู้ร่วมกับน้องสาว ก็ควรรู้ว่าการกู้ร่วมจะมีผลกระทบอะไรกับเราบ้าง เราจึงได้รวบรวมข้อควรรู้ ก่อนที่จะตัดสินใจไปกู้ร่วมมาฝากครับ ภาระหนี้ผ่อนในเครดิตบูโรหารเฉลี่ย เมื่อเราตกลงที่จะกู้ร่วมต้องไม่ลืมว่า ภาระหนี้บ้านหลังนี้จะกลายเป็นภาระหนี้ของเราด้วย ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงการกู้ร่วมครั้งนี้ เราจะไม่ได้ไปช่วยผู้กู้หลักผ่อนชำระก็ตาม โดยภาระหนี้จะแสดงในเครดิตบูโรทั้งของผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วม ซึ่งการรับภาระผ่อนจะหารเฉลี่ยกับจำนวนผู้กู้ เช่น ผ่อนบ้านเดือนละ 14,000 บาท กู้ร่วม 2 คน เท่ากับว่าผู้กู้แต่ละคนจะรับภาระผ่อนคนละ 7,000 บาท หากในอนาคตผู้กู้ร่วมต้องการขอสินเชื่อครั้งใหม่ เช่น กู้ซื้อบ้าน กู้ซื้อรถ ภาระผ่อนจากการกู้ร่วม จะถูกนำไปพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ด้วย หรือก็คือทำให้ความสามารถในการผ่อนสินเชื่อครั้งใหม่จะลดลงไป 7,000 บาทนั่นเอง มีประวัติผ่อนชำระเช่นเดียวกับผู้กู้หลัก แน่นอนว่าเมื่อเรากู้ร่วมไปแล้ว ความรับผิดชอบในภาระหนี้จะเหมือนกับผู้กู้หลัก หากผู้กู้หลักสามารถผ่อนชำระหนี้ได้เป็นปกติ หรือมีประวัติผ่อนชำระที่ดี ผู้กู้ร่วมก็จะมีประวัติผ่อนชำระที่ดีไปด้วย แต่ในทางกลับกันหากผู้กู้หลักไม่สามารถผ่อนชำระหนี้ได้อย่างปกติ ผ่อนตรงกำหนดบ้าง ไม่ตรงกำหนดบ้าง ประวัติการผ่อนต่างๆ เหล่านี้ก็จะแสดงในเครดิตบูโรของผู้กู้ร่วมด้วย และหากผู้กู้หลักไม่สามารถชำระหนี้ได้เลย จนมีหนี้ค้างชำระ ผู้กู้ร่วมก็จะต้องรับประวัติเสียนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งก็จะส่งผลต่อการขอสินเชื่อของผู้กู้ร่วม ทำให้ไม่สามารถขอสินเชื่อครั้งใหม่ได้เนื่องจากมียอดหนี้ที่ยังค้างชำระอยู่ กรรมสิทธิ์ในหลักประกันมีสิทธิ์ร่วม ผู้กู้ร่วมบางคนอาจคิดว่าตนเองไม่สามารถเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในหลักประกันได้ ต้องบอกว่า ในการกู้ร่วมเจ้าของกรรมสิทธิ์หลักประกันสามารถมีได้หลายแบบ ไม่ว่าจะเป็นของผู้กู้หลักคนเดียว หรือจะเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมกันก็ได้ ซึ่งขึ้นอยู่กับข้อตกลงระหว่างผู้กู้หลักกับผู้กู้ร่วม อย่างไรก็ตามหากเป็นกรรมสิทธิ์ร่วมแล้ว ในอนาคตต้องการเปลี่ยนแปลงกรรมสิทธิ์ของบ้านที่เป็นหลักประกัน เช่น ขายบ้าน ก็จะต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ทุกคนเสียก่อน จึงทำให้บางครั้งผู้กู้หลักเลือกที่จะเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในหลักประกันเพียงคนเดียวมากกว่าเป็นกรรมสิทธิ์ร่วม ดอกเบี้ยบ้านมีสิทธิใช้ลดหย่อนภาษี ดอกเบี้ยบ้านจากการกู้ร่วมสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ ด้วยการหารเฉลี่ยตามจำนวนผู้กู้ร่วม โดยสามารถลดหย่อนได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท เช่น กู้ร่วม 2 คน ดอกเบี้ยบ้านทั้งปีอยู่ที่ 90,000 บาท จะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้คนละ 45,000 บาท แต่หากดอกเบี้ยบ้านจ่ายจริงเกิน 100,000 บาท เช่น ดอกเบี้ยบ้านกู้ร่วมทั้งปีอยู่ที่ 110,000 บาท ดอกเบี้ยบ้านที่สามารถนำมาใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้จะอยู่ที่ 100,000 บาท หากกู้ร่วม 2 คน ก็สามารถใช้สิทธิลดหย่อนดอกเบี้ยบ้านได้คนละ 50,000 บาท   ขอขอบคุณข้อมูลจาก K-Expert
ซื้อบ้านจัดสรรกับสร้างบ้านเอง แบบไหนดีกว่ากัน

ซื้อบ้านจัดสรรกับสร้างบ้านเอง แบบไหนดีกว่ากัน

  โปรโมชั่นบ้านดีๆ เดี๋ยวนี้ก็มีให้เลือกมากมาย เลยอาจทำให้หลายคนลังเลว่าจะเอาเงินที่เก็บหอมรอมริบมาทั้งชีวิต ไปซื้อบ้านจัดสรรที่มีทุกอย่างพร้อมหรือสร้างบ้านตามที่ตัวเองอยากได้ดี หากยังเลือกไม่ได้ก็อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจ ลองดูข้อดี-ข้อเสียระหว่างการซื้อบ้านจัดสรรกับการสร้างบ้านด้วยตัวเองก่อน เผื่อยังมีบางเรื่องที่คุณอาจคิดไม่ถึง จะได้ทบทวนรายละเอียดต่าง ๆ ให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ ข้อดีข้อเสียของซื้อบ้านจัดสรร VS สร้างบ้านเอง (Terrabkk) เพราะใคร ๆ ก็อยากได้บ้านที่สวยที่สุด ถูกใจที่สุด และคุ้มค่าที่สุด และแต่ละคนก็มีนิยามคำว่า “บ้านที่ดี” ไม่เหมือนกัน บ้างก็ชอบบ้านที่มีพื้นที่เยอะ ๆ บ้างก็ชอบบ้านที่มีสวนกว้าง หรือบ้างก็ชอบบ้านที่มีห้องเยอะ ๆ ไว้เก็บของ หลายคนที่กำลังซื้อบ้านคงมีคำถามเกิดขึ้นในใจว่าจะซื้อบ้านโครงการจัดสรรหรือซื้อที่ดินมาสร้างบ้านเองดี ? ถ้าทั้ง 2 แบบนี้ใช้ต้นทุนในราคาที่พอ ๆ กันและทั้ง 2 แบบก็มีข้อดีข้อเสียที่ต่างกันออกไป ก็ขอแยกข้อดี-ข้อเสียของบ้านที่ซื้อใหม่และบ้านสร้างเองไว้ดังนี้ 1. สร้างบ้านเอง ข้อดีของการสร้างบ้านเอง ควบคุมการออกแบบได้  เป็นข้อดีที่เด่นที่สุดของการสร้างบ้านเอง เพราะคุณได้ออกแบบบ้านตามใจชอบ อยากให้บ้านเป็นยังไงแบบไหนก็สั่งได้เลย เพียงแต่คุณต้องมีผู้เชี่ยวชาญเป็นที่ปรึกษาด้วยเช่นกัน ไม่อย่างนั้นแล้วหากสร้างออกมาผิดรูปผิดแบบจะเสียเวลาแก้กันนาน เลือกทำเลได้ตามใจชอบ  หากคิดว่าอยากจะอยู่ใกล้ห้างหรือใกล้สวนสาธารณะ คุณก็แค่ไปหาที่ดินเปล่าประกาศขายในบริเวณนั้นดู และยังสามารถเลือกสภาพแวดล้อมได้ตามที่ต้องการว่าอยากอยู่ใกล้อะไรหรืออยู่ใกล้ใคร เลือกสเปควัสดุได้เอง จะเป็นวัสดุเกรดไหน ลักษณะแบบใดทั้งหมดนี้คุณสามารถเลือกได้ด้วยตัวเอง บางคนอาจจะไปหาวัสดุนำเข้าลวดลายสีสันแปลกตามาตกแต่ง ก็ทำให้ไม่เหมือนใครเช่นกัน ข้อเสียของการสร้างบ้านเอง ขั้นตอนยุ่งยาก  เพราะต้องคอยควบคุมงานก่อสร้างอยู่เป็นระยะ ๆ เพื่อให้มั่นใจว่ารูปแบบเป็นไปตามที่วางไว้จริง ๆ คุณจึงต้องมีเวลามาคอยดูงานอยู่เรื่อย ๆ อีกทั้งการสร้างบ้านเองควรจะมีความรู้หรือมีผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล เพื่อให้การก่อสร้างเป็นไปตามมาตรฐาน สภาพแวดล้อมไม่ได้มาพร้อมเหมือนโครงการ  แม้ว่าคุณจะสร้างบ้านเองแต่ไม่ได้หมายความว่า คุณจะสร้างส่วนกลางที่พร้อมทั้งฟิตเนสและสระว่ายน้ำขึ้นมาด้วย เพราะการสร้างบ้านเองจะไม่มีส่วนกลางที่พร้อมทั้งสระว่ายน้ำ ฟิตเนส หรือห้องซาวน่า รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยอย่าง รปภ. และกล้องวงจรปิดด้วย ควบคุมต้นทุนได้ยาก  อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่ว่าการสร้างบ้านหรือแค่ซ่อมแซมบ้านเป็นปัญหาขนาดไหน โดยเฉพาะเรื่องควบคุมต้นทุนไม่ให้งบบานปลายยิ่งทำได้ยากมาก บางครั้งเกิดจากการประมาณการผิด หรือซื้อของจนไม่ได้คุมต้นทุนตัวเอง ทำให้เหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นเรื่อย ๆ 2. ซื้อบ้านจัดสรร ข้อดีของการซื้อบ้านจัดสรร สภาพแวดล้อมดีพร้อม  จุดเด่นของการซื้อบ้านจากโครงการจัดสรรคือ การมีส่วนกลางและสาธารณูปโภคที่พร้อม ทั้งสระว่ายน้ำ ฟิตเนส บางโครงการจัดสรรมาให้เหมือนอยู่ในรีสอร์ทตากอากาศ แต่ทั้งนี้การอยู่โครงการจัดสรรก็ต้องมีการจ่ายค่าบำรุงส่วนกลางด้วยเช่นกัน เพื่อนบ้านที่อยู่ในระดับเดียวกัน เพราะโครงการจัดสรรมักจะคัดกรองผู้อยู่อาศัยด้วยระดับราคาอยู่แล้ว เช่น โครงการ 10-15 ล้านบาท ส่วนใหญ่ก็จะเป็นผู้ที่มีรายได้ปานกลาง-สูง จึงทำให้ผู้ซื้อมั่นใจได้ว่าจะได้มีสังคมและเพื่อนบ้านที่ดี ขอสินเชื่อได้ง่ายกว่า  เพราะโครงการมักจะมีการจัดโปรโมชั่นร่วมกันกับธนาคาร เพื่อให้ผู้ซื้อได้ดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราที่ต่ำลงหรือบางครั้งได้วงเงินกู้ที่สูงขึ้น ข้อเสียของการซื้อบ้านจัดสรร ปรับเปลี่ยนแบบไม่ได้  การซื้อบ้านจากโครงการมักจะเป็นบ้านที่มีการออกแบบเอาไว้แล้วทั้งรูปแบบและวัสดุ ผู้ซื้อไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ นอกจากจะไปตกแต่งเพิ่มในภายหลังเอาเอง แต่ก็จะมีบางโครงการที่สามารถปรับเปลี่ยนวัสดุได้บ้างเล็กน้อยในระหว่างการก่อสร้าง แต่ทั้งนี้ก็อาจจะทำให้การก่อสร้างเกิดความล่าช้าออกไป ปัญหาจากผู้ประกอบการ  เป็นปัญหาที่มีกันมายาวนาน จะเห็นได้จากข่าวการฟ้องร้องที่เกิดขึ้นไม่เว้นวัน ซึ่งปัญหาที่พบได้บ่อยที่สุดคือปัญหาการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน เพราะผู้ซื้อเองก็ไม่ได้เห็นทุกขั้นตอนในการก่อสร้างและเวลาซื้อตอนที่ยังใหม่ ๆ ทำให้ยังไม่เห็นสภาพโครงสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน ดังนั้นการซื้อบ้านจัดสรรจะต้องเลือกซื้อกับผู้ประกอบการที่น่าเชื่อถือพอ มีข้อจำกัดในการต่อเติม  ต้องยอมรับว่าบ้านจัดสรรในปัจจุบันส่วนใหญ่จะมีข้อห้ามในเรื่องการต่อเติมหรือเสริมโครงการออกมาจากที่ให้ไว้ เนื่องจากส่วนใหญ่ถูกก่อสร้างด้วยระบบพรีคาสท์ ซึ่งยากแก่การต่อเติมเพราะจะดึงโครงสร้างส่วนอื่นให้ทรุดตามไปด้วย ทั้งนี้ผู้ซื้อเองก็ควรพิจารณาถึงข้อจำกัดและความต้องการของตัวเองว่าจะเหมาะกับบ้านจัดสรรหรือบ้านสร้างเองมากกว่ากัน เพราะในแง่ของเงินลงทุนก็คงตอบได้ไม่แน่ชัดว่าแบบใดจะใช้เงินน้อยกว่ากัน ขึ้นอยู่กับการควบคุมและการตั้งงบประมาณของแต่ละคน ซึ่งสุดท้ายแล้วก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจแต่ละท่านว่าให้ความสำคัญกับสิ่งใดมากที่สุด   ขอขอบคุณข้อมูลจาก home.kapoo.com
13 ทางรอด เมื่อผ่อนบ้านไม่ไหว!!

13 ทางรอด เมื่อผ่อนบ้านไม่ไหว!!

เศรษฐกิจแบบนี้ หลายคนอาจเจอปัญหาขาดส่งบ้าน หรือไม่ก็ผิดนัด จ่ายช้า ฯลฯ ถ้าเป็นแบบนี้ ที่ถูกต้องคือ รีบเจรจากับธนาคาร ให้เร็วที่สุด  อย่าทำเฉยเป็นอันขาด ไม่งั้นปัญหาจะยิ่งลุกลาม เพราะเหตุการณ์เหล่านี้ มีทางแก้ทั้งมากมายถึง 13 แนวทาง ลองเลือกดูว่าจะใช้แบบไหนได้บ้าง 1. ผ่อนผันชำระหนี้ค้าง เป็นการขอเลื่อนเวลาชำระหนี้ที่ค้างชำระออกไป ในลักษณะขอเฉลี่ยคืนให้เป็นรายเดือน ซึ่งการขอผ่อนชำระคืนลักษณะนี้ สามารถขอผ่อนจ่ายได้สูงสุดได้ถึง 36 เดือนเลยทีเดียว 2. ขยายเวลาชำระหนี้ ขอขยายระยะเวลากู้เงินต่อไปอีกจนถึง 30 ปีนับจากปัจจุบัน เพื่อลดเงินผ่อนคืนรายงวดให้น้อยลง ทั้งนี้ อายุของผู้กู้เมื่อรวมกับระยะเวลาที่ขอขยายแล้วจะต้องไม่เกิน 70 ปี 3. กู้เพิ่มเพื่อชำระดอกเบี้ยที่ค้างชำระ ในกรณีที่ลูกหนี้อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่สามารถชำระดอกเบี้ยที่ค้างอยู่ทั้งหมด อาจใช้วิธีเจรจาขอกู้เพิ่มเพื่อมาชำระดอกเบี้ยที่ค้างชำระ พร้อมๆ กับขอขยายระยะเวลากู้เงิน 4. ชำระแต่ดอกเบี้ยประจำเดือน เจรจาขอชำระเฉพาะส่วนที่เป็นดอกเบี้ยในแต่ละเดือนเท่านั้น ปกติวิธีนี้ ธนาคารมักยอมให้ทำได้ไม่เกิน 12 เดือน และพิจารณาให้เฉพาะกับลูกหนี้มีประวัติการชำระคืนดีเท่านั้น 5. ชำระต่ำกว่าเงินงวดปกติ วิธีนี้เงินที่ชำระต่ำกว่าเงินงวดปกติจะต้องสูงกว่าดอกเบี้ยประจำเดือนอย่างน้อย 500 บาทและปกติธนาคารมักยอมให้ผ่อนผันได้ไม่เกิน 2 ปี และขอดำเนินการได้ครั้งเดียว 6. ลดอัตราดอกเบี้ยเป็นกรณีพิเศษ ในกรณีที่ถูกปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มขึ้นจากอัตราปกติ ลูกหนี้อาจเจรจาขอลดอัตราดอกเบี้ยในวันที่ชำระเงินได้ หากได้ชำระเงินตามเงื่อนไข 7. โอนบ้านให้กับธนาคารชั่วคราว แล้วซื้อคืนภายหลัง ระหว่างที่โอนให้ธนาคารจะทำสัญญาเช่าไปพลางๆ ก่อน ปกติวิธีนี้ ธนาคารจะรับโอนหลักประกันโดยหักกลบลบหนี้ในจำนวนไม่เกิน 90% ของมูลค่าหลักประกัน โดยจะคิดค่าเช่าในอัตราเดือนละ 0.4 - 0.6 ของมูลค่าหลักประกัน 8. ให้ธนาคารชะลอการฟ้อง สำหรับคนที่กำลังถูกฟ้องร้อง อาจเจรจาขอชำระหนี้ที่ค้าง 6 เดือนที่ผ่านมาและขอชำระหนี้ต่อตามสัญญา เพื่อแลกกับการให้แบงค์ชะลอฟ้อง ก็ได้ 9. ให้ธนาคารถอนฟ้อง ในกรณีที่เลวร้ายมาก ถูกธนาคารฟ้องร้องแล้ว ในทางปฏิบัติ ก็ยังสามารถเจรจาขอให้ธนาคารถอนฟ้องได้เหมือนกัน แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขคือ ต้องเข้าไปติดต่อขอชำระหนี้ทันงวดและไม่มีดอกเบี้ยค้าง พร้อมทั้งชำระค่าธรรมเนียมศาลและค่าใช้จ่ายครบถ้วน 10. ชะลอการขายทอดตลาด แม้ถูกยึดทรัพย์รอการขายทอดตลาด ลูกหนี้ก็มีสิทธิเจรจาขอให้ชะลอการขายไว้ก่อนได้ แต่เงื่อนไขคือ ต้องชำระค่าธรรมเนียมศาล ค่าใช้จ่ายต่างๆ ในชั้นฟ้องคดีและบังคับคดีรวมทั้งค่าพาหนะใน การเดินทางของทนายความไปเลื่อนการขายตามที่จ่ายจริงให้ครบถ้วน แล้วให้ลูกหนี้ชำระหนี้ติดต่อกันไม่น้อยกว่า 6 งวด โดยหนี้ที่เหลือต้องไม่เกินร้อยละ 80 ของราคาประเมินหลักประกันใหม่ แล้วให้ลูกหนี้ทำสัญญากู้ใหม่ 11. ยอมความกับธนาคาร ลูกหนี้ที่ถูกฟ้องคดีแล้ว อาจขอยอมความกับสถาบันการเงินได้ โดยจะต้องชำระค่าธรรมเนียมศาล ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี และค่าทนายความให้ครบถ้วน และชำระหนี้ทั้งหมดและไถ่ถอนจำนองภายในระยะเวลาที่ กำหนด 12. ชะลอการยึดทรัพย์ ลูกหนี้ที่ถูกศาลพิพากษาแล้ว อาจขอให้ชะลอการยึดทรัพย์ได้ แต่จะต้องชำระค่าธรรมเนียมศาล ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี ค่าทนายความ รวมถึงค่าพาหนะในการเดินทางของทนาย รวมถึงค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในการบังคับคดีให้ครบถ้วน โดยชำระหนี้ทั้งหมดและไถ่ถอนจำนองภายในเวลาไม่เกิน 3 เดือน 13. เปลี่ยนตัวลูกหนี้ตามสัญญากู้ใหม่ กู้เพิ่ม หรือเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขในสัญญา ปกติเงื่อนไขสำคัญของการเจรจาแบบนี้ ก็คือลูกหนี้จะต้องชำระค่าธรรมเนียมศาล ค่าใช้จ่ายต่างๆ ในชั้นฟ้องคดีและชั้นบังคับคดีให้หมดเสียก่อน และลูกหนี้เดิมจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนที่ได้ขอประนอมหนี้ไว้ จากนั้นจึงค่อยให้ผู้กู้รายเดิมหรือผู้กู้รายใหม่ยื่นคำขอกู้ต่อไป   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  home.co.th
กู้ซื้อบ้าน จำเป็นต้องทำประกันหรือไม่?

กู้ซื้อบ้าน จำเป็นต้องทำประกันหรือไม่?

หลายๆ คนอาจมีคำถามว่า เวลากู้ซื้อบ้าน ทำไมธนาคารต้องให้เราทำประกันด้วย ถ้าไม่ทำ ได้หรือไม่ คำตอบคือ มีประกันอยู่ 2 ประเภทที่ธนาคารให้ผู้ขอสินเชื่อบ้านทำ โดยมีทั้ง “ประกันที่ต้องทำ” และ “ประกันที่ควรทำ” ประกันที่ต้องทำ - ประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัย โดยทั่วไปธนาคารจะให้ผู้ขอสินเชื่อบ้านมีการทำประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัย เพราะว่าผู้ขอสินเชื่อบ้านต้องนำบ้านที่ซื้อมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกัน - ความคุ้มครองที่ได้รับ: คุ้มครองความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นกับบ้านและทรัพย์สินต่างๆ ภายในบ้าน ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายจากไฟไหม้ ฟ้าผ่า ภัยระเบิด ภัยจากการถูกชนโดยยานพาหนะหรืออากาศยาน ภัยเนื่องจากน้ำ แล้วเรายังสามารถซื้อความคุ้มครองในส่วนภัยพิบัติ (ภัยน้ำท่วม ลมพายุ และแผ่นดินไหว) เพิ่มเติมได้ - ทุนประกันที่ควรทำ: ควรทำทุนประกันหรือวงเงินคุ้มครองไม่น้อยกว่า 70% ของมูลค่าบ้านและทรัพย์สิน เพราะถ้าเกิดความเสียหายเพียงบางส่วน ก็ยังได้รับเงินชดเชยเหมือนทำประกันไว้เต็มมูลค่า - ค่าเบี้ยประกันที่ต้องจ่าย: อยู่ที่ประมาณ 1,000-3,000 บาท ต่อทุนประกัน 1 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับลักษณะบ้านหรือสิ่งปลูกสร้าง ถ้าเป็นบ้านผนังคอนกรีตล้วน ค่าเบี้ยประกันจะต่ำกว่าบ้านครึ่งตึกครึ่งไม้ และค่าเบี้ยประกันมักจ่ายเป็นแบบปีต่อปี แต่เราสามารถซื้อเป็นแบบราย 2 ปี หรือ 3 ปี ซึ่งจะมีส่วนลดค่าเบี้ยประกันให้ด้วย Tip: จริงๆ แล้ว ไม่ว่าบ้านของเรากำลังผ่อนอยู่หรือไม่ ก็ควรทำประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัย เพราะถ้ามีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับบ้าน อย่างน้อยก็มีประกันที่ช่วยชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น โดยค่าเบี้ยประกันที่ต้องจ่ายเพียงหลักพันถือว่าเล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับความคุ้มครองที่ได้รับ ประกันที่ควรทำ - ประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองหนี้สินบ้าน เวลาที่ขอสินเชื่อบ้าน ธนาคารมักแนะนำให้ผู้ขอสินเชื่อทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองหนี้สินบ้าน ซึ่งผู้ขอสินเชื่อจะทำหรือไม่ก็ได้ และถ้าไม่ทำ ก็ไม่ได้ส่งผลต่อการอนุมัติสินเชื่อ แต่แนะนำว่า ผู้ขอสินเชื่อบ้านควรทำประกันประเภทนี้ - ความคุ้มครองที่ได้รับ: คุ้มครองผู้ทำประกันกรณีเสียชีวิตและกรณีทุพพลภาพสิ้นเชิงถาวร โดยจะได้รับเงินชดเชยเท่ากับทุนประกันหรือความคุ้มครองที่คงเหลืออยู่ - ทุนประกันที่ควรทำ: ควรทำประกันให้มีระยะเวลาความคุ้มครองและทุนประกันสอดคล้องกับระยะเวลาในการผ่อนชำระและวงเงินสินเชื่อ โดยทุนประกันหรือความคุ้มครองจะลดลงเรื่อยๆ ตามยอดหนี้สินที่ลดลง - ค่าเบี้ยประกันที่ต้องจ่าย: ขึ้นอยู่กับเพศ อายุของผู้ขอสินเชื่อ ทุนประกัน และระยะเวลาความคุ้มครอง การจ่ายค่าเบี้ยประกันมักจ่ายเพียงครั้งเดียว หรือบางธนาคารให้ผู้ขอสินเชื่อสามารถผ่อนชำระค่าเบี้ยได้ โดยให้เป็นวงเงินสินเชื่อ Tip: ผู้ที่กำลังผ่อนบ้านควรทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองหนี้สินบ้าน เพราะถ้ามีเหตุไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับผู้ขอสินเชื่อ ครอบครัวหรือคนที่เรารักจะได้ไม่ต้องแบกรับภาระในการผ่อนชำระหนี้สิน นอกจากนี้ เบี้ยประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองหนี้สินบ้านที่มีความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 100,000 บาท สรุปได้ว่า การทำประกันไม่ได้อยู่ที่ธนาคารเป็นผู้กำหนด แต่อยู่ที่ตัวเราเป็นผู้ตัดสินใจ ถ้าอยากให้บ้านและคนที่เรารักได้รับความคุ้มครอง เมื่อตัดสินใจซื้อบ้าน ก็อย่ามองข้ามการทำประกัน   ขอขอบคุณข้อมูลจาก K-Expert
Private Nirvana Residence North ‘n East : รีวิวบ้าน

Private Nirvana Residence North ‘n East : รีวิวบ้าน

รีวิวฉบับนี้ เราจะพาไปดูโครงการ Private Nirvana Residence North ‘n East ในย่านเลียบทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ (ถนนประดิษฐ์มนูธรรม) โซนด้านหลัง CDC เลยครับ สำหรับโครงการนี้จะแบ่งออกเป็นฝั่ง North และ East นะครับ พื้นที่โครงการอยู่ติดกัน แต่แยกส่วนการดูแลออกจากกันอย่างชัดเจน โดยที่ Private Nirvana Residence North จะมีแบบบ้านเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น  ในขณะที่ Private Nirvana Residence East ที่เราจะพาไปดูกันในครั้งนี้ เป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้น ซึ่งเราได้ข่าวว่าทางโครงการมีการปรับปรุง ปรับเปลี่ยนวัสดุกันนิดหน่อย เดี่ยวไปดูกันครับว่ามีอะไรน่าสนใจบ้าง   รายละเอียดโครงการ ราคาเริ่มต้น   North เริ่มต้น 15.50 ล้านบาท , East  เริ่มต้น 23.50 ล้านบาท เจ้าของโครงการ   Private Nirvana Co., Ltd. ลักษณะโครงการ   บ้านเดี่ยว 2 ชั้น จำนวน 54 ยูนิต และ 3 ชั้น จำนวน 57 ยูนิต ที่ตั้งโครงการ   ซอยโยธินพัฒนา 11 แขวงคลองจั่น เขตบางกะปิ กรุงเทพฯ เนื้อที่ทั้งหมด   โครงการ North เนื้อที่ 12 - 2 - 96 ไร่ , East เนื้อที่ 14 - 0 - 11 ไร่ ค่าส่วนกลาง   65 บาท/ตารางวา วิธีการเดินทางไปยัง Private Nirvana การเดินทางในครั้งนี้ เราเริ่มต้นจากแยกเกษตร วิ่งมาตามถนนประเสริฐมนูกิจมาเรื่อยๆ จนถึงแยกเลียบทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์ ตรงแยกนี้เราเลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนประดิษฐ์มนูธรรม มุ่งหน้าไปทางลาดพร้าวอีกประมาณ 2 กิโลเมตร ก็เลี้ยวซ้ายเข้าซอยโยธินพัฒนาได้เลย ซึ่งจุดสังเกตุหลักๆ ตรง หน้าปากซอยคือ ห้าง Chic Republic จากนั้นก็ให้ชิดขวาสังเกตุป้าย “บ้านลาดพร้าว” ตรงด้านหลัง Chic Republic เลยครับ ซอยนี้ชื่อว่า “ซอยโยธินพัฒนา 11” เลี้ยวขวาเข้าไปอีกประมาณ  600 เมตร จะเห็นโครงการ 15 Gates ตรงนี้ก็เลี้ยวซ้ายและข้ามสะพานข้ามคลองไปอีกนิดหน่อย ก็ถึงหน้าทางเข้าโครงการ Private Nirvana Residence North ‘n East  ที่อยู่ฝั่งซ้ายมือแล้วครับ ต้องขอบอกก่อนเลยนะครับว่าพอถึงหน้าโครงการแล้วหลายคนอาจจะงงๆ หน่อย เพราะฝั่งตรงข้ามโครงการ Private Nirvana Residence North ‘n East จะเป็นโครงการรุ่นพี่ที่สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วชื่อโครงการ Private Nirvana Residence ตั้งอยู่ฝั่งขวามือ แต่ถ้าเรามาจากทางแยกลาดพร้าว ก็วิ่งตรงมาตามถนนประดิษฐ์มนูธรรม (เลียบทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์) มาเรื่อยๆ พอเห็น The Crystal Park ทางซ้ายมือ ก็ชิดขวาเตรียมกลับรถมาที่ซอยหลัง Chic Republic เหมือนเดิม   การเดินทางในย่านนี้จะสะดวกมากกว่าถ้าใช้รถส่วนตัว ทั้งเรื่องเส้นทางถนนที่เชื่อมต่อกับถนนหลายสาย ทั้งลาดพร้าว-รัชดา ประเสริฐมนูกิจ-พหลโยธิน-วิภาวดี เพชรบุรี-พระราม 9 หรือวงแหวนรอบนอก-มอเตอร์เวย์  ทำให้สามารถเดินทางเข้าออกเมืองได้ง่ายหลากหลายทาง และยังมีด่านขึ้นลงทางด่วนอยู่ไม่ไกลอีกด้วย แต่สภาพการจราจรในบริเวณนี้อาจจะหนาแน่นอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะในช่วงเช้าและเย็นของวันทำงาน ทั้งแยกลาดพร้าว และแยกเกษตรนวมินทร์ ที่มีปริมาณรถเยอะเป็นปกติอยู่แล้ว ส่วนการเดินทางด้วยระบบขนส่งมวลชนอื่นๆ ในแถบนี้อาจจะไม่ค่อยสะดวกเท่าที่ควรครับ ด้วยตำแหน่งที่ตั้งโครงการอยู่ในซอยซึ่งถือว่าค่อนข้างเป็นส่วนตัว แต่ก็มีข้อดีในเรื่องของความเงียบสงบกว่าโครงการที่อยู่ติดถนนใหญ่   เราซูมลงมาใกล้ๆ จะเห็นว่าโครงการ Private Nirvana Residence North 'n East จะตั้งอยู่ภายในซอยโยธินพัฒนา 11 หรือซอยที่ติดกับ Chic Republic นั่นเอง เราเริ่มกันตรงถนนประดิษฐ์มนูธรรม ก่อนจะเลี้ยวเข้าถนนโยธินพัฒนาหรือซอยข้างๆ Chic Republic กันเลยนะครับ พอเลี้ยวซ้ายเข้าซอยโยธินพัฒนานิดเดียว ให้เตรียมตัวเลี้ยวขวาเข้าซอยโยธินพัฒนา 11 เลยนะครับ ปากซอยจะมีป้ายหมู่บ้านลาดพร้าวติดอยู่ สังเกตได้ไม่ยากครับ จากนั้นตรงเข้าซอยไปเรื่อยๆ เลยครับ ตรงมาเรื่อยๆ จะเจอสามแยก ให้เลี้ยวซ้ายนะครับ สังเกตุที่ป้ายบอกทางของโครงการ จะมีอยู่ตลอดทาง รับรองไม่หลงแน่นอนครับ เลี้ยวซ้ายมาแล้วตรงไปอีกนิดเดียวก็ถึงโครงการแล้วครับ ถึงหน้าโครงการอาจจะสับสนสักหน่อยนะครับ เพราะจะมี Private Nirvana อยู่ทั้ง 2 ฝั่ง ฝั่งขวาจะเป็นโครงการ Private Nirvana Residence โครงการแรก ซึ่งสร้างเสร็จ และลูกบ้านเข้าอยู่เรียบร้อยแล้ว ส่วนโครงการ Private Nirvana Residence North 'n East จะอยู่ฝั่งซ้ายมือ ทางเข้าโครงการ เข้ามาแล้วจะเห็นสำนักงานขายโครงการอยู่ทางขวามือ สถานที่สำคัญใกล้เคียง CDC Chic Republic The Crystal Central Festival East Ville Crystal Park The Walk (Index Living Mall) Festival Walk Tesco Lotus Home Pro วิเคราะห์รอบโครงการ โครงการ Private Nirvana Residence North ‘n East อยู่ในบนถนนประดิษฐ์มนูธรรม (เลียบทางด่วนรามอินทรา-อาจณรงค์) ในย่านที่มี Community Mall ชิคๆ อยู่ใกล้ๆ เป็นจำนวนมาก ไล่ตั้งแต่ Chic Republic, CDC, Crystal Park, The Walk, Festival Walk, Navamin City Avenue และห้าง Central Festival East Ville ที่กำลังจะเปิดให้บริการเร็วๆ นี้ ซึ่งแต่ละแห่งก็มีสไตล์ร้านค้า ร้านอาหารที่ค่อนข้างแตกต่างชัดเจน นับเป็นแหล่งช็อปปิ้งหลักๆ ที่คนในย่านนี้พึ่งพาอาศัยได้หายห่วง แต่ถ้าไม่อยากออกไปไหนไกล ช่วงปากทางเข้าซอยโยธินพัฒนาก็มีซุปเปอร์มาร์เก็ตด้วย เช่นเดียวกับร้านอาหารก็มีให้เลือกพอสมควร รวมถึงในย่านนี้ก็มีร้านอาหารดังอีกหลายร้านให้เลือกแทบไม่ซ้ำกันเลยทีเดียว   ทำเลในแถบนี้จะเป็นที่อยู่อาศัยในรูปแบบบ้านเดี่ยวแทบทั้งนั้น ซึ่งแต่ละโครงการก็มีขนาดใหญ่อยู่ไม่น้อยเลย ตลอดทางเข้ามาที่โครงการมีเพื่อนบ้านให้อุ่นใจเยอะมากทั้ง 15 Gates, Town X+, บ้านลาดพร้าว และ Private Nirvana Residence แต่บรรยากาศในซอยก็ไม่ได้พลุกพล่านมากนะครับ ยิ่งเข้ามาในโครงการ Private Nirvana Residence North ‘n East ด้วยแล้ว ยิ่งเงียบสงบเหมาะกับการอยู่อาศัยมากๆ ซึ่งอันนี้คือข้อดีอย่างหนึ่งของโครงการที่อยู่ลึกเข้ามาในซอยแบบนี้ครับ เดี๋ยวเราไปดูที่ตัวโครงการกันเลยดีกว่า   โครงการ Private Nirvana Residence North ‘n East จะแบ่งพื้นที่ของโครงการออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ นะครับ หลังจากผ่านประตูทางเข้าโครงการมาจะเจอกับสำนักงานขายและสะพานข้ามคลองบ้านบึง จากนั้นเราก็จะเข้าสู่พื้นที่ส่วนแรก โซนนี้ในอนาคตจะเป็นพื้นที่ของ Sport Complex ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนกลางรวม Facility หลักๆ ของโครงการทั้ง สระว่ายน้ำขนาดมาตรฐานโอลิมปิค ฟิตเนสขนาดใหญ่ สตูดิโอโยคะ ห้องแอโรบิค ห้องซาวน่า ห้องสตีม แยกชายหญิง รวมไปถึงห้องสมุด และมุมพักผ่อน โดยในส่วนของ Sport Complex ลูกบ้านทุกหลังจะได้สิทธิ์ใช้ฟรี 2 ปี หลังจากนั้นทางโครงการจะมีการเก็บค่าธรรมเนียมราคาพิเศษในลักษณะ Member สำหรับลูกบ้านที่ต้องการใช้บริการต่อ ทำให้ลูกบ้านที่ไม่ต้องการ หรือไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้ Sport Complex ไม่ต้องรับภาระค่าส่วนกลางตรงส่วนนี้ครับ   ถนนหลักเข้าสู่โครงการ ด้านขวามือจะเป็นสำนักงานขายโครงการ สะพานข้ามคลองบ้านบึง ก่อนเข้าสู่พื้นที่ส่วนแรกของโครงการ พอข้ามคลองบ้านบึงมา ที่เห็นพื้นที่โล่งๆ ทางขวามือจะเป็น Sport Complex ของโครงการ ถนนหลักของโครงการจะกว้าง 12 เมตร ส่วนถนนย่อยจะกว้าง 10 เมตร   พื้นที่ส่วนที่ 2 และ 3 จะเป็นโซนที่พักอาศัยครับ โดยจะแบ่งเป็น Private Nirvana Residence North และ Private Nirvana Residence Eastแต่ละส่วนจะมีประตูทางเข้า-ออกของตัวเอง และมีการแยกนิติบุคคลออกจากกันด้วยเช่นกัน ในขณะที่พื้นที่และจำนวนบ้านในแต่ละโซนก็จะต่างกันออกไปด้วยนะครับ ซึ่งจะขอแยกรายละเอียดคร่าวๆ ให้ได้เห็นกันดังนี้   Private Nirvana Residence North มีพื้นที่ทั้งหมด 12.6 ไร่ โดยแบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น บนที่ดินขนาด 52.4-82.5 ตร.วา จำนวน 54 หลัง ซึ่งเหมาะกับครอบครัวขนาดไม่ใหญ่มากครับ มีพื้นที่ใช้สอยประมาณ 265 ตร.ม. แบ่งเป็น 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ ห้องแม่บ้าน และจอดรถได้ 2 คัน ในขณะที่ Private Nirvana Residence East มีพื้นที่ 14 ไร่ แบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้น บนที่ดินขนาด 63.6-94.2 ตร.วา จำนวน 57 หลัง โดยมีให้เลือกทั้งแบบ 3 ห้องน 5 ห้องน้ำ หรือ 4 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ ซึ่งทั้ง 2 แบบ มาพร้อมกับห้องแม่บ้านและที่จอดรถ 3 คันเหมือนกันครับ อันนี้ก็จะเหมาะกับครอบครัวที่ใหญ่ขึ้นมาหน่อย ด้วยพื้นที่ใช้สอยมากถึง 430 ตร.ม. เลยทีเดียว แบบบ้านทั้งฝั่ง Private Nirvana Residence North และ Private Nirvana Residence East ดูจากภายนอกจะมีความใกล้เคียงกันมาก ด้วยคอนเซปต์ในการออกแบบ “Living Along The Trees” ให้รูปแบบบ้านอิงแอบไปกับธรรมชาติ แทรกพื้นที่สีเขียวร่มรื่นในหลายๆ ส่วนของบ้าน และพื้นที่โครงการ ดีไซน์ตัวบ้านมาในสไตล์โมเดิร์น เรียบๆ ร่วมสมัย ไม่ฉูดฉาด สวยเก๋แบบดีเทลไม่ต้องเยอะ แต่ดูสวยเนี๊ยบกันอีกนานครับ ความเนี๊ยบเรียบง่ายยังขยายรวมไปถึงระบบสายไฟลงดินที่เก็บเรียบร้อยทั้งโครงการ ช่วยเพิ่มให้ทัศนียภาพรอบๆ บ้านสบายตา ไม่มีสายไฟระโยงระยางให้เกะกะสายตาครับ พาชมบ้านตัวอย่าง Private Nirvana Residence บ้านตัวอย่างที่เราเลือกมาให้ชมกันในครั้งนี้ เป็นบ้านในโซน Private Nirvana Residence East นะครับ เพราะได้ข่าวว่าทางโครงการมีการปรับเปลี่ยนเพิ่มเติมดีไซน์ วัสดุ การตกแต่ง ให้ดูทันสมัยและตอบโจทย์การใช้งานมากขึ้น ซึ่งจะมีส่วนไหนบ้างเดี๋ยวเราค่อยๆ ไล่ดูกันไปทีละส่วนพร้อมกันครับ   ก่อนอื่นต้องแจ้งให้ทราบก่อนนะครับว่าบ้านทุกหลังทางโครงการจะไม่ได้รวมเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งอย่างที่เห็นในบ้านตัวอย่าง ซึ่งอันนี้ลูกบ้านสามารถตกแต่งภายในกันได้เต็มที่เลย นอกเหนือจากวัสดุ สุขภัณฑ์ สิ่งปลูกสร้างหลักๆ ที่มากับตัวบ้านแล้ว สิ่งที่ทางโครงการจะให้มาพร้อมตัวบ้านด้วยก็คือ ระบบสัญญาณกันขโมย. กล้อง CCTV 4 จุด, ประตูรั้วรีโมท, Digital Door Lock ที่ประตูหลัก, เครื่องปรับอากาศ 5 เครื่อง และเครื่องทำน้ำร้อน 3 เครื่อง ทั้งหมดนี้เป็นแค่ตัวอย่างคร่าวๆ เท่านั้น สเปควัสดุ อุปกรณ์คุณภาพอื่นๆ ยังมีอีกหลายรายการเลยทีเดียว   บ้านตัวอย่างหลังนี้เป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้น ขนาด 4 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ และ 1 ห้องแม่บ้านพร้อมห้องน้ำในตัว ถ้าดูจากแปลนบ้านของ Private Nirvana จะสังเกตุได้ว่าส่วนใหญ่จะค่อนข้างเรียบง่าย เน้นไปในส่วนพื้นที่ใช้สอยให้คนในบ้านได้มีพื้นที่ทำกิจกรรมร่วมกัน ในขณะที่พื้นที่ส่วนตัวก็ยังคงเหมาะสมกับการใช้งานได้อย่างเต็มที่ เริ่มด้วยบริเวณชั้นล่างจะให้น้ำหนักกับ Living Area ที่เชื่อมมุมนั่งเล่นกับครัวเข้าด้วยกัน ทำให้วางโต๊ะกินข้าวขนาดใหญ่ๆ ได้สบาย ยิ่งถ้าจะจัดปาร์ตี้เชิญเพื่อนๆ ซัก 10-15 คนก็ยังรับไหวนะครับ ตรงห้องครัวจะมีประตูเปิดออกไปที่ส่วนของครัวไทยที่อยู่ด้านหลังบ้านด้วย เวลาคุณแม่บ้านทำกับข้าวก็ไม่ต้องห่วงเรื่องกลิ่นจะรบกวนเข้าในบ้าน อีกจุดที่เราชอบมากคือ ประตูกระจกบานใหญ่ที่อยู่ด้านข้างของตัวบ้านทั้งสองด้าน ซึ่งทำให้ตัวบ้านดูโปร่งและกว้างมากขึ้นไปอีก แถมยังช่วยเปิดรับแสงธรรมชาติ และวิวสีเขียวของสวนข้างบ้านได้อีกด้วย นอกจากนี้ทางโครงการยังมีการปรับพื้นที่ใช้สอยในชั้นนี้ให้สามารถใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น ด้วยการเพิ่มห้องนอนเล็กอีกห้องพร้อมห้องน้ำในตัว สามารถใช้เป็นห้องรับรองแขก หรือจะเป็นห้องสำหรับสมาชิกในบ้านก็ได้เช่นกัน แปลนบ้านที่ชั้น 1 เราเริ่มจากด้านหน้าบ้านกันเลยนะครับ ตัวบ้านออกแบบมาในสไตล์โมเดิร์น เน้นความเรียบเท่ห์ไม่เหมือนใคร พื้นที่หน้าบ้านสามารถจอดรถได้ 3 คัน ครอบครัวไหนที่มีรถหลายคันนี่เหมาะเลยครับ จากนั้นลองมองขึ้นไปดูที่หลังคาจะเป็นหลังคา เซรามิก เอ็กเชลล่า ของ SCG ซึ่งนำความร้อนต่ำเมื่อเทียบกับกระเบื้องหลังคาคอนกรีตทั่วไป แถมยังทำความสะอาดตัวเองได้ดี จึงทำให้สีสวยตลอดอายุการใช้งาน ลานจอดรถหน้าบ้านปูด้วยกระเบื้องตามแบบที่เห็นในบ้านตัวอย่างเลยครับ พื้นที่กว้างขวางมากพอไม่ใช้ว่าจอด 3 คันแบบเบียดๆ นะครับ ตรงบริเวณที่จอดรถจะมีห้องเก็บของ ซึ่งเป็นแบบประตูบ้านเลื่อน สามารถเก็บเครื่องมือ อุปกรณ์ต่างๆ ได้เลย ประตูห้องเก็บของเป็นบานเลื่อน พื้นที่ภายในกว้างพอที่จะเก็บข้าวของและอุปกรณ์เครื่องมือต่างๆ ได้พอสมควร ทำให้เป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น ทางเดินเข้าบ้านปูกระเบื้องบนพื้นหญ้าและโรยหิน ก่อนถึงประตูบ้านเป็นชานพักยกพื้นสูงขึ้นมาอีกเล็กน้อย ชานพักบริเวณนี้จะปูด้วยกระเบื้องโทนสีเทา มีที่กว้างพอใช้เป็นมุมนั่งใส่รองเท้าได้สบายๆ ประตูบานหลักจะใช้แบบ Digital Door Lock ของ Samsung ทุกหลังนะครับ อันนี้เป็นสเปคที่ทางโครงการเพิ่มเข้ามาให้ทีหลัง จากที่ก่อนหน้าจะใช้เป็นคันโยกล็อคสองชั้น ประตูหลักบานนี้วัสดุเป็นอลูมิเนียม YKK AP อย่างดี มีขอบยางปิดสนิทกันทั้งฝุ่นแมลง และเสียงรบกวนได้ดีทีเดียว ตรงด้านข้างเจาะช่องแสง ทำให้โถงทางเดินบริเวณนี้มีแสงธรรมชาติช่วยส่องสว่างมากขึ้นครับ บริเวณผนังใกล้กับประตูจะมีชุดสวิชไฟ และสัญญาณกันขโมยของ DSC ติดอยู่ สะดวกมากในการตั้งสัญญาณกันขโมยก่อนออกจากบ้าน ด้านข้างประตูจะเป็นบันไดขึ้นชั้น 2 ประตูที่อยู่ติดกันนั่นเป็นห้องใต้บันไดครับ ห้องใต้บันไดนอกจากจะเป็นห้องเก็บของแล้ว ยังเป็นห้องระบบไฟและกล้องวงจรปิดด้วย ซึ่งพื้นที่ภายในก็กว้างใช้ได้เลยทีเดียว Living Area โซนแรกเมื่อเดินเข้าบ้านมา วางชุดรับแขกไว้ชุดใหญ่ติดกับประตูกระจก ซึ่งเปิดรับแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ ทำให้มุมนี้ดูโอ่อ่าสบายตามากๆ ครับ จริงๆ พื้นที่บริเวณนี้กว้างพอจะวางชุดโซฟาขนาด 7-8 ที่ได้สบายๆ แต่ในบ้านตัวอย่างเลือกชุดที่เล็กลงมาหน่อย เพื่อให้เหมาะกับบรรยากาศสบายๆ สามารถมองเห็นสวนข้างบ้านได้ชัดเจน ส่วนพื้นบริเวณชั้นล่างจะปูด้วยกระเบื้องนำเข้าลายหินอ่อนแผ่นใหญ่ทั้งหมด Living Area บริเวณชั้นล่าง จัดแบ่งเพื่อที่ใช้สอยให้มี Dining Area เชื่อมต่อถึงกัน พื้นที่ใช้สอยกว้างขวางสามารถจัดปาร์ตี้ได้สบาย พร้อมด้วย Pantry ครัวฝรั่งแบบครบชุด ในบ้านตัวอย่างเลือกวางมีโต๊ะกินข้าวตัวใหญ่ขนาด 6 ท่าน และ Built-in ตู้เก็บของเต็มผนังติดกับ Pantry เลย เคาน์เตอร์ครัว Built-in มาแบบจัดเต็ม เน้นโทนสีเทา-ขาวเรียบหรู มีพร้อมทั้งตู้แช่ไวน์ ไมโครเวฟ อีกด้านตรงข้ามกับเคาน์เตอร์ครัว Built ตู้ด้านหลังแขวนทีวี เป็นอีกมุมสังสรรค์ของครอบครัว Island Counter ทำครัวขนาดใหญ่ มีพื้นที่วางข้าวของสำหรับเตรียมอาหารมากมาย ทางโครงการติด Hood ลอยดีไซน์ทันสมัย ไว้เป็นไอเดียสำหรับใครที่อยากได้ครัวเปิดกลางบ้าน ก็สามารถเก็บไว้เป็นแนวทางตกแต่งได้ Dining Area มุมนี้อยู่ติดกับประตูกระจกบานใหญ่อีกด้าน แสงธรรมชาติช่วยส่องสว่างได้เต็มที่ พื้นที่ข้างบ้านด้านที่ติดกับห้องครัว มีชานบ้านกว้างวางชุดสนามไว้นั่งเล่นจิบชาในสวนได้ หรือจะเปิดประตูกระจกออกเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการจัดปาร์ตี้ให้กว้างขึ้นไปอีกก็ได้ ประตูกระจกบานใหญ่เต็มบาน กรอบอลูมิเนียม YKK AP แน่นหนามากๆ และถึงจะเป็นกระจกบานใหญ่แต่ก็เลื่อนได้สมู๊ทดีมาก พื้นชานบ้านด้านข้างต่ำกว่าพื้นบาน 2 ระดับ แต่ก็ไม่มากนะครับไม่ต้องกลัวเดินสะดุด ใน Living Area ทางโครงการ Built-in ตู้สูงเต็มเพดาน ซึ่งใช้ประโยชน์ได้หลายอย่างทั้งเป็นตู้เก็บของ เก็บรองเท้า อีกด้านที่หันเข้าหาโต๊ะกินข้าวใช้แขวนทีวี และที่สำคัญยังทำหน้าที่เป็นเหมือผนังกั้นแบ่งพื้นที่ให้เป็นสัดส่วนมากยิ่งขึ้นด้วย ด้านหลังตู้ Built-in ถูกกั้นพื้นที่ให้เป็นสัดส่วนมากขึ้น บริเวณโถงทางเดินนี้จะมีประตูออกไปยังห้องครัวไทยด้านหลังบ้าน ห้องน้ำ และห้องนอกเล็กอีกหนึ่งห้องครับ ห้องน้ำที่ชั้นล่างนี้ภายในมีกระจกบานใหญ่ อ่างล้างมือ และชุดสุขภัณฑ์ ผนังเจาะช่องหน้าต่างบานกระทุ้งให้แสงจากด้านนอกส่องสว่างได้มากขึ้น แปลนบ้านแบบใหม่ ทางโครงการจัดเพิ่มห้องนอนเล็กมาอีกหนึ่งห้องที่บริเวณชั้นล่าง ห้องนี้สามารถใช้เป็นห้องนอกแขก หรือปรับเปลี่ยนเป็นห้องทำงาน ห้องเอนกประสงค์อื่นๆ ก็ได้นะครับ ประตูห้องนอนเป็นบานไม้ มือจับเป็นแบบคันโยกของ Hafele ภายในห้องนอนเล็กพื้นที่ค่อนข้างกะทัดรัตอยู่สักหน่อย แต่ก็มีประตูกระจกบานใหญ่ที่เปิดออกไปยังสวนข้างบ้านได้ ทำหน้าที่ให้แสงสว่าง และช่วยให้ห้องดูสบายตามากขึ้น ภายในห้องจัดวางเตียงขนาด 3.5 ฟุตไว้ได้กำลังดี ตกแต่งด้วยโทนสีอุ่นๆ ตัดกับสีเขียวจากต้นไม้ด้านนอก ทำให้ห้องน้ำน่าอยู่มากเลยทีเดียวครับ ประตูกระจกบานใหญ่สูงเต็มเพดาน เป็นบานอลูมิเนียม YKK AP เหมือนกับส่วนอื่นๆ ซึ่งเด่นในเรื่องกันน้ำ กันลม กันเสียงได้ดี ถึงจะเป็นห้องที่อยู่ด้านล่าง ก็ไม่ห้องห่วงเรื่องเสียงรบกวนครับ ด้านปลายเตียงทางโครงการ Built-in ตู้เสื้อผ้า และโต๊ะเครื่องแป้งเล็กๆ ไว้ แถมมีช่องหน้าต่างเล็กเพิ่มแสงสว่างให้มุมนี้ด้วย ภายในห้องนอนเล็กมีห้องน้ำในตัวด้วยนะครับ สะดวกและเป็นส่วนตัวมากๆ เลย ประตูห้องน้ำใช้เป็นกระจกบานเลื่อน พื้นห้องน้ำจะปูด้วยกระเบื้องสีเทาและดรอปพื้นต่ำลงมาจากห้องนอนเพื่อป้องกันปัญหาน้ำล้นเข้าห้อง พื้นที่ในห้องน้ำมีขนาดค่อนข้างจำกัดนะครับ ทำให้การจัดวางสุขภัณฑ์ในห้องน้ำต้องเรียงค่อนข้างชิดกันอย่างที่เห็น ห้องอาบน้ำกั้นกระจกเทมเปอร์ กั้นพื้นที่ส่วนเปียกส่วนแห้งไว้ให้เรียบร้อยแล้ว เหนืออ่างล้างหน้าก็มีกระจกให้บานใหญ่มาก พื้นด้านในห้องอาบน้ำดรอปต่ำลงไปอีกหนึ่งสเตปนะครับ ไม่ต้องกังวลเรื่องน้ำจะล้นออกนอกห้องเวลาอาบน้ำ หน้าต่างบานกระทุ้งด้านในห้องน้ำทางโครงการเลือกใช้กระจกสีขุ่นบานใหญ่ นอกจากจะให้แสงสว่างภายในห้องน้ำได้ดีแล้ว ยังสามารถเปิดออกเพื่อช่วยระบายความอับชื้นได้อีกด้วย ส่วนประตูอีกบานที่อยู่ด้านหลังตู้ Built-in จะเป็นประตูเปิดออกไปที่ครัวไทยทางด้านหลังบ้านนะครับ เปิดประตูออกมาจะเห็นเป็นลานซักล้างและพื้นที่ครัวขนาดไม่กว้างมากนะครับ ในขณะที่ทางโครงการก็ปูพื้นกระเบื้องและเว้นพื้นที่มาให้เรียบร้อยแล้ว ด้านที่ติดกับหลังประตู เว้นช่องวางท่อไว้สำหรับเครื่องซักผ้าให้เรียบร้อย พื้นตรงนี้จะยกขึ้นมาอีกเล็กน้อย เผื่อไว้เวลาทำความสะอาดห้องครัว น้ำจะได้ไม่เลอะเทอะไปถึงด้านล่างเครื่อง อีกด้านเป็นเคาน์เตอร์ครัวขนาดไม่ใหญ่มาก มาพร้อมกับซิงค์ล้างจาน ครัวบริเวณนี้เปิดโล่งถึงด้านหลังบ้านไม่มีประตูกั้นอีกชั้นนะครับ ถัดจากบริเวณครัวไทยออกมาที่ด้านหลังของตัวบ้าน จะเป็นลานซักล้าง พื้นส่วนหนึ่งปูกระเบื้องไว้และปลูกต้นไม้ได้ยาวตลอดริมรั้วเลย หันกลับมาอีกด้านของส่วนซักล้าง ตรงนี้จะเป็นทางเข้าห้องนอนแม่บ้านและห้องน้ำ ส่วนตรงมุมรั้วจะเป็นตำแหน่งวางแท็งค์น้ำและปั๊มน้ำ ห้องน้ำแม่บ้านจะอยู่แยกออกมาจากตัวห้องนะครับ อยู่ตรงส่วนซักล้างใกล้ๆ กันนั่นแหละครับ ภายในห้องน้ำก็จะมีอ่างล้างหน้า สุขภัณฑ์ และฝักบัวครบชุด แต่ไม่ได้แยกส่วนแห้งส่วนเปียกให้เท่านั้นเอง ติดกับห้องน้ำ จะเป็นห้องแม่บ้าน ซึ่งอยู่บริเวณริมสุดของตัวบ้านด้านหลังเลยครับ พื้นที่ภายในขนาดกระทัดรัดครับ วางที่นอนและตู้เก็บของได้อีกหน่อย มีหน้าต่างบานเกล็ดอีกบาน ด้านล่างนี้เป็นเทคโนโลยีการถ่ายภาพแบบ 360 องศา ที่เรานำมาช่วยในการทำรีวิว ซึ่งจะช่วยให้เห็นภาพของส่วนต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น สามารถใช้เม้าส์หมุนที่ภาพไปทางซ้าย-ขวา หรือขึ้น-ลง ได้เลยนะครับ Post from RICOH THETA. - Spherical Image - RICOH THETA บริเวณ Living Area ที่ชั้น 1 Post from RICOH THETA. - Spherical Image - RICOH THETA                                                                                           ห้องนอนเล็กที่ชั้น 1 ในขณะที่แปลนของชั้น 2 และ 3 จะเป็นพื้นที่พักอาศัยที่เน้นความเป็นส่วนตัวขึ้นมากอีก แต่ก็ไม่ลืมพื้นที่นั่งเล่นที่สมาชิกในบ้านจะได้มาสังสรรค์ร่วมกัน โดยทางโครงการเลือกออกแบบให้ห้องนั่งเล่นของครอบครัวบริเวณชั้น 2 เป็นแบบ Double Space ที่มาพร้อมกับระเบียงรอบด้าน ซึ่งเราสามารถปลูกต้นไม้ ทำสวนเล็กๆ ช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับตัวบ้าน แถมยังได้มุมพักผ่อนที่ผ่อนคลายและเป็นส่วนตัวกว่าการนั่งเล่นในสวนหน้าบ้านอีกนะครับ ในขณะที่พื้นที่ที่เหลืออีกกว่าครึ่งบนชั้นนี้ถูกตกแต่งเป็น Master Bedroom ที่จัดเต็มด้วยทุกรายละเอียดของการอยู่อาศัย ทั้งบริเวณห้องนอนขนาดใหญ่ มีมุมนั่งเล่นในห้อง Walk in Closet ขนาดใหญ่ และห้องน้ำกว้างขวางที่มาพร้อมชุดสุขภัณฑ์ที่ทันสมัยมากๆ แปลนบ้านชั้น 2 ขึ้นมาบนชั้น 2 จะเป็นโถงทางเดินไปยังส่วนต่างๆ ของชั้นนี้ครับ พื้นของชั้นบนจะปูด้วยไม้เอนจิเนียรมาตรฐานการส่งออกสวยงาม ช่วยสร้างบรรยากาศอบอุ่นให้กับตัวบ้านได้เป็นอย่างดี บนชั้น 2 มีห้องน้ำแยกออกมาให้อีกหนึ่งห้องนะครับ อยู่ใกล้ๆ กับบันไดทางขึ้นเลย ซึ่งทางโครงการก็ออกแบบให้พื้นที่ตรงนี้สามารถใช้สอยประโยชน์ได้มากขึ้น ด้วยการ Built-in Pantry เล็กๆ เพิ่มเข้ามา Pantry บริเวณหน้าห้องน้ำนี้ถูกจัดไว้เป็นอย่างดีครับ มีซิงค์ล้างจานบนเคาน์เตอร์ พร้อมด้วยตู้เก็บของทั้งด้านบนและล่าง แถมเว้นช่องไว้วางตู้เย็นมาให้แล้ว เป็นอีกหนึ่งมุมสำหรับจัดเตรียมเครื่องดื่มและของว่างเล็กๆ น้อยๆ สำหรับสมาชิกในบ้าน โดยไม่ต้องเดินกลับลงไปถึงชั้นล่างครับ ห้องน้ำที่บริเวณชั้น 2 นี้ ยังคงมีเพียงอ่างล้างหน้าและชุดสุขภัณฑ์นะครับ ไม่ได้มีส่วนอาบน้ำ เพราะเป็นห้องน้ำส่วนกลาง สำหรับสมาชิกทุกคนเวลามารวมตัวกันทำกิจกรรมที่บริเวณชั้น 2 นี้ครับ จะได้ไม่ต้องรบกวนห้องน้ำในห้องส่วนตัวของกันและกัน อ่างล้างหน้ายี่ห้อ Kohler ขนาดใหญ่ มีพื้นที่วางของด้านข้างมากขึ้น และบริเวณ top เหนืออ่างล้างหน้าเป็น Low Wall ทำเคาน์เตอร์เล็กๆ ใช้วางของได้เพิ่มมากขึ้น ใต้อ่างล้างหน้ามีลิ้นชักสำหรับเก็บข้าวของเครื่องใช้ ซึ่งน่าจะเพียงพอและช่วยให้ภายในห้องน้ำเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้นด้วย เหนืออ่างล้างหน้าติดกระจกเงาบานใหญ่ ทำเป็น Light Box เพิ่มแสงสว่างและบรรยากาศไปอีกแบบ ในห้องน้ำมีระเบียงเล็กๆ กั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อนเต็มพื้นที่ นอกจากจะช่วยให้แสงธรรมชาติมากขึ้นแล้ว ยังสามารถเปิดออกไปที่ระเบียงได้ด้วยนะครับ ซึ่งทางโครงการจัดเป็นสวนเล็กๆ โรยหินกรวดสวยๆ และปลูกต้นไม้ช่วยพรางสายตาอีกชั้นหนึ่ง โซนถัดมาที่บริเวณชั้น 2 จะถูกแบ่งเป็น Living Area และ Master Bedroom ครับ ซึ่งพื้นที่สองส่วนนี้อยู่ติดกันเลย ในขณะที่ Master Bedroom ก็ยังไม่เสียความเป็นส่วนตัวไปซักนิดครับ Living Area บนชั้น 2 นี้จะกินพื้นที่ประมาณครึ่งหนึ่งเลยนะครับ ทางโครงการจัดให้เป็นห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ ล้อมรอบด้วยระเบียงที่จัดเป็นสวนสวยร่มรื่น อย่างที่เห็นนะครับ Living Area ใช้ประตูกระจกบานใหญ่จรดเพดานทั้ง 2 ด้าน ทำให้บริเวณนี้ได้รับแสงธรรมชาติแบบเต็มๆ ทางโครงการเลือกตกแต่งมุมนี้เป็นมุมนั่งเล่น อ่านหนังสือ พร้อมกับมุมทำงานเล็กๆ ซึ่งสมาชิกในครอบครัวจะได้ทำกิจกรรมร่วมกันได้ จึงจัดวางโชฟาไว้ชุดใหญ่ และ Built-in ชั้นวางหนังสือเต็มผนัง ซึ่งสูงขึ้นไปถึงบนชั้น 3 เลยทีเดียว ไฮไลท์ของ Living Area ที่ชั้น 2 นี้ ทางโครงการเพิ่มความหรูหราด้วยเพดานแบบ Double Space ซึ่งกินพื้นที่ขึ้นไปถึงชั้น 3 ทำให้บริเวณนี้ดูโอ่โถงสบายตาจนเกือบลืมไปว่าเรากำลังนั่งอยู่บนชั้น 2 ของตัวบ้านนะเนี่ย อีกมุมที่เห็นชัดเจนว่าเพดานสูงขึ้นไปถึงชั้น 3 เลยนะครับ ส่วนประตูกระจกรอบด้านก็เปิดได้ทุกบาน แถมยังสูงเกือบเต็มผนังอีกเช่นกัน ในโซนนี้จะได้แอร์แบบฝังช่องแบบที่เห็นด้วย ด้านหนึ่งของ Living Area จัดเป็นมุมทำงานเล็กๆ ใกล้กับประตูกระจกมีพื้นที่สีเขียวด้านนอกให้พักสายตาได้เป็นอย่างดี ประตูกระจกสามารถเปิดออกไปที่ระเบียงได้ทุกบาน และกรอบประตูก็เป็นอลูมิเนียมมีตัวล็อคแน่นหนา สามารถกันเสียง กันน้ำ กันลมได้เป็นอย่างดี พื้นที่ระเบียงด้านนอกค่อนข้างกว้างเลยนะครับ พื้นปูด้วยกระเบื้องสีดำกันลื่น และดรอปต่ำลงมาจากพื้นบ้านอีกประมาณ 5 ซม. ไม่ต้องกลัวเรื่องน้ำจะล้นเข้าบ้านเวลาฝนตกหนักๆ นอกจากนี้ทางโครงการยังปลูกต้นไม้ไว้ให้ความร่มรื่นยาวตลอดแนวระเบียง ช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวเหมือนเราได้อยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ ตามคอนเซปต์การออกแบบเลยล่ะครับ ไปดู Master Bedroom กันบ้างครับ เปิดประตูห้องตรงสุดโถงทางเดินมาก็จะเจอกับ Living Area อีกมุมที่เป็นส่วนตัวในห้องนอนใหญ่ ทางโครงการจัดแบ่งพื้นที่ตรงนี้ให้เป็นมุมนั่งเล่นดูทีวีภายในห้องนอน ด้วยการจัดวางชุดโซฟาขนาด 3 ที่นั่ง จะได้นั่งดูหนัง ดูทีวีกันสบายๆ และตรงผนังห้องด้านนี้ก็ Built-in เป็นชั้นหนังสือโดยแขวนทีวีไว้ตรงกลางมีบานเลื่อนเปิดปิดได้ ส่วนผนังด้านขวามือมีหน้าต่างบานใหญ่ ช่วยเพิ่มแสงสว่างให้กับห้องได้อีกทาง พื้นที่ใน Master Bedroom กว้างมากขนาดที่วางเตียงขนาด King Size ลงไปแล้วยังเหลือพื้นที่ว่างอีกมาก ตำแหน่งวางเตียงทางโครงการเลือกไว้ใกล้กับหน้าต่างบานใหญ่ที่อยู่อีกด้านของผนังห้องด้วย ภายในห้องค่อนข้างสว่างมากเหมือนกันนะครับในช่วงกลางวัน เนื่องจากห้องนี้มีหน้าต่างใหญ่ๆ มากถึง 2 ด้านด้วยกัน แสงอาทิตย์ส่องทั่วถึงทั้งห้องแน่นอนครับ ส่วนพื้นห้องยังคงเป็นไม้เอนจิเนียร์สีเข้ม ในขณะที่ปลายเตียงก็เจาะตำแหน่งปลั๊กเผื่อไว้สำหรับแขวนทีวีได้ด้วย ถ้าใครชอบนอนดูทีวีจากบนเตียง ก็สามารถปรับเปลี่ยนบริเวณ Living Area ในห้องให้ใช้สอยประโยชน์อื่นๆ ได้นะครับ ถัดจากห้องนอนเข้าไป จะเป็นพื้นที่ของ Walk in Closet ซึ่งทางโครงการตกแต่งผนังด้านนี้ไว้ด้วยไม้ลายเดียวกันทั้งหมด บานประตูเข้าสู่ห้องแต่งตัวเป็นบ้านสวิงคู่ แต่ของจริงจะไม่มีประตูมาให้นะครับ จะเปิดโล่งเดินถึงกันได้เลย ภายในห้องแต่งตัวจะ Built-in ตู้เสื้อผ้า ตู้เก็บของรูปตัว L ไว้เต็มผนังด้านหนึ่ง แล้วใช้บานหน้าตู้เป็นกระจกเงาทั้งหมด ทำให้ห้องดูกว้างขึ้น และยังใช้เป็นกระจกส่องเวลาแต่งตัวไปพร้อมๆ กัน ผนังอีกด้านก็ Built-in ตู้ไว้อีกเช่นกัน ในชณะที่ด้านตรงข้ามใกล้ๆ กับช่องหน้าต่างที่ให้แสงสว่างกำลังดี จัดไว้เป็นมุมโต๊ะเครื่องแป้งวางกระจกบานใหญ่ไว้ให้เห็นเป็นไอเดียนะครับ ของจริงเจ้าของบ้านสามารถเลือกตกแต่งโต๊ะตู้ได้ตามใจชอบเลยครับ ด้านเดียวกับโต๊ะเครื่องแป้ง มีประตูบานสวิงเป็นกระจกใส่เปิดเข้าไปสู่ห้องน้ำของ Master Bedroom ภายในห้องน้ำของ Master Bedroom ทางโครงการเลือกใช้วัสดุและการตกแต่งในโทนสีขาวสะอาดจนแสบตา ต่างจากบรรยากาศในห้องนอนและห้องแต่งตัวไปเลยทีเดียว อ่างล้างหน้าติดตั้งไว้ให้ 2 ชุด พร้อมกระจกเงาเต็มบานใหญ่ ในขณะที่ด้านล่างของอ่างล้างหน้ามีลิ้นชักเก็บของมาพร้อม และมีพื้นที่วางของเหลือเฟือเลย ด้านล่างของกระจกเป็น Low Wall ไว้ใช้วางของได้ครับ ในขณะที่ด้านหลังกระจกก็ติด Light Box ใช้ไฟสีส้มๆ ช่วยสร้างบรรยากาศอุ่นๆ ให้ในห้องน้ำ อ่างอาบน้ำแบบจากุชซี่ วางไว้ด้านที่ติดกับหน้าต่างบานใหญ่ ด้านนอกเป็นผนังบล็อกแก้วที่ช่วยให้แสงผ่านได้ดี และทางโครงการก็เลือกปลูกต้นไม้เพิ่มไว้อีกจุด ช่วยเพิ่มบรรยากาศการอาบน้ำให้รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น อีกด้านของห้องน้ำ กั้นกระจกแยกส่วนห้องอาบน้ำ และห้องทำธุระส่วนตัวไว้อย่างเป็นสัดส่วนเรียบร้อยมากๆ ชุดสุขภัณฑ์ใน Master Bedroom จะเป็นโถอัจฉริยะของ TOTO เพียงแค่เราเปิดประตูห้องน้ำเข้ามาสุขภัณฑ์ก็จะเปิดขึ้นพร้อมใช้งานทันทีครับ หน้าตาสุขภัณฑ์เลือกดีไซน์กันมาแบบเรียบหรู ซึ่งตรงส่วนนี้เป็นส่วนที่ทางโครงการปรับสเปคของเข้ามาใหม่นะครับ แบบเดิมจะเป็นชุดสุขภัณฑ์แบบปกติ ชุดสุขภัณฑ์อัตโนมัติของ TOTO มีเซนเซอร์และแผงควบคุมมาครบ แผงควบคุมการทำงานของชุดสุขภัณฑ์ก็มาแบบมาตรฐาน ซึ่งปัจจุบันตามโรงแรมและห้างใหญ่ๆ ก็นิยมใช้กันแล้ว ในส่วนของห้องอาบน้ำจะปูด้วยกระเบื้องสีดำลายหินอ่อนกันลื่น มีชุดฝักบัวพร้อมก๊อกน้ำแบบหัวผสมติดตั้งมาเรียบร้อย ผนังด้านหนึ่งเจาะช่องสำหรับวางเครื่องใช้อาบน้ำ พื้นที่ในห้องน้ำกว้างมาก อาบน้ำได้สบายเลย แถมยังก่อที่นั่งเผื่อไว้นั่งอาบน้ำขัดตัวมาให้อีก และพื้นของห้องอาบน้ำนี้ก็ดรอปลงมาจากพื้นห้องน้ำปกติอีก 5 เซนติเมตร ไม่ต้องกลัวน้ำจะล้นออกนอกบริเวณเลย เพดานด้านบนของห้องอาบน้ำมี Rain Shower มาให้ด้วย ในขณะที่อีกด้านใช้เป็นผนังบล๊อกแก้วเกือบเต็มพื้นที่ เพื่อเพิ่มความสว่างให้กับห้องน้ำ นอกเหนือจากดวงไฟ Down Light แบบปกติครับ พื้นที่ในห้องน้ำกว้างขวาง สามารถใช้งานพร้อมๆ กันได้สบายหายห่วง ระหว่างอ่างอาบน้ำ และเคาน์เตอร์ล้างหน้า มีประตูกระจกบานเล็กอีกบาน ที่สามารถเปิดออกไปที่ระเบียงด้านนอกได้ เปิดออกไปแล้วจะเห็นว่าเป็นตำแหน่งที่วางคอมเพรสเซอร์แอร์ แต่ถ้าอ้อมไปอีกด้านจะสามารถเดินออกไปที่ระเบียงตรงอ่างอาบน้ำได้ด้วยเช่นกัน Post from RICOH THETA. - Spherical Image - RICOH THETA Living Area บนชั้น 2 Post from RICOH THETA. - Spherical Image - RICOH THETA ห้อง Master Bedroom Post from RICOH THETA. - Spherical Image - RICOH THETA ตู้เสื้อผ้าแบบ Walk in Closet ภายในห้อง Master Bedroom ก่อนเข้าไปถึงห้องน้ำ Post from RICOH THETA. - Spherical Image - RICOH THETA                                                                                ห้องน้ำภายใน Master Bedroom ส่วนห้องนอนเล็กอีก 2 ห้อง ที่ชั้น 3 ก็ต้องบอกว่ามีพื้นที่ใช้สอยไม่น้อยหน้ากันเลย ทุกห้องมีห้องน้ำในตัว แถมด้วยมุมอ่านหนังสือ หรือจะจัดให้เป็นมุมห้องพระหน้าห้องก็ได้ ซึ่งพื้นที่บริเวณนี้จะเชื่อมถึงพื้นที่นั่งเล่นที่ชั้น 2 ด้วย แปลนบ้านของชั้น 3 ขึ้นมาถึงที่ชั้น 3 กันบ้าง พื้นบริเวณโถงทางเดินและในห้องนอนยังคงเป็นไม้เอนจิเนียร์สีอ่อน ภายในบ้านยังคงได้รับแสงธรรมชาติอย่างเต็มที่จากหน้าต่างบานใหญ่ตามจุดต่างๆ รอบบ้าน ทางด้านซ้ายมือของบันได จะเป็นพื้นที่อเนกประสงค์ ซึ่งทางโครงการจัดตกแต่งให้เป็นมุมนั่งเล่น อ่านหนังสือ จิบชาสวยๆ ตรงมุมนี้บรรยากาศจะโล่งโปร่งสบายมากๆ เลยทีเดียว เพราะเป็นจุดเชื่อมถึงโถงนั่งเล่นที่ชั้น 2 ด้วย เพดานบริเวณ Double Space ตกแต่งเพิ่มเติมด้วยไม้ แขวน Chandelier สวยๆ มุมนั่งเล่นตรงนี้น่าจะถูกใจใครหลายๆ คนไม่มากก็น้อย มุมด้านในสุด ทางโครงการ Built เป็นหิ้งพระเรียบๆ สไตล์โมเดิร์น เข้ากับสไตล์การตกแต่งของบ้าน จากชั้น 3 สามารถก้มลงไปดูบริเวณโถงนั่งเล่นที่ชั้น 2 ได้เลยนะครับ จะว่าไปแล้วก็ดูเหมือนจะสูงมากเหมือนกัน คนกลัวความสูงอาจมีหวิวๆ ได้ ถ้ามองจากชั้น 3 ลงมา จะสามารถมองเห็นบริเวณโถงนั่งเล่นได้ชัดเจนเกือบจะทุกส่วน รวมไปถึงที่ระเบียงด้านนอกด้วยเลยนะเนี่ย อีกมุมของโถงทางเดินบริเวณชั้น 3 ครับ ตกแต่งมาแบบเรียบง่ายแต่มีสไตล์ครับ เรามาดูห้องนอนเล็กห้องแรกกันดีกว่า ห้องนี้ตกแต่งมาในสไตล์เข้มๆ เน้นโทนสีเทาดำ เฟอร์นิเจอร์เลือกใช้เป็นแบบลอยตัวเสียส่วนใหญ่ ภายในห้องเลยดูสบายๆ ไม่อึดอัด คล้ายๆ กันกับส่วนอื่นๆ ของตัวบ้านนะครับที่จะเน้นให้มีหน้าต่าง เปิดช่องให้แสงธรรมชาติเข้ามาเยอะๆ ภายในห้องนี้ก็เช่นกันครับ มีช่องหน้าต่างมากถึง 3 บานด้วยกัน ภายในห้องเลยสว่างได้โดยที่แทบจะไม่ต้องเปิดไฟเลยในช่วงกลางวัน ผนังอีกด้านของห้อง ทางโครงการเลือก Built-in ด้วยไม้ย้อมสีเทาดำ พร้อมจัดวางตำแหน่งสำหรับแขวนทีวีมาให้แล้ว แถมยังแอบซ่อนตู้เสื้อผ้าเอาไว้ที่ผนังด้านนี้ด้วย ถ้าดูเผินๆ ก็แทบจะมองไม่เห็นประตูตู้เสื้อผ้าเลยนะครับ ต้องสังเกตุกันดีๆ หน่อย ถัดเข้ามาด้านในสุดของห้องจะเป็นพื้นที่ของห้องน้ำ และมุมทำธุระส่วนตัว แล้วก็มีประตูกระจกบานเล็กที่สามารถเปิดออกไปที่ระเบียงด้านนอกได้อีกเช่นกัน ส่วนนี้จะวางอ่างล้างหน้าพร้อมติดตั้งกระจกให้เต็มบาน ด้านล่างมีพื้นที่วางเก้าอี้เล็กๆ หรือตะกร้าผ้าได้ อีกอย่างมุมนี้เปิดรับแสงจากภายนอกได้ดีเลยครับ เพราะกำแพงบล็อคแก้วตรงระเบียงนั่นแหละ ทางโครงการเลือกใช้ชุดสุขภัณฑ์ในห้องน้ำที่มีดีไซน์ทันสมัย สวยงามดีนะครับ อีกด้านของห้องน้ำ กั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อน ภายในกั้น Shower Box ไว้เรียบร้อย ชุดสุขภัณฑ์ของ Kohler ตามมาตรฐานครับ ชุดฝักบัวพร้อมก๊อกหัวผสม ถึงจะไม่มีช่องวางของ แต่ Low Wall ตรงนี้ก็วางของได้เยอะพอตัวเลยแหละ ตรง Shower Box มีประตูกึ่งหน้าต่างบานใหญ่ สามารถเปิดออกเพื่อช่วยระบายความชื้นได้ และพื้นที่ด้านนอกที่เปิดไปจะเป็นระเบียงเล็กๆ ที่ไว้วางคอมเพรสเซอร์แอร์ครับ พื้นและผนังใน Shower Box เลือกใช้กระเบื้องสีเข้ม มี texture กันลื่นได้ดี และมีการออกแบบตำแหน่งสโลปสำหรับการระบายน้ำที่ดีด้วย พื้นของ Shower Box จะดรอปต่ำลงมาจากพื้นห้องน้ำอีกประมาณ 5 เซนติเมตร เพื่อป้องกันน้ำล้นออกไปที่ห้องด้านนอก สุดโถงทางเดินของชั้น 3 บริเวณหน้าห้องนอนห้องสุดท้ายจะมีหน้าต่างบานใหญ่ เปิดรับแสงธรรมชาติได้เต็มที่ เปิดออกไปจะเห็นระเบียงเล็กๆ ซึ่งเป็นตำแหน่งวางคอมเพรสเซอร์แอร์ของห้องนอนเล็กครับ ส่วนห้องนอนเล็กห้องสุดท้ายที่อยู่ด้านในสุดทางเดิน จะถูกตกแต่งในอีกสไตล์ที่แตกต่างกันออกไป ห้องนี้จะเลือกวางเตียงในขนาดใหญ่ขึ้นมาหน่อย ซึ่งพื้นที่ภายในห้องก็ยังเหลือให้ใช้สอยกันได้สบายๆ ทางด้านปลายเตียงทางโครงการ Built-in เป็นมุมทำงานเล็กๆ ติดกับจุดแขวนทีวีสูงเต็มผนัง ซึ่งของจริงจะไม่มีตู้ไม้ตรงนี้มาให้นะครับ อันนี้ทางโครงการตกแต่งไว้ให้ดูเป็นไอเดียการจัดแบ่งพื้นที่เท่านั้น ข้างๆ ผนังด้านที่แขวนทีวีจะเป็นทางเดินไปในโซนแต่งตัว และห้องน้ำครับ ผนังด้านที่แขวนทีวี อีกด้านคือตู้และชั้นวางของนั้นเอง ซึ่งการที่ทางโครงการเลือก Built-in มาในลักษณะนี้ก็จะช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บของให้มากขึ้น และเป็นการแบ่งพื้นที่ใช้สอยให้เป็นสัดส่วนมากขึ้น อีกด้านก็ Built-in เป็นตู้เสื้อผ้าเต็มผนังอีกเช่นกัน ตรงนี้เลยเหมือนเราได้ Walk in Closet ขนาดย่อมๆ เพิ่มเข้ามาในห้องนอนเล็กเลยล่ะครับ บริเวณหน้าห้องน้ำ ก็จัดโต๊ะเครื่องแป้งไว้เป็นมุมแต่งตัวเล็กๆ แล้วก็มีประตูกระจกเปิดออกไปที่ระเบียงได้เหมือนกับห้องอื่นๆ อีกเช่นกัน ห้องน้ำในห้องนอนเล็กนี้จะรวมทุกอย่างไว้ด้านใน ไม่ได้แยกอ่างล้างหน้ามาไว้นอกห้องน้ำแบบห้องก่อนหน้านะครับ ประตูห้องน้ำยังคงกั้นด้วยประตูกระจกบานเลื่อนแบบเดียวกัน Shower Box ด้านในก็มีประตูกึ่งหน้าต่างที่เปิดออกไปด้านนอกได้เหมือนกัน และกันพื้นที่ส่วนเปียกส่วนแห้งไว้ให้เรียบร้อย อ่างล้างหน้าของห้องนี้เป็นแบบลอยตัวนะครับ แต่เลือกเจาะช่องติดกระจกบานใหญ่ กับใช้ Low Wall เป็นที่วางของแทน ชุดฝักบัวและ Low Wall สำหรับวางของเป็นแบบเดียวกันกับห้องนอนก่อนหน้านี้เป๊ะเลยครับ เช่นเดียวกันกับการดรอปพื้นห้องน้ำ และตำแหน่งการสโลปของจุดระบายน้ำ Post from RICOH THETA. - Spherical Image - RICOH THETA โถงทางเดินบริเวณชั้น 3 มองลงไปเห็น Living Area ที่ชั้น 2 Post from RICOH THETA. - Spherical Image - RICOH THETA ห้องนอนห้องแรกบนชั้น 3 Post from RICOH THETA. - Spherical Image - RICOH THETA ห้องนี้เป็นห้องนอนที่ 2 Post from RICOH THETA. - Spherical Image - RICOH THETA โครงการตกแต่งเป็นห้องแต่งตัวแบบ Walk in Closet ก่อนเข้าไปยังห้องน้ำ Private Nirvana Residence North ‘n East เป็นหนึ่งในโครงการที่น่าสนใจไม่น้อยเลยนะครับ ทั้งเรื่องทำเลที่ตั้ง ที่อยู่ในย่านที่มีการเดินทางสะดวก ใกล้แหล่งช็อปปิ้ง และมีร้านอาหารให้เลือกมากมาย ที่สำคัญทาง Developer เจ้าของโครงการก็ใส่ใจรายละเอียดต่างๆ อยู่ตลอดเวลา มีการปรับเพิ่มวัสดุ และดีไซน์พื้นที่ภายในบ้านจากแบบแรกที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ก็ได้พัฒนาให้ตอบโจทย์ลูกบ้านมากขึ้น แถมยังเลือกใช้วัสดุต่างๆ อย่างดี ได้คุณภาพเหมาะสมกับราคาบ้านมากๆ เลยทีเดียว วัสดุหลายชิ้นเป็นของนำเข้าจากต่างประเทศ หรือถ้าเป็นวัสดุในบ้านเราก็จะเลือกที่เป็นวัสดุที่ได้มาตรฐานการส่งออก เพื่อให้บ้านที่เราเลือกมีคุณภาพ แข็งแรง คงทนอยู่กับเราไปได้นานๆ แบบไร้ปัญหาจุกจิกกวนใจ..... เจ้าของโครงการดูแลเอง จัดเต็มมาให้แบบพรีเมี่ยม ใครที่กำลังมองหาบ้านคุณภาพไม่ควรพลาดโครงการนี้นะครับ โครงการบ้านอื่นๆ ที่น่าสนใจ รีวิวบ้านแฝด ใกล้เลียบด่วน “Private Nirvana THROUGH Ekamai-Raminthra” รีวิว บ้าน Nirvana BEYOND พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา รีวิวบ้าน เฉลิมพระเกียรติ ร.9 “THE SONNE ศรีนครินทร์-บางนา”
10 ข้อผิดพลาด กับการเลือกซื้อบ้านหรือคอนโดมือสอง

10 ข้อผิดพลาด กับการเลือกซื้อบ้านหรือคอนโดมือสอง

การซื้อหา บ้าน และคอนโด หรือที่อยู่อาศัย มีได้ไม่กี่ครั้งในชีวิตของคนส่วนใหญ่ แม้จะเป็นบ้านและคอนโดมือสองก็ตาม เพราะต้องใช้เงินไม่น้อยในการดาวน์ การผ่อนเป็นเวลานานหลายปี ทำให้ถ้าพลาดแล้ว ยากที่จะแก้ปัญหาได้ สิ่งที่คุณควรทำคือ ป้องกันไว้ก่อน จากการพบเห็นประสบการณ์ของคนอื่นที่เคยพลาดมาแล้ว ซึ่งโฮมบายเออร์ไกด์ รวบรวมมาให้แล้วทั้ง 10 ข้อต่อไปนี้ครับ 1. หลงความสวยงาม มากกว่าทำเล คนทั่วไปมักติดกับดักเรื่องความงาม แต่เรื่องที่อยู่อาศัยแล้ว ทำเลเป็นเรื่องสำคัญกว่าความงามบ้านมือสองหลายๆหลังที่ถูกประกาศขายมักเป็นบ้านที่เคยมีคนอยู่อาศัยแล้ว เป็นแบบบ้านรุ่นเก่า สีสันอาจดูเก่าไปตามอายุ แต่บ้านเหล่านี้มักจะอยู่ในทำเลที่ดีกว่าบ้านใหม่ อยู่ในเมืองมากกว่า ใกล้ระบบขนส่งและสาธารณูปโภคมากกว่า ฉะนั้นอย่าได้หลงความงามเลย ว่ากันว่าอยากทำให้บ้านใหม่ ก็เพียงแต่ทาสีใหม่เท่านั้นแหละ แต่อยากได้ทำเลใหม่นี่ต้องซื้อใหม่อย่างเดียวเลย 2. เลือกบ้านสวยแต่ชุมชนและสภาพแวดล้อมแย่ นอกจากคุณจะซื้อบ้านเดี่ยวท่ามกลางป่าเขา ส่วนใหญ่แล้วการต้องอยู่ร่วมกับบ้านใกล้เคียงคือสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้  ดังนั้น อย่าลืมสำรวจบ้านอื่นๆ รอบข้าง หรือสิ่งแวดล้อมในระแวกใกล้เคียงนั้นด้วยว่ามีสภาพความเป็นอยู่อย่างไร ทั้งความสะอาดและลักษณะของเพื่อนบ้านใกล้เคียง ยิ่งคุณมีลูกหลาน ยิ่งต้องให้ความสำคัญในเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพื่อไม่ให้เขาเกิดขึ้นมากับสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี นอกจากนั้น สภาพชุมชนรอบข้างที่แย่ก็อาจทำให้มูลค่าบ้านลดลง อีกทั้งในภายหลังเมื่อย้ายมาอยู่ ก็อาจต้องเจอปัญหาอีกสารพัด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเดินทางเข้าออก ความปลอดภัย และสภาพจิตใจของทุกคนในครอบครัว ซึ่งคุณควรให้วามสำคัญอันดับแรก และอย่าลืมว่า ไม่จำเป็นที่บ้านต้องราคาแพงหลายล้าน ถึงจะมีสภาพแวดล้อมที่ดีได้ บ้านราคาที่่พอซื้อได้แต่มีชุมชนที่ดีมีอีกมาก แค่ใช้เวลาเลือกอีกซักหน่อยคุณจะพบบ้านหรือคอนโดที่สภาพแวดล้อมดีได้ 3. หลีกเลี่ยงการซื้อจากนายหน้า หลายคนมักรังเกียจนายหน้า มักคิดว่าการซื้อบ้านมือสองผ่านนายหน้าจะทำให้มีราคาแพงกว่าปกติ เพราะราคาบ้านจะถูกบวกไปกับค่านายหน้า แต่อันที่จริงแล้ว นายหน้ามืออาชีพจะเป็นผู้แนะนำผู้จะขายว่าราคาขายที่เหมาะสมควรเป็นอย่างไร ไม่สูงเวอร์หรือต่ำเกินไป ข้อดีของการซื้อผ่านนายหน้าก็คือนายหน้าจะช่วยอำนวยความสะดวกในการซื้อขายให้เราทั้งหมด ช่วยดูแลความเรียบร้อยของบ้าน และที่สำคัญการซื้อผ่านนายหน้าก็ต่อราคาได้ 4. อย่ารีบร้อนเกินไป ใจเย็นที่สุด อย่าตัดสินใจซื้อทันทีที่ชอบ จงใช้เทคนิคซื้อบ้านเพียง 1 หลัง เลือกและต่อรองจากบ้านมากกว่า 1 หลัง เพื่อเลือกซื้อบ้านที่มีราคาและเงื่อนไขดีที่สุด ปกติคนทั่วไปเวลาซื้อบ้านสักหลัง จะเลือกซื้อจากบ้านที่พิจารณาเพียงแค่ 1-3 หลังเท่านั้น ซึ่งทำให้เสียโอกาสในการซื้อบ้านราคาถูกไป เทคนิคที่ดีที่สุดก็คือ แม้ว่าจะเป็นการซื้อบ้านเพียงหลังเดียว แต่ก็ควรจะเลือกบ้านที่ดีที่สุด จากบ้านจำนวนมากหลังที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ให้ระลึกไว้เสมอว่ายิ่งมีบ้านให้เลือกมากเท่าใด ก็จะยิ่งเกิดประโยชน์กับผู้ซื้อมากขึ้นเพียงนั้น 5. ซื้อบ้านไม่รู้ประวัติ ฟังดูอาจดูเรื่องมากไปนิด ต่างที่ดีก่อนจะซื้อควรหาโอกาสไปคุยกับเพื่อนบ้านดูสักหน่อยว่าเจ้าของบ้านเดิมเป็นใคร เคยมีเหตุการณ์สยองขวัญในบ้านหรือคอนโดห้องดังกล่าวหรือไม่ หากมารู้เอาภายหลังเมื่อซื้อมาแล้ว อาจทำให้อยู่ไม่เป็นสุขกันล่ะคราวนี้ 6. ไม่สอบถามเรื่องค่าสาธารณูปโภคค้างจ่ายจากเจ้าของเก่า ข้อนี้ให้พูดคุยสอบถามกันให้ชัดเจนก่อนซื้อ เพราะมีเหตุการณ์ที่เจ้าของคอนโดฯ เดิมซื้อมานานแล้วไม่เคยไปอยู่อาศัยเลย ค่าส่วนกลางก็ไม่เคยเสีย เวลาล่วงเลยมาหลายปีจึงตัดสินใจขาย กฎหมายกำหนดให้ผู้ขายต้องมีหนังสือรับรองยืนยันปลอดภาระหนี้จากนิติบุคคล หากไม่มี ต้องตกลงกันให้ชัดเจนก่อนว่าใครจะเป็นผู้รับภาระ  และจะต้องชำระก่อนการโอนด้วย เพื่อให้ได้หนังสือรับรองดังกล่าวมาเป็นส่วนประกอบการโอน 7. ไม่สอบถามผู้เชี่ยวชาญ และเชื่อแต่ตัวเอง ในการลงทุนในบ้านมือสอง ถ้าเกิดข้อสงสัยขึ้นมาเมื่อไหร่ อย่าด่วนตัดสินใจเรื่องหนึ่งเรื่องใดไปเป็นอันขาด ให้ถามหรือใช้บริการผู้เชี่ยวชาญเสมอ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ล้วนอยู่ใกล้ตัวท่านอยู่แล้ว เช่น ผู้ประเมินราคา ช่างก่อสร้าง เจ้าหน้าที่สินเชื่อ หรือนักกฎหมาย ฯลฯ ที่ต้องทำอย่างนี้เพราะปกติแล้วต้นทุนในการใช้บริการผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ เมื่อเทียบกับความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นจากความผิดพลาด น้อยกว่ากันลิบลับอย่างเทียบกันไม่ติดเลย 8. คิดเรื่องซ่อมหลังซื้อ (จงคิดเรื่องซ่อมแล้วค่อยซื้อ) ข้อผิดพลาดอีกประการหนึ่งในการเลือกซื้อบ้านมือสองในปัจจุบัน ก็คือคนส่วนใหญ่มักคิดเรื่องการซ่อมแซม หลังจากที่ซื้อบ้านมาแล้ว ซึ่งที่ถูกต้องแล้วการซ่อมแซม ควรเป็นประเด็นที่ต้องมีการหยิบยกมาพิจารณาก่อนที่คิดจะซื้อบ้านเสมอ เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยให้การลงทุนมีความปลอดภัย และช่วยประหยัดงบในการลงทุน เนื่องจากการประมาณการต้นทุนค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมล่วงหน้า จะทำให้ทราบถึงต้นทุนแท้จริงในการลงทุน และสามารถหยิบยกข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในการต่อรองราคาซื้อบ้านให้ต่ำลงได้เป็นอย่างดี 9. ให้ความสำคัญกับวัสดุ มากกว่าช่างซ่อมบ้าน เมื่อได้บ้านมือสองมาแล้ว ก็ถึงคราวซ่อมแซมตกแต่ง  ปัญหากวนใจอันหนึ่ง ก็คือเรื่องการเลือกใช้ช่างก่อสร้างกับการเลือกใช้วัสดุก่อสร้าง ซึ่งถ้าเลือกใช้ของดีทั้งคู่ ก็จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก ปัญหาอยู่ที่ว่า ถ้าจำเป็นต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เนื่องจากมีงบประมาณจำกัด ดังนั้นควรจะให้น้ำหนักความสำคัญสิ่งไหนมากกว่ากันจึงจะดี กรณีแบบนี้คำตอบง่ายๆ ก็คือ ต้องเน้นที่ช่างก่อสร้างที่มีฝีมือ เป็นสำคัญ  โดยวัสดุก่อสร้างขอให้ถือเป็นเรื่องรอง ที่ต้องทำอย่างนี้เพราะช่างที่มีฝีมือ สามารถช่วยแก้ปัญหาตำหนิหรือความไม่สวยงามที่เกิดจากวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างได้ แต่ถ้าใช้ช่างที่ไม่มีฝีมือและขาดความชำนาญเมื่อไหร่ แม้จะใช้วัสดุก่อสร้างดีแค่ไหนก็ตาม ก็ไม่วายต้องเจอปัญหาเปลืองค่าใช้จ่าย และทำให้บ้านขาดความสวยงามได้ 10. ไม่ดูสัญญาให้ดีก่อนตกลงซื้อขายบ้านหรือคอนโดมือสอง สัญญาจะซื้อจะขายเป็นเรื่องสำคัญ ระหว่างผู้จะซื้อกับผู้จะขาย ส่วนใหญ่จะดาวน์โหลดจากเว็บไซต์ต่างๆ  มากรอกรายละเอียดกันเอง ฉะนั้นต้องดูเรื่องการวางเงินมัดจำ ค่าปรับหรือเรื่องการผิดสัญญาของแต่ละฝ่ายให้ดี เพราะหากไม่รัดกุม เมื่อคนขายได้ผู้ซื้อรายใหม่ที่ให้ราคาดีกว่า เขาอาจยกเลิกสัญญาไปเสียดื้อๆ ก็ได้ และที่สำคัญ เรื่องค่าใช้จ่ายในการทำนิติกรรม  ค่าภาษีธุรกิจเฉพาะ และภาษีเงินได้ ใครจะเป็นผู้ออก   ขอบคุณข้อมูลจาก home.co.th
ภาษีจากการขายอสังหาริมทรัพย์สำหรับบุคคลธรรมดา

ภาษีจากการขายอสังหาริมทรัพย์สำหรับบุคคลธรรมดา

การขายอสังหาริมทรัพย์ หากใครไม่เคยขายจะไม่รู้ว่ามีค่าใช้จ่ายเกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภาษีธุรกิจเฉพาะ อากรแสตมป์ ค่าใช้จ่ายอื่นๆ เช่น ค่าพยาน ค่าคำขอ ค่าจดทะเบียน ฯลฯ แล้วยังมีภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายอีกด้วย ดังนั้น หากมีความจำเป็นต้องขายอสังหาริมทรัพย์ เรามารู้จักค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นก่อนว่ามีอะไรบ้าง ภาษีธุรกิจเฉพาะ จะเกิดขึ้นในกรณีที่มีการขายอสังหาริมทรัพย์ภายใน 5 ปีตั้งแต่วันที่ได้มา หรือมีชื่อในทะเบียนบ้านหลังที่ขายน้อยกว่า 1 ปี อย่างเช่นเราขายบ้านที่ซื้อมาเมื่อ 3 ปีก่อน เราจะต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะในอัตราร้อยละ 3 ของราคาขายหรือราคาประเมินแล้วแต่อย่างใดจะสูงกว่า นอกจากนี้ยังต้องเสียภาษีรายได้ส่วนท้องถิ่นอีกร้อยละ 10 ของภาษีธุรกิจเฉพาะ หรือรวมแล้วจะเท่ากับร้อยละ 3.3 อากรแสตมป์ ถ้ามีการถือครองอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป หรือมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป จะไม่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ แต่จะเสียอากรแสตมป์ในอัตราร้อยละ 0.5 ของราคาขายหรือราคาประเมินแล้วแต่ราคาใดจะสูงกว่า อย่างเช่นเราขายบ้านที่อยู่มาแล้ว 7 ปี ก็จะเข้าข่ายเสียอากรแสตมป์ ในกรณีนี้ก็จะช่วยประหยัดค่าภาษีธุรกิจเฉพาะไปได้เป็นต้น ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย ซึ่งการคิดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่ายจะหักค่าใช้จ่ายตามจำนวนปีที่ถือครองซึ่งสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ตั้งแต่ร้อยละ 92 จนถึงร้อยละ 50 ในกรณีขายบ้านที่ได้รับมาโดยมรดกจะสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ร้อยละ 50 จากนั้นคงเหลือเงินได้สุทธิเท่าไร ก็นำมาคำนวณตามฐานภาษี ดังนี้ 0 – 300,000 เสียร้อยละ 5 300,000 – 500,000 เสียร้อยละ 10 500,000 – 750,000 เสียร้อยละ 15 750,000 – 1,000,000 เสียร้อยละ 20 1,000,000 – 2,000,000 เสียร้อยละ 25 2,000,000 – 4,000,000 เสียร้อยละ 30 มากกว่า 4,000,000 เสียร้อยละ 35 ซึ่งฐานภาษีนี้จะแตกต่างจากฐานภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ในส่วนของเงินได้สุทธิช่วง 300,000 บาทแรก จะต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 5 ซึ่งแตกต่างจากการเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทั่วไปที่มีเงินได้สุทธิ 0 – 150,000 บาทแรกจะได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษี นอกจากค่าใช้จ่ายข้างต้นแล้ว ยังมีค่าธรรมเนียมการโอนอีก 2% ของราคาขาย ซึ่งขึ้นอยู่กับการตกลงกันระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายว่าใครจะเป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย ดังนั้น ก่อนการขายอสังหาริมทรัพย์ควรพิจารณาค่าใช้จ่ายที่จะเกิดขึ้นว่าเป็นเท่าไหร่ สามารถลดลงได้หรือไม่ โดยเฉพาะภาษีธุรกิจเฉพาะ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ขายประหยัดภาษีได้ถึงร้อยละ 3.3 นอกจากนี้ การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หากเรามีรายได้จากการทำงานอื่นๆ อยู่แล้วไม่ควรนำภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาหัก ณ ที่จ่าย ไปรวมคำนวณ เพราะจะทำให้ฐานภาษีสูงขึ้น   ขอขอบคุณข้อมูลจาก K-Expert
ผ่อนบ้านอย่างไรให้หมดเร็ว

ผ่อนบ้านอย่างไรให้หมดเร็ว

เดี๋ยวนี้การเป็นเจ้าของบ้านสักหลังหนึ่งไม่ใช่เรื่องยาก ไม่ต้องรอเก็บเงินก้อนใหญ่ ก็สามารถซื้อบ้านได้ โดยการขอสินเชื่อ ขอเพียงมีรายได้ถึงเกณฑ์ขั้นต่ำ อาชีพการงานที่มั่นคง มีความสามารถในการชำระหนี้ หรือมีประวัติการชำระหนี้ที่ผ่านมาดี ก็มีโอกาสได้รับพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ แต่เมื่อซื้อบ้านด้วยการขอสินเชื่อ สิ่งที่ตามมา ก็คือ ดอกเบี้ย ซึ่งรู้หรือไม่ว่า กว่าเราจะผ่อนบ้านหมดสักหลังหนึ่ง ต้องจ่ายดอกเบี้ยเป็นเงินเท่าไร แล้วถ้าไม่อยากต้องจ่ายดอกเบี้ยเยอะๆ หรืออยากให้ภาระหนี้ก้อนนี้หมดเร็วๆ จะทำอย่างไรได้บ้าง เรามีคำแนะนำมาฝาก สมมติเรากู้ซื้อบ้าน 3 ล้านบาท ถ้าเลือกผ่อนสัก 10 ปี จะจ่ายดอกเบี้ยประมาณ 9 แสนบาท แล้วถ้าเลือกผ่อนนานขึ้นเป็น 20 ปี คิดเป็นดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายทั้งหมดประมาณ 2.5 ล้านบาท จะเห็นได้ว่า ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในการกู้ซื้อบ้านหลังหนึ่ง เทียบได้กับราคารถยนต์คันหนึ่ง หรือสามารถซื้อบ้านได้อีกหลังหนึ่งเลยทีเดียว แต่เราสามารถประหยัดดอกเบี้ยจากการผ่อนบ้านได้ด้วย 3 เคล็ดลับที่นำมาฝากดังนี้ เคล็ดลับที่ 1 เพิ่มยอดผ่อนในแต่ละงวด แทนที่จะผ่อนบ้านตามยอดผ่อนปกติ ก็เพิ่มเงินผ่อนแต่ละงวดให้มากขึ้นอีกสักหน่อย ก็ช่วยให้หนี้หมดไวขึ้น จากตัวอย่าง กู้ซื้อบ้าน 3 ล้านบาท ถ้าผ่อน 20 ปี จะผ่อนเดือนละ 22,300 บาท และคิดเป็นดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายทั้งหมดประมาณ 2.5 ล้านบาท ถ้าเราเพิ่มเงินผ่อนอีกเดือนละ 10% หรือ 2,230 บาท ระยะเวลาผ่อนบ้านจาก 20 ปีจะเหลือ 17 ปี และจ่ายดอกเบี้ยทั้งหมดประมาณ 1.9 ล้านบาท ประหยัดดอกเบี้ยได้เกือบ 6 แสนบาท แต่ถ้าเราเพิ่มเงินผ่อนอีกเดือนละ 30% หรือ 6,690 บาท ระยะเวลาผ่อนบ้านจาก 20 ปีจะเหลือ 12.5 ปี และจ่ายดอกเบี้ยทั้งหมดประมาณ 1.4 ล้านบาท ประหยัดดอกเบี้ยได้ถึง 1.1 ล้านบาท จะเห็นได้ว่า เพิ่มเงินผ่อนบ้านเพียงหลักพันในแต่ละเดือนช่วยให้ประหยัดดอกเบี้ยได้หลักแสนถึงหลักล้าน และหมดหนี้ได้เร็วขึ้น ซึ่งการที่เราจะมีเงินมาผ่อนบ้านในแต่ละเดือนมากขึ้นได้นั้น เพียงแค่ลดค่าสังสรรค์ ค่าชอปปิ้ง เพียงเดือนละไม่กี่พัน ก็จะช่วยให้ผ่อนบ้านหมดไวขึ้น เคล็ดลับที่ 2 โปะบ้านด้วยเงินก้อน เมื่อได้รับเงินก้อน เช่น เงินโบนัส อย่าเพิ่งเอาไปเที่ยว ชอปปิ้ง จนหมด แบ่งมาสร้างอิสรภาพทางการเงินให้ตัวเอง ด้วยการโปะบ้านเพื่อให้ยอดหนี้ลดลง จากตัวอย่างเดิม กู้ซื้อบ้าน 3 ล้านบาท ถ้าผ่อน 20 ปี จะจ่ายดอกเบี้ยทั้งหมด 2.5 ล้านบาท สมมติเงินเดือนของเราอยู่ที่ 50,000 บาท ได้รับโบนัส 3 เดือน เท่ากับ 150,000 บาท ถ้าแบ่งมาโปะบ้าน 1 แสนบาท โดยโปะเมื่อผ่อนบ้านไปแล้ว 1 ปี และโปะเพียงครั้งเดียว คิดเป็นดอกเบี้ยที่ประหยัดได้ตลอดระยะเวลาที่เหลือเกือบ 3 แสนบาท และระยะเวลาผ่อนบ้านลดลงเกือบ 1.5 ปี จะเห็นได้ว่า โปะบ้านเพียงครั้งเดียวด้วยเงิน 1 แสนบาท ยังประหยัดดอกเบี้ยได้หลายแสน แล้วถ้าโปะบ้านทุกครั้งที่มีเงินก้อนหรือได้เงินโบนัส จะประหยัดดอกเบี้ยได้มากขนาดไหน เมื่อพูดถึงการโปะบ้าน หลายคนอาจสงสัยว่า ถ้ามีเงินก้อนควรเอาไปโปะบ้านหรือเอาไปลงทุนดีกว่ากัน ... ขอแนะนำว่า ถ้าสามารถลงทุนได้ผลตอบแทนสูงกว่าดอกเบี้ยบ้านที่จ่ายอยู่ ก็คุ้มที่จะนำเงินก้อนไปลงทุน แต่โดยทั่วไปดอกเบี้ยบ้านเฉลี่ยอยู่ที่ 6-7% ต่อปี ซึ่งการลงทุนที่สามารถให้ผลตอบแทนสูงกว่านี้ มักเป็นการลงทุนที่มีความเสี่ยง เช่น หุ้น โดยมีโอกาสขาดทุนที่สูงได้ ดังนั้น ถ้าไม่มั่นใจเรื่องผลตอบแทนที่จะได้รับ การนำเงินก้อนไปโปะบ้านก็จะคุ้มค่ากว่า เคล็ดลับที่ 3 รีไฟแนนซ์เพื่อลดดอกเบี้ย การรีไฟแนนซ์เป็นการย้ายสถาบันการเงิน หรือขอปรับลดดอกเบี้ยกับสถาบันการเงินที่เราผ่อนบ้านอยู่ โดยทั่วไปจะทำให้เราจ่ายดอกเบี้ยลดลงจากอัตราดอกเบี้ยที่จ่ายอยู่ในปัจจุบัน แต่ถ้ารีไฟแนนซ์โดยการย้ายสถาบันการเงิน อย่าลืมเปรียบเทียบดอกเบี้ยที่ประหยัดได้ กับค่าใช้จ่ายที่ตามมาจากการรีไฟแนนซ์ ซึ่งได้แก่ 1. ค่าธรรมเนียมในการจำนอง (จ่ายกรมที่ดิน) 1% ของวงเงินกู้ใหม่ 2. ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ใหม่ 3. ค่าประเมินหลักประกัน 2,700 บาท (ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคาร) ยกตัวอย่างเช่น วงเงินกู้ใหม่ 3 ล้านบาท จะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 30,000 + 1,500 + 2,700 = 34,200 บาท สมมติ เดิมผ่อนบ้านที่อัตราดอกเบี้ย 7.1% ต่อปี คิดเป็นดอกเบี้ยจ่ายในช่วง 3 ปี ประมาณ 6 แสนบาท แต่ถ้ารีไฟแนนซ์โดยอัตราดอกเบี้ยใหม่อยู่ที่ 5.5% ต่อปี ดอกเบี้ยจ่ายในช่วง 3 ปี รวมกับค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์ จะอยู่ที่ประมาณ 5 แสนบาท เห็นได้ว่า การรีไฟแนนซ์ช่วยประหยัดเงินได้ถึงหลักแสน ทั้งนี้ โดยทั่วไปเราสามารถรีไฟแนนซ์ได้โดยไม่เสียค่าธรรมเนียมหรือค่าปรับเมื่อผ่อนบ้านไปแล้วอย่างน้อย 3 ปีนับตั้งแต่วันที่เริ่มกู้ ซึ่งค่าธรรมเนียมในการรีไฟแนนซ์ก่อนกำหนดอยู่ที่ 2-3% ของวงเงินกู้ครั้งแรกหรือวงเงินกู้คงเหลือ ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคาร ดังนั้น ควรดูเงื่อนไขในสัญญาให้ดีก่อนรีไฟแนนซ์ เชื่อว่า ถ้าทุกๆ ท่านที่ผ่อนบ้านอยู่ทำตามเคล็ดลับ 3 ข้อที่แนะนำข้างต้น จะสามารถประหยัดเงินในกระเป๋าที่ต้องจ่ายไปในส่วนของดอกเบี้ยได้เป็นหลักแสนหรือหลักล้าน ที่สำคัญระยะเวลาที่เป็นหนี้ก็ลดลง ทำให้เราได้เป็นเจ้าของบ้านอย่างเต็มตัวเร็วขึ้น   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  K-Expert
เตรียมกู้บ้านให้ผ่าน แบบเจ้าของกิจการ

เตรียมกู้บ้านให้ผ่าน แบบเจ้าของกิจการ

“เวลาเป็นเงินเป็นทอง” คำพูดนี้น่าจะเหมาะกับคนที่เป็นเจ้าของกิจการ เพราะวันไหนหยุด หรือปิดร้าน วันนั้นก็จะไม่มีรายได้เข้ามา และสำหรับกิจการเจ้าของคนเดียวที่ต้องทำทุกอย่างเองหมด ไม่ว่าจะเป็นการซื้อของมาขาย เปิด ปิดร้าน ทำให้เวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการหารายได้ จนบางครั้งเผลอหรือลืมที่จะเก็บเอกสารทางการค้าเอาไว้ หรือไม่มีเวลาพอที่จะนำเงินไปเข้าบัญชีธนาคาร สาเหตุเหล่านี้ทำให้เจ้าของกิจการหลายรายประสบปัญหาในการกู้ซื้อบ้าน เนื่องจากเอกสารต่างๆ ไม่พร้อม แล้วจะทำอย่างไรให้พร้อมยื่นกู้ เรามีคำแนะนำสำหรับเจ้าของกิจการที่กำลังมีแผนยื่นกู้ซื้อบ้านดังนี้ครับ     บอกให้ได้ว่ากิจการทำอะไร    เอกสารสำคัญที่เจ้าของกิจการจะต้องเตรียมให้กับธนาคารสำหรับการยื่นกู้ เพื่อให้ธนาคารทราบว่าประกอบกิจการอะไรนั้น ได้แก่ - ทะเบียนการค้าหรือทะเบียนพาณิชย์ ของกิจการที่เป็นบุคคลธรรมดา ซึ่งรายละเอียดในทะเบียนการค้าจะระบุว่ากิจการที่ทำอยู่นั้นคืออะไร และวันที่จดทะเบียนจะสะท้อนให้เห็นว่าประกอบกิจการมานานแค่ไหน สำหรับเจ้าของกิจการรายใหม่ที่กำลังจะมีแผนจดทะเบียนการค้าหรือทะเบียนพาณิชย์ก็สามารถยื่นเอกสารขอจดทะเบียนได้ที่สำนักงานเขต หรือองค์การบริหารส่วนตำบล(อบต.) หรือเทศบาล - สัญญาเช่า เช่น เปิดร้านค้าในห้างสรรพสินค้า เช่าร้านค้าในตึกแถว เอกสารสัญญาเช่าจะช่วยบอกได้ว่ากิจการตั้งอยู่ที่ใด ทำมาแล้วนานแค่ไหน โดยอาจใช้สัญญาเช่าที่ทำไว้ในอดีตควบคู่กัน   บอกให้ได้ว่ากิจการมีรายได้เท่าไร   สิ่งสำคัญที่จะสะท้อนรายได้ของกิจการบุคคลธรรมดานั่นก็คือ รายการเดินบัญชีย้อนหลัง (Statement) ซึ่งนอกจากจะช่วยประเมินให้เห็นว่ากิจการมีรายได้เท่าไรแล้ว ยังสะท้อนได้ว่ากิจการประกอบการค้าเป็นอย่างไร เช่น ได้รับเงินทุกวันอย่างการขายของชำ ขายอาหาร หรือมีรายได้เป็นรายสัปดาห์ เช่น โรงเรียนสอนพิเศษ โดยการเดินบัญชีที่ดีควรฝากเงินหรือถอนเงินตามรายได้หรือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจริง และไม่ตกแต่งบัญชี โดยธนาคารจะพิจารณารายการเดินบัญชีย้อนหลังอย่างน้อย 6 เดือน นอกจากรายการเดินบัญชีย้อนหลังแล้ว หากกิจการมีเอกสารเพิ่มเติมที่ช่วยสะท้อนรายได้ของกิจการก็ควรยื่นประกอบการพิจารณาสินเชื่อด้วยครับ ซึ่งได้แก่ - บิลการค้า สำหรับกิจการที่ทำการค้าแล้วมีการออกบิลหรือใบเสร็จให้กับลูกค้า หรือใบเสร็จที่ได้จากการซื้อสินค้ามาขาย -  เอกสารการเสียภาษี เช่น ภพ. 30 สำหรับกิจการที่มีการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม เจ้าของกิจการถือว่าเป็นอาชีพที่สร้างรายได้มากมายอย่างไม่จำกัด แต่ในการกู้เงินหากไม่สามารถสะท้อนให้เห็นได้ว่ากิจการมีรายได้เป็นอย่างไร หรือไม่ชัดเจนว่าประกอบกิจการอะไร โอกาสในการได้รับอนุมัติเงินกู้ก็อาจจะเป็นไปได้ยากครับ   ขอขอบคุณข้อมูลจาก  K-Expert
อยากได้เงินมาซ่อมบ้าน ต้องทำอย่างไร 

อยากได้เงินมาซ่อมบ้าน ต้องทำอย่างไร 

เชื่อว่าใครๆ ก็อยากให้บ้านแสนรักยังคงสภาพสวยงามเหมือนใหม่อยู่เสมอ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อระยะเวลาผ่านไปนานๆ บ้านของเราก็ย่อมที่จะทรุดโทรมลงไปตามกาลเวลา การซ่อมแซมบ้านเพื่อให้มีสภาพสวยงามพร้อมอยู่เหมือนเช่นเดิมจึงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งในการซ่อมแซมบ้านแต่ละครั้ง ต้องยอมรับว่าใช้เงินจำนวนไม่น้อย แล้วจะทำอย่างไรเพื่อให้มีเงินเพียงพอไว้สำหรับซ่อมแซมบ้าน ใช้เงินของตัวเอง จากการเก็บออม สำหรับใครที่ต้องการเตรียมเงินไว้ซ่อมแซมบ้านในอนาคต โดยปัจจุบันยังไม่มีเรื่องเร่งด่วนให้ต้องรีบซ่อมแซมบ้าน หรือไม่อยากเสียดอกเบี้ยจากการกู้ยืมเงิน แนะนำให้ใช้วิธีเก็บออมเงินเอาไว้ล่วงหน้า โดยตั้งเป้าหมายว่าจะซ่อมแซมบ้านเมื่อไหร่ และใช้งบประมาณเป็นจำนวนเงินเท่าไร เช่น จะซ่อมแซมบ้านด้วยจำนวนเงิน 100,000 บาท ในอีก 2 ปีข้างหน้า ก็เท่ากับว่าจะต้องเก็บออมเงินประมาณเดือนละ 4,100 บาท ซึ่งเงินจำนวนนี้แนะนำให้เก็บออมไว้ในสินทรัพย์ทางการเงินที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น ฝากประจำรายเดือนปลอดภาษี หรือกองทุนตลาดเงิน เพื่อให้มั่นใจว่าในอีก 2 ปีข้างหน้าจะมีเงินไว้ใช้ซ่อมแซมบ้านอย่างแน่นอน ขอวงเงินเพิ่ม จากสินเชื่อบ้านที่กำลังผ่อน หากมีความจำเป็นต้องใช้เงินซ่อมแซมบ้านทันที หรือไม่สามารถรอเวลาให้เก็บออมเงินได้เพียงพอเสียก่อน  เราก็สามารถขอสินเชื่อเพิ่มจากธนาคารปัจจุบันที่เรากำลังผ่อนชำระสินเชื่อบ้านอยู่ได้ โดยธนาคารจะมีการกำหนดเงื่อนไขสำหรับการกู้เพิ่ม เช่น ต้องเป็นลูกค้าที่มีประวัติการผ่อนชำระดี ไม่มีการค้างชำระและผ่อนมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี หรือกำหนดเงื่อนไขอื่นๆ เช่น ให้วงเงินไม่เกิน 80% ของวงเงินที่ได้ผ่อนชำระไปแล้ว ทั้งนี้เงื่อนไขของแต่ละธนาคารอาจมีความแตกต่างกันไป อย่างไรก็ตามการขอวงเงินเพิ่มจากยอดเงินกู้ที่ผ่อนชำระไปแล้วนั้น อัตราดอกเบี้ยจ่ายอาจจะสูงกว่าดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านที่กำลังผ่อนอยู่ และดอกเบี้ยจ่ายสำหรับวงเงินกู้เพิ่มครั้งนี้จะไม่สามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ เหมือนกับดอกเบี้ยเงินกู้ซื้อบ้านครับ ขอสินเชื่อใหม่ จากบ้านที่ปลอดภาระ การนำบ้านที่ปลอดภาระไปใช้เป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะทำให้มีเงินมาซ่อมแซมบ้าน ซึ่งการนำบ้านที่ปลอดภาระไปใช้ขอกู้เงินกับธนาคารอีกครั้ง เงื่อนไขที่ได้รับจะแตกต่างจากการกู้ซื้อบ้านครั้งแรกครับ เช่นระยะเวลาการผ่อนชำระจะสั้นกว่า อาจผ่อนได้ไม่เกิน 15 ปี แต่สินเชื่อกู้ซื้อบ้านจะผ่อนได้สูงถึง 30 ปี ส่วนอัตราดอกเบี้ยอาจจะคิดในอัตราที่สูงกว่าการกู้ซื้อบ้านใหม่ โดยสินเชื่อประเภทนี้จะไม่สามารถนำดอกเบี้ยจ่ายไปลดหย่อนภาษีได้ ทั้งนี้ในการขอสินเชื่อใหม่จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเหมือนกับการกู้ซื้อบ้านใหม่ ไม่ว่าจะเป็น ค่าจำนอง 1% ของวงเงินจำนอง ค่าประเมิน ค่าประกันอัคคีภัย ค่าอากรแสตมป์ ค่าทำสัญญาวงเงินกู้ เป็นต้น การหมั่นตรวจเช็คสภาพบ้านอยู่เสมอจะทำให้พบจุดซ่อมแซมเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งเราสามารถทยอยซ่อมแซมบ้านไปได้เรื่อยๆ ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ทำให้บ้านคงสภาพสวยงามเช่นเดิมอยู่เสมอ โดยที่ไม่ต้องเสียเงินก้อนโตไปกับการซ่อมแซมบ้านครั้งใหญ่ครับ   ขอบคุณข้อมูลจาก  k-expert
บ้านมีหลายหลัง ดอกเบี้ยลดหย่อนอย่างไร?

บ้านมีหลายหลัง ดอกเบี้ยลดหย่อนอย่างไร?

หลายคนทราบดีอยู่แล้วว่า "ดอกเบี้ยบ้าน" เป็นอีกค่าลดหย่อนหนึ่งที่สามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งหากมีบ้านหลังเดียวก็คงทำความเข้าใจได้ไม่ยาก ว่าสามารถนำดอกเบี้ยบ้านมาใช้ลดหย่อนภาษีได้เท่าไร แต่หากมีบ้านหลายหลัง บางคนอาจสับสนว่าจะนำดอกเบี้ยบ้านมาลดหย่อนอย่างไร วันนี้เรามีคำแนะนำที่เข้าใจได้ง่ายๆ สำหรับคนที่มีบ้านหลายหลังมาฝากครับ บ้านหลายหลังแบบกู้คนเดียว โดยปกติแล้วดอกเบี้ยบ้านสามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 100,000 บาทครับ หากมีบ้านหลายหลังมาจากการกู้คนเดียว สามารถนำดอกเบี้ยจ่ายของบ้านที่เราเป็นผู้กู้ มารวมกันแล้วลดหย่อนได้ไม่เกิน 100,000 บาท เช่น มีบ้าน 2 หลัง หลังที่ 1 มีดอกเบี้ยจ่าย 50,000 บาท หลังที่ 2 มีดอกเบี้ยจ่าย 60,000 บาท เท่ากับว่าสามารถนำดอกเบี้ยบ้านมาลดหย่อนได้ไม่เกิน 100,000 บาทครับ ถึงแม้ดอกเบี้ยจ่ายจริงจะอยู่ที่ 110,000 บาทก็ตาม บ้านหลายหลังแบบกู้ร่วม หากใครที่มีบ้านหลายหลังและเป็นการกู้ร่วม การนำดอกเบี้ยบ้านมาลดหย่อนให้หารเฉลี่ยเท่าๆ กันตามจำนวนผู้กู้ร่วมครับ แต่ก่อนที่จะนำดอกเบี้ยมาหารเฉลี่ย ดอกเบี้ยจ่ายของการกู้ร่วมของบ้านแต่ละหลังจะต้องไม่เกิน 100,000 บาท เช่น กู้ร่วม 2 คน ดอกเบี้ยบ้านจากการกู้ร่วมทั้งปีอยู่ที่ 120,000 บาท ตามเกณฑ์ของการลดหย่อนดอกเบี้ยบ้านสามารถลดหย่อนได้ตามจริงไม่เกิน 100,000 บาท จึงทำให้ดอกเบี้ยบ้านที่แต่ละคนนำมาลดหย่อนได้จะเท่ากับคนละ 50,000 บาทเท่านั้นครับ และหากมีบ้านหลายๆ หลัง เมื่อนำจำนวนดอกเบี้ยบ้านที่หารเฉลี่ยแล้วมารวมกัน ในหนึ่งคนจะลดหย่อนได้ไม่เกิน 100,000 บาทเช่นกันครับ ตัวอย่างเช่น มีบ้าน 3 หลัง กู้ร่วม 2 หลัง กู้เดี่ยว 1 หลัง สมมติว่า หลังที่ 1 กู้ร่วมหารเฉลี่ยผู้กู้ร่วมได้ดอกเบี้ยบ้านคนละ 40,000 บาท หลังที่ 2 กู้ร่วมหารเฉลี่ยผู้กู้ร่วมได้ดอกเบี้ยบ้านคนละ 30,000 บาท หลังที่ 3 กู้เดี่ยวดอกเบี้ยบ้านอยู่ที่ 50,000 บาท รวมแล้วดอกเบี้ยบาททั้งหมดเท่ากับ 120,000 บาท แต่สามารถนำมาใช้สิทธิลดหย่อนดอกเบี้ยบ้านได้ไม่เกิน 100,000 บาทครับ แต่หากรวมกันแล้ว 3 หลังดอกเบี้ยตามจริงไม่ถึง 100,000 บาท ก็สามารถลดหย่อนได้ตามจริงเท่านั้น เช่น ดอกเบี้ยบ้าน 3 หลัง รวมกันแล้วอยู่ที่ 80,000 บาท สิทธิลดหย่อนจะใช้ได้ตามจริงก็คือ 80,000 บาทครับ อย่างไรก็ตามดอกเบี้ยบ้านจากการกู้เงินบางประเภทไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ เช่น การกู้เพื่อตกแต่งบ้าน การนำบ้านปลอดภาระมาเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเพื่อขอกู้เงินกับธนาคาร การกู้เอนกประสงค์โดยกู้เพิ่มจากวงเงินกู้บ้านเดิม ดังนั้นก่อนการนำดอกเบี้ยบ้านมาลดหย่อนภาษีควรตรวจสอบสัญญาด้วยครับว่าเป็นเงินกู้ประเภทใด เพื่อไม่ให้ใช้สิทธิแบบผิดเงื่อนไขของกรมสรรพากร   ขอขอบคุณข้อมูลจาก K-Expert
ก่อสร้างหรือดัดแปลงบ้าน ต้องมีระยะร่น

ก่อสร้างหรือดัดแปลงบ้าน ต้องมีระยะร่น

กฎหมายควบคุมอาคารมีข้อกำหนดให้อาคารทุกประเภทต้อง “ร่นแนวอาคาร” จากแนวเขตที่ระบุไว้ นอกเหนือจากการต้องเว้นให้มีที่ว่างสำหรับอาคารทุกหลังที่ก่อสร้างหรือดัดแปลงแล้ว กฎหมายควบคุมอาคารยังมีข้อกำหนดให้อาคารทุกประเภทต้อง ร่นแนวอาคาร  จากแนวเขตที่ระบุไว้ ไม่ว่าจะเป็นการต้องร่นแนวอาคารจากเขตถนนสาธารณะ หรือร่นจากเขตทางน้ำสาธารณะ บางข้อกำหนดให้ ผนังหรือระเบียงต้องห่าง  จากแนวเขตที่ดิน หรือต้องห่างจากผนังอาคารของผู้อื่นที่อยู่ข้างเคียง หรือต้องห่างจากผนังหรือระเบียงอาคารอื่นที่อยู่ในที่ดินเจ้าของเดียวกัน หลายคนเรียกข้อกำหนดนี้ว่า “ระยะร่น” และ “ระยะห่าง” ของอาคาร ก่อนดูในรายละเอียดของระยะร่น ท่านเจ้าของบ้านควรต้องทราบแนวปฏิบัติของเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับการร่นแนวอาคาร เพราะกฎหมายควบคุมอาคารกำหนดให้ต้อง ร่นแนวอาคาร  แต่ไม่ได้เขียนให้ชัดว่า แนวอาคาร  ที่ว่านั้นหมายถึงแนวไหนของตัวอาคาร หากไม่ใช่ข้อกำหนดที่ระบุชัดว่าเป็นผนังหรือระเบียง หลายคนเลยอาจคิดว่าแนวอาคารอาจหมายถึง แนวชายคา แนวกันสาด หรือแนวใดๆของอาคารยื่นออกไปมากที่สุด ปัจจุบันแนวทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นโดยทั่วไปแล้วจะพิจารณาแนวอาคาร โดยถือเอาแนวผนังอาคาร หรือแนวเสาของอาคารที่อยู่ริมด้านนอกสุด แต่จะไม่รวมถึงกันสาด ชายคา หรือหลังคา  (อ้างอิงจากหนังสือตอบข้อหารือของกรมโยธาธิการและผังเมือง ที่ มท.0710/10880 และที่ มท.0710/13604) โดยระยะร่นทั้งหลายก็ให้วัดจากแนวเขตที่กฎหมายกำหนด เช่น กึ่งกลางถนนสาธารณะไปจนถึงผนังอาคารหรือเสาที่อยู่ริมนอกสุดของอาคารที่จะ ก่อสร้างหรือดัดแปลงนั่นเอง อย่างไรก็ตามเนื่องจากเป็นเพียงแนวปฏิบัติ ดังนั้นในอนาคตก็อาจมีแนวปฏิบัติที่แตกต่างออกไป ระยะร่นอาคารจากแนวเขตที่กฎหมายกำหนดที่สำคัญ คือ ระยะร่นจากถนนสาธารณะ  เนื่อง เพราะถนนเป็นที่สาธารณะ ซึ่งอาคารส่วนใหญ่มักจะก่อสร้างใกล้ถนน และต้องก่อสร้างไม่ให้ส่วนใดของอาคารล้ำเข้าไปในที่สาธารณะ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตเป็นกรณีไป ระยะร่นจากถนนสาธารณะ กฎหมายควบคุมอาคารกำหนดให้อาคารทุกประเภทที่ก่อสร้างหรือดัดแปลงต้องมีระยะร่นจากถนนสาธารณะ โดยระยะที่ต้องร่นแนวอาคารขึ้นกับว่าถนนสาธารณะที่อยู่ใกล้นั้นมีความกว้างเท่าใด และขึ้นกับว่าอาคารที่ก่อสร้างหรือดัดแปลงนั้นเป็นอาคารประเภทใด โดยกฎหมายเขียนเรื่องนี้อยู่ในข้อเดียวกัน แต่เขียนเป็นสองวรรค (แต่ละวรรคก็คือแต่ละย่อหน้านั่นเอง เพียงแต่กฎหมายในระดับรอง เช่นกฎกระทรวงหรือข้อบัญญัติ ใช้คำเรียกว่า “วรรค” ในที่นี้จึงขอเขียนคำว่าวรรคนำหน้าเพื่อให้อ้างอิงได้) - วรรคแรก ถนนสาธารณะที่มีความกว้างเขตทางน้อยกว่า 6 เมตร ให้ร่นแนวอาคารห่างจากกึ่งกลางถนนสาธารณะไม่น้อยกว่า 3 เมตร กรณีนี้ไม่ได้ระบุประเภทอาคารจึงบังคับใช้กับทุกอาคาร - วรรคสอง สำหรับอาคารที่สูงเกิน 2 ชั้นหรือเกิน 8 เมตร ห้องแถว ตึกแถว บ้านแถว อาคารพาณิชย์ โรงงาน อาคารสาธารณะ ป้ายหรือสิ่งที่สร้างขึ้นสำหรับติดหรือตั้งป้าย หรือคลังสินค้า ที่ก่อสร้างสร้างใกล้ถนนสาธารณะที่มีความกว้างต่างๆ ให้มี ระยะร่นดังนี้ 1. ถนนสาธารณะที่มีความกว้างน้อยกว่า 10 เมตร ให้ร่นแนวอาคารห่างจากกึ่งกลางถนนสาธารณะไม่น้อยกว่า 6 เมตร 2. ถนนสาธารณะที่มีความกว้างตั้งแต่ 10 เมตรขึ้นไป แต่ไม่เกิน20 เมตร ให้ ร่นแนวอาคารห่างจากเขตถนนสาธารณะไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของความกว้างของเขตถนนนั้นๆ เช่น ถ้าถนนกว้าง 12 เมตร แนวอาคารต้องร่นห่างจากเขตถนนเท่ากับ 1.20 เมตร 3. ถนนสาธารณะที่มีความกว้างตั้งแต่ 20 เมตรขึ้นไป ให้ร่นแนวอาคารห่างจากเขตถนนสาธารณะไม่น้อยกว่า 2 เมตร หลายคนอ่านแล้วอาจคิดต่อว่าในวรรคสอง (1) กำหนดความกว้างของถนนสาธารณะว่ากว้างน้อยกว่า 10 เมตร แปลว่า ถ้าถนนกว้างเพียง 4 เมตร จะเข้าเกณฑ์ทั้งวรรคแรกและวรรคสอง (1) แล้วจะใช้ระยะร่นตามวรรคไหน เพราะวรรคแรกให้ร่นเพียง 3 เมตรแต่วรรคสอง (1) ให้ร่นถึง 6 เมตร แต่ให้สังเกตว่าในวรรคสองนั้นมีกำหนดประเภทของอาคารไว้ด้วย หมายความว่าอาคารตามที่ระบุเท่านั้นจึงใช้ตัวเลขระยะร่นตามวรรคสอง (1) นอกจากนั้นจึงให้ใช้ตัวเลขระยะร่นตามวรรคแรก ซึ่งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดก็มีระบุไว้แตกต่างกัน ดังนั้น ถ้าสร้างบ้านใกล้ถนนสาธารณะที่กว้างน้อยกว่า 6 เมตร จะใช้ระยะร่นตามวรรคแรกก็ต่อเมื่อ บ้านนั้นสูงไม่เกิน 2 ชั้นหรือไม่เกิน 8 เมตร กรณีสร้างอยู่ต่างจังหวัด แต่หากเป็นบ้านที่สร้างในกรุงเทพฯ จะต้องเป็นบ้านที่สูงไม่เกิน 3 ชั้นหรือไม่เกิน 10 เมตร และพื้นที่ไม่เกิน 1,000 ตารางเมตร โดยบ้านที่สร้างนั้นต้องไม่ใช่ห้องแถว ตึกแถวหรือบ้านแถว นอกเหนือจากนี้ต้องใช้ตัวเลขระยะร่นตามวรรคสอง (1) ตัวอย่างเช่น ถ้าก่อสร้างบ้านพักอาศัยสูง 4 ชั้นใกล้กับถนนสาธารณะที่กว้างน้อยกว่า 6 เมตร จะต้องร่นแนวอาคารจากกึ่งกลางถนนสาธารณะไม่น้อยกว่า 6 เมตร ประเด็นสำคัญที่ท่านเจ้าของบ้านต้องทราบไว้ คือ หากท่านหรือใครก็ตามเป็นเจ้าของที่ดินในต่างจังหวัด แล้วยินยอมให้คนทั่วไปใช้ที่ดินนั้นเป็นทางผ่าน โดยจะเก็บค่าผ่านทางหรือไม่ก็ตาม กฎหมายควบคุมอาคารจะถือว่าที่ดินนั้นเข้าข่ายเป็น “ถนนสาธารณะ” ทันที เมื่อเป็นถนนสาธารณะ อาคารที่สร้างใกล้กับที่ดินที่ยอมให้คนทั่วไปผ่านนั้น ก็ต้องก่อสร้างให้มีระยะร่นเช่นเดียวกับที่ต้องร่นจากถนนสาธารณะ สำหรับในเขตกรุงเทพฯ ที่ดินที่ยินยอมให้คนทั่วไปใช้เป็นทางผ่าน หากมีความยาวไม่เกิน 500 เมตรหรือมีการปักป้ายหวงห้ามกรรมสิทธิ์ไว้ จะถือว่าเป็น “ทางส่วนบุคคล” ไม่ถือเป็นถนนสาธารณะ แต่หากไม่เข้าสองเงื่อนไขนี้จะเข้าข่ายเป็นถนนสาธารณะตามกฎหมายควบคุมอาคารและก็จะต้องมีระยะร่นเช่นกัน เรื่องของกฎหมายควบคุมอาคารเกี่ยวกับระยะร่นหรือระยะห่างอาคารนั้น มีข้อกำหนดอยู่ค่อนข้างมาก จะค่อยๆ นำแต่ละกรณีมาเขียนให้ทราบต่อไป หมายเหตุ : ท่านที่ต้องการอ้างอิงข้อกฎหมายในเรื่องระยะร่นจากถนนสาธารณะ หากเป็นที่ดินในต่างจังหวัดให้ดูกฎกระทรวงฉบับที่ 55 (พ.ศ. 2543) ข้อ 41 หากเป็นที่ดินในกรุงเทพฯ ให้ดูข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องควบคุมอาคาร พ.ศ. 2544 ข้อ 50   ขอขอบคุณแหล่งที่มาจาก คมกฤช ชูเกียรติมั่น ผู้อำนวยการสถาบันสถาปนิกสยาม สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์
รับโอนบ้าน คอนโดฯ ทั้งที่ยังมีจุดแก้ไข จะกลายเป็นไก่รองบ่อน

รับโอนบ้าน คอนโดฯ ทั้งที่ยังมีจุดแก้ไข จะกลายเป็นไก่รองบ่อน

เรื่องหนึ่งที่อยากจะเตือนผู้ซื้อบ้าน หรือคอนโดทั้งหลายให้จำขึ้นใจไว้เลยว่า หากบ้านหรือคอนโดที่เราซื้อไว้ ยังมีจุดที่ต้องแก้ไขในระหว่างขั้นตอนการตรวจรับ เราจะต้องแน่ใจว่าทางโครงการได้ทำการแก้ไขให้เราครบถ้วนเรียบร้อยตามที่เราพอใจ ก่อนจะเซ็นรับโอนบ้านหรือคอนโด ไม่ว่าจะเป็นจุดบกพร่องเหล่านั้นจะเล็กน้อยแค่ไหนก็ตาม บางทีปัญหาเล็กๆ น้อยๆ อย่าง งานเก็บสีเลอะเทอะตามขอบประตู หน้าต่าง, ประตูปิดไม่สนิท หรือหน้าต่างฝืดเปิด-ปิดลำบาก และแม้กระทั่งพวกปัญหารอยรั่วซึมนิดๆ หน่อยๆ ในห้องน้ำที่เราอาจจะคิดว่าไม่น่าจะมีอะไรวุ่นวาย อาจจะกลายมาเป็นปัญหาใหญ่ที่ต้องตามแก้กันยาวนานให้เราปวดหัวซ้ำแล้วซ้ำอีก ยิ่งถ้าเราโชคร้ายไปเจอกับโครงการที่ไร้ความรับผิดอบ ไม่ใส่ใจไม่ทำตามสัญญาทั้งๆ ที่รับปากกันไว้แล้ว หรือกว่าจะมาแก้ให้ก็ต้องโทรตามช่างกันถี่ยิบ หรือตามจิกกันเป็นเดือนๆ จาก และอาจจะต้องเสียเงินเพิ่มเติมถ้าปัญหาเหล่านั้นเรื้อรังต้องซ่อมต้องแก้กันจนเกินระยะเวลาประกัน บางครั้งทางโครงการอาจจะพยายามยื่นข้อเสนออันน่าจูงใจเพื่อให้เราเซ็นรับมอบไปก่อน แล้วค่อยมาแก้ปัญหา (ที่คิดว่า) เล็กๆ น้อยๆ พวกนี้ทีหลัง โดยสัญญากันปากเปล่าไม่มีหนังสืออะไรรับรอง ถ้าหากเราเกิดเห็นแก่ข้อเสนอหรือของแถมเพิ่มเติม เช่น บัตรกำนัลเฟอร์นิเจอร์, ส่วนลดค่าโอน หรือออกค่าใช้จ่ายในการโอนให้ทั้งหมด ยอมเซ็นรับมอบโอนบ้านหรือคอนโดไปแล้ว ทางโครงการอาจตุกติกไม่ยอมเข้ามาซ่อมแก้ไขให้ตามที่สัญญา ดึงเวลาให้ยืดเยื้อยาวนานออกไปอีก ทีนี้ก็เท่ากับเราตกหลุมพลางที่ถูกหลอกล่อไว้ด้วยสิ่งจูงใจเพียงเล็กน้อย เข้าตำรา " เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย" แล้วต้องกลายมาเสียสุขภาพจิต หรือเสียเงินจ้างช่างมาซ่อมเองเสียอีก....จะได้ไม่คุ้มเสียเอานะครับ จำไว้!!!