Tag : News

2376 ผลลัพธ์
เปิดไอเดีย “ณพน เจนธรรมนุกูล” ปั้น สัมมากร สู่องค์กร 100 ปี

เปิดไอเดีย “ณพน เจนธรรมนุกูล” ปั้น สัมมากร สู่องค์กร 100 ปี

ถ้าหากดูบริษัทที่พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ประเภทที่อยู่อาศัย ซึ่งมีอายุการดำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนาน มากกว่า 50 ปีหรือครึ่งศตวรรษ ปัจจุบันมีอยู่ไม่กี่บริษัทเท่านั้น ซึ่งหนึ่งในนั้นคือบริษัทเก่าแก่ อย่าง บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) หรือ SAMCO ที่เริ่มต้นก่อตั้ง​ตั้งแต่ปี 2513   ขณะที่ได้เริ่มต้นดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ ​ ประเภทบ้านจัดสรรเพื่อการอยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มาตั้งแต่ปี 2517 เป็นการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวพร้อมที่ดินเพื่อขายเป็นหลัก จนถึงปัจจุบันได้พัฒนาโครงการเพื่ออยู่อาศัย และมีลูกบ้านแล้วกว่า 6,000 ยูนิต   นอกเหนือจากการพัฒนาที่อยู่อาศัยแล้ว สัมมากร ยังได้ขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดอสังหาฯ ​ให้เช่า โดยพัฒนาศูนย์การค้าชุมชน ภายใต้ชื่อ ศูนย์การค้าสัมมากรเพลส (Sammakorn Place) ซึ่งมีที่ตั้งอยู่บนถนนรังสิตคลอง 2 ถนนรามคำแหง และถนนราช-พฤกษ์  เป็นการสร้างรายได้ประจำให้กับบริษัท ไอเดียปั้น "องค์กร 100 ปี" ปัจจุบันสัมมากร อยู่ภายใต้การบริหารงานของ นายณพน เจนธรรมนุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากรฯ ซึ่งได้เข้ามานั่งเก้าอี้ในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการได้กว่า 3 ปีแล้ว ซึ่งเป้าหมายสำคัญของการขับเคลื่อน “สัมมากร” ในฐานะผู้บริหาร คือ การพาให้บริษัทมีการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และอยู่ยาวนานไปสู่การเป็น “องค์กร 100 ปี” ด้วยการยึดหลักการทำงานที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพการบริหารงาน และการพัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพ มีความเป็นพรีเมียม เนื่องจากมีชื่อเสี่ยงเป็นที่ยอมรับมาอย่างยาวนาน   นายณพน เล่าว่า หลังจากได้เข้ามาบริหารบริษัทเป็นระยะเวลาประมาณ​ 6 ปี และขึ้นตำแหน่งกรรมการผู้จัดการช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ได้วางระบบการทำงานให้ “สัมมากร” ดำเนินธุรกิจอยู่ได้อย่างยาวนานเป็น 100 ปี และให้พนักงานทำงานกับบริษัทให้ได้นานที่สุด โดยวางแผนระยะสั้นในช่วง 3-5 ปีนี้ กับการทำงานใน 3 ส่วนสำคัญ คือ 1.บุคลากร มีการฝึกอบรมเสริมทักษะให้กับพนักงานในด้านต่าง ๆ การเสริมทีมงานที่เป็นคนรุ่นใหม่ และการจัดพื้นที่การทำงานให้เหมาะสม 2. ระบบการทำงานในองค์กร การวางระบบทุกอย่างภายในองค์กร ด้วยการนำระบบดิจิทัลเข้ามาเสริมประสิทธิภาพ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ด้วยดิจิทัล 3.ผลิตภัณฑ์ พัฒนาสินค้าให้มีคุณภาพ ตรงตามความต้องการของลูกค้า มีการปรับโมเดลการดำเนินธุรกิจ จากเดิมพัฒนาบ้านแบบเดียวมาโดยตลาด แต่ปัจจุบันมีความหลากหลายมากขึ้น และการขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าระดับลักชัวรี่ ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจ ทีมงานสัมมากรเจอการเปลี่ยนแปลงมาพอสมควร จึงเน้นการใส่ใจประสิทธิภาพการทำงาน อย่างช่วงโควิด ได้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำงาน ที่บังคับให้ทุกอย่างเร็วขึ้น และต้องทำทันที แต่ยังมีประสิทธิภาพ แตกซับแบรนด์แยกกลุ่มเป้าหมาย การเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัดเจนอีกสิ่งหนึ่งของ “สัมมากร” คือ การเพิ่ม Sub-Brands ที่หลากหลาย และก้าวไปสู่ตลาดบ้านลักชัวรี่ ซึ่ง “นภณ” เล่าว่า แบรนด์หมู่บ้านสัมมากร กลุ่มลูกค้าทั่วไปยังยอมรับในเรื่องของคุณภาพ ที่มีมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน แต่ด้วยการขยายไปสู่โอกาสทางการตลาดใหม่ ๆ ที่จะไม่ได้รับผลกระทบจากความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจ และศักยภาพของบริษัท ที่สามารถพัฒนาบ้านทั่วไปได้จนถึงบ้านลักชัวรี่ ทำให้บริษัทจึงต้องเพิ่มแบรนด์ใหม่ ๆ ขึ้นมา เพื่อแยกกลุ่มลูกค้าให้ชัดเจน และแบรนด์นั่นเชื่อมโยงกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายด้วย   ในปีนี้บริษัทได้พัฒนาแบรนด์บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ ออกมาทำตลาดถึง 5 แบรนด์ ดังนี้ ​ 1.แบรนด์วัน เกต ราคา 93-135 ล้านบาท 2.แบรนด์ทู เอกมัย  ราคาเริ่มต้น 85 ล้านบาทขึ้นไป ​3.แบรนด์พาร์ค เฮอริเทจ ราคา 49-85 ล้านบาท​ 4.แบรนด์บาร์นยาร์ด เขาใหญ่ ราคาเริ่ม 15.9 ล้านบาท และ​​ 5.แบรนด์โพรวิเดนซ์ เลน ราคาเริ่ม 39 ล้านบาท   ล่าสุด เปิดตัวโครงการ พาร์ค เฮอริเทจ ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับกลุ่มแอสเซท โปร ผู้ประกอบการรายใหญ่ในจังหวัดศรีสะเกษ พัฒนาบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ มูลค่ารวม 2,210 ล้านบาท ยังตั้งอยู่ในซอยพัฒนาการ 20 แยก 8 บนพื้นที่กว่า 12ไร่ มีบ้านเดี่ยว 3 ชั้นสไตล์ Modern Classic จำนวน 32 ยูนิต พร้อมลิฟต์และสระว่ายน้ำส่วนตัว ขนาดที่ดิน 60 – 133 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น  471 – 778 ตารางเมตร ราคาขาย 49 – 95 ล้านบาท ซึ่งเฟสแรกเปิดขาย 16 ยูนิต คาดว่าจะปิดการขายได้ช่วงกลางปี 2566 ปี 66 โฟกัสตลาดบ้าน 10 ล้าน สำหรับแผนธุรกิจในปี 2566  บริษัทจะเน้นพัฒนาโครงการบ้านราคาระดับ 10 ล้านบาทขึ้นไป แต่ตลาดระดับกลาง ราคา 4-6 ล้านบาท ยังคงพัฒนาออกมาทำตลาด ซึ่งแผนการเปิดตัวโครงการในปีหน้า จะมีโครงการส่วนหนึ่งที่เลื่อนเปิดจากปีนี้ไปสมทบด้วย 3 โครงการ  ขณะเดียวกันในปีนี้จะเป็นปีสำคัญที่บริษัทรับรู้รายได้ จากการเปิดตัวโครงการในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา   ส่วนในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ​บริษัททำยอดขายบ้านแนวราบได้แล้ว  2,000 ล้านบาทจากเป้าทั้งปี 3,500 ล้านบาท และมีรายได้ 1,000 ล้านบาท คาดว่าจนถึงสิ้นปีจะทำรายได้สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้จำนวน 1,500 ล้านบาท โดยมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและพัฒนาจำนวน 8 โครงการ   โดยปีนี้บริษัทเปิดตัวโครงการใหม่เพียง ​ 6 โครงการ จากแผนเดิมจะเปิดตัว 9 โครงการใหม่มูลค่า 10,000 ล้านบาท การที่บริษัทเลื่อนเปิดโครงการใหม่ไปในปี 2566 เนื่องจากต้องการโฟกัสและทำตลาด โครงการ พาร์ค เฮอริเทจ  ให้ได้เป้าหมายยอดขายที่วางไว้   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -สัมมากร ส่งโครงการมิตติ จับตลาดบ้าน 4-7 ล้าน ประเดิมโซน​ ชัยพฤกษ์-วงแหวน -สัมมากร สวนกระแสตลาด ทำรายได้ปี’62 สูงสุดในรอบ 50 ปี
ศาลปกครอง สั่งรื้อ  แอชตัน-อโศก ใน 90 วัน เฉพาะส่วนที่สูงเกินกว่าความกว้างถนน 6.40 เมตร

ศาลปกครอง สั่งรื้อ แอชตัน-อโศก ใน 90 วัน เฉพาะส่วนที่สูงเกินกว่าความกว้างถนน 6.40 เมตร

แอชตัน-อโศก ศาลปกครอง สั่งรื้อแอชตัน-อโศก ในส่วนอาคารที่ก่อสร้างไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่สูงเกินกว่าความกว้างของถนน 6.40 เมตร ขีดเส้นให้เสร็จภายใน 90 วัน   สำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงานศาลปกครอง ได้รายงานเผยแพร่คำพิพากษาศาลปกครองกลาง คดีสยามสมาคม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ฟ้องขอให้ระงับการก่อสร้างหรือรื้อถอนอาคารโครงการแอชตัน-อโศก ในส่วนที่ก่อสร้างขึ้นมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยศาลปกครองกลางพิพากษาให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) และผู้อำนวยการเขตวัฒนา (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) ใช้อำนาจตามมาตรา 40 มาตรา 41 และมาตรา 42 แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 แล้วแต่กรณี ดำเนินการต่อบริษัท อนันดา เอ็มเอฟ เอเชีย อโศก จำกัด (ผู้ร้องสอดที่ 1) สำหรับกรณีที่ต้องใช้อำนาจตามมาตรา 42 ในการออกคำสั่งกับบริษัท อนันดาฯ ให้รื้อถอนอาคารโครงการแอชตัน-อโศก ถนนสุขุมวิท 21 (อโศกมนตรี) แขวงคลองเตยเหนือ เขตวัฒนา กรุงเทพมหานคร ให้ดำเนินการเฉพาะแต่ส่วนของอาคารที่ได้ก่อสร้างโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย (ในส่วนของอาคารที่สูงเกินกว่าความกว้างของทางจำเป็น 6.40 เมตร) ให้แล้วเสร็จ ภายใน 90 วัน ทั้งนี้ นับแต่วันที่ผู้ถูกฟ้องคดีทั้งสาม ผู้ร้องสอดที่ 1 และผู้ร้องสอดที่ 2 ไม่สามารถแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ที่ดินที่ใช้เป็นที่ตั้งอาคารพิพาท ให้เป็นไปตามข้อ 2 วรรคสอง ของกฎกระทรวง ฉบับที่ 33 (พ.ศ. 2535) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ภายใน 180 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด ส่วนคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก   สำหรับรายละเอียดคำวินิจฉัย ของคำพิพากษาศาลปกครองกลาง คดีสยามสมาคม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ฟ้องขอให้ระงับการก่อสร้างหรือรื้อถอนอาคารโครงการแอชตัน-อโศก ในส่วนที่ก่อสร้างขึ้นมาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่เผยแพร่โดยสำนักประชาสัมพันธ์ สำนักงานศาลปกครอง สามารถอ่านได้จากคำพิพากษาศาลปกครองกลางที่แนบมาพร้อมนี้  http://bit.ly/3hZ1IDo     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ถอดคำแถลงฯ CEO อนันดา กรณี ASHTON Asoke -6 ข้อกฎหมายพื้นฐานควรรู้ ถ้าคิดจะซื้อคอนโด  
ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ชี้ที่อยู่ปี 65 ยังเติบโต  หลังดัชนีรวมตลาด Q3 เพิ่ม 30.4%

ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ชี้ที่อยู่ปี 65 ยังเติบโต หลังดัชนีรวมตลาด Q3 เพิ่ม 30.4%

ตลาดอสังหาฯ ยังฟื้นตัวต่อเนื่อง ดัชนีรวมตลาดอสังหาฯ ไตรมาส 3 เพิ่มขึ้น 30.4% จากปีก่อน แนวโน้มโค้งท้ายปีบ้านสร้างเสร็จจดทะเบียนยังขยายตัวต่อ เพื่อรอโอนฯปลายปี  บทสรุปทั้งปีตลาดอสังหาฯ ยังเติบโต   ดร. วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIC เปิดเผยรายงาน “ดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย)” ประจำไตรมาส 3 ปี 2565 พบว่า มีค่าดัชนีเท่ากับ 93.0 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 30.4%   ทั้งนี้ การปรับตัวเพิ่มขึ้นของค่าดัชนีเป็นผลมาจากการปรับตัวดีขึ้นของโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย อัตราดูดซับบ้านจัดสรร และอาคารชุด (คอนโดมิเนียม) ข้อมูลที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียน จำนวนพื้นที่ที่ได้รับอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัย และดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ ในไตรมาสนี้   ทั้งนี้ คาดการณ์ว่า ภาพรวมในปี 2565 ดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย) น่าจะมีโอกาสขึ้นมาไม่ต่ำกว่าที่ 90.5 จุด หรือขยายตัว 19.6% จากปีก่อน และอาจปรับตัวสูงขึ้นได้สูงสุดถึง 99.6 จุด (กรณี Best Case) ขยายตัว 31.5% แต่หากมีการพลิกผันก็ไม่น่าจะต่ำกว่า  81.5 จุด หรือ ขยายตัว 7.6% (กรณี Worst Case) โดยมีการติดตามเครื่องชี้ด้านอุปทาน (จำนวนที่อยู่อาศัย) และอุปสงค์ (ความต้องการ) ของที่อยู่อาศัยที่สำคัญ Demand-Supply ที่อยู่อาศัย Q3 ด้านจำนวน REIC พบว่า การออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั่วประเทศ ในไตรมาส 3/2565 มีจำนวน 25,758 ยูนิต ซึ่งมีจำนวนสูงสุดในรอบ 10 ไตรมาสที่ผ่านมา และการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น 39.0% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นของ YoY ที่ต่อเนื่องกันเป็นไตรมาสที่ 3 แล้ว   ในส่วนที่เกี่ยวกับจำนวนที่อยู่อาศัย จากโครงการที่เปิดตัวใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 3/2565 มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 24,112 ยูนิต ขยายตัว 98.6%  มูลค่า 147,276 ล้านบาท ขยายตัว 217.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยพบว่า บ้านจัดสรรมีการขยายตัว มากกว่าอาคารชุดทั้งจำนวนยูนิตและมูลค่าอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งต่างจากไตรมาส 1 และ 2 ที่ผ่านมา ที่อาคารชุดมีการขยายตัวมากกว่า ซึ่งสะท้อนว่า โครงการอาคารชุดที่เปิดตัวใหม่เริ่มลดลงแล้ว   ขณะที่จำนวนการออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยทั่วประเทศในไตรมาส 3/2565 ซึ่งมีจำนวน 75,336 ยูนิต แบ่งเป็นแนวราบจำนวน 63,801 ยูนิต อาคารชุด จำนวน 11,535 ยูนิต โดยจำนวนรวมลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 14.3%   แต่พบว่า จำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีจำนวน 24,018 ยูนิต โดยจำนวนรวมเพิ่มขึ้น 56.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 แบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 12,282 ยูนิต คอนโดจำนวน 11,736 ยูนิต ซึ่งคาดว่าจำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนเพิ่มขึ้นมากในไตรมาสนี้ มาจากการสะสมของยูนิตที่ถูกชะลอการก่อสร้างในช่วงก่อนหน้า และการเร่งจดทะเบียนให้นำไปสู่การโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงไตรมาส 3 และ 4 ปี 2565   ยูนิตการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศในไตรมาส 3 ปี 2565 มีจำนวนทั้งสิ้น 97,228 ยูนิต เพิ่มขึ้น 28.56% เป็นการเพิ่มติดต่อกัน 3 ไตรมาส โดยสามารถแบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 72,665 ยูนิต คอนโดจำนวน 24,563 ยูนิต ซึ่งมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ก็สูงขึ้นเช่นเดียวกันโดยมีมูลค่าทั้งสิ้น  260,813 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.8% แบ่งเป็นมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบ 194,454 ล้านบาท และคอนโด 66,349 ล้านบาท   โดยพบว่า จำนวนเงินให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ทั่วประเทศในไตรมาส 3 ปี 2565 มีจำนวน 178,213 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 24.93% ซึ่งมีทิศทางเดียวกับการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย และสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี เท่ากับ 157,052 ล้านบาท  ส่งผลให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลคงค้างทั่วประเทศขยับขึ้นไปอยู่ที่ 4,648,643 ล้านบาทเพิ่มขึ้น  5% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จำนวนขายได้ใหม่ Q3 ลดลง 13.7% นอกจากนี้ ข้อมูลการสำรวจภาคสนามในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล พบว่า โครงการที่มีการเสนอขายทั้งหมด ณ ไตรมาส 3 ปี 2565 จำนวน 198,024 ยูนิต ลดลง 1.0% ขณะที่มีมูลค่าโครงการรวม 984,904 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยมียอดขายได้ใหม่ 20,261 ยูนิต ลดลง 13.7% ขณะที่มีมูลค่าการขายได้ใหม่ 113,399 ล้านบาท ลดลง 2.7%  โดยเป็นการชะลอตัวจากยอดขายได้ใหม่ของคอนโด ที่ลดลงจากไตรมาสก่อนถึง 39.0% ของจำนวนยูนิต และลดลง ​41.9% ของจำนวนมูลค่า   ขณะที่บ้านจัดสรรกลับขยายตัวมากกว่า 20% ทั้งยูนิตและมูลค่า ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยเหลือขายมีจำนวน 177,763 ยูนิต มูลค่ารวม 871,505 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 0.7% และ 1.3% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่   สำหรับที่อยู่อาศัยใน 3 จังหวัดพื้นที่ EEC มีสถานการณ์ตลาดในทิศทางเดียวกันกับกรุงเทพฯ-ปริมณฑล แต่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงยูนิตและมูลค่าการขายได้ใหม่ที่ลดลงมากกว่า ซึ่งเป็นการลดลงทั้งบ้านจัดสรรและคอนโด ขณะที่ภาพรวมยูนิตเหลือขายมีอัตราที่ลดลงมากกว่า   จากภาพรวมตลาดทั้งสองพื้นที่ ได้สะท้อนให้เห็นว่าตลาดที่อยู่อาศัยในไตรมาสนี้ เริ่มชะลอความร้อนแรงลงอย่างชัดเจนจากยอดขายได้ใหม่ที่ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเภทอาคารชุดที่มียอดขายลดลงมากเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่มีการเปิดตัวอาคารชุดราคาถูกจำนวนมากและยอดขายที่ดีใน 1 – 2 ไตรมาสก่อนหน้า แนวโน้ม Demand-Supply ปี 2565 ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ​ คาดการณ์ทิศทาง Demand-Supply ที่อยู่อาศัยในปี 2565 ว่า การออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินประมาณ 77,221 ยูนิต เพิ่มขึ้น 12.7% ที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่เฉพาะในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ประมาณ 96,803 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 87.9%  และมูลค่า 508,264 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 132.1% ​โดยแบ่งเป็นโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 49,492 ยูนิต จำนวน 336,008 ล้านบาท และโครงการอาคารชุดจำนวน 47,311 ยูนิต 172,256 ล้านบาท การออกใบอนุญาตก่อสร้างจำนวน 310,976 ยูนิต แบ่งเป็นที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 264,031 ยูนิต เป็นคอนโด 46,945 ยูนิต การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยมีจำนวน 373,253 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 8.59% มีมูลค่า 997,471 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 5.61% แบ่งเป็นการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวน 279,447 ยูนิต โอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดพักอาศัยจำนวน 93,806 ยูนิต รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ  กล่าวสรุปภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยปี 2565 ไว้ว่า ความเคลื่อนไหวด้านจำนวนมีการขยายตัวต่อเนื่องมาตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2565 โดยมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในขณะที่การขอออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั่วประเทศเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในช่วงไตรมาส 3 โดยมีจำนวนสูงสุดในรอบ 10 ไตรมาส ขณะที่การขอออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคารโดยภาพรวมยังคงทรงตัว ด้านความต้องการ พบว่า มีการโอนกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยทั่วประเทศเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ทั้งจำนวนยูนิตและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ และสินเชื่อที่อยู่อาศัย มาตั้งแต่ไตรมาส 1 แล้ว   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ แนะตลาดบ้าน-คอนโด ต้องต้องเฝ้าระวัง  5 เรื่องนี้ -REIC เผย ยอดโอนคอนโดต่างชาติ Q1/65 ลดทั้งจำนวน-มูลค่า เหตุลูกค้าจีนยังปิดประเทศ 
นิวเวิลด์ ลา พลูม นิเซโกะ  เปิดขายห้องชุดสกี รีสอร์ท 5 ดาวจากญี่ปุ่น ดึงกำลังซื้อคนไทย การันตีผลตอบแทน 5% 3 ปี

นิวเวิลด์ ลา พลูม นิเซโกะ เปิดขายห้องชุดสกี รีสอร์ท 5 ดาวจากญี่ปุ่น ดึงกำลังซื้อคนไทย การันตีผลตอบแทน 5% 3 ปี

ริชมอนทส์ คริสตี้ส์ เปิดขายรีสอร์ท หรู 5 ดาว “นิวเวิลด์ ลา พลูม นิเซโกะ รีสอร์ท” เมืองสกี รีสอร์ท ที่สวยติดอันดับน่าท่องเที่ยว 1 ใน 3 ของโลก จากญี่ปุ่น ให้นักลงทุนชาวไทย ชูการันตีผลตอบแทนปีละ 5% ใน 3 ปี พร้อมพักได้ปีละ 28 วัน สร้างโอกาสในภาวะเงินเยนอ่อนค่า   นายทิม สเคพวิงตัน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ริชมอนทส์ คริสตี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลเอสเตท จำกัด ผู้ประกอบธุรกิจที่ปรึกษาทางด้านการตลาดและการขายอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ได้รับการแต่งตั้งจากโครงการ “นิวเวิลด์ ลา พลูม นิเซโกะ รีสอร์ท” ซึ่งเป็นโครงการ สกี รีสอร์ท หรูระดับ 5 ดาว มูลค่า 12,000 ล้านบาท ที่ตั้งอยู่ที่เมืองนิเซโกะ จังหวัดฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น ให้เป็นตัวแทนบริหารการขายและการตลาดอย่างเป็นทางการเพียงรายเดียวในประเทศไทย โดยจะเปิดขายในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 22 พฤศจิกายน 2565 เป็นต้นไป สำหรับผู้ที่ซื้อเพื่อการลงทุน จะบริหารงานโดย New World Hotels & Resorts ซึ่งเป็นแบรนด์ระดับ 5 ดาว ภายใต้เครือ Rosewood ซึ่งมีการันตีผลตอบแทนระยะเวลา 3 ปี ขั้นต่ำ 5% และเจ้าของสามารถเข้าพักได้จำนวน 28 วัน ในรอบระยะเวลา 1 ปี แบ่งเป็นการพักในช่วงฤดูหนาว 14 วัน  และในฤดูอื่นอีก 14 วัน​   สำหรับนิวเวิลด์ ลา พลูม นิเซโกะ รีสอร์ท นอกจากจะมีความน่าสนใจจากตำแหน่งที่ตั้งโครงการที่ดีในเมืองนิเซโกะ และการออกแบบโครงการที่สวยงามจากบริษัทผู้ออกแบบชั้นนำแล้ว การที่สกุลเงินเยนอ่อนค่าลงมาเมื่อเที่ยบกับเงินบาทไทย ซึ่งเป็นการอ่อนค่าลงมามากที่สุดในรอบ 30 ปี จะเป็นโอกาสทำให้ผู้ที่สนใจซื้อ หรือ ลงทุนอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่น มีกำลังซื้อเพิ่มมากขึ้น เป็นจังหวะดีให้คนไทยสามารถเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ที่ญี่ปุ่นได้ในราคาเหมาะสม   อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหลายคนยังมีความกังวลเรื่องความเสี่ยงเศรษฐกิจญี่ปุ่น ซึ่งยังมีอัตราการเติบโตในระดับต่ำ แต่เมื่อพิจารณาข้อดี ญี่ปุ่นนั้นเป็นประเทศที่มีความมั่นคง ปลอดภัย เศรษฐกิจเติบโตไม่หวือหวา ทำให้ผลตอบแทนการลงทุนจึงมีความสม่ำเสมอ ไม่ผันผวนมาก เหมาะสำหรับการกระจายความเสี่ยงการลงทุนไปยังต่างประเทศ ทั้งประเทศญี่ปุ่นยังมีการเดินทางได้สะดวก และระยะเวลาเดินทางไม่มากจากประเทศไทย ภายหลังช่วงโควิด ญี่ปุ่นได้เริ่มเปิดประเทศ เราเชื่อมั่นว่านักท่องเที่ยวจะกลับไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่นเหมือนเดิม และเพิ่มจำนวนมากขึ้น จากความอัดอั้นที่ไม่ได้ไปเยือนญี่ปุ่นมาหลายปี ​ โดยบริษัทคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้จำนวน 10 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า​10 ล้านดอลล่าห์ หรือประเมาณ 360 ล้านบาท (คำนวณจากค่าเงิน 1 ดอลล่าห์เท่ากับ​ 36 บาท) ในช่วง 3 เดือนแรกที่เปิดการขาย ซึ่งโครงการตั้งเป้ากลุ่มลูกค้าคนไทยประมาณ 15-20% ลูกค้าชาวญี่ปุ่น 30-35% ส่วนที่เหลือเป็นลูกค้าจากประเทศอื่น ๆ เช่น จากฮ่องกง และจีน   ด้านนายเพียว ซิน ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ นิวเวิลด์ ลา พลูม นิเซโกะ รีสอร์ท กล่าวว่า  เมืองนิเซโกะ จังหวัดฮอกไกโด ประเทศญี่ปุ่น  เป็นเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญของญี่ปุ่น มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่อปีเข้ามาท่องเที่ยวจำนวนมากตลอดทั้งปี จากผลสำรวจจำนวนนักท่องเที่ยวของเมือง พบอัตราการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นปีละ 20% โดยนักท่องเที่ยวชาวไทยติด 1 ใน 10 อันดับของนักท่องเที่ยวที่ไปเยือนจังหวัดฮอกไกโดมากที่สุด โดยเฉพาะช่วงฤดูหนาวที่มีหิมะตก เป็นฤดูเล่นสกี เมืองนิเซโกะที่เป็นที่รู้จักว่าเป็นเมืองสกีที่สวยงาม เพราะที่นี่ยังมีภูเขาโยเท (Mt.Yotei) ซึ่งเป็นหนึ่งในยอดภูเขาไฟที่มีทัศนียภาพสวยงามได้สมญานามว่า ฟูจิน้อย ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของฮอกไกโด ความสวยงามของเมืองนี้ถูกจัดอันดับเป็นเมืองสกี รีสอร์ท ที่น่าท่องเที่ยวติดอันดับ 1 ใน 3 ของโลกอีกด้วย ห้องสตูดิโอ เริ่มต้น 17 ล้านบาท นายเปรม นารูลา ผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท ริชมอนทส์ คริสตี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลเอสเตท จำกัด กล่าวว่า นิวเวิลด์ ลา พลูม นิเซโกะ รีสอร์ท ตั้งอยู่บนพื้นที่ 22 ไร่ แบ่งเป็นส่วนของอาคารที่พักและวิลล่า 5 หลัง มีพื้นที่สวนล้อมรอบโครงการ 50% มีรูปแบบการบริหารงานแบบรีสอร์ท  ปัจจุบันโครงการอยู่ระหว่างการก่อสร้าง กำหนดจะแล้วเสร็จในเดือนกรกฎาคมปี 2567 ซึ่งผู้สนใจโครงการบริษัทได้ออกแบบการขายออกเป็น 2 ส่วน คือส่วนที่ซื้อเพื่อครอบครองและเพื่อการลงทุน โดยคนไทยสามารถซื้อและถือครองเป็นเจ้าของได้ 100% ราคาเริ่มต้นที่ 17 ล้านบาท (66.5 ล้านเยน) สำหรับห้องสตูดิโอ ขนาดใหญ่ โดยมีราคาเฉลี่ย 500,000 บาท   สำหรับโครงการ นิวเวิลด์ ลา พลูม นิเซโกะ รีสอร์ท ประกอบด้วย อาคาร 11 ชั้น 1 อาคาร แบ่งเป็นชั้นใต้ดิน 2 ชั้น และบนดิน 9 ชั้น ลักษณะห้องพักแบ่งเป็นห้องสตูดิโอ ขนาดพื้นที่ 39.43 – 64.48 ตารางเมตร จำนวน 49 ห้อง ห้องขนาด 1 ห้องนอน พื้นที่ 63.46-99.87 ตารางเมตร จำนวน 68 ห้อง ขนาด 2 ห้องนอน พื้นที่ 96.70-158.63 ตารางเมตร จำนวน  79 ห้อง ขนาด 3 และ 4 ห้องนอน พื้นที่ 145.14-310.26 ตารางเมตร จำนวน 17 ห้อง และห้องเพนท์เฮาส์ เดอลุกซ์ สวีท พื้นที่ 193.01-332.74 ตารางเมตร จำนวน 6 ห้อง รวมจำนวนห้องพักในอาคารทั้งหมด 219 ห้อง ทั้งยังมี วิลล่า ที่อยู่บริเวณสวนนิเซโกะ มีความเป็นส่วนตัวแบบเอ็กซ์คลูซีฟ จำนวน 5 หลัง โดยภายในโครงการมีสิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ที่จอดรถในร่มและกลางแจ้งบริเวณชั้น 1 ภายในอาคาร บริเวณชั้น 2 จัดเป็นส่วนของเอนเตอร์เทนเม้นต์เซ็นเตอร์ ชั้น 3 เป็นส่วนของโถงต้อนรับและห้องสกีวัลเลย์ ส่วนบริเวณชั้น 11 ชั้นบนสุดบริเวณโถงต้อนรับ ประกอบไปด้วย บาร์ล็อบบี้, บาร์เลาจ์, บาร์บริเวณระเบียง ออกแบบให้สามารถชมทัศนียภาพบรรยากาศของวิวเมืองและภูเขาโยเท มองเห็นวิวได้แบบ 360 องศา ทั้งยังมีร้านอาหารที่เปิดให้บริการทั้งวัน   จุดเด่นที่เป็นไฮไลต์ คือ สระว่ายน้ำกลางแจ้งแบบสกายพูลความยาว 25 เมตร สระออนเซ็นขนาดใหญ่ในร่มและสระออนเซ็นกลางแจ้ง ศูนย์ฟิตเนส ห้องคิดส์รูมสำหรับเด็ก ๆ และครอบครัวที่มาพักผ่อนในช่วงเวลาพิเศษ โดยทุกห้องสามารถมองเห็นวิวของเมืองนิเซโกะ ได้อย่างสวยงาม ยิ่งในฤดูสกีที่มีหิมะปกคลุมแทบทั้งเมืองยิ่งเป็นทัศนียภาพที่สวยงามมาก   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ขายทิ้ง “Kiroro Resort Holding” 4,358 ล้านบาท ธุรกิจสกี-โรงแรมในญี่ปุ่น หลังโควิดกระทบท่องเที่ยว​
พรีโม ขาย IPO หุ้นละ 15 บาท 80 ล้านหุ้น  วางเป้า Top 3 บริการด้านอสังหาฯ ​

พรีโม ขาย IPO หุ้นละ 15 บาท 80 ล้านหุ้น วางเป้า Top 3 บริการด้านอสังหาฯ ​

พรีโม พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น เคาะราคา IPO 15 บาทต่อหุ้น พร้อมเปิดจองซื้อวันที่ 22 – 24 พฤศจิกายนนี้ เตรียมระดมทุน 80 ล้านหุ้น ในตลาด เอ็ม เอ ไอ ต่อยอดธุรกิจบริการด้านอสังหาฯ ครบวงจร พร้อมใช้เทคโนโลยีเสริมการบริการ ตั้งเป้าขึ้น Top3 หลัง 9 เดือนกวดรายได้กว่า 604.26 ล้าน มีกำไรสุทธิ 156.02 ล้าน   หลังจากบริษัทแม่อย่าง ออริจิ้น เข้าตลาดหลักทรัพย์ไปก่อนหน้า พร้อมนำเอาบริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) บริษัทในเครืออีกหนึ่งบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ถึงคิวของบริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน)  หรือ PRI ที่จะเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เป็นรายต่อไป   นางสาวจตุพร วิไลแก้ว  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีโมฯ  เปิดเผยว่า บริษัทได้เริ่มต้นธุรกิจขึ้นตั้งแต่ปี 2554 ในธุรกิจให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์ และเป็นนายหน้า และมีการจัดตั้งบริษัทต่าง ๆ มาอย่างต่อเนื่องที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจบริการด้านอสังหาฯ จนปัจจุบันได้เตรียมเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ​เนื่องจากเป็นบริษัทเรือธงของบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ซึ่งเดิมทางออริจิ้นถือหุ้น 100% จะปรับลดเหลือ 75% ซึ่งมีทุนจดทะเบียน 160 ล้านบาท ชำระแล้ว 120 ล้านบาท   โดยปัจจุบันมีบริการที่หลากหลายตั้งแต่ระดับต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ หรือก่อนเข้าอยู่อาศัย เข้าอยู่อาศัยแล้วและบริการหลังการขายอสังหาฯ เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าอสังหาฯ ที่ต้องการพัฒนาโครงการและลูกค้ารายย่อย โดยสามารถให้บริการได้ตั้งแต่เริ่มออกแบบก่อสร้าง จนถึงโอนกรรมสิทธิ์และมีบริการหลังการขายอสังหาฯ ที่หลากหลาย สามารถตอบสนองความต้องการด้านการอยู่อาศัยแบบวันสต็อปเซอร์วิส ภายใต้แนวคิด “Living Partner” เสมือนเป็นเพื่อนคู่คิดในการใช้ชีวิตร่วมกับลูกค้า สำหรับวัตถุประสงค์ของการระดมทุนครั้งนี้ เพื่อใช้ในการสร้างการเติบโตแบบออกานิคอย่างต่อเนื่อง ​ และการเพิ่มบริการให้ เพื่อรักษาฐานลูกค้าเก่า ที่มีอยู่กว่า 30,000 ครัวเรือน 100 โครงการ และขยายไปสู่กลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ ด้วยการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาเสริมบริการ อาทิ การเพิ่มบริการของแอปพลิเคชั่น PRIMO PLUS ด้านเฮลท์แคร์ การช้อปปิ้ง นอกจากนี้ ยังเสริมธุรกิจด้านต่าง ๆ ให้เติบโตเพื่อไปสู่เป้าหมายสำคัญ ในการขึ้นเป็นผู้นำ1 ใน 3  หรือ Top3 ตลาดธุรกิจบริการด้านอสังหาฯ ด้วย สาเหตุที่ออกมาจากออริจิ้น เพราะอยากเติบโตรองรับลูกค้าจาก One-time customer เป็น Life-time เพราะบริษัทเป็นฟันเฟืองที่ใหญ่ในธุรกิจอสังหาฯ ที่สามารถเติบโตได้ด้วยตนเอง สามารถรับลูกค้าได้ทั้งกลุ่มนอกออริจิ้นได้ด้วย 3 กลุ่มธุรกิจ 8 บริษัทในเครือ ปัจจุบันบริษัทฯ แบ่งการดำเนินธุรกิจเป็น 3 กลุ่ม ภายใต้การดำเนินงานของ 8 บริษัทย่อย ได้แก่ 1.ธุรกิจที่ปรึกษาและออกแบบทางวิศวกรรม (Pre-Living Services) โดยมีบริการที่ปรึกษาและควบคุมงานก่อสร้างโครงการอสังหาฯ  บริการออกแบบสถาปัตยกรรม งานวิศวกรรมและงานระบบ โดยได้รับมาตรฐาน ISO 9001: ด้านที่ปรึกษาและบริหารจัดการก่อสร้าง รวมถึงมีบริการจัดฝึกอบรมหลักสูตรเกี่ยวกับอสังหาฯ และการพัฒนาบุคลากร 2.ธุรกิจบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ (Living Services) โดยให้บริการรับบริหารนิติบุคคลอาคารชุด บ้านจัดสรร ห้างสรรพสินค้าและอาคารสำนักงาน บริการจัดหาผู้เช่าห้องชุดภายใต้แบรนด์ “พรีโม แมเนจเม้นท์” โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2565 มีลูกค้า 56 โครงการ และให้บริการดังกล่าวแก่โครงการระดับลักชัวรี่ภายใต้แบรนด์ “คราวน์ เรสซิเดนซ์” โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2565 มีลูกค้า 15 โครงการ (ไม่รวมลูกค้าจากบริการจัดหาผู้เช่าห้องชุด) นอกจากนี้ยังมีบริการรับบริหารจัดการอสังหาฯ เพื่อเช่าระยะยาวภายใต้แบรนด์ “แฮมตัน” (Hampton) บริการนายหน้าซื้อ ขาย ให้เช่า อสังหาฯ  ครบวงจร รวมถึงบริการที่ปรึกษาพัฒนาโครงการอสังหาฯ และการตลาด 3.ธุรกิจให้บริการหลังการขายอสังหาริมทรัพย์ (Living & Earning Services) โดยมีบริการต่างๆ ได้แก่ ออกแบบตกแต่งภายในบ้าน คอนโดฯ และพื้นที่ส่วนกลาง, ตกแต่งพื้นที่ส่วนกลาง สำนักงานขายโครงการอสังหาฯ, ทำความสะอาดที่พักอาศัยแบบทำสัญญาและรายครั้ง และบริการช่างและขนย้ายสิ่งของ ทั้งนี้ การที่บริษัทสามารถให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาฯ แบบครบวงจร ถือเป็นจุดเด่นที่แตกต่างจากผู้ประกอบการรายอื่น ๆ โดยฐานรายได้หลักของบริษัทมาจากการให้บริการ ซึ่งมีทั้งการทำสัญญาให้บริการแบบระยะยาว เช่น บริการที่ปรึกษาและควบคุมงานก่อสร้าง, บริหารนิติบุคคลอาคารชุด บ้านจัดสรร เป็นต้น และการให้บริการเป็นรายครั้ง รวมถึงมีฐานลูกค้าจากโครงการของ ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ช่วยเพิ่มความมั่นคงด้านรายได้แก่บริษัท  นอกจากนี้บริษัทมุ่งขับเคลื่อนการให้บริการด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยหรือ Tech Service Company โดยมีแอปพลิเคชันที่พัฒนาขึ้นเพื่อเป็นช่องทางติดต่อและให้แก่บริการแก่ลูกค้า   นางสาวจตุพร กล่าวอีกว่า บริษัทวางกลยุทธ์การเติบโตด้วยการมุ่งเพิ่มศักยภาพการให้บริการและสร้างสรรค์บริการใหม่ ๆ แบบวันสต็อปเซอร์วิส เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการด้านการอยู่อาศัยในทุกจังหวะการใช้ชีวิต หรือ “At Your Service, Every Moment” โดยจะมุ่งรักษาฐานลูกค้าเดิมใช้บริการต่อเนื่องและขยายฐานลูกค้าใหม่ โดยเฉพาะในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่มีศักยภาพ พร้อมทั้งวางแผนยายการลงทุนในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจหลักในปัจจุบัน ควบคู่กับการลงทุนพัฒนาเทคโนโลยีไอทีและดิจิทัลเพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการ มุ่งสู่ผู้นำของธุรกิจให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์สมัยใหม่แบบครบวงจร 9 เดือนกวาดรายได้กว่า 600 ล้าน ด้านนางสาวนุชจรีย์ จิตต์อาจหาญ ผู้บริหารสายงานบัญชีและการเงิน กล่าวว่า บริษัทมีผลการดำเนินงานเติบโตแข็งแกร่ง โดยในปี 2562 – 2564 มีรายได้รวม 255.69 ล้านบาท 266.51 ล้านบาท และ 489.56 ล้านบาทตามลำดับ เติบโตเฉลี่ย 30.48% ต่อปี และมีกำไรสุทธิ 34.52 ล้านบาท 40.05  ล้านบาท และ 111.25 ล้านบาทตามลำดับ เติบโตเฉลี่ย 74.09% ต่อปี ส่วนผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของ   ปี 2565 มีรายได้รวม 604.26 ล้านบาท เติบโต 95.92% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 156.02 ล้านบาท เติบโต 128.17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรายได้ทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจเติบโตได้ดีและมีอัตราการทำกำไรที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA) ณ งวด 9 เดือนแรกของปี 2565 อยู่ที่ 61.62% และอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) อยู่ที่ 81.20% เคาะราคาหุ้นละ 15 บาท ระดม 80 ล้านหุ้น ขณะที่นายประเสริฐ ตันตยาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า ความคืบหน้าการนำ บริษัท​ พรีโมฯ หรือ PRI เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ หลังจากที่ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อพิจารณาอนุมัติ   ล่าสุด ได้รับการอนุมัติแบบคำขอฯ และแบบไฟลิ่งมีผลใช้บังคับแล้ว โดย บมจ.พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 80 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 25% ของจำนวนหุ้นสามัญ ที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้ เพื่อนำเงินจากการระดมทุนไปใช้ขยายกิจการที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจในปัจจุบัน และพัฒนาเทคโนโลยีในการให้บริการลูกค้า รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ   โดย PRI เป็นบริษัทที่มีศักยภาพเติบโตได้อีกมากตามการขยายตัวของธุรกิจอสังหาฯ และความต้องการใช้บริการด้านการอยู่อาศัย โดยมีบริการที่สามารถตอบสนองลูกค้าที่เป็นโครงการอสังหาฯ และลูกค้ารายย่อย   ส่วนนางสาวยอดฤดี สันตติกุล กรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า บมจ.พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น ได้กำหนดราคาเสนอขาย IPO ที่ราคาหุ้นละ 15 บาท ซึ่งมองว่าเป็นราคาที่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐานและศักยภาพการเติบโตในอนาคต โดยจะเปิดให้นักลงทุนจองซื้อในวันที่ 22 – 24 พฤศจิกายนนี้ ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด และผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย 5 ราย   โดยคาดว่าจะนำหุ้น PRI เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ได้ในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน 2565 โดยเชื่อว่า PRI จะเป็นหุ้น IPO ที่ได้รับความสนใจที่ดีจากนักลงทุน ด้วยจุดแข็งด้านบริการที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาฯ แบบครบวงจร มีฐานลูกค้าที่มั่นคง มีรายได้ประจำที่มาจากการทำสัญญาระยะยาวกับลูกค้า และผลประกอบการที่ผ่านมาที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง โชว์ศักยภาพธุรกิจเป็นผู้ให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ครอบคลุมต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ ตั้งแต่ก่อนเข้าอยู่อาศัย เข้าอยู่อาศัยแล้วและบริการหลังการขายอสังหาฯ ส่วนกำไรสุทธิงวด 9 เดือนแรกของปี 2565 อยู่ที่ 156.02 ล้านบาท เติบโต 128.17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน วางกลยุทธ์ขยายบริการใหม่มุ่งสู่ผู้นำของธุรกิจให้บริการด้านอสังหาริมทรัพย์สมัยใหม่แบบครบวงจร   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เปิดโรดแมพธุรกิจ “ออริจิ้น” ใน 3 ปี ปูทางสู่มาร์เก็ตแคปกลุ่มธุรกิจ 1 แสนล้าน -พรีโม เตรียม IPO ในปลายปีนี้ วางเป้าขึ้น Top3 ด้านบริการอสังหาฯ ​ครบวงจร
เสนา กรุ๊ป  ปรับธุรกิจ รับเมกะเทรนด์  หลังถือหุ้นใหญ่ SENAJ

เสนา กรุ๊ป ปรับธุรกิจ รับเมกะเทรนด์ หลังถือหุ้นใหญ่ SENAJ

เสนา กรุ๊ป ยกเครื่องธุรกิจใหม่ วางเป้าเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกมิติ  ขยายธุรกิจใม่รับเมกะเทรนด์ หลังทุ่มกว่า 485.4 ล้าน ถือหุ้นใหญ่ SENAJ วางตัวเป็น "แม่ยก" กับ 3 แกนธุรกิจหลัก   หลังจากที่บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ได้เข้าลงทุนเพิ่มในหุ้นสามัญของ บริษัท เสนาเจ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ SENAJ จำนวน 300 ล้านหุ้น หรือ คิดเป็น 7.14% ของจำนวนหุ้นที่ออกและชำระแล้ว ในราคา 1.618 บาทต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าเงินลงทุนรวม 485.4​ ล้านบาท ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 7/2565 เมื่อวันที่ 14 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา​   ส่งผลทำให้กลุ่มเสนากลายเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ใน SENAJ และมีสัดส่วนการถือหุ้นเพิ่มเป็น 42.49% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด ถือเป็นการเพิ่มอำนาจในการควบคุมบริหารงานใน บริษัท เสนา เจฯ  ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการดำเนินธุรกิจตั้งแต่เสนา ได้เริ่มเข้าไปถือหุ้นใน   เมื่อกลุ่มเสนา กลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ จึงมีการวางทิศทางในการดำเนินธุรกิจทั้งกลุ่มเสนาใหม่ เพื่อสร้างความชัดเจนในการดำเนินธุรกิจ และสร้างโอกาสทางการตลาดให้กับเสนา ให้เกิดความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ ภายใต้สถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา พร้อมเป็น "แม่ยก" ดันธุรกิจโตยั่งยืน ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปีดเผยว่า เสนาดีเวลลอปเม้นท์ ได้มีการปรับยุทธศาสตร์ธุรกิจแบบองค์รวม โดยวางเป้าหมายของ "SENA Group" เติบโตอย่างยั่งยืนในทุกมิติ  ด้วยการวางให้เสนาพร้อมเป็น "แม่ยก" ผลักดันธุรกิจในเครือให้ครอบคลุม เติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ผ่านแกนหลัก 3 แม่ยก ดังนี้ ยกระดับองค์กรให้ก้าวทันโลกแห่งอนาคต ยกระดับทุกธุรกิจในเครือให้เติบโตอย่างยั่งยืน ยกระดับคุณภาพชีวิตในทุกมิติอย่างยั่งยืน สำหรับ แผนงานภายใต้คอนเซ็ปต์ 3 แม่ยก ดังกล่าวประกอบด้วย ​ 1.ยกจากจุดเริ่มต้น "SENA Group" เสนาได้ดำเนินธุรกิจมากว่า 40 ปี พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยเพื่อขาย ได้แก่ บ้านเดี่ยว ทาวเฮ้าส์ อาคารพาณิชย์ ทาวน์โฮมและอาคารชุด ธุรกิจเช่า ได้แก่ พาร์ทเม้นท์ให้เช่า ธุรกิจอาคารสำนักงาน ธุรกิจสนามกอล์ฟ ธุรกิจไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ธุรกิจบริหารงานนิติบุคคล ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่พักอาศัย เป็นต้น พร้อมต่อยอดธุรกิจใหม่ที่ตอบโจทย์ความท้าทายของผู้คนในสังคม เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยความใส่ใจ และจริงจังในการสร้างสังคมที่ยั่งยืน "To be the most trusted partner in our custom stage." เสนาเป็นแบรนด์ที่น่าเชื่อถือไว้วางใจสูงสุดในทุกช่วงชีวิตของลูกค้าเรา 2.ยกสถานการณ์ปัจจุบัน "SENA Group" โดยการวางธุรกิจหลัก (Core Business) เพื่อให้ธุรกิจสามารถเชื่อมโยงและสอดรับกับบริษัทในเครือ ปัจจุบัน ทาง "SENA Group" ได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจของทั้งกลุ่มบริษัท เพื่อให้ทุกบริษัทมีความแข็งแกร่ง เกื้อหนุนซึ่งกันและกัน พร้อมเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเชิงธุรกิจกับคู่แข่งในตลาด ซึ่งทุกบริษัทในเครือต้องมีการปรับวิสัยทัศน์และพันธกิจขององค์กร   ทั้งนี้ ทางบริษัท เสนา เจ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ SENAJ จะเน้นการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สำหรับกลุ่มเฉพาะ(Niche High End market) ในกลุ่มลูกค้าระดับสูง รวมถึงผลักดันการขยายบริการด้านที่อยู่อาศัยอย่างครอบคลุมและคุ้มค่ามากที่สุด โดยวางเป้าหมายและโจทย์สำคัญมุ่งสู่ธุรกิจเมกะเทรนด์ (New Mega Trends) ของโลก เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยความละเอียดใส่ใจ และจริงจังในการสร้างสังคมที่ยั่งยืน "To be the ultimate real estate multi-services company." ขณะเดียวกันมองว่าเทรนด์การลงทุนในธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก โดยทาง SENAJ พุ่งเป้าไปธุรกิจที่ตอบรับเมกะเทรนด์ (Mega Trend) ทั้งความยั่งยืนในการประกอบธุรกิจที่เป็นมิตรต่อโลก (Sustainability) ,สังคม, สุขภาพ, สิ่งแวดล้อมและเทคโนโลยี เป็นต้น 3.ยกระดับเพื่ออนาคต "SENA Group" โดยเสนาพร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตสู่ความยั่งยืน โดยทาง SENAJ ตั้งเป้าโตแบบก้าวกระโดด พร้อมเป็นหัวหอกหลักการดำเนินขยายการลงทุนเพิ่มในธุรกิจตามเมกะเทรนด์โลก แตกบริษัทเกาะเมกะเทรนด์โลก จากกลยุทธ์ การยกระดับเพื่ออนาคต ทำให้เสนา มีการขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจใหม่ เพื่อไปสู่การเป็นบริษัท Service Company ที่จะเข้ามาเสริมกับธุรกิจหลักของเสนา โดยมีการขยายธุรกิจใหม่ ๆ ประกอบด้วย 1.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย โดยพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่องตามแผนงาน ขยายฐานการพัฒนาโครงการบ้าน Niche High End ระดับราคา 15 -20 ล้านบาท วางแผนเปิดปีละ 1- 2 โครงการ นอกจากนี้ ได้ร่วมทุนกับพันธมิตร ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป พัฒนาคอนโดมิเนียมร่วมกัน 2.ธุรกิจ Property Management ธุรกิจบริหารนิติบุคคลโครงการที่อยู่อาศัยและทรัพย์สินแบบครบวงจร (Property Management) โดยปัจจุบันมีโครงการที่รับบริหารนิติบุคคลโครงการ 97 โครงการ ตั้งเป้าภายใน 3 ปี ขึ้นแท่นสู่ Top 5 ครอบคลุมโครงการรับบริหารรวม 168 โครงการ   โดยทาง SENAJ มีแผนเข้าซื้อหุ้นบริษัทย่อยของ SENA “แอคคิวท์ เรียลตี้” เพื่อให้บริการนายหน้าขายและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ครอบคลุมบริหารการขายโครงการ และให้บริการที่ปรึกษาด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และบริการด้านการเช่าอสังหาฯ ภายในกลุ่มของ SENA และ SENAJ 3.สถานดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยระยะฟื้นตัว (Nursing Home) ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาร่วมกับทางบริษัทญี่ปุ่นพัฒนาโครงการในอนาคต 4.ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อให้เช่า ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินงาน 2 แห่ง คือ ตลาดแพรกษา และ สำเพ็ง 2 5.ธุรกิจขายบ้านมือสอง โดยทางบริษัท เสนา ซัวร์ฯ คัดสรร รับซื้อทรัพย์บ้านมือสองและนำมาปรับปรุงตกแต่งให้อยู่ในสภาพที่ดีเพิ่มมูลคำและพร้อมขาย ตอบโจทย์ผู้บริโภคมองหาที่อยู่อาศัยใกล้เมือง ราคาจับต้องได้ ตั้งเป้าภายใน 3 ปีสู่ Top 5ผู้นำตลาดบ้านมือสอง   ในปี 2566  มีแผนลงทุนจัดตั้งบริษัทใหม่ เพื่อวัตถุประสงค์ในการรับซื้อที่อยู่อาศัยหรือบ้านมือสองและนำมาปรับปรุงตกแต่งให้อยู่ในสภาพที่ดี เพื่อเพิ่มมูลค่าและขายในตลาดต่อไป 6.ธุรกิจนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ โดยทาง SENAJ มีแผนเข้าซื้อหุ้นบริษัทย่อยของ SENA "แอคคิวท์ เรียลตี้" เพื่อให้บริการนายหน้าขายและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ ครอบคลุมบริหารการขายโครงการ และให้บริการที่ปรึกษาด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และบริการด้านการเช่าอสังหาฯ ภายในกลุ่มของ SENA และ SENAJ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การขับเคลื่อนธุรกิจครั้งสำคัญนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับธุรกิจหลักและเกื้อหนุนธุรกิจในเครือ นับเป็นการส่งเสริมจุดแข็งและสร้างความโดดเด่นทางการแข่งขันในโลกธุรกิจ รวมถึงการคิดละเอียดและใส่ใจในทุกมิติทำให้ "SENA Group" และบริษัทในเครือ พร้อมยกระดับการเติบโตให้แข็งแกร่งและยั่งยืนต่อไปได้ในอนาคต   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เสนาฯ จับมือ ลีโอ ลุยคลังสินค้าครบวงจร ประเดิมแห่งแรกที่เสนาเฟสท์ เจริญนคร 16   -เสนา ดีเวลลอปเมนท์  กับ 3 กลยุทธ์สู่เป้ารายได้กว่า 12,000 ล้าน ก้าวต่อไป เปิด 2 แบรด์ใหม่ จับตลาดต่ำล้าน
พฤกษา โชว์ Q3/65 ทำกำไรโต 87%  เดินหน้าลุยธุรกิจเฮลท์เทค-โซเชียล คอมเมิร์ส 

พฤกษา โชว์ Q3/65 ทำกำไรโต 87% เดินหน้าลุยธุรกิจเฮลท์เทค-โซเชียล คอมเมิร์ส 

พฤกษา โฮลดิ้ง ทำกำไรไตรมาส 3 เติบโต 87% มูลค่า 619 ล้าน รายได้อยู่ที่ 6,832 ล้าน​ ผลจาก 2 ธุรกิจหลัก “อสังหาฯ-เฮลท์แคร์” เติบโต พร้อม​เดินหน้าลงทุนธุรกิจใหม่ต่อเนื่อง ด้านเฮลท์เทค-โซเชียล คอมเมิร์ส    นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงาน ไตรมาส 3 ปี 2565 ว่า พฤกษา โฮลดิ้ง ทำรายได้ 6,832 ล้านบาท เติบโต 27% จากไตรมาสที่ผ่านมา และเติบโต 12% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน มีกำไรสุทธิที่ 619 ล้านบาท เติบโต 44% จากไตรมาสที่ผ่านมา และเติบโต 87% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 30.9%  และมีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนต่ำ (Net Gearing Ratio) ที่ 0.34 เท่า ปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสสองที่ 0.39 เท่า ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจเฮลท์แคร์ สำหรับธุรกิจอสังหาฯ ในไตรมาส 3 ทำรายได้ 6,430 ล้านบาท เติบโต 26% จากไตรมาสก่อน หรือเติบโต 8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการที่สูงขึ้นของโครงการแนวราบในเซ็กเม้นต์พรีเมี่ยม และรายได้จากการโอนคอนโดมิเนียม 3 โครงการในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา และสามารถทำยอดขายได้ 2,858 ล้านบาท พร้อมมียอดขายรอโอน (Backlog)  ประมาณ 13,300 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ภายในปีนี้กว่า 50% และที่เหลือในปีหน้า   โดยในไตรมาส 4 เตรียมส่งมอบคอนโด​ 4 โครงการ ได้แก่ แชปเตอร์ จุฬา-สามย่าน, ไพรเวซี่ จตุจัตร, พลัมคอนโด พระราม 2, พลัมคอนโด สุขุมวิท 62 มูลค่าราว 6,300 ล้านบาท และ มีแผนเปิดโครงการใหม่ในไตรมาส 4 รวม 7,800 ล้านบาท ได้แก่ ทาวน์เฮาส์ 7 โครงการ มูลค่า 3,600 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 3 โครงการ มูลค่า 2,700 ล้านบาท และ คอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่า 1,500 ล้านบาท   ส่วนธุรกิจด้านสุขภาพ (Healthcare Business) ในไตรมาส 3 มีรายได้ 330 ล้านบาท เติบโต 63% จากไตรมาสก่อน หรือเติบโต 276% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  สร้างรายได้จากบริการทางการแพทย์ในกลุ่มโรคที่ไม่เกี่ยวกับโควิดได้สูงสุดเป็น New High นับจากเริ่มดำเนินกิจการเมื่อปีที่ผ่านมา และมีการขยายบริการไปยังกลุ่มคนไข้ใหม่ และจากการจัดตั้งแผนกให้บริการผู้ป่วยต่างชาติโดยเฉพาะ ทำให้มีสัดส่วนคนไข้ต่างชาติที่เพิ่มสูงขึ้นถึง 23% ในขณะที่ทิศทางธุรกิจในอนาคต โรงพยาบาลวิมุตมีแผนเพิ่มเตียงสำหรับผู้ป่วยจาก 100 เตียง เป็น 125 เตียงภายในสิ้นปี 2565 เพื่อรองรับความต้องการที่มากขึ้น ด้านการลงทุนในธุรกิจใหม่  เพื่อต่อยอดพันธกิจด้านนวัตกรรม ทางบริษัทฯ ได้มีการร่วมลงทุนกับ Pathology Asia Holdings ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้นำให้บริการด้านการวินิจฉัยทางการแพทย์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีแผนการนำโนฮาวด้านการวินิจฉัยทางการแพทย์ Genomics และระบบการบริหารแล็ปที่ทันสมัย มุ่งขยายกิจการในประเทศไทย ซึ่งจะเป็นการนำนวัตกรรมด้านการแพทย์ระดับโลกมาสนับสนุนและเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการด้านสุขภาพของกลุ่มธุรกิจเฮลท์แคร์ นอกจากธุรกิจด้านสุขภาพ   พฤกษา โฮลดิ้ง ยังเล็งเห็นศักยภาพการเติบโตของธุรกิจโซเชียล คอมเมิร์ส  จึงได้ลงทุนในสตาร์ทอัพ PUNDAI - ปันได้ เครื่องมือ Affiliate Marketing Network ช่วยขายออนไลน์ ที่มาพร้อมฟังก์ชัน การใช้งานที่ง่าย ครบ จบในที่เดียว เป็นเครื่องมือช่วยตอบโจทย์การขายผ่านทุกช่องทางออนไลน์ ให้กับผู้ประกอบการและบุคคลทั่วไปให้เติบโตในโลกอีคอมเมิร์ซและเป็นฟันเฟืองสำคัญในการช่วยสร้างงานสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลได้อีกทางหนึ่ง   นอกจากนี้ จากการประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งล่าสุด ได้มีมติรับทราบการลาออกจากตำแหน่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม และประธานคณะกรรมการบริหาร ของนายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ โดยมีผลเป็นการลาออกตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 เป็นต้นไป ซึ่งภายหลังการลาออก นายทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ จะยังคงมีตำแหน่งเป็น รองประธานกรรมการบริษัท กรรมการสรรหาและพิจารณาค่าตอบแทน กรรมการกำกับการบริหารความเสี่ยง กรรมการบริหาร และกรรมการผู้มีอำนาจลงนาม  สำหรับการลาออกครั้งนี้ ถือเป็นส่วนหนึ่งของ Succession Plan ที่ทางบริษัทฯ ได้วางแผนไว้ในการเตรียมความพร้อมและสร้างความยั่งยืนขององค์กรในอนาคต   นายทองมา  กล่าวว่า หลังจากที่ได้ดำรงตำแหน่งร่วมกับนายอุเทน ที่ได้บริหารงานพฤกษา โฮลดิ้ง ร่วมกันมาเป็นเวลาราว 10 เดือน ผมไว้วางใจ มีความมั่นใจในคณะทีมบริหารมากขึ้น จึงได้ตัดสินใจมอบหมายให้ นายอุเทนบริหารงานอย่างเต็มตัว เป็นการส่งมอบให้นักบริหารมืออาชีพที่มีความสามารถได้มาต่อยอดดูแลบริหารงานเชิงกลยุทธ์และด้านปฏิบัติการของธุรกิจต่างๆ ในเครือทั้งกลุ่ม โดยกำหนดวิสัยทัศน์ไปถึงขยายกิจการ การลงทุนในธุรกิจใหม่ ตลอดจนสนับสนุนให้เกิดวัฒนธรรมองค์กรการทำงานในรูปแบบใหม่ที่เปิดกว้างทางความคิด สร้างความหลากหลายในองค์กร มุ่งปรับปรุงและพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีใหม่ ๆ อันจะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจกลุ่มพฤกษาในยุคดิจิทัลสู่องค์กรชั้นนำที่มอบโซลูชั่นสินค้าและบริการเพื่อคุณภาพการอยู่อาศัยที่ดีที่สุด   ในปีนี้ที่ทางพฤกษาได้ริเริ่มโครงการ "Accelerate Impact with PRUKSA" ให้การสนับสนุนบริษัทในประเทศไทยที่ดำเนินธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise)  ที่ต้องการความช่วยเหลือในการขยายกิจการให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อให้บริษัทที่เข้าโครงการได้บรรลุเป้าหมายสร้างผลกระทบเชิงบวกในการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อมได้อย่างแท้จริง ซึ่ง “ทุนวิจิตรพงศ์พันธุ์” เงินทุนส่วนตัวของนายทองมา ที่มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสนับสนุน ส่งเสริมพระศาสนา สนับสนุนด้านการศึกษา และช่วยเหลือสังคม ได้มีการต่อยอดภารกิจด้านการช่วยเหลือสังคม ด้วยการให้การสนับสนุนธุรกิจเพื่อสังคม ที่ทางพฤกษาได้ริเริ่มโครงการนำร่องบ่มเพาะสตาร์ทอัพในปีนี้ด้วย   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง  
5 เทรนด์อุตสาหกรรมก่อสร้างโลกที่แรงไม่หยุด

5 เทรนด์อุตสาหกรรมก่อสร้างโลกที่แรงไม่หยุด

อุตสาหกรรมก่อสร้าง ถือเป็นหนึ่งในธุรกิจสำคัญของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย เพราะแต่ละปีสามารถสร้างมูลค่าได้มากกว่า 800,000 ล้านบาท และยังเป็นธุรกิจที่เชื่อมโยง รวมถึงเกี่ยวข้องกับธุรกิจต่าง ๆ อีกมากมาย   ถ้าวัดขนาดความใหญ่ในโลก อุตสาหกรรมก่อสร้างถือเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยอ้างอิงจากรายงาน McKinsey ซึ่งระบุว่าการใช้จ่ายในอุตสาหกรรมก่อสร้างโลกมีมูลค่าถึง 10 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ หากคิดเป็นสกุลเงินไทยตอนนี้ที่ค่าเงินเท่ากับ 36.82  บาทต่อดอลล่าห์ (วันที่ 9 พ.ย.2565) จะมีมูลค่าเท่ากับ 368.2 ล้านล้านบาทเลยทีเดียว ​ ถือเป็นสัดส่วนสูงถึง 13% ของจีดีพีโลกเลยทีเดียว   แต่อุตสาหกรรมก่อสร้าง มีการชะลอตัวลง เมื่อเผชิญกับปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เช่นเดียวกับอุตสาหกรรมต่าง ๆ ซึ่งต้องมีการปรับตัวเพื่อให้อยู่รอด และยังคงสร้างการเติบโตได้ เมื่อสถานการณ์ต่าง ๆ ได้คลี่คลายลง   สิ่งหนึ่งที่เข้ามาเป็นตัวช่วยได้ดี ก็คงเป็นเทคโนโลยีต่าง ๆ ​ที่ปัจจุบันได้มีการนำเอา เข้ามาประยุกต์และพัฒนาเพื่อใช้แก้ปัญหาต่างๆ ในอุตสาหกรรมการก่อสร้าง ซึ่งไม่ได้มีเฉพาะปัญหาเรื่องการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เท่านั้น ที่ผ่านมาอุตสาหกรรมก่อสร้างต้องเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการขาดแคลนแรงงาน  ปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่งล้วนเกิดขึ้นในทุกขั้นตอน ตั้งแต่ก่อน-ระหว่าง-และหลังการก่อสร้าง   สำหรับ เทคโนโลยีและการพัฒนาในอุตสาหกรรมก่อสร้างที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน และอีก 2-3 ปีข้างหน้า ที่ถือว่าเป็นเทรนด์ของอุตสาหกรรมก่อสร้างที่น่าสนใจ พบว่ามีอยู่ด้วยกัน 5 เทรนด์ จากการรวมรวมของ CPAC Green Solution ซึ่งมีเทรนด์ต่าง ๆ ดังนี้ 5 เทรนด์อุตสาหกรรมก่อสร้างโลก ที่แรงไม่หยุด  1.การออกแบบการสร้างในโลกเสมือนจริง   การออกแบบ การสร้างในโลกเสมือนจริง (Virtual Design and Construction – VDC)  เป็นเทรนด์ที่มาแรงมากทั่วโลก เพราะนอกจากจะตอบโจทย์เรื่องการขาดแคลนแรงงานแล้ว ยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการทำงานซ้ำที่เกิดจากความผิดพลาดในขั้นตอนต่าง ๆ ซึ่งปกติจะสูงถึง 30% ของต้นทุนการก่อสร้างโดยรวม สำหรับเครื่องมือที่ได้ความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน คือ เทคโนโลยีการสร้างแบบจำลองข้อมูลอาคาร หรือ Building Information Modeling (BIM) จาก รายงานของ ReportLinker บริษัทวิจัยทางการตลาดจากประเทศฝรั่งเศสระบุว่า ตลาด BIM ในปี 2563 มีมูลค่าประมาณ 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐ – 5,200 ล้านเหรียญสหรัฐ ก่อนที่จะหยุดชะวักเนื่องจากโรคระบาดโควิด-19   อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่าตลาด BIM จะฟื้นตัวและมีอัตราเติบโตต่อปี 14.5% สอดคล้องกับการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมก่อสร้างโลกจากนี้ต่อไปในอีก 5 ปีข้างหน้า ในส่วนของประเทศไทยเองก็มีการเร่งพัฒนาบุคลากรในด้าน VDC เพื่อรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว 2.ตลาดการก่อสร้างแบบสำเร็จรูป   ตลาดการก่อสร้างแบบสำเร็จรูป (Modular construction) แม้ว่าการก่อสร้างแบบสำเร็จรูปจะมีการพัฒนามาระยะหนึ่งแล้ว แต่ตลาดนี้ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องตามการขยายตัวอย่างรวดเร็วของเมืองและอุตสาหกรรม เพราะข้อดีหลักของการก่อสร้างแบบ Modular คือ สามารถที่วางแผนควบคุมต้นทุน และระยะเวลาในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบ การก่อสร้าง จนกระทั่งจบงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ รวมถึงสามารถออกแบบได้อย่างนอกกรอบกว่าการสร้างแบบดั้งเดิมมาก   โดยรายงานของ Straits Research บริษัทวิจัยชั้นนำของโลก คาดว่าตลาดการก่อสร้างแบบสำเร็จรูปของโลกจะมีมูลค่าสูงถึง 271,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2573 เพิ่มขึ้นจาก 138,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2564 ซึ่งคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ 8% ต่อปีระหว่างปี 2656 – 2573 3.โดรน เพื่องานก่อสร้าง เป็นอีกเทคโนโลยีที่ถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการก่อสร้างอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นการร่างพื้นที่ขนาดใหญ่อย่างรวดเร็ว การถ่ายภาพทางอากาศ รวมถึงถูกนำมาใช้ในงานต่าง ๆ ที่มีความเสี่ยงสูง มีการประมาณการคร่าว ๆ กันว่า “โดรนก่อสร้าง” ช่วยลดการสูญเสียทรัพยากรในไซต์ก่อสร้างในแต่ละปีได้ถึง 160,000 ล้านเหรียญสหรัฐ และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในประเมินปริมาณสต็อกวัสดุที่ต้องใช้ในการก่อสร้างได้อย่างแม่นยำมากขึ้นถึง 61%   นอกจากนี้ “โดรนก่อสร้าง” ยังถูกนำมาใช้งานต่อในรูปแบบต่าง ๆ และ ยังมีการใช้เพื่อสำรวจภูมิประเทศใต้น้ำโดยใช้คลื่นเสียง  เพื่อออกแบบติดตั้งโซลาร์ลอยน้ำ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่ไม่สามารถใช้แรงงานมนุษย์ได้ 4.เทคโนโลยี 3D Printing เป็นเทคโนโลยีที่ถูกนำไปใช้คู่กับเทคโนโลยีอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็น BIM หรือแม้แต่โดรน ล่าสุด นักวิจัยจาก Imperial College London และ Empa ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ร่วมกันพัฒนาโดรนชนิดพิเศษที่มีฟังก์ชัน 3D Printing ในตัว เพื่อใช้ในการก่อสร้างและซ่อมแซมอาคาร ระบบนี้จะบินโดรนหลายตัวพร้อมกันในครั้งเดียว  เพื่อทำงานจากแบบพิมพ์เขียว (Blueprint) เดียวกัน โดยได้รับแรงบันดาลใจจากการทำงานของฝูงผึ้ง   ทั้งนี้ ตลาด 3D Printing Construction โลกมีมูลค่าประมาณ 11 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2564  และคาดว่าจะมีอัตราการเติบโตรายปีประมาณ 101% ตั้งแต่ปี 2665 - 2573  ทาง Straits Research ระบุว่าภูมิภาค เอเชียแปซิฟิกมีส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุด และถือเป็นผู้นำตลาดการผลิต 3D Printing ของโลกด้วย โดยในรายงานยังระบุอีกว่า อุปสงค์ (Demand) จากอาคารและโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ จะเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันตลาดในภูมิภาคนี้ รวมถึงการเติบโตของตลาด BIM ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ผลักดันในความต้องการ 3D Printing สูงขึ้นตามด้วย 5.วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Green Building Materials) เป็นเรื่องที่มีความสำคัญเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เนื่องจากภาวะโลกร้อนนับเป็นแรงกระตุ้นที่ทำให้ผู้พัฒนาโครงการไม่สามารถเมินเฉยต่อการเลือกวัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้ ในวงการอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยเองก็มีการสนับสนุนให้มีการเปลี่ยนแปลงวัสดุก่อสร้างในไทยเพื่อให้สอดคล้องกับเทรนด์โลก   โดยเน้นวัสดุที่ช่วยลดก๊าซเรือนกระจก ลดโลกร้อน มีการทำการวิจัยและพัฒนาด้านวัสดุเพื่อตอบโจทย์การพัฒนาอย่างยั่งยืน ด้วยการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่าและนำไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ และจากการสำรวจของ Transparency Market Research ระบุว่า ตลาดวัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมโลกมีมูลค่า 264,000                                 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2563  และคาดว่าตลาดจะเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีมูลค่าสูงถึง 983,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2574 โดยปัจจัยสำคัญมาจากความต้องการของผู้บริโภคเองและนโยบายของภาครัฐ   ทั้งนี้ อุตสาหกรรมก่อสร้างไทยจำเป็นต้องปรับตัวให้ทันตามเทรนด์โลก โดยเฉพาะเรื่องของสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีผลกระทบต่อทั้งธุรกิจและสังคมในวงกว้าง นอกจากนี้ผู้เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยทั้งภาครัฐและเอกชนควรให้ความสำคัญกับการเร่งผลิตบุคลากร โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีการสร้างแบบจำลองข้อมูลอาคาร (BIM) เพื่อรองรับความต้องการ ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอนาคต   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -ตรวจชีพจร ธุรกิจก่อสร้าง และ โอกาสทางธุรกิจใน New Normal -5 ความท้าทายอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในปี 65
เอพี ไทยแลนด์  รายได้รวม 9 เดือนนิวไฮกว่า 37,560 ล้าน  เดินหน้าเปิด 18 โครงการใหม่

เอพี ไทยแลนด์ รายได้รวม 9 เดือนนิวไฮกว่า 37,560 ล้าน เดินหน้าเปิด 18 โครงการใหม่

เอพี ไทยแลนด์  กวาดผลประกอบการ 9 เดือน ทำรายได้รวมกว่า 37,560 ล้าน กำไรสุทธิโตทะลุ 4,720 ล้าน ขณะที่​ยอดขาย  10 เดือนทำได้ 45,410 ล้านบาท ทะลุ 90% ของเป้ายอดขายทั้งปีที่ 50,000 ล้าน พร้อมเดินหน้าเปิด 18 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 26,360 ล้านโค้งท้ายปี   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทสามารถสร้างรายได้ จากสินค้าแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่นๆ ทำนิวไฮสูงสุดถึง 37,566 ล้านบาท คิดเป็น 80%  จากเป้ารายได้รวม (100% JV) ทั้งปีที่ 47,000 ล้านบาท ซึ่งรายได้ดังกล่าวเติบโตกว่า 24% หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 ที่ทำได้ 30,324 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิมากถึง 4,722 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 33% จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า ที่มีกำไรสุทธิรวมเท่ากับ 3,549 ล้านบาท ขณะที่สัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเท่ากับ 0.52 เท่า แผนการดำเนินธุรกิจของเอพีในปี 2565 กับการวางเป้าหมายเป็นที่สุดแห่งปี ประสบความสำเร็จและสามารถสร้างสถิติใหม่สู่การเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ตอกย้ำภาพความเป็นผู้นำในทุกกลุ่มธุรกิจทั้งสินค้าทาวน์โฮม บ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียม   มั่นใจถึงเป้ารายได้ทั้งปี 47,000 ล้านบาท ทั้งนี้ กลุ่มสินค้าแนวราบทั้งบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮมยังคงเป็นซูเปอร์สตาร์ของปี คีย์ไดรฟ์สำคัญในการสร้างรายได้ให้กับบริษัท จากกระแสตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ของลูกค้าโอนกรรมสิทธิ์ทั้งโครงการใหม่และโครงการที่อยู่ระหว่างการเปิดขาย ควบคู่กับการฟื้นตัวเติบโตในทิศทางที่ดีอย่างมีนัยสำคัญ ของตลาดคอนโดมิเนียมที่มีการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง   การโอนกรรมสิทธิ์ในคอนโดยังมีต่อเนื่อง อย่าง  2 คอนโดใหม่ที่ก่อสร้างเสร็จในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ได้แก่ RHYTHM เอกมัย เอสเตท และ LIFE สาทร เซียร์รา ทำให้ ณ 31 ตุลาคม 2565 บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) มากถึง 37,065 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้ถึงปี 2568 จึงมั่นใจว่าบริษัทจะสามารถสร้างรายได้รวมได้ตามเป้าหมายในปีนี้ทั้งปีที่ 47,000 ล้านบาท พร้อมทั้งจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตต่ออย่างมั่นคงในอนาคตอย่างแน่นอน   นอกจากนี้ บริษัท ยังมีผลงานยอดขายที่แข็งแกร่ง และยังคงสร้าง New Record สูงสุดที่บริษัทเคยทำได้ ณ สิ้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ด้วยยอดขายมากถึง 45,408 ล้านบาท หรือคิดเป็น 90% ของเป้ายอดขายที่ตั้งไว้ที่ 50,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 46% หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แบ่งเป็นยอดขายจากสินค้าบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมที่ 36,154 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26% และเป็นยอดขายจากสินค้าแนวสูงที่ปรับตัวดีขึ้นอย่างชัดเจนที่ 9,254 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้ากว่า 3 เท่าตัว โดยปัจจัยที่สนับสนุนให้บริษัทประสบความสำเร็จในมิติยอดขายที่แข็งแกร่ง นอกจากความเชื่อมั่นของลูกค้าต่อแบรนด์สินค้าเครือเอพีที่มากกว่า 17 แบรนด์ ที่มุ่งมั่นพัฒนาที่อยู่อาศัยที่เข้าใจความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า เพื่อส่งมอบความปรารถนาในการใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน ให้ทุกนิยามความสุขที่ต้องการเกิดขึ้นได้จริงแล้ว และยังสะท้อนถึงดีมานด์ตลาดที่อยู่อาศัยที่ยังคงเป็นที่ต้องการ ทั้งตลาดบ้านแนวราบที่เติบโตต่อเนื่อง และโดยเฉพาะตลาดคอนโด ที่มีการฟื้นคืนกลับของลูกค้าอย่างเห็นได้ชัด   บริษัทยังคงเดินหน้าตามแผน BREAKTHROUGH ทุกข้อจำกัด ด้วยการวางแผนเปิดตัว​โครงการใหม่ทั้งสิ้น 18 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 26,360 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 4 โดยมีไฮไลต์ในช่วง 2 เดือนสุดท้าย กับการเปิดตัว  “พื้นที่ชีวิตใหม่” จากบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ล่าสุด MODEN บ้านเดี่ยวหลังใหญ่บนทำเล พระราม 2, บางนา – เทพารักษ์​ และบางนา – ศรีนครินทร์ ราคาเริ่ม 3.99 – 9 ล้านบาท และคอนโด  ASPIRE  อ่อนนุช สเตชั่น มูลค่า 2,700 ล้านบาท โปรเจกต์แฟล็กชิป “Exclusive ASPIRE” เขย่าตลาดคอนโดใหม่เพียงหนึ่งเดียว ในย่าน ติดถนนสุขุมวิท เพียง 200 เมตรถึงรถไฟฟ้า BTS  สถานีอ่อนนุช ราคา 1 ห้องนอน  เริ่ม 129,000 บาท/ตารางเมตร เพียง 3.59 ล้านบาท Exclusive Booking วันที่ 26 - 27 พฤศจิกายนนี้ บริษัทยังคงดำเนินธุรกิจภายใต้พันธกิจใหญ่คือ การส่งมอบชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้ ด้วยแผนการดำเนินงานที่รัดกุม ควบคู่ไปกับความพร้อมที่จะปรับตัวอย่างรวดเร็ว ด้วยการบริหารจัดการแบบกระจายอำนาจ ควบคู่การบริหารจัดการกระแสเงินสดอย่างเคร่งครัด   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -4 การเปลี่ยนแปลงรอบ 20 ปี ของ “บ้านกลางเมือง” -เอพี ไทยแลนด์ โชว์ครึ่งปีแรกกวาดรายได้ 25,276 ล้าน พร้อมผลงานทำกำไรโต 31%
4 การเปลี่ยนแปลงรอบ 20 ปี ของ “บ้านกลางเมือง”

4 การเปลี่ยนแปลงรอบ 20 ปี ของ “บ้านกลางเมือง”

บ้านกลางเมือง บ้านกลางเมือง สินค้าเรือธง ทาวน์โฮม ค่ายเอพี ไทยแลนด์ ความสำเร็จตลอด 20 ปี กับ 4 การเปลี่ยนแปลงใหม่ในปี 2022   บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เริ่มต้นพัฒนาโครงการทาวน์โฮมครั้งแรกในปี 2545 ภายใต้แบรนด์ บ้านกลางเมือง เนื่องจากมองเห็นโอกาสทางการตลาด และความต้องการของลูกค้า ที่ต้องการอยู่บ้านทาวน์โฮมขนาด 3 ชั้น บริษัทจึงได้นำรูปแบบของอาคารพาณิชย์ มาพัฒนาและปรับเปลี่ยนรูปแบบใหม่ที่มีความทันสมัย โดยเริ่มต้นพัฒนา บ้านกลางเมือง รัชดา-เหม่งจ๋าย เป็นโครงการแรก ไทม์ไลน์ความสำเร็จบนเส้น 20 ปี  โดยหลังจากนั้น เอพี ได้พัฒนาโครงการใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในแต่ละปีก็มีพัฒนาการและวิธีการทำงานที่เปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม และแผนธุรกิจ  โดยตลอดระยะเวลา 20 ปีที่ผ่านมา บ้านกลางเมืองมีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นที่สำคัญ ๆ ดังนี้ ปี 2545 ปีแรกที่ได้พัฒนาแบบบ้านในรูปแบบคลาสสิคในธีม Big City และหลังจากนั้นได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบบ้าน จากคลาสสิคมาสู่ความเป็นโมเดิร์น ปี 2552 จึงเปิดตัว Urbanion Model และมีการพัฒนาบ้านแบบใหม่อย่างต่อเนื่อง ปี 2557 ได้พัฒนาแบบบ้านทาวน์โฮม 3.5 ชั้น พร้อมชั้นลอยสูง 5.5 เมตร ปี 2558 ได้เปิดตัว บ้านกลางเมือง ดิอิดิชั่น ด้วยบ้านแบบใหม่ X-Trend Model เพื่อเพิ่มพื้นที่ในการอยู่อาศัยในทาวน์โฮม ปี 2559  เอพี ไทยแลนด์ ได้ขยายตลาดบ้านทาวน์โฮม ไปสู่กลุ่มลูคค้าลักชัวรี่ ด้วยการเปิดตัวแบรนด์บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ ซึ่งเน้นโลเกชั่นในย่านใจกลางเมืองเป็นหลัก ปี 2560 เปิดตัวบ้านกลางเมือง ในรูปบบ TERRARIA MODEL ที่เป็นการนำพื้นที่สีเขียวเข้ามาไว้ในบ้านทาวน์โฮม ปี 2565 เอพี ไทยแลนด์ ได้วางแนวทางธุรกิจสินค้าทาวน์โฮม ภายใต้พันธกิจ​ Unlock Vertical Life ทำให้เปิดตัวบ้านกลางเมืองโมเดลใหม่มากที่สุดถึง 10 แบบ และนำเอาแบรนด์บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ กลับมาทำตลาดใหม่อีกครั้งหลังหยุดทำตลาดนานกว่า 7 ปี พร้อมกับเปิดตัวบ้านแบบใหม่ Eclectic Modern Series และ Legacy Classic Series พร้อมบ้านกลางเมือง ดิอิดิชั่น ฟังก์ชั่นใหม่   4 การเปลี่ยนแปลง “บ้านการเมือง” ยุค 2022 นายเมธา รักธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าทาวน์โฮม บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้บ้านกลางเมืองเดินทางมาครบ 20 ปี ซึ่งถือได้ว่าแบรนด์ที่อยู่ได้นานขนาดนี้ คือ เป็นแบรนด์ที่มีความแข็งแกร่งและเป็นตำนาน ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แบรนด์บ้านกลางเมืองมีการเติบโตอยู่ตลอดเวลา โดยในปีนี้บริษัทเปิดตัวแบบบ้านใหม่มากที่สุด และมีการทำตลาดครั้งสำคัญ ด้วยกลยุทธ์ Music Marketing ที่ได้นำเอานักร้องในตำนาน อย่างก้อง-สหรัถ มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ ครั้งแรก โดยใช้งบประมาณการทำตลาดในปีนี้ต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า 20 ล้านบาท   สำหรับแนวทางการตลาดของบ้านกลางเมืองในปีนี้ ถือว่าเป็นการทำธุรกิจที่เปลี่ยนไปจากอดีตที่ผ่านมา เนื่องจากบริษัทวางแนวทางธุรกิจ ภายใต้พันธกิจ Unlock Vertical Life ซึ่งมีการเปลี่ยนรูปแบบเกือบทุกอย่างของแบรนด์บ้านกลางเมือง ดังนี้ 1.เพิ่ม Product Mix ในแต่ละโครงการ ในอดีตโครงการบ้านกลางเมือง จะมีรูปแบบบ้านเพียงรูปแบบเดียว คือ ทาวน์โฮม แต่ปัจจุบันจะเป็นการผสมผสานรูปแบบบ้านหลายชนิดไว้ในโครงการเดียวกัน อาทิ มีแบบบ้านแฝด บ้านแฝด 3 ชั้น แบบบ้านทาวน์โฮม 3 ชั้น เป็นต้น 2.ฟังก์ชั่นบ้านเปลี่ยน ขณะที่ตัวบ้านมีการปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้งาน หรือการดีไซน์เลย์เอ้าท์บ้านเปลี่ยนแปลงไป เพื่อให้ตอบสนองความต้องการลูกค้าได้อย่างหลากหลายมากยิ่งขึ้น ลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นได้ตามไลฟ์สไตล์ และการใช้งานจริง อาทิ การนำเอาพื้นที่ห้องลิฟวิ่งรูม และห้องครัว ย้าวไปไว้ที่ชั้น 2 การมีพื้นที่ชั้นล่าง ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้หลากหลายรูปแบบ ตามความต้องการของลูกค้า เช่น ปรับเป็นห้องทำงาน ปรับเป็นห้องนอนผู้สูงอายุ หรือผสมผสานพื้นที่ได้ตามความต้องการ เป็นต้น 3.การทำตลาดเปลี่ยน ในอดีตการทำตลาดของบ้านกลางเมือง ทีมการตลาดจะทำงานภายใต้แนวคิดในการสร้างยอดขายเป็นหลัก ทำให้รูปแบบการตลาด ออกมาเป็น โปรโมชั่น หรือการส่งเสริมการขายในรูปแบบต่าง ๆ แต่ปัจจุบันการทำงานของทีมการตลาด จะต้องเน้นการสร้างแบรนด์ให้กับบ้านกลางเมืองควบคู่ไปด้วย จะไม่เน้นการขายสินค้าอย่างเดียว จึงเป็นที่มาของการกลยุทธ์ Music Marketing ในปีนี้ และต่อเนื่องไปถึงปีหน้าด้วย 4.เปลี่ยนคอนเซ็ปต์การซื้อที่ดิน  รูปแบบการซื้อที่ดินเปลี่ยนแปลงไป โดยจะเน้นการซื้อที่ดินให้สอดคล้องกับบ้านกลางเมืองแต่ละแบรนด์ โดยเฉพาะบ้านกลางเมืองคลาสเซ่ ที่ถือเป็นสินค้าทดแทนคอนโดมิเนียม สำหรับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการอยู่ทำเลใจกลางเมือง แต่ไม่ต้องการอยู่คอนโด เนื่องจากต้องการได้พื้นที่มากขึ้น แต่มีระดับราคาใกล้เคียงกับคอนโดในเมือง ซึ่งการซื้อที่ดินจะไม่ได้ดูเรื่องราคาเป็นหลัก แต่ดูศัยกภาพของที่ดินว่าสามารถแข่งขันได้หรือไม่ ​   ตลอดระยะเวลา 20 ปีของแบรนด์ บ้านกลางเมือง แต่ละปีมีอัตราการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เป็นหนึ่งแบรนด์สำคัญของ เอพี ไทยแลนด์ ในการช่วยความสำเร็จให้กับบริษัทได้เป็นอย่างดี และตัวแบรนด์เองก็มี Success Story มาโดยตลอด อย่างเช่น บ้านกลางเมือง สาทร-กัลปพฤกษ์ 2 ที่สามารถปิดการขายได้ภายในระยะเวลา 2 สัปดาห์ที่เปิดการขาย หรือแม้แต่การนำเอาแบรนด์ บ้านกลางเมือง คลาดเซ่ มาทำตลาดใหม่ในรอบ 7 ปี ก็กวาดยอดขายโครงการบ้านกลางเมือง คลาสเซ่ สุขุมวิท 77 ได้ถึง 800 ล้านบาท ภายในระยะเวลาเพียง 2 สัปดาห์เช่นกัน จึงต้องจับตามองกับเบอร์ 1 ตลาดทาวน์โฮมว่าก้าวย่างต่อไปจะมีอะไรให้ติดตามอีกบ้าง   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอพี ไทยแลนด์ กับ 4 ไฮไลท์ลุยตลาดบ้านเดี่ยวครึ่งปีหลัง เปิดตัว โมเดน แบรนด์ใหม่เจาะราคา 3-5 ล้าน -เอพี ไทยแลนด์ โชว์ครึ่งปีแรกกวาดรายได้ 25,276 ล้าน พร้อมผลงานทำกำไรโต 31%
ศุภาลัย บุกตลาดต่างจังหวัดแห่งที่ 23  ปั้นคอนโด “ศุภาลัย บลูเวล หัวหิน”

ศุภาลัย บุกตลาดต่างจังหวัดแห่งที่ 23 ปั้นคอนโด “ศุภาลัย บลูเวล หัวหิน”

ศุภาลัย บุกตลาดต่างจังหวัดเพิ่ม ลุยเมืองท่องเที่ยวชายทะเล ปักหมุดจังหวัดประจวบฯ ปั้นโครงการคอนโด “ศุภาลัย บลูเวล หัวหิน” มูลค่าโครงการ 1,200 ล้าน  ชูจุดเด่น 10 เรื่อง พร้อมการันตีผลตอบแทน 6% ใน 3 ปี   ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า ได้ขยายตลาดต่างจังหวัด โดยเข้ามาพัฒนาโครงการที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่ถือเป็นจังหวัดใหม่ลำดับที่ 23 ของบริษัท ได้เข้ามาเปิดตัวโครงการ เริ่มต้นกับโครงการแรก “ศุภาลัย บลูเวล หัวหิน” (SUPALAI BLUE WHALE) ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 7 ไร่ เป็นคอนโดมิเนียมไฮไรซ์​ มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท สูง 28 ชั้น จำนวน 525 ยูนิต และร้านค้า 3 ยูนิต  มีรูปแบบห้องตั้งแต่ Studio - 3 Bedrooms โดยมีขนาดห้องตั้งแต่ 29.5 - 128 ตร.ม. โดยเน้นการออกแบบรองรับวิวรอบด้านด้วยระเบียงโค้งเฉียง เพื่อรับลม รับวิวทะเล วิวภูเขา  พร้อมสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charging Station) เพิ่มความปลอดภัยแบบส่วนตัวในทุกห้องด้วยประตู Digital Door Lock และเข้า-ออกอาคารด้วยระบบ Face Scan อุ่นใจ 100 % กับระบบรักษาความปลอดภัยพร้อมกล้อง CCTV 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ศุภาลัย บลูเวล หัวหิน ยังออกแบบตัวอาคารสร้างจาก Hybrid Concrete ไม่อมความร้อน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมีการวางผังอาคารตามหลักทิศทางแสงและลม เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน อีกทั้งมีการเลือกใช้ อิฐมวลเบาที่ลดการปล่อย CO2 ในกระบวนการผลิต และกระจกเขียวตัดแสง ที่ช่วยกรองแสงได้ถึง 40% ซึ่งทำให้ห้องพักเย็นสบาย แม้ไม่ได้เปิดแอร์ ประหยัดค่าใช้จ่ายด้วยการใช้สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ และหลอดไฟ LED ทั้งโครงการ อีกทั้งยังใส่ใจในการเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม กระเบื้องห้องน้ำและกระเบื้องระเบียง ที่ลดการใช้น้ำในการผลิตถึง 25% และท่อสุขาภิบาลสั่งตัดพอดีกับการใช้งาน เพื่อลดขยะจากการเสียเศษท่อน้ำ 10 ข้อดีของของโครงการ ศุภาลัย บลูเวล หัวหิน 1.มี “วาฬเจ้าสมุทร” หรือ ​“วาฬสีน้ำเงิน” (Blue Whale) อยู่บนยอดสูงสุดของอาคาร เป็นสถาปัตยกรรมที่ออกแบบให้มีลักษณะเป็นปลาวาฬ   2.ตึกสูง 28 ชั้น สามารถรับลมชมวิว จากห้องพักและระเบียงทุกยูนิต ออกแบบให้หันไปทางทะเล ทางทิศตะวันออก ทุกห้องจึงเห็นทะเลทั้งหมด การออกแบบเฉียง ๆ ตั้งฉากกับทะเลทุก 2 ชั้นจะเป็นพ็อกเก็ตการ์เดน ที่เจาะเป็นช่องโล่งเพื่อให้อากาศถ่ายเท และมีสวนในทุก ๆ ชั้น ซึ่งบริษัทสูญเสียรายได้ชั้นละ 2 ล้านบาท   3.สามารถดูภาพ Panoramic View ทั้งทะเล ภูเขา และสนามกอล์ฟ 4.Lighthouse Park สวนน้ำและสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ รองรับกิจกรรมต่าง ๆ ของครอบครัว รวมถึงมี Adventure Kids สำหรับเด็ก ๆ   5.Island Fitness มีการออกแบบให้ห้องออกกำลังกาย อยู่บริเวณกลางสวนน้ำ ทำให้เห็นวิวสระว่ายน้ำ พื้นที่ส่วนกลางจะมีการออกแบบให้เหมาะกับการใช้รถเข็น ทั้งเด็กและผู้สูงอายุ   6.Facilities ออกแบบภายใต้เรื่องราวจากใต้ท้องทะเล (Under Water World)  ส่วนภายใต้สถาปัตยกรรมดังกล่าว จะออกแบบเป็น Sky Facility ที่มีทั้งโซน Paradise Living ห้อง Co-working ในชื่อ Paradise Working & Meeting และ Roof Garden   7.สามารถเห็นพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า   8.อยู่ในทำเลที่ดี ติดถนนใหญ่ อยู่ใจกลางหัวหิน มีศูนย์การค้า โรงเรียน สนามกอล์ฟ และสถานที่ยอดนิยมของหัวหิน   9.เปิดตัวโครงการด้วยการขายแบบ Fully Furnished ให้ทุกห้อง สามารถเข้าอยู่ได้ทันที เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายของโครงการจะเป็นคนกรุงเทพฯ ที่ไม่ต้องเดินทางมาออกแบบตกแต่งเอง   10.ราคุ้มค่า เริ่มต้น 1.69 ล้านบาท สำหรบห้อง Fully Furnished หรือมีราคาเฉลี่ย 61,000 บาทต่อตร.ม. สามารถซื้อเป็นบ้านหลังแรก สำหรับคนในพื้นที่ หรือซื้อเป็นบ้านหลังที่สอง สำหรับคนในจังหวัดอื่น ๆ หรือกลุ่มคนเกษียณอายุ รวมถึงกลุ่มนักลงทุน การันตีผลตอบแทนจากการเช่า 6% 3 ปี ผู้ซื้ออยู่ฟรี 15 วันต่อปี โดยโครงการศุภาลัย บลูเวล หัว​หิน เปิดจองรอบ Online Booking วันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 โดยสามารถรับชมห้องตัวอย่างในรูปแบบ 360 องศา Virtual Tour Online  และรับชมวิวจากห้องจริงแบบพาโนราม่าได้ที่  https://visualpanorama.com/Golive/supalai/bluewhale/  ส่วนลูกค้าที่สนใจเยี่ยมชมห้องตัวอย่างของจริงได้ในงานรอบ Pre-Sales วันที่ 26-27 พฤศจิกายน 2565 ณ สำนักงานขาย โครงการ ศุภาลัย บลูเวล หัวหิน  ​สามารถเข้ามาจับจอง พูดคุยได้ที่สำนักงานขาย โครงการ ศุภาลัย ไอคอน สาทร 6 เรื่องที่ศุภาลัย เลือกพัฒนาโครงการในเมืองหัวหิน ด้านนายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ  กล่าวว่า บริษัทเล็งเห็นศักยภาพของเมืองหัวหินในด้านการเป็นแหล่งท่องเที่ยวและเศรษฐกิจที่สำคัญ จึงได้เริ่มเข้ามาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมโครงการแรก “ศุภาลัย บลูเวล” ตั้งอยู่ใกล้ใจกลางเมืองหัวหิน ถนนเส้นหัวหิน-ห้วยมงคล เป็นทำเลที่มีจุดแข็งด้านการสัญจร เดินทางสะดวกไร้ปัญหารถติดเข้าสู่ใจกลางเมืองได้ภายใน 5 นาที และช่วงฝนตกหนักก็ยังไร้ปัญหาน้ำท่วมขังอีกด้วย  อีกทั้งยังรายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกรอบโครงการ ใกล้ตลาดโต้รุ่งหัวหินเพียง 2 ก.ม. นอกจากนี้ยังใกล้สนามกอล์ฟ ศูนย์การค้า ตลาดนัด โรงพยาบาล โรงเรียน และสถานที่อื่นๆ อีกมากมาย   ส่วนปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ศุภาลัย เลือกขยายการพัฒนาโครงการมายังเมืองหัวหิน เป็นเพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ และมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีเหตุผลสำคัญ ดังนี้ 1.เป็นเมืองท่องเที่ยวชายทะเลยอดนิยมของไทย 1 ใน 5 ที่คนไทยนิยมเดินทางมาท่องเที่ยว   2.หัวหินเป็นเมืองที่มีความสำคัญมากสำหรับ จังหวัดประจวบฯ เพราะสร้างรายได้ให้กับจังหวัดสัดส่วนถึง 94%   3.จำนวนประชากรท้องถิ่นอยู่มากที่สุดของจังหวัดประจวบฯ ในสัดส่วน 21%   4.เป็นจังหวัดที่มีความหนาแน่นของประชากรต่อพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตรยังน้อย เมื่อเทียบกับเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ   5.มีโครงการ Thailand Riviera มีถนนเลียบทางชายทะเล, ม มีโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางขุนเทียน-บ้านแพร้ว (เส้นพระราม2 ) สร้างเสร็จปี 2568 เส้นทางรถไฟรางคู่, ไฮสปีดเสร็จปี 2570 มอเตอร์เวย์ เส้นทางนครปฐม-ชะอำ สร้างเสร็จในปี 2575 โครงการต่าง ๆ เหล่านี้ จะทำให้การเดินทางมายังเมืองหัวหินได้สะดวกมากยิ่งขึ้น   6.การเปิดตัวช่วงปี 2561 มีจำนวนเยอะ แต่หลังจากนั้นลดลง ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีหลักไม่กี่ร้อยยูนิต และการซื้อขายยังไปได้ดี คอนโดจะเปิดมากที่ทำเลเขาตะเกียบ และหัวหิน ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา   นอกจาก ศุภาลัย จะพัฒนาคอนโดโครงการแรกแล้ว ยังวางแผนพัฒนาโครงการต่อเนื่อง โดยเป็นบ้านแนวราบอีก 2 โครงการ ได้แก่ ศุภาลัย วิวล์ และศุภาลัย ลากูน  ซึ่งจะเปิดตัวในปีหน้า   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ส่องตลาดคอนโด ชะอำ-หัวหิน-เขาเต่า 5 เดือนแรกปี 63 ในภาวะโควิด-19 -อัปเดตตลาดคอนโด ครึ่งปีแรก 65 พื้นที่ชะอำ-หัวหิน-เขาเต่า กับ 9 ประเด็นสำคัญ -[PR News]ศุภาลัย จับมือ เอสซีจี ขับเคลื่อนที่อยู่อาศัยสีเขียว
Q2/65 ชาติไหนโอนคอนโดเยอะสุด

Q2/65 ชาติไหนโอนคอนโดเยอะสุด

โอนคอนโด  เมื่อวันที่ 25 ตุลาคมที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบใน​ ร่างกฎกระทรวง เกี่ยวกับการให้ต่างชาติ ซื้อที่ดินเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยได้ ซึ่งมีเงื่อนไขคร่าว ๆ  คือ ต้องลงทุนในไทยมูลค่าไม่ต่ำกว่า 40 ล้านบาท เป็นระยะเวลาไม่ต่ำกว่า 3 ปี ซึ่งก็ทำให้ประเด็นนี้เป็นที่ถกเถียง และมีการ​มองว่าเรื่องนี้เป็นช่องทางให้ต่างชาติเข้ามาฮุบที่ดินของไทย มองเป็นประเด็นเรื่องการขายชาติ   ถ้าจะพูดกันตามความจริงแล้ว ปัจจุบันต่างชาติก็มีการซื้อที่ดิน หรือบ้านแนวราบได้กันอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ได้เป็นการซื้อในนามบุคคลทั่วไป เป็นการซื้อในนามนิติบุคคลที่จัดตั้งขึ้นมา หรือหลายกรณีก็มีการใช้นอมินีที่เป็นคนไทยเข้ามาซื้อ รวมถึงปัจจุบันต่างชาติก็ซื้อที่อยู่อาศัยในบ้านเราได้อย่างถูกกฎหมาย ถือครองได้ตลอดไป แต่ต้องซื้อประเภทห้องชุดของคอนโดมิเนียม  ตามสัดส่วนไม่เกิน 49% ของจำนวนทั้งหมดในโครงการนั้น ซึ่งส่วนใหญ่แล้วต่างชาติก็ซื้อกันไม่เต็มโควตา ยกเว้นบางโครงการที่มีการลงทุนโดยต่างชาติร่วมกับคนไทย หรือเป็นโครงการที่ทำขึ้นเพื่อจับกลุ่มเป้าหมายต่างชาติเป็นหลักเท่านั้น   นอกจากนี้ ในช่วงเวลาเกือบ 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีไวรัสโควิด-19 ระบาด การเดินทางเข้ามาซื้อคอนโดในบ้านเราของต่างชาติเรียกได้ว่าเป็นศูนย์เลยทีเดียว ส่วนต่างชาติที่ซื้อคอนโดไว้ก่อนหน้า และถึงกำหนดโอนกรรมสิทธิ์ หลายคนก็กังวลใจว่าลูกค้าต่างชาติเหล่านั้น จะทิ้งคอนโดที่ซื้อไว้หรือไม่ เพราะเดินทางเข้ามาโอนไม่ได้ แต่เอาเข้าจริงสุดท้ายก็สามารถโอนกันได้ จากการมอบอำนาจและให้ตัวแทนเข้ามาทำนิติกรรมแทน ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์  ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) หรือ REIC ได้รายงานสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติ ทั่วประเทศ ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2565 ​ว่า มีการเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนยูนิต มูลค่า และพื้นที่ ถ้าเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ​และสูงกว่าค่าเฉลี่ยรายไตรมาสในช่วง 2 ปี ที่เกิดโควิด-19 ด้วย   โดยจำนวนยูนิตการโอนคอนโดให้คนต่างชาติทั่วประเทศมีจำนวน 2,326 ยูนิต เพิ่มขึ้น 15.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเป็นจำนวนยูนิตที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยรายไตรมาสในช่วงที่เกิดโควิด-19  ในปี 2563 – 2564 ที่มีจำนวน 2,092 ยูนิตต่อไตรมาส  ขณะที่มูลค่าการโอนคอนโดให้คนต่างชาติทั่วประเทศมีจำนวน 12,114 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) มูลค่าการโอนในไตรมาสนี้ สูงกว่าค่าเฉลี่ย 2 ปี ในช่วงโควิด -19 ที่มีมูลค่า 9,980 ล้านบาทต่อไตรมาส   ส่วนพื้นที่โอนคอนโดให้คนต่างชาติทั่วประเทศมีจำนวน 109,486 ตารางเมตร เพิ่มขึ้น 27.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) พื้นที่คอนโดที่โอนในไตรมาสนี้ สูงกว่าค่าเฉลี่ย 2 ปี ในช่วงโควิด-19 ที่มีพื้นที่ 90,325 ตารางเมตรต่อไตรมาส ดร.วิชัย กล่าวอีกว่า การโอนคอนโดให้คนต่างชาติที่มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งจำนวนยูนิต มูลค่า และพื้นที่ และเป็นการเพิ่มขึ้นในเชิงจำนวนยูนิตสูงสุดในรอบ 5 ไตรมาสที่ผ่านมา และจำนวนมูลค่าและพื้นที่สูงสุดในรอบ 6 ไตรมาส เช่นนี้สะท้อนให้เห็นว่า การซื้อคอนโดของคนต่างชาติในช่วงก่อนหน้าได้มีการรับโอนอย่างต่อเนื่อง และยังมีแรงซื้อใหม่จากชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ผู้ซื้อชาวจีนเข้ามาทดแทนแรงซื้อคอนโดของชาวจีนที่หายไปจากข้อจำกัดการเดินทางออกนอกประเทศด้วยเช่นกัน   สัดส่วนการโอนคอนโดให้คนต่างชาติปัจจุบันไม่เกิน 10% และเป็นคอนโดมือสองกว่า 30% สัดส่วนยูนิต​โอนคอนโด​ให้คนต่างชาติในไตรมาส 2 ปี 2565 เป็น 9.3% ของการโอนทั้งหมดเ  ซึ่งเพิ่มสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน (9.2%) เพียงเล็กน้อย ส่วนมูลค่าโอนคอนโดให้คนต่างชาติ มีสัดส่วน 18.7% และ พื้นที่คอนโดที่มีการโอนให้คนต่างชาติ มีสัดส่วน  12.7% เพิ่มขึ้นจาก 15.1% และ 11.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ  ซึ่งสะท้อนว่า ผู้ซื้อคอนโดที่เป็นชาวต่างชาติมีการซื้อคอนโดที่มีระดับราคาเฉลี่ยต่อหน่วยที่สูงขึ้นกว่าช่วงปีก่อนหน้า   REIC ยังพบอีกว่า การโอนคอนโดให้คนต่างชาติเป็นคอนโดมือสองในไตรมาส 2 ปี 2565 ด้านจำนวนยูนิตเป็นสัดส่วน 37.1% โดยเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องติดต่อกัน 6 ไตรมาสแล้ว และเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดในรอบ 18 ไตรมาส ขณะที่ด้านมูลค่า คอนโดมือสองมีสัดส่วน 27.2% และในด้านพื้นที่ คอนโดมือสองมีสัดส่วน 43.3% และเป็นสัดส่วนพื้นที่คอนโดมือสอง โดยเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่องติดต่อกัน 7 ไตรมาส และยังเป็นสัดส่วนที่สูงที่สุดในรอบ 18 ไตรมาส “การที่สัดส่วนการโอนคอนโดให้คนต่างชาติที่เป็นมือสองเพิ่มมากขึ้นทั้งจำนวนยูนิต​ มูลค่า และพื้นที่ อย่างต่อเนื่อง มีข้อสังเกตได้ว่า คนต่างชาติในระยะหลังอาจมีความต้องการคอนโดมือสองมักอยู่ในทำเลพื้นที่ชั้นใน หรือ พื้นที่ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจของเมือง ซึ่งในปัจจุบันมีอุปทานให้เลือกน้อยลง ประกอบกับราคาคอนโดมือสองในทำเลเหล่านี้มีราคาที่ต่ำกว่าโครงการเปิดใหม่  จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนต่างชาติ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ซื้อจาก ยุโรป สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย รัสเซีย และอินเดีย” จีนครองแชมป์โอนคอนโดเยอะสุด แม้ว่าชาวจีนจะเดินทางมาประเทศไทยในช่วงโควิด-19 ไม่ได้ แต่ยังพบว่า ชาวจีน ยังคงเป็นชาวต่างชาติที่โอนคอนโดเยอะสุดในไตรมาส 2 ปี 2565 ที่ผ่านมา ด้วยจำนวน  2,072 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 25.3% 5 ชาวต่างชาติโอนคอนโดเยอะสุด 1.จีน จำนวน 2,072 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 25.3% 2.รัสเซีย จำนวน 263 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 3.2% 3.สหรัฐอเมริกา จำนวน 228 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 2.8% 4.สหราชอาณาจักร จำนวน 167 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 2.0% 5.เยอรมัน จำนวน 160 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 2.0 % 5 ลำดับต่างชาติโอนคอนโดมูลค่ามากสุด 1.จีน จำนวน 10,493 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 26.4% 2.สหรัฐอเมริกา จำนวน 976 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.5% 3.ฝรั่งเศส จำนวน 933 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.3% 4.รัสเซีย จำนวน 850 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.1% 5.กัมพูชา จำนวน 783 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.0% ต่างชาติซื้อคอนโดไม่เกิน 5 ล้าน สำหรับราคาของคอนโดที่ต่างชาติรับโอนในไตรมาส 2 ปี 2565 มากที่สุดจะมีราคาเฉลี่ยยูนิตละ 5.0 ล้านบาท 5 อันดับราคาคอนโดที่ต่างชาติ ด้านจำนวนโอนมากสุด 1.ราคาไม่เกิน 3.00 ล้านบาท มีสัดส่วน 46.4% 2.ราคา 3.01 - 5.00 ล้านบาท มีสัดส่วน 25.5% 3.ราคา 5.01 - 7.50 ล้านบาท มีสัดส่วน 12.9% 4.ราคามากกว่า 10.00 ล้านบาทขึ้นไป มีสัดส่วน 8.7% 5.ราคา 7.51 - 10.00 ล้านบาท มีสัดส่วน 6.5% 5 อันดับราคาคอนโดที่ต่างชาติ ด้านมูลค่าโอนมากสุด 1.ราคามากกว่า 10.00 ล้านบาท มีสัดส่วน 38.9% 2.ราคา 3.01 - 5.00 ล้านบาท มีสัดส่วน 19.3% 3.ราคาไม่เกิน 3.00 ล้านบาท มีสัดส่วน 15.7% 4.ราคา 5.01 - 7.50 ล้านบาท มีสัดส่วน 15.1% 5.ราคา 7.51 - 10.00 ล้านบาท มีสัดส่วน 11.0% 3 อันดับต่างชาติ ที่มีการโอนคอนโดราคาเฉลี่ยต่อยูนิตสูงสุด 1.ชาวไต้หวัน มีมูลค่าเฉลี่ยต่อยูนิต​ 7.1 ล้านบาท​ 2.ชาวรัสเซีย มีมูลค่าเฉลี่ยต่อยูนิต 3.2 ล้านบาท 3.ชาวเยอรมัน มีมูลค่าเฉลี่ยต่อยูนิต 3.2 ล้านบาท 5 อันดับ ขนาดพื้นที่เฉลี่ยคอนโด ที่ชาวต่างชาติจำนวนโอนมากสุด   1.ขนาดพื้นที่ 46.6 ตร.ม.ต่อยูนิต 2.ขนาดพื้นที่ 31 - 60 ตารางเมตร มีสัดส่วน 51.0% 3.ขนาดพื้นที่ไม่เกิน 30 ตารางเมตร มีสัดส่วน 32.5% 4.ขนาดพื้นที่ 61-100 ตารางเมตร มีสัดส่วน 10.1% 5.ขนาดพื้นที่มากกว่า 100 ตารางเมตร มีสัดส่วน 6.5% ย้อนหลังไปถึงปี 2561 พบว่า ขนาดไม่เกิน 30 ตารางเมตร และขนาด 31 - 60 ตารางเมตร ก็เป็นประเภทห้องที่คนต่างชาตินิยมมากที่สุด โดยมีสัดส่วนจำนวนยูนิตที่โอนรวมกันสูงกว่า 80% ในแต่ละไตรมาส​ 5 อันดับ ขนาดพื้นที่เฉลี่ยคอนโด ที่ชาวต่างชาติมีมูลค่าโอนมากสุด   1.พื้นที่ 31 - 60 ตารางเมตร มีสัดส่วน 42.3% 2.พื้นที่มากกว่า 100 ตารางเมตร มีสัดส่วน 28.7% 3.พื้นที่ไม่เกิน 30 ตารางเมตร มีสัดส่วน 14.5% 4.พื้นที่ 61-100 ตารางเมตร มีสัดส่วน 14.5%   ย้อนหลังไปถึงปี 2561 พบว่า คอนโดขนาด 31 - 60 ตารางเมตร และขนาดมากกว่า 100 ตารางเมตร เป็นประเภทคอนโดที่ทำให้เกิดมูลค่าการซื้อของคนต่างชาติมากที่สุด มีสัดส่วน 71.0% ในแต่ละไตรมาส   ทั้งนี้ ยังพบว่า สัญชาติที่มีขนาดพื้นที่เฉลี่ยต่อยูนิตในการโอน สูงสุด ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 คือ ชาวอินเดีย ที่มีขนาดพื้นที่เฉลี่ยต่อยูนิต 73.2 ตารางเมตรต่อยูนิตและ ชาวรัสเซีย เป็นกลุ่มที่มีขนาดพื้นที่เฉลี่ยต่อยูนิต 37.0 ตารางเมตรต่อยูนิต ขณะที่​ราคาเฉลี่ยต่อพื้นที่เป็น 108,133 บาทต่อตารางเมตร  สัญชาติที่มีการซื้อห้องชุดในราคาเฉลี่ยต่อพื้นที่สูงสุด คือ ชาวไต้หวัน มีราคาเฉลี่ยต่อหน่วยที่ 155,085 บาทต่อตารางเมตร และรองลงมาเป็นชาวจีน มีราคาเฉลี่ยต่อหน่วยที่ 129,353 บาทต่อตารางเมตร ต่างชาติยังปักหลักอยู่กทม.มากสุด REIC  ยังพบว่า จังหวัดที่มีจำนวนยูนิต​โอนคอนโดให้คนต่างชาติสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ในช่วง 6 เดือนแรกที่ผ่านมา ได้แก่ จังหวัดกรุงเทพฯ ชลบุรี สมุทรปราการ ภูเก็ต และเชียงใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ใน 2 จังหวัดแรก คือ กรุงเทพฯ มีสัดส่วน 43.8% และชลบุรี มีสัดส่วน 31.0%  โดยทั้ง 2 จังหวัดมีสัดส่วนจำนวนหน่วยรวมกันสูงถึง 80.7% ของทั่วประเทศ เมื่อพิจารณาย้อนหลังไปถึงปี 2561 พบว่า กรุงเทพฯ และชลบุรี ยังคงเป็นจังหวัดที่มีจำนวนยูนิตโอนคอนโดให้คนต่างชาติในสัดส่วนที่มากที่สุดเช่นเดียวกัน ส่วนอันดับรองลงมาเป็นจังหวัดที่อยู่ในปริมณฑลบางจังหวัดและจังหวัดที่เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ได้แก่ สมุทรปราการ และภูเก็ต เป็นต้น  ซึ่ง 5 จังหวัดข้างต้นเป็นจังหวัดที่มีมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติสะสมสูงสุดด้วยเช่นกัน โดยกรุงเทพฯ มีสัดส่วน 64.4% และชลบุรี มีสัดส่วน 16.0% โดยทั้ง 2 จังหวัดมีสัดส่วนมูลค่ารวมกันสูงถึง 80.4% ของทั่วประเทศ ส่วนอันดับรองลงมาคือ สมุทรปราการ และภูเก็ต   ดร.วิชัย กล่าวว่า จากการประมวลภาพของการโอนคอนโดให้คนต่างชาติทั้งหมด ทำให้เราเห็นได้ว่า ปริมาณทั้งในมิติของจำนวนยูนิต มูลค่า และพื้นที่ เริ่มฟื้นตัวกลับมาแล้ว แต่ยังคงต่ำกว่าช่วงที่ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่มีข้อสังเกตต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ว่า ตัวเลขการโอนเหล่านี้เป็นสิ่งสะท้อนการซื้อขายที่ผ่านมาในช่วง 1- 2 ปีที่ผ่านมา และเห็นว่าการซื้อขายคอนโดที่ผ่านมาสามารถโอน​ได้อย่างต่อเนื่อง และยังพบว่าห้องชุดที่มีการโอนให้คนต่างชาติมีมากกว่า 30% เป็นห้องชุดมือสอง ซึ่งมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง การเปิดประเทศและเริ่มดำเนินกิจกรรมในด้านต่าง ๆ ระหว่างประเทศทั่วโลก เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทยเริ่มฟื้นตัว  ซึ่งเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญที่อาจจะช่วยทำให้จำนวนยูนิต มูลค่า และพื้นที่ในการซื้อและการโอนคอนโดให้คนต่างชาติ ที่อาจมีแนวโน้มที่ทรงตัวจากปัจจุบันหรืออาจเพิ่มขึ้นได้เล็กน้อยเท่านั้น ทั้งนี้ เป็นผลมาจากการที่ประเทศจีนยังใช้นโยบาย Zero-Covid  ที่ยังคงสร้างข้อจำกัดให้ชาวจีนที่ต้องการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวและการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย แม้ว่าพบว่ามีกลุ่มคนต่างชาติอื่นเข้ามาซื้อคอนโดในประเทศไทยมากขึ้นในระยะหลัง แต่คงจะสามารถเข้ามาทดแทนผู้ซื้อชาวจีนบางส่วนเท่านั้น เนื่องจากผู้ที่จะซื้อชาติอื่นยังมียังคงมีปริมาณน้อยมากเมื่อเทียบกับชาวจีน     บทความที่เกี่ยวข้อง -เปิด 10 อันดับต่างชาติโอนคอนโด Q2/65 จีนยังครองเบอร์ 1 ทั้งปริมาณและมูลค่า ​ -เปิดอินไซต์ตลาดอสังหาฯ ไทย ไตรมาส 2 กับ 7 ปัจจัยเสี่ยงยังกระทบธุรกิจปี 2565
อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนพฤศจิกายน 2565

อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนพฤศจิกายน 2565

อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ แม้ว่าตอนนี้หลายธนาคารจะมีการประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำที่ธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี หรือ MRR (Minimum Retail Rate) กันไปหลายธนาคารแล้ว จากการที่กนง. แบงก์ชาติประกาศขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็น 1% แต่ในภาพรวมแล้ว อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ ของธนาคารส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยน ถือได้ว่าตอนนี้ก็เป็นจังหวะที่ดีถ้าใครคิดจะรีไฟแนนซ์บ้าน หรือคอนโดมิเนียม เพื่อบรรเทาภาระค่าดอกเบี้ย หรือเงินผ่อนแต่ละเดือนที่สูง   ลองมาดูกันว่าตอนนี้​ธนาคารไหน มีการคิดอัตราดอกเบี้ยยังไงกันบ้าง  ประจำเดือนประจำเดือนพฤศจิกายนนี้ ที่ Reviewyourliving ได้รวบรวมเอาไว้ให้แล้ว ลองเปรียบเทียบดูกันว่าธนาคารไหนให้อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโดได้คุ้มสุด อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโด 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ  มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการรีไฟแนนซ์บ้าน  กรณีหลักทรัพย์เป็นที่อยู่อาศัยทั่วไป เฉพาะวงเงินอนุมัติตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งอัตราดอกเบี้ยของเดือนพฤศจิกายนนี้ ​เว็บไซต์ธนาคารยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล โดยยังเป็นเอกสารที่ระบุข้อมูลถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565 คาดว่าอัตราดอกเบี้ยยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ย สำหรับการรีไฟแนนซ์บ้านและคอนโด ดังนี้ ​​ ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.325% (MRR-3.625%) กรณีไม่ทำประกัน  อัตราดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) หลังจากนั้น 4.45% ​(MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.12-3.20% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.66-3.72% ทางเลือกที่ 2 ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.825% (MRR-3.125%)  กรณีไม่ทำประกัน ดอกเบี้ย 3.075% (MRR-2.875%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.075% (MRR-2.875%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย  4.45% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.45-3.53% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.86-3.92% หมายเหตุ -กรณีแสดงวัตถุประสงค์ เช่น เพื่อการต่อเติม/ซ่อมแซม/ตกแต่งที่พักอาศัย ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา หรือการจัดหาสินค้าหรือบริการเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนตัว เป็นต้น -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคําขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2565 – 30 มิถุนายน 2565 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อและจดจำนองภายใน 2 เดือนนับแต่วันที่ ลงนามในสัญญากู้ -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบัน ตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 7 ธ.ค. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ย กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง หากลูกค้ายกเลิก และไถ่ถอนหลักประกัน ก่อนระยะเวลา 3 ปี ไม่ว่ากรณีชําระหนี้ด้วยเงินสด หรือ รีไฟแนนซ์ธนาคารจะเรียกคืนค่าธรรมเนียมจดจำนองจากผู้กู้ -ธนาคารจะโอนเงินคืนค่าสํารวจและประเมินหลักประกันเข้าบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ที่ลูกค้า ใช้หักชําระค่างวดกับธนาคารภายใน 60 วัน หลังจากลูกค้าได้รับอนุมัติและเบิกใช้สินเชื่อกับธนาคารแล้ว คําเตือน -ผู้ขอเอาประกันภัยที่สมัครทำประกัน โฮมเฟิสต์ พลัส (ฉบับปรับปรุง) ตั้งแต่ 1 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป จะได้รับความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ -เบี้ยประกันภัยสามารถนําไปหักลดหย่อน ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกําหนด -การทำประกันภัยไม่ใช่การฝากเงิน กรณีเวนคืนก่อนครบกําหนด ผู้เอาประกันภัยจะได้รับเงินคืนเป็นจำนวนน้อยกว่าเบี้ยประกันภัยที่จ่ายไปแล้ว ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เวนคืน -ผู้ขอเอาประกันภัยควรศึกษาและทำความเข้าใจเอกสารเสนอขายก่อน ก่อนตัดสินใจทำประกันภัย เมื่อได้รับกรมธรรม์แล้ว โปรดศึกษารายละเอียด ข้อกำหนดและเงื่อนไขในกรมธรรม์ -ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าประกันชีวิตที่เป็นผู้ชีช้องและจัดการบริการให้กับผู้ขอเอาประกันภัย เพื่อให้เกิดการทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น โดยการพิจารณาอนุมัติกรมธรรม์เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) -การแถลงสุขภาพเป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณารับประกันภัยหรือจ่ายเงินตามสัญญาประกันภัย -การตรวจสุขภาพเป็นไปตามเงื่อนไขของ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) -ผู้ขอเอาประกันภัยมีหน้าที่แถลงข้อความจริงในการขอเอาประกันภัย การปกปิดข้อความจริงหรือแถลงข้อความเป็นเท็จใดๆ อาจเป็นเหตุให้บริษัทผู้รับประกันภัยบอกล้างสัญญาประกันภัยและปฏิเสธไม่จ่ายค่าสินไหม ทดแทนตามสัญญาประกันภัย -ข้อกำหนดและเงื่อนไขของความคุ้มครองจะระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยที่ออกให้กับผู้ถือกรมธรรม์ -การสมัครประกันชีวิตคุ้มครองเครดิตโฮมเฟิสต์ พลัส เป็นทางเลือกสำหรับลูกค้า ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน แคมเปญ ดอกเบี้ยปีแรกเริ่มต้น 1% และแคมเปญธนาคารออกค่าธรรเนียมการจดจำนอง 1% ซึ่งไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า โดยมีรายละเอียดดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกัน* ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.60% (MRR-3.62%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = 4.00% ทางเลือก 2 ไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.70% (MRR-3.52%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = 4.04% ทางเลือก 3 ทำประกัน* ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.00% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.62% (MRR-2.60%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.72% (MRR-2.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.78% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = 4.04% ทางเลือก 4 ไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.25% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.67% (MRR-2.55%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.72% (MRR-2.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.88% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = 4.08% ดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน กรณีธนาคารออกค่าธรรมเนียมการจดจำนอ 1% ทางเลือก 1* แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  = 2.93% (MRR-3.29%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.93% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา =  4.12% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  = 3.03% (MRR-3.19%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.03% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.16% ทางเลือกที่ 3* ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 1.00% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย = 4.12% (MRR-2.10%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย = 4.22% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.11% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.15% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 1.25% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย = 4.17% (MRR-2.05%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  = 4.22% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.19% หมายเหตุ 1.การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ ทำ MRTA/GLTSP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี ทำ MRTA/GLTSP 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลากู้ ทำ MRTA/GLTSP 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ 2. อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR)** คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 4 ต.ค. 2565) 3.อัตราดอกเบี้ยแบบธนาคารออกค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% : ธนาคารออกค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% ของวงเงินรวม (สินเชื่อที่อยู่อาศัยรวมสินเชื่อ Home For Cash) ตามจำนวนเงินค่าจำนองในใบเสร็จของกรมที่ดินเท่านั้น (ไม่รวมค่าธรรมเนียมอื่น ๆ) สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อที่อยู่อาศัยภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ลงนามในสัญญากู้ทุกกรณี ลูกค้าต้องจ่ายค่าจดจำนองที่ธนาคารจ่ายให้คืนแก่ธนาคารทั้งจำนวน 4. สามารถขอสินเชื่อ Home For Cash แบบมีกำหนดระยะวลา (Term Loan) เพิ่มเติม สำหรับวัตถุประสงค์ : เพื่ออุปโภคบริโภค/ปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย/ชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย MRR ต่อปี ตลอดอายุสัญญา 5. เงื่อนไขอื่นๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2565 และทำนิติกรรมจำนองภายใน 30 วัน ทั้งนี้ ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขรายการส่งเสริมการขาย โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนก่อนหน้า ด้วยแคมเปญ อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.00% นาน 1 ปี หรือสามารถเลือกรับดอกเบี้ยทางเลือกฟรี ค่าจดจำนอง เมื่อซื้อประกันภัยคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ตามที่ธนาคารกำหนด และกรณีมีวงเงินเหลือ ยังมีแคมเปญที่สามารถกู้เพิ่ม สินเชื่อกรุงศรีโฮมฟอร์แคชได้อีกด้วย นอกจากนี้ ธนาคารยังมีโปรโมชั่น ฟรี ค่าประเมินหลักประกันมูลค่า 3,210 บาท ส่วนรายละเอียดของสินเชื่อรีไฟแนนซ์ มีดังนี้ วงเงินกู้ตั้งแต่ 1-1.5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.30% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.30% = 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.10%= 3.95% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.33% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.95% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.75% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย = 3.65% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-1.65%= 4.4% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 4.10% ทางเลือกที่ 3* ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.30% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.90% = 4.15% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.75% = 4.30% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.58% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 4.09% สำหรับวงเงินตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.175% = 2.875% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.88% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.60% ทางเลือก 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.00% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.45% = 3.60% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.20% = 3.85% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.71% ทางเลือก 3 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.50% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย = 3.50% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.80% = 4.25% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.42% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.87% ทางเลือก 4 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.70% = 3.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.35% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.35% ทางเลือกที่ 5 ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.925% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.12% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.74% หมายเหตุ -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พฤษภาคม​ 2563 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน ​–31 ธันวาคม​ 2565 โดยจดจำ​นองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 31 มกราคม​ 2566 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิดภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ -รายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติม สอบถามได้จากธนาคาร​ 4.ธนาคารกสิกรไทย อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้านของธนาคารกสิกรไทย  ข้อมูลของเว็บไซต์ธนาคารไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า และยังเป็นข้อมูลที่ระบุช่วงเวลาการยื่นกู้ตั้งแต่ วันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2565 มีรายละเอียด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.97% หมายเหตุ -MRR = 5.97% ( ณ วันที่ 22 พ.ค.63) อัตราดอกเบี้ยข้างต้นสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2565 5.ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ธนาคารเกียรตินาคินภัทร มีแคมเปญสินเชื่อสำหรับให้ลูกค้ารีไฟแนนซ์ คือ KKP Home Loan Refinance ให้วงเงินสูงสุด 50 ล้านบาท ดอกเบี้ยต่ำ สามารถกู้ร่วมกันได้สูงสุด 4 คนโดยเป็นบุคคลในครอบครัวเดียวกัน ฟรีค่าประเมินหลักประกัน* ซึ่งมีรายละเอียดของเดือนพฤศจิกายน เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ ทางเลือก ดอกเบี้ยแบบลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.84-3.04% เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมาคิดในอัตรา 2.59-2.79% ปีต่อไป MLR-1.50% =  5.275% เพิ่มขึ้น 0.25% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 5.025% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 3.04-3.24% เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมาคิดในอัตรา 2.79-2.99% ปีต่อไป MLR-1.50% = 5.275% เพิ่มขึ้น 0.25% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 5.025% เงื่อนไข -วงเงินคงเหลือต้องมากกว่า 500,000 บาท -บ้านต้องผ่อนกับสถาบันการเงินเท่านั้น -มีประวิติผ่อนชำระกับสถาบันการเงินเดิมไม่ต่ำกว่า 12 เดือน หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับกับปัจจัยอ้างอิง เช่น​ อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ​ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา​(MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ดังกล่าว​ โดยจะประกาศไว้ ณ ​ สถานที่ทำการที่ให้บริการ และเว็บไซต์ของ​ธนาคาร -MLR ณ วันที่ 7 ตุลาคม 2565 เท่า​กับ 6.775% ต่อปี -เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA) ผ่านธนาคารทุน​ประกันภัยเท่ากับวงเงิน กู้โดยมรีะยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปีกรณีที่ระยะเวลาการไถ่ถอนถึง​ 10 ปีให้ระยะเวลาเอา ประกันภัยเท่า​กับระยะเวลาการกู้ -กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปีแรก คิดค่า ​Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง -กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ย แบบฟรีค่าจดจำนอง​ หากลูกค้า​ Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อน​ระยะเวลาที่กำหนดไว้ทุก กรณีลูกค้าต้องชำระคืนค่าจดจำนองที่ธนาคาร สำรองจ่ายให้ธนาคาร -ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท ค่าอากรแสตมป์ร้อยละ 0.05 ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) -ค่าธรรมเนียมตดิ ตามทวงถามหนี้นค้างชำระ​ 1 งวด 50 บาท/รอบการทวงถามหนี้ค้างชำระมากกว่า ​1 งวด 100 บาท/รอบการทวงถามหนี้ -เบี้ยประกันอัคคีภัย เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด​ โดยผู้กู้สามารถเลือกทำ​ประกันกับบริษัท​ประกันที่น่าเชื่อถืออื่นใดก็ได้ ​ 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี มี อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโด ในเดือนพฤศจิกายน  2565 สำหรับ​ประเภทสินเชื่อรีไฟแนนซ์  กรณีไม่ขอวงเงินเพิ่ม  มีอัตราการคิดดอกเบี้ยไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา  ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำหรือเจ้าของกิจการ รายได้ 30,000 บาทขึ้นไป กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน น้อยกว่าหรือเท่ากับ 85% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.42% = 2.93% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.93% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.61% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.12% = 3.23% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.23% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.69% กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน มากกว่า 85% แต่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 100% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.22% = 3.13% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.13% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.67% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-3.92% = 3.43% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.43% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.75% กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน น้อยกว่าหรือเท่ากับ 85% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.% = 2.69% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.69% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.55% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.36% = 2.99% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.63% กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน มากกว่า 85% แต่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 100% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.46% = 2.89% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.60% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.16% = 3.19% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.19% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.68% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2564) กรณีขอวงเงินเพิ่ม สอบถามรายละเอียดกับทางธนาคารโดยตรง ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักทรัพย, ค่าอากรแสตมป์ และค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย 3 ปีแรก ทุกทางเลือก ยกเว้น ค่าจดจำนอง เฉพาะทางเลือก 1 และ 2 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบีมีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์  ประจำเดือนพฤศจิกายน ดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้น เฉลี่ย 3 ปีแรก 2.95% ต่อปี โดยมี​รายละเอียด​ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-3.53% =2.75% หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย (MRR-1.63%)=4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.02% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.18%=3.1% หลังจากนั้น (MRR-1.63%)= 4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี อัตรา 3.10% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.14% ทางเลือก 3 (สมัครผลิตภัณฑ์ไม่ครบทั้ง 3 ประเภท) ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย (MRR-2.74%) = 3.54% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีดอกเบี้ย 3.54% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.29% สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อบ้าน สไมล์ โฮม หรือ สไมล์ โฮม พลัส 2.สมัครใช้บริการ หักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ทีทีบีเพื่อผ่อนช าระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ทีทีบี (กรณีที่มีบัตรเดบิต ทีทีบีแล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) ช่วยคุณประหยัดดอกเบี้ยได้มากขึ้น ผ่อนต่อเดือนน้อยลง และเป็นเจ้าของบ้านได้เร็วขึ้น เมื่อรีไฟแนนซ์บ้านกับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ยให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท  รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ นาน 3 ปี  ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท  ฟรี! ค่าจดทะเบียนจำนอง มูลค่า 1% ของเงินกู้สูงสุด 200,000 บาท  ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง หมายเหตุ  -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่ คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 3 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของธนาคาร -ธนาคารขอสงวนสิทธิเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แจ้งไว้ในเอกสารฉบับนี้ โดยไม่ ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ในกรณีที่ธนาคารเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนจำนองหลักประกันแทนผู้กู้หากผู้กู้มีความประสงค์จะไถ่ถอนหลักประกันและชำระหนี้คืนทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันเบิกใช้เงินกู้ ครั้งแรก ผู้กู้ตกลงคืนเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองหลักประกันตามจำนวนเงินที่ธนาคารได้ชำระไปให้แก่ธนาคาร ในวันที่ผู้กู้ได้ชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้น (ค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท) -ลูกค้าต้องสำรอง จ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ลูกค้าใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 30 วันทำการนับจากวันที่ลูกค้าจดจำนอง -MRR = 6.48% ตามประกาศธนาคาร https://www.ttbbank.com/th/rates/loan-interest-rates -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึง 31 ธันวาคม 2565 และจดจำนอง ภายใน 31 มกราคม 2565 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อทั่วไปที่รีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินอื่น โดยแคมเปญของธนาคารมีกำหนดระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 31 ธันวาคม ​2565 อัตราดอกเบี้ยจึงเท่ากับเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% ปีต่อไป MRR-0.72%= 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.242% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.90% ปีต่อไป MRR-0.72% = 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.174% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10 ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 21 กรกฎาคม​ 2565) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด -ระยะเวลาขอสินเชื่อ 1 กรกฎาคม ถึง ​31 ธันวาคม 2565 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำหรับธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส. ถือว่าเป็นธนาคารสำหรับการให้สินเชื่อเพื่อซื้อบ้านและคอนโด รวมถึงสินเชื่ออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรง มีสินเชื่อให้เลือกมากมายหลายประเภท สำหรับการรีไฟแนนซ์บ้านจากสถาบันการเงินอื่น มีสินเชื่อบ้านสุขสันต์ เพื่อให้ลูกค้าใช้บริการรีไฟแนนซ์  โดยอัตราดอกเบี้ยสำหรับเดือนนี้ ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา ​​โดยมีรายละเอียดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ แบบที่ 1 สำหรับกลุ่มลูกค้าสวัสดิการ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.25% (MRR-3.90%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.16%= 2.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.90%=3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.35% แบบที่ 2 สำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อย ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.35% (MRR-3.80%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย  MRR-3.06%= 3.09% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-2.80%=3.35% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.71% หมายเหตุ -นิยามคำว่า “อาคาร” หมายถึง บ้านเดี่ยว บ้านแฝดทาวน์เฮ้าส์ และอาคารพาณิชย์เพื่อที่อยู่อาศัย ยกเว้นแฟลต และบ้านเช่า -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ร้อยละ 0.1 ของวงเงินทำนิติกรรม -MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม​ 64 -กำหนดระยะเวลา ยื่นคำขอกู้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 – 30 ธันวาคม 2565 อนุมัติและทำนิติกรรม ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2565 (ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเต็มวงเงินของโครงการแล้ว) 10.ธนาคารยูโอบี สำหรับธนาคารยูโอบี มีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ UOB Home Loan – รีไฟแนนซ์ ​ ไม่รวมวงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์  ซึ่งอัตราดอกเบี้ยในเดือนพฤศจิกายน 65 มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า​ เนื่องจากมีการปรับอัตราดอกเบี้ย MRR ตามรายละเอียดดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.29%  (MRR-4.46%) อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.00% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.39% (MRR-4.36%) อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.04% ทางเลือก 3 แบบทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.39% (MRR-5.36%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.39% (MRR-2.36%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.39% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.99% ทางเลือก 4 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.49% (MRR-5.26%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.49% (MRR-2.26%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.49% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.03% หมายเหตุ -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น (Re-finance) ในช่วง​ระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้จะมีค่าปรับ​ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น​ ) -การอนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย​ MRR ปัจจุบัน เท่ากับ 7.75% ต่อปี (ตามประกาศธนาคาร ​​ณ วันที่ 3 ตุลาคม 2565) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้ และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตรา ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของ​ธนาคาร -ธนาคารยูโอบี ในฐานะนายหน้าประกันภัย​ (ใบอนุญาตประกันชวีติเลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศ​ภัย เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่นำเสนอ ผลิตภัณฑ์ประกันภัย และเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย​ และอำนายวความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิต ​โดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชวีติ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่า ประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็มม เอส ไอ จีประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จะเป็นผู้รับผิดชอบตาเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก ครั้ง​ 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ประจำเดือนพฤศจิกายน ซึ่งอัตราดอกเบี้ยยังไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า โดยมีรายละเอียดดังนี้ สำหรับผู้กู้รายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.59% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.35% = 2.00% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.55% = 3.80% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.56% แบบที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-4.75% = 2.60% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% สำหรับผู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป แบบที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.25% = 2.10% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.25% = 2.50% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.10% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.80% = 3.95% เพิ่มขึ้น 0.05% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด  3.90% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.85% เพิ่มขึ้น 0.15% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.47% เพิ่มขึ้น 0.84% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.63% แบบที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-4.95% = 2.79% เพิ่มขึ้น 0.09% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.70% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.79% เพิ่มขึ้น 0.09% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.47% เพิ่มขึ้น 0.78% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.69% ข้อกำหนดและเงื่อนไข -สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า Refinance ดอกเบี้ยพิเศษ เริ่ม 1.99% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป และเบิกรับเงินกู้ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2565 -วงเงินกู้เริ่มต้น 1 ล้านบาท และราคาประเมินหลักประกัน (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาท หรือ (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.5 ล้านบาท (โครงการจัดสรรทุกโครงการ) -อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขดังกล่าว สำหรับหลักประกันที่ได้รับการจัดสรรทุกโครงการในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ยกเว้น ที่ดินว่างเปล่า, อาคารพาณิชย์ -กรณีลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือสูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือเปลี่ยนแปลงสัญญาใดๆ ภายใน 5 ปีแรกทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำได้ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.75% (ณ วันที่ 19 ตุลาคม 2565) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -อัตราดอกเบี้ย หลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่นๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด 12 ธนาคารออมสิน อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สำหรับธนาคาออมสิน ประจำเดือนพฤศจิกายน  ​มีรายละเอียดอื่น ๆ ดังนี้ ​ สินเชื่อรีไฟแนนซ์ จากสถาบันการเงินอื่น สำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินกู้สินเชื่อต่ำกว่า 10 ล้านบาท แบบทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.99% (MRR-4.255%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.98% (MRR-3.265%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.144% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.24% (MRR-4.005%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 3.605%  (MRR-2.64%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.328% วงเงินกู้สินเชื่อมากกว่า 10 ล้านบาท  กลุ่มลูกค้าทั่วไป (เดือนที่ผ่านมาไม่ได้แยกวงเงินกู้) กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.99% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.755% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.5% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.089% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.24% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 3.38% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.00% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.274% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR = 6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท​ ระยะเวลา 20 ปี แบบผ่อนเท่ากันทุกงวด ​ -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่นๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไข โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า   ที่มา : Reviewyourliving รวบรวมจากข้อมูลเว็บไซต์แต่ละธนาคาร ณ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2565   บทความที่เกี่ยวข้อง -อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนตุลาคม 2565 -อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนตุลาคม 2565  
เปิดเหตุผล  เซ็นทรัลพัฒนา  ทุ่ม 14,000 ล้าน ปั้นมิกยูสต์ 2 โปรเจ็กต์  ปักหมุด นครสวรรค์-นครปฐม

เปิดเหตุผล เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่ม 14,000 ล้าน ปั้นมิกยูสต์ 2 โปรเจ็กต์ ปักหมุด นครสวรรค์-นครปฐม

“เซ็นทรัลพัฒนา” ต่อยอดแผนธุรกิจ 5 ปี ปั้นมิกซ์ยูสโมเดลใหม่ยกระดับคุณภาพชีวิต ประกาศลงทุน รวม 14,000 ล้านบาท ขึ้น 2 โปรเจ็กต์ “เซ็นทรัล นครสวรรค์” และ “เซ็นทรัล นครปฐม” เตรียมเปิดให้บริการในปี ​2567 ปั้นเมืองศักยภาพ พาคู่ค้าเติบโตทั่วประเทศ   นายชนวัฒน์ เอื้อวัฒนะสกุล Chief Development and Commercial Officer บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้วางแผนต่อยอดแผนธุรกิจ 5 ปี (2565-2569) ด้วยการวางงบลงทุนรวม 14,000 ล้านบาท ในการพัฒนา 2 โครงการใหม่ ในจังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัดนครปฐม เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพ โดยเตรียมเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 1-2 ของปี 2567  ตามแผนธุรกิจ 5 ปี เราลงทุนในธุรกิจหลักของเรารวมกว่า 120,000 ล้านบาท และขยายโครงการกว่า 30 จังหวัดทั่วประเทศ จากความสำเร็จดังกล่าว จึงขยายโครงการใหม่ เซ็นทรัล นครสวรรค์ และ เซ็นทรัล นครปฐม ที่มีเป้าหมายเพื่อ สร้างเมืองใหม่-เจาะกลุ่มรายได้สูงมีไลฟ์สไตล์แบบคนเมือง-ขยายโอกาสธุรกิจเพื่อคู่ค้า ปักหมุดประตูสู่ภาคเหนือ “เซ็นทรัลนครสวรรค์” สำหรับจังหวัดนครสวรรค์ ซีพีเอ็นจะใช้งบประมาณ 5,800 ล้านบาท ในการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส “เซ็นทรัล นครสวรรค์” ขนาดพื้นที่ 76,000 ตร.ม. บนที่ดิน 42 ไร่  ซึ่งนอกจากศูนย์การค้า จะยังมีโรงแรมขนาด 200 ห้อง, คอนโดมิเนียม และ Urban Park ขนาดใหญ่ 2 ไร่  และโรงพยาบาล​ โดยโครงการจะเปิดให้บริการช่วงไตรมาส 1/2567   โดยทางซีพีเอ็น วางแผนพัฒนา เซ็นทรัลนครสวรรค์ ให้เป็น แลนด์มาร์กใหม่เพื่อชีวิตที่มีคุณภาพ (Landmark of Quality Living) ซึ่งจะมีสวนขนาดใหญ่บนพื้นที่ 2 ไร่  “Urban Park” ซึ่งออกแบบให้เป็น Multi-Generation Space สำหรับทุกคนทุกวัยในครอบครัว ประกอบด้วย Playground, Pet’s Park และไฮไลท์อย่าง Longevity Hill ที่ดีไซน์ให้เป็น Vertical Walkway มี running track, bike track  มีการดีไซน์ Wellness Zone ภายในโครงการให้เชื่อมโยงกับ Neighbouring Component อย่างโรงพยาบาล ประกอบด้วย Fitness, Sport Anchors, Beauty Services เป็นต้น เป็นศูนย์การค้าที่มีคอนเซ็ปต์ดีไซน์ represent เมืองปากน้ำโพ ผสมผสาน Chinese meets Thai Culture เข้ามาในส่วนต่างๆ  ซึ่งมีสินค้าจากแบรนด์ต่าง ๆ รวมกว่า 400 แบรนด์ ซึ่งมีการออกแบบแต่ละโซนแบบ Holistic View ที่เชื่อมโยงแต่ละโซนอย่างเช่น Chinese Village ที่ประกอบด้วย Food Destination, Chinese Market, Authentic Café, Supermarket นอกจากนี้ยังมีร้านค้าแบรนด์ต่าง ๆ ในกลุ่มเซ็นทรัล ​ทั้งเซ็ลทรัลดีพาร์ทเมนท์สโตร์ ซูเปอร์สปอร์ต เพาเวอร์บาย ท็อปส์ บีทูเอส ออฟฟิศเมท ​และ go! WOW   โดยเหตุผลสำคัญที่ซีพีเอ็นลงทุนในจังหวัดนครสวรรค์ เป็นเพราะ 1.การเป็นเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งภาคเหนือตอนล่าง (New Rising Economic City) เป็นประตูสู่จังหวัดภาคเหนือ (Gateway to the north) และตั้งอยู่บนแนวพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจแนวเหนือ-ใต้ (North-South Economic Corridors (NSEC) และแผนเมกะโปรเจ็กต์ของภาครัฐ เช่น รถไฟความเร็วสูงสายเหนือ, รถไฟทางคู่สายนครสวรรค์-แม่สอด และส่วนต่อขยายของทางรถไฟสายเหนือ ศูนย์กลางด้านการขนส่งไปสู่จังหวัดภาคเหนือ (Logistic Hub)  นครสวรรค์เป็นจังหวัดศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ สำหรับการขนส่งสินค้าไปยังจังหวัดต่าง ๆ ในภาคเหนือ ซึ่งเซ็นทรัล นครสวรรค์ จะเป็นอีกหนึ่ง Hub สำคัญที่เชื่อมโยงโครงการของเซ็นทรัลพัฒนาในภาคกลางและภาคเหนือ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ให้กับคู่ค้าผู้เช่า ในการขยายโอกาสทางธุรกิจ 2.ศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยว (Hub of Cultural Tourism) นครสวรรค์ เป็นอีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยว และศูนย์รวมเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทย-จีน เมืองปากน้ำโพ เพราะเป็นเมืองต้นกำเนิดแม่น้ำเจ้าพระยา มีชุมชนชาวจีนใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ และเทศกาลตรุษจีนก็เป็นหนึ่งในเทศกาลใหญ่ของจังหวัด รองจากกรุงเทพฯ และภูเก็ต  เซ็นทรัลนครสวรรค์ จึงวางแผนดีไซน์ภายในศูนย์การค้าด้วยการชู Local Essence ผสมผสาน Thai-Chinese Culture เป็นอีกหนึ่ง Attraction ที่จะทำให้นครสวรรค์เป็นมากกว่าเมืองผ่าน สู่เมืองท่องเที่ยวที่ผู้คนต้องมาเยือน 3.มีกลุ่มครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีนที่กำลังซื้อสูง (Affluent Multi-Generation Families) กลุ่มครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน กำลังซื้อสูง หลากหลายช่วงวัย ไลฟ์สไตล์คนเมือง GPP หรือ ผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัว มีกว่า 120,000 บาทต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับจังหวัดขอนแก่น รายได้ต่อครัวเรือน (Household Income) มากกว่า 21,000 บาทต่อเดือน ซึ่งสูงกว่าจังหวัดเชียงราย มีกลุ่มครอบครัวคนรวย ซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายจีน (Multi-Generation Thai-Chinese Families) ครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน คนรวยนครสวรรค์ คือกลุ่มนักธุรกิจ คุ้นเคยกับ Urban lifestyle โดยจากข้อมูลที่เรามี ชาวนครสวรรค์เดินทางมาช้อปที่สาขาในกรุงเทพฯ จำนวนมาก อันดับหนึ่งคือ เซ็นทรัล ลาดพร้าว รองลงมาที่เซ็นทรัลเวิลด์ ประชากรในจังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัดใกล้เคียง ได้แก่ กำแพงเพชร, อุทัยธานี, ชัยนาท, ลพบุรี และพิจิตร มีรวมกว่า 1,000,000 คน อสังหาฯ ที่อยู่อาศัย (Housing Growth) เติบโต 6% ใน 5 ปี ราคาเฉลี่ยประมาณ 2.5 ล้านบาท พลิกที่ดิน 100 ไร่ ปั้น “เซ็นทรัลนครปฐม” 8,200 ล้าน แม้ว่าซีพีเอ็นจะมีโครงการใกล้เคียง ไม่ว่าจะเป็นเซ็นทรัล ศาลายา หรือเซ็นทรัล มหาชัย แต่ก็วางแผนพัฒนาโครงการ “เซ็นทรัล นครปฐม” มูลค่าโครงการ 8,200 ล้านบาท บนที่ดินเกือบ 100 ไร่ เพราะมองศักยภาพและโอกาสทางการตลาดของจังหวัดนครปฐม ที่สามารถพัฒนาโครงการออกมารองรับได้   โดยโครงการ เซ็นทรัล นครปฐม ประกอบไปด้วย ศูนย์การค้า ขนาดพื้นที่ 69,000 ตร.ม. โดยจะเปิดให้บริการช่วงไตรมาส 2/2567  โรงแรมขนาด 200 ห้อง โครงการคอนโดมิเนียม  หมู่บ้านจัดสรร และ Urban Park ขนาดใหญ่ 4 ไร่ ซึ่งเป็นการพัฒนาภายใต้แนวคิด เมืองคนรุ่นใหม่ ใส่ใจความยั่งยืนและพื้นที่ Co-Creation สำหรับทุกคน  ซึ่งเป็นการนำความสำเร็จในการสร้างพื้นที่ Semi-Public จากเซ็นทรัล จันทบุรีมาไว้ที่นี่ด้วย แต่ที่นครปฐมจะโดดเด่นด้วย พื้นที่กิจกรรมสำหรับทุกคนในครอบครัว, Community Leisure Park และพื้นที่งาน Art & Craft และพื้นที่ Co-Creation กับกลุ่มนักเรียน นักศึกษาหรือ Young Co-Creator / Younger Mind เซ็นทรัล นครปฐม ยังจะมีร้านค้าและแบรนด์สินค้าพันธมิตรธุรกิจในกลุ่มเซ็นทรัลเข้ามาเปิดบริหาร ได้แก่ บีทูเอส ออฟฟิศเมท  เพาเวอร์บาย ท็อปส์ มาร์เก็ต ซูเปอร์สปอร์ต และ​ go! WOW  นอกจากนี้ ยังมีโซนไฮไลท์อื่น ๆ อาทิ Pathom Landmark: สะท้อนความเจริญทางศิลปวัฒนธรรมและไลฟ์สไตล์ของคนนครปฐม, Pathom Samosorn: Authentic Lifestyle Food Destination กับพื้นที่ Semi-Outdoor Market และ Pathom Club เป็น Sport Fashion Destination ประกอบด้วยสินค้า Sport Fashion, Gadget, Fitness และ Running Track ที่เชื่อมต่อกับโซน Park ที่อยู่ใจกลางโครงการ สำหรับอาคารของโครงการ ยัง​ถูกพัฒนาภายใต้​มาตรฐาน Green Building มี Sustainable Design อาทิ Natural Light, Solar Roof ลดการใช้พลังงาน, Waste Management   ส่วนเหตุผลสำคัญที่ซีพีเอ็นเลือกพัฒนาโครงการในจังหวัดนครปฐม เป็นเพราะ 1.เป็นเมือง Strategic Move ในการขยายไปภาคตะวันตกโดยมีนครปฐมเป็น ประตูเชื่อมไปยังจังหวัดใกล้เคียงคือราชบุรี และกาญจนบุรี ทำเลที่ตั้งโครงการ อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยและสถานที่สำคัญ ทำหน้าที่เป็น Center ของเมือง ตอบโจทย์ลูกค้าได้โดยไม่ต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เดินทางสะดวกด้วยมอเตอร์เวย์ บางใหญ่-กาญจนบุรี และมอเตอร์เวย์ ชลบุรี-สระบุรี-นครปฐม ยุทธศาสตร์จังหวัด นครปฐมถูกวางให้เป็น Smart City และ Eco Industrial Town หรือเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ที่สร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม สิ่งแวดล้อม และสังคมชุมชน 2.นครปฐมเมืองท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และธรรมชาติ (Heritage and Nature) Heritage: มีเสน่ห์ของเมืองเก่า และความรุ่งเรืองของ “อู่อารยธรรม” และแลนด์มาร์กสำคัญอย่างพระปฐมเจดีย์ โครงการเซ็นทรัล นครปฐมจึง เข้ามาต่อยอดความเป็นเมืองที่มีเสน่ห์และมีเรื่องราว Nature: เมืองที่มีพื้นที่สีเขียวตามธรรมชาติถึง 35-40% ของพื้นที่สีเขียวทั้งหมดของจังหวัด โครงการเซ็นทรัล นครปฐม ยังเพิ่มพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ให้กับเมืองด้วย 3.เป็นเมืองคนรุ่นใหม่ และมีรายได้สูง (Attractive & Powerful Spenders)   ติดอันดับ 10 จังหวัดที่มี GPP (ผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัว) สูงที่กว่า 375,000 บาท มีความเติบโตทางเศรษฐกิจ รายได้ครัวเรือนสูง เติบโตจากปีที่แล้วถึง 5% อยู่ที่ประมาณ 34,000 บาท ต่อเดือน ประชากรกว่า 1,000,000 คน  ที่อยู่ในจังหวัดนครปฐม และยังขยาย New Catchment ไปราชบุรี กาญจนบุรี มีจำนวนคนในเมืองเดินทางเข้ามากว่า 200,000 คนในช่วงระหว่างสัปดาห์ คนในนครปฐม, คนทำงาน, นักเรียนนักศึกษา เป็น Universities Hub นับเป็นอีกหนึ่งกลุ่มประชากรหลักของเมือง เป็นกลุ่มที่ต้องใช้ชีวิต เรียนหนังสือ ไม่ได้แค่เดินทางไป-กลับ การเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวปีละกว่า 4 ล้านคน เป็นชาวไทย 97%, ต่างชาติ 3%ซึ่งจังหวัดนครปฐมตอบโจทย์นักท่องเที่ยว และนักเดินทางที่มาพักผ่อนในช่วงสุดสัปดาห์ อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เปิดงบลงทุน 120,000 ล้าน เซ็นทรัลพัฒนา ใช้ไปกับธุรกิจอะไรบ้าง -เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาทใน 5 ปี ตั้งเป้า องค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ปี 2050
อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนพฤศจิกายน 2565

อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนพฤศจิกายน 2565

ผลจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ตอนนี้หลายธนาคารประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย MRR หรือ Minimum Retail Rate (อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำที่ธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี) กันหลายแห่งแล้ว แน่นอนส่งผลให้ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารเรียกเก็บกับลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย   สำหรับอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโดมิเนียม ในเดือนพฤศจิกายนนี้ มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง Reviewyourliving ได้รวบรวมมาให้เปรียบเทียบ สำหรับคนที่กำลังจะกู้เงินซื้อบ้าน หรือซื้อคอนโดกัน ซึ่งภาพรวมก็ปรับเพิ่มขึ้นหลายแห่งด้วยเหมือนกัน ลองไปดูกัน ​​ อัปเดต ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป  โดยอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ประจำเดือนพฤศจิกายน 2565 ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า เนื่องจากเอกสารที่ระบุอยู่ในเว็บไซต์ของธนาคาร ยังมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล โดยยังเป็นข้อมูลที่ใช้กับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม -30 มิถุนายน​ 2565  จึงคาดว่าธนาคารกรุงเทพ จะยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยเท่ากับช่วงเวลาดังกล่าว ​ซึ่งมีการคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.2% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป ลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.45% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.45%  (MRR-0.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.45% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.9% ลูกค้าทั่วไปวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.7%(MRR-1.25%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075%(MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58% -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก MRR-1.20% หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า 500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่  10 พฤษภาคม​ – 30 มิถุนายน​ 2565 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 7 ธันวาคม​ 2564 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข 2.ธนาคารกรุงไทย สำหรับธนาคารกรุงไทย ได้อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนที่ผ่านมา  โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ทางเลือกที่ 1 แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.77% (MRR-3.45%) ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 2.77% (MRR-3.45%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.77% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.22% ทางเลือกที่ 2 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.87% (MRR-3.35%) ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 2.87% (MRR-3.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี =2.87% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.26% ทางเลือกที่ 3 แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.92% (MRR-2.30%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.96% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.26% ทางเลือกที่ 4 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.25 ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.97% (MRR-2.25%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี =  3.06% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.30% เพิ่มขึ้น หมายเหตุ : 1.การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ *ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลากู้ -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี (การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ เป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการอนุมัติสินเชื่อ) 2.อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR)**คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,600 บาท/เดือน MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 4 ตุลาคม 2565) 3.สามารถขอสินเชื่อ Home For Cash แบบมีกำหนดระยะเวลา (Term Loan) เพิ่มเติม สำหรับวัตถุประสงค์ : เพื่ออุปโภคบริโภค / ปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย /ชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย MRR ต่อปี ตลอดอายุสัญญา 4.เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2565 และทำนิติกรรมจำนองภายใน 30 วัน ทั้งนี้ ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขรายการส่งเสริมการขาย โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี  เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมิน  และธนาคารยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยสำหรับการกู้ซื้อบ้านและคอนโด ยังคงเท่ากับเดือนที่ผ่านมา  เนื่องจากมีระยะเวลาการสิ้นสุดแคมเปญถึง 31 ธันวาคมนี้ โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.925% (MRR-2.125%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.93% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = 4.45% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 2.50%   เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 415% (MRR-1.9%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-1.5%) ปีที่ 3อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-1.5%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.14% ลดลง 0.07% จากเดือนที่ผ่านมาคิดอัตราดอกเบี้ย  4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.54% เพิ่มขึ้น 0.02% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.675% (MRR-2.375%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.675% (MRR-2.375%) ปีที่ 3อัตราดอกเบี้ย 3.675% (MRR-2.375%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.68% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.22% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.99%  เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.15%  (MRR-1.9%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.35% (MRR-1.7%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.35% (MRR-1.7%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.92% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.33% หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2563 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน​ – 31 ธันวาคม 2565 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป  ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยแบ่งการพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 30,000-50,000 บาท และกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ต่อเดือน 50,000 บาท ​โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ กลุ่มที่มีรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 30,000-50,000 บาท* อาชีพรายได้ประจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = MRR+0.93% = 6.9% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  6.90% ลดลง 0.82% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย 7.72% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 6.94% ลดลง 0.78% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย  7.72% ลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = MRR+1.43% = 7.4% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 7.40% ลดลง 0.82% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย 8.22% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 7.44% ลดลง 0.78% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 8.22% กลุ่มที่มีรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป** อาชีพรายได้ประจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = MRR-0.07% = 5.9% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  5.9% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.94% ลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = MRR+0.43% = 6.4% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 6.40% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 6.44% *หมายเหตุ -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่ 12 ตุลาคม 2565 - 30 ธันวาคม 2565 จดจำนองภายใน วันที่ 31 มกราคม 2566 -วงเงินกู้ไม่เกิน 80% ของราคาซื้อขาย และไม่เกิน 80% ของราคาประเมินหลักประกัน -อัตราดอกเบี้ยข้างต้นสำหรับลูกค้าที่มีรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 30,000 ถึงน้อยกว่า 50,000 บาทและทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อบ้านตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวใช้สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภท ยกเว้นการปล่อยกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า โดยสำหรับอาคารพาณิชย์ ต้องเป็นบ้านใหม่ / บ้านมือหนึ่ง / บ้านพร้อมโอน (ไม่รวมอาคารพาณิชย์สั่งสร้าง) **หมายเหตุ -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2565 - 30 ธันวาคม 2565 และจดจำนองภายใน วันที่ 31 มกราคม 2566 -วงเงินกู้ไม่เกิน 80% ของราคาซื้อขาย และไม่เกิน 80% ของราคาประเมินหลักประกัน -อัตราดอกเบี้ยข้างต้นสำหรับลูกค้าที่มีรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไปและทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อบ้านตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวใช้สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภท ยกเว้นการปล่อยกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า โดยสำหรับอาคารพาณิชย์ ต้องเป็นบ้านใหม่ / บ้านมือหนึ่ง / บ้านพร้อมโอน  (ไม่รวมอาคารพาณิชย์สั่งสร้าง) 5.ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ธนาคารเกียรตินาคินภัทร มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (KKP Home Loan เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย) กรณี บ้านใหม่ : ซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด ซึ่งมีการคิดอัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนที่ผ่านมาเล็กน้อย โดยไม่มีการคิดอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ 1 ปีแล้ว มีเฉพาะดอกเบี้ยลอยตัว โดยมีอัตราดอกเบี้ย  ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.84-3.04% เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.4-3.062% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.04-3.24% เพิ่มขึ้น 0.25-0.562% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.5-2.75% หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่ 7 ตุลาคม​ 2563 เท่กับ 6.775% ต่อปี 3.เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง หากลูกค้า Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท  ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.ค่าธรรมเนียมติดตามทวงถามหนี้ ค้างชำระ 1 งวด 50 บาท/รอบการทวงถามหนี้ ค่างชำระมากกว่า 1 งวด 100 บาท/รอบการทวงถามหนี้ 8.เบี้ยประกันอัคคี เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด 30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู  ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เท่ากับเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารซีไอเอ็มบี มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.65% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.1%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.65% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.47% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย  4.55% (MRR-2.8%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.95% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.55% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 5.15% หมายเหตุ -สำหรับซื้อบ้านและคอนโดจากโครงการทั่วไป -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.75% ประกาศ ณ วันที่ 5 ตุลาคม 2565) 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป โดยยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยจากเดือนที่ผ่านมา มีรายละเอียดดังนี้ ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-2.23%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.66% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.6% (MRR-1.88%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.6% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.77% ทางเลือก 3 (ไม่สมัครผลิตภัณฑ์ครบ 3 รายการ) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.85% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.85% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา ดอกเบี้ย 4.85% รายละเอียดเงื่อนไข สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 3 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของธนาคาร -ธนาคารขอสงวนสิทธิเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แจ้งไว้ในเอกสารฉบับนี้ โดยไม่ ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ในกรณีที่ธนาคารเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนจำนองหลักประกันแทนผู้กู้หากผู้กู้มีความประสงค์จะไถ่ถอนหลักประกันและชำระหนี้คืนทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันเบิกใช้เงินกู้ ครั้งแรก ผู้กู้ตกลงคืนเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองหลักประกันตามจำนวนเงินที่ธนาคารได้ช าระไปให้แก่ธนาคาร ในวันที่ผู้กู้ได้ชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้น (ค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท) -กค้าต้องสำรอง จ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ลูกค้าใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 30 วันทำการนับจากวันที่ลูกค้าจดจำนอง -MRR = 6.48% ตามประกาศธนาคาร https://www.ttbbank.com/th/rates/loan-interest-rates -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึง 30 ธันวาคม 2565 และจดจำนอง ภายใน 31 มกราคม 2566 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา  คิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.95% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย แบบทำประกัน Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ 10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) -ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี (ประกาศ ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยะเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด -สมัครขอใช้สินเชื่อตั้งแต่ 1 กรกฎาคม – 31 ธันวาคม 2565 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2565  มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากแคมเปญสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2565  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.15% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.9% (MRR-2.25%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.4%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญา  5.4% หมายเหตุ -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม -30 ธันวาคม 2565   (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติมวงเงินของโครงการแล้ว) -อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินกู้และทุกบัญชีเงินกู้ภายใต้หลักประกันเดียวกัน 10.ธนาคารยูโอบี สำหรับธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโครงการหมู่บ้านทั่วไป  โดย อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด มีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากปรับอัตราดอกเบี้ย MRR โดยคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.95% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.8%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.95% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.26% เพิ่มขึ้น 0.39% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.87% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.15% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.75% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.15% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.34% เพิ่มขึ้น 0.39% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.95% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.4% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 0.4% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  5.35% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.95% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.05% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.28% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.88% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.6% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.2% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.55% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 5.15% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.36% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.96% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาคารยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.75% ต่อปี (ตามประกาศธนาคาร วันที่ 3 ตุลาคม 2565) อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น (Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น) -การอนุมัติสินเชื่อ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย (ใบอนุญาตประกันชีวิต เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศภัย เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย สินเชื่อบ้าน โฮมโลน โดนใจ ที่คิดดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 1.9%  โดยเดือนนี้ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีการคิดอัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลงรายละเอียดจากช่วงเดือนที่ผ่านมาเล็กน้อย ดังนี้ แบบที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย  1.9% (MRR-5.85%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 2.30% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 1.9% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.75% ลดลง 0.1% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.85% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  2.65% เพิ่มขึ้น 0.1% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.41% เพิ่มขึ้น 0.87% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.54% แบบที่ 2 ปีที่ 1 ดอกเบี้ยคงที่ 1.99% ลดลง 0.51% จากเดือนที่ผ่านมาคิด 2.5% ปีที่ 2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.5% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.2% เพิ่มขึ้น 1.7% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.50% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.9% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.50% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.48% เพิ่มขึ้น 0.91% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.57% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.59% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.59% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.4% แบบที่ 4 ปีที่ 1 คงที่ 1.99% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.2% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.8% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46%   เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1%  ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใดๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำได้ -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 5.00% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.50% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.75% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.75% (ณ วันที่ 19 ต.ค. 65) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่างๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่วันนี้ - 31 ธันวาคม 2565 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีโปรโมชั่น สินเชื่อเคหะ สำหรับให้บริการผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไปซื้อบ้านหรือคอนโด  โดยปลอดชำระเงินงวด 6 เดือนแรก เมื่อพ้นระยะปลอดชำระหนี้ สามารถเลือกผ่อนต่ำ ล้านละ 3,500 บาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน ​ โดยมีรายละเอียดสำหรับสินเชื่อกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ประจำเดือนพฤศจิกายน ดังนี้ วงเงินกู้สินเชื่อต่ำกว่า 10 ล้านบาท  กลุ่มลูกค้าทั่วไป กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.99% เพิ่มขึ้น 0.04% จากเดือนที่ผ่านมาคิด 1.95% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.98% เพิ่มขึ้น 0.105% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 2.875% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.65% เพิ่มขึ้น 0.15% จากดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.5% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.144% เพิ่มขึ้น 0.059% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 4.085% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.24% เพิ่มขึ้น 0.04% จากเดือนก่อนหน้าคิด 2.20% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.605% ลดลง 0.02% จากเดือนก่อนหน้าคิด 3.625% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.15% คิดเท่ากับเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.328% เพิ่มขึ้น 0.001% จากเดือนที่ผ่านมาคิด  4.327% วงเงินกู้สินเชื่อมากกว่า 10 ล้านบาท  กลุ่มลูกค้าทั่วไป (เดือนที่ผ่านมาไม่ได้แยกวงเงินกู้) กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.99% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.755% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.5% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.089% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.24% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 3.38% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.00% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.274% เงื่อนไขการผ่อนชำระ -ปีที่ 1 ผ่อนชำระ 2,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 2 ผ่อนชำระ 4,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 3 ผ่อนชำระ 5,500 บาทต่อเดือน หมายเหตุ –การทำประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ เป็นการทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ โดยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด -เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อตามโปรโมชั่น สมัครบริการ MyMo และผลิตภัณฑ์/บริการอื่น อย่างน้อย 2 ประเภท ได้แก่ บัตรอิเล็กทรอนิกส์/ บัตรเครดิตหรือสินเชื่อบัตรเงินสด/ ชำระสินเชื่อหักผ่านบัญชี/ หน่วยงานหักเงินนำส่งชำระหนี้ / จ่ายตรงเงินเดือน / ประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ ทั้งนี้ หากลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นตามที่กำหนดอยู่แล้ว สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้ และกรณีไม่มี Smartphone ให้สมัครผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นของธนาคารตามที่กำหนดทดแทนได้ -การปลอดชำระเงินงวด คือ ระยะเวลาปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย เป็นระยะเวลาที่ธนาคารยังคงคิดดอกเบี้ยตามสัญญากู้เงิน -*กรณี ฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง ให้ตามที่จ่ายจริง (รวมทุกสัญญาที่กู้ในคราวเดียวกัน) โดยลูกค้าต้องสำรองจ่ายค่าธรรมเนียมจดจำนองแก่กรมที่ดินไปก่อน ทั้งนี้ กรณีจำนวนเงินที่จ่ายตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป ต้องเสียภาษี ณ ที่จ่าย ร้อยละ 1.00 ของเงินค่าจดจำนอง โดยธนาคารจะโอนเงินหลังหักภาษี ณ ที่จ่าย คืนเข้าบัญชีเงินฝากเผื่อเรียกของลูกค้าภายใน 30 วันทำการ นับจากวันที่จดจำนองแล้วเสร็จ -กรณีผู้กู้ชำระคืนเงินกู้ก่อนกำหนด เฉพาะกรณีไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด (Prepayment) เพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามที่ธนาคารกำหนด (ปัจจุบันร้อยละ 3.00 ของยอดเงินต้นคงเหลือ) ทั้งนี้ กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง หากผู้กู้ชำระหนี้ปิดบัญชีในทุกกรณี ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้จะต้องชำระค่าธรรมเนียมจดจำนองคืนแก่ธนาคารเต็มจำนวน -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่นๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ยื่นกู้ภายในวันที่ 15 มกราคม 2566 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566   หมายเหตุ Reviewyourliving รวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ธนาคาร ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2565   บทความที่เกี่ยวข้อง -อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนตุลาคม 2565 -อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนตุลาคม 2565
AWC  เดินแผนขยายธุรกิจแสนล้าน  เตรียมเปิดโรงแรมใหม่เพิ่มอีก 9 แห่ง

AWC เดินแผนขยายธุรกิจแสนล้าน เตรียมเปิดโรงแรมใหม่เพิ่มอีก 9 แห่ง

awc AWC เดินแผนธุรกิจ 5 ปี ลงทุน 100,000 ล้าน ทั้งขยายโครงการใหม่ และซื้อกิจการ รับการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว ที่ทั้งปีน่าจะทำตัวเลขต่างชาติทะลุ 10 ล้านคน เตรียมขยายพอร์ตโรงแรมเพิ่มอีก 9 แห่ง จากปัจจุบันมีอยู่ 19 แห่งทั่วประเทศ พร้อมจับมือ ททท. กระตุ้นท่องเที่ยวตามนโยบาย ททท. พันธมิตรทางภาครัฐ   ตอนนี้ประเทศไทยได้เปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางกลับเข้ามาในประเทศกันมากขึ้นแล้ว ข้อมูลล่าสุดจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) รายงานว่า จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 26 ตุลาคม 2565 มีจำนวน 7.39 ล้านคน หรือเฉลี่ยเดือนละ 51,000 คน โดยคาดว่าภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้ตัวเลขน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 7.5 ล้านคน และภายในสิ้นปีนี้น่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาประเทศไทย 10 ล้านคน และปีหน้าตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 20 ล้านคน   สัญญาณการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวนี้ ได้สร้างความเชื่อมั่นในธุรกิจการท่องเที่ยวให้กับ AWC หรือ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) ที่จะเดินหน้าตามแผนธุรกิจขยายพอร์ตโรงแรมและธุรกิจต่าง ๆ โดยเฉพาะแผนธุรกิจในระยะ 5 ปี (2565-2569) ในการลงทุน 100,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาโครงการต่าง ๆ พร้อมลงทุน แสนล้านเพิ่มพอร์ตธุรกิจ นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่  AWC เปิดเผยว่า ตามแผนธุรกิจในระยะ 5 ปี โดยเริ่มนับจากปี 2565 นี้ บริษัทได้วางงบลงทุนไว้ 100,000 ล้านบาท  เพื่อใช้สำหรับการพัฒนาโครงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องจำนวน 15 โครงการ มูลค่ารวม 60,000 ล้านบาท ส่วนอีก 40,000 ล้านบาท จะมองโอกาสในการเข้าซื้อกิจการ รวมถึงการลงทุนที่เน้นการพัฒนาสู่ความยั่งยืนพร้อมกับการบริหารต้นทุนและกระแสเงินสดจากการที่ดอกเบี้ยปรับเพิ่มขึ้น   โดยปัจจุบันยังมีโรงแรมที่เข้ามาเสนอขายให้กับบริษัทจำนวนกว่า 200 โรงแรม มีโรงแรมหลายขนาด ซึ่งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งบริษัทจะพิจารณาดูศักยภาพและคัดเลือกโรงแรมที่เหมาะสม ให้สอดคล้องกับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของบริษัท​ แต่ปัจจุบันยังไม่มีข้อสรุป ​จากช่วงต้นปี 2564 ที่ผ่านมาได้มีการซื้อโรงแรมไปแล้วหลายแห่ง   ส่วนโรงแรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาปัจจุบัน มี 9 แห่ง ได้แก่ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง โรงแรมเจดับบลิว แมริออท เดอะ พัทยา บีช รีสอร์ท แอนด์ สปา โรงแรมพัทยา แมริออท มาร์คีส์ โรงแรมอควาทีค พัทยา ออโตทราฟ คอลเลคชัน โรงแรมพัทยา แมริออท รีสอร์ท แอนด์ สปา แอท จอมเทียนบีช ​ โรงแรมเดอะ ริทช์ – คาร์ลตัน แบงค็อก เดอะ ริเวอร์ไซต์  โรงแรมเจดับบลิว แมริออท มาร์คีส์ โฮเทล เอเชียทีค กรุงเทพ โรงแรมดิ เอเชียทีค แบงค็อก, ออโตกราฟ คอลเลคชัน และโรงแรมอินน์ไซด์ กรุงเทพ สุขุมวิท   ทั้งนี้ ในจำนวนโรงแรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาปัจจุบัน จะมีโรงแรมที่พร้อมเปิดให้บริการในปี 2566 จำนวน 400 ห้อง จากช่วงไตรมาส 2 ปี 2565 ที่ผ่านมา บริษัทมีจำนวนโรงแรมและห้องที่​บริหารงานและดำเนินการอยู่ 19 แห่ง จำนวน 5,195 ห้อง เพิ่มขึ้นจากช่วงปี 2562 ที่มีจำนวนห้อง 4,200 ห้อง โดยช่วงเวลาดังกล่าวโรงแรมในกลุ่ม AWC มีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 79% ในช่วงเกิดสถานการณ์โควิด ได้คุยกับพันธมิตรระดับโลก เขาบอกว่านักเดินทางจะกลับมาเมืองไทย เนื่องจากไทยมีมาตรฐานด้านการท่องเที่ยวที่ชัดเจนอย่างมาตรฐาน SHA ปัจจุบันอัตราการจองเข้าพักล่วงหน้า (Booking) มีอัตราการจองที่สูงกว่าช่วงก่อนเกิดโควิดในปี 2562 แล้ว เฉพาะในช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคมนี้ อัตราการจองแบบก้าวกระโดด เนื่องจากประเทศไทยจะมีการจัดประชุมสุดยอดผู้นำเอเปค และเป็นช่วงไฮซีซั่นที่มีกิจกรรมต่าง ๆ ​โดยอัตราการเข้าพักช่วงที่ผ่านมาอยู่ในระดับ​ 30-40% และปรับเพิ่มขึ้นเป็น 50% ส่วนปัจจุบันปัจจุบันมีอัตราจองเข้าพัก​ 60% ทำให้อัตราการจองมีต่อเนื่องถึงกลางปี 2566 ถือเป็นสัญญาณที่ดี มีอัตราการจองวันละ​ 51,000 คน แม้จะเป็นครึ่งหนึ่งจากปี 2562 ที่เฉลี่ยวันละแสนคน เพราะต้องรอสายการบินกลับมาบิน แต่รายได้ต่อห้อง​ หรือ Room rate สูงขึ้น จากคืนละ 4,200 บาทเป็นคืน 4,900 บาท เพราะได้นักท่องเที่ยวคุณภาพ เดินหน้าการท่องเที่ยวยั่งยืน นอกจากการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างการเติบโตแล้วบริษัทยังมีพันธกิจ “สร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า” เพื่อส่งมอบคุณค่าให้กับผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทยอย่างยั่งยืน และ เชื่อมั่นว่าการรวมพลังและความร่วมมือจากทุกภาคส่วนจะสามารถร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่การเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก   ล่าสุด ได้ตอบรับนโยบาย “ททท. พันธมิตรทางภาครัฐ” กับทางททท. ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันและเป็นศูนย์กลางรวบรวมผู้ประกอบการทั้งหมดมาร่วมสร้างคุณค่าให้กับการท่องเที่ยวยั่งยืนของไทยไปด้วยกัน โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาบริษัทได้ดำเนินธุรกิจตามแผนกลยุทธ์ความอย่างยั่งยืนตลอดการะบวนการดำเนินงาน และโครงการต่างๆ  อาทิ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก, อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล ได้เป็นโรงแรมแห่งแรกของโลกที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO 20121 ซึ่งเป็นมาตรฐานด้านการจัดงานอย่างยั่งยืน   ทั้งนี้  บริษัทได้ตั้งเป้าหมายสำคัญ จะเป็น Carbon Neutral คือการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ รวมไปถึงไม่มีขยะฝังกลบจากการดำเนินงาน ภายในปี 2572 โดยในช่วง 5 ปีจากนี้ ตั้งแต่ปี 2565-2569 บริษัทจะเน้นลงทุนพัฒนาโครงการตามกลยุทธ์ Carbon Neutral ที่คำนึงถึงมาตรฐานอาคารสีเขียว และได้รับการรับรองมาตรฐาน EDGE ด้วย สำหรับการดำเนินงานการพัฒนาอย่างยั่งยืนของ  AWC และพันธมิตรจากภาคส่วนต่างๆ ดำเนินการภายใต้ 3 เสาหลัก 6 มิติ หรือ 3BETTERs ได้แก่ 1.สิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น (BETTER PLANET) การผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) และการดำเนินธุรกิจตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ตั้งแต่กระบวนการวางแผนและก่อสร้าง การจัดการ และการบริหารงาน ด้วยการร่วมมือกับพันธมิตรในการบูรณาการกรอบแนวคิดในระดับสากลเข้ามาใช้ในการพัฒนาโครงการตามมาตรฐานอาคารสีเขียว ทั้งผู้ผลิตวัสดุอุปกรณ์ ผู้รับเหมา ที่ปรึกษาโครงการ และอื่นๆ ต่อเนื่องถึงพันธมิตรในด้านการจัดการและบริหารการดำเนินงานที่จะร่วมรวมพลัง เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ 2.คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น (BETTER PEOPLE) การพัฒนาบุคคลากรทั้งภายในและภายนอกองค์กร การยกระดับการดำเนินงานด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัย และการส่งเสริมคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีของสังคมและชุมชน ผ่านความร่วมมือกับชุมชนท้องถิ่นในการเสริมสร้างความรู้และพัฒนาอาชีพ เพื่อสร้างรายได้อย่างยั่งยืนผ่านโครงการ “เดอะ GALLERY” ที่มุ่งจัดจำหน่ายสินค้าฝีมือคนในชุมชน อีกทั้งยังเป็นอีกช่องทางที่ช่วยชุมชนเพิ่มมูลค่างานศิลปะ ซึ่ง AWC ตั้งใจขอชวนพันธมิตรและชุมชนติดต่อ เดอะ GALLERY เพื่อเพิ่มสินค้าและผลงานศิลปะเพื่อเป็นช่องทางการขาย ผ่านโครงการต่างๆ ของบริษัท​ ทำการตลาดถึงลูกค้าจากทั่วโลก 3.เศรษฐกิจที่ดีขึ้น (BETTER PROSPERITY) การผลักดันให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจและกระตุ้นความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจในวงกว้าง โดยวางแผนกลยุทธ์องค์กรให้สอดคล้องกับแผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ผ่านการลงทุนพัฒนาบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่หลากหลายของบริษัทฯ สร้างงาน สร้างรายได้สู่ชุมชนและธุรกิจท้องถิ่น สร้างคุณค่าทวีคูณและธุรกิจองค์รวม (Ecosystem) ที่แข็งแกร่ง เพื่อยกระดับประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก อีกทั้งส่งเสริมให้เศรษฐกิจประเทศเติบโตอย่างก้าวกระโดด     อ่านข่าวเพิ่มเติม -AWC ปี 64 ทำกำไรกว่า 861 ล้าน หลังคลายล็อกดาวน์-เปิดการท่องเที่ยว -[PR News] AWC ทุ่มงบ 435 ล้าน ซื้อ “ดุสิต ดีทู เชียงใหม่” ผนึกกำลัง “กลุ่มดุสิตธานี” เดินหน้ากระตุ้นการท่องเที่ยวภาคเหนือ  
10 วิธีแก้ปัญหา ผ่อนบ้าน-ผ่อนคอนโด ไม่ไหว ?

10 วิธีแก้ปัญหา ผ่อนบ้าน-ผ่อนคอนโด ไม่ไหว ?

ผ่อนบ้านไม่ไหว การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบมากมายหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตประจำวัน การอยู่อาศัย การทำมาหากิน และภาพรวมเศรษฐกิจ ซึ่งทุกภาคส่วนต่างก็ได้รับผลกระทบแทบทั้งสิ้น แต่อาจจะได้รับผลกระทบแตกต่างกันออกไป   อย่างเรื่องการงานและรายได้ หลายคนอาจจะมีรายได้ลดลง จากระยะเวลาการทำงานลดลง หรือบางคนอาจจะได้รับผลกระทบหนัก จนถึงขั้นกับว่างงาน เพราะบริษัทเลิกจ้างหรือเลิกกิจการลงก็มีไม่น้อย แน่นอนว่าคนที่รายได้ลดลง ย่อมส่งผลต่อการจับจ่ายใช้สอยประจำเดือนแน่นอน ยิ่งคนไหนมีภาระต้องผ่อนบ้านหรือผ่อนคอนโดมิเนียม อาจจะผ่อนต่อไม่ไหว เริ่มมีปัญหาเงินไม่พอที่จะผ่อนบ้านหรือผ่อนคอนโด และบางคนจะได้รับผลกระทบหนัก จนขาดส่งติดต่อกันมาหลายเดือนแล้วก็ได้   อย่างไรก็ตาม​ สำหรับใครที่มีปัญหาด้านการเงิน และมีปัญหาเกี่ยวกับการผ่อนบ้านและคอนโด ต้องรีบวางแผนให้ดีตั้งแต่เนิน ๆ อย่าปล่อยให้ปัญหาลุกลามจนเสียประวัติ ติดแบล็กลิสต์ หรือรุนแรงจนถึงขั้นถูกยึดทรัพย์ ถูกฟ้องร้องจากสถาบันการเงินเลย หากเริ่มมีปัญหาต้องวางแผนและหาทางออกตั้งแต่เนิ่น ๆ หากผ่อนบ้านไม่ไหว หรือผ่อนคอนโด ไม่ไหวแล้ว   วันนี้ Reviewyourliving มีแนวทางสำหรับแก้ไขปัญหา ถ้าผ่อนบ้านไม่ไหว หรือแม้แต่ผ่อนคอนโดไม่ไหวก็ตาม มาแนะนำให้ทุกคนนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับแต่ละบุคคล เพราะปัจจุบันแม้การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะดีขึ้น แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้กลับมาเป็นปกติ ภาวะเศรษฐกิจก็เพิ่งจะเริ่มฟื้นตัวเท่านั้น หลายคนจึงยังอาจจะเผชิญกับปัญหาการเงินอยู่ และหากใครผ่อนบ้านหรือผ่อนคอนโดไม่ไหวจริง ๆ ทางออกก็มีหลายทาง ไม่ใช่แค่ให้ทางธนาคารยึดทรัพย์เท่านั้น ลองมาดูกันว่าทางออกที่ว่ามีอะไรบ้าง ​ เก็บบ้านไว้หรือปล่อยให้โดนยึด ก่อนอื่น เมื่อเริ่มมีปัญหาการเงิน ต้องวิเคราะห์ตัวเอง และสถานะทางการเงินของตัวเองว่า จะสามารถผ่อนบ้านหรือผ่อนคอนโดต่อไปได้อีกกี่เดือน อย่าปล่อยให้ปัญหาสะสมจนต้องเสียประวัติ หรือเสียเครดิต เพราะจะส่งผลต่อการเจรจราต่อรองกับทางธนาคาร หากต้องการได้รับการช่วยเหลือต่าง ๆ ดังนั้น แนวทางเริ่มต้นของการแก้ปัญหา ผ่อนบ้านไม่ไหว หรือผ่อนคอนโดไม่ไหว คือ ถามตัวเองว่าจะยังต้องการบ้านหรือคอนโดที่ผ่อนอยู่หรือไม่ ซึ่งวิธีการแก้ไขปัญหาจะแตกต่างกัน ดังนี้ 1.กรณีไม่ต้องการบ้านหรือคอนโดที่ผ่อนอยู่แล้ว สำหรับผู้ที่รู้สึกว่าไม่อยากจะเก็บบ้านหรือคอนโดไว้แล้ว เพราะอาจจะมีปัญหายังว่างงานอยู่ หรือมีภาระค่าใช้จ่ายสูงจนไม่สามารถผ่อนต่อไหว ไม่อยากเก็บบ้านหรือคอนโดไว้เป็นภาระด้านการเงิน ทางออกก็คงจะมีทางเลือกเดียว คือ การประกาศขายบ้านหรือคอนโดนั้น ซึ่งมี 2 วิธี ดังนี้ -ประกาศขายคอนโด หรือขายบ้านให้กับบุคคลทั่วไป -ขายคืนให้กับธนาคาร การขายบ้านคืนให้ธนาคาร  หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า หากเราไม่สามารถผ่อนบ้านหรือผ่อนคอนโดกับทางธนาคารได้ไหว เรายังสามารถเอาบ้านหรือคอนโดที่เราผ่อนชำระอยู่ขายคืนให้กับธนาคารได้ ในราคาที่ผ่อนไปแล้ว แต่ทั้งนี้ การที่ธนาคารจะรับซื้อคืนหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของธนาคารเป็นหลักด้วย 2.กรณียังต้องการบ้านหรือคอนโดที่ผ่อนอยู่ต่อไป สำหรับคนที่ยังต้องการจะเก็บบ้านหรือคอนโดเอาไว้ เป็นทรัพย์สินหรือการอยู่อาศัย และพร้อมจะกลับมาผ่อนชำระให้เป็นปกติเมื่อมีรายได้ดีเหมือนเดิม อาจจะต้องใช้วิธีการเจรจากับทางธนาคารที่กู้ เพื่อหาทางออกร่วมกัน ว่าจะมีวิธีอะไรบ้างที่สามารถทำได้ ซึ่งเชื่อว่าธนาคารพร้อมจะหาหนทางให้กับผู้กู้ เพราะในความจริงแล้วธนาคารไม่ได้อยากได้บ้านหรือคอนโดนั้น แต่ต้องการเงินต้นและดอกเบี้ยคืนมากกว่า  ลองมาดูว่ามีวิธีการแก้ไขปัญหานี้อย่างไรบ้าง 1.พักชำระหนี้ วิธีการนี้ เป็นการขอหยุดชำระค่างวดผ่อนบ้านหรือผ่อนคอนโดไว้เป็นการชั่วคราว หรือบางกรณีที่มีวิกฤติทางเศรษฐกิจ ทางธนาคารก็มักจะออกมาตรการนี้มาช่วยเหลือลูกหนี้  เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน  ซึ่งแม้ว่าเราจะไม่ต้องส่งเงินค่างวดให้ทางธนาคารภายในระยะเวลาที่ธนาคารกำหนด แต่ธนาคารยังคงคิดดอกเบี้ยของแต่ละงวดต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ได้หยุด และจะมาเรียกเก็บกับลูกหนี้ภายหลัง โดยอาจจะเรียกเก็บเงินค่างวดพร้อมดอกเบี้ยครั้งเดียว หรือเฉลี่ย ๆ เป็นงวดก็แล้วแต่เงื่อนไขของทางธนาคาร 2.ขอขำระค่าผ่อนบ้านต่ำกว่าปกติ หากค่าผ่อนบ้าน ผ่อนคอนโดในแต่ละเดือนสูงเกินกว่าที่เราจะผ่อนไหว การเจรจากับธนาคารเพื่อขอประนอมหนี้ลดเงินส่งต่อเดือนลงให้เหมาะสมกับรายได้ปัจจุบัน แต่เงื่อนไขนี้ ทางธนาคารมีหลักเกณฑ์พิจารณา คือ ยอดชำระต่อเดือนต้องสูงกว่ายอดดอกเบี้ยต่อเดือนอย่างน้อย 500 บาท และการขอประนอมหนี้วิธีนี้สามารำทำได้เพียงครั้งเดียว มีกำหนดระยะเวลาการผ่อนที่ต่ำกว่าปกติได้นานไม่เกิน 2 ปี ทั้งนี้ ผู้ขอจะต้องมีประวัติการผ่อนชำระที่ดีด้วย และเหมาะกับผู้ที่มีรายได้ประจำแต่รายได้ลดลง มากกว่าผู้ที่ไม่มีรายได้เลย 3.ขอชำระเฉพาะดอกเบี้ย ในบางช่วงบางกรณี เช่น เกิดวิกฤตเศรษฐกิจขนาดใหญ่ หรือช่วงนี้มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 หรือลูกหนี้อยู่ในพื้นที่ได้รับภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วมใหญ่ ธนาคารอาจจะมีมาตรการออกมาช่วยเหลือลูกหนี้ หรือลูกหนี้อาจจะเจรจากับทางธนาคาร เพื่อขอชำระค่างวดผ่อนบ้านหรือผ่อนคอนโด ในส่วนที่เป็นดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวก็ได้ แต่เกณฑ์การพิจารณาสำคัญก็อยู่กับแต่ละธนาคาร และลูกหนี้จะต้องมีประวัติการผ่อนชำระที่ดี เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหานั้นจริง ๆ ซึ่งวิธีนี้ธนาคารมักจะให้ผ่อนชำระได้สูงสุดไม่เกิน 12 เดือนและสามารถขอใช้วิธีนี้ได้เพียงครั้งเดียว 4.ขยายเวลาชำระหนี้ หากเรายังพอมีรายได้เข้ามา แต่ไม่เพียงพอจะชำระค่าผ่อนบ้าน หรือผ่อนคอนโด ในจำนวนเท่าเดิมได้ การขอขยายเวลาชำระหนี้ให้ยาวออกไป ก็จะช่วยทำให้ค่าผ่อนบ้าน หรือค่าผ่อนคอนโดในแต่ละเดือนลดลงได้ หรืออาจจะเหมาะสมกับรายได้ของลูกหนี้ในเวลานั้น  ซึ่งทางธนาคารสามารถขยายระยะเวลาให้ลูกหนี้ได้นานสูงสุดถึง 30 ปี แต่ทั้งนี้อายุของผู้กู้เมื่อรวมกับระยะเวลาการขอขยายจะต้องไม่เกิน 70 ปี ที่สำคัญหากมีค่าดอกเบี้ยที่ค้างอยู่ก็ต้องชำระให้หมดก่อนด้วย 5.เปลี่ยนตัวลูกหนี้ หากเรา ผ่อนบ้านไม่ไหว หรือ ผ่อนคอนโดไม่ไหวจริง ๆ อาจจะใช้วิธีการเปลี่ยนตัวลูกหนี้รายใหม่ ที่ทำสัญญาเงินกู้กับทางธนาคารแทนตัวเรา ซึ่งบุคคลที่มาเป็นลูกหนี้แทนเรานั้น อาจจะเป็นบุคคลที่เรารู้จัก หรือญาติพี่น้องกับเรา ที่มีการตกลงกันในรายละเอียดกันไว้ระหว่างเรากับคนที่จะมาเป็นลูกหนี้แทน ซึ่งเราต้องทำการแจ้งกับธนาคารเพื่อขอเปลี่ยนตัวลูกหนี้ ที่สำคัญผู้ที่จะเป็นลูกหนี้แทนเราก็คงต้องมีคุณสมบัติครบตามหลักเกณฑ์ของแต่ละธนาคาร และการพิจารณาก็ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคารด้วยว่าจะอนุมัติหรือไม่อย่างไร 6.หาคนช่วยผ่อน/ผู้กู้ร่วมเพิ่ม นอกจากการเปลี่ยนตัวลูกหนี้แล้ว อีกวิธีที่จะช่วยทำให้เรายังสามารถผ่านวิกฤตนี้ไปได้ คือ การหาคนมาช่วยผ่อน อาจจะเป็นญาติพี่น้อง พ่อ แม่ สามี ภรรยา ซึ่งต้องเป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์กัน โดยเป็นการเพิ่มชื่อเข้ามาในสัญญากู้เงินในลักษณะผู้กู้ร่วมนั่นเอง โดยเกณฑ์การพิจารณาก็เป็นไปตามเงื่อนไขของทางธนาคาร ซึ่งเราต้องเตรียมเอกสารของบุคคลนั้น พร้อมกับการแจ้งกับธนาคารที่เรากู้เงินอยู่ สามารถเพิ่มชื่อผู้กู้ร่วมได้สูงสุด 2 คน 7.รีเทนชั่น/ขอลดดอกเบี้ย วิธีนี้ อาจจะไม่เป็นที่รู้จักหรือคุ้นเคยกับคนส่วนใหญ่ เพราะเรามักจะได้ยินวิธีการรีไฟแนนซ์มากกว่า ซึ่งการรีเทนชั่น คือ วิธีการขอเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กับธนาคารเดิม เพื่อลดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำลง หรือการขอลดดอกเบี้ยนั่นเอง แต่วิธีการนี้อัตราดอกเบี้ยไม่ได้ลดลงมากนัก จะอยู่ในช่วง 0.25-0.50% เท่านั้น ซึ่งหากเปรียบเทียบกับการรีไฟแนนซ์ อาจจะได้อัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่า เพราะมักจะมีโปรโมชั่นพิเศษมานำเสนอ และวิธีนี้กการพิจารณาของธนาคารก็ยังจะต้องดูคุณสมบัติ และประวัติของผู้กู้ประกอบการพิจารณาด้วย 8.รีไฟแนนซ์ เป็นหนึ่งวิธียอดฮิตที่ใคร ๆ หลายคนมักนิยมทำ หากผ่อนชำระไปครบกำหนด 3 ปีแล้ว และเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยในขณะนั้นถูกกว่าตอนแรกที่กู้ซื้อบ้านหรือคอนโดมา หรือเห็นว่าราคาบ้านหรือคอนโด ขยับเพิ่มสูงมากขึ้นซึ่งสามารถจะทำการรีไฟแนนซ์เพื่อให้มีวงเงินเหลือ หรือการขยายระยะเวลาการผ่อนชำระให้นานขึ้น เพื่อให้ค่าผ่อนบ้านหรือคอนโดต่องวดลดต่ำลงให้เหมาะสมกับสถานะทางการเงินปัจจุบันของผู้กู้ 9.ขอโอนบ้านให้ธนาคารชั่วคราว เพื่อซื้อคืนภายหลัง ทางเลือกที่ยังจะทำให้เรามีบ้านหรือคอนโด แม้ว่าเราจะมีรายได้ลดหรือขาดรายได้จน ผ่อนบ้านไม่ไหว ก็คือการโอนบ้านหรือคอนโดให้กับธนาคารเป็นการชั่วคราว และจะกลับมาซื้อคืนภายหลัง ซึ่งปกติธนาคารจะรับโอนบานหรือคอนโด โดยหักนี้ในจำนวนไม่เกิน 90% ของราคาบ้านหรือคอนโด หากมีหนี้ส่วนเกินลูกหนี้จะต้องชำระหนี้ให้หมดในวันโอนด้วย   เมื่อโอนบ้านหรือคอนโดให้ธนาคารแล้ว เรายังคงอาศัยอยู่ต่อไปได้ปกติ ซึ่งวิธีการนี้มีลักษณะเหมือนการขายฝากบ้านหรือคอนโด และเราก็เช่าบ้านหรือคอนโดของตัวเองอยู่ โดยทางธนาคารจะมีอัตราค่าเช่าคิดเป็น 0.4-0.6% ของมูลค่าบ้านหรือคอนโด และมีกำหนดการทำสัญญาเป็นรายปี เป็นอีกวิธีที่จะช่วยให้เราผ่านวิกฤตนี้ไปได้ 10.การรวมหนี้ ลูกหนี้หลายคนอาจจะไม่ได้เป็นหนี้เฉพาะค่าผ่อนบ้านหรือผ่อนคอนโดเท่านั้น อาจจะมีหนี้อื่น ๆ เช่น ผ่อนสินค้า บัตรเครดิต ซึ่งอาจจะทำให้แต่ละเดือนจะต้องชำระหนี้หลายทาง และรวมกันเป็นเงินจำนวนมาก ทำให้ไม่สามารถผ่อนชำระหนี้ในแต่ละเดือนได้ไหว การรวมหนี้ไว้ก้อนเดียวกัน และชำระเพียงเจ้าหนี้รายเดียวก็จะช่วยทำให้อัตราการผ่อนต่อเดือนลดลง   วิธีการรวมหนี้ (Debt Consolidation) เป็นมาตรการล่าสุด เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 ที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้นำออกมาช่วยเหลือลูกหนี้ทั้งหลาย ด้วยการรวมหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อรายย่อยประเภทอื่น ที่สามารถรวมหนี้ข้ามสถาบันการเงิน และ/หรือผู้ประกอบธุรกิจรายอื่นได้ จากเดิมที่รวมได้เฉพาะหนี้ในสถาบันการเงินเดียวกันเท่านั้น     ที่มา : ธปท., DDProperty, ThinkofLiving, Home.co.th,Monneyguru   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนตุลาคม 2565 -อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนตุลาคม 2565 -เคล็ดลับผ่อนบ้านให้หมดเร็ว ดอกเบี้ยลด หมดหนี้ไว -ผ่อนบ้านไม่ไหว ทำไงดี!  
“ศิริปันนา กรุ๊ป”  กวาดยอดกว่า 85% ​ วันเดอร์ เกษตร  หลังปรับแผนปั้นโปรเจ็กต์โลว์ไรส์สู้โควิด-19

“ศิริปันนา กรุ๊ป” กวาดยอดกว่า 85% ​ วันเดอร์ เกษตร หลังปรับแผนปั้นโปรเจ็กต์โลว์ไรส์สู้โควิด-19

“ศิริปันนา กรุ๊ป” กลุ่มทุนอสังหาฯ เชียงใหม่ โชว์ยอดขายคอนโดโปรเจ็กต์แรก ที่ลงทุนในกรุงเทพฯ  วันเดอร์ เกษตร มูลค่ากว่า 1,400 ล้านบาท กวาดยอดขายแล้วกว่า 85% หลังปรับแผนพัฒนาเป็นโปรเจ็กต์โลว์ไรส์ พร้อมเดินหน้าต่ออีก 2 โปรเจ็กต์ในปีหน้าทั้งคอนโดและบ้านแนวราบ   นายศุภมิตร กิจจาพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกภูมิทรัพย์ ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ในเครือศิริปันนา กรุ๊ป เปิดเผยว่า ในช่วงปลายปี 2563 บริษัทได้ขยายการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมที่จังหวัดกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก เนื่องจากมองเห็นโอกาสทางการตลาด และมีประสบการณ์การลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาฯ ประเภทโรงแรม และคอนโดในจังหวัดเชียงใหม่มาก่อนหน้านี้   โดยโครงการแรกที่บริษัทพัฒนาในจังหวัดกรุงเทพฯ คือ โครงการ วันเดอร์ เกษตร (ONEDER KASET) คอนโดโลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น 3 อาคาร ตั้งอยู่ติดถนนใหญ่ งามวงศ์วาน บนเนื้อที่กว่า 4 ไร่ มูลค่ารวมกว่า 1,400 ล้านบาท มีห้องชุดพักอาศัยทั้งสิ้น 585 ยูนิต  มีห้องขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 21.50-36.05  ตร.ม. และ 7 ร้านค้า มีที่จอดรถประมาณ 35% โดยมีห้องชุดให้เลือก 4 แบบราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท นายศุภมิตร กล่าวว่า ในช่วงแรกที่ทำการศึกษาและวางแผนพัฒนาโครงการ ผลการศึกษามองศักยภาพของที่ดินเหมาะสมที่จะพัฒนาโครงการในรูปแบบไฮท์ไรส์ โดยมีขนาดห้องตั้งแต่ 24 ตร.ม.ขึ้นไป ราคาเริ่มต้น 2.5 ล้านบาท จับกลุ่มเป้าหมายพนักงานที่ทำงานในธุรกิจสายการบิน เนื่องจากทำเลที่ตั้งใกล้สนามบินนานาชาติดอนเมือง และธุรกิจการบินในขณะนั้นกำลังเติบโตสูง บริษัทจึงลงทุนกว่า 10 ล้านบาท ในการออกแบบ การยื่นขออนุญาตสิ่งแวดล้อม (EIA) รวมถึงการทำห้องตัวอย่าง แต่หลังจากนั้นเกิดปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งให้บริษัทกลับมาทบทวนแผนธุรกิจใหม่ และตัดสินใจที่ปรับรูปแบบเป็นโครงการโลว์ไรซ์แทน ไม่กี่วันก่อนจะเปิดตัวโครงการ สถานการณ์โควิดระบาดรุนแรงมาก จึงตัดสินใจล้มกระดาน กลับมาศึกษาตลาดใหม่ ซึ่งเวลานั้นบ้านแนวราบขายดีมาก เพราะคนต้องการพื้นที่ จงหันมาทำโลวไรส์ เพิ่มพื้นที่สีเขียวกว่า 2 ไร่ และเพิ่มพื้นที่ส่วนกลางมากขึ้น คิดว่าเป็นการตัดสินใจถูก โดยนับตั้งแต่วันเปิดตัวขายใหม่ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2563 จนถึงปัจจุบัน บริษัทสามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า 85% คิดเป็นมูลค่ากว่า 900 ล้านบาท ซึ่งมียูนิตเหลือขายปัจจุบันไม่ถึง 100 ยูนิตเท่านั้น บริษัทจึงได้จัดโปรโมชั่นพิเศษ นำห้องชุด 20 ยูนิตมาจัดโปรโมชั่นแถมเฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ในราคาเริ่มต้น 2.1 ล้านบนาท สูงสุดประมาณ​ 3.8-3.9 ล้านบาท โดยเป็นการันตีผลตอบแทนจากการเช่า 6% เป็นเวลา 1 ปี ให้กับผู้ซื้อห้องชุดดังกล่าว เนื่องจากปัจจุบันมีลูกค้าที่ทำงานในพื้นที่ใกล้เคียงต้องการเช่าห้องของโครงการบ้างแล้ว นายศุภมิตร กล่าวอีกว่า สำหรับแผนงานในอนาคต บริษัทยังคงลงทุนต่อเนื่อง โดยในปีหน้าจะเปิดตัวโครงการใหม่อีก 2 โครงการ เป็นโครงการคอนโดโลว์ไรส์ 1 โครงการ และโครงการแนวราบอีก 1 โครงการ โดยพัฒนาในพื้นที่ใกล้เส้นทางรถไฟฟ้าเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งจะเปิดตัวโครงการคอนโดก่อนในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า ​ การขยายฐานตลาดออกนอกพื้นที่จากเชียงใหม่ของ ศิริปันนา กรุ๊ป ถือว่าค่อนข้างประสบความสำเร็จลูกค้าให้การตอบรับดี  โดยกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเป็นกลุ่มเรียลดีมานด์ ที่ต้องการอยู่อาศัยจริง และกลุ่มคนที่ซื้อลงทุนเพื่อปล่อยเช่า ซึ่งตรงกับเป้าหมายที่บริษัทฯ วางไว้ สำหรับโครงการวันเดอร์ เกษตร  มีห้องชุดให้เลือก 4 แบบราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท* Studio ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 21.50 - 23.55 ตร.ม. Studio Exclusive ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 23.75 – 25.35 ตร.ม. One Bedroom ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 27.95 – 28.85 ตร.ม. และ One Bedroom Plus ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 35.00 – 36.05 ตร.ม. ส่วนจุดขายสำคัญของ โครงการประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลักๆ ที่ได้กระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้า ดังนี้ 1.รูปแบบการพัฒนาโครงการที่มีความเป็นยูนีคพรีเมียมเฉพาะตัว สะท้อนความต้องการของคนรุ่นใหม่ ด้วยคอนเซ็ปต์ Feel Evergreen in Wonderland ชวนหลงใหลไปกับการอยู่อาศัยรูปแบบใหม่ New Normal และ “7 ความมหัศจรรย์”   2.ทำเลที่ตั้งโครงการที่ติดถนนใหญ่งามวงศ์วาน เป็นย่านชุมชนเมืองขนาดใหญ่มีครบทั้งแหล่งงาน บ้านพักอาศัย โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า มหาวิทยาลัย และอยู่ห่างจากรถไฟฟ้าสถานีบางเขนเพียง 200 เมตร, ใกล้รถไฟฟ้า 5 สาย ใช้เวลาเพียง 5 นาทีถึง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ 6 นาทีถึง BTS ม.เกษตร ในอนาคตบนถนนงามวงศ์วานจะเกิดแนวเส้นทางของรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ช่วงแคราย-ลำสาลี (บึงกุ่ม)   3.สิ่งอำนวยความสะดวก (Facilities) ภายในโครงการที่ครบครัน โดยแต่ละอาคารจะมี Facilities เป็นของตัวเอง พื้นที่สวนส่วนกลางขนาดใหญ่ และความร่มรื่นของโครงการ โดยเฉพาะพื้นที่สวนขนาด 1 ไร่ที่อยู่ตรงกลางระหว่างอาคารทั้ง 3 ตึก สร้างสรรค์ที่ว่างกลางโครงการด้วยเส้นสาย รูปทรงเรขาคณิตพื้นที่สีเขียวรวมเข้ากับทางเดินโค้งเชื่อมต่อกัน และอุโมงค์ต้นไม้ (Flow of Space) ให้ความรู้สึกมีเสน่ห์น่าหลงใหล แต่ยังคงลึกลับน่าค้นหา (Hide&Seek) อีกทั้งยังได้ออกแบบพื้นที่ส่วนกลางชั้นบน ให้คุณได้วิ่งชมสีสันท้องฟ้าและวิวเมืองทุกวันบน Sky Running และ Sky Garden เชื่อมต่อกับทุกอาคาร   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เจาะตลาดคอนโดฯ ทำเลรัชโยธิน เหมาะซื้ออยู่จริงหรือเพื่อลงทุน?    
4 โซนไฮไลท์ ใน “เกษรอัมรินทร์”   ชื่อใหม่ของ อัมรินทร์พลาซ่า

4 โซนไฮไลท์ ใน “เกษรอัมรินทร์”  ชื่อใหม่ของ อัมรินทร์พลาซ่า

เกษร พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป ทุ่ม 1,000 ล้าน พลิกโฉม อัมรินทร์พลาซ่า ศูนย์การค้าเก่ากว่า 40 ปี สู่ “เกษรอัมรินทร์” ต่อยอดโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส สร้างความสมบูรณ์แบบให้ย่านราชประสงค์ กับ 4 โซนไฮไลท์ที่พร้อมให้บริการปี 66 นี้   หลังจากเกษร พร็อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป ได้ปรับโฉมศูนย์การค้าเกษรและพื้นที่สำนักงานใหม่ กลายเป็น เกสรวิลเลจ ต่อยอดการเป็นจุดไฮไลท์สำคัญของย่านราชประสงค์แล้ว ตอนนี้ก็เดินหน้าปรับโฉม อัมรินทร์พลาซ่า ศูนย์การค้าเก่าแก่อีกแห่งหนึ่งในพื้นที่ย่านราชประสงค์ กับรูปโฉมใหม่ ที่จะมาเติมเต็มให้แยกราชประสงค์แลนด์มาร์คและพื้นที่ใจกลางธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ ให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้   สำหรับเกษรอัมรินทร์ เดิมเป็นที่รู้จักในชื่อ “อัมรินทร์พลาซ่า” ที่มีตำนานอันยาวนานกว่า 40 ปีของประเทศไทยในย่านราชประสงค์ กำลังเข้าสู่มิติใหม่ของความเป็นศูนย์กลางแห่งไลฟ์สไตล์อินเทรนด์ในแนวคิด Immersive Experience สร้างสีสันและประสบการณ์ใหม่ที่เจิดจรัสบนย่านที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าและความงดงามที่สั่งสมจากหลายมิติ ทั้งประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม ความคิดสร้างสรรค์ การผสมผสานของความล้ำสมัย ในฐานะศูนย์กลางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศไทยและระดับโลก 4 โซนไฮไลท์ ใน “เกษรอัมรินทร์” โดยเกษรวิลเลจ ยกระดับจากโครงการมิกซ์ยูสสู่การพัฒนา “Placemaking” อย่างเต็มรูปแบบแห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย เริ่มปรับโฉมครั้งใหญ่ของ “เกษรอัมรินทร์”  ให้เป็นพื้นที่ที่เต็มไปด้วยการสร้างแรงบันดาลใจ ความคิดสร้างสรรค์ และพื้นที่ให้กลุ่ม like-minded community พบปะและมีปฏิสัมพันธ์กันได้อย่างลงตัว  ซึ่งเตรียมเปิดบริการอย่างเป็นทางการใน ไตรมาส 4 ปี 2566   โฉมใหม่ของ เกษรอัมรินทร์ จะเป็นการขยายพื้นที่ของแต่ละองค์ประกอบ (Component) พร้อมกับการรังสรรค์พัฒนาควบคู่กับแบรนด์ บริษัทชั้นนำทั้งระดับโลก และชั้นนำของประเทศไทย เพื่อสร้างประสบการณ์ให้กับกลุ่มผู้ใช้บริการและลูกค้า ซึ่งจะมี 4 โซนไฮไลท์ที่สำคัญ  ได้แก่ 1.Fashion Style Component ต่อยอดจาก Designer Lane พื้นที่รวบรวมแบรนด์แฟชั่นระดับโลก เพิ่มเติมแบรนด์แอคทีฟแฟชั่นสปอร์ตเข้ามาในพื้นที่ให้ลูกค้าและดีไซเนอร์ได้มาเจอกั   สำหรับพื้นที่โซน Fashion Style Component ต่อยอดจาก Designer Lane  จะมีแบรนด์แฟชั่นระดับโลก อาทิ Club 21, Comme des Garçons, Diane Von Furstenberg, Boss by Hugo Boss, Boyy, Max Mara และอีกมากมาย ขยายเพิ่มเติมแบรนด์แอคทีฟแฟชั่นสปอร์ตเข้ามาในพื้นที่ พร้อมจัดกิจกรรมให้เป็นพื้นที่ที่ให้เหล่าดีไซเนอร์ชั้นนำของโลกและประเทศไทยได้จัดแสดงผลงาน art & culture แชร์ประสบการณ์ และเรื่องราวของผลงานให้กับลูกค้าที่ชื่นชอบในตัวดีไซเนอร์ 2.Food Style Component ขยายส่วนของ Gaysorn Food Village จากปัจจุบันที่รวบรวมร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ เติมเต็มด้วยร้านอาหารที่เป็น specialty ที่ร่วมรังสรรค์ใหม่กับเชฟ และมิกโซโลจิตส์ระดับรางวัล   พื้นที่ Food Style Component จะมีร้านอาหารชั้นนำ ตั้งแต่ร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ ได้แก่ Ginza Sushi Ichi, Paste ร้านโอมากาเสะ ร้าน One & Only และ First to Thailand (new to market) ได้แก่ Hei Yin, Burger & Lobster, Isola เติมเต็มประสบการณ์ให้ผู้คนได้สังสรรค์ในพื้นที่ Hanging Garden เกษรอัมรินทร์ นำเสนอ Specialty Food & Beverage เช่น ร้าน Izakaya ร้าน Thai Grill และร้านอาหารคอนเซ็ปต์ใหม่ ๆ จากเชฟระดับรางวัล รวมไปถึงพื้นที่บาร์ รังสรรค์โดยมิกโซโลจิสต์ระดับประเทศ ที่จะเป็นศูนย์กลางของแหล่งแฮงเอาท์ที่ใหม่ในย่านราชประสงค์ 3.Life & Wellness style  ให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าคนเมือง คำนึงไปถึงการใช้ชีวิตที่มีสุขภาพที่ดี การออกกำลังกาย และพัฒนาความสวยความงามของแต่ละบุคคล รวมไปถึงไลฟ์สไตล์แบบลักชัวรี และผู้ที่ชื่นชอบกิจกรรม outdoor sport   โซน Life & Wellness style Component curate concept Gaysorn Urbanist Retreat ได้ถูกพัฒนาพื้นที่ให้ตรงตามความต้องการของลูกค้าคนเมือง โดยคำนึงถึงการใช้ชีวิตที่มีสุขภาพที่ดี การออกกำลังกาย และพัฒนาความสวยความงามของแต่ละบุคคล และผู้ใช้ชีวิตในเมืองให้บาลานซ์ชีวิตในการทำงานและการดูแลตนเอง รวมไปถึงการรวบรวมแบรนด์ไลฟ์สไตล์แบบลักชัวรีจากแบรนด์ระดับโลก อาทิ Steinway & Sons, Bang & Olufsen, Leica, Rimowa ฯลฯ ไปจนถึงผู้ที่ชื่นชอบใช้ชีวิตแบบแอคทีฟ และกิจกรรม outdoor sport ต่าง ๆ เช่น Camping ปีนเขา และเล่นเซิร์ฟ ฯลฯ 4.Workstyle Component ด้วยคำนึงถึงการใช้ชีวิตของคนทำงานในเกษรวิลเลจ และในย่านราชประสงค์ให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงานได้อย่างสะดวกสบาย และสนุกไปกับการใช้ชีวิตอย่างลงตัว   โซน Workstyle Component ที่คำนึงถึงการใช้ชีวิตของคนทำงานในเกษรวิลเลจและในย่านราชประสงค์ให้สามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการทำงาน เพิ่มพื้นที่ที่ให้คนกลุ่ม workstyle สามารถใช้ความคิดสร้างสรรค์ และมีการทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงาน รวมถึงพันธมิตรในธุรกิจ ได้อย่างสะดวกสบาย และสนุกไปกับการใช้ชีวิตอย่างลงตัว ทุ่ม 1,000 ล้านพลิกโฉม เกษรอัมรินทร์ โฉมใหม่ของ “เกษรอัมรินทร์” ครั้งนี้ มีบริษัท CL3 สถาปนิกชื่อดังที่มาสร้างสรรค์ และออกแบบให้เกษรวิลเลจมีประสบการณ์ต่อเนื่องอย่างไร้รอยต่อ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Old-New Spirit” กับการสืบสานคุณค่าที่มีมาจากในอดีตพร้อมก้าวสู่อนาคตเบื้องหน้าอย่างมั่นคงและยั่งยืน   นายชาญ ศรีวิกรม์ ประธานบริหารกลุ่มเกษร พร๊อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป เล่าว่า เส้นทางการพัฒนาเกษรวิลเลจในวันนี้และในอนาคตจะเหนือกว่าการเป็นห้างสรรพสินค้าที่พร้อมให้ทุกคนเข้ามาพบกับประสบการณ์การช้อปปิ้ง หรือเป็นอาคารมิกซ์ยูสที่รวม 3 อาคาร ได้แก่ เกษรทาวเวอร์ เกษรเซ็นเตอร์ และเกษรอัมรินทร์ ที่ไม่เพียงแต่มอบความหลากหลายของการใช้ประโยชน์ในพื้นที่เท่านั้น แต่ยังจะมีบทบาทใหม่ของการเป็นผู้พัฒนา Placemaking สร้างพื้นที่ที่ทุกคนสามารถดื่มด่ำหรือร่วมสร้างแรงบันดาลใจ และความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างมีเอกลักษณ์ในแบบฉบับของแต่ละบุคคล เกษรวิลเลจจะทำให้ทุกคนได้สัมผัสกับวิถีการใช้ชีวิตที่เพิ่มคุณค่า สร้างความผูกผัน และใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ในเออร์บันวิลเลจที่โดดเด่นและแตกต่าง หลอมรวมกันได้จาก 4 Component ที่เราจัดเตรียมไว้ หนึ่งในความสำเร็จของเกษรวิลเลจกับการเป็นผู้พัฒนา Placemaking ในรูปแบบ “วิลเลจ” คือการสร้างการเชื่อมโยงอย่างไร้รอยต่อของผู้คนที่เข้ามาใช้บริการในพื้นที่ จากการเริ่มพัฒนาเฟสแรกทางฝั่งเหนือคือ เกษรเซ็นเตอร์ และเกษรทาวเวอร์ ในปี 2560 โดยมี Ratchaprasong Walk (R Walk) ให้เข้าถึงอาคารได้สะดวกสบายหลายจุด โดยรูปลักษณ์ใหม่ของเกษรอัมรินทร์สัมผัสได้จากการดีไซน์มุมมองใหม่ด้านหน้าอาคาร (Façade) เป็นแนวคิดสถาปัตยกรรมที่เรียกว่า “เกษร โคคูน” (Gaysorn Cocoon) ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจจากรังไหม อันเป็นสัญลักษณ์ของการเจริญเติบโตงอกงามอย่างสวยงาม พร้อมการผสมผสานไปกับเสาโรมัน ที่เป็นสัญลักษณ์ของความรอบรู้ และภูมิปัญญาอย่างยั่งยืน การออกแบบยังได้คำนึงถึงลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Customer Centric) โดยจะมีประสบการณ์จากทั้งภายนอกเชื่อมโยงสู่ภายในอาคาร เติมเต็มพื้นที่สีเขียว และสร้างสถานที่ตอบโจทย์ผู้คนให้ได้มาพบปะสังสรรค์ในพื้นที่ Hanging Garden อีกด้วย ขณะเดียวกัน ยังมีพื้นที่ลานอเนกประสงค์ Piazza ที่กว้างขวางเปิดรับผู้คน สอดประสานกลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับพื้นที่นอกอาคารจรดถนน สร้างสรรค์บรรยากาศอันสดใสเหมาะสำหรับการจัดอีเวนต์ต่าง ๆ ตลอดจนพื้นที่ Forum ด้านใน เป็นพื้นที่อีเวนต์สเปซ เพื่อมอบประสบการณ์แห่งไลฟ์สไตล์ที่เปี่ยมด้วยบรรยากาศอันคึกคัก สนุกสนาน และเพลิดเพลินยิ่งกว่าเดิม   นอกจากนี้ การปรับโฉมอัมรินทร์พลาซ่าสู่การเป็น “เกษรอัมรินทร์” ที่จะเปิดตัวเต็มรูปแบบปลายปี 2566 จะส่งเสริมการท่องเที่ยวและสร้างชีวิตชีวาทางธุรกิจให้ย่านราชประสงค์เป็นศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ (Bangkok’s Capital of Lifestyle District) ใจกลางเมืองแห่งแรกหนึ่งเดียวของกรุงเทพฯ ย่านราชประสงค์จะครบครันที่สุดด้วยทุกองค์ประกอบ ทั้งอาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า เอ็นเตอเทนเมนต์ โรงแรม ที่พักอาศัย และสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ หลากหลายรูปแบบ ตลอดจนพื้นที่สีเขียว และสวนสาธารณะที่เชื่อมโยงถึงกันหมดภายในระยะเดินเพียงไม่กี่ก้าว เติมเต็มการใช้ชีวิตในทุกช่วงเวลาของทุกวันให้กับลูกค้า นักท่องเที่ยว ตลอดจนพันธมิตร ผู้เช่า และผู้อยู่อาศัย การก้าวสู่การเป็นผู้พัฒนา Placemaking ของเกษรวิลเลจในครั้งนี้ ใช้งบลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาท  โดยเกษรวิลเลจพร้อมให้พื้นที่ทั้ง 3 ส่วนเป็นจุดเชื่อมโยงประสบการณ์การใช้ชีวิต การทำงาน และช้อปปิ้งที่เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังและความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างเต็มที่ อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เกษร พร็อพเพอร์ตี้ เปิดตัว “GAYSORN VILLAGE – เกษรวิลเลจ -เกษร วิลเลจ เปิดอาณาจักรเกษร ทาวเวอร์ ดันยอดเช่าพื้นที่กว่า 60% โชว์กลยุทธ์ “Workplace Strategy”
7 เหตุผลที่ “ฮาบิแทท กรุ๊ป” ผนึก “เฮงตระกูล”  ปั้น ไฮแลนด์ พาร์ค พูล วิลล่า 1,700 ล้าน

7 เหตุผลที่ “ฮาบิแทท กรุ๊ป” ผนึก “เฮงตระกูล” ปั้น ไฮแลนด์ พาร์ค พูล วิลล่า 1,700 ล้าน

ไฮแลนด์ พาร์ค  “ฮาบิแทท กรุ๊ป” จับมือตระกูล​ “เฮงตระกูล” พัฒนาที่ดินกว่า 51 ไร่ ขึ้นโครงการ  ไฮแลนด์ พาร์ค พูล วิลล่า ที่พัทยา มูลค่า 1,700 ล้าน รับเทรนด์และดีมานด์หลังโควิด-19   กว่า 10 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา “ฮาบิแทท กรุ๊ป” พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ที่เน้นโปรดักส์กลุ่มไลฟ์สไตล์ อินเวสเม้นท์ (Lifestyle Investment) รวมมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นตลาดกลุ่มนิช มาร์เก็ต (Niche Market)  ที่ต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนเป็นหลัก โดยส่วนใหญ่เป็นโครงการคอนโดมิเนียม แต่มาวันนี้  “ฮาบิแทท กรุ๊ป” มองหาโอกาสด้านการลงทุนใหม่ ๆ ​โดยขยายไปในตลาดแนวราบเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นตลาดเรียลดีมานด์ที่มีขนาดใหญ่ และมีความต้องการซื้ออย่างต่อเนื่อง   การขยายไปสู่ตลาดแนวราบครั้งนี้ เป็นการจับมือกับกลุ่มตระกูล “เฮงตระกูล” จัดตั้งบริษัท ฮาบิแทท วิลล่า จำกัด เพื่อพัฒนาโครงการ “ไฮแลนด์ พาร์ค พูล วิลล่า พัทยา”  (Highland Park Pool Villas) บ้านวิลล่า มูลค่า 1,700 ล้านบาท ซึ่ง ฮาบิแทท กรุ๊ป ถือหุ้นสัดส่วน 70% และนายรัฐกิจ เฮงตระกูล สัดส่วนอีก 30%   โครงการ ไฮแลนด์ พาร์ค พูล วิลล่า  เป็นรูปแบบบ้านพูล วิลล่า สไตล์โมเดิร์น ตั้งอยู่ที่ตำบลห้วยใหญ่ บนเนื้อที่กว่า 51 ไร่ ซึ่งซื้อมาจากตระกูล “เฮงตระกูล” โดยเริ่มพัฒนาเฟสแรกจำนวน 65 หลัง ประกอบด้วยบ้าน 2 แบบ ได้แก่  1.แบบโรสวูด แกรนด์ วิลล่า (Rosewood Grand Villa) บ้าน 2 ชั้น 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 1 ห้องแม่บ้าน พื้นที่จอดรถ 3 คัน ขนาดเนื้อที่เริ่มต้น 76 - 152 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน 375 ตารางเมตร พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัวในบ้านทุกหลัง ในราคา 13 - 15 ล้านบาท และ 2.แบบแคสเซีย พูล วิลล่า (Cassia Pool Villa)  บ้าน  2 ชั้น  4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ พื้นที่จอดรถ 2 คัน ขนาดเนื้อที่เริ่มต้น 61 - 122 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน 282 ตารางเมตร พร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัวในบ้านทุกหลัง ในราคาขายเริ่มต้นที่ 8 - 12 ล้านบาท นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด  เปิดเผยว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ส่งผลให้ผู้บริโภคและนักลงทุน มีมุมมองต่อการซื้อที่อยู่อาศัยที่เปลี่ยนไป โดยคาดหวังถึงที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่กว้างมากขึ้น สามารถรองรับกิจกรรมของครอบครัวและกลุ่มเพื่อน ซึ่งเป็นรูปแบบของการอยู่อาศัยพร้อมท่องเที่ยวและพักผ่อนที่เป็นเทรนด์การใช้ชีวิตและทำงานของคนยุคใหม่ “ทำงานจากที่ไหนก็ได้” หรือ Work from Anywhere จากปัจจัยดังกล่าวนำมาสู่การปรับแผนธุรกิจในครั้งนี้ และเชื่อว่าจะทำให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว จากเดิมที่เราโฟกัสโครงการอสังหาฯ เพื่อลงทุน แต่วิกฤตโควิดที่ผ่านมา ทำให้หันมาสนใจตลาดแนวราบ และหวังสร้างบาลานซ์ พอร์ต เพื่อจัดการบริหารความเสี่ยงอีกด้วย ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ทำตลาดโครงการพูล วิลล่า มาแล้ว 2 โครงการ ได้แก่ เดอะ วิลล์ จอมเทียน และ ครอสทู พัทยา โอเชียนเฟียร์ จึงมีความเข้าใจความต้องการของผู้บริโภคเป็นอย่างดี และพร้อมจะนำความแข็งแกร่งในจุดนี้ไปต่อยอดกับตลาดแนวราบต่อไป”   ด้านนายรัฐกิจ เฮงตระกูล ผู้ร่วมทุนโครงการ  “ไฮแลนด์ พาร์ค พูล วิลล่า พัทยา” กล่าวว่า ความต้องการซื้ออสังหาฯ ในพื้นที่พัทยาเกิดขึ้นในหลายเซ็กเม้นท์ และวิลล่าซึ่งเป็นเซ็กเม้นท์ที่มีดีมานด์สูง สำหรับทั้งการท่องเที่ยวและพักผ่อน รวมทั้งซื้อไว้เพื่อการลงทุนในระยะยาว โดยมีความสนใจจากผู้ซื้อทั้งนักธุรกิจในพื้นที่ ชาวต่างชาติที่ทำงานอยู่ในนิคมอุตสาหกรรมโซนอีอีซี เป็นระดับผู้บริหารที่ต้องการซื้อแทนเช่า และชาวไทยที่อยู่กรุงเทพฯ เพราะการเดินทางที่สะดวกและใช้เวลาในช่วงสั้น ๆ จากกรุงเทพฯ มาพัทยา และสุดท้ายกลุ่มต่างชาติ ที่นับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาพบว่าแนวโน้มเริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ จึงมองว่าเป็นโอกาสในการพัฒนาและเปิดขายโครงการบนทำเลศักยภาพที่ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้ในช่วงจังหวะนี้ 7 เหตุผลที่พัฒนา ไฮแลนด์ พาร์ค พูล วิลล่า พัทยา สำหรับเหตุผลสำคัญที่ทำให้กลุ่มฮาบิแทท จับมือ "เฮงตระกูล" พัฒนา ไฮแลนด์ พาร์ค พูล วิลล่า พัทยา มาจากความพร้อมของทั้งสองฝ่าย ที่ทำเลที่ตั้งมีความเหมาะสม มีศักยภาพ และเทรนด์การอยู่อาศัยที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากเกิดโควิดระบาด รวมถึงตลาดยังมีความต้องการของกลุ่มลูกค้าอยู่อย่างต่อเนื่องด้วย 1.โควิด-19 ส่งผลให้เทรนด์การอยู่อาศัยเปลี่ยนแปลง ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้เกิดความต้องการใช้พื้นที่เพื่อการอยู่อาศัย ทำให้คนที่มองหาซื้อบ้านจึงเลือกประเภทบ้านแนวราบ มากกว่าการเลือกซื้อคอนโดมิเนียม เพราะมีพื้นที่การอยู่อาศัยมากกว่า ซึ่งตลาดบ้านแนวราบในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มีการเติบโตได้ดี ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และในหัวเมืองต่างจังหวัดที่เป็นเมืองพักตากอากาศ ทำให้บ้านสำหรับพักตากอากาศ หรือบ้านหลังที่ 2 มีอัตราการเติบโตที่ดี 2.วิลล่าในพัทยาเหลือน้อยแต่ดีมานด์สูง ข้อมูลจากฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย วิเคราะห์ถึงตลาดพูลวิลล่าในพื้นที่พัทยา ระดับราคาขาย 8-15 ล้านบาท ว่า เป็นตลาดที่เติบโตและได้รับความสนใจทั้งจากผู้พัฒนาและกำลังซื้ออย่างต่อเนื่อง โดยในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2565 มีโครงการพูลวิลล่าเปิดขาย 13 โครงการ รวม 404 ยูนิต ซึ่งในจำนวนนี้ขายไปแล้ว 295 ยูนิต หรือคิดเป็น 73% ของจำนวนยูนิตที่เปิดขายทั้งหมด ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการพัฒนาโดยผู้พัฒนารายใหญ่ในพื้นที่ และเป็นโครงการขนาดเล็กที่มีจำนวนยูนิตขายน้อย ตลาดวิลล่าในเมืองพัทยา จึงถือว่ามีซัพพลายน้อยแต่ความต้องการมีสูง ถือเป็นโอกาสทางการตลาดในการพัฒนาสินค้าดังกล่าวออกมารองรับ   3.Top 3 โอนที่อยู่อาศัยเยอะสุด เมื่อพิจารณาการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ยังพบว่า จังหวัดชลบุรี มีการโอนกรรมสิทธิ์มากเป็นอันดับ 3 รองจากจังหวัดกรุงเทพฯ และนนทบุรี โดยมีการโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 14,968 ยูนิต เพิ่มขึ้น 6.3% คิดเป็นมูลค่า 36,504 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.1%   ขณะที่พื้นที่ในจังหวัดชลบุรี  ทำเลที่ตั้งของโครงการไฮแลนด์ พาร์ค พูล วิลล่า พัทยา คือ พื้นที่ตำบลห้วยใหญ่ ยังตั้งอยู่ในอำเภอที่มีการโอนกรรมสิทธิ์บ้านแนวราบมากที่สุดเป็นอันดับ 2  ด้วยคือ อำเภอบางละมุง รองจากอำเภอศรีราชา ที่มีการโอนกรรมสิทธิ์บ้านแนวราบมากที่สุด ส่วนอำเภอที่โอนกรรมสิทธิ์มากที่สุดเป็นอันดับ 3 คือ อำเภอเมืองชลบุรี 4.ศักยภาพรอบด้านของเมือง จังหวัดชลบุรี โดยเฉพาะเมืองพัทยา ถือเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีศักยภาพรอบด้าน ในการเติบโตทั้งด้านเศรษฐกิจ การลงทุน และด้านการท่องเที่ยว เพราะมีความพร้อมหลายด้าน อย่างเช่น   -ทำเลที่ตั้งที่ถือว่าเป็นเมืองชายทะเลที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ มากที่สุด สามารถเดินทางได้ภายในระยะเวลาประมาณ 90 นาที และการเดินทางยังสะดวก ซึ่งในอนาคตจะมีรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน  และยังมีโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านต่าง ๆ   -การเป็นเมืองที่มีแหล่งงานสำคัญ เพราะมีทั้งนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ศูนย์การค้า โรงแรม สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญ ๆ มากมาย   -เมืองท่องเที่ยวชายทะเล ที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามาจำนวนมากทั้งกลุ่มชาวไทยและต่างชาติ 5.การเดินหน้าพัฒนา 2 เมืองใหม่ใน EEC นอกจากพื้นที่ของจังหวัดชลบุรีจะเป็นหนึ่งในเขตพื้นที่ EEC ซึ่งมีการลงทุนและพัฒนาในด้านต่าง ๆ จำนวนมาก โดยเม็ดเงินการลงทุนด้านต่าง ๆ ที่จะเข้ามาในพื้นที่ EEC ในช่วง 5 ปีแรกมีมากถึง 1.5 ล้านล้านบาท ขณะเดียวกัน  ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ยังมีแผนการพัฒนาเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ ซึ่งจะมีการนำเอาพื้นที่ส.ป.ก. จำนวน 14,619 ไร่ ในตำบลห้วยใหญ่ อำเภอบางละมุง มาพัฒนาเป็นเมืองใหม่ ซึ่งที่ตั้งอยู่ห่างจากสนามบินอู่ตะเภทเพียง 15 กิโลเมตร ที่จะนำเอาเทคโนโลยีสารสนเทศ และนวัตกรรมที่ทันสมัยเข้าบริหารจัดการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเมืองและยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความต้องการที่อยู่อาศัย และเกิดการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง 6.การลงทุนภาคเอกชนเกือบ 30,000 ล้าน ไม่เฉพาะหน่วยงานภาครัฐเท่านั้นที่จะเข้ามาพัฒนาพื้นที่ในเขตจังหวัดชลบุรี แต่ภาคเอกชนเองก็มองเห็นโอกาสและเห็นศักยภาพของเมือง จึงเดินหน้าเข้ามาลงทุนอย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่าเกือบทุกเจ้าสัวของเมืองไทย พาเหรดกันเข้ามาพัฒนาโครงการในจังหวัดชลบุรีกันเป็นแถว โดยในอนาคตจะมีการพัฒนาโครงการรวมมูลค่าเกือบ 30,000 ล้านบาท ดังนี้ โครงการไอคอนสยาม พัทยา บริเวณนาจอมเทียม มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ของกลุ่มสยามพิวรรธน์ โครงการอควอทีค พัทยา บริเวณพัทยากลาง มูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ของกลุ่มเสี่ยเจริญ สิริวัฒนภักดี โครงการวงศ์อมาตย์ บีช วิลเลจ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท ของกลุ่มเซ็นทรัล และโครงการเทอร์มินอล 21 พัทยา มูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท ของกลุ่มแลนด์แอนด์เฮ้าส์ 7.อัตราผลตอบแทน 7% จากประสบการณ์การพัฒนาโครงการอสังหาฯ มากว่า 10 ปี ซึ่งเน้นอสังหาฯ เพื่อการลงทุน หรือกลุ่ม Lifestyle Investment มาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพบว่ากลุ่มผู้ซื้อจะได้รับผลตอบแทนที่ดี จากการซื้ออสังหาฯ และนำมาปล่อยเช่า เช่น บ้านวิลล่าขนาด 3 ห้องนอน ราคาประมาณ 10 ล้านบาท เมื่อนำมาปล่อยเช่าจะได้อัตราค่าเช่า​คืนละ 8,000 บาท ซึ่งเฉลี่ยต่อเดือนจะปล่อยเช่าประมาณ​ 18-20 คืน ทำให้มี​รายได้เดือนละ 140,000 หักค่าใช้จ่ายด้านการบริหาร  40% จะเหลือรายได้ 80,000 บาทต่อเดือน จะคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 7% ถือว่าสูงกว่าการลงทุนซื้ออสังหาฯ ในกรุงเทพฯ ซึ่งให้ผลตอบแทนประมาณ 4-5% เท่านั้น การปรับแผนธุรกิจใหม่ จากโครงการคอนโดมาสู่แนวราบ เป็นอีกก้าวที่สำคัญในการยกระดับการทำงานและบาลานซ์ธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น เพื่อสร้างโอกาสใหม่ ๆ และบริหารจัดการความเสี่ยงที่นำไปสู่การเติบโตทางธุรกิจอย่างยั่งยืน ทั้งหมดนี้ คงเป็นเหตุผลสนับสนุนสำคัญที่ทำให้เกิดโครงการ ไฮแลนด์ พาร์ค พูล วิลล่า พัทยา ที่เชื่อว่าไม่ใช่โครงการสุดท้าย แต่เป็นจุดเริ่มต้นของโครงการแรกที่ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกัน หากประสบความสำเร็จ เชื่อว่าจะมีโครงการต่อ ๆ ไปอีกมากมาย เพราะกลุ่มเฮงตระกูลมีที่ดินอยู่ในมืออีกมากมายทั่วจังหวัดชลบุรี คงต้องติดตามว่าจะเห็นได้อีกเมื่อไร   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -“ฮาบิแทท กรุ๊ป” ปั้นโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส 4,500 ล้าน พร้อมบุกตลาดลูกค้าต่างชาติ -ฮาบิแทท ผนึกทุนญี่ปุ่น เปิด 2 โปรเจ็กต์ มูลค่า 2.8 พันล้าน
การกลับมาของ “ไลโอเนล ลี” สามี “แป้ง-อรจิรา”  ปั้นวิลล่า อัลต้าลักชัวรี่ 1,400 ล้าน

การกลับมาของ “ไลโอเนล ลี” สามี “แป้ง-อรจิรา” ปั้นวิลล่า อัลต้าลักชัวรี่ 1,400 ล้าน

หลังจาก “ไลโอเนล ลี” อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอนแลนด์ จำกัด (มหาชน) ไม่ได้บริหารงาน เพราะมีการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ ไปสู่บริษัท เคพีเอ็นแลนด์ จำกัด ของตระกูล “ณงค์เดช” ที่ปัจจุบันเป็นผู้ถือหุ้นมากที่สุด 1 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 23.97% โดยไรมอนแลนด์ปัจจุบันมี นายกฤษณ์ ณรงค์เดช ดำรงตำแหน่งประธานการรการบริหาร และนายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร   ล่าสุด “ไลโอเนล ลี” ปรากฏตัวอีกครั้งในฐานะผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาลียาห์ คอร์ป จำกัด  ที่ได้จัดตั้งบริษัทขึ้นมาตั้งแต่ช่วง 2 ปีก่อนหน้านี้ พร้อมด้วยภรรยา “แป้ง-อรจิรา แหลมวิไล” ดารา-นักแสดง ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งและบริหารงาน กับการเปิดตัวโครงการ​อาลียาห์ รีเซิร์ฟ (ALIYAH RESERVE) วิลล่าระดับอัลตร้าลักชัวรี่ ย่านพัฒนาการ 32 จำนวน 6 ยูนิต มูลค่า 1,400 ล้านบาท ไลโอเนล ลี บุกตลาดอัลตร้า ลักชัวรี่ เหตุผลสำคัญที่ “ไลโอเนล ลี” ยังคงพัฒนาโครงการระดับอัลตร้า ลักชัวรี่ เป็นเพราะตลาดยังเติบโตและมีความต้องการ เห็นได้จากช่วงเวลากว่า 2 ปีที่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  ซึ่งส่งผลกระทบทำให้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่กลุ่มลูกค้าระดับบนจะไม่ได้รับผลกระทบ ต่อภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวดังกล่าวแต่อย่างใด   อีกสิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้เป็นอย่างดี  คือ ตัวเลขยอดขายบ้านหรู ระดับลักชัวรี่ที่เปิดตัวจำนวนมากยังคงมียอดขาย​ที่ดี​ ข้อมูลจากซีบีอาร์อี ประเทศไทย  ระบุว่า  ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 โครงการบ้านแนวราบระดับลักชัวรี่และซูเปอร์ลักชัวรี่มียอดขายที่ดีมาก  โดยอัตราการขายมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจาก 68% ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2562 มาเป็น 75% ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 และเมื่อสิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 ตลาดบ้านแนวราบระดับลักชัวรี่และซูเปอร์ลักชัวรี่มีซัพพลายเหลือขายเพียง 745 ยูนิต จากจำนวนทั้งหมด 3,033 ยูนิต   ในช่วงที่ผ่านมาตลาดบ้านหรูจึงมีการเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด มีโครงการบ้านวิลล่าหรูระดับอัลตร้าลักชัวรี่ เตรียมเปิดตัวพรีเซลล์ 26-27 พฤศจิกายนนี้ อีกหนึ่งโครงการ คือ โครงการอาลียาห์ รีเซิร์ฟ  มูลค่า 1,400 ล้านบาท จำนวน 6 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้น 218-297 ล้านบาท เรามีความมั่นใจในตลาดที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี่ในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านแนวราบที่ยังคงเติบโตแข็งแกร่งและได้รับผลบวกหลังเกิดสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้บ้านแนวราบเป็นที่ต้องการมากขึ้น สำหรับบริษัท อาลียาห์ คอร์ป ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา  โดยจะเน้นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี่ในประเทศไทย ด้วยการนำเอาประสบการณ์กว่า 20 ปีในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มาพัฒนาโครงการ จากที่ผ่านมาพัฒนาโครงการต่าง ๆ ทั้งโครงการที่อยู่อาศัย โครงการเชิงพาณิชย์และโรงแรม มาแล้วมูลค่ากว่า 40,000 ล้านบาท ซึ่ง “ไลโอเนล ลี” เองยังมีประสบการณ์พัฒนาโครงการอสังหาฯ มาแล้วทั่วโลก ทั้งโครงการเชิงพาณิชย์และโรงแรมที่สหรัฐอเมริกา รวมทั้ง โครงการเชิงพาณิชย์ โรงแรมและที่อยู่อาศัยในสิงคโปร์ ออสเตรเลียและไทย อาลียาห์ รีเซิร์ฟ บ้านสำหรับทุกเจเนอเรชั่น โดยโครงการอาลียาห์ รีเซิร์ฟ เป็นวิลล่า 6 ยูนิต ที่มีสไตล์การออกแบบโดยถอดแบบมาจากวิลล่าหรูหลังใหญ่ในยุคเรอเนสซองค์ของอิตาลี ซึ่งห้องรับแขกหลักของตัวบ้านหรือที่เรียกว่า “เปียโน โนบิเล่” (Piano Nobile) อยู่บริเวณชั้นบนของบ้าน มีโซนนั่งเล่นและทานอาหารขนาดกว้าง มีการจัดแลนด์สเคปสีเขียวล้อมรอบ มีห้องสวีทส่วนตัวสไตล์อพาร์ตเมนต์ภายในบ้านหลังใหญ่ และพื้นที่สำหรับสมาชิกในครอบครัวใช้เวลาร่วมกัน ตอบโจทย์การอยู่อาศัยสำหรับทุกเจเนอเรชั่น เทรนด์คนรุ่นใหม่ที่ชอบอยู่บ้านมากขึ้น และเทรนด์ครอบครัวใหญ่ที่นิยมพักอาศัยร่วมกับผู้สูงอายุในบ้านหลังเดียวกัน เริ่มพบเห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ และกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน โดยพื้นที่ใช้สอยของบ้านจะมีขนาดตั้แต่ 1,370–1,900 ตารางเมตร บนที่ดินเนื้อที่ 175-200 ตารางวา สามารถจอดรถได้ 5-7 คัน พร้อม Park Connector กว่า 300 เมตรที่เชื่อมต่อสวนหลังบ้านทุกยูนิต  เจ้าของบ้านสามารถออกแบบบ้านในสไตล์ของตัวเองให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่ไม่เหมือนใคร และสามารถนำไลฟ์สไตล์ที่ต้องออกไปใช้นอกบ้าน เช่น การออกกำลังกายในฟิตเนส  การทำผม-ทำเล็บ เข้ามาใช้บริการที่บ้าน ด้วยพื้นที่ในบ้านที่จัดสรรไว้ เช่น ห้องออกกำลังกาย สำหรับเทรนเนอร์เข้ามาเทรนการออกกำลังกาย หรือพื้นที่สำหรับช่างทำผมและช่างทำเล็บเข้ามาให้บริการถึงที่บ้านได้   โครงการยังใช้การออกแบบที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ ระบบระบายอากาศ กระจกหน้าต่างแบบ Double Glaze ระบบบังแดด แผงโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่สำหรับเก็บไฟฟ้าที่ได้จากโซลาร์เซลล์ จุดชาร์จรถอีวี วัสดุที่ไม่มีสารระเหยที่เป็นพิษ ระบบเติมอากาศ Outdoor Air Processing Unit (OAU) ระบบปรับอากาศแบบ VRV (Variable Refrigerant Volume) การใช้ความร้อนจากระบบปรับอากาศมาช่วยผลิตน้ำร้อน และระบบกรองอากาศและฝุ่น PM 2.5 เป็นต้น   ไฮไลท์อื่น ๆ ของโครงการ ได้แก่ Raffles Reserve Club ซึ่งเป็นเวลเนสบาร์พร้อมบริการความช่วยเหลือส่วนตัวที่บริษัทเป็นผู้บริหารและให้บริการ มีป่าขนาดเล็กในโครงการ บ้านต้นไม้สไตล์โมเดิร์นสำหรับเด็ก ๆ และห้องพักรับรองแขก นอกจากนี้ ยังมีแอพพลิเคชั่นสำหรับเทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะ ทั้งระบบโฮมออโตเมชั่น ตรวจเช็คน้ำรั่วภายในบ้าน ติดตามการใช้ไฟฟ้าและน้ำประปา เช็คสถานะการชาร์จไฟของรถอีวี เช็คแบตเตอรี่สำรอง จองบริการต่าง ๆ ในพื้นที่ส่วนกลาง และตรวจสอบระบบความปลอดภัยและการเข้าออกของแขกที่มาเยี่ยมบ้าน อาลียาห์เป็นภาษาฮิบรูโบราณ แปลว่า ‘ขึ้นสูง’ สะท้อนปรัชญาและที่มาในการก่อตั้งบริษัทของเรา ที่เราจะเอื้อมมือคว้าดวงดาวทุกครั้งที่เราเริ่มโครงการใหม่ เราต้องการนำเสนอสิ่งใหม่ ๆ ให้กับเจ้าของบ้านและตลาด ซึ่งไม่ใช่แค่การออกแบบ สถาปัตยกรรม และการวางผังที่มีนวัตกรรมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการก่อสร้างด้วยวัสดุที่ดีที่สุดอีกด้วย   นอกจากนี้ จากรายงานการศึกษาวิจัยโดยซีบีอาร์อี ประเทศไทย  ยังพบเทรนด์การอยู่อาศัยใหม่ที่เกิดขึ้นหลังโควิด-19 ได้แก่ การใส่ใจสุขภาพและเวลเนส พื้นที่ใช้สอยที่ใหญ่และสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นได้หลากหลายรูปแบบ บ้านอัจฉริยะ และบริการความช่วยเหลือพิเศษตามความต้องการของลูกบ้านหรือ Concierge Services ซึ่งเกิดจากพฤติกรรมการใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้น ALIYAH RESERVE เป็นโครงการที่ตอบโจทย์เทรนด์ดังกล่าว ด้วยการออกแบบให้มีพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่และเป็นพื้นที่ที่ยืดหยุ่นที่สามารถจัดพื้นที่ใช้สอยได้ตามฟังก์ชั่นที่ต้องการ  ซึ่งคอนโดมิเนียมไม่ตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าว   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เปิดแผนธุรกิจ ไรมอน แลนด์ ลุยตลาดเชิงรุก สู้วิกฤตโควิด-19 -“ไรมอน แลนด์” เปิดแผนปี 63 ปูทางสร้างรายได้หมื่นล้านใน 5 ปี
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ผนึก 2  พันธมิตร  ปั้น มอลตัน เกทส์  บ้านหรู  Well-Being 

เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ผนึก 2  พันธมิตร  ปั้น มอลตัน เกทส์ บ้านหรู  Well-Being 

“เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” รุกตลาดบ้านระดับลักชัวรี่ “มอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา” พร้อมเปิดตัวพันธมิตรใหม่ด้าน Well-Being  ผนึก “สมิติเวช” มอบนวัตกรรม TytoCare เชื่อมโรงพยาบาลมาอยู่ในบ้านทุกหลัง ร่วมด้วย​ “ปัญญ์ปุริ” รังสรรค์ Wellness Aroma กลิ่นพิเศษ     นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชูรีและคอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้ เปิดเผยว่า การเกิดภาวะโรคระบาดในช่วงที่ผ่านมา และปัจจุบันสังคมไทยก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้คนทั่วโลกให้ความสำคัญกับแนวคิด Health is Wealth ซึ่งการมีสุขภาวะที่ดี หรือ Well-Living กำลังเป็นเมกะเทรนด์แห่งอนาคตที่ผู้บริโภคมองหา และมีความต้องการ เนื่องจากการมีสุขภาพที่ดีเป็นเครื่องหมายของความมั่งคั่งยั่งยืน   จากแนวคิดดังกล่าว บริษัทจึงมุ่งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยให้สามารถส่งมอบคุณค่า และคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน จึงได้พัฒนาโครงการ​ “มอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา” (Malton Gates Krungthep Kreetha) โครงการบ้านเดี่ยวระดับลักซูรี ที่มีฟังก์ชันตอบสนองเมกะเทรนด์ด้าน Well-Living หรือการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัยอย่างครบครันบ้านเดี่ยวหรูที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยแห่งอนาคต เรามองว่า Well-Living ไม่ใช่เพียงแค่กิจกรรม Wellness เท่านั้น แต่เป็นองค์ประกอบแวดล้อมในการใช้ชีวิตที่ต้องผสานกันทั้งหมด เราจึงรังสรรค์คุณค่าผ่าน 6 แกนหลักให้ตอบโจทย์แก่ผู้อยู่อาศัย จึงได้ผนึก 2 พันธมิตรแบรนด์ชั้นนำ คือ สมิติเวช และปัญญ์ปุริ เพื่อร่วมกันสร้างปรากฏการณ์ใหม่แก่ลูกบ้านแบบ Personalized ภายใต้แนวคิด The Gates to Well-Living ให้ครอบคลุมกับการใช้ชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน   ทั้งนี้ โครงการมอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา พัฒนาภายใต้แนวคิด “The Gates to Well-Living” เปรียบเสมือนการเปิดประตูสู่ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีทั้ง 6 มิติ ได้แก่ 1.The Gates to Well Design การออกแบบทุกรายละเอียดอย่างประณีต แต่ยังคำนึงถึงหลักอารยสถาปัตย์ (Universal Design) ใส่ใจการใช้ชีวิตของคนทุกเจเนอเรชัน และสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันการใช้งานได้หลากหลาย 2.The Gates to Well Community มอบความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนยูนิตน้อยที่สุดบนทำเลเพียง 49 หลัง พร้อมส่วนกลางครบครัน ท่ามกลางแหล่งไลฟ์สไตล์ สถานศึกษา และสถานพยาบาลชั้นนำ เชื่อมต่อการเดินทางเข้า-ออกเมืองง่ายดาย ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเหลือง 3.The Gates to Well Rest การพักอาศัยที่มีคุณภาพกับ Well Living Solutions อาทิ นวัตกรรมบ้านเย็น ระบบบ้านปลอดฝุ่น PM 2.5 เชื้อแบคทีเรียและไวรัส เทคโนโลยี Touchless ลดการสัมผัส ไปจนถึงการคัดเลือกวัสดุคุณภาพและปลอดสารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ 4.The Gates to Well Service กับ Hygienic Concierge Service คัดสรรบริการที่มั่นใจได้ในคุณภาพและความปลอดภัย 5.The Gates to Well Essence ครั้งแรกที่ “ปัญญ์ปุริ” (PAÑPURI) ปั้นแบรนด์ “PANPURI Private Edition” มอบสุนทรียภาพในการอยู่อาศัยแบบเอ็กคลูซีฟเฉพาะโครงการมอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา โดยปรุง Signature Scent สร้างความผ่อนคลายและสะท้อนกลิ่นอายความเป็นอังกฤษ พร้อมพื้นที่สวนสีเขียวบรรยากาศร่มรื่นขนาดใหญ่กว่า 1,100 ตร.ม. ในโครงการ 6.The Gates to Well Health เสริมสร้างสุขภาพที่ดีกับโซนออกกำลังกายหลากรูปแบบ อีกทั้งยังร่วมกับผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ “รพ.สมิติเวช” มอบนวัตกรรมชุดตรวจสุขภาพทางไกล TytoCare และแอปพลิเคชันที่ช่วยตรวจติดตามสุขภาพ EngageCare มอบให้แก่ลูกบ้านทุกหลังในโครงการ และเชื่อมบริการ Samitivej Virtual Hospital ปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญตลอด 24 ชม. ด้านร.อ.นพ.ศรัณย์ อินทกุล รองผู้อำนวยการโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์ กล่าวว่า จากแนวคิด #เราไม่อยากให้ใครป่วย การป้องกันก่อนเกิดโรค (Early Detection) ย่อมดีกว่าการรักษา สมิติเวชได้จับมือกับเมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ เพื่อร่วมมอบความเป็นอยู่ที่ดีให้ผู้อยู่อาศัยโครงการมอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา โดยนำจุดแข็งเรื่องความเชี่ยวชาญด้านการแพทย์ และเทคโนโลยีทางการแพทย์ (Health Tech) รูปแบบใหม่ เข้ามาอำนวยความสะดวกให้ผู้อยู่อาศัยสามารถดูแลสุขภาพด้วยตนเอง ทั้งด้านการป้องกัน และการรักษาขั้นเบื้องต้น ภายใต้การดูแลจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเครือสมิติเวช เพื่อเสริมสร้างสุขภาวะที่ดี นอกจากนี้ หากจำเป็นต้องเข้าโรงพยาบาล ลูกบ้านยังได้รับสิทธิพิเศษในการรักษาพยาบาลต่างๆ มากมาย สอดรับกับเมกะเทรนด์ด้าน Well-Living ที่ให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี   ขณะที่นายปราโมทย์ เดชะบุญศิริพานิช กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปุริ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ Clean Beauty สกินแคร์ และเวลเนส ไลฟ์สไตล์ ภายใต้แบรนด์ “ปัญญ์ปุริ” (PAÑPURI) กล่าวว่า นับเป็นครั้งแรกของวงการอสังหาริมทรัพย์ที่ปัญญ์ปุริได้นำศาสตร์ชั้นสูง ซึ่งผสานความเชี่ยวชาญด้าน Aromatherapy มาสร้างประสบการณ์ลักซูรีที่ซ่อนแนวคิด Well-Being ไว้ มาสร้างสรรค์เป็นแบรนด์ใหม่ “PAÑPURI Private Edition” เพื่อร่วมตอบโจทย์ The Gates to Well Essence สร้างสุนทรียะแห่งการผ่อนคลาย โดยมอบชุดผลิตภัณฑ์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ “Malton Gates Welcome Home Package” ที่มีเพียง 49 เซ็ต เอกสิทธิ์พิเศษที่มอบให้แก่ลูกบ้านทุกหลัง เพื่อยกระดับบรรยากาศในบ้านให้ผ่อนคลาย พร้อมปรุงกลิ่นใหม่สำหรับใช้เป็นเครื่องหอมหลักภายในพื้นที่ส่วนกลางของโครงการ   สำหรับโครงการมอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา เป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับ Luxury Wellness Residence สไตล์ Modern Classic สูง 3 ชั้น บนพื้นที่ขนาด 21 ไร่ มอบความเป็นส่วนตัวให้ผู้อยู่อาศัยด้วยจำนวนจำกัดเพียง 49 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 2,100 ล้านบาท มีแบบบ้านให้เลือกถึง 3 สไตล์ ได้แก่ 1.SMITHSON ขนาด 71-90 ตร.ว. 2.MIDDLETON ขนาด 90-108 ตร.ว. 3.LIVINGSTON บนเนื้อที่ 102-137 ตร.ว. และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ราคา 38-80 ล้านบาท     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -แกะกล่อง แบรนด์ใหม่ บุกตลาดบ้านหรู 20 ล้าน+
แกะกล่อง แบรนด์ใหม่ บุกตลาดบ้านหรู 20 ล้าน+

แกะกล่อง แบรนด์ใหม่ บุกตลาดบ้านหรู 20 ล้าน+

บ้านหรู 20 ล้าน เป็นที่รู้ ๆ กันอยู่ว่า นับตั้งแต่มีไวรัสโควิด-19 ระบาด คนส่วนใหญ่ก็ใช้ชีวิตอยู่บ้านมากขึ้น แต่การพักอาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียม ซึ่งเป็นห้องที่มีพื้นที่จำกัด ก็ไม่สามารถตอบโจทย์ในหลาย ๆ เรื่องได้ โดยเฉพาะหากเป็นการอยู่อาศัยด้วยกันหลายคน ที่แต่ละคนต่างก็มีกิจกรรมที่ต้องทำเมื่ออยู่บ้าน ส่งผลให้ความต้องการของคนยุคโควิด-19 เปลี่ยนแปลงไป หันมาต้องการอยู่บ้านที่มีพื้นที่มากขึ้น  ซึ่งคนที่กำลังวางแผนการซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ หันมาเลือกซื้อโครงการบ้านจัดสรรกันมากขึ้น แทนการซื้อคอนโด   ขณะเดียวกัน ดีเวลลอปเปอร์เองก็มองเห็นว่า คนส่วนใหญ่มีความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป การอยู่อาศัยในคอนโดยุคปัจจุบันไม่ตอบโจทย์กับความต้องการเหล่านั้น จึงได้ลดการพัฒนาโครงการคอนโดลง หรือหยุดการพัฒนาไว้ชั่วคราว และหันมาพัฒนาโครงการบ้านแนวราบแทน   มีประเด็นที่น่าสนใจสำหรับการพัฒนาโครงการบ้านแนวราบ คือ ผู้ประกอบการหลายราย เลือกที่จะพัฒนาบ้านราคาแพงออกมาทำตลาดเพิ่มมากขึ้น  โดยเป็นกลุ่มบ้านระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป แม้ว่าส่วนหนึ่งจะเป็นเพราะราคาที่ดินขยับแพงขึ้น ทำให้การพัฒนาบ้านตลาดระดับกลางลงล่าง อาจจะไม่สามารถคุ้มค่าในด้านการลงทุนได้   แต่เหตุผลสำคัญที่สนับสนุนให้ดีเวลลอปเปอร์ ลงทุนพัฒนาโครงการบ้านแพงเหล่านั้น คงเป็นเพราะตลาดมีความต้องการ กลุ่มลูกค้าเป้าหมายมีกำลังซื้อสูง และมีศักยภาพสามารถรองรับกับราคาบ้านเหล่านั้นได้  ที่สำคัญกลุ่มลูกค้าเหล่านี้มีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคารต่ำ เมื่อเทียบกับกลุ่มลูกค้าตลาดบ้านราคา 3-5 ล้านบาท แถมลูกค้าบางรายสามารถวางเงินดาวน์ได้สูง หรือไม่ก็ซื้อด้วยเงินสดก็มีให้เห็น บ้านหรู 20 ล้านอัพ เปิดตัวเยอะสุด โดยข้อมูล จากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) หรือ REIC ได้รายงานตัวเลขการเปิดตัวบ้านและคอนโดใหม่ ในจังหวัดกรุงเทพฯ และปริมณฑล​ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา พบว่า มีการเปิดตัวจำนวน 23.766 ยูนิต แบ่งเป็นบ้านแนวราบจำนวน 8,834 ยูนิต และคอนโดอีก 14,932 ยูนิต โดยจำนวนบ้านและคอนโดทั้งหมดที่เปิดตัวในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่า 143,399 ล้านบาท แบ่งเป็นบ้านแนวราบมูลค่า 81,158 ล้านบาท และคอนโดมูลค่า 62,241 ล้านบาท   กลุ่มระดับราคาบ้านและคอนโดที่มีจำนวนเปิดตัวใหม่มากที่สุดในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา คือ ​กลุ่มบ้านระดับราคา 2-3 ล้านบาท มีจำนวน 7,217 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 30.4% ของจำนวนรวมทั้งหมด ซึ่งกลุ่มบ้านและคอนโดในระดับราคานี้  ถือเป็นตลาดหลักสำคัญ เพราะคนส่วนใหญ่ของประเทศมีความต้องการสูง และมีความสามารถในการกู้เงินกับธนาคารได้ ทำให้ดีเวลลอปเปอร์ส่วนใหญ่ เน้นพัฒนาบ้านและคอนโดในกลุ่มนี้ออกมาทำตลาด   ส่วนระดับราคาของกลุ่มบ้านแนวราบ ที่มีจำนวนเปิดตัวเยอะสุดในไตรมาส 2 จะ​เป็นกลุ่มระดับราคา 2-5 ล้านบาท  โดยมีจำนวนถึง 5,089 ยูนิต  คิดเป็นสัดส่วนรวม 57.6% ของจำนวนบ้านแนวราบทั้งหมดที่เปิดตัว ขณะที่กลุ่มคอนโดที่เปิดตัวมากในช่วงไตรมาส 2  คือ คอนโดระดับราคา 1-3 ล้านบาท ซึ่งมีจำนวน 11,282 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 75.6% ของจำนวนโครงการคอนโดที่เปิดตัวทั้งหมด   แม้ว่าตลาดหลักของบ้านและคอนโด จะเป็นกลุ่มระดับราคา 2-3 ล้านบาท ซึ่งมีจำนวนเยอะสุด แต่มีเทรนด์สำคัญที่เกิดขึ้นในช่วงปีนี้ คือ การเปิดตัวโครงการบ้านหรูระดับราคาตั้งแต่ 20 ล้านบาทขึ้นไป ออกมาทำตลาดจำนวนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งไม่ได้มีแค่จำนวนที่เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังได้รับกระแสตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดีด้วย และด้วยราคาบ้านที่มีราคาสูงตั้งแต่ 20 ล้านบาทไปจนถึงระดับหลักร้อยล้านบาท ส่งผลให้ตลาดบ้านหรูกลุ่มนี้มีมูลค่าการเปิดตัวสูงสุด ด้วยมูลค่า 40,660 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 50.1% รองลงมาเป็นกลุ่มบ้านระดับราคา 10-15 ล้านบาท ด้วยมูลค่า 11,934 ล้านบาท สัดส่วน 14.7% 5 ทำเลเปิดตัวบ้านหรู 20 ล้านเยอะสุด สำหรับทำเลการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา จะพบว่า เขตธนบุรี มีจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุด จำนวน 3,098 ยูนิต ทั้งหมดเป็นคอนโด ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวของเส้นทางรถไฟฟ้าออกไปสู่ชานเมือง การเจริญเติบโตของเมืองที่ขยายออกไป เพราะที่ดินรองรับการพัฒนาในเขตเมืองมีจำกัด และมีราคาสูงจนดีเวลลอปเปอร์ไม่สามารถซื้อมาพัฒนาโครงการขายในราคาที่เหมาะสมได้   ส่วนพื้นที่เปิดตัวโครงการมากที่สุดรองลงมาอีก 4 อันดับ ได้แก่ เขตปากเกร็ด จำนวน 2,739 ยูนิต มีทั้งบ้านแนวราบจำนวน 359 ยูนิต และคอนโด 2,380 ยูนิต เขตบางพลี เป็นโครงการบ้านแนวราบทั้งหมด จำนวน 1,763 ยูนิต เขตลาดพร้าว เป็นคอนโดทั้งหมด จำนวน 1,250 ยูนิต และเขตจตุจักร จำนวน 1,209 ยูนิต แบ่งเป็นบ้านจัดสรร 10 ยูนิตและคอนโด 1,199 ยูนิต   หากพิจารณาจากระดับราคาของที่อยู่อาศัย ที่เปิดตัวในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา จะพบว่าแต่ละพื้นที่มีการเปิดโครงการใหม่ออกขายแตกต่างกันไป ตามดีมานด์และความต้องการของกลุ่มลูกค้าในแต่ลโซน ซึ่งปัจจัยหลักมาจากราคาที่ดินในโซนนั้น ๆ เหมาะสมจะพัฒนาที่อยู่อาศัยราคาเท่าไรออกมาทำตลาด ซึ่งหากพิจารณาจากกลุ่มราคา จะพบว่าแต่ละกลุ่มราคามีการเปิดตัวในทำเลต่าง ๆ ดังนี้ 5 ทำเล บ้านและคอนโด ราคา 2-3 ล้านบาท ที่มีจำนวนเปิดตัวมากสุด ได้แก่ 1.ลาดพร้าว 2.บางกอกน้อย 3.จตุจักร 4.ปากเกร็ด 5.บางพลี 5 ทำเล บ้านแนวราบ ราคา 2-3 ล้านบาท ที่มีจำนวนเปิดตัวมากสุด ได้แก่ 1.บางพลี 2.พระสมุทรเจดีย์ 3.ธัญบุรี 4.สามพราน 5.กระทุ่มแบน 5 ทำเลบ้านแนวราบ ราคา 3-5 ล้านบาท ที่จำนวนเปิดตัวมากสุด ได้แก่ 1.บางใหญ่ 2.บางบัวทอง 3.ทุ่งครุ 4.บางพลี 5.เมืองสมุทรปราการ 5 ทำเลคอนโด ราคา 1-1.5 ล้านบาท ที่มีจำนวนเปิดตัวมากสุด ได้แก่ 1.ธนบุรี 2.ปากเกร็ด 3.จตุจักร 4.บางเสาธง 5.มีนบุรี 5 ทำเล คอนโด 2-3 ล้านบาท ที่มีจำนวนเปิดตัวมากสุด ได้แก่ 1.ลาดพร้าว 2.บางกอกน้อย 3.จตุจักร 4.ปากเกร็ด 5.มีนบุรี   ส่วนที่อยู่อาศัยที่มีมูลค่าโครงการเปิดตัวมากที่สุดในช่วงไตรมาส 2 นั้น จะเป็นกลุ่มระดับราคา 10-15 ล้านบาท  ด้วยมูลค่า 42,480 ล้านบาท สัดส่วน 29.6% ทำเลที่เปิดตัวมากที่สุด คือ เขตสาทร รองลงมาคือ เขตคลองสาน เขตบางพลี เขตสายไหม และเขตบางกรวย ส่วนที่อยู่อาศัยระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไปที่มีมูลค่าการเปิดตัวมากสุด ใน 5 ทำเล คือ เขตบางพลี เขตสะพานสูง เขตปากเกร็ด เขตทวีวัฒนา และเขตยานนาวา   สำหรับคอนโดกลุ่มราคาที่มีมูลค่าเปิดตัวมากที่สุด คือ ระดับราคา 10-15 ล้านบาท ​โดยมี​มูลค่าการเปิดตัวถึง​ 30,546 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 49.1% มีการเปิดตัวมากสุดใน 2 ทำเลเท่านั้น คือ เขตสาทร และเขตคลองสาน ขณะที่คอนโดระดับราคา 3-5 ล้านบาท เปิดตัวด้วยมูลค่ามากที่สุดรองลงมา กับมูลค่าการเปิดตัว 13,728 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 22.1%   ส่วนบ้านแนวราบที่มีมูลค่าการเปิดตัวมากที่สุด เป็นกลุ่มราคามากกว่า 20 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยมูลค่า 40,660 ล้านบาท ที่ครองสัดส่วน 50.1% ซึ่งมี 5 ทำเลหลักเปิดตัวมากที่สุด คือ  1.บางพลี 2.สะพานสูง 3.ปากเกร็ด 4.ทวีวัฒนา และ 5.ยานนาวา 7 แบรนด์ใหม่ลุยตลาดบ้าน 20 ล้าน จากเทรนด์การเปิดตัวบ้านแนวราบจำนวนมากในปีนี้ ซึ่งมีดีเวลลอปเปอร์จำนวนหนึ่ง เน้นการเปิดตัวบ้านหรูระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไปมากขึ้น ทำให้บ้านกลุ่มนี้มีมูลค่าสูงกว่าบ้านในกลุ่มราคาอื่น ๆ ซึ่งหลายโครงการได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าระดับบน มีบางโครงการสามารถปิดการขายได้ในระยะเวลาเพียงเดือนเดียวเท่านั้น   ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIC แสดงความเห็นว่า การเปิดตัวโครงการใหม่ ในช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โครงการคอนโดจะเปิดตัวสัดส่วน 60% บ้านแนวราบสัดส่วน 40% แต่ช่วงเกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สัดส่วนการเปิดตัวโครงการบ้านแนวราบจะมากกว่าคอนโด   อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันสถานการณ์เริ่มปรับตัวดีขึ้น ทำให้ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมาการเปิดตัวโครงการคอนโดกลับมามีจำนวนเพิ่มมากขึ้น จนมีสัดส่วนมากกว่าบ้านแนวราบ แต่หากพิจารณาในด้านมูลค่า กลับพบว่าบ้านแนวราบมีสัดส่วนที่มากกว่าโครงการคอนโด ซึ่งจากข้อมูลของศูนย์ข้อมูลฯ เป็นเพราะดีเวลลอปเปอร์หันมาเปิดตัวโครงการบ้านหรูระดับราคาตั้งแต่ 10-15 ล้านบาท และระดับราคามากกว่า 20 ล้านบาทเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง ​ ตลาดบ้านเดี่ยว 20 ล้านบาทขึ้นไป เมื่อก่อนมีซัพพลายไม่มาก เพราะผู้ซื้อซึ่งเป็นกลุ่มคนมีรายได้สูง มักจะซื้อคอนโดหรู อาศัยอยู่ใจกลางเมืองเป็นหลัก หรือเป็นกลุ่มที่ซื้อคอนโดเพื่อลงทุน แต่ตอนนี้ความต้องการเปลี่ยน ต้องการมีพื้นที่การอยู่อาศัยมากขึ้น จึงหันมาอยู่บ้านแนวราบ หรือกลุ่มครอบครัวขยาย ทำให้ดีเวลลอปเปอร์พัฒนาโครงการพวกนี้ออกมามากขึ้น และขายดีจนแทบไม่มีซัพพลายเหลือในตลาด จากการสำรวจของ Reviewyourliving ยังพบว่า ปัจจุบันมีกว่า 10 ดีเวลลอปเปอร์ ที่พัฒนาโครงการบ้านหรู 20 ล้านบาทขึ้นไปออกมาทำตลาด ภายใต้แบรนด์บ้านกว่า 29 แบรนด์ เฉพาะในปีนี้มีการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวภายใต้แบรนด์ใหม่ออกมาถึง 7 แบรนด์​ และมีดีเวลลอปเปอร์รายเดิม นำแบรนด์บ้านหรูที่หยุดทำตลาดไป กลับมาทำตลาดใหม่อีกครั้งด้วย   สำหรับแบรนด์ใหม่ที่เข้ามาทำตลาดในปีนี้ ได้แก่ แบรนด์ศิรนินทร์ ของบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) แบรนด์บ้านเดี่ยวระดับราคาตั้งแต่ 65-180 ล้านบาท แบรนด์แซงค์ รอยัล ของบริษัท แอสเซท ไฟว์ จำกัด แบรนด์บ้านเดี่ยวระดับราคา ​50-100 ล้านบาท ขณะที่บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) ในปีนี้ได้พัฒนาแบรนด์บ้านเดี่ยวหรูออกมาทำตลาดถึง 5 แบรนด์ ดังนี้ ​ 1.แบรนด์วัน เกต ราคา 93-135 ล้านบาท 2.แบรนด์ทู เอกมัย  ราคาเริ่มต้น 85 ล้านบาทขึ้นไป ​3.แบรนด์พาร์ค เฮอริเทจ ราคา 49-85 ล้านบาท​ 4.แบรนด์บาร์นยาร์ด เขาใหญ่ ราคาเริ่ม 15.9 ล้านบาท และ​​ 5.แบรนด์โพรวิเดนซ์ เลน ราคาเริ่ม 39 ล้านบาท ส่วนดีเวลลอปเปอร์ที่เคยมีแบรนด์บ้านหรู และหยุดทำตลาดไป ซึ่งในปีนี้ได้นำแบรนด์ดังกล่าวกลับมาทำตลาดใหม่อีกครั้ง ได้แก่ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) ที่นำแบรนด์บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ ที่เคยทำตลาดเมื่อ 7 ปีก่อน นำกลับ​มาทำตลาดใหม่อีกครั้ง เป็นกลุ่มบ้านทาวน์โฮม ในระดับราคา 10-20 ล้านบาท และบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ที่นำแบรนด์บ้านนาราสิริ ที่ได้หยุดพัฒนาไปหลายปี นำกลับมาทำตลาดใหม่อีกครั้ง กับบ้านเดี่ยวหรูราคา 50-100 ล้านบาท   ทั้งหมดนี้ ก็เป็นข้อมูลตลาดบ้านหรู 20 ล้านบาทขึ้นไปในปีนี้ ที่ถือว่าเป็นตลาดที่น่าสนใจและมีศักยภาพสูง สำหรับดีเวลลอปเปอร์ในการสร้างการเติบโต ทั้งด้านรายได้และกำไร เพราะฐานลูกค้าสามารถให้การตอบรับกับสินค้าเหล่านี้ได้ แม้ว่าจะเป็นฐานลูกค้านิชมาร์เก็ต ที่มีจำนวนจำกัดก็ตาม ซึ่งเชื่อว่าจะมีดีเวลลอปเปอร์อีกหลายรายที่สนใจและจะเข้ามาพัฒนาโครงการในระดับราคานี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วงชิงส่วนแบ่งการตลาดที่มีศักยภาพนี้ จากที่ผ่านมาก็มีดีเวลลอปเปอร์หลายราย ทำตลาดอยู่ก่อนหน้าแล้ว ส่วนใครจะได้ส่วนแบ่งไปมากที่สุดคงต้องติดตามกันต่อไป   บทความที่เกี่ยวข้อง -สัมมากร ลุยตลาดลักชัวรี่ขายบ้าน 30 ล้าน สู้โควิด-19 เดินหน้าปั๊มยอดขายทั้งปีโต 20%
อสังหาฯ อังกฤษ ลงทุนใช้ชีวิต 999 ปี คุ้มมั๊ย?

อสังหาฯ อังกฤษ ลงทุนใช้ชีวิต 999 ปี คุ้มมั๊ย?

อสังหาฯ อังกฤษ สำหรับต่างชาติที่สนใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ของไทย ในส่วนที่พักอาศัย ถ้าเป็นการซื้อในนามบุคคล ก็สามารถซื้อห้องชุดโครงการคอนโดมิเนียมได้ ซึ่งมีสัดส่วนการซื้ออยู่ที่ 49% ของจำนวนยูนิตทั้งหมดในโครงการ (แต่หากซื้อในนามนิติบุคคลก็สามารถซื้อบ้านเดี่ยวได้) แต่กรณีที่โควต้าของโครงการคอนโดนั้นเต็มแล้ว รูปแบบการซื้อก็จะต้องอยู่ในรูปแบบของลีสโฮลด์ (Leasehold) แทน   โดยการซื้อในรูปแบบลีสโฮลด์  เป็นการซื้อแบบสิทธิการเช่า ที่ถือครองกรรมสิทธิ์ ตามช่วงระยะเวลาที่กำหนด ไม่ได้เป็นเจ้าของแบบเป็นกรรมสิทธิ์เด็ดขาด เหมือนรูปแบบฟรีโฮลด์ (Freehold) ที่เป็นเจ้าของได้ชั่วลูกชั่วหลาน ซึ่งลิสโฮลด์ของไทยตามกฎหมายกำหนดระยะเวลาไว้ที่ 30 ปี และอาจจะมีการตกลงกันว่าจะต่ออายุให้โดยอัตโนมัติอีก 30 ปีบวก 30 ปีหรือไม่อย่างไรก็แล้วแต่จะไปหาแนวทางกันระหว่างผู้ซื้อผู้ขาย   แต่ในต่างประเทศ อย่างประเทศอังกฤษเขามีการซื้อขายอสังหาฯ ให้กับต่างชาติในรูปแบบลิสโฮลด์ที่ให้ระยะเวลาการถือครองกรรมสิทธิ์อสังหาฯ นั้น ๆ ได้ยาวนานกว่าไทย โดยมีระยะเวลามากถึง 999 ปี เรียกได้ว่าสามารถส่งต่อทรัพย์สินนั้นให้ลูกหลานไปได้หลายชั่วอายุคนเลยทีเดียว 3 ปัจจัยน่าซื้ออสังหาฯ อังกฤษ ใช้ชีวิต 999 ปี สำหรับอสังหาฯ อังกฤษตอนนี้ ก็มีความน่าสนใจ และราคาก็ลดต่ำลง  น่าเข้าไปจับจองหาซื้อมาไว้ครอบครอง เพราะปัจจัยสำคัญ 3 เรื่องสำคัญ คือ 1.เงินปอนด์อ่อนค่า  ในช่วงปีที่ผ่านมาเงินปอนด์จะอยู่ในอัตรา 1 ปอนด์เท่ากับ 47-48 บาท แต่ปัจจุบันลดต่ำลงมาเหลือ 1 ปอนด์เท่ากับ 42 บาท หรือค่าเงินปอนด์อ่อนค่าลงมา 10%  ทำให้คนไทยสามารถซื้ออสังหาฯ ได้ในราคาที่ถูกลง ​ 2.ผลตอบแทนจากการเช่าสูง อสังหาฯ อังกฤษ มีความน่าสนใจเนื่องจาก หากซื้อแล้วปล่อยเช่าหรือหากถือไว้ในระยะยาว จะได้ผลตอบแทนจากการลงทุนสูง  โดยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พบว่า ค่าเช่าในพื้นที่ใจกลางลอนดอน มีการเติบโตของมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์  หลังจากสถานการณ์เริ่มมีการฟื้นตัวจากโรคระบาด  แม้ว่าหลังจากนั้นในเดือนเมษายนมูลค่าค่าเช่าในพื้นที่ใจกลางลอนดอนปรับลดลงจาก 29.2%  ก็ตาม แต่ก็กลับมาฟื้นตัวปรับเพิ่มขึ้น 19.9% อีกครั้งในเดือนสิงหาคม ส่วนพื้นที่รอบนอกกรุงลอนดอนมูลค่าค่าเช่าก็ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 15.2% ด้วย นายแฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านที่พักอาศัย ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า มีตัวอย่างที่ลูกค้าของไนท์แฟรงค์ที่ได้ซื้ออสังหาฯ อังกฤษ ในช่วงปี 2562 และขายออกในปี 2564 ซึ่งได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนสูง​ถึง 21% เลยทีเดียว 3.ราคาอสังหาฯ ลดลง รายงานจากไนท์แฟรงค์ ระบุว่า ช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ตลาดอสังหาฯ ในกรุงลอนดอน ราคามีการเติบโตถึง 9.2%  และช่วงมกราคม-กรกฎาคม 2565 ราคาเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.1% ต่อเดือน ขณะที่ราคาเฉลี่ยของที่พักอาศัยในลอนดอนอยู่ที่ 543,547 ปอนด์ (ข้อมูลจากการจดทะเบียนที่ดิน) โดยเฉพาะพื้นที่ในย่านไพร์มแอเรีย ของกรุงลอนดอน ปรับเพิ่มขึ้น 2.4% ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาจนถึงเดือนพฤษภาคม 2565   อย่างไรก็ตาม แม้ว่าที่ผ่านมาราคาจะมีการปรับตัวสูงขึ้น แต่จากการสำรวจความเชื่อมั่นภาคครัวเรือนของ IHS Markit พบว่า การปรับตัวขึ้นของราคาที่พักอาศัยมีส่วนเกี่ยวข้องกับดัชนีความเชื่อมั่น ซึ่งในเดือนกันยายนที่ผานมาค่าดัชนียังคงเป็นบวก แต่มันกลับกำลังอ่อนตัวลง ซึ่งตัวเลขดัชนีที่พักอาศัยในอนาคต ปัจจุบันลดลงต่ำกว่าตัวเลขในเดือนมีนาคมปี 2563 ที่เป็นช่วงมีการปิดเมืองด้วยซ้ำ   ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบทำให้ราคาอสังหาฯ อังกฤษ มีแนวโน้มลดลงนั้น เป็นผลจากผลกระทบเรื่องค่าเงิน เงินเฟ้อ ค่าครองชีพ และอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้น  ทำให้ในช่วง 5 ปีนับจากนี้ราคาอสังหาฯ อังกฤษ น่าจะปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่ในอนาคตภายในอีก 10 ปีข้างหน้าคาดว่าราคาจะกลับมาเติบโตได้ในอัตรา 25% เศรษฐีไทยซื้ออสังหาฯ อังกฤษ ให้ลูกเรียนต่อ หากพูดถึงประเทศที่มีสถานศึกษา ที่ได้รับการยอมรับของคนไทย ในการส่งลูกหลานไปเรียนต่อเป็นจำนวนมาก หนึ่งในตัวเลือกอันดับต้น ๆ  ก็ต้องมีประเทศอังกฤษติดอยู่ในนั้น เพราะมีสถาบันการศึกษาชั้นนำได้รับการรับรองและยอมรับของคนทั่วโลกมากมาย เช่น มหาวิทยาลัย อ๊อกซฟอร์ด (UNIVERSITY OF OXFORD) มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ (UNIVERSITY OF CAMBRIDGE) และอิมพีเรียล คอลเลจ ลอนดอน (IMPERIAL COLLEGE LONDON (ICL)) เป็นต้น   ข้อมูลจากบริติช เคานซิล และสถานเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย รายงานว่าในปีที่ผ่านมามีนักเรียน นักศึกษาไทย ไปศึกษาต่อที่ประเทศอังกฤษมากถึง 6,880 คน หรือคิดเป็นสัดส่วนถึง 45% ของนักเรียน นักศึกษาไทยที่เลือกศึกษาต่อในต่างประเทศ  ซึ่งเป็นประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษทั้งหมด 15,457 คน   การที่ประเทศอังกฤษ เป็นตลาดการศึกษาที่ได้รับความนิยม ได้ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศอังกฤษเติบโตตามมาด้วย เพราะผู้ปกครองต่างชาติที่มีฐานะดีมักจะเลือกซื้ออสังหาฯ เพื่อให้ลูกหลานได้อยู่อาศัยระหว่างเรียน และเมื่อเรียนจบก็จะขายอสังหาฯ เหล่านั้น ตลาดการศึกษาจึงถือเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ของอังกฤษให้เติบโตด้วย   จากรายงานการวิจัยของไนท์แฟรงค์ พบว่า ตลาดที่พักอาศัย ในประเทศอังกฤษปัจจุบัน ความต้องการเริ่มกลับมาเติบโตเป็นบวก สถาบันการเงินเริ่มผ่อนคลายการปล่อยสินเชื่อในการกู้ซื้ออสังหาฯ หลังจากได้ชะลอตัวลงจากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19   นายแฟรงค์ ข่าน กล่าวว่า ผู้ปกครองชาวไทยนิยมส่งบุตรหลานไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ  ทำให้มีการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อให้บุตรหลานได้พักอาศัยขณะเรียนหนังสือ และได้ใช้เป็นที่พักเมื่อไปเยี่ยมบุตรหลานเหล่านั้น หลังจากที่บุตรหลานเรียนจบก็จะขายที่อยู่อาศัยดังกล่าว  ซึ่งผลตอบแทนที่ได้รับก็อยู่ในอัตราสูง คุ้มค่าต่อการลงทุน คนไทยส่วนใหญ่ 80% เลือกส่งลูกไปเรียนต่อที่ประเทศอังกฤษ มากกว่าประเทศออสเตรเลีย หรือสหรัฐอเมริกา เพราะเป็นประเทศที่อยู่ไกล ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าเศรษฐีคนไทยยังนิยมไปซื้ออสังหาฯ ในประเทศอังกฤษอย่างต่อเนื่อง เฉพาะช่วง 7 เดือนที่ผ่านมาไนท์แฟรงค์สามารถขายที่อยู่อาศัยได้แล้ว 9 ยูนิตและอาคารสำนักงานได้ 1 แห่ง คิดเป็นมูลค่าถึง 300 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 12,600 ล้านบาท โดยนอกเหนือจากปัจจัยเรื่องการเติบโ​ตด้านราคาและโอกาสในการปล่อยเช่าสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนแล้ว ปัจจุบันค่าเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลง 10% ตั้งแต่ปีที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน ส่งผลให้เป็นโอกาสทางการตลาดสำหรับคนไทยในการไปซื้ออสังหาฯ ในประเทศอังกฤษมากขึ้น ซึ่งคนไทยที่ซื้ออสังหาฯ ในประเทศอังกฤษจะเป็นรูปแบบลีสต์โฮล์ หรือสิทธิการเช่าระยะยาวถึง 999 ปี ช่วง 6 เดือนที่ผ่ามามีการพาคนไทยไปดูอสังหาฯ ที่ประเทศอังกฤษทุกเดือน เพราะมีความต้องการซื้ออสังหาฯ กลับเข้ามามากขึ้น และปัจจุบันเงินบาทไทยก็แข็งค่าเมื่อเทียบกับค่าเงินปอนด์ ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนของตลาดอสังหาฯ ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น 17% โดยประเมินว่าอีก 5 ปีข้างหน้าอัตราผลตอบแทนจะปรับตัวลดลง จากภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ปรับสูง เงินเฟ้อ ค่าเงิน และค่าครงอชีพที่เพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ตามในระยะยาวภายใน 10 ปีข้างหน้า คาดว่าอัตราผลตอบแทนจะกลับมาเติบโตเพิ่มขึ้นเป็น 20% เมื่อเทียบกับปัจจุบัน ถือเป็นจังหวะที่ดีในการเลือกซื้อ เฟนตัน วีเลน  บุกโรดโชว์เมือง​ไทย หลังโครงการพาร์ค โมเดิร์น (Park Modern) โครงการที่พักอาศัย ในสหราชอาณาจักร ได้ทำตลาดและเปิดการขายอยู่ภายในประเทศ จนสามารถสร้างยอดขายได้ 50% ก็ได้ออกโรดโชว์เพื่อนำเสนอขายห้องชุดของโครงการดังกล่าว โดยเริ่มต้นประเทศไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียระหว่างวันที่ 10-12 ตุลาคม 2565 เนื่องจากประเทศไทยเป็นตลาดสำคัญที่ซื้ออสังหาฯ อังกฤษ โดยเฉพาะการซื้อเพื่อให้บุตรหลานไปเรียนหนังสือ   นายลาร์ส  คริสเตียนส์  ผู้อำนวยการร่วมก่อตั้งของเฟนตัน วีแลน (Fenton Whelan) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในสหราชอาณาจักร เปิดเผยว่า ได้เตรียมจัดงานโรดโชว์ครั้งแรกในไทยเพื่อนำเสนอโครงการพาร์ค โมเดิร์น โครงการที่พักอาศัยใจกลางกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ  ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของสวนไฮด์ปาร์ค (Hyde Park) และสวนพระราชวังเคนซิงตัน (Kensington Palace Gardens) พื้นที่รวม 190,000 ตารางฟุต มูลค่ากว่า 500 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 21,000 ล้านบาท (คำนวณจากค่าเงิน 1 ปอนด์เท่ากับ 42 บาท)   สำหรับโครงการพาร์ค โมเดิร์น เป็นอาคารที่พักอาศัยขนาด 9 ชั้น  จำนวน 55 ยูนิต มีห้องพักแบบ 1-6 ห้องนอน จำนวน 57 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.2 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 92.4 ล้านบาท รวมไปถึงอพาร์ตเมนต์ และห้องเพนต์เฮาส์พิเศษ 3 ยูนิต  พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกสไตล์โรงแรมระดับ 5 ดาว ขนาด 30,000 ตารางฟุต รวมไปถึงพนักงานคอนเซียช ห้องรับรองแขกหรือเลานจ์ ร้านอาหารและคาเฟ่  มีพื้นที่บริการด้านสุขภาพ ประกอบด้วย สระว่ายน้ำขนาด 25 เมตร ห้องออกกำลังกาย สปา โรงภาพยนตร์ และร้านทำทรีตเมนต์ ปัจจุบันโครงการมียอดขายแล้ว 50% นับตั้งแต่เปิดขายในเดือนมิถุนายนปีที่ผ่านมา โดยแผนการขายนับจากนี้ หลังจากโรดโชว์ในประเทศไทยแล้วจะเดินทางไปโรดโชว์ในประเทศมาเลเซีย สิงค์โปร์ และสหรัฐอเมริกา โดยคาดว่าจะสามารถปิดการขายได้ก่อนที่โครงการจะก่อสร้างแล้วเสร็จในเดือนพฤษภาคม 2566     นางสาววิคตอเรีย การ์เร็ตต์ หัวหน้าฝ่ายที่อยู่อาศัยของไนท์แฟรงค์ เอเชีย-แปซิฟิก กล่าวว่า ข้อมูลจากแบบสำรวจทัศนคติแสดงไว้ในรายงานความมั่งคั่งฉบับล่าสุด พบว่า 62% ของบุคคลที่มีรายได้สูงเป็นพิเศษทั่วโลกกำลังพิจารณาด้านการเข้าถึงพื้นที่สีเขียวอย่างใกล้ชิดกับทิวทัศน์อันเป็นเอกลักษณ์ และด้วยการผสมผสานสิ่งอำนวยความสะดวกในท้องถิ่นที่ยอดเยี่ยม รวมไปถึงการเข้าถึงพื้นที่สีเขียว สำหรับผู้พักอาศัยใน Park Modern และทำให้ เมืองลอนดอนแห่งนี้เป็นที่ดึงดูดสำหรับผู้ซื้อจากต่างประเทศ   บทความที่เกี่ยวข้อง -คนไทยนิยมซื้ออสังหาฯ อังกฤษ ไนท์แฟรงค์เตรียมปิดดีลกว่า 1,404 ล้าน -ไนท์แฟรงค์ หวังเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยว-จีนเปิดประเทศ กระตุ้นตลาดคอนโดภูเก็ตฟื้นตัว