Tag : News

2400 ผลลัพธ์
แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์  วางเป้า 5 ปีทำรายได้หมื่นล้าน  หลังเศรษฐกิจ-การท่องเที่ยวฟื้นตัว

แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ วางเป้า 5 ปีทำรายได้หมื่นล้าน หลังเศรษฐกิจ-การท่องเที่ยวฟื้นตัว

แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ รับสัญญาณเศรษฐกิจ-การท่องเที่ยวฟื้นตัว คาดปี 66 ทำรายได้ 6,000 ล้าน ก่อนเดินไปสู่เป้าหมาย 10,000 ล้านในอีก 5 ปี พร้อมกลับมาทำกำไรเป็นบวกในปีนี้   นายวิทวัส วิภากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2566 บริษัทคาดว่าจะทำรายได้ 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจโรงแรม 3,000 ล้านบาท และรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 3,000 ล้านบาท ซึ่งมาจากโครงการร่วมทุนกับพันธมิตร 2,000 ล้านบาท และโครงการที่บริษัทพัฒนาขึ้นเองอีก 1,000 ล้านบาท ในภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปีนี้ จะเป็นปีที่ดีสำหรับบริษัทจากปัจจัยการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ การเปิดประเทศ และการกลับมาของนักท่องเที่ยว ช่วง 2-3 เดือนเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว ของภาวะเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ซึ่งดีเกินคาด คาดว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีสำหรับบริษัท สามารถทำรายได้ All-Time High และมีผลกำไรเป็นบวก นอกจากนี้ บริษัทยังคาดว่าทิศทางในอนาคต ภายในระยะ 5 ปีนับจากนี้ จะมีรายได้รวมถึง 10,000 ล้านบาท จากทิศทางการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ และแผนการพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันบริษัทยังอยู่ระหว่างการพิจารณาขยายการลงทุน ทั้งในส่วนของโรงแรม และเวลเนส ที่จังหวัดเชียงใหม่ การขยายโรงแรมในพัทยา จังหวัดชลบุรี รวมถึงการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านแนวราบ และโครงการคอนโดมิเนียม ที่ปัจจุบันมีที่ดินรองรับการพัฒนา และอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไป   นายวิทวัส กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทยังได้เตรียมงบลงทุนไว้ 200 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงพื้นที่ในส่วนของร้านอาหารโรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน 2 แห่ง จำนวน 100 ล้านบาท การปรับปรุงพื้นที่ส่วนคิดส์คลับ โรงแรมเชอราตัน หัวหิน ทำสกาย บาร์ และบิซ บาร์ ที่โครงการอมาธารา เวลเลเชอร์ รีสอร์ท จังหวัดระยอง จำนวน 100 ล้านบาท   สำหรับเป้าหมายรายได้ธุรกิจอสังหาฯ ที่คาดว่าจะทำได้ในปีนี้ 3,000 ล้านบาท จะมาจากยอดขายของคอนโดโครงการไฮด์ เฮริเทจ ทองหล่อ ซึ่งเป็นโครงการ่วมทุนกับซูมิโตโม ฟอเรสทรี จำนวน 2,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จ โครงการไฮด์ สุขุมวิท 11 จำนวน 600 ล้านบาท และโครงการอมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง จำนวน 400 ล้านบาท ปัจจุบันโครงการไฮด์ เฮริเทจ ทองหล่อ ยังมียูนิตเหลือขายรวมมูลค่า 3,000 ล้านบาท ส่วนโครงการไฮด์ สุขุมวิท 11 มียูนิตเหลือขายประมาณ 700 ล้านบาท โดยทั้งสองโครงการมียอดขายรอรับรู้รายได้กว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถปิดโครงการได้ภายใน 2 ปีนี้   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -แกรนด์ แอสเสท โชว์รายได้ธุรกิจโรงแรมโต 307% พร้อมยอดขาย “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ” แล้ว 50%
[PR News] “สุริยน–จิตรดี พูลวรลักษณ์” เปิดโปรเจ็กต์แรก ลาวิสต้า เพรสทีจ วิลเลจ

[PR News] “สุริยน–จิตรดี พูลวรลักษณ์” เปิดโปรเจ็กต์แรก ลาวิสต้า เพรสทีจ วิลเลจ

ลาวิสต้า เพรสทีจ วิลเลจ เปิดตัวอย่างเป็นทางการ “บริษัท เอสพีเจ แลนด์ จำกัด” บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ก่อตั้งโดย “สุริยน-จิตรดี พูลวรลักษณ์” สองนักพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โครงการหรูที่มีประสบการณ์กว่า 20 ปี ประเดิมเปิดตัวโปรเจกต์แรก “ลาวิสต้า เพรสทีจ วิลเลจ เอกมัย 10” (Lavista Prestige Village Ekkamai 10) โครงการบ้านเดี่ยวระดับ Ultimate Luxury ภายใต้แนวคิด “Redefined Prestigious Living” บนทำเลศักยภาพ Prime Location เอกมัย พร้อมชูจุดเด่นคอนเซ็ปต์ Prestige Community เน้นความเป็นส่วนตัวสูงสุดกับเอกสิทธิ์เฉพาะ 7 ครอบครัว ในราคาเริ่มต้นที่ 80 ล้านบาท เจาะกลุ่มผู้บริหารและเจ้าของกิจการรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จและมีไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว   นายสุริยน พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสพีเจ แลนด์ จำกัด  เปิดเผยว่า​ เอสพีเจ แลนด์ เป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้น ด้วยความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในรูปแบบ Prestige Luxury โดยโฟกัสกลุ่ม Niche Market Customer ที่ต้องการสินค้า Residential ที่แตกต่างและโดดเด่นจากสินค้าที่มีอยู่ในตลาด ตอบโจทย์ลูกค้า Selected Customer อย่างแท้จริง โดยนำเอาประสบการณ์ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่หลากหลายต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการระดับลักซ์ชัวรี ทั้งคอนโดมิเนียมแนวสูง โรงแรม และที่พักอาศัย โดยเฉพาะโครงการที่ผ่าน Mavista Prestige Village กรุงเทพกรีฑา เป็นโครงการที่มีเพียงแค่ 14 ยูนิต ที่ประสบความสำเร็จจากการขายเป็นอย่างมาก ได้รับผลตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี นำมาสู่การพัฒนาเป็นโครงการล่าสุด “ลาวิสต้า เพรสทีจ วิลเลจ เอกมัย 10” บนทำเลศักยภาพของเอกมัยที่ “ดีที่สุด” กับความเอ็กซ์คลูซีฟเพียง 7 ยูนิตเท่านั้น ถือเป็นนิยามใหม่แห่งการพักอาศัยที่หรูหรามีระดับภายใต้แนวคิด “Redefined Prestigious Living” “ด้วยความชำนาญและประสบการณ์ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากว่า 20 ปี เราจึงมีความเชี่ยวชาญและเข้าใจถึงความต้องการของกลุ่มลูกค้าในเซกเมนต์ระดับลักชัวรีได้เป็นอย่างดี บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญในทุก ๆ องค์ประกอบ ด้วยแนวคิดสร้างสรรค์ มอบความเป็นส่วนตัวสูงสุด กับจำนวนยูนิตไม่มาก เสมือนการคัดสรรเพื่อนบ้านให้สังคมภายในโครงการด้วยคอนเซ็ปต์ Prestige Community ทั้งพื้นที่ใช้สอยและฟังก์ชันต่าง ๆ ที่ครบครัน มีดีไซน์ที่โดดเด่น ทันสมัย และที่สำคัญตั้งอยู่ในทำเลใจกลางเมืองที่สะดวกสบายทุกการเดินทาง ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของลูกค้าตลาดบนเฉพาะกลุ่ม (Niche Market-Selected Luxury Customer) และสร้าง Prestige Lifestyle ความภูมิใจในการเป็นเจ้าของ และสามารถส่งต่อรุ่นสู่รุ่นได้อย่างล้ำค่า นับเป็นการยกระดับมาตรฐานใหม่ของธุรกิจการพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรีได้อย่างแท้จริง”   นางจิตรดี พูลวรลักษณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสพีเจ แลนด์ จำกัด กล่าวว่า โครงการ“ลาวิสต้า เพรสทีจ วิลเลจ เอกมัย 10”  เกิดขึ้นจากการตอบโจทย์ของธุรกิจบริษัทในปัจจุบัน ที่มีความเปลี่ยนแปลงและเพื่อรองรับการขยายตัวของกลุ่มผู้อยู่อาศัย อาทิ กลุ่มเจ้าของกิจการ กลุ่มผู้บริหาร เจ้าของกิจการรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จและมีไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว ด้วยทำเลทองใจกลางเอกมัย ที่สามารถเพิ่มมูลค่าและเป็นมรดกส่งต่อรุ่นสู่รุ่นได้ โดยการออกแบบพื้นที่ภายในบ้านใช้แนวคิดที่คำนึงถึงการใช้งานให้ครอบคลุมสำหรับสมาชิกทุกเจเนอเรชัน ให้สามารถใช้ชีวิตตามสไตล์ที่ชอบได้อย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันก็มีหัวใจของบ้านที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวเข้าไว้ด้วยกัน บ้านเดี่ยวสุดไพรเวททั้ง 7 ยูนิต ของโครงการ “ลาวิสต้า เพรสทีจ วิลเลจ เอกมัย 10” มีขนาด 4 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 429.97- 546.61 ตารางเมตร พร้อมลิฟท์ส่วนตัวภายในบ้าน โดยชั้น 1 เน้นการออกแบบที่ล้ำสมัยและฟังก์ชันที่จอด 4-6 คัน รองรับระบบ EV Charger สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100%  พร้อมโถงรับแขก Arriving Hall และมี Maid Pavilion ทั้งห้องนอนและห้องน้ำของแม่บ้าน สามารถเข้า-ออกทางหลังบ้าน ชั้น 2 เป็นรูปแบบ Gathering Area ศูนย์รวมการใช้งานขนาดใหญ่ เชื่อมโยงครัวเปิด Western Kitchen จากแบรนด์ RCD โปร่งสบาย เพดานสูงถึง 3 เมตร และห้องอเนกประสงค์สามารถจัดสรรปรับเป็นห้องฟิตเนสหรือห้องนอนได้ ส่วนชั้น 3 มีห้องนอน Grand Suite Master Bedroom เชื่อมต่อพื้นที่บริเวณโซนเตียงนอนกับ Walk-in Closet ขนาดใหญ่ และห้องน้ำแบบ Grand Master Bedroom แยกสัดส่วน Shower และโถสุขภัณฑ์อัตโนมัติ พร้อมพื้นที่อาบน้ำแบบ his&her และชั้น 4 เป็นห้อง Junior Master Bedroom และห้องอเนกประสงค์ที่สามารถจัดเป็นห้องอ่านหนังสือหรือห้องทำงานได้ พร้อมฟังก์ชันที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของลูกค้าตลาดบนเฉพาะกลุ่มได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด   โดยโครงการ “ลาวิสต้า เพรสทีจ วิลเลจ เอกมัย 10” ตั้งอยู่ในซอยเอกมัย 10 หนึ่งในย่านพักอาศัยที่ดีที่สุดใจกลางสุขุมวิท รายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทุกรูปแบบสำหรับทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งห้างสรรพสินค้าชั้นนำ คอมมูนิตี้มอลล์ โรงพยาบาล และโรงเรียนนานาชาติ โดยเป็นทำเลที่เชื่อมต่อ 3 ถนนหลัก ได้แก่ สุขุมวิท 55 สุขุมวิท 63 และสุขุมวิท 71 ใกล้ 3 ทางขึ้นทางด่วนและสถานีรถไฟฟ้าที่ให้ความสะดวกสบายในการเดินทาง โครงการสร้างเสร็จสมบูรณ์ก่อนขาย พร้อมให้สัมผัสประสบการณ์ทั้งภายนอกและภายในตัวบ้านด้วยวัสดุจริง รวมถึงบรรยากาศโดยรวมทั้งหมด ซึ่งทุกหลังได้รับการตกแต่งภายในพร้อมสำหรับการเข้าพักอาศัย ด้วยราคาเริ่มต้น 80 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ประเดิมบ้านเดี่ยวระดับ Super Luxury “มาวิสต้า เพรสทีจ วิลเลจ กรุงเทพกรีฑา”
[PR News] คูน เอสเตท จับมือ AISL  ปั้น ไฮด์พาร์ค การ์เด้น บ้านซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่กว่า 6,500 ล้าน 

[PR News] คูน เอสเตท จับมือ AISL  ปั้น ไฮด์พาร์ค การ์เด้น บ้านซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่กว่า 6,500 ล้าน 

ไฮพาร์ค การ์เด้น คูน เอสเตท (Koon Estate)  จับมือกับ Asia International School Limited (AISL) ผู้บริหารการศึกษาโรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์ในระดับภูมิภาคเอเชีย ปั้นโครงการ  "ไฮด์พาร์ค การ์เด้น" บ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ ติดโรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์กรุงเทพฯ มูลค่าโครงการกว่า 6,500 ล้านบาท ตั้งเป้าเป็น Most Desirable Community สำหรับกลุ่มครอบครัวกำลัง ซื้อสูงทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ พร้อมเปิดบ้านตัวอย่างไตรมาส 2 ปีนี้    นายณัฐวัฒน์ คูวิจิตรสุวรรณ กรรมการบริหาร บริษัท คูน เอสเตท จำกัด  เปิดเผยว่า บริษัทได้จับมือ กับ  Asia International School Limited (AISL) ผู้บริหารโรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์ในภูมิภาคเอเชีย จำนวน 10 แห่ง เพื่อพัฒนาโครงการ ไฮด์พาร์ค การ์เด้น บ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ บนทำเลย่านดอนเมือง มูลค่าโครงการ 6,500 ล้านบาท ชูจุดเด่นบ้านหรูติดโรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์กรุงเทพฯ หวังปั้นเป็น คอมมิวนิตี้ต้นแบบเพื่อการศึกษาและการใช้ชีวิตอย่างลงตัว ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ด้วยสิ่งอำนวยความ สะดวก ที่หลากหลาย ซึ่งในอนาคตหวังจะนำโมเดลนี้ขยายไปยังโลเคชั่นอื่นๆ ต่อไป   ที่ผ่านมา บริษัท คูน เอสเตท จำกัด ได้พัฒนาโรงแรมคิมป์ตัน คีตาเล สมุย รีสอร์ตระดับลักซ์ชัวรีบนหาด เชิงมน เกาะสมุย โครงการบ้านหรูในทำเลใจกลางเมืองบนถนนสุขุมวิท ได้แก่ โครงการ Quarter Thonglor, Quarter 39 และ Quarter 31 นอกจากนี้ ยังได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมอีก 5 โครงการ ได้แก่ Cooper Siam, Klass Langsuan, Klass Siam, Klass Sarasin และ Klass Silom รวมมูลค่าโครงการที่ผ่านมือมาแล้ว กว่า 9,800 ล้านบาท และล่าสุดกับโครงการ ไฮด์พาร์ค การ์เด้น ซึ่งตรงกับ DNA ของบริษัทที่ต้องการนำ เสนอแนวคิดใหม่ๆ ของการพัฒนาที่อยู่อาศัยรอบนอก เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ครอบครัวคนรุ่นใหม่ นางสาววัลเลอรี่ ชิวชร์ ผู้อำนวยการ Asia International School Limited (AISL) Academy และเป็นบุตรสาวของคุณแดเนียล ชิวชร์ ผู้ก่อตั้ง AISL กล่าวว่า AISL เป็นผู้บริหารการศึกษาโรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์ในระดับภูมิภาคเอเชีย ตั้งแต่ระดับอนุบาล ถึง มัธยมปลาย (K-12) จำนวน 10 แห่งทั่วเอเชีย ได้แก่ ประเทศไทย ฮ่องกง จีนและ ญี่ปุ่น  จำนวนนักเรียนทั้งหมด 7,074 คน และมีทีมงาน 1,876 คน จาก 34 ประเทศ   ที่ AISL โรงเรียนมีการจัดการหลักสูตรที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ที่รวมกับค่านิยมและมรดกของฮาร์โรว์กว่า 450 ปี และยังเข้าใจเป็นอย่างดีว่า การให้คุณค่ากับการศึกษาและปรับตัวกับแนวคิดใหม่ๆเป็นสิ่งสำคัญสำหรับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว แต่ละหลักสูตรจะได้รับการออกแบบมาให้เหมาะสมในแต่ละโรงเรียน และหลักสูตรที่มีการริเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ ทำทำให้โรงเรียนสามารถส่งมอบคุณภาพการศึกษาที่ดีให้กับนักเรียนซึ่งจะเป็นประโยชน์กับเขาตลอดชีวิต   ปัจจุบันมีโรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์ 6 โรงเรียนที่สามารถรองรับนักเรียนทั้งไป-กลับ และ นักเรียนประจำ ตั้งแต่อายุ 18 เดือน – 18 ปี  และยังมีศูนย์ Harrow Li De Schools และ Harrow Little Lion Early Years Centre ที่ดูแลเด็กเล็กอายุ 2 – 6 ขวบ  ด้วยประสบการณ์การพัฒนาโรงเรียนที่ผ่านมา ทำให้เข้าใจถึงสภาพแวดล้อมการอยู่อาศัยนอกโรงเรียนมีความสำคัญเทียบเท่ากับการศึกษา ด้วยวิสัยทัศน์ของบริษัทที่ต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตทั้งด้านการศึกษาและการใช้ชีวิตประจำวันเข้าด้วยกัน ดังนั้นจึงมองหาบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีแนวความคิดในการทำงานเหมือนกัน และมีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และความเข้าใจในตลาดนิชพรีเมียมในประเทศไทย สำหรับโครงการ ไฮด์พาร์ค การ์เด้น เป็นโครงการบ้านเดี่ยวมูลค่าโครงการกว่า 6,500 ล้านบาท บนเนื้อที่ 52 ไร่ ในทำเลย่านดอนเมือง ติดกับโรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์กรุงเทพฯ นักเรียนสามารถเดินหรือขี่จักรยานไป โรงเรียนได้อย่างสะดวกผ่านทางทางเข้าพิเศษที่เชื่อมกับโรงเรียน ขนาดบ้านเริ่มต้นที่ 73 – 166 ตารางวา ราคาเริ่มต้น 35 -80 ล้านบาท  ออกแบบในสไตล์ Modern Tropical ให้ความรู้สึกสบายเหมือนพักผ่อน อยู่รีสอร์ท มีความทันสมัย ออกแบบให้มีห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ ให้สมาชิกครอบครัวได้ทำกิจกรรมร่วมกัน และไฮไลท์พื้นที่ส่วนกลาง สวนสวยขนาดพื้นที่กว่า 5 ไร่ และคลับเฮ้าส์ขนาดใหญ่ รองรับกิจกรรมของ ครอบครัวและเด็กๆ เดินทางสะดวกใกล้สนามบินดอนเมือง ทางด่วนและรถไฟฟ้าสายสีแดง   จากข้อมูลของซีบีอาร์อี ประเทศไทย บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับโลก พบว่า ภาพรวมตลาดบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ขึ้นไป ที่ตั้งอยู่ในทำเลกรุงเทพฯ ตอนเหนือ ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 มีอัตรา ส่วนยอดขายอยู่ที่ 79% ซึ่งสูงกว่าอัตราเฉลี่ยของยอดขายบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ในทำเลอื่น ๆ ซึ่งอยู่ที่ระดับ 67% ทั้งนี้ เนื่องมาจาก ทำเลกรุงเทพฯตอนเหนือมีที่ดินที่เหมาะสมในการพัฒนาจำนวนจำกัด ทำให้มีซัพพลายออกมาไม่มากนัก จึงทำให้โครงการบ้านเดี่ยวที่เปิดในทำเลนี้สามารถสร้างยอดขายได้เป็นลำดับต้นๆ และมียอดขายสะสมที่สูง เมื่อเทียบกับทำเลอื่นในกรุงเทพฯ โครงการจะเปิดบ้านตัวอย่าง ไตรมาส 2 ปี 2566   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -คูน เอสเตท ผุด คูเปอร์ สยาม เติมเต็มย่านนวัตกรรมแห่งสยาม ฉีกทุกคอนเซ็ปต์ครั้งแรกของวงการอสังหาฯ ไทยกับคอนโดแนวคิดใหม่ ‘Combo Loft’ ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ชีวิตอิสระทั้งทำงาน และพักอาศัย
ตลาดจ๊อดแฟร์ เตรียมย้ายไปที่ใหม่  ใหญ่กว่าเดิม มีทั้งเอ้าท์ดอร์-อินดอร์

ตลาดจ๊อดแฟร์ เตรียมย้ายไปที่ใหม่ ใหญ่กว่าเดิม มีทั้งเอ้าท์ดอร์-อินดอร์

ตลาดจ๊อดแฟร์ เตรียมย้ายไปที่ใหม่ ใกล้ MRT ศูนย์วัฒธรรม ​บนเนื้อที่ 13 ไร่ พร้อมจับมือ กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ปรับคอนเซ็ปต์ใหม่ มีร้านทั้งอินดอร์และเอ้าท์ดอร์ พร้อมเปิดบริการต้นปี 67 ร้านค้าเดิม 700-800 ร้าน เตรียมย้ายหลังหมดสัญญากับกลุ่มเซ็นทรัลในสิ้นปีนี้ ​   ถนนรัชดา เป็นทำเลที่ถูกนิยามเป็น CBD แห่งใหม่ ที่ตอนนี้ใคร ๆ ก็มุ่งหน้าเข้ามาพัฒนาโครงการจำนวนมาก และหนึ่งในทำเลยอดฮิตในการช้อปปิ้ง ที่ในอดีตเคยมีตลาดนัดรถไฟรัชดา สถานที่ยอดฮิตที่คนไทยและต่างชาติ นิยมไปเดินช้อปปิ้ง กิน-ดื่ม กันจำนวนมาก ซึ่งมี “ไพโรจน์ ร้อยแก้ว” หรือ คุณจ๊อด บริหารงานมาตั้งแต่ตลาดรถไฟ สวนจตุจักร เป็นผู้บริหาร ตลาดจ๊อดแฟร์   ล่าสุด ได้เปิดตลาดจ๊อดแฟร์ หลังศูนย์การค้าเซ็นทรัล พระราม 9 ที่เปิดมาจะ 2 ปีแล้ว โดยตอนเปิดตลาดก็ยังเป็นช่วงไวรัสโควิด-19 ยังแพร่ระบาดอยู่ด้วย แต่คุณจ๊อดก็ยังสามารถนำพาตลาดจ๊อดแฟร์  ฟันผ่าและผ่านวิกฤตโควิด-19 มาได้จนประสบความสำเร็จ กลายเป็นตลาดยอดฮิตแห่งตลาดหนึ่งของคนกรุงเทพฯ ที่สำคัญตลาดจ๊อดแฟร์ยังไม่ได้ฮิตเฉพาะคนไทยเท่านั้น แต่ยังฮิตในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติด้วย  จากข้อมูลล่าสุดของการใช้บริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชั่น Grab พบว่า ตลาดจ๊อดแฟร์ คือ ติดอันดับ 2 ของ 5 จุดหมายปลายทางที่ชาวต่างชาติชอบไปมากที่สุด เป็นรองอันดับ 1 แค่ ไอคอนสยาม เท่านั้น ส่วนอีก 3 อันดับเป็น เซ็นทรัลเวิล์ด ถนนข้าวสาร และสยามพารากอน   แต่ตลาดจ๊อดแฟร์กำลังจะสิ้นสุดสัญญาเช่ากับ กลุ่มเซ็นทรัลภายในสิ้นปีนี้ และเตรียมจะย้ายไปเปิดที่ใหม่ บนที่ดินของกลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค บนถนนรัชดาภิเษก ซึ่งเดิมคือจัสโก้ ซูปเปอร์มาร์เก็ต สาขารัชดา และต่อมามีการพัฒนาเป็นตลาดนัดอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนจะปิดตัวลง พื้นที่ดังกล่าวอยู่ติดกับบิ๊กซี รัชดา ใกล้กับ MRT สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เนื้อที่ 13 ไร่  ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และสายสีส้ม พื้นที่ใกล้เคียง มีอาคารสำนักงานขนาดใหญ่หลายแห่ง เช่น AIA Capital Center, CW Tower, Rs Tower ศูนย์การเอสพลานาด และเดอะสตรีท   ตลาดจ๊อดแฟร์ แห่งใหม่มีกำหนดเปิดช่วงต้นปี 2567 ซึ่งมีไฮไลท์น่าสนใจ คือ จะมีพื้นที่ร้านค้าทั้งในส่วนเอาท์ดอร์ และอินดอร์ พร้อมด้วยอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ รวม​มูลค่าโครงการ 7,000 ล้านบาท  ภายใต้การพัฒนาโดยบริษัท วีรีเทล จำกัด (มหาชน) ในเครือ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค นั่นเอง ไฮไลท์โปรเจ็กต์ ตลาดจ๊อดแฟร์ ใหม่ สำหรับรายละเอียดโครงการมีดังนี้ โครงการแบ่งออกเป็น 2 โซน คือ  อาคารสูง 12 ชั้น และพื้นที่ร้านค้าด้านหน้าอาคาร ประกอบด้วย ตัวอาคารมีพื้นที่รวมกว่า 93,000 ตร.ม. พื้นที่สำนักงาน 5 ชั้น 20,000 ตร.ม. พื้นที่ร้านค้า 3 ชั้น 25,000 ตร.ม. พื้นที่จอดรถ 4 ชั้น 33,000 ตร.ม. (จอดรถได้ 750 คัน) พื้นที่บริการและสัญจร สวน ล็อบบี้ 15,000 ตร.ม. ส่วนของพื้นที่สำนักงาน จะเป็นสำนักงานแห่งใหม่ของ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค และบริษัทในกลุ่ม เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ และออกแบบให้เป็นสำนักงานทันสมัย ภายใต้แนวคิด Smart Green Office ทั้งการอนุรักษ์พลังงานเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การออกแบบอาคารให้แสงธรรมชาติเข้าถึงภายในเพื่อประหยัดพลังงาน มีรูฟการ์เด้นท์หรือสวนลอยฟ้า และพื้นที่สีเขียวภายในอาคาร ติดตั้ง Solar Roof ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ และมี EV Charging Station สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ตัวอาคารยังมีการใช้เทคโนโลยีใหม่เรื่องการจัดการอาคาร เช่น  ระบบจดจำใบหน้าในการเข้า-ออก ระบบจดจำป้ายทะเบียนรถยนต์ ระบบแลกบัตรผ่านเข้าออกอัจฉริยะ  และระบบชำระค่าจอดรถแบบไร้สัมผัส   ในส่วนของร้านค้าภายในอาคารรวมพื้นที่ 25,000 ตร.ม. จำนวน 3 ชั้น รวมร้านค้า 928 ร้าน ตัวอาคารออกแบบสไตล์วินเทจ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เน้นบรรยากาศสบายๆ เหมือนเดินอยู่ในเชลซีมาร์เก็ต นิวยอร์ค โดยวางคอนเซ็ปต์ให้เป็นแหล่งรวมร้านอาหารสตรีทฟู้ดร้านเด็ดจากทั่วทุกย่านมาไว้ที่นี่   สำหรับพื้นที่กลางแจ้งด้านหน้าอาคารประมาณ 5.6 ไร่ จะเป็นไนท์มาร์เก็ตแห่งใหม่ ที่มีทั้งพื้นที่เป็นล็อค ร้านค้า และร้านในรูปแบบคีออส รวม 798 ร้าน ที่มีสินค้าหลายอย่าง ทั้งอาคาร คาเฟ่ สตรีทฟู้ดชื่อดัง ต้นไม้ เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องประดับ ของแต่งบ้าน งานวินเทจ งานคราฟท์ งานแฮนด์เมด ซึ่งจะคงคอนเซ็ปท์ไนท์มาร์เก็ตที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติในแบบฉบับ “จ๊อดแฟร์” นายไพโรจน์ ร้อยแก้ว เจ้าของตลาดจ๊อดแฟร์ เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับ บริษัท วีรีเทล จำกัด (มหาชน) ในการเข้าบริหารพื้นที่รีเทลของโครงการมิกซ์ยูส ริมถนนรัชดาภิเษก ติด MRT ศูนย์วัฒนธรรมฯ ซึ่งมีระยะเวลาสัญญา 20 ปี นานที่สุดเท่าที่เคยบริหารตลาดมาก่อน โดยตลาดนัดสวนรถไฟ ถนนศรีนครินทร์มีระยะเวลาสัญญาเช่า 15 ปี ส่วนตลาดจ๊อดแฟร์ หลังศูนย์การค้าเซ็นทรัลพระราม 9 มีระยะเวลาสัญญา 2 ปี ที่กำลังจะหมดลงภายในสิ้นปี 2566 นี้ จึงเตรียมเปิดตลาดจ๊อดแฟร์แห่งใหม่ ในพื้นที่ 13 ไร่ของบริษัท วีรีเทลฯ ดังกล่าว   โดยจำนวนผู้เช่าที่ตลาดจ๊อดแฟร์ปัจจุบันมีจำนวนมากกว่า 700-800 ราย หากรวมผู้ค้าในเครือข่ายที่เคยเช่าพื้นที่น่าจะมีมากกว่า 3,000 ราย ซึ่งเชื่อว่าหากเปิดจองจะสามารถขายพื้นที่ได้ทั้งหมดโดยเร็ว และอัตราค่าเช่าน่าจะอยู่ในอัตราใกล้เคียงเดิมกับตลาดจ๊อดแฟร์ปัจจุบัน ซึ่งคิดในเรทวันละ 500 บาทต่อ 4 ตร.ม. โดยเท่ากันในทุกทำเล   นายไพโรจน์ กล่าวอีกว่า ในปีนี้ยังมีเปิดให้บริการตลาดนัดกลางคืนอีก 1 แห่ง ซึ่งอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก ด้วยรถไฟฟ้า มีพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า 13 ไร่ และเป็นคอนเซ็ปต์ที่น่าสนใจ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ขณะเดียวกันบริษัท วีรีเทลฯ ยังมีที่ดินอีกหลายแปลง อาทิ ที่ดินจำนวนกว่า 11 ไร่ บริเวณตรงข้ามที่ดิน 13 ไร่ มีซึ่งสามารถพัฒนาเป็นตลาดได้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่ตนจะได้เข้าไปพัฒนาและบริหารต่อไปในอนาคต   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ตุนยอดขายครึ่งปีแรก 7,900 ล้าน จ่อขึ้นราคาบ้าน-คอนโดเพิ่ม5%หลังต้นทุนพุ่ง
แอสเซทไวส์  ปั้นคอนโด “เคฟ” อีก 5 โปรเจกต์  จับตลาดปล่อยเช่านักศึกษายีลด์ 7-8%

แอสเซทไวส์ ปั้นคอนโด “เคฟ” อีก 5 โปรเจกต์ จับตลาดปล่อยเช่านักศึกษายีลด์ 7-8%

แอสเซทไวส์ ยึดทำเลมหา’ลัย ปั้นคอนโด เคฟ อีก 5 โปรเจกต์ 8,980 ล้าน หลังสร้างแบรนด์จนเป็นขวัญใจนักศึกษาและนักลงทุนมากว่า 5 ปี มูลค่ากว่า 14,700 ล้าน   นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้แอสเซทไวส์ยังพัฒนาคอนโดมิเนียมแบนด์เคฟ (Kave) ในพื้นที่ใกล้มหาวิทยาลัย ที่ปีนี้เปิด 5 โครงการ รวม 8,980 ล้านบาท  ได้แก่ เคฟป๊อป ศาลายา  เคฟ วันเดอร์แลนด์  เคฟ โคโค บางแสน เคฟ เอ็มบริโอ รังสิต  และ เคฟ ทาวน์ ไอซ์แลนด์ เนื่องจากตลาดยังมีความต้องการ จากผู้ปกครอง ที่ซื้อเพื่อให้บุตรหลานได้พักอาศัยขณะเรียนหนังสือ และกลุ่มนักลงทุนที่ซื้อเพื่อปล่อยเช่า เพราะได้ผลตอบแทนสูง 7-8% โดยแอสเซทไวส์ได้พัฒนาแบรนด์เคฟ มาไม่ต่ำกว่า 5 ปี จำนวน 9 โครงการรวมมูลค่ากว่า 14,700 ล้านบาท ซึ่งได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าด้วยดี เนื่องจากเป็นโครงการที่พัฒนาตรงกับความต้องการของกลุ่มนักศึกษา แต่ละโครงการจะมีพื้นที่ส่วนกลางขนาดใหญ่ ซึ่งตรงกับไลฟ์สไตล์ของนักศึกษา ซึ่งราคาขายเริ่มต้น 1.19-1.79 ล้านบาท มีราคาผ่อนใกล้เคียงกับอัตราค่าเช่าหอพักหรืออพาร์ทเมนท์ แต่มีความปลอดภัยและสิ่งอำนวยความสะดวก จึงทำให้ผู้ปกครองนิยมซื้อให้บุตรหลาน และเมื่อเรียนจบยังสามารถปล่อยเช่าหรือขายต่อได้กำไรด้วย เราเริ่มต้นพัฒนาจากโครงการที่มีไม่กี่ร้อยยูนิต หลัง ๆ เป็น 1,000 ยูนิต ซึ่งก็ยังได้รับการตอบรับที่ดี เพราะโลเกชั่นดีติดมหาวิทยาลัย มีส่วนกลางที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมาย เพราะให้ความสำคัญกับคอนซูเมอร์อินไซด์ สำหรับทำเลหลักปัจจุบันของแบรนด์เคฟ ยังคงเป็นพื้นที่ในย่านรังสิต เพราะมองว่าตลาดยังมีดีมานด์ โดยเฉพาะมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ที่ปัจจุบันจำนวนนักศึกษาและบุคลากรมีจำนวนมากกว่า 45,000 คน โดยหากสามารถขายให้กับกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวได้เพียง 10% ก็เป็นจำนวน 4,500 คน แต่ปัจจุบันบริษัทยังพัฒนาโครงการขายได้ไม่ถึง 2,000 ยูนิตเท่านั้น ม.กรุงเทพ กับม.ธรรมศาสตร์ยังมีทำเลพัฒนาโครงการได้อีก เราสนใจไปพัฒนาทุกมหา'ลัย เพราะมีแฟนคลับเป็นกลุ่มนักลงทุนด้วย ซึ่งซื้อปล่อยเช่าได้เดือนละ 10,000 บาทในทำเลม.ธรรมศาสตร์ และถ้าม.กรุงเทพ ปล่อยเช่าได้เดือนละ 12,000 บาท​   นอกจากทำเลในย่านรังสิตแล้ว แอสเซทไวส์ยังมองการพัฒนาในทำเลใกล้มหาวิทยาลัยอื่น ๆ ทั้งในเขตกรุงเทพฯ​ ปริมณฑล และต่างจังหวัดด้วย อย่างปีที่ผ่านมาได้พัฒนาโครงการใกล้มหาวิทยาลัยบูรพา บางแสน เนื่องจากมีนักศึกษาจำนวนมากกว่า 25,000 คน ใกล้เคียงกับม.กรุงเทพ ในปีนี้แอสเซทไวส์พัฒนาเฟสต่อเนื่องจำนวนกว่า 800-900 ยูนิต ด้วย​ เรายังเชี่ยวชาญทำเลมหา’ลัย แต่สุดท้ายก็ต้องดูหลักดีมานด์และซัพพลาย เราหวังว่าเด็กครึ่งหนึ่งของมหาลัย จะอยู่โครงการเรา   สำหรับภาพรวมในปีนี้ บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่สูงที่สุด ตั้งแต่บริษัทได้ดำเนินธุรกิจมา จำนวน 12 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 22,500 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนคอนโด 70% และโครงการแนวราบ 30% แบ่งเป็นโครงการคอนโดภายใต้แบรนด์เคฟ, แบรนด์แอทโมซ (Atmoz) และแบรนด์โมดิซ (Modiz) จำนวน 9 โครงการ มูลค่ารวม 15,830 ล้านบาท และโครงการบ้าน 3 โครงการ มูลค่ารวม 6,670 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ ดิ ออเนอร์ (The Honor) และ แบรนด์แนวราบน้องใหม่กับ แบรนด์ดิ อาร์เบอร์ (The Arbor) เพื่อเปิดประสบการณ์ที่อยู่อาศัยที่มาพร้อมดีไซน์ใหม่ เตรียมขยายกลุ่มลูกค้าได้หลากหลายครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์มากยิ่งขึ้น   ทั้งนี้บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตของยอดขายที่ระดับ 15,000 ล้านบาท และตั้งเป้ารับรู้รายได้ในปีนี้ที่ 7,200 ล้านบาท อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -พาไปดู โปรเจ็กต์หมื่นล้าน “ไวส์พาร์ค มีนบุรี” มิกซ์ยูสใหญ่สุดของ แอสเสทไวส์ ในรอบ 10 ปี -แอสเซทไวส์ เปิด 5 กลยุทธ์ความสำเร็จแบรนด์เคฟ แคมปัสคอนโด จับกลุ่มนศ.มหาลัย-นักลงทุน
[PR News] รพ.อินเตอร์เมดิคัล ปั้นโปรเจกต์ “IMH Medical Hub” ย่าน BTS แบริ่ง

[PR News] รพ.อินเตอร์เมดิคัล ปั้นโปรเจกต์ “IMH Medical Hub” ย่าน BTS แบริ่ง

กลุ่มโรงพยาบาล อินเตอร์เมดิคัลฯ ​จับมือ​ “พรนริศ ชวนไชยสิทธิ์”  อดีตนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ปั้นที่ดิน 12 ไร่ย่านแบริ่ง ขึ้นโปรเจกต์  "IMH Medical Hub"   ย่าน BTS แบริ่ง กว่า 12 ไร่ หวังดัน “IMH” ติด TOP 3 กลุ่มธุรกิจโรงพยาบาลไทย     ดร.สิทธิวัตน์ กำกัดวงษ์ ประธานกรรมการบริหารกลุ่มโรงพยาบาลอินเตอร์เมดิคัล แคร์ แอนด์ แล็บ (“IMH”) เปิดเผยว่า ได้เตรียมปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัท โดยแชร์ทรัพยากรร่วมกัน (synergy)​ ภายในกลุ่ม IMH​ ซึ่งประกอบด้วย โรงพยาบาล​อินเตอร์​เมด​ฯ โรงพยาบาล IMH​ ธนบุรี โรงพยาบาล มเหสักข์​ ย่านสีลม ที่เพิ่งซื้อกิจการเข้ามาใหม่ เพื่อปูทางสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งไปสู่ การลงทุนเมกะโปรเจกต์ใหม่ ภายใต้ชื่อ "IMH​ Medical​ Hub" ที่คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ กลางปี 2568 นี้ สู่การ ปูทางเพื่อก้าวเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจโรงพยาบาล TOP 3 ในกลุ่มโรงพยาบาลชั้นนำของปะเทศ   โดยล่าสุด กลุ่มโรงพยาบาล​ IMH ได้ลงนามในสัญญาเช่าพื้นที่ระยะยาว 30 ปี (ต่อได้อีก 30ปี รวม60ปี)​ ที่ดินเกรดเอ 12 ไร่  ติดสถานีรถไฟฟ้า BTS แบริ่ง (สายสุขุมวิท)​ เรียบร้อยแล้ว ซึ่งต้นปี 2566 นี้ IMH​ จะเริ่มพัฒนาที่ดินแปลงนี้ ร่วมกับ กลุ่มคุณ พรนริศ ชวน​ไชย​สิทธิ์​ อดีต​นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย และ ประธานกฎบัตร​ไทย ซึ่งเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงประสบความสำเร็จ​ในวงการอสังหา​ริมทรัพย์ เพื่อพัฒนา เมกะโปรเจกต์ใหม่ ภายใต้ชื่อ "IMH​ Medical​ Hub" ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 เฟส​ ดังนี้ โดยเฟส 1 คาดว่า จะเปิดให้บริการในครึ่งปีหลังของปี 2568 ประกอบด้วย โรงพยาบาล IMH​ แบริ่ง ขนาด 200​ เตียง รองรับคนไข้เงินสด และสิทธิประกันสังคม​ อาคาร Retail space ศูนย์แพทย์เฉพาะทาง &​ Wellness Center ส่วนเฟส  2 คาดว่าจะเปิดให้บริการ ปี 2571 ประกอบด้วย โรงพยาบาล IMH​ International ขนาด 400​ เตียง รับคนไข้เงินสด และต่างชาติ ศูนย์พักฟื้นผู้ป่วยและกายภาพบำบัด สำหรับ เมกะโปรเจกต์ “IMH​ Medical​ Hub” มีจุดเด่นคือ 1.ที่ตั้งโครงการมีศักยภาพสูง และพื้นที่มีขนาดใหญ่ถึง 12 ไร่ จึงสามารถจะขยายธุรกิจทางการแพทย์ได้หลากหลาย และดึงดูด พาร์ทเนอร์ที่มีประสบการณ์ มาร่วมลงทุน-แบ่งกำไร ทำให้ธุรกิจแต่ละส่วนในพื้นที่โครงการ อยู่แบบพึ่งพิงกันได้อย่างครบวงจร ซึ่งจะเป็นแม่เหล็กดึงดูดคนไข้เข้ามาใช้บริการในหลายรูปแบบ และ สามารถ cross -​sell บริการต่าง ๆ ในโครงการได้เป็นอย่างดี  ทำให้ได้เปรียบโรงพยาบาลอื่น ๆที่มีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ ซึ่งทำให้การขยายโรงพยาบาล​เป็นไปได้ยาก   2.ที่ตั้งโครงการ อยู่ติด BTS​ แบริ่ง ไป-มาสะดวก สามารถรับคนไข้ได้ทั้งกรุงเทพ​ และสมุทรปราการ พร้อมที่จอดรถ กว่า 800 คัน  และโครงการนี้ยังได้รับการ refer ฐานลูกค้าจาก โรงพยาบาล อื่น ในเครือ IMH​ อีกด้วย   3.การระดมลงทุนสำหรับโครงการนี้ เน้นการลงทุนทีละเฟส โดยใช้เงินทุนหมุนเวียน และเงินกู้จากสถาบันการเงิน ซึ่งปัจจุบัน กลุ่ม IMH​ อยู่ระหว่างเจรจากับพาร์ทเนอร์​ที่มีประสบการณ์ เช่น โรงพยาบาลเบอร์ต้นๆ ของประเทศ มาร่วมลงทุน-แบ่งกำไร ซึ่ง IMH​ จะได้รับส่วนแบ่งกำไร ตามส่วนธุรกิจที่พาร์ทเนอร์ ​เข้ามาลงทุน เพื่อรับรู้รายได้เร็วและคืนทุนเร็ว   4.ทางด้านการแพทย์และจัดหาบุคลากรวิชาชีพ นั้น กลุ่ม IMH​ ได้มอบหมายให้ นายแพทย์สุขุม กา​ญ​จน​พิมาย​ กรรมการ และ ประธานที่ปรึกษาของกลุ่มโรงพยาบาล​ ผู้มีประสบการณ์ด้านการแพทย์ สาธารณสุข และปัจจุบันเป็น นายกแพทยสมาคมฯ เป็นผู้ดูแล ให้มีแพทย์และวิชาชีพ ที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับและมีประสบการณ์​สูง ให้เพียงพอกับจำนวนคนไข้ที่เพิ่มมากขึ้น 5.ทางด้าน Retail space นั้น กลุ่ม IMH​ ได้มอบหมายให้ คุณบุณยฤทธิ์​ กัลยาณมิตร​ กรรมการกลุ่มโรงพยาบาล ที่มีประสบการณ์ด้านการค้าการพาณิชย์ เป็นผู้ดูแล โดยเบื้องต้น IMH​ จะให้เช่าพื้นที่ Retail space ซึ่งอยู่ใกล้สถานที่รถไฟฟ้า BTS แบริ่ง ที่มีคนเข้า-ออกเป็นจำนวนมากทุกวัน จะออกแบบให้เป็นพื้นที่ Retail Mall จำหน่ายสินค้า/บริการ เกี่ยวกับสุขภาพทุกประเภท ตั้งเป้าให้เป็น Organic Market Place ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ และ จะเปิดให้บริการได้ทันที ระหว่างการก่อสร้างโรงพยาบาล โดยใช้ประโยชน์จากพื้นที่ดินในส่วนที่ยังไม่ได้ก่อสร้าง เพื่อให้เกิดการทำรายได้สูงสุด สำหรับรายได้ของ เมกะโปรเจกต์ ​IMH​ Medical Hub  ได้ตั้งเป้าไว้ระดับ 5,000 ล้านบาท ใน 5 ปี ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางนโยบายของภาครัฐ ที่จะดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ ในระยะใกล้นี้    
แสนสิริ  เปิดทำเลโครงการใหม่ปี 66  บักหมุดพื้นที่กรุงเทพฯ​ และอีก 6 จังหวัด

แสนสิริ เปิดทำเลโครงการใหม่ปี 66 บักหมุดพื้นที่กรุงเทพฯ​ และอีก 6 จังหวัด

ทำเลโครงการใหม่ เปิดทำเลโครงการใหม่ แสนสิริ ปี 66 กับแผนธุรกิจที่จะสร้างทุกสถิติ All-Time High กว่า 30 ปีตั้งแต่ตั้งบริษัท มั่นใจ 3 กลยุทธ์สู่ความสำเร็จ ทั้งเปิด 9 แบรนด์ใหม่ ขยายตลาดทั่วประเทศ พร้อมบุกต่างประเทศรับสัญญาณการฟื้นตัวของต่างชาติ   แสนสิริ ประกาศแผนธุรกิจปี 2566 เตรียมเปิดโครงการมากที่สุด นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมากว่า 30 ปี โดยเตรียมเปิด 52 โครงการรวมมูลค่ากว่า  75,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังวางเป้าหมายว่าจะทุบสถิติ ด้านผลประกอบการต่าง ๆ ที่เป็น All-Time High ทั้งรายได้ กับเป้าหมาย 40,000 ล้านบาท ยอดขาย 55,000 ล้านบาท และกำไรที่จะมากกว่าปี 2565 ที่ก็เชื่อว่ากำไรปีที่ผ่านมา จะสูงเป็นประวัติการณ์เช่นกัน   นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) เปิดเผยว่า ในปี 2566 บริษัทยังคงเดินหน้าเติบโตอย่างแข็งแกร่ง หลังจากปี 2565 เป็นปีแรกที่เริ่มเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจน หลังจากที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ปัจจัยสำคัญมาจากการได้รับวัคซีน ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาดำเนินได้อย่างเต็มที่ รวมถึงการเปิดรับนักท่องเที่ยว   อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวกลับมายังคงไม่เต็มที่ ทำให้มีทั้งโอกาสทางธุรกิจและปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าติดตามและเตรียมรับมือในอีกหลากหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ที่จะมีผลกระทบต่อประเทศไทย แนวโน้มราคาพลังงานและราคาโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นกดดันให้ต้นทุนและอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ตลอดจนการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แม้ปีที่ผ่านมาจะเป็นปีที่มีความท้าทาย ของการดำเนินธุรกิจภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน  แต่แสนสิริสามารถเดินหน้าอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ประสบความสำเร็จด้วยยอดขายรวมถึง 50,000 ล้านบาท โตขึ้นเกือบ 50% จากปีก่อนหน้า และยอดโอน 36,800 ล้านบาท เปิดทำเลโครงการใหม่ของแสนสิริ สำหรับแผนการเปิดตัวของแสนสิริในปี 2566 ยังคงมีโลเกชั่นหลักอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นหลัก แต่ขณะเดียวกันก็มีแผนขยายไปในตลาดต่างจังหวัดด้วยเช่นกัน โดยแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ ที่ประกาศออกมาแล้ว มีทำเลโครงการใหม่ ดังนี้ -โครงการอณาสิริ มิกซ์โปรดักส์ บ้านและทาวน์โฮมในโครงการเดียว มี 9 ทำเล​ ได้แก่ กรุงเทพ-ปทุม 2 รังสิต-คลอง 3 ศรีนครินทร์-แพรกษา ชัยพฤกษณ์-วงแหวน พระราม 2 - วงแหวน พระเงิน ศาลายา เวสเกต พายัพ -โครงการในรูปแบบคอมมูนิตี้มอลล์ ที่มีหลายโครงการรวมอยู่ในพื้นที่ขนาด 500-600 ไร่ มี 8 ทำเลสำคัญ ได้แก่ กรุงเทพกรีฑา กรุงเทพ-ปทุมธานี รังสิต-บางพูน ราชพฤกษ์-346 เวสต์เกต พระราม 2-วงแหวน บางนา-เลค 26 ประชาอุทิศ 90 ส่วนทำเลในต่างจังหวัด เปิดตัวในปีนี้ มี 6 จังหวัด ได้แก่   เชียงใหม่ หัวหิน ภูเก็ต ขอนแก่น ชลบุรี หาดใหญ่ โครงการไฮไลท์ที่น่าสนใจ -แบรนด์สราญสิริ เปิด 4 โครงการ 9,900 ล้านบาท มีทำเลที่จะเปิดตัว ดังนี้ บางนา สุวรรณภูมิ เวสต์เกต ถนน 345 -แบรนด์บูก้าน เปิด 3 โครงการ รวมมูลค่า 3,600 ล้านบาท มี 3 ทำเล ดังนี้ กรุงเทพกรีฑา พัฒนาการ 32 พระราม 9-เหม่งจ๋าย -ดีคอนโด ในปีนี้มีแผนรีเฟรชแบรนด์ และเปิด 5 โครงการ ใน 5 ทำเลสำคัญ ได้แก่ จ.ภูเก็ต โครงการดีคอนโด รีฟ ภูเก็ต อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โครงการดีคอนโด แซนด์ หาดใหญ่ รังสิต ศรีราชา จ.ชลบุรี ลาดกระบัง -New Luxury Condominium 2 โครงการ อารีย์ ราชเทวี -เศรษฐสิริ 10 โครงการ รวมมูลค่า 21,900 ล้านบาท บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี ระดับราคา 12 – 25 ล้านบาท ที่เจาะกลุ่ม Target อายุน้อยลง ประสบความสำเร็จเร็ว เปิดตัวด้วยโครงการแรก “เศรษฐสิริ ดอนเมือง” ในโฉมใหม่ ดีไซน์ใหม่ล่าสุดของแบรนด์เศรษฐสิริ สไตล์ “Georgian” จอร์เจียน -โครงการนาราสิริ พหล – วัชรพล มูลค่าโครงการ 5,300 ล้านบาท 3 กลยุทธ์สร้างการเติบโต นายอุทัย  อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ เปิดเผยว่า ในปีนี้ แสนสิริจะก้าวแกร่งเติบโตอย่างยั่งยืนด้วย 3 กลยุทธ์​ สำคัญ ได้แก่ การสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง การบุกตลาดต่างประเทศ และการก้าวสู่ Net-Zero 3 กลยุทธ์แสนสิริ สร้าง All-Time High 1.ขยายการเติบโตอย่างต่อเนื่อง Continuous Expansion -ทั้งการเปิดตัวโครงการใหม่ ตามแผนในปีนี้แสนสิริวางงบประมาณซื้อที่ดินไว้ประมาณ 10,000 ล้านบาท พร้อมกับแผนเปิดตัวโครงการใหม่  52 โครงการ รวมมูลค่า​ 75,000 ล้านบาท เติบโต 74% และโตขึ้นจากช่วงเกิดโควิดถึง 1,000% หรือ 10 เท่าตัว ครอบคลุมทุกโปรดักส์ ทั้งคอนโดมิเนียม - บ้านเดี่ยว – บ้านแฝด – ทาวน์โฮม ทุกเซกเมนต์ระดับราคารองรับทุกความต้องการ และครอบคลุมในทุกทำเล เจาะกลุ่มเรียลดีมานด์​ -เปิดตัว 9 แบรนด์ใหม่ จากแสนสิริ ที่ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ เพื่อขยายในแต่ละ Portfolio  ให้แข็งแกร่งและครอบคลุมทุกความต้องการและระดับราคามากยิ่งขึ้น ตั้งแต่แบรนด์ที่อยู่ใน Sansiri Luxury Collection ที่จะขยายพอร์ตลักซ์ชัวรี เซกเมนต์ของแสนสิริให้โตขึ้นแบบก้าวกระโดด ได้แก่ No.19 (นัมเบอร์ นายทีน) และ Sirinsiri (สิริณสิริ) แบรนด์ใหม่ในระดับพรีเมียม เซกเมนต์ ได้แก่ Narinsiri (ณริณสิริ) และ Ombré (ออมเบร) รวมทั้งแบรนด์คอนโดใหม่ ได้แก่ HUB (ฮับ) และ Cabanas (กาบานาส) ทำเลหัวหิน ส่วนแบรนด์ใหม่ที่เหลือจะทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง​ -การรุกตลาดต่างจังหวัด แผนการขยายตลาดต่างจังหวัด ในปีนี้วางแผนเข้าไปพัฒนาโครงการใน 6 จังหวัด ในทำเลโครงการใหม่ ได้แก่  หัวหิน, ภูเก็ต, เชียงใหม่, หาดใหญ่, ขอนแก่น และชลบุรี  ที่จะเปิดตัวทั้งหมด 12 โครงการ มูลค่ารวม 8,500 ล้านบาท 2.การบุกตลาดต่างประเทศ (No.1 in International Market)   แสนสิริ มองว่าในปีนี้ตลาดต่างชาติกำลังกลับมา จึง​วางเป้าหมายยอดขายและยอดโอนตลาดต่างชาติ ในปีนี้ไว้กว่า 12,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 54% จากปีก่อน ที่มียอดขายจากตลาดต่างชาติ 7,800 ล้านบาท โดยกลยุทธ์การรุกตลาดต่างชาติในปีนี้ แสนสิริจะรุกตลาดในกลุ่ม CLMV (Cambodia, Laos, Myanmar, Vietnam) เพื่อขยายตลาดต่างชาติให้กว้างขึ้น และยังคงบุกตลาดในประเทศจีน ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ และรัสเซีย ซึ่งบริษัทมีฐานลูกค้าต่างชาติในกลุ่มนี้อยู่แล้ว 3.Net-Zero    แสนสิริยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าในพันธกิจสีเขียว โดยวางเป้าหมายเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายแรกของไทยที่เป็น Net-Zero องค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ โดยพันธกิจในปี 2566 บริษัทกำลังเดินหน้าพัฒนา “Low Energy Community Model” โดยยกโครงการ “บุราสิริ กรุงเทพกรีฑา” เป็นโครงการต้นแบบ ที่เริ่มพัฒนาบ้านด้วย Green Materials รวมทั้งติดตั้ง Solar Panel ในบ้านทุกหลัง, ติดตั้ง Solar Light บริเวณส่วนกลาง ติดตั้ง EV Charger ส่วนกลางและที่บ้าน ทดลองปลูกต้นไม้ยืนต้นและไม้พุ่มในสวนส่วนกลาง พัฒนาโดยทีมเฉพาะกิจที่จัดตั้งขึ้นมาโดยเฉพาะ หรือ “Dedicated team for Net Zero Home”   นอกจากนี้ ทุกโครงการของแสนสิริต้องใช้พลังงานสะอาด ด้วยแผนติดตั้ง Solar Panel ในส่วนกลางของโครงการใหม่ 100% รวมทั้ง ติดตั้ง Solar Panel ในบ้านทุกหลังของโครงการใหม่ ไฟในสวนต้องเป็นไฟพลังงานแสงอาทิตย์ 100% ทุกโครงการในปีนี้ โดยวางเป้าหมายติดตั้ง 1,100 หลังในปีนี้ และอีก 1,500 หลังในปีต่อไป รวมถึงส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยมีเป้าหมายติดตั้ง EV Charger ในทุกโครงการใหม่ของบริษัทในทุกเซ็กเมนท์ โดยวางเป้าหมายติดตั้ง EV Charger 650 หลังในปีนี้ และอีก 750 หลังในปีต่อไป     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -แสนสิริ เดินหน้าโปรเจ็กต์ “กรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้” เปิดอีก 3 โครงการ 9,300 ล้าน -แสนสิริ 5 เดือนแรกกวาดยอดแนวราบหมื่นล้าน พร้อมเปิด 6 โครงการใหม่ดันเป้า 24,000 ล้าน
มีอะไรใหม่ใน เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ หลังทุ่มพันล้านสู่ Co-Living Space

มีอะไรใหม่ใน เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ หลังทุ่มพันล้านสู่ Co-Living Space

AWC ทุ่มงบ 1,000 ล้าน ปรับโฉม “เอ็มไพร์ ทาวเวอร์” สู่ Co-Living Space ผสานการใช้ชีวิตและการทำงาน พร้อมปั้นรูฟท็อป แลนด์มาร์คใหม่ย่านสาทร   AWC หรือ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) ของตระกูล "สิริวัฒนภักดี" ที่มีลูกสาวคนรองของเจ้าสัว เจริญ สิริวัฒภักดี อย่าง นางวัลลภา ไตรโสรัส นั่งบริหารงาน ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ AWC ได้ประกาศทุ่มงบถึง 1,000 ล้านบาท เพื่อปรับโฉมอาคารเอ็มไพร์ใหม่ สู่ “Co-Living Collective: Empower Future” จากเดิมที่เป็นอาคารสำนักงานเกรด เอ เหมือน ๆ กับอาคารสำนักงานทั่วไปที่อยู่ในย่านใจกลางธุรกิจ เป็น Co-Living Space ทำไมต้องก้าวสู่ Co-Living Space ต้องยอมรับว่า ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนยุคปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงชีวิตพนักงานออฟฟิศ ที่ต้องอยู่บ้านเพื่อทำงาน หรือ Work from Home ทำให้พื้นที่ออฟฟิศลดความจำเป็นในการใช้งานลง แม้แต่ภายหลังที่สถานการณ์โควิดเบาบางลง จนทำให้หลายองค์กรเริ่มกลับมาทำงานที่ออฟฟิศกันปกติ แต่ก็ยังมีออฟฟิศจำนวนมาก ปรับรูปแบบสู่การทำงานแบบไฮบริด คือ ผสมผสานการทำงาน ให้พนักงานมาทำงานที่ออฟฟิศบางวัน ทำงานจากที่บ้าน หรือทำงานจากที่ไหน ๆ ก็ได้ (Work from anywhere) ในบางวัน   เพราะในช่วงเวลาของการเกิดโควิดและพนักงานจำนวนมากทำงานอยู่ที่บ้าน หรือที่ใด ๆ ก็ตาม  การทำงานก็ยังมีประสิทธิภาพ และสามารถจบงานต่าง ๆ ได้ ไม่แตกต่างจากการต้องมาทำงานที่ออฟฟิศ แถมมีงานวิจัยหรือการสำรวจความเห็นของหลายองค์กร ระบุว่า คนทำงานบางส่วนไม่พร้อมจะกลับมาทำงานที่ออฟฟิศแบบฟลูไทม์แล้ว ยิ่งคนรุ่นใหม่จำนวนมาก หลักเกณฑ์ในการเลือกองค์กรทำงาน ก็จะเน้นองค์กรที่มีความยื่นหยุ่นสูงในเรื่องสถานที่การทำงา หรือเรื่องของการทำงาน   ขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่าตอนนี้อาคารสำนักงานใหม่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในปัจจุบัน และแผนการพัฒนาในอนาคต จะเกิดขึ้นอีกมากมายหลายประเภท และหลายเกรด ทำให้การแข่งขันในธุรกิจอาคารสำนักงานมีสูงมากขึ้น ทำให้อาคารสำนักงานที่มีอยู่แต่เดิม ต้องลุกขึ้นมาปรับโฉม รีโนเวท พัฒนาหรือเติมเต็มการบริการให้กับผู้เช่า  เพื่อจะรักษาฐานผู้เช่ารายเดิมไว้ ขณะเดียวกันก็ดึงดูดผู้เช่ารายใหม่ให้เข้ามาใช้บริการด้วย   การปรับโฉมของ AWC ครั้งนี้ ก็เพราะมองเห็นเทรนด์การเปลี่ยนแปลงไป ของรูปแบบการทำงานและไลฟ์สไตล์การทำงานของคนยุคปัจจุบัน ที่ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะแค่ออฟฟิศเท่านั้น แถมการใช้ชีวิตของคนยุคปัจจุบันก็เชื่อมโยงไปกันหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงาน การกิน การใช้ชีวิต หรือการพักผ่าน นอกจากนี้ AWC ก็มองเห็นว่าการแข่งขันในธุรกิจอาคารสำนักงานมีสูง นอกจากจะเติมเต็มประสบการณ์ให้กับพนักงานแล้ว ต้องเพิ่มและเสริมการบริการใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ เพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ และรักษาฐานลูกค้าเดิมเอาไว้ ไม่ให้ย้ายออกไปไหนด้วย มีอะไร? ใน อาคารเอ็มไพร์   สำหรับอาคารเอ็มไพร์ โฉมใหม่ ที่ได้ทุ่มทุน 1,000 ล้านบาท เพื่อเติมไฮไลท์ใหม่ ๆ เข้ามาเสริม ตอบสนองไลฟ์สไตล์คนทำงานยุคปัจจุบัน เป็นการเพิ่มพื้นที่ส่วนกลาง เหมือนการอาศัยอยู่กับคอนโด จากเดิมที่มีแค่การให้บริการที่จอดรถ และห้องน้ำ แต่ต่อไปนี้จะมีพื้นที่ใหม่ ๆ ที่เตรียมเข้ามา ซึ่งจะเริ่มเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 2 และจะสมบูรณ์ภายในสิ้นปีนี้ โดยอาคารเอ็มไพร์ ภายใต้รูปโฉม The Co-Living Collective: Empower Future จะเพิ่มเติมสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ Co-Living Space ที่ใหญ่ที่สุด AWC ได้ผสมผสานประสบการณ์การใช้ชีวิตและการทำงาน ให้การมาทำงานที่อาคารเอ็มไพร์ มีบรรยากาศเหมือนอยู่บ้าน ด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เพิ่มเติมเข้ามา ภายใต้แนวคิด “Co-Living Collective: Empower Future” ซึ่งได้เตรียมพื้นที่กว่า 1,500 ตารางเมตร บนชั้น 53 สร้าง อาทิ พื้นที่เตรียมอาหาร รับประทานอาหาร พื้นที่นั่งเล่น ประชุม พักผ่อนหย่อนใจ เสริมสร้างสุขภาพ ห้องอาบน้ำ พื้นที่ทำงานร่วมกัน และ ห้องประชุม  Circle Club Chat Board ห้องนั่งเล่น (Living Room) พื้นที่สันทนาการเพื่อการพักผ่อน เพลิดเพลินกับเกมคอนโซล โต๊ะพูล และโต๊ะปิงปอง ห้องพักผ่อนที่หลับได้พักนึง  (Nap Lounge) ในวันที่ทำงานหนักหรือพักผ่อนไม่พอ ห้องอาบน้ำ ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า (Locker Room) ห้องสำหรับเด็ก (Kids Room) เพื่อมานั่งเล่น ทำการบ้าน หลังเลิกเรียน ระหว่างรอผู้ปกครองกลับบ้าน ห้องดูแลลูก (Nursing Lounge) เปลี่ยนผ้าอ้อม ห้องปั๊มนมสำหรับคุณแม่ลูกอ่อน พื้นที่สำหรับดูแลสัตว์เลี้ยง (Pet’s Hotel) “EA” รูฟท็อปอาหาร-เครื่องดื่ม ใหญ่สุด  การกินอาหารปัจจุบันไม่ใช่แค่ความจำเป็นของชีวิตอย่างเดียว ยิ่งเป็นคนทำงานหรือนักธุรกิจ การกินอาหารยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยเรื่องธุรกิจด้วย เพราะสามารถคุยงานหรือเจรจาธุรกิจระหว่างกินอาหารได้ และที่สำคัญ AWC มีเครือโรงแรมจำนวนมากที่บริหารงานอยู่ จึงถือว่านำเอาความแข็งแกร่งในเรื่องของอาหารและเครื่องดื่มมาช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้า และสร้างจุดแข็งให้กับอาคารเอ็มไพร์ ด้วยการสร้างแลนด์มาร์คใหม่ย่านสาทร บนชั้น 55-58 พื้นที่รวม 9,000 ตารางเมตร ใช้งบประมาณ 500-600 ล้านบาท เป็นศูนย์รวมร้านอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำ โดยมีรูฟท็อปที่สามารถเห็นวิวกรุงเทพฯ ได้แบบ 360 องศา และใหญ่ที่สุดในประเทศไทยด้วย ชั้น 55 รวบรวมภัตตาคารและร้านอาหารนานาชาติที่หลากหลาย อาทิ ร้าน % Arabica ที่จะเปิดเป็นสาขาแบบ Sky Café แห่งแรกของโลก และ The Cassette Music Bar แฮงเอาท์คลับยอดนิยมของชาวกรุงเทพฯ เป็นต้น ชั้น 56 “EA” (เอ-ยา) จุดหมายปลายทางแห่งอาหารอันโดดเด่นบนยอดตึกใจกลางกรุง ที่ผสมผสานระหว่างบาร์ ภัตตาคาร พร้อมบริการชั้นเลิศ เพื่อนำเสนออาหารและเครื่องดื่มอันหลากหลาย ชั้น 57 – 58 นำเสนอสุดยอดแบรนด์ไลฟ์สไตล์สุดหรูระดับโลกครั้งแรกในประเทศไทย โดยเชฟ Nobu Matsuhisa เชฟผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารญี่ปุ่น-เปรู ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกจากการนำเสนอวัตถุดิบชั้นเลิศและบริการชั้นยอด พร้อมด้วยการออกแบบตกแต่งร้านให้มีเอกลักษณ์จากบริษัทออกแบบระดับตำนานอย่าง Rockwell Group นอกจากนี้ ในบริเวณชั้น Ground  จะมีการพัฒนาเป็นเลาจ์ เพื่อเชื่อมโยงลิฟท์ขึ้นไปโดยตรงบริเวณชั้นอาหารและเครื่องดื่มตั้งแต่ชั้น 55 ขึ้นไปด้วย ก่อนหน้าเรามีแค่ห้องน้ำและที่จอดรถให้กับผู้เช่า วันนี้เราเติม Common facility เหมือนการซื้อคอนโดอยู่ เตรียม 40,000 ตร.ม.เพิ่มการอัตราเช่า อาคารเอ็มไพร์มีพื้นที่รวม 314,800 ตร.ม. มีจำนวน 58 ชั้น มูลค่าสินทรัพย์ถึง 20,000 ล้านบาท ปัจจุบันมีอัตราการเข้าใช้พื้นที่เช่าอยู่ประมาณ 70% เป็นบริษัทองค์กรต่างชาติถึง 74% ซึ่งอัตราเข้าใช้พื้นที่อยู่ในเกณฑ์ใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด แม้ว่าช่วง 3 ปีจะเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่อาคารเอ็มไพร์ก็ยังรักษาระดับจำนวนผู้เช่าไว้ได้อย่างดี   แต่ปัจจุบันอาคารเอ็มไพร์ ยังมีพื้นที่เหลือถึง 40,000 ตร.ม. สำหรับรองรับกับผู้เช่ารายใหม่ได้ พื้นที่ดังกล่าวหักในส่วนที่ต้องปรับปรุงเป็นพื้นที่ทำส่วนกลางและร้านอาหารแล้ว​ ซึ่ง AWC มีเป้าหมายการดึงกลุ่มผู้เช่ารายใหม่ โดยเฉพาะที่บริษัทข้ามชาติ และบริษัทคนรุ่นใหม่ให้เข้าใช้บริการ โดยปัจจุบนคิดอัตราเช่า 1,200-1,400 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน แต่อัตราเช่าจะมีโปรโมชั่นและส่วนลดแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขสัญญาเช่า ระยะเวลา และขนาดพื้นที่   โดย AWC ได้จัดเตรียมพื้นที่เช่าที่มีความหลากหลาย ทั้งพื้นที่เปล่า พื้นที่สำเร็จรูปตกแต่งพร้อมเข้าอยู่ ให้กับผู้เช้าได้เลือกใช้บริการ มี Swing Floor พื้นที่ทำงานชั่วคราวสำหรับผู้เช่าระหว่างการออกแบบตกแต่งสำนักงาน ที่มีการตกแต่งบางส่วนหรือทั้งหมดด้วยวัสดุและอุปกรณ์ที่สามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการเฉพาะของผู้เช่า เช่น ฉากกั้นแบบยืดหยุ่น เฟอร์นิเจอร์โมดูลาร์ เฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบให้สอดคล้องกับสรีระ ตลอดจนให้คำปรึกษาในการออกแบบและตกแต่งสำนักงาน   AWC คาดหวังกว่า การปรับโฉมใหม่ครั้งนี้ และการเตรียมเพิ่มประสบการณ์อันหลาหลายเหล่านี้ จะช่วยทำให้อัตราการเข้าใช้พื้นที่ขยับมากขึ้น เพราะตามพอร์ตอาคารสำนักงาน ที่ AWC บริหารงานอยู่มีอัตราการเข้าใช้พื้นที่มากกว่านี้ อาทิ อาคารสำนักงานแอทธินีทาวเวอร์ มีอัตราการเช่า 96% อาคาร 208 ไวร์เลส โรด อัตราเช่า 92% พร้อมกับดึงทราฟฟิคให้คนเข้ามาใช้บริการส่วนร้านอาหารและเครื่องดื่มได้อีกวันละ​ 5,000 คน จากปัจจุบันมีการหมุนเวียนการใช้บริการต่าง ๆ ภายในอาคารวันละ 20,000 คน ตอนนี้เป็นการบิวด์ธุรกิจให้กลับมา ช่วง 3 ปี เรารักษาการเช่าไว้ได้ที่ 70% แต่ควรขยับมากกว่านี้ ที่ไม่ขยับ   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -จากโรบินสันสีลม สู่ สีลมเอจ มิกซ์ยูส 1,800 ล้านของ เฟรเซอร์สฯ -ตลาดออฟฟิศ-โรงแรมในกรุงเทพฯ Q1 บทสรุป ยังบาดเจ็บจากพิษโควิด-19 -AWC เดินแผนขยายธุรกิจแสนล้าน เตรียมเปิดโรงแรมใหม่เพิ่มอีก 9 แห่ง  
ศุภาลัย เปิดแผนขายบ้าน-คอนโดปี 66  ลุยขยายต่างจังหวัดเพิ่ม 5 แห่ง ​​20 โครงการ

ศุภาลัย เปิดแผนขายบ้าน-คอนโดปี 66 ลุยขยายต่างจังหวัดเพิ่ม 5 แห่ง ​​20 โครงการ

ศุภาลัย  เปิดแผนขายบ้าน-คอนโดปี 66  ลุยขยายต่างจังหวัดเพิ่ม 5 แห่ง ​​20 โครงการ เติมพอร์ตตลาดต่างจังหวัดที่ปั้นโครงการแล้ว 28 จังหวัด   “ศุภาลัย” ถือเป็นดีเวลลอปเปอร์เจ้าแรก ๆ ของวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่ออกไปทำบ้านและคอนโดมิเนียมในตลาดต่างจังหวัด เรียกว่าเข้าไปพัฒนาก่อนที่บริษัทจะจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ด้วยซ้ำ ซึ่ง “ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม” ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เริ่มต้นพัฒนาโครงการแรกที่จังหวัดภูเก็ต ภายใต้บริษัท ภูเก็ต เอสเตท จำกัด และอำเภอหาดใหญ่ ภายใต้บริษัท หาดใหญ่ นครินทร์ จำกัด ตั้งแต่ช่วงปี 2531-2532 ในนามส่วนตัว   หลังจากเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว จึงได้ซื้อหุ้นของทั้งสองบริษัท ทำให้ปัจจุบันทั้งสองบริษัท อยู่ในฐานะของบริษัทลูกของ “ศุภาลัย” ซึ่งพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน เฉพาะโครงการในอำเภอหาดใหญ่มีมากถึง 13 โครงการแล้ว และน่าจะเป็นดีเวลลอปเปอร์ที่พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ประเภทบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม และคอนโด ในต่างจังหวัดทั่วประเทศมากที่สุดแล้ว   ปัจจุบันบริษัทพัฒนาโครงการในตลาดต่างจังหวัดแล้ว 28 จังหวัดทั่วประเทศ จำนวนโครงการมากที่สุด คือ จังหวัดชลบุรี ด้วยจำนวนมากถึง 15-16 โครงการ โดยปีนี้วางแผนขยายจังหวัดเพิ่มขึ้นอีก 5 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดลำพูน ลำปาง นครปฐม จันทบุรี และราชบุรี ซึ่งภาพรวมของปีนี้จะเปิดโครงการใหม่ในต่างจังหวัด 20 โครงการ รวมมูลค่า 17,220 ล้านบาท เพื่อผลักดันเป้าหมายยอดขายในปีนี้ให้ได้ 15,120 ล้านบาท หรือสัดส่วน 42% ของเป้าหมายยอดขายปีนี้ 36,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากคอนโดต่างจังหวัด 3% และบ้านแนวราบอีก 39% 4 กลยุทธ์ปี 66 สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจในปีนี้ บริษัทมี 4 กลยุทธ์สำคัญในแผนธุรกิจ เพื่อทำให้มียอดขายและรายได้เติบโตจากปีที่ผ่านมา ตามเป้าหมายที่วางไว้  ได้แก่ 1.New Brand and Location คือ การพัฒนาบ้านแบรนด์ใหม่ และการขยายทำเลใหม่ ๆ ในการพัฒนาโครงการ ซึ่งการไปพัฒนาโครงการใน 5 จังหวัดใหม่ จึงถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะช่วงสร้างการเติบโตให้กับบริษัทในปีนี้ ​ 2.Expand to New Customer Base นอกจากการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยรูปแบบต่าง ๆ แล้ว ปีนี้บริษัทมีการขยายธุรกิจใหม่เพิ่มเติม อาทิ Resort Housing ที่โครงการศุภาลัย ซีนิค เบย์ พูล วิลล่า ภูเก็ต  Rental Office ที่โครงการศุภาลัย ไอคอน สาทร, Serviced Condo ในหลายโครงการ Home Office  ที่โครงการศุภาลัยแกรนด์ เอสเซ้นส์ @ ท่าพระ อินเตอร์เชนจ์  Community Mall / Market  ในจังหวัดหัวเมืองใหญ่  สนับสนุนการกระจายรายได้สู่ชุมชน และ Co-Working ชื่อว่า MEET & CO ตั้งอยู่ที่อาคารศุภาลัย แกรนด์ ทาวเวอร์ เป็นต้น  ซึ่งนอกจากการสร้างการเติบโตด้านรายได้ ที่เป็นรายได้ประจำ ยังถือเป็นการกระจายความเสี่ยงให้กับบริษัทด้วย นอกจากนี้ ยังขยายตลาดบ้านระดับราคา 10 – 30 ล้านบาท เพิ่มมากขึ้น เพื่อขยายฐานลูกค้ากลุ่มบน ทั่วประเทศทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด เพราะที่ผ่านมาบริษัท มีการเปิดตัวแบรนด์ “เอเลแกนซ์”  ได้แก่  “ศุภาลัย เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี 121” แบบบ้านเดี่ยวใหม่ล่าสุด 3 แบบ 3 สไตล์ ระดับลักซ์ชูรี่ ราคาเริ่มต้น 20 – 30 ล้านบาท ทำเลแรกบนถนนบรมราชชนนี และศุภาลัย เอเลแกนซ์ พหลโยธิน 50 บ้านเดี่ยวหรู 3 ชั้น ในสไตล์ Modern Metro ราคาเริ่มต้น 17.99 ล้านบาท ทำเลใจถนนเทพรักษ์ซึ่งได้รับความสนใจจากลูกค้าเป็นอย่างมาก 3.Smart Innovative Service ขณะที่นวัตกรรมการออกแบบที่อยู่อาศัย ได้มีการสร้างสรรค์แบบบ้านซีรีส์ใหม่ อาทิ Romantic Charm และ Wellness Residence เพื่อเพิ่มความหลากหลายของสินค้า และรองรับไลฟ์สไตล์ลูกค้าทุกกลุ่มเป้าหมาย พร้อมกับนวัตกรรมเพื่อการให้บริการลูกค้า เช่น Supalai Sabai แอปพลิเคชันที่ช่วยให้ลูกบ้านศุภาลัยใช้ชีวิตในบ้านได้สบายยิ่งขึ้น ทั้งการจ่ายบิล แจ้งซ่อม มีสิทธิพิเศษหลากหลาย อัพเดททุกข่าวสาร เป็นต้น และยังมีบริการอื่น ๆ อีก อาทิ ​Supalai Privilege และ Supalai Care 4.Sustainable Growth ขณะที่การสร้างการเติบโตบนความยั่งยืน ศุภาลัย ได้​ผนึกพันธมิตรทางธุรกิจ เช่น เอสซีจี ใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และติดตั้งโซลาร์รูฟในโครงการของศุภาลัย ร่วมกับธนาคารกสิกรไทยในโครงการติดตั้งโซลาร์รูฟอย่างต่อเนื่อง นำร่องโครงการแรกที่ ศุภาลัย การ์เด้นวิลล์ รังสิต คลอง 2 ร่วมกับทรู ดิจิทัล  ติดตั้ง Smart Residence 40 โครงการทั่วประเทศ และร่วมกับชาร์จ ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องชาร์จรถพลังงานไฟฟ้า ติดตั้ง EV Charger เป็นต้น เดินหน้ายอดขาย 36,000 ล้าน นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า ปี 2565 ที่ผ่านมา  บริษัททำผลงานได้ประสบความสำเร็จ เพราะสามารถพิชิตยอดขายรวมได้ทะลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ 28,000 ล้านบาท ทำให้ตัวเลขยอดขายพุ่งทะยานสูงถึง 32,433 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับปี 2564 ที่ทำได้ 24,069 ล้านบาท โดยเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งแนวราบ และคอนโด 31 โครงการ มูลค่ารวม 37,800 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 28 โครงการ (กรุงเทพฯ และปริมณฑล 10 โครงการ, ภูมิภาค 18 โครงการ)  และคอนโด 3 โครงการ (กรุงเทพฯ และปริมณฑล 2 โครงการ, ภูมิภาค 1 โครงการ)  จากความสำเร็จด้านยอดขายมีผลอันเนื่องมาจากบริษัทมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง สามารถเปิดตัวโครงการใหม่ในแต่ละจังหวัดโดยมีการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี สินค้ามีความหลากหลาย และตอบโจทย์ทุกกลุ่มเป้าหมาย   ขณะที่ปี 2566 บริษัทตั้งเป้าหมายอดขาย 36,000 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ 36,000 ล้านบาท โดยวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 37 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 34 โครงการ  มูลค่า 32,700 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่า 8,300 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่ารวม 41,000 ล้านบาท และกำหนดงบประมาณการจัดซื้อที่ดิน 8,000 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้บริษัทฯ มุ่งเน้นสู่เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ด้วยความมั่นคง และยั่งยืน เตรียมบุกหนักในโครงการภูมิภาคต่างๆ ในจังหวัดใหม่ๆที่มีทำเลศักยภาพและมีความต้องการที่อยู่อาศัยจำนวนมาก ซึ่งปัจจุบันศุภาลัยพัฒนาโครงการครอบคลุม 28 จังหวัด โดยในปี 2566 เสริมความแข็งแกร่งพัฒนาโครงการใหม่ใน 5 จังหวัดใหม่ ได้แก่ ลำปาง ลำพูน นครปฐม ราชบุรี และจันทบุรี   อ่านข่าวเพิ่มเติม -ศุภาลัย บุกตลาดต่างจังหวัดแห่งที่ 23 ปั้นคอนโด “ศุภาลัย บลูเวล หัวหิน”
แลนด์แอนด์เฮ้าส์  เปิดทำเล 17 โครงการบ้านใหม่ พร้อม 5 ไฮไลท์แผนธุรกิจปี 66

แลนด์แอนด์เฮ้าส์ เปิดทำเล 17 โครงการบ้านใหม่ พร้อม 5 ไฮไลท์แผนธุรกิจปี 66

เปิด 17 ทำเล บ้านใหม่ปี 66 ของ แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ด้วยราคาเฉลี่ย 8.8 ล้าน พร้อม 5 ไฮไลท์แผนธุรกิจ ปี 66 สู่เป้าหมายรายได้ 33,000   แลนด์แอนด์เฮ้าส์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของไทย ที่ทำธุรกิจมานานเกือบ 50 ปี ซึ่งแต่ละปีก็จะมีการออกมาแถลงแผนธุรกิจ และวิสัยทัศน์ โดยในปี 2566 ทีมผู้บริหารซึ่งประกอบด้วยนายนพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน)  นายวัชริน กสิณฤกษ์ กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการบ้านจัดสรร นายโชคชัย วลิตวรางค์กูร กรรมการผู้จัดการสายงานปฏิบัติการ โครงการอาคารชุด และนายวิทย์ ตันติวรวงศ์ กรรมการผู้จัดการสายงานสนับสนุน โดยมีรายละเอียดและไฮไลท์ของการดำเนินงานในปี 2566 ดังนี้ 5 ไฮไลท์แผนธุรกิจปี 66​ 1.เปิดตัวโครงการใหม่ 34.960 ล้าน บริษัทวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 17 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 34,960 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับการเปิดโครงการใหม่ในปี 2565  แบ่งเป็นโครงการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 13 โครงการ และต่างจังหวัด 4 โครงการ  เป็นโครงการแนวราบ 16 โครงการ มูลค่า 28,460 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่า 6,500 ล้านบาท   เมื่อแยกตามประเภทสินค้าจะประกอบด้วย โครงการบ้านเดี่ยว  15  โครงการ ได้แก่  บ้านแฝด 1 โครงการ ทาวน์เฮ้าส์ 1 โครงการ และคอนโด 1 โครงการ ซึ่งบางโครงการมีสินค้ามากกว่า 1 ประเภท สำหรับแผนเปิดคอนโด 1 โครงการ มีมูลค่า 6,500 ล้านบาท คือโครงการ The Key ศรีนครินทร์ ​ เตรียมเปิดขายในไตรมาสที่ 3 นับตั้งแต่เปิดโครงการล่าสุดในปี 2563 ที่ผ่านมา   สำหรับปี 2566 คาดว่าตลาดคอนโดจะฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี 2565 โดยจะเป็นการฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนทั้งจากเศรษฐกิจภายในประเทศที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งจะช่วยเสริมสร้าง demand ในประเทศให้แข็งแกร่ง รวมถึง demand จากกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่น่าจะทยอยกลับมาตามการเปิดประเทศ และการเดินทางที่เริ่มเข้าสู่สภาวะปกติ 2.ไทม์ไลน์เปิด 17 โครงการใหม่ สำหรับ 17 โครงการใหม่ ของแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีทำเลและไทม์ไลน์การเปิดตัวโครงการ ตามรายละเอียดต่าง ๆ ดังนี้ โครงการเปิดตัวในไตรมาส 1 โครงการ inizio ศรีนครินทร์ บ้านแฝด พื้นที่ 27.1 ไร่ จำนวน 176 ยูนิต มูลค่า 970 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 5.5 ล้าน โครงการชัยพฤกษ์ 2 ซีรีน เลค บ้านแฝด พื้นที่ 4.1 ไร่ จำนวน 9 ยูนิต มูลค่า 94 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 9 ล้านบาท โครงการเปิดตัวในไตรมาส 2 โครงการชัยพฤกษ์ 1 ซีรีน เลค บ้านเดี่ยว พื้นที่ 4.1 ไร่ จำนวน 10 ยูนิต มูลค่า 98 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 9.8 ล้านบาท โครงการมัณฑนา กาญจนา-บางบอน 5 บ้านเดี่ยว พื้นที่ 97.8 ไร่ จำนวน 200 ยูนิต มูลค่า 3,400 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 17 ล้านบาท โครงการชัยพฤกษ์ แจ้งวัฒนะ บ้านเดี่ยว พื้นที่ 97.8 ไร่ จำนวน 200 ยูนิต มูลค่า 2,730 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 11.7 ล้านบาท โครงการเปิดตัวไตรมาส 3 โครงการชัยพฤกษ์ 3 ซีรีน เลค บ้านเดี่ยว พื้นที่ 10.1 ไร่ จำนวน 20 ยูนิต มูลค่า 203 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 10.2 ล้านบาท โครงการ VIVE กรุงเทพกรีฑา บ้านเดี่ยว พื้นที่ 19.4 ไร่ จำนวน 49 ยูนิต มูลค่า 2,050 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 41.5 ล้านบาท โครงการ VIVE บางนา กม.13 บ้านเดี่ยว พื้นที่ 40.4 ไร่ จำนวน 95 ยูนิต มูลค่า 3,150 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 33.2 ล้านบาท โครงการ The Key ศรีนครินทร์ คอนโด พื้นที่ 12.3 ไร่ จำนวน 805 ยูนิต มูลค่า 6,500 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 8.1 ล้านบาท โครงการชัยพฤกษ์ พรานนก-สาย 2 บ้านเดี่ยว พื้นที่ 25.7 ไร่ จำนวน 56 ยูนิต มูลค่า 1,080 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 19.3 ล้านบาท โครงการเปิดตัวไตรมาส 4 โครงการ Villaggio 3 ศรีนครินทร์-บางนา มูลค่ารวม 2,010 ล้านบาท แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว พื้นที่ 51.4 ไร่ จำนวน 204 ยูนิต มูลค่า 1,450 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 7.1 ล้านบาท ทาวน์เฮ้าส์ พื้นที่ 14.9 ไร่ จำนวน 154 ยูนิต มูลค่า 560 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 3.6 ล้านบาท โครงการชัยพฤกษ์ รังสิต คลอง 4 บ้านเดี่ยว พื้นที่ 99.6 ไร่ จำนวน 324 ยูนิต มูลค่า 3,700 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 11.4 ล้านบาท โครงการชัยพฤกษ์ เพชรเกษม 69 บ้านเดี่ยว พื้นที่ 94.3 ไร่ จำนวน 219 ยูนิต มูลค่า 2,800 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 12.8 ล้านบาท โครงการชัยพฤกษ์ บางนา กม 13 บ้านเดี่ยว พื้นที่ 53.7 ไร่ จำนวน 170 ยูนิต มูลค่า 2,300 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 13.5 ล้านบาท โครงการพฤกษ์ลดา ปิ่นเกล้า-ศาลายา บ้านเดี่ยว พื้นที่ 36.7 ไร่ จำนวน 142 ยูนิต มูลค่า 1,025 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 7.2 ล้านบาท โครงการมัณฑนา มอเตอร์เวย์-พระราม 9 บ้านเดี่ยว พื้นที่ 22.6 ไร่ จำนวน 52 ยูนิต มูลค่า 800 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 15.4 ล้านบาท โครงการมัณฑนา มะลิวัลย์-ขอนแก่น บ้านเดี่ยว พื้นที่ 66.7 ไร่ จำนวน 182 ยูนิต มูลค่า 2,050 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 11.3 ล้านบาท 3.87 โครงการพร้อมขายในปี 66 จำนวนโครงการที่ดำเนินการในปี 2566 มีทั้งหมดประมาณ 87 โครงการ เป็นมูลค่า 91,320 ล้านบาท โดยเป็นสินค้าแนวราบ 78 โครงการ มูลค่า 76,450 ล้านบาท และคอนโด  9 โครงการ มูลค่า 14,870 ล้านบาท ราคาเฉลี่ยต่อยูนิตขายในปี 2566 เท่ากับ 8.8 ล้านบาท เท่ากับราคาเฉลี่ยในปี 2565 4.ปี 66 ลงทุน 9,000 ล้าน ในปี 2566 บริษัทได้เตรียมงบลงทุนไว้ทั้งหมดประมาณ 9,000 ล้านบาท ประกอบด้วย งบสำหรับการซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 6,000 ล้านบาท  และงบลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์เพื่อการให้เช่า 3,000 ล้านบาท ปัจจุบัน บริษัท LHMH มีโครงการที่ดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างพัฒนาทั้งหมด 11 โครงการ ด้านบริษัท LH USA มีโครงการที่ดำเนินการอยู่ทั้งหมด 4 โครงการ   แลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีแผนขายโรงแรมในประเทศไทยเข้ากอง REIT และมีแผนออกหุ้นกู้อีกจำนวน 14,000 ล้านบาท และคาดว่าอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจะยังคงอยู่ในระดับที่ไม่เกิน 100% 5.ตั้งเป้ารายได้ 33,000 ล้าน ในปี 2566 แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ตั้งเป้าหมายแผนการดำเนินงาน โดยมีเป้าหมายยอดขาย (Booking) 35,000 ล้านบาท และเป้าหมายรับรู้รายได้จากยอดโอนกรรมสิทธิ์ 33,000 ล้านบาท ส่วนรายได้จากอสังหาฯ เพื่อเช่า ตั้งเป้าหมายไว้ที่ 7,150 ล้านบาท บทสรุปปีตลาดอสังหาฯ และผลงานปี 65 ขณะเดียวกันในปีที่ผ่านมา แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ได้มีบทสรุปแผนการดำเนินงาน และภาพรวมของตลาดอสังหาฯ ตามรายละเอียดต่าง ๆ ดังนี้ 1.ในปี 2565 ตลาดอสังหาฯ ​ประเภทบ้านเดี่ยว ซึ่งเป็นสินค้าหลักของบริษัทยังคงมีความแข็งแรงต่อเนื่อง หากพิจารณาตัวเลขจำนวนยูนิตบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดที่สร้างโดยผู้ประกอบการ และจดทะเบียนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในช่วงเดือน ม.ค. - ต.ค. 2565 จะเห็นว่าเติบโตประมาณ 10% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564   ในขณะที่ จำนวนยูนิตที่เปิดขายใหม่ของสินค้าประเภทบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดในช่วงเดือน ม.ค. - พ.ย. 2565 มีจำนวน 22,855 ยูนิต ซึ่งเติบโตเกือบเท่าตัวจากช่วงเดียวกันของปี 2564 เนื่องจากฐานที่ต่ำ   2.ในปี 2565 บริษัทเปิดโครงการใหม่ 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 32,460 ล้านบาท โดยเป็นสินค้าแนวราบทั้งหมด เทียบกับแผนเดิมที่ตั้งไว้ 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 29,520 ล้านบาท   3.ปี 2565 บริษัทได้ใช้เงินลงทุนซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขาย ประมาณ 4,400 ล้านบาท ซึ่งสัดส่วนยอดขายแบ่งตามประเภทสินค้า ในปี 2565 ของบริษัทฯ มีดังนี้ บ้านเดี่ยว สัดส่วน 84% ทาวน์เฮ้าส์ สัดส่วน 8% คอนโด สัดส่วน 8% 4.ในปี 2565 สินค้าประเภทบ้านแนวราบ ซึ่งได้แก่ บ้านเดี่ยว บ้านแฝดและทาวน์เฮ้าส์ ยังคงเป็นสินค้าหลักที่สร้างยอดขายให้กับบริษัทโดยสัดส่วนการขายของบ้านแนวราบและคอนโด  คือ 92%:8%   เมื่อจำแนกตามพื้นที่ กรุงเทพฯ และปริมณฑลยังคงเป็นพื้นที่หลักในการก่อให้เกิดยอดขาย โดยสัดส่วนยอดขายของโครงการในกรุงเทพฯ และปริมณฑลเปรียบเทียบกับยอดขายของโครงการในต่างจังหวัด คือ 90%:10%  สัดส่วนระดับราคาของบ้านที่สูงกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป มีสัดส่วนประมาณ 54% ของยอดขาย 5.ณ ต้นปี 2565 บริษัทมีจำนวนโครงการที่เปิดดำเนินการทั้งสิ้น 74 โครงการ เป็นโครงการในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 44 โครงการ ต่างจังหวัด 30 โครงการ โครงการที่เปิดใหม่ 15 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 32,460 ล้านบาท รวมโครงการที่ดำเนินการในระหว่างปี 2565 มีจำนวนทั้งหมด 89 โครงการ มีโครงการปิดระหว่างปี 19 โครงการ   ดังนั้น ณ สิ้นปี 2565 มีโครงการที่ยกไปดำเนินการต่อในปี 2566 เป็นจำนวน 70 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 56,300 ล้านบาท ณ ต้นปี 2566 บริษัทมีจำนวนโครงการที่ดำเนินการทั้งสิ้น 70 โครงการ  เป็นโครงการแนวราบ 62 โครงการ มูลค่า 47,983 ล้านบาท และคอนโด  8 โครงการ มูลค่า 8,375 ล้านบาท   6.ในช่วงปี 2562 – 2564 ตลาดคอนโดหดตัวลงอย่างต่อเนื่องทั้งในด้านดีมานด์​ หรือจำนวนยูนิตที่ขายได้ และซัพพลาย​ หรือจำนวนยูนิตที่เปิดขายใหม่  อันเป็นผลมาจากมาตรการ LTV ที่บังคับใช้ในช่วงเมษายน 2562 ประกอบกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19 ที่ส่งผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม การชะลอการเปิดตัวโครงการคอนโดของผู้ประกอบการในช่วงเวลาดังกล่าวถือว่าเป็นผลดีต่อตลาดโดยรวม เนื่องจากเป็นการช่วยระบายสินค้าคงเหลือที่ค้างอยู่ในตลาด โดยจำนวนยูนิตคงเหลือของคอนโดลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 12 ปี ในปี 2563 และลดลงต่อเนื่องในปี 2564   ในปี 2565 เมื่อสถานกาณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายลง รวมถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเริ่มฟื้นตัว ทิศทางของตลาดคอนโดก็ปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ โดยสะท้อนจากจำนวนยูนิตที่ขายได้ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 ที่เพิ่มขึ้นถึง 137% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2564 (ที่มา: AREA)  และจำนวนยูนิตจดทะเบียนในช่วงเดือน ม.ค. - ต.ค. 2565 อยู่ที่ 32,909 ยูนิต เติบโตประมาณ 16% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2564 (ที่มา: REIC)   นอกจากนี้ ผู้ประกอบการก็มีความเชื่อมั่นในการเปิดโครงการใหม่ โดยจำนวนยูนิตที่เปิดขายใหม่ในช่วงเดือน ม.ค. - พ.ย. 2565 มีทั้งหมด 52,000 ยูนิต เติบโต 128% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564   แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นจากปี 2564 แต่ตลาดคอนโดมิเนียมก็ยังมีความเปราะบาง และยังไม่กลับสู่สภาวะปกติอย่างแท้จริง บริษัทจึงยังคงระมัดระวังการเปิดโครงการประเภทคอนโดมิเนียม   ปี 2565 บริษัทไม่ได้เปิดโครงการคอนโดโครงการใหม่ เนื่องจากสภาพตลาดและบริษัทต้องการดำเนินการระบายสินค้าที่มีอยู่ในมือ อย่างไรก็ตาม ยอดขายคอนโดของบริษัทในปี 2565 เติบโตกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับปี 2564 เนื่องจากฐานที่ต่ำ ( ปี 2565 = 2,240 ล้านบาท)   7.ในปี 2565 บริษัทออกหุ้นกู้ มูลค่ารวม 13,700 ล้านบาท อายุ 2-3 ปี โดยมีอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.61% ต่อปี  ณ สิ้นปี 2565 คาดว่าหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิ อยู่ที่ประมาณ 51,000 ล้านบาท โดยมี  อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 6% และต้นทุนทางการเงินเฉลี่ย 2.24%   8.สำหรับภาพรวมอสังหาฯ เพื่อเช่าปี 2565 เป็นปีที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19 ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบกับการกลับมาของนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลดีโดยตรงกับธุรกิจอสังหาฯ เพื่อเช่าของบริษัททั้งในส่วนโรงแรม อะพาร์ตเมนต์ และห้างสรรพสินค้าทั้งในประเทศไทย และสหรัฐอเมริกา   9.บริษัทดำเนินธุรกิจอสังหาฯ  ให้เช่าในประเทศไทยและประเทศสหรัฐอเมริกา โดยธุรกิจในประเทศไทย ดำเนินงานภายใต้ชื่อบริษัท แอลเอชมอลล์แอนด์โฮเทล (LHMH) และธุรกิจในประเทศสหรัฐอเมริกา ดำเนินงานภายใต้ชื่อบริษัท แอลเอชยูเอสเอ (LHUSA) โดยประกอบด้วยโครงการห้างสรรพสินค้า โรงแรม อะพาร์ตเมนต์และพื้นที่สำนักงานให้เช่า   รายละเอียดของโครงการทั้งหมดที่แสดงเป็นรายได้ค่าเช่าในงบกำไรขาดทุน ปรากฎดังนี้ โครงการในสหรัฐอเมริกาที่เปิดดำเนินการแล้ว Parc ประเภทอะพาร์ตเมนต์ ตั้งอยู่ที่ Campbell, California ด้วยเงินลงทุน 135 ล้านดอลล่าร์ Yard ประเภทอะพาร์ตเมนต์ ตั้งอยู่ที่ Portland, Oregon ด้วยเงินลงทุน 127 ล้านดอลล่าร์ Revere ประเภทอะพาร์ตเมนต์ ตั้งอยู่ที่ Campbell, California  ด้วยเงินลงทุน 119 ล้านดอลล่าร์ SpringHill ประเภทโรงแรม ตั้งอยู่ที่ Anaheim, California ด้วยเงินลงทุน 31 ล้านดอลล่าร์   10.ในปี 2565 บริษัทลงทุนในธุรกิจอสังหาฯ เพื่อการให้เช่าผ่านบริษัท LHMH และ LH USA  จำนวน 3,700 ล้านบาท ประกอบด้วย  1.พัฒนาศูนย์การค้า Terminal 21 Rama 3 จำนวน​ 350 ล้านบาท และ 2.พัฒนาธุรกิจโรงแรมและอะพาร์ตเมนต์ จำนวน​ 3,350 ล้านบาท   11.ปี 2565 บริษัท LHMH ได้เปิดดำเนินโครงการใหม่ 2 โครงการ ได้แก่ โรงแรม Grande Centre Point Space Pattayaและศูนย์การค้า Terminal 21 Rama 3 ในไตรมาสที่ 3 และ4 ตามลำดับ   อย่างไรก็ตาม บริษัทยังไม่ได้ขายอะพาร์ตเมนต์ในสหรัฐอเมริกาตามแผนที่ตั้งไว้ เนื่องจากสถานการณ์เงินเฟ้อที่สูงขึ้นอย่างมาก ทำให้ FED ดำเนินนโยบายขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรง จึงส่งผลให้อัตราผลตอบแทนคาดหวังเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก และส่งผลกระทบต่อมายังราคาขาย   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -แลนด์แอนด์เฮ้าส์ เดินหน้าลงทุน 11,000 ล.พร้อมระดมทุนผ่านหุ้นกู้ 12,000 ล.​
เช็คด่วน !! ค่าอะไร ลดหย่อนภาษีปี 2565 ได้บ้าง

เช็คด่วน !! ค่าอะไร ลดหย่อนภาษีปี 2565 ได้บ้าง

ลดหย่อนภาษี เช็คด่วน !! เสียภาษีประจำปี 2565 มีค่าอะไรบ้าง ที่สามารถนำมาใช้ลดหย่อนภาษีได้บ้าง เพื่อลดภาระค่าภาษีประจำปี   แม้ว่าจะผ่านพ้นปี 2565 ไปอีกปี แต่คนไทยยังมีหน้าที่ต้องทำ ที่ไม่อาจจะละเลยได้ โดยเฉพาะคนมีรายได้ทั้งหลาย ไม่ว่ารายได้จะมาจากการทำงาน การค้าขาย หรือการทำธุรกิจต่าง ๆ นั่นก็คือ ภาระหน้าที่ต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี 2565 ตามกฎหมายกำหนดไว้   โดยคนไทยที่มีรายได้ทุกคนต้องยื่นภาษีประจำปี แต่จะเสียภาษีหรือไม่ คงต้องดูฐานรายได้ในปีนั้นด้วย ซึ่งถ้ารายได้สุทธิไม่เกิน 150,000 บาทต่อปี ก็ไม่ต้องเสียภาษี แต่ยังไงก็ต้องยื่นรายได้ประจำปีต่อกรมสรรพากร ซึ่งสามารถยื่นได้ทั้งที่สำนักงานสรรพากรเขตพื้นที่ หรือไม่ก็ยื่นแบบออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ https://efiling.rd.go.th โดยระบบการจัดเก็บภาษีของไทยใช้ระบบฐานภาษีแบบขั้นบันได้ คือ มีรายได้มากเสียภาษีมาก ซึ่งฐานภาษีเริ่มต้นจัดเก็บที่ 5% และสูงสุด 35%   แม้ว่าอัตราภาษีจะจัดเก็บจากรายได้สุทธิประจำปี แต่กรมสรรพากร ก็มีการให้ผู้มีรายได้ สามารถนำเอาค่าใช้จ่าย รวมถึงค่าลดหย่อน หรือค่าใช้จ่ายประเภทต่าง ๆ ที่จ่ายไปตลอดทั้งปี นำมาเป็นค่าลดหย่อนได้ เพื่อทำให้เป็นรายได้สุทธิเพื่อคำนวณภาษีลดลงนั่นเอง ลดหย่อนภาษีปี 2565 มีค่าอะไรบ้าง สำหรับค่าลดหย่อนภาษีประจำปี 2565 มีหลายรายการ ทั้งค่าใช้จ่ายส่วนตัว และของครอบครัว ซึ่งนำมาใช้เป็นส่วนลดหย่อนได้ ซึ่งมีหลัก ๆ ดังนี้ 1.กลุ่มค่าลดหย่อนส่วนตัว สำหรับค่าใช้จ่ายลดหย่อนส่วนตัว รวมถึงของครอบครัวที่เราจ่ายไป สามารถนำเอามาคำนวณเป็นค่าลดหย่อนภาษีได้ ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายส่สนตัว คู่สมรส ค่าใช้จ่ายบุตร หรือแม้กระทั่งค่าใช้จ่ายของบิดาหรือมารดา ซึ่งมีรายละเอียด ดังนี้ ส่วนตัว ลดหย่อนได้ 60,000 บาท คู่สมรส ลดหย่อนได้ 60,000 บาท บุตร ใช้ลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท สำหรับบุตรคนที่ 2 เป็นต้นไป ที่เกิดตั้งแต่ปี 2561 ใช้ลดหย่อนได้ คนละ 60,000  บาท ค่าฝากครรภ์และคลอดบุตร ลดหย่อนได้ไม่เกิน 60,000 บาท ค่าดูแลบิดามารดา ใช้ลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท ค่าอุปการะผู้พิการหรือทุพพลภาพ ลดหย่อนได้คนละ​ 60,000 บาท 2.กลุ่มค่าประกันและการลงทุน ส่วนค่าใช้จ่ายที่เราซื้อประกันชีวิต ประกันสุขภาพ และประกันสังคม รวมถึงเงินที่เราซื้อประกันสุขภาพให้กับบิดาหรือมารดา กรมสรรพากรให้เรานำมาใช้เป็นค่าลดหย่อนภาษีได้ มีดังนี้ เบี้ยประกันชีวิตทั่วไปหรือเงินฝากที่มีประกันชีวิต ลดหย่อนได้ไม่เกิน 100,000 บาท ประกันสุขภาพ ลดหย่อนได้ไม่เกิน 25,000 บาท โดยเบี้ยประกันทั้ง 2 ประเภทข้างต้นรวมกันนำมาใช้เป็นค่าลดหย่อนได้ไม่เกิน 100,000 บาท ประกันสังคม* ใช้ลดหย่อนได้ไม่เกิน 6,300 บาท ประกันสุขภาพบิดามารดา ใช้ลดหย่อนได้ไม่เกิน 15,000 บาท เบี้ยประกันชีวิตบำนาญ 15% ของเงินได้ ลดหย่อนได้ไม่เกิน 200,000 บาท กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกบข.หรือกองทุนสงเคาะห์ครูโรงเรียนเอกชน ใช้ลดหย่อนได้ 15% ของเงินได้แต่ไม่เกิน 200,000 บาท กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ใช้ลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้แต่ไม่เกิน 500,000 บาท กองทุนการออมแห่งชาติ (กอช.) ใช้ลดหย่อนได้ไม่เกิน 13,200 บาท กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF)ลดหย่อนได้ 30% ของเงินได้แต่ไม่เกิน 200,000 บาท สำหรับค่าใช้จ่ายตั้งแต่เบี้ยประกันชีวิตบำนาญ จนถึงกองทุนรวมเพื่อการออมนั้น สามารถนำมาใช้คำนวณตามมูลค่าที่กรมสรรพากรกำหนด แต่รวม​กันแล้วนำมาใช้เป็นค่าลดหย่อนได้ไม่เกิน 500,000 บาท 3.กลุ่มค่าใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ สำหรับกลุ่มค่าใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ มักจะเป็นค่าใช้จ่ายตามมาตรการของภาครัฐ ที่มีออกมาใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในแต่ละปี อย่างปี 2565 มีมาตรการช้อปดีมีคืน ที่ให้คนไทยซื้อสินค้าแล้วนำมาลดหย่อนภาษีประจำปีได้ โดยค่าใช้จ่ายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2565 มีรายละเอียดต่าง ๆ ดังนี้ ดอกเบี้ยซื้อที่อยู่อาศัย ใช้ลดหย่อนได้ไม่เกิน 100,000 บาท เงินลงทุนธุรกิจ Social Enterprise (วิสาหกิจเพื่อสังคม) ใช้ลดหย่อนได้ไม่เกิน 100,000 บาท ช้อปดีมีคืน 2565 (1ม.ค.-15 ก.พ.65) ใช้ลดหย่อนได้ ไม่เกิน 30,000 บาท 4.เงินบริจาคต่าง ๆ  ภาครัฐยังส่งเสริมให้คนไทย แบ่งปันและช่วยเหลือสังคม โดยหากมีการบริจาคเงินในแต่ละปี ก็สามารถนำเอาเงินที่บริจาคนั้น มาใช้เป็นค่าลดหย่อนได้ โดยมีรายละเอียดดังนี้ เงินบริจาคทั่วไป ใช้ลดหย่อนได้ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน เงินบริจาคเพื่อการศึกษา** การกีฬา การพัฒนาสังคมและโรงพยาบาลรัฐ ใช้ลดหย่อนได้ 2 เท่าของเงินบริจาคจริง แต่ไม่เกิน​ 10% ของเงินได้หลังหักค่าลดหย่อน บริจาคให้พรรคการเมือง ใช้ลดหย่อนได้ไม่เกิน 10,000 บาท ทั้งหมดนี้ก็เป็นค่าลดหย่อนภาษีประจำปี 2565 ที่เราสามารถนำมาใช้คำนวณ เพื่อเสียภาษีประจำปีได้ ซึ่งปกติเราสามารถยื่นภาษีได้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ถึง 31 มีนาคม 2566 แต่หากยื่นภาษีออนไลน์ สามารถยื่นได้ถึงวันที่ 8 เมษายน 2566 ยังไงก็ต้องเตรียมความพร้อมก่อนยื่นภาษี โดยเฉพาะเอกสารต่าง ๆ เพราะหากกรมสรรพากรต้องการให้แสดงหลักฐานจะได้มีไว้ให้ตรวจสอบความถูกต้อง   การยื่นภาษีเลยกำหนดเวลา การเลี่ยงภาษี การแสดงหลักฐานเท็จ หรือการไม่ยื่นภาษี ก็ถือเป็นความผิดทางกฎหมาย ซึ่งอาจจะถูกปรับได้ และอาจจะมีโทษจำคุกด้วยนะ ยังไงก็ทำถูกกฎหมายไว้สบายใจกว่า     *ปี 2565 มีการลดอัตราเงินสมทบ ทำให้ผู้ประกันตน ม.33 ใช้สิทธิ์ลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 6,300 บาท **กรณีบริจาคเพื่อการศึกษา หากต้องการลดหย่อน 2 เท่า จะต้องเป็นโรงเรียนในกำกับ/มีรายลื่อในกระทรวงศึกษาธิการ สามารถตรวจสอบได้ทางเว็บไซต์ของกรรมสรรพากร www.rd.go.th     ที่มา : Mahidol Channel     บทความที่เกี่ยวข้อง -ลดหย่อนภาษี สำหรับมนุษย์เงินเดือน
ปฏิทินวันหยุดตลาดหุ้นไทย ปี 2566

ปฏิทินวันหยุดตลาดหุ้นไทย ปี 2566

วันหยุดตลาดหุ้น รวม วันหยุดตลาดหุ้นไทย ปี 2566  ที่นักลงทุนต้องรู้ ก่อนซื้อขายหุ้น ในตลาดหลักทรัพย์ของไทย เพื่อบริการการลงทุนให้ถูกวันเวลา   เริ่มต้นศักราชใหม่ปี 2566 กันแล้ว กิจกรรมทางสังคมในปีนี้ คงกลับมาคึกคักเหมือนก่อนหน้าจะเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างล่าสุด จีนก็ประกาศเปิดประเทศแล้วในวันที่ 8 มกราคม นี้ หลังปิดประเทศมานานถึง 3 ปี เมืองไทยบ้านเราคงได้เห็นความคึกคัก ของนักท่องเที่ยวจีน ที่น่าจะเข้ามาเที่ยวเมืองไทยเพิ่มมากขึ้นเหมือนก่อนหน้านี้   ในแวดวงการเงินไทย โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยปีนี้ ก็ยังคงต้องลุ้นกันต่อว่าจะคึกคักแค่ไหน เพราะปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับทางการเงินยังมีอีกหลายเรื่อง ให้นักลงทุนไม่ว่าจะรายเล็ก รายใหญ่ หรือนักลงทุนสถาบัน ต้องพิจารณาและรอบครอบในการลงทุนกันให้ดีด้วย   อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหากนักลงทุนมีการพิจารณาข้อมูลอย่างดี และรอบด้าน ก่อนตัดสินใจในการลงทุนทุกครั้ง ก็จะได้รับผลตอบแทนตามที่ต้องการอย่างแน่นอน แต่การจะซื้อขายหรือลงทุนในตลาดหุ้นไทยปีนี้ คงต้องเช็คกันหน่อยว่าวันไหนตลาดเปิด-ปิดบ้าง เพื่อจะได้ลงทุนได้ถูกจังหวะและเวลา ลองดูปฏิทิน วันหยุดตลาดหุ้นไทย ปี 2566 ว่ามีวันไหนกันบ้าง​ วันหยุดตลาดหุ้น ปี 2566 มกราคม วันจันทร์ 2 มกราคม ชดเชยวันสิ้นปีและวันขึ้นปีใหม่ (วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม 2565 และวันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม 2566) มีนาคม วันจันทร์ 6 มีนาคม วันมาฆบูชา เมษายน วันพฤหัสบดี 6 เมษายน วันพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และวันที่ระลึกมหาจักรีบรมราชวงศ์ วันพฤหัสบดี 13 เมษายน วันสงกรานต์ วันศุกร์ 14 เมษายน วันสงกรานต์ พฤษภาคม วันจันทร์ 1 พฤษภาคม วันแรงงานแห่งชาติ วันพฤหัสบดี 4 พฤษภาคม วันฉัตรมงคล มิถุนายน วันจันทร์ 5 มิถุนายน ชดเชยวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสุทิดา พัชรสุธาพิมลลักษณ พระบรมราชินี และวันวิสาขบูชา (วันเสาร์ที่ 3 มิถุนายน 2566) กรกฎาคม วันศุกร์ 28 กรกฎาคม วันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สิงหาคม วันอังคาร 1 สิงหาคม วันอาสาฬหบูชา วันจันทร์ 14 สิงหาคม ชดเชยวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง และวันแม่แห่งชาติ (วันเสาร์ที่ 12 สิงหาคม 2566) ตุลาคม วันศุกร์ 13 ตุลาคม วันคล้ายวันสวรรคต พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันจันทร์ 23 ตุลาคม วันปิยมหาราช ธันวาคม วันอังคาร 5 ธันวาคม วันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร วันชาติ และวันพ่อแห่งชาติ วันจันทร์ 11 ธันวาคม ชดเชยวันรัฐธรรมนูญ (วันอาทิตย์ที่ 10 ธันวาคม 2566)   ที่มา : SET   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -รวมวันหยุดซื้อ-ขาย ตลาดหุ้นไทยปี 2565 ที่นักลงทุนต้องรู้
อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนมกราคม 2566

อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนมกราคม 2566

อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนมกราคม 2566 เช็คก่อนแบงก์ไหนให้อัตราดอกเบี้ยคุ้มสุด หลายแห่งปรับดอกเบี้ยเพิ่ม รับดอกเบี้ยขาขึ้น    เริ่มต้นปีใหม่ 2566 หลายคนคงวางเป้าหมาย การเริ่มต้นทำอะไรใหม่ ๆ ให้กับตนเอง และครอบครัว บางคนก็วางแผนในการซื้อที่อยู่อาศัย หรือไม่ก็ปลูกสร้างบ้านใหม่ ขยับขยายพื้นที่สำหรับครอบครัวและคนที่รัก แต่บางคนอาจจะยังอยู่บ้านหลังเดิม เพราะเพิ่งซื้อมาได้ไม่นาน ก็อาจจะปัดกวาด จัดบ้านใหม่ รับปีใหม่ 2566 ให้บ้านน่าอยู่มากขึ้น   นอกเหนือจากการจัดการพื้นที่ภายในบ้านแล้ว บางคนก็วางแผนด้านการเงิน โดยเฉพาะในเรื่องการผ่อนบ้าน ที่อาจจะเข้าเกณฑ์ผ่อนชำระมาแล้ว 3 ปี สามารถจะทำการรีไฟแนนซ์ให้มีอัตราดอกเบี้ยลดลง เป็นการแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายภายในครอบครัว เพราะต้องยอมรับว่าตอนนี้ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ปรับเพิ่มสูงขึ้นมาก การลดค่าใช้จ่ายลงได้บ้าง ก็จะช่วยเสริมสภาพคล่องให้ครอบครัวได้ดีทีเดียว   ใครที่กำลังวางแผนจะเอาบ้าน หรือคอนโดมิเนียม ที่ผ่อนชำระอยู่มารีไฟแนนซ์ใหม่ ต้องลองมาเช็คกันดูว่าตอนนี้​ธนาคารไหน มีการคิดอัตราดอกเบี้ยยังไงกันบ้าง  สำหรับเดือนมกราคมนี้ ที่ Reviewyourliving ได้รวบรวมเอาไว้ให้แล้ว ลองเปรียบเทียบดูกันว่าธนาคารไหนให้อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโดถูกที่สุด อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโด 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ ในเว็บไซต์ไม่พบข้อมูล เอกสารแสดงรายละเอียดของสินเชื่อ จึงขอใช้ข้อมูลในปี 2565 ที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการรีไฟแนนซ์บ้าน  กรณีหลักทรัพย์เป็นที่อยู่อาศัยทั่วไป เฉพาะวงเงินอนุมัติตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป  สำหรับการรีไฟแนนซ์บ้านและคอนโด ดังนี้ ​​ ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.325% (MRR-3.625%) กรณีไม่ทำประกัน  อัตราดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) หลังจากนั้น 4.45% ​(MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.12-3.20% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.66-3.72% ทางเลือกที่ 2 ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.825% (MRR-3.125%)  กรณีไม่ทำประกัน ดอกเบี้ย 3.075% (MRR-2.875%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.075% (MRR-2.875%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย  4.45% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.45-3.53% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.86-3.92% หมายเหตุ -กรณีแสดงวัตถุประสงค์ เช่น เพื่อการต่อเติม/ซ่อมแซม/ตกแต่งที่พักอาศัย ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา หรือการจัดหาสินค้าหรือบริการเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนตัว เป็นต้น -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคําขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2565 – 30 มิถุนายน 2565 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อและจดจำนองภายใน 2 เดือนนับแต่วันที่ ลงนามในสัญญากู้ -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบัน ตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 7 ธันวาคม  2564 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ย กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง หากลูกค้ายกเลิก และไถ่ถอนหลักประกัน ก่อนระยะเวลา 3 ปี ไม่ว่ากรณีชําระหนี้ด้วยเงินสด หรือ รีไฟแนนซ์ธนาคารจะเรียกคืนค่าธรรมเนียมจดจำนองจากผู้กู้ -ธนาคารจะโอนเงินคืนค่าสํารวจและประเมินหลักประกันเข้าบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ที่ลูกค้า ใช้หักชําระค่างวดกับธนาคารภายใน 60 วัน หลังจากลูกค้าได้รับอนุมัติและเบิกใช้สินเชื่อกับธนาคารแล้ว คําเตือน -ผู้ขอเอาประกันภัยที่สมัครทำประกัน โฮมเฟิสต์ พลัส (ฉบับปรับปรุง) ตั้งแต่ 1 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป จะได้รับความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ -เบี้ยประกันภัยสามารถนําไปหักลดหย่อน ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกําหนด -การทำประกันภัยไม่ใช่การฝากเงิน กรณีเวนคืนก่อนครบกําหนด ผู้เอาประกันภัยจะได้รับเงินคืนเป็นจำนวนน้อยกว่าเบี้ยประกันภัยที่จ่ายไปแล้ว ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เวนคืน -ผู้ขอเอาประกันภัยควรศึกษาและทำความเข้าใจเอกสารเสนอขายก่อน ก่อนตัดสินใจทำประกันภัย เมื่อได้รับกรมธรรม์แล้ว โปรดศึกษารายละเอียด ข้อกำหนดและเงื่อนไขในกรมธรรม์ -ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าประกันชีวิตที่เป็นผู้ชีช้องและจัดการบริการให้กับผู้ขอเอาประกันภัย เพื่อให้เกิดการทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น โดยการพิจารณาอนุมัติกรมธรรม์เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) -การแถลงสุขภาพเป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณารับประกันภัยหรือจ่ายเงินตามสัญญาประกันภัย -การตรวจสุขภาพเป็นไปตามเงื่อนไขของ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) -ผู้ขอเอาประกันภัยมีหน้าที่แถลงข้อความจริงในการขอเอาประกันภัย การปกปิดข้อความจริงหรือแถลงข้อความเป็นเท็จใดๆ อาจเป็นเหตุให้บริษัทผู้รับประกันภัยบอกล้างสัญญาประกันภัยและปฏิเสธไม่จ่ายค่าสินไหม ทดแทนตามสัญญาประกันภัย -ข้อกำหนดและเงื่อนไขของความคุ้มครองจะระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยที่ออกให้กับผู้ถือกรมธรรม์ -การสมัครประกันชีวิตคุ้มครองเครดิตโฮมเฟิสต์ พลัส เป็นทางเลือกสำหรับลูกค้า ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน แคมเปญ ดอกเบี้ยปีแรกเริ่มต้น 1% และแคมเปญธนาคารออกค่าธรรเนียมการจดจำนอง 1% ซึ่งไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า โดยมีรายละเอียดดังนี้ ทางเลือกที่ 1 แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.94% (เดือนที่ 1-3 ดอกเบี้ย 0.66% เดือนที่ 4-12 ดอกเบี้ย MRR-3.45%=3.22%) ลดลง 0.66% จากช่วงเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย 2.60% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย MRR-3.00% = 3.22% เพิ่มขึ้น 0.66% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.60% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.51% เพิ่มขึ้น 0.91% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.60% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.82% เพิ่มขึ้น 0.82% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.00% ทางเลือกที่ 2 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.99% ลดลง 0.71% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.70% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย MRR-2.9% =3.32% เพิ่มขึ้น 0.62% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.70% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี =3.60% เพิ่มขึ้น 0.90% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.70% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.85% เพิ่มขึ้น 0.81% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.04% หมายเหตุ : 1.การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ *ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลากู้ -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี (การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ เป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการอนุมัติสินเชื่อ) 2.อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR)**คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,600 บาท/เดือน MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 4 ตุลาคม 2565) 3.สามารถขอสินเชื่อ Home For Cash แบบมีกำหนดระยะเวลา (Term Loan) เพิ่มเติม สำหรับวัตถุประสงค์ : เพื่ออุปโภคบริโภค / ปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย /ชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย MRR ต่อปี ตลอดอายุสัญญา 4.เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566 และทำนิติกรรมจำนองภายใน 30 วัน ทั้งนี้ ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขรายการส่งเสริมการขาย โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนก่อนหน้า ด้วยแคมเปญ อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.00% นาน 1 ปี หรือสามารถเลือกรับดอกเบี้ยทางเลือกฟรี ค่าจดจำนอง เมื่อซื้อประกันภัยคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ตามที่ธนาคารกำหนด และกรณีมีวงเงินเหลือ ยังมีแคมเปญที่สามารถกู้เพิ่ม สินเชื่อกรุงศรีโฮมฟอร์แคชได้อีกด้วย นอกจากนี้ ธนาคารยังมีโปรโมชั่น ฟรี ค่าประเมินหลักประกันมูลค่า 3,210 บาท ส่วนรายละเอียดของสินเชื่อรีไฟแนนซ์ มีดังนี้ วงเงินกู้ตั้งแต่ 1-1.5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = 3.85% เพิ่มขึ้น 1.55% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.30% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.85% เพิ่มขึ้น 0.52% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.33% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 4.54% เพิ่มขึ้น 0.59% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.95% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.75% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย = 3.65% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-1.65%= 5.0% เพิ่มขึ้น 0.6% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.4% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย3.8% เพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 4.46 เพิ่มขึ้น 0.36% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.10% ทางเลือกที่ 3* ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.1% เพิ่มขึ้น​ 1.8% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.30% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.1% ลดลง 0.05% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.15% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.1% ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.30% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.1% เพิ่มขึ้น 0.52% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.58% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 4.68% เพิ่มขึ้น 0.59% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.09% สำหรับวงเงินตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.38% เพิ่มขึ้น 0.505% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.875% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.38% เพิ่มขึ้น 0.5% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.88% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 4.19% เพิ่มขึ้น 0.59% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.60% ทางเลือก 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.00% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.70% เพิ่มขึ้น 1.1% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.60% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.70% ลดลง 0.15% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.85% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.47% เพิ่มขึ้น 0.32% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 4.20% เพิ่มขึ้น 0.49% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.71% ทางเลือก 3 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.95% เพิ่มขึ้น 1.45% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.50% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.95% เพิ่มขึ้น 0.45% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย​ 3.50% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.95% ลดลง 0.30% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.25% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.95% เพิ่มขึ้น 0.53% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.42% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.95% เพิ่มขึ้น 0.08% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.87% ทางเลือก 4 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.65% เพิ่มขึ้น 0.30% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.65% เพิ่มขึ้น 0.30% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.35% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 4.34% เพิ่มขึ้น 0.99% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.35% หมายเหตุ -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 31 มกราคม 2566 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.65% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม ​–30 เมษายน​ 2566 โดยจดจำ​นองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2566 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิดภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ -รายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติม สอบถามได้จากธนาคาร​ 4.ธนาคารกสิกรไทย อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้านของธนาคารกสิกรไทย  ข้อมูลของเว็บไซต์ธนาคารไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากเ และยังเป็นข้อมูลที่ระบุช่วงเวลาการยื่นกู้ตั้งแต่ วันที่ 1 ตุลาคม – 30 ธันวาคม 2565 มีรายละเอียด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.97% หมายเหตุ -MRR = 5.97% ( ณ วันที่ 22 พ.ค.63) อัตราดอกเบี้ยข้างต้นสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2565 5.ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ธนาคารเกียรตินาคินภัทร มีแคมเปญสินเชื่อสำหรับให้ลูกค้ารีไฟแนนซ์ คือ KKP Home Loan Refinance ให้วงเงินสูงสุด 50 ล้านบาท ดอกเบี้ยต่ำ สามารถกู้ร่วมกันได้สูงสุด 4 คนโดยเป็นบุคคลในครอบครัวเดียวกัน ฟรีค่าประเมินหลักประกัน* ซึ่งมีรายละเอียดของเดือนมกราคม 2566 ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ ทางเลือก ดอกเบี้ยแบบลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.84-3.04% ปีต่อไป MLR-1.50% =  5.275% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 3.04-3.24% ปีต่อไป MLR-1.50% = 5.275% เงื่อนไข -วงเงินคงเหลือต้องมากกว่า 500,000 บาท -บ้านต้องผ่อนกับสถาบันการเงินเท่านั้น -มีประวิติผ่อนชำระกับสถาบันการเงินเดิมไม่ต่ำกว่า 12 เดือน หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับกับปัจจัยอ้างอิง เช่น​ อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ​ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา​(MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ดังกล่าว​ โดยจะประกาศไว้ ณ ​ สถานที่ทำการที่ให้บริการ และเว็บไซต์ของ​ธนาคาร -MLR ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2565 อัตรา 7.025% ต่อปี -เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA) ผ่านธนาคารทุน​ประกันภัยเท่ากับวงเงิน กู้โดยมรีะยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปีกรณีที่ระยะเวลาการไถ่ถอนถึง​ 10 ปีให้ระยะเวลาเอา ประกันภัยเท่า​กับระยะเวลาการกู้ -กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปีแรก คิดค่า ​Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง -กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ย แบบฟรีค่าจดจำนอง​ หากลูกค้า​ Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อน​ระยะเวลาที่กำหนดไว้ทุก กรณีลูกค้าต้องชำระคืนค่าจดจำนองที่ธนาคาร สำรองจ่ายให้ธนาคาร -ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท ค่าอากรแสตมป์ร้อยละ 0.05 ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) -ค่าธรรมเนียมตดิ ตามทวงถามหนี้นค้างชำระ​ 1 งวด 50 บาท/รอบการทวงถามหนี้ค้างชำระมากกว่า ​1 งวด 100 บาท/รอบการทวงถามหนี้ -เบี้ยประกันอัคคีภัย เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด​ โดยผู้กู้สามารถเลือกทำ​ประกันกับบริษัท​ประกันที่น่าเชื่อถืออื่นใดก็ได้ ​   6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี มี อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโด ในเดือนมกราคม 2566 สำหรับ​ประเภทสินเชื่อรีไฟแนนซ์  กรณีไม่ขอวงเงินเพิ่ม  มีอัตราการคิดดอกเบี้ย ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำหรือเจ้าของกิจการ รายได้ 30,000 บาทขึ้นไป กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน น้อยกว่าหรือเท่ากับ 80% ทางเลือก 1 แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-5.26% = 3.09% เพิ่มขึ้น 0.16% จากเดือนก่อนหน้าคิดอัตราดอกเบี้ย 2.93% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.09% เพิ่มขึ้น 0.16% จากเดือนก่อนหน้าคิดอัตราดอกเบี้ย2.93% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.45% เพิ่มขึ้น 0.84% จากเดือนก่อนหน้าคิดอัตราดอกเบี้ย4.61% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-5.06% = 3.29% เพิ่มขึ้น 0.06% จากเดือนก่อนหน้าคิดอัตราดอกเบี้ย 3.23% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.29% เพิ่มขึ้น 0.06% จากเดือนก่อนหน้าคิดอัตราดอกเบี้ย 3.23% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.51% เพิ่มขึ้น 0.82% จากเดือนก่อนหน้าคิดอัตราดอกเบี้ย 4.69% ทางเลือก 2 แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.96% = 3.39% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.39% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.45% ทางเลือก 2 แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.76% = 3.59% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.59% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.59% ทางเลือก 3 กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน น้อยกว่าหรือเท่ากับ 85%  แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-4.52% = 3.83% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.83% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.66% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.22% = 4.13% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.13% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.74% ทางเลือก 4 กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน มากกว่า 85% แต่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 100% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.32% = 4.03% เพิ่มขึ้น 0.90% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.13% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.03% เพิ่มขึ้น 0.90% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.13% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.71% เพิ่มขึ้น 1.04% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.67% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  4.02% เพิ่มขึ้น 0.59% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.43% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.33% เพิ่มขึ้น 0.90% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.43% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.80% เพิ่มขึ้น 1.05% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.75% ทางเลือก 5 กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน น้อยกว่าหรือเท่ากับ 85% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.76% =3.59% เพิ่มขึ้น 1.05% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.69% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.59% เพิ่มขึ้น 0.90% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.69% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.59% เพิ่มขึ้น 1.04% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.55% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.46% = 3.89%เพิ่มขึ้น 0.90% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.99% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.89% เพิ่มขึ้น 0.99% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.67% เพิ่มขึ้น 1.04% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.63% กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน มากกว่า 85% แต่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 100% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.56% =3.79% เพิ่มขึ้น 0.90% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.89% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.79% เพิ่มขึ้น 0.90% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.69% เพิ่มขึ้น 1.09% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.60% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.26% = 4.09% เพิ่มขึ้น 0.90% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.19% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.09% เพิ่มขึ้น 0.90% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.19% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.73% เพิ่มขึ้น 1.05% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.68% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=8.35% ประกาศ ณ วันที่ 1 มกราคม 2566) กรณีขอวงเงินเพิ่ม สอบถามรายละเอียดกับทางธนาคารโดยตรง 1.ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักทรัพย, ค่าอากรแสตมป์ และค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย 3 ปีแรก ทุกทางเลือก 2.ยกเว้น ค่าจดจำนอง เฉพาะทางเลือก 1 และ 2 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบีมีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์  ประจำเดือนมกราคม 2566 ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-3.53% = 3.55% เพิ่มขึ้น 0.8% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 2.75% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.55% เพิ่มขึ้น 0.8% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 2.75% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.80% เพิ่มขึ้น 0.78% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 4.02% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.18%=3.90% เพิ่มขึ้น 0.80% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 3.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี อัตรา 3.90% เพิ่มขึ้น 0.80% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 3.10% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.93% เพิ่มขึ้น 0.79% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย  4.14% ทางเลือก 3 (สมัครผลิตภัณฑ์ไม่ครบทั้ง 3 ประเภท) ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย (MRR-2.74%) = 4.34% เพิ่มขึ้น 0.8% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 3.54% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีดอกเบี้ย 4.34% เพิ่มขึ้น 0.8% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 3.54% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.08% เพิ่มขึ้น 0.79% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 4.29% สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อบ้าน สไมล์ โฮม หรือ สไมล์ โฮม พลัส 2.สมัครใช้บริการ หักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ทีทีบีเพื่อผ่อนช าระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ทีทีบี (กรณีที่มีบัตรเดบิต ทีทีบีแล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) ช่วยคุณประหยัดดอกเบี้ยได้มากขึ้น ผ่อนต่อเดือนน้อยลง และเป็นเจ้าของบ้านได้เร็วขึ้น เมื่อรีไฟแนนซ์บ้านกับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ยให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท  รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ นาน 3 ปี  ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท  ฟรี! ค่าจดทะเบียนจำนอง มูลค่า 1% ของเงินกู้สูงสุด 200,000 บาท  ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง หมายเหตุ  -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่ คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 3 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของธนาคาร -ธนาคารขอสงวนสิทธิเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แจ้งไว้ในเอกสารฉบับนี้ โดยไม่ ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ในกรณีที่ธนาคารเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนจำนองหลักประกันแทนผู้กู้หากผู้กู้มีความประสงค์จะไถ่ถอนหลักประกันและชำระหนี้คืนทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันเบิกใช้เงินกู้ ครั้งแรก ผู้กู้ตกลงคืนเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองหลักประกันตามจำนวนเงินที่ธนาคารได้ชำระไปให้แก่ธนาคาร ในวันที่ผู้กู้ได้ชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้น (ค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท) -ลูกค้าต้องสำรอง จ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ลูกค้าใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 30 วันทำการนับจากวันที่ลูกค้าจดจำนอง -MRR = 7.08% ตามประกาศธนาคาร https://www.ttbbank.com/th/rates/loan-interest-rates -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม ถึง 30 มิถุนายน 2566 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ ข้อมูลในเว็บไซต์ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งข้อมูลแคมเปญของธนาคารมีกำหนดระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 31 ธันวาคม ​2565 โดยมีรายละเอียดดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% ปีต่อไป MRR-0.72%= 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.242% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.90% ปีต่อไป MRR-0.72% = 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.174% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10 ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 21 กรกฎาคม​ 2565) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด -ระยะเวลาขอสินเชื่อ 1 กรกฎาคม ถึง ​31 ธันวาคม 2565 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำหรับธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส. ถือว่าเป็นธนาคารสำหรับการให้สินเชื่อเพื่อซื้อบ้านและคอนโด รวมถึงสินเชื่ออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรง มีสินเชื่อให้เลือกมากมายหลายประเภท สำหรับข้อมูลการรีไฟแนนซ์บ้านจากสถาบันการเงินอื่น ใช้สินเชื่อ All Home อ้างอิง ซึ่ง​อัตราดอกเบี้ย ดังนี้ แบบที่ 1 สำหรับกลุ่มลูกค้าสวัสดิการ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.6=3.55% เพิ่มขึ้น 1.3% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย 2.25% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.1% =4.05% เพิ่มขึ้น 1.06% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย 2.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.6% = 4.55% เพิ่มขึ้น 1.03% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย 3.52% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี MRR-1.0% = 5.15% เพิ่มขึ้น 2.23% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย 2.92% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.76% เพิ่มขึ้น 0.41% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย 4.35% แบบที่ 2 สำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อย ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.50%= 3.65% เพิ่มขึ้น 1.30% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย 2.35% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย  MRR-2.00%=4.15% เพิ่มขึ้น 1.06% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย 3.09% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-1.50%= 4.65% เพิ่มขึ้น 1.30% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย 3.35% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา MRR-0.50%= 5.65% เพิ่มขึ้น 0.94% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย 4.71% หมายเหตุ -นิยามคำว่า “อาคาร” หมายถึง บ้านเดี่ยว บ้านแฝดทาวน์เฮ้าส์ และอาคารพาณิชย์เพื่อที่อยู่อาศัย ยกเว้นแฟลต และบ้านเช่า -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ร้อยละ 0.1 ของวงเงินทำนิติกรรม -MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม​ 63   10.ธนาคารยูโอบี สำหรับธนาคารยูโอบี มีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ UOB Home Loan – รีไฟแนนซ์ ​ ไม่รวมวงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์  ซึ่งอัตราดอกเบี้ยในเดือนมกราคม 2566 มีรายละเอียดดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.46%= 3.29% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.29% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.11% เพิ่มขึ้น 0.11% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 5.00% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-4.36%= 3.39% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.39% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.15% เพิ่มขึ้น 0.11% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 5.04% ทางเลือก 3 แบบทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.36% = 2.39% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.36%= 5.39% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.39% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.11% เพิ่มขึ้น 0.12% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย4.99% ทางเลือก 4 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.49% (MRR-5.26%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.49% (MRR-2.26%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.49% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.15% เพิ่มขึ้น 0.12% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 5.03% หมายเหตุ -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น (Re-finance) ในช่วง​ระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้จะมีค่าปรับ​ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น​) -การอนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย​ MRR ปัจจุบัน เท่ากับ 7.75% ต่อปี (ตามประกาศธนาคาร ​​ณ วันที่ 21 ธันวาคม 2565) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้ และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตรา ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของ​ธนาคาร -ธนาคารยูโอบี ในฐานะนายหน้าประกันภัย​ (ใบอนุญาตประกันชวีติเลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศ​ภัย เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่นำเสนอ ผลิตภัณฑ์ประกันภัย และเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย​ และอำนายวความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิต ​โดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชวีติ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่า ประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็มม เอส ไอ จีประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จะเป็นผู้รับผิดชอบตาเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก ครั้ง​ 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ดอกเบี้ยต่ำ 1.99% ต่อปี ถึงวันที่ 31 มกราคม 2566  โดยมีรายละเอียดดังนี้ สำหรับผู้กู้รายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป   แบบที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.75% = 2.00% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.35%=2.40% เพิ่มขึ้น 0.40% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.00% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.90% = 3.85% เพิ่มขึ้น 0.05% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.80% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% เพิ่มขึ้น 0.15% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.44% เพิ่มขึ้น 0.88% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.56% แบบที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.06% = 2.69% เพิ่มขึ้น 0.09% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย2.60% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.69% เพิ่มขึ้น 0.09% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.44% เพิ่มขึ้น 0.81% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.63% แบบที่ 3 ปีที่ 1 ดอกเบี้ยคงที่ 99% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย MRR-4.39%=3.36% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 90% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 48%   สำหรับผู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป แบบที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.25% = 2.10% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.25% = 2.50% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.80% = 3.95% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.47% แบบที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-4.95% = 2.79% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.79% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.47% ข้อกำหนดและเงื่อนไข -สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า Refinance ดอกเบี้ยพิเศษ เริ่ม 1.99% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป และเบิกรับเงินกู้ตั้งแต่วันนี้ – 31 มกราคม 2566 -วงเงินกู้เริ่มต้น 1 ล้านบาท และราคาประเมินหลักประกัน (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาท หรือ (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.5 ล้านบาท (โครงการจัดสรรทุกโครงการ) -อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขดังกล่าว สำหรับหลักประกันที่ได้รับการจัดสรรทุกโครงการในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ยกเว้น ที่ดินว่างเปล่า, อาคารพาณิชย์ -กรณีลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือสูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือเปลี่ยนแปลงสัญญาใดๆ ภายใน 5 ปีแรกทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำได้ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.75% (ณ วันที่ 19 ตุลาคม 2565) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -อัตราดอกเบี้ย หลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่นๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด 12 ธนาคารออมสิน อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สำหรับธนาคาออมสิน ประจำเดือนมกราคม 2566 ยังไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ​มีรายละเอียดอื่น ๆ ดังนี้ ​ สินเชื่อรีไฟแนนซ์ จากสถาบันการเงินอื่น สำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินกู้สินเชื่อต่ำกว่า 10 ล้านบาท แบบทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.99% (MRR-4.255%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.98% (MRR-3.265%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.144% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.24% (MRR-4.005%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 3.605%  (MRR-2.64%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.328% วงเงินกู้สินเชื่อมากกว่า 10 ล้านบาท  กลุ่มลูกค้าทั่วไป (เดือนที่ผ่านมาไม่ได้แยกวงเงินกู้) กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.99% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.755% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2. 5% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.089% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.24% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 3.38% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.00% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.274% ดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ และฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง ตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย MRR-4.255%=1.99% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย MRR-2.80%=3.445% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี96% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง256% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย MRR-4.005%=2.24% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย MRR-2.175%=4.07% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี46% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง437%   หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR = 6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท​ ระยะเวลา 20 ปี แบบผ่อนเท่ากันทุกงวด ​ -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่นๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไข โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์ และกู้เพิ่มเติมเพื่อการอุปโภคบริโภค   ที่มา : Reviewyourliving รวบรวมจากข้อมูลเว็บไซต์ของแต่ละธนาคาร วันที่ 6 มกราคม 2566   บทความที่เกี่ยวข้อง -อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนพฤศจิกายน 2565
ลลิล พร็อพเพอร์ตี้  วางเป้าขาย 8,600 ล้าน โต 10% เน้นธุรกิจทำกำไร-รักษาสภาพคล่อง

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ วางเป้าขาย 8,600 ล้าน โต 10% เน้นธุรกิจทำกำไร-รักษาสภาพคล่อง

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ประกาศแผนธุรกิจปี 2566 เปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง 10 - 12 โครงการ มูลค่ารวม 7,000 – 8,000 ล้าน พร้อมตั้งเป้ายอดขายที่ 8,600 ล้าน และยอดรับรู้รายได้ที่ 6,850 ล้านบาท ขยายตัว 10% เน้น 2 คาถาความสำเร็จ ทำธุรกิจต้องมีกำไร-รักษาสภาพคล่อง   นายไชยยันต์ ชาครกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มากว่า 30 ปี เปิดเผยว่า ​ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยในปี 2565 ที่ผ่านมาว่า เป็นปีที่ความเสี่ยงจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 ค่อยๆ คลี่คลาย จากการที่คนส่วนใหญ่ได้รับวัคซีน ติดเชื้อ จนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่ การติดเชื้อมักมีอาการที่ไม่รุนแรง  ทำให้หลายประเทศเริ่มทยอยดำเนินนโยบายผ่อนคลายต่าง ๆ  ส่งผลให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจทยอยกลับมาดำเนินได้ตามปกติ ปี 2565 ที่ผ่านมา โลกต้องเผชิญกับความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์  การแย่งชิงความเป็นผู้นำโลกของประเทศมหาอำนาจ  ตลอดจนสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่เริ่มมาตั้งแต่ไตรมาสแรกของปี   นอกจากนี้ยังเป็นปีที่เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นทั่วโลก ซึ่งสูงที่สุดในรอบหลายสิบปี  จนทำให้หลายประเทศต้องดำเนินนโยบายการเงินแบบเข้มงวดเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ  โดย FED ปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายถึง 7 ครั้ง รวม 4.25%  มาอยู่ที่ระดับ 4.25%-4.50% ณ สิ้นปี 2565  ซึ่งเป็นการขึ้นที่เร็วและแรงอย่างที่ไม่เคยเกิดมาก่อน  รวมถึงธนาคารกลางของหลายๆ ประเทศ ต้องดำเนินนโยบายในรูปแบบเดียวกัน เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ  อันนำไปสู่ความเสี่ยงที่เพิ่มมากขึ้นที่ทั่วโลกจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือ Recession ในแง่ของเศรษฐกิจไทย ในปี 2565 ได้รับแรงส่งจากการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวภายหลังการเปิดประเทศช่วงกลางปี  การขยายตัวของการบริโภคภาคเอกชนส่วนหนึ่งจากมาตรการกระตุ้นต่างๆ ของภาครัฐ และการส่งออกที่ขยายตัวได้ดีในช่วงครึ่งแรกของปี ก่อนเริ่มชะลอลงในช่วงครึ่งปีหลัง สำหรับในปี 2566 คาดว่าเศรษฐกิจโดยรวมของไทยจะขยายตัวได้ราว 3.6 – 4.0% อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง ทั้งความไม่แน่นอนภายในประเทศและต่างประเทศ  ไม่ว่าจะเป็นความเสี่ยงที่จะเกิด Recession ของเศรษฐกิจยุโรป และสหรัฐฯ  ความเสี่ยงที่เกิดจากเรื่องภูมิรัฐศาสตร์   ในขณะที่กำลังซื้อภายในประเทศที่ยังอ่อนแอ  ภาระหนี้ครัวเรือนและภาคธุรกิจที่อยู่ในระดับสูง ท่ามกลางแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของภาระดอกเบี้ย  ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์  ซึ่งเป็นความท้าทายในการดำเนินธุรกิจในปี 2566 นี้   สำหรับภาคอสังหาริมทรัพย์มีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐ ลดค่าธรรมเนียมการโอน และค่าธรรมเนียมจำนอง สำหรับที่อยู่อาศัยที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ถึงสิ้นปี 2566   รวมถึงการฟื้นตัวของลูกค้าที่ทำงานในกลุ่มท่องเที่ยว ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกจำกัดการเข้าถึงสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ เปิดโปรเจ็กต์ใหม่ 10-12 โครงการ สำหรับแผนการตลาด ในปี 2566 นี้  จะใช้กลยุทธ์ที่มุ่งเน้น Customer Centric ผ่านกลยุทธ์ทั้ง Lifestyle Marketing และ Experience Marketing  โดยต่อยอดการทำตลาดผ่านช่องทาง Digital ที่เพิ่มมากขึ้น  เพื่อเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้ตรงกลุ่มมากขึ้น และมีประสิทธิภาพที่ดีขึ้น  โดยนำ Big Data มาใช้ในการวิเคราะห์หา Customer Insights   ทั้งนี้บริษัท ยังคงให้ความสำคัญกับตลาดที่อยู่อาศัยในกลุ่มที่เป็น Real Demand  โดยพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคทั้งในรูปแบบของ New Design และ Smart Function ของตัวบ้าน   โดยช่วงปีที่ผ่านมา บริษัทเป็นรายแรกที่นำรูปแบบความงดงามของสถาปัตยกรรมฝรั่งเศสที่เรียบหรู มาออกแบบบ้านสไตล์ฝรั่งเศสแบบ French Colonial Style บนทำเลศักยภาพ ในราคาที่คุ้มค่า และจับต้องได้   ขณะที่แผนการเปิดโครงการใหม่ ในปีนี้วางแผน 10-12 โครงการ มูลค่า 7,000-8,000 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์ระดับราคา 2-9 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล แต่ขณะเดียวกันก็ยังคงมองหาโอกาสในการขยายไปยังพื้นที่มีศักยภาพ เช่น พื้นที่เขต EEC ในจังหวัดชลบุรีและระยอง เมื่อภาวะเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว ภาวะการท่องเที่ยวเติบโตเพิ่มมากขึ้น   โดยปัจจุบันบริษัทมีที่ดินรองรับกับการพัฒนาโครงการใหม่แล้ว 60% ซึ่งจะพัฒนาโครงการได้ถึงเดือนกรกฎาคมหรือสิงหาคมนี้ และยังวางงบประมาณในการซื้อที่ดิน เพื่อนำมาพัฒนาโครงการในอนาคตอีก 1,500-1,600 ล้านบาท ตั้งเป้าเติบโต 10% โดยลลิล พร็อพเพอร์ตี้​ มีแนวคิดการดำเนินธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน มีการบริหารงานที่คำนึงถึงการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม  สังคม  และบรรษัทภิบาล (Environmental, Social and Governance : ESG)  รวมถึงการมุ่งเน้นไปสู่การเป็น Digital Organization อย่างเต็มรูปแบบ  ควบคู่ไปกับการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่แข็งแกร่ง ให้เป็นองค์กรที่รู้รอบแบบเจาะลึก มุ่งสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้  เสริมสร้างศักยภาพให้ทุกคนในองค์กร ให้เป็นบุคลากรที่มีคุณภาพ รู้กว้าง คิดไกล อยู่กันด้วยความเข้าใจ เพื่อสร้างความแข็งแรงจากภายใน มุ่งสู่การเป็น National Property Company ตามเป้าหมายที่ได้วางร่วมกัน   ขณะที่ทิศทางการเติบโตของผลการดำเนินงาน ในปีนี้ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ วางเป้าหมายการเติบโตไว้ 10% ซึ่งตั้งเป้ายอดขาย 8,600 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ 6,850 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้แล้ว 1,000 ล้านบาท คาถาสำหรับปีนี้ มี 2 เรื่อง คือ ธุรกิจต้องการมีกำไร และต้องรักษาสภาพคล่องเอาไว้ให้ได้ เราพยายามเติบโต 10% จากปี 2565 ในส่วนของสถานะการเงิน บริษัทมีความแข็งแกร่งอย่างมาก โดยมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) เพียง 0.55 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยโดยรวมของอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ที่ 1.4 – 1.5 เท่า ส่วนภาพรวมธุรกิจอสังหาฯ ในนี้คาดว่าจะมีการแข่งขันที่รุนแรง โดยเฉพาะตลาดอสังหาฯ แนวราบ จากการเปิดตัวของผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งคาดว่าภาพรวมธุรกิจอสังหาฯ จะเติบโตประมาณ 5%   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ลลิล กวดยอดขาย 10 เดือน 6,300 ล้าน พร้อมปรับโฉม “บ้านลลิล The Prestige”
[PR News] คาราเพซ หัวหิน – เขาเต่า จัดโปรราคาเดียว 3.5 ล้าน  ชูการันตีผลตอบแทน 5% 5 ปี สร้างเสร็จพร้อมโอน

[PR News] คาราเพซ หัวหิน – เขาเต่า จัดโปรราคาเดียว 3.5 ล้าน ชูการันตีผลตอบแทน 5% 5 ปี สร้างเสร็จพร้อมโอน

โครงการคาราเพซ "คาราเพซ หัวหิน - เขาเต่า" เสร็จสมบูรณ์ทั้งโครงการ พร้อมเปิดให้บริการในส่วนของโรงแรม ล่าสุด จ่ายผลตอบแทนการันตีที่ 5% 5 ปี ไตรมาสแรกกับเจ้าของร่วมแล้ว ชู 7 จุดเด่น รับชีวิตวัยเกษียณ พร้อมอัดโปรโมชั่นพิเศษสุดก่อนปิดโครงการ ทุกห้อง ทุกชั้น ราคาเดียว 3.5 ล้านบาท   นายสุวิชัย เจนธนอรรถกิจ ประธานกรรมการบริหาร และ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัน เพลส เอสเตท จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันโครงการ “คาราเพซ หัวหิน-เขาเต่า” (CARAPACE Huahin-Khaotao) คอนโดมิเนียมหรูติดทะเล หัวหิน-เขาเต่าได้ก่อสร้างแล้วเสร็จทั้งโครงการ พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ให้กับเจ้าของห้องชุด Rare Item ติดทะเลเขาเต่าได้แล้ว ซึ่งเจ้าของห้องจะได้ทั้งทรัพย์สิน และเข้าพักผ่อนได้ โดยบริษัทได้จ่ายผลตอบแทนการลงทุนให้กับเจ้าของร่วมในโครงการไตรมาสแรกเป็นที่เรียบร้อยว่า เจ้าของห้องชุดยังได้รับ Passive income ซึ่งการันตีผลตอบแทนการลงทุนสูงถึง 5%* นาน 5 ปี* นานต่อเนื่องถึง 15 ปี* นับเป็นการฉีกกฎการลงทุนแบบเดิม ๆ ด้วยการลงทุนรูปแบบใหม่ ที่ให้ผู้บริโภคได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์คอนโด และปล่อยเช่าได้แบบไม่ต้องดูแลเอง การลงทุนลักษณะนี้ ถือเป็นทางเลือกการลงทุนก่อนเกษียณ เพื่อรับ Passive income แบบไม่ต้องเสี่ยง เงินเดือนอย่างเดียวไม่อาจทำให้เราใช้ชีวิตหลังเกษียณได้อย่างสบาย เพราะฉะนั้น เราควรมองหาการลงทุนเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นหลังเกษียณ ตั้งแต่วัย 30  เป็นต้นไป   นายสุวิชัย  กล่าวว่า ​เหตุผลที่ทำให้  การวางแผนการลงทุนในรูปแบบ Investment Property กับโครงการคาราเพซ หัวหิน- เขาเต่า ดีกว่าการลงทุนในรูปแบบอื่น เนื่องจากมี 7 ข้อเด่นด้วยกัน ได้แก่ 1.ผู้ลงทุนได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด(โฉนด) แบบ (Freehold) และเป็นเจ้าของสินทรัพย์ที่ลงทุนไป 2.สามารถขายต่อหรือเปลี่ยนมือได้ตลอดเวลา ส่งต่อเป็นมรดกให้ลูกหลานได้ 3.เป็นการลงทุนที่มีความแน่นอน มั่นคงกว่าหุ้นและกองทุน โดยไม่ต้องรับความเสี่ยงเรื่องความเสียหายของมูลค่าการลงทุน 4.บริหารโดยมืออาชีพเชนโรงแรมชื่อดังระดับโลก Best Western 5.ให้ผลตอบแทนระยะยาว 15 ปี (Passive Income) ซึ่งมากกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารในปัจจุบัน 6.สามารถเก็งกำไรได้ดี สร้าง Capital Gain อย่างต่อเนื่องด้วยทำเลที่ตั้งเด่น กับคอนเซ็ปต์โครงการที่ชัดเจน พร้อมผลตอบแทนระยะยาวอย่างต่อเนื่อง กับการบริหารโดยเชนระดับโลก 7.ได้สิทธิ์พักฟรี 15 คืน ต่อปี โครงการ “คาราเพซ หัวหิน-เขาเต่า” ถือเป็นคอนโดทางเลือกสำหรับการวางแผนให้สบาย ก่อน Early Retire อย่างมีคุณภาพ บริหารงานโดยบริษัท วันเพลส เอสเตท จำกัด นับเป็นคอนโดมิเนียมหรูติดทะเล หัวหิน-เขาเต่า ที่เงียบ สงบ เป็นส่วนตัว ใกล้ชิดธรรมชาติ โดดเด่นด้วยสวนน้ำ และมีพื้นที่สระน้ำขนาดใหญ่ถึง 1,400 ตร.ม. สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งการบริการ และระดับ World Class   โครงการตั้งอยู่บนเนื้อที่เกือบ 10 ไร่ ห่างจากถนนใหญ่เพชรเกษมประมาณ 200 เมตร โดยตัวโครงการแบ่งเป็น 2 เฟส มีทั้งสิ้นจำนวน 6 อาคาร รวม 532 ยูนิต พื้นที่แบ่งเป็น โซน A สำหรับพักอาศัย จำนวน 126 ยูนิต ประกอบด้วยอาคารสูง 4 ชั้น 3 อาคาร  พร้อมด้วยส่วนของ FACILITIES ขนาดใหญ่ และโซน B สำหรับลงทุนและรับผลตอบแทนระยะยาว  จำนวน 406 ยูนิต ประกอบด้วยอาคารสูง 7 ชั้น 2 อาคาร และ 8 ชั้น 1 อาคาร   นอกจากโครงการจะให้ผลตอบแทนนาน 15 ปีการันตีผลกำไร 5% นาน 5 ปี เป็นโครงการที่ตอบโจทย์สำหรับลูกค้าที่ต้องการลงทุน และสร้างผลตอบแทนระยะยาว (Passive Income) ยังได้จัด​​โปรโมชั่นพิเศษสุด ทุกห้อง ทุกชั้น ราคาเดียว 3.5 ล้านบาท* รับฟรี! เฟอร์นิเจอร์ ฟรี! ค่าส่วนกลาง  5 ปี* ​
ส่องสถานการณ์โอนคอนโดต่างชาติ Q3  พร้อมลุ้นตลาดฟื้นตัวหลังจีนเปิดประเทศ 8 ม.ค.นี้

ส่องสถานการณ์โอนคอนโดต่างชาติ Q3 พร้อมลุ้นตลาดฟื้นตัวหลังจีนเปิดประเทศ 8 ม.ค.นี้

โอนคอนโด โอนคอนโดต่างชาติเริ่มฟื้นตัว หลังข้อมูลไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นทั้งจำนวนและมูลค่า แม้จีนสัดส่วนการโอนลดลงเหลือ 50% จากที่เคยมีถึง 60% แต่ยังคงครองเบอร์ 1 โอนเยอะสุด ลุ้นหลังจีนเปิดประเทศ 8 มกราคม นี้ ช่วยกระตุ้นตลาดคอนโดต่างชาติเติบโตเท่าก่อนหน้าเกิดโควิด ขณะที่ธุรกิจท่องเที่ยวได้อานิสงค์ทันที​   ถือว่าเป็นข่าวดีรับปีใหม่ 2566 เมื่อประเทศจีนประกาศเปิดประเทศแล้ว หลังล็อกดาวน์มานาน 3 ปี ทำให้ชาวจีนสามารถเดินทางออกนอกประเทศได้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2566 ซึ่งนั่นหมายความว่า ประเทศไทยเราจะได้รับอานิสงค์ จากจำนวนนักท่องเที่ยวจีน จะกลับมาเที่ยวบ้านเราเหมือนก่อนหน้านี้   นอกจาก ภาวะการท่องเที่ยวไทยจะกลับมาฟื้นตัว จากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีน ที่คาดว่าจะมากันจำนวนมากมายแล้ว อีกธุรกิจหนึ่งที่ได้รับประโยชน์ด้วย คือ ธุรกิจอสังหาริทรัพย์ เพราะชาวจีนเป็นผู้ซื้อคอนโดมิเนียมไทยมากที่สุด เมื่อเที่ยบกับชาวต่างชาติจากประเทศอื่น ๆ ไม่แพ้กับธุรกิจท่องเที่ยว ที่ชาวจีนเดินทางเข้ามามากที่สุดเมื่อเที่ยบกับชาติอื่น ๆ   สำหรับการเปิดประเทศจีนครั้งนี้ ธุรกิจอสังหาฯ จะมียอดขายในกลุ่มชาวจีนมากน้อยแค่ไหน อาจจะต้องรอดูความชัดเจนอีกครั้ง หลังการเปิดประเทศอย่างเป็นทางการ แต่เบื้องต้นสิ่งที่จะเป็นดัชนีชี้วัดความต้องการคอนโดของไทย ในกลุ่มชาวจีนว่ายังมีมากน้อยแค่ไหน คงต้องมาดูตัวเลขการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด (คอนโด) จากที่ซื้อไว้ก่อนหน้า เพราะหากยังมีการโอนกันเป็นปกติ ก็แสดงให้เห็นว่าชาวจีนยังคงมีความต้องการที่จะซื้อคอนโดของไทย ไม่ได้ทิ้งดาวน์หรือเงินจอง จากการซื้อคอนโดไว้ก่อนหน้านี้   โดยศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ รายงานสถานการณ์การโอนคอนโดของคนต่างชาติในไตรมาส 3 ปี 2565  พบว่า มีจำนวนเพิ่มขึ้น 62.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าเพิ่มขึ้น 23.1% โดยเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องติดต่อกันมา 4 ไตรมาสแล้วนับตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2564   ทั้งนี้ มีปัจจัยบวกมาจากการที่รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการโควิด-19 มีนโยบายในการเปิดประเทศในต้นเดือนธันวาคม 2564 และส่งผลเชิงบวกต่อการกลับมาของกำลังซื้อที่อยู่อาศัยของคนต่างชาตินั่นเอง Q3 โอนคอนโดเยอะสุดใน 5 ไตรมาส ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์  เปิดเผยว่า ในไตรมาส 3 มีต่างชาติโอนคอนโดทั่วประเทศจำนวน 2,860 ยูนิต เพิ่ม 62.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในเชิงจำนวนยูนิตสูงสุดในรอบ 5 ไตรมาส นับจากไตรมาส 3 ปี 2564 และยังมีจำนวนยูนิตที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยรายไตรมาสในช่วง 3 ปี ที่เกิดโควิด-19  (ปี 2563 – 2564) 36.7% ที่มีจำนวน 2,092 ยูนิตต่อไตรมาส   สำหรับมูลค่าการโอนคอนโดให้คนต่างชาติทั่วประเทศมีจำนวน 14,668 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในเชิงจำนวนมูลค่าสูงสุดในรอบ 7 ไตรมาส นับจากไตรมาส 1 ปี 2564 และยังเพิ่มสูงกว่าค่าเฉลี่ยมูลค่าการโอนฯ ในช่วง 2 ปี ที่มีการแพร่ระบาดของโควิด -19 ที่มีมูลค่าเพียงไตรมาสละ 9,979 ล้านบาทต่อไตรมาส   หากพิจารณาการโอนคอนโดให้คนต่างชาติสะสมในช่วง 9 เดือน ปี 2565 พบว่ามีจำนวน 7,290 ยูนิต เพิ่มขึ้น 19.0% มูลค่า 36,986 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 24.3% โดยมีพื้นที่โอน 337,914 ตร.ม.เพิ่มขึ้น  28.3% ซึ่งแสดงให้เห็นว่า การโอนคอนโดของคนต่างชาติในปี 2565 ที่ผ่านมา 3 ไตรมาสแล้วนั้นน่าจะแสดงให้เห็นได้ว่า ตลาดคอนโดคนต่างชาติในภาพรวมน่าจะมีการฟื้นตัวขึ้นแล้ว และการซื้อคอนโดของคนต่างชาติในช่วงก่อนหน้าได้มีการรับโอนอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีแรงซื้อใหม่จากชาวต่างชาติที่ไม่ใช่ผู้ซื้อชาวจีนเข้ามาทดแทนแรงซื้อคอนโดของชาวจีนที่หายไปจากข้อจำกัดการเดินทางออกนอกประเทศในช่วงที่ผ่านมาด้วยเช่นกัน ต่างชาติโอนคอนโดใหม่สูงขึ้น ในไตรมาส 3 ปี 2565 มีสัดส่วนยูนิตโอนคอนโดให้คนต่างชาติ 9.7% โดยเพิ่มสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีสัดส่วน 9.3% เพียงเล็กน้อย ขณะที่มูลค่าโอนคอนโดให้คนต่างชาติ มีสัดส่วน 18.6% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนมากพอสมควร และมีสัดส่วน 16.7% ส่วนพื้นที่คอนโดที่มีการโอนให้คนต่างชาติ มีสัดส่วน 12.9% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนเล็กน้อย ซึ่งมีสัดส่วน 12.0%   ในไตรมาส 3 ปี 2565 มีการโอนคอนโดให้คนต่างชาติเป็นคอนโดใหม่ต่อคอนโดมือสองเป็นอัตราส่วน 69.3% : 30.7% และพบว่าคอนโดใหม่มีการโอนเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ในขณะที่มูลค่าการโอนคอนโดให้คนต่างชาติเป็นคอนโดใหม่ต่อคอนโดมือสองเป็นอัตราส่วน 77.1% : 22.9% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าไตรมาสก่อนหน้า   ในส่วนพื้นที่ที่มีมูลค่าการโอนคอนโดให้คนต่างชาติเป็นคอนโดใหม่ต่อคอนโดมือสองเป็นอัตราส่วน 61.9% : 38.1% ซึ่งเป็นสัดส่วนพื้นที่คอนโดใหม่มีการโอนเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า แต่ในขณะเดียวกันคอนโดมือสองมีการโอนลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า   การที่สัดส่วนการโอนคอนโดให้คนต่างชาติเป็นคอนโดใหม่เพิ่มมากขึ้นทั้งจำนวนยูนิต มูลค่า และพื้นที่ โดยมีข้อสังเกตว่า คนต่างชาติอาจมีความต้องการคอนโดใหม่เพิ่มมากขึ้นและความต้องการอยู่ในทำเลพื้นที่ชั้นใน หรือ พื้นที่ใกล้ศูนย์กลางธุรกิจของเมือง ซึ่งในปัจจุบันมีอุปทานให้เลือกมากขึ้น ประกอบกับราคาคอนโดใหม่ในทำเลเหล่านี้มีให้เลือกเพิ่มมากขึ้น ทำให้คอนโดใหม่จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับคนต่างชาติ นอกเหนือจากสัญชาติจีนแล้ว ยังได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ซื้อจาก รัสเซีย สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร เยอรมัน และฝรั่งเศส ตามลำดับ ต่างชาตินิยมคอนโดราคาไม่เกิน 3 ล้าน ในไตรมาส 3 ปี 2565 คอนโดที่มีการโอนให้คนต่างชาติมากที่สุด จะอยู่ในช่วงราคาไม่เกิน 3.00 ล้านบาท โดยมีการโอนจำนวน 1,247 ยูนิต คิดเป็น 43.6% ของจำนวนยูนิตทั้งหมดจำนวน 2,860 ยูนิต รองลงมาคือ ระดับราคา 3.01 - 5.00 ล้านบาท มีจำนวน 784 ยูนิต คิดเป็น 27.4% ระดับราคา 5.01 - 7.50 ล้านบาท มีจำนวน 395 ยูนิต คิดเป็น 13.8% ระดับราคามากกว่า 10.00 ล้านบาทขึ้นไป มีจำนวน 260 ยูนิต คิดเป็น 9.1% และระดับราคา 7.51 - 10.00 ล้านบาท มีจำนวนน้อยที่สุด คือ 174 ยูนิต คิดเป็น 6.1% ตามลำดับ   ทั้งนี้ พบว่า คอนโดราคาไม่เกิน 3.00 ล้านบาท เป็นระดับราคาที่ชาวต่างชาติส่วนใหญ่นิยมโอนตั้งแต่ปี 2561 ถึงปัจจุบัน   ส่วนขนาดพื้นที่คอนโดที่เป็นที่นิยมของคนต่างชาติในไตรมาส 3 ปี 2565  คือ ขนาดพื้นที่ 31 - 60 ตร.ม. (ประเภท 1 - 2 ห้องนอน) โดยมีจำนวนยูนิตที่โอนให้คนต่างชาติ จำนวน 1,340 ยูนิต คิดเป็น 46.9% ขนาดพื้นที่ไม่เกิน 30 ตร.ม. (สตูดิโอ หรือ 1 ห้องนอน) มีจำนวน 998 ยูนิต คิดเป็น 34.9% ขนาดพื้นที่ 61-100 ตร.ม. (2 - 3 ห้องนอนขึ้นไป) จำนวน 359 ยูนิต คิดเป็น 12.6% ขนาดพื้นที่มากกว่า 100 ตร.ม. (3 ห้องนอนขึ้นไป) มีจำนวนน้อยที่สุด คือ 163 ยูนิต คิดเป็น 5.7% เมื่อพิจารณาย้อนหลังไปถึงปี 2561 พบว่า คอนโดขนาดไม่เกิน 30 ตร.ม. และขนาด 31- 60 ตร.ม. เป็นประเภทคอนโดที่คนต่างชาตินิยมมากที่สุด โดยมีสัดส่วนจำนวนยูนิตที่โอนรวมกันสูงกว่า 80% ในแต่ละไตรมาส   ส่วนในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 (มกราคม - กันยายน) จะพบว่า คอนโดที่ชาวต่างชาติโอน มีขนาดเฉลี่ย 46.4 ตร.ม.ต่อยูนิต มูลค่าเฉลี่ย 5.1 ล้านบาทต่อยูนิต หรือประมาณตร.ม.ละ 109,454 บาท ทั้งนี้ สัญชาติที่มีจำนวนยูนิตโอนสูงสุด 10 ลำดับแรกในปี 2565 พบว่า พม่าเป็นสัญชาติที่มีมูลค่าการโอนต่อยูนิตสูงสุด เฉลี่ย 7.1 ล้านบาทต่อยูนิต และอินเดีย เป็นสัญชาติที่โอนคอนโดขนาดใหญ่ที่สุดเฉลี่ย 70.7 ตร.ม. โดยชาวจีนซึ่งเป็นสัญชาติที่มีสัดส่วนการโอนคอนโดมากที่สุด จะมีมูลค่าการโอนเฉลี่ย 5.0 ล้านบาทต่อยูนิต และพื้นที่คอนโดเฉลี่ย 39.0 ตร.ม.ต่อยูนิต จีนแชมป์โอนคอนโดเยอะสุด ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 จะพบว่า ชาวจีน เป็นสัญชาติที่มีการโอนคอนโดมากที่สุดทั่วประเทศ มีการโอนคอนโดให้ชาวจีนไปแล้วทั้งหมด 3,562 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วนที่สูงถึง 48.9% ของยูนิตทั้งหมด   ส่วน 4 สัญชาติที่มีสัดส่วนการโอนอันดับรองลงมา ได้แก่ รัสเซีย จำนวน 420 ยูนิต คิดเป็น 5.8% สหรัฐอเมริกา จำนวน 375 ยูนิต คิดเป็น 5.1% สหราชอาณาจักร จำนวน 267 ยูนิต คิดเป็น 3.7% เยอรมัน จำนวน 231 ยูนิต คิดเป็น 3.2% ในส่วนของมูลค่าการโอนคอนโดทั่วประเทศให้คนต่างชาติทั่วประเทศช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565  จะพบว่ามีการโอนคอนโดให้ชาวจีน เป็นมูลค่าสูงสุด จำนวน 17,943 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนที่สูงถึง 48.5% ของมูลค่าทั้งหมด   ส่วน 4 สัญชาติที่มีสัดส่วนมูลค่าการโอนรองลงมาคือ สหรัฐอเมริกา จำนวน 1,611 ล้านบาท คิดเป็น 4.4% ฝรั่งเศส จำนวน 1,431 ล้านบาท คิดเป็น 3.9% รัสเซีย จำนวน 1,361 ล้านบาท คิดเป็น 3.7% และ เมียนมาร์ จำนวน 1,342 ล้านบาท คิดเป็น 3.6% จากข้อมูลที่พบในช่วง 9 เดือนแรก มีข้อสังเกตว่า ผู้รับโอนคอนโดชาวจีนมีจำนวน 3,562 คน คิดเป็น 48.9% และมีมูลค่า 17,943 ล้านบาท คิดเป็น 48.5% ของชาวต่างชาติที่โอนทั้งหมด ซึ่งเป็นประเด็นที่น่าสนใจว่า สัดส่วนการโอนคอนโดของผู้ซื้อชาวจีนได้ปรับลดลงเหลือประมาณ 50% จากที่ในปีช่วงก่อนหน้าอยู่ที่ประมาณ 55% - 60% ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจาการดำเนินนโยบาย Zero-COVID ในประเทศจีน ทำให้การเดินทางของชาวจีนมีข้อจำกัดในช่วงที่ผ่านมา   แต่ได้พบว่า กลุ่มผู้รับโอนในกลุ่มประเทศรัสเซีย ยุโรป และสหรัฐอเมริกาเริ่มมีสัดส่วนที่ปรับเพิ่มขึ้นกว่าปีก่อน และเป็นที่น่าสนใจอย่างมากอีกเช่นกันที่เราได้เห็นตัวเลขของหลายประเทศในกลุ่ม ASEAN ที่แม้ว่าจะมีจำนวนยูนิตและมูลค่าการซื้อไม่มากนัก แต่กลับมีสัดส่วนการโอนคอนโดปรับเพิ่มขึ้นทั้งจำนวนยูนิตและมูลค่าอย่างมีนัยสำคัญ ดังเช่น ชาวเมียนมาร์ กัมพูชา ลาว และเวียดนาม รวมถึงชาวมาเลเซียที่มีการเข้ามาซื้อคอนโดไทยอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา   ปรากฏการณ์เช่นนี้ อาจกล่าวได้ว่าเป็นอานิสงค์ที่ได้รับจาการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศไทยและประเทศต่าง ๆ มากขึ้น ดังนั้นจึงอาจคาดการณ์ได้ว่า การที่ประเทศจีนเปิดประเทศในครั้งนี้ น่าจะช่วยให้ตลาดคอนโดไทยสำหรับคนต่างชาติของไทยสามารถเติบโตได้อีกครั้งหนึ่ง 5 จังหวัดที่ต่างชาติโอนคอนโดสูงสุด ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2565 พบว่า จังหวัดที่มีจำนวนยูนิตโอนคอนโดให้คนต่างชาติสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี สมุทรปราการ ภูเก็ต และเชียงใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ใน 2 จังหวัดแรก คือ กรุงเทพฯ มีจำนวน 3,325 ยูนิต คิดเป็น 45.6% และชลบุรี จำนวน 2,155 ยูนิต คิดเป็น 29.6% ตามลำดับ โดยทั้ง 2 จังหวัดมีสัดส่วนจำนวนยูนิตรวมกันสูงถึง 75.2% ของทั่วประเทศ   ส่วนจังหวัดที่มีจำนวนมูลค่าโอนคอนโดให้คนต่างชาติสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี ภูเก็ต สมุทรปราการ และเชียงใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ใน 2 จังหวัดแรก คือ กรุงเทพฯ มีมูลค่า 25,030 ล้านบาท คิดเป็น 67.7% และชลบุรี มีมูลค่า 6,181 ล้านบาท คิดเป็น 16.7% ตามลำดับ โดยทั้ง 2 จังหวัดมีสัดส่วนมูลค่ารวมกันสูงถึง 84.4% ของทั่วประเทศ บทสรุปโอนคอนโดต่างชาติเริ่มฟื้นตัว จากการประมวลภาพของการโอนคอนโดให้คนต่างชาติทั้งหมด ทำให้เราเห็นได้ว่า ปริมาณทั้งในมิติของจำนวนยูนิต มูลค่า และพื้นที่ เริ่มฟื้นตัวกลับมาแล้ว แต่ยังคงต่ำกว่าช่วงที่ก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่มีข้อสังเกตต่อการเปลี่ยนแปลงนี้ว่า ตัวเลขการโอนเหล่านี้เป็นสิ่งสะท้อนการซื้อขายที่ผ่านมาในช่วง 1- 2 ปีที่ผ่านมา และเห็นว่าการซื้อขายคอนโดที่ผ่านมาสามารถโอนได้อย่างต่อเนื่อง และยังพบว่าคอนโดที่มีการโอนให้คนต่างชาติมีมากกว่า 30% เป็นคอนโดมือสอง   การเปิดประเทศและเริ่มดำเนินกิจกรรมในด้านต่าง ๆ ระหว่างประเทศทั่วโลก เริ่มเข้าสู่ภาวะปกติและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในประเทศไทยเริ่มฟื้นตัว  ซึ่งเป็นปัจจัยบวกที่สำคัญที่อาจจะช่วยทำให้จำนวนยูนิต มูลค่า และพื้นที่ในการซื้อและการโอนคอนโดให้คนต่างชาติที่อาจมีแนวโน้มที่ทรงตัวด้วยกลุ่มคนต่างชาติอื่นเข้ามาซื้อคอนโดในประเทศไทยมากขึ้น เช่น กลุ่มชาวยุโรป สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย รัสเซีย และอินเดีย นั้น เป็นการซื้อคอนโดที่เป็นคอนโดมือหนึ่งและมือสอง ซึ่งสามารถเข้ามาทดแทนผู้ซื้อชาวจีนได้เพียงบางส่วน เนื่องจากมีปริมาณการซื้อไม่มาก แต่ไม่อาจทดแทนกลุ่มผู้ซื้อชาวจีนหายไปจากตลาดได้ ซึ่งคาดว่ากลุ่มคนต่างชาติอื่นที่เข้ามาซื้อคอนโดในประเทศไทยมากขึ้น อาจส่งผลช่วยให้ยอดโอนคอนโดให้คนต่างชาติมีการเปลี่ยนแปลงในทิศทางที่ทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น อย่างไรก็ตาม การซื้อขายคอนโดที่เปิดตัวใหม่ ยังต้องพึ่งพาตลาดผู้ซื้อในประเทศเป็นหลัก และจากข่าวล่าสุดที่เป็นข่าวดีว่า  คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติของจีน (NHC) จะยกเลิกมาตรการกักตัวผู้ที่เดินทางจากต่างประเทศ โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 8 มกราคม 2566 แต่ผู้ที่จะเดินทางเข้าจีนยังคงต้องได้รับการตรวจแบบ PCR ก่อนขึ้นเครื่องจากประเทศต้นทางเป็นเวลา 48 ชั่วโมง และสำหรับการอนุญาตให้ประชาชนในจีนเดินทางออกนอกประเทศจะมีกลับมาเป็นเหมือนปกติอย่างค่อยเป็นค่อยไปอีกครั้งในเร็ว ๆ นี้ สิ่งนี้นับเป็นปัจจัยบวกที่ดีสำหรับตลาดคอนโดในประเทศไทย   แต่การกลับเข้ามาของนักท่องเที่ยวชาวจีน จะนำมาซึ่งการซื้อคอนโดเท่ากับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 หรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องติดตามดู เนื่องจากสัดส่วนของยูนิตและมูลค่าการโอนชาวจีนลดลงต่ำกว่า 50% ในปี 2565 จากเดิมเคยมีสัดส่วนสูงสุดถึงกว่า 60% ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจของจีนได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ประเทศ รวมถึงผลกระทบจากวิกฤตอสังหาริมทรัพย์ในประเทศจีน และนโยบายเศรษฐกิจจีนที่จะมุ่งเน้นการบริโภคในประเทศมากขึ้น อาจสรุปได้ว่า การเปิดประเทศของจีนจะส่งผลดีอย่างแน่นอนต่อภาคการท่องเที่ยวทันที แต่สำหรับอสังหาฯ ​คาดว่าจะได้รับผลดีอย่างชัดเจนในช่วงครึ่งหลังของปี 2566   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -Q2/65 ชาติไหนโอนคอนโดเยอะสุด -เปิด 10 อันดับต่างชาติโอนคอนโด Q2/65 จีนยังครองเบอร์ 1 ทั้งปริมาณและมูลค่า ​
​[PR News] ทุ่ม 600 ล้านบาท เปิดสาขา โฮมโปร ลาดกระบัง ดึงกำลังซื้อช่วงสิ้นปี ตั้งเป้ายอดขายกว่า 70 ล้านบาท ต่อเดือน

​[PR News] ทุ่ม 600 ล้านบาท เปิดสาขา โฮมโปร ลาดกระบัง ดึงกำลังซื้อช่วงสิ้นปี ตั้งเป้ายอดขายกว่า 70 ล้านบาท ต่อเดือน

โฮมโปร ลาดกระบัง “โฮมโปร” รุกสิ้นปี เปิดสาขาใหม่ ชิงยอดขาย ทุ่ม 600 ล้านบาท เปิดสาขา โฮมโปร “ลาดกระบัง” สาขาแห่งที่ 95 ดึงกำลังซื้อย่านชานเมืองฝั่งตะวันออก ที่กำลังขยายตัว และมีที่พักอาศัยกว่า 1.57 แสนหลังคาเรือน บนพื้นที่กว่า 8,000 ตร.ม. ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ที่ออกไปอยู่ชานเมืองมากขึ้น หวังเป้ายอดขายกว่า 70 ล้านบาท ต่อเดือน   นางสาวเสาวณีย์ สิราริยกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการกลุ่มการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ “โฮมโปร” เปิดเผยว่า บริษัทได้ทุ่มเงินลงทุนกว่า 600 ล้านบาท เปิดสาขาสแตนด์อโลนแห่งใหม่ โฮมโปร “ลาดกระบัง” สาขาแห่งที่ 95 บนทำเลศักยภาพที่ดีที่สุดในย่านชานเมืองกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออกรองรับความต้องการเรื่องบ้านของลูกค้าได้ครอบคลุมพื้นที่ ในเขตลาดกระบัง เขตประเวศ เขตสะพานสูง เขตมีนบุรี และจังหวัดสมุทรปราการ อำเภอบางพลี และอำเภอบางเสาธง ที่มีจำนวนครัวเรือนกว่า 157,136 หลังคาเรือน มีสัดส่วนบ้านแนวราบประมาณ 70% และแนวสูงประมาณ 30% คาดว่าจะสร้างยอดขายต่อเดือนได้ประมาณ 70 ล้านบาท โฮมโปร “ลาดกระบัง" ยังเป็นศูนย์การค้าที่ตอบสนองต่อไลฟ์สไตล์คนทำบ้าน ด้วยแนวคิด HOME INSPIRE ที่ทันสมัยขึ้น ดึงดูดกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาใช้บริการ ตกแต่งภายในที่เน้นสร้างประสบการณ์ และแรงบันดาลใจใหม่ ๆ มีการจัดเรียงสินค้าหน้าร้านที่ช่วยให้การเลือกซื้อสินค้าลงตัว พร้อมจุดประกายไอเดียแต่งบ้านครอบคลุมทุกเจเนอเรชั่น การจำหน่ายสินค้า​กลุ่มสมาร์ททีวี เครื่องใช้ไฟฟ้า นอกจากนี้โฮมโปรได้เพิ่มพื้นที่โซน PET Club ผลิตภัณฑ์เอาใจคนรักสัตว์เลี้ยง ให้บริการ และดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยงครบวงจร   โฮมโปร ลาดกระบัง ยังมีบริการที่ครอบคลุมทุกปัญหาเกี่ยวกับบ้าน เริ่มจาก โฮมโปรมีบริการส่งสินค้าฟรี ในรัศมี 10 กม. บริการติดตั้งสินค้าฟรี หรือแม้แต่การประกอบสินค้าฟรี ไม่ว่าสินค้านั้นจะเป็นชิ้นเล็ก หรือชิ้นใหญ่ ยังให้การรับประกันคุณภาพของงานแต่ละประเภทอีกด้วย ปัจจุบัน โฮมโปรมีสาขาทั้งสิ้น 95 สาขาในประเทศไทย และโฮมโปรในประเทศมาเลเซีย 7 สาขา และได้มีการขยายดำเนินธุรกิจในประเทศเวียดนามผ่านช่องทาง E-Marketplace  ในรูปแบบออนไลน์ ด้วยคอนเซปต์ “เราสร้างความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเพื่อทุกคน We Make a Better Living” และยังเป็นผู้นำในธุรกิจ Home Solution and Living Experience ในประเทศไทย และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -โฮมโปร เจอพิษกระทบโควิด-19 ทำรายได้-กำไรลดตามคาด
ศูนย์ข้อมูลฯ เปิดอินไซด์ตลาดอสังหาฯ EEC พร้อมส่องทำเลบ้าน-คอนโด ขายดี

ศูนย์ข้อมูลฯ เปิดอินไซด์ตลาดอสังหาฯ EEC พร้อมส่องทำเลบ้าน-คอนโด ขายดี

ศูนย์ข้อมูล ฯ เปิดอินไซต์ข้อมูลตลาดอสังหาฯ พื้นที่ EEC ในไตรมาส 3 ​ปี 2565 พร้อมทำเลฮอตขายบ้าน และคอนโด ได้ดีสุด หลังสินค้าพร้อมขาย แนวโน้มลดลงทั้งจำนวนและมูลค่า แต่ยังมียูนิตเหลือขายกว่า 47,300 ยูนิต ส่งผลยอดเปิดโครงการใหม่ต่ำสุด   ถ้านับพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญของเมืองไทย ที่รัฐบาลหวังจะเป็นศูนย์กลางทางด้านการผลิต การส่งออก และเมืองอุตสาหกรรม ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หนีไม่พ้นต้องเป็นพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ใน 3 จังหวัด คือ จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา   พื้นที่ EEC นอกจากสำคัญจากการเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ​ ที่ถือเป็นแหล่งงานสำคัญของไทยแล้ว อานิสงค์ยังต่อเนื่องมาสู่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อีกด้วย โดยเฉพาะที่อยู่อาศัย เพราะเมื่อมีแรงงาน ก็ต้องมีที่อยู่อาศัย ซึ่งไม่ใช่แค่คนไทย แต่ยังรวมถึงแรงงานต่างชาติอีกจำนวนมากด้วย   แต่จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ทำให้ตลาดอสังหาฯ หลายแห่งออกอาการไม่ค่อยดี เพราะในพื้นที่ EEC ส่วนหนึ่งก็พึ่งพากลุ่มลูกค้าต่างชาติ แม้จะมีฐานลูกค้าคนไทยอยู่บ้าง แต่ยอดขายก็หายไปพอสมควร   ตอนนี้เราจึงจะมาอัปเดตสถานการณ์ตลาดอสังหาฯ ในพื้นที่ EEC ล่าสุดในช่วง ไตรมาส 3 ที่ผ่านมา จากการลงพื้นที่สำรวจของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) ว่ามีทิศทางอย่างไรกันบ้างแล้วตอนนี้ ยูนิตเหลือขายลดลง 9.11% จากการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยเสนอขายในพื้นที่ 3 จังหวัด  ช่วงไตรมาส 3 ปี 2565 พบว่า มีจำนวน 54,116 ยูนิต ลดลง -9.11% มูลค่ารวม 184,985 บาท ลดลง -9.94% ในจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็น คอนโดมิเนียม (อาคารชุด) จำนวนยูนิต 17,998 ยูนิต ลดลง -10.16% มูลค่า 77,667 ล้านบาท ลดลง -13.45% บ้านจัดสรร จำนวน 36,118 ยูนิต ลดลง – 8.57% มูลค่า 107,318 ล้านบาท ลดลง  -8.50% โครงการใหม่ โครงการใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 4,117 ยูนิต เพิ่มขึ้น 16.89% โครงการใหม่เข้าสู่ตลาดมูลค่า 12,516 ล้านบาท ลดลง -9.38% ทำเลฮอตเปิดคอนโด คอนโด เกือบทั้งหมดจะเปิดในจังหวัดชลบุรี  ซึ่งพบว่าโครงการคอนโดเปิดขายใหม่ ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2565 กระจายอยู่ในทำเลย่านนิคมอุตสาหกรรมและพื้นที่ต่อเชื่อม  โดย 3 ทำเล ซึ่งโครงการคอนโดเสนอขายใหม่มากที่สุดในพื้นที่ 3 จังหวัด EEC ประกอบด้วย อันดับ 1 นิคมฯอมตะนคร-บายพาส จำนวน 497 ยูนิต มูลค่า 596  ล้านบาท มูลค่าสูงเป็นอันดับ 4 อันดับ 2 บางแสน-หนองมน-บางพระ จำนวน 491 ยูนิต มูลค่า 1,186 ล้านบาท มูลค่าสูงเป็นอันดับ 1 อันดับ 3 สัตหีบ-อู่ตะเภา จำนวน 262 ยูนิต มูลค่า 985 ล้านบาท มูลค่าสูงเป็นอันดับ 3 ทำเลฮอตเปิดบ้านจัดสรร บ้านจัดสรรในไตรมาส 3 มีการเปิดตัวโครงการใหม่ในฉะเชิงเทรามากกว่าจังหวัดชลบุรีและระยอง ส่วนทำเลที่มีโครงการบ้านจัดสรรเปิดขายใหม่สูงสุด อยู่ในพื้นที่จังหวัดฉะเชิงเทรา รวมถึงในพื้นที่ต่อเชื่อมนิคมอุตสาหกรรมเช่นเดียวกัน ประกอบด้วย อันดับ 1 ในเมืองฉะเชิงเทรา จำนวน 804 ยูนิต มูลค่า 1,997 ล้านบาท  มูลค่าสูงเป็นอันดับ 1 อันดับ 2 นิคมฯ สหพัฒน์ -ปิ่นทอง  จำนวน 335 ยูนิต มูลค่า 484 ล้านบาท มูลค่าสูงเป็นอันดับ 7 อันดับ 3 นิคมฯอมตะนคร-บายพาส จำนวน 290 ยูนิต มูลค่า 783 ล้านบาท  มูลค่าสูงเป็นอันดับ 3 ทำเลขายบ้านและคอนโดได้ดี ที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2565 ขายได้จำนวน 6,740 ยูนิต ลดลง -14.34% ขายได้มูลค่า 21,113 ล้านบาท ลดลง -15.15% การขายได้ของประเทภคอนโด ขายได้จำนวน 1,617 ยูนิต ลดลง -16.91% ขายได้มูลค่า 5,946  ล้านบาท ลดลง -20.62% การขายได้ของประเภทบ้านจัดสรร ขายได้จำนวน 5,123 ยูนิต ลดลง -13.49% ขายได้มูลค่า 17,389 ล้านบาท ลดลง -12.79% การขายประเภทบ้านจัดสรรประมาณกว่า 75% ของยูนิตขายทั้งหมดใน 3 จังหวัด EEC ส่วนคอนโดเกือบทั้งหมดขายได้ในจังหวัดชลบุรี ทั้งนี้ ศูนย์ข้อมูล ฯ พบว่าอัตราดูดซับลงมาอยู่ที่ 4.2% ลดลงกว่าไตรมาสก่อนหน้าแต่ดีกว่าในช่วงไตรมาสแรก หากแยกตามประเภทที่อยู่อาศัย พบว่าบ้านจัดสรรมีอัตราดูดซับสูงกว่าโครงการคอนโด โดยมีอัตราดูดซับ 4.7% ขณะที่อัตราดูดซับคอนโดอยู่ในระดับ 3.0% และระดับราคาที่มีอัตราดูดซับดีที่สุดอยู่ในกลุ่มของทาวน์เฮ้าส์ โดยอัตราดูดซับอยู่ที่ 5.0% โดยกลุ่มราคาน้อยกว่า 1.00 ล้านบาท อัตราดูดซับปรับตัวดีขึ้นจาก 3.2% มาอยู่ที่ร้อยละ 4.4 ขณะที่อัตราดูดซับกลุ่มราคาอื่นปรับตัวลดลง 3 ทำเลที่มียอดคอนโดขายได้ใหม่มากที่สุด  อันดับ 1 หาดจอมเทียน จำนวน  402 ยูนิต มูลค่า  2,166  ล้านบาท  มูลค่าสูงเป็นอันดับ 1 และมีอัตราดูดซับ 2.2% อันดับ 2 พัทยา-เขาพระตำหนัก จำนวน  269 ยูนิต มูลค่า 1,566 ล้านบาท มูลค่าสูงเป็นอันดับ 2 และมีอัตราดูดซับ 2.0% อันดับ 3 นิคมฯอมตะ-บายพาส จำนวน  236 ยูนิต มูลค่า 287 ล้านบาท มูลค่าสูงเป็นอันดับ 6 และมีอัตราดูดซับ 11.4% 3 ทำเลที่มียอดขายบ้านจัดสรรสูงสุด  อันดับ 1 นิคมฯอมตะซิตี้-อีสเทิร์น จำนวน  930 ยูนิต มูลค่า  1,842 ล้านบาท  มูลค่าสูงเป็นอันดับ 1 และมีอัตราดูดซับ 5% อันดับ 2  นิคมฯเหมราช จำนวน 467 ยูนิต มูลค่า 1,258 ล้านบาท  มูลค่าสูงเป็นอันดับ 2 และมีอัตราดูดซับ 5.7% อันดับ 3  นิคมฯอมตะนคร-บายพาส จำนวน 348 ยูนิต มูลค่า 1,019 ล้านบาท  มูลค่าสูงเป็นอันดับ 5 และมีอัตราดูดซับ 4.9% ทำเลคอนโด-บ้าน เหลือเยอะสุด การที่การขายได้ใหม่มากกว่าการเปิดตัวได้ส่งผลให้ ยูนิตเหลือขาย ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2565 มีจำนวน 47,376 ยูนิต มูลค่า 163,872 ล้านบาท จำนวนยูนิตลดลง -8.32% มูลค่าลดลง -9.23%  ในจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็นประเภทคอนโด 16,381 ยูนิต มูลค่า 71,720 ล้านบาท จำนวนยูนิตลดลง -9.44% มูลค่าลดลง -11.05% เป็นประเภทบ้านจัดสรร 30,995 ยูนิต มูลค่า 92,151 ล้านบาท จำนวนยูนิตลดลง -7.71% มูลค่าลดลง -7.76% 3 ทำเลคอนโด เหลือขายมากที่สุด  อันดับ 1 หาดจอมเทียน จำนวน 5,742 ยูนิต มูลค่า 29,066 ล้านบาท  มูลค่าสูงเป็นอันดับ 1 อันดับ 2 พัทยา-เขาพระตำหนัก จำนวน 4,287 ยูนิต  มูลค่า 24,552 ล้านบาท มูลค่าสูงเป็นอันดับ 2 อันดับ 3 แหลมฉบัง จำนวน 1,564 ยูนิต มูลค่า 2,797 ล้านบาท มูลค่าสูงเป็นอันดับ 5 3 ทำเลบ้านจัดสรร เหลือขายสูงสุด  อันดับ 1 นิคมฯอมตะซิตี้-อีสเทิร์น  จำนวน 5,247 ยูนิต มูลค่า 10,546 ล้านบาท มูลค่าสูงเป็นอันดับ 1 อันดับ 2 นิคมฯพานทอง-พนัสนิคม จำนวน 2.339 ยูนิต  มูลค่า 5,454 ล้านบาท มูลค่าสูงเป็นอันดับ 9 อันดับ 3 นิคมฯเหมราช จำนวน  2,274 ยูนิต มูลค่า 5,682  ล้านบาท มูลค่าสูงเป็นอันดับ 4 ตลาดอสังหาฯ 66 อยู่ในช่วงปรับตัว ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า จากจำนวนยูนิตเสนอขายทั้งหมดในพื้นที่ EEC พบว่าที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดส่วนใหญ่เปิดขายอยู่ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี ขณะที่ระยอง และฉะเชิงเทราเน้นการเปิดขายโครงการใหม่ประเภทบ้านจัดสรรเป็นหลัก   มีประเด็นที่น่าจับตาคือ ที่อยู่อาศัยที่เสนอขายทั้งหมดในตลาดเริ่มลดลงอย่างชัดเจนตั้งแต่ปี 2564 และการเปิดตัวใหม่ในไตรมาส 3 ถือว่าต่ำที่สุดทั้งก่อน และระหว่างเกิดปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเป็นที่น่าสังเกตว่าการเปิดตัวโครงการใหม่จะกระจุกตัวอยู่ในพื้นที่โซนอุตสาหกรรม ขณะที่อัตราการดูดซับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากการขายได้เพิ่มขึ้นของโครงการแนวราบโดยเฉพาะที่อยู่อาศัยประเภททาวน์เฮ้าส์   อย่างไรก็ตาม ศูนย์ข้อมูล ฯ​ ประเมินภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่ 3 จังหวัด EEC ในปี 2566 สถานการณ์โดยรวมจะยังคงอยู่ในช่วงของการปรับตัวอีกครั้ง หลังจากที่ธนาคารแห่งประเทศไทยซึ่งประกาศนโยบายชัดเจนในเรื่องของการนำกฎเกณฑ์ LTV กลับมาใช้  ส่งผลให้การเปิดขายโครงการใหม่มีแนวโน้มจะลดลง ตลาดที่อยู่อาศัยใน EEC จะยังคงถูกขับเคลื่อนโดยโครงการบ้านจัดสรร และผู้ประกอบการพัฒนาอสังหาฯ ​ยังคงเน้นการขายสินค้าคงค้างในทำเล และการพัฒนาที่อยู่อาศัยในระดับราคาที่เหมาะสมความสามารถของในการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้ซื้อที่ยังไม่สูงนัก อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ชี้ที่อยู่ปี 65 ยังเติบโต หลังดัชนีรวมตลาด Q3 เพิ่ม 30.4% -ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ แนะตลาดบ้าน-คอนโด ต้องต้องเฝ้าระวัง  5 เรื่องนี้  
5 ไฮไลท์ มูจิ โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ ต้นแบบโมเดลโรดไซด์

5 ไฮไลท์ มูจิ โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ ต้นแบบโมเดลโรดไซด์

หลังจากที่ มูจิ (MUJI) แบรนด์สินค้าล์ไลฟ์สไตล์จากประเทศญี่ปุ่น ได้เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2549 ในรูปแบบของธุรกิจแฟรนไชส์ โดยสามารถขยาย จำนวนสาขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนในปี 2556 ได้จับมือกับบริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด ในสัดส่วนที่เท่ากัน จัดตั้ง​บริษัท มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด โดยปัจจุบันสามารถขยายธุรกิจจนมีสาขา 29 แห่งโดยรวมร้านมูจิ โรบินสันไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ สาขาใหม่ล่าสุด เพื่อจำหน่ายสินค้ามากกว่า 3,000 รายการ  ซึ่งถือว่าเป็นสาขาคอนเซ็ปต์ใหม่แห่งแรก กับร้าน​โมเดลโรดไซด์ ​5 ไฮไลท์ มูจิ โมเดลโรดไซด์ นายอกิฮิโร่ คาโมการิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า การเปิดสาขา โรบินสันไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ สาขาที่ 29 ซึ่งเป็นสาขาขนาดใหญ่ นับเป็นการเปิดร้านโมเดลโรดไซด์ หรือ ร้านรูปแบบใกล้ริมถนน สาขาแรกที่เปิดกับศูนย์การค้าขนาดใหญ่ติดถนน โดยหากประสบความสำเร็จจะพัฒนาและขยายสาขาใหม่ ภายใต้โมเดลดังกล่าวต่อไปในอนาคต ปัจจุบันสาขาที่มีขนาดใหญ่พื้นที่มากกว่า 1,000 ตร.ม. มีอยู่ 11 แห่ง โดยสาขาส่วนใหญ่พื้นที่จะอยู่ที่ 500-800 ตร.ม.   ขณะที่แผนในปี​ 2566 ตั้งเป้าหมายเปิดสาขาใหม่ 5-6 แห่ง ซึ่งจะเน้นการขยายสาขาในต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น อาทิ เชียงใหม่ และอีก 1 จังหวัดในภาคใต้  เนื่องจากปัจจุบันสาขาส่วนใหญ่​ 90% จะอยู่ในกรุงเทพ ฯ และปริมณฑล ส่วนสาขาต่างจังหวัดปัจจุบันมีอยู่ 3 แห่ง ได้แก่  เซ็นทรัลชลบุรี เซ็นทรัลศรีราชา และเซ็นทรัลเชียงใหม่ รวมถึงวางแผนรีโนเวตสาขาเดิมให้มีพื้นที่เพิ่มขึ้นอีก 7 สาขา ส่วนปี 2567 ตั้งเป้าจะเปิดเพิ่มอีก 10 แห่ง   สำหรับมูจิ สาขาโรบินสันไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ ถือว่าเป็นสาขาที่มีความแปลกใหม่ และมีไฮไลท์ที่น่าสนใจ รวมถึงการมีสินค้าที่จำหน่ายเฉพาะที่สาขาแห่งนี้ด้วย ซึ่งในส่วนไฮไลท์นั้น มีอยู่ 5 เรื่องสำคัญ คือ 1.สาขาแรกในรูปแบบ 2 ชั้น ถือเป็นสาขาแรกของมูจิ ที่มีร้านในรูปแบบ 2 ชั้น ซึ่งเป็นร้าน​โมเดลโรดไซด์ หรือ ร้านรูปแบบใกล้ริมถนน สาขาแรกที่เปิดกับศูนย์การค้าขนาดใหญ่ติดถนน  มีขนาดพื้นที่รวม 1,700 ตารางเมตร โดยแบ่งเป็นพื้นที่บริเวณร้านชั้น 1 มีขนาดกว่า 900 ตารางเมตร และชั้น 2 มีขนาดกว่า 800 ตารางเมตร และสาขาแห่งนี้เป็นสาขา 29 ที่เข้ามาเปิดร้านจำหน่ายสินค้าในเมืองไทย 2.โซนสินค้าราคาต่ำกว่า 300 บาท รวบรวมสินค้าคุณภาพที่เป็นที่นิยมในหลากหลายหมวดหมู่ ที่มีราคาต่ำกว่า 100 บาท 200 บาท และ 300 บาท อาทิ ไม้ทำความสะอาด 35 บาท กระดาษซับหน้า 39 บาท ใยอาบน้ำ 39 บาท รองเท้าแตะในบ้าน 99 บาท ผ้าขนหนู 99 บาท เบาะรองนั่ง 290 บาท พรมเช็ดเท้า 150 บาท กระบอกน้ำอะคริลิค 250 บาท เป็นต้น 3.บริการออกแบบภายใน มูจิ สาขาโรบินสันไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ ยังมีโซนเครื่องใช้ในบ้านและเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน ขนาดพื้นที่ใหญ่กว่า 100 ตร.ม. ที่มีการนำสินค้าคอลเลกชันใหม่มาให้เลือกหลากหลาย อาทิ เตียงนอนครบทุกขนาดไซส์และทุกดีไซน์ แถมยังมีการให้บริการปรึกษาด้านออกแบบภายใน หรือ​ MUJI Interior Consultation Service อีกด้วย 4.โซน MUJI Green & Normal Shop จากแนวคิดในการดำเนินธุรกิจ “ประหยัดทรัพยากรธรรมชาติ” ออกแบบอย่างเรียบง่าย “ไม่มียี่ห้อ” และราคาสมเหตุสมผล ตั้งแต่วันเริ่มต้นก่อตั้งธุรกิจ เป็นปรัชญาที่ปัจจุบันก็ยังคงยึดถืออยู่ ทำให้ในร้านของมูจิ มีโซนสินค้าจากธรรมชาติ (Normal Shop) รวมถึงรีฟิลสินค้าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสบู่ น้ำยาทำความสะอาดเสื้อผ้า แชมพูสระผม ในราคาย่อมเยา เพื่อสนับสนุนแนวคิด Zero Waste ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม  และโซนสินค้าต้นไม้ (MUJI Green) ที่เหมาะกับการปลูกเลี้ยงในบ้าน ​เพราะคิดว่าสินค้าอีโคไลฟ์สไตล์นั้นดีต่อตัวเอง และดีต่อสิ่งแวดล้อม 5.ขายสินค้าเฉพาะคนไทย คอนเซ็ปต์ ASEAN MD การนำสินค้าเข้ามาจำหน่ายในเมืองไทย นอกจากจะเป็นสินค้าที่คนไทยชื่นชอบ และได้รับความนิยมมากแล้ว สิ่งหนึ่งที่เป็นแนวคิดในการทำธุรกิจของมูจิ คือ การขายสิค้าให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์และการใช้งานเฉพาะคนในแต่ละประเทศ จึงเป็นที่มาของการพัฒนาและผลิตสินค้าเฉพาะในประเทศไทย หรือตามคอนเซ็ปต์ ​ASEAN MD (ASEAN Merchandise)   ปัจจุบันสินค้าที่พัฒนาและจำหน่ายเฉพาะในประเทศ มีด้วยกันอยู่ 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย สิงค์โปร์ มาเลเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์  มีสินค้าครอบคลุมทุกกลุ่ม อาทิ ​ กลุ่มเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย กลุ่มสินค้าของใช้ภายในบ้าน กลุ่มเฟอร์นิเจอร์ กลุ่มเฮลท์แอนด์บิวตี้ และกลุ่มอิเลคทรอนิกส์ สำหรับประเทศไทยสินค้า ASEAN MD มีสัดส่วน 30%ของสินค้าภายในร้าน อาทิ -ม็อบถูพื้น เป็นสินค้าชนิดแรกที่มูจิ พัฒนาและผลิตขึ้นมาจำหน่ายให้กับคนไทยโดยเฉพาะ เนื่องจากคนไทยมีการถูพื้นบ้านหรือพื้นห้อง ต่างจากบ้านที่ประเทศญี่ปุ่นที่มีการปูเสื่อ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ไม้ม็อบสำหรับถูกพื้นบ้าน -เฟอร์นิเจอร์ไม้ยางพารา เป็นสินค้าอีกกลุ่มหนึ่งที่คนไทยต้องการ และชื่นชอบ ทำให้มูจิผลิตสินค้ากลุ่มเฟอร์นิเจอร์จากยางพาราออกมาจำหน่าย เริ่มต้นเป็นที่วางรองเท้าและวางนิตยสาร ขณะที่เฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ เช่น โครงเตียง วางแผนนำมาจำหน่ายในอนาคต​ -หมอนข้าง คนญี่ปุ่นไม่นิยมนอนกอดหมอนข้าง แต่สำหรับคนไทยหมอนข้างยังคงเป็นสิ่งจำเป็นที่หลายคนต้องมีอยู่บนเตียงนอน ทำให้มูจิพัฒนาหมอนข้างออกมาจำหน่าย แต่เป็นในรูปแบบหมอนขนาดยาว ซึ่งสามารถใช้หนุนนอนได้ หรือจะปรับเป็นหมอนข้างเพื่อนอนกอดก็ได้เช่นกัน สินค้ากลุ่ม ASEAN MD จะมีนำเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และครอบคลุมในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ปัจจุบันสินค้ายังเป็นนำเข้าจากต่างประเทศมาจำหน่าย ซึ่งพบปัญหาสำคัญในเรื่องการขออนุญาตการนำเข้า และการขึ้นทะเบียนได้รับอนุญาตจากหน่วยงานต่าง ๆ ทำให้สินค้ามีความล่าช้าในการนำเข้ามาจำหน่าย ในอนาคตมูจิวางแผนผลิตสินค้า ASEAN MD ขึ้นภายในเทศไทยด้วย ​ 4 สินค้าที่วางขายครั้งแรกในไทย สำหรับสิ่งที่ มูจิ จะนำมาวางจำหน่ายที่แรกในไทย กับสาขาโรบินสันไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ นั้นมีดังนี้ -สินค้าสกินแคร์และดูแลเส้นผม โดยมีการเพิ่มกลิ่นส้ม กลิ่นฟลอรัล และกลิ่นเลม่อน ในกลุ่มสินค้าสกินแคร์และดูแลเส้นผม เข้ามาวางจำหน่ายเป็นที่แรก ก่อนนำไปวางขายในสาขาอื่น ๆ ในปีหน้า พร้อมกับปรับลดราคาสินค้าลง จากราคา 149 บาท ราคา 129 บาท ในสินค้าโฟมล้างหน้า และสบู่ -แกงกะหรี่ 5 รสชาติ สินค้ากลุ่มอาหารนำเข้าจากญี่ปุ่น มูจิมีขายอยู่แล้วหลากหลายชนิด และได้รับความนิยมในหมู่คนไทยเสียด้วย การขยายสาขามูจิ โรบินสันไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ จึงได้นำเอาแกงกะหรี่ พร้อมทาน MUJI CURRY ซึ่ง​เป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในญี่ปุ่น มาวางขายในประเทศไทยเป็นครั้งแรก มี 5 รสชาติ ได้แก่  BUTTER CHICHKEN CURRY, DHAL CURR, CHICKEN RENDANG, CHICKEN MASAK LEMAK และ CHICHKEN KEEMA CURRY ในราคา 139 บาท ส่วนสาขาอื่น ๆ จะมีการวางจำหน่ายต่อไป -ขนมอบร้อน ปัจจุบันมูจิ มีการเปิดโซน MUJI Coffee Corner ที่จำหน่ายเครื่องดื่มและเบอเกอรี่หลากหลายชนิด โดยมีสาขาอยู่ประมาณ​ 11-12 แห่ง แต่สำหรับสาขาโรบินสันไลฟ์สไตล์แห่งใหม่นี้ ได้มีการเพิ่มไฮไลท์เมนูใหม่เป็นเบเกอรี่สไตล์ตะวันตกแบบ​ Hot Menu อาทิ ครัวซองท์แซนวิช ริงแซนวิช เดนิช และพานินี่ วางขายในราคา 59 -119 บาท -ไอศกรีมซอฟท์เสิร์ฟ นอกจากจำหน่ายเบกอรี่แล้ว มูจิ สาขาโรบินสันไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ ได้มีการเพิ่มสินค้าเป็นเมนูใหม่และวางขายเป็นที่แรก คือ ไอศกรีมซอฟท์เสิร์ฟ (MULI Soft Serve) รสชาเขียว (Green Tea) และรสนมฮอกไกโด (Hokkaido Milk) ซึ่งมีทั้งแบบ Cone ในราคา 89 บาท และ Cup ราคา 69 บาท โดยจะจำหน่าย Exclusive จำกัดระยะเวลาจำหน่ายไอศกรีม Soft Serve เพียง 3 เดือนเท่านั้น -เสื้อผ้ากอซทอสองชั้น เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย ที่มูจิ สาขาโรบินสันไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ ได้วางจำหน่ายชุดเครื่องแต่งกายทั้งผู้หญิง และผู้ชายที่ทอจากผ้ากอซสองชั้น เป็นที่แรกที่วางขายในประเทศไทย ซึ่งเนื้อผ้ากอซทอสองชั้น จะมีความโปร่งสบาย ให้ความนุ่มนวล และยังคงผลิตจากฝ้ายออร์แกนิกเหมือนเดิม   ทั้งหมดคือเรื่องราวของ มูจิ สาขาโรบินสันไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ ที่พร้อมเปิดให้บริการช้อปปิ้งได้แล้วตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2565 พร้อมโปรโมชั่นต่าง ๆ มากมาย​   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -‘เอพี ไทยแลนด์’ จับมือ ‘มูจิ’ ไลฟ์สไตล์แบรนด์ดังระดับโลก นำเสนอพื้นที่พักอาศัยสไตล์ญี่ปุ่น ผสานชีวิตส่วนตัวและการทำงานอย่างลงตัว
อัปเดต ค่ารถไฟฟ้า และการเปิดให้บริการเส้นทางใช้ใหม่ ในปี 2566

อัปเดต ค่ารถไฟฟ้า และการเปิดให้บริการเส้นทางใช้ใหม่ ในปี 2566

อัปเดต ค่ารถไฟฟ้า และการเปิดให้บริการเส้นทางใช้ใหม่ ในปี 2566 คนกรุงเตรียมเฮ เปิดเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพู และสีเหลือง แต่เส้นทางรถไฟฟ้าเดิมปรับราคาขึ้นสูงสุดถึง 3 บาท   นับตั้งแต่เมืองไทยเรามีรถไฟฟ้าสายแรก คือ รถไฟฟ้าบีทีเอส สายสีเขียว ให้คนไทยได้นั่งโดยสารกันในวันที่ 5 ธันวาคม 2542 ตอนนี้ก็เป็นระยะเวลา 23  ปีแล้ว ซึ่งตามแผนการพัฒนารถไฟฟ้าของเมืองไทย จะมีรถไฟฟ้ามากถึง 13 สี ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ระยะทางกว่า 553.41 กิโลเมตร จำนวน 365 สถานี ซึ่งหากการพัฒนาเป็นไปตามแผนในปี  2572 เมืองไทยจะมีรถไฟฟ้าวิ่งให้บริการครบทั้ง 13 สี​ ​แต่แผนกับการปฏิบัติจริงอาจจะไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกัน ระหว่างทางอาจจะมีการปรับเปลี่ยนหรือติดปัญหาอะไรก็เป็นไปได้ คงต้องติดตามข่าวสารกันต่อไป   แต่สำหรับปี 2566 คนไทยจะมีโอกาสได้นั่งรถไฟฟ้าสีใหม่ที่เปิดบริการอีก 2 สี 2 เส้นทางแล้ว หลังรอคอยมาเป็นเวลานานพอสมควร กับรถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี ระยะทาง 34.5 กิโลเมตร และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ระยะทาง 30.4 กิโลเมตร รถไฟฟ้าสายสีชมพูเปิดส.ค.66 รถไฟฟ้าสายสีชมพู ช่วงแคราย-มีนบุรี อัปเดตเดือนพฤศจิกายน 2565 ตอนนี้มีความคืบหน้าด้านงานโยธา 93.85% ความก้าวหน้างานระบบรถไฟฟ้า 94.12% ความก้าวหน้าโดยรวม 94.00% เบื้องต้นมีแผนจะเปิดทดลองให้บริการ สำหรับเป็นกลุ่มผู้ใช้บริการที่ขอเข้ารับการทดลอง (Control Group Public Trial Run) ตั้งแต่สถานีมีนบุรี-สถานีศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคม 2566 ระยะเวลา 1 เดือนและเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ภายในเดือนสิงหาคม 2566  ส่วนค่าโดยสารเบื้องต้นคาดว่าจะจัดเก็บ  15-45* บาท โดยจะมีการคำนวณอีกครั้งจากค่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนพฤษภาคม 2566   รถไฟฟ้าสีชมพู เป็นระบบขนส่งมวลชนสายรองประเภทรถไฟฟ้ารางเดี่ยว (Straddle Monorail) ที่เป็นทางยกระดับตลอดเส้นทาง รวมระยะทางให้บริการ 34.5 กิโลเมตร ประกอบด้วยสถานีทั้งหมด 30 แห่ง โครงสร้างสถานีเป็นลักษณะโครงสร้างยกระดับเหนือพื้นผิวถนน ชานชาลาของสถานีจะอยู่ในรูปแบบของชานชาลาด้านข้างหรืออยู่ตรงกลางขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของใน แต่ละสถานี   นอกจากรถไฟฟ้าสายสีชมพูจะมีเส้นทางแคราย-มีนบุรีแล้ว ยังมีสายสีชมพูส่วนต่อขยายช่วงสถานีศรีรัช - เมืองทองธานี (โครงการส่วนต่อขยายฯ) ในแผนแม่บทระบบขนส่งมวลชนทางรางในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลด้วย ​​โดยจะเป็นระบบขนส่งมวลชนประเภทรถไฟรางเดี่ยว (Straddle Monorail) มีลักษณะเป็นโครงสร้างยกระดับตลอดเส้นทาง มีจุด​​เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีชมพูสายหลัก ที่สถานีเมืองทองธานี (PK10) เข้าสู่ ซอยแจ้งวัฒนะ - ปากเกร็ด 39 ไปสิ้นสุดที่บริเวณทะเลสาบในเมืองทองธานี ระยะทางโดยประมาณ 3 กิโลเมตร​ประกอบด้วย 2 สถานี สถานีที่ 1 สถานีอิมแพ็ค เมืองทองธานี (MT01) และสถานีที่ 2 สถานีทะเลสาบ เมืองทองธานี (MT02) รถไฟฟ้าสายสีเหลืองเปิดมิ.ย.66 รถไฟฟ้าอีกหนึ่งสีที่คนไทยจะได้นั่งกัน คือ รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ที่วางแผนกันไว้ว่าจะเปิดให้บริการสำหรับกลุ่มผู้ใช้บริการที่ขอเข้ารับการทดลอง (Control Group Public Trial Run) ตลอดทั้งสาย ภายในเดือนพฤษภาคม 2566 ระยะเวลา 1 เดือน และเปิดให้บริการเชิงพาณิชย์ภายในเดือนมิถุนายน 2566  โดยอัตราค่าโดยสารจะอยู่ประมาณ 15-45** ซึ่งจะมีการคำรวนจากค่าดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมีนาคม 2566 อีกครั้ง   ส่วนอัปเดตงานก่อสร้างล่าสุด เดือนพฤศจิกายน 2565 ดำเนินงานไปได้แล้วถึง​ 97.73% ความก้าวหน้างานระบบรถไฟฟ้า 97.72% ความก้าวหน้าโดยรวม 97.73% โดยรถไฟฟ้าสายสีเหลือง เป็นโครงสร้างยกระดับตลอดแนวเส้นทาง มีระยะทางทั้งสิ้น 30.4 กิโลเมตรรวม 23 สถานี แบ่งโครงการออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงรัชดา/ลาดพร้าว–พัฒนาการ และช่วงพัฒนาการ–สำโรง ซึ่งใช้ระบบรถไฟฟ้ารางเดี่ยว หรือ Monorail ตลอดเส้นทาง อัปเดตค่ารถไฟฟ้าปี 66 ปรับขึ้นเท่าไร? นอกจากปีหน้าเราจะได้นั่งรถไฟฟ้าสีใหม่ เส้นทางใหม่อีก 2 สี 2 เส้นทางแล้ว รถไฟฟ้าสายเดิมที่วิ่งให้บริการอยู่ ก็จะพาเหรดกันปรับขึ้นราคาขึ้น กันหลายสายเลยทีเดียว โดยมีการคิดค่าโดยสารเพิ่มขึ้นตั้งแต่ 1-3 บาท   สำหรับอัปเดตค่ารถไฟฟ้าปี 2566 ที่ปรับขึ้นมีดังนี้ 1.BTS สายสีเขียว ปรับขึ้นสูงสุด 3 บาทต่อเที่ยว สำหรับรถไฟฟ้าบีทีเอส มีการปรับค่าโดยสารเริ่มต้นสถานีแรก 17 บาท จากก่อนหน้าเริ่มต้น 16 บาท และสูงสุดต่อเที่ยวเดินทาง คือ 47 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 3 บาท จากก่อนหน้าที่คิด ​44​ บาท มีกำหนดเริ่มคิดค่าโดยสารใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมนี้   โดยอัตราค่าโดยสารเริ่มต้นของรถไฟฟ้าบีทีเอส ครั้งแรกกำหนดราคา 10-40 บาท หลังจากนั้นได้มีการปรับราคาใหม่ ซึ่งตลอดระยะเวลา 23 ปีของการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าบีทีเอสนั้น มีการปรับค่าโดยสารมาแล้ว 3 ครั้ง ดังนี้ ครั้งที่ 1 วันที่ 1 ธันวาคม 2549 ปรับราคาเป็น 15-40 บาท ครั้งที่ 2 วันที่ 1 มิถุนายน 2556 ปรับราคาเป็น 15-42 บาท ครั้งที่ 3 วันที่ 1 ตุลาคม 2560 ปรับราคาเป็น 16-44 บาท ตามเงื่อนไขสัญญาสัมปทาน ทางบีทีเอสสามารถปรับขึ้นได้ทุก ๆ 18 เดือน ​แต่การปรับขึ้นทางบีทีเอสจะพิจารณาจากหลายปัจจัย เพื่อไม่ให้กระทบกับผู้โดยสารมากนัก ​โดยค่าโดยสารที่ปรับขึ้นในวันที่ 1 มกราคม 2566 เป็นต้นนั้น จะเป็น​บัตรโดยสารเที่ยวเดียว (Single Journey Card) บัตรแรบบิทบุคคลทั่วไป (Adult) บัตรแรบบิทนักเรียน นักศึกษา (Student)   ส่วนบัตรแรบบิทสำหรับผู้สูงอายุ (Senior) จะยังคงได้รับส่วนลด 50% ของอัตราค่าโดยสารปกติ สำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางแบบไม่จำกัดเที่ยว และระยะทางต่อวัน สามารถซื้อบัตรโดยสารประเภทหนึ่งวัน (One-Day Pass) ในราคา 150 บาท 2.MRT สีน้ำเงิน ปรับขึ้นสูงสุด 1 บาทต่อเที่ยว ส่วนรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สายสีน้ำเงิน ก็ปรับค่าโดยสารขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เช่นกัน โดยปรับขึ้น 1 บาท เริ่มต้นจาก 17-42 บาท เป็น 17- 43 บาท  โดยเป็นการปรับค่าโดยสารสำหรับการเดินทางสถานที่ 6, 9, 11 และ 12  การปรับค่าโดยสารเป็นการคิดตามดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ที่กำหนดในสัญญาสัมปทาน   ความจริงค่าโดยสารดังกล่าว มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 ก.ค.2565 ที่ผ่านมาแล้ว แต่เนื่องจากการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ​กระทรวงคมนาคม และบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM ในฐานะผู้รับสัมปทาน ได้หารือร่วมกันเพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชนในภาวะค่าครองชีพสูง จึงยังคงอัตราค่าโดยเดิมไว้ก่อนจนถึง​วันที่ 31 ธันวาคม 2565 3.สีทองปรับขึ้น 1 บาทต่อเที่ยว สำหรับรถไฟฟ้าสายสีทอง ซึ่งเป็นเส้นทางรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายจากรถไฟฟ้าบีทีเอส เส้นทางกรุงธนบุรี-คลองสาน ก็มีแผนปรับค่าโดยสารขึ้นตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2566 เช่นกัน โดยจะปรับขึ้น 1 บาท จากราคา 15 บาท เป็น 16 บาทตลอดสาย ซึ่งเป็นไปตามแผนการบริหารโครงการของบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ผู้บริหารจัดการรถฟ้าสายสีทองระยะที่ 1 สถานีรถไฟฟ้ากรุงธนบุรี-สำนักงานเขตคลองสาน ​แต่ก็ยังคงมีค่าลดหย่อนให้กับผู้โดยสารต่าง ๆ เช่น ผู้สูงอายุ ผู้พิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการ ในอัตราค่าโดยสาร 8 บาทตลอดสายเช่นเดิม ​   ส่วนรถไฟฟ้าเส้นทางอื่น หรือสีอื่น ไม่ว่าจะเป็นสีม่วง สีแดง หรือแอร์พอร์ต เรียลลิงค์ ยังไม่มีความเคลื่อนไหวในด้านราคาว่าจะมีการปรับขึ้นหรือไม่อย่างไร ยังไงหากมีความคืบหน้าจะนำมาอัปเดตและแจ้งข่าวให้ทราบอีกครั้ง       หมายเหตุ *อัตราค่าโดยสารพื้นฐานอ้างอิง ตามเอกสารสำหรับคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนของ (RFP) อัตราโดยสาร จะคำนวณใหม่อีกครั้ง อ้างอิงจากดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพฤษภาคม 2566 **อัตราค่าโดยสารเบื้องต้นอ้างอิงจากดัชนีราคาผู้บริโภค​เดือนมีนาคม 2565 คำนวณใหม่อีกครั้ง ​-สายสีชมพูช่วงสถานีศรีรัช-เมืองทองธานี ยังไม่ได้กำหนดอัตราค่าโดยสาร ที่มา : Reviewyourliving รวมรวม, การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชลแห่งประเทศไทย, ก.คมนาคม  
สิวารมณ์  วาง 5 กลยุทธ์เติบโตต่อเนื่อง จับลูกค้าบ้าน 8-12 ล้าน-ปิดโปรเจ็กต์ใน 3 ปี

สิวารมณ์ วาง 5 กลยุทธ์เติบโตต่อเนื่อง จับลูกค้าบ้าน 8-12 ล้าน-ปิดโปรเจ็กต์ใน 3 ปี

สิวารมณ์​วาง 5 กลยุทธ์เติบโตต่อเนื่อง ขยับจับตลาดลูกค้ากลุ่มบน ต้องการบ้านราคา 8-12 ล้าน เน้นสปีดปั้นโปรเจ็กต์จบใน 3 ปี พร้อมระดมทุน 130 ล้าน หุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ มั่นใจตลาดอสังหาฯ เติบโต จากเรียลดีมานด์ หลังโควิด-19 ส่งผลให้คนต้องการบ้านแนวราบเพิ่มขึ้น   หลังจาก “สิวารมณ์ เรียลเอสเตท” ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (Filing) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขอออกและเสนอขายหุ้นสามัญแก่ประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 130 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 25.49% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชําระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้น มูลค่าที่ตราไว้(พาร์) 1.00 บาท และทางสำนักงาน ก.ล.ต. ได้นับ 1 แบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์แล้ว ตั้งแต่วันที่ 2 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา สิวารมณ์ ก็ได้เริ่มเดินหน้านำเสนอข้อมูลนักลงทุน (โรดโชว์) เพื่อประกาศศักดาความพร้อมในการระดมทุนครั้งนี้   สำหรับเป้าหมายของการระดมทุนในครั้งนี้ ต้องการนำเงินทุนที่ได้ไปใช้ใน 3 เรื่องหลัก คือ ซื้อที่ดิน สำหรับการพัฒนาโครงการต่อเนื่อง และรับรู้รายได้ในปี 2567-2568 ชำระหนี้เงินกู้ ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ สิวารมณ์วาง 5 กลยุทธ์เติบโตปี 66  โดยนับตั้งแต่วันแรกที่บริษัทจดทะเบียนเริ่มต้นธุรกิจ วันที่ 24 พฤษภาคม 2560 ด้วยทุนจดทะเบียนเริ่มต้น 100 ล้านบาท ได้มีความตั้งใจแรก คือการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จึงได้มีการวางโครงสร้างธุรกิจ และเตรียมความพร้อมในด้านต่าง ๆ ซึ่งในปีหน้าทางบริษัทคงทำได้ตามแผนงานที่วางเอาไว้   ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วง 3 ปีที่ผ่านมา โดยปี 2562 มีรายได้รวม 243 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ 5 ล้านบาท ปี 2563 มีรายได้จากการขาย 557 ล้านบาท กำไรสุทธิ 42 ล้านบาทปี 2564 มีรายได้จากการขาย 576 ล้านบาท กำไรสุทธิ 64 ล้านบาท ส่วนช่วง​ 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมีรายได้รวม 532 ล้านบาท กำไรสุทธิ 36 ล้านบาท บริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (D/E) อยู่ในระดับต่ำ โดย ณ 9 เดือนแรกปี 2565 D/E เพียง 1.39 เท่า และบริษัทได้กำหนดนโยบายการดำรง D/E ก่อน IPO 3:1 และหลัง IPO 2:1   โดยภายหลังจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดเป็นที่เรียบร้อย เงินทุนที่นำมาต่อยอดธุรกิจ จะเป็นหนึ่งปัจจัยสำคัญช่วงสร้างการเติบโตให้บริษัทอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีอีก 5 กลยุทธ์สำคัญที่จะผลักดันให้การเติบโตของบริษัทเป็นไปตามที่ได้วางแผนไว้ คือ 1.ขับเคลื่อนธุรกิจด้วย 4 “S” SMART  กลยุทธ์หลักของ สิวารมณ์ ที่ใช้มาตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจ คือแนวคิด "Best Smart Living" ที่ขับเคลื่อนด้วย 4 “S” SMART ซึ่งประกอบด้วย -ทำเลที่ตั้งโครงการที่มีศักยภาพ (SMART Location) ทำเลหลักที่พัฒนาจะเป็นในจังหวัดกรุงเทพฯ สมุทรปราการ และชลบุรี ทั้งทำเลใกล้กับแหล่งงาน นิคมอุตสาหกรรม ระบบคมนาคม รถไฟฟ้าทั้งที่เปิดดำเนินการแล้ว และอยู่ระหว่างการพัฒนาในเส้นทางส่วนต่อขยาย โดยในปี 2566 สิวารมณ์ จะขยายทำเลที่ตั้งในการพัฒนามายังพื้นที่ใกล้ใจกลางเมืองของกรุงเทพฯ​ และจังหวัดนนทบุรี เพื่อรองรับกับความต้องการของกลุ่มลูกค้า และสร้างการเติบโตจากการดำเนินธุรกิจ ​ -การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัย (SMART Function) มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับออกแบบรูปแบบบ้าน เพื่อสอดรับกับการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปในทุกช่วงอายุ ทุกเพศ ทุกวัย -ความคุ้มค่าในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย (SMART Value) สิวารมณ์ไม่ได้เน้นการขายบ้านในราคาถูกกว่าคู่แข่งในพื้นที่เดียวกัน แต่เน้นความคุ้มค่าของราคาเมื่อเทียบกับพื้นที่ของบ้านเป็นหลัก ​ -ความทันสมัยและความสะดวกสบาย (SMART Home) มีการนำเอานวัตกรรมเทคโนโลยีที่ทันสมัย มาประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเข้าร่วมกับอุปกรณ์ต่างๆภายในบ้าน เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้อยู่อาศัย  ภายใต้สโลแกน “ควบคุมง่ายๆ อยู่ที่ไหนก็สั่งได้” 2.ขยายฐานลูกค้าบ้าน 8-12 ล้าน สิวารมณ์ เริ่มต้นการพัฒนาโครงการบ้านแนวราบ ด้วยการจับตลาดกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ ที่มีระดับราคาตั้งแต่ 1-7 ล้านบาท ซึ่งมีข้อดีคือ เป็นคนที่ต้องการบ้านจริง ๆ และเป็นกลุ่มฐานใหญ่ของตลาดที่มีจำนวนมาก แต่จากภาวะเศรษฐกิจและปัจจัยลบต่าง ๆ ในปัจจุบัน ทำให้ลูกค้ากลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อโดยตรง ทำให้มีหนี้เสียหรือการปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคารค่อนข้างเยอะ ขณะที่กลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูง จะได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อน้อยกว่า และยังเป็นกลุ่มที่ต้องการอยู่อาศัยจริง ตามไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไป จากการได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ซึ่งต้องการอยู่อาศัยบ้านแนวราบมากกว่าคอนโดมิเนียม ถือเป็นอีกกลยุทธ์การบริหารความเสี่ยงด้วย นายอรรถปวิทย์ มโนธรรมรักษา กรรมการผู้จัดการ บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ “SVR” เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภค หันมาเน้นให้ความสำคัญในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้น และเป็นกลุ่มที่มีความต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ( Real Demand) จะเลือกซื้อโครงการจากพื้นที่ใช้สอย และฟังก์ชั่นที่เอื้อประโยชน์ต่อการทำงานที่บ้าน ด้วยระดับราคาที่คุ้มค่าน่าซื้อ ที่สามารถตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ได้ครบทุกมิติ ทำให้ที่อยู่อาศัยแนวราบ ย่านกรุงเทพฯ - ปริมณฑล ในระดับราคาไม่เกิน 5-7 ล้านบาท จึงมีความต้องการเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน 3.ปั้นโครงการจบเร็วใน 3 ปี หัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจ คือ การบริหารสภาพคล่องทางการเงิน และกระแสเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพ ยิ่งเป็นบริษัทที่มีขนาดธุรกิจไม่ใหญ่ กระแสเงินสดจึงมีความจำเป็นต่อการดำเนินธุรกิจ จึงทำให้บริษัทได้วางกลยุทธ์การพัฒนาโครงการให้สามารถปิดได้อย่างรวดเร็วภายในระยะ 3 ปี ด้วยการซื้อที่ดินมาพัฒนาโครงการขนาดไม่เกิน 50 ไร่เท่านั้น 4.ทำตลาดออนไลน์ จากไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป การใช้โซเชียลมีเดียเข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกกิจกรรมของชีวิต ทำให้การทำตลาดของบริษัทจะเน้นไปทั้งการตลาดออนไลน์ เพื่อสื่อสารและทำตลาดเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันยังทำตลาดออฟไลน์ควบคู่กันไปด้วย 5.บริหารต้นทุนสู้ปัจจัยลบ จากแนวโน้มการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย และปัจจัยลบทางเศรษฐกิจในปี 2566 มีแนวโน้มส่งผลให้ต้นทุนสินค้า และการดเนินธุรกิจต่าง ๆ ปรับเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งอาจจะส่งผลต่อผลการดำเนินงาน และอัตรากำไรอาจลดลงได้ ซึ่งบริษัทได้วางแนวทางการบริหารจัดการภายใน การบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ เพื่อรองรับกับความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในปีหน้า จากความต้องการของผู้บริโภคในโครงการบ้านแนวราบ เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่มีดีมานด์เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ตลาดมีทิศทางการเติบโตเพิ่มขึ้น โดยในปี 2565 ตลาดอสังหาฯ มีแนวโน้มเติบโตในอัตรา 4.5% จากปี 2564 จากปัจจัยดังกล่าวทำให้ สิวารมณ์ มีการเร่งพัฒนาโครงการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับความต้องการ โดยจะเห็นได้จากในช่วงปี 2562 มีการพัฒนาโครงการจำนวน 2 โครงการ เพิ่มขึ้นเป็น 9 โครงการ ในปี 2565  มีมูลค่าประมาณ 4,600 ล้านบาท โดยปิดโครงการไปแล้ว 2 โครงการมูลค่าประมาณ​ 1,000 ล้านบาท                    
พรอสเพค  เดินแผนปี 66 เพิ่มพื้นที่ใหม่ 1.5 แสนตร.ม.  รับต่างชาติย้ายฐาน-ธุรกิจ EV โต​

พรอสเพค เดินแผนปี 66 เพิ่มพื้นที่ใหม่ 1.5 แสนตร.ม. รับต่างชาติย้ายฐาน-ธุรกิจ EV โต​

พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ วางเป้าปี 66 เพิ่มลูกค้าใหม่อีก 150,000 ตร.ม. รับอานิสงค์นักลงทุนต่างชาติขยายฐานการผลิต รวมถึงธุรกิจ EV โตก้าวกระโดด หลังไตรมาส 3 เดินหน้าสร้างการเติบโต คว้าลูกค้าเช่าพื้นที่เพิ่ม 100,000 ตร.ม. คาดทั้งปีปิดพื้นที่เช่าใหม่ 120,000 ตร.ม.   นางสาวรัชนี มหัตเดชกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ในเครือบริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาและบริหารโครงการบางกอกฟรีเทรดโซน เปิดเผยว่า ในปี 2566 บริษัทคาดว่าจะยังคงสร้างการเติบโตต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าเพิ่มลูกค้าใหม่เช่าพื้นที่อีก 150,000 ตร.ม. จากปี 2565 ที่คาดว่าจะเซ็นสัญญาลูกค้าใหม่เพิ่ม 120,000 ตร.ม. ซึ่งปัจจัยที่ส่งเสริมการเติบโตในปีหน้านั้น มาจากการความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในภูมิภาค ที่จะส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติ ขยายฐานการผลิตมายังประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น  และการขยายธุรกิจ EV กลุ่มธุรกิจที่น่าจับตามอง นอกจากกลุ่มโลจิสติกส์แล้ว ยังมีธุรกิจ EV ที่เข้ามาสร้างโอกาสให้กับทาง พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ เช่นกัน พร้อมอานิสงค์ของนักลงทุนต่างชาติที่เร่งขยายฐานการผลิตมาที่ประเทศไทย เชื่อมั่นว่าปี 2566 จะเป็นช่วงเวลาสำคัญในสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน สำหรับภาพรวมอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม ยังมีแนวโน้มเติบโตต่อ โดยเฉพาะพื้นที่ยุทธศาสตร์โลจิกสติกส์ที่เอื้ออำนวยต่อการขนส่ง และมีการให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบการไทยและต่างประเทศ ข้อมูลจาก บีโอไอ ระบุว่า คำขอรับการส่งเสริมการลงทุนในปี 2565 มีมูลค่าประมาณ 500,000 ล้านบาท ปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากโครงการขนาดใหญ่ที่ทยอยเข้ามา ประกอบกับความขัดแย้งในภูมิภาคส่งผลให้เกิดการย้ายฐานการผลิตมายังไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา อัตราเช่าคลังสินค้าและโรงงานในโครงการ BFTZ ยังคงสูงกว่า 90% และมีลูกค้าในไปป์ไลน์ที่กำลังเจรจาเช่าพื้นที่อีกหลายราย นางสาวรัชนี กล่าวว่า ส่วนการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา บริษัทมีผู้เช่ารายใหม่ได้เซ็นสัญญาพื้นที่มากว่า 100,000 ตร.ม. ซึ่งทำให้ภายในสิ้นปีนี้ จะปิดปีด้วยพื้นที่เช่าใหม่​ 120,000 ตร.ม. และล่าสุดลูกค้าผู้ให้บริการโลจิสติกส์ชั้นนำของไทย ได้มอบหมายให้บริษัทเป็นผู้พัฒนาอาคารคลังสินค้ารูปแบบ Built-to-Suit พื้นที่เช่า 30,000 ตร.ม. ในเขตอุตสาหกรรมทั่วไป (General Zone) ของโครงการ BFTZ 3 ถนนบางนา-ตราด กม.19 ด้วยสัญญาเช่าระยะยาว 15 ปี ​ผลงานในปีนี้ถือว่าเติบโตตามเป้าที่วางไว้ ภายใต้กลยุทธ์ มากกว่าพื้นที่ (More Than Just Space) ในการส่งมอบอาคารตอบโจทย์การใช้งานผู้เช่าอย่างยืดหยุ่น เราจึงสามารถรักษาฐานผู้เช่าเดิมและเพิ่มเติมผู้เช่าใหม่เข้ามาต่อเนื่อง   สำหรับอาคารคลังสินค้าแห่งใหม่นี้ ได้รับการออกแบบและก่อสร้างตามความต้องการของลูกค้า พัฒนารูปแบบให้มีความทันสมัย ใช้ไฟระบบ LED ที่ช่วยเรื่องการประหยัดไฟ ยกระดับมาตรฐานการใช้งาน เป็นอาคารขนาดใหญ่ที่รวบรวมศูนย์กระจายสินค้าเดิมของผู้เช่ามารวมไว้ในที่เดียวกัน ทำให้สามารถกระจายสินค้าได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ตอบสนองดีมานด์ด้านการขนส่งได้ทันท่วงที โดยทำการลงเสาก่อสร้างเป็นที่เรียบร้อย คาดว่าจะแล้วเสร็จและส่งมอบอาคารภายในช่วงไตรมาส 3 ของปี 2566 พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ เป็นผู้พัฒนาและบริหารโครงการคลังสินค้าและโรงงานให้เช่า ที่มีความแข็งแกร่งในเรื่องการหาพื้นที่ทำเลศักยภาพ และเชี่ยวชาญด้านการพัฒนาอาคาร พร้อมบริการ One Stop Service ปัจจุบันครองพื้นที่บางพลี ทั้งโครงการ BFTZ 1 บริเวณบางนา-ตราด กม.23, โครงการ BFTZ 3 ถนนบางนา-ตราด กม.19  และ โครงการ BFTZ  6 ถนนบางนา-ตราด กม.19  ที่กำลังอยู่ในระหว่างพัฒนาอาคาร พร้อมเดินหน้าตามโรดแมปกับโครงการ BFTZ 4 บางปะกง ด้วยอาคารพร้อมใช้แบบ Ready Built และในปีหน้า เปิดตัวอาคาร Built-to-Suit โครงการ BFTZ 5 วังน้อย   สำหรับโครงการใหม่ของบริษัทที่บางปะกง จะดึงดูดผู้เช่าในกลุ่มธุรกิจ S-Curve และ New S-Curve อาทิ ธุรกิจการแปรรูปอาหาร ห้องเย็น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ตลอดจนธุรกิจโลจิสติกส์ โดยเรามุ่งเน้นให้เช่าอาคารคลังสินค้าทั่วไป และอาคารเก็บสินค้าวัตถุอันตราย เป็นหลัก และตั้งเป้าว่าจะพัฒนาอาคาร Ready Built ที่สามารถปรับไปเป็น Built-to-Suit รวมถึงเตรียมที่ดินสำหรับรอพัฒนาอาคาร Built-to-Suit   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เปิดเหตุผล​  “พรอสเพค” ทุ่ม 5,000 ล้าน เพิ่มพื้นที่เช่าโรงงาน-คลังสินค้าสู่ 1 ล้านตร.ม.
[PR News] AWC จับมือ Accor เตรียมขยายโรงแรมกว่า 1,000 ห้อง

[PR News] AWC จับมือ Accor เตรียมขยายโรงแรมกว่า 1,000 ห้อง

AWC ลงนามในกรอบความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ฉบับแรกร่วมกับ แอคคอร์ (Accor) เครือข่ายโรงแรมและการบริการชั้นนำระดับสากล เดินหน้าพัฒนาโรงแรมหลายแห่งภายใต้แบรนด์ชั้นนำจากกลุ่ม Accor อาทิ แฟร์มอนท์ (Fairmont) แฟร์มอนท์ เรสซิเดนซ์ (Fairmont Residences) และเอ็มแกลเลอรี (MGallery) ในจุดหมายสำคัญด้านการท่องเที่ยวต่าง ๆ ในประเทศไทยรวมกว่า 1,000 ห้อง     นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยว่า  ได้ประกาศความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ครั้งแรกกับทาง Accor ซึ่งเป็นเครือโรงแรมชั้นนำระดับโลก เพื่อขยายพอร์ตโฟลิโอกลุ่มธุรกิจโรงแรมของ AWC บนทำเลศักยภาพในประเทศไทย โดยมีแผนจะนำแบรด์ชั้นนำจากกลุ่ม Accor มาช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมการโรงแรมและบริการของไทย   สำหรับความร่วมมือครั้งนี้เป็นการนำความเชี่ยวชาญของทั้ง AWC ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มุ่งเน้นตอบสนองไลฟ์สไตล์แบบครบวงจรของไทย และกลุ่ม Accor ซึ่งมีฐานลูกค้าทั่วโลกมาร่วมรวมพลังกัน เพื่อยกระดับประเทศไทยให้เป็นจุดหมายปลายทาง ที่มีแบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลกมากมาย รวมถึงสร้างศักยภาพในการเพิ่มกระแสเงินสดและการเติบโตที่แข็งแกร่งให้กับ AWC อีกด้วย   นายการ์ท ซิมมอนส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แอคคอร์ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ กล่าวว่า Accor มุ่งมั่นที่จะขยายการเติบโตอยู่เสมอ ผ่านการทำงานร่วมกับพันธมิตรที่เป็นเจ้าของธุรกิจ ที่เข้าใจถึงวิสัยทัศน์และธุรกิจโรงแรมของ Accor  และด้วยความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ในครั้งนี้ เราตั้งเป้าที่จะนำแบรนด์ชั้นนำระดับโลกมากมายของ Accor มาสู่ประเทศไทย   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -AWC เดินแผนขยายธุรกิจแสนล้าน เตรียมเปิดโรงแรมใหม่เพิ่มอีก 9 แห่ง
EIA เรื่องต้องรู้ ก่อนซื้อบ้าน ซื้อคอนโด

EIA เรื่องต้องรู้ ก่อนซื้อบ้าน ซื้อคอนโด

EIA เรื่องต้องรู้ สำหรับคนที่อยากจะมีที่พักอาศัยในเมือง หรือทำเลที่เดินทางสะดวก ใกล้ระบบคมนาคมสาธารณะ โดยเฉพาะอย่างรถไฟฟ้า เชื่อว่าทางเลือกแรกก็ต้องเป็นการอยู่อาศัยในคอนโดมิเนียม เพราะมีราคาที่คนส่วนใหญ่เลือกหาซื้อได้ และทำเลตรงกับความต้องการ   ส่วนหลักเกณฑ์ในการเลือกซื้อคอนโด  คงมีมากมายหลายเรื่องต้องให้พิจารณา ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์หรือผู้พัฒนาโครงการ ขนาดห้อง งบประมาณ การดีไซน์โครงการ และอีกหลายเรื่องขึ้นอยู่กับโจทย์และความต้องการของผู้ซื้อ แต่มีหลักเกณฑ์ที่มีความสำคัญ และไม่ควรจะละเลยในการใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการเลือกซื้อโครงการคอนโดที่เราอยากจะเข้าไปอยู่อาศัย นั่นก็คือ EIA   EIA ถือว่ามีความสำคัญต่อการพัฒนาโครงการไม่น้อย และดีเวลลอปเปอร์ส่วนใหญ่ ก็มักจะเอา EIA มาใช้เป็นจุดขายสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า หลายโครงการยังมีการแสดงข้อความ EIA Approved บนสื่อโฆษณาต่าง ๆ ของโครงการด้วย ซึ่งหลายคนก็คงรู้และเข้าใจว่า EIA คืออะไร มีความสำคัญยังไง แต่หลายคนโดยเฉพาะที่เพิ่งจะเริ่มต้นทำงานมีเงินเก็บ แล้วจะหาซื้อคอนโดไว้เป็นบ้านหลังแรก อาจจะยังไม่เข้าใจเรื่อง EIA มากนัก วันนี้ Reviewyourliving จึงจะมาเล่าเรื่อง EIA ว่าเป็นเรื่องของอะไร และมีความสำคัญมากน้อยแค่ไหน EIA คือ อะไร สำคัญแค่ไหน? EIA ย่อมาจาก Environmental Impact Assessment Division หรือการทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (เดิมใช้คำว่า การวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตามพ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535) โดยหมายถึง กระบวนการศึกษาและประเมินผลที่อาจเกิดขึ้นจากการดำเนินโครงการหรือกิจการ หรือการดำเนินการใดของรัฐห รือที่รัฐจะอนุญาตให้มีการดำเนินการที่อาจมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย คุณภาพชีวิต หรือส่วนได้เสียอื่นใดของประชาชนหรือชุมชน ทั้งทางตรงและทางอ้อม โดยผ่านกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชน เพื่อกำหนดมาตรการป้องกันแก้ไขผลกระทบดังกล่าว ผลการศึกษาเรียกว่า รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นไปตามพ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2561   EIA ถือว่ามีความสำคัญต่อการพัฒนาโครงการเป็นอย่างมาก เพราะอยู่ภายใต้ข้อบังคับของกฎหมาย หากโครงการไหนไม่ผ่าน EIA ก็ไม่สามารถพัฒนาโครงการได้ จะไม่ได้รับใบอนุญาตก่อสร้าง หรือใบอนุญาตจัดสรรโครงการ ยิ่งหากก่อสร้างไปก่อนแล้วเกิดมีคนมาคัดค้านการก่อสร้างเนื่องจากได้รับผลกระทบ และโครงการยังไม่ผ่าน EIA โครงการก็ต้องหยุดการก่อสร้างทันที นี่ก็เป็นเหตุผลสำคัญของ EIA เรื่องต้องรู้ สำหรับคนที่วางแผนจะซื้อบ้าน หรือซื้อคอนโด   สำหรับโครงการที่ต้องยื่นขออนุญาตจัดทำ EIA ต้องดำเนินการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม กับทางสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) เป็นรายงานที่จัดทำขึ้นโดยนิติบุคคลที่ได้รับอนุญาตจาก สผ. เท่านั้นจึงจะออกรายงานดังกล่าวได้   เมื่อผู้ประกอบการที่จะพัฒนาโครงการได้รับรายงาน EIA แล้ว จะต้องดำเนินการยื่นต่อสผ. เพื่อให้พิจารณาอนุมัติรายงานฉบับดังกล่าว หากรายงานไม่ผ่านการอนุมัติ ผู้ประกอบการจะต้องดำเนินการแก้ไข ประเด็นต่าง ๆ ที่ไม่ผ่านการพิจารณา ให้ถูกต้องตามหลักเกณฑ์  และยื่นกลับให้สผ. พิจารณาอีกครั้ง หรือจนกว่าจะได้รับอนุญาต หรือได้รับความเห็นชอบ 4 เรื่องที่ต้องทำใน EIA สำหรับการจัดทำ EIA จะทำการศึกษาสิ่งแวดล้อมใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ 1.ด้านทรัพยากรกายภาพ การศึกษาด้านทรัพยากรกายภาพ เป็นการศึกษาถึงผลกระทบต่อเรื่องต่าง ๆ ว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง หากพัฒนาโครงการนั้นขึ้น อาทิ การศึกษาสภาพของดิน น้ำ อากาศ เสียง จะเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างไร 2.ด้านทรัพยากรชีวภาพ เป็นการศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ของการพัฒนาโครงการ ที่มีต่อระบบนิเวศน์ที่โครงการตั้งอยู่ หรืออาจจะส่งผลกระทบได้ เช่น ป่าไม้ สัตว์ป่า สัตว์น้ำ ปะการัง เป็นต้น 3.ด้านคุณค่าการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ เป็นการศึกษาถึงการใช้ประโยชน์จากทรัพยากร ที่โครงการเกี่ยวข้อง ทั้งด้านทางกายภาพ และชีวภาพของมนุษย์ เช่น การใช้ประโยชน์ที่ดิน 4.ด้านคุณค่าต่อคุณภาพชีวิต จะเป็นการศึกษาถึงผลกระทบของโครงการ ที่จะเกิดกับมนุษย์ ชุมชน ระบบเศรษฐกิจ การประกอบอาชีพ วัฒนธรรมประเพณี ความเชื่อ ค่านิยม รวมถึงทัศนียภาพ คุณค่า ความสวยงาม โครงการแบบไหนที่ต้องยื่นขอ EIA ถ้าเราพูดถึงโครงการประเภทที่อยู่อาศัยที่ต้องยื่นขอใบอนุญาตสิ่งแวดล้อมนั้น จะมีอยู่ด้วยกัน​ 2 ประเภท คือ   1.โครงการคอนโดที่มีจำนวนห้องพักตั้งแต่ 80 ยูนิตขึ้นไป หรือมีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 4,000 ตร.ม.ทำให้คอนโดประเภทโลไรส์หลายแห่งที่มีห้องชุดอยู่แค่ 79 ยูนิต ไม่ต้องขอ EIA   2.โครงการบ้านจัดสรรที่มีที่ดินแปลงย่อยตั้งแต่ 500 แปลงขึ้นไป หรือมีเนื้อที่มากกว่า 100 ไร่ จะต้องยื่นของ EIA ถ้าต่ำกว่าเงื่อนไขนี้ก็ไม่ต้องยื่นขอ EIA เช็คให้ชัวร์ ก่อนซื้อบ้าน ซื้อคอนโด อย่างที่กล่าวไว้ตั้งแต่แรกว่า EIA มีความสำคัญ และดีเวลลอปเปอร์มักจะนำเอามาเป็นจุดขาย และจุดสร้างความมั่นใจระดับหนึ่งว่าสามารถพัฒนาโครงการขึ้นมาได้ โดยไม่ขัดต่อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และจะไม่ถูกต่อต้านจากชุมชน สังคม หรือหน่วยงานต่าง ๆ ที่จะได้รับผลกระทบ ผู้ซื้อจึงต้องตรวจสอบและขอดูหลักฐานเอกสารให้ชัดเจนว่าโครงการผ่าน EIA แล้ว หรือหากโครงการไหนอยู่ระหว่างการยื่นขอ EIA ต้องมีการระบุเอกสารหรือหลักฐานที่ชัดเจนว่า หากเกิดกรณีโครงการไม่ EIA จะต้องคืนเงินดาวน์ เงินจอง หรือเงินที่ชำระเพื่อซื้อคอนโด หรือซื้อบ้านคืนด้วย แต่โดยส่วนใหญ่โครงการที่นำออกมาขาย จะผ่าน EIA หรือมีความมั่นใจว่าจะ EIA ได้อย่างแน่นอน   อย่างไรก็ตาม เพื่อความชัวร์และรู้เท่าทันกับเกมการตลาดของผู้ประกอบการ หากมีการกล่าวอ้างว่าโครงการนั้นผ่าน EIA แล้วจริง เราก็สามารถตรวจสอบได้ว่า ข้อมูลที่ผู้ประกอบการกล่าวอ้างนั้นเป็นความจริง ด้วยการเข้าไปเช็คข้อมูลสำหรับโครงการนั้น ๆ ว่าอยู่ในสถานะใด ได้รับความเห็นชอบการผ่านเกณฑ์ หรือได้รับการรับรอง EIA แล้วที่เว็บไซต์ http://eia.onep.go.th ของ สผ. เพื่อที่จะได้ไม่มีปัญหากับประเด็นเรื่องของ EIA ตามมาให้ปวดหัว ทั้งหมดนี้ ก็คือ EIA เรื่องต้องรู้ ก่อนซื้อบ้าน ซื้อคอนโด สำหรับคนที่ควรศึกษาและทำความเข้าใจ       ที่มา -สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม