Tag : Retails

240 ผลลัพธ์
4 ประสบการณ์ใหม่ เกษรอัมรินทร์ การพลิกโฉม อาคารอมรินทร์พลาซ่าอายุ 38 ปี 

4 ประสบการณ์ใหม่ เกษรอัมรินทร์ การพลิกโฉม อาคารอมรินทร์พลาซ่าอายุ 38 ปี 

เกษรวิลเลจ เดินหน้าแผนยกระดับโครงการมิกซ์ยูสเต็มพิกัดสู่การพัฒนา “Placemaking Destination” แห่งแรกและแห่งเดียวใจกลางกรุงเทพฯ เตรียมเผยภาพลักษณ์ใหม่ของ เกษรอัมรินทร์ กับ 4 ไฮไลต์สำคัญ จากการพลิกโฉม อาคารอมรินทร์พลาซ่าอายุ 38 ปี สู่​นิยามใหม่ของพื้นที่ “ที่มีความหมาย”  พร้อมเปิดบริการอย่างเป็นทางการในปลายปี 2566 นี้     นายชาญ ศรีวิกรม์ ประธานบริหารกลุ่มเกษร พร๊อพเพอร์ตี้ กรุ๊ป เปิดเผยว่า​ การยกระดับเกษรวิลเลจสู่ความเป็น Placemaking Destination หรือ พื้นที่ที่มีความหมาย มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการพัฒนาศูนย์กลางไลฟ์สไตล์อื่น ๆ ของกรุงเทพฯ ในปัจจุบัน เราไม่ได้สร้างอาคารขึ้นใหม่ แต่เราเล็งเห็นถึงคุณค่าจากอาคารเก่าที่บ่มเพาะเรื่องราวความเป็นมาและความทรงจำอันรุ่งเรืองในอดีต การรีแบรนด์ “เกษรอัมรินทร์” ครั้งใหญ่ ภายใต้แนวคิด Live your own Legacy   โดยเป็นการนำอาคารอัมรินทร์พลาซ่า ศูนย์การค้าที่เป็นตำนานของกรุงเทพฯ และอยู่คู่ย่านราชประสงค์มานานกว่า 38 ปี มาต่อยอดด้วยดีไซน์และองค์ประกอบใหม่ ๆ ที่สอดประสานไปกับบริบทของโลกปัจจุบันและอนาคต ซึ่งจะสามารถเชื่อมโยงความผูกพันกับผู้คนและชุมชนที่มีความเชื่อในคุณค่าร่วมกัน จุดมุ่งหมายของเราจึงเป็นการสร้างสรรค์สถานที่  "เดิม" ให้กลายเป็นจุดหมายใหม่ของกรุงเทพฯ สำหรับให้ผู้คนได้มาใช้ชีวิตอย่างสุนทรีย์ ไม่ซ้ำใครในแบบฉบับของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการมาสร้างแรงบันดาลใจใหม่ ๆ มองหาทางเลือกของสีสันและกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดจนการเติมเต็มประสบการณ์ชีวิตในหลากหลายรูปแบบอย่างที่ใจต้องการอย่างแท้จริง”   ทั้งหมดนี้พร้อมจะพลิกโฉมย่านราชประสงค์สู่ปรากฏการณ์ใหม่ของศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ (Bangkok’s Capital of Lifestyle District) ใจกลางเมืองแห่งแรกหนึ่งเดียวของกรุงเทพฯ ผ่านนิยามใหม่ของวิถีการใช้ชีวิตคนเมืองอย่างสุนทรีย์ ด้วยประสบการณ์ที่แตกต่างกัน 4 รูปแบบ 4 ประสบการณ์ใหม่ เกษรอมรินทร์ 1.#MINGLE – Place for Tasteful Moments  โซนอาหารเลิศรส  ด้วยไฮไลต์สำคัญ Hanging Garden พื้นที่อินดอร์กึ่งเอาท์ดอร์ใหม่ด้านหน้าอาคาร โดยมีดีไซน์ฟีเจอร์ของ Gaysorn Cocoon ที่เต็มไปด้วยพืชพันธุ์ไม้ต่าง ๆ โอบล้อมเสาโรมันงามสง่าอันเป็นเอกลักษณ์คู่ตึกเกษรอัมรินทร์ สัมผัสกลิ่นอายของสถานที่อันเป็นตำนานในบรรยากาศร่วมสมัย ซึ่งถือเป็นโหนด (Node) สำคัญหนึ่งเดียวใจกลางย่านราชประสงค์ที่ให้ผู้คนในพื้นที่ได้มารวมตัวพบปะกันในแบบฉบับของตัวเอง ตั้งแต่เช้าจรดค่ำ พร้อมดื่มด่ำกับอาหารและเครื่องดื่มในคอนเซปต์ใหม่ ๆ ที่รังสรรค์โดยเชฟและมิกโซโลจิสต์มือรางวัล   ตลอดจนอีเวนต์และเอนเตอร์เทนเมนท์สุดพิเศษที่ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนไปตามโอกาสต่าง ๆ หรืออิ่มเอมกับมื้ออร่อยง่าย ๆ ได้ในทุกวันกับ The COOK ศูนย์รวมความอร่อยจากร้านอาหารสตรีทฟู้ดชื่อดังใจกลางกรุงเทพฯ ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงมายาวนาน  ทั้งนี้เกษรวิลเลจ ยังจัดงานและกิจกรรมต่างๆ ที่รวมเหล่ากูรูด้านอาหารและเครื่องดื่ม หรือผู้ที่สนใจ ได้พบปะสังสรรค์หรือเฉลิมฉลอง อย่างเช่นงาน “เกษร เล วองดองช์″ (Gaysorn Les Vendanges) เทศกาลไวน์ระดับตำนานที่เปิดโอกาสให้คอไวน์ได้สัมผัสสุนทรียรสของไวน์อันเปี่ยมรสนิยมจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งจัดขึ้นในเดือนกันยายนของทุกปี เป็นต้น 2.#ADORE – Place Where Artisans and Admirers Meet  พื้นที่งานศิลป์ในพื้นที่ที่เป็นมากกว่าแหล่งช็อปปิ้งชื่นชมผลงานและเรื่องราวหลากสไตล์จากนักออกแบบ นักสร้างสรรค์ และช่างฝีมือจากไทยและต่างประเทศ ประกอบด้วยพื้นที่ 3 ส่วน เริ่มตั้งแต่ Piazza ซึ่งเป็นลานเอนกประสงค์ด้านหน้าอาคารที่ออกแบบให้เป็นพื้นที่โล่ง กว้างขวาง ไปจนจรดแนวถนนหน้าตึก เพื่อเปิดรับผู้คน และสามารถรองรับการจัดกิจกรรมและอีเวนต์ในรูปแบบใหม่ ๆ Forum โถงด้านในที่อยู่ภายใต้สกายไลท์ หรือหลังคากระจกฉลุลวดลายดอกไม้อันวิจิตรที่ยังรักษาไว้เป็นเอกลักษณ์สำคัญ เป็นพื้นที่อีเวนต์สเปซ สำหรับการแสดงหรือโชว์เคสโปรดักส์ใหม่ หรือผลงานศิลปะอันหลากหลาย เช่นเดียวกับพื้นที่ Atrium และ Cocoon ที่เกษรเซ็นเตอร์และเกษรทาวเวอร์ ที่ได้ร่วมรังสรรค์ผลงานกับศิลปินและนักออกแบบต่างประเทศ อาทิเช่น Biyan หรือ Dries Van Noten และศิลปินและนักออกแบบไทยอย่าง คุณณอน-ชวนล ไคสิริ หรือ คุณยูน-ปัณพัท เตชเมธากุล Infinity Escalator อีกหนึ่งโซนใหม่ซึ่งเป็นพื้นที่รวมร้านค้าสินค้าแฟชั่นไลฟ์สไตล์ ที่มีเรื่องราวอันโดดเด่นไม่ซ้ำใคร ทั้งแบรนด์ไทยและต่างประเทศ พร้อมรังสรรค์โดยคิวเรเตอร์ซึ่งเป็นอินฟลูเอนเซอร์ที่คร่ำหวอดในแวดวงและมีไลฟ์สไตล์เฉพาะตัวอันโดดเด่นหลากหลายรูปแบบ นับเป็นการต่อยอดจาก Designer Lane พื้นที่แห่งสุดยอดประสบการณ์แฟชั่น เครื่องประดับ อุปกรณ์พิเศษที่เหมาะกับแต่ละไลฟ์สไตล์ รวบรวมทั้งแบรนด์ไทยและระดับโลก ไม่ซ้ำใคร สู่การเป็นพื้นที่สำหรับกลุ่มผู้คนที่เป็น like-minded community ได้พบปะ มีปฏิสัมพันธ์ เพื่อเติมพลังการใช้ชีวิตอย่างมีคุณค่า 3.#BOOST – Place for Urbanist Wellness  เสริมสุขภาวะในแบบฉบับคนเมืองไปกับ Gaysorn Urban Wellness รังสรรค์พื้นที่เพื่อให้คนเมืองได้ดูแล และฟื้นฟูตนเองไปกับ 3 องค์ประกอบ ด้านความงาม (Beauty & Aesthetics) ของร่างกายผิวพรรณใบหน้าและเส้นผม ด้านการดูแลสุขภาพกาย (Health & Wellness) คัดสรรประสบการณ์และบริการทางด้านการชะลอวัย การเสริมภูมิคุ้มกัน และฟื้นฟูให้กับร่างกาย หรือการรับประทานอาหารและอาหารเสริมให้ตรงกับแต่ละบุคคล และด้านสุขภาพใจ (Mental Wellbeing) พื้นที่ที่ให้คนเมืองได้หลบหลีกจากความวุ่นวายเพื่อรีแลกซ์และทำให้ร่างกายและจิตใจสงบ ฟื้นฟูสุขภาพใจจากการทำงานและการใช้ชีวิต ทุกการดูแลจะพรั่งพร้อมด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย พร้อมกับโปรแกรมแบบ Personalized ควบคู่ไปกับการดูแลรักษาที่มีประสิทธิภาพกับผู้เชี่ยวชาญที่มีชื่อเสียง เพื่อสร้างประสบการณ์แห่งการสร้างเสริมสุขภาวะคนเมืองในแบบเฉพาะแต่ละบุคคล 4.#THRIVE – Place to Collaborate & Grow Creatively  สร้างสรรค์ สำเร็จ ในวิถีทำงานคุณภาพ ด้วยสถานที่ทำงานและสังคมที่สร้างแรงบันดาลใจ บนทำเลแยกราชประสงค์ ศูนย์กลางธุรกิจใจกลางเมือง หมุดหมายสำหรับที่ตั้งสำนักงานขององค์กรระดับนานาชาติชั้นนำ ดึงดูดคนทำงานรุ่นใหม่ที่มีความสามารถ ไปกับการเดินทางที่สะดวกสบายด้วยทางเชื่อมสู่บีทีเอส และพรั่งพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์อันหลากหลาย บนพื้นที่สำนักงานเกรดเอในอาคารสถาปัตยกรรมโพสต์โมเดิร์น Gaysorn Amarin Tower ซึ่งมีการออกแบบตกแต่งและปรับปรุงพื้นที่ใหม่เพื่อมอบความสะดวกสบายและสุขภาวะที่ดีแก่คนทำงาน   พื้นที่ Co-Working Space พร้อมโซลูชันการทำงานแบบครบวงจร ตลอดจน Working Pods รองรับรูปแบบการทำงานแบบไฮบริดในโลกธุรกิจยุคใหม่ กระจายอยู่ในจุดต่าง ๆ ทั่วอาคาร เพื่อเพิ่มพื้นที่ภายนอกออฟฟิศให้ผู้ที่ต้องการความยืดหยุ่นและสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมให้เกิดไอเดียสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ภายในเกษร วิลเลจ จึงมีพื้นที่อันหลากหลายให้ทุกคนสามารถทำงาน และพบปะหรือประชุมกับพันธมิตรทางธุรกิจ   นอกจากนั้น ยังมี Gaysorn Urban Resort ศูนย์กลางแห่งการแลกเปลี่ยนความรู้สำหรับคนทำงาน ด้วยโปรแกรมกิจกรรมและอีเวนต์สำหรับสายธุรกิจอันหลากหลาย เช่นสายเทค สตาร์ทอัพ และผู้ประกอบการในด้านต่าง ๆ ให้ได้รับรู้ทิศทางธุรกิจของตลาดโลกตลอดทั้งปี ด้วยองค์ประกอบที่ส่งเสริมให้เกิดชุมชนแห่งการทำงานร่วมกัน ทั้งหมดนี้จะช่วยสร้างแรงบันดาลใจ บ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์ ผลักดันนวัตกรรมใหม่ ๆ และสนับสนุนการให้ทุกคนสร้างเรื่องราวแห่งความสำเร็จให้กับตนเอง “การลงทุนรีแบรนด์เกษรอัมรินทร์และพลิกโฉมเกษรวิลเลจด้วยเงินลงทุนกว่า 1,000 ล้านบาทครั้งนี้ เราเชื่อมั่นว่าจะมีส่วนช่วยในการกระตุ้นเศรษฐกิจและย่านราชประสงค์ให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง ต้อนรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าในปี 66 นี้จะมีจำนวนนักท่องเที่ยงต่างชาติเดินทางเข้ามาเพิ่มสูงขึ้นจากปี 65 ถึงหนึ่งเท่าตัว”      อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -4 โซนไฮไลท์ ใน “เกษรอัมรินทร์”  ชื่อใหม่ของ อัมรินทร์พลาซ่า
AWC ประกาศ Q1/2566  กำไร 1,422 ล้าน ผลการใช้กลยุทธ์ GROWTH-LED

AWC ประกาศ Q1/2566  กำไร 1,422 ล้าน ผลการใช้กลยุทธ์ GROWTH-LED

AWC ประกาศผลประกอบการไตรมาส 1/2566 เติบโตแข็งแกร่ง กำไรสุทธิ 1,422 ล้านบาท เพิ่มมากกว่าเท่าตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเติบโตนำปี 2562 เทียบก่อนสถานการณ์โควิด-19 ขณะที่ทำ​รายได้ไตรมาสแรกรวม 4,785 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 65.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) สะท้อนการดำเนินงานตามกลยุทธ์ GROWTH-LED เพื่อสร้างการเติบโตของกระแสเงินสดอย่างมีประสิทธิภาพ   นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เผยผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2566 ตามงบการเงินรวมมูลค่ายุติธรรม มีรายได้รวมกว่า 4,785 ล้านบาท เพิ่มขึ้นก้าวกระโดด 65.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยมีกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) ในไตรมาส 1/2566 กว่า 2,572 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  67.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเป็นผลจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการในทุกเซ็กเมนต์ ซึ่งสามารถสร้างรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) ที่ 4,152 บาท สูงกว่าปี 2562 ก่อนสถานการณ์โควิด-19 อัตรา 17%   โดยเฉพาะโรงแรมนอกกรุงเทพฯ และรีสอร์ท ระดับลักซ์ซูรี ที่มีอัตราการเข้าพักสูงโดดเด่น สอดรับการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ รวมถึงมีจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติที่เข้ามาใช้บริการในกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ของบริษัทเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะในช่วงฤดูกาลการท่องเที่ยวอย่างเทศกาลปีใหม่ ส่งผลให้บริษัทฯ มีศักยภาพในการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง พร้อมสร้างผลกำไรเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด โดยมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,422 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 100.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และยังสูงกว่าปี 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์โควิด-19 อีกด้วย AWC ยังคงมุ่งพัฒนาทรัพย์สินคุณภาพให้เป็นทรัพย์สินดำเนินงานเพื่อเพิ่มศักยภาพในการสร้างกำไรจากการดำเนินงาน (อิบิทดากลุ่มธุรกิจ) อย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 1/2566 บริษัทมีมูลค่าทรัพย์สินดำเนินงานรวมกว่า 119,859 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36,548 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 2562 คิดเป็น 43.9% นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนพัฒนาโครงการต่าง ๆ เพื่อสร้างกระแสเงินสดในระยะกลางอย่างแข็งแกร่ง พร้อมเข้าลงทุนทรัพย์สินในสัญญาให้สิทธิ (ROFR) จากกลุ่มทีซีซี และโอกาสการลงทุนทรัพย์สินคุณภาพอื่น ๆ ในระยะยาว และด้วยขนาดของทรัพย์สินคุณภาพที่เติบโตต่อเนื่อง บริษัทเชื่อมั่นว่าจะสามารถสร้างกระแสเงินสดได้อย่างก้าวกระโดดและมั่นคง   จากผลประกอบการที่แข็งแกร่งของ AWC ในไตรมาส 1/2566 ซึ่งเติบโตสูงขึ้นกว่าไตรมาส 4/2565 และก่อนช่วงสถานการณ์โควิด-19 ปี 2562 ถือเป็นสัญญาณบวกของการเริ่มต้นปี โดยผลประกอบการที่เติบโตก้าวกระโดดนี้ มาจากการการดำเนินงานตามกลยุทธ์ GROWTH-LED ผ่านการพัฒนาโครงการทรัพย์สินคุณภาพให้เป็นทรัพย์สินดำเนินงาน โดยมีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่า 36,548 ล้านบาท เมื่อเทียบกับก่อนสถานการณ์โควิด-19 ทั้งสร้างกระแสเงินสดเติบโต พร้อมเร่งสร้างการเติบโตของอัตราผลตอบแทนด้วยการพัฒนาทรัพย์สินเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่หลากหลาย อาทิ ผลดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ ที่มีค่า Revenue Generation Index (RGI) ในภาพรวมสูงกว่าค่าเฉลี่ยเมื่อเทียบกับโรงแรมในกลุ่มเดียวกันที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง อาทิ โรงแรม แบงค็อก แมริออท เดอะ สุรวงศ์ มีค่า RGI เท่ากับ 201 และโรงแรม คอร์ทยาร์ด แมริออท ภูเก็ต ทาวน์ มีค่า RGI เท่ากับ 195 เป็นต้น และอัตรารายได้เฉลี่ยต่อห้องพักในภาพรวม (RevPAR) สูงถึง 4,152 บาท รวมถึงการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนกำไรจากการดำเนินงานต่อรายได้ ซึ่งไม่รวมมูลค่ายุติธรรม (EBITDA MARGIN) ในไตรมาส 1/2566 ของทั้งกลุ่มบริษัทสูงถึง 45% แข็งแกร่งกว่าไตรมาส 1/2565 อัตรา 14% ธุรกิจโรงแรมและการบริการโต 17% บริษัทเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องในทุกเซ็กเมนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มรีสอร์ท ระดับลักซ์ซูรี และโรงแรมอื่น ๆ นอกกรุงเทพฯ ซึ่งสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่มีศักยภาพ (High-to-Luxury) สอดรับกับมาตรการการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้มีดีมานด์การท่องเที่ยวในช่วงเทศกาลปีใหม่สูงขึ้นอย่างเด่นชัด ส่งผลให้รายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) อยู่ที่ 4,152 บาท ซึ่งสูงกว่าช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2562 ที่เท่ากับ 3,549 บาท โตขึ้น 17%  โดยในไตรมาส 1/2566 กลุ่มธุรกิจโรงแรมมีรายได้ 2,743 ล้านบาท คิดเป็นกำไรจากการดำเนินงาน (EBITDA) 1,091 ล้านบาท ซึ่งเติบโตก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) หรือเพิ่มขึ้น 28.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) AWC มุ่งพัฒนาทรัพย์สินคุณภาพให้เป็นทรัพย์สินดำเนินงานเพื่อเพิ่มมูลค่าอย่างต่อเนื่อง โดยมีจำนวนห้องพักในปัจจุบันรวม 5,588 ห้อง เพิ่มขึ้น 63% เทียบกับก่อนสถานการณ์โควิด-19 รวมทั้งภายในปีนี้ ยังมีแผนเดินหน้าเพิ่มพอร์ตคุณภาพในกลุ่มโรงแรมและการรีแบรนด์โรงแรม ได้แก่ โรงแรม อินน์ไซด์ บาย มีเลีย กรุงเทพ สุขุมวิท และโรงแรม อินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง รวมทั้งการรีแบรนด์โรงแรม เลอ เมอริเดียน เชียงใหม่ เป็น โรงแรม แมริออท เชียงใหม่   โดยบริษัทตั้งเป้าเพิ่มจำนวนโรงแรมที่เปิดดำเนินการจาก 20 โรงแรมในปี 2565 เป็น 22 โรงแรม ในปี 2566 รวม 6,036 ห้อง ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพบริษัทให้สามารถตอบสนองความต้องการนักท่องเที่ยวและกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้น นอกจากนี้ บริษัทยังร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกเสริมความแข็งแกร่งของทรัพย์สินคุณภาพในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Assets Enhancement) อาทิ การร่วมมือกับ Accor ในการรีแบรนด์จากโรงแรมแกรนด์ เมอร์เคียว แบงค็อก วินด์เซอร์ เป็นโรงแรม แฟร์มอนท์ แบงคอก สุขุมวิท แห่งแรกในประเทศไทย อสังหาฯ เพื่อการพาณิชย์โต 114% กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการค้า (Retail and Wholesale) มีการเติบโตต่อเนื่องของผู้เช่า ซึ่งได้แรงสนับสนุนจากผู้บริโภคและนักท่องเที่ยวออกมาจับจ่ายใช้สอยกันมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มศูนย์การค้าเพื่อการท่องเที่ยว ส่งผลให้รายได้เติบโตมากกว่า 114% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา   นอกจากนี้ บริษัทยังมุ่งพัฒนาโครงการต่าง ๆ เพื่อให้สอดรับกับความต้องการและไลฟ์สไตล์ของกลุ่มผู้บริโภคที่หลากหลาย อาทิ โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ผ่านประสบการณ์ “ALL DAY EVERYDAY HAPPINESS” พร้อมการร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกเปิด “Disney100 Village at Asiatique” การเปิดตัวห้องอาหาร “เดอะ คริสตัลล์ กริลล์ เฮาส์” และ “เดอะ สยาม ที รูมท์” เพื่อยกระดับโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ สู่การเป็นจุดหมายปลายทางด้านอาหารและเครื่องดื่มระดับโลก ส่งผลให้โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น มีอัตราการเช่าพื้นที่และอัตราค่าเช่าที่สูงขึ้นสอดรับกับจำนวนลูกค้าที่เข้าใช้บริการที่เพิ่มขึ้นมากกว่า  250% เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน   บริษัทยังได้มีการเปิดตัว THE PANTIP LIFESTYLE HUB ที่เชียงใหม่ ภายใต้แนวคิด “EVERY HAPPINESS FOR EVERYONE” มุ่งสร้างแลนด์มาร์คไลฟ์สไตล์สำหรับครอบครัวใจกลางเมืองเชียงใหม่ และในเดือนเมษายนที่ผ่านมา AWC ร่วมมือกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ขับเคลื่อนประเทศไทย เป็น “ศูนย์กลางค้าส่งอาหารของภูมิภาค” โดยได้เปิดโมเดลค้าส่งอาหารรูปแบบใหม่ของโครงการ AEC FOOD WHOLESALE PRATUNAM ที่จะตอบโจทย์การค้าส่งอาหารครบวงจร พร้อมเชื่อมผู้ค้าส่งอาหารทั่วโลกกับผู้ซื้อในเขตเศรษฐกิจอาเซียน สำหรับธุรกิจอาคารสำนักงาน (Commercial) ยังคงสร้างกระแสเงินสดให้แก่บริษัทอย่างต่อเนื่อง มาจากความต้องการเช่าพื้นที่สำนักงานเกรด A ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ตอบรับเทรนด์อนาคตที่ผสมผสานการทำงานและไลฟ์สไตล์เข้าด้วยกัน อีกทั้งเป็นสำนักงานที่ได้รับการรับรองมาตรฐานอาคารสีเขียว (Green Building) โดยในไตรมาสที่ผ่านมา AWC ได้เปิดตัว “Co-Living Collective: Empower Future” ที่อาคาร “เอ็มไพร์” เป็นครั้งแรก นำ Co-Living Space กว่า 1,500 ตร.ม. ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทยมาสร้างประสบการณ์พิเศษให้กับผู้เช่าอาคาร ตอบโจทย์ทั้งด้านการทำงานและไลฟ์สไตล์ในที่เดียว AWC ยังคงมุ่งเน้นความสามารถในการทำกำไร และควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการดำเนินการพัฒนาโครงการคุณภาพอย่างต่อเนื่อง”  AWC มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจตามแผนกลยุทธ์เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน พร้อมสร้างคุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน โดยล่าสุดบริษัทฯ ได้รับรางวัลที่สะท้อนถึงศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ และความโดดเด่นของแบรนด์องค์กร ได้แก่  รางวัล “Thailand’s Top Corporate Brands 2022” ในฐานะองค์กรที่มีมูลค่าแบรนด์องค์กรสูงสุดของประเทศไทย ประจำปี 2565 ในหมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่จัดขึ้นโดยหลักสูตรปริญญาโท สาขาการจัดการแบรนด์และการตลาด คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และ “Asia's Greatest Brand 2023” รางวัลระดับภูมิภาคเอเชีย ในกลุ่มธุรกิจบริการจากงาน Edition of Asian Business & Social Forum - Asia’s Greatest Brands and Leaders 2023 ที่จัดโดย Asia One Magazine นิตยสารธุรกิจชั้นนำของประเทศอินเดีย เพื่อยกย่องผู้นำทางธุรกิจและแบรนด์ที่มีความโดดเด่นในปี 2566   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -หมดยุคห้างสินค้าไอที พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ AWC ปรับสู่ศูนย์กลางค้าส่งด้านอาหาร ใหญ่สุดในไทย -AWC เดินแผนขยายธุรกิจแสนล้าน เตรียมเปิดโรงแรมใหม่เพิ่มอีก 9 แห่ง
ดูโฮม เดินแผนธุรกิจ 3 ปี  ขยายสาขาครบ 36 แห่ง พร้อมกลยุทธ์ “ครบ ถูก ดี”

ดูโฮม เดินแผนธุรกิจ 3 ปี ขยายสาขาครบ 36 แห่ง พร้อมกลยุทธ์ “ครบ ถูก ดี”

ดูโฮม ร้านวัสดุก่อสร้างจากอุบลราชธานี เดินหน้าตามแผนธุรกิจ 3 ปี ขยายสาขาให้ครบ 36 แห่ง เตรียมงบลงทุนกว่า 2,400 ล้าน ขยายเพิ่มอีก 3 สาขาในจ.เชียงราย อยุธยา และปทุมธานี  พร้อมกลยุทธ์ "ถูก ครบ ดี"   นางสาวอริยา ตั้งมิตรประชา รองกรรมการผู้จัดการ สายงานปฏิบัติการและจัดซื้อ บริษัท ดูโฮม จำกัด (มหาชน) หรือ DOHOME เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจบริษัทตั้งเป้าหมายขยายสาขาให้ครบ 30 แห่งภายใน 3 ปี ซึ่งปัจจุบันมีสาขาขนาดใหญ่แล้ว 21 แห่ง โดยในปีนี้จะเพิ่มสาขาอีก 3 แห่ง ที่จังหวัดเชียงราย อยุธยา และปทุมธานี ขณะเดียวกันยังได้ขยายสาขาขนาดเล็กในชื่อ ToGo อีก 6 แห่งในปีนี้ จากปัจจุบันมีแล้ว 8 แห่ง เพื่อกระจายไปยังชุมชนต่าง ๆ   สำหรับงบประมา​ณการลงทุน คาดว่าจะใช้กว่า 2,400 ล้านบาท แบ่งเป็นสาขาขนาดใหญ่ แห่งละ 800 ล้านบาท ซึ่งใช้เป็นงบลงทุนก่อสร้าง 500 ล้านบาท งบสต็อกสินค้าอีก 300 ล้านบาท ส่วนสาขา ToGo จะใช้งบลงทุนสาขาละประมาณ 10 ล้านบาท   ปัจจุบันดูโฮม ถือเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้าง ของตกแต่ง และของใช้ในบ้าน ใหญ่เป็นอันดับ 4 เมื่อเทียบกับบริษัทที่ดำเนินธุรกิจและจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ และเป็นหนึ่งใน 10 ผู้ดำเนินธุรกิจดังกล่าวในรูปแบบค้าปลีกสมัยใหม่ หรือโมเดิร์นเทรด ที่ปัจจุบันน่าจะมีมูลค่าตลาดของธุรกิจกว่า 400,000-500,000 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประกอบการในรูปแบบร้านค้าดั้งเดิมเป็นหลัก   นางสาวอริยา กล่าวว่า หากนับรวมผู้ประกอบการรายใหญ่ในปัจจุบัน 4-5 ราย น่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดรวมกันไม่เกิน 20% ของมูลค่าตลาดรวม ขณะที่ดูโฮมน่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 3% ขณะที่ผู้นำตลาดอันดับ 1 น่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 10% ทำให้ธุรกิจนี้ยังมีโอกาสทางการตลาด สามารถสร้างการเติบโตได้อีกมากมาย โดยผลประกอบการในปีที่ผ่านมา ดูโฮมสามารถทำรายได้ 31,530 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 774 ล้านบาทส่วนไตรมาสแรกที่ผ่านมา สามารถทำรายได้ 8,515 ล้านบาท กำไรสุทธิ 258 ล้านบาท ดูโฮม เดินกลยุทธ์ ครบ ถูก ดี ด้านนายอดิศักดิ์ ตั้งมิตรประชา ประธานกรรมการบริหาร กล่าวว่า  ตั้งแต่ช่วง ปี 2562 – 2565 รายได้เติบโตกว่า 75% โดยคาดว่ารายได้ของปี 2566 จะยังสามารถเติบโตได้ ด้วยกลยุทธ์ต่าง ๆ ที่เร่งผลักดันการขายในทุกช่องทาง อีกทั้งยังมีบริการโฮมเซอร์วิสที่พัฒนาให้ตอบโจทย์ลูกค้าและครบวงจรมากขึ้น   เพื่อตอกย้ำความ “ ครบ ถูก ดี ” ให้แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น พร้อมฉลองครบรอบ 40 ปี Better Together ครบ ถูก ดี ตลอดไป   โดยกลยุทธ์หลักของบริษัทฯ จะดำเนินการภายใต้แนวคิด Better Together ที่ให้ความสำคัญใน 4 เรื่องหลัก      เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้ง กลุ่มผู้ใช้ทั่วไป กลุ่มผู้รับเหมา/ช่าง และกลุ่มร้านค้าช่วง ดังนี้ ครบรุ่น :  ตอบโจทย์ลูกค้าด้วยสินค้าที่หลากหลายหมวดผลิตภัณฑ์และหลากหลายรุ่นสินค้า เช่น เหล็กมีทุกขนาด เครื่องมือช่างมีทุกไซส์ ทุกแบบ เคยมีลูกค้าบอกว่า “ฮาร์ดแวร์ที่หายากดูโฮมมีขาย” อีกทั้งยังมีตัวช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้าได้ง่ายขึ้นด้วย ห้องตัวอย่างภายในสโตร์ที่สามารถช่วยสร้างอินสไปรเรชั่นได้ ครบกลุ่ม :  ตอบโจทย์ลูกค้าครบทุกกลุ่ม เช่น ลูกค้าผู้ใช้ทั่วไป, ลูกค้าช่าง, ลูกค้าผู้รับเหมา, ร้านค้าช่วง เรียกว่ามีให้ครบตั้งแต่ลูกค้ารายใหญ่ไปจนรายย่อย และปัจจุบันมีช่องทางการช้อป  ที่หลากหลาย ทั้งสาขาขนาดใหญ่ สาขาขนาดเล็ก (Dohome ToGo) และอีคอมเมิร์ซอีกด้วย ครบเกรด :  ดูโฮม ตอบสนองความต้องการของลูกค้า ด้วยสินค้าเกรดคุณภาพ ที่พร้อมตอบโจทย์ความลูกค้าหลายกลุ่ม เช่น สินค้าเกรดพรีเมียม สินค้าเกรดมาตรฐาน รวมทั้งเกรดพิเศษที่สามารถสั่งพิเศษได้ ครบบริการ :  ดูโฮม ตอบสนองความต้องการด้วยการส่งมอบการบริการด้านต่างๆ อาทิ การบริการด้านการเงินให้ลูกค้าปลีก  เช่น ผ่อน 0%, ลูกค้าโครงการและรับเหมา เช่น วงเงินเครดิตต่อยอดธุรกิจ รวมไปถึงบริการขนส่งสินค้า บริการออกแบบ 3D และยังมีบริการโฮมเซอร์วิส “นายช่าง” ที่พร้อมจะตอบโจทย์คนทำบ้าน นอกจากนี้บริษัทได้พัฒนาระบบการช้อปปิ้งออนไลน์บนเว็บไซต์ www.dohome.co.th  รวมถึงโซเชียลมีเดียช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Marketplace Facebook, Line OA, Lazada, Shopee เพื่อเพิ่มความสะดวกและตอบโจทย์ลูกค้าได้มากขึ้น อาทิ การเลือกซื้อสินค้าออนไลน์ บริการจัดส่งถึงบ้าน หรือนัดรับที่สาขา โดยปัจจุบันสินค้าที่จัดจำหน่ายบนเว็บไซต์มีทั้งกลุ่มสินค้าวัสดุก่อสร้าง กลุ่มสินค้าซ่อมแซม และกลุ่มสินค้าตกแต่งบ้าน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ค้นหาไอเดียสุดว้าว การใช้วัสดุก่อสร้างใน งานสถาปนิก’66 -ใครท็อปฟอร์มสุด ในธุรกิจ ร้านวัสดุ-เฟอร์นิเจอร์ Q3/65
ออเนอร์ กรุ๊ป เดินหน้าเปิด 5 โปรเจ็กต์ในพัทยา ก่อนบุกภูเก็ต-สมุย-กระบี่

ออเนอร์ กรุ๊ป เดินหน้าเปิด 5 โปรเจ็กต์ในพัทยา ก่อนบุกภูเก็ต-สมุย-กระบี่

ออเนอร์ กรุ๊ป วางแผนเปิด 5 โปรเจ็กต์ ไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้าน ทั้งคอนโดและโรงแรม เดินหน้าลุยพัฒนาโครงการอสังหาฯ ในเมืองพัทยา ขณะที่โครงการ วันส์ พัทยา กวาดยอดขายแล้ว 90% คาดในไตรมาส 2 เตรียมปิดโครงการ พร้อมโอนสร้างรายได้ เล็งลุยตลาดภูเก็ต สมุย กระบี่    นายคริส เชิดสุริยา ที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหาร บริษัท ออเนอร์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้ 5 โครงการ ประกอบด้วย โครงการโรงแรม ฮิลตัน การ์เด้น อินน์ พัทยา ซิตี้ (HILTON GARDEN INN PATTAYA CITY) มูลค่า 1,500 ล้านบาท ตั้งอยู่บนเนื้อที่ดิน 2 ไร่ จากทั้งหมด 4.5 ไร่ ติดถนนพัทยาสาย 3 เป็นอาคารสูง 29 ชั้น ขนาด 300 ห้อง พร้อมร้านค้าปลีก 6 ร้าน ขนาดพื้นที่รวม 2,000 ตารางเมตร กำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2568 โครงการบ้านแนวราบ พูลวิลล่า มูลค่า 600 ล้านบาท บนทำเลนาจอมเทียน ซอย 2 (ซอยร้านอาหารปูเป็น) บนพื้นที่ 8 ไร่ จำนวน 30 ยูนิต ราคาขายประมาณ 30-40 ล้านบาท โครงการบ้านแนวราบ “ระดับลักชัวรี่” บนพื้นที่ 32 ไร่ จำนวน 110 ยูนิต รวมมูลค่า 700-800 ล้านบาท ราคาประมาณ 8-10 ล้านบาท ตั้งอยู่บริเวณรอบอ่างเก็บน้ำมาบประชัน โครงการโรงแรม ยังอยู่ระหว่างการวางแผนงาน โครงการคอนโด มูลค่าไม่ต่ำกว่า 2,200 ล้านบาท ยังอยู่ระหว่างการวางแผนงาน   ปัจจุบันบริษัทมีแลนด์แบงก์สะสมอยู่ 7 แปลง เพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการปัจจุบันและอนาคต ซึ่งยังคงมองหาซื้อที่ดินใหม่เข้ามาเพิ่มอย่างต่อเนื่อง แต่ที่ดินพัทยาค่อนข้าหายาก และมีราคาสูงจนไม่สามารถซื้อมาพัฒนาโครงการได้ ซึ่งบริษัทมีการศึกษาและมองหาโอกาสในการพัฒนาโครงการในพื้นที่เมืองท่องเที่ยวอื่น นอกเหนือจากพัทยาด้วย อาทิ สมุย ภูเก็ต และกระบี่ แต่ปัจจุบันยังโฟกัสตลาดพัทยาเป็นหลัก พัทยาหาที่ดินยาก เป็นอุปสรรคอันดับหนึ่งในการพัฒนา และมีราคาสูงจนไม่สามารถพัฒนาโครงการได้ ราคาที่ดินตอนนี้ระดับวาละ 3-4 แสนบาท ถ้าติดทะเลก็หลักวาละล้านบาท ด้านนางสาวธิดา เชิดสุริยา ประธานกรรมการบริหาร บริษัทในเครือออเนอร์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า สำหรับ​โครงการ คอนโด “วันส์ พัทยา” (ONCE PATTAYA) ปัจจุบันได้เสร็จสมบูรณ์ 100% ซึ่งเป็นหนึ่งโครงการมิกซ์ยูส ที่รวม 3 โครงการเข้าด้วยกัน ได้แก่ 1. วันส์ พัทยา (ONCE PATTAYA) คอนโด 2.โรงแรมฮิลตัน การ์เด้น อินน์ พัทยา ซิตี้ (HILTON GARDEN INN PATTAYA CITY) และ 3.ศูนย์รวมร้านค้า โดยโครงการวันส์ พัทยา​ เป็นอาคารสูง 32 ชั้น จำนวนห้องพักอาศัยรวม 427 ยูนิต ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่  28.4-201 ตารางเมตร ราคาขายเฉลี่ย 140,000 บาทต่อตารางเมตร มูลค่าโครงการกว่า 2,200 ล้านบาท  ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 90% โดยโครงการยังได้มอบบัตรสมาชิก “ไทยแลนด์ อีลิท” ของบริษัท ไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด (ทีพีซี) เพื่อรับสิทธิพิเศษ Privilege Elite Visa สามารถอยู่อาศัยระยะยาวแบบ Long Stay Visa ในเมืองไทยได้นานถึง 20 ปี   ปัจจุบันมีเริ่มรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ โดยมีมูลค่าประมาณ 300-400 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 20% คาดว่าภายในปีนี้จะทำการปิดโครงการได้ภายในไตรมาส 2 หรืออย่างช้าในช่วงต้นไตรมาส 3 และคาดว่าจะทำการโอนกรรมสิทธิ์ได้ทั้งหมดภายในปีนี้ หรืออย่าช้าภายในต้นปีหน้า ส่วนความคืบหน้าการพัฒนาโรงแรมฮิลตัน การ์เด้น อินน์ พัทยา ซิตี้ (HILTON GARDEN INN PATTAYA CITY) เป็นไปตามแผนงานของบริษัทฯ เดินหน้าพัฒนาอย่างเต็มที่ภายหลังจากที่ได้รับสินเชื่อจากธนาคารยูโอบี ซึ่งการได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากธนาคารขนาดใหญ่   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -“ออเนอร์ กรุ๊ป” ทุ่ม 2,000 ล้าน ปั้นโปรเจ็กต์ ONCE PATTAYA มั่นใจทำเลพัทยาไปได้อีกไกล 
บางกอกแลนด์ ลุยธุรกิจโรงเรียนสอนอาหาร ปั้น​ เลอโนท ประเทศไทย ​เจาะตลาดเอเซีย

บางกอกแลนด์ ลุยธุรกิจโรงเรียนสอนอาหาร ปั้น​ เลอโนท ประเทศไทย ​เจาะตลาดเอเซีย

บางกอกแลนด์  ลุยธุรกิจโรงเรียนสอนอาหาร รับเทรนด์อุตสาหกรรมและไมซ์เติบโต ปั้น​ เลอโนท ประเทศไทย ​เสริมทักษะอาชีพ พร้อมตั้งเอเจนต์ขยายฐานนักเรียนกลุ่มต่างชาติทั่วเอเซีย คาดปี 2567 จำนวนนักเรียนเพิ่มเป็น 80% ของหลักสูตรที่เปิดสอน   นายพอลล์ กาญจนพาสน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บางกอกแลนด์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารโรงเรียนสอนประกอบอาหาร เลอโนท ประเทศไทย เปิดเผยว่า ​ปัจจุบันอุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมไมซ์ ถือเป็นส่วนสำคัญของธุรกิจท่องเที่ยวและสร้างรายได้อันดับต้น ๆ ให้แก่ประเทศ สะท้อนจากจำนวนร้านอาหารทั้งกลุ่ม Fine Dining สตรีทฟู้ด ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่จำนวนโรงเรียนสอนประกอบอาหารในไทยกลับมีจำนวนไม่มาก ด้วยแนวโน้มดังกล่าว บริษัทจึงได้เปิดตัวโรงเรียนสอนประกอบอาหาร เลอโนท ประเทศไทย (Lenôtre Culinary Arts School Thailand) อย่างเป็นทางการเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา  ถือเป็นสาขาแรกนอกประเทศฝรั่งเศส และสาขาเดียวในภูมิภาคเอเซีย โดยหลักสูตรของโรงเรียนสอนประกอบอาหาร เลอโนท ประเทศไทย แบ่งเป็น 2 ระดับ ได้แก่ หลักสูตรประกาศนียบัตร แบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ การประกอบอาหารคาว เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นเชฟมืออาชีพ หรือต้องการเปลี่ยนอาชีพมาสู่การเป็นเชฟผู้เชี่ยวชาญในการผลิตและการจัดการอาหารประเภทอาหารคาวโดยเฉพาะ ใช้ระยะเวลาในการเรียนจำนวน 840 ชั่วโมง การทำขนมอบ  เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นเชฟมืออาชีพในการผลิตขนมอบหรือการจัดการอาหารประเภทขนมอบโดยเฉพาะ ใช้ระยะเวลาในการเรียนจำนวน 840 ชั่วโมง การทำขนมปัง เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นเชฟมืออาชีพในการผลิตหรือการจัดการอาหารประเภทขนมปังโดยเฉพาะใช้ระยะเวลาในการเรียนจำนวน 520 ชั่วโมง หลักสูตรระยะสั้น เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีพื้นฐานในด้านการประกอบอาหารหรือขนมมาก่อน ไปจนถึงผู้เรียนระดับมืออาชีพที่ต้องการเสริมทักษะเพื่อนำไปใช้ต่อยอดธุรกิจ ทั้งยังมีการฝึกอบรมในหัวข้อพิเศษตามฤดูกาลและเทศกาลต่างๆ ที่ใช้ระยะเวลาในการเรียนจำนวน 4 ชั่วโมงขึ้นไป เช่น การทำเมนูพาสต้า Multicolor Tagliatelle Fresh Pasta ,Langoustine Ravioli with Bisque เมนูจากเนื้อสัตว์และสัตว์ปีก(On the ground) เมนูจากเนื้อปลา หอย กุ้งและปู (Under the sea) เมนูตับห่าน (Foie gras) เค้กขอนไม้สำหรับวันคริสมาสต์ (Bûche de Noël) การทำมาการอง ศิลปะการทำช็อกโกแลตและขนมเค้ก เค้กและเค้กเนื้อนิ่ม (Soft Cake and Moelleux) การทำทาร์ตช็อกโกแลตและทาร์ตเลมอน ศิลปะการทำอ็องเทรอแม(Entremet) เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีคอร์สวีไอพี และ Chef Table ด้วย ล่าสุดโรงเรียสอนประกอบอาหารเลอโนท ประเทศไทย ได้รับใบอนุญาตจัดตั้งเป็นโรงเรียนนอกระบบ ประเภทวิชาชีพ จากกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถนำไปประกอบอาชีพหรือเพิ่มเติมทักษะในการประกอบอาชีพได้ ขณะเดียวกันได้แต่งตั้งตัวแทน (Agent) เพื่อทำหน้าที่ให้คำแนะนำ ประสานงาน จัดหานักเรียนหรือผู้สนใจจากทั่วเอเซียเข้ามาเรียนที่โรงเรียนสอนประกอบอาหาร เลอโนท ประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มตลาดจีน เนื่องจากมีความสนใจเรียนประกอบอาหารเพิ่มขึ้น   โดยโรงเรียนสอนประกอบอาหารเลอโนท ปารีส ประเทศฝรั่งเศส ถือเป็นโรงเรียนสอนประกอบอาหารอันดับต้นๆ ที่ได้รับความนิยมจากชาวจีน ซึ่งถือเป็นโอกาสของเลอโนท ประเทศไทย เพราะเดินทางใกล้ ค่าใช้จ่ายถูก ที่สำคัญรูปแบบการเรียนการสอนเป็นไปตามแนวทางที่เลอโนท ปารีส ประเทศฝรั่งเศสกำหนด ด้วยทีมสอนมืออาชีพจากประเทศฝรั่งเศส โดยเปิดรับนักเรียนห้องละ 12 ท่าน เพื่อประสิทธิภาพในการสอน จึงมั่นใจได้ว่ามาเรียนที่เลอโนท ประเทศไทย เสมือนได้บินไปเรียนที่เลอโนท ปารีส ประเทศฝรั่งเศส   สำหรับเดือนพฤษภาคมนี้ได้เปิดหลักสูตรระยะสั้นครอบคลุมทั้งเมนูสำหรับเด็ก อาหารเพื่อสุขภาพ ศิลปะการปั้นน้ำตาล เพื่อพัฒนาทักษะ การทำอาหาร อาทิ KID’S MENU จำนวน 4 ชั่วโมง ราคา 9,000 บาท จะเปิดสอนวันที่ 17 พฤษภาคม 2566 หลักสูตร CHOUX PASTRY จำนวน 6 ชั่วโมง ราคา 12,000 บาท เปิดสอนวันที่ 11 พฤษภาคม 2566 และวันที่ 18 พฤษภาคม 2566 หลักสูตร BEEF  DAY จำนวน 7 ชั่วโมง ราคา 15,000 บาท จะเปิดสอนวันที่ 13 พฤษภาคม 2566 และวันที่ 21 พฤษภาคม 2566 เป็นต้น การมาเรียนที่เลอโนท ไม่ใช่แค่การเข้าเรียนในห้อง รับสูตรอาหารคาวหวานกลับไปเท่านั้น แต่เรามุ่งมั่นออกแบบหลักสูตร เพื่อให้คุณได้ความรู้ ทักษะ และประสบการณ์จากการลงมือปฏิบัติจริง จากทีมเชฟผู้ฝึกสอนที่มากด้วยประสบการณ์ที่จะถ่ายทอดความรู้ทุกขั้นตอนด้วยความเอาใจใส่ และสนับสนุนนักเรียนทุกคนอย่างเต็มที่ เพื่อให้คุณประสบความสำเร็จ โดยเดือนกรกฎาคมนี้เลอโนท ประเทศไทย เตรียมจะเปิดรับสมัครนักเรียนรอบใหม่ เพื่อเข้าเรียนคอร์สระดับเริ่มต้นและระดับสูง ทั้งอาหารคาว ขนมปัง ขนมอบ ทั้งอาหารคาว ขนมปัง ขนมอบ  ทั้งนี้ตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2567 จะมีจำนวนนักเรียนเพิ่มเป็น 80% ของหลักสูตรที่เปิดสอน   นายพอลล์ กล่าวว่า เลอโนท ประเทศไทย ถือเป็นส่วนสำคัญในการผลักดันให้ ประเทศไทยก้าวสู่การท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ อย่างการท่องเที่ยวเชิงอุตสาหกรรมอาหาร (Food Tourism) เพื่อสร้างหมุดหมายใหม่ที่นักท่องเที่ยวต้องมาเยือน ซึ่งเร็วๆ นี้ มีแผนจะเพิ่มหลักสูตรระยะสั้นเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ต้องการเข้ามาเรียนประกอบอาหาร รวมถึงกลุ่มนักธุรกิจต่างชาติที่เดินทางมาร่วมประชุม สัมมนาที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี และต้องการใช้เวลาว่างในการทำกิจกรรมพิเศษ   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -บางกอกแลนด์ เตรียมเปิดใช้รถไฟฟ้าสายสีชมพู 2 สถานีเข้าเมืองทองธานี ปี 68
เปิด พฤติกรรมการกิน ของคนไทย สู่คนอ้วนอันดับ 2 ของอาเซียน ​

เปิด พฤติกรรมการกิน ของคนไทย สู่คนอ้วนอันดับ 2 ของอาเซียน ​

พฤติกรรมการกิน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะบ้านเรามีร้านบุฟเฟ่ต์สารพัดชนิด หรือจำนวนมากเกินไปหรือเปล่า จึงทำให้คนไทยติดอันดับ 2 ของคนที่มีภาวะโรคอ้วนมากที่สุดในอาเซียน เป็นพลจาก พฤติกรรมการกิน ของคนไทยที่ทำให้ติดอันดับนี้ ข้อมูลล่าสุดเมื่อปี 2564 ที่ผ่านมา บ้านเรามีคนที่เป็นโรคอ้วนมากถึง 26 ล้านคน หรือสัดส่วน 46.2% ของคนไทยทั้งประเทศ   ถามว่าเมื่อมีคนเป็นโรคอ้วนแล้วมีปัญหาอะไรตามมา อย่างที่เห็นชัดเจน ก็คือ ภาวะโรคแทรกซ้อน และโรคที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ อาทิ ความดัน ไขมัน ความหวาน หัวใจ เป็นต้น ซึ่งก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาล และระบบสาธารณสุข ยังไม่นับรวมกับการสูญเสียแรงงานที่จะเข้ามาสู่ระบบในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอีก ประเมินตัวเลขความสูญเสียทางเศรษฐกิจไทยน่าจะมากกว่า 2 แสนล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน​1.27% ของ GDP เลยทีเดียว   โดยล่าสุด นักศึกษาปริญญาโท สาขาการตลาด วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) ​ได้ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างประชาชนและวิเคราะห์ข้อมูลงานวิจัยเรื่อง “What If Marketing การตลาดสามมิติสู่การเปลี่ยนแปลง” เพื่อศึกษาพฤติกรรม ทัศนคติและความเชื่อในการบริโภคอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การดูแลสุขภาพจิต และการบริโภคสินค้าเพื่อความยั่งยืน ในแต่ละกลุ่มช่วงอายุ เพศ สู่การคิดค้นกลยุทธ์การตลาดใหม่ที่ให้ความสำคัญต่อ “สุขภาพ-ชีวิต-อนาคต ที่ดีกว่า”โดยเจาะสำรวจกลุ่มตัวอย่าง รวมจำนวน 1,130 ตัวอย่าง แบ่งเป็น โดยพบปัญหาพฤติกรรมเชิงลบของคนไทยที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ใน 3 ประเด็นสำคัญ คือ การกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ การดูแลสุขภาพใจ และการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่ง Reviewyuorlivig ได้นำประเด็นการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ มาฉายภาพให้เห็นว่า ทำไมคนไทยถึงติดอันดับ 2 ที่มีคนอ้วนมากที่สุดในอาเซียน พฤติกรรมการกิน ของคนไทย หลังโควิด-19 โดย พฤติกรรมการกิน ของคนไทยหลังเกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลให้คนไทยน้ำหนักเพิ่ม จากข้อมูลของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ มีดังนี้ กินน้ำหวานมากขึ้น                       18.7% กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากขึ้น        18.3% กินอาหารกระป๋องมากขึ้น            15.6% กินขนกรุบกรอบมากขึ้น               13.6% กินลไม้ลดลง                                 10.5% กินผักน้อยลง                                 8.3% กินขนมหวานหรือลูกอมมากขึ้น    6.8% ขณะที่นางสาวจันทร์กานต์ เบ็ญจพร นักศึกษาปริญญาโท วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) หัวหน้าทีมวิจัย กล่าวว่า คนไทยมีความต้องการเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหารให้ดีต่อสุขภาพ แต่ก็ยังพบปัญหาด้านราคาที่สูงกว่าปกติ การหาซื้อที่ยาก และอาหารสุขภาพก็ไม่อร่อย สู้อาหารอื่นไม่ได้   ส่งผลให้ผลการสำรวจกลุ่มตัวอย่าง 1,000 คน พบว่า ปัจจุบันคนไทยยังมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายในการกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพเพียง 17.09% ของค่าใช้จ่ายการกินอาหารทั้งหมดเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม ยังพบว่าเทรนด์การกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ (Better Food for Better Health) ก็มีอย่างต่อเนื่อง เพราะผู้บริโภคต้องการเ​รักษาและคงสุขภาพระยะยาว ต้องการเสริมภาพลักษณ์ และ ต้องป้องกันโรค โดยประเภทอาหารที่ดีต่อสุขภาพ พบว่า 5 อันดับแรกที่พูดถึงมากที่สุด คือ อาหารออร์แกนิค (Organic) อาหารโลว์คาร์บ (Low Carb) อาหารโพรไบโอติกส์-พรีไบโอติกส์ (Prebiotic/Probiotic) อาหารแพลนต์เบสด์ (Plant-Based) และ อาหารคีโตวีแกน (Keto Vegan) ขณะที่คุณลักษณะของอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ผลวิจัยพบว่า อาหารที่ปลอดสารพิษและยาฆ่าแมลงมาเป็นอันดับสูงสุด รองลงมาคือ อาหารโซเดียมต่ำ และอาหารไขมันต่ำ กลยุทธ์ LIFE สร้างชีวิตให้ดีขึ้น จากปัญหาที่พบจากงานวิจัยดังกล่าว ทางทีมวิจัยจึงได้คิดค้น กลยุทธ์แห่งชีวิตที่จะสร้างชีวิต สังคม และแบรนด์ให้ดีขึ้น เรียกว่า “LIFE” (ไลฟ์) เพื่อนำเสนอกลยุทธ์ใหม่ต่อนักการตลาด ผู้ประกอบการ ตลอดจนเจ้าของธุรกิจกลุ่มอาหาร และสุขภาพ ในการสร้างแรงจูงใจและการสื่อสาร ที่จะทำให้ผู้บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในทางที่ดีขึ้นในระยะยาวและสร้างโอกาสต่อธุรกิจอย่างยั่งยืน ไม่ใช่เพียงเน้นการขายของอย่างเดียวดังนี้ L: Less is more - ลดบางอย่างน้อยลงเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีมากขึ้น แบรนด์สามารถลดส่วนประกอบบางอย่าง เพื่อให้ผู้บริโภคมีสุขภาพที่ดีขึ้น รวมถึงลดการใช้สิ่งที่ไม่จำเป็นบางอย่างในการผลิต เพื่อทำให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น ในมุมของผู้บริโภคก็ต้องพยายามลดการรับประทานอาหารบางอย่างที่ไม่ดีต่อสุขภาพเช่นกัน I: Image – ภาพลักษณ์แบรนด์เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องสร้างความเชื่อต่อผู้บริโภค แบรนด์ควรสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้บริโภคในแง่การผลิตสินค้าหรือบริการที่มีความใส่ใจสุขภาพของผู้บริโภคอย่างแท้จริง ในขณะเดียวกันผู้บริโภคต้องการใช้สินค้าหรือบริการที่เสริมภาพลักษณ์ตนเองให้ดูดีขึ้นเช่นกัน เช่น ผลิตภัณฑ์อาหาร หรือผลิตภัณฑ์กลุ่มอื่นๆ ที่มีความใส่ใจถึงผลดีต่อโลกอย่างแท้จริง F: Fear – ความกลัวเป็นจุดที่กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เมื่อพูดถึงการเปลี่ยนแปลง ทุกคนย่อมมีความกลัว ฉะนั้นแบรนด์ต้องเล่นกับความกลัว โดยสร้างสินค้าหรือบริการให้ตอบโจทย์การแก้ปัญหาความกลัวและสร้างความมั่นใจต่อผู้บริโภค สามารถใช้การสื่อสารเน้นย้ำให้เห็นผลเสียชัดเจนได้ หรือสื่อสารด้านคุณประโยชน์ที่จะได้จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม หรือการเปลี่ยนสินค้าว่า ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคหันมาเลือกซื้อสินค้าและบริการของเรา E: Experience - การทำให้ผู้บริโภคได้สัมผัสกับประสบการณ์ความเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงเพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีไม่น่ากลัวอย่างที่คิด โดยแบรนด์สามารถสร้างประสบการณ์ให้ลูกค้าสัมผัสจริงได้ไม่ยาก เช่น การทดลองใช้ หรือทดลองชิม เมื่อผู้บริโภคค่อยๆ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทีละน้อย ก็จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต และทำให้ผู้บริโภคเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมทำได้ไม่ยากและผลลัพธ์ที่ได้ดีต่อตนเองมากกว่าก่อนหน้านี้ สำหรับใครที่มีปัญหาเรื่องโรคอ้วน ก็คงต้องหันมาปรับ พฤติกรรมการกิน  หันมาดูแลตัวเองกันให้มากขึ้นแล้ว ส่วนใครที่มองเห็นว่า พฤติกรรมการกินของคนไทยที่แย่ลงแบบนี้ แล้วจะสร้างโอกาสในการขยายธุรกิจ ก็คงต้องรีบผลิตสินค้าและบริการออกมารองรับแล้ว เพื่อให้คนไทยมีชีวิตที่ดีขึ้น   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -6 สูตรลับ ปรับกลยุทธ์ธุรกิจอาหารต้องรอดในยุคโควิด-19  -4 แอปสั่งอาหาร อิ่มแบบจุกๆ ส่งฟรี มีโปรฯ แถมสิทธิ์คนละครึ่ง
เอสซีจี ตั้งเป้าโต 200% ลุยตลาดโซลาร์รูฟ ส่ง SCG Solar Expert Station รุกตลาด ตั้งเป้าโต 200% รับค่าไฟพุ่ง

เอสซีจี ตั้งเป้าโต 200% ลุยตลาดโซลาร์รูฟ ส่ง SCG Solar Expert Station รุกตลาด ตั้งเป้าโต 200% รับค่าไฟพุ่ง

โซลาร์รูฟ เอสซีจี  ส่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อที่อยู่อาศัย เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชัน ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 200% ภายในปี 2566 ชูกลยุทธ์ด้วย SCG Solar Expert Station สร้างจุดเชื่อมระหว่างลูกค้าและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านโซลาร์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า      นายวชิระชัย คูนำวัฒนา Head of Smart System Solution Business ในธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี เปิดเผยว่า จากปัญหาค่าไฟที่ปรับสูงขึ้น และพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้า ในเวลากลางวันของผู้อยู่อาศัยมากขึ้น  ส่งผลให้ค่าไฟสูงขึ้นเฉลี่ย 30-50% และผู้บริโภคส่วนใหญ่หันมาใช้พลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้นถึง 12-15% และคาดการณ์ว่าภายในปี 2050 สัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนของโลกจะสูงขึ้นถึง 85% ซึ่งสามารถชี้วัดได้ว่าการใช้พลังงานแสงอาทิตย์มีแนวโน้มเพิ่มสูงตามลำดับ อาทิ การใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว รวมไปถึงปัจจัยร่วมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น อัตราค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดในช่วงที่ผ่านมา ภาครัฐมีมาตรการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) ประกอบกับด้านเทคโนโลยีในการติดตั้งและต้นทุนวัสดุอุปกรณ์ที่ถูกลง ไปจนถึงผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์นำระบบโซลาร์รูฟเข้ามาใช้เป็นอุปกรณ์พื้นฐานสำหรับโครงการที่อยู่อาศัย ตลอดจน Solar Energy Trading การซื้อขายพลังงานไฟฟ้าระหว่างครัวเรือน ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ล้วนแล้วแต่มีส่วนช่วยเร่งให้พลังงานทางเลือกเพิ่มระดับความนิยมที่เข้มข้น รวมถึงผลักดันให้ตลาดโซลาร์รููฟเติบโตได้ดียิ่งขึ้น   เอสซีจี โซลาร์ รูฟ โซลูชัน ในฐานะผู้นำและผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมระบบหลังคาโซลาร์ พร้อมโซลูชันครบวงจร ได้เล็งเห็นเทรนด์และแนวโน้มความนิยมด้านพลังงานสะอาด หรือพลังงานทดแทน จึงได้พัฒนานวัตกรรมหลังคาโซลาร์รูฟมาไม่น้อยกว่า 10 ปี โดยให้บริการติดตั้งระบบหลังคาโซลาร์แบบครบวงจร พัฒนาสินค้านวัตกรรมให้มีคุณภาพ โดยเฉพาะระบบการยึดติดแผงโซลาร์โดยไม่ต้องเจาะหลังคา เพื่อลดความเสี่ยงเรื่องหลังคารั่วด้วย Solar FIX ตลอดจนพัฒนาสินค้าและบริการให้เข้ากับทุกไลฟ์สไตล์การใช้ไฟฟ้าในบ้านอย่างครอบคลุมและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด   ทั้งนี้  เพื่อขับเคลื่อนและผลักดันให้พลังงานสะอาดสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งยอมรับว่าเป็นความท้าทายอย่างมากในการทำการตลาดระบบหลังคาโซลาร์ในไทย ที่นับได้ว่าเป็นเรื่องใหม่และกำลังเป็นที่พูดถึงอยู่ในปัจจุบัน แต่ส่วนใหญ่ยังต้องการความรู้และความเข้าใจอย่างถูกต้อง โดยกลยุทธ์ที่ต้องมุ่งเน้นไปพร้อม ๆ กันคือการสื่อสารเกี่ยวกับระบบหลังคาโซลาร์แก่ผู้บริโภค เริ่มตั้งแต่ความจำเป็น การติดตั้ง การใช้งาน รวมถึงความคุ้มค่าระยะยาว   จากเทรนด์และเทคโนโลยีโซลาร์รูฟที่กำลังได้รับความนิยมในวงกว้าง โดยเฉพาะภาคครัวเรือนที่มีโอกาสเข้าถึงได้มากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ เอสซีจีจึงได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมหลังคาโซลาร์ เดินหน้าด้วยกลยุทธ์ SCG Solar Expert Station โมเดลธุรกิจที่ถูกพัฒนาขึ้นจาก Insight ของผู้อยู่อาศัยยุคใหม่ โดยสร้างจุดเชื่อมระหว่างลูกค้าและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านระบบหลังคาโซลาร์โดยตรง   เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า สามารถติดต่อและเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องได้รวดเร็วขึ้น ทำให้การติดตั้งหลังคาโซลาร์ รูฟ เป็นไปได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น ผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดย SCG Solar Expert หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโซลาร์จะให้คำปรึกษาฟรี แนะนำขั้นตอนและระบบการทำงาน, ออกแบบระบบหลังคาโซลาร์ เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน พร้อมประเมินราคา โดยมีแผนขยายไปที่ SCG Home, SCG Home Experience และ SCG Authorized Dealer ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ มีสาขานำร่อง อาทิ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ชลบุรี อุบลราชธานี เชียงใหม่ และหาดใหญ่ พร้อมขยายไปยังหัวเมืองหลักเพื่อครอบคลุมทั่วประเทศ ภายในปี 2566 โดยในช่วงปีที่ผ่านมา เอสซีจี โซลาร์ รูฟ โซลูชัน เติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง พร้อมรุกขยายไปยังตลาดบ้านพักอาศัยที่มีศักยภาพสูง ตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านระบบหลังคาโซลาร์ในตลาด Residential ประเทศไทย โดยคาดการณ์จากตัวเลขภายในปี 2566 จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 200% ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีความแตกต่างและโดดเด่นจากคู่แข่งในตลาด ผ่าน 3 จุดแข็ง คือ EXPERT เอสซีจีมีวิศวกรที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Solar & Home Energy management และมีความเชี่ยวชาญด้านหลังคาซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการติดตั้งโซลาร์ โดยมีบริการตรวจสุขภาพหลังคาก่อนการติดตั้ง พร้อมนวัตกรรม Solar FIX ที่ติดตั้งหลังคาโซลาร์โดยไม่ต้องเจาะหลังคา ทำให้หลังคาไม่เสี่ยงต่อการรั่วซึม ONE STOP SERVICE การให้บริการแบบครบวงจร โดยออกแบบระบบโซลาร์ให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการใช้ไฟของบ้านลูกค้า รวมถึงดำเนินการ ขออนุญาตกับทางภาครัฐ ทำให้การติดตั้งระบบหลังคาโซลาร์กับเอสซีจีถูกต้องตามกฎหมาย 100% AFTER SALES SERVICE การรับประกันตลอด 25 ปีโดยเอสซีจี   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] เอสซีจี X เอสซี แอสเสท​ ติด Active AIR Quality บ้าน 1,000 ยูนิต​ -เอสซีจี ลุย 2 ธุรกิจ “ให้คำปรึกษา-งานระบบอาคารแบบครบวงจร” รับเทรนด์ Well-being
บีไอดับบลิว รุกตลาดม่านไฮเอนด์ 5,000 ล้าน  จับมือแบรนด์จากยุโรป เปิดตัวสินค้าใหม่​ 

บีไอดับบลิว รุกตลาดม่านไฮเอนด์ 5,000 ล้าน จับมือแบรนด์จากยุโรป เปิดตัวสินค้าใหม่​ 

บีไอดับบลิว เปิดตัวผ้าม่านนวัตกรรมจาก 2 แบรนด์ดังจากยุโรป คูลิส และ เซิร์จ เฟอรารี่ ตอบโจทย์เทรนด์และไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งานยุคใหม่ ​รุกตลาดม่านระดับไฮเอนด์มูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้าน  ชูผลิตภัณฑ์ภายใต้แนวคิด ยกระดับคุณภาพชีวิต และ ปกป้องชีวิต   นายสิริชัย ฤทธิปัญญาวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บีไอดับบลิว โพรดัคส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายม่านเพื่อการตกแต่งภายในและภายนอกอาคารระดับไฮเอนด์ เปิดเผยว่า เทรนด์ม่านในตลาดโลกในปัจจุบันให้ความสำคัญ 4 ด้าน คือ คุณภาพ (Quality) ความฉลาด (Smart) การจัดการพื้นที่ (Space Management) และความยั่งยืน (Sustainability) บีไอดับบลิว ในฐานะที่เป็นผู้นำเทรนด์ม่านใหม่ ๆ เข้ามาในประเทศไทย จึงได้รุกตลาดด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบรับกับเทรนด์ที่เกิดขึ้น ภายใต้ 2 แนวคิด คือ “การยกระดับคุณภาพชีวิต และการปกป้องชีวิต” เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ใช้งาน โดยจับมือกับแบรนด์ คูลิส (Coulisse) ประเทศเนเธอร์แลนด์ และแบรนด์ เซิร์จ เฟอรารี่ (Serge Ferrari) ประเทศฝรั่งเศส   สำหรับม่านในกลุ่มที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต ที่บีไอดับบลิวเน้นในปีนี้ คือ การสร้างพื้นที่ใหม่ ๆ ให้ที่อยู่อาศัยผ่านผลิตภัณฑ์ของแบรนด์คูลิส และเซิร์จ เฟอรารี่ และการทำให้ผู้ใช้งานใช้ชีวิตสะดวกสบาย มีไลฟ์สไตล์ที่ดีขึ้น เช่น ม่านอัจริยะ Eve Motion จากแบรนด์คูลิส รายแรกของโลกที่ไม่ใช้สายและรีโมตคอนโทรล เพียงกระตุกโซ่เบา ๆ ให้ม่านขึ้น-ลง หรือสั่งงานผ่านมือถือ รายแรกและรายเดียวที่เชื่อมกับ Apple Home Kit โดยไม่ต้องมีอุปกรณ์เชื่อมต่อ และยังเชื่อมกับค่ายอื่น ๆ เช่น กูเกิลโฮม ซัมซุง ได้บนแอปพลิเคชันเดียว ซึ่งมีทั้งม่านที่ใช้ระบบโฮมออโตเมชันในราคาที่เข้าถึงง่าย ไม่ยุ่งยากในการเซ็ตระบบ และม่านที่ปรับตามไลฟ์สไตล์ที่ทำให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้น เช่น ทำให้ตื่นนอนได้อย่าง  สดชื่นด้วยการตั้งเวลาและรูปแบบการเปิดของม่านด้วยวิธีง่าย ๆ ในกลุ่มเดียวกันนี้ บีไอดับบลิว ยังเปิดตลาดกลุ่ม ม่านระบบ Zip จากแบรนด์เซิร์จ เฟอรารี่ นวัตกรรมที่ทำให้ผู้ใช้งานใช้พื้นที่ได้ประโยชน์สูงสุด โดยใช้ม่านเป็นฉากที่เปิด-ปิดได้ตามต้องการ เช่น แบ่งโซนภายในห้อง เชื่อมต่อภายในบ้านกับสวนด้านนอก หรือการทำโรงรถที่เปิด-ปิดได้โดยไม่เสียพื้นที่ใช้สอย และยังได้เพิ่มไลน์ ผ้าม่านและผ้าใบคุณภาพสูงสำหรับงานโครงสร้างน้ำหนักเบากลางแจ้ง ที่ใช้เทคโนโลยีลิขสิทธิ์เฉพาะของเซิร์จ เฟอรารี่ ทำให้ผ้ามีความแข็งแรง ตึงตัวเป็นพิเศษ หนา นุ่ม ดูเป็นธรรมชาติ ป้องกันเชื้อรา คงทน และคงรูปได้นาน   สำหรับ ม่านในกลุ่มที่ช่วยปกป้องชีวิต จะมุ่งเน้นเรื่องการสร้างความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน และคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานระดับสูง โดยม่านในกลุ่มที่ช่วยปกป้องชีวิตที่นำมาเปิดตัว ได้แก่ ม่านม้วน Eco Luxury จากแบรนด์คูลิส ด้วยเทรนด์ที่สวยกลมกลืนเป็นธรรมชาติควบคู่กับการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเป็นแบรนด์เดียวในประเทศไทยที่มีกระบวนการผลิตที่ยั่งยืน คำนึงถึงการปล่อยมลพิษให้น้อยที่สุด และนำวัสดุมารีไซเคิลแล้วผ่านกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพให้กลายเป็นผ้าม่านคุณภาพ   นายสิริชัย กล่าวอีกว่า ในเรื่องของคุณภาพมาตรฐานนั้น ทุกแบรนด์ที่บีไอดับบลิวนำมาทำตลาด จะมุ่งเน้นความปลอดภัย โดยได้รับการรับรองว่าปราศจากสารก่อมะเร็ง เช่น ปรอท ฟอร์มาดีไฮน์ และ VOC นอกจากนี้ ผ้ากันแสงแดดจากคูลิสยังผ่านการทดสอบมาตรฐานระดับสูงจาก Greenguard Gold ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสำหรับใช้กับเด็ก หรือผู้ที่แพ้ง่าย ตลาดม่านระดับไฮเอ็นด์ในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท และยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก โดย บีไอดับบลิวครองส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 15% ของตลาดม่านม้วน ติดอันดับ 1 ใน 3 ผู้นำตลาด เรามั่นใจว่าการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในแนวคิดใหม่ครั้งนี้จะทำให้เราเติบโตขึ้น 50% ภายในปีนี้   ด้านนางแสงสุรีย์ อินทเดช ผู้จัดการทั่วไป บริษัท บีไอดับบลิว โพรดัคส์ จำกัด กล่าวเสริมว่า “บีไอดับบลิวได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี เพราะสามารถตอบโจทย์ลูกค้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ โดยเป็นแบรนด์เดียวในประเทศไทยที่มีใบรับรองมาตรฐานมากที่สุด ทั้งมาตรฐานด้านความปลอดภัย มาตรฐานด้านประหยัดไฟ และมาตรฐานเรื่องความยั่งยืน  รวมทั้งมีฟังก์ชันที่หลากหลาย ทำให้เจ้าของบ้านและดีไซเนอร์มีทางเลือกมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีบริการหลังการขายที่สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ปัจจุบันมีร้านค้าที่มีแค็ตตาล็อกของบีไอดับบลิวกว่า 1,000 ร้านทั่วประเทศ สำหรับแผนงานในปีนี้จะมีการขยายดีลเลอร์ในจังหวัดใหญ่เพิ่มขึ้น รวมทั้งขยายกำลังการผลิตด้วยการตั้งโรงงานใหม่ ขยายไลน์สินค้า และขยายกลุ่มเป้าหมายใหม่โดยเน้นกลุ่มโปรเจ็กใหญ่ และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์”   ขณะที่นายไบรอัน โบ อัน ชาง ผู้บริหารจากคูลิส เนเธอร์แลนด์ กล่าวว่า คูลิสมีแนวคิดในการผลิตม่านที่คำนึงถึงการยกระดับคุณภาพชีวิต และปกป้องชีวิต ซึ่งเป็นไปตามความต้องการของเจ้าของบ้านและดีไซเนอร์ยุคใหม่ หนึ่งในตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของคูลิสที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปกป้องชีวิตผู้ใช้งาน คือ การที่คูลิสเลือกที่จะทดสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์ในระดับสูงจาก Greenguard นอกจากนี้ คูลิสยังมุ่งที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อโลก รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่มีฟังก์ชันอัจริยะที่จะสร้างความสุข และทำให้ผู้ใช้งานมีชีวิตที่ดีขึ้น   การที่บีไอดับบลิวเป็นผู้นำในตลาด มีแผนการตลาดที่น่าสนใจ ประกอบกับความโดดเด่นของคูลิสที่เป็นอันดับ 1 ของโลกเรื่องดีไซน์และแฟชั่น รวมถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค ทำให้เราเชื่อมั่นว่าม่านของคูลิสที่นำมาทำตลาดครั้งนี้ทั้ง Eve Motion และ Eco Luxury จะได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดีเช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลกที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ในส่วนของเซิร์จ เฟอรารี่ นับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าม่านกลางแจ้งอันดับ 1 ของโลก ผ้าของเซิร์จ เฟอรารี่ มีความโดดเด่นแตกต่างจากผ้าทั่วไป โดยได้รับความไว้ใจจากโครงการระดับโลกมากมาย ทั้งหลังคาสนามฟุตบอลโลกที่การ์ตา รวมถึงสนามฟุตบอลและเรือยอชต์ที่สำคัญทั่วโลก และยังมีผลิตภัณฑ์หลายรูปแบบให้เลือก ทั้งที่เป็นโครงสร้างถาวร และโครงสร้างเบา โดยมุ่งเน้นด้านเทคโนโลยี เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีให้ผู้ใช้งาน และใส่ใจสิ่งแวดล้อมควบคู่กัน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เปิดแผน “บีไอดับบลิว” รุกตลาดผ้าม่านม้วน 2,000 ล้าน
[PR News] ซีทรูวอลล์  ปลุกอุณหภูมิสถาปนิก’66  นวัตกรรมสระว่ายน้ำแนวอควาเรียม

[PR News] ซีทรูวอลล์ ปลุกอุณหภูมิสถาปนิก’66 นวัตกรรมสระว่ายน้ำแนวอควาเรียม

ซีทรูวอลล์ เจ.ดี.พูลส์สร้างความร้อนแรงงานสถาปนิก’66 โชว์ ซีทรูวอลล์ นวัตกรรมสระว่ายน้ำสร้างประสบการณ์ใหม่แนวอควาเลียม  มั่นใจช่วยยกระดับคุณค่าและมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภท   นายธนูศักดิ์ พึ่งเดช  ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการบริษัท เจ.ดี.พูลส์ จำกัด  ผู้ผลิตและจำหน่ายสระว่ายน้ำคุณภาพเจ.ดี.พูลส์ (J.D.Pools) เปิดเผยว่า ​ งานสถาปนิก’66 ว่า  บรรยากาศในงานดูคึกคักกว่า 2 ปีที่ผ่านมา  เพราะปีนี้มีผู้ประกอบการจากต่างประเทศนำผลิตภัณฑ์มาร่วมออกบูธจำนวนมาก  ขณะที่ผู้ที่เข้ามาชมงานหรือสนใจมาศึกษาตลาดก็พบว่ามีชาวต่างประเทศจำนวนมากเช่นกันโดยเฉพาะชาวจีน  จึงถือเป็นข้อดีเพราะงานสถาปนิกเป็นงานที่รวบรวมวัสดุก่อสร้าง ตกแต่ง จากทั่วประเทศและทั่วโลกเข้ามาไว้ในจุดเดียวกัน  สมกับสโลแกนที่ว่า “ตำถาด รสนัว”   ขณะนี้บรรยากาศเริ่มเข้าสู่โหมดของการก่อสร้างหลังจากที่โควิดทำให้การก่อสร้างชะลอตัวไประยะหนึ่ง  ตอนนี้การก่อสร้างกลับมาแล้วทั่วประเทศโดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว  รวมถึงชาวต่างชาติที่มองหาบ้านหลังที่สอง  และแหล่งลงทุนใหม่ที่ปลอดภัยจากสงครามหรือเป็นทางเลือกใหม่ที่เหมาะสมมีความมั่นคงสำหรับการทำธุรกิจในระยะยาว   ประธานเจ.ดี.พูลส์ กล่าวต่อว่า  งานสถาปนิกคือการบอกเล่านวัตกรรมใหม่ซึ่งเจ.ดี.พูลส์ได้ทำมาตลอด25ปี  มีเรื่องราวของเทคโนโลยีใหม่ๆมานำเสนอจึงประสบความสำเร็จมากกับการใช้เวทีของงานสถาปนิก  ในปีนี้เจ.ดี.พูลส์ได้สร้างนวัตกรรมใหม่ที่ตอบโจทย์บรรยากาศของบ้านพักอาศัยราคาแพงหรือบ้านที่มีความหรูหรา  รวมไปถึงบ้านที่ต้องการวิวพันล้านด้วยซีทรูวอลล์ ( C2Wall : See Through Wall ) นวัตกรรมสระว่ายน้ำรุ่นใหม่ของเจ.ดี.พูลส์ ที่ทำให้สระว่ายน้ำเป็นเหมือนอควาเรียมในบ้าน   ซีทรูวอลล์เป็นการออกแบบที่สมบูรณ์แบบ  เป็นการพัฒนาร่วมกันระหว่างทีมงานของเจ.ดี.พูลส์กับมืออาชีพด้านอคาเรียม  สร้างประสบการณ์ใหม่ด้วยผนังอะคริลิคคุณภาพสูงที่มีความแข็งแรง ทนทานต่อแรงงานดันน้ำ  สามารถมองเห็นในตัวสระ เพิ่มความโดดเด่น ทันสมัย สวยงาม  มีประโยชน์ในการเฝ้าระวังเพื่อความปลอดภัย  สามารถประยุกต์ใช้ได้กับสระทุกรูปแบบทั้งไอพาแนลไลเนอร์และคอมโพสิตพูลส์  ออกแบบและติดตั้งโดยวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ   เรามีความตั้งใจในการสร้างมิติใหม่ของสระว่ายน้ำ  เปิดมุมมองใหม่  เปิดความมั่นใจใหม่  นวัตกรรมซีทรูวอลล์จะเป็นการยกระดับสระว่ายน้ำให้เป็นตัวช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับที่อสังหาริมทรัพย์ทุกประเภททั้งบ้านอยู่อาศัย วิลล่า รีสอร์ท คอนโดมิเนียมและโรงแรม  เพราะเป็นการยกระดับมาตรฐานใหม่ ทั้งด้านคุณค่า และมูลค่า    สำหรับเรื่องที่เจ.ดี.พูลส์ให้ความสำคัญและไม่เคยละเลยคือคุณภาพของน้ำในสระของเจ.ดี.พูลส์   เจ.ดี.พูลส์เริ่มพัฒนาจากการใช้คลอรีนฆ่าเชื้อโรค  ต่อมาได้เป็นผู้นำในการนำระบบเกลือเข้ามาเป็นรายแรกและจำหน่ายมายาวนานหลายปี   ถึงปัจจุบันได้เลิกใช้เกลือโดยเปลี่ยนมาใช้แร่ธาตุจากทะเลเดดซี ประเทศจอร์แดนและอิสราเอล  นำมาพัฒนาร่วมกับเครื่องมือให้เป็นน้ำแร่คุณภาพดี  ช่วยบำรุงผิวพรรณให้กับผู้ใช้สระว่ายน้ำให้นุ่มเนียนขึ้นด้วยออยล์ที่ออกมาจากแร่ธาตุ   ผ่อนคลายกล้ามเนื้อ  บำบัดความตึงเครียด  ทำให้สดชื่นมีความสุขในขณะว่ายน้ำ   งานสถาปนิก’66 มีกำหนดจัดตั้งแต่วันที่ 25 -30 เมษายน 2566 ที่ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี เวลา 10.00 – 20.00 น. ผู้สนใจสามารถแวะชมสระเจ.ดี.พูลส์ ได้ที่โซน Q39 พร้อมโปรโมชั่น J.D.Pools 6 Days Summer Sale  จองสระในงานทุกรุ่น รับฟรีเครื่องทำน้ำแร่  J.D.Mineral Chlorinator และ แร่บริสุทธิ์จากทะเลสาปเดดซีในการบำบัดน้ำครั้งแรก พร้อมแร่เดดซีราคาพิเศษเป็นเวลา 1 ปี   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เจ.ดี.พูลส์ ชู 3 กลยุทธ์สู้โควิด-19 ปั้นรายได้ 1,000 ล้าน
หมดยุคห้างสินค้าไอที พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ  AWC ปรับสู่ศูนย์กลางค้าส่งด้านอาหาร ใหญ่สุดในไทย

หมดยุคห้างสินค้าไอที พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ AWC ปรับสู่ศูนย์กลางค้าส่งด้านอาหาร ใหญ่สุดในไทย

พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ AWC ปิดฉาก พันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ ห้างสินค้าไอทีในตำนาน สู่ ศูนย์กลางค้าส่งอาหารของภูมิภาค “AEC FOOD WHOLESALE PRATUNAM” มูลค่ากว่า 10,000 ล้าน ตอบโจทย์อนาคตครบวงจร เชื่อมผู้ค้าส่งอาหารทั่วโลกกับผู้ซื้อทั่ว AEC พร้อมผนึกพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน   ถ้าพูดถึงห้างสรรพสินค้า ที่ขายสินค้าด้านไอทีและอุปกรณ์ต่าง ๆ เมื่ออดีตหลายปีที่ผ่านมา ชื่อแรกที่คนส่วนใหญ่นึกถึง ก็คือ ห้างพันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ แม้ปัจจุบันห้างแห่งนี้จะไม่ได้รับความนิยม ในการเดินทางไปเลือกซื้อสินค้าไอทีแล้ว เพราะได้ถูกปรับโฉม รีโนเวทใหม่ไปหลายรอบ จนสัดส่วนร้านขายสินค้าไอทีลดลงไปเหลือเพียงไม่มากเหมือนแต่ก่อน นับตั้งแต่ช่วงปี 2563 ที่ผ่านมา   โดยในปีนี้ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC ในฐานะเจ้าของ ได้มีกำหนดฤกษ์ดีที่จะเปิดให้บริการ ห้างพันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ โฉมใหม่ ในช่วงปลายเดือนมิถุนายนนี้ กับคอนเซ็ปต์การเป็นศูนย์ค้าส่งด้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ภายใต้ชื่อใหม่ เออีซี ฟู้ด โฮเซล ประตูน้ำ (AEC FOOD WHOLESALE PRATUNAM) ภายใต้แนวคิด “INTEGRATED WHOLESALE PLATFORM FOR NON-STOP OPPORTUNITY ซึ่ง AWC มีเป้าหมายสำคัญที่พัฒนาโครงการนี้ขึ้น คือ การเป็นศูนย์กลางค้าส่งอาหารของภูมิภาค รองรับกับความต้องการของกลุ่มผู้ประกอบการต่าง ๆ และลูกค้าในภูมิภาคกว่า 800 ล้านคน จากพันธุ์ทิพย์​ ประตูน้ำ สู่​ศูนย์กลางด้านค้าส่งอาหาร สำหรับโครงการ เออีซี ฟู้ด โฮเซล ประตูน้ำ จะเป็นชื่อใหม่ที่ถูกมาแทน ห้างพันธุ์ทิพย์ ประตูน้ำ กับมูลค่าโครงการกว่า 10,000 ล้านบาท หลังจากได้ใช้เม็ดเงินลงทุน ปรับปรุง ซ่อมแซม และพัฒนา รวม 6,500 ล้านบาท ตั้งแต่เริ่มแรกที่ได้เข้ามาบริหารจนถึงปัจจุบัน เออีซี ฟู้ด โฮเซล ประตูน้ำ ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 10 ไร่ โดยมีพื้นที่อาคารรวม (Gross Floor Area) กว่า 67,000 ตร.ม. ใช้เป็นพื้นที่ขายเพื่อให้ผู้ประกอบการด้านธุรกิจอาหารเข้ามาเช่ากว่า 30,000 ตร.ม. รองรับ​ผู้ประกอบการกลุ่มอาหารชั้นนำทั่วโลกกว่า 600 ราย แบ่งเป็น 8 กลุ่มธุรกิจ ​ได้แก่ อาหารแช่แข็ง อาหารแช่เย็นและผลิตภัณฑ์จากนม เครื่องปรุงและวัตถุดิบ ข้าว เครื่องดื่ม กาแฟและชา ขนมขบเคี้ยวและขนมหวาน ของใช้ในครัวเรือน   ตัวโครงการมีทั้งหมด 8 ชั้น รวมชั้นใต้ดิน (B) แบ่งพื้นที่เป็นโซนต่าง ๆ ที่สำคัญดังนี้ FOOD WHOLE SALE SPACE พื้นที่สำหรับให้ผู้ประกอบการทั้ง 8 กลุ่มสินค้ามาเปิดขาย โดยหากเป็นบูธขนาดเล็ก อัตราค่าเช่าจะอยู่ในระดับราคา 30,000-50,000 บาทต่อเดือน พื้นที่ขายสินค้านี้จะอยู่ตั้งแต่ชั้น 1-4 SSC & SHARE SHOP SSC (SERVICE SOLUTION CENTER) หรือ ศูนย์ส่งเสริมผู้ประกอบการ ที่จะคอยช่วยให้คำปรึกษาด้านการส่งออกและนำเข้าสินค้า รวมถึงการบริการด้านภาษา การจัดแสดงและนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้กับผู้ประกอบการ จะอยู่บริเวณ ชั้น 2   นอกจากนี้ ในพื้นที่ชั้น M และชั้น 4 จะส่วนของ SHARE SHOP ที่ไว้คอยบริการผู้ประกอบการที่ยังต้องการขายสินค้า แต่ไม่มีพนักงานหรือเจ้าหน้าที่มาขายสินค้า ให้ TASTE KITCHEN พื้นที่การทดสอบสินค้า สำหรับลูกค้าที่ต้องการทดลองใช้สินค้าจริง ซึ่งจะเป็นกลุ่มเชฟทำอาหาร ที่ต้องการทดสอบว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นไปตามที่ต้องการใช้งานหรือไม่ โดยจะอยู่บริเวณชั้น 5 LOGISTIC FACILITIES การให้บริการด้านโลจิสติกส์ ถือเป็นหัวใจสำคัญในการทำให้ กระบวนการทางธุรกิจสมบูรณ์แบบ ทาง AWC จึงได้จัดพื้นที่บริเวณด้านหลังโครงการเป็นคลังสินค้าและจุดให้บริการโลจิสติกส์ ขณะที่ทุก ๆ ชั้นของอาคารรถกระบะขนาดเล็กสามารถขับขึ้นมารับ-ส่งสินค้าได้สะดวก SERVICE PROVISERS พื้นที่การให้บริการด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจนำเข้าและส่งออกอาหาร ซึ่งจะอยู่บริเวณชั้น 5 FOOD LOUNGE & F&B -พื้นที่สำหรับให้ผู้ประกอบการและลูกค้า ได้เจรจาธุรกิจ การซื้อขายและนำเข้าสินค้าต่าง ๆ ซึ่งจะอยู่บริเวณชั้น 5 TRADE HALL & PROMOTION AREA พื้นที่สำหรับการจัดแสดงสินค้า จัดนิทรรศกาลแสดงสินค้า รวมถึงการนำสินค้ามาจัดรายการส่งเสริมการขาย ซึ่งจะอยู่บริเวณชั้น 1 และชั้น M   ส่วนบริเวณชั้น 6 พื้นที่จะถูกใช้เป็น CO-WORKING SPACE ,OFFICE และพื้นที่ MIX-USE   นอกจากพื้นที่ออฟไลน์ ที่ใช้เป็นจุดแสดงสินค้า การเจรจา ซื้อขาย  นำเข้า-ส่งออกสินค้าแล้ว AWC ยังได้พัฒนาแพลตฟอร์มออนไลน์ Phenix Box สำหรับการทำธุรกรรมด้านสินค้าออนไลน์ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจค้าส่ง ทั้งในแง่การบริการจัดการธุรกรรมที่ตรงกับธุรกิจได้ง่ายขึ้น อาทิ Bulk Purchase, Group Purchase, Multi-Level Procurement และการจัดส่งที่ครอบคลุม พร้อมสนับสนุนเครื่องมือทางการตลาดและโปรแกรมลูกค้าสัมพันธ์ผ่านระบบ Loyalty Program ให้ผู้ซื้อและผู้ขายสามารถพบปะเจรจาธุรกิจกันผ่านช่องทางดังกล่าวได้ตลอด 365 วัน และตลอด 24 ชั่วโมง เชื่อมต่อผู้ซื้อผู้ขายได้ทั่วโลก ผนึกพันธมิตรรัฐ-เอกชน การพัฒนา เออีซี ฟู้ด โฮเซล ประตูน้ำ ยังมีความร่วมมือกับพันธมิตร ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ และที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย 15-16 ราย อาทิ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม และอี้อู (Yiwu) ผู้พัฒนาและบริหารตลาดค้าส่งสินค้าเบ็ดเตล็ดที่ใหญ่ที่สุดในโลกจากเมืองอี้อู สาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งได้มีการลงนามความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับทาง AWC เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา   สภาหอการค้าอังกฤษแห่งประเทศไทย หอการค้าไทย-จีน หอการค้าออสเตรเลีย-ไทย หอการค้าไทย-แคนาดา หอการค้าไทย-นิวซีแลนด์ หอการค้าสวิส-ไทย สมาคมหอการค้าไทย-สเปน บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) บริษัท ซีพีเอฟ โกล บอล ฟู้ด โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) บริษัท เบทาโกร จํากัด (มหาชน) บริษัท พี อาร์ จี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัท ทิปโก้ฟูดส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) และบริษัท เคซีจี คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)   นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยว่า  AWC เชื่อมั่นการรวมพลังของทั้งภาครัฐและเอกชน ในการร่วมขับเคลื่อนประเทศไทยเป็น “ศูนย์กลางค้าส่งอาหารของภูมิภาค” เชื่อมเครือข่ายค้าส่ง (WHOLESALE ECO-SYSTEM) ตอบโจทย์อนาคตครบวงจร เสริมโอกาสธุรกิจแบบไร้ขีดจำกัด ด้วยการพัฒนาแพลตฟอร์มค้าส่งที่เชื่อมโยงออนไลน์-ออฟไลน์ (ONLINE-OFFLINE INTEGRATION) ช่วยเพิ่มศักยภาพให้กับผู้ซื้อและผู้ขายให้สามารถทำธุรกรรมระหว่างกันได้สะดวกยิ่งขึ้นตลอดกระบวนการตั้งแต่ การสรรหาสินค้า ไปจนถึงการจัดส่งและชำระค่าสินค้า   นอกจากนี้การเปิดตัว “AEC FOOD WHOLESALE PRATUNAM” ในครั้งนี้ ยังเป็นการร่วมสนับสนุนประเทศไทยให้เป็นประตูเชื่อมของอุตสาหกรรมการค้าส่งในตลาด AEC หรือ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนกว่า 10 ประเทศสมาชิก ซึ่งถือเป็นตลาดที่มีศักยภาพสูงด้วยจำนวนประชากรรวมกว่า 700 ล้านคน อีกทั้งประเทศไทยยังมีศักยภาพในการเชื่อมต่อการค้าส่งไปยังประเทศต่างๆ ได้อย่างสะดวกผ่านโครงสร้างพื้นฐานด้านโลจิสติกส์ที่แข็งแกร่งอีกด้วย ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางค้าส่งอาหารของภูมิภาคอย่างแท้จริง   โครงการ AEC FOOD WHOLESALE PRATUNAM จะเป็นเสมือนประตูเชื่อมที่จะพาผู้ประกอบการค้าส่งให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดดที่เชื่อมต่อโอกาสในรูปแบบใหม่ เพื่อตอบโจทย์อนาคตครบวงจร ผ่านเครือข่าย Eco-System ที่มี AWC และพันธมิตรจากทั้งภาครัฐและเอกชนเป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้ซื้อและผู้ขาย พร้อมร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมค้าส่งของไทยสู่การเป็นศูนย์กลางค้าส่งอาหารของภูมิภาคอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -AWC เดินแผนขยายธุรกิจแสนล้าน เตรียมเปิดโรงแรมใหม่เพิ่มอีก 9 แห่ง
“ดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า” เปลี่ยนไป  ปรับ 4 โซนใหม่ ครั้งใหญ่รอบ  30 ปี

“ดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า” เปลี่ยนไป ปรับ 4 โซนใหม่ ครั้งใหญ่รอบ  30 ปี

ดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า ฉลองครบรอบ 30 ปี ทุ่มงบกว่า 400 ล้าน อวดโฉมใหม่ “ศูนย์กลางธุรกิจ – ไลฟ์สไตล์ชอปปิ้ง - บ้านพักอาศัย” ใจกลางเกาะรัตนโกสินทร์ บนสุดยอดทำเลการค้า “พาหุรัด – ตรีเพชร – เจริญกรุง - บูรพา” ดึงแบรนด์ดังเสริมทัพส่วนพลาซ่า และศูนย์อาหาร เติมสีสันวิถีชีวิต ดันกราฟธุรกิจเติบโตมั่งคั่งและยั่งยืน   นายอภิชัย สิริดำรงพันธุ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการกลุ่มธุรกิจอาคารพาณิชย์ บริษัท สยามสินธร จำกัด  เปิดเผยว่า บริษัทมุ่งมั่นพัฒนา “ดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า” ให้เป็นศูนย์กลางการค้าและชอปปิ้งของผู้คนทั้งในกรุงเทพฯ และคนต่างจังหวัด ที่เดินทางเข้ามาติดต่อธุรกิจกับร้านค้าพันธมิตร ซึ่งภาพความสำเร็จดังกล่าวได้เกิดขึ้นมาอย่างยาวนานร่วม 30 ปี นับตั้งแต่เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในปี 2536 เป็นต้นมา และในครั้งนี้จะเป็นอีกก้าวที่สำคัญกับแผนพัฒนา  “ปรับโฉม” ดิโอลด์ สยาม พลาซ่า ให้เป็นศูนย์กลาง “ธุรกิจ  -ไลฟ์สไตล์ชอปปิ้ง - บ้านพักอาศัย” ให้เต็มไปด้วยสีสันและประสบการณ์ใหม่ให้กับผู้คนในย่านนี้ และรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มมากขึ้นทุกปี มิกซ์ยูสที่เป็นมิตรใกล้ชิดย่านการค้า “ดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า” แหล่งธุรกิจที่มีเอกลักษณ์ และเจริญมั่นคงมายาวนาน เป็นศูนย์รวมร้านทองส่ง แหล่งผลิตเครื่องประดับ เพชร ปืน ผ้าไทย อีกทั้งยังเป็นแหล่งรวมผ้าไหมที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศ นำเข้าผ้าลูกไม้จากต่างประเทศ ศูนย์รวมอาหาร ขนมไทยที่ขึ้นชื่อ และบ้านพักอาศัยที่อยู่สบายใจกลางเมืองติดรถไฟฟ้า นับเป็นโครงการมิกซ์ยูสแห่งแรกบนเกาะรัตนโกสินทร์ และเป็นพลาซ่าที่ใหญ่ที่สุดในทำเลนี้ บนที่ดิน 13.61 ไร่ ซึ่งเดิมเป็นตลาดมิ่งเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นย่านการค้าหลักของกรุงเทพฯ อย่างยาวนาน   ด้วยความโดดเด่นของทำเลที่ตั้ง อยู่ติดกับถนนสายการค้าทั้ง 4 ด้าน คือ พาหุรัด ตรีเพชร เจริญกรุง บูรพา ทำให้มีผู้คนไหลเวียนเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวชม สถานที่สำคัญใกล้เคียง อาทิ พระบรมมหาราชวังฯ วัดพระแก้ว ชมการแสดงโขนที่ศาลาเฉลิมกรุง แวะทานอาหารและขนมไทยที่ศูนย์การค้าฯ นอกจากความเป็นเอกลักษณ์ของย่านการค้าที่เต็มไปด้วยเสน่ห์และความหลากหลายของสินค้าและบริการ เช่น ผ้าไหม ร้านเพชร และขนมไทยที่หาทานได้ยากจะรวมอยู่ที่นี่แล้ว ในด้านการเดินทางมีความสะดวกสบาย ทั้งโดยรถยนต์ส่วนตัว ซึ่งทางศูนย์การค้าฯ มีบริการที่จอดรถมากกว่า 1,100 คัน หรือสะดวกสบายเดินทางโดยรถไฟฟ้า MRT สถานีสามยอด แลนด์มาร์ค "ธุรกิจ – ไลฟ์สไตล์ชอปปิ้ง - เรสซิเดนซ์" แผนพัฒนา “ดิ โอลด์ สยาม” เดินหน้าปรับพื้นที่ภายในและภายนอกทั้งหมด ทั้งในส่วนพลาซ่า และบ้านพักอาศัย โดยคงเอกลักษณ์ของอาคารในสไตล์โคโลเนียลที่มีความคลาสสิค บนพื้นที่ให้บริการ 98,500 ตารางเมตร   ในส่วนของพลาซ่า พื้นที่รวม 17,945 ตารางเมตร เตรียมออกแบบและตกแต่งให้มีความร่วมสมัยมากขึ้น พร้อมปรับพื้นที่ร้านค้าให้ตอบโจทย์ความต้องการทั้งลูกค้ากลุ่มธุรกิจ (B2B : Business to Business) และ ลูกค้ากลุ่มค้าปลีก (B2C : Business to Consumer)   โดยพื้นที่พลาซ่า ชั้น 1 ยังคงเป็นแหล่งรวม ร้านเพชร ร้านทองส่งชั้นนำ ผ้าลูกไม้นำเข้า ร้านเครื่องประดับ และขนมไทยโบราณที่มีชื่อเสียงมายาวนาน   พื้นที่พลาซ่า ชั้น 2 เป็นศูนย์รวมผ้าไหม เครื่องประดับ ห้องเสื้อ ชุดราตรี ชุดแต่งงาน ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ   พื้นที่พลาซ่า ชั้น 3 พบกับโฉมใหม่ ศูนย์รวมร้านอาหาร และ มาร์เก็ต ที่เตรียมยกระดับให้เป็น Food Experience แห่งใหม่ของย่านนี้ ที่จำหน่ายสินค้าและให้บริการที่จะอำนวยความสะดวก และตอบสนองความต้องการของลูกค้ามากขึ้น   ในส่วนของชั้น 4 เป็นพื้นที่บ้านพักอาศัย (Residence) ประกอบด้วย 128 ยูนิต ขนาดพื้นที่เริ่มต้น 95 ตารางเมตร แบบ Duplex 2 ห้องนอน ห้องรับแขกขนาดใหญ่ 1 ห้องครัว  2 ห้องน้ำ พื้นที่รวมทั้งหมด 13,000 ตารางเมตร เตรียมปรับโฉมในคอนเซ็ปต์ที่ทันสมัย พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้ง Lobby , Outdoor Living , Meeting Room , Fitness และ Sky Pavilion โดยมุ่งไปกลุ่มคนทำงาน นักเรียน นักศึกษา ในพื้นที่ใกล้เคียง และกลุ่มครอบครัวที่ต้องการความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตและการเดินทาง ในราคาเริ่มต้น 3.2 ล้านบาท ส่งต่อธุรกิจมั่งคั่งสู่เจเนอเรชั่นใหม่ สำหรับแนวทางการพัฒนา “ดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า” ในครั้งนี้นอกจากการปรับปรุงอาคารให้มีความทันสมัย สินค้าที่มีเอกลักษณ์และมีความหลากหลาย รวมถึงบริการที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนทุกช่วงวัย ยังมาพร้อมแนวคิดของการต่อยอดและสร้างโอกาสทางธุรกิจให้เกิดขึ้น  โดยการปรับรูปแบบการให้เช่าพื้นที่ ที่ครอบคลุมความต้องการ และสนับสนุนให้ผู้ประกอบการมีความคล่องตัว ทั้งแบบสัญญาเช่าระยะสั้น และสัญญาเช่าระยะยาว เพื่อให้เอื้อต่อการทำธุรกิจและการพักอาศัย จุดเด่นของดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า คือ ร้านค้ามากกว่า 50% เป็นธุรกิจที่ขายให้กับธุรกิจ หรือ B2B โดยเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีกำลังซื้อสูง เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจให้ผู้ประกอบการจากรุ่นสู่รุ่น อาทิ ธุรกิจร้านเครื่องประดับ ร้านเพชร  หากต้องการเพชรคุณภาพระดับพรีเมี่ยม หรือ ร้านทองส่ง ให้นึกถึง ดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า อีกก้าวใหม่ของความสำเร็จ นายอภิชัย กล่าวว่า จากประสบการณ์และความมุ่งมั่นของทีมงาน ที่พัฒนาโครงการ  “เวลา สินธร วิลเลจ หลังสวน” (Velaa Sindhorn Village Langsuan) ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ในการบริหารพื้นที่ ที่เข้าถึงไลฟ์สไตล์และความต้องการของคนเมือง   ในการพัฒนา “ดิ โอลด์ สยาม พลาซ่า” ครั้งนี้ก็เช่นกัน ทีมงานมีความมุ่งหวังที่จะเติมสีสันให้กับผู้คนในย่านนี้ และผลักดันธุรกิจให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน โดยวางแผนเพิ่มผู้เช่าในกลุ่มร้านค้าและบริการอื่นๆ เพื่อรองรับความต้องการ ในกลุ่ม B2C ให้มากยิ่งขึ้น เน้นการสร้าง One stop service อีกแห่งใจกลางเมือง พร้อมรับกลุ่มคนรุ่นใหม่และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ มาใช้บริการภายในศูนย์การค้าฯ มากยิ่งขึ้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -“สยามสินธร” ดึง “เคมปินสกี้” แบรนด์โรงแรมชั้นนำระดับโลก สร้างสรรค์โครงการใหม่ ที่พักอาศัยและโรงแรมระดับ 5 ดาว
ไนท์แฟรงค์  มองตลาดอสังหาฯ ปี 66    “ท่องเที่ยว-ไมซ์-บ้านหรู” ตัวเร่งกำลังซื้อ

ไนท์แฟรงค์ มองตลาดอสังหาฯ ปี 66   “ท่องเที่ยว-ไมซ์-บ้านหรู” ตัวเร่งกำลังซื้อ

ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จัดงาน “Knight Frank Foresight 2023 It’s Time to Look Beyond the Crisis” เจาะลึกภาพรวมตลาดและแนวโน้มอสังหาริมทรัพย์ไทย ในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปี 2565 ต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกของปี 2566 ฟื้นตัวต่อเนื่อง เผยสัญญาณบวกจากกำลังซื้อระดับบน ดันตลาดบ้านหรู กรุงเทพฯ และปริมณฑล ยอดขายโต 19,476 ยูนิต จับตาวิลล่าและคอนโดฯ ภูเก็ตร้อนแรงจากกลุ่มลูกค้ารัสเซียและจีน ด้านตลาดโรงแรมผ่านจุดต่ำสุดเริ่มขยับพร้อมรับมือตลาดไมซ์ 5 ไฮไลท์ตลาดอสังหาฯ ทำเลวิทยุ หลังสวน และเอกมัย 3 ทำเลยอดฮิตทั้งความต้องการซื้อ และตัวเลขการขายต่อ ในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 บ้านเดี่ยว 10 -100 ล้านขึ้นไป ทำยอดขาย 19,476 ยูนิต คิดเป็น 2 % จากทั้งหมด 24,602 ยูนิต อสังหาฯ ภูเก็ตฟื้นตัวรับกำลังซื้อชาวรัสเซียและจีน ปักหมุดหาดบางเทา และ หาดลายัน แนวโน้มความต้องการอาคารสำนักงาน แนวคิด ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) และความยั่งยืนเติบโตต่อเนื่อง ตลาดโรงแรมทุกเซกเมนต์​เตรียมพร้อมกำลังคนรับธุรกิจฟื้นจากลูกค้ากลุ่มทัวร์และนักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์ (MICE) นายแฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายที่พักอาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด  เปิดเผยว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2566 มีสัญญาณเชิงบวกจากโครงการใหม่หลายแห่งที่รอเปิดตัว ซึ่งเป็นผลมาจากความเชื่อมั่นของผู้ซื้อที่สูงขึ้น การเลือกตั้งทั่วไปที่กำลังจะเกิดขึ้น และการเปิดประเทศจีน คาดว่าเป็นปัจจัยที่ทำให้ตลาดเติบโตอย่างต่อเนื่อง   ส่วนตลาดคอนโดมิเนียมในกลุ่ม Branded Residence ยังมีอัตราการขายได้ดีอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากลูกค้าเป็นกลุ่มกำลังซื้อสูง อาทิ คนไทย สิงคโปร์ และฮ่องกง  เป้าหมายเพื่อการลงทุนระยะยาว และซื้อเพื่ออยู่อาศัย ทำเลแรไอเทม ประทับใจการให้บริการระดับ 5-6 ดาว เพราะมองว่าอนาคตราคามีความเติบโตอย่างต่อเนื่อง   ในส่วนโครงการคอนโดเปิดใหม่ และการขายต่อคอนโดหรูหลายแห่ง มีผลประกอบการที่ดีและเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยในไตรมาสที่ 1 ปี 2566 การขายต่อคอนโด​มีความต้องการและยอดขายสูงในทำเลวิทยุ หลังสวน และเอกมัย ซึ่งรับอานิสงส์กำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นจากต่างชาติหลังการผ่อนคลายมาตรการโควิด-19 และ ส่วนใหญ่กระตุ้นการขายด้วยส่วนลดประมาณ 15% อุปทานรวมของธุรกิจอสังหาฯ มีทั้งสิ้น 8,953 ยูนิต ส่วนใหญ่อยู่ในชานเมืองกรุงเทพฯ โดยที่การเปิดตัวใหม่นั้นมีการปรับตัวลดลง 9.7% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 3 และลดลง 20.4% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ในด้านความต้องการโครงการอสังหาฯ ​ใหม่ก็ลดลงเช่นกัน เหลือเพียง 28.8%​จาก 30.7% ในไตรมาสที่ 3 ปี 2565 ซึ่งราคาขายคอนโดในไตรมาสที่ 4 ปี 2565 ปรับตัวลดลงเล็กน้อยในทุกพื้นที่เฉลี่ย 0.29%​ เนื่องจากรัฐบาลยุติมาตรการ LTV ( Loan to Value :LTV)  โดยที่ลูกค้ากลุ่มหลักของตลาดนี้ยังเป็นนักลงทุนที่ซื้อเพื่อปล่อยเช่า บ้านเดี่ยว 10 – 20 ล้านเติบโตสูง ผลสำรวจบ้านระดับบนในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล พบว่าบ้านราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทถึง 100 ล้านบาทขึ้นไป มียอดขาย 19,476 ยูนิต คิดเป็นยอดขาย 79.2%​ จากทั้งหมด 24,602 ยูนิต  ทั้งนี้ อัตราการขายจะลดลง 3.9% จากครึ่งแรกของปี 2565 แต่ก็เพิ่มขึ้น 1.9%​ เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 ซึ่งเป็นผลจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นสองเท่าของอุปทานที่มีเหลืออยู่ คาด 1-2 ปีตลาดคอนโดภูเก็ตฟื้นตัวสู่สภาวะปกติ ภูเก็ตยังเป็นตลาดที่อยู่อาศัยเพื่อพักผ่อนที่ได้รับอานิสงค์จากการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยคอนโดเปิดขายใหม่ส่วนใหญ่อยู่บริเวณหาดบางเทามากถึง 45%​ รองลงมาเป็นที่หาดลายัน 31%​ และอื่น ๆ   ในภาพรวมตลาดคอนโดในจังหวัดภูเก็ตช่วงปลายปี 2565  ขายได้ 18,613 ยูนิต จาก 24,211 ยูนิต คิดเป็นยอดขาย 76.9%  ลดลงจากปี 2564 ณ ปัจจุบันมียูนิตเหลือขายอยู่ในตลาด 5,598 ยูนิต โดยภาพรวมคาดว่าตลาดจะกลับสู่ภาวะปกติเหมือนช่วงก่อนวิกฤตโควิด-19 ได้ภายใน 1-2 ปี นักท่องเที่ยวชาวรัสเซียแห่ซื้อวิลลาภูเก็ต ทิศทางตลาดวิลลา มีแนวโน้มสดใส อุปสงค์และอุปทานเติบโตทั้งการซื้อและเช่า จากกำลังซื้อที่เกิดขึ้นพบว่าชาวต่างชาติบางคนสนใจซื้อบ้านที่ภูเก็ตไว้เป็นบ้านหลังที่สอง ในขณะที่บางคนสนใจเช่าวิลลามากกว่าคอนโดมิเนียม เพราะต้องการสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยสำหรับครอบครัว และยังสามารถปล่อยเช่า สร้างผลตอบแทนได้ 8-10% ต่อปี   ในช่วงปลายปี 2565 วิลลาในภูเก็ต ขายได้ 3,595 จากทั้งหมด 4,375 ยูนิต คิดเป็นอัตราขาย 82.1% เพิ่มขึ้น 1% จากปี 2564 ที่มียูนิตใหม่ขายได้ 341 หลัง จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในตลาดวิลล่าเป็นผลมาจากนักท่องเที่ยวรัสเซียเดินทางเข้ามาในไทยด้วยเหตุผลต้องการหนีภาวะสงคราม และเพื่อท่องเที่ยวในช่วงไฮซีซั่น ประกอบกับความกังวลเกี่ยวกับนโยบายของประเทศที่จะประกาศห้ามโอนเงินข้ามประเทศหรืออาญัติบัญชี ซึ่งจะทำให้ไม่สามารถทำธุรกรรมประเภทเดบิตได้ในอนาคต   โดยทำเลที่ได้รับความนิยมในการพัฒนาวิลล่ามากที่สุดอยู่ในพื้นที่ตำบลเชิงทะเล แม้ไม่ติดชายหาด แต่เป็นทำเลใกล้ภูเขาและป่าไม้บรรยากาศโดยรวมเงียบสงบกว่าและเหมาะแก่การพักผ่อน   นายณัฏฐา คหาปนะ กรรมการผู้จัดการ ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย  กล่าวว่า ตลาดอสังหาฯ ในภูเก็ตได้รับประโยชน์จากการท่องเที่ยว โดยชาวรัสเซียมีสัดส่วนมากถึง 40-60% จากลูกค้าทั้งหมด หากเทียบกับเมื่อก่อนจะมีสัดส่วนเพียง 10-15% เท่านั้น โดยความสนใจจะอยู่ที่ทำเลหาดกะตะ หาดกะรน หาดป่าตอง หาดกมลา หาดบางเทา เชิงทะเล (ลากูนา) และหาดในทอน ทำให้ราคาอสังหาฯ ในพื้นที่ดังกล่าวขยับขึ้นอีก 15-20%   ทั้งนี้คาดว่าความต้องการของลูกค้ารัสเซียจะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปอีก 1-2 ปีข้างหน้า โดยการตัดสินใจซื้อจะมองเรื่องทำเล ราคาขาย และชื่อเสียงของผู้พัฒนาโครงการ ซึ่งนอกจากชาวรัสเซียแล้วยังมีความต้องการจากลูกค้าชาวจีนสนับสนุนเข้ามาอีกทางหนึ่ง ESG สำนักงานสีเขียวทางเลือกใหม่ของผู้เช่า อุปสงค์ของอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ เติบโตเพียงเล็กน้อยจากไตรมาส 4 ปี 2565 ขณะที่แนวโน้มความต้องการอาคารสำนักงานในแนวคิ ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) และความยั่งยืนกลับขยายตัวมากขึ้น เห็นได้จากอัตราดูดซับสุทธิของอาคารสีเขียวที่สูงกว่าอาคารทั่วไปในทุก ๆ ไตรมาส   ในช่วงปลายปี 2565 มีพื้นที่อาคารสำนักงานขยายตัว 117,000 ตร.ม.หรือ 2.1 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส ส่งผลให้ภาพรวมตลาดอาคารสำนักงานมีพื้นที่ 5.79 ล้าน ตร.ม. และในจำนวนเป็นพื้นที่อาคารสำนักงานสร้างใหม่ที่ผ่านการรับรองอาคารสีเขียว 1,180,000 ตร.ม. คิดเป็น 20% ของพื้นที่สำนักงานให้เช่าทั้งหมด   ทั้งนี้หากเจาะลึกเป็นรายเซกเมนต์ พื้นที่อาคารสำนักงานทุกเกรดมีอัตราดูดซับที่เป็นบวก โดยพื้นที่เกรดบีมีอัตราการดูดซับเพิ่มขึ้นสูงสุด 17,200 ตร.ม. ในขณะที่อัตราการเช่าในตลาดโดยรวมยังคงปรับลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 801 บาทต่อ ตร.ม. โดยพื้นที่เกรดเอ เป็นเซกเมนต์เดียวที่มีอัตราค่าเช่าเพิ่มขึ้น 0.6% นายปัญญา เจนกิจวัฒนาเลิศ กรรมการบริหาร หัวหน้าแผนกอาคารสำนักงาน กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอาคารสำนักงานยังแข็งแกร่งด้วยเม็ดเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นจากชาวจีนที่เข้ามาลงทุนในไทย โดยมองถึงอาคารสำนักงานที่พร้อมเปิดใช้งาน หรือตกแต่งแล้วบางส่วน ขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 200 ถึงกว่า 1,000 ตร.ม. และเดินทางสะดวก ทำเลใกล้ระบบขนส่งสาธารณะ อัตราค่าเช่า และสภาพแวดล้อมการทำงานที่ดี   อาคารสำนักงานเก่าควรได้รับการปรับปรุงและซ่อมบำรุงเพื่อมอบสภาพแวดล้อมในการทำงานและเครื่องมือเครื่องใช้ที่ดีขึ้นเพ่อแข่งขันกับอาคารสำนักงานใหม่ ซึ่งการพัฒนานี้ต้องไม่เป็นไปเพื่อจุดประสงค์ในการขึ้นค่าเช่า แต่เพื่อดึงให้ลูกค้าเก่าพึงพอใจที่จะเช่าพื้นที่ในระยะยาว   ด้าน นายอายุธพร บูรณะกุล กรรมการบริหารและหัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์พื้นที่สำนักงานบริการสำหรับโครงการ​ ระบุว่ามีแนวโน้มหลักสองอย่างที่จะมีอิทธิพลต่อการเช่าพื้นที่สำนักงานและอาคารสำนักงาน นั่นคือ Workplace ESG และ The Perfect PM  การเปลี่ยนผ่านสู่แนวคิด ESG เน้นบูรณาการองค์ประกอบของความยั่งยืน การส่งเสริมสุขภาวะ และชีวิตเชิงสังคม รวมถึงการออกแบบจะเป็นกุญแจในการสนองตอบต่อความต้องการของพนักงานหลากหลายช่วงวัย   โดยองค์กรต่างๆ จะมองหาพื้นที่สำนักงานแบบใดขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการทำงานของพนักงาน นอกจากนี้แนวโน้มการเลือกสถานที่ทำงานตามลักษณะของเนื้องานก็ช่วยลดฟุตพรินท์ทางสิ่งแวดล้อม การใช้พลังงาน การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ การสร้างขยะ และต้นทุนด้านสิ่งอำนวยความสะดวกได้อย่างมหาศาล   สำหรับ The Perfect PM ครอบคลุมถึงการกำหนดอัตราส่วนที่นั่ง การค้นหาคุณลักษณะที่เหมาะสมของสำนักงานที่ต้องการ ทำเลที่ดีเหมาะสม คำแนะนำและข้อเสนอแนะเกี่ยวกับความยั่งยืน และผู้รับเหมาที่ไว้ใจได้เพื่อให้มั่นใจว่างานจะเสร็จทันเวลา   นอกจากนี้การเข้ามาของนวัตกรรม SMART จะช่วยเป็นที่ปรึกษาทางเทคโนโลยีให้ผู้เช่าวิเคราะห์ รายงาน และติดตามตรวจสอบข้อมูลของพื้นที่สำนักงานด้วยตนเอง ซึ่งจะช่วยประสิทธิภาพการทำงานและการผสานเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ากับกฏเกณฑ์ด้านดิจิทัลและสิ่งแวดล้อม ตลาดโรงแรมรับอานิสงค์การเปิดประเทศ นายคาร์ลอส มาร์ติเนซ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษา กล่าวว่าการเปิดประเทศทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของไทยฟื้นตัวเฉลี่ย 27% จากปี 2562 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 23% และคาดว่าในปี 2566 อุตสาหกรรมท่องเที่ยวจะฟื้นกลับมาได้ 70% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19 ที่มีตัวเลขนักท่องเที่ยว 40 ล้านคน สำหรับภาพรวมตลาดโรงแรมไทยในปี 2566 คาดว่าจะเป็นไปในเชิงบวกจากการยุติของโรคระบาด ความต้องการเดินทางของผู้คนที่อัดอั้นมานาน และการเติบโตของเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3-4%​ โดยจำนวนผู้เดินทางเข้าประเทศในเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2566 อยู่ที่ 60% ของตัวเลขก่อนโควิด-19 และมีระดับการเข้าพักโรงแรม เฉลี่ยอยู่ที่ 72%​ เพิ่มขึ้นจาก 36% ในปี 2565   “คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติ ประมาณ 28 ล้านคน ในจำนวนนี้เป็นนักท่องเที่ยว 7-8 ล้านคน แม้ว่าระดับการเข้าพักโรงแรมในปี 2566 จะยังไม่กลับมาเต็มร้อย แต่ราคาห้องพักก็อยู่ในระดับที่ใกล้เคียงหรือสูงกว่าช่วงก่อนหน้าโควิด-19 โดยโรงแรมที่ได้รับผลบวกนั้นจะครอบคลุมทั้งระดับบน โรงแรมขนาดกลาง  และขนาดเล็ก จากลูกค้ากลุ่มทัวร์ และนักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์ (MICE) ที่เข้ามาประชุมและจัดสัมมนา   สำหรับความท้าทายที่อุตสาหกรรมโรงแรมในปี 2566 ยังต้องเผชิญคือการขาดแคลนพนักงาน ซึ่งสมาคมโรงแรมไทยกำลังดำเนินมาตรการชั่วคราว เช่น การขอให้พนักงานทำงานควบตำแหน่งหรือเพิ่มชั่วโมงการทำงาน การจ้างพนักงานชั่วคราว และการเพิ่มค่าตอบแทน ส่วนมาตรการระยะยาวประกอบด้วยการรับนักศึกษาจบใหม่และการอนุญาตให้พนักงานต่างชาติทำงานในอุตสาหกรรมบริการ รวมถึงต้นทุนการก่อสร้าง การดำเนินงาน และการเงิน โลจิสติกส์ ไทย รุกบริการ Build-to-Suit ตลาดอสังหาฯ โลจิสติกส์ในครึ่งหลังของปี 2565 อุปทานรวมของคลังสินค้าแบบสร้างเสร็จพร้อมใช้อยู่ที่ 5.35 ล้าน ตร.ม. โดยอัตราค่าเช่ายังคงไม่เปลี่ยนแปลง โดยอยู่ที่ราคา 158.6 บาท ต่อ ตร.ม. ต่อเดือน ขณะที่ภาพรวมยังคงขยายตัวของอี-คอมเมิร์ซ และการเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งลูกค้าหลักที่เช่าพื้นที่ยังเป็นกลุ่มบริษัทโลจิสติกส์ ตามด้วยกลุ่มผู้เช่าจากธุรกิจเฉพาะทาง เช่น กลุ่ม FMCG และผู้ผลิตอุตสาหกรรม   นอกจากนี้แนวโน้มผู้ให้บริการคลังสินค้ากำลังหันไปให้บริการแบบทำพอดี (Built-to-Suit) แทนที่จะเป็นแบบคาดการณ์ล่วงหน้า (Speculative) เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้พื้นที่คลังสินค้าไร้ผู้เช่าเป็นเวลานาน กล่าวได้ว่าอนาคตของอสังหาริมทรัพย์โลจิสติกส์แบบพร้อมใช้งานจะยังคงสอดคล้องกับการเติบโตเฉลี่ยรายปี   ในด้านกระแสการใส่ใจ ESG (สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) และความยั่งยืน ของภาคธุรกิจ กำลังขยายตัวในภาคอุตสาหกรรมไทยเป็นอย่างมาก โดยคลังสินค้าบางแห่งเริ่มปรับตัวไปสู่ทิศทางนี้มากขึ้น เช่น เทคนิคการลดการไหลของน้ำ การเคลือบผิวหน้าตึกสองชั้น การระบายอากาศตามธรรมชาติ และการติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา เพื่อลดคาร์บอนฟุตพรินท์และต้นทุนการดำเนินงาน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ไนท์แฟรงค์ หวังเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยว-จีนเปิดประเทศ กระตุ้นตลาดคอนโดภูเก็ตฟื้นตัว
สิงห์ เอสเตท  เปิด 5 โครงการที่อยู่อาศัยหมื่นล้าน  ขายบ้านอัลตร้า ลักชัวรี่ หลังละ 550 ล้าน

สิงห์ เอสเตท เปิด 5 โครงการที่อยู่อาศัยหมื่นล้าน ขายบ้านอัลตร้า ลักชัวรี่ หลังละ 550 ล้าน

สิงห์ เอสเตท เดินหน้าลุยตลาดบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ เปิดราคาขายตั้งแต่ 20 ล้านถึงกว่า 550 ล้านบาท หลังจัดทัพธุรกิจใหม่  มั่นใจธุรกิจที่อยู่อาศัยโต 70% ทำรายได้กว่า 4,000-5,000 ล้าน   หลังจาก "สิงห์ เอสเตท" บริษัทอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มเบียร์สิงห์ มีการปรับกลยุทธ์การทำธุรกิจตั้งแต่ปี  2564 ด้วยการขายเงินลงทุนสัดส่วน 51% ในบริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) ในปี 2565 ก็เริ่มพัฒนาโครงการบ้านแนวราบโครงการแรก คือ โครงการศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส ในช่วงปลายปี ส่วนปีนี้ ก็เริ่มหันกลับมาบุกตลาดอสังหาฯ แนวราบเพิ่มมากขึ้นอีกครั้ง โดยแผนการเปิดตัวโครงการในปี 2566 ยังคงพัฒนาบ้านในกลุ่มลักชัวรี่เหมือนเช่นเคย ซึ่งมี 4 กลุ่มหลัก คือ บ้านลักชัวรี่ ระดับราคา 20 ล้านบาทขี้นไป บ้านพรีเมียม ลักชัวรี่ ระดับราคา 30-50 ล้านบาท บ้านซุปเปอร์ ลักชัวรี่ บ้านระดับราคา 50-100 ล้านบาท บ้านอัลตร้า ลักชัวรี่ ระดับราคา 250 ล้านบาทขึ้นไป ตามแผนธุรกิจปี 2566 เตรียมเปิดโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ 5 โครงการ รวมมูลค่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นโครงการภายใต้แบรนด์ใหม่ 2 แบรนด์ ขณะเดียวกันจะมีโครงการที่เป็น ​Flgship Cluster Home Project ที่ขายบ้านระดับอัลตร้า ลักชัวรี่ ราคาเริ่มต้นหลังละ 550 ล้านบาท จำนวน 2 โครงการ   นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S  เปิดเผยว่า กลุ่มธุรกิจอสังริมทรัพย์ในปีนี้ ตั้งเป้าหมายเติบโต 70% หรือมีรายได้ 4,000-5,000 ล้านบาท โดยหลังจากที่ปิดโครงการสันติบุรีแล้ว ในปีนี้จะเป็นโครงการในคอนเซ็ปต์เดียวกันอีก  2 โครงการ ในรูปแบบ ​​Flgship Cluster Home Project สำหรับโครงการรูปแบบ Flgship Cluster Home Project มีข้อดี คือ สามารถพัฒนาได้บนที่ดินขนาดเล็กไม่เกิน 10 ไร่ มีจำนน 8-9 ยูนิต ในย่านใจกลลางธุรกิจ ซึ่งจะขายที่ดินก่อนการก่อสร้างบ้าน ทำให้สามารถปิดการขายได้เร็ว แลรับรู้รายได้ได้เร็ว โดยโครงการรูปแบบ ​Flgship Cluster Home Project โครงการแรกจะพัฒนาบริเวณซอยสุขุมวิท49 บนเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่จำนวน 2 ยูนิต เตรียมเปิดตัวช่วงกลางปีนี้ ส่วนโครงการที่เหลือจะเปิดตัวช่วงปลายปี   นางฐิติมา กล่าวอีกว่า  ในปี 2566 เป็นปีที่สำคัญมากของสิงห์ เอสเตท ในการสร้างการเติบโต ด้วยการใช้กลยุทธ์ “S EXCELS” คือการสร้างความเป็นเลิศในทุกมิติ ประกอบด้วย   มิติแรก คือ ผลการดำเนินงานที่เป็นเลิศ ดันเป้ากำไรสู่ All-time High ในทุกพอร์ตธุรกิจ โดยปีนี้จะสามารถสร้างรายได้รวมของบริษัทให้เติบโตขึ้นสูงถึง 34% หรือมีมูลค่าแตะ 16,700 ล้านบาท   มิติที่สองคือ การเพิ่มแต้มต่อธุรกิจ เสริมแกร่งศักยภาพในการแข่งขัน เน้นการสร้าง Synergy ที่เกื้อหนุนกันระหว่าง 4 ธุรกิจ และความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำ เพื่อสร้างการเติบโตเฉลี่ยปีละ 20% ตลอด 3 ปี   มิติที่สามคือ การพัฒนาอย่างยั่งยืน บริษัทฯ ตั้งเป้าบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2573 และกำหนดแผนอนุรักษ์ในพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพในบริเวณธุรกิจตั้งอยู่ ทั้งนี้ ปี 2565 ที่ผ่านมาบริษัทฯ สร้างรายได้ 1 2,500 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นจากปีก่อนประมาณ 62% โดยมีปัจจัยหลายประการที่ช่วยเกื้อหนุนการเติบโต ไม่ว่าจะเป็นยอดจองและยอดโอนกรรมสิทธิ์  ของโครงการศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส ซึ่งสูงถึง 77% และ 30% ตามลำดับ นับเป็นความสำเร็จอย่างงดงามที่เกิดขึ้นเพียง 1 ปี หลังปรับโครงสร้างธุรกิจและรุกเข้าสู่การพัฒนาบ้านแนวราบอย่างเต็มตัว   ธุรกิจโรงแรมภายใต้การบริหารงานของ SHR สามารถทำรายได้ทะลุเป้าหมายอยู่ที่ 8,700 ล้านบาท ขึ้นแท่นผู้ประกอบการโรงแรมในไทยที่มีรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศ ด้วยความแข็งแกร่งของกลยุทธ์ผนวกกับแรงหนุนจากการเปิดประเทศ ส่งผลให้อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวัน (Average Daily Rate: ADR) ปรับเพิ่มขึ้นได้กว่า28% จากปีก่อนหน้า   กลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงานมีสัญญาณฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ มีอัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy) ที่ไต่ระดับสูงขึ้นขณะที่ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมมีรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในปีก่อนได้กว่า 77 ไร่
เปิดประวัติ คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี  ผู้ร่วมสร้างตำนานอาณาจักร TCC Group

เปิดประวัติ คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี ผู้ร่วมสร้างตำนานอาณาจักร TCC Group

คุณหญิงวรรณา ประวัติส่วนตัว คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี เกิดวันอังคารที่ 2 มีนาคม 2486 อายุ 80 ปี เป็นบุตรสาวของ เจ้าสัวกึ้งจู แซ่จิว ผู้คร่ำหวอดในแวดวงธุรกิจการค้าขายเครื่องดื่มสุรา สมรสกับ ​เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี  มีบุตรด้วยกัน 5 คน ประกอบด้วย นางอาทินันท์ พีชานนท์ นางวัลลภา ไตรโสรัส นายฐาปน สิริวัฒนภักดี นายปณต สิริวัฒนภักดี นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประวัติการศึกษา คุณหญิงวรรณา ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จาก 8 มหาวิทยาลัย  ได้แก่ ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการจัดการธุรกิจ มหาวิทยาลัยพะเยา ปริญญาบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ปริญญาบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปริญญาบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาบริหารธุรกิจการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้ ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาเทคโนโลยีชีวภาพ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณประโยชน์ทางธุรกิจของแต่ละสาขาวิชาได้เป็นอย่างดี ประวัตการทำงาน คุณหญิงวรรณา มีบทบาทสำคัญ นอกจากการเป็นภรรยาของ เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ผู้ก่อตั้ง ทีซีซี กรุ๊ป ยังมีบทบาทในธุรกิจของกลุ่มทีซีซี โดยดำรงตำแหน่งสำคัญมากมาย อาทิ รองประธานกรรมการและรองประธานกรรมการบริหาร คนที่ 1 บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด รองประธานกรรมการ บริษัท ทีซีซี แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) รองประธานกรรมการ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด(มหาชน) รองประธานกรรมการ คนที่ 1 บริษัท เครือไทย โฮลดิ้งส์ จำกัด(มหาชน) รองประธานกรรมการ และรองประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) รองประธานกรรมการ บริษัท เครือไทย โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) รองประธานกรรมการ บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ทส์ (ประเทศไทย) จำกัด รองประธานกรรมการ บริษัท ทีซีซี แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กรรมการ บริษัท ทีซีซี โฮลดิ้ง (2519) จำกัด รองประธานกรรมการกลุ่มบริษัทเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด รองประธานกรรมการกลุ่มบริษัทเฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ ลิมิเต็ด รองประธานกรรมการ บริษัท สิริวนา จำกัด รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท คริสตอลลา จำกัด รองประธานกรรมการ บริษัท พรรณธิอร จำกัด รองประธานกรรมการ บริษัท ทีซีซีแลนด์ จำกัด ประธานกรรมการ บริษัท เบียร์ทิพย์ บริวเวอรี่ (1991) จำกัด รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท นอร์ธปาร์ค กอล์ฟแอนด์สปอร์ตคลับ จำกัด รองประธานกรรมการ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) รองประธานกรรมการ บริษัท เครืออาคเนย์ จำกัด รองประธานกรรมการ บริษัท ทีซีซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประธานกรรมการ บริษัท แสงโสม จำกัด ประธานกรรมการ บริษัท เฟื่องฟูอนันต์ จำกัด ประธานกรรมการ บริษัท ธนภักดี จำกัด รองประธานกรรมการ บริษัท มงคลสมัย จำกัด ประธานกรรมการ บริษัท กาญจนสิงขร จำกัด รองประธานกรรมการ บริษัท เบียร์ช้าง จำกัด รองประธานกรรมการ บริษัท น้ำใจไทยเบฟ (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด รองประธานกรรมการ บริษัท อาคเนย์ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) รองประธานกรรมการ บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) รองประธานกรรมการ บริษัท อาคเนย์แคปปิตอล จำกัด รองประธานกรรมการ International Beverage Holdings Limited รองประธานกรรมการ International Beverage Holdings (UK) Limited รองประธานกรรมการ International Beverage Holdings (China) Limited รองประธานกรรมการ InterBev Investment Limited โดยคุณหญิงวรรณา ได้ร่วมกับ เจ้าสัวเจริญ  ดำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนานกว่า 50 ปี ซึ่งปัจจุบัน ทีซีซี กรุ๊ป มี 5 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจเครื่องดื่ม มีบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อาทิ ทีซีซี แลนด์, ยูนิเวนเจอร์ และ เฟรเซอร์ พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน โรงแรม ศูนย์การค้า ธุรกิจอุตสาหกรรมการค้า สินค้าอุปโภคบริโภค ได้แก่  เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ หรือบีเจซี และบิ๊กซี ธุรกิจประกัน และการเงิน ธุรกิจเกษตร และอุตสาหกรรมการเกษตร ซึ่งมีกิจการทั้งในและต่างประเทศ เช่น สปป.ลาว กัมพูชา ตำแหน่งทางสังคม นอกจากบทบาทสำคัญในด้านธุรกิจ คุณหญิงวรรณา ยังมีบทบาทสำคัญในด้านสังคม ทั้งการทำงานการกุศล และการช่วยเหลือสังคมในหลากหลายรูปแบบ โดยคุณหญิงวรรณา มีตำแหน่งทางสังคมสำคัญ ในมูลนิธิต่างๆ มากมาย อาทิ กรรมการมูลนิธิสถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์ กรรมการมูลนิธิรามาธิบดี กรรมการศิริราชมูลนิธิ กรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช กรรมการมูลนิธิคืนช้างสู่ธรรมชาติ กรรมการ คณะกรรมการจัดหา และส่งเสริมผู้ให้โลหิตแห่งสภากาชาดไทย กรรมการมูลนิธิศาลาเฉลิมกรุง กรรมการมูลนิธิ แอสเสท เวิรด์ เพื่อการกุศล ขอแสดงความอาลัย คุณหญิงวรรณา ที่ได้ถึงแก่กรรมด้วยอาการสงบเมื่อเวลา 01.24 น. ของวันนี้ (วันที่ 17 มีนาคม 2566)    
เอสโฮเทล แอนด์ รีสอร์ท  กางแผนธุรกิจปี 66  ชู 3 กลยุทธ์สู่รายได้หมื่นล้าน

เอสโฮเทล แอนด์ รีสอร์ท กางแผนธุรกิจปี 66 ชู 3 กลยุทธ์สู่รายได้หมื่นล้าน

เอสโฮเทล แอนด์ รีสอร์ท กางแผนธุรกิจ ชู 3 กลยุทธ์ สร้างรายได้กว่า 10,000 ล้าน โต 20% หลังรายได้ปี 2565 ทะลุเป้าที่ 8,700 ล้านบาท ด้วยกลยุทธ์สร้างความหลากหลายที่สมดุลเพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน และมีสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งผนวกกับแรงหนุนจากการเปิดประเทศฟื้นการท่องเที่ยว     นายเดิร์ก เดอ คุยเปอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2566 ว่า หลังจากเห็นสัญญาณการฟื้นตัวของธุรกิจด้านการท่องเที่ยว และแนวทางการดำเนินธุรกิจในปีนี้ ทำให้บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ มากกว่า 10,000 ล้านบาท เติบโต 20% จากปีที่ผ่านมาทำรายได้ 8,700 ล้านบาท และจะทำกำไรอย่างต่อเนื่อง จากปีท่ผ่านมามีกำไร 14 ล้านบาท และเป้าหมายอัตราเข้าพักเฉลี่ย 75% จากปีที่ผ่านมามีอัตราเข้าพักเฉลี่ย 60%   การกลับมาของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก หลังการยกเลิกข้อจำกัดในการเดินทางระหว่างประเทศ ทำให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง  ผนวกกับกลยุทธ์ผลักดันธุรกิจ และเครือข่ายช่องทางการจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่งของบริษัท ทำให้สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวที่หลากหลายมากขึ้นจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งเป็นแรงหนุนสำคัญที่ทำให้ธุรกิจของ SHR เติบโตได้เต็มอัตรา และมีผลการดำเนินงานที่ขยายตัวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ของโรงแรมในหลายประเทศ   โดย SHR สามารถปรับค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืน หรือ ADR ในระดับที่สูงขึ้นกว่าช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด-19 และเป็นระดับที่สูงที่สุดมาตั้งแต่เปิดให้บริการมาอีกด้วย เสริมทัพด้วยการฟื้นตัวของโรงแรมในประเทศไทยที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565  ส่งผลให้ SHR กวาดรายได้เกินกว่าเป้าหมายที่วางเอาไว้ สู่ 8,700 ล้านบาท ก้าวขึ้นแท่นผู้ประกอบธุรกิจบริหารจัดการโรงแรมของไทยที่ทำรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 2 ในปีที่ผ่านมา   นอกจากนั้นแล้ว บริษัทได้รับการยกย่องให้บรรจุอยู่ใน “รายชื่อหุ้นยั่งยืน” ประจำปี 2565 ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) พร้อมคะแนนจากการประเมินการกำกับดูแลกิจการในระดับ “ดีเลิศ” (5 ดาว) จากสมาคมส่งเสริมสถาบันกรรมการบริษัทไทย (IOD) และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ตอกย้ำความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืนพร้อมรักษาความสมดุลต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างสังคมที่มีคุณภาพ 3 กลยุทธ์สร้างรายได้กว่า 10,000 ล้าน ปี 2566 เป็นปีแห่งการผลักดันผลประกอบการให้เติบโตโดนเด่น พร้อมใช้กลยุทธ์เสริมจุดแข็งธุรกิจ และการขยายช่องทางการขายเพื่อดึงดูดลูกค้าที่หลากหลายจากทุกมุมโลก  ซึ่งทิศทางการขับเคลื่อนธุรกิจของ SHR ในปี 2566 จะรองรับการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยบริษัทฯ ตั้งเป้าครองตำแหน่งผู้ประกอบธุรกิจบริหารจัดการโรงแรมรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของไทยอย่างต่อเนื่อง   โดยแผนการดำเนินงานที่จะผลักดันให้รายได้บริษัทฯ สามารถขยายตัวได้ตามเป้าหมายนั้น มาจากจุดแข็งของ SHR ในด้านความหลากหลายของพอร์ตโฟลิโอ (diversified portfolio) สามารถดึงดูดลูกค้าได้หลากหลายกลุ่มจากทั่วโลก โดยหลังการเปิดประเทศอย่างสมบูรณ์ คาดว่า โรงแรมเครือที่ประเทศไทยทั้ง 4 แห่งจะเป็นฟันเฟืองหลักในการผลักดันการเติบโตของปี 2566 นี้ ซึ่งตั้งเป้าการเติบโตของรายได้ประมาณ 60% จากปีก่อนหน้า (YoY) คิดเป็นอัตราส่วน 16% ของรายได้รวมของบริษัทฯ ในขณะที่รายได้จากโรงแรมในมัลดีฟส์และสหราชอาณาจักรจะเติบโตขึ้น 30% และ 10% จากปีก่อน (YoY) คิดเป็นอัตราส่วน 31% และ 36% ตามลำดับ สำหรับแนวทางการสร้างการเติบโตดังกล่าว บริษัทวาง 3 กลยุทธ์ที่สำคัญ คือ 1.Asset Rotation & Enhancement การหมุนเวียนและต่อยอดการลงทุนสินทรัพย์ (Asset Rotation & Enhancement) โดย SHR จะทำการขายสินทรัพย์ที่มีการเติบโตจนเต็มมูลค่าแล้วเพื่อนำรายได้จากการขายผนวกกับการลงทุนเพิ่มเติมอีกราว 16 ล้านปอนด์ ไปพัฒนาสินทรัพย์ศักยภาพสูงที่สามารถสร้างการเติบโตต่อไปได้ในอนาคต โดยกลุ่มโรงแรมที่บริษัทฯ ให้ความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ คือธุรกิจในสหราชอาณาจักร ซึ่งจะทำให้สามารถปรับขึ้นอัตรา ADR ได้  โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 90 ปอนด์ หรือเพิ่มขึ้นราว 10% เมื่อเทียบกับปี 2565 สำหรับสินทรัพย์อื่นๆ ที่อยู่ในแผนการปรับปรุงและพัฒนาของบริษัทฯ นั้น ยังรวมถึงโครงการครอสโรดส์ มัลดีฟส์ ซึ่งได้ดำเนินการพัฒนาปรับปรุงห้องพัก (Product Enhancement) ในเฟสแรกเสร็จสมบูรณ์เป็นที่เรียบร้อยแล้วเมื่อเดือนธันวาคมปี 2565 และในปีนี้ได้มีการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น แกลลอรี่ท้องถิ่น คาเฟ่พร้อมเทคโนโลยีโลกเสมือนจริง (Virtual Reality Café) หรือท่าจอดเรือ super yacht ขนาดใหญ่ เป็นต้น เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ที่หลากหลายและน่าประทับใจ (Memorable Experience)   นอกจากนี้ ยังเตรียมเดินหน้าพัฒนาโครงการต่อ ณ ทราย รีสอร์ทสองแห่งในไทย  ได้แก่ ทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ (SAii Phi Phi Island Village) และ ทราย ลากูน่า ภูเก็ต (SAii Laguna Phuket) มีแผนที่จะปรับปรุงตั้งแต่ปี 2566 ไปจนถึงปี 2567 ขณะที่ โรงแรม เอาท์ริกเกอร์ ฟิจิ บีช รีสอร์ท (Outrigger Fiji Beach Resort) เริ่มแผนการปรับปรุงแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม 2565 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2566 นี้ เพื่อรองรับเทศกาลแห่งการท่องเที่ยวที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปี ด้วยแผนทั้งหมดภายใต้งบลงทุนประมาณ 1,000-1,500 ล้านบาท เราคาดว่าจะช่วยให้เราสามารถบรรลุแผนในการปรับอัตราค่าห้องพักสำหรับห้องที่ทำการปรับปรุงขึ้นได้อีกราว 15-40% 2,Merger and Acquisition SHR ยังมีการวางงบลงทุนเพื่อซื้อและควบรวมกิจการ (Merger and Acquisition) ตลอดระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า อยู่ที่ประมาณ 7,500 ล้านบาท โดยยังคงพุ่งเป้าไปที่จุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยว (Leisure Destination) เพื่อสร้างความหลากหลายให้แก่พอร์ต SHR ที่มีศักยภาพและสร้างความเติบโตที่ยั่งยืนในด้านรายได้และยังสามารถลดความผันผวนทางฤดูกาล (Seasonal Effect) ของโรงแรมในเครือได้อีกด้วย โดยเบื้องต้นยังคงทำการศึกษาสินทรัพย์ในแถบชายฝั่งทะเลเอเชียและแปซิฟิก รวมถึงประเทศไทย ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และมหาสมุทรอินเดีย 3.Asset Light ขณะเดียวกัน SHR ยังมีแผนที่จะขยายกิจการด้วยโมเดลธุรกิจแบบ Asset Light ซึ่งจะเป็นการเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอีกทางหนึ่ง โดยได้มีการพัฒนาร่วมทุนกับพันธมิตร อาทิเช่น SO/ Maldives ไลฟ์สไตล์สุดทันสมัยในโครงการแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก ที่พร้อมจะเปิดตัวโครงการราวไตรมาส 4 ปีนี้ ลุยดิจิทัลเพิ่มอัตราเข้าพัก นอกจากนี้ SHR ยังเล็งเห็นความสำคัญของการนำดิจิทัลแพลตฟอร์มเข้ามาใช้เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการกำหนดราคาห้องพักของโรงแรมในเครือให้เหมาะสมตามฤดูกาลและตอบสนองความต้องการแบบเรียลไทม์ สามารถบริหารจัดการรายได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงการทำกิจกรรมทางการตลาดออนไลน์เจาะกลุ่มตลาดที่หลากหลายเพื่อเพิ่มอัตราการจองห้องพักโดยตรง (Direct booking) และสามารถผลักดันค่าห้องพักเฉลี่ยต่อคืน (ADR) ในระดับที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง   โดยปีนี้เราคาดว่าอัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate) ของโรงแรมในเครือทั้งหมดจะอยู่ที่ประมาณ 75% เมื่อเทียบกับผลประกอบการในปี 2565 ซึ่ง SHR สามารถรายงานผลกำไรที่พลิกกลับมาเป็นบวกได้สำเร็จ จากอัตราการเข้าพักที่ระดับเพียง 60% ดังนั้น เราเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ณ ระดับการเข้าพักเป้าหมายที่ระดับ 75% นี้ จะเป็นตัวขับเคลื่อนผลกำไรของ SHR ในปี 2566 ให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อสร้างฐานกำไรใหม่ให้กับ SHR สำหรับรองรับการขยายการเติบโตในอนาคต เดินหน้าสร้างคุณค่า-ความยั่งยืน SHR ได้รับนโยบายการพัฒนาอย่างยั่งยืนจากสิงห์ เอสเตท ด้วยวิสัยทัศน์ sustainable diversity สร้างความหลากหลายที่สมดุล เพื่อการเติบโตที่ยั่งยืน ลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมจากกระบวนการตลอดห่วงโซ่ธุรกิจ (supply chain) ในทุกมิติ โดยเฉพาะตั้งเป้าลดคาร์บอน (Decarbonization) และทดแทนการใช้พลังงานฟอสซิลด้วยพลังงานสะอาดในปีนี้ เราได้ดำเนินการติดตั้งแผงโซลาร์ เซลล์ บนหลังคาของโรงแรมในเครือของ SHR ในประเทศไทยและมัลดีฟส์ รวมพื้นที่กว่า 10,000 ตารางเมตร ที่สามารถผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ราว 2.8 ล้านกิโลวัตต์ชั่วโมงต่อปี ทำให้เราสามารถบริหารต้นทุนทางพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย” นายเดิร์ก กล่าว   ที่ผ่านมา SHR เป็นที่ยอมรับในฐานะผู้ประกอบการโรงแรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ โดยได้รับการรับรองจากประกาศนียบัตร Green Globe ซึ่งถือเป็นมาตรฐานสูงสุดระดับโลกสำหรับผู้ให้บริการด้านการท่องเที่ยวและการบริการที่ยั่งยืน โดยบริษัทฯ ให้ความสำคัญในการผสมผสานการเรียนรู้ด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมร่วมกับประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น กิจกรรมให้ความรู้ด้านการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล ที่ศูนย์การเรียนรู้ทางทะเล เช่น โครงการเพาะพันธุ์ปะการัง โครงการอนุรักษ์ฉลามกบ เป็นต้น และในปี 2566 นี้จะพัฒนาโครงการ   อนุรักษ์สัตว์ทะเลหายากร่วมกับ IUCN ที่โครงการครอสโรดส์ มัลดีฟส์ และร่วมกับมูลนิธิโลกสีเขียวที่โครงการอนุรักษ์ป่าโกงกางในบริเวณอุทยานแห่งชาติของหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี นอกจากนี้ยังสนับสนุนชุมชนท้องถิ่น รวมทั้งส่งเสริมวัฒนธรรมพื้นบ้านซึ่งจะนำมาประยุกต์ร่วมกับการบริการของโรงแรมในรูปแบบต่างๆ เพื่อสร้างประสบการณ์ที่มีคุณค่าแก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -สิงห์ เอสเตท จับมือ ฮาร์ด ร็อค ผุดธีม โฮเทล ในโปรเจกต์ยักษ์ที่มัลดีฟส์
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้  วาง 3 แผนงานสร้างการโตไม่สิ้นสุด  จับเมกะเทรนด์ลุยธุรกิจทั่วไทย

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ วาง 3 แผนงานสร้างการโตไม่สิ้นสุด จับเมกะเทรนด์ลุยธุรกิจทั่วไทย

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ยกทัพ 5 ผู้บริหารบริษัทในเครือ ประกาศทิศทางธุรกิจปี 2566 “Origin Infinity” สู่เส้นทาง Well-Being Lifetime Company สร้างการเติบโตและดูแลบริโภคแบบไม่สิ้นสุด เปิดตัวโครงการบ้าน-คอนโดใหม่ 42 โครงการ มูลค่าโครงการ 50,000 ล้าน โรงแรม-อาคารสำนักงาน-มิกซ์ยูส มูลค่า REIT ประมาณการ 25,500 ล้าน โครงการโลจิสติกส์และคลังสินค้าอีก 4,500 ล้าน ครอบคลุมทุกเซ็กเมนท์ กระจายตัวใน 13 จังหวัดทั่วประเทศ     นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร  พร้อมทีมผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มธุรกิจออริจิ้นร่วมกันแถลงแผนธุรกิจปี 2566 ที่ปีนี้ มาในแนวคิด “Origin Infinity” สร้างการเติบโตและการดูแลผู้บริโภคแบบไม่สิ้นสุด พัฒนาเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ให้กลายเป็น Well-Being Lifetime Company หรือองค์กรที่มีธุรกิจครอบคลุมการดูแลผู้บริโภคตลอดช่วงชีวิต ซึ่งมีทีมผู้บริหารร่วมแถลงข่าวครั้งนี้ ได้แก่ นายอภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด แกลุ่มธุรกิจสมาร์ทคอนโดมิเนียม นายปิติ จารุกำจร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด กลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) ผศ.นพ.ชวกิจ ภูมิบุญชู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด  กลุ่มธุรกิจบริการด้านสุขภาพ นายปธาน สมบูรณสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด กลุ่มโลจิสติกส์และคลังสินค้า (Logistics & Warehouse) ​ ออริจิ้น กับ 3 แผนงาน Origin Infinity สำหรับแผนงาน Origin Infinity ประกอบด้วยการขับเคลื่อน 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1.การขยายสินค้าและบริการให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ (Nationwide Serve) ยกทัพธุรกิจในเครือกระจายสู่ต่างจังหวัดเพื่อพัฒนาการใช้ชีวิตที่ดีขึ้น (Better Living) ให้แก่คนในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เริ่มจากกลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่แบบ All Time High รวมทั้งสิ้น 42 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 50,000 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่ 13 จังหวัดทั่วประเทศ แบ่งเป็น โครงการคอนโดมิเนียม 22 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 27,500 ล้านบาท โครงการบ้านจัดสรร 20 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 22,500 ล้านบาท เริ่มพัฒนาโครงการโรงแรม อาคารสำนักงาน และศูนย์การค้าใหม่ในปีนี้ มูลค่า REIT ประมาณการรวม 25,500 ล้านบาท โครงการกลุ่มโลจิสติกส์และคลังสินค้า (Logistics & Warehouse) มูลค่า REIT ประมาณการรวม 4,500 ล้านบาท พร้อมทยอยนำธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ทั้งธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรในเครือบริษัท พรีโม​ เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) ธุรกิจบริการสุขภาพภายใต้ออริจิ้น เฮลท์แคร์ ไปให้บริการในต่างจังหวัดด้วย ไฮไลต์ของปีนี้ คือ การนำหลายแบรนด์ที่เราไม่ได้เปิดตัวมาระยะหนึ่ง กลับมาร่วมบุกตลาดเพื่อให้ครอบคลุมลูกค้าหลากเซ็กเมนท์และสอดคล้องกับสภาพความต้องการของตลาดในปีนี้ อาทิ แบรนด์ดิ ออริจิ้น กลับมาเจาะตลาดคอนโดมิเนียมเพื่อคน Gen Z และกลุ่มที่เพิ่งเริ่มต้นทำงานหรือ First Jobber  แบรนด์เบลกราเวีย กลับมาเจาะตลาดบ้านเดี่ยวลักชัวรีรองรับดีมานด์หลากทำเล ปีนี้จะมีการบุกไปยังจังหวัดใหม่ๆ ที่เราไม่เคยไปบุกมาก่อน รวมถึงมีโครงการไฮไลต์ เป็นโครงการมิกซ์ยูส กระจายตัวในหัวเมืองใหญ่หลายจังหวัด เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ ขอนแก่น โคราช ผสมผสานหลากหลายสูตร เช่น บ้าน คอนโด โรงแรม ศูนย์การค้า บริการสุขภาพ ต่อยอดความสำเร็จของการพัฒนาโครงการออริจิ้น ดิสทริค แหลมฉบัง-ศรีราชา และออริจิ้น สมาร์ท ซิตี้ ระยอง 2.การขยายจักรวาลธุรกิจใหม่ให้มีเส้นทางเติบโตอย่างต่อเนื่อง (Multiverse Expansion) มุ่งพัฒนาช่วงชีวิตที่ดีขึ้น (Better Lifetime) ต่อยอดจากแผน Origin Multiverse ในปี 2565 ด้วยการขยายธุรกิจนอกเหนือจากที่อยู่อาศัยให้มีเส้นทางการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมการดูแลคนทุกเจเนอเรชั่น ทุกช่วงจังหวะของชีวิต ตั้งแต่ยังโสด เพิ่งแต่งงาน ครอบครัวขยายตัว จนเกษียณอายุ ทุกแพลตฟอร์ม ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ นำพาบริษัทย่อยที่ดูแลธุรกิจใหม่ๆ เติบโตเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อย่างต่อเนื่องปีละ 1 บริษัท หลังจากนำบริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI และบริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PRI เข้าตลาดได้แล้วในปี 2564 และ 2565 (ตามลำดับ) ตามแผนงาน ในปี 2566 มีแผนส่งบริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด เป็นธุรกิจถัดไป ตามด้วยบริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด บริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด และบริษัท ยูไนเต็ด โปรเจคต์  แมเนจเมนท์ จำกัด โดยวัน ออริจิ้น จะมีโครงการสร้างเสร็จใหม่ในปีนี้ทั้งโรงแรม อาคารสำนักงาน อย่างต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มเฮลท์แคร์จะเริ่มวางรากฐาน เปิดตัวธุรกิจใหม่ๆ อาทิ คลินิกทันตกรรม คลินิกความงาม คลินิกสัตว์เลี้ยง คลินิกเส้นผม กระจายตัวไปพร้อมกับโครงการที่อยู่อาศัยและมิกซ์ยูสเครือออริจิ้น โดยมีแผนเปิดสาขารวมทั้งหมด 25 แห่งในสิ้นปี 2566 3.การดูแลสังคม (Social Attention) ร่วมใส่ใจสังคมและสิ่งแวดล้อมในหลากหลายมิติ เพื่อสร้างสังคมที่ดีขึ้น (Better Society) ได้แก่ ด้านการพัฒนาบุคลากร (Talent Development) จับมือกับสถาบันการศึกษาต่างๆ สร้าง Origin Valley ร่วมกับสถาบันการศึกษานั้นๆ เพื่อเป็นพื้นที่พัฒนาทักษะคนรุ่นใหม่ให้มีความรู้ความสามารถที่ตรงกับความต้องการขององค์กรและตลาดแรงงาน รวมถึงแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เพื่อพัฒนาบุคลากรในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ที่มีมากกว่า 3,000 คน ให้พร้อมเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ด้านการพัฒนาชุมชน (Community Development) ดำเนินโครงการ Origin Give เพื่อสร้างโอกาสและส่งมอบสิ่งดีๆ แก่ชุมชน อาทิ การมอบทุนการศึกษา การมอบอุปกรณ์การแพทย์ การลงพื้นที่พัฒนาโรงเรียน ด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) ร่วมเดินหน้าแผน Net-Zero Emission 2044 เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกมิติ อาทิการออกแบบโครงการที่ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การลดปริมาณขยะ การลดใช้ไฟฟ้าทั้งในออฟฟิศและสำนักงานขาย การเริ่มติดตั้ง Solar Roof และ EV Charger ในโครงการใหม่ๆ จากแผนงาน Origin Infinity บริษัทเชื่อมั่นว่าจะช่วยสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งในทุกมิติ และเป็นการกระจายการเติบโตพร้อมรับมือทุกสภาวะเศรษฐกิจ ปี 2566 นี้ จึงตั้งเป้าหมายยอดขายโครงการ ที่อยู่อาศัยไว้ที่ 45,000 ล้านบาท และเป้ารายได้รวมอยู่ที่ 19,000 ล้านบาท หรือเป็นเป้าหมายเติบโต All Time High จากวิสัยทัศน์ของบริษัทที่ต้องการขยายอาณาจักรธุรกิจ ไม่ใช่เพียงกลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย แต่ครอบคลุมถึงเมกะเทรนด์ และธุรกิจใหม่ๆ เพื่อให้สามารถครอบคลุมทุกมิติการยกระดับการใช้ชีวิตของผู้บริโภค   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ โชว์ทุกผลงาน Q2/65 ทำ New High เล็งจ่ายปันผลระหว่างกาล หุ้นละ 0.15 บาท -“ออริจิ้น” ตุนยอดขายครึ่งปีแรก 51% ของเป้าทั้งปี เตรียมเปิดโครงการเพิ่มอีก 26,500 ล้าน
เอสซี แอสเสท เปิดแผนรายได้รวม 150,000 ล้าน การเติบโตด้วย 2 ENGINE ใน 5 ปี

เอสซี แอสเสท เปิดแผนรายได้รวม 150,000 ล้าน การเติบโตด้วย 2 ENGINE ใน 5 ปี

เอสซี แอสเสท มั่นใจโตเหนือชั้น เปิดแผนโรดแมป SC Thriving Beyond ตั้งเป้ารายได้ 5 ปี รวมมูลค่า 150,000 ลบ. ปี 2566 รุกเปิด 25 โครงการ รวมมูลค่า 40,000 ลบ. มุ่งสร้างคุณค่าสู่คนและโลก เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน   บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ผู้นำการเป็น Living Solutions Provider คุณภาพสูง โดยนายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดวิสัยทัศน์การพัฒนาธุรกิจและองค์กร ปี 2566 - 2570 ตั้งเป้ารายได้ 5 ปี ทะยานสู่รายได้ 150,000 ล้านบาท ขับเคลื่อนบนยุทธศาสตร์ SC Thriving Beyond เติบโต อย่างมีคุณภาพ แบบเหนือชั้น และยั่งยืน  มุ่งสร้างคุณค่า สู่คนและโลก ดำเนินธุรกิจภายใต้ 4 แกนหลัก คือ ลูกค้า พนักงาน สิ่งแวดล้อม และองค์กร  ลูกค้า SC มุ่งมั่นส่งมอบสินค้าและบริการคุณภาพสูง พัฒนาสินค้าทั้งบ้านและคอนโด สรรหาและคิดค้นนวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยหลากหลายราคา รูปแบบการใช้ชีวิต และเจเนอเรชั่น เพื่อลูกค้ามีคุณภาพชีวิตที่ดี ไร้ความกังวลในการใช้ชีวิต   ปี 2566 มีแผนการเปิดโครงการใหม่รวม 25 โครงการ มูลค่ารวม 40,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น โครงการแนวราบ: เปิดใหม่ 22 โครงการ รวมมูลค่า 30,000 ล้านบาท รักษาสถานะผู้นำในตลาดบ้านเดี่ยวคุณภาพสูง ด้วยไฮไลท์โปรดักส์ คือ #No1LuxuryHome ปีนี้ SC พร้อมเผยโฉม “95E1” (ไนน์-ตี้-ไฟว์-อีสต์-วัน) แบรนด์บ้านใหม่ในเซกเมนต์ Ultimate Luxury ราคาเริ่มต้นสูงสุดที่เคยเปิดขายมา ด้วยราคาเริ่มต้น 100 ล้านบาท จำนวนจำกัดเพียง 10 ยูนิต มูลค่าโครงการ 970 ล้านบาท #OneSizeDoesNotFitAll ด้วยการตอบรับอย่างดีมากของ “บ้านคนโสด” ปีนี้ SC ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดเรื่องการพัฒนาบ้านที่ออกแบบเพื่อไลฟ์สไตล์ที่มีความเฉพาะบุคคลด้วยการเปิดตัว #บ้านเกมเมอร์ (Gamer’s Home) บ้านที่ร่วมออกแบบโดยเกมเมอร์ชื่อดัง Willcomeback และ MNJ TV เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของเจ้าของบ้านในสายอาชีพยุคใหม่มาแรง อย่าง Streamer หรือ Content Creator ทั้งหลาย พร้อมเปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2566 ณ โครงการ Venue ID มอเตอร์เวย์-พระราม 9 ราคาเริ่มต้น 14.29 ล้านบาท และมีโครงการพัฒนาบ้านที่ออกแบบเฉพาะสำหรับคนที่มีไลฟ์สไตล์ Introvert และ Extrovert ในอนาคต  #SCHomesForAll สร้างบ้านตอบโจทย์ลูกค้าครอบคลุมทุกกลุ่มราคา ในปีนี้ SC จะมีสินค้าบ้านเปิดขายในราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 2.5 ล้านบาท ไปจนถึงมากกว่า 150 ล้านบาท ด้วยการเปิดตัวบ้านซีรีส์ใหม่ของแต่ละ Sub-brand เพื่อลงแข่งขันครองความเป็นผู้นำบ้านเดี่ยว  โครงการแนวสูง: เปิดใหม่ 3 โครงการ รวมมูลค่า 10,000 ล้านบาท  ปีนี้ SC พร้อมลุยตลาดแนวสูง ส่ง 3 โครงการไฮไลท์ของปีลงแข่งขัน คือ เปิดตัวแบรนด์ใหม่ เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ เน้นพัฒนาพื้นที่ส่วนกลางที่เป็นส่วนหนึ่งของ Living Solutions เพื่อประสบการณ์การพักอาศัยที่ดีขึ้น ในสังคมที่เน้นความยั่งยืน บน 2 ทำเลศักยภาพ ได้แก่ ย่านรัชดา-พระราม 9 ใกล้ MRT ศูนย์วัฒนธรรม มูลค่าโครงการ 5,500 ล้านบาท ราคาเริ่ม 2 ล้านต้น ซึ่งเป็น Segment ใหม่ของ SC ทำเลแห่งที่สองคือ เกษตร-ศรีปทุม ตรงข้ามมหาวิทยาลัยศรีปทุม ติดรถไฟฟ้า 0 เมตร มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท เน้นงานดีไซน์และการออกแบบพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อคนเมือง รุ่นใหม่ คอนโด SCOPE ประสานมิตร เจาะกลุ่มลูกค้า International Premium ที่ให้ความสำคัญกับทั้งคุณภาพและดีไซน์  ในระดับ World-class  ใช้ชีวิตในแบบ "Live the Finest Life" หรือชีวิตที่สุขสบายและสวยงามพร้อมไปด้วยบริการระดับ Premium ราคาเริ่มต้น 35 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 2,600 ล้านบาท นอกจากการมุ่งพัฒนาสินค้าบ้านและคอนโดมิเนียมคุณภาพสูงที่มีฟังก์ชั่นตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยแล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมา SC ยังคงสานต่อการสรรหาและคิดค้นนวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยีในการส่งมอบ Living Solutions แก้ไขปัญหาชีวิตประจำวัน เพื่อลูกค้าจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยแผนในปี 2566 คือ ติดตั้งชุดเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยในบ้านและคอนโด ทั้งหมด 24 รายการ  ให้กับลูกค้า SC Asset ตามเป้าหมายคือไม่ต่ำกว่า 5,000 ครัวเรือนในปี 2566  เปิดตัว Morning Coin เชื่อมต่อลูกค้ากับโลกแห่งสิทธิพิเศษแบบเหนือชั้น ด้วยนวัตกรรม Blockchain โดยมีเป้าหมายเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สะดวกสบายมากขึ้น และมีความมั่นใจปลอดภัยในคอมมูนิตี้ที่ดีของ “รู้ใจคลับ” พร้อมใช้งานกลางปี 2566 นี้ พนักงาน พนักงาน SC เจริญก้าวหน้า ได้ทำงานที่สร้างคุณค่า ปลดปล่อยศักยภาพได้อย่างเต็มที่ SC ให้ความสำคัญกับการลงทุนในทรัพยากรบุคคลเสมอมา เพราะบุคลากรในองค์กร คือ หัวใจสำคัญที่จะทำให้องค์กรเติบโตได้อย่างยั่งยืน  โดย SC ลงทุนใน Infrastructure ต่าง ๆ เชื่อมต่อระบบฐานข้อมูลต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ ทำให้ลดเวลาในการทำงาน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน รองรับการเติบโตของธุรกิจ สร้างประสบการณ์ให้พนักงานมากกว่าแค่การทำงานรูปแบบเดิม ๆ มีการใช้ Morning Coin และระบบการสะสม NFTs ด้วยเทคโนโลยี Blockchain เพื่อคนทำงานได้พัฒนาตนเอง ปลดปล่อยศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ทำงานอย่างมีคุณค่า มีความภาคภูมิใจพร้อมเติบโตไปกับองค์กร พร้อมใช้งานมีนาคมนี้  เปิดตัว “Inside SC” บอกเล่าเรื่องราวในองค์กรเพื่อการสรรหาบุคลากรที่มีศักยภาพมาร่วมงานกับ SC อย่างยั่งยืน คว้ารางวัลอันดับที่ 17 จาก 50 องค์กรที่ทำงานในฝัน โดยเป็นอันดับหนึ่ง ในบริษัทอสังหาฯ จัดโดย WorkVenture  สิ่งแวดล้อม SC ประกาศพันธกิจ #SCeroMission ดำเนินธุรกิจเพื่อดูแลให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น ก๊าซเรือนกระจกลดลง ตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ คิดค้นนวัตกรรม และการจับมือร่วมกับคู่ค้าชั้นนำ ที่มีแนวคิดในการมุ่งลดก๊าซเรือนกระจก ครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการ ออกแบบ สร้าง ใช้ ตั้งแต่ต้นน้ำจนปลายน้ำ ภายใต้ 8 ภารกิจย่อย  SC ตั้งเป้าหมายลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 25% ภายในปี 2573   ตั้งแต่ปลายปี 2565 ได้มีการตั้งทีมพัฒนาการออกแบบ SC #บ้านLowCarbon ด้วยการทำการวิจัยจำลองการใช้พลังงานของบ้านพักอาศัย ร่วมกับคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง สาขาวิชาสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งมอบสินค้าที่อยู่อาศัยที่ลดการทำร้ายโลก ลดปริมาณการใช้พลังงาน ลดค่าใช้จ่าย เพื่อสุขภาพกายใจที่ดีขึ้นของลูกค้าในอนาคต องค์กร องค์กรเติบโต จากหลากหลายเครื่องยนต์ธุรกิจ ทั้งบนธุรกิจหลัก Engine1 และธุรกิจ Engine2 ที่สร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง (Recurring Income) พร้อมตั้งเป้าเพิ่มการลงทุนอย่างต่อเนื่องทุกปี  สำหรับแผนธุรกิจในปี 2566 SC มีการตั้งเป้าหมายตัวเลขสำคัญต่างๆดังนี้ โตต่อเนื่องด้วยยอดขาย 30,000 ล้านบาท เติบโต 23% โดยแบ่งเป็น โครงการเพื่อขายแนวราบ 65% และโครงการเพื่อขายแนวสูง 35% สร้างรายได้รวม 25,000 ล้านบาท เติบโต 16% ทั้งจาก โครงการเพื่อขาย และธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ในสัดส่วน 95 : 5 ตามลำดับ มูลค่าการลงทุนทั้งหมด 25,000 ล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วนการลงทุน 80% โครงการเพื่อขายแนวราบ แนวสูง และ 20% ในธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ และเพื่อให้องค์กรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และยั่งยืน SC วางแผนเพิ่มการลงทุน และเริ่มดำเนินธุรกิจที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income) เปิดตัวโรงแรม YANH ราชวัตร รับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกภายใต้คอนเซ็ปต์ “Workcation Hotel” รองรับวิถี Remote Working ที่ยังเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเทศไทยหลัง โควิด-19 พร้อมเปิดให้เข้าพักแล้วในเดือนมีนาคม 2566  พัฒนาแบรนด์โรงแรมใหม่ บนถนนสุขุมวิท 29 มูลค่าการลงทุน 2,500 ล้านบาท และยังมีแผนในการขยายธุรกิจโรงแรมในทำเลพัทยา เพื่อไปให้ถึงเป้ารวมจำนวน 1,000 keys ปัจจุบัน SC บริหารพื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่า มีพื้นที่รวมกันถึง 120,000 ตร.ม.   หลังจากการประกาศความร่วมมือกับบริษัท Flash Express ไปเมื่อปี 2565 SC วางแผนขยายธุรกิจคลังสินค้าโดยตั้งเป้าหมายพัฒนาพื้นที่ Warehouse ให้ได้ 1,000,000 ตร.ม. ภายในปี 2573  SC Thriving Beyond คือเส้นทางการเติบโตอย่างยั่งยืนใน 5 ปีนี้ของ SC โดยหัวใจสำคัญ คือการสร้างคุณค่า เพื่อเติบโต “ร่วมกัน” ไปกับสิ่งแวดล้อม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในธุรกิจของ SC คุณค่าจะกลับมาสร้างกำไรให้องค์กร และกำไรจะกลับไปสร้างคุณค่าให้ผู้คนรอบข้าง ต่อเนื่องอย่างยั่งยืน อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอสซี แอสเสท ตุนยอดขาย 6 เดือนกว่า 11,500 ล้าน เตรียมเปิด 15 โปรเจ็กต์ใหม่ดันเป้ารายได้
นิปปอนเพนต์  เร่งแก้ 2 โจทย์ธุรกิจ  ปูทางสู่เบอร์ 1 ตลาดสี

นิปปอนเพนต์ เร่งแก้ 2 โจทย์ธุรกิจ ปูทางสู่เบอร์ 1 ตลาดสี

นิปปอนเพนต์ เดินหน้าแก้ 2 โจทย์ทางธุรกิจ การวางกลยุทธ์ที่ถูกต้อง การรับมือการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม ด้วยยุทธศาสตร์ “Inspired by you” กับแนวคิด “3C” ไขความพร้อมสู่การชนะใจลูกค้าหวังสร้างยอดขายเติบโต เพิ่มส่วนแบ่งการตลาดกลุ่มสีทาอาคาร ดันให้ภาพรวมขึ้นแท่นเบอร์ 1 ตามบริษัทแม่ หลังปีที่ผ่านมา​โชว์ผลงานสร้างประวัติศาสตร์​ ทำยอดขายสูงสุด ตั้งแต่ดำเนินธุรกิจในไทย     นิปปอนเพนต์ แบรนด์สีจากประเทศญี่ปุ่นที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยแล้วกว่า 56 ปี ถ้าเทียบอันดับในตลาดเอเชีย แบรนด์นิปปอนเพนต์ ถือว่าเป็นแบรนด์อันดับ 1 ติดต่อ 7 ปี มียอดขายล่าสุดปี 2563 จำนวน ​8,460 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นส่วนแบ่ง 20% ในตลาดสีของเอเชีย และยังเป็น​อันดับ 4 ของตลาดโลกด้วย ที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป และกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ที่ต้องใช้สี แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว ปัจจุบันแบรนด์นิปปอนเพนต์ ยังไม่ได้ครองใจผู้บริโภค หรือกลุ่มธุรกิจ จนมียอดขายเป็นเบอร์ 1 ทั้ง ๆ ที่มีความพร้อมในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเทคโนโลยี สินค้า หรือการสนับสนุนจากบริษัทแม่ แก้ 2 โจทย์ธุรกิจ สู่เบอร์ 1 ​นายวัชระ ศิริฤทธิชัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด  ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสีนิปปอนเพนต์ ในประเทศไทย เปิดเผยว่า สาเหตุสำคัญที่ปัจจุบันยอดขายของสีนิปปอนเพนต์ในประเทศไทย ไม่เป็นอันดับ 1 เหมือนในตลาดเอเชียมี 2 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.การวางกลยุทธ์ทำธุรกิจไม่ถูกต้อง ในอดีตเมื่อ 20 ปีก่อนเคยวางกลยุทธ์การทำตลาดที่ถูกต้องมาก่อน จนสามารถครองยอดขายอันดับ 1 ได้ แต่จากกลยุทธ์ทางธุรกิจไม่ถูกต้องกับสภาพทางการตลาด ทำให้ยอดขายลดลงมาอย่างต่อเนื่อง 2.การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม จากการเปลี่ยนแปลงทางการตลาดที่มีมาอย่างต่อเนื่อง โดยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ทำให้รูปแบบการตลาดของเจ้าของสินค้าต้องปรับเปลี่ยนตาม ซึ่งช่วงที่ผ่านมาการเปลี่ยนแปลงสำคัญ คือ ช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า อย่างช่องทางโมเดิร์นเทรด เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการซื้อสินค้า เดิมผู้บริโภคนิยมซื้อสินค้าผ่านช่องทางตัวแทนจำหน่าย แต่การขยายตัวของร้านโมเดิร์นเทรด ทำให้ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางนี้มากขึ้น ทำให้สีนิปปอนเพนต์ที่มีช่องทางหลัก คือ ร้านค้าตัวแทนจำหน่าย ต้องสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดให้กับคู่แข่ง ที่เข้าไปขายผ่านช่องทางร้านโมเดิร์นเทรด   อย่างไรก็ตาม สีนิปปอนเพนต์ ได้พยายามปรับกลยุทธ์และวิธีการทำตลาดมากขึ้น เพื่อให้ได้ส่วนแบ่งทางการตลาดกลับมาเพิ่มมากขึ้น และก้าวสู่เป็นเบอร์ 1 ในทุกกลุ่มสี โดยเฉพาะการผลักดันกลุ่มสีทาบ้านและอาคาร ที่ปัจจุบันสีนิปปอนเพนต์มีส่วนแบ่งทางตลาดในทุกผลิตภัณฑ์สี อาทิ สีทาอาคาร สีรถยนต์ และสีอุตสาหกรรม เป็นอันดับ  2 ​ ด้วยยอดขายเกือบ 10,000 ล้านบาท   แต่หากเป็นตลาดเฉพาะกลุ่มสีทาบ้านและอาคารและโรงงาน ปี 2564 มีมูลค่าตลาดรวม 24,000 ล้านบาท นิปปอนเพนต์มีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ ​ 4 หรือคิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดเป็น 7%  ขณะที่ผู้นำตลาดเบอร์ 1  มีส่วนแบ่งตลาด 50% สำหรับภาพรวมตลาดสีทาบ้านและอาคารในปี 2565 น่าจะมีอัตราการเติบโต​ 12.5%  คิดเป็นมูลค่า 27,000 ล้านบาท ปัจจัยส่งเสริมให้ตลาดเติบโตมาจาก นโยบายภาครัฐที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการใช้เพิ่มมากขึ้น การปรับปรุงซ่อมแซมบ้านของผู้บริโภค และราคาสินค้าที่ปรับเพิ่มขึ้นจากภาวะต้นทุนที่เพิ่มขึ้น   ปีที่ผ่ามานิปปอนเพนต์มีรายได้กลุ่มสีทาบ้านและอาคาร 1,800 ล้านบาท ปี 2566 นี้ตั้งเป้าเพิ่มรายได้เป็น 2,170 ล้านบาท หรือเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดเป็น 9-10% และบริษัทพยายามผลักดันส่วนแบ่งยอดขายกลุ่มสีทาบ้านและอาคารเพิ่มขึ้นเป็น 15% ภายใน 3-5 ปี เพื่อจะขยับจากอันดับ 4 ขึ้นมาเป็นอันดับ 2  ซึ่งจะส่งผลให้ภาพรวมของสีนิปปอนเพนต์ในทุกตลาดสีขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ให้ได้ภายใน 3-5 ปีด้วย ​​ โดยปัจจุบันตลาดสีรวมทุกผลิตภัณฑ์มีมูลค่ารวม ​ 50,000 ล้านบาท ตลอดระยะเวลา 56 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่เราทำได้ไม่ดี คือ เราไม่ปรับตัว เราเริ่มมาปรับตัวได้ดีขึ้นในช่วง 4-5 ปีส่งผลให้ปีที่แล้วมีการเติบโตกว่า 30% สูงสุดนับตั้งแต่ทำธุรกิจในไทย ​โดยมีการพัฒนาช่องทางตัวแทนจำหน่ายให้เติบโตคู่กับช่องทางโมเดิร์นเทรด  การพัฒนาและเพิ่มช่องทางใหม่ๆ เช่นออนไลน์ 3C ยุทธศาสตร์ทำตลาดปี 66 สำหรับกลยุทธ์ในการทำตลาด และเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ สีนิปปอนเพนต์จะใช้ยุทธศาสตร์เดินหน้า “Inspired by you” กับแนวคิด “3C” ได้แก่ Customer Centric-Customized Solution-Concrete Innovation ชูกลยุทธ์การตลาดครบเครื่อง ยกระดับความมั่นใจ พร้อมตอบโจทย์ทุกปัญหาและความต้องการของลูกค้าทั้งกลุ่ม B2B และ B2C   โดยนายณรงค์ฤทธิ์ มาลัยนวล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กล่าวว่า กลยุทธ์การทำตลาดของนิปปอนเพนต์ในปี 2566 นี้ บริษัทยังคงเน้นเดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสีทาบ้านและอาคาร หรือ The Coatings Expert ผ่าน Inspired by you กับแนวคิด “3C” ได้แก่ Customer Centric ตามปณิธานขององค์กร การยึดความต้องการของลูกค้าเพื่อเข้าใจ แก้ไขและป้องกันปัญหาสี เป็นสิ่งสำคัญ โดยนิปปอนเพนต์ต้องการสร้างความแตกต่าง เพื่อสร้างความประทับใจ การจดจำ และการบอกต่อถึงความเอาใจใส่ Customized Solution “เพราะความใส่ใจทำให้เราเชี่ยวชาญ” การศึกษาเพื่อให้เข้าใจถึงความต้องการลูกค้าแต่ละบุคคล แต่ละองค์กรอย่างถ่องแท้ พร้อมนำเสนอ Solution ที่เหมาะสมและตอบโจทย์ผ่านความเชี่ยวชาญที่นิปปอนเพนต์มีเสมอมาอย่างมากที่สุด เพื่อแก้ไขและป้องกันปัญหาสี Concrete Innovation การเดินหน้าคิดค้น วิจัยและพัฒนาเพื่อนำเสนอนวัตกรรมในทุกผลิตภัณฑ์สีอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อสิ่งใหม่ที่สร้างประโยชน์ แก้ปัญหาและป้องกันได้จริง สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา   นายณรงค์ฤทธิ์  กล่าวอีกว่า นิปปอนเพนต์เน้นการสร้าง Engagement กับลูกค้าในทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ผู้รับเหมา ช่างสี ฯลฯ รวมไปถึงโมเดิร์นเทรด หรือดีลเลอร์ และเพื่อรองรับดีมานด์ที่เกิดขึ้นในทุกๆกลุ่ม ในปีนี้จะเห็นการนำเสนอนวัตกรรมออกสู่ตลาดทั้งในกลุ่มสินค้าสีทาพื้น  ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 500 ล้านบาทมีการเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่มีผู้ประกอบการรายใหญ่เพียงไม่กี่รายจึงเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก  รวมทั้งยังมีแผนนำสินค้าที่เป็นเรือธงออกมาทำตลาดเพิ่มขึ้นในอนาคตด้วย ​ ปี 2566 ถือเป็นปีที่มีความท้าทายอย่างมากสำหรับนิปปอนเพนต์ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะเริ่มส่งสัญญาณดีขึ้น จากปัจจัยบวก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริโภคในประเทศ และภาคท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมาคึกคักขึ้น หลังจีนเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวออกเดินทางท่องเที่ยวได้ ทำให้โรงแรม ร้านอาหาร สถานบันเทิงต่างๆ ต้องปรับปรุงตกแต่งอาคาร ร้านค้า เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามา   นอกจากนี้กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนยังมีความต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทย ทำให้คาดการณ์ว่า ตลาดคอนโดมิเนียมจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง อีกปัจจัยบวกคือการย้ายฐานการผลิตมาอยู่ในประเทศไทย ของผู้ประกอบการรายใหญ่ ทำให้เกิดการจ้างงานจำนวนมากและการใช้จ่ายที่จะตามมาในอนาคต ขณะที่ปัจจัยลบที่ต้องจับตามองคือ การเลือกตั้ง ซึ่งยังต้องรอดูนโยบายใหม่ของรัฐบาลว่าจะเดินหน้าอย่างไร   นายณรงค์ฤทธิ์  กล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้บริษัทยังมีความเชื่อมั่นว่าภาพรวมของเศรษฐกิจจะกลับมาดีขึ้น จากภาคการผลิตและภาคท่องเที่ยว โดยเฉพาะการเข้ามาของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งนิยมซื้ออาคารสูงในไทยจะส่งผลให้ตลาดอาคารสูงกลับมาคึกคักและเดินหน้าก่อสร้างเพิ่มขึ้น ทำให้ตลาดสีทาบ้านและอาคารกลับมาเติบโตเพิ่มขึ้น ส่งผลให้นิปปอนเพนต์เองเติบโตตามไปด้วย โดยภาพรวมในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเติบโตเพิ่มขึ้น 25% พร้อมกับมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นและกลายเป็นผู้นำตลาดในที่สุด   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -นิปปอนเพนต์ ออกสีใหม่ “เวเธอร์บอนด์” สู้ตลาด 2 หมื่นล้านหดตัว 15%
วัน แบงค็อก  เตรียมเปิดเฟสแรก Q1/2567  กับ 8 ประสบการณ์ Urbanverse กว่า 1.2 แสนล้าน

วัน แบงค็อก เตรียมเปิดเฟสแรก Q1/2567 กับ 8 ประสบการณ์ Urbanverse กว่า 1.2 แสนล้าน

วัน แบงค็อก เตรียมเปิดเฟสแรก ไตรมาส 1 ปี 2567 พร้อมเดินหน้าพัฒนาโปรเจ็กต์มูลค่ากว่า 120,000 ล้าน ให้สมบูรณ์ ภายใต้แนวคิด “จักรวาลของชีวิตเมือง” (Urbanverse) มิติของการใช้ชีวิตที่หลากหลาย เชื่อมย่านพระราม 4 กับเมือง ด้วย 8 ประสบการณ์ใหม่     วัน แบงค็อก โครงการอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ มูลค่ากว่า 120,000 ล้านบาท  ที่พัฒนาโดย บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ทส์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด กำหนดแผนการเปิดให้บริการเฟสที่หนึ่ง ในช่วงไตรมาสแรกปี 2567 นี้แล้ว นายปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด เปิดเผยว่า  จากจุดเริ่มต้น บนถนน ถนนพระราม 4 ซึ่งเป็นย่านการค้าที่สำคัญ มีประวัติศาสตร์ และวัฒนธรรมมาอย่างยาวนาน เปี่ยมไปด้วยศักยภาพทางด้านเศรษฐกิจ  ด้วยเหตุนี้ ทางบริษัทจึงเข้ามาพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งบนถนนพระราม 4 เริ่มตั้งแต่ สามย่าน มิตรทาวน์ สีลม เอจ เดอะ ปาร์ค เอฟวายไอ เซ็นเตอร์  รวมถึงศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ โดยโครงการ วัน แบงค็อก จะเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่มาเติมเต็มย่านพระราม 4 ให้เป็นจุดยุทธศาสตร์ทางเศรษฐกิจที่สมบูรณ์แบบ และมีส่วนช่วยผลักดันให้กรุงเทพฯ กลายเป็นศูนย์กลางทางการค้าระดับนานาชาติ ดึงดูดนักธุรกิจ นักลงทุน และนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก โครงการวัน แบงค็อก ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อขับเคลื่อนกรุงเทพฯ (Evolving Bangkok) สร้างโครงการระดับโลก ด้วยการนำคุณค่าและเสน่ห์ของกรุงเทพฯ ในอดีตมาพัฒนาเพื่อสร้างพื้นที่พระราม 4 ให้เป็นย่านแห่งใหม่ บนแนวคิด 4 แกนหลัก เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตคนเมือง  ดังนี้ Being the Movement: ขับเคลื่อนเมืองและนำความก้าวหน้ามาพัฒนาไปพร้อมกับกรุงเทพฯ เพื่อคุณภาพชีวิตของคนเมือง Amplify Bangkok’s Values: ความเป็นที่สุดแห่งคุณค่าและเสน่ห์ของกรุงเทพฯ ที่สั่งสมมานับศตวรรษมาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบพื้นที่ต่างๆ Redefine the Cityscape: เป็นหมุดหมายสำคัญที่จะพลิกโฉมเมือง ด้วยการพัฒนาย่านพระราม 4 ให้เป็นแกนกลางใหม่ของเมือง ที่มีชีวิตชีวาอยู่เสมอ Empower Life in Smart and Sustainable Ecosystem: ให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐาน การจัดการระบบข้อมูล และเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบาย ตอบโจทย์การใช้ชีวิต พร้อมดูแลสิ่งแวดล้อม เพื่อเติบโตไปพร้อมกับกรุงเทพฯอย่างยั่งยืน   วัน แบงค็อก พัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซปต์ “จักรวาลของชีวิตเมือง” (Urbanverse) มิติของการใช้ชีวิตที่หลากหลาย เชื่อมย่านพระราม 4 กับเมือง ไม่เพียงแต่เชิงกายภาพเท่านั้น หากยังเชื่อมโยง ส่งเสริม ร่วมมือ และเติมเต็มศักยภาพให้กับย่านอื่นๆ ของกรุงเทพฯ เพื่อให้เกิดพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงของเมืองและสร้างประโยชน์ให้กับผู้คนและเกิดประสบการณ์ที่หลากหลาย 8 ประสบการณ์ใหม่ ในวัน แบงค็อก จักรวาลชีวิตเมืองใน วัน แบงค็อก มอบประสบการณ์ใหม่ 8 ส่วน ประกอบด้วย   ประสบการณ์แห่งโลกธุรกิจ (Workplace): อาคารสำนักงานที่เพรียบพร้อมด้วยระบบเทคโนโลยีที่ล้ำสมัย ส่งเสริมคุณภาพชีวิตของคนทำงาน และความสะดวกสบายที่ช่วยพาธุรกิจให้ขับเคลื่อนไปข้างหน้า ประสบการณ์แห่งโลกไลฟ์สไตล์ (Retail): ประสบการณ์ใหม่แห่งการช้อปปิ้งที่สร้างสรรค์ขึ้นจากเสน่ห์ที่หลากหลายของกรุงเทพฯบนแนวคิดและการออกแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ประสบการณ์แห่งนิทรรศการและการแสดงระดับโลก (Live Entertainment Arena): พื้นที่จัดการประชุม นิทรรศการ งานแสดงระดับโลก ที่ได้มาตรฐานระดับสากล ประสบการณ์แห่งการบริการที่ดีที่สุดสำหรับการพักผ่อนและธุรกิจ (Hotels): โรงแรมระดับโลก อันเป็นจุดหมายปลายทางชั้นนำของนักท่องเที่ยวและนักธุรกิจที่มองหาบริการระดับสากล แต่ยังคงเอกลักษณ์ของความเป็นไทย ประสบการณ์เหนือระดับของการอยู่อาศัย (Residences): ที่พักอาศัยระดับลักซ์ชัวรี่บนทำเลที่ดีที่สุดใจกลางกรุงเทพฯ ครบครันด้วยคุณค่าการใช้ชีวิตเหนือระดับ ประสบการณ์แห่งศิลปะและวัฒนธรรม (Art & Culture): แหล่งรวมโปรแกรมทางศิลปะและวัฒนธรรมที่สร้างสีสันให้กับชีวิตในทุกวันของทุกคนผ่านพื้นที่ที่เชื่อมโยงผลงาน ศิลปะสาธารณะ  และพื้นที่แห่งการเรียนรู้และความคิดสร้างสรรค์ (Art Loop) ประสบการณ์บนพื้นที่สีเขียวและพื้นที่เปิดโล่ง (Public Realm):พื้นที่เปิดโล่งและพื้นที่สีเขียว มากกว่า 50 ไร่ ที่ทุกคนสามารถเข้าถึงได้ ออกแบบให้เป็นจุดพักผ่อนใจกลางเมืองและเป็นพื้นที่กิจกรรมและสันทนาการของเมือง เชื่อมระหว่างสวนลุมพินี และสวนเบญจกิติ ประสบการณ์เมืองอัจฉริยะแบบยั่งยืน (Smart City with Sustainable Infrastructure): โครงสร้างพื้นฐานแห่งเมืองอัจฉริยะที่เพียบพร้อมด้วยเทคโนโลยีเพื่อความสะดวกสบายในการใช้ชีวิตและส่งเสริมเมืองอย่างยั่งยืนทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม โครงการวัน แบงค็อก มุ่งสู่การรับรองโดยมาตรฐาน LEED for Neighbourhood Development ระดับ Platinum แห่งแรกในประเทศไทย และมาตรฐานรับรองอาคาร WELL เพื่อสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัยและผู้ใช้อาคาร ตลอดจนตั้งเป้าสู่การรับรองมาตรฐาน WiredScore และ SmartScore สำหรับกลุ่มอาคารสำนักงานแห่งแรก ที่มีระบบเทคโนโลยีอัจฉริยะแห่งอนาคตที่ดีที่สุด เพื่อให้ผู้อาศัยในอาคารได้รับประสบการณ์สุดพิเศษ อีกทั้งยังช่วยประหยัดพลังงาน เพื่อความคุ้มค่าในอนาคต   โดยล่าสุด โครงการวัน แบงค็อก ได้คว้า 2 รางวัลอันทรงเกียรติจากเวทีระดับเอเชีย คือ Best Landmark Mixed-Use Development (Asia) โดยถือเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ไทยรายแรกที่ได้รับรางวัลนี้  และรางวัล Best Office Development (Thailand) สำหรับอาคารสำนักงาน Tower 4 จากเวทีประกาศผลรางวัล PropertyGuru Asia Property Awards Grand Final 2022 ที่ผ่านมา   เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสู่การเปิดโครงการฯ วัน แบงค็อก ได้วางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดเชิงรุกอย่างเข้มข้นตลอดทั้งปี โดยจะมีแบรนด์เเคมเปญชูภาพลักษณ์ที่มีสีสัน ตอบรับทุกไลฟ์สไตล์ เข้าถึงง่าย เพื่อตอกย้ำแนวคิดของโครงการฯ ตลอดจนการผนึกกำลังกับพันธมิตรทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อนำกรุงเทพฯไปสู่ความก้าวหน้าร่วมกันอย่างยั่งยืน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -“วัน แบงค็อก” ดึง 6 ผู้รับเหมาพัฒนาเฟสแรก พื้นที่ 1.3 ล้านตร.ม.เสร็จใช้ปี 66
เอเชียทีค  ทศวรรษที่ 2 ไม่เหมือนเดิม  ดึงดิสนีย์ จัดอีเวนต์ ฉลอง 100 ปี​

เอเชียทีค ทศวรรษที่ 2 ไม่เหมือนเดิม ดึงดิสนีย์ จัดอีเวนต์ ฉลอง 100 ปี​

เอเชียทีค ทศวรรษที่ 2 ที่ไม่เหมือนเดิม AWC ทุ่ม 800 ล้าน ปรับโฉมใหม่ All Day Everyday Happiness เพิ่มเติม กิน-ชม-ช้อป ได้ทั้งวันทั้งคืน แถมผนึก ดีสนีย์ ฉลองครบรอบ 100 ปี ดึงตัวการ์ตูน มาเอาใจเด็กและครอบครัวคนไทย เริ่ม 24 มี.ค.ถึง 31 ก.ค.66 นี้   เผลอแป๊ปเดียว เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ของบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC  ที่มีนางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริหารงาน ก็ก้าวย่างมาครบ 10 ปีแล้ว ซึ่งถือว่า เอเชียทีค กลายเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญด้านการท่องเที่ยวแนวไลฟ์สไตล์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใหญ่ที่สุดในไทย เป็นที่ชื่นชอบชองชาวต่างชาติที่ต้องมาช็อปปิ้ง กินดื่ม ชมการแสดงหรือสถานที่ซึ่งมีประวัติศาสตร์มายาวนาน นับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นท่าเรือขนส่งสินค้าแห่งแรกของไทย   โดยแผนพัฒนาโครงการเอเชียทีค ของ AWC จะพัฒนาไปสู่โครงการระดับ เมกะโปรเจ็กต์ ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งโครงการใหญ่อย่างเช่น อาคารสูง 100 ชั้น ที่ประกอบไปด้วยโรงแรมระดับ 6 ดาว 3 แบรนด์ทั้ง ริทซ์-คาร์ลตัน รีเซิร์ฟ, เจดับบลิว แมริออท มาร์คีส์  และโรงแรมออโตกราฟ   นอกจากนี้ ยังจะมีพื้นที่รีเทล และออฟฟิศตามมาด้วย ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกแบบให้ลงตัว คาดว่าภายในอีก 4-5 ปีเราจะได้เห็นภาพของเมกะโปรเจ็กต์แห่งนี้ชัดเจนขึ้น ซึ่งมูลค่าโครงการคงหลายหมื่นล้านบาทแน่นอน   แต่สำหรับการก้าวสู่ทศวรรษที่ 2 ของเอเชียทีค ได้มีความเปลี่ยนแปลง และรูปแบบการให้บริการที่แตกต่างออกไปจากช่วงทศวรรษแรก ซึ่งทาง AWC มีการทุ่มงบประมาณ​ 800 ล้านบาท เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า ซึ่งจะไม่ได้เน้นกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเท่านั้น แต่จะรวมถึงกลุ่มคนไทยด้วย ซึ่งมี 7 ไฮไลท์สำคัญของการก้าวสู่ทศวรรที่ 2 ดังนี้ 7 ไฮไลท์ ที่เปลี่ยนใหม่ของ เอเชียทีค 1.กิน-ชม-ชอป ได้ทั้งวันทั้งคืน การเปลี่ยนแปลงอย่างแรกของเอชียทีค คือ การเปิดบริการตั้งแต่เวลา 10.00 น. ไปจนถึงเที่ยงคืน เพื่อให้ลูกค้ามาใช้เวลาและสร้างประสบการณ์ได้ตลอดทั้งวัน จากเดิมที่เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่ช่วงเวลา 16.00 น. เท่านั้น 2.ผนึก ดิสนีย์ ฉลอง 100 ปี เอาใจกลุ่มครอบครัว สิ่งที่น่าจะเรียกความตื่นเต้นครั้งใหญ่ของปีนี้ สำหรับเอเชียทีค ก็คงเป็นการดึงเอา ดีสนีย์ มาร่วมฉลองวาระ 100 ปี กับ DISNEY100 VILLAGE ที่จะจัดพื้นที่ POP EVENT และ Exhibition ตั้งแต่วันที่ 24 มี.ค.ถึง 31 ก.ค.66 ซึ่งจะมีตัวละครจาก Disney, Pixar, Marvel และ Star Wars มาสร้างประสบการณ์การและเรื่องราวต่าง ๆ ให้คนทั้งครอบครัวได้มีส่วนร่วม บางพื้นที่จัดแสดงจะมีการขายบัตร และบางพื้นที่แสดงจะให้เข้าชมฟรี ซึ่งราคาจะประกาศอีกครั้งหนึ่ง 3.ปรับฐานลูกค้าจับทั้งไทย-เทศ เดิมการทำตลาดและกลุ่มเป้าหมายหลักของเอเชียทีค คือ กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ แต่หลังจากนี้จะหันมาขยายฐานลูกค้าเพิ่มมากขึ้น ด้วยการจับกลุ่มเป้าหมายคนไทย เพื่อเพิ่มทราฟิกการเข้ามาใช้บริการ ซึ่งสิ่งต่าง ๆ ที่เอเชียทีคจะปรับปรุงพัฒนาพื้นที่ การเพิ่มกิจกรรม การมีร้านอาหารชั้นนำมาเปิดให้บริการ จะช่วยทำให้ขยายฐานลูกค้าคนไทยได้มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันมีกลุ่มลูกค้าเข้ามาใช้บริการทั้งหมดวันละประมาณ​20,000 คน จากก่อนหน้ามีประมาณ 50,000 คนในช่วงวันหยุด แต่หลังจากปรับคอนเซ็ปต์ใหม่ทั้งหมดแล้ว คาดว่าจะเพิ่มจำนวนเป็น 60,000-80,000 คนต่อวัน 4.ดึงบิ๊กซี เปิดซูเปอร์มาร์เก็ต เอาใจชาวจีน ถ้าพูดถึงห้างค้าปลีกขวัญใจคนจีน และคนในอาเซียน ต้องยกให้กับ บิ๊กซี โดยเฉพาะสาขาราชดำริ  ที่สามารถครองใจนักท่องเที่ยวให้เข้ามาช้อปปิ้ง ซื้อของฝากกลับประเทศของตนเองได้อย่างมากมาย แต่ละวันมีคณะทัวร์นั่งรถบัสมาไม่รู้กี่คันต่อกี่คัน ทำให้ เอเชียทีค ดึงเอาบิ๊กซีเข้ามาเปิดให้บริการในพื้นที่ด้วย ในขนาด 2,000 ตารางเมตร เพื่อเอาใจกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน และอาเซียน ที่ชื่นชอบซื้อสินค้าไทยได้ในที่เดียว และยังจะเอาบรรดาร้านค้าของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยวไปไว้ในพื้นที่เดียวกันกับบิ๊กซีอีกด้วย 5.กิน-ดื่มร้านอร่อยทั่วไทย อีกโซนไฮไลท์ที่จะต้องมี คือ การสร้างประสบการณ์ด้านอาหาร ซึ่งงานนี้เอเชียทีค วางแผนรวมเอาร้านอาหารอร่อยทั่วกรุงเทพฯ และในแต่ละภาคมาไว้ในพื้นที่เดียวกัน รวมถึงร้านสตรีทฟู้ดที่มีชื่อเสียง และมีรายการอาหารไม่ซ้ำกันด้วย ยกเว้น ร้านผัดไทย จะมี 2 ร้านเพราะรูปแบบแตกต่างกัน ซึ่งจะอยู่ในพื้นที่ของโกดัง 1 และ 2 ตอนนี้มีร้านค้าต่าง ๆ ที่ผ่านการคัดเลือกรอบแรกแล้ว 236 ราย ซึ่งจัดคัดเลือกเฉพาะร้านเด็ดร้านดังอีกครั้ง   นอกจากนี้ ในส่วนการบริหารงานของ AWC ก็ยังมีพื้นที่ของร้านอาหารและเครื่องดื่มบริการในส่าวนต่างๆ  อาทิ เรือสิริมหรรณพ ห้องอาหรเดอะคริสตัลล์กริลล์เฮาส์ เป็นต้น 6.ปรับแหล่งช้อปปิ้ง สู่ LIFELSTYLE MARKET ส่วนการดึงกลุ่มลูกค้าชาวไทย AWC เตรียมปรับพื้นที่การช้อปปิ้งจากเดิมที่มีแต่ร้านขายของที่ระลึกสำหรับชาวต่างชาติ มาสู่พื้นที่ LIFELSTYLE MARKET ที่ได้ร่วมกับ Mad Face และ Made by Legacy  ซึ่งจะมีพื้นที่ขายของและโซนใหม่สำหรับคนไทย ทั้งของแต่งบ้านและสวน ของวินเทจ หรือของสำหรับคนรักสัตว์ต่าง ๆ ให้มาใช้ชีวิตได้ตลอดทั้งวันทั้งคืน โดยพื้นที่ขายทั้งหมดได้ขยายเพิ่มขึ้นเป็น 50,000 ตารางเมตร จากเดิมที่มีพื้นที่ขายรวมอยู่ประมาณ 40,000 ตารางเมตร รวมถึงการจัดกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดทั้งปีด้วย​ 7.ปรับพื้นที่ให้อยู่ได้ทั้งวันทั้งคืน นอกจากสร้างกิจกรรม การดึงร้านอาหารชั้นนำ และไฮไลท์สำคัญเข้ามาในพื้นที่เอเชียทีคแล้ว สถานที่ของเอเชียทีค ทาง AWC ยังได้ปรับปรุงให้มีบรรยากาศน่าเดินเล่น และเข้ามาพักผ่อน ด้วยการเพิ่มพื้นที่สีเขียว ทั้งดอกไม้และต้นไม้ รวมถึงการทำให้อากาศภายในเอเชียทีคเย็นสบาย เพื่อให้คนได้เดินช้อปปิ้งได้ในช่วงเวลากลางวัน ตามคอมเซ็ปต์ All Day Everyday Happiness ถ้าจะเราเป็น All Day Everyday Happiness เราต้องมีการปรับปรุงพื้นที่ ใส่ดอกไม้ในพื้นที่ เเพิ่มพื้นที่กันแดดกันฝน และการทำให้ลมโฟลว์ ทั้งโครงการ การเพิ่มเฟอร์นิเจอร์จุดพักผ่อน เป็นการพาเอเชียทีคไปสู่ทศวรรษใหม่   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -AWC ปั้นเอเชียทีค สู่ เมกะโปรเจ็กต์ ผุดทาวเวอร์สูงสุดในไทย -AWC เปิด 3 ปรากฏการณ์ใหม่ของ “เอเชียทีค” กับแนวคิด Heritage Alive
ตลาดจ๊อดแฟร์ เตรียมย้ายไปที่ใหม่  ใหญ่กว่าเดิม มีทั้งเอ้าท์ดอร์-อินดอร์

ตลาดจ๊อดแฟร์ เตรียมย้ายไปที่ใหม่ ใหญ่กว่าเดิม มีทั้งเอ้าท์ดอร์-อินดอร์

ตลาดจ๊อดแฟร์ เตรียมย้ายไปที่ใหม่ ใกล้ MRT ศูนย์วัฒธรรม ​บนเนื้อที่ 13 ไร่ พร้อมจับมือ กลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ปรับคอนเซ็ปต์ใหม่ มีร้านทั้งอินดอร์และเอ้าท์ดอร์ พร้อมเปิดบริการต้นปี 67 ร้านค้าเดิม 700-800 ร้าน เตรียมย้ายหลังหมดสัญญากับกลุ่มเซ็นทรัลในสิ้นปีนี้ ​   ถนนรัชดา เป็นทำเลที่ถูกนิยามเป็น CBD แห่งใหม่ ที่ตอนนี้ใคร ๆ ก็มุ่งหน้าเข้ามาพัฒนาโครงการจำนวนมาก และหนึ่งในทำเลยอดฮิตในการช้อปปิ้ง ที่ในอดีตเคยมีตลาดนัดรถไฟรัชดา สถานที่ยอดฮิตที่คนไทยและต่างชาติ นิยมไปเดินช้อปปิ้ง กิน-ดื่ม กันจำนวนมาก ซึ่งมี “ไพโรจน์ ร้อยแก้ว” หรือ คุณจ๊อด บริหารงานมาตั้งแต่ตลาดรถไฟ สวนจตุจักร เป็นผู้บริหาร ตลาดจ๊อดแฟร์   ล่าสุด ได้เปิดตลาดจ๊อดแฟร์ หลังศูนย์การค้าเซ็นทรัล พระราม 9 ที่เปิดมาจะ 2 ปีแล้ว โดยตอนเปิดตลาดก็ยังเป็นช่วงไวรัสโควิด-19 ยังแพร่ระบาดอยู่ด้วย แต่คุณจ๊อดก็ยังสามารถนำพาตลาดจ๊อดแฟร์  ฟันผ่าและผ่านวิกฤตโควิด-19 มาได้จนประสบความสำเร็จ กลายเป็นตลาดยอดฮิตแห่งตลาดหนึ่งของคนกรุงเทพฯ ที่สำคัญตลาดจ๊อดแฟร์ยังไม่ได้ฮิตเฉพาะคนไทยเท่านั้น แต่ยังฮิตในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติด้วย  จากข้อมูลล่าสุดของการใช้บริการเรียกรถผ่านแอปพลิเคชั่น Grab พบว่า ตลาดจ๊อดแฟร์ คือ ติดอันดับ 2 ของ 5 จุดหมายปลายทางที่ชาวต่างชาติชอบไปมากที่สุด เป็นรองอันดับ 1 แค่ ไอคอนสยาม เท่านั้น ส่วนอีก 3 อันดับเป็น เซ็นทรัลเวิล์ด ถนนข้าวสาร และสยามพารากอน   แต่ตลาดจ๊อดแฟร์กำลังจะสิ้นสุดสัญญาเช่ากับ กลุ่มเซ็นทรัลภายในสิ้นปีนี้ และเตรียมจะย้ายไปเปิดที่ใหม่ บนที่ดินของกลุ่มพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค บนถนนรัชดาภิเษก ซึ่งเดิมคือจัสโก้ ซูปเปอร์มาร์เก็ต สาขารัชดา และต่อมามีการพัฒนาเป็นตลาดนัดอยู่ช่วงหนึ่ง ก่อนจะปิดตัวลง พื้นที่ดังกล่าวอยู่ติดกับบิ๊กซี รัชดา ใกล้กับ MRT สถานีศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เนื้อที่ 13 ไร่  ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน และสายสีส้ม พื้นที่ใกล้เคียง มีอาคารสำนักงานขนาดใหญ่หลายแห่ง เช่น AIA Capital Center, CW Tower, Rs Tower ศูนย์การเอสพลานาด และเดอะสตรีท   ตลาดจ๊อดแฟร์ แห่งใหม่มีกำหนดเปิดช่วงต้นปี 2567 ซึ่งมีไฮไลท์น่าสนใจ คือ จะมีพื้นที่ร้านค้าทั้งในส่วนเอาท์ดอร์ และอินดอร์ พร้อมด้วยอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ รวม​มูลค่าโครงการ 7,000 ล้านบาท  ภายใต้การพัฒนาโดยบริษัท วีรีเทล จำกัด (มหาชน) ในเครือ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค นั่นเอง ไฮไลท์โปรเจ็กต์ ตลาดจ๊อดแฟร์ ใหม่ สำหรับรายละเอียดโครงการมีดังนี้ โครงการแบ่งออกเป็น 2 โซน คือ  อาคารสูง 12 ชั้น และพื้นที่ร้านค้าด้านหน้าอาคาร ประกอบด้วย ตัวอาคารมีพื้นที่รวมกว่า 93,000 ตร.ม. พื้นที่สำนักงาน 5 ชั้น 20,000 ตร.ม. พื้นที่ร้านค้า 3 ชั้น 25,000 ตร.ม. พื้นที่จอดรถ 4 ชั้น 33,000 ตร.ม. (จอดรถได้ 750 คัน) พื้นที่บริการและสัญจร สวน ล็อบบี้ 15,000 ตร.ม. ส่วนของพื้นที่สำนักงาน จะเป็นสำนักงานแห่งใหม่ของ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค และบริษัทในกลุ่ม เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ และออกแบบให้เป็นสำนักงานทันสมัย ภายใต้แนวคิด Smart Green Office ทั้งการอนุรักษ์พลังงานเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่การออกแบบอาคารให้แสงธรรมชาติเข้าถึงภายในเพื่อประหยัดพลังงาน มีรูฟการ์เด้นท์หรือสวนลอยฟ้า และพื้นที่สีเขียวภายในอาคาร ติดตั้ง Solar Roof ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ และมี EV Charging Station สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ตัวอาคารยังมีการใช้เทคโนโลยีใหม่เรื่องการจัดการอาคาร เช่น  ระบบจดจำใบหน้าในการเข้า-ออก ระบบจดจำป้ายทะเบียนรถยนต์ ระบบแลกบัตรผ่านเข้าออกอัจฉริยะ  และระบบชำระค่าจอดรถแบบไร้สัมผัส   ในส่วนของร้านค้าภายในอาคารรวมพื้นที่ 25,000 ตร.ม. จำนวน 3 ชั้น รวมร้านค้า 928 ร้าน ตัวอาคารออกแบบสไตล์วินเทจ มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เน้นบรรยากาศสบายๆ เหมือนเดินอยู่ในเชลซีมาร์เก็ต นิวยอร์ค โดยวางคอนเซ็ปต์ให้เป็นแหล่งรวมร้านอาหารสตรีทฟู้ดร้านเด็ดจากทั่วทุกย่านมาไว้ที่นี่   สำหรับพื้นที่กลางแจ้งด้านหน้าอาคารประมาณ 5.6 ไร่ จะเป็นไนท์มาร์เก็ตแห่งใหม่ ที่มีทั้งพื้นที่เป็นล็อค ร้านค้า และร้านในรูปแบบคีออส รวม 798 ร้าน ที่มีสินค้าหลายอย่าง ทั้งอาคาร คาเฟ่ สตรีทฟู้ดชื่อดัง ต้นไม้ เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องประดับ ของแต่งบ้าน งานวินเทจ งานคราฟท์ งานแฮนด์เมด ซึ่งจะคงคอนเซ็ปท์ไนท์มาร์เก็ตที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวไทยและต่างชาติในแบบฉบับ “จ๊อดแฟร์” นายไพโรจน์ ร้อยแก้ว เจ้าของตลาดจ๊อดแฟร์ เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับ บริษัท วีรีเทล จำกัด (มหาชน) ในการเข้าบริหารพื้นที่รีเทลของโครงการมิกซ์ยูส ริมถนนรัชดาภิเษก ติด MRT ศูนย์วัฒนธรรมฯ ซึ่งมีระยะเวลาสัญญา 20 ปี นานที่สุดเท่าที่เคยบริหารตลาดมาก่อน โดยตลาดนัดสวนรถไฟ ถนนศรีนครินทร์มีระยะเวลาสัญญาเช่า 15 ปี ส่วนตลาดจ๊อดแฟร์ หลังศูนย์การค้าเซ็นทรัลพระราม 9 มีระยะเวลาสัญญา 2 ปี ที่กำลังจะหมดลงภายในสิ้นปี 2566 นี้ จึงเตรียมเปิดตลาดจ๊อดแฟร์แห่งใหม่ ในพื้นที่ 13 ไร่ของบริษัท วีรีเทลฯ ดังกล่าว   โดยจำนวนผู้เช่าที่ตลาดจ๊อดแฟร์ปัจจุบันมีจำนวนมากกว่า 700-800 ราย หากรวมผู้ค้าในเครือข่ายที่เคยเช่าพื้นที่น่าจะมีมากกว่า 3,000 ราย ซึ่งเชื่อว่าหากเปิดจองจะสามารถขายพื้นที่ได้ทั้งหมดโดยเร็ว และอัตราค่าเช่าน่าจะอยู่ในอัตราใกล้เคียงเดิมกับตลาดจ๊อดแฟร์ปัจจุบัน ซึ่งคิดในเรทวันละ 500 บาทต่อ 4 ตร.ม. โดยเท่ากันในทุกทำเล   นายไพโรจน์ กล่าวอีกว่า ในปีนี้ยังมีเปิดให้บริการตลาดนัดกลางคืนอีก 1 แห่ง ซึ่งอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก ด้วยรถไฟฟ้า มีพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า 13 ไร่ และเป็นคอนเซ็ปต์ที่น่าสนใจ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ ขณะเดียวกันบริษัท วีรีเทลฯ ยังมีที่ดินอีกหลายแปลง อาทิ ที่ดินจำนวนกว่า 11 ไร่ บริเวณตรงข้ามที่ดิน 13 ไร่ มีซึ่งสามารถพัฒนาเป็นตลาดได้ ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่ตนจะได้เข้าไปพัฒนาและบริหารต่อไปในอนาคต   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ตุนยอดขายครึ่งปีแรก 7,900 ล้าน จ่อขึ้นราคาบ้าน-คอนโดเพิ่ม5%หลังต้นทุนพุ่ง
[PR News] รพ.อินเตอร์เมดิคัล ปั้นโปรเจกต์ “IMH Medical Hub” ย่าน BTS แบริ่ง

[PR News] รพ.อินเตอร์เมดิคัล ปั้นโปรเจกต์ “IMH Medical Hub” ย่าน BTS แบริ่ง

กลุ่มโรงพยาบาล อินเตอร์เมดิคัลฯ ​จับมือ​ “พรนริศ ชวนไชยสิทธิ์”  อดีตนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ปั้นที่ดิน 12 ไร่ย่านแบริ่ง ขึ้นโปรเจกต์  "IMH Medical Hub"   ย่าน BTS แบริ่ง กว่า 12 ไร่ หวังดัน “IMH” ติด TOP 3 กลุ่มธุรกิจโรงพยาบาลไทย     ดร.สิทธิวัตน์ กำกัดวงษ์ ประธานกรรมการบริหารกลุ่มโรงพยาบาลอินเตอร์เมดิคัล แคร์ แอนด์ แล็บ (“IMH”) เปิดเผยว่า ได้เตรียมปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัท โดยแชร์ทรัพยากรร่วมกัน (synergy)​ ภายในกลุ่ม IMH​ ซึ่งประกอบด้วย โรงพยาบาล​อินเตอร์​เมด​ฯ โรงพยาบาล IMH​ ธนบุรี โรงพยาบาล มเหสักข์​ ย่านสีลม ที่เพิ่งซื้อกิจการเข้ามาใหม่ เพื่อปูทางสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่งไปสู่ การลงทุนเมกะโปรเจกต์ใหม่ ภายใต้ชื่อ "IMH​ Medical​ Hub" ที่คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ กลางปี 2568 นี้ สู่การ ปูทางเพื่อก้าวเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจโรงพยาบาล TOP 3 ในกลุ่มโรงพยาบาลชั้นนำของปะเทศ   โดยล่าสุด กลุ่มโรงพยาบาล​ IMH ได้ลงนามในสัญญาเช่าพื้นที่ระยะยาว 30 ปี (ต่อได้อีก 30ปี รวม60ปี)​ ที่ดินเกรดเอ 12 ไร่  ติดสถานีรถไฟฟ้า BTS แบริ่ง (สายสุขุมวิท)​ เรียบร้อยแล้ว ซึ่งต้นปี 2566 นี้ IMH​ จะเริ่มพัฒนาที่ดินแปลงนี้ ร่วมกับ กลุ่มคุณ พรนริศ ชวน​ไชย​สิทธิ์​ อดีต​นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย และ ประธานกฎบัตร​ไทย ซึ่งเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงประสบความสำเร็จ​ในวงการอสังหา​ริมทรัพย์ เพื่อพัฒนา เมกะโปรเจกต์ใหม่ ภายใต้ชื่อ "IMH​ Medical​ Hub" ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 เฟส​ ดังนี้ โดยเฟส 1 คาดว่า จะเปิดให้บริการในครึ่งปีหลังของปี 2568 ประกอบด้วย โรงพยาบาล IMH​ แบริ่ง ขนาด 200​ เตียง รองรับคนไข้เงินสด และสิทธิประกันสังคม​ อาคาร Retail space ศูนย์แพทย์เฉพาะทาง &​ Wellness Center ส่วนเฟส  2 คาดว่าจะเปิดให้บริการ ปี 2571 ประกอบด้วย โรงพยาบาล IMH​ International ขนาด 400​ เตียง รับคนไข้เงินสด และต่างชาติ ศูนย์พักฟื้นผู้ป่วยและกายภาพบำบัด สำหรับ เมกะโปรเจกต์ “IMH​ Medical​ Hub” มีจุดเด่นคือ 1.ที่ตั้งโครงการมีศักยภาพสูง และพื้นที่มีขนาดใหญ่ถึง 12 ไร่ จึงสามารถจะขยายธุรกิจทางการแพทย์ได้หลากหลาย และดึงดูด พาร์ทเนอร์ที่มีประสบการณ์ มาร่วมลงทุน-แบ่งกำไร ทำให้ธุรกิจแต่ละส่วนในพื้นที่โครงการ อยู่แบบพึ่งพิงกันได้อย่างครบวงจร ซึ่งจะเป็นแม่เหล็กดึงดูดคนไข้เข้ามาใช้บริการในหลายรูปแบบ และ สามารถ cross -​sell บริการต่าง ๆ ในโครงการได้เป็นอย่างดี  ทำให้ได้เปรียบโรงพยาบาลอื่น ๆที่มีข้อจำกัดเรื่องพื้นที่ ซึ่งทำให้การขยายโรงพยาบาล​เป็นไปได้ยาก   2.ที่ตั้งโครงการ อยู่ติด BTS​ แบริ่ง ไป-มาสะดวก สามารถรับคนไข้ได้ทั้งกรุงเทพ​ และสมุทรปราการ พร้อมที่จอดรถ กว่า 800 คัน  และโครงการนี้ยังได้รับการ refer ฐานลูกค้าจาก โรงพยาบาล อื่น ในเครือ IMH​ อีกด้วย   3.การระดมลงทุนสำหรับโครงการนี้ เน้นการลงทุนทีละเฟส โดยใช้เงินทุนหมุนเวียน และเงินกู้จากสถาบันการเงิน ซึ่งปัจจุบัน กลุ่ม IMH​ อยู่ระหว่างเจรจากับพาร์ทเนอร์​ที่มีประสบการณ์ เช่น โรงพยาบาลเบอร์ต้นๆ ของประเทศ มาร่วมลงทุน-แบ่งกำไร ซึ่ง IMH​ จะได้รับส่วนแบ่งกำไร ตามส่วนธุรกิจที่พาร์ทเนอร์ ​เข้ามาลงทุน เพื่อรับรู้รายได้เร็วและคืนทุนเร็ว   4.ทางด้านการแพทย์และจัดหาบุคลากรวิชาชีพ นั้น กลุ่ม IMH​ ได้มอบหมายให้ นายแพทย์สุขุม กา​ญ​จน​พิมาย​ กรรมการ และ ประธานที่ปรึกษาของกลุ่มโรงพยาบาล​ ผู้มีประสบการณ์ด้านการแพทย์ สาธารณสุข และปัจจุบันเป็น นายกแพทยสมาคมฯ เป็นผู้ดูแล ให้มีแพทย์และวิชาชีพ ที่มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับและมีประสบการณ์​สูง ให้เพียงพอกับจำนวนคนไข้ที่เพิ่มมากขึ้น 5.ทางด้าน Retail space นั้น กลุ่ม IMH​ ได้มอบหมายให้ คุณบุณยฤทธิ์​ กัลยาณมิตร​ กรรมการกลุ่มโรงพยาบาล ที่มีประสบการณ์ด้านการค้าการพาณิชย์ เป็นผู้ดูแล โดยเบื้องต้น IMH​ จะให้เช่าพื้นที่ Retail space ซึ่งอยู่ใกล้สถานที่รถไฟฟ้า BTS แบริ่ง ที่มีคนเข้า-ออกเป็นจำนวนมากทุกวัน จะออกแบบให้เป็นพื้นที่ Retail Mall จำหน่ายสินค้า/บริการ เกี่ยวกับสุขภาพทุกประเภท ตั้งเป้าให้เป็น Organic Market Place ขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศ และ จะเปิดให้บริการได้ทันที ระหว่างการก่อสร้างโรงพยาบาล โดยใช้ประโยชน์จากพื้นที่ดินในส่วนที่ยังไม่ได้ก่อสร้าง เพื่อให้เกิดการทำรายได้สูงสุด สำหรับรายได้ของ เมกะโปรเจกต์ ​IMH​ Medical Hub  ได้ตั้งเป้าไว้ระดับ 5,000 ล้านบาท ใน 5 ปี ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางนโยบายของภาครัฐ ที่จะดันประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ ในระยะใกล้นี้    
มีอะไรใหม่ใน เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ หลังทุ่มพันล้านสู่ Co-Living Space

มีอะไรใหม่ใน เอ็มไพร์ ทาวเวอร์ หลังทุ่มพันล้านสู่ Co-Living Space

AWC ทุ่มงบ 1,000 ล้าน ปรับโฉม “เอ็มไพร์ ทาวเวอร์” สู่ Co-Living Space ผสานการใช้ชีวิตและการทำงาน พร้อมปั้นรูฟท็อป แลนด์มาร์คใหม่ย่านสาทร   AWC หรือ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) ของตระกูล "สิริวัฒนภักดี" ที่มีลูกสาวคนรองของเจ้าสัว เจริญ สิริวัฒภักดี อย่าง นางวัลลภา ไตรโสรัส นั่งบริหารงาน ในตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ AWC ได้ประกาศทุ่มงบถึง 1,000 ล้านบาท เพื่อปรับโฉมอาคารเอ็มไพร์ใหม่ สู่ “Co-Living Collective: Empower Future” จากเดิมที่เป็นอาคารสำนักงานเกรด เอ เหมือน ๆ กับอาคารสำนักงานทั่วไปที่อยู่ในย่านใจกลางธุรกิจ เป็น Co-Living Space ทำไมต้องก้าวสู่ Co-Living Space ต้องยอมรับว่า ช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนยุคปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงชีวิตพนักงานออฟฟิศ ที่ต้องอยู่บ้านเพื่อทำงาน หรือ Work from Home ทำให้พื้นที่ออฟฟิศลดความจำเป็นในการใช้งานลง แม้แต่ภายหลังที่สถานการณ์โควิดเบาบางลง จนทำให้หลายองค์กรเริ่มกลับมาทำงานที่ออฟฟิศกันปกติ แต่ก็ยังมีออฟฟิศจำนวนมาก ปรับรูปแบบสู่การทำงานแบบไฮบริด คือ ผสมผสานการทำงาน ให้พนักงานมาทำงานที่ออฟฟิศบางวัน ทำงานจากที่บ้าน หรือทำงานจากที่ไหน ๆ ก็ได้ (Work from anywhere) ในบางวัน   เพราะในช่วงเวลาของการเกิดโควิดและพนักงานจำนวนมากทำงานอยู่ที่บ้าน หรือที่ใด ๆ ก็ตาม  การทำงานก็ยังมีประสิทธิภาพ และสามารถจบงานต่าง ๆ ได้ ไม่แตกต่างจากการต้องมาทำงานที่ออฟฟิศ แถมมีงานวิจัยหรือการสำรวจความเห็นของหลายองค์กร ระบุว่า คนทำงานบางส่วนไม่พร้อมจะกลับมาทำงานที่ออฟฟิศแบบฟลูไทม์แล้ว ยิ่งคนรุ่นใหม่จำนวนมาก หลักเกณฑ์ในการเลือกองค์กรทำงาน ก็จะเน้นองค์กรที่มีความยื่นหยุ่นสูงในเรื่องสถานที่การทำงา หรือเรื่องของการทำงาน   ขณะเดียวกัน ต้องยอมรับว่าตอนนี้อาคารสำนักงานใหม่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งในปัจจุบัน และแผนการพัฒนาในอนาคต จะเกิดขึ้นอีกมากมายหลายประเภท และหลายเกรด ทำให้การแข่งขันในธุรกิจอาคารสำนักงานมีสูงมากขึ้น ทำให้อาคารสำนักงานที่มีอยู่แต่เดิม ต้องลุกขึ้นมาปรับโฉม รีโนเวท พัฒนาหรือเติมเต็มการบริการให้กับผู้เช่า  เพื่อจะรักษาฐานผู้เช่ารายเดิมไว้ ขณะเดียวกันก็ดึงดูดผู้เช่ารายใหม่ให้เข้ามาใช้บริการด้วย   การปรับโฉมของ AWC ครั้งนี้ ก็เพราะมองเห็นเทรนด์การเปลี่ยนแปลงไป ของรูปแบบการทำงานและไลฟ์สไตล์การทำงานของคนยุคปัจจุบัน ที่ไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะแค่ออฟฟิศเท่านั้น แถมการใช้ชีวิตของคนยุคปัจจุบันก็เชื่อมโยงไปกันหมด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำงาน การกิน การใช้ชีวิต หรือการพักผ่าน นอกจากนี้ AWC ก็มองเห็นว่าการแข่งขันในธุรกิจอาคารสำนักงานมีสูง นอกจากจะเติมเต็มประสบการณ์ให้กับพนักงานแล้ว ต้องเพิ่มและเสริมการบริการใหม่ ๆ ที่น่าสนใจ เพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ และรักษาฐานลูกค้าเดิมเอาไว้ ไม่ให้ย้ายออกไปไหนด้วย มีอะไร? ใน อาคารเอ็มไพร์   สำหรับอาคารเอ็มไพร์ โฉมใหม่ ที่ได้ทุ่มทุน 1,000 ล้านบาท เพื่อเติมไฮไลท์ใหม่ ๆ เข้ามาเสริม ตอบสนองไลฟ์สไตล์คนทำงานยุคปัจจุบัน เป็นการเพิ่มพื้นที่ส่วนกลาง เหมือนการอาศัยอยู่กับคอนโด จากเดิมที่มีแค่การให้บริการที่จอดรถ และห้องน้ำ แต่ต่อไปนี้จะมีพื้นที่ใหม่ ๆ ที่เตรียมเข้ามา ซึ่งจะเริ่มเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 2 และจะสมบูรณ์ภายในสิ้นปีนี้ โดยอาคารเอ็มไพร์ ภายใต้รูปโฉม The Co-Living Collective: Empower Future จะเพิ่มเติมสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ Co-Living Space ที่ใหญ่ที่สุด AWC ได้ผสมผสานประสบการณ์การใช้ชีวิตและการทำงาน ให้การมาทำงานที่อาคารเอ็มไพร์ มีบรรยากาศเหมือนอยู่บ้าน ด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เพิ่มเติมเข้ามา ภายใต้แนวคิด “Co-Living Collective: Empower Future” ซึ่งได้เตรียมพื้นที่กว่า 1,500 ตารางเมตร บนชั้น 53 สร้าง อาทิ พื้นที่เตรียมอาหาร รับประทานอาหาร พื้นที่นั่งเล่น ประชุม พักผ่อนหย่อนใจ เสริมสร้างสุขภาพ ห้องอาบน้ำ พื้นที่ทำงานร่วมกัน และ ห้องประชุม  Circle Club Chat Board ห้องนั่งเล่น (Living Room) พื้นที่สันทนาการเพื่อการพักผ่อน เพลิดเพลินกับเกมคอนโซล โต๊ะพูล และโต๊ะปิงปอง ห้องพักผ่อนที่หลับได้พักนึง  (Nap Lounge) ในวันที่ทำงานหนักหรือพักผ่อนไม่พอ ห้องอาบน้ำ ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า (Locker Room) ห้องสำหรับเด็ก (Kids Room) เพื่อมานั่งเล่น ทำการบ้าน หลังเลิกเรียน ระหว่างรอผู้ปกครองกลับบ้าน ห้องดูแลลูก (Nursing Lounge) เปลี่ยนผ้าอ้อม ห้องปั๊มนมสำหรับคุณแม่ลูกอ่อน พื้นที่สำหรับดูแลสัตว์เลี้ยง (Pet’s Hotel) “EA” รูฟท็อปอาหาร-เครื่องดื่ม ใหญ่สุด  การกินอาหารปัจจุบันไม่ใช่แค่ความจำเป็นของชีวิตอย่างเดียว ยิ่งเป็นคนทำงานหรือนักธุรกิจ การกินอาหารยังเป็นเครื่องมือสำคัญในการช่วยเรื่องธุรกิจด้วย เพราะสามารถคุยงานหรือเจรจาธุรกิจระหว่างกินอาหารได้ และที่สำคัญ AWC มีเครือโรงแรมจำนวนมากที่บริหารงานอยู่ จึงถือว่านำเอาความแข็งแกร่งในเรื่องของอาหารและเครื่องดื่มมาช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้า และสร้างจุดแข็งให้กับอาคารเอ็มไพร์ ด้วยการสร้างแลนด์มาร์คใหม่ย่านสาทร บนชั้น 55-58 พื้นที่รวม 9,000 ตารางเมตร ใช้งบประมาณ 500-600 ล้านบาท เป็นศูนย์รวมร้านอาหารและเครื่องดื่มชั้นนำ โดยมีรูฟท็อปที่สามารถเห็นวิวกรุงเทพฯ ได้แบบ 360 องศา และใหญ่ที่สุดในประเทศไทยด้วย ชั้น 55 รวบรวมภัตตาคารและร้านอาหารนานาชาติที่หลากหลาย อาทิ ร้าน % Arabica ที่จะเปิดเป็นสาขาแบบ Sky Café แห่งแรกของโลก และ The Cassette Music Bar แฮงเอาท์คลับยอดนิยมของชาวกรุงเทพฯ เป็นต้น ชั้น 56 “EA” (เอ-ยา) จุดหมายปลายทางแห่งอาหารอันโดดเด่นบนยอดตึกใจกลางกรุง ที่ผสมผสานระหว่างบาร์ ภัตตาคาร พร้อมบริการชั้นเลิศ เพื่อนำเสนออาหารและเครื่องดื่มอันหลากหลาย ชั้น 57 – 58 นำเสนอสุดยอดแบรนด์ไลฟ์สไตล์สุดหรูระดับโลกครั้งแรกในประเทศไทย โดยเชฟ Nobu Matsuhisa เชฟผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารญี่ปุ่น-เปรู ที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลกจากการนำเสนอวัตถุดิบชั้นเลิศและบริการชั้นยอด พร้อมด้วยการออกแบบตกแต่งร้านให้มีเอกลักษณ์จากบริษัทออกแบบระดับตำนานอย่าง Rockwell Group นอกจากนี้ ในบริเวณชั้น Ground  จะมีการพัฒนาเป็นเลาจ์ เพื่อเชื่อมโยงลิฟท์ขึ้นไปโดยตรงบริเวณชั้นอาหารและเครื่องดื่มตั้งแต่ชั้น 55 ขึ้นไปด้วย ก่อนหน้าเรามีแค่ห้องน้ำและที่จอดรถให้กับผู้เช่า วันนี้เราเติม Common facility เหมือนการซื้อคอนโดอยู่ เตรียม 40,000 ตร.ม.เพิ่มการอัตราเช่า อาคารเอ็มไพร์มีพื้นที่รวม 314,800 ตร.ม. มีจำนวน 58 ชั้น มูลค่าสินทรัพย์ถึง 20,000 ล้านบาท ปัจจุบันมีอัตราการเข้าใช้พื้นที่เช่าอยู่ประมาณ 70% เป็นบริษัทองค์กรต่างชาติถึง 74% ซึ่งอัตราเข้าใช้พื้นที่อยู่ในเกณฑ์ใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิด แม้ว่าช่วง 3 ปีจะเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่อาคารเอ็มไพร์ก็ยังรักษาระดับจำนวนผู้เช่าไว้ได้อย่างดี   แต่ปัจจุบันอาคารเอ็มไพร์ ยังมีพื้นที่เหลือถึง 40,000 ตร.ม. สำหรับรองรับกับผู้เช่ารายใหม่ได้ พื้นที่ดังกล่าวหักในส่วนที่ต้องปรับปรุงเป็นพื้นที่ทำส่วนกลางและร้านอาหารแล้ว​ ซึ่ง AWC มีเป้าหมายการดึงกลุ่มผู้เช่ารายใหม่ โดยเฉพาะที่บริษัทข้ามชาติ และบริษัทคนรุ่นใหม่ให้เข้าใช้บริการ โดยปัจจุบนคิดอัตราเช่า 1,200-1,400 บาทต่อตร.ม.ต่อเดือน แต่อัตราเช่าจะมีโปรโมชั่นและส่วนลดแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขสัญญาเช่า ระยะเวลา และขนาดพื้นที่   โดย AWC ได้จัดเตรียมพื้นที่เช่าที่มีความหลากหลาย ทั้งพื้นที่เปล่า พื้นที่สำเร็จรูปตกแต่งพร้อมเข้าอยู่ ให้กับผู้เช้าได้เลือกใช้บริการ มี Swing Floor พื้นที่ทำงานชั่วคราวสำหรับผู้เช่าระหว่างการออกแบบตกแต่งสำนักงาน ที่มีการตกแต่งบางส่วนหรือทั้งหมดด้วยวัสดุและอุปกรณ์ที่สามารถปรับเปลี่ยนตามความต้องการเฉพาะของผู้เช่า เช่น ฉากกั้นแบบยืดหยุ่น เฟอร์นิเจอร์โมดูลาร์ เฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบให้สอดคล้องกับสรีระ ตลอดจนให้คำปรึกษาในการออกแบบและตกแต่งสำนักงาน   AWC คาดหวังกว่า การปรับโฉมใหม่ครั้งนี้ และการเตรียมเพิ่มประสบการณ์อันหลาหลายเหล่านี้ จะช่วยทำให้อัตราการเข้าใช้พื้นที่ขยับมากขึ้น เพราะตามพอร์ตอาคารสำนักงาน ที่ AWC บริหารงานอยู่มีอัตราการเข้าใช้พื้นที่มากกว่านี้ อาทิ อาคารสำนักงานแอทธินีทาวเวอร์ มีอัตราการเช่า 96% อาคาร 208 ไวร์เลส โรด อัตราเช่า 92% พร้อมกับดึงทราฟฟิคให้คนเข้ามาใช้บริการส่วนร้านอาหารและเครื่องดื่มได้อีกวันละ​ 5,000 คน จากปัจจุบันมีการหมุนเวียนการใช้บริการต่าง ๆ ภายในอาคารวันละ 20,000 คน ตอนนี้เป็นการบิวด์ธุรกิจให้กลับมา ช่วง 3 ปี เรารักษาการเช่าไว้ได้ที่ 70% แต่ควรขยับมากกว่านี้ ที่ไม่ขยับ   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -จากโรบินสันสีลม สู่ สีลมเอจ มิกซ์ยูส 1,800 ล้านของ เฟรเซอร์สฯ -ตลาดออฟฟิศ-โรงแรมในกรุงเทพฯ Q1 บทสรุป ยังบาดเจ็บจากพิษโควิด-19 -AWC เดินแผนขยายธุรกิจแสนล้าน เตรียมเปิดโรงแรมใหม่เพิ่มอีก 9 แห่ง  
5 ไฮไลท์ มูจิ โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ ต้นแบบโมเดลโรดไซด์

5 ไฮไลท์ มูจิ โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ ต้นแบบโมเดลโรดไซด์

หลังจากที่ มูจิ (MUJI) แบรนด์สินค้าล์ไลฟ์สไตล์จากประเทศญี่ปุ่น ได้เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2549 ในรูปแบบของธุรกิจแฟรนไชส์ โดยสามารถขยาย จำนวนสาขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนในปี 2556 ได้จับมือกับบริษัท สรรพสินค้าเซ็นทรัล จำกัด ในสัดส่วนที่เท่ากัน จัดตั้ง​บริษัท มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด โดยปัจจุบันสามารถขยายธุรกิจจนมีสาขา 29 แห่งโดยรวมร้านมูจิ โรบินสันไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ สาขาใหม่ล่าสุด เพื่อจำหน่ายสินค้ามากกว่า 3,000 รายการ  ซึ่งถือว่าเป็นสาขาคอนเซ็ปต์ใหม่แห่งแรก กับร้าน​โมเดลโรดไซด์ ​5 ไฮไลท์ มูจิ โมเดลโรดไซด์ นายอกิฮิโร่ คาโมการิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มูจิ รีเทล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า การเปิดสาขา โรบินสันไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ สาขาที่ 29 ซึ่งเป็นสาขาขนาดใหญ่ นับเป็นการเปิดร้านโมเดลโรดไซด์ หรือ ร้านรูปแบบใกล้ริมถนน สาขาแรกที่เปิดกับศูนย์การค้าขนาดใหญ่ติดถนน โดยหากประสบความสำเร็จจะพัฒนาและขยายสาขาใหม่ ภายใต้โมเดลดังกล่าวต่อไปในอนาคต ปัจจุบันสาขาที่มีขนาดใหญ่พื้นที่มากกว่า 1,000 ตร.ม. มีอยู่ 11 แห่ง โดยสาขาส่วนใหญ่พื้นที่จะอยู่ที่ 500-800 ตร.ม.   ขณะที่แผนในปี​ 2566 ตั้งเป้าหมายเปิดสาขาใหม่ 5-6 แห่ง ซึ่งจะเน้นการขยายสาขาในต่างจังหวัดเพิ่มมากขึ้น อาทิ เชียงใหม่ และอีก 1 จังหวัดในภาคใต้  เนื่องจากปัจจุบันสาขาส่วนใหญ่​ 90% จะอยู่ในกรุงเทพ ฯ และปริมณฑล ส่วนสาขาต่างจังหวัดปัจจุบันมีอยู่ 3 แห่ง ได้แก่  เซ็นทรัลชลบุรี เซ็นทรัลศรีราชา และเซ็นทรัลเชียงใหม่ รวมถึงวางแผนรีโนเวตสาขาเดิมให้มีพื้นที่เพิ่มขึ้นอีก 7 สาขา ส่วนปี 2567 ตั้งเป้าจะเปิดเพิ่มอีก 10 แห่ง   สำหรับมูจิ สาขาโรบินสันไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ ถือว่าเป็นสาขาที่มีความแปลกใหม่ และมีไฮไลท์ที่น่าสนใจ รวมถึงการมีสินค้าที่จำหน่ายเฉพาะที่สาขาแห่งนี้ด้วย ซึ่งในส่วนไฮไลท์นั้น มีอยู่ 5 เรื่องสำคัญ คือ 1.สาขาแรกในรูปแบบ 2 ชั้น ถือเป็นสาขาแรกของมูจิ ที่มีร้านในรูปแบบ 2 ชั้น ซึ่งเป็นร้าน​โมเดลโรดไซด์ หรือ ร้านรูปแบบใกล้ริมถนน สาขาแรกที่เปิดกับศูนย์การค้าขนาดใหญ่ติดถนน  มีขนาดพื้นที่รวม 1,700 ตารางเมตร โดยแบ่งเป็นพื้นที่บริเวณร้านชั้น 1 มีขนาดกว่า 900 ตารางเมตร และชั้น 2 มีขนาดกว่า 800 ตารางเมตร และสาขาแห่งนี้เป็นสาขา 29 ที่เข้ามาเปิดร้านจำหน่ายสินค้าในเมืองไทย 2.โซนสินค้าราคาต่ำกว่า 300 บาท รวบรวมสินค้าคุณภาพที่เป็นที่นิยมในหลากหลายหมวดหมู่ ที่มีราคาต่ำกว่า 100 บาท 200 บาท และ 300 บาท อาทิ ไม้ทำความสะอาด 35 บาท กระดาษซับหน้า 39 บาท ใยอาบน้ำ 39 บาท รองเท้าแตะในบ้าน 99 บาท ผ้าขนหนู 99 บาท เบาะรองนั่ง 290 บาท พรมเช็ดเท้า 150 บาท กระบอกน้ำอะคริลิค 250 บาท เป็นต้น 3.บริการออกแบบภายใน มูจิ สาขาโรบินสันไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ ยังมีโซนเครื่องใช้ในบ้านและเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน ขนาดพื้นที่ใหญ่กว่า 100 ตร.ม. ที่มีการนำสินค้าคอลเลกชันใหม่มาให้เลือกหลากหลาย อาทิ เตียงนอนครบทุกขนาดไซส์และทุกดีไซน์ แถมยังมีการให้บริการปรึกษาด้านออกแบบภายใน หรือ​ MUJI Interior Consultation Service อีกด้วย 4.โซน MUJI Green & Normal Shop จากแนวคิดในการดำเนินธุรกิจ “ประหยัดทรัพยากรธรรมชาติ” ออกแบบอย่างเรียบง่าย “ไม่มียี่ห้อ” และราคาสมเหตุสมผล ตั้งแต่วันเริ่มต้นก่อตั้งธุรกิจ เป็นปรัชญาที่ปัจจุบันก็ยังคงยึดถืออยู่ ทำให้ในร้านของมูจิ มีโซนสินค้าจากธรรมชาติ (Normal Shop) รวมถึงรีฟิลสินค้าต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสบู่ น้ำยาทำความสะอาดเสื้อผ้า แชมพูสระผม ในราคาย่อมเยา เพื่อสนับสนุนแนวคิด Zero Waste ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม  และโซนสินค้าต้นไม้ (MUJI Green) ที่เหมาะกับการปลูกเลี้ยงในบ้าน ​เพราะคิดว่าสินค้าอีโคไลฟ์สไตล์นั้นดีต่อตัวเอง และดีต่อสิ่งแวดล้อม 5.ขายสินค้าเฉพาะคนไทย คอนเซ็ปต์ ASEAN MD การนำสินค้าเข้ามาจำหน่ายในเมืองไทย นอกจากจะเป็นสินค้าที่คนไทยชื่นชอบ และได้รับความนิยมมากแล้ว สิ่งหนึ่งที่เป็นแนวคิดในการทำธุรกิจของมูจิ คือ การขายสิค้าให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์และการใช้งานเฉพาะคนในแต่ละประเทศ จึงเป็นที่มาของการพัฒนาและผลิตสินค้าเฉพาะในประเทศไทย หรือตามคอนเซ็ปต์ ​ASEAN MD (ASEAN Merchandise)   ปัจจุบันสินค้าที่พัฒนาและจำหน่ายเฉพาะในประเทศ มีด้วยกันอยู่ 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย สิงค์โปร์ มาเลเซีย เวียดนาม และฟิลิปปินส์  มีสินค้าครอบคลุมทุกกลุ่ม อาทิ ​ กลุ่มเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย กลุ่มสินค้าของใช้ภายในบ้าน กลุ่มเฟอร์นิเจอร์ กลุ่มเฮลท์แอนด์บิวตี้ และกลุ่มอิเลคทรอนิกส์ สำหรับประเทศไทยสินค้า ASEAN MD มีสัดส่วน 30%ของสินค้าภายในร้าน อาทิ -ม็อบถูพื้น เป็นสินค้าชนิดแรกที่มูจิ พัฒนาและผลิตขึ้นมาจำหน่ายให้กับคนไทยโดยเฉพาะ เนื่องจากคนไทยมีการถูพื้นบ้านหรือพื้นห้อง ต่างจากบ้านที่ประเทศญี่ปุ่นที่มีการปูเสื่อ ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้ไม้ม็อบสำหรับถูกพื้นบ้าน -เฟอร์นิเจอร์ไม้ยางพารา เป็นสินค้าอีกกลุ่มหนึ่งที่คนไทยต้องการ และชื่นชอบ ทำให้มูจิผลิตสินค้ากลุ่มเฟอร์นิเจอร์จากยางพาราออกมาจำหน่าย เริ่มต้นเป็นที่วางรองเท้าและวางนิตยสาร ขณะที่เฟอร์นิเจอร์ขนาดใหญ่ เช่น โครงเตียง วางแผนนำมาจำหน่ายในอนาคต​ -หมอนข้าง คนญี่ปุ่นไม่นิยมนอนกอดหมอนข้าง แต่สำหรับคนไทยหมอนข้างยังคงเป็นสิ่งจำเป็นที่หลายคนต้องมีอยู่บนเตียงนอน ทำให้มูจิพัฒนาหมอนข้างออกมาจำหน่าย แต่เป็นในรูปแบบหมอนขนาดยาว ซึ่งสามารถใช้หนุนนอนได้ หรือจะปรับเป็นหมอนข้างเพื่อนอนกอดก็ได้เช่นกัน สินค้ากลุ่ม ASEAN MD จะมีนำเข้ามาอย่างต่อเนื่อง และครอบคลุมในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ ปัจจุบันสินค้ายังเป็นนำเข้าจากต่างประเทศมาจำหน่าย ซึ่งพบปัญหาสำคัญในเรื่องการขออนุญาตการนำเข้า และการขึ้นทะเบียนได้รับอนุญาตจากหน่วยงานต่าง ๆ ทำให้สินค้ามีความล่าช้าในการนำเข้ามาจำหน่าย ในอนาคตมูจิวางแผนผลิตสินค้า ASEAN MD ขึ้นภายในเทศไทยด้วย ​ 4 สินค้าที่วางขายครั้งแรกในไทย สำหรับสิ่งที่ มูจิ จะนำมาวางจำหน่ายที่แรกในไทย กับสาขาโรบินสันไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ นั้นมีดังนี้ -สินค้าสกินแคร์และดูแลเส้นผม โดยมีการเพิ่มกลิ่นส้ม กลิ่นฟลอรัล และกลิ่นเลม่อน ในกลุ่มสินค้าสกินแคร์และดูแลเส้นผม เข้ามาวางจำหน่ายเป็นที่แรก ก่อนนำไปวางขายในสาขาอื่น ๆ ในปีหน้า พร้อมกับปรับลดราคาสินค้าลง จากราคา 149 บาท ราคา 129 บาท ในสินค้าโฟมล้างหน้า และสบู่ -แกงกะหรี่ 5 รสชาติ สินค้ากลุ่มอาหารนำเข้าจากญี่ปุ่น มูจิมีขายอยู่แล้วหลากหลายชนิด และได้รับความนิยมในหมู่คนไทยเสียด้วย การขยายสาขามูจิ โรบินสันไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ จึงได้นำเอาแกงกะหรี่ พร้อมทาน MUJI CURRY ซึ่ง​เป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างสูงในญี่ปุ่น มาวางขายในประเทศไทยเป็นครั้งแรก มี 5 รสชาติ ได้แก่  BUTTER CHICHKEN CURRY, DHAL CURR, CHICKEN RENDANG, CHICKEN MASAK LEMAK และ CHICHKEN KEEMA CURRY ในราคา 139 บาท ส่วนสาขาอื่น ๆ จะมีการวางจำหน่ายต่อไป -ขนมอบร้อน ปัจจุบันมูจิ มีการเปิดโซน MUJI Coffee Corner ที่จำหน่ายเครื่องดื่มและเบอเกอรี่หลากหลายชนิด โดยมีสาขาอยู่ประมาณ​ 11-12 แห่ง แต่สำหรับสาขาโรบินสันไลฟ์สไตล์แห่งใหม่นี้ ได้มีการเพิ่มไฮไลท์เมนูใหม่เป็นเบเกอรี่สไตล์ตะวันตกแบบ​ Hot Menu อาทิ ครัวซองท์แซนวิช ริงแซนวิช เดนิช และพานินี่ วางขายในราคา 59 -119 บาท -ไอศกรีมซอฟท์เสิร์ฟ นอกจากจำหน่ายเบกอรี่แล้ว มูจิ สาขาโรบินสันไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ ได้มีการเพิ่มสินค้าเป็นเมนูใหม่และวางขายเป็นที่แรก คือ ไอศกรีมซอฟท์เสิร์ฟ (MULI Soft Serve) รสชาเขียว (Green Tea) และรสนมฮอกไกโด (Hokkaido Milk) ซึ่งมีทั้งแบบ Cone ในราคา 89 บาท และ Cup ราคา 69 บาท โดยจะจำหน่าย Exclusive จำกัดระยะเวลาจำหน่ายไอศกรีม Soft Serve เพียง 3 เดือนเท่านั้น -เสื้อผ้ากอซทอสองชั้น เสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย ที่มูจิ สาขาโรบินสันไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ ได้วางจำหน่ายชุดเครื่องแต่งกายทั้งผู้หญิง และผู้ชายที่ทอจากผ้ากอซสองชั้น เป็นที่แรกที่วางขายในประเทศไทย ซึ่งเนื้อผ้ากอซทอสองชั้น จะมีความโปร่งสบาย ให้ความนุ่มนวล และยังคงผลิตจากฝ้ายออร์แกนิกเหมือนเดิม   ทั้งหมดคือเรื่องราวของ มูจิ สาขาโรบินสันไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์ ที่พร้อมเปิดให้บริการช้อปปิ้งได้แล้วตั้งแต่วันที่ 23 ธันวาคม 2565 พร้อมโปรโมชั่นต่าง ๆ มากมาย​   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -‘เอพี ไทยแลนด์’ จับมือ ‘มูจิ’ ไลฟ์สไตล์แบรนด์ดังระดับโลก นำเสนอพื้นที่พักอาศัยสไตล์ญี่ปุ่น ผสานชีวิตส่วนตัวและการทำงานอย่างลงตัว