Tag : Townhome

792 ผลลัพธ์
อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกรกฎาคม 2564

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกรกฎาคม 2564

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน  ดูปฏิทินตอนนี้ ก็เป็นเดือนกรกฎาคม 2564 ซึ่งก้าวสู่ครึ่งปีหลังของปี 2564 แล้ว แต่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง จำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตเพิ่มสูงขึ้น โดยยังไม่สามารถประเมินได้ว่าสถานการณ์จะกลับมาเป็นปกติเมื่อไร แม้ว่าจะมีการฉีดวัคซีนเพิ่มมากขึ้นก็ตาม แต่ปริมาณยังอาจจะไม่มากเพียงพอจนเกิดภูมิคุ้มกันหมู่   เมื่อเหตุการณ์บ้านเมืองยังไม่กลับมาเป็นปกติ ภาคธุรกิจต่างได้รับผลกระทบไปตาม ๆ กัน รวมถึงภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ได้รับผลกระทบมาตั้งแต่เกิดภาวการณ์ระบาดในระลอกแรก ต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ทำให้ผู้ประกอบการต่างก็ทำแคมเปญการตลาด และการส่งเสริมการขายเพื่อสร้างยอดขาย ทำให้ช่วงที่ผ่านมาราคาที่อยู่อาศัยปรับตัวลงลงมาอย่างมาก นับเป็นโอกาสที่ดีในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย สำหรับผู้ที่มีความสามารถในการซื้อ และวางแผนไว้ล่วงหน้าแล้ว   นอกเหนือจากดีเวลลอปเปอร์จะทำแคมเปญการตลาดออกมามากมายแล้ว ด้านสถาบันการเงินเองก็มีแคมเปญ รวมถึงอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพื่อดึงฐานลูกค้าให้มาใช้บริการกับสถาบันของตนเองด้วย ลองมาเช็คกันดูว่า ตอนนี้ธนาคารแต่แห่งมีอัตราดอกเบี้ย สำหรับผู้กู้ซื้อบ้านเท่าไรกันบ้าง สำหรับอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน เดือนกรกฎาคม 2564 ​1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป (อัตราดอกเบี้ยยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา) อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ  วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1   ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น 5% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.50% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4% (MRR-1.75%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น 5% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.45%   อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25%  (MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.33% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.875% (MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 3.875% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.38% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น 5.25% (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.72% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-1.50%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.25% (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.70% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-1.25%) หลังจากนั้น 5% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.41% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.875% (MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 3.875% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.38% -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก 4.75% หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า ​500,00 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า ​คิดอัตราดอกเบี้ย​ MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย ​MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา   หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สําหรับผู้ที่ยื่นคําขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 64 – 30 มิ.ย. 64 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ​และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ​ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ​ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วนั ที่ 21 พ.ค.63 เท่ากับ 5.75% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ​​ 2.ธนาคารกรุงไทย  ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อสำหรับบ้านใหม่ แคมเปญ สินเชื่อบ้านกรุงไทย…สุขใจถ้วนหน้า โดยไม่คิดค่า  ธรรมเนียมยื่นกู้  โดยมีการเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ดังนี้ แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75%  ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ย 0.64% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.67% (MRR-2.55%) ปรับลดลงจากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ย 3.77% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.67% (MRR-2.55%) ปรับลดลงจากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ย 3.77% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.72%  (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.70% ปรับลดลงจากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ย 2.73% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.01% ปรับลดลงจากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ย 4.02% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0% ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งคิดดอกเบี้ย 0.64% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.67% (MRR-2.55%)ปรับลดลงจากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งคิดดอกเบี้ย 3.92% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.67% (MRR-2.55%)ปรับลดลงจากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งคิดดอกเบี้ย 3.92% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.72% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.78% ปรับลดลงจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดดอกเบี้ย 2.83% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.04% ปรับลดลงจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดดอกเบี้ย 4.05% สินเชื่อสำหรับการกู้ซื้อบ้านที่ธนาคารออกค่าจดจำนองให้** และ ฟรี ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปรับเพิ่มจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดดอกเบี้ย 0.64% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.17% (MRR-2.05%)ปรับลดจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดดอกเบี้ย 4.27% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 4.17% (MRR-2.05%)ปรับลดจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดดอกเบี้ย 4.27% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.72% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.03% ปรับลดลงจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดดอกเบี้ย 3.06% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.12% ปรับลดลงจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดดอกเบี้ย 4.13% แบบไม่ทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0% ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดดอกเบี้ย 0.64% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.17% (MRR-2.05%) ปรับลดลงจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดดอกเบี้ย 4.42% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 4.17% (MRR-2.05%) ปรับลดลงจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดดอกเบี้ย 4.42% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.72% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.11% ปรับลดจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดดอกเบี้ย 3.16% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา = 4.15% ปรับลดลงจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดดอกเบี้ย 4.16%   การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ 1.ทำ MRTA/GLT SP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี 2.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ 3.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ **ธนาคารออกค่าจดจำนองให้ 1% สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท หากลูกค้าปิดบัญชีก่อน 5 ปี ธนาคารจะเรียกเก็บค่าจดจำนองคืน ***อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน เงื่อนไขอื่นๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2564 MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมิน ตั้งแต่ 1 มิ.ย.- 31 ส.ค. 64 สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.9% ( MRR-3.15%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.00%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.39% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.50% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย MRR-1.60% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.55%  (MRR-3.50%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.3%  (MRR-2.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.02% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.25% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.1% (MRR-1.95%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.3% (MRR-1.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.7%  (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.23%   หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ​ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พ.ค. 63 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 64 – 31 ส.ค. 64 โดยจดจำานองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 30 ก.ย. 64 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป โดยพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ ซึ่งเดือนนี้มีอัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.9% (MRR-0.07%)เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดอัตราดอกเบี้ย 5.4% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 5.97% (MRR)เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดดอกเบี้ย 5.47% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.90% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดดอกเบี้ย 5.40% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.94% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดดอกเบี้ย 5.44% สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 6.4%(MRR+0.43%) เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดดอกเบี้ย 5.9% หลังจากนั้น 6.47% (MRR+0.5%) เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดอัตราดอกเบี้ย 5.97% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 6.40% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดอัตราดอกเบี้ย 5.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 6.44% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดอัตราดอกเบี้ย 5.94% หมายเหตุ : -อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% (ประกาศ ณ วันที่ 22 พ.ค. 63) -อัตราดอกเบี้ยข้างต้นสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่ 1 ก.ค.  – 30 ก.ย. 64 -สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภทรวมอาคารพาณิชย์ยกเว้น Refinance และการปล่อยกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า -มีค่าสำรวจและประเมินราคาหลักประกันโดยบริษัท โพรเกรส แอพไพรซัล หรือบริษัทประเมินที่ธนาคารรับรอง คิดขั้นต่ำ 3,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่ : กรณีซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกําหนด) โดยคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราดเดิมเท่ากับเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  2.450%-2.750% ปีต่อไป ดอกเบี้ย  4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.650%-2.950% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.60%-2.99% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.80%-3.19% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ​เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่​ 18 สิวหาคม 2563 เท่กับ​ 6.525% ต่อปี 3.เลือกทําประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา​​​​​​ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า​ Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.​กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง ​​หากลูกค้า Re-Finance หรือชําระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท  ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคี ​เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด ​โดยผู้กู้สามารถเลือกทําประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ ​ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน​ 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด ​30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สําหรับพนักงานเงินเดือนประจํา และไม่เกิน 70 ปี สําหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.10%) ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย 5.35% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-2.80%) หลังจากนั้น 5.35% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.15% หมายเหตุ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 10 เมษายน 2563) 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป จะได้รับฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าจดทะเบียนจำนอง และค่าประเมินหลักทรัพย์ มีการคิดดอกเบี้ย ในอัตราเดียวกับช่วงเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.45% ทางเลือก 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.23%) หลังจากนั้น 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46% ทางเลือก 3 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 4.25% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% MRR-1.63% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีดอกเบี้ย  4.38% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.56% ทางเลือกที่ 4 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 4.4% (MRR-1.88%) หลังจากนั้น 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.40% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา  4.57% สมัครไม่ครบผลิตภัณฑ์เสริมทั้ง 3 ประเภท ทางเลือกที่ 5 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 4.90% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.9% (MRR-1.38%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.9% (MRR-1.38%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.90% ทางเลือกที่ 6 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.8% (MRR-1.48%) หลังจากนั้น 4.9% (MRR-1.38%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87%   หมายเหตุ สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส ​ 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท​ -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -MRR (Minimum Retail Rate : อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี) = 6.28% ต่อปี ณ วันที่ 1 เม.ย. 64 -การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.950% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.950% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2563) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2564 ​มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา  ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.86% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.86% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.86% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 5.4% หมายเหตุ ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 64 – 30 ธ.ค. 64   (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติมวงเงินของโครงการแล้ว) อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 10.ธนาคารยูโอบี ธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโคงการหมู่บ้านทั่วไป  โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปจากเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.55% เพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งคิดดอกเบี้ย 3.35% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.80%)เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดดอกเบี้ย 3.35% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย  4.79% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.75% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดดอกเบี้ย 3.55% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.75% (MRR-3.60%)เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดดอกเบี้ย 3.55% หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.75% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดดอกเบี้ย 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.95% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดดอกเบี้ย 4.87% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.0% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดดอกเบี้ย 2.80% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-2.40%)เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดดอกเบี้ย 4.75% หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.65% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดดอกเบี้ย 3.45% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.90% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดดอกเบี้ย 4.80% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.20% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% (MRR-2.20%) เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดดอกเบี้ย 4.95% ปีที่ 4 อัตราดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.85% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดดอกเบี้ย 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.96% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ที่คิดดอกเบี้ย 4.88% หมายเหตุ -ขอสินเชื่อตั้งแต่ 1 ก.ค. – 30 ก.ย. 64 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายใน 30 ก.ค. 64 -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาครยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.35% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ​(Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น)​ -การอนุมัติสินเชื่อ​เป็นไปตำมหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ  7.35% ต่อปี ​(ตามประกาศธนาคารณ วันที่ 1 เม.ย. 64) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย​ MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้​ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ​เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร​ -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย ​(ใบอนุญาตประกันชีวิต​เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาสภัย​ เลขที่ ว.00020/2546) ทำหนี่เสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ​จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย คือ โฮมโลน โดนใจ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 2.00% โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.00% (MRR-5.35%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.80% (MRR-3.55%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10%  (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 2 ปีแรก) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.20% (MRR-3.15%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.55% (MRR-4.80%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 4 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.75% (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 3 ปีแรก) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1%  ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใดๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ล้านละ 3,500 บาท  กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่** -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 4.60% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.10% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.35% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่างๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่ 1 ก.ค. – 30 ก.ย. 64 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีสินเชื่อบ้าน ดอกเบี้ยต่ำ ผ่อนสบาย ปีแรก 0.50% ผ่อนสบาย ล้านละ 4,000 บาทต่อเดือน นาน 1 ปี โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ กรณีทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 0.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.025% (MRR-2.22%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป อัตราดอกเบี้ย 5.245% (MRR-1.00%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.850% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.327% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 0.750% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.275% (MRR-1.970%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.245% (MRR-1.00%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.100% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.424%   เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยโปรโมชั่น 1.ต้องสมัครบริการ MyMo และผลิตภัณฑ์/บริการอื่นของธนาคารเพิ่มอย่างน้อย 2 ประเภท ได้แก่ บัตรอิเล็กทรอนิกส์/ บัตรเครดิต หรือ สินเชื่อบัตรเงินสด / ชำระสินเชื่อหักผ่านบัญชี / ประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ทั้งนี้ หากลูกค้ใช้ผลิตตภัณฑ์/ บริการ ตามที่กหนดอยู่แล้วสามารถใช้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้ กรณีไม่มี Smartphone ให้สมัครผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นของธนาคารตามที่กำหนดทดแทนได้ 2.กรณีไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด 3 ปี ทุกกรณี คิดค่าธรรมเนียมตามอัตราที่ธนาคารกระกาศกำหนด เรื่อง อัตราค่าธรรมเนียมบริการประเภทต่าง ๆ (ปัจจุบัน 3% ของยอดเงินต้นคงเหลือ) 3.สินเชื่อเคหะ สามารถเลือกชำระแบบผ่อนต่ำ โดยเงินงวดผ่อนชำระต่อจำนวนเงินกู้สินเชื่อเคหะ 1 ล้านบาท ปีที่ 1 เท่ากับ 4,000 บาท /เดือน ยกเว้น กรณีกู้ปลูก​สร้าง/ต่อเติมซ่อมแซม ไม่สามารถเลือกชำระแบบผ่อนต่ำได้ หมายเหตุ 1.ประกัน หมายถึง ประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ 2.อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR=6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) 3.อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระ 20 ปี     บทความที่เกี่ยวข้อง อัพเดท ดอกเบี้ยเงินกู้ รีไฟแนนซ์บ้าน เดือนกรกฎาคม 2564 อัพเดท ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน-คอนโด เดือนมิถุนายน 2564
“ออริจิ้น”โชว์พรีเซลครึ่งปีแรก ทำยอดทะลุ 54% ของเป้าทั้งปี 

“ออริจิ้น”โชว์พรีเซลครึ่งปีแรก ทำยอดทะลุ 54% ของเป้าทั้งปี 

“ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” โชว์ยอดพรีเซลครึ่งปีแรก 15,700 ล้าน ทะลุ 54% ของเป้าหมายทั้งปี ขณะที่ไตรมาส 2 กวาดยอดขายไป 8,000 ล้าน ส่วนไตรมาส 3 เล็งส่ง 5 โครงการใหม่ เจาะหลากเซ็กเมนท์ ดันยอดขายสู่ 29,000 ล้านบาท สร้างสถิติใหม่ All Time High ตามเป้า    นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI   เปิดเผยถึงยอดขายในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564  ว่า บริษัทมียอดขายสะสมแล้วกว่า 15,700 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปี 2563 ถึง 37% และคิดเป็นสัดส่วน 54% ของเป้าหมายปีนี้ ที่ตั้งไว้ 29,000 ล้านบาท  โดยเฉพาะในช่วงไตรมาส 2/2564 บริษัทมียอดขายกว่า 8,000 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปี 2563 ราว 22%   สำหรับยอดขายในไตรมาส 2 มูลค่า 8,0000 ล้านบาท ​ แบ่งเป็นยอดขายจากกลุ่มบ้านจัดสรร 25% และกลุ่มคอนโดมิเนียม 75% หากแบ่งตามสถานะโครงการ มี ยอดขายจากโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) สัดส่วน 71% และยอดขายจากกลุ่มโครงการที่เพิ่งเปิดขายหรืออยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง (Ongoing) สัดส่วน​ 29% โดยโครงการที่มีส่วนสำคัญในการสร้างยอดขายใหม่ช่วงไตรมาส 2/2564 คือ โครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน (Investment Property) แบรนด์แรกของบริษัทอย่าง แฮมป์ตัน (Hampton) และแบรนด์บ้านจัดสรรมิกซ์โปรดักส์ (Mixed Products) บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮมระดับไฮเอนด์-ลักชัวรีอย่าง แกรนด์ บริทาเนีย (Grand Britania)    ล่าสุด แฮมป์ตัน ศรีราชา โครงการร่วมทุนกับกลุ่มดุสิตธานีสามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า 90% ถือเป็นก้าวแรกของความสำเร็จในการเข้าสู่ตลาด Investment Property ขณะเดียวกัน แกรนด์ บริทาเนีย ราชพฤกษ์-พระราม 5 บ้านจัดสรรในฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ ที่เพิ่งเปิดขายอย่างเป็นทางการในช่วงไตรมาส 2/2564 ก็ได้กระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้าอย่างมากเช่นเดียวกัน   นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า  นอกจากยอดขายในฝั่งโครงการเปิดตัวใหม่ เรายังใช้ความเข้าใจใน Insight ของผู้บริโภคมาเป็นแนวทางในการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง อาทิ การจัดแคมเปญ Final War, Final Price เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงคอนโดมิเนียมไฮเอนด์คุณภาพในราคาสุดคุ้ม การงัดกลยุทธ์ Online Marketing  มาประยุกต์สร้างช่องทางขายเชิงรุกใหม่ผ่าน Property Live การจับมือกับ Bitkub เพิ่มช่องทางการซื้อขายให้แก่ผู้บริโภคด้วยคริปโทเคอร์เรนซี   การปรับตัวทั้งหมดถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เรายังรักษาการเติบโตของยอดขายได้อย่างยอดเยี่ยม แม้ในช่วงที่ภาคเศรษฐกิจจะได้รับแรงกดดันจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอก 3 สำหรับสถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงครึ่งปีหลัง ยังอยู่ในช่วงต้องจับตาดูสถานการณ์ภาพรวมของประเทศอย่างใกล้ชิด อาทิ มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดและการเยียวยาภาคส่วนต่างๆ ของภาครัฐ ความเร็วของการกระจายการฉีดวัคซีนเพื่อให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่ (Herd Immunity) หากภาครัฐสามารถดำเนินการเรื่องดังกล่าวได้ดี จะช่วยให้เศรษฐกิจภาพรวมและภาคอสังหาริมทรัพย์ได้อานิสงส์ไปด้วย อย่างไรก็ดี ออริจิ้น จะเดินหน้าปรับตัวให้พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ ควบคู่กับการเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ตามแผนงานที่วางไว้ โดยในไตรมาส 3/2564 บริษัทจะเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 4,580 ล้านบาท ได้แก่ บริทาเนีย ติวานนท์-ราชพฤกษ์ และบริทาเนีย ราชพฤกษ์-นครอินทร์ ต่อยอดความสำเร็จของบ้านจัดสรรฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ โครงการแฮมป์ตัน ระยอง ต่อยอดความสำเร็จตลาด Investment Property รวมถึงแบรนด์ใหม่ “ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์” (Origin Plug & Play) คอนโดมิเนียมเจาะกลุ่มสตาร์ทอัพ ภายใต้ชื่อออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ รามคำแหง ทริปเปิ้ล สเตชั่น และแบรนด์ “บริกซ์ตัน” (Brixton) เจาะกลุ่มความต้องการเฉพาะ (Affordable Niche) อย่างบริกซ์ตัน เพ็ท แอนด์ เพลย์ สุขุมวิท 107 คอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้โครงการแรกของบริษัท เชื่อมั่นว่าจากความเข้าใจ Insight ของผู้บริโภค และความสามารถในการปรับตัวอย่างรวดเร็ว จะส่งผลให้บริษัทสามารถสร้างสถิติยอดขาย All Time High ได้ตามเป้า    
LGBTQ+ เลือกซื้อที่อยู่อย่างไร ในไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย

LGBTQ+ เลือกซื้อที่อยู่อย่างไร ในไลฟ์สไตล์ที่หลากหลาย

ชาว LGBTQ+ หรือกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ ปัจจุบันมีบทบาทสำคัญในทุกธุรกิจและสังคม แม้ว่าอาจจะมีบางสังคมหรือประเทศ ยังไม่ได้ให้สิทธิและเสรีภาพเท่าเทียมกับเพศชายและหญิงทั่วไปก็ตาม แต่ต้องยอมรับว่ากลุ่มคนเหล่านี้ มีส่วนสำคัญต่อการสร้างสรรค์และพัฒนาสังคมในหลายเรื่องด้วยกัน   นอกจากนี้ ยังถือว่าเป็นกลุ่มคนที่มีบทบาทสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจ เพราะมีอำนาจในด้านการใช้จ่ายเงินสูง จากการประสบความสำเร็จในสายอาชีพต่าง ๆ มีรายได้สูง แต่ไม่มีภาวะด้านการเลี้ยงดูบุตร และเป็นกลุ่มคนที่ให้ความสำคัญต่อการใช้จ่าย เพื่อสร้างความสุขให้กับตนเอง ​ ข้อมูลจากรายงาน LGBT GDP, WEALTH & TRAVEL DATA 2018 โดย LGBT Capital คาดการณ์ว่าทั่วโลกมีจำนวนประชากรกลุ่ม LGBTQ+ ประมาณ 6.5% หรือประมาณ 496 ล้านคน อยู่ในแถบเอเชียประมาณ 293 ล้านคน โดยประชากร LGBTQ+ ชาวไทยมีถึง 4.5 ล้านคน ซึ่งผู้บริโภคกลุ่มนี้มีกำลังซื้อและพฤติกรรมการใช้เงินในระดับดี มีการประมาณส่วนแบ่งความมั่งคั่งในครัวเรือนของผู้บริโภค LGBTQ+ ชาวไทยอยู่ที่ 28,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ งานวิจัยของเอาท์ นาว คอนซัลติ้ง ร่วมกับ เวิลด์ ทราเวล มาร์เก็ต (WTM) เผยว่าชาว LGBTQ+ ใช้จ่ายไปกับการท่องเที่ยวสูงถึง 200,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีเลยทีเดียว เนื่องจากการที่ชาว LGBTQ+ ส่วนใหญ่มักไม่มีบุตรจึงไม่มีภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ จึงเลือกวางแผนชีวิตอย่างเป็นรูปแบบและใช้จ่ายเพื่อซื้อความสุขให้ตัวเองตามไลฟ์สไตล์ที่สนใจมากขึ้นแทน   ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มชาวLGBTQ+ ก็มีบทบาทสำคัญ เพราะมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย เพื่อใช้ในการพักผ่อนและทำกิจกรรมต่าง ๆ แต่กลุ่มคนเหล่านี้ มักจะมีความชื่นชอบและความหลากหลายในการเลือกซื้อของใช้ ซึ่งเป็นไปตามไลฟ์สไตล์ของตนเอง  แต่ที่สำคัญกลุ่มชาว LGBTQ+ มักจะเลือกซื้อที่ดีมีคุณภาพ และตอบโจทย์ความต้องการและไลฟ์สไตล์ของพวกเขาอย่างแท้จริง ซึ่งไม่เว้นการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ​​   ข้อมูลจากผลสำรวจ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study พบว่า ความต้องการของชาว LGBTQ+ ทางด้านตลาดอฯ นั้น ยังสอดคล้องกับผู้บริโภคส่วนใหญ่ โดยมีปัจจัยภายในที่ผู้บริโภคชาวไทยให้ความสำคัญ เมื่อต้องเลือกซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัย ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การพิจารณาขนาดที่อยู่อาศัยมาก่อนถึง 48% ตามมาด้วยความครบครันของสิ่งอำนวยความสะดวก (44%) และความคุ้มค่าของราคาเฉลี่ยต่อพื้นที่ใช้สอย (38%) ในขณะที่ปัจจัยภายนอกโครงการที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยนั้น ผู้บริโภคเกินครึ่ง (54%) ให้ความสำคัญเรื่องทำเลที่ตั้งมากที่สุด ตามมาด้วยความสะดวกสบายจากการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ (50%) และความปลอดภัยในโครงการ (45%) 4 อินไซต์ วิธีเลือกที่อยู่อาศัยชาว LGBTQ+ ชาว LGBTQ+ เป็นกลุ่มคนที่เต็มที่ในทุกเรื่องแบบ “Work hard, play harder” ไม่เว้นแม้แต่การเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งหลายคนอาจจะเข้าใจว่า คนกลุ่มนี้ชื่นชอบที่จะพักอาศัยในคอนโดเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้วไลฟ์สไตล์ของชาว LGBTQ+ มีความหลากหลายมากกว่านั้น แต่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง แถมยังมีความคิดสร้างสรรค์เป็นเลิศ ลองมาดูกันว่าสไตล์การเลือกที่อยู่อาศัยของชาว LGBTQ+ เป็นอย่างไรบ้าง 1.พื้นที่ใช้สอยคุ้มค่า รองรับชีวิตแบบมัลติไลฟ์สไตล์ ชาว LGBTQ+ มีรูปแบบการใช้ชีวิตที่หลากหลาย จะเห็นได้จากกิจกรรมยามว่างที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นการร่วมสังสรรค์/ปาร์ตี้เพื่อเข้าสังคม พักผ่อนภายในบ้านกับงานอดิเรกไม่ว่าจะเป็นสร้างมุมปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว แยกมุมทำงานเป็นสัดส่วน โซนอเนกประสงค์ไว้เล่นเกมหรือทำกิจกรรมสานสัมพันธ์กับคนในครอบครัวและเพื่อนฝูง   นอกจากนี้ ชาว LGBTQ+ ส่วนใหญ่เลือกที่จะไม่มีบุตร จึงนิยมมีงานอดิเรก เช่น เลี้ยงสัตว์เป็นเพื่อนแก้เหงา ที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่ในการทำกิจกรรมนอกบ้านจึงจำเป็นไม่แพ้กัน บ้านหรือคอนโดที่มีพื้นที่ใช้สอยเพียงพอรองรับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายเหล่านี้ รวมทั้งการมีพื้นที่ส่วนกลางที่มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันจึงเป็นตัวแปรลำดับแรก ๆ 2.สุขนิยม สุขภาพดีทั้งกายและใจต้องมา ผู้บริโภคกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และรูปร่าง จึงให้ความสนใจในเรื่องสุขภาพมาเป็นอันดับต้น ๆ โครงการอสังหาฯ ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางที่ตอบโจทย์พฤติกรรมเพื่อสุขภาพนี้ จะได้คะแนนจากผู้บริโภคที่อยู่ระหว่างการเลือกหรือตัดสินใจซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัย สอดคล้องกับข้อมูลจากผลสำรวจ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study ล่าสุด พบว่า สิ่งอำนวยความสะดวกยอดนิยมในคอนโดหรืออพาร์ตเมนต์ที่ผู้บริโภคเลือกใช้บริการบ่อยที่สุดจะเน้นไปที่การออกกำลังกายเพื่อดูแลสุขภาพมาเป็นอันดับต้น ๆ โดยเกือบครึ่งของผู้บริโภค (47%) เลือกใช้บริการที่ออกกำลังกายเพื่อดูแลสุขภาพเป็นประจำ ตามมาเกือบ 1 ใน 3 ใช้บริการสระว่ายน้ำ (32%) และห้องโถงอเนกประสงค์ 13% 3.ชอบการท่องโลกออนไลน์ อินเทอร์เน็ตต้องพร้อมใช้ ข้อมูลจากผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2562 ของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA พบว่า LGBTQ+ เป็นกลุ่มที่ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดถึง 11 ชั่วโมง 20 นาทีต่อวัน ถือว่าสูงที่สุดเมื่อเทียบกับเพศชายและหญิง เมื่อรวมกับเทรนด์ในปัจจุบันประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 สะท้อนให้เห็นว่าพฤติกรรมของชาว LGBTQ+ มีการใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตในหลายมิติมากขึ้นไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์คอนเทนต์หลากหลายรูปแบบ ฝึกฝนและเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ หรือใช้เป็นช่องทางในทำธุรกิจบนโลกออนไลน์ ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานสัญญาณอินเทอร์เน็ตของโครงการที่มีคุณภาพและเสถียรต้องตอบโจทย์นี้ ไม่ว่าจะอยู่ภายในที่อยู่อาศัยหรือพื้นที่ส่วนกลาง 4.ใส่ใจการออกแบบ สะท้อนตัวตนผู้อยู่ ความพิถีพิถันใส่ใจทุกรายละเอียด เป็นอีกอัตลักษณ์ที่โดดเด่นของชาว LGBTQ+ ซึ่งรวมถึงเรื่องที่อยู่อาศัยที่สะท้อนตัวตนได้เป็นอย่างดีพอ ๆ กับการดูแลรูปลักษณ์ภายนอกหรือเครื่องแต่งกาย ผู้บริโภคจะพิจารณาการออกแบบและตกแต่งที่สะท้อนบุคลิกอย่างมีสไตล์ การออกแบบเป็นเอกลักษณ์ชัดเจน รวมถึงการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่เข้ากันกับบ้าน "กฎหมาย" อุปสรรคการซื้อบ้าน​ชาว LGBTQ+    แม้สังคมไทยปัจจุบันจะเปิดรับความหลากหลายทางเพศมากขึ้น แต่ยังไม่มีการรับรองความสัมพันธ์แบบคู่ชีวิตอย่างเป็นทางการ จึงส่งผลต่อการทำธุรกรรมของชาว LGBTQ+ เมื่อต้องการซื้ออสังหาฯ จึงเป็นข้อจำกัดสำคัญของคู่รักชาว LGBTQ+ ที่ต้องการใช้สิทธิกู้ร่วมไม่น้อย โดยทั่วไปแล้วการขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของชาว LGBTQ+ หากเป็นการกู้เพียงลำพังก็สามารถดำเนินการยื่นขอสินเชื่อได้ทันทีไม่ต่างจากเพศชายและเพศหญิง แต่ไม่สามารถขอสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยในฐานะผู้กู้ร่วมได้เฉกเช่นคู่รักทั่วไปได้ เนื่องจากไม่เข้าเงื่อนไขของธนาคารที่ระบุว่าผู้กู้ร่วมนั้นจะต้องเป็นบุคคลที่มีความใกล้ชิดกัน เป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์ร่วมเชื้อสายเดียวกัน เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง หรือเป็นชายหญิงที่เป็นคู่สมรสกัน ซึ่งจะจดทะเบียนหรือไม่จดทะเบียนก็ได้ ในขณะที่ปัจจุบันกฎหมายไทยยังไม่รองรับการจดทะเบียนสมรสของคู่รัก LGBTQ+ จึงทำให้ความสัมพันธ์ดังกล่าวไม่มีผลทางนิตินัยไปโดยปริยาย ​   นอกจากนี้ ธนาคารประเมินว่าความเสี่ยงของการกู้ร่วมของกลุ่ม LGBTQ+ สูงกว่าของคู่สมรสชายหญิง และก็สูงกว่าการกู้ร่วมของชายหญิงที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส การรับรู้ความเสี่ยงที่สูงกว่านี้เป็นปัจจัยที่ธนาคารอาจพิจารณาให้วงเงินกู้ที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการกู้ร่วมของคู่สมรสที่จดทะเบียนสมรส ทำให้ชาว LGBTQ+ อาจไม่ได้รับวงเงินสินเชื่อตามที่ตั้งเป้าไว้ หรือต้องปรับลดสเปกที่อยู่อาศัยที่ต้องการลงมา ซึ่งชาว LGBTQ+ ต่างรอติดตามความคืบหน้าของร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิต พ.ศ. ... และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่...) พ.ศ. ... ว่าจะเข้ามาช่วยลดช่องว่างของปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไรบ้าง   แม้ร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิต พ.ศ. ... และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่...) พ.ศ. ... จะยังไม่รับรองสถานะของคู่รัก LGBTQ+ ทำธุรกรรมกู้ร่วมตามกฎหมายเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยได้ในเวลานี้ อย่างไรก็ดีเวลานี้มีสถาบันการเงินหลายแห่งที่เปิดโอกาสให้คู่ LGBTQ+ สามารถยื่นเรื่องกู้สินเชื่อร่วมกันได้ภายใต้เงื่อนไขในการพิจารณาของแต่ละสถาบันฯ      
ตลาดที่อยู่อาศัย 4 จังหวัดภาคใต้ อัตราดูดซับต่ำ เหลือขายเฉียด 16,000 ยูนิต

ตลาดที่อยู่อาศัย 4 จังหวัดภาคใต้ อัตราดูดซับต่ำ เหลือขายเฉียด 16,000 ยูนิต

4 จังหวัดภาคใต้ ได้แก่ จังหวัดภูเก็ต สงขลา สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช ถือเป็นจังหวัดสำคัญอันดับต้น ๆ ต่อภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ เพราะเป็นจังหวัดที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจสูง จากหลากหลายธุรกิจ ทั้งภาคการท่องเที่ยว การค้า และอสังหาริมทรัพย์ เพราะถือเป็นจังหวัดจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยว และพักอาศัยสำคัญของไทยแห่งหนึ่ง แต่การเกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้หลายธุรกิจได้รับผลกระทบอย่างหนักโดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวและอสังหาฯ ครึ่งหลัง ปี 63 ที่อยู่อาศัยเหลือขาย 15,952 ยูนิต สำหรับธุรกิจอสังหาฯ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้ทำการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายใน 4 จังหวัดดังกล่าว  โดยเป็นผลสำรวจในช่วงครึ่งหลัง ปี 2563 และเป็นการสำรวจโครงการบ้านจัดสรรและอาคารชุด (คอนโดมิเนียม) ที่มียูนิตเหลือขายไม่ต่ำกว่า  6 ยูนิต โดยในช่วงที่ทำการสำรวจพบว่ามีจำนวนยูนิตที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างขาย ณ ครึ่งหลัง ปี 2563  พบว่า มีทั้งหมด 339 โครงการ จำนวน 17,765 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 77,296 ล้านบาท จำแนกเป็นโครงการบ้านจัดสรร 257 โครงการ 10,592 ยูนิต มูลค่า 43,780 ล้านบาท และโครงการคอนโด 82 โครงการ 7,173 ยูนิต มูลค่า 33,516 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวมียูนิตเหลือขายของบ้านจัดสรรและคอนโดจำนวน 15,952 ยูนิต มูลค่ายูนิตเหลือขาย 70,632 ล้านบาท และในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 มีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่จำนวน 1,813 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 6,664 ล้านบาท   ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIC เปิดเผยว่าการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่ภาคใต้ ในพื้นที่ที่ทำการสำรวจ มีอัตราการเปลี่ยนแปลงของยูนิตที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายลดลง -0.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 (YoY) และต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 6 Half ล่าสุด โดยเป็นการลดลงของบ้านจัดสรร -6.6% และ แต่คอนโดเพิ่มขึ้น 9.6% เมื่อพิจารณาจากอัตราการเปลี่ยนแปลงของโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ มีจำนวนยูนิตลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562 -19.2% และยูนิตขายได้ใหม่มีอัตราการเปลี่ยนแปลงลดลง -32.8% ส่งผลให้ยูนิตเหลือขายกลับมีอัตราการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้น  5.0% เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งแรกของปี 2562   โดยภาพรวมพบว่าที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขาย ณ ครึ่งหลังปี 2563 ของภาคใต้ลดลงเกือบทุกจังหวัด โดยจังหวัดสุราษฎร์ธานีมีการลดลงมากที่สุด -8.8% รองลงมาคือ จังหวัดนครศรีธรรมราช ลดลง -3.8% จังหวัดภูเก็ต ลดลง -2.2% ซึ่งจังหวัดสงขลาเป็นจังหวัดเดียวที่มีจำนวนที่อยู่อาศัยอยู่ระหว่างการขายเพิ่มขึ้น 11.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562  โดยจังหวัดสงขลาเป็นพื้นที่ที่มียูนิตเปิดขายใหม่มากที่สุด รวม 1,260 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 4,017 ล้านบาท รองลงมาคือ จังหวัดภูเก็ต มียูนิตเปิดขายใหม่รวม 423 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 1,836  ล้านบาท ส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี  มียูนิตเปิดขายใหม่รวม 324 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 998 ล้านบาท   อย่างไรก็ตามจำนวนยูนิตเหลือขาย และยูนิตขายได้ใหม่ ยังคงเป็นประเด็นที่น่าจับตาโดย ณ ครึ่งหลัง ปี 2563 ในภาคใต้ มีอุปทานเหลือขายจำนวน 15,952 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 70,632 ล้านบาท จำแนกเป็นบ้านจัดสรร 9,798 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 40,753 ล้านบาท และคอนโด 6,154 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 29,879 ล้านบาท เมื่อแยกตามสถานะของการก่อสร้างของยูนิตเหลือขายทั้งหมด พบว่า ส่วนใหญ่  45.5% อยู่ระหว่างการก่อสร้าง รองลงมา  34.4% ยังไม่ก่อสร้าง และที่เหลือ  20.0% ก่อสร้างเสร็จแล้ว หากแยกตามประเภทที่อยู่อาศัยพบว่า บ้านจัดสรรส่วนใหญ่ 42.6%  อยู่ระหว่างก่อสร้าง โดยยังไม่ก่อสร้าง 35.8% และสร้างเสร็จแล้ว 21.6% ส่วนคอนโดส่วนใหญ่อยู่ระหว่างก่อสร้าง 50.2%  ยังไม่ก่อสร้าง 32.3% และสร้างเสร็จแล้ว 17.5% ตามลำดับ ปี 64 เปิดตัวใหม่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยกว่า 5,000 ยูนิต ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้ประมาณการทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยภาคใต้ในพื้นที่สำรวจ ปี 2564 โดยคาดว่า ณ ครึ่งแรกปี 2564 จะมีที่อยู่อาศัยรอการขายจำนวน 16,738 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 76,070 ล้านบาท และเพิ่มขึ้นเป็น 16,941 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 76,697 ล้านบาท ในครึ่งหลังปี 2564 ในขณะที่อัตราดูดซับต่อเดือนของบ้านจัดสรร คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ 1.1% ในครึ่งแรกปี 2564 และอยู่ที่ 1.2% ในครึ่งหลังปี 2564 ส่วนอัตราดูดซับต่อเดือนของคอนโดคาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ 1.4% ในครึ่งแรกปี 2564 และอยู่ที่ 1.5% ในครึ่งหลังปี 2564   สำหรับการเคลื่อนไหวด้านการเปิดตัวโครงการใหม่ประมาณการว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยคาดว่าจะมีการเปิดโครงการใหม่ประมาณ 2,308 ยูนิต ในครึ่งแรกปี 2564 และเปิดใหม่อีก  2,711 ยูนิต ในครึ่งหลังปี 2564 ในขณะที่จำนวนยูนิตการโอนกรรมสิทธิ์ ณ ครึ่งแรกปี 2564 คาดว่าจะมีจำนวนประมาณ  8,663 ยูนิต มูลค่า 22,400 ล้านบาท และยูนิตโอนกรรมสิทธิ์จะเพิ่มขึ้นมาเป็น 9,893 ยูนิต มูลค่า 25,125 ล้านบาท ในครึ่งหลัง ปี 2564  ภูเก็ตครึ่งหลังปี 63 ขายได้ใหม่ลด 72.5% ผลสำรวจจังหวัดภูเก็ต จำนวนที่อยู่อาศัยอยู่ระหว่างการขาย ณ ครึ่งหลังปี 2563 มีอัตราลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562  -2.2% โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 9,044 ยูนิต ในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการบ้านจัดสรร 3,384 ยูนิต หรือ 37.4% เป็นโครงการคอนโด 5,660 ยูนิต หรือ 62.6% และเป็นโครงการเปิดขายใหม่ในครึ่งหลังปี 2563 เพียง 423 ยูนิต มีอัตราลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562 -65.0% มียูนิตขายได้ใหม่จำนวน 443 ยูนิต ซึ่งการขายได้ใหม่นี้มีอัตราลดลงถึง -72.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน   โดยมียูนิตเหลือขายสะสมจำนวน 8,601 ยูนิต หรือเพิ่มขึ้น 12.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 เมื่อจำแนกตามราคาพบว่ายูนิตเหลือขายส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท โดยมีจำนวน 3,383 ยูนิต ขณะที่ยูนิตขายได้ใหม่มากที่สุดก็ยังคงอยู่ในช่วงราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 170 ยูนิต   สำหรับยูนิตเหลือขายที่สร้างเสร็จ หรือ Inventory ในครึ่งหลัง ปี 2563 ในจังหวัดภูเก็ต มีจำนวนยูนิตทั้งหมด 1,335 ยูนิต เป็นคอนโด 878 ยูนิต คิดเป็น 65.8% ของ Inventory ทั้งหมด และบ้านจัดสรร 457 ยูนิต คิดเป็น 34.2%  ของ Inventory ทั้งหมด ปี 64 คาดที่อยู่เปิดใหม่ภูเก็ต กว่า 3,000 ยูนิต โดยทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดภูเก็ต ปี 2564 คาดการณ์ว่าในช่วง H1/64 โครงการเปิดขายใหม่ จะสูงกว่า H1/63  6.3% และ H2/64 จะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจาก H2/63   296.7% รวมคาดว่ามียูนิตเปิดใหม่ปี 2564 จำนวน 3,005 ยูนิต มูลค่า 17,045 ล้านบาท ด้านยูนิตขายได้ใหม่ ช่วง H1/64 จะต่ำกว่า H1/63  -19.8% โดย H2/64 จะเพิ่มขึ้น  47.2% จาก H2/63 ยูนิตขายได้รวมปี 2564 คาดว่าจะมี 1,246 ยูนิต มูลค่า 5,402 ล้านบาท ส่วนยูนิตเหลือขาย H1/64 จะเพิ่มจาก H1/63  3.5% ส่วน H2/64 จะลดลง  -1.5% เมื่อเทียบกับ H2/63 สำหรับยูนิตเหลือขาย ณ สิ้นปี 2564 จะมีประมาณ 8,468 ยูนิต มูลค่า 47,775 ล้านบาท   ด้านอุปสงค์ การโอนกรรมสิทธิ์ H1/64 ยูนิตโอนกรรมสิทธิ์จะเพิ่มขึ้นจาก H1/63  19.9% และมูลค่าโอนฯจะเพิ่มขึ้น 20.0% ส่วน H2/64 มีแนวโน้มว่ายูนิตโอนกรรมสิทธิ์จะเพิ่มขึ้นจาก H2/63   19.1% และมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์จะเพิ่มขึ้น  21.8% เมื่อเทียบกับ H2/63 โดย ปี 2564 มียูนิตโอนกรรมสิทธิ์รวมประมาณ 6,374 ยูนิตมูลค่ารวม 21,161 ล้านบาท สงขลาครึ่งปีหลัง 63 เปิดใหม่ 1,260 ยูนิต ผลสำรวจจังหวัดสงขลา จำนวนที่อยู่อาศัยอยู่ระหว่างการขายมีอัตราเพิ่มขึ้น 11.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 4,250 ยูนิต ในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการบ้านจัดสรร 2,951 ยูนิต หรือ 69.4% เป็นโครงการคอนโด 1,299 ยูนิต หรือ 30.6% และเป็นโครงการเปิดขายใหม่ในครึ่งหลังปี 2563 จำนวน 1,260 ยูนิต โดยเพิ่มขึ้น 49.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 สำหรับยูนิตขายได้ใหม่ มีจำนวน 950 ยูนิต ซึ่งการขายได้ใหม่นี้มีอัตราเพิ่มขึ้น 23.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน   โดยมียูนิตเหลือขายสะสมจำนวน 3,300 ยูนิต หรือเพิ่มขึ้น 8.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 เมื่อจำแนกตามราคาพบว่ายูนิตเหลือขายส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท โดยมีจำนวน 1,285 ยูนิต ขณะที่ยูนิตขายได้ใหม่มากที่สุดอยู่ในช่วงราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 473 ยูนิต ปี 64 คาดสงขลา ขายที่อยู่ได้แค่ 942 ยูนิต ตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดสงขลา คาดว่าในช่วง H1/64 ยูนิตเปิดใหม่จะสูงกว่า H1/63 19.5% และ H2/64 จะลดลง -54.0% จาก H2/63 โดยยูนิตเปิดใหม่รวมในปี 2564 คาดว่าจะมี 1,124 ยูนิต มูลค่า 3,991 ล้านบาท ยูนิตขายได้ใหม่ H1/64 จะต่ำกว่า H1/63  -8.9% ช่วง H2/64 จะยังคงลดลงต่อเนื่อง -46.3% จาก H2/63 ยูนิตขายได้รวมปี 2564 คาดว่าจะมี 962 ยูนิต มูลค่า 3,043 ล้านบาท สำหรับยูนิตเหลือขาย H1/64 ยูนิตเหลือขายจะเพิ่มจาก H1/63  16.9% และ H2/64 ยูนิตเหลือขายจะยังคงเพิ่มขึ้น  11.8% เมื่อเทียบกับ H2/63 สำหรับยูนิตเหลือขาย ณ สิ้นปี 2564 จะมีประมาณ 3,690 ยูนิต มูลค่า13,183 ล้านบาท ครึ่งหลังปี 63 จ.สุราษฎร์ฯ ที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ 324 ยูนิต ผลสำรวจจังหวัดสุราษฎร์ธานี จำนวนที่อยู่อาศัยอยู่ระหว่างการขายมีอัตราลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562  -8.8% โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 2,906 ยูนิต  ในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการบ้านจัดสรร 2,737 ยูนิต หรือ  94.2% เป็นโครงการคอนโด 169 ยูนิต หรือ 5.8% และเป็นโครงการเปิดขายใหม่ในครึ่งหลังปี 2563 จำนวน 324 ยูนิต มีอัตราลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2562  -41.7% มียูนิตขายได้ใหม่จำนวน 331 ยูนิต ซึ่งการขายได้ใหม่นี้มีอัตราเพิ่มขึ้นในอัตรา 39.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมียูนิตเหลือขายสะสมจำนวน 2,575 ยูนิต หรือลดลง -12.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 เมื่อจำแนกตามราคาพบว่ายูนิตเหลือขายส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท โดยมีจำนวน 1,147 ยูนิต ขณะที่ยูนิตขายได้ใหม่มากที่สุดอยู่ในช่วงราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 94 ยูนิต ปี 64 จ.สุราษฎร์ฯ คาดโอนที่อยู่อาศัย 9,707 ล้าน สำหรับทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดสุราษฎร์ธานี ยูนิตเปิดขายใหม่ H1/64 จะสูงกว่า H1/63   926.5% โดย H2/64 จะเพิ่มขึ้น 12.7% จาก H2/63 ส่วนยูนิตเปิดใหม่รวมปี 2564 คาดว่าจะมี 714 ยูนิต มูลค่า 2,445 ล้านบาท โดยยูนิตขายได้ใหม่ H1/64 จะสูงกว่า H1/63  59.8% ส่วน H2/64 จะลดลง -27.8% จาก H2/63 ซึ่งยูนิตขายได้รวมในปี 2564 คาดว่าจะมี 450 ยูนิต มูลค่า 1,270 ล้านบาท โดยคาดว่ายูนิตเหลือขาย H1/64 จะเพิ่มจาก H1/63 4.5%  และ H2/64 ยูนิตเหลือขายจะยังคงเพิ่มขึ้นอีก 16.7% เมื่อเทียบกับ H2/63 สำหรับยูนิตเหลือขาย ณ สิ้นปี 2564 จะมีประมาณ 3,006 ยูนิต มูลค่า 9,507 ล้านบาท   ในส่วนของการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย  H1/64 คาดว่าจำนวนยูนิตโอนฯ จะลดลงจาก H1/63  -7.3% แต่มูลค่าโอนฯ จะเพิ่มสูงขึ้น 20.6 และ H2/64 มีแนวโน้มว่ายูนิตโอนฯ จะเพิ่มจาก H2/63  29.9% และมูลค่าโอนฯ จะเพิ่มขึ้น 41.7%  เมื่อเทียบกับ H2/63 สำหรับยูนิตโอนและมูลค่าการโอนฯ รวมปี 2564 จะมีประมาณ 3,919 ยูนิต มูลค่า 9,707 ล้านบาท นครศรีธรรมราช ครึ่งหลัง 63 เปิดเพิ่ม 97 ยูนิต ผลสำรวจจังหวัดนครศรีธรรมราช พบว่ามีจำนวนที่อยู่อาศัยอยู่ระหว่างการขาย ณ ครึ่งหลังปี 2563  มีอัตราลดลง -3.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 1,565 ยูนิต ในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการบ้านจัดสรร 1,520 ยูนิต หรือ 97.1% เป็นโครงการคอนโด 45 ยูนิต หรือ 2.9 % และเป็นโครงการเปิดขายใหม่ในครึ่งหลังปี 2563 จำนวน เพียง 97 ยูนิต ซึ่งทั้งหมดเป็นโครงการบ้านจัดสรร หรือเพิ่มขึ้นในอัตรา  100% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 สำหรับยูนิตขายได้ใหม่ มีจำนวน 89 ยูนิต ซึ่งการขายได้ใหม่นี้มีอัตราเพิ่มขึ้น 3.5 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน   โดยมียูนิตเหลือขายสะสมจำนวน 1,476 ยูนิต หรือลดลง  -4.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 โดยเป็นโครงการบ้านจัดสรร 1,433 ยูนิต หรือคิดเป็นสัดส่วน  97.1% ของยูนิตเหลือขายทั้งหมด เมื่อจำแนกตามราคาพบว่ายูนิตเหลือขายส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท โดยมีจำนวน 816 ยูนิต ขณะที่ยูนิตขายได้ใหม่มากที่สุดก็ยังคงอยู่ในช่วงราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 43 ยูนิต ปี 64 ที่อยู่อาศัยจ.นครศรีธรรมราช เหลือขาย 1.778 ยูนิต สำหรับทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดนครศรีธรรมราช ยูนิตเปิดขายใหม่ H1/64 เพิ่มจาก H1/63 มาประมาณ 86 ยูนิต จากที่ H1/63 ไม่มียูนิตเปิดใหม่เลย โดย H2/64 คาดว่าจะลดลง  -9.3% จาก H2/63 ยูนิตเปิดใหม่รวมปี 2564 คาดว่าจะมี 174 ยูนิต มูลค่า 773 ล้านบาท ยูนิตขายได้ใหม่ H1/64 จะสูงกว่า H1/63  73.5%  ส่วน H2/64 จะลดลง -23.6% จาก H2/63 และยูนิตขายได้รวมปี 2564 คาดว่าจะมี 127 ยูนิต มูลค่า 441 ล้านบาท สำหรับยูนิตเหลือขาย H1/64 จะเพิ่มจาก H1/63 ประมาณ 13.7%  และ H2/64 ยูนิตเหลือขายจะยังคงเพิ่มขึ้น 20.5% เมื่อเทียบกับ H2/63 ยูนิตเหลือขาย ณ สิ้นปี 2564 จะมีประมาณ 1,778 ยูนิต มูลค่า 6,232 ล้านบาท   ด้านอุปสงค์ การโอนกรรมสิทธิ์ H1/64 ยูนิตโอนกรรมสิทธิ์จะลดลงจาก H1/63  -38.1% และมูลค่าโอนฯ จะลดลง  -21.4% สำหรับ H2/64 มีแนวโน้มว่ายูนิตโอนฯ จะเพิ่มจาก H2/63   8.9% และมูลค่าโอนฯ จะเพิ่มขึ้น   30.4% เมื่อเทียบกับ H2/63 ส่วนยูนิตโอนฯ และมูลค่าการโอนฯ รวมปี 2564 จะมีประมาณ 2,778 ยูนิต มูลค่า 5,640 ล้านบาท    
“เดอะ ฟอเรสเทียส์” ทำผลงานแค่ 3 เดือน  ยอดขายเพิ่มสองเท่าทะลุ 13,000 ล้าน​

“เดอะ ฟอเรสเทียส์” ทำผลงานแค่ 3 เดือน ยอดขายเพิ่มสองเท่าทะลุ 13,000 ล้าน​

"เดอะ ฟอเรสเทียส์" เผยยอดขายดีเกินคาด แค่ 3 เดือน ยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยรวม ทะลุ 13,000 ล้าน ​หลังคนเจอผลกระทบโควิด-19  หันมาให้ความสำคัญเรื่องการอยู่อาศัยในเมืองที่ให้สุขภาพที่ดี    นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) เปิดเผยว่า โครงการที่พักอาศัยต่าง ๆ ใน เดอะ ฟอเรสเทียส์ สามารถทำขายได้มากกว่า 7,000 ล้านบาท ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา ทำให้ล่า สุดยอดขายโครงการ ทะลุ 13,000 ล้านบาทแล้ว  โดยแบ่งเป็นยอดขาย คอนโดมิเนียมแบรนด์ มัลเบอร์รี โกรฟ และ ที่อยู่อาศัยแบรนด์ มัลเบอร์รี โกรฟ ใน เดอะ ฟอเรสเทียส์ ด้วยมูลค่ามากกว่า 6,300 ล้านบาท ตามมาด้วยคอนโดแบรนด์ วิสซ์ดอม ที่มียอดขายมากกว่า 3,000 ล้านบาท   ในช่วงระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมา จำนวนผู้ซื้อโครงการที่พักอาศัยใน เดอะ ฟอเรสเทียส์ มีจำนวนมากกว่าผู้ซื้อโครงการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่เราประกาศที่จะสร้างโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ให้เป็นเมืองที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพของผู้อยู่อาศัยเป็นอันดับแรก    นายกิตติพันธุ์ กล่าวอีกว่า  การที่ผู้คนให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพเพิ่มมากขึ้น เนื่องมาจากสถานการณ์โควิด-19 รวมถึงการได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันกับครอบครัวมากขึ้น เป็นการตอบโจทย์แนวคิดสำคัญของโครงการ ที่ผสานธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตประจำวัน และการออกแบบที่ส่งเสริมให้สมาชิกในครอบครัวจากหลากหลายเจเนอเรชั่นได้มาอยู่ด้วยกัน   ล่าสุดได้เปิด ฟอเรสต์ พาวิลเลียน ซึ่งออกแบบโดย Foster+Partners จัดแสดงห้องตัวอย่าง 11 ห้องจาก 3 โครงการที่อยู่อาศัยในเดอะ ฟอเรสเทียส์ ซึ่งได้รับความสนใจจากผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยให้เข้ามาเยี่ยมชมภายในโครงการ และ ช่วยให้ผู้สนใจเห็นภาพแนวคิดสำคัญในการพัฒนาโครงการของเรา รวมทั้งคุณภาพของการออกแบบและรูปแบบของที่อยู่อาศัยประเภทต่าง ๆ สำหรับโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 398 ไร่ บนพื้นที่ยุทธศาสตร์ EEC บนถนนบางนา-ตราด กม. 7  ประกอบไปด้วยโครงการที่พักอาศัยหลากหลายรูปแบบ พื้นที่สีเขียว และสวนสาธารณะ พื้นที่สำหรับกิจกรรมชุมชน และพื้นที่เชิงธุรกิจสำหรับร้านค้าและสำนักงาน โดย เดอะ ฟอเรสเทียส์ เป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยที่พัฒนาโดยบริษัทเอกชน   เดอะ ฟอเรสเทียส์ ประกอบไปด้วยที่อยู่อาศัยทั้งหมด 7 แบบ ซึ่งได้รับการออกแบบจัดสรรออกมาในหลายระดับราคาที่สอดคล้องสำหรับช่วงวัยต่างๆ และไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายรูปแบบ มุ่งเน้นการได้อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน พร้อมกับการเลือกใช้วัสดุและการออกแบบด้วยมาตรฐานคุณภาพสูงสุด โดยมีราคาเริ่มต้นตั้งแต่ประมาณ 5 ล้านบาท ไปจนถึง 250 ล้านบาท  โดยเดอะ ฟอเรสเทียส์ มีกำหนดสร้างเสร็จสมบูรณ์ทุกโครงการ ต้นปี 2567   ขณะที่อยู่อาศัยแบรนด์ มัลเบอร์รี โกรฟ ได้รับการออกแบบให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบครอบครัวคนไทย ที่มีหลากหลายเจนเนเรชั่นอาศัยอยู่ร่วมกัน โดยบ้าน มัลเบอร์รี โกรฟ แต่ละหลังจะมีขนาดที่แตกต่าง เชื่อมถึงกันได้ด้วยทางเดินพิเศษ มุ่งตอบโจทย์ครอบครัวใหญ่ให้สามารถใช้เวลาอยู่ร่วมกันอย่างใกล้ชิด แต่ยังคงมีความเป็นส่วนตัว และมีพื้นที่ที่แยกออกจากกัน เป็นแนวคิดรูปแบบใหม่ที่มีการออกแบบให้บ้านหลายขนาดเชื่อมต่อถึงกันเป็นคลัสเตอร์โฮม เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการเฉพาะของครอบครัว ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดย ‘มัลเบอร์รี โกรฟ วิลล่า’ ขายได้แล้วจำนวน 10 หลัง
พร็อพฟิต  เปิดแพลตฟอร์มออนไลน์ Propfit  ดึง 900 รายสร้างยอดขายอสังหาฯ​ 3,200 ล้าน

พร็อพฟิต เปิดแพลตฟอร์มออนไลน์ Propfit ดึง 900 รายสร้างยอดขายอสังหาฯ​ 3,200 ล้าน

พร็อพฟิต ลุยธุรกิจอสังหาฯ เปิดแพลตฟอร์มตัวแทนขายอสังหาฯ ออนไลน์ Propfit ชูคอนเซ็ปต์ ดีลครบจบง่ายได้มากกว่า หลังเห็น 2 ว่างโอกาสทางการตลาด ผู้บริโภคคุ้นเคยช้อปปิ้งออนไลน์​ และภาวะเศรษฐกิจผันผวน ดีเวลลอปเปอร์มองหาการทำงานที่ยืดหยุ่น ตั้งเป้าทำยอดขาย 3,200 ล้านบาท   นายฐิติพันธ์ เผ่าทรง ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานบริหารบริษัท พร็อพฟิต จำกัด (Founder & CEO) เปิดเผยว่า ได้เปิดตัว  Propfit (พร็อพฟิต) แพลตฟอร์มตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์รูปแบบใหม่ หรือ Online Agent Platform​ ที่ใช้เทคโนโลยีมาเพิ่มศักยภาพให้กับนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ ทำให้ช่วยปิดการขายได้รวดเร็ว และมีรายได้มากขึ้น โดยมีการ​ทำงานร่วมกับบริษัทพัฒนาอสังหาฯ ซึ่งถือเป็นโมเดลธุรกิจรูปแบบใหม่ที่จะมาปฏิวัติวงการตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์จากรูปแบบเดิม   “Propfit” เป็นแพลตฟอร์มตัวแทนขายอสังหาฯ ​ ด้วยรูปแบบการทำงานภายใต้คอนเซ็ปต์ “ดีลครบ จบง่าย  ได้มากกว่า” เป็นศูนย์รวมคอนโดฯ สำหรับนายหน้าอสังหาฯ  ที่สร้างช่องทางการเข้าถึงอสังหาฯ ​ในลักษณะการสร้างเครือข่ายในรูปแบบของ Online Agent Platform ที่มีขนาดใหญ่และมีความน่าเชื่อถือมากที่สุด สามารถเข้าถึงอสังหาฯ ครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยแพลตฟอร์มดิจิทัลทำหน้าที่เป็น “ตัวกลาง” ระหว่างเครือข่ายของ “ตัวแทนขาย/นายหน้าอสังหาริมทรัพย์” (Property Agent) และ “ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์” (Property Developer) ทั้งรายใหญ่ รายกลาง รายเล็ก ให้สามารถทำงานร่วมกันเพื่อปิดการขายโครงการอสังหาฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ Propfit จะช่วยลดต้นทุน จากการนำเสนอวิธีการขายในรูปแบบใหม่ โดยผู้ประกอบการฯ ไม่จำเป็นต้องมีต้นทุนสำหรับการตั้งทีมขายของตัวเอง ทำให้มีความยืดหยุ่นสูงในสภาพตลาดที่มีความผันผวน​ ด้วย 3 เครื่องมือสนับสนุนที่ใช้งานง่าย ได้แก่ 1.Stock inventory ช่วยให้สามารถเข้าถึงสต๊อกโครงการต่าง ๆ กว่า 8,000 ยูนิต 2.Proposal module สามารถส่งข้อมูลรายการให้ลูกค้าสะดวกและเรียลไทม์ 3.Sales Pipeline Management ระบบบริหารการขายประสิทธิภาพสูง (Free beta)   โดยเครือข่ายนายหน้าอสังหาฯ ​จะได้รับข้อมูลสนับสนุนจาก Propfit ทั้งด้านการตลาดและบริการด้านการขาย (Marketing & Sale Service ) แพล็ตฟอร์มของ Propfit  ยังมีข้อได้เปรียบสำหรับการทำงาน คือ “Matching Mechanism” หรือระบบที่ Propfit เก็บข้อมูลเป็นรายสัปดาห์ ที่จะช่วยจับคู่ระหว่างยูนิตคอนโดมิเนียมเข้ากับความถนัดเฉพาะตัวของแต่ละตัวแทนขาย/นายหน้าอสังหาฯ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากการที่ตัวแทนขายหรือนายหน้าอสังหาฯ ในแต่ละกลุ่มจะมีความถนัดเฉพาะตัว ทั้งในเรื่องของราคา พื้นที่ รวมถึงฐานลูกค้าที่แตกต่างกัน ดังนั้นการเลือกกลุ่มนายหน้าให้เหมาะกับโครงการ จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่จะดันให้นายหน้าสามารถปิดการขายได้รวดเร็ว   นอกจากนี้ Propfit ยังมีประสบการณ์ทำการตลาดให้กว่า 90 โครงการในเกือบทุกพื้นที่ของกรุงเทพฯ ผ่านแพล็ตฟอร์มดิจิทัล ที่มีข้อมูลลูกค้าครอบคลุมและอัปเดตอยู่ตลอดเวลา จึงเหมาะกับผู้ประกอบการฯ ที่เปิดโครงการใหม่ ซึ่งยังไม่เคยทำการตลาดจับกลุ่มลูกเป้าหมายในทำเลนั้น ๆ มาก่อน  โดยจะช่วยให้ทำการตลาดขายได้เร็วขึ้นและใช้งบประมาณน้อยลงด้วย นายฐิติพันธ์ กล่าวอีกว่า จากการมองเห็นช่องว่างธุรกิจจาก 2 ประเด็น คือหนึ่ง แม้ปัจจุบันผู้บริโภคจะคุ้นชินกับการซื้อขายออนไลน์เองโดยตรง แต่สินค้าประเภท high-Involvement อย่างอสังหาฯ ​ยังมีความจำเป็นที่ผู้บริโภคต้องเข้าเยี่ยมชมโครงการเพื่อเปรียบเทียบก่อนการตัดสินใจซื้อ จึงทำให้ที่ปรึกษาที่เชี่ยวชาญ พนักงานขาย และนายหน้ามีความสำคัญในกระบวนการขาย และการตัดสินใจของผู้บริโภค  ข้อสองคือความผันผวนของเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่าง 1-2 ปีนี้ เป็นตัวเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจากการทำธุรกิจในรูปแบบเดิม โดยเฉพาะองค์กรที่มีความยืดหยุ่นน้อย การบริหารทีมงานแบบเดิม ๆ จะสู้กับคู่แข่งที่ปรับตัวได้เร็วและดีกว่าไม่ได้ จึงนับเป็นข้อได้เปรียบขององค์กรขนาดกลางและขนาดย่อม   ทั้งนี้ หลังจากที่บริษัทเปิดตัว Propfit ในระยะเวลาเพียง 18 เดือน พบว่ามีการตอบรับที่เกินความคาดหมาย โดยได้รับการตอบรับจากผู้ประกอบการอสังหาฯ รายใหญ่ อาทิ เอพี, อนันดา, พฤกษา  แสนสิริ  และบริษัทพัฒนาอสังหาฯ รายกลาง อาทิ Asset 5 และ Divine Development รวมทั้งเครือข่ายนายหน้าอสังหาฯ ​ที่สนใจร่วมงานกับบริษัทมากกว่า 900 ราย และมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ​ จากโครงสร้างส่วนแบ่งคอมมิชชั่นที่สูงกว่าในระดับปกติ และการสนับสนุนด้านแพล็ตฟอร์มการทำงาน ที่ทำให้ปิดดีลได้ง่ายขึ้น สามารถเข้าถึงรายการอสังหาฯ ในสต๊อกกว่า 8,000 รายการ และรับลูกค้าจากระบบเพื่อเริ่มปิดการขายได้ทันที   โดยล่าสุด Propfit สามารถทำยอดขายคอนโด คิดเป็นมูลค่ารวม 2,000 ล้านบาท  ซึ่งนับเป็นบทพิสูจน์ถึงโมเดลธุรกิจใหม่ ที่มีประสิทธิภาพและเพิ่มขีดความสามารถให้กับธุรกิจได้โดยไม่มีข้อจำกัด ซึ่งบริษัทยังได้วางเป้าหมายทางธุรกิจ ด้วยการเป็นเครือข่ายนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในไทย ภายในระยะเวลา 2 ปี  โดยในปี 2564 บริษัทวางเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 3,200 ล้านบาท    
แอสเซทไวส์    เพิ่มทางเลือกแลกเงินดิจิทัล  จับมือ​ “Bitkub” ขยายฐานลูกค้า  New Gen  

แอสเซทไวส์   เพิ่มทางเลือกแลกเงินดิจิทัล จับมือ​ “Bitkub” ขยายฐานลูกค้า  New Gen  

แอสเซทไวส์  จับมือ​ “Bitkub” ​เพิ่มทางเลือกในการแลกเงินดิจิทัลเป็นเงินบาท เพื่อซื้อบ้านและคอนโด  หวังขยายฐานลูกค้ากลุ่ม New Gen ครึ่งปีหลัง เตรียมเปิด 4 โครงการใหม่     นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) (ASW)  เปิดเผยว่า ได้ร่วมมือกับ บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (Bitkub) ในการเพิ่มทางเลือกให้ผู้บริโภคเป็นเจ้าของบ้านและคอนโดมิเนียมทุกโครงการในเครือ ผ่านการแลกสกุลเงินดิจิทัล หรือ คริปโทเคอเรนซี่ (Cryptocurrency) เป็นเงินบาท เพื่อใช้ในการซื้อบ้านและคอนโดมิเนียมในเครือแอสเซทไวส์ โดยลูกค้าสามารถแลกเหรียญคริปโทฯ ผ่าน Wallet ของบิทคับซึ่งเตรียมความพร้อมเสร็จเรียบร้อยแล้ว เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า นับเป็นอีกก้าวหนึ่งของผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่นำเทคโนโลยีเข้ามาต่อยอดธุรกิจและปรับตัวสู่นวัตกรรมทางการเงินสมัยใหม่ได้อย่างรวดเร็ว   ความร่วมมือกันในครั้งนี้เกิดจากการเล็งเห็นถึงโอกาสในการขยายฐานลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ซึ่งปัจจุบัน Bitkub.com เป็นแพลตฟอร์มที่ใหญ่ที่สุดในการแลกเปลี่ยนเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าการซื้อขายสูงสุดกว่า 1,200 ล้านบาท/วัน ซึ่งมีแนวโน้มจะเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว ควบคู่กับ ASW ที่พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ตอบรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ และเป็นผู้นำด้านแคมปัสคอนโดภายใต้แบรนด์เคฟ (KAVE) ซึ่งสอดคล้องกับกลุ่มผู้อยู่อาศัยที่เป็นกลุ่มนักศึกษาที่คุ้นเคยกับการใช้สกุลเงินคริปโทฯ ในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้ ASW ได้จัดตั้ง บริษัท ดิจิโทไนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เพื่อรองรับการศึกษาและลงทุนเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิตอล (Digital Asset) และเทคโนโลยี ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนไปของเทคโนโลยี โดยมุ่งความสนใจไปที่เทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) และพร้อมที่จะแต่งตั้ง บริษัท ฟิวเจอร์คอมแพทเทเร่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาผู้ชำนาญการในการจัดการสินทรัพย์ดิจิทัล และทั้งหมดนี้ เป็นการตอกย้ำความเป็นผู้พัฒนาอสังหาฯ รุ่นใหม่ในตลาด   ปัจจุบัน ASW มียอดขายรอโอน (Backlog) กว่า 7,500 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 4,700 ล้านบาท ทั้งนี้ ในครึ่งแรกของปี 2564 มีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จคือโครงการ “เคฟ ทาวน์ ชิฟท์” (Kave Town Shift) มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท และในช่วงครึ่งปีหลัง มี 2 โครงการที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จ ได้แก่ โครงการ “เคฟ ทียู” (Kave TU) มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท และโครงการ “โมดิซ สุขุมวิท 50” (Modiz Sukhumvit 50) มูลค่าโครงการ 2,100 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในปีนี้จนถึงปี 2565 มั่นใจรายได้ในปี 2564 เติบโต 20% ตามเป้าที่วางไว้   สำหรับโครงการใหม่ของแอสเซทไวส์ในปี 2564 บริษัทฯ มีการเปิดโครงการ “เคฟ ศาลายา” (Kave Salaya) ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี และยังเตรียมเปิดโครงการอื่นๆอย่างต่อเนื่อง ทั้งแนวราบและแนวสูง มูลค่าโครงการรวม 9,700 ล้านบาท ในไตรมาส 2/64 บริษัทฯ เตรียมเปิดโครงการใหม่ “แอทโมซ บางนา” (Atmoz Bangna) มูลค่าโครงการ 2,200 ล้านบาท นอกจากนี้ ในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทฯ เตรียมเปิด  4 โครงการใหม่ ได้แก่ 1.โครงการ “เคฟ เอวา” (Kave Ava) มูลค่าโครงการ 2,400 ล้านบาท 2.โครงการ “โมดิซ ไรห์ม คลาวด์” (Modiz Rhyme Cloud) มูลค่าโครงการ 3,700 ล้านบาท  3.โครงการ “โมดิซ ศรีราชา” (Modiz Sriracha) มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท และ 4.โครงการบ้านภูริปุรี ลาดพร้าว 41 โฮมออฟฟิศ (Baan Puri Puri Ladproa 41 – Home Office) มูลค่าโครงการ 87 ล้านบาท   ส่วนผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และบริษัทย่อยในไตรมาส 1/64 (สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564) มีรายได้รวม 1,173 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 582 ล้านบาท หรือโตขึ้น 98.5% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 591 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 320 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 250 ล้านบาท หรือ 361.8% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 69 ล้านบาท ขณะที่มีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อยู่ที่ 48.5 % และอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อยู่ที่ 25.7%
แสนสิริ ผนึก XSpring  รุกเปิดตัว 2 ธุรกิจใหม่  ซื้อ NPL-รับฝากขายที่ดิน

แสนสิริ ผนึก XSpring รุกเปิดตัว 2 ธุรกิจใหม่ ซื้อ NPL-รับฝากขายที่ดิน

แสนสินิ ต่อยอดการผนึกธุรกิจ XSpring เข้าลงทุนบริษัทย่อย  “XSpring AMC” สัดส่วน 50% รุกธุรกิจ NPL ประเดิมซื้อกองสินทรัพย์แรก 127 ล้าน ก่อนหน้าลุยต่อ​ธุรกิจ “บริการรับฝากขายที่ดิน” เสริมความแข็งแกร่งธุรกิจอสังหาฯ     นางสาววรางคณา อัครสถาพร ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) เปิดเผยว่า หลังจากแสนสิริเดินหน้าการเข้าลงทุนใน บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ XSpring  ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจการเงินและหลักทรัพย์ โดยแสนสิริเข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่ง ในสัดส่วน 15% ด้วยเงินลงทุนกว่า  2,000 ล้านบาท   ล่าสุด วันที่ 21 มิถุนายน 2564  บริษัทได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในการร่วมทำธุรกิจ กับ บริษัท บริหารสินทรัพย์ เอ็กซ์สปริง เอ เอ็ม ซี จำกัด “XSpring AMC” ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท เอ็กซ์สปริงฯ  ในสัดส่วน 50 : 50 เพื่อ “ร่วมลงทุนในกองสินทรัพย์” ที่ประกอบด้วยลูกหนี้สิทธิเรียกร้องตามสัญญาสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์และพักอาศัย และสัญญาหลักประกันซึ่งประกอบไปด้วยที่ดิน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง อาทิ บ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล (NPL) มูลค่ากองสินทรัพย์แรกประมาณ 127 ล้านบาท จากการชนะการประมูลของ XSpring AMC โดยจะนำมาบริหารสินทรัพย์ต่อ เพื่อต่อยอดธุรกิจ และสร้างรายได้เพิ่มในระยะยาว โดยจะมีส่วนแบ่งกำไรในสัดส่วน 50% ของกำไรจากกองสินทรัพย์ เรากำลังขยายธุรกิจเพื่อการเติบโตที่มากขึ้น สู่ธุรกิจที่มีศักยภาพที่ดีในการสร้างรายได้ใหม่ ๆ จากธุรกิจที่มีความเกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ และมีพันธมิตรในการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นธุรกิจหลักของเราไปพร้อม ๆ กัน สำหรับการเดินหน้าประมูลซื้อกองสินทรัพย์ NPL ในครั้งนี้ แสนสิริมีความเชื่อมั่นว่า จากความแข็งแกร่งของ XSpring ในฐานะกลุ่มธุรกิจการเงินและหลักทรัพย์ผู้ให้บริการทางการเงินครบวงจรที่เชื่อมโลกการเงินปัจจุบันกับโลกการเงินดิจิทัลหรือ Digital Financial Service เข้าไว้ด้วยกันรายแรกและรายเดียวในประเทศไทยที่มี License ของ XSpring AMC ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจบริหารสินทรัพย์ ผสานกับความเชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์ของแสนสิริจึงคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดี   นอกจากนี้ แสนสิริ และ XSpring AMC ยังมีแผนเดินหน้าเข้าประมูล กองสินทรัพย์ NPL ล้อตใหม่จากธนาคารพาณิชย์เพิ่มเติมในเดือนกรกฎาคมอีกด้วย  ขณะเดียวกัน แสนสิริยังสนใจการลงทุนในธุรกิจ “บริการรับฝากขายที่ดิน” ที่จะรับซื้อฝากที่ดินในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงเมืองท่องเที่ยวในจังหวัดใหญ่ อาทิ  เชียงใหม่ ภูเก็ต หาดใหญ่ พัทยา และหัวหิน เป็นต้น ในวงเงิน 50 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งจะดำเนินการโดยพลัส พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ เพื่อช่วยเสริมความแข็งแกร่งในการทำธุรกิจของแสนสิริในระยะยาวอีกด้วย    
ส่องตลาที่อยู่อาศัยภาคอีสาน​ 5 จังหวัด  เหลือขายกว่า 4.3 หมื่นล้านบาท บ้านจัดสรรยังน่าห่วง

ส่องตลาที่อยู่อาศัยภาคอีสาน​ 5 จังหวัด เหลือขายกว่า 4.3 หมื่นล้านบาท บ้านจัดสรรยังน่าห่วง

สำรวจตลาดอสังหาฯ 5 จังหวัดภาคอีสาน สต็อกเหลือขายกว่า 43,000 ล้าน ตลาดน่าห่วงเป็นกลุ่มบ้านจัดสรร  ขณะที่ขายได้ใหม่ช่วงปลายปีได้แค่ 3,585 ล้าน   ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า จากการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการขายในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  5 จังหวัด ประกอบด้วย จังหวัดนครราชสีมา จังหวัดขอนแก่น จังหวัดอุดรธานี จังหวัดอุบลราชธานี และจังหวัดมหาสารคาม ในช่วงครึ่งหลังปี 2563  พบว่ามีจำนวนยูนิตที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างขาย ทั้งหมด 297 โครงการ จำนวน 13,500 ยูนิต มูลค่ารวม 47,535 ล้านบาท   โดยจำนวนทั้งหมด แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 250 โครงการ 10,620 ยูนิต มูลค่า 40,361 ล้านบาท และโครงการอาคารชุด (คอนโดมิเนียม) จำนวน 47 โครงการ  2,880 ยูนิต มูลค่า 7,174 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวมียูนิตเหลือขายจำนวน 12,365 ยูนิต รวมมูลค่ายูนิตเหลือขาย 43,350 ล้านบาท  และในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 มีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่จำนวน 1,135 ยูนิต รวมมูลค่า 3,585 ล้านบาท โคราชบ้านเหลือขายปลายปี 63 กว่า 4,000 ยูนิต สำหรับภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยระหว่างการขายในพื้นที่ จังหวัดนครราชสีมา มีอัตราลดลง 10.4% จากช่วงเดียวกันของปี 2562 โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 6,161 ยูนิต ในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการบ้านจัดสรร 4,480 ยูนิต สัดส่วน 72.7% เป็นโครงการคอนโด​ 1,681 ยูนิต สัดส่วน​ 27.3% และเป็นโครงการเปิดขายใหม่ในครึ่งหลังปี 2563 เพียง 607 ยูนิต มีอัตราลดลง 53.0% จากช่วงเดียวกันของปี 2562  มียูนิตขายได้ใหม่จำนวน 495 ยูนิต ซึ่งการขายได้ใหม่นี้มีอัตราลดลง 18.6% ​ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมียูนิตเหลือขายสะสมจำนวน  5,666 ยูนิต หรือลดลง  9.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562เมื่อจำแนกตามราคาพบว่ายูนิตเหลือขายส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระดับราคา 3.01-5.00 ล้านบาท โดยมีจำนวน 2,191 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน  38.7% ของยูนิตเหลือขายทั้งหมด ขณะที่ยูนิตขายได้ใหม่มากที่สุดก็ยังคงอยู่ในช่วงราคา  2.01-3.00 ล้านบาท โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 234 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 47.3%  สำหรับยูนิตเหลือขายในครึ่งหลัง ปี 2563 ในจังหวัดนครราชสีมา เป็นโครงการบ้านจัดสรรจำนวนทั้งสิ้น 4,069 ยูนิต จากจำนวนยูนิตเหลือขาย 5,666 ยูนิต หรือคิดเป็นสัดส่วน 71.8% ของยูนิตเหลือขายทั้งหมด ปี 64 โคราชเปิดขายใหม่กว่า 5,000 ลบ. สำหรับทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดนครราชสีมาในปี 2564 ภาพรวมตลาดยังคงชะลอตัวต่อเนื่องจากปี 2563 ผลจากโควิด-19 ช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ทำให้ตลาดทั้งปี 2564 มีภาวะชะลอตัวเช่นเดียวกับปี 2563 คาดการณ์ว่าช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ จะมียูนิตเปิดใหม่ลดลง 24.7% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ​และ ช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ จะเพิ่มขึ้น 45.6% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา   ส่วนยูนิตเปิดใหม่รวมปี 2564 คาดว่าจะมีจำนวน 1,684 ยูนิต มูลค่า 5,352 ล้านบาท ส่วนยูนิตขายได้ใหม่ในครึ่งปีแรกปีนี้ คาดว่าลดลง  34.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่าน​ และคาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้น​91.5% เมื่อเทียบกับครึ่งปีหลังปีที่ผ่านมา   ขณะที่ยูนิตขายได้ใหม่ปี 2564 คาดว่าจะมีจำนวน 1,793 ยูนิต มูลค่า 5,711 ล้านบาท มียูนิตเหลือขาย ช่วงสิ้นปี 2564 จะมีประมาณ 6,770 ยูนิต มูลค่า 24,278 ล้านบาท และการโอนกรรมสิทธิ์ ในปี 2564 คาดว่าจะมีจำนวนยูนิตประมาณ 6,141 ยูนิต ลดลง 26.6% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า และคาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 10,627 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 38.4% ขอนแก่นมียูนิตเหลือขายพุ่งกว่า 82% สำหรับจังหวัดขอนแก่น ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยระหว่างการขายมีอัตราลดลง 1.4% จากช่วงเดียวกันของปี 2562 โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 3,974 ยูนิต ในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการบ้านจัดสรร 3,270 ยูนิต สัดส่วน 82.3% เป็นโครงการคอนโด 704 ยูนิต สัดส่วน​ 17.7% และเป็นโครงการเปิดขายใหม่ในครึ่งหลังปี 2563 เพียง 411 ยูนิต มีอัตราลดลง 45.1% จากช่วงเดียวกันของปี 2562  มียูนิตขายได้ใหม่จำนวน 346 ยูนิต ซึ่งการขายได้ใหม่ลดลง 20.5% ​เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน   โดยมียูนิตเหลือขายสะสมจำนวน 3,628 ยูนิต  เพิ่มขึ้น 0.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562เมื่อจำแนกตามราคาพบว่ายูนิตเหลือขายส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท โดยมีจำนวน 1,393 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน  38.4% ของยูนิตเหลือขายทั้งหมด ขณะที่ยูนิตขายได้ใหม่มากที่สุดก็ยังคงอยู่ในช่วงราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 127 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 36.7%   สำหรับยูนิตเหลือขายในครึ่งหลังปี 2563 ในจังหวัดขอนแก่น เป็นโครงการบ้านจัดสรรจำนวนทั้งสิ้น  3,003 ยูนิต จากจำนวนยูนิตเหลือขาย 3,628 ยูนิต หรือคิดเป็นสัดส่วน  82.8% ของยูนิตเหลือขายทั้งหมด คาดปี 64 ขอนแก่น เหลือขายกว่า 12,000 ลบ. สำหรับทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดขอนแก่น ปี 2564 คาดว่าช่วงครึ่งปีแรกนี้ มียูนิตเปิดใหม่ต่ำกว่าครึ่งปีแรกของปี 2563 ในอัตรา​ 21.5% และช่วงครึ่งหลังของปีนี้ คาดว่ายูนิตเปิดใหม่จะเพิ่มขึ้น 25.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า  ซึ่งยูนิตเปิดใหม่รวมในปี 2564 คาดว่าจะมีจำนวน 982 ยูนิต มูลค่า 3,117 ล้านบาท   ส่วนยูนิตขายได้ใหม่ช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ลดลง 39.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ช่วงครึ่งปีหลังจะเพิ่มขึ้น 77.5% เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีหลังของปีที่ผ่านมา  โดยยูนิตขายได้รวมปี 2564 คาดว่าจะมีจำนวน 1,156 ยูนิต มูลค่า 3,310 ล้านบาท มียูนิตเหลือขาย ณ สิ้นปี 2564 จะมีประมาณ 3,573 ยูนิต มูลค่า 12,062 ล้านบาท  ขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์ คาดว่าจะมีจำนวนยูนิตประมาณ 4,997 ยูนิต ลดลง 20% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า และคาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 7,613 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 34.3% สิ้นปี 63 จ.อุดรฯ มีสินค้าเหลือขาย 1,360 ยูนิต​ ด้านภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยระหว่างการขายจังหวัดอุดรธานี พบว่ามีอัตราลดลง 13.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 1,503 ยูนิต ในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการบ้านจัดสรร 1,379 ยูนิต สัดส่วน 91.7% เป็นโครงการคอนโด 124 ยูนิต สัดส่วน 8.3% และเป็นโครงการเปิดขายใหม่ในครึ่งหลังปี 2563 จำนวน เพียง 69 ยูนิต ซึ่งทั้งหมดเป็นโครงการบ้านจัดสรร และมีจำนวนลดลง 57.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 สำหรับยูนิตขายได้ใหม่ มีจำนวน 143 ยูนิต ซึ่งการขายได้ใหม่นี้มีอัตราลดลง 19.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน   โดยมียูนิตเหลือขายสะสมจำนวน 1,360 ยูนิต  ลดลง 12.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 เมื่อจำแนกตามราคาพบว่ายูนิตเหลือขายส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระดับราคา 3.01-5.00 ล้านบาท โดยมีจำนวน 533 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 39.2% ของยูนิตเหลือขายทั้งหมด ขณะที่ยูนิตขายได้ใหม่มากที่สุดก็ยังคงอยู่ในช่วงราคา 1.01-1.50 ล้านบาท โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 70 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 49%   สำหรับยูนิตเหลือขายในครึ่งหลัง ปี 2563 ในจังหวัดอุดรธานี เป็นโครงการบ้านจัดสรรจำนวนทั้งสิ้น 1,242 ยูนิต จากจำนวนยูนิตเหลือขาย 1,360 ยูนิต หรือคิดเป็นสัดส่วน 91.3%  ปี 64 บ้านเหลือขายขยับเพิ่มเป็น 1,735 ยูนิต สำหรับทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดอุดรธานี ปี 2564 ประมาณการณ์ช่วงครึ่งปีแรก ยูนิตเปิดใหม่จะต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนในอัตรา​ 8.0% และช่วงครึ่งปีหลังจะเพิ่มขึ้น​ 87.0% เมื่อเทียบกับช่วงครึ่งปีหลังของปีที่ผ่านมา ​ยูนิตเปิดใหม่รวมปี 2564 คาดว่าจะมีจำนวน 255 ยูนิต มูลค่า 1,504 ล้านบาท ยูนิตขายได้ใหม่ในครึ่งปีแรกขายได้ลดลง 32.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ​ส่วนครึ่งปีหลังคาดว่าจะเพิ่มขึ้น ​60.8% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยปีนี้คาดว่ามียูนิตขายได้รวม​ 432 ยูนิต มูลค่า 1,289 ล้านบาท และมียูนิตเหลือขาย ณ สิ้นปี 2564 จะมีประมาณ 1,753 ยูนิต มูลค่า 6,936 ล้านบาท ด้านการโอนกรรมสิทธิ์ คาดว่าจะมีจำนวนประมาณ 2,855 ยูนิต ลดลง 8.2% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และคาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 4,726 ล้านบาท ลดลง 10.4%​จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ปลายปี 63 อุบลฯ ขายบ้านใหม่ได้แค่ 57 ยูนิต ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยระหว่างการขายจังหวัดอุบลราชธานี พบว่ามีอัตราลดลง 22.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน​ โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 1,129 ยูนิต ในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการบ้านจัดสรร 894 ยูนิต  คิดเป็นสัดส่วน​ 79.2% เป็นโครงการคอนโด​ 235 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน​ 20.8% และเป็นโครงการเปิดขายใหม่ในครึ่งหลังปี 2563 เพียง 168 ยูนิต มีอัตราเพิ่มขึ้น 130.1% จากช่วงเดียวกันของปี 2562  ยูนิตขายได้ใหม่จำนวน 112 ยูนิต ลดลง 44.3% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา   โดยมียูนิตเหลือขายสะสมจำนวน 1,017 ยูนิต  ลดลง 19.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 เมื่อจำแนกตามราคาพบว่ายูนิตเหลือขายส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระดับราคา 2.01-3.00 ล้านบาท โดยมีจำนวน 432 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 42.5% ของยูนิตเหลือขายทั้งหมด ขณะที่ยูนิตขายได้ใหม่มากที่สุดก็ยังคงอยู่ในช่วงราคา 2.01-3.00 ล้านบาท โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 57 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 50.9%  ขณะที่ยูนิตเหลือขายในครึ่งหลัง ปี 2563 ในจังหวัดอุบลราชธานี  เป็นโครงการบ้านจัดสรรจำนวนทั้งสิ้น 796 ยูนิต จากจำนวนยูนิตเหลือขาย 1,017 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 78.3% ปี 64 คาดจ.อุบลฯ ขายได้แค่ 1,080 ลบ. สำหรับทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดอุบลราชธานี ปี 2564  คาดการณ์ว่าช่วงครึ่งปีแรก​ ยูนิตเปิดใหม่จะลดลง 42.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และช่วงครึ่งหลังปีนี้ ​จะลดลง​ 16.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ​ ยูนิตเปิดใหม่รวมปี 2564 คาดว่าจะมีจำนวน 270 ยูนิต มูลค่า 868 ล้านบาท และในส่วนยูนิตขายได้ใหม่ครึ่งปีแรก​ ขายได้จะต่ำว่าครึ่งปีแรกปีที่แล้วอัตรา​​ 31.5% ส่วนครึ่งปีหลังจะเพิ่มขึ้น 77.7% จากช่วงครึ่งหลังปีที่แล้ว ​ ยูนิตขายได้รวมปี 2564 คาดว่าจะมีจำนวน 375 ยูนิต มูลค่า 1,080 ล้านบาท มียูนิตเหลือขาย ณ สิ้นปี 2564 จะมีประมาณ 1,530 ยูนิต มูลค่า 4,295 ล้านบาท ด้านการโอนกรรมสิทธิ์คาดว่าในปี 2564 จะมีจำนวนยูนิตประมาณ 2,448 ยูนิต ลดลง 30.5% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า​ และคาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 2,894 ล้านบาท ลดลง 48.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า มหาสารคาม สต็อกบ้านเพิ่ม 4% ส่วนภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยระหว่างการขายจังหวัดมหาสารคาม มีอัตราลดลง 2.9% จากช่วงเดียวกันของปี 2562 โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 733 ยูนิต ในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการบ้านจัดสรร 597 ยูนิต สัดส่วน​ 81.4% เป็นโครงการอาคารชุด 136 ยูนิต สัดส่วน 18.6% และเป็นโครงการเปิดขายใหม่ในครึ่งหลังปี 2563 เพียง 51 ยูนิต มีอัตราลดลง 42.7% จากช่วงเดียวกันของปี 2562 ยูนิตขายได้ใหม่จำนวน 39 ยูนิต มีอัตราลดลง 55.7% จากช่วงเดียวกันของปี 2562 โดยมียูนิตเหลือขายสะสมจำนวน 694 ยูนิต เพิ่มขึ้น 4.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 เมื่อจำแนกตามราคาพบว่ายูนิตเหลือขายส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระดับราคา 1.01-1.50 ล้านบาท โดยมีจำนวน 161 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน  23.2% ของยูนิตเหลือขายทั้งหมด ขณะที่ยูนิตขายได้ใหม่มากที่สุดก็ยังคงอยู่ในช่วงราคา 1.01-1.50 ล้านบาท โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 19 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน  48.7%   สำหรับยูนิตเหลือขายในครึ่งหลัง ปี 2563 ในจังหวัดมหาสารคามเป็นโครงการบ้านจัดสรรจำนวนทั้งสิ้น 567 ยูนิต จากจำนวนยูนิตเหลือขาย 694 ยูนิต หรือคิดเป็น  81.7% มหาสารคาม ปี 64 ขายบ้านใหม่ได้ 413 ลบ. สำหรับทิศทางตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดมหาสารคาม ปี 2564 ประมาณการณ์ช่วงครึ่งปีแรก มียูนิตเปิดใหม่จะต่ำกว่าช่วงครึ่งปีแรกของปีที่ผ่านมาในอัตรา​ 2.8 และครึ่งปีหลังจะเพิ่มขึ้น​ 60.8% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว​ โดยยูนิตเปิดใหม่รวมปี 2564 คาดว่าจะมีจำนวน 152 ยูนิต มูลค่า 284 ล้านบาท และในส่วนยูนิตขายได้ใหม่ครึ่งปีแรก​ ขายได้จะต่ำว่าช่วงเดียวกันของปี 2563 ในอัตรา​ 35.2%  ส่วนครึ่งปีหลังจะเพิ่มขึ้น ​97.4%  ยูนิตขายได้รวมปี 2564 คาดว่าจะมีจำนวน 145 ยูนิต มูลค่า 413 ล้านบาท ยูนิตเหลือขาย ณ สิ้นปี 2564 จะมีประมาณ 873 ยูนิต มูลค่า 2,550 ล้านบาท ด้านการโอนกรรมสิทธิ์คาดว่าในปี 2564 จะมีจำนวนยูนิตประมาณ 1,210 ยูนิต เพิ่มขึ้น 2.6%​ จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า  และคาดว่าจะมีมูลค่าประมาณ 1,929 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 17.9%  
1 ปีโควิด-19 สะเทือนไทย แต่ที่อยู่อาศัยไม่แผ่ว  คนไทยยังอยากมีบ้าน การซื้อ-เช่ายังเติบโต

1 ปีโควิด-19 สะเทือนไทย แต่ที่อยู่อาศัยไม่แผ่ว คนไทยยังอยากมีบ้าน การซื้อ-เช่ายังเติบโต

ครบ 1 ปีหลังเกิดการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย ที่การเติบโตของตลาดที่อยู่อาศัยหยุดชะงักในช่วงแรกแต่ก็ยังมีแนวโน้มโต สะท้อนจากความต้องการของผู้บริโภคที่แม้จะได้รับผลกระทบทางการเงินจากวิกฤติครั้งนี้ แต่ยังมองหาที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ ชี้ยังเป็นโอกาสทองของนักลงทุนและผู้ซื้อที่มีความพร้อม หวังต่อยอดการลงทุนในระยะยาว คาดการแข่งขันในตลาดจะกลับมาคึกคักอีกครั้งเมื่อสถานการณ์คลี่คลายหลังระดมฉีดวัคซีนครอบคลุมทั่วประเทศ   นางกมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทยของดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เปิดเผยว่า ข้อมูลจาก​ DDproperty Thailand Property Market Index ฉบับล่าสุด รายงานว่า ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 190 จุด จาก 197 จุด หรือลดลง 4% จากไตรมาสก่อนหน้า ถือเป็นดัชนีราคาที่ต่ำที่สุดในรอบ 15 ไตรมาส (นับตั้งแต่ไตรมาสที่ 2 ปี 2560) โดยมีการปรับตัวลดลงถึง 7% ในรอบปีที่ผ่านมา ในขณะที่ดัชนีอุปทานในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 399 จุด จาก 363 จุด หรือเพิ่มขึ้นถึง 10% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มถึง 19% ในรอบปีที่ผ่านมา เป็นผลจากการที่ผู้พัฒนาอสังหาฯ มีการเปิดตัวโครงการใหม่เข้าสู่ตลาด และผู้บริโภคที่มีสินค้าอยู่ในมือเริ่มนำสินค้าออกขาย แต่เมื่อมีการแพร่ระบาดฯ รอบล่าสุด ทำให้อัตราการดูดซับไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ จำนวนที่อยู่อาศัยในตลาดจึงแปรผันตามสถานการณ์ปัจจุบัน   ตลอดหนึ่งปีของการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในไทย ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวจากการชะลอการใช้จ่ายของผู้บริโภค แต่ความต้องการซื้อและเช่าในตลาดอสังหาฯ ยังมีอยู่ไม่น้อย เพียงแต่มีการปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ โดยในปีนี้มีแนวโน้มปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับการระบาดฯ รอบแรกในปีที่แล้ว  ซึ่งตอนนั้นทุกภาคส่วนล้วนไม่มีประสบการณ์ในการรับมือวิกฤติแบบนี้มาก่อน  เทรนด์ที่เห็นได้ชัดคือผู้บริโภคหันมาพิจารณาเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอก และแถบชานเมืองเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะทำเลแนวรถไฟฟ้าสายใหม่ที่เพิ่งเปิดใช้หรือมีแผนเปิดใช้บริการในอนาคตอันใกล้ ประกอบกับผู้บริโภคต้อง Work From Home ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่ต้องกระจุกตัวอยู่ใกล้แหล่งงานย่านใจกลางเมือง   แม้ดัชนีอุปทานในกรุงเทพฯ จะเพิ่มขึ้นถึง 19% ในรอบปีที่ผ่านมาสวนทางกับอัตราดูดซับที่น้อยลง แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในระดับปกติเมื่อพิจารณาตามสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ ที่มีความไม่แน่นอนสูง ผู้บริโภคยังมีความกังวลใจในการใช้จ่าย จึงพยายามรักษาเสถียรภาพทางการเงินไว้ นอกจากนี้  จากผลสำรวจภาคสนาม เรื่อง "วัคซีนเข็มแรก ความต้องการถ้วนหน้า" ของสำนักวิจัยซูเปอร์โพล (SUPER POLL) พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ถึง 87.9% ต้องการให้คนไทยทุกคนได้รับวัคซีนเข็มแรกก่อน ตามมาด้วยต้องการให้รัฐบาลเปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนกระจายวัคซีนครอบคลุมคนที่ต้องการทุกพื้นที่เร่งด่วนที่สุด 86.8% จะเห็นได้ว่าแผนการฉีดวัคซีนที่ครอบคลุมยังคงเป็นเป้าหมายอันดับต้น ๆ ที่คนไทยต้องการ เพื่อช่วยสร้างความเชื่อมั่นในการใช้จ่าย เช่นเดียวกับภาคธุรกิจที่มองว่ากุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจตอนนี้ คือแผนการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจให้กลับมาฟื้นตัวได้ คาดการณ์ว่าเมื่อมีการฉีดวัคซีนครอบคลุมทั่วประเทศ  และรัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ ได้แล้ว ผู้พัฒนาอสังหาฯ ก็พร้อมจะกลับมาเปิดตัวโครงการใหม่เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภค และเชื่อว่าตลาดอสังหาฯ จะกลับมาคึกคักอีกครั้งในไตรมาสสุดท้ายของปี ครบ 1 ปีโควิด ความต้องการอสังหาฯ ยังไม่แผ่ว รายงาน DDproperty Thailand Property Market Index ฉบับล่าสุด  ยังเปิดเผยถึง ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ทั่วไทย หลังต้องเผชิญวิกฤติการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา (เปรียบเทียบระหว่างเดือนเมษายน 2563 และเดือนเมษายน 2564) ระบุว่า ความต้องการที่อยู่อาศัยยังเติบโตต่อเนื่อง แม้ผู้บริโภคจะชะลอการใช้จ่ายก็ตาม -เมืองหลวงยังไม่สิ้นมนต์ขลัง ความต้องการซื้อ-เช่าโตกว่าเท่าตัว ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในกรุงเทพฯ ในรอบ 1 ปีตั้งแต่เกิดการล็อกดาวน์มาจนถึงการแพร่ระบาดฯ ระลอกล่าสุด พบว่า ผู้บริโภคยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้ความต้องการเช่าและซื้อเติบโตกว่าเท่าตัว โดย “เขตยานนาวา” เป็นทำเลมาแรงที่สุดในกรุงเทพฯ ได้รับความสนใจซื้อเพิ่มขึ้นในรอบปีสูงสุดถึง 215% ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากการที่เป็นทำเลที่อยู่ใจกลางเมือง ครอบคลุมแนวถนนพระราม 3 ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตทั้งจากการที่เป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ และมีโครงการพัฒนาของทั้งภาครัฐและเอกชนอยู่อย่างต่อเนื่อง ผู้ซื้อที่มีความพร้อมสามารถซื้อเก็บไว้ในช่วงนี้เพื่อนำไปทำกำไรในอนาคตเมื่อเข้าสู่สถานการณ์ปกติ ตามมาด้วยเขตธนบุรีเพิ่มขึ้น 137% มีนบุรีเพิ่มขึ้น 132% จอมทองเพิ่มขึ้น 114% และบางแคเพิ่มขึ้น 113% ซึ่งล้วนเป็นทำเลที่ไม่ได้อยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ (CBD) สะท้อนให้เห็นว่าผู้บริโภคหันมาเลือกซื้อที่อยู่อาศัยแถบพื้นที่รอบนอกมากขึ้น โดยเลือกพิจารณาความคุ้มค่าของราคากับขนาดที่อยู่อาศัยที่จะได้รับ เนื่องจากยังเป็นทำเลที่สามารถเดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า และระบบขนส่งมวลชนอื่น ๆ   ส่วนทำเลยอดนิยมของผู้เช่าในรอบปีที่มีการแพร่ระบาดฯ นั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ย่านใจกลางเมืองเป็นหลักและมีอัตราเติบโตไม่แพ้กัน โดย “เขตปทุมวัน” ได้รับความสนใจเช่าเพิ่มขึ้นในรอบปีสูงสุดถึง 193% เนื่องจากผลกระทบของสภาพเศรษฐกิจชะลอตัวและวิกฤติโควิด-19 ที่มีอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้ผู้ปกครองที่มีบุตรหลานศึกษาอยู่ในย่านดังกล่าวหันมาเช่าที่อยู่อาศัยแทนการตัดสินใจซื้ออสังหาฯ ที่มีราคาสูง เพราะสถานการณ์ปัจจุบันยังคงมีความไม่แน่นอน การสำรองเงินสดไว้จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่สุด ในขณะที่ทำเลอื่น ๆ ที่มีความต้องการเช่าสูงไม่แพ้กัน ได้แก่ เขตบางคอแหลม (+188%) เขตบึงกุ่ม (+185%) จตุจักร (+159%) และเขตบางซื่อ (+150%) -ตลาดเช่าโตต่อเนื่อง ครองใจคนหาบ้านในเขตปริมณฑล ภาพรวมความเคลื่อนไหวของตลาดอสังหาฯ ในจังหวัดปริมณฑล ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาครในช่วงหนึ่งปีที่ผ่านมานั้น เทรนด์การเช่าที่อยู่อาศัยได้รับความนิยมอย่างสูง โดยบางพื้นที่มีการเติบโตกว่าความสนใจซื้อมากกว่าเท่าตัว อย่างไรก็ดี ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันให้ความสนใจซื้อและเช่าที่อยู่อาศัยในจังหวัดปริมณฑลมีการเติบโตเป็นบวกในรอบปีที่ผ่านมา คือเทรนด์การ Work From Home ที่หลายองค์กรใช้ในช่วงที่มีสถานการณ์แพร่ระบาดฯ และคาดว่าหลายองค์กรจะยังคง Work From Home ต่อเนื่องแม้สถานการณ์กลับมาเป็นปกติ ส่งผลให้คนทำงานไม่ต้องกังวลเรื่องเวลาในการเดินทางมาทำงานใจกลางเมือง จึงมีการย้ายกลับไปอาศัยที่ภูมิลำเนาเดิมหรือหันไปเลือกซื้อ/เช่าอสังหาฯ ในจังหวัดปริมณฑลที่มีราคาย่อมเยากว่า   ทำเลมาแรงที่ได้รับความสนใจเช่ามากที่สุดในรอบปีที่ผ่านมา ได้แก่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี เพิ่มขึ้นถึง 151% ด้านอำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี เพิ่มขึ้น 168% ส่วนทำเลยอดนิยมของผู้เช่าในจังหวัดสมุทรปราการจะอยู่ในอำเภอเมือง โดยเพิ่มสูงถึง 216% ในขณะที่อำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาครถือเป็นทำเลที่น่าจับตามอง เนื่องจากได้รับความสนใจเช่าเพิ่มสูงถึง 650% เติบโตสูงที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับ 4 จังหวัดปริมณฑลอื่น ๆ   ทำเลที่ได้รับความสนใจซื้อมากที่สุดในรอบปีที่ผ่านมา ได้แก่ อำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี เพิ่มขึ้นถึง 73% ด้านจังหวัดปทุมธานีนั้นพื้นที่อำเภอคลองหลวงมีผู้สนใจซื้อเพิ่มขึ้นมากที่สุดถึง 74% ส่วนอำเภอพระประแดง จังหวัดสมุทรปราการมีความสนใจซื้อเพิ่มขึ้นถึง 74% เช่นกัน และอำเภอกระทุ่มแบน จังหวัดสมุทรสาคร ยังคงมาแรงครองความนิยมสูงสุด มีความสนใจซื้อเพิ่มขึ้นถึง 88% -โอกาสทองเลือกเป็นเจ้าของอสังหาฯ หัวเมืองท่องเที่ยว จากสถานการณ์การแพร่ระบาดฯ ที่หนักหน่วง ทำให้รัฐบาลต้องใช้มาตรการปิดประเทศเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดฯ อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่แล้ว ส่งผลกระทบโดยตรงต่อธุรกิจท่องเที่ยวที่ขาดรายได้จากนักท่องเที่ยวทั้งไทยและต่างชาติ แน่นอนว่าตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดท่องเที่ยวต่าง ๆ ก็ได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกัน ซ้ำร้ายการเกิดคลัสเตอร์โควิด-19 ในหลายหัวเมืองท่องเที่ยวส่งผลให้ความสนใจเช่าลดลง แต่ในวิกฤติยังมีโอกาสเมื่อดัชนีราคาอสังหาฯ ที่ปรับตัวลดลงช่วยผลักดันให้ความสนใจซื้อเติบโตสูงขึ้นในจังหวัดท่องเที่ยวใหญ่ ได้แก่ จังหวัดเชียงใหม่ ภูเก็ต ระยอง และประจวบคีรีขันธ์ เนื่องจากผู้บริโภคและนักลงทุนมองเห็นโอกาสในการเป็นเจ้าของอสังหาฯ ในทำเลเหล่านี้ซึ่งถือว่ามีศักยภาพที่จะเติบโตได้ในอนาคต มีเพียงพัทยาที่มีทิศทางการเติบโตต่างจากจังหวัดท่องเที่ยวอื่น โดยมีความสนใจเช่าที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น 106% มากกว่าความสนใจซื้อที่เพิ่มขึ้นเพียง 70%   เมื่อพิจารณาจากความสนใจซื้อที่เพิ่มขึ้นในรอบ 1 ปีที่มีการแพร่ระบาดฯ พบว่า อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ เพิ่มขึ้นถึง 128% อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต เพิ่มขึ้น 164% อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง มีความสนใจซื้อเพิ่มขึ้นถึง 174% ในขณะที่อำเภอหัวหินยังเป็นทำเลที่ดึงดูดความสนใจซื้อในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ได้มากที่สุดถึง 96%   ด้านความสนใจเช่าแม้จะเติบโตน้อยกว่าซื้อ แต่ถือว่ายังมีทิศทางเติบโตเป็นบวกทั้งหมด โดยอําเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ ได้รับความสนใจเช่าเพิ่มขึ้น 74% อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต เพิ่มขึ้น 17% อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง เพิ่มขึ้น 60% และอำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เพิ่มขึ้น 48%   “จะเห็นได้ว่าจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนส่งผลกระทบต่อทุกคน ทุกองค์กร ธุรกิจทุกแขนงทั่วประเทศทำให้เกิดภาวะชะงักงันไปตาม ๆ กัน แต่อย่างไรก็ตามมาตรการต่าง ๆ ที่ภาครัฐออกมาเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้กับทุกภาคส่วนทั้งในด้านเศรษฐกิจ สังคม และสำคัญที่สุดคือด้านสาธารณสุขก็ส่งผลเชิงจิตวิทยาต่อผู้บริโภคในด้านความมั่นใจ แม้ว่าภาพรวมจะยังไม่มีกลไกใดที่สามารถแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้ในเวลาอันรวดเร็ว แต่ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังดำเนินต่อไปได้ แม้ว่าอาจมีการสะดุดหรือล้มลุกคลุกคลานในบางจังหวะ แต่ทุกคนยังมีความหวังที่จะเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ให้ก้าวต่อไป”      
เอพี ไทยแลนด์  กวาดยอดขายบ้านเดี่ยว 5 เดือน 7,800 ล้าน  พร้อมเปิดแคมเปญ รับเทรนด์ “HOMEBODY”

เอพี ไทยแลนด์ กวาดยอดขายบ้านเดี่ยว 5 เดือน 7,800 ล้าน พร้อมเปิดแคมเปญ รับเทรนด์ “HOMEBODY”

เอพี กวาดยอดขายบ้านเดี่ยว 5 เดือนแรกกว่า 7,800 ล้าน รักษาความเป็นผู้นำตลาด พร้อมจับเทรนด์ใหม่ “HOMEBODY” ผู้คนใช้ชีวิตติดบ้านมากขึ้น เปิดตัว​แคมเปญใหญ่ “HOMEMADE STORY 2 - เทรนด์ติดบ้าน” พร้อมดึง “เสือร้องไห้” สร้างแรงบันดาลใจผ่าน 6 ซีรีย์   นับตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  ทุกคนก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ภายในบ้านมากขึ้น เพื่อลดปัญหาการการได้รับเชื้อโรค หรือการแพร่ระบาดของเชื้อโรค กิจกรรมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน หรือการเรียน ต้องอาศัยพื้นที่ภายในบ้านเป็นหลัก ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ ในกลุ่มบ้านแนวราบที่ผ่านมา มียอดขายเติบโตสวนกระแสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว   หนึ่งในผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่สามารถขายที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยว ทาวโฮม หรือบ้านแฝดได้ดี มียอดขายเป็นผู้นำตลาดในหลายเซ็กเมนต์  ก็คงต้องเป็นบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ซึ่งสร้างผลงานในปี 2563 ที่ผ่านมาได้ดีกว่าในอดีตที่ผ่าน ๆ มาด้วยซ้ำ เฉพาะปีนี้เอง แม้ว่าจะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ต่อเนื่องระลอก 3 แต่ยอดขายของเอพี ก็ไม่ได้แผ่วลงแม้แต่น้อย ยอดขายบ้านเดี่ยว 5 เดือนแรกก็กวาดไปแล้วกว่า 7,800 ล้านบาท มียอดลูกค้าเข้าเยี่ยมชมโครงการต่าง ๆ ของเอพีเฉลี่ยเดือนละกว่า 1,500 ครอบครัว แสดงให้เห็นถึงความต้องการบ้านเดี่ยว ไม่ได้ลดน้อยลงเลย และในมุมกลับกันอาจจะมีความต้องการที่มากขึ้นด้วย เพราะผู้คนจำนวนมากเริ่มคุ้นชินกับการทำกิจกรรมต่าง ๆ ภายในบ้านมากขึ้นแล้วด้วย   เทรนด์หนึ่งที่เอพีมองเห็นจากข้อมูลอินไซต์ทางการตลาด พบว่า ผู้คนจำนวนมากเริ่มมีเทรนด์การใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า HOMEBODY หรือ เทรนด์ติดบ้าน  ที่สมาชิกในครอบครัวคุ้นชินกับการทำทุกกิจกรรมในบ้าน ที่ไม่ใช่เพียงการติดตั้งอุปกรณ์  แบ่งโต๊ะทำงาน หรือแบ่งโต๊ะเรียนออนไลน์ที่บ้าน แต่คือการความสำคัญกับการแยกพื้นที่ส่วนตัวและส่วนรวมออกจากกันอย่างชัดเจน ห้องที่เป็นสัดส่วน หน้าต่างที่เปิดรับแสงธรรมชาติ หรือระเบียงที่เป็นมุมพักผ่อน  ปลูกต้นไม้ เป็นโลกส่วนตัวที่ตอบโจทย์กิจกรรมของสมาชิกในบ้านได้จริง นางพิมพรรณ ปรีชานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานบริหารแบรนด์และพัฒนาสินค้าบ้านเดี่ยว บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) เปิดเผยว่า เทรนด์ติดบ้านที่เกิดขึ้น​ ส่งผลให้ดีมานด์บ้านเดี่ยวของเอพียังมีอย่างต่อเนื่อง ​สะท้อนจากยอดลูกค้าเยี่ยมชมโครงการและยอดขายบ้านเดี่ยวช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมา ​   โดยคำตอบแรกที่ลูกค้าตัดสินใจซื้อ นอกจากความเชื่อมั่นในแบรนด์บ้านเดี่ยวเครือเอพีแล้ว คือ เรื่องการออกแบบฟังก์ชันที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของทุกคนในครอบครัว พื้นที่ใช้สอยที่มากกว่าและแพ็กเกจราคาที่คุ้มค่าจับต้องได้จริงเหนือคู่แข่ง   ล่าสุด เอพีได้เปิดตัว​ แบรนด์แคมเปญใหญ่อีกครั้ง “HOMEMADE STORY 2 - เทรนด์ติดบ้าน” เพื่อต่อยอดความสำเร็จและย้ำอัตลักษณ์แบรนด์บ้านเดี่ยวเครือเอพี  โดยนำ 2 กลยุทธ์หลัก ที่เป็นจุดต่างสร้างความสำเร็จของบ้านเดี่ยวเครือเอพี มาใช้เป็นแกนในการสื่อสารผ่านแคมเปญ​ ได้แก่ 1.โมเดลบ้านที่ดีที่สุด การพัฒนาบ้านด้วกยแนวคิดจากอินไซต์จริง เพื่อให้สอดรับกับความต้องการของผู้อาศัย อาทิ แปลนบ้านหน้ากว้าง ที่สามารถเพิ่มมุม Work from Home หรือ เรียนออนไลน์พร้อมรับแสงธรรมชาติ การออกแบบห้องนอนพร้อมระเบียงที่กว้าง เพิ่มมุมพักผ่อนปลูกต้นไม้ใหญ่ได้จริง หรือพื้นที่สวนข้างบ้านขนาดพอดีสำหรับทำสวน พร้อมบ้านหลังเล็กสำหรับสัตว์เลี้ยงของครอบครัว เป็นต้น 2.นวัตกรรมบ้านที่เข้าใจชีวิต การผสานเทคโนโลยีเข้ากับการออกแบบพื้นที่ส่วนตัว และพื้นที่ส่วนรวมภายในบ้านหนึ่งหลัง ที่มีรายละเอียดการออกแบบที่ตอบโจทย์ความปลอดภัย ความสะดวกสบาย ตลอดจนฟังก์ชันส่วนกลาง พื้นที่สีเขียวในโครงการ และสังคมที่ดีในภาพใหญ่ของคอมมูนิตี้บ้านเดี่ยวเอพีให้เกิดขึ้นไปในขณะเดียวกัน ซึ่งปัจจุบันแบรนด์ต่าง ๆ ในเครือบ้านเดี่ยวเอพี ทั้งแบรนด์ CENTRO, THE CITY, THE PALAZZO และ BAAN KLANG KRUNG รวม 40 โครงการทั่วกรุงเทพฯ มูลค่าโครงการรวม 53,760 ล้านบาท ได้พัฒนาภายใต้แนวคิดดังกล่าว   นอกจากนี้  ภายใต้แคมเปญ “Homemade Story 2 - เทรนด์ติดบ้าน” เอพีได้ร่วมงานกับ ยูทูปเบอร์ชื่อดัง “เสือร้องไห้” และ 6 แขกรับเชิญแถวหน้าของวงการที่จะมาร่วมถ่ายทอดเรื่องราวมิติใหม่ ในวันที่ชีวิตติดบ้านปีที่ 2  พร้อมอัพเดตกิจกรรม ไอเดียล้ำๆ กับการปรับสเปซฟังก์ชันในบ้านเดี่ยวเอพี โดยสามารถรับชมเรื่องราวความสนุกพร้อมแรงบันดาลใจการใช้ชีวิตในสเปซบ้านที่เป็นมากกว่าบ้าน ผ่านซีรีย์ 6 ตอนพิเศษ ผ่านช่องทางหลัก FACEBOOK และ YOUTUBE APThai ประเดิมตอนแรกวันพุธที่ 16 มิถุนายน – 31 สิงหาคมนี้ HOMEBODY หรือ เทรนด์ติดบ้าน  เป็นความท้าทายและโอกาสใหม่ของแบรนด์ ในการทำการบ้านให้ลึกมากยิ่งขึ้น เพื่อเจาะเข้าไปในกลุ่มลูกค้าใหม่ของบ้านเดี่ยวเอพี ทั้งกลุ่มลูกค้าคอนโด หรือคนรุ่นใหม่ที่อาศัยในทาวน์โฮมหรือบ้านหลังเดิมของครอบครัว และต้องการขยับขยายเป็นเจ้าของบ้านของตัวเอง  
เสนา ดีเวลลอปเม้นท์  ปรับแผนเปิดโปรเจ็กต์เพิ่ม  เจาะฐานลูกค้าเรียลดีมานด์

เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ ปรับแผนเปิดโปรเจ็กต์เพิ่ม เจาะฐานลูกค้าเรียลดีมานด์

เสนา ปรับแผนเปิดโปรเจ็กต์เพิ่ม เป็น 18 โปรเจ็กต์มูลค่ากว่า 16,764 ล้าน รับตลาดกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ หลังไตรมาสแรก ผลการดำเนินงานยังทำกำไรกว่า 228 ล้าน   นางสาวอธิกา บุญรอดชู ผู้อำนวยการ ฝ่ายจัดสรรเงินทุนและการลงทุน บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA  เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับแผนการเปิดโครงการใหม่ปีในปีนี้ ​ จากเดิมวางแผนเปิดโครงการทั้งหมด 17 โครงการ รวมมูลค่า 15,700 ล้านบาท ได้ปรับเพิ่มเป็น 18 โครงการ รวมมูลค่า 16,764 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 7 โครงการ และแนวสูง 11 โครงการ เพื่อให้สอดรับกับกำลังซื้อที่เปลี่ยนไปในปัจจุบัน ภายใต้มาตรการ “SENA Strong”  โดยบริษัทมีความเชื่อมั่นว่า ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยยังเป็นปัจจัยที่สำคัญ ซึ่งในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ได้เปิดตัวโครงการไปแล้ว 1 โครงการ คือ เสนาคิทท์ เวสต์เกต -บางบัวทอง มูลค่าโครงการ 250 ล้านบาท ส่วนในไตรมาส 3 วางแผนเปิดโครงการใหม่เพิ่ม 8 โครงการ รวมมูลค่า 6,109 กว่าล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 5 โครงการ และแนวสูง 3 โครงการ โดยเดือนกรกฏาคม เตรียมเปิดขาย “เสนาคิทท์ ฉลองกรุง – ลาดกระบัง” ราคาเริ่ม 799,000 ล้านบาท   สำหรับผลการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทมีรายได้รวม​ 907.8 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 7% ซึ่งมีสาเหตุหลักจากธุรกิจให้เช่าปรับตัวลดลงเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ในขณะที่รายได้จากธุรกิจการขายที่อยู่อาศัย มีรายได้รวมทั้งสิ้น 623.6 ล้านบาท ปรับตัวสูงขึ้น 10.3% โดยมี รายได้จากโครงการแนวราบ 221.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 119.4 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 116.7% ซึ่งมาจาก  5 โครงการ ประกอบด้วย โครงการ เสนา พาร์คแกรนด์ วงแหวน – รามอินทรา ​โครงการเสนาวิลล์ ลำลูกกา-คลอง 6 ​โครงการเสนาวิลล์ บรมราชชนนี สาย 5 โครงการเสนาวิลล์ รามอินทรา และโครงการเสนา แกรนด์ โฮม รามอินทรา กม.8   ปัจจุบันบริษัทมียอดขายที่รอรับรู้รายได้จากการโอน (Backlog) คิดเป็นมูลค่า 7,399 ล้านบาท ณ สิ้น 31 มีนาคม 2564 และจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ 4,390 ล้านบาท และที่เหลือจะทยอยรับรู้ต่อเนื่องในปีต่อไป​​​ นางสาวอธิกา กล่าวอีกว่า สถานการณ์ของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ ใน​ภาพรวมยังได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง แต่บริษัทยังสามารถรักษาฐานตลาดในเซกเมนท์ที่มีกำลังซื้อ  โดยเฉพาะกลุ่มที่ต้องการที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองอย่างต่อเนื่อง   ขณะที่ผลประกอบการไตรมาสแรกของบริษัทและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิทั้งสิ้น  228.6 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นและการบริหารจัดการต้นทุนทางการขายที่มีประสิทธิภาพ ทั้งในเรื่องการขายและการบริหารจัดการโครงการ รวมถึงมีการวางกลยุทธ์ทางการตลาดในการเปิดโครงการใหม่ ๆ ทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียม โดยเน้นไปยังพื้นที่ที่ยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยจำนวนมาก  
แอล.พี.เอ็น.ฯ  เปิด 2 โปรเจ็กต์ใหม่เจาะย่าน “จรัญฯ-เมืองทองธานี”  ผลักดันเป้ายอดขายปีนี้ 10,000 ล้าน

แอล.พี.เอ็น.ฯ เปิด 2 โปรเจ็กต์ใหม่เจาะย่าน “จรัญฯ-เมืองทองธานี” ผลักดันเป้ายอดขายปีนี้ 10,000 ล้าน

LPN เดินหน้าเปิด 2 โปรเจ็กต์ใหม่ 5,500 ล้าน เจาะทำเล "จรัญฯ ไปฉาย และเมืองทองธานี" หวังสร้างยอดขาย 3,000 ล้าน ผลักดันเป้าหมายปีนี้ให้ได้ 10,000 ล้าน ​   นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า LPN เดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าปัจจุบันยังมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) โดยมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 2 โครงการ ใน 2 ทำเล ย่านจรัญสนิทวงศ์-สามแยกไฟฉาย  และแจ้งวัฒนะ มูลค่าโครงการรวม  5,500 ล้านบาท  ภายในไตรมาสสองของปี 2564 นี้   โดยโครงการแรกที่เปิดตัวเป็นโครงการคอนโดมิเนียม “ลุมพินี วิลล์ จรัญฯ-ไฟฉาย” มูลค่า 3,000 ล้านบาท  เป็นอาคารสูง 3 อาคาร บนทำเลที่ตั้งที่มีศักยภาพในย่านฝั่งธนบุรี ที่สามารถเดินทางเข้า-ออกสู่ใจกลางเมืองได้อย่างสะดวกสบายทั้งทางรถยนต์และรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน สถานีจรัญ 13 และสถานีไฟฉาย  ออกแบบภายใต้แนวคิด “Balance is More : การใช้ชีวิตที่มากกว่า” อย่าง “พอดี” กับการอยู่อาศัยในทุกรูปแบบของการใช้ชีวิต  ราคาขายเริ่มต้นอยู่ที่ห้องละ  1.5 ล้านบาท โดยเปิดตัวในเฟสแรก มูลค่า 960 ล้านบาท ทำเล จรัญฯ-ไฟฉาย เป็นอีกพื้นที่หนึ่งที่มีศักยภาพของฝั่งธน เดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างสะดวก เป็นทำเลที่ยังมีความต้องการของตลาด ทั้งนี้  จากผลการสำรวจทำเล “จรัญสนิทวงศ์” พบว่า  มีจำนวนคอนโดขายเพียง 965 ยูนิต มีอัตราการขายเฉลี่ย 5% ต่อเดือน โดยมีระดับราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 89,700 บาทต่อตารางเมตร  โดยในปี 2563 คอนโดในย่านจรัญฯ มีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (capital gain) จากการซื้อมาและขายออกไปเฉลี่ยอยู่ที่ ที่ 8% ต่อปี  ในขณะที่ผู้บริโภคในทำเลนี้มีกำลังซื้อสูง  ทำให้ LPN ตัดสินใจเปิดตัวโครงการใหม่ในทำเลนี้ ในระดับราคาที่จับต้องได้ (Affordable Price) พร้อมกับฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบทุกโจทย์ความต้องการ เพื่อให้ลูกค้าสามารถมีโอกาสมีบ้านเป็นของตัวเองได้ง่ายขึ้น   “ลุมพีนี วิลล์ จรัญ-ไฟฉาย” ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด เพื่อชีวิตที่ “พอดี” อย่างเช่นห้องสตูดิโอที่มีขนาด 25 ตารางเมตร มากกว่าห้องสตูดิโอมาตรฐาน (24 ตารางเมตร) ที่สามารถปรับฟังก์ชั่นการใช้งานได้อย่างหลากหลาย ทั้งพื้นที่ทำงาน และพักผ่อน (Working & Relaxing Space) และห้องขนาด 1 ห้องนอน ถูกออกแบบให้รองรับกับการใช้ชีวิตที่บ้านที่มากขึ้นทั้งการทำงาน และการพักผ่อน (Work & Life Balance) พร้อมกับออกแบบหน้าต่างให้มีขนาดที่กว้างขึ้นเพื่อให้ได้ใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ เพิ่มความโปร่งโล่ง ให้ได้รับแสงธรรมชาติอย่างเต็มที่ ลดการใช้พลังงานไฟฟ้าภายในอาคาร   การออกแบบโครงการคำนึงถึงรูปแบบการอยู่อาศัยที่สะดวกสบายผ่านการออกแบบโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมในแบบ “Passive Design” ให้แต่ละอาคารมีโครงสร้างเป็น “L-Shape”  และออกแบบภูมิสถาปัตย์ฯ ให้แต่ละอาคารไม่ทับซ้อนกัน  เพื่อเปิดมุมมองให้ห้องพักทุกห้องสามารถมองเห็นทัศนียภาพภายนอกอาคารได้ทุกห้อง  และทำให้เกิดทิศทางลมระหว่างอาคาร ช่วยประหยัดการใช้พลังงานในอาคารอีกด้วย   นอกจากนี้ ตัวโครงการยังถูกออกแบบให้มีพื้นที่สีเขียวภายใต้แนวคิดของ “Playground” ขนาดใหญ่ ให้สามารถใช้งานได้จริงโดยแบ่งพื้นที่เป็น สวนสำหรับการออกกำลังกาย สวนพักผ่อน สวนผักและผลไม้แบบ Organic เพื่อส่งเสริมกิจกรรมและอาหารเพื่อสุขภาพ สวนที่อยู่เหนือชั้นอาคารจอดรถที่ช่วยลดความร้อนเข้าสู่ตัวอาคาร และติดตั้ง Solar Cell เพื่อใช้ในการผลิตพลังงานทดแทนสำหรับระบบไฟฟ้าในพื้นที่สวนของโครงการ ขณะที่ในช่วงปลายเดือนมิถุนายน 2564 นี้  LPN มีแผนเปิดตัวโครงการ “บ้าน 365 เมืองทอง” มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท เป็นบ้านพรีเมี่ยมระดับราคา 9-19 ล้านบาท  บนทำเลใจกลางเมืองทองธานี  ติดทางด่วนและรถไฟฟ้าสายสีชมพู  ที่ออกแบบภายใต้แนวคิดหลัก “Simple Luxury” เรียบหรู สง่างาม เป็นส่วนตัว ผสมผสานการออกแบบของสถาปัตยกกรรมสไตล์ Modern ประกอบด้วย  ทาวน์โฮมสูง 3 ชั้น  บ้านแฝดสูง 3 ชั้น และโฮมออฟฟิศ สูง 4 ชั้น  รวมทั้งสิ้น 190 หลัง   นายโอภาส กล่าวอีกว่า LPN วางเป้าหมายยอดขาย สำหรับการเปิดตัวโครงการใหม่ในไตรมาสสองของปี  ไม่น้อยกว่า 3,000 ล้านบาท  ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายยอดขายในปี 2564 นี้มูลค่า 10,000 ล้านบาท และในช่วงไตรมาส 3 ของปีนี้  LPN มีแผนเปิดโครงการบ้านพักอาศัยอย่างต่อเนื่องในอีกหลายทำเล อาทิ ลาดพร้าว 101 และ บางบัวทอง  เพื่อตอบโจทย์ความ ต้องการของผู้บริโภค ถึงแม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 จะยังคงมีอยู่ แต่ด้วยมาตรการการดูแลผู้เข้าเยี่ยมชมโครงการโดยคำนึงถึงความปลอดภัยด้านสุขอนามัย (Healthy) ลดการสัมผัส (Touchless)  และการเว้นระยะห่าง(Social Distancing) โดยการนัดหมายล่วงหน้า รวมถึงการเยี่ยมชมโครงการโดยใช้ Virtual Visit  ที่ลูกค้าสามารถขอชมห้องตัวอย่างออนไลน์เพื่อการตัดสินใจเบื้องต้นได้  
อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ กู้ซื้อบ้านและคอนโด เดือนมิถุนายน 64 แบงก์ไหน? ให้ดีลดีสุด

อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ กู้ซื้อบ้านและคอนโด เดือนมิถุนายน 64 แบงก์ไหน? ให้ดีลดีสุด

อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ อัพเดทดอกเบี้ย สินเชื่อบ้าน สำหรับรีไฟแนนซ์ ประจำเดือนมิถุนายน 2564 จาก 11 แบงก์ ทั้งรัฐและเอกชน ดอกเบี้ยต่ำสุดๆ ปีแรก 0.59%    การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งเกิดขึ้นต่อเนื่อง ได้ส่งผลกระทบไปในวงกว้าง ทั้งการใช้ชีวิต การดำเนินธุรกิจ และเศรษฐกิจในภาพรวม ทำให้หลายคนอาจจะได้รับผลกระทบ มีรายได้ลดลง ซึ่งหากคนนั้นมีภาวะหนี้สินที่ต้องแบบรับเป็นประจำทุกเดือน ก็อาจจะได้รับความลำบากและเดือดร้อน โดยเฉพาะหากมีหนี้ก้อนใหญ่ อย่างสินเชื่อบ้าน   แนวทางหนึ่งในการช่วยบรรเทาความเดือดร้อน และเป็นการบริหารหนี้ที่ช่วยทำให้ภาระการผ่อนชำระมีสภาพคล่องขึ้นกว่าเดิม หลายคนเลือกใช้วิธีการรีไฟแนนซ์ เพื่อลดอัตราดอกเบี้ย และลดจำนวนเงินที่ต้องผ่อนชำระให้ลดน้อยลง แม้ว่าบางกรณีอาจจะทำให้ระยะเวลาผ่อนชำระขยายต่อออกไปนานขึ้นก็ตาม   โดยแต่ละธนาคารจะมีแคมเปญ และอัตราดอกเบี้ย ที่ออกมากระตุ้นตลาด ดึงลูกค้าจากธนาคารอื่น ให้มาลูกค้าของตนเองที่หลากหลาย ซึ่งอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์มีอัตราเท่าไรบ้าง ลองไปเช็คดูกันเผื่อจะเป็นแนวทางเลือกให้เราได้ลดจำนวนเงินที่ต้องผ่อนชำระบ้านให้ลดน้อยลงได้บ้าง 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการรีไฟแนนซ์บ้าน  กรณีหลักทรัพย์เป็นที่อยู่อาศัยทั่วไป เฉพาะวงเงินอนุมัติตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป 3 ทางเลือกด้วยกัน ได้แก่ ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.00% กรณีไม่ทำประกัน  อัตราดอกเบี้ย 2.25% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย MRR-3.00 =2.75​% ​ หลังจากนั้น ​MRR-1.50% = 4.25​%​ อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.00-3.08% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.51-3.56% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย MRR-3.625% เท่ากับ ​​ % กรณีไม่ทำประกัน ดอกเบี้ย MRR-3.375% =2.375 % ปีที่ 2 ดอกเบี้ย MRR-3.375% = 2.375% หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย MRR-1.50% =4.25% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.92-3.00% เท่ากับ อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.47-3.52% ทางเลือกที่ 3 ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย MRR-3.125% = 2.625% กรณีไม่ทำประกัน ดอกเบี้ย MRR-2.875% = 2.875% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย MRR-2.875% 2.875% หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย MRR-1.50% = 4.25% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.25-3.33% เท่ากับ อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.67-3.72%   หมายเหตุ -วงเงินกู้สูงสุด เท่ากับ 100% ภาระหนี้คงค้าง และไม่เกินอัตราส่วนสินเชื่อสูงสุดตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -ระยะเวลากู้สูงสุด 30 ปี (เฉพาะพนักงานประจำสูงสุด 35 ปี) รวมอายุผู้กู้สูงสุด 65 ปี -ค่าธรรมเนียม คิดค่าสำรวจและประเมินหลักประกัน 3,210 บาท (ธนาคารจะคืนค่าสำรวจและค่าประเมินหลักประกันหลังจากลูกค้าได้รับอนุมัติและเบิกใช้สินเชื่อแล้ว) -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปี ตลาดอายุสัญญาวงเงินกู้ 2 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี -รายละเอียดและเงื่อนไขอื่น โปรดสอบถามจากธนาคาร 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน ดังนี้ แบบทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 1.88% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.55%= 4.67% หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย MRR-1.50% = 4.72% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.81% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.05% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 1.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.50% = 4.72% หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย MRR-1.50% เท่ากับ 4.72% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.08% ทางเลือกแบบธนาคารออกค่าธรรมเนียมการจดจำนอง 1% แบบทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 1.88% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-0.85% เท่ากับ 5.37% หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย MRR-1.50% เท่ากับ 4.72% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.04% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.13% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 1.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-0.80% เท่ากับ 5.42% หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย MRR-1.50% เท่ากับ 4.72% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.13% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.16%   หมายเหตุ การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ 1.ทำ MRTA/GLT SP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี 2.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ หรือ ระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ **ธนาคารออกค่าจดจำนองให้ 1% สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท หากลูกค้าปิดบัญชีก่อน 5 ปี ธนาคารจะเรียกเก็บค่าจดจำนองคืน ***อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2564 MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีแคมเปญการให้บริการสินเชื่อรีไฟแนนซ์กับลูกค้า คือ  ฟรี! ค่าประเมินหลักทรัพย์ ฟรี! ค่าจดจำนอง ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. – 31 ส.ค. 64 โดยมีรายละเอียด ดังนี้​ สำหรับวงเงินตั้งแต่ 1 -1.5 ล้านบาท ทางเลือก 1 ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย MRR-1.85% ปีที่ 4-5 ดอกเบี้ย MRR-1.50% หลังจากนั้น MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.05% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.66% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ย 2.90% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-3.15% ปีที่ 4-5 ดอกเบี้ย MRR-1.50% หลังจากนั้น MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.65% ทางเลือกที่ 3* ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.50% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย MRR-1.35% ปีที่ 4-5 ดอกเบี้ย MRR-1.50% หลังจากนั้น MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.30% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.78% สำหรับวงเงินตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย MRR-2.15% = 3.9% ปีที่ 4-5 ดอกเบี้ย MRR-1.75% = 4.3% หลังจากนั้น MRR-1.75% = 4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.45% ทางเลือก 2 ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.75% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 2.20% ปีที่ 3-5 ดอกเบี้ย MRR-1.75% = 4.3% หลังจากนั้น MRR-1.75% =4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.40% ทางเลือกที่ 3 ปีที่ 1-5  ดอกเบี้ย MRR-2.70% = 3.35% หลังจากนั้น MRR-2.70% = 3.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.35% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.35% ทางเลือกที่ 4* ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.50% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย MRR-1.65% = 4.4% ปีที่ 4-5 ดอกเบี้ย MRR-1.75% = 4.3% หลังจากนั้น MRR-1.75% = 4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.10% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.57% สำหรับวงเงินกู้อนุมัติ 3 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 5 ปีที่ 1-5 อัตราดอกเบี้ย 3.50% หลังจากนั้น MRR-1.75%= 4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.50% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.67% หมายเหตุ *เฉพาะลูกค้าที่ซื้อ MRTA/MLTA ตามเงื่อนไขที่กำหนดเท่านั้น จึงจะสามารถเลือกรับดอกเบี้ยทางเลือกฟรีค่าจดจำนองได้โปรดอ้างอิงตาม Product Catalog_ประกัน (สาขากลาง) / Product Catalog_ประกัน(สาขาภูมิภาค) และ ใบข้อเสนอ (QE) ** อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 1.5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาทแต่ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 3 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้าซื้อ MRTA/MLTA หาก ค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -กรณีลูกค้าเลือกรับอัตราดอกเบี้ยทางเลือกที่ 3 (วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท) หรือทางเลือกที่ 4 (วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป) ฟรีค่าจดจำนองตามเงื่อนไขที่กำหนด -กรณีลูกค้าเลือกรับอัตราดอกเบี้ยทางเลือกที่ 1-2 (วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท) หรือทางเลือกที่ 1-3(วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป) หรือทางเลือกที่ 5(วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป) รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปีเฉพาะในปีที่ 1 ทั้ง 2 กรณีลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้1) -รายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติม สอบถามได้จากธนาคาร​ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย ให้บริการสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ ดังนี้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ยลอยตัว 3 ปีแรก ลดสูงสุด 1.50% จากอัตราดอกเบี้ยเดิมของลูกค้า* หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย MRR-1.50%** หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยลอยตัว 3 ปีแรก ลดสูงสุด 1.50% จากอัตราดอกเบี้ยเดิมของลูกค้า เมื่อคำนวณแล้วต้องไม่ต่ำกว่า 3.75% ในช่วง 3 ปีแรก *อัตราดอกเบี้ยเดิมของลูกค้า ให้อ้างอิงอัตราดอกเบี้ยท้ายของสัญญากู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยเดิม (ฉบับหลัก) ของลูกค้า ทั้งนี้ ในกรณีที่ลูกค้าได้ปรับลดดอกเบี้ยจากสถาบันการเงินเดิมมาแล้ว ให้ใช้อัตราดอกเบี้ยท้ายของบันทึกข้อตกลงแนบท้ายเพิ่มเติมของสัญญากู้เงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (ฉบับหลัก) **หากอัตราท้ายดอกเบี้ยเดิมของลูกค้าต่ำกว่า MRR - 1.50% ให้ได้เท่ากับอัตราท้ายเดิมของลูกค้า แต่ต้องไม่ต่ำกว่า MRR - 2.00% -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม 0.25% ในปีแรก หากทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อบ้านตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -สำหรับวงเงินกู้เพิ่มจากยอดสินเชื่อบ้านคงค้างของวงเงินสินเชื่อบ้าน รีไฟแนนซ์ ปรับอัตราดอกเบี้ยเฉพาะวงเงินส่วนเพิ่มขึ้นอีก 0.50% ของอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับ ตลอดอายุสัญญากู้ 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินคิน มีแคมเปญ KKP Home Loan Refinance สำหรับลูกค้าบ้านรีไฟแนนซ์ ดังนี้ ทางเลือก ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.590% ปีต่อไป MLR-1.75% = 4.775% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.790% ปีต่อไป MLR-1.75% = 4.775% ทางเลือก ดอกเบี้ยแบบลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.790% ปีต่อไป MLR-1.75% = 4.775% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.990% ปีต่อไป MLR-1.75% หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง​ เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา​ (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว โดยจะประกาศไว้​ ณ สถานที่ทำการให้บริการและเว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที 18 สิงหาคม​ 2563 เท่ากับ 6.525% ตอ่ ปี 3) เลือก​ทําประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA)​ ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมรีะยะเวลาเอาประกันภัย ​​0 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปีให้ระยะเวลาเอาประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ​ 3 ปีแรก คิดค่า Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง​ 5.กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง หากลูกค้า​ Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ทุกกรณี ลูกค้าต้องชำระคืนค่าจดจํานองที่ธนาคารเคยสำรองจ่ายให้ แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น​ 3,210 บาท ค่าอากรแสตมป์ ร้อยละ​ 0.05 ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน​ 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคภัยเป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด โดยผู้กู้สามารถเลือกทําประกันกับบริษัทประกันภัยที่เชื่อถือ​ (a) อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อ หลักประกัน 100% ของราคาประเมิน (b) ระยะเวลากู้สูงสุด​ 30 ปี (อายุผู้กู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน  65 ปีสําหรับพนักงานเงินเดือนประจํา และไม่เกิน 70 ปีสําหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์ และขอวงเงินเพิ่ม สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 30,000 บาทขึ้นไป แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  (MRR-3.66%) = 3.69% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย (MRR-2.00%) =5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.69% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.93% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย   (MRR-3.36%) = 3.99% หลังจากนั้น (MRR-2.00%) = 5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.01% สำหรับพนักงานเงินเดือน 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ขึ้นไป ทางเลือก 2 แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-3.36% = 3.99% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.00% = 5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.01% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-3.06% = 4.29% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.00% = 5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.29% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.08% พนักงานประจำรายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาทขึ้นไป ทางเลือก 1 แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-2.45% = 4.9% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-1.85% = 5.5% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.35% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-2.15% =5.2% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-1.85% = 5.5% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.20% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.43%   หมายเหตุ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 10 เมษายน 2563) 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบีมีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์  ดอกเบี้ยพิเศษ คงที่ 2 ปีแรก 1.89% ต่อปี หรือเฉลี่ย 3 ปีแรก 2.69% ต่อปี สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 1.89% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  (MRR-1.93%)= 4.35% หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย (MRR-1.63%)=4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.69% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.98% ทางเลือก 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย   (MRR-3.58%) = 2.7% หลังจากนั้น (MRR-1.63%)= 4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.00% ทางเลือก 3 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.25% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% MRR-1.63% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีดอกเบี้ย  3.05% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.10% ทางเลือกที่ 4 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย % (MRR-3.23%)= 3.05% หลังจากนั้น 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.05% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา  4.12% สมัครไม่ครบผลิตภัณฑ์เสริมทั้ง 3 ประเภท ทางเลือกที่ 5 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.89% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.9% (MRR-1.38%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.9% (MRR-1.38%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.56% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.44% ทางเลือกที่ 6 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย % (MRR-2.63%) = 3.65% หลังจากนั้น 4.9% (MRR-1.38%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.49% หมายเหตุ : -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -MRR (Minimum Retail Rate : อัตราดอกเบี้ย ลูกค้ารายย่อยชั้นดี) = 6.28% ต่อปี ณ วันที่ 1 เมษายน 2564 -การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการ พิจารณาสินเชื่อ สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1) สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อบ้าน สไมล์ โฮม หรือ สไมล์ โฮม พลัส 2) สมัครใช้บริการ หักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ทีทีบีเพื่อผ่อนช าระสินเชื่อบ้าน 3) สมัครบัตรเดบิต ทีทีบี (กรณีที่มีบัตรเดบิต ทีทีบีแล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) ช่วยคุณประหยัดดอกเบี้ยได้มากขึ้น ผ่อนต่อเดือนน้อยลง และเป็นเจ้าของบ้านได้เร็วขึ้น เมื่อรีไฟแนนซ์บ้านกับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ยให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท  รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ นาน 3 ปี  ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท  ฟรี! ค่าจดทะเบียนจำนอง มูลค่า 1% ของเงินกู้สูงสุด 200,000 บาท  ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อทั่วไปที่รีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินอื่น ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% ปีต่อไป MRR-0.72%= 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.242% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.90% ปีต่อไป MRR-0.72% = 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.174% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทําประกัน​ Credit Life 70% กําหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกําหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กําหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2563) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำหรับธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส. มีสินเชื่อบ้านสุขสันต์ (Re-in) เพื่อให้ลูกค้าเป็นทางเลือก โดยคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ สำหรับวงเงินให้กู้รวมทุกบัญชี ภายใต้หลักประกันเดียวกัน ต่ำกว่า 3 ล้านบาท ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.50% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.125% (MRR-3.15%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.5% (MRR-2.65%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 5.65% (MRR-0.5%) (สำหรับลูกค้ารายย่อย) สำหรับวงเงินให้กู้รวมทุกบัญชี ภายใต้หลักประกันเดียวกัน ตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.99% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.115% (MRR-3.16%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.5% (MRR-2.65%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 5.65% (MRR-0.5%) (สำหรับลูกค้ารายย่อย) หมายเหตุ -นิยามคำว่า “อาคาร” หมายถึง บ้านเดี่ยว บ้านแฝดทาวน์เฮ้าส์ และอาคารพาณิชย์เพื่อที่อยู่อาศัย ยกเว้นแฟลต และบ้านเช่า -ผู้กู้ต้องมีประวัติเป็นลูกหนี้ที่ดีจากสถาบันการเงินเดิมไม่น้อยกว่า 12 เดือน และไม่ค้างชำระหนี้ตามที่ธนาคารกำหนด ยกเว้น ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ร้อยละ 0.1 ของวงเงินทำนิติกรรม  ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่  4 มกราคม 2564 ถึง วันที่ 30 มิถุนายน 2564   ทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 กรกฎาคม 2564  (ทั้งนี้ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเต็มวงเงินของโครงการแล้ว) 10.ธนาคารยูโอบี สำหรับธนาคารยูโอบี มีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ UOB Home Loan - รีไฟแนนซ์ ​(รวมวงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์​)  สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเขื่อตั้งแต่ ​1 เม.ย. 64 - 30 มิ.ย. 64 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายในวันที่ 30 ก.ค. 64 ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.29% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.35% (MRR-4.06%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.29% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.77% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.49% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย % (MRR-3.86%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.49% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.85% หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ​ (MRTA) ผ่านธนาคารยูโอบี -ทุนประกันเต็มวงเงินกู้และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ ​10 ปีหรือ​ -ทุนประกันขั้นต่ำ ​80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มระยะเวลากู้​ 2.อัตราดอกเบี้ย สำหรับสินเชื่อรีไฟแนนซ์วงเงิน​ 1 ล้านบาทอายุสัญญา​ 15 ปี MRR = 7.35% ต่อปีอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้สำหรับโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับทำสัญญากู้ยืม​ของลูกค้าแต่ละรายอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย​ 3.อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับวงเงินเพิ่มไม่เกิน​ 50% ของวงเงินกู้รวมทั้ง ทั้งนี้ไม่นับรวมวงเงินกู้สินเชื่ออื่นเพื่อชำระค่าเบี้ย​ประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินชื่อ ​ (MRTA) วงเงินกู้รีไฟแนนซ์สูงสุด รวมส่วนกู้เพิ่มต้องไม่เกิน 95% ของราคาประเมิน ขึ้นอยู่กับรายได้ ประเภทของลูกค้า / ประเภทและที่ตั้งของหลักประกัน/ ราคาหลักประกัน / จำนวนสัญญากู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของลูกค้า วงเงินกู้รีไฟแนนซ์อนุมัติ รวมส่วนกู้เพิ่มต้องไม่เกินวงเงินกู้รีไฟแนนซ์ 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีแคมเปญสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ดอกเบี้ยต่ำ!! เพียง 0.59% ต่อปี ดังนี้ แบบที่ 1 สำหรับผู้กู้รายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.59% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-6.76% = 0.59% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.37% = 3.98% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.67% แบบที่ 2 ปีที่ 1 ดอกเบี้ยคงที่ 0.79% หรือ ผ่อนล้านละ 3,5000 บาท ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ยคงที่ MRR-3.32% = 4.03% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.05% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.74% แบบที่ 3 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.35%=2.00% ปีที่ 3 MRR-3.55%=3.80% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 4 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10% หรือ ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-3.45% = 3.90% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.64% แบบที่ 5 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-4.75% = 2.60% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 6 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.90% หรือ ผ่อนล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.82% ข้อกำหนดและเงื่อนไข 1.สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า Refinance ดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.59% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป หรืออัตราดอกเบี้ย 0.79% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป และเบิกรับเงินกู้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน - 30 มิถุนายน 2564 2.วงเงินกู้เริ่มต้น 1.0 ล้านบาท และราคาประเมินหลักประกัน (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.0 ล้านบาท หรือ (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.5 ล้านบาท (โครงการจัดสรรทุกโครงการ) 3.อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขดังกล่าว สำหรับหลักประกันที่ได้รับการจัดสรรทุกโครงการในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ยกเว้น ที่ดินว่างเปล่า, อาคารพาณิชย์ 4.กรณีลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือสูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือเปลี่ยนแปลงสัญญาใดๆ ภายใน 5 ปีแรกทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 5.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี 6.ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำล้านละ 3,500 บาท ได้ในแบบอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่เท่านั้น 7.อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.350% (ณ วันที่ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย 8.อัตราดอกเบี้ย หลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด   บทความที่เกี่ยวข้อง อัพเดท ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน-คอนโด เดือนมิถุนายน 2564  
มองภาวะตลาดอสังหาฯ ภาคเหนือปี 64 & อินไซต์ข้อมูลปี 63

มองภาวะตลาดอสังหาฯ ภาคเหนือปี 64 & อินไซต์ข้อมูลปี 63

แนวโน้มตลาดอสังหาฯ 4 จังหวัดภาคเหนือ เชียงใหม่ เชียงราย พิษณุโลก และตาก ในปี 64 ยังต้องเผชิญความท้าทาย กับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 คาดอีก 1-3 ปี ตลาดถึงจะกลับมาฟื้นตัว ขณะที่ซัพพลายช่วงปี 63 ยังเหลือขายกว่า 16,499 ยูนิต   ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยถึงผลการสำรวจการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่ภาคเหนือ 4 จังหวัดสำคัญ ได้แก่  จังหวัดเชียงใหม่ เชียงราย พิษณุโลก และตาก ช่วงครึ่งหลังปี 2563 พบว่า ​มีจำนวนยูนิตที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างขาย ณ ครึ่งหลัง ปี 2563 (Total Supply) ทั้งหมด 407 โครงการ จำนวน 18,570  ยูนิต คิดเป็นมูลค่ารวม 68,112 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร  354 โครงการ  15,644  ยูนิต มูลค่า 59,432 ล้านบาท และโครงการอาคารชุด (คอนโดมิเนียม) จำนวน  53 โครงการ   2,926 ยูนิต มูลค่า  8,679  ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวมียูนิตเหลือขายจำนวน  16,499  ยูนิต และในช่วงครึ่งหลังของปี 2563 มีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่จำนวน  2,071 ยูนิต สรุปภาวะตลาดอสังหาฯ จ.เชียงใหม่ ครึ่งหลังปี 63 -จังหวัดเชียงใหม่มีจำนวนยูนิตที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างขายทั้งสิ้น 10,955 ยูนิตลดลง 4.4% จากช่วงเดียวกันของปี 2562 ในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการบ้านจัดสรร 8,560 ยูนิต หรือสัดส่วน 78.1% เป็นโครงการอาคารชุด 2,395 ยูนิต หรือสัดส่วน 21.9% -จำนวนยูนิตที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างขาย เป็นโครงการเปิดขายใหม่ในครึ่งหลังปี 2563 เพียง 1,239 ยูนิต มีอัตราลดลง 20.3% จากช่วงเดียวกันของปี 2562 -ช่วงครึ่งหลังปี 63 จ.เชียงใหม่​ มียูนิตเหลือขายสะสมจำนวน 9,501 ยูนิต หรือเพิ่มขึ้น  3.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 -ช่วงครึ่งหลังปี 63 มียูนิตขายได้ใหม่จำนวน 1,454 ยูนิต ซึ่งการขายได้ใหม่นี้มีอัตราลดลงถึง 37.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน -สำหรับยูนิตเหลือขาย (Inventory) ในครึ่งหลัง ปี 2563 ในจังหวัดเชียงใหม่ มีจำนวนทั้งสิ้น 7,517 ยูนิต จากจำนวนยูนิตเหลือขาย 9,501 ยูนิต และสัดส่วน 79.1% เป็นโครงการบ้านจัดสรร -เมื่อจำแนกตามราคาพบว่ายูนิตเหลือขายส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท โดยมีจำนวน 3,383 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 35.6% ของยูนิตเหลือขายทั้งหมด -ขณะที่ยูนิตขายได้ใหม่มากที่สุดก็ยังคงอยู่ในช่วงราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 517 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 35.55% แนวโน้มตลาดอสังหาฯ จ.เชียงใหม่ ปี 64 แนวโน้มตลาดอสังหาฯ ของจ.เชียงใหม่ในปี 2564 ยังคงมีภาวะชะลอตัวต่อเนื่องจากปี 2563 ผลจาก โควิด-19 ช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ได้ทำให้ตลาดทั้งปี 2564 มีภาวะชะลอตัวเช่นเดียวกับปี 2563 ตลาดจะเริ่มฟื้นตัวครึ่งหลัง แต่ยังไม่ดีขึ้นมากต้องรอถึงปี 2565 – 2567 ถ้าซัพลลายใหม่ปรับตัวลงคาดว่า ซัพพลายเหลือขายจะทรงตัว หรือเพิ่มขึ้นจากปี 2563 เพียงเล็กน้อย สรุปสถานการณ์ตลาดอสังหาฯ จ.เชียงราย ครึ่งหลังปี 63 -จังหวัดเชียงรายมีจำนวนยูนิตที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างขายรวม 3,337 ยูนิต เพิ่มขึ้น 10.9% จากช่วงเดียวกันของปี 2562 ในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการบ้านจัดสรร 3,268 ยูนิต หรือสัดส่วน 97.9% เป็นโครงการอาคารชุด 69 ยูนิต หรือสัดส่วน 2.1% -โครงการเปิดขายใหม่ในครึ่งหลังปี 2563 มีเพียง 738 ยูนิต มีอัตราลดลง 40.4% จากช่วงเดียวกันของปี 2562 -มียูนิตขายได้ใหม่จำนวน 437 ยูนิต ซึ่งการขายได้ใหม่นี้มีอัตราเพิ่มขึ้น 46.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน -มียูนิตเหลือขายสะสมจำนวน 2,900 ยูนิต หรือเพิ่มขึ้น 7.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 -สำหรับยูนิตเหลือขาย (Inventory) ในครึ่งหลัง ปี 2563 ในจังหวัดเชียงราย มีจำนวนทั้งสิ้น 2,864 ยูนิต จากจำนวนยูนิตเหลือขาย 2,900 ยูนิต และสัดส่วน 98.8% เป็นโครงการบ้านจัดสรร -เมื่อจำแนกตามราคาพบว่ายูนิตเหลือขายส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท โดยมีจำนวน 1,111 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 38.31% ของยูนิตเหลือขายทั้งหมด -ขณะที่ยูนิตขายได้ใหม่มากที่สุดก็ยังคงอยู่ในช่วงราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 139 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 31.8% แนวโน้มตลาดอสังหาฯ จ.เชียงรายปี 64 ในปี 2564 แนวโนมตลาดอสังหาฯของ จ.เชียงราย ยังคงมีภาวะชะลอตัวต่อเนื่องจากปี 2563 ผลจาก โควิด-19 ช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ได้ทำให้ตลาดทั้งปี 2564 มีภาวะชะลอตัวเช่นเดียวกับปี 2563 ตลาดจะเริ่มฟื้นตัวครึ่งหลัง แต่ยังไม่ดีขึ้นมากต้องรอถึงปี 2565 – 2567 ถ้าซัพพลายใหม่ปรับตัวลงคาดว่า ซัพพลายเหลือขายจะลดลง จากปี 2563 สรุปสถานการณ์ตลาดอสังหาฯ ครึ่งหลังปี 63 -จังหวัดพิษณุโลกมีจำนวนยูนิตที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างขายรวม 3.422 ยูนิต เพิ่มขึ้น 31.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 ในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการบ้านจัดสรร 3,076 ยูนิต หรือสัดส่วน 89.9% เป็นโครงการอาคารชุด 346 ยูนิต หรือสัดส่วน 10.1% -จำนวนยูนิตที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างขาย แบ่งเป็นโครงการเปิดขายใหม่ในครึ่งหลังปี 2563 จำนวน เพียง 194 ยูนิต ซึ่งทั้งหมดเป็นโครงการบ้านจัดสรร โดยเพิ่มขึ้น 7.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 -สำหรับยูนิตขายได้ใหม่ มีจำนวน 142 ยูนิต ซึ่งการขายได้ใหม่นี้มีอัตราเพิ่มขึ้น 6.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน -มียูนิตเหลือขายสะสมจำนวน 3,280 ยูนิต หรือเพิ่มขึ้น 33.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 -สำหรับยูนิตเหลือขาย (Inventory) ในครึ่งหลัง ปี 2563 ในจังหวัดพิษณุโลก มีจำนวนทั้งสิ้น 3,280 ยูนิต จากจำนวนยูนิตเหลือขาย 2,955 ยูนิต และสัดส่วน 90.1% เป็นโครงการบ้านจัดสรร -เมื่อจำแนกตามราคาพบว่ายูนิตเหลือขายส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท โดยมีจำนวน 1,171 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 35.70% ของยูนิตเหลือขายทั้งหมด -ขณะที่ยูนิตขายได้ใหม่มากที่สุดก็ยังคงอยู่ในช่วงราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 60 ยูนิต ทิศทางตลาดอสังหาฯ จ.พิษณุโลก ปี 64 ทิศทางตลาดอสังหาฯ ในปี 2564 ของ พิษณุโลก ยังคงมีภาวะชะลอตัวต่อเนื่องจากปี 2563 ผลจากโควิด-19 ช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ได้ทำให้ตลาดทั้งปี 2564 มีภาวะชะลอตัวเช่นเดียวกับปี 2563 ตลาดจะเริ่มฟื้นตัวครึ่งหลัง แต่ยังไม่ดีขึ้นมากต้องรอถึงปี 2565 – 2567 ถ้าซัพพลายใหม่ปรับตัวลงคาดว่าซัพพลายเหลือขายจะลดลง จากปี 2563 สรุปภาวะตลาดอสังหาฯ จ.ตาก ครึ่งหลังปี 63 -จังหวัดตากมีจำนวนยูนิตที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างขายรวม 856 ยูนิต เพิ่มขึ้น 10.6% จากช่วงเดียวกันของปี 2562  ในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการบ้านจัดสรร 740 ยูนิต หรือ 86.4% เป็นโครงการอาคารชุด 116 ยูนิต หรือสัดส่วน 13.6% -จำนวนยูนิตที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างขายในครึ่งหลังปี 2563 มีโครงการเปิดขายใหม่ เพียง 27 ยูนิต มีอัตราลดลง 89.8% จากช่วงเดียวกันของปี 2562 -ช่วงครึ่งหลังปี 63 มียูนิตขายได้ใหม่จำนวน 38 ยูนิต ซึ่งการขายได้ใหม่นี้มีอัตราเทียบเท่ากับช่วงเดียวกันของปีก่อน -มียูนิตเหลือขายสะสมจำนวน 818 ยูนิต หรือเพิ่มขึ้น 11.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 -สำหรับยูนิตเหลือขาย (Inventory) ในครึ่งหลัง ปี 2563 ในจังหวัดตาก มีจำนวนทั้งสิ้น 856 ยูนิต จากจำนวนยูนิตเหลือขาย 740 ยูนิต และสัดส่วน 86.4% เป็นโครงการบ้านจัดสรร -เมื่อจำแนกตามราคาพบว่ายูนิตเหลือขายส่วนใหญ่อยู่ในช่วงระดับราคา 1.51 – 2.00 ล้านบาท โดยมีจำนวน 290 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 35.45% ของยูนิตเหลือขายทั้งหมด -ขณะที่ยูนิตขายได้ใหม่มากที่สุดก็ยังคงอยู่ในช่วงราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 17 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 2.07% แนวโน้มตลาดอสังหาฯ จ.ตาก ปี 64 แนวโน้มตลาดอสังหาฯ ในปี 2564 ของ จ.ตาก ยังคงมีภาวะชะลอตัวต่อเนื่องจากปี 2563 ผลจาก โควิด-19 ได้ทำให้ตลาดทั้งปี 2564 มีภาวะชะลอตัวเช่นเดียวกับปี 2563  
อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ประจำเดือนมิถุนายน 2564

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ประจำเดือนมิถุนายน 2564

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน เผลอแป๊ปเดียวเราก็เดินทางมาสู่เดือนมิถุนายน 2564 แล้ว ซึ่งสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าจะมีคลัสเตอร์ใหม่ ๆ เกิดขึ้นก็ตาม เพราะจำนวนผู้ได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง   ส่วนตอนนี้ ใครที่กำลังมองหาซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม เพื่ออยู่อาศัย ปีนี้ก็ยังนับว่าเป็นปีทองของผู้ซื้อ เพราะแคมเปญการตลาดของผู้ประกอบการหลายรายยังคงมีออกมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เป็นช่วงเวลาที่ดีหากใครที่มีความพร้อมและความสามารถในการจะซื้อบ้านสักหลังหนึ่ง เพราะแคมเปญลด แลก แจก แถมยังมีเยอะ แถมดอกเบี้ยเงินกู้จากสถาบันการเงินก็ยังถือว่าต่ำ แม้ว่าธนาคารบางแห่งอาจจะเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อบ้าง แต่หากเรามีคุณสมบัติครบถ้วนก็ไม่น่าจะเป็นปัญหา ทีนี้เรามาลองดูกันว่าแต่ละธนาคาร มีอัตราดอกเบี้ยสำหรับกู้ซื้อบ้านใหม่ ในเดือนมิถุนายน 2564 อัตราเท่าไรกันบ้าง 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1   ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น 5% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.50% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4% (MRR-1.75%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น 5% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.45%   อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25%  (MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.33% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.875% (MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 3.875% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.38% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น 5.25% (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.72% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-1.50%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.25% (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.70% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-1.25%) หลังจากนั้น 5% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.41% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.875% (MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 3.875% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.38% -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก 4.75% หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า ​500,00 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า ​คิดอัตราดอกเบี้ย​ MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย ​MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา   หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สําหรับผู้ที่ยื่นคําขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 64 – 30 มิ.ย. 64 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ​และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ​ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ​ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วนั ที่ 21 พ.ค.63 เท่ากับ 5.75% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ​​ 2.ธนาคารกรุงไทย  ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อสำหรับบ้านใหม่ แคมเปญ สินเชื่อบ้านกรุงไทย…สุขใจถ้วนหน้า โดยไม่คิดค่า  ธรรมเนียมยื่นกู้ ดังนี้ การกู้เงินโดยทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.64% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.77% (MRR-2.45%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.77% (MRR-2.45%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.72%  (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.73% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.02% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.64% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.92% (MRR-2.30%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.92% (MRR-2.30%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.72% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.83% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.05% สินเชื่อสำหรับการกู้ซื้อบ้านที่ธนาคารออกค่าจดจำนองให้** และ ฟรี ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบทำประกัน  ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.64% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.27% (MRR-1.95%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 4.27% (MRR-1.95%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.72% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.06% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.13% แบบไม่ทำประกัน  ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.64% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.42% (MRR-1.80%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 4.42% (MRR-1.80%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.72% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.16% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา = 4.16% หมายเหตุ การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ ทำ MRTA/GLT SP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ หรือ ระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ **ธนาคารออกค่าจดจำนองให้ 1% สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท หากลูกค้าปิดบัญชีก่อน 5 ปี ธนาคารจะเรียกเก็บค่าจดจำนองคืน ***อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน เงื่อนไขอื่นๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2564 MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมิน สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.9% ( MRR-3.15%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.00%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.39% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.50% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย MRR-1.60% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.55%  (MRR-3.50%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.3%  (MRR-2.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.02% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.25% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.1% (MRR-1.95%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.3% (MRR-1.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.7%  (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.23%   หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ​ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พ.ค. 63 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย. 64 – 31 ส.ค. 64 โดยจดจำานองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 30 ก.ย. 64 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป โดยพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.4% (MRR-0.57%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 5.47% (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.40% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.44% สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.9% (MRR-0.07%) หลังจากนั้น MRR = 5.97% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.94% หมายเหตุ : -อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% (ประกาศ ณ วันที่ 22 พ.ค. 63) -อัตราดอกเบี้ยข้างต้นสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่ 1 เม.ย. 64 – 30 มิ.ย. 64 -สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภทรวมอาคารพาณิชย์ยกเว้น Refinance และการปล่อยกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า -มีค่าสำรวจและประเมินราคาหลักประกันโดยบริษัท โพรเกรส แอพไพรซัล หรือบริษัทประเมินที่ธนาคารรับรอง คิดขั้นต่ำ 3,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่ : กรณีซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกําหนด) โดยคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  2.450%-2.750% ปีต่อไป ดอกเบี้ย  4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.650%-2.950% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.60%-2.99% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.80%-3.19% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ​เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่​ 18 สิวหาคม 2563 เท่กับ​ 6.525% ต่อปี 3.เลือกทําประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา​​​​​​ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า​ Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.​กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง ​​หากลูกค้า Re-Finance หรือชําระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท  ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคี ​เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด ​โดยผู้กู้สามารถเลือกทําประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ ​ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน​ 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด ​30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สําหรับพนักงานเงินเดือนประจํา และไม่เกิน 70 ปี สําหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.10%) ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย 5.35% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-2.80%) หลังจากนั้น 5.35% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.15% หมายเหตุ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 10 เมษายน 2563) 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป จะได้รับฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย และค่าประเมินหลักทรัพย์ มีการคิดดอกเบี้ย ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.45% ทางเลือก 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.23%) หลังจากนั้น 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46% ทางเลือก 3 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 4.25% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% MRR-1.63% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีดอกเบี้ย  4.38% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.56% ทางเลือกที่ 4 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 4.4% (MRR-1.88%) หลังจากนั้น 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.40% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา  4.57% สมัครไม่ครบผลิตภัณฑ์เสริมทั้ง 3 ประเภท ทางเลือกที่ 5 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 4.90% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.9% (MRR-1.38%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.9% (MRR-1.38%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.90% ทางเลือกที่ 6 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.8% (MRR-1.48%) หลังจากนั้น 4.9% (MRR-1.38%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87%   หมายเหตุ สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส ​ 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท​ -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -MRR (Minimum Retail Rate : อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี) = 6.28% ต่อปี ณ วันที่ 1 เม.ย. 64 -การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.950% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.950% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทําประกัน​ Credit Life 70% กําหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกําหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กําหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2563) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้านจัดสรร ​มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.80% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 2.8% (MRR-3.35%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.5% (MRR-2.65%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 5.65% (MRR-0.5%) (สำหรับลูกค้ารายย่อย) หมายเหตุ ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค. 64 – 30 มิ.ย. 64 ทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 ก.ค. 64 (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติ,วงเงินของโครงการแล้ว) อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 10.ธนาคารยูโอบี ธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโคงการหมู่บ้านทั่วไป โดยวงเงินตั้งแต่ 500,000 บาทจนถึง 50 ล้านบาทขึ้นอยู่กับที่ตั้งของหลักประกัน โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.35% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.35% (MRR-4.00%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.79% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.55% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.80%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.80% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-2.60%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.45% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.80% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-2.40%) ปีที่ 4 อัตราดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.88% หมายเหตุ -ขอสินเชื่อตั้งแต่ 1 เม.ย. – 30 มิ.ย. 64 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายใน 30 ก.ค. 64 -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาครยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.35% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ​(Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น)​ -การอนุมัติสินเชื่อ​เป็นไปตำมหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ  7.35% ต่อปี ​(ตามประกาศธนาคารณ วันที่ 1 เม.ย. 64) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย​ MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้​ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ​เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร​ -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย ​(ใบอนุญาตประกันชีวิต​เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาสภัย​ เลขที่ ว.00020/2546) ทำหนี่เสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ​จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย คือ โฮมโลน โดนใจ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 2.00% โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.00% (MRR-5.35%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.80% (MRR-3.55%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10%  (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 2 ปีแรก) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.20% (MRR-3.15%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.55% (MRR-4.80%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 4 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.75% (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 3 ปีแรก) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1%  ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใดๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ล้านละ 3,500 บาท  กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่** -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 4.60% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.10% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.35% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่างๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่ วันนี้ – 30 มิ.ย. 64 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีสินเชื่อบ้าน ดอกเบี้ยต่ำ ผ่อนสบาย ปีแรก 0.50% ผ่อนสบาย ล้านละ 4,000 บาทต่อเดือน นาน 1 ปี โดยคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ กรณีทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 0.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.025% (MRR-2.22%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป อัตราดอกเบี้ย 5.245% (MRR-1.00%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.850% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.327% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 0.750% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.275% (MRR-1.970%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.245% (MRR-1.00%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.100% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.424%   เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยโปรโมชั่น 1.ต้องสมัครบริการ MyMo และผลิตภัณฑ์/บริการอื่นของธนาคารเพิ่มอย่างน้อย 2 ประเภท ได้แก่ บัตรอิเล็กทรอนิกส์/ บัตรเครดิต หรือ สินเชื่อบัตรเงินสด / ชำระสินเชื่อหักผ่านบัญชี / ประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ทั้งนี้ หากลูกค้ใช้ผลิตตภัณฑ์/ บริการ ตามที่กหนดอยู่แล้วสามารถใช้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้ กรณีไม่มี Smartphone ให้สมัครผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นของธนาคารตามที่กำหนดทดแทนได้ 2.กรณีไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด 3 ปี ทุกกรณี คิดค่าธรรมเนียมตามอัตราที่ธนาคารกระกาศกำหนด เรื่อง อัตราค่าธรรมเนียมบริการประเภทต่าง ๆ (ปัจจุบัน 3% ของยอดเงินต้นคงเหลือ) 3.สินเชื่อเคหะ สามารถเลือกชำระแบบผ่อนต่ำ โดยเงินงวดผ่อนชำระต่อจำนวนเงินกู้สินเชื่อเคหะ 1 ล้านบาท ปีที่ 1 เท่ากับ 4,000 บาท /เดือน ยกเว้น กรณีกู้ปลูก​สร้าง/ต่อเติมซ่อมแซม ไม่สามารถเลือกชำระแบบผ่อนต่ำได้ หมายเหตุ 1.ประกัน หมายถึง ประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ 2.อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR=6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) 3.อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระ 20 ปี     บทความที่เกี่ยวข้อง อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ กู้ซื้อบ้านและคอนโด เดือนมิถุนายน 64 แบงก์ไหน? ให้ดีลดีสุด
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้  จับมือ”โนมูระ” ปั้นโซโห แบงค็อก รัชดา  เติมพอร์ตโปรเจ็กต์ร่วมทุน​ 34,000 ล้าน

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จับมือ”โนมูระ” ปั้นโซโห แบงค็อก รัชดา เติมพอร์ตโปรเจ็กต์ร่วมทุน​ 34,000 ล้าน

“ออริจิ้น” เดินหน้าร่วมทุน “โนมูระ เรียลเอสเตท” ปิดดีลลงทุนเพิ่มอีก 1 โปรเจ็กต์ “โซโห แบงค็อก รัชดา”​คอนโดไฮเอนด์แบรนด์ใหม่ มูลค่า​ 1,700 ล้าน ดัน​มูลค่าโครงการคอนโดร่วมทุนสะสม 2 บริษัททะลุ 34,000 ล้าน   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI  เปิดเผยว่า บริษัทได้ร่วมทุนกับ บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จากญี่ปุ่น พัฒนาคอนโดมิเนียมเพิ่มเติมอีก 1 โครงการ คือโครงการคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์แบรนด์ใหม่ โซโห แบงค็อก รัชดา (SOHO Bangkok Ratchada) มูลค่าโครงการประมาณ 1,700 ล้านบาท ถือเป็นการเดินหน้าร่วมทุนกันอย่างต่อเนื่อง จากช่วงต้นปีที่เพิ่งร่วมทุนกันเพิ่มเติมไป 2 โครงการ แม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดของโควิด -19 ระลอกที่ 3 แต่โนมูระยังคงมองเห็นสัญญาณที่ดีในระยะยาวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ซึ่งยังคงเป็นตลาดที่น่าสนใจระดับท็อปในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้   ขณะเดียวกัน ผลงานโครงการร่วมทุนในโครงการต่าง ๆ ที่ผ่านมา ตลอดจนผลงานไตรมาสล่าสุดของบริษัทที่ทำกำไรได้เป็นระดับ Top 3 ของกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์  เป็นเครื่องการันตีที่ทำให้โนมูระมั่นใจ และตัดสินใจเดินหน้าร่วมทุนโครงการคอนโดกับบริษัทอย่างต่อเนื่อง   จากการร่วมทุนเพิ่มเติมดังกล่าว ส่งผลให้ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ และโนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ มีการร่วมทุนกันในกลุ่มธุรกิจคอนโดสะสมจากเดิม 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 32,314 ล้านบาท เพิ่มเป็น 10โครงการ มูลค่าสะสม 34,014 ล้านบาท และส่งผลให้การร่วมทุนสะสมระหว่างกันครอบคลุมในคอนโดทุกเซ็กเมนท์ ตั้งแต่แบรนด์คอนโดระดับไฮเอนด์ อย่างไนท์บริดจ์ (KnightsBridge) แบรนด์คอนโดระดับลักชัวรี่อย่างพาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) แบรนด์คอนโดสำหรับคน Gen Z อย่างดิ ออริจิ้น (The Origin)  และแบรนด์ใหม่อย่างโซโห แบงค็อก (SOHO Bangkok) นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับโครงการโซโห แบงค็อก รัชดา เป็นโครงการคอนโดมิเนียมไฮไรส์​สูง 24 ชั้น มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท เปิดขายเมื่อช่วงไตรมาส 4 ปี 2563 เป็นโครงการภายใต้แบรนด์ใหม่โซโห แบงค็อก โครงการแรก ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาดอย่างต่อเนื่อง ด้วยจุดแกร่งทั้งด้านทำเลระดับย่านใจกลางธุรกิจ (CBD) และสิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิต ปัจจุบัน มียอดขายสะสมแล้วกว่า 80%   ทั้งนี้ บริษัทยังคงพิจารณาการร่วมทุนกับพันธมิตรทั้งรายเดิม และรายใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าไปได้อย่างแข็งแกร่งและก้าวกระโดดตามแผน ORIGIN NEXT LEVEL โดยเฉพาะในด้านการขยายธุรกิจ (Next Level of Business Expansion) โดยอาจพิจารณาร่วมทุนได้ทั้งในกลุ่มโครงการที่อยู่อาศัย โครงการที่สร้างรายได้ประจำ เช่น โรงแรม รวมถึงธุรกิจประเภทอื่นๆ ที่จะสร้างโอกาสใหม่ๆ ในอนาคต   โครงการโซโห แบงค็อก รัชดา คอนโดมิเนียม High Rise สูง 24 ชั้น ตั้งอยู่บนเนื้อที่ขนาด 1-2-28 ไร่ จำนวนห้องพักอาศัย 341 ยูนิต และร้านค้า 1 ยูนิต มีห้องให้เลือก 4 รูปแบบ คือ 1 Bedroom 24.7-25.9 ตร.ม. และ 1 Bedroom Plus 34.8-34.9 ตร.ม. ทั้งแบบ Simplex เพดานสูง 2.6 เมตร และแบบ Duo Space คอนโด 2 ชั้น ฝ้าเพดานสูงพิเศษ 4.2 เมตร ตอบโจทย์ทุกการใช้งานของคนรุ่นใหม่ โดยไฮไลต์ของโครงการ ได้แก่ 1.Business Connection พื้นที่ส่วนกลางที่ออกแบบให้รองรับการทำธุรกิจโดยเฉพาะพร้อมหลากสิ่งอำนวยความสะดวกภายใน 2.Samitivej Club โปรแกรมดูแลสุขภาพสุด Exclusive โดยผู้เชี่ยวชาญผ่าน Virtual Hospital หรือบริการอื่นๆ เช่น Health Check Up Room และ One Touch Emergency จากโรงพยาบาลสมิติเวช 3.Park Concierge บริการผู้ช่วยส่วนตัวระดับมืออาชีพที่ช่วยจัดการชีวิตส่วนตัวให้ง่ายขึ้น อาทิ จองร้านอาหาร จองรถลีมูซีนเพื่อเดินทางไปยังสนามบิน จัดหาออแกไนซ์งานปาร์ตี้ส่วนตัว เทรนเนอร์ออกกำลังกาย สปาส่วนตัว บริการซักรีด  
3 ทำเลศักยภาพและโอกาสในการลงทุนที่อยู่อาศัย “จรัญฯ-แจ้งวัฒนะ-ลาดพร้าว 101”

3 ทำเลศักยภาพและโอกาสในการลงทุนที่อยู่อาศัย “จรัญฯ-แจ้งวัฒนะ-ลาดพร้าว 101”

เปิดศักยภาพและโอกาสการลงทุนอสังหาฯ ใน 3 ทำเลเติบโตสูง ​“จรัญฯ-แจ้งวัฒนะ-ลาดพร้าว 101” ได้อานิสงค์รถไฟฟ้า ช่วยผลักดันราคาและความต้องการอสังหาฯ  ย่านจรัญสนิทวงศ์ ได้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน เปิดโอกาสการลงทุนเติบโต 8% ขณะที่แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด ราคาที่ดินพุ่งกว่า 12.5% ส่วนทำเลลาดพร้าว 101 มีรถไฟฟ้าพัฒนาโดยรอบ และการเปลี่ยนสีผังเมืองผลักดันความเจริญ   ​นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทด้านวิจัยและพัฒนาในเครือบริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยถึงผลการสำรวจความต้องการที่อยู่อาศัยใน 3 ทำเลประกอบด้วย “จรัญสนิทวงศ์-แจ้งวัฒนะ-ลาดพร้าว 101” ว่า เป็น 3 ทำเลที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลมาจากการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนทั้งรถไฟฟ้าและทางด่วน ส่งผลให้ระดับราคาที่ดินใน 3 ทำเลมีการปรับตัวขึ้นเฉลี่ยมากกว่า 10% ต่อปี ในขณะที่ระดับราคาที่อยู่อาศัยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นตามระดับราคาที่ดินที่ขยับสูงขึ้นทั้งที่อยู่อาศัยเก่าและใหม่  จรัญสนิทวงศ์  "สายสีน้ำเงิน" ดันราคาคอนโด จากผลการสำรวจพบว่า   ทำเล “จรัญสนิทวงศ์” เป็นพื้นที่มีแนวโน้มการพัฒนาที่อยู่อาศัยในรูปแบบคอนโดมิเนียมเป็นหลัก โดยเฉพาะโซนติดรถไฟฟ้า โดยในปี 2563 คอนโดในย่านจรัญฯ มีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (capital gain) จากการซื้อมาและขายออกไปเฉลี่ยอยู่ที่ 8% ต่อปี โดยระดับราคาคอนโดในทำเลนี้มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 80,000-120,000 บาท/ตารางเมตร ซึ่งเป็นราคาที่ปรับขึ้น 20% จากปี 2560 และราคามีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากการขยายของเมืองตามแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน โดยปัจจุบันมีจำนวนอาคารชุดเหลือขายในทำเลจรัญฯ 965 ยูนิต​ มีอัตราการขายเฉลี่ย 5% ต่อเดือน โดยมีระดับราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 89,700 บาทต่อตารางเมตร หรือประมาณ 2.8 ล้านบาทต่อยูนิต ในขณะเดียวกัน ความต้องการเช่าที่พักอาศัยในย่านนี้ก็มีความต้องการเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ตั้งแต่อดีตก่อนรถไฟฟ้าสีน้ำเงินจะแล้วเสร็จ เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่มีแหล่งงานทางการแพทย์อย่างโรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลธนบุรี และโรงพยาบาลยันฮี ทำให้มีกลุ่มผู้เช่าที่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ที่ต้องการที่พักอาศัยใกล้ที่ทำงานเป็นจำนวนมาก ราคาเช่าเฉลี่ยในย่านจรัญสนิทวงศ์อยู่ที่ 350 บาท/ตร.ม./เดือน โดยราคาเช่าห้องขนาด 30-35 ตร.ม.เฉลี่ยอยู่ที่ 10,000 บาท/เดือน ห้อง Studio type เฉลี่ยที่ 6,000-8,500 บาท/เดือน และมี Rental Yield ที่ 5% ต่อปี แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด ที่ดินพุ่ง 12.5% ส่วนทำเล “แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด” เป็นทำเลที่มีอัตราการเติบโตของโครงการใหม่โดยเฉลี่ย 100% - 250% ต่อปี  จากผลการสำรวจของทีมวิจัย พบว่า ณ สิ้นปี  2563 ทำเลแจ้งวัฒนะมีซัพพลายสะสมอยู่ที่ 10,325  ยูนิต​ โดยคิดเป็นบ้านพักอาศัย 15% และ คอนโด 85%  มีอัตราการขายของบ้านพักอาศัยอยู่ที่ 3.1%ต่อเดือน และอัตราการขายคอนโด​ในทำเลอยู่ที่ 5% ต่อเดือน สูงกว่าอัตราการขายของบ้านพักอาศัยเฉลี่ยในนนทบุรีซึ่งอยู่ที่ 2.8% ต่อเดือน  และอัตราการขายคอนโด​ในทำเลอยู่ที่ 4%ต่อเดือน   การเติบโตของการพัฒนาที่อยู่อาศัยในทำเลนี้ ทำให้ระดับราคาที่ดินในย่าน “แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด” มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยราคาประเมินที่ดินสูงขึ้นเฉลี่ย 12.5% ต่อปี  ทำให้ระดับราคาที่อยู่อาศัยในทำเลนี้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 15-20% ต่อปี โดยเฉพาะราคาบ้านพักอาศัยย่านแจ้งวัฒนะ-เมืองทองธานี ที่เพิ่มขึ้นถึง 20%  ต่อปี โดยในด้านของตลาดมือสองมีอัตราผลตอบแทนของการลงทุน (capital gain) อยู่ที่ 7-8% ต่อปี  และมีราคาให้เช่าอยู่ที่ 28,000-35,000 บาท คาดว่าเมื่อรถไฟฟ้าสายสีแดง และสายสีชมพูเปิดใช้งาน จะยิ่งส่งเสริมให้ทำเลแจ้งวัฒนะเป็นทำเลที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยมากขึ้นและราคาที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันบ้านพักอาศัยเปิดตัวใหม่ในทำเลแจ้งวัฒนะมีหลายระดับราคา ตั้งแต่บ้านทาวโฮมในราคาเริ่มต้น 2 ล้านบาท จนถึง บ้านเดี่ยวราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป จึงถือว่าเป็นทำเลที่มีบ้านพักอาศัยให้เลือกอย่างหลากหลาย ทำให้บ้านพักอาศัยในทำเล แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ดเหมาะสำหรับ ผู้ที่มองหาบ้านพักอาศัยในทำเลศักยภาพที่เดินทางสะดวกใกล้แหล่งงานและสถานศึกษา มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบ และมีศักยภาพในการลงทุน ลาดพร้าวได้รถไฟ 4 สีดันการพัฒนา ในขณะที่การพัฒนารถไฟฟ้าทั้งหมด 4 สาย ที่ล้อมรอบพื้นที่ “ลาดพร้าว 101-โพธิ์แก้ว” ทั้งสายสีเหลือง, สีส้ม, สีเทา และสีน้ำตาล ปัจจุบัน สายสีเหลือง และสายสีส้มกำลังดำเนินการก่อสร้างและมีกำหนดเปิดใช้งานได้ภายในปี 2565 และปี 2567 ตามลำดับ ซึ่งจะช่วยให้การเดินทางเชื่อมต่อไปได้ทั่วทั้งกรุงเทพฯ สะดวกและง่ายยิ่งขึ้น ทำให้ทำเล   “ลาดพร้าว 101 – โพธิ์แก้ว” เป็นหนึ่งในทำเลศักยภาพทางโซนเหนือของกรุงเทพฯ โดยปัจจุบันในทำเลนี้มี บ้านพักอาศัยเปิดขายใหม่อยู่ทั้งหมด 14 โครงการ แบ่งเป็นรูปแบบบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 7 โครงการ ราคาขายต่อยูนิตมากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป มียูนิต​เหลือขายคิดเป็นสัดส่วน 16% ของยูนิตที่เปิดขายอยู่ทั้งหมด โดยมีอัตราการขายเฉลี่ยอยู่ที่ 2% ต่อเดือน   อีกรูปแบบคือ ทาวน์โฮม อีกจำนวน 7 โครงการ มียูนิตเหลือขายคิดเป็นสัดส่วน 22% ของยูนิตที่เปิดขายอยู่ทั้งหมด โดยราคาขายเฉลี่ยต่อยูนิตแบ่งออกเป็น 3 ช่วงราคา ได้แก่ 3-5 ล้านบาท, 5-10 ล้านบาท และมากกว่า 10 ล้านบาท โดยมีอัตราการขายได้เฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 7% 3% และ 4% ตามลำดับ ในขณะที่จำนวนเหลือขายในทำเลนี้มีประมาณ 420 ยูนิต ทำให้คาดว่าจะสามารถระบายยูนิตเหลือขายได้ภายใน 3 ปี   ในขณะที่ตลาดบ้านพักอาศัยมือสองในย่านมีราคาขายเริ่มต้นที่ 8 ล้านบาท สำหรับบ้านเดี่ยว อัตราค่าเช่าเริ่มต้น 35,000-120,000 บาทต่อเดือน ส่วนทาวน์โฮม 2 ชั้น ราคาขายเริ่มต้นที่ 2 ล้านบาท ทาวน์โฮม 3 ชั้น เริ่มต้นต่ำสุดที่ 3.70 ล้านบาท และสูงสุดถึง 6.50 ล้านบาท อัตราค่าเช่าเริ่มต้น 18,000-45,000 บาทต่อเดือน โดยขึ้นอยู่กับสภาพหรืออายุการใช้งานของบ้าน พื้นที่ใช้สอย และที่ตั้งห่างจากถนนหลักมากน้อยแค่ไหน ซึ่งอัตราค่าเช่านั้นใกล้เคียงกับอัตราการผ่อนชำระในกรณีซื้อเอง ทำให้โครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เป็นที่น่าสนใจและคุ้มค่าสำหรับผู้ที่มองหาที่อยู่อาศัยมากกว่า ร่างผังเมืองใหม่ดันราคาพุ่ง ในขณะเดียวกัน ร่างผังเมืองใหม่ที่จะประกาศใช้ในเร็วนี้ ได้มีการปรับการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ “ลาดพร้าว 101-โพธิ์แก้ว” จากพื้นที่สีเหลือง เป็นพื้นที่สีส้ม คือ ประเภทพื้นที่อยู่อาศัยหนาแน่นปานกลาง ทำให้สามารถพัฒนาที่ดินได้เพิ่มมากขึ้นจาก FAR 3:1 – OSR 10% เป็น FAR 3.5:1 – OSR 8.5% และสามารถพัฒนาโครงการคอนโดขนาดน้อยกว่า 10,000 ตารางเมตร หรือพื้นที่มากกว่า 10,000 ตารางเมตรได้ โดยที่เหล่าผู้พัฒนารายใหญ่ยังมีที่ดินผืนใหญ่รอพัฒนาในบริเวณรอบ ๆ ย่านนี้อีกจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้ราคาที่ดินในย่านมีแนวโน้มจะปรับตัวสูงขึ้นอีก จากปัจจุบันราคาซื้อขายที่ดินในย่านนี้ต่ำสุดอยู่ที่ราคา 50,000 บาท/ตารางวา ซึ่งเป็นที่ดินบริเวณกลางซอยลาดพร้าว 101 และราคาสูงสุดอยู่ที่ 130,000 บาท/ตารางวา ในตำแหน่งที่ดินที่ใกล้ถนนประเสริฐมนูญกิจหรือถนนลาดพร้าว   “การพัฒนาระบบขนส่งมวลชน ทำให้เมืองขยายจากพื้นที่เศรษฐกิจเดิมอย่างย่านสุขุมวิท เพลินจิต สาทร ไปสู่ย่านเศรษฐกิจใหม่ ซึ่งทั้ง 3 ทำเล  ถือเป็นย่านธุรกิจใหม่ที่กระจายออกมาจากศูนย์กลางเศรษฐกิจเดิม จึงเป็นโอกาสสำหรับการลงทุนของผู้ประกอบการ และผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในระดับราคาที่จับต้องได้และเดินทางได้สะดวก”  
ชาญอิสสระ  แตกไลน์ 2 ธุรกิจ “เวลเนส-คริปโตฯ”  พร้อมขนบ้าน-คอนโดหั่นราคา 50%

ชาญอิสสระ แตกไลน์ 2 ธุรกิจ “เวลเนส-คริปโตฯ” พร้อมขนบ้าน-คอนโดหั่นราคา 50%

ชาญอิสสระ วาง 3 แนวทางรับมือโควิด-19 ทั้งการรัดเข็มขัด จัดทีมให้มีประสิทธิภาพ และพัฒนาโครงการคุณภาพ รับเรียลดีมานด์คนต้องการซื้อบ้าน พร้อมแตกไลน์สู่ธุรกิจใหม่ “เวลเนส” ขน 40-50 ยูนิตโปรเจ็กต์บลูไดมอนด์นำร่อง เล็งศึกษาธุรกิจ “คริปโตเคอเรสซี” เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ลุยตลาดอสังหาฯ ต่อ ขนบ้าน-คอนโด ลดราคา 50%   นายสงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภายใต้การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้บริษัทต้องใช้บริหารจัดการธุรกิจด้วยนโยบายสำคัญ 3 เรื่อง ได้แก่ 1.การประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ 2.การสร้างทีมในการบริหารธุรกิจแต่ละฝ่ายให้มีประสิทธิภาพและไม่มีขนาดที่ใหญ่เกินไป รวมถึงการนำระบบหรือเครื่องมือที่สามารถช่วยการบริหารและดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมาใช้ และ 3.การพัฒนาโครงการให้มีคุณภาพ ในระดับราคาที่เหมาะสม การทำบ้านดีมีคุณภาพที่ดี อย่างไรก็ขายได้ ที่ผ่านมาบริษัทพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพ ซึ่งลูกค้ามีความต้องการบ้านที่มีคุณภาพในราคาที่ยุติธรรม ขยายธุรกิจเวลเนส-คริปโตเคอเรนซี สำหรับแผนธุรกิจในปีนี้ นอกเหนือจากการดำเนินธุรกิจหลัก ในด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ทั้งรูปแบบคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และโรงแรมแล้ว ในปีนี้บริษัทยังมองหาโอกาสในการดำเนินธุรกิจใหม่ ซึ่งสามารถเสริมกับธุรกิจหลักได้ด้วย  โดยจะเริ่มทดลองทำการตลาดธุรกิจเวลเนส (Wellness) ด้วยรูปแบบ Wellness Serviced Condo ซึ่งเป็นบริการเสริมให้กับลูกค้าที่ซื้อห้องของโครงการบลูไดมอนด์ ที่อยู่ภายในโครงการทิวทะเลเวิลด์ ชะอำ-หัวหิน ซึ่งลูกค้าจะได้รับบริการพิเศษด้านสุขภาพ (Wellness Service Package) จากโรงแรมศรีพันวา อาทิ การตรวจสุขภาพประจำปีฟรี 2 ปี การประสานงานกับโรงพยาบาล การให้บริการห้องพยาบาลส่วนกลาง  บริการรองรับและช่วยเหลือเบื้องต้น เป็นต้น เบื้องต้นจะนำคอนโดมาทดลอง 40-50 ยูนิต หากประสบความสำเร็จ อาจจะขยายการให้บริการด้านสุขภาพไปในโครงการอื่น ๆ บริษัท รวมถึงการเพิ่มรูปแบบและการให้บริการด้านสุขภาพเพิ่มมากขึ้นด้วย ​   นอกจากนี้ ยังมองโอกาสในการขยายธุรกิจคริปโตเคอเรนซี (Cryptocurrency) ​หรือ สินทรัพย์ดิจิทัล โดยจะนำเอาโครงการของบริษัท 1-2 โครงการ เข้ามาดำเนินการซื้อขาย หรือมาผสมผสานการดำเนินธุรกิจระหว่างกัน ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ และโอกาสในการเข้าไปดำเนินการ คาดว่าน่าจะเห็นความชัดเจนได้ในอีก 4-5 เดือนข้างหน้านี้   สำหรับปีนี้บริษัทยังไม่มีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ แต่จะทำการตลาดและขายโครงการที่เปิดดำเนินการมาก่อนหน้า อาทิ โครงการบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักชัวรี่  โครงการอิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม 9 (Issara Residence Rama 9) ,โครงการบ้านอิสสระ บางนา (Baan Issara Bangna) ปัจจุบันโครการอิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม 9 มียอดขายไปแล้วกว่า 70% จากจำนวนบ้านสร้างเสร็จทั้งโครงการ 20 ยูนิต  และโครงการบ้านอิสสระ บางนา มียอดขายกว่า 60% ของเฟสที่เปิดขาย จำนวน 25 ยูนิต ดึงดีมานด์ต่างชาติกระตุ้นตลาด นายสงกรานต์ กล่าวว่า ภาพรวมของตลาดอสังหาฯ ในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมา ว่าถือเป็นจุดเปลี่ยนของวงการทั้งในแง่การขาย การตลาด จากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค โดยเฉพาะตลาดอสังหาฯ แนวราบอย่างบ้านเดี่ยว ผู้อยู่อาศัยที่มีกำลังซื้อจะมองหาบ้านเดี่ยวที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิต มากกว่าการเลือกซื้อคอนโด​ ซึ่งถือเป็นโอกาสให้ดีเวลอปเปอร์ที่มีสินค้าพร้อมขายอยู่ในมือได้รับอานิสงค์เพิ่มขึ้น   ทั้งนี้ จะเห็นว่าแม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะเข้ามากระทบต่อตลาดอสังหาฯ โดยจะ กระทบหนักในส่วนของตลาดระดับกลางลงไป เพราะกำลังซื้อถดถอยอย่างมาก แต่หากภาครัฐมีการ  แก้มาตรการทางกฎหมายในการเปิดทางให้ชาวต่างชาติ  สามารถซื้ออสังหาฯ บ้านแนวราบระดับราคา 10 – 15 ล้านบาทขึ้นไป พร้อมขยายสัดส่วนการซื้อคอนโดเป็น  70 – 80 % ของโครงการ รวมถึงขยายสิทธิการเช่าจาก 30 ปี เป็น 40-50 ปี ก็ถือเป็นอีกโอกาสสำคัญที่จะช่วยดึงเม็ดเงินจากต่างประเทศมาช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ และกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้กลับมาฟื้นตัวได้เร็วต่อไป   นายสงกรานต์ กล่าวอีกว่า ​ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รอบนี้นับว่าเป็นรอบที่รุนแรงมาก ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อทุก ๆ ภาคธุรกิจ ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าสถานการณ์จะจบลงเมื่อไหร่ จากรอบแรกที่ประเทศไทยสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ดีเยี่ยมเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ แต่ก็ยังต้องกลับมาเผชิญอีกครั้ง ดังนั้นภาคธุรกิจต้องมีการปรับตัว และควรดำเนินการต่าง ๆ เพื่อให้ต่างชาติสามารถเข้ามาซื้ออสังหาฯ ไทยได้มากขึ้น เพราะกำลังซื้อของคนไทยลดลง จึงต้องอาศัยกำลังซื้อจากต่างชาติ เพื่อกระตุ้นตลาด​ มองว่าประเทศไทยต้องเร่งนำวัคซีนเข้ามาเพื่อฉีดให้ประชาชนให้มากที่สุด แม้วัคซีนอาจจะไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาได้ 100% แต่ก็สามารถช่วยสร้างความมั่นใจพลิกฟื้นความเชื่อมั่น หนุนการบริโภค การลงทุน ภาคท่องเที่ยวและบริการกลับมาเป็นบวก จะช่วยพลิกเศรษฐกิจประเทศฟื้นคืนกลับมาได้ ขนบ้าน-คอนโด หั่นราคา 50% ในช่วงกลางปีนี้ ชาญอิสระ เตรียมกลยุทธ์กระตุ้นยอดขายในช่วงกลางปี ด้วยการจัด​แคมเปญใหญ่ “Mid Year Sale ทุกโครงการลด 50%” ทั้งบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม โรงแรม เพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้าได้มีโอกาสเข้าถึงสินค้าที่มีคุณภาพ ในราคาและเงื่อนไขที่จับต้องได้ อีกทั้งยังเป็นการแบ่งเบาภาระให้กับลูกค้าในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ซึ่งแต่ละโครงการได้นำเสนอโปรโมชั่น ​ อาทิ โครงการดิ อิสสระ เชียงใหม่ จัดโปรฯ มอบส่วนลด 50% 1 ห้องนอน 35 ตร.ม. โครงการ บลูไดมอนด์ ชะอำ-หัวหิน ลดทันที 50% หรือจะเป็นคอนโดฯ ใจกลางเมือง โครงการ ดิ อิสสระ สาทร จัดโปรฯ ลดเงินดาวน์ 50%โครงการ อิสสระ เรสซิเดนส์ พระราม 9 ​เมื่อซื้อบ้านหลังแรก หลังที่สองลดราคา 50%” ซึ่งแคมเปญจะเริ่มในวันที่ 1 มิถุนายน 2564 นี้   โดยภาพรวมผลประกอบการในปีนี้ บริษัทคาดว่าจะเติบโตด้วยดีทั้งด้านยอดขายและรายได้ เนื่องจากโครงการต่าง ๆ ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้า มียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง คาดว่าจะทำผลประกอบการได้มากกว่าปีที่ผ่านมาเป็นเท่าตัว แม้ว่าธุรกิจโรงแรมจะได้รับผลกระทบบ้างจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่จากการฉีดวัคซีนที่มีเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะในจังหวัดภูเก็ตซึ่งมีโครงการแซนบ็อกซ์ ที่มีเป้าหมายจะฉีดวัคซีนให้ได้ 80% ของจำนวนประชากรในจังหวัด เพื่อเปิดให้มีการท่องเที่ยวได้ จังคาดว่าจะส่งผลทำให้โรงแรมของบริษัทมีอัตราการเข้าพักเพิ่มขึ้นได้ถึง 50-60% และตลาดท่องเที่ยวจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นในช่วงปลายปีนี้ด้วย   ในส่วนของภาคธุรกิจโรงแรมนั้น ยอมรับว่าจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมารอบแรก จนถึง ปัจจุบัน ภาคธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรมได้รับผลกระทบหนักสุด ที่ผ่านมาโรงแรมหลายแห่งได้ประกาศหยุด  ดำเนินการไปบ้างแล้ว  โดยในส่วนของโรงแรมในเครือของบริษัทฯ ทั้งโรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต โรงแรม บาบาบีช    คลับ นาใต้ และโรงแรมบาบาบีช คลับ หัวหิน ต่างได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่นเดียวกัน ที่ผ่านมาได้มีการปรับตัวในการดำเนินธุรกิจ และปฏิบัติตามกฎระเบียบของทางภาครัฐอย่างเคร่งครัด โดยในส่วนของภูเก็ตเองขณะนี้พนักงานได้รับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ครบเรียบร้อยแล้ว ซึ่งเชื่อว่าหากเร่งการ วัคซีนให้ดำเนินการอย่างทั่วถึง และภูเก็ตมีการออกมาตรการคัดกรองการเดินทางข้ามจังหวัดอย่างเคร่งครัด  เน้นสร้างความเป็นเมืองสะอาดและปลอดภัย ก็จะเริ่มเห็นภาคการท่องเที่ยวในส่วนของภูเก็ตกลับมาฟื้นตัวได้  ภายในปลายปีนี้ทั้งในส่วนของนักท่องเที่ยวชาวไทย และชาวต่างชาติ      
มั่นคง เคหะการ  เจอพิษโควิดทำขาดทุนกว่า 102 ล้าน เตรียมเปิด 3 โปรเจ็กต์-ขยายคลังสินค้าสร้างรายได้

มั่นคง เคหะการ เจอพิษโควิดทำขาดทุนกว่า 102 ล้าน เตรียมเปิด 3 โปรเจ็กต์-ขยายคลังสินค้าสร้างรายได้

มั่นคงฯ เจอพิษโควิด-19 ไตรมาสแรกยังขาดทุน รอความหวังการฉีดวัคซีนคนไทยให้ได้กว่า 50% ช่วยหนุนเศรษฐกิจให้ฟื้นตัว ยันเดินหน้าเปิดโปรเจ็กต์ใหม่แนวราบอีก 3 โครงการ รวม 2,347 ล้าน พร้อมขยายธุรกิจโรงงานและคลังสินค้าอีก 120,000 ตารางเมตร   บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2564 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวมทั้งสิ้นจำนวน 594.63 ล้านบาท ลดลง 10.75% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 666.27 ล้านบาท มีรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 448.0 ล้านบาท ลดลง 9.85% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้ 496.92 ล้านบาท รายได้จากธุรกิจให้เช่าและบริการ มีรายได้ 74.44 ล้านบาท ลดลง 29.81% จากช่วงเดียวกันที่มีรายได้ 106.05 ล้านบาท มีรายได้จากธุรกิจสนามกอล์ฟและบริหารอสังหาริมทรัพย์ 44.6 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.03% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 37.79 ล้านบาท   ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปีนี้ ขาดทุนจำนวน 102.41 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการขาดทุน 71.42% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุน 59.74 ล้านบาท ซึ่งเป็นกระทบมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19   นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2564ว่า ธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ มีอัตราส่วนกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 27.25% มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงสิ้นปี 2563 ที่มี 24.4% ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดีในการดำเนินธุรกิจ ส่วนธุรกิจเพื่อเช่าและการบริการที่ลดลง เป็นผลจากในช่วงไตรมาส 3 ปี 2563 บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ได้ขายทรัพย์สินประมาณ 45% ของโครงการทั้งหมดเข้าทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ พรอสเพค โลจิสติกส์และอินดัสเทรียล (กองทรัสต์)   ในส่วนธุรกิจเพื่อเช่าและการบริการ (Recurring Income) มีรายได้จำนวน 74.44 ล้านบาท เป็นรายได้จากโครงการ “บางกอกฟรีเทรดโซน” (Bangkok Free Trade Zone : BFTZ) 57.44 ล้านบาท โดยมีอัตราการเช่า (Occupancy rate) สูงถึง 93% ขณะที่ธุรกิจสนามกอล์ฟ และธุรกิจบริหารอสังหาริมทรัพย์ มีรายได้จำนวน 44.61 ล้านบาท ซึ่งถือว่าธุรกิจเพื่อเช่าและการบริการแทบไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวแต่อย่างใด   แต่หากเปรียบเทียบรายได้ภายหลังการขายทรัพย์สินบางส่วน บริษัทย่อยได้กลับมามีรายได้เพิ่มขึ้น 13% จากจำนวน 51 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 4 ของปีก่อน จากการพัฒนาพื้นที่ในโครงการที่เหลืออยู่และสามารถเริ่มเปิดให้เช่าพื้นที่เพิ่มเติมโดยมีอัตราการเช่า (Occupancy rate) ณ สิ้นไตรมาสสูงถึง 93% ทำให้รายได้จากการให้เช่าและบริการมีอัตราการเติบโตต่อเนื่องตามแผนธุรกิจที่วางไว้ ซึ่ง​บริษัท พรอสเพค​ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 1 ปี ที่จะกลับมามีมูลค่าทรัพย์สินเท่าเดิมก่อนขายเข้าให้กองทรัสต์ฯ   ส่วนธุรกิจสนามกอล์ฟ และธุรกิจบริการอสังหาริมทรัพย์ ยังคงสามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะธุรกิจบริหารอสังหาริมทรัพย์ ที่มียอดรับรู้รายได้ จำนวน 16.95 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 80.69% โดยรายได้ ที่เพิ่มขึ้นมาจากการบริหารทรัพย์สินในกองทรัสต์ของ “บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด” และรายได้จากการจัดการกองทุนทรัสต์ของ “บริษัท พรอสเพค รีท แมเนจเมนท์ จำกัด” ส่งผลให้บริษัทมีกำไรขั้นต้นของธุรกิจบริหารอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น 6.27 ล้านบาท คิดเป็นเพิ่มขึ้น 179.93% ด้านธุรกิจเพื่อสุขภาพโครงการรักษ (RAKxa) ที่ได้เปิดให้บริการเต็มรูปแบบตั้งแต่เดือนธันวาคม 2563 นั้น แต่เนื่องด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่ค่อนข้างส่งผลกระทบต่อตัวโครงการ เพราะกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติยังไม่สามารถเดินทางเข้ามาใช้บริการในประเทศได้ ดังนั้นบริษัทฯ จึงได้มีการปรับกลยุทธ์เชิงรุก สร้างการรับรู้เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าภายในประเทศมากยิ่งขึ้น และเน้นขาย Membership โดยปัจจุบันมีค่าสมาชิกมากกว่า 50 ล้านบาท   ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในแต่ละธุรกิจหลักนั้น มีผลการดำเนินงานอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ เนื่องจากแผนธุรกิจ 5 ปี ที่มุ่งเน้นเพิ่มสัดส่วนกำไร ในกลุ่มธุรกิจเพื่อเช่าและเพื่อการบริการ ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้สามารถช่วยลดผลกระทบ  จากปัจจัยลบของสภาวะเศรษฐกิจในปัจจุบัน ประกอบกับกลุ่มธุรกิจของบริษัทฯ ยังมีการจัดการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ภาพรวมธุรกิจตั้งแต่ต้นปี ที่ค่อนข้างได้รับผลกระทบอย่างรวดเร็วจากโควิด-19 ระลอกใหม่  ถ้าสามารถดำเนินการฉีดวัคซีนให้แก่ประชาชนได้ 50% ของจำนวนประชากรทั้งหมด คาดจะเป็นตัวแปรสำคัญ  ที่ส่งผลให้ระบบเศรษฐกิจโดยรวมค่อยๆ กลับคืนมาอีกครั้งในช่วงไตรมาส 3 สำหรับ การเตรียมความพร้อมของบริษัทฯ ​ได้มีการเตรียมความพร้อมทุกช่องทาง และยังคงเดินหน้าดำเนินงานตามแผนที่ได้วางเอาไว้ คือ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน  3 โครงการ มูลค่ารวม 2,347 ล้านบาท และขยายธุรกิจโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า “โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน”  เพิ่มอีก 2 แห่ง จำนวน 120,000 ตารางเมตร  
แสนสิริ  โชว์ผลงาน Q1 รายได้-กำไรโต  เดินหน้าต่อสู่เป้ายอดขาย-โอน 31,000 ล้าน

แสนสิริ โชว์ผลงาน Q1 รายได้-กำไรโต เดินหน้าต่อสู่เป้ายอดขาย-โอน 31,000 ล้าน

กลยุทธ์ Speed to Market  ดันผลงาน “แสนสิริ” ไตรมาสแรก ทำรายได้รวมโต 5% และทำกำไรได้กว่า 384 ล้าน ไตรมาส 2 เดินหน้าสร้างรายได้ต่อเนื่อง สู่เป้าหมายยอดขายและยอดโอนใหม่ทั้งปีหลังปรับเป็น 31,000 ล้าน   แสนสิริ รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกที่ผ่านมาว่า มีรายได้รวมทั้งสิ้น 6,827 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีรายได้รวม 6,527 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่มีจำนวน 6,044 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12%  จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมามีจำนวน 5,383 ล้านบาท โดยกลุ่มสินค้าที่ส่งผลให้รายได้จากการขายอสังหาฯ เติบโต  คือ รายได้จากการขายโครงการมิกซ์โปรดักส์ จำนวน 621 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 274% และโครงการบ้านเดี่ยวจำนวน 3,272 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36%   แต่ขณะเดียวกันรายได้จากการขายโครงการทาวน์โฮม ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ มีจำนวน 493 ล้านบาท ลดลง18% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และโครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 1,659 ล้านบาท ลดลง 25% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา  ส่วนช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ​แสนสิริและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิ 384 ล้านบาท เติบโต 521% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ จำนวน 62 ล้านบาท นางสาววรางคณา อัครสถาพร ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) เปิดเผยว่า ด้วยกลยุทธ์ Speed to Market ส่งผลให้แสนสิริมีผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกที่ดี  ภายใต้สถานการณ์โควิด-19  ขณะที่แผนการดำเนินธุรกิจในไตรมาสที่ 2 เตรียมโอนโครงการ XT ห้วยขวาง มูลค่า 7,000 ล้านบาท ที่มียอดขายแล้วกว่า 60% โดยกลุ่มลูกค้าต่างชาติมีการโอนล่วงหน้าแล้วถึง 60% โดยจะเริ่มเปิดการโอนในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ ซึ่งจะส่งผลให้แสนสิริมีรายได้จากการโอนในมือเพิ่มและสร้างยอดโอนได้ตามเป้าหมาย 31,000 ล้านบาท   ขณะที่ยอดโอนในช่วง​ 4 เดือนแรกของปีมีจำนวน​ 9,400 ล้านบาท และมียอดขาย 12,500 ล้านบาท ทำให้ต้องมีการปรับเพิ่มเป้ายอดขายและยอดโอนทั้งปีเป็น 31,000 ล้านบาท   นอกจากนี้ แสนสิริยังได้ประกาศการลงทุนใน บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ XSpring Capital Public Company Limited (XPG) กลุ่มธุรกิจการเงินและหลักทรัพย์ผู้ให้บริการทางการเงินครบวงจรที่เชื่อมโลกการเงินปัจจุบันและโลกบริการทางการเงินดิจิทัลหรือ Digital Financial Service ไว้ด้วยกัน โดยแสนสิริเข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่งในสัดส่วน 15% ด้วยเงินลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่ง​ XSpring มีใบอนุญาตการดำเนินธุรกิจ Digital Financial Service ในด้าน “บริการซื้อขายโทเคนดิจิทัลเต็มรูปแบบ” ผ่านบริษัท SE Digital (เอสอี ดิจิทัล) ในฐานะ ICO Portal ที่เสนอขายโทเคนดิจิทัลให้แก่นักลงทุน ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว
ให้ต่างชาติซื้อบ้านอย่างไร ช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ไทย

ให้ต่างชาติซื้อบ้านอย่างไร ช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ไทย

นับตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน นับเป็นเวลากว่า 1 เดือนแล้ว ที่รัฐบาลมีนโยบายการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็น “บ้านหลังที่สอง” ของชาวต่างชาติ  ด้วยการส่งเสริมให้ชาวต่างชาติเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ของไทย (Freehold) และ/หรือเช่าระยะยาว (Leasehold) ให้เพิ่มมากขึ้น ทั้งกลุ่มที่ต้องการเข้ามาซื้อเพื่อเป็นทรัพย์สิน กลุ่มนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในประเทศ หรือแม้แต่กลุ่มผู้เกษียณอายุแล้ว ให้เข้ามาพำนักระยะยาวในประเทศไทย เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีกำลังในการใช้จ่ายเงินสูงจากเงินบำนาญ มีเงินเก็บออม และมีประกันสุขภาพจากรัฐสวัสดิการ   โดยรัฐบาลจะมีการแก้กฎหมาย กฎเกณฑ์ และระเบียบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้คนต่างชาติมาซื้อ และ/หรือเช่าระยะยาวอสังหาฯ  ได้สะดวกขึ้น ผ่านแนวทางเชิงนโยบาย 3 เรื่องหลัก ๆ คือ 1.ขยายเพดานสัดส่วนกรรมสิทธิ์ซื้อห้องชุด เป็น 70-80% จากปัจจุบัน 49% 2.ปลดล็อกต่างชาติซื้อบ้านพร้อมที่ดิน ระดับราคา 10-15 ล้านบาทขึ้นไป   3.กำหนดให้นักลงทุนต่างชาติทำสัญญาเช่าได้สูงสุด 30 ปี จะมีการขยายเพิ่มเป็น 50 ปี และต่อได้อีก 40 ปี ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นยูนิตงานกลางข้อมูลด้านอสังหาฯของประเทศไทย ที่มีฐานข้อมูลที่อยู่อาศัยมากที่สุดและน่าเชื่อถือที่สุดในปัจจุบัน ได้นำข้อมูลเกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์ที่สะท้อนภาวะของการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ของคนต่างชาติ (Freehold) และข้อมูลการเช่าที่อยู่อาศัยระยะยาวของคนต่างชาติ (Leasehold) มาสรุปภาวะในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้เห็นเงื่อนไขสิ่งที่เกิดขึ้น ให้ต่างชาติซื้อคอนโดสัดส่วน 80% จำเป็นในบางพื้นที่ ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า ​จากข้อมูลการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด (คอนโดมิเนียม) ทั่วประเทศ พบว่า ในช่วงปี 2561 – 2563 มีชาวต่างชาติ​โอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด 3 ปีสะสมรวมประมาณ 34,651 ยูนิต  มูลค่า 145,577 ล้านบาท​ หรือเฉลี่ยมียอดโอนกรรมสิทธิ์ปีละ 11,550 ยูนิต  มูลค่า 48,526 ล้านบาท ​​   โดยยังพบว่า ทำเลที่ชาวต่างชาติมียูนิตโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด อยู่ใน 5 จังหวัด ดังนี้ คือ จังหวัดชลบุรี เชียงใหม่ ภูเก็ต กรุงเทพฯ และสมุทรปราการ ซึ่งทั้ง 5 จังหวัด มีสัดส่วนคอนโดที่โอนกรรมสิทธิ์รวมกันถึง 96.2% ยูนิตโอนกรรมสิทธิ์คอนโด​ของคนต่างชาติทั้งประเทศ  จังหวัดชลบุรีที่มีสัดส่วนโอนกรรมสิทธิ์คอนโดสูงสุด 30.3% รองลงมาคือ เชียงใหม่ 18.5%,  ภูเก็ต 17.0%, กรุงเทพฯ 7.8% และสมุทรปราการ 6.3% สำหรับจังหวัดอื่นที่ไม่ได้ยกขึ้นมาแสดง มีสัดส่วนในยูนิตกรรมสิทธิ์ห้องชุดน้อยมากอย่างไม่มีนัยสำคัญ แต่ในภาพรวมสัดส่วนในยูนิตกรรมสิทธิ์คอนโดของคนต่างชาติทั้งประเทศ ในช่วงปี 2561 – 2563 มีเพียง 9.0% หรือมีสัดส่วนมูลค่าเท่ากับ 14.7%​ เท่านั้น ขณะเดียวกันหากมองในด้านราคาคอนโดที่ต่างชาติโอนกรรมสิทธิ์  จะพบว่า  ราคาคอนโดที่คนต่างชาติโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด จะมีระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท โดยมีสัดส่วน 77.6%  แต่สัดส่วนในการเป็นเจ้าของคอนโดมีเพียง 7.7% เท่านั้น  แต่ขณะที่คอนโดในราคาเกินกว่า 5 ล้านบาท ซึ่งมียูนิตที่ซื้อและรับโอนกรรมสิทธิ์รวมกันเพียง 22.4% กลับมีสัดส่วนการเป็นเจ้าของในยูนิตคอนโดนสูงกว่า โดยมีประมาณ 20.0% ข้อมูลข้างต้นได้สะท้อนประเด็นสำคัญ 3 ประเด็นสำคัญ คือ   1.ในช่วงที่ผ่านมาชาวต่างชาติมีความสนใจที่จะซื้อห้องชุดในบางพื้นที่เท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเมืองศูนย์กลางทางภูมิภาค เมืองขนาดใหญ่ และเมืองท่องเที่ยว   2.ในภาพรวมอัตราส่วนยูนิตที่เป็นเจ้าของคอนโด​ ของคนต่างชาติน่าจะยังต่ำกว่า 49% ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่อาจมีคอนโดในบางพื้นที่ อาจเป็นที่ต้องการของคนต่างชาติมาก จึงทำให้มีความต้องการเป็นเจ้าของคอนโดมากกว่า 49% ตามที่กฎหมายกำหนด ​   3.คอนโดที่คนต่างชาติซื้อส่วนใหญ่ซื้อในระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท เป็นระดับที่สอดคล้องกับกำลังซื้อของคนไทยส่วนใหญ่ แต่ด้วยคอนโดประเภทนี้ มีจำนวนมากในตลาด จึงทำให้สัดส่วนยูนิตที่ต่างชาติเป็นเจ้าของมีไม่ถึง 10% ขณะที่ระดับราคาเกินกว่า 5 ล้านบาท มีสัดส่วนประมาณ 20% ส่งผลให้ในโดยภาพรวมทุกระดับราคาของคอนโด  ชาวต่างชาติยังเป็นเจ้าของคอนโดในสัดส่วนยังต่ำกว่า 49% ตามที่กฎหมายกำหนด จากประเด็นที่กล่าวมาข้างต้นทำให้เห็นข้อสังเกตได้ว่า การขยายสัดส่วนในยูนิตกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้กับคนต่างชาติ ให้สามารถมีสัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ได้มากกว่า 49% นั้น อาจจะมีความจำเป็นเพียงในบางพื้นที่เท่านั้น และระดับราคาที่ควรส่งเสริมให้เพิ่มสัดส่วนให้สูงขึ้นควรเป็นห้องชุดระดับราคามากกว่า 5 ล้านบาท เพื่อป้องกันไม่ให้ห้องชุดระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาทถูกซื้อไปโดยคนต่างชาติมากเกินควร นอกจากนี้ หากมีการเพิ่มสัดส่วนในกรรมสิทธิ์คอนโดสำหรับคนต่างชาติให้มากกว่า 49% แล้ว ควรคำนึงถึงการใช้ชีวิตของคนไทยในคอนโด​ ให้สอดคล้องตามบรรทัดฐานทางสังคมและวัฒนธรรมของไทย โดยผ่านการกำหนดสิทธิในการโหวต (Voting Right) ในนิติบุคคลคอนโดของเจ้าของร่วม ที่ควรให้ชาวต่างชาติมีสิทธิในการโหวตน้อยกว่าเจ้าของร่วมที่เป็นคนไทย แนะให้สิทธิ์ต่างชาติซื้อบ้าน-ที่ดินเกิน 15 ล้าน สำหรับแนวทางเชิงนโยบายในเรื่องการเปิดให้คนต่างชาติ สามารถซื้อและมีกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินนั้น ในปัจจุบันยังไม่ปรากฏข้อมูลที่มีนัยสำคัญ เนื่องจากกฎหมายยังคงจำกัดสิทธิของคนต่างชาติในการถือครองกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินอย่างมาก แต่ยังมีข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการว่า คนต่างชาติบางรายมีการใช้ตัวแทน (Nominee) ในการถือครองกรรมสิทธิ์แทน หรือ อาจถือในนามนิติบุคคลที่มีชาวต่างชาติถือหุ้นอยู่   ดังนั้น หากประเทศไทยเปิดโอกาสให้คนต่างชาติเข้ามามีกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินแล้ว ก็คาดว่าน่าจะมีคนต่างชาติที่ต้องการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินพอสมควร เนื่องจากราคาบ้านและที่ดินในประเทศไทยยังคงมีราคาต่ำกว่าในหลายประเทศมาก และบางประเทศกรรมสิทธิ์ในที่ดินยังเป็นของรัฐ   ทั้งนี้ อาจต้องพิจารณากำหนดให้คนต่างชาติเข้ามาซื้อและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินในบ้านที่มีราคาสูงกว่า 15 ล้านบาทขึ้นไป เนื่องจากในปัจจุบันผู้ซื้อชาวไทยส่วนใหญ่ประมาณ 90% เป็นบ้านจัดสรรในระดับราคาไม่เกิน 15 ล้านบาท ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบในเรื่องของราคาบ้านปรับตัวขึ้นเร็วเกินไป ขยายระยะเวลาเช่า 90 ปีดึงชาวต่างชาติ นอกจากนี้ ควรการกำหนดสิทธิในการโหวต ของคนต่างชาติในนิติบุคคลบ้านจัดสรร ให้มีได้ไม่เกิน 49% เพื่อให้เจ้าของร่วมที่เป็นคนไทย สามารถมีสิทธิในการกำหนดกฎระเบียบ กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในชุมชนให้สอดคล้องกับบรรทัดฐานทางสังคมและวัฒนธรรมตามบริบทของสังคมไทย   อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาคนต่างชาติ ยังมีรูปแบบการครอบครองที่อยู่อาศัย ทั้งคอนโด​ บ้านและที่ดินในประเทศไทย ด้วยการมีสิทธิ์ในการครอบครองที่อยู่อาศัย แบบการทำสัญญาเช่าระยะยาว หรือ  Leasehold ซึ่งตามกฎหมายที่ดินปัจจุบันกำหนดให้สามารถเช่าได้ไม่เกิน 30 ปี และสามารถต่ออายุได้รอบละ 30 ปี แต่ในทางปฏิบัติมักมีการทำสัญญาต่ออายุไว้เลยอีก 2 รอบ รวมเป็น 90 ปี ซึ่งที่ผ่านมามีคนต่างชาติที่ให้ความสนใจในรูปแบบนี้มีจำนวนไม่มากนัก ดังจะเห็นได้ว่าชาวต่างชาติที่มีการทำสัญญาเช่าระยะยาวในระหว่างปี 2561 – 2563 สะสมรวมทั้งหมด 1,483 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 5,390 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 494 ยูนิต มูลค่า 1,797 ล้านบาท   โดยแบ่งเป็นคอนโดจำนวน 1,280 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 4,503 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 427 ยูนิต มูลค่า 1,501 ล้านบาท บ้านและที่ดิน 203 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 888 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 68 ยูนิต มูลค่า 296 ล้านบาท ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ตลาดการเช่าที่อยู่อาศัยระยะยาวในช่วงที่ผ่านมาจึงมีขนาดเล็กมาก ซึ่งส่วนใหญ่ประมาณ 93.4% อยู่ในเมืองท่องเที่ยว คือ ภูเก็ต 78.8% ชลบุรี 10.3% และเชียงใหม่ 6.3%   ขณะที่สัญชาติของคนต่างชาติที่เข้ามาเช่าระยะยาว ที่โดดเด่นมี 2 สัญชาติ คือ รัสเซีย ที่มีสัดส่วนการเช่าถึง 43.2% ของการเช่าทั้งหมด และ จีน มีสัดส่วนการเช่าถึง 23.5% ของการเช่าของคนต่างชาติทั้งหมด ซึ่งนิยมเช่าคอนโดมากกว่าประเภทแนวราบ ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า ตลาดการเช่าระยะยาวปัจจุบันยังมีขนาดเล็กมาก ซึ่งอาจเป็นผลจากระยะเวลาในการให้เช่ามีเพียง 30 ปี และสามารถต่อคราวละ 30 ปี อาจยังไม่จูงใจให้คนต่างชาติเข้ามาเช่าที่อยู่อาศัยระยะยาวในประเทศไทย ดังนั้น หากขยายเวลาเช่าระยะยาวออกเป็น 50 ปี และต่อได้อีก 40 ปี ก็น่าจะสร้างความมั่นใจในการตัดสินใจของต่างชาติมากขึ้น และถือเป็น Lifetime Tenant หรือ สิทธิ์ในการอยู่อาศัยต้นในชั่วชีวิตของคนเช่า เพราะชาวต่างชาติอาจกังวลว่าการต่อสัญญาอาจมีความไม่แน่นอนในการปรับราคาขึ้นของที่ดิน หรือ การเปลี่ยนแปลเงื่อนไขการเช่า หรือ เจ้าของต้องการใช้ที่ดินในลักษณะอื่น เป็นต้น ฉะนั้น ถ้าชาวต่างชาติสามารถเช่าได้ถึง 90 ปี ด้วยการการทำสัญญา 2 ครั้ง แทนที่จะเป็น 3 ครั้ง เท่ากับสามารถลดความเสี่ยงไปได้ 1 ใน 3 เร่งแก้โควิด-19 กระตุ้นตลาดต่างชาติ จากข้อมูลต่าง ๆ ข้างต้น ถ้านโยบายเหล่านี้สามารถทำได้จริง ก็จะเป็นผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและภาคอสังหาริมทรัพย์ค่อนข้างมาก เพราะเป็นนโยบายที่สามารถสร้างความต้องการ (Demand) ใหม่ ๆ จากต่างประเทศ แต่เนื่องจากกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยต่างชาติในปัจจุบัน ยังมีสัดส่วนค่อนข้างน้อยเพียงประมาณ 10% ของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยทั้งหมด และยังมีอุปสรรคในการขยายฐานจำนวนลูกค้ากลุ่มนี้ เนื่องจากปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ชาวต่างชาติอาจขาดแรงจูงใจในการซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทย ซึ่งคาดว่านโยบายนี้จะช่วยสร้างแรงซื้อที่อยู่อาศัยของคนต่างชาติ ซึ่งเป็นเหมือนนโยบายเสริมในการช่วยฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยนโยบายเหล่านี้อาจไม่ได้ส่งผลบวกอย่างเป็นรูปธรรมทันที แต่น่าจะส่งผลในเชิง Sentiment และการวางแผนทางธุรกิจแก่ผู้ประกอบการในอนาคตได้อย่างดี   การดำเนินนโยบายเหล่านี้จะต้องชัดเจนในหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่จะแก้ไขด้านกฎหมาย กฎระเบียบ และกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ รวมถึงการกำหนดไทม์ไลน์สำหรับดำเนินการให้ชัดเจน โดยปัจจัยที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในความสำเร็จของนโยบายนี้คือ การควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และสามารถเร่งเปิดประเทศเพื่อรับชาวต่างชาติเข้าประเทศให้เร็วที่สุด เพื่อให้เกิดกิจกรรมทางธุรกิจการค้า การประชุมสัมมนา การจัดนิทรรศการ และการท่องเที่ยว เพื่อให้อสังหาริมทรัพย์ของไทยได้รับสนใจคนต่างชาติดังเช่นที่ผ่านมา เนื่องจากประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของสิ่งเหล่านี้ในภูมิภาคอาเซียนนี้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันคนไทยยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองอยู่มาก การขยายสิทธิ์ในการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยให้แก่คนต่างชาติ ทั้งการเพิ่มอัตราส่วนกรรมสิทธิ์ในห้องชุดให้กับคนต่างชาติ หรือ การอนุญาตให้คนต่างชาติสามารถมีกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดิน หรือ การขยายเวลาเช่าระยะยาวออกเป็น 50 ปี และต่อ 40 ปี นั้น จึงควรจะต้องพิจารณาในจุดที่มีความเหมาะสม โดยอาจพิจารณากำหนดให้มีการขยายสิทธิ์ในการครอบครองที่อยู่อาศัยให้แก่คนต่างชาติในบางพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ส่งเสริมการลงทุนด้านอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว ศูนย์กลางธุรกิจและพาณิชยกรรม เช่น กรุงเทพฯ EEC เชียงใหม่ และภูเก็ต เป็นต้น และ ที่อยู่อาศัยในระดับราคา เกินกว่า 15 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับราคาที่มีกระทบน้อยมากต่อผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทย          
เอสซี แอสเสท  ลุย Q2 เปิดบ้านแนวราบ 1,145 ล้าน  เดินหน้ารักษาแชมป์บ้านเดี่ยว

เอสซี แอสเสท ลุย Q2 เปิดบ้านแนวราบ 1,145 ล้าน เดินหน้ารักษาแชมป์บ้านเดี่ยว

เอสซี แอสเสท  ทำผลงานไตรมาสแรก เติบโตทั้งรายได้และกำไร พร้อมรักษาแชมป์ตลาดบ้านเดี่ยว ครองส่วนแบ่ง 15% ลุยต่อไตรมาส 2 เปิดโปรเจ็กต์ใหม่ 1,145 ล้าน   นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยว่า ไตรมาสแรกที่ผ่านมาบริษัทสามารถทำรายได้​รวม 3,955.66 ล้านบาท  เติบโต 20.16% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมาจากรายได้จากการดำเนินงานแบ่งเป็นรายได้จากการขาย 95%  และรายได้จากการเช่าและบริการ 5% พร้อมกำไรสุทธิ  416.81 ล้านบาท เติบโต 39% จากปีที่ผ่านมามีกำไร 300.61 ล้านบาท   โดยรายได้จากการขายทั้งหมดมีจำนวน 3.738.84 ล้านบาท ​แบ่งเป็นรายได้จากโครงการแนวราบ จำนวน 3,237.03 ล้านบาท เติบโต 77% และโครงการคอนโดมิเนียม 501.81 ล้านบาท ลดลง 59.62% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีรายได้ค่าเช่าและบริการ คิดเป็นจำนวน 198.96 ล้านบาท ลดลง 1.33% และรายได้จากค่าที่ปรึกษาและการจัดการ จำนวน 17.86 ล้านบาท ลดลง 5.45% ขณะที่ไตรมาสแรกมียอดขายรวม 5,700 ล้านบาท เติบโต 188% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งประกอบด้วย ยอดขายแนวราบ 4,606 ล้านบาท เติบโต 123% และยอดขายคอนโดฯ 1,094 ล้านบาท เติบโต 1381% โดยในส่วนการเติบโตของยอดขายคอนโดมาจาก ​โครงการระดับ Luxury segment ราคามากกว่า 300,000 บาทต่อตร.ม. ของบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 26% และเป็นอันดับ 1 ของตลาด  พร้อมกับโครงการคอนโดเปิดใหม่ สโคป พร้อมศรี บนทำเลสุขุมวิท 49 มียอดจองแล้ว 45 %   ส่วนตลาดบ้านเดี่ยว ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทยังคงรักษาความเป็นผู้นำตลาด ด้วยส่วนแบ่งตลาด 15% จากข้อมูลตลาดบ้านเดี่ยวในกรุงเทพ-ปริมณฑลของ บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด หรือ AREA ​โดยเป็นผลจากบ้านการเติบโตของยอดขายบ้านเดี่ยวใน 3 กลุ่มหลัก คือ   1.บ้านราคามากกว่า 20 ล้านบาท ซึ่งเป็นพอร์ตหลักของบริษัท ที่มีอัตราเติบโตประมาณ 4 เท่า หรือเติบโต268% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 2.บ้านระดับราคา 5-20 ล้านบาท​ มีการเติบโตประมาณ 2 เท่า หรือเติบโต 113% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 3.บ้านระดับราคาน้อยกว่า 5 ล้านบาท เติบโต 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน บ้านเดี่ยวของเราเติบโตทุกราคาและทำให้บริษัทเติบโตทั้งยอดขาย รายได้ และกำไรสุทธิ   ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของการประกาศแผนธุรกิจและการรุกสู่แบรนด์บ้านเดี่ยวอันดับ 1 จากช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ บริษัทและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์และหนี้สินรวม 44,846 ล้านบาท และ 25,744 ล้านบาทตามลำดับ โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนทุน 1.35 และมีสภาพคล่องแข็งแกร่งปัจจุบันมีเงินสดพร้อมวงเงินพร้อมเบิกมากกว่า 10,000 ล้านบาท เตรียมจ่ายปันผล 0.18 บาท/หุ้น ในวันที่ 20 พ.ค. นี้   สำหรับความคืบหน้าของแผนเปิดแนวราบ  จำนวน  8 โครงการ มูลค่าโครงการ  9,000 ล้านบาท ไตรมาส 2 นี้พร้อมเปิดจอง 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม  1,145 ล้านบาท ได้แก่ 1.โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด  ซิกเนเจอร์  เพชรเกษม-ปิ่นเกล้า บ้านหรูบนที่ดินขนาดใหญ่ 100 ตร.ว.ขึ้นไป ราคา​ 20-30 ล้านบาท  ทำเลอยู่ใกล้เดอะมอลล์บางแค 2.โครงการเวิร์คเพลส สายไหม-พหลโยธิน ราคา 7-20 ล้านบาท ทำเลใกล้ทางด่วนจตุโชติ และทางด่วนฉลองรัช   โดยในไตรมาส 2 บริษัทมีโครงการที่เปิดขายทั้งหมด จำนวน 57 โครงการ มูลค่าคงเหลือเพื่อขายรวมกว่า40,560 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 47 โครงการ และคอนโด 10 โครงการ              
“เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์”  เตรียมปลดล็อกคนอยากมีบ้าน  เดินหน้าธุรกิจใหม่ Healthscape เพิ่มรายได้

“เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” เตรียมปลดล็อกคนอยากมีบ้าน เดินหน้าธุรกิจใหม่ Healthscape เพิ่มรายได้

“เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” โชว์ผลงานไตรมาสแรกกวาดรายได้กว่า 1,254 ล้านบาท แต่ทนพิษโควิด-19 ไม่ไหวส่งผลให้การดำเนินงานขาดทุน 27.88 ล้าน  เดินหน้าลุยธุรกิจไตรมาส 2 เตรียมมาตรการด้านการเงิน ปลดล็อกช่วยคนอยากมีบ้าน หวังสร้างรายได้ต่อเนื่อง พร้อมขยายธุรกิจใหม่​ Healthscape รับรู้รายได้ปลายปี   นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MJD เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2564 บริษัทมีรายได้รวมทุกประเภทธุรกิจอยู่ที่ 1,254 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากยอดโอนกรรมสิทธิ์ในโครงการที่อยู่อาศัยกว่า 92%  ซึ่งเป็นโครงการที่ทยอยโอนอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา อาทิ โครงการเมทริส พระราม 9-รามคำแหง, เมทริส ลาดพร้าว, มารุ เอกมัย 2 และมารุ ลาดพร้าว 15 ช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความท้าทายของทุกบริษัทอีกครั้ง กับการเผชิญกับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ระลอก 2 โดยเฉพาะในช่วงต้นไตรมาส เราถือเป็นบริษัทแรกๆ ที่ปรับตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงโครงการที่อยู่อาศัยได้สะดวก ผ่านช่องทางออนไลน์ ประกอบกับการรักษากระแสเงินสดของบริษัทให้พร้อมรับมือทุกสถานการณ์ 5 ปัจจัยทุบเมเจอร์ฯ ขาดทุน สำหรับรายได้รวมในไตรมาสแรกของปีนี้ หากเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ถือว่ามีรายได้ลดลง 36.90% ซึ่งช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมามีรายได้รวม 1,987.74  ล้านบาท ขณะที่ช่วงไตรมาสแรกปีนี้บริษัทมีผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 27.88 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 198.43 ล้านบาท ซึ่งผลประกอบการ ในไตรมาส 1/2564 ขาดทุนมาจากปัจจัยหลักดังนี้ ​ 1.รายได้การขายลดลง 36.46% รายได้จากการขายในไตรมาส 1/2564 จำนวน 1,159.37 ล้านบาท ลดลง 665.37 ล้านบาท หรือลดลง 36.46% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีรายได้ 1,824.74 ล้านบาท ลดลง ​การโอนกรรมสิทธิ์ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในไตรมาส 1/2564 ไม่มีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ ในขณะที่ไตรมาส1/2563 มีการเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการเมทริส พระรามเก้า - รามคาแหง ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ 2.รายได้กิจการโรงแรมลดลง 74.54% รายได้จากกิจการโรงแรมในไตรมาส1/2564 จำนวน​ 16.15 ล้านบาท ลดลง 47.29 ล้านบาท หรือลดลง 74.54% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 63.44 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด19 3.รายได้ค่าเช่าลด 9.23% รายได้ค่าเช่าในไตรมาส 1/2564 จำนวน 22.22 ล้านบาท ลดลง 2.26 ล้านบนาท หรือลดลง 9.23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ค่าเช่า จานวน 24.48 ล้านบาท เนื่องจากจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 4.ขาดทุนจากโครงการร่วมทุน ในไตรมาส 1/2564 มีส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในกิจการร่วมค้า จำนวน 10.24 ล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาส 1/2563 ที่มีส่วนแบ่งกาไรจากเงินลงทุนในกิจการร่วมค้า จำนวน 30.57 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้การโอนกรรมสิทธิ์​ในโครงการร่วมทุน ลดลง โดยในไตรมาส 1/2564 มีการโอนกรรมสิทธิ์จานวน 118 ล้านบาท ในขณะที่ไตรมาส 1/2563 มีการโอนกรรมสิทธิ์ 282 ล้าน บาท 5.ต้นทุนการเงินเพิ่ม ต้นทุนทางการเงินในไตรมาส1/2564 เพิ่มสูงขึ้นเป็นเงิน 171.67 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2563 ที่มีต้นทุนทางการเงิน 121.14 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 50.53 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น ​41.71% จากการรับรู้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ในโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทจะมีการบริหารจัดการในด้านอื่น ๆ ที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น แต่ไม่เพียงพอต่อต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้รายได้ลดลงได้ ไม่ว่าจะเป็น   -รายได้จากค่าบริหารจัดการ จากการรับบริหารงานนิติบุคคล แก่​บุคคลภายนอก ที่ในไตรมาส 1/2564 เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 25.59 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1/2563 ที่มีรายได้ค่าบริหารจัดการ จำนวน 20.98 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นอัตรา​ 21.97%   -การบริหารต้นทุนขายในไตรมาส 1/2564 ให้มีสัดส่วนใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยปีนี้มีต้นทุนขายจำนวน 711.97 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 61.41% ของรายได้จากการขาย เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2563 ที่มีต้นทุน 1,108.50 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 60.75% ของรายได้จากการขาย จาก โปรโมชั่น การลดราคา และการส่งเสริมการขายในโครงการพร้อมอยู่   - ต้นทุนจากกิจการโรงแรมในไตรมาส 1/2564 จำนวน 29.12 ล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาส 1/2563 ที่มีต้นทุน 48.93 ล้านบาท ลดลง 19.81 ล้านบาท หรือลดลง 40.49% ตามยอดรายได้ที่ลดลง   - ค่าใช้จ่ายในการขายในไตรมาส 1/2564 จำนวน 182.99 ล้านบาท เปรียบเทียบไตรมาส 1/2563 ที่มีค่าใช้จ่ายในการขาย 281.28 ล้านบาท ลดลง 98.29 ล้านบาท หรือลดลง 34.94% จากการลดลงของการโอนกรรมสิทธิ์   - ค่าใช้จ่ายในการบริหารในไตรมาส 1/2564 จำนวน 131.74 ล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาส 1/2563 ที่มีค่าใช้จ่ายใน การบริหาร จานวน 192.91 ล้านบาท ลดลง 61.17 ล้านบาท หรือลดลง 31.71% ส่วนใหญ่ลดลงจากค่าใช้จ่ายพนักงาน เตรียมมาตรการปลดล็อกคนอยากมีบ้าน สำหรับสถานการณ์ในไตรมาส 2 ปี 2564 ตลาดยังคงเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 ระลอกที่ 3 และอาจเกิดภาวะผิดปกติครั้งใหม่ หรือ New Abnormal คล้ายคลึงกับสถานการณ์ช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 ที่เกิดสงครามราคามากกว่าระดับปกติ (Abnormal Price War) และเป็นช่วงเวลาที่ผู้บริโภคใช้เวลาพิจารณาตัดสินใจซื้อมากกว่าปกติ ผู้พัฒนาโครงการจำเป็นต้องออกมาตรการช่วยเหลือผู้บริโภคที่ไม่ใช่ราคาที่ถูกที่สุด แต่เป็นราคาและมาตรการช่วยเหลือที่เข้าใจผู้บริโภคที่สุด เพื่อให้กระตุ้นการตัดสินใจซื้อได้อย่างตรงจุด สร้างยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์ได้อย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทได้เจรจาร่วมกับพันธมิตรทางการเงินในการออกมาตรการปลดล็อค เพื่อคนอยากมีบ้าน ประกอบด้วย การให้คำแนะนำและเป็นที่ปรึกษาทางด้านการเงินสำหรับการกู้ซื้อบ้าน, ช่วยลดภาระการผ่อนชำระนานสูงสุด 2 ปี, โปรแกรมเช่าพร้อมเข้าอยู่ก่อนโอนในโครงการเมเจอร์ฯ เป็นระยะเวลา 2 ปี, พร้อมรับฟรีความคุ้มครองที่ครอบคลุมจากทิพยประกันภัย เมื่อซื้อโครงการจากเมเจอร์ฯ และรับสิทธิ์ผ่อน 0% สำหรับเงินจองและเงินทำสัญญา นาน 6 เดือน เป็นต้น คาดว่าจะเริ่มใช้มาตรการดังกล่าวได้ในช่วงกลางเดือน พ.ค.นี้   ทั้งนี้ บริษัทมียอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่จะทยอยรับรู้ตั้งแต่ไตรมาส 2 นี้ เป็นต้นไป มูลค่า 5,463 บาท พร้อมทั้งยังมีโครงการสร้างเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ ในเดือนพฤษภาคมนี้ คือ โครงการเมทริส พัฒนาการ-เอกมัย สูง 29 ชั้น จำนวน 341 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,350 ล้านบาท   นอกจากการทำกลยุทธ์ด้านการตลาดแล้ว เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ยังคงเดินหน้าสู่การเป็นผู้พัฒนารูปแบบการใช้ชีวิต (Lifescape Developer) และขยายพอร์ตสู่กลุ่มธุรกิจใหม่ (Business Diversification) คือกลุ่ม Healthscape  อย่างต่อเนื่อง เพื่อกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ และก้าวเข้าสู่ธุรกิจที่จะสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคในระยะยาว โดยคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากกลุ่มธุรกิจใหม่ในช่วงปลายปี 2564 พร้อมกับการเปิดตัวโครงการใหม่ตามแผนทั้ง 5 โครงการ มูลค่ารวม 11,300 ล้านบาท นำร่องด้วยโครงการบ้านเดี่ยว Malton Gates กรุงเทพกรีฑา มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท