Tag : Townhome

792 ผลลัพธ์
แสนสิริ  โชว์ผลงาน Q1 รายได้-กำไรโต  เดินหน้าต่อสู่เป้ายอดขาย-โอน 31,000 ล้าน

แสนสิริ โชว์ผลงาน Q1 รายได้-กำไรโต เดินหน้าต่อสู่เป้ายอดขาย-โอน 31,000 ล้าน

กลยุทธ์ Speed to Market  ดันผลงาน “แสนสิริ” ไตรมาสแรก ทำรายได้รวมโต 5% และทำกำไรได้กว่า 384 ล้าน ไตรมาส 2 เดินหน้าสร้างรายได้ต่อเนื่อง สู่เป้าหมายยอดขายและยอดโอนใหม่ทั้งปีหลังปรับเป็น 31,000 ล้าน   แสนสิริ รายงานผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกที่ผ่านมาว่า มีรายได้รวมทั้งสิ้น 6,827 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีรายได้รวม 6,527 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลจากรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่มีจำนวน 6,044 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12%  จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมามีจำนวน 5,383 ล้านบาท โดยกลุ่มสินค้าที่ส่งผลให้รายได้จากการขายอสังหาฯ เติบโต  คือ รายได้จากการขายโครงการมิกซ์โปรดักส์ จำนวน 621 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 274% และโครงการบ้านเดี่ยวจำนวน 3,272 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36%   แต่ขณะเดียวกันรายได้จากการขายโครงการทาวน์โฮม ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ มีจำนวน 493 ล้านบาท ลดลง18% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และโครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 1,659 ล้านบาท ลดลง 25% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา  ส่วนช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ​แสนสิริและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิ 384 ล้านบาท เติบโต 521% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิ จำนวน 62 ล้านบาท นางสาววรางคณา อัครสถาพร ประธานผู้บริหารสายงานการเงิน บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) เปิดเผยว่า ด้วยกลยุทธ์ Speed to Market ส่งผลให้แสนสิริมีผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกที่ดี  ภายใต้สถานการณ์โควิด-19  ขณะที่แผนการดำเนินธุรกิจในไตรมาสที่ 2 เตรียมโอนโครงการ XT ห้วยขวาง มูลค่า 7,000 ล้านบาท ที่มียอดขายแล้วกว่า 60% โดยกลุ่มลูกค้าต่างชาติมีการโอนล่วงหน้าแล้วถึง 60% โดยจะเริ่มเปิดการโอนในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ ซึ่งจะส่งผลให้แสนสิริมีรายได้จากการโอนในมือเพิ่มและสร้างยอดโอนได้ตามเป้าหมาย 31,000 ล้านบาท   ขณะที่ยอดโอนในช่วง​ 4 เดือนแรกของปีมีจำนวน​ 9,400 ล้านบาท และมียอดขาย 12,500 ล้านบาท ทำให้ต้องมีการปรับเพิ่มเป้ายอดขายและยอดโอนทั้งปีเป็น 31,000 ล้านบาท   นอกจากนี้ แสนสิริยังได้ประกาศการลงทุนใน บริษัท เอ็กซ์สปริง แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ XSpring Capital Public Company Limited (XPG) กลุ่มธุรกิจการเงินและหลักทรัพย์ผู้ให้บริการทางการเงินครบวงจรที่เชื่อมโลกการเงินปัจจุบันและโลกบริการทางการเงินดิจิทัลหรือ Digital Financial Service ไว้ด้วยกัน โดยแสนสิริเข้าเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่อันดับหนึ่งในสัดส่วน 15% ด้วยเงินลงทุนกว่า 2,000 ล้านบาท ซึ่ง​ XSpring มีใบอนุญาตการดำเนินธุรกิจ Digital Financial Service ในด้าน “บริการซื้อขายโทเคนดิจิทัลเต็มรูปแบบ” ผ่านบริษัท SE Digital (เอสอี ดิจิทัล) ในฐานะ ICO Portal ที่เสนอขายโทเคนดิจิทัลให้แก่นักลงทุน ที่ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) แล้ว
ให้ต่างชาติซื้อบ้านอย่างไร ช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ไทย

ให้ต่างชาติซื้อบ้านอย่างไร ช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ไทย

นับตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม 2564 ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน นับเป็นเวลากว่า 1 เดือนแล้ว ที่รัฐบาลมีนโยบายการขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็น “บ้านหลังที่สอง” ของชาวต่างชาติ  ด้วยการส่งเสริมให้ชาวต่างชาติเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย์ของไทย (Freehold) และ/หรือเช่าระยะยาว (Leasehold) ให้เพิ่มมากขึ้น ทั้งกลุ่มที่ต้องการเข้ามาซื้อเพื่อเป็นทรัพย์สิน กลุ่มนักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในประเทศ หรือแม้แต่กลุ่มผู้เกษียณอายุแล้ว ให้เข้ามาพำนักระยะยาวในประเทศไทย เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีกำลังในการใช้จ่ายเงินสูงจากเงินบำนาญ มีเงินเก็บออม และมีประกันสุขภาพจากรัฐสวัสดิการ   โดยรัฐบาลจะมีการแก้กฎหมาย กฎเกณฑ์ และระเบียบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้คนต่างชาติมาซื้อ และ/หรือเช่าระยะยาวอสังหาฯ  ได้สะดวกขึ้น ผ่านแนวทางเชิงนโยบาย 3 เรื่องหลัก ๆ คือ 1.ขยายเพดานสัดส่วนกรรมสิทธิ์ซื้อห้องชุด เป็น 70-80% จากปัจจุบัน 49% 2.ปลดล็อกต่างชาติซื้อบ้านพร้อมที่ดิน ระดับราคา 10-15 ล้านบาทขึ้นไป   3.กำหนดให้นักลงทุนต่างชาติทำสัญญาเช่าได้สูงสุด 30 ปี จะมีการขยายเพิ่มเป็น 50 ปี และต่อได้อีก 40 ปี ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นยูนิตงานกลางข้อมูลด้านอสังหาฯของประเทศไทย ที่มีฐานข้อมูลที่อยู่อาศัยมากที่สุดและน่าเชื่อถือที่สุดในปัจจุบัน ได้นำข้อมูลเกี่ยวกับการโอนกรรมสิทธิ์ที่สะท้อนภาวะของการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ของคนต่างชาติ (Freehold) และข้อมูลการเช่าที่อยู่อาศัยระยะยาวของคนต่างชาติ (Leasehold) มาสรุปภาวะในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เพื่อให้เห็นเงื่อนไขสิ่งที่เกิดขึ้น ให้ต่างชาติซื้อคอนโดสัดส่วน 80% จำเป็นในบางพื้นที่ ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า ​จากข้อมูลการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด (คอนโดมิเนียม) ทั่วประเทศ พบว่า ในช่วงปี 2561 – 2563 มีชาวต่างชาติ​โอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด 3 ปีสะสมรวมประมาณ 34,651 ยูนิต  มูลค่า 145,577 ล้านบาท​ หรือเฉลี่ยมียอดโอนกรรมสิทธิ์ปีละ 11,550 ยูนิต  มูลค่า 48,526 ล้านบาท ​​   โดยยังพบว่า ทำเลที่ชาวต่างชาติมียูนิตโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด อยู่ใน 5 จังหวัด ดังนี้ คือ จังหวัดชลบุรี เชียงใหม่ ภูเก็ต กรุงเทพฯ และสมุทรปราการ ซึ่งทั้ง 5 จังหวัด มีสัดส่วนคอนโดที่โอนกรรมสิทธิ์รวมกันถึง 96.2% ยูนิตโอนกรรมสิทธิ์คอนโด​ของคนต่างชาติทั้งประเทศ  จังหวัดชลบุรีที่มีสัดส่วนโอนกรรมสิทธิ์คอนโดสูงสุด 30.3% รองลงมาคือ เชียงใหม่ 18.5%,  ภูเก็ต 17.0%, กรุงเทพฯ 7.8% และสมุทรปราการ 6.3% สำหรับจังหวัดอื่นที่ไม่ได้ยกขึ้นมาแสดง มีสัดส่วนในยูนิตกรรมสิทธิ์ห้องชุดน้อยมากอย่างไม่มีนัยสำคัญ แต่ในภาพรวมสัดส่วนในยูนิตกรรมสิทธิ์คอนโดของคนต่างชาติทั้งประเทศ ในช่วงปี 2561 – 2563 มีเพียง 9.0% หรือมีสัดส่วนมูลค่าเท่ากับ 14.7%​ เท่านั้น ขณะเดียวกันหากมองในด้านราคาคอนโดที่ต่างชาติโอนกรรมสิทธิ์  จะพบว่า  ราคาคอนโดที่คนต่างชาติโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด จะมีระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท โดยมีสัดส่วน 77.6%  แต่สัดส่วนในการเป็นเจ้าของคอนโดมีเพียง 7.7% เท่านั้น  แต่ขณะที่คอนโดในราคาเกินกว่า 5 ล้านบาท ซึ่งมียูนิตที่ซื้อและรับโอนกรรมสิทธิ์รวมกันเพียง 22.4% กลับมีสัดส่วนการเป็นเจ้าของในยูนิตคอนโดนสูงกว่า โดยมีประมาณ 20.0% ข้อมูลข้างต้นได้สะท้อนประเด็นสำคัญ 3 ประเด็นสำคัญ คือ   1.ในช่วงที่ผ่านมาชาวต่างชาติมีความสนใจที่จะซื้อห้องชุดในบางพื้นที่เท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเมืองศูนย์กลางทางภูมิภาค เมืองขนาดใหญ่ และเมืองท่องเที่ยว   2.ในภาพรวมอัตราส่วนยูนิตที่เป็นเจ้าของคอนโด​ ของคนต่างชาติน่าจะยังต่ำกว่า 49% ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ แต่อาจมีคอนโดในบางพื้นที่ อาจเป็นที่ต้องการของคนต่างชาติมาก จึงทำให้มีความต้องการเป็นเจ้าของคอนโดมากกว่า 49% ตามที่กฎหมายกำหนด ​   3.คอนโดที่คนต่างชาติซื้อส่วนใหญ่ซื้อในระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท เป็นระดับที่สอดคล้องกับกำลังซื้อของคนไทยส่วนใหญ่ แต่ด้วยคอนโดประเภทนี้ มีจำนวนมากในตลาด จึงทำให้สัดส่วนยูนิตที่ต่างชาติเป็นเจ้าของมีไม่ถึง 10% ขณะที่ระดับราคาเกินกว่า 5 ล้านบาท มีสัดส่วนประมาณ 20% ส่งผลให้ในโดยภาพรวมทุกระดับราคาของคอนโด  ชาวต่างชาติยังเป็นเจ้าของคอนโดในสัดส่วนยังต่ำกว่า 49% ตามที่กฎหมายกำหนด จากประเด็นที่กล่าวมาข้างต้นทำให้เห็นข้อสังเกตได้ว่า การขยายสัดส่วนในยูนิตกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้กับคนต่างชาติ ให้สามารถมีสัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ได้มากกว่า 49% นั้น อาจจะมีความจำเป็นเพียงในบางพื้นที่เท่านั้น และระดับราคาที่ควรส่งเสริมให้เพิ่มสัดส่วนให้สูงขึ้นควรเป็นห้องชุดระดับราคามากกว่า 5 ล้านบาท เพื่อป้องกันไม่ให้ห้องชุดระดับราคาไม่เกิน 5 ล้านบาทถูกซื้อไปโดยคนต่างชาติมากเกินควร นอกจากนี้ หากมีการเพิ่มสัดส่วนในกรรมสิทธิ์คอนโดสำหรับคนต่างชาติให้มากกว่า 49% แล้ว ควรคำนึงถึงการใช้ชีวิตของคนไทยในคอนโด​ ให้สอดคล้องตามบรรทัดฐานทางสังคมและวัฒนธรรมของไทย โดยผ่านการกำหนดสิทธิในการโหวต (Voting Right) ในนิติบุคคลคอนโดของเจ้าของร่วม ที่ควรให้ชาวต่างชาติมีสิทธิในการโหวตน้อยกว่าเจ้าของร่วมที่เป็นคนไทย แนะให้สิทธิ์ต่างชาติซื้อบ้าน-ที่ดินเกิน 15 ล้าน สำหรับแนวทางเชิงนโยบายในเรื่องการเปิดให้คนต่างชาติ สามารถซื้อและมีกรรมสิทธิ์บ้านและที่ดินนั้น ในปัจจุบันยังไม่ปรากฏข้อมูลที่มีนัยสำคัญ เนื่องจากกฎหมายยังคงจำกัดสิทธิของคนต่างชาติในการถือครองกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินอย่างมาก แต่ยังมีข้อมูลอย่างไม่เป็นทางการว่า คนต่างชาติบางรายมีการใช้ตัวแทน (Nominee) ในการถือครองกรรมสิทธิ์แทน หรือ อาจถือในนามนิติบุคคลที่มีชาวต่างชาติถือหุ้นอยู่   ดังนั้น หากประเทศไทยเปิดโอกาสให้คนต่างชาติเข้ามามีกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินแล้ว ก็คาดว่าน่าจะมีคนต่างชาติที่ต้องการเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินพอสมควร เนื่องจากราคาบ้านและที่ดินในประเทศไทยยังคงมีราคาต่ำกว่าในหลายประเทศมาก และบางประเทศกรรมสิทธิ์ในที่ดินยังเป็นของรัฐ   ทั้งนี้ อาจต้องพิจารณากำหนดให้คนต่างชาติเข้ามาซื้อและเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดินในบ้านที่มีราคาสูงกว่า 15 ล้านบาทขึ้นไป เนื่องจากในปัจจุบันผู้ซื้อชาวไทยส่วนใหญ่ประมาณ 90% เป็นบ้านจัดสรรในระดับราคาไม่เกิน 15 ล้านบาท ซึ่งแนวทางดังกล่าวจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดผลกระทบในเรื่องของราคาบ้านปรับตัวขึ้นเร็วเกินไป ขยายระยะเวลาเช่า 90 ปีดึงชาวต่างชาติ นอกจากนี้ ควรการกำหนดสิทธิในการโหวต ของคนต่างชาติในนิติบุคคลบ้านจัดสรร ให้มีได้ไม่เกิน 49% เพื่อให้เจ้าของร่วมที่เป็นคนไทย สามารถมีสิทธิในการกำหนดกฎระเบียบ กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในชุมชนให้สอดคล้องกับบรรทัดฐานทางสังคมและวัฒนธรรมตามบริบทของสังคมไทย   อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผ่านมาคนต่างชาติ ยังมีรูปแบบการครอบครองที่อยู่อาศัย ทั้งคอนโด​ บ้านและที่ดินในประเทศไทย ด้วยการมีสิทธิ์ในการครอบครองที่อยู่อาศัย แบบการทำสัญญาเช่าระยะยาว หรือ  Leasehold ซึ่งตามกฎหมายที่ดินปัจจุบันกำหนดให้สามารถเช่าได้ไม่เกิน 30 ปี และสามารถต่ออายุได้รอบละ 30 ปี แต่ในทางปฏิบัติมักมีการทำสัญญาต่ออายุไว้เลยอีก 2 รอบ รวมเป็น 90 ปี ซึ่งที่ผ่านมามีคนต่างชาติที่ให้ความสนใจในรูปแบบนี้มีจำนวนไม่มากนัก ดังจะเห็นได้ว่าชาวต่างชาติที่มีการทำสัญญาเช่าระยะยาวในระหว่างปี 2561 – 2563 สะสมรวมทั้งหมด 1,483 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 5,390 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 494 ยูนิต มูลค่า 1,797 ล้านบาท   โดยแบ่งเป็นคอนโดจำนวน 1,280 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 4,503 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 427 ยูนิต มูลค่า 1,501 ล้านบาท บ้านและที่ดิน 203 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 888 ล้านบาท เฉลี่ยปีละ 68 ยูนิต มูลค่า 296 ล้านบาท ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า ตลาดการเช่าที่อยู่อาศัยระยะยาวในช่วงที่ผ่านมาจึงมีขนาดเล็กมาก ซึ่งส่วนใหญ่ประมาณ 93.4% อยู่ในเมืองท่องเที่ยว คือ ภูเก็ต 78.8% ชลบุรี 10.3% และเชียงใหม่ 6.3%   ขณะที่สัญชาติของคนต่างชาติที่เข้ามาเช่าระยะยาว ที่โดดเด่นมี 2 สัญชาติ คือ รัสเซีย ที่มีสัดส่วนการเช่าถึง 43.2% ของการเช่าทั้งหมด และ จีน มีสัดส่วนการเช่าถึง 23.5% ของการเช่าของคนต่างชาติทั้งหมด ซึ่งนิยมเช่าคอนโดมากกว่าประเภทแนวราบ ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่า ตลาดการเช่าระยะยาวปัจจุบันยังมีขนาดเล็กมาก ซึ่งอาจเป็นผลจากระยะเวลาในการให้เช่ามีเพียง 30 ปี และสามารถต่อคราวละ 30 ปี อาจยังไม่จูงใจให้คนต่างชาติเข้ามาเช่าที่อยู่อาศัยระยะยาวในประเทศไทย ดังนั้น หากขยายเวลาเช่าระยะยาวออกเป็น 50 ปี และต่อได้อีก 40 ปี ก็น่าจะสร้างความมั่นใจในการตัดสินใจของต่างชาติมากขึ้น และถือเป็น Lifetime Tenant หรือ สิทธิ์ในการอยู่อาศัยต้นในชั่วชีวิตของคนเช่า เพราะชาวต่างชาติอาจกังวลว่าการต่อสัญญาอาจมีความไม่แน่นอนในการปรับราคาขึ้นของที่ดิน หรือ การเปลี่ยนแปลเงื่อนไขการเช่า หรือ เจ้าของต้องการใช้ที่ดินในลักษณะอื่น เป็นต้น ฉะนั้น ถ้าชาวต่างชาติสามารถเช่าได้ถึง 90 ปี ด้วยการการทำสัญญา 2 ครั้ง แทนที่จะเป็น 3 ครั้ง เท่ากับสามารถลดความเสี่ยงไปได้ 1 ใน 3 เร่งแก้โควิด-19 กระตุ้นตลาดต่างชาติ จากข้อมูลต่าง ๆ ข้างต้น ถ้านโยบายเหล่านี้สามารถทำได้จริง ก็จะเป็นผลดีต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและภาคอสังหาริมทรัพย์ค่อนข้างมาก เพราะเป็นนโยบายที่สามารถสร้างความต้องการ (Demand) ใหม่ ๆ จากต่างประเทศ แต่เนื่องจากกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยต่างชาติในปัจจุบัน ยังมีสัดส่วนค่อนข้างน้อยเพียงประมาณ 10% ของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยทั้งหมด และยังมีอุปสรรคในการขยายฐานจำนวนลูกค้ากลุ่มนี้ เนื่องจากปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ชาวต่างชาติอาจขาดแรงจูงใจในการซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทย ซึ่งคาดว่านโยบายนี้จะช่วยสร้างแรงซื้อที่อยู่อาศัยของคนต่างชาติ ซึ่งเป็นเหมือนนโยบายเสริมในการช่วยฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยนโยบายเหล่านี้อาจไม่ได้ส่งผลบวกอย่างเป็นรูปธรรมทันที แต่น่าจะส่งผลในเชิง Sentiment และการวางแผนทางธุรกิจแก่ผู้ประกอบการในอนาคตได้อย่างดี   การดำเนินนโยบายเหล่านี้จะต้องชัดเจนในหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่จะแก้ไขด้านกฎหมาย กฎระเบียบ และกฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องต่าง ๆ รวมถึงการกำหนดไทม์ไลน์สำหรับดำเนินการให้ชัดเจน โดยปัจจัยที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในความสำเร็จของนโยบายนี้คือ การควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และสามารถเร่งเปิดประเทศเพื่อรับชาวต่างชาติเข้าประเทศให้เร็วที่สุด เพื่อให้เกิดกิจกรรมทางธุรกิจการค้า การประชุมสัมมนา การจัดนิทรรศการ และการท่องเที่ยว เพื่อให้อสังหาริมทรัพย์ของไทยได้รับสนใจคนต่างชาติดังเช่นที่ผ่านมา เนื่องจากประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของสิ่งเหล่านี้ในภูมิภาคอาเซียนนี้ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันคนไทยยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองอยู่มาก การขยายสิทธิ์ในการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยให้แก่คนต่างชาติ ทั้งการเพิ่มอัตราส่วนกรรมสิทธิ์ในห้องชุดให้กับคนต่างชาติ หรือ การอนุญาตให้คนต่างชาติสามารถมีกรรมสิทธิ์ในบ้านและที่ดิน หรือ การขยายเวลาเช่าระยะยาวออกเป็น 50 ปี และต่อ 40 ปี นั้น จึงควรจะต้องพิจารณาในจุดที่มีความเหมาะสม โดยอาจพิจารณากำหนดให้มีการขยายสิทธิ์ในการครอบครองที่อยู่อาศัยให้แก่คนต่างชาติในบางพื้นที่ โดยเฉพาะพื้นที่ส่งเสริมการลงทุนด้านอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว ศูนย์กลางธุรกิจและพาณิชยกรรม เช่น กรุงเทพฯ EEC เชียงใหม่ และภูเก็ต เป็นต้น และ ที่อยู่อาศัยในระดับราคา เกินกว่า 15 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับราคาที่มีกระทบน้อยมากต่อผู้ซื้อที่อยู่อาศัยในประเทศไทย          
เอสซี แอสเสท  ลุย Q2 เปิดบ้านแนวราบ 1,145 ล้าน  เดินหน้ารักษาแชมป์บ้านเดี่ยว

เอสซี แอสเสท ลุย Q2 เปิดบ้านแนวราบ 1,145 ล้าน เดินหน้ารักษาแชมป์บ้านเดี่ยว

เอสซี แอสเสท  ทำผลงานไตรมาสแรก เติบโตทั้งรายได้และกำไร พร้อมรักษาแชมป์ตลาดบ้านเดี่ยว ครองส่วนแบ่ง 15% ลุยต่อไตรมาส 2 เปิดโปรเจ็กต์ใหม่ 1,145 ล้าน   นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยว่า ไตรมาสแรกที่ผ่านมาบริษัทสามารถทำรายได้​รวม 3,955.66 ล้านบาท  เติบโต 20.16% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยมาจากรายได้จากการดำเนินงานแบ่งเป็นรายได้จากการขาย 95%  และรายได้จากการเช่าและบริการ 5% พร้อมกำไรสุทธิ  416.81 ล้านบาท เติบโต 39% จากปีที่ผ่านมามีกำไร 300.61 ล้านบาท   โดยรายได้จากการขายทั้งหมดมีจำนวน 3.738.84 ล้านบาท ​แบ่งเป็นรายได้จากโครงการแนวราบ จำนวน 3,237.03 ล้านบาท เติบโต 77% และโครงการคอนโดมิเนียม 501.81 ล้านบาท ลดลง 59.62% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีรายได้ค่าเช่าและบริการ คิดเป็นจำนวน 198.96 ล้านบาท ลดลง 1.33% และรายได้จากค่าที่ปรึกษาและการจัดการ จำนวน 17.86 ล้านบาท ลดลง 5.45% ขณะที่ไตรมาสแรกมียอดขายรวม 5,700 ล้านบาท เติบโต 188% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งประกอบด้วย ยอดขายแนวราบ 4,606 ล้านบาท เติบโต 123% และยอดขายคอนโดฯ 1,094 ล้านบาท เติบโต 1381% โดยในส่วนการเติบโตของยอดขายคอนโดมาจาก ​โครงการระดับ Luxury segment ราคามากกว่า 300,000 บาทต่อตร.ม. ของบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 26% และเป็นอันดับ 1 ของตลาด  พร้อมกับโครงการคอนโดเปิดใหม่ สโคป พร้อมศรี บนทำเลสุขุมวิท 49 มียอดจองแล้ว 45 %   ส่วนตลาดบ้านเดี่ยว ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทยังคงรักษาความเป็นผู้นำตลาด ด้วยส่วนแบ่งตลาด 15% จากข้อมูลตลาดบ้านเดี่ยวในกรุงเทพ-ปริมณฑลของ บริษัท เอเจนซี่ ฟอร์ เรียลเอสเตท แอฟแฟร์ส จำกัด หรือ AREA ​โดยเป็นผลจากบ้านการเติบโตของยอดขายบ้านเดี่ยวใน 3 กลุ่มหลัก คือ   1.บ้านราคามากกว่า 20 ล้านบาท ซึ่งเป็นพอร์ตหลักของบริษัท ที่มีอัตราเติบโตประมาณ 4 เท่า หรือเติบโต268% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 2.บ้านระดับราคา 5-20 ล้านบาท​ มีการเติบโตประมาณ 2 เท่า หรือเติบโต 113% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 3.บ้านระดับราคาน้อยกว่า 5 ล้านบาท เติบโต 10% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน บ้านเดี่ยวของเราเติบโตทุกราคาและทำให้บริษัทเติบโตทั้งยอดขาย รายได้ และกำไรสุทธิ   ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายของการประกาศแผนธุรกิจและการรุกสู่แบรนด์บ้านเดี่ยวอันดับ 1 จากช่วงต้นปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ บริษัทและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์และหนี้สินรวม 44,846 ล้านบาท และ 25,744 ล้านบาทตามลำดับ โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนทุน 1.35 และมีสภาพคล่องแข็งแกร่งปัจจุบันมีเงินสดพร้อมวงเงินพร้อมเบิกมากกว่า 10,000 ล้านบาท เตรียมจ่ายปันผล 0.18 บาท/หุ้น ในวันที่ 20 พ.ค. นี้   สำหรับความคืบหน้าของแผนเปิดแนวราบ  จำนวน  8 โครงการ มูลค่าโครงการ  9,000 ล้านบาท ไตรมาส 2 นี้พร้อมเปิดจอง 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม  1,145 ล้านบาท ได้แก่ 1.โครงการบางกอก บูเลอวาร์ด  ซิกเนเจอร์  เพชรเกษม-ปิ่นเกล้า บ้านหรูบนที่ดินขนาดใหญ่ 100 ตร.ว.ขึ้นไป ราคา​ 20-30 ล้านบาท  ทำเลอยู่ใกล้เดอะมอลล์บางแค 2.โครงการเวิร์คเพลส สายไหม-พหลโยธิน ราคา 7-20 ล้านบาท ทำเลใกล้ทางด่วนจตุโชติ และทางด่วนฉลองรัช   โดยในไตรมาส 2 บริษัทมีโครงการที่เปิดขายทั้งหมด จำนวน 57 โครงการ มูลค่าคงเหลือเพื่อขายรวมกว่า40,560 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 47 โครงการ และคอนโด 10 โครงการ              
“เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์”  เตรียมปลดล็อกคนอยากมีบ้าน  เดินหน้าธุรกิจใหม่ Healthscape เพิ่มรายได้

“เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” เตรียมปลดล็อกคนอยากมีบ้าน เดินหน้าธุรกิจใหม่ Healthscape เพิ่มรายได้

“เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์” โชว์ผลงานไตรมาสแรกกวาดรายได้กว่า 1,254 ล้านบาท แต่ทนพิษโควิด-19 ไม่ไหวส่งผลให้การดำเนินงานขาดทุน 27.88 ล้าน  เดินหน้าลุยธุรกิจไตรมาส 2 เตรียมมาตรการด้านการเงิน ปลดล็อกช่วยคนอยากมีบ้าน หวังสร้างรายได้ต่อเนื่อง พร้อมขยายธุรกิจใหม่​ Healthscape รับรู้รายได้ปลายปี   นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ MJD เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2564 บริษัทมีรายได้รวมทุกประเภทธุรกิจอยู่ที่ 1,254 ล้านบาท โดยเป็นรายได้จากยอดโอนกรรมสิทธิ์ในโครงการที่อยู่อาศัยกว่า 92%  ซึ่งเป็นโครงการที่ทยอยโอนอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา อาทิ โครงการเมทริส พระราม 9-รามคำแหง, เมทริส ลาดพร้าว, มารุ เอกมัย 2 และมารุ ลาดพร้าว 15 ช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงเวลาแห่งความท้าทายของทุกบริษัทอีกครั้ง กับการเผชิญกับผลกระทบจากสถานการณ์ COVID-19 ระลอก 2 โดยเฉพาะในช่วงต้นไตรมาส เราถือเป็นบริษัทแรกๆ ที่ปรับตัวอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงโครงการที่อยู่อาศัยได้สะดวก ผ่านช่องทางออนไลน์ ประกอบกับการรักษากระแสเงินสดของบริษัทให้พร้อมรับมือทุกสถานการณ์ 5 ปัจจัยทุบเมเจอร์ฯ ขาดทุน สำหรับรายได้รวมในไตรมาสแรกของปีนี้ หากเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ถือว่ามีรายได้ลดลง 36.90% ซึ่งช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมามีรายได้รวม 1,987.74  ล้านบาท ขณะที่ช่วงไตรมาสแรกปีนี้บริษัทมีผลการดำเนินงานขาดทุนสุทธิ 27.88 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของก่อน ที่มีกำไรสุทธิ 198.43 ล้านบาท ซึ่งผลประกอบการ ในไตรมาส 1/2564 ขาดทุนมาจากปัจจัยหลักดังนี้ ​ 1.รายได้การขายลดลง 36.46% รายได้จากการขายในไตรมาส 1/2564 จำนวน 1,159.37 ล้านบาท ลดลง 665.37 ล้านบาท หรือลดลง 36.46% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีรายได้ 1,824.74 ล้านบาท ลดลง ​การโอนกรรมสิทธิ์ลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในไตรมาส 1/2564 ไม่มีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ ในขณะที่ไตรมาส1/2563 มีการเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการเมทริส พระรามเก้า - รามคาแหง ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ 2.รายได้กิจการโรงแรมลดลง 74.54% รายได้จากกิจการโรงแรมในไตรมาส1/2564 จำนวน​ 16.15 ล้านบาท ลดลง 47.29 ล้านบาท หรือลดลง 74.54% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 63.44 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด19 3.รายได้ค่าเช่าลด 9.23% รายได้ค่าเช่าในไตรมาส 1/2564 จำนวน 22.22 ล้านบาท ลดลง 2.26 ล้านบนาท หรือลดลง 9.23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้ค่าเช่า จานวน 24.48 ล้านบาท เนื่องจากจากผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 4.ขาดทุนจากโครงการร่วมทุน ในไตรมาส 1/2564 มีส่วนแบ่งขาดทุนจากเงินลงทุนในกิจการร่วมค้า จำนวน 10.24 ล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาส 1/2563 ที่มีส่วนแบ่งกาไรจากเงินลงทุนในกิจการร่วมค้า จำนวน 30.57 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้การโอนกรรมสิทธิ์​ในโครงการร่วมทุน ลดลง โดยในไตรมาส 1/2564 มีการโอนกรรมสิทธิ์จานวน 118 ล้านบาท ในขณะที่ไตรมาส 1/2563 มีการโอนกรรมสิทธิ์ 282 ล้าน บาท 5.ต้นทุนการเงินเพิ่ม ต้นทุนทางการเงินในไตรมาส1/2564 เพิ่มสูงขึ้นเป็นเงิน 171.67 ล้านบาท เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2563 ที่มีต้นทุนทางการเงิน 121.14 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 50.53 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเพิ่มขึ้น ​41.71% จากการรับรู้ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ย ในโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าบริษัทจะมีการบริหารจัดการในด้านอื่น ๆ ที่มีประสิทธิภาพดีขึ้น แต่ไม่เพียงพอต่อต้นทุนที่เพิ่มขึ้น และผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้รายได้ลดลงได้ ไม่ว่าจะเป็น   -รายได้จากค่าบริหารจัดการ จากการรับบริหารงานนิติบุคคล แก่​บุคคลภายนอก ที่ในไตรมาส 1/2564 เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 25.59 ล้านบาท เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 1/2563 ที่มีรายได้ค่าบริหารจัดการ จำนวน 20.98 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นอัตรา​ 21.97%   -การบริหารต้นทุนขายในไตรมาส 1/2564 ให้มีสัดส่วนใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยปีนี้มีต้นทุนขายจำนวน 711.97 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 61.41% ของรายได้จากการขาย เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2563 ที่มีต้นทุน 1,108.50 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 60.75% ของรายได้จากการขาย จาก โปรโมชั่น การลดราคา และการส่งเสริมการขายในโครงการพร้อมอยู่   - ต้นทุนจากกิจการโรงแรมในไตรมาส 1/2564 จำนวน 29.12 ล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาส 1/2563 ที่มีต้นทุน 48.93 ล้านบาท ลดลง 19.81 ล้านบาท หรือลดลง 40.49% ตามยอดรายได้ที่ลดลง   - ค่าใช้จ่ายในการขายในไตรมาส 1/2564 จำนวน 182.99 ล้านบาท เปรียบเทียบไตรมาส 1/2563 ที่มีค่าใช้จ่ายในการขาย 281.28 ล้านบาท ลดลง 98.29 ล้านบาท หรือลดลง 34.94% จากการลดลงของการโอนกรรมสิทธิ์   - ค่าใช้จ่ายในการบริหารในไตรมาส 1/2564 จำนวน 131.74 ล้านบาท เปรียบเทียบกับไตรมาส 1/2563 ที่มีค่าใช้จ่ายใน การบริหาร จานวน 192.91 ล้านบาท ลดลง 61.17 ล้านบาท หรือลดลง 31.71% ส่วนใหญ่ลดลงจากค่าใช้จ่ายพนักงาน เตรียมมาตรการปลดล็อกคนอยากมีบ้าน สำหรับสถานการณ์ในไตรมาส 2 ปี 2564 ตลาดยังคงเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 ระลอกที่ 3 และอาจเกิดภาวะผิดปกติครั้งใหม่ หรือ New Abnormal คล้ายคลึงกับสถานการณ์ช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 ที่เกิดสงครามราคามากกว่าระดับปกติ (Abnormal Price War) และเป็นช่วงเวลาที่ผู้บริโภคใช้เวลาพิจารณาตัดสินใจซื้อมากกว่าปกติ ผู้พัฒนาโครงการจำเป็นต้องออกมาตรการช่วยเหลือผู้บริโภคที่ไม่ใช่ราคาที่ถูกที่สุด แต่เป็นราคาและมาตรการช่วยเหลือที่เข้าใจผู้บริโภคที่สุด เพื่อให้กระตุ้นการตัดสินใจซื้อได้อย่างตรงจุด สร้างยอดขายและยอดโอนกรรมสิทธิ์ได้อย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทได้เจรจาร่วมกับพันธมิตรทางการเงินในการออกมาตรการปลดล็อค เพื่อคนอยากมีบ้าน ประกอบด้วย การให้คำแนะนำและเป็นที่ปรึกษาทางด้านการเงินสำหรับการกู้ซื้อบ้าน, ช่วยลดภาระการผ่อนชำระนานสูงสุด 2 ปี, โปรแกรมเช่าพร้อมเข้าอยู่ก่อนโอนในโครงการเมเจอร์ฯ เป็นระยะเวลา 2 ปี, พร้อมรับฟรีความคุ้มครองที่ครอบคลุมจากทิพยประกันภัย เมื่อซื้อโครงการจากเมเจอร์ฯ และรับสิทธิ์ผ่อน 0% สำหรับเงินจองและเงินทำสัญญา นาน 6 เดือน เป็นต้น คาดว่าจะเริ่มใช้มาตรการดังกล่าวได้ในช่วงกลางเดือน พ.ค.นี้   ทั้งนี้ บริษัทมียอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่จะทยอยรับรู้ตั้งแต่ไตรมาส 2 นี้ เป็นต้นไป มูลค่า 5,463 บาท พร้อมทั้งยังมีโครงการสร้างเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ ในเดือนพฤษภาคมนี้ คือ โครงการเมทริส พัฒนาการ-เอกมัย สูง 29 ชั้น จำนวน 341 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,350 ล้านบาท   นอกจากการทำกลยุทธ์ด้านการตลาดแล้ว เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ยังคงเดินหน้าสู่การเป็นผู้พัฒนารูปแบบการใช้ชีวิต (Lifescape Developer) และขยายพอร์ตสู่กลุ่มธุรกิจใหม่ (Business Diversification) คือกลุ่ม Healthscape  อย่างต่อเนื่อง เพื่อกระจายความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ และก้าวเข้าสู่ธุรกิจที่จะสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคในระยะยาว โดยคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากกลุ่มธุรกิจใหม่ในช่วงปลายปี 2564 พร้อมกับการเปิดตัวโครงการใหม่ตามแผนทั้ง 5 โครงการ มูลค่ารวม 11,300 ล้านบาท นำร่องด้วยโครงการบ้านเดี่ยว Malton Gates กรุงเทพกรีฑา มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท
วิลล่า คุณาลัย  เปิดโปรเจ็กต์โซนใหม่​  จับตลาดเรียลดีมานด์ หนุนรายได้โต10-15 %

วิลล่า คุณาลัย เปิดโปรเจ็กต์โซนใหม่​ จับตลาดเรียลดีมานด์ หนุนรายได้โต10-15 %

วิลล่า คุณาลัย โชว์ผลงาน สร้างรายได้โตและกำไรเติบโต หลังตลาดบ้าน 2-5 ล้าน ยังมีดีมานด์ เตรียมจ่ายปันผลให้นักลงทุน 0.08 บาทต่อหุ้น เดินหน้าเปิดโครงการใหม่โซนทิศใต้ของกรุงเทพฯ หนุนรายได้ทั้งปีโตประมาณ 10-15 %   นางประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ KUN  เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2564 ที่ผ่านมา​ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวม 189.74  ล้านบาท และกำไรสุทธิ 27.39 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 137.76% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเติบโตสวนกระแสเมื่อเทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 161.85 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 11.51 ล้านบาท   ทั้งนี้เนื่องจากการรับรู้รายได้จากการโอนโครงการของบริษัทฯ จำนวน  4 โครงการ ที่อยู่ระหว่างการขาย ประกอบด้วย โซนนนทบุรี 3 โครงการคือ 1.โครงการ คุณาลัย จอย 2. โครงการ คุณาลัย พรีม 3.โครงการ คุณาลัย บีกินส์ 2 และโซนฉะเชิงเทรา 1 โครงการคือ โครงการ คุณาลัย จอย ออน 314 ส่งผลให้สิ้นไตรมาส 1/2564 มี  Backlog ในมือรวมมูลค่าประมาณ 360 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงไตรมาส 2-3/2564 อีกทั้งบริษัทฯ ยังมีอัตรากำไรสุทธิขั้นต้นที่เพิ่มขึ้นเป็น 55.58% ของรายได้รวม เนื่องจากรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่สูงขึ้นตามยอดโอนกรรมสิทธิ์ และต้นทุนการขายเมื่อเทียบสัดส่วนต่อรายได้จากการขายที่ลดลง จากการโอนกรรมสิทธิ์บ้านที่มีต้นทุนการก่อสร้างที่ต่ำกว่าปีก่อน ๆ และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเทียบสัดส่วนต่อรายได้จากการขายที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ๆ   “ผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกที่เติบโต มาจากความต้องการที่อยู่อาศัยประเภทโครงการแนวราบในระดับราคาที่จับต้องได้ ยังมีอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ระดับราคา 2-5 ล้านบาทซึ่ง KUN เป็นบริษัทพัฒนาหมู่บ้านจัดสรรในเขตปริมณฑลที่ชำนาญในสินค้าประเภทนี้เป็นหลักและเน้นการขายให้กับกลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้มาโดยตลอด จึงตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ดี”   นอกจากนี้บริษัทฯ เตรียมจ่ายปันผลงวดครึ่งปีหลัง 2563 ในอัตรา 0.08 บาทต่อหุ้น ให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 24 พฤษภาคมนี้ ​​เป็นการตอกย้ำความแข็งแกร่งทางการเงินของบริษัทฯ และเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับผู้ถือหุ้นได้เป็นอย่างดี   สำหรับในช่วงไตรมาส 2/2564 บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 1 โครงการ คือโครงการ คุณาลัย พาร์โก้ เป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับราคาเริ่มต้น 4.49 ล้านบาทต่อยูนิต รวมจำนวน 96 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดตัวโครงการอย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายนนี้  โดยจะเป็นโครงการที่จะสร้างรายได้ให้บริษัทในช่วงปลายปี 2564 โดยโครงการดังกล่าว จะพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าครอบครัวใหญ่ที่อยู่อาศัยรวมกัน 3 เจเนอเรชั่น (Gen) ในบ้านหลังเดียว และลูกค้าที่ต้องการบ้านที่ให้เนื้อที่รอบบ้านและพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น มั่นใจว่าจะได้รับความสนใจและกระแสตอบรับที่ดีอย่างแน่นอน เนื่องจากเป็นการพัฒนาต่อเนื่องจากสินค้าขายดีของบริษัทที่เพิ่งปิดโครงการไปแล้ว   ส่วนแผนการลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบในทิศที่ 3  ล่าสุดมีความชัดเจนในการลงทุนมากขึ้น โดยจะลงทุนในโซนทิศใต้ของกรุงเทพฯ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการต่างๆ เบื้องต้นคาดว่าสามารถเปิดขายโครงการได้ในช่วงไตรมาส 4/2564 หรือไตรมาส 1/2565 โดยโครงการดังกล่าวจะรับรู้รายได้ในปี 2565   อย่างไรก็ตาม บริษัทฯมั่นใจภาพรวมผลประกอบการในปี 2564 จะเป็นอีกปีที่ดีของ KUN เนื่องจาก บริษัทฯ มีความพร้อม และความหลากหลาย ทางด้านสินค้าและยังมุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรมการอยู่อาศัยที่จะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และมีกลุ่มลูกค้าเดิมเป็นจำนวนมากที่ช่วยแนะนำบอกต่อเป็นกระบอกเสียงที่สำคัญ โดยปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายที่ 1,500 ล้านบาท และรายได้ทั้งปีโตประมาณ 10-15 % เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ทำได้ 799.64 ล้านบาท
อนันดาฯ เผยผลงาน Q1/64  ทำยอดขายกว่า 3,979 ล้านบาท  แต่กำไรธุรกิจหลักเหลือ 38.8 ล้าน

อนันดาฯ เผยผลงาน Q1/64 ทำยอดขายกว่า 3,979 ล้านบาท แต่กำไรธุรกิจหลักเหลือ 38.8 ล้าน

อนันดา เผยยอดขายไตรมาสแรก ปี 2564 สูงกว่าเป้าหมาย 17% อยู่ที่ 3,979 ล้าน ขณะที่ทำกำไรจากธุรกิจหลักได้ 38.8 ล้าน ​ส่วนรายได้รวมทำได้กว่า 1,046 ล้าน ลดลงกว่า 31% แต่ยังคงมั่นใจทำยอดโอนทั้งปีได้ตามเป้ากว่า 16,000 ล้าน   นายเสริมศักดิ์ ขวัญพ่วง ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาสแรก ปี 2564 มียอดโอนทั้งหมด 3,059 ล้านบาท และมีสัดส่วนยอดโอนจากลูกค้าชาวต่างประเทศใกล้เคียงจากปีก่อนที่ระดับ 21% ขณะที่มียอดขายรวม 3,979 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากเป้าหมาย 17% ที่ระดับ 3,393 ล้านบาท จากโครงการพร้อมอยู่ที่ความต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์มีอย่างต่อเนื่อง แม้ในช่วงที่มีสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ตาม แม้ว่าช่วงเดือนมกราคม และมีนาคมที่ผ่านมา มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจไทยทั้งประเทศในวงกว้าง แต่บริษัทฯ มีผลการดำเนินงานในส่วนยอดขาย และยอดโอนเป็นที่น่าพึงพอใจ พร้อมปิดการขาย 100% ในโครงการไอดีโอ โมบิ อโศก มูลค่าโครงการกว่า 3,200 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมุ่งเน้นดำเนินธุรกิจหลัก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน พร้อมทั้งลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง โดยค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร จำนวน 381 ล้านบาท ลดลงถึง 17% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ในไตรมาสแรกนี้ บริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงานก่อนดอกเบี้ยและค่าเสื่อมราคา หรือ EBITDA จากการดำเนินงานของธุรกิจหลัก กว่า 225 ล้านบาท กำไรธุรกิจหลักทำได้แค่ 38.8 ล้าน อย่างไรก็ตาม จากการชี้แจงผลการดำเนินงานสำหรับไตรมาสแรก ปี 2564 ต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่าบริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสำหรับปีจากการดำเนินงานในธุรกิจหลัก เป็นจำนวน 38.8 ล้านบาท ลดลงเป็นจำนวน 336.2 ล้านบาท หรือ 89.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีสาเหตุหลักมาจากไตรมาสแรกของปี 2563 มีการบันทึกกำไรจากการขายเงินลงทุนในบริษัทย่อย ได้แก่ บริษัท พีระ เซอร์กิต วัน จำกัด และบริษัท พรีระ คาร์ท จำกัด จำนวน 356.5 ล้านบาท สอดคล้องกับเป้าหมายในการลดสัดส่วนธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก และเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพธุรกิจหลักของบริษัท ซึ่งในไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทมีกำไรที่เป็นส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทเป็นจำนวน 5.5 ล้านบาท   ขณะที่ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในกิจการร่วมค้า มีจำวน 155.3 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันนของปีก่อนหน้าเป็นจำนวน 4.2 ล้านบาท หรือ 2.6%  โดยปีที่ผ่านมาได้เริ่มมีการโอนโครงการคอนโดมิเนียมสร้างเสร็จใหม่ 7 โครงการ ได้แก่ โครงการเอลลิโอ เดล เนสท์, ไอดีโอ คิว วิคตอรี่,​แอชตัน อโศก-พระราม 9, ไอดีโอ คิว สุขุมวิท 36, ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท อีสต์พอยท์, ไอดีโอ รัชดา-สุทธิสาร และเอลลิโอ สาทร-วุฒากาศ รายได้รวม Q1 ลดลง เหลือกว่า 1,046.5 ล้าน นอกจากนี้ ในส่วนของรายได้รวมไตรมาสแรก บริษัทมีจำนวน 1,046.5 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นจำนวน 475.2 ล้านบาท หรือลดลง 31.2% โดยมีสาเหตุหลักมาจากในไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมา มีการบันทึกกำไรจากการขายเงินลงทุนในบริษัทย่อย ได้แก่ บริษัท พีระ เซอร์กิจ วัน จำกัด และบริษัท พีระ คาร์ท จำกัด จำนวน 356.5 ล้านบาท และในปัจจุบันบริษัทมีการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมส่วนใหญ่ ผ่านการร่วมทุนในกิจการร่วมค้า ซึ่งมีการรับรู้เป็นส่วนแบ่งกำไร (ขาดทุน) จากเงินลงทุนในกิจการร่วมค้า   นายเสริมศักดิ์  กล่าวอีกว่า ในปี 2564 นี้ถือเป็นอีกปีที่ต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา เพื่อรองรับสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงรับมือกับความเสี่ยง และความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้นได้ โดยที่วัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 จะเป็นความหวังของชาวไทย และต่างประเทศ ทำให้การท่องเที่ยวกลับมาฟื้นตัวและกำลังซื้อจากลูกค้าชาวต่างชาติโดยเฉพาะลูกค้าชาวจีนที่มีความต้องการซื้อสูง จะเป็นตัวช่วยให้แนวโน้มและความมั่นใจกลับมาดีขึ้น และเชื่อว่าเมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายลงทุกอย่างก็จะกลับสู่ภาวะปกติ ยืนเป้าโอนทั้งปีกว่า 1.6 หมื่นล้าน สำหรับแผนธุรกิจในปี 2564 บริษัทฯ ยังคงตั้งเป้าหมายยอดโอน 16,008 ล้านบาท และยอดขาย 18,570 ล้านบาท พร้อมเตรียมเปิด 5 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการรวมกว่า 24,422 ล้านบาท บนทำเลศักยภาพ ใกล้รถไฟฟ้า ได้แก่ ทำเลทองหล่อ สุรวงศ์ สะพานควาย สุขุมวิท 38 และลำสาลี พร้อมแนวคิดใหม่ ดีไซน์การออกแบบใหม่ เพื่อตอบโจทย์วิถีการใช้ชีวิตแบบใหม่ และในเดือนเมษายนที่ผ่านมา บริษัทฯประกาศความร่วมมือกับ Bitkub  เพื่อการนำคริปโทเคอร์เรนซี่ มาใช้สำหรับการซื้อบ้านและคอนโดจากอนันดา ซึ่งอนันดาเป็นบริษัทในกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายแรกในประเทศไทย ที่อำนวยความสะดวกแก่ลูกค้าในการซื้อเพิ่มมากขึ้นในการนำคริปโทเคอร์เรนซี่มาใช้ด้านการชำระเงิน   ณ สิ้นไตรมาส 1 บริษัทฯ ยังคงรักษาเงินสดรวมโครงการร่วมทุนเกินกว่า 10,000 ล้านบาท ทั้งยังได้รับการสนับสนุนที่แข็งแกร่งและต่อเนื่องจากสถาบันการเงินชั้นนำ และมีทางเลือกในการจัดหาแหล่งเงินทุนที่หลากหลายสามารถเลือกใช้ได้ตามสถานการณ์ และมีเป้าหมายในการรักษาอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนไว้ภายใต้เป้าหมายระยะยาวที่ 1:1 สำหรับในเดือนพฤษภาคม 2564 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน มูลค่ารวม 1,000 ล้านบาท เพื่อชำระคืนตามสิทธิหุ้นกู้ด้อยสิทธิลักษณะคล้ายทุน ครั้งที่ 1/2559
เอพี ไทยแลนด์  เดินหน้าทำรายได้-กำไร Q1/64 โต  ได้แรงส่งบ้านพร้อมขาย-การจัดการเงิน​สด           

เอพี ไทยแลนด์ เดินหน้าทำรายได้-กำไร Q1/64 โต ได้แรงส่งบ้านพร้อมขาย-การจัดการเงิน​สด           

เอพี ไทยแลนด์  เผยตัวเลขไตรมาสแรกปี 64 ทำรายได้รวมกว่า 10,770 ล้านบาท มีกำไรสุทธิกว่า 1,400 ล้านบาท ด้วยแรงส่งจากสินค้าบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมพร้อมขายในทุกทำเล ขณะที่มีแบ็คล็อกเตรียสร้างรายได้รวม 33,700 ล้านบาท พร้อมเดินหน้าเปิดตัว 3 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 1,650 ล้านเดือนมิถุนายนนี้​   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท  เอพี ไทยแลนด์ จำกัด​ (มหาชน) หรือ AP เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถสร้างรายได้รวมสูงถึง 10,770 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 58% หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า   ที่มีรายได้รวมเท่ากับ 6,820 ล้านบาท  และมีกำไรสุทธิกว่า 1,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 127% จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิรวมเท่ากับ 618 ล้านบาท ทั้งนี้ วิกฤตการแพร่ระบาดยังคงสร้างความเสียหายให้กับเศรษฐกิจอย่างไม่สิ้นสุด หลายคนมองว่าปีที่ผ่านมาดำเนินธุรกิจด้วยความยากลำบากแล้ว แต่จากสถานการณ์ระบาดรอบใหม่นี้สะท้อนได้อย่างชัดเจนถึงความยากลำบากและความท้าทายที่รออยู่อีกมาก   สำหรับทางรอดของธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์  นอกจากการบริหารจัดการความพร้อมภายในองค์กรรวมถึงงบกระแสเงินสดแล้ว การมีสินค้าพร้อมขายกระจายไปในหลายทำเล คืออีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่ผลักดันให้เอพีประสบความสำเร็จด้วยการขยายโอกาสที่มากขึ้น โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มแนวราบที่ยังคงเป็นซูเปอร์สตาร์ โดยบริษัทฯ มีรายได้รวมจากสินค้าแนวราบที่เติบโตสูงขึ้นในทุกไตรมาส สะท้อนถึงความแข็งแกร่งที่เกิดขึ้นจากภายใน ในการพร้อมรับมือกับกฎกติกาโลกที่เปลี่ยนแปลงไป โดยในปี 2564 นี้บริษัทฯ ตั้งเป้าจะพัฒนาโครงการให้ครอบคลุมทั่วประเทศ  โดยมีโครงการพร้อมขายกว่า 144 โครงการ มูลค่ากว่า 115,480 ล้านบาท ซึ่ง ณ วันที่ 30 เมษายนที่ผ่านมา​ บริษัทฯ มีสินค้ารอรับรู้รายได้ (Backlog) 33,700 ล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถสร้างรายได้รวม (รวม 100% JV) ได้ตามเป้าหมาย 43,100 ล้านบาท โดย่ในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ บริษัทฯ เตรียมเปิดตัว 3 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 1,760 ล้านบาท ได้แก่ บ้านเดี่ยว 2 โครงการ มูลค่ารวม 1,650 ล้านบาท ประกอบไปด้วย CENTRO ราชพฤกษ์-สวนผัก 3 CENTRO พหลฯ-วิภาวดี 2 และโฮมออฟฟิศ District รามอินทรา-จตุโชติ มูลค่า 110 ล้านบาท  ขณะที่ในช่วงครึ่งปีหลังเตรียมรับรู้รายได้ จากการโอนกรรมสิทธิ์ 2 คอนโดใหม่ LIFE ลาดพร้าว แวลลีย์ และ LIFE อโศก ไฮป์  มูลค่ารวม 12,300 ล้านบาท   บริษัทฯ ยังคงดำเนินแผนธุรกิจด้วยความรัดกุม ควบคู่ไปกับความพร้อมที่จะปรับตัวอย่างรวดเร็ว ด้วย การบริหารจัดการกระแสเงินสด ภายใต้พันธกิจใหญ่ขององค์กร “EMPOWER LIVING” ที่พร้อมส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีที่ลูกค้าสามารถเลือกได้ ด้วยนวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีคุณค่าและมีความหมาย  
อัลติจูด จับมือแลนด์ลอร์ด​ปั้นโปรเจ็กต์​ ชูกลยุทธ์ “เทิร์นคีย์” สู้พิษเศรษฐกิจ-โควิด

อัลติจูด จับมือแลนด์ลอร์ด​ปั้นโปรเจ็กต์​ ชูกลยุทธ์ “เทิร์นคีย์” สู้พิษเศรษฐกิจ-โควิด

อัลติจูด ชูกลยุทธ์ “เทิร์นคีย์” ดึงเจ้าของที่ดิน ปั้นโครงการสร้างรายได้ หลังธุรกิจอสังหาฯ เจอมรสุมเศรษฐกิจ พิษโควิด-19 หวังเติมรายได้และยอดขายกว่า 2,400 ล้าน   นายชยพล หรรรุ่งโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อัลติจูด ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายใต้แบรนด์ ALTITUDE (อัลติจูด)​ เปิดเผยว่า การดำเนินธุรกิจภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้บริษัทต้องทำการทบทวนแผนธุรกิจทุก ๆ 3 เดือน เพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์และการเปลี่ยนแปลง ซึ่งที่ผ่านมาได้เลื่อนการเปิดตัวโครงการใหม่ 2 โครงการ จากเดิมจะเปิดตัวในไตรมาส 2 ไปเปิดตัวในช่วงไตรมาส 3 แทน โดยทั้ง 2 โครงการ เป็นการพัฒนาโครงการในเซกเมนต์ใหม่ ได้แก่ โครงการอัลติจูด ฟอเรสต์ รัชดา พรีเมียมทาวน์โฮม จำนวน 39 ยูนิต มูลค่าเริ่มต้น 15 ล้านบาท และ อัลติจูด ฟอเรสต์ อารีย์-โมนูเมนต์ บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ เพียง 10 ยูนิต มูลค่าเริ่มต้น 28 ล้านบาท บนทำเลอารีย์ และเป็นโครงการใหม่บนทำเลศักยภาพใจกลางเมือง รวมมูลค่าทั้ง 2 โครงการ 998 ล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทยังได้ใช้กลยุทธ์เทิร์นคีย์ (Turnkey Asset Management) หรือการร่วมทุนกับพันธมิตร ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินทำเลศักยภาพและต้องการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งบริษัทมีโมเดลการร่วมทุน 3 รูปแบบ ได้แก่ 1.เจ้าของที่ดินลงทุนเฉพาะที่ดิน เป็นรูปแบบการลงทุนที่เจ้าของลงทุนเฉพาะที่ดินเท่านั้น ส่วนค่าใช้จ่าย  ค่าดำเนินการ และการพัฒนาโครงการทางบริษัทเป็นผู้รับผิดชอบ 2.เจ้าของที่ดิน ลงทุนตามสัดส่วนการลงทุน เป็นรูปแบบการร่วมลงทุนพัฒนาโครงการ โดยพิจารณาตามสัดส่วนที่เจ้าของที่ดินต้องการร่วมลงทุน ซึ่งจะมีการประเมินราคาที่ดินเป็นมูลค่าออกมาเพื่อใช้ในการร่วมทุน 3.บริษัทรับจ้างพัฒนาโครงการ เป็นรูปแบบการลงทุน ที่เจ้าของที่ดินต้องการพัฒนาโครงการ แต่ไม่ต้องการร่วมหุ้นกับบริษัท โดยให้บริษัทเป็นผู้พัฒนาและบริหารจัดการทั้งหมด ซึ่งรูปแบบนี้บริษัทจะรายได้ จากค่าบริหารจัดการโครงการ (Management Free) สำหรับโครงการที่พัฒนาภายใต้กลยุทธ์เทิร์นคีย์ จะต้องมีมูลค่าเริ่มต้นประมาณ 300 ล้านบาท หรือมีมูลค่าที่ดินประมาณ 60 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นขนาดที่เหมาะสม หากขนาดที่ดินหรือมูลค่าน้อยกว่า 300 ล้านบาท ถือว่ามีขนาดโครงการที่เล็กเกินไป ปัจจุบันมีเจ้าของที่ดินจำนวนมากที่เข้ามาติดต่อเพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้   ส่วนรูปแบบโครงการที่เจ้าของที่ดินนำมาร่วมลงทุน ภายใต้กลยุทธ์เทิร์นคีย์  มีรูปแบบการพัฒนาโครงการเพื่อจับกลุ่มตลาดได้เช่นเดียวกับบริษัท ซึ่งมี 6 เซ็กเมนต์ ได้แก่ 1.คอนโดมิเนียม ตลาดระดับกลาง แบรนด์อัลติจูด ยูนิคอร์น (ALLTITUDE UNICORN)  2.คอนโดระดับลักชัวรี่ แบรนด์อัลติจูด ซิมโฟนี่ (ALLTITUDE SYMPHONY) 3.โฮมออฟฟิศ ระดับราคา 15-90 ล้าน 4. บ้านหรูทำเลใจกลางเมือง ระดับราคา 30 ล้านบาท 5.บ้านพรีเมียมใจกลางเมืองระดับ 20 ล้านบาท  และ 6.บ้านทาวน์โฮม ราคา 3 ล้านบาท     มีคนส่งที่ดินเข้ามาให้ศึกษาจำนวนมาก และเป็นทำเลที่น่าสนใจ นี่จะเป็นหนึ่งกลยุทธ์สร้างการเติบโตของอัลติจูด ถ้าเราสามารถร่วมทุนกับเจ้าของที่ดิน​และเป็นที่ดินมีศักยภาพ ก็จะเป็นแรงขับเคลื่อนหนึ่งให้เราเติบโตไปข้างหน้า สำหรับที่ดินที่นำเสนอเข้ามามีจำนวนมาก แต่บริษัทจะพิจารณาทำเลที่เหมาะสม และจังหวะเวลาที่เหมาะสมในการพัฒนาโครงการ รวมถึงจะต้องพัฒนาโครงการให้สอดคล้องกับแบรนด์ต่าง ๆ ของบริษัท โดยทั้งสองฝ่ายต้องสามารถตกลงร่วมกันได้ ภายใต้มาตรฐานที่บริษัทกำหนดไว้   ด้านนายขวัญชัย เจริญยิ่งถาวรชัย กรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า การที่บริษัทได้นำกลยุทธ์เทิร์นคีย์มาใช้ เนื่องจากปัจจุบันธุรกิจต่างๆ ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งธุรกิจอสังหาฯ ได้รับผลกระทบอย่างมากรองจากธุรกิจการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังพบว่า สถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ เพื่อนำเงินมาพัฒนาโครงการ โดยเฉพาะดีเวลลอปเปอร์รายใหม่หรือรายเล็ก  และยังมีการแข่งขันจากผู้ประกอบการรายใหญ่ด้วย จึงเป็นสิ่งที่ท้าทายในการทำธุรกิจอย่างมาก ​ซึ่งการที่เจ้าของที่ดินเลือกเข้ามาร่วมทุนกับบริษัท จะช่วยทำให้มีโอกาสในการดำเนินธุรกิจมากขึ้น นอกจากนี้ เพื่อรับมือกับการระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา อัลติจูดได้ปรับกลยุทธ์การขายวิถีใหม่ ‘REAL LIVE 720 DEGREE’ หรือ นวัตกรรมเรียลไลฟ์ 720 องศา ภายใต้แนวคิด ANYONE CAN BUY ANYWHERE & ANYTIME ซึ่งเป็นนวัตกรรมเยี่ยมชมโครงการที่สามารถสัมผัสประสบการณ์เสมือนจริง 720 องศา ทั้งการชมบ้านตัวอย่าง ชมส่วนกลางเสมือนจริงได้รอบทิศทาง และสามารถทำ POP UP SPACE ออกแบบบ้านตามไลฟ์สไตล์ที่ชอบด้วยตัวเอง นับเป็นการสร้างปรากฏการณ์ใหม่ของรูปแบบการขายให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ที่เหนือกว่าของการซื้อที่อยู่อาศัย   โดยนำร่องนวัตกรรมชมบ้านแบบเรียลไลฟ์ 720 องศา กับแบรนด์น้องใหม่ ‘อัลติจูด คราฟ บางนา (PREMUIM AFFORDABLE TOWNHOME)  ซึ่งเปิดตัวเมื่อช่วงปลายปี 2563 ถือว่าประสบความสำเร็จในการขายก่อนเปิดโครงการจริง (EARLY BIRD) ด้วยยอดขายต่อเนื่องถึงปัจจุบันกว่า 540 ล้านบาท พร้อม SOLD OUT จำนวน 125 ยูนิต ซึ่งเป็นการขายคละแบบบ้าน 3 แบบ จากทั้งหมด 402  ยูนิต ในโครงการ โดยมีมูลค่าโครงการรวม 1,469 ล้านบาท และเตรียมนำนวัตกรรมนี้ไปใช้กับทุกโครงการที่จะเปิดใหม่   นายขวัญชัย กล่าวอีกว่า ทิศทางธุรกิจอสังหาฯ ในปี 2564 คาดว่าจะเติบโตในอัตราเลขตัวเดียว หรือไม่เกิน 10% โดยมีปัจจัยบวกจาก การส่งเสริมให้กลุ่มชาวต่างชาติสามารถซื้ออสังหาฯ ในไทย ส่วนบริษัทปีนี้ตั้งเป้าหมายรายได้ 2,400 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมามียอดขาย 1,900 ล้านบาท โดยในช่วงไตรมาสแรกมียอดขาย 200 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ประมาณ 2,900-3,000 ล้านบาท
ยูนิเวนเจอร์ โดนโควิด-19 ยอดขายอสังหาฯ ลด  แต่ยังทำกำไร 6 เดือนแรกโต 50%

ยูนิเวนเจอร์ โดนโควิด-19 ยอดขายอสังหาฯ ลด แต่ยังทำกำไร 6 เดือนแรกโต 50%

ยูนิเวนเจอร์  เผยผลประกอบการ 6 เดือนแรกปี​ 2564 ผลกำไรโตกว่า 50% แต่รายได้หลักลดลง  16% เหตุเจอสถานการณ์โควิด-19 รายได้จากการขายอสังหาฯ ชะลอตัว ลูกค้าไม่มั่นใจ การปฏิเสธสินเชื่อจากแบงก์   นายกำพล ปุญโสณี กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ยูนิเวนเจอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ UV เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทในช่วง 6 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2564 (1 ตุลาคม 2563 – 31 มีนาคม 2564) สามารถทำรายได้รวม 1,913.8 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 913.3 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 48% ของรายได้รวม รายได้จากธุรกิจสังกะสีออกไซด์ 681.3 ล้านบาท คิดเป็น 36% ของรายได้รวม รายได้จากธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอสังหาฯ ​และรายได้อื่นประมาณ 319.2 ล้านบาท คิดเป็น 16% ของรายได้รวม และ​มีกำไรเติบโตกว่า 50%   โดยในปีนี้ บริษัทยังคงมุ่งเน้นในการจัดหา การลงทุนในกลุ่มธุรกิจที่มีศักยภาพ ทั้งการลงทุนโดยบริษัท เอง และการร่วมลงทุนกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ในดำเนินธุรกิจ ซึ่งการลงทุนจะดำเนินภายใต้กลยุทธ์องค์กรทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ 1.การจัดหาการลงทุนเพื่อสร้างความสมดุลของ Investment Portfolio ของบริษัท (ENABLE) 2.การพัฒนาความเชี่ยวชาญและเพิ่มมูลค่าของธุรกิจที่ลงทุนเพื่อก่อให้เกิดรายได้และผลตอบแทนอย่างต่อเนื่อง (COMMIT) และ 3.การสร้างความยั่งยืนของการดำเนินธุรกิจในระยะยาว (ACCOMPLISH)   ทั้งนี้ บริษัทมีโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแรง และพร้อมที่จะปรับสมดุลในการลงทุนของบริษัทเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของกลยุทธ์องค์กรดังกล่าวได้ภายในระยะเวลา 3 ปี ซึ่งปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่จะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2564-2565 ประมาณ 3,000 ล้านบาท   สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 2 ของปีงบประมาณ (ม.ค.-มี.ค.2564) บริษัทีรายได้รวม 1,001.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2563 ที่มีรายได้รวม 996.7 ล้านบาท โดยรายได้ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา แบ่งเป็นรายได้จากการขาย บริการ และให้เช่า จำนวน 932.9 ล้านบาท รายได้จากธุรกิจอสังหาฯ 501.5 ล้านบาท จากธุรกิจการขายและบริการ 425.8 ล้านบาท จากธุรกิจอสังหาฯ เพื่อเช่า 4 ล้านบาท และจากค่าการจัดการ 1.6 ล้านบาท ​   ส่วนรายได้ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 มีรายได้รวม 1,913.8 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2563 ที่มีรายได้รวม 2,130.1 ล้านบาท ซึ่งรายได้หลักในช่วง 6 เดือนแรกของปี 2564 มีจำนวน 1,716.2 ล้านบาท มาจากธุรกิจอสังหาฯ เพื่อขาย 913.3 ล้านบาท ​​จากธุรกิจการขายและการให้บริการ​ 788.1 ล้านบาท ​จากธุรกิจอสังหาฯ เพื่อเช่า​ 8.0 ล้านบาท และจากค่าการจัดการ 6.8 ล้านบาท โดยรายได้หลักสำหรับงวด 6 เดือนปี 2564 ลดลง​ 16% เปรียบเทียบกับ​งวด 6 เดือนของปีก่อน รายได้หลักที่ลดลงส่วนใหญ่มาจาก รายได้ที่ลดลงจากธุรกิจอสังหาฯ เพื่อขายเนื่องจากลูกค้าชะลอการตัดสินใจซื้อ  และชะลอการโอนกรรมสิทธิ์โครงการอสังหาฯ ​​จากการระบาดของโควิด -19  ผลกระทบจากการ ปฏิเสธสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยกลุ่มลูกค้าที่ประกอบอาชีพหรือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการระบาดโควิด-19 และรายได้จากการให้เช่าและบริการที่ลดลงไป หลังการใช้มาตรฐานการรายงานทางการเงิน TFRS16 ​  
เปิดขายบ้าน-คอนโดใน “เดอะ ฟอเรสเทียส์”  MQDC เคาะราคาสูงสุด 250 ล้าน

เปิดขายบ้าน-คอนโดใน “เดอะ ฟอเรสเทียส์” MQDC เคาะราคาสูงสุด 250 ล้าน

MQDC พร้อมเปิดขาย 3 โครงการที่อยู่อาศัย ในเมกะโปรเจ็กต์ “เดอะฟอเรสเทียส์” วันที่ 8  พ.ค. นี้ ราคาตั้งแต่ 5.14-250 ล้าน  พร้อมจัดให้ชม  11 ห้องตัวอย่างจาก 3 แบรนด์ที่อยู่อาศัย ​   ในที่สุดโครงการเมกะโปรเจกต์เมกะโปรเจกต์ มูลค่า 125,000 ล้านบาท ของบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) อย่างโครงการเดอะฟอเรสเทียส์ (THE FORESTIAS)​ ได้ฤกษ์เปิดการขายโครงการที่พักอาศัยต่าง ๆ ใ​นเดอะฟอเรสเทียส์ อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป ด้วยราคาที่พักอาศัยตั้งแต่ห้องละ 5.14 ล้านบาท ไปจนถึง 250 ล้านบาท   โดยจะมีการจัดแสดงห้องตัวอย่าง 11 ห้อง จาก 3 โครงการที่พักอาศัยในเมกะโปรเจ็กต์ดังกล่าว ในอาคาร “ฟอเรสต์ พาวิลเลียน” อาคารศูนย์การเรียนรู้ ซึ่งตั้งอยู่บนพื้นที่ ขนาด 398 ไร่ นอกจากห้องตัวอย่างทั้ง 11 ห้อง ยังมีการจัดแสดงวิสัยทัศน์ตลอดจนแนวคิดสำคัญในการพัฒนาโครงการผ่าน Immersive Experience ล้ำสมัย ที่ออกแบบโดยผู้เชี่ยวชาญด้านการออกแบบ experience ระดับโลก   นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ โดย MQDC เปิดเผยว่า  MQDC ได้พัฒนา “เดอะ ฟอเรสเทียส์” ให้เป็นโครงการต้นแบบแห่งใหม่ของโลก ในการพัฒนาเมืองที่ทุกมิติได้รับการออกแบบอย่างละเอียดรอบคอบ เพื่อวัตถุประสงค์สำคัญคือการส่งเสริมให้ผู้คนได้ใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดียิ่งขึ้น และมีความสุขมากขึ้น ด้วยแนวคิดการสร้างสรรค์ที่อยู่อาศัยและสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมในเรื่องสุขภาพและความสุข ทั้งเรื่องของความปลอดภัย การได้อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ การผสานธรรมชาติเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการใช้ชีวิตประจำวัน การออกแบบจัดการคุณภาพอากาศ แสง และการเลือกใช้วัสดุต่าง ๆ ทั้งภายในที่พักอาศัยและสภาพแวดล้อมในโครงการ รวมไปถึงการจัดวางผังองค์ประกอบต่าง ๆ ในโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ได้รับการตอบรับอย่างดี และได้รับความสนใจและมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากสถานการณ์โควิดที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้ผู้คนเข้าใจและให้ความสำคัญกับการเลือกที่พักอาศัยและสภาพแวดล้อมที่จะส่งเสริมการใช้ชีวิตที่มีสุขภาพดีอย่างแท้จริง สำหรับเดอะ ฟอเรสเทียส์ ตั้งอยู่บนถนนบางนา-ตราด กม. 7 ซึ่งเป็นประตูสู่ความเจริญภาคตะวันออก ประกอบด้วยโครงการที่พักอาศัยหลากหลายรูปแบบ พื้นที่เชิงธุรกิจสำหรับสำนักงาน สปอร์ตคอมเพล็กซ์ กิจกรรมไลฟ์สไตล์  ร้านค้าปลีก ร้านอาหารและเครื่องดื่ม พื้นที่ Family Center สำหรับกิจกรรมสร้างสรรค์ของครอบครัว และพื้นที่ Town Center สำหรับกิจกรรมชุมชนและกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่าง ๆ โรงละคร อีเว้นต์ฮอลล์ ตลาด   โครงการที่พักอาศัยใน เดอะ ฟอเรสเทียส์  ประกอบด้วย คอนโดมิเนียมแบรนด์วิสซ์ดอม  แบบ high-rise จำนวน 3 อาคารที่มุ่งตอบโจทย์คนวัยเริ่มต้นทำงาน วัยสร้างครอบครัว ครอบครัวใหม่ และคนรักสัตว์เลี้ยง โดยมีห้อง 7 แบบ ขนาดตั้งแต่ประมาณ 35 ไปจนถึง 205 ตารางเมตร คอนโดแบรนด์มัลเบอร์รี โกรฟ คอนโดมิเนียมแบบ low-rise ที่มุ่งตอบโจทย์ที่ไลฟ์สไตล์ใกล้ชิดกับธรรมชาติ จำนวน 6 อาคาร โดยมีห้อง 16 แบบ ขนาดตั้งแต่ 63 ตารางเมตร ไปจนถึง 1,027 ตารางเมตร และที่อยู่อาศัยแบรนด์มัลเบอร์รี โกรฟ บ้านสไลต์คลัสเตอร์โฮม ที่มุ่งตอบโจทย์ครอบครัวใหญ่หลากหลายเจนเนเรชั่น จำนวน 37 หลัง 3 ขนาด ตั้งแต่ 4-6 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้นประมาณ 1,000 ตารางเมตร ถึง 1,600 ตารางเมตร   ที่อยู่อาศัยแบรนด์ดิ แอสเพน ทรี โครงการที่พักอาศัยพร้อมมอบบริการดูแลตลอดชีวิต สำหรับผู้ที่ต้องการวางแผนการใช้ชีวิตในระยะยาว ที่มีอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป มีทั้งแบบ Active Living Condominiums และ Sky Villa Residences เพรียบพร้อมทั้งที่พักอาศัย สิ่งอำนวยความสะดวก การบริการอย่างครบครัน และการดูแลด้านสุขภาพจากผู้เชี่ยวชาญอย่างครบวงจร ใน เดอะ ฟอเรสเทียส์ ยังมีป่าขนาดใหญ่พื้นที่ 30 ไร่ ที่เริ่มปลูกมาตั้งแต่เป็นเมล็ดและต้นกล้า ครอบคลุมพื้นที่ใจกลางของโครงการ นอกจากนั้น ยังมีทางเดินยกระดับความยาวกว่า 1.6 กิโลเมตร ซึ่งรวมทางเดินที่เชื่อมโยงไปยังพื้นที่ต่าง ๆ และทางเดินที่ทอดตัวอยู่เหนือผืนป่าซึ่งอยู่บริเวณใจกลางโครงการ มอบเป็นเส้นทางเดินเท้าท่ามกลางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ด้วยความเชื่อที่ว่า การได้อยู่ใกล้ชิดกับความมหัศจรรย์อันหลากหลายของธรรมชาติมากยิ่งขึ้น เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งที่ส่งมอบความสุขให้กับผู้คน   ทั้งนี้ MQDC กำหนดเปิดขายโครงการที่พักอาศัยต่างๆ ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป โดยผู้สนใจเข้าชมโครงการ สามารถนัดหมายล่วงหน้าเพื่อเข้าชมแบบส่วนตัว โดยลงทะเบียนได้แล้ววันนี้ ที่ Call Center 1265 หรือ www.MQDC.com ทั้งนี้ เป็นไปตามประกาศของทางราชการในเรื่องการดำเนินการในสถานการณ์โควิด-19  
4 เทรนด์ที่อยู่อาศัยมาแรง ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้สูงวัย

4 เทรนด์ที่อยู่อาศัยมาแรง ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้สูงวัย

ในปี 2564 นี้ ถือว่าประเทศไทยได้เข้าสู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Complete Aged Society) แล้ว เพราะข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติ  ระบุว่า​ ประเทศไทยมีจำนวนประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป ถึง 20% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งถือว่าเป็นไปตามหลักเกณฑ์ขององค์การสหประชาชาติ ​(United Nations:UN) ที่ได้แบ่งระดับ​การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เป็น 3 ระดับ ได้แก่   1.ระดับการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging society) หมายถึง สังคมหรือประเทศที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า  10% ของประชากรทั้งประเทศหรือมีประชากรอายุตั้งแต่ 65 ปีมากกว่า 7% ของประชากรทั้งประเทศ   2.ระดับสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged society) หมายถึง สังคมหรือประเทศที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่า 20% ของประชากรทั้งประเทศหรือมีประชากรอายุตั้งแต่ 65 ปี มากกว่า 14% ของประชากรทั้งประเทศ แสดงว่าประเทศนั้นเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์   3.ระดับสังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มที่ (Super-aged society) หมายถึงสังคมหรือประเทศที่มีประชากรอายุ 65 ปีขึ้นไปมากกว่า  20% ของประชากรทั้งประเทศ แสดงว่าประเทศนั้นเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มที่  โดยประเทศไทยคาดว่าจะเข้าสูงสังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มที่ ในปี ​2574   ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สังคมผู้สูงอายุ ในไทยมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ คงเป็นเพราะปัจจุบันรูปแบบการใช้ชีวิตของคนในยุคนี้อยู่ภายใต้บริบทและปัจจัยทางสังคมที่เปลี่ยนไป ทำให้คนไทยครองตัวเป็นโสดมากขึ้น หรือมีบุตรลดลง เปลี่ยนรูปแบบจากครอบครัวขยายในอดีตเป็นครอบครัวเดี่ยวอย่างชัดเจน   การเติบโตอย่างมีนัยสำคัญของสังคมผู้สูงอายุได้ทำให้เกิดโอกาสทางการตลาด  สำหรับการเจาะกลุ่มผู้บริโภคสูงวัย (Silver Age) เหล่านี้  ด้วยกำลังซื้อที่มีสูง  เพราะเป็นผลมาจากการบริหารจัดการรายได้ ตลอดชีวิตการทำงานผ่านการออมทรัพย์และลงทุนต่าง ๆ ประกอบกับแนวคิดการใช้ชีวิตที่มีความทันสมัย และรู้จักใช้เทคโนโลยีเป็นประจำ ไม่ลังเลที่จะใช้เงินเก็บมาซื้อความสุขและดูแลสุขภาพตัวเองอยู่เสมอ ซึ่งความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มนี้ก็มีการปรับเปลี่ยนไปตามเทรนด์ต่าง ๆ ไม่แพ้วัยรุ่นเช่นกัน จนทำให้หลายธุรกิจหันมาพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์เพื่อดึงดูดกำลังซื้อของคนสูงวัยมากขึ้น เทรนด์ที่อยู่อาศัยมาแรง ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของผู้สูงวัย ไม่เพียงแต่สินค้าและบริการ ที่เป็นของใช้ในการดำรงชีวิต หรือสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปเท่านั้น สินค้าที่มีขนาดใหญ่และมีมูลค่าสูง ซึ่งตลอดทั้งชีวิตอาจจะซื้อได้เพียง 1 ครั้ง หรืออย่างมากแค่ 2 ครั้งเท่านั้น สำหรับคนส่วนใหญ่ของประเทศ อย่างที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม หรือแม้แต่ห้องชุดคอนโดมิเนียม ต่างก็มองว่า กลุ่มผู้สูงอายุเหล่านี้ คือ กลุ่มเป้าหมายทางการตลาดสำคัญที่คือโอกาสทางการตลาด สร้างรายได้และเม็ดเงินมหาศาล จึงหันมาจับตลาดกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ ด้วยการพัฒนารูปแบบของบ้าน หรือห้อง รวมถึงโครงการ ที่ให้การใช้ชีวิตและการอยู่อาศัยภายในบ้านของผู้สูงอายุ พักอาศัยได้อย่างมีความสุข สุขภาพดี และปลอดภัย โดยข้อมูลจากดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์ ได้รายงานถึงเทรนด์ที่อยู่อาศัยที่น่าสนใจ และเป็นที่น่าจับตามองสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการคนวัยนี้ ที่ไม่ได้มองหาบ้านเพื่ออยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว แต่ต้องรองรับการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างครบครัน ว่ามี 4 เทรนด์สำคัญ 1.เทรนด์สุขภาพมาแรง สุขภาพกายที่ดีต้องมาพร้อมความสบายใจ โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่เห็นคุณค่าของการมีสุขภาพดีมาเป็นอันดับต้น ๆ แน่นอนว่านอกจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการออกกำลังกายจะเป็นปัจจัยสำคัญแล้ว ที่อยู่อาศัยก็ถือเป็นอีกปัจจัยที่มีบทบาทในการสร้างสุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีให้ผู้สูงอายุเช่นกัน เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่ผู้สูงอายุได้ใช้เวลาอยู่ด้วยในแต่ละวันมากที่สุด   ดังนั้นการเลือกโครงการฯ ที่มีการออกแบบภายใต้แนวคิด สร้างสรรค์สุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีให้ผู้อยู่อาศัย (Health & wellness residence) คำนึงถึงการใช้งานจริง ทั้งการออกแบบพื้นที่ใช้สอยภายในให้รองรับผู้สูงอายุที่ต้องการเดินออกกำลังกายภายในบริเวณบ้านของตน มีพื้นที่ส่วนกลางสำหรับออกกำลังกายและพื้นที่สีเขียวที่มอบความร่มรื่นพร้อมรองรับการทำกิจกรรมด้านสุขภาพอื่น ๆ ในชุมชน   นอกจากนี้ปัจจุบันผู้พัฒนาอสังหาฯ ได้หันมาร่วมมือกับโรงพยาบาลหรือศูนย์บริการสุขภาพเพื่อเพิ่มบริการดูแลสุขภาพหรือบริการทางการแพทย์ไว้ในโครงการฯ ด้วย เรียกได้ว่าเป็นการพัฒนาที่อยู่อาศัยให้ตอบโจทย์การสร้างสรรค์สุขภาพกายและสุขภาพจิตที่ดีได้อย่างน่าสนใจ และเป็นตัวเลือกที่ควรพิจารณาสำหรับครอบครัวที่มีผู้สูงอายุ 2.Home Solutions เพื่อการอยู่อาศัยที่สะดวก-ปลอดภัย แนวโน้มจำนวนผู้สูงอายุที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ประกอบการฯ หันมาให้ความสนใจและพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับผู้บริโภคกลุ่มนี้มากขึ้น มีโครงการฯ ที่ออกแบบให้เป็นบ้านสำหรับผู้สูงอายุด้วยความเข้าใจที่แท้จริง ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบห้องนอนผู้สูงอายุให้มีความเป็นส่วนตัวและอากาศถ่ายเทสะดวก หรือนำนวัตกรรม Home Solutions ต่าง ๆ มาช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตในบ้านได้ราบรื่น และช่วยป้องกันอันตรายจากการเกิดอุบัติเหตุภายในบ้าน เช่น ปูพื้นด้วยวัสดุลดแรงกระแทก (Shock Absorption Floor) เพื่อช่วยลดความรุนแรงของอาการบาดเจ็บหากเกิดอุบัติเหตุหกล้ม   การออกแบบราวจับในห้องน้ำ ราวบันไดทั้งสองข้าง หรือพื้นต่างระดับในบ้านเพื่อทรงตัวและเดินได้มั่นคงขึ้น ทำทางลาดสำหรับรถเข็นในการเข้าสู่ตัวบ้าน หรือออกแบบให้ประตูห้องน้ำเปิดออกมาด้านนอก ในกรณีที่มีคนล้มขวางประตูด้านใน ซึ่งรายละเอียดในการออกแบบที่มีพื้นฐานเพื่อตอบโจทย์ผู้อาศัยอย่างแท้จริงนี้ นอกจากจะช่วยให้ผู้สูงอายุใช้ชีวิตในบ้านได้อย่างมั่นใจและสบายใจมากขึ้นแล้ว แน่นอนว่าสมาชิกทุกคนในครอบครัวก็จะสามารถใช้ชีวิตในบ้านนี้อย่างปลอดภัยเช่นกัน 3.ระบบบ้านอัจฉริยะ ปลอดภัยด้วยเทคโนโลยี นอกจากเทคโนโลยีจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตของคนยุคนี้ในหลากหลายด้านแล้ว ยังเข้ามามีบทบาทสำคัญในด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัยอีกด้วย เห็นได้จากการเติบโตของเทรนด์บ้านอัจฉริยะ (Smart Home) ที่ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีมาสนับสนุนให้ผู้อยู่อาศัยสามารถควบคุมการทำงานระบบต่าง ๆ ของบ้านผ่านการสั่งงานด้วยเสียงหรือจากแอปพลิเคชั่น ซึ่งยกระดับความปลอดภัยให้ที่อยู่อาศัย เช่น กลอนประตูดิจิทัล (Digital Door Lock) หรือการติดตั้งกล้องวงจรปิดที่รองรับการรับชมภาพออนไลน์และดูย้อนหลังได้ผ่านสมาร์ทโฟน ช่วยให้ผู้สูงอายุที่ห่วงใยในทรัพย์สินและติดบ้านคลายความกังวลเมื่อต้องห่างจากบ้านได้   นอกจากนี้ระบบบ้านอัจฉริยะยังช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่มักมีอาการหลงลืมก็สามารถเลือกควบคุมการเปิด-ปิดไฟหรือเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน/คอนโดฯ ผ่านสมาร์ทโฟนได้ตลอดเวลา แม้ทำธุระอยู่ข้างนอกก็สามารถกดเช็กดูระบบไฟเพื่อความชัวร์ได้ทันที 4.เป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย ต่อยอดการลงทุนได้ในอนาคต ความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้สูงอายุไม่ได้เน้นไปที่การอยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว เนื่องจากไม่ใช่การมีบ้านหลังแรก แต่มีการวางแผนระยะยาวด้วยการมองหาที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัยของครอบครัว พร้อมทั้งมีศักยภาพที่ต่อยอดไปสู่การลงทุนได้ในอนาคต เนื่องจากที่อยู่อาศัยถือเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และมีความต้องการในตลาดไม่น้อย ข้อมูลจากผลสำรวจ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study เผยว่า ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อผู้สูงอายุในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยจากบริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั้นจะสนใจที่ชื่อเสียงของบริษัทมาเป็นอันดับแรก 58% ตามมาด้วยผลงานของผู้พัฒนาฯ ในโครงการที่ผ่านมา 56% และคุณภาพของงานตกแต่งภายในที่ผู้พัฒนาฯ มอบให้ 55% ซึ่งชื่อเสียงที่ดีของผู้พัฒนาฯ ย่อมส่งผลด้านบวกที่ช่วยให้การประกาศขาย/เช่าในอนาคตง่ายขึ้น ต่างจากกรณีของผู้บริโภคที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเป็นหลักจึงพิจารณาจากคุณภาพของงานตกแต่งภายในที่ได้จากผู้พัฒนาฯ มาเป็นอันดับแรก (68%) อย่างไรก็ดี แม้ไม่ใช่เพื่อการขาย ผู้สูงอายุก็ยังมีทางเลือกในการปล่อยเช่าบ้าน/คอนโดฯ เพื่อสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องแทน   ปัจจุบันเทรนด์การพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อรองรับการอยู่อาศัยของผู้สูงอายุแพร่หลายมากขึ้น ทั้งการเปิดตัวโครงการอสังหาฯ ที่เจาะกลุ่มนี้โดยเฉพาะ หรือการพัฒนาโซลูชั่นใหม่ให้เลือกนำไปปรับใช้กับบ้านเดิมที่มีอยู่แล้ว นอกจากนี้ธนาคารได้มีการนำเสนอ “Reverse mortgage หรือสินเชื่อบ้านสำหรับผู้สูงอายุ” เพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้สูงอายุที่มีบ้านเป็นของตนเองแต่ไม่ต้องการขายบ้านทันที เพราะยังต้องใช้อยู่อาศัยและต้องการมีรายได้รายเดือนเพื่อนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน   หลักการทำงานจะมีรูปแบบเหมือนการทยอยขายบ้านให้กับธนาคาร ซึ่งธนาคารจะตีมูลค่าบ้านพร้อมกับประเมินอายุเฉลี่ยของผู้กู้แล้วจะทยอยจ่ายเงินค่าบ้านให้เป็นรายเดือน โดยผู้กู้ก็ยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านหลังนั้นและยังสามารถอาศัยอยู่ในบ้านได้จนกระทั่งผู้กู้นั้นเสียชีวิตหรือตัดสินใจขายบ้านไปก่อน ซึ่งหลังครบกำหนดตามสัญญา บ้านก็จะตกเป็นกรรมสิทธิ์ของธนาคาร นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจ ตอบโจทย์ความต้องการมีบ้านของผู้สูงอายุพร้อมทั้งช่วยเพิ่มสภาพคล่องในการใช้จ่ายได้เป็นอย่างดี 5 เหตุผลผู้สูงอายุ ซื้อบ้านใหม่ ผู้สูงอายุที่มีกำลังซื้อจำนวนมาก ต้องการมีชีวิตในช่วงเวลาที่เหลืออย่างมีคุณภาพ จึงเลือกที่หาสิ่งที่ดีและทำให้ชีวิตตนเองมีความสุข ส่วนหนึ่งเป็นเพราะไม่มีภาระจากบุตรหลาน หรือเพื่อต้องการให้รางวัลกับชีวิตของตนเอง หลังจากใช้เวลาทำงานและสะสมรายได้จนมีกำลังจับจ่ายใช้สอย ประกอบกับความเจริญของเมืองที่มีมากขึ้น ระบบการคมนาคมขนส่ง ซึ่งถูกพัฒนาอย่างต่อเนื่อง การเกิดขึ้นของระบบรถไฟฟ้าสายสีต่าง ๆ ล้วนเป็นปัจจัยทำให้การใช้ชีวิตของผู้สูงอายุง่ายมากขึ้น และสะดวกสบายมากกว่าในอดีต การเลือกซื้อบ้านหลังที่ 2 หรือการเปลี่ยนบ้านหลังใหม่ในช่วงวัยผู้สูงอายุ จึงอาจจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ยิ่งปัจจุบันสถาบันการเงินบางแห่งมีแคมเปญการปล่อยกู้สำหรับผู้สูงอายุ ยิ่งทำให้การซื้อบ้านในวัยหลังเกษียณเป็นเรื่องง่าย   อย่างไรก็ตาม การเลือกซื้อบ้านหลังใหม่ ของผู้บริโภคชาวไทยอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป คงเกิดจากหลายเหตุผลและหลายปัจจัย  ซึ่งข้อมูลจากผลสำรวจพบว่ามี 5 เหตุผลที่ผู้สูงอายุให้ความสำคัญและใช้เป็นเกณฑ์ในการติดสินใจเลือกซื้อที่อยู่ใหม่ ได้แก่   1.ความต้องการพื้นที่ส่วนตัว สัดส่วนมากถึง 44% 2.ความต้องการไปอยู่อาศัยในทำเล หรือบรรยากาศใหม่ 31% 3.ต้องการความสะดวกที่มากขึ้น เช่น อยู่ใกล้โรงพยาบาล ที่ทำงาน โรงเรียน ฯลฯ  26% 4.ซื้อเพื่อลงทุน 26% เนื่องจากคนกลุ่มนี้มีประสบการณ์และวางแผนการเงินและการใช้จ่ายอย่างเป็นระบบ จึงให้ความสำคัญในเรื่องการลงทุนเพื่อรับผลตอบแทนระยะยาวมากกว่าช่วงวัยอื่น ๆ 5.เป็นการซื้อบ้านเพื่อเพิ่มพื้นที่ให้กับสมาชิกในครอบครัว 15% นอกจากนี้ ปัจจัยภายนอกที่ผู้สูงอายุส่วนใหญ่ให้ความสำคัญในการใช้พิจารณาตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัย คือ การเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ และความปลอดภัยของทำเล โดยมีสัดส่วนที่เท่ากันอยู่ที่ 53% ตามมาด้วยทำเลที่ตั้ง 49% และโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกรอบทำเลที่ 49% เท่ากัน   เห็นได้ชัดว่าผู้บริโภคกลุ่มนี้จะเน้นมองหาที่อยู่อาศัยที่เพิ่มความสะดวกสบายมากขึ้น โดยไม่ละเลยความปลอดภัย เพื่อให้สอดคล้องกับการใช้ชีวิตประจำวันตามไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างและการอยู่อาศัยได้อย่างสบายใจด้วยตนเอง ไม่เป็นภาระผู้อื่น   หลายคนอาจมีภาพจำว่าคนสูงวัยไม่คุ้นเคยกับการท่องโลกออนไลน์เท่าวัยอื่นในยุคดิจิทัล แต่ที่จริงแล้วผู้สูงอายุเรียนรู้ในการนำเทคโนโลยีมาปรับใช้เพื่ออำนวยความสะดวกในการดำเนินชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี เห็นได้ชัดเจนจากพฤติกรรมการค้นหาข้อมูลก่อนตัดสินใจเรื่องซื้อที่อยู่อาศัย โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางยอดนิยมในการค้นหาข้อมูลในประชากรกลุุ่มนี้ถึง 62% ตามมาด้วยเว็บไซต์ของโครงการ 56% และเว็บพอร์ทัลด้านอสังหาฯ 47% เนื่องจากเป็นช่องทางที่สะดวก ช่วยให้ค้นหาข้อมูลที่ต้องการได้รวดเร็วและหลากหลายมากพอที่จะนำมาใช้ประกอบการพิจารณาภายใต้การใช้วิจารณญาณและกรอบประสบการณ์ที่มี โดยมีเพียง 16% เท่านั้นที่จะเลือกปรึกษาและหาข้อมูลเรื่องนี้กับเพื่อนร่วมงาน เพื่อนฝูง และครอบครัว
แสนสิริ ปรับเป้าเพิ่มยอดขาย-โอน 31,000 ล้าน พร้อมเปิดขายคอนโดใหม่ “เดอะมูฟ”

แสนสิริ ปรับเป้าเพิ่มยอดขาย-โอน 31,000 ล้าน พร้อมเปิดขายคอนโดใหม่ “เดอะมูฟ”

แสนสิริ ประกาศปรับเป้ายอดโอน-ยอดขาย เพิ่มเป็น 31,000 ล้าน หลัง 4 เดือนแรก ทำยอดขาย​-ยอดโอนได้เป็นที่น่พอใจ เตรียมเปิดตัวโครงการคอนโดแบรนด์เดอะมูฟ ใน 4 ทำเล จับตลาดคนรุ่นใหม่นักศึกษา- First Jobber   นายอุทัย  อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ได้ปรับเป้าหมารับเป้ายอดขายและยอดโอนปี 64 จากเป้ายอดขายเดิม 26,000 ล้านบาท เป็น 31,000 ล้านบาท และเป้ายอดโอนจาก 27,000 ล้านบาท เป็น 31,000 ล้านบาท หลังจากการดำเนินธุรกิจในช่วง 4 เดือนแรกที่ผ่านมา เห็นสัญญาณ​ถึงดีมานต์ที่อยู่อาศัยที่ตลาดต้องการและทิศทางตลาดอสังหาฯ ในอนาคต โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยในราคาเข้าถึงได้ ทั้งในช่วงโควิดและหลังตลาดฟื้นตัว   โดยล่าสุด แสนสิริมียอดขาย​ 12,500 ล้านบาท และมียอดโอนอยู่ที่ 8,100 ล้านบาท ถือว่าทำผลงานในระดับที่ดี ใน 4 เดือนแรกของปี ภายใต้การดำเนินธุรกิจที่แข็งแกร่ง ในสภาวะตลาดที่ยังผันผวนสูง ในสถานการณ์ที่ยังมีการแพร่ระบาดของโควิด จากการมองตลาดเร็วและพร้อมปรับตัวเร็วรองรับทุกสถานการณ์  แสนสิริจึงพร้อม Speed to Market ด้วยการปรับเป้าหมายยอดขายและยอดโอนรองรับการกลับมาของตลาด ก่อนเปิดประเทศและเศรษฐกิจฟื้น สำหรับในไตรมาส 2 แสนสิริ มีแผนการเปิดตัว 7 โครงการใหม่ รวมมูลค่า  4,300 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังเล็งปรับแผนเปิดตัวคอนโดมิเนียมในปีนี้ หลังมองเห็นตลาดที่มีศักยภาพ ในกลุ่มคอนโดพร้อมอยู่ ตอบโจทย์ New Normal ในราคาที่ต้องเข้าถึงได้ในทำเลที่ดี จึงวางแผนเปิดการขายโครงการคอนโด แบรนด์ The Muve (เดอะ มูฟ)  ใน 4 ทำเลย่าน “เกษตร-รัชดา-ราม-บางนา” ในช่วงปลายเดือนพฤษภาคม และมิถุนายนของปีนี้ ซึ่งเป็นคอนโดราคาเริ่มต้นที่ 1.29 ล้านบาท เจาะตลาดคนรุ่นใหม่ทั้งกลุ่มนักศึกษาและ First Jobber ที่มีการวางแผนชีวิตเพื่อพุ่งไปสู่เป้าหมายและไลฟ์สไตล์ที่ไม่หยุดนิ่ง   สำหรับกลยุทธ์การตลาดในช่วงโควิด ทุกโครงการของแสนสิริ ยังพร้อมเปิดให้ลูกค้าเข้าเยี่ยมชมโครงการในรูปแบบ Private Tour ซึ่งมีความปลอดภัยและเป็นส่วนตัวสูง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัยสูงสุดในช่วงโควิด เพียงลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ก่อนเข้าเยี่ยมชมโครงการแบบ Appointment Only เพื่อความมั่นใจของลูกค้าที่จะเข้าเยี่ยมชมโครงการ และเป็นเจ้าของบ้านแสนสิริได้ง่าย  ด้วยการซื้อขายครบทุกช่องทาง ตั้งแต่เลือกซื้อไปจนถึงจอง ด้วย Sansiri Multi-Channel เลือกซื้อและเยี่ยมชมโครงการด้วย Sansiri Virtual Sales Gallery เยี่ยมชมโครงการเสมือนจริงบน www.sansiri.com, แสนสิริ ไลน์ ออฟฟิเชียล นอกจากนี้ แสนสิริใช้กลยุทธ์ ​ Cash flow Strategy จากการบริหารจัดการสต็อคที่อยู่อาศัยที่ดี ทำให้บริษัทมีสต็อกบ้านเดี่ยวเพียงพออีกประมาณ 1,000 ล้านบาท ซึ่งหากสถานการณ์กลับมาฟื้นตัว แสนสิริจะมีที่อยู่อาศัยพร้อมรองรับความต้องการจากลูกค้าได้มากที่สุด แสนสิริยังมียอดขายรอโอน (รวมโครงการร่วมทุน) รองรับการเติบโตระยะยาวในอีก 3 ปี อีกถึง 31,380 ล้านบาท พร้อมสภาพคล่องในมือีกกว่า 15,000 ล้านบาท  สะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางการเงิน แสนสิริมองแง่บวกถึงทิศทางข้างหน้า และต้องปรับตัวให้เร็ว รองรับความต้องการลูกค้าและการกลับมาของตลาด ก่อนเปิดประเทศและเศรษฐกิจเริ่มฟื้น เพื่อพร้อมวิ่งก่อนใคร  
การเคหะฯ ออก 3 มาตรการช่วยลูกค้าเก่า-ใหม่  จัดโปรฯ ลดดอกเบี้ย-ค่างวด ปรับโครงสร้างหนี้

การเคหะฯ ออก 3 มาตรการช่วยลูกค้าเก่า-ใหม่ จัดโปรฯ ลดดอกเบี้ย-ค่างวด ปรับโครงสร้างหนี้

การเคหะแห่งชาติ ออก 3 มาตรการช่วยเหลือลูกค้าเช่าซื้อปัจจุบันและลูกค้าใหม่ เพื่อบรรเทาผลกระทบเศรษฐกิจจากสถานการณ์โควิด-19 พร้อมจัดโปรฯ กระตุ้นยอดขาย ทั้งยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัยให้กับประชาชน   นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (Covid - 19) ในปัจจุบัน ส่งผลให้หลายครอบครัวได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจและประสบปัญหารายรับไม่พอกับรายจ่าย โดย พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มีความห่วงใยประชาชนท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว จึงมอบหมายให้การเคหะแห่งชาติหาแนวทางลดภาระค่าใช้จ่ายด้านที่อยู่อาศัยให้กับลูกค้าเช่าซื้อปัจจุบันและลูกค้าใหม่ของการเคหะแห่งชาติ ด้วยการจัด 3 มาตรการช่วยเหลือลูกค้าเช่าซื้อปัจจุบัน 3 มาตรการช่วยลูกค้า สำหรับมาตรการช่วยเหลือลูกค้าเช่าซื้อปัจจุบัน มี 3 มาตรการ ได้แก่ มาตรการที่ 1​ ลดอัตราดอกเบี้ย การเคหะฯ​ ลดอัตราดอกเบี้ยลูกค้าเช่าซื้อและขยายระยะเวลาผ่อนชำระ มีหลักเกณฑ์เงื่อนไข ดังนี้ 1.ลูกค้าสัญญาเช่าซื้อที่ไม่มีหนี้ค้างชำระ ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อคงเหลือ 6.50% ทุกประเภทสัญญา (สัญญาเช่าซื้อ ประนอมหนี้ ที่ดินส่วนเกินฯ) กรณีสัญญาแนบที่มีอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 6.50% ใช้อัตราดอกเบี้ยเดิม 2.ขยายระยะเวลาสัญญาเช่าซื้อรวมที่ผ่อนมาแล้วเป็นไม่เกิน 30 ปี เมื่อรวมกับอายุผู้เช่าซื้อไม่เกิน 70 ปี กรณีอายุเกิน 70 ปี ให้ใช้ระยะเวลาตามสัญญาเดิม ลูกค้าสามารถเลือกระยะเวลาการผ่อนชำระสั้นกว่าเกณฑ์ที่กำหนดได้ มาตรการที่ 2 ปรับโครงสร้างหนี้ การเคหะฯ ได้มีการปรับโครงสร้างหนี้ลูกค้าเช่าซื้อ ที่มีหนี้ค้างชำระทุกอัตราดอกเบี้ย มีหลักเกณฑ์เงื่อนไข ดังนี้ 1.ลูกค้าที่มีหนี้ค้างชำระที่การเคหะแห่งชาติได้บอกเลิกสัญญาแล้วหรือยังไม่บอกเลิกสัญญา 2.ปรับโครงสร้างหนี้ พร้อมลดอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อคงเหลือ  6.50% ทุกประเภทสัญญา (สัญญาเช่าซื้อ ประนอมหนี้ ที่ดินส่วนเกินฯ) กรณีสัญญามีอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 6.50% ใช้อัตราดอกเบี้ยเดิม 3.ขยายระยะเวลาสัญญารวมที่ผ่อนมาแล้วเป็นไม่เกิน 30 ปี เมื่อรวมกับอายุผู้เช่าซื้อไม่เกิน 70 ปี กรณีอายุเกิน 70 ปี ให้ใช้ระยะเวลาตามสัญญาเดิม ลูกค้าสามารถเลือกระยะเวลาการผ่อนชำระสั้นกว่าเกณฑ์ที่กำหนดได้ มาตรการที่ 3  ให้ส่วนลดค่างวดเช่าซื้อ การเคหะฯ ได้ให้ส่วนลดค่างวดเช่าซื้อ จำนวน 1,000 บาท โดยมีหลักเกณฑ์เงื่อนไข ได้แก่ ให้ส่วนลดลูกค้าเช่าซื้อที่มีอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 6.50% และเป็นลูกค้าเช่าซื้อที่ทำสัญญาเช่าซื้อก่อนวันที่ 1 พฤษภาคม 2564 และต้องชำระค่าเช่าซื้อให้เป็นปัจจุบันโดยไม่มีหนี้ค้างชำระ ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2564 โดยจะได้รับส่วนลดค่าเช่าซื้อจำนวน 1,000 บาท เพียงครั้งเดียว ทั้งนี้ การเคหะฯ​​ จะให้ส่วนลดโดยอัตโนมัติในเดือนกรกฎาคม 2564 กรณีค่างวดเช่าซื้อต่ำกว่า 1,000 บาท ให้ส่วนลดเท่ากับค่างวดเดือนกรกฎาคม 2564 สำหรับวิธีการขอรับสิทธิตามมาตรการช่วยเหลือสำหรับลูกค้าเช่าซื้อปัจจุบัน  เพื่อเป็นการปฏิบัติตามมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม (Social Distancing) ตามมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามนโยบายของรัฐบาลและศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) การเคหะฯ ​จึงจัดให้มีการลงทะเบียนนัดหมาย วันทำสัญญาเช่าซื้อผ่าน Website ของการเคหะฯ ​ www.nha.co.th หรือลงทะเบียนผ่าน Application บน Smart Phone   ทั้งนี้ลูกค้าที่ไม่มี Smart Phone สามารถติดต่อ Call Center 1615 หรือสำนักงานเคหะนครหลวง หรือสำนักงานเคหะจังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศ เพื่อให้ทำการลงทะเบียนนัดหมายแทน สำหรับระยะเวลาลงทะเบียนเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน - 30 พฤศจิกายน 2564  โดยการเคหะฯ จะส่งข้อความ (SMS) แจ้งผลให้ลูกค้าทราบผลการลงทะเบียนนัดหมาย และจะเรียกมาทำสัญญาเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม - 30 ธันวาคม 2564 วันจันทร์ - วันเสาร์ ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์ โดยจะนัดหมายทำสัญญา รอบเช้าตั้งแต่เวลา 09.00 - 12.00 น. จำนวน 10 ราย และรอบบ่าย เวลา 13.00 - 16.00 น. จำนวน 10 ราย ต่อสำนักงานเคหะนครหลวง สำนักงานเคหะจังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศ จัด 3 โปรโมชั่น ลูกค้าใหม่ ส่วนมาตรการให้ความช่วยเหลือกลุ่มลูกค้าใหม่ การเคหะฯ ​ได้กําหนดโปรโมชัน 3 รูปแบบ โดยมีระยะเวลาตั้งแต่ 1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2564 ได้แก่ 1.โปรโมชันดอกเบี้ยเช่าซื้อ 0 % ในปีที่ 1สําหรับลูกค้าที่สถาบันการเงินปฏิเสธสินเชื่อ วางเงินจองเริ่มต้น 99 บาท เฉพาะโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จหรือใกล้แล้วเสร็จ พร้อมส่งมอบภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2564 2.โปรโมชัน  ลดราคา (Shock Price) เฉพาะโครงการบ้านเอื้ออาทร 56 โครงการ ให้ส่วนลดพิเศษประมาณ  5 - 20% ของราคาขายเงินสดเดิม ราคาเริ่มต้น 250,000 - 520,000 บาท จองเพียง 99 บาท 3.โปรโมชันบ้านเช่าราคาพิเศษ สำหรับโครงการบ้านเอื้ออาทรและเคหะชุมชน จำนวน 84 โครงการ โดยมีอัตราค่าเช่าในปีแรก ดังนี้ -บ้านพร้อมที่ดินอัตราค่าเช่า 1,200 บาท/เดือน -ห้องชุดขนาด 30 - 40 ตารางเมตร ชั้น 1-2 อัตราค่าเช่า 1,200 บาท/เดือน ส่วน ชั้น 3 - 5 อัตราค่าเช่า 999 บาท/เดือน -ห้องชุดขนาด 24 ตารางเมตร อัตราค่าเช่า 599 บาท/เดือน   โดยการเคหะฯ ​เป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายในการติดตั้งมิเตอร์ น้ำ - ไฟ และค่าส่วนกลางในปีแรก ทั้งลูกค้าเช่าซื้อปัจจุบันและลูกค้าใหม่สามารถสอบถามรายละเอียดมาตรการช่วยเหลือดังกล่าวได้ที่ Call Center 1615 หรือสำนักงานเคหะนครหลวง สำนักงานเคหะจังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศ
ASW เทรดวันแรกเปิดราคาพุ่งเหนือจอง 20.16%  วางเป้ามาร์เก็ตแคปติดท็อป 10 กลุ่มอสังหาฯ

ASW เทรดวันแรกเปิดราคาพุ่งเหนือจอง 20.16% วางเป้ามาร์เก็ตแคปติดท็อป 10 กลุ่มอสังหาฯ

หุ้น ASW ของ​แอสเซทไวส์ เทรดวันแรก เปิดราคา 11.80 บาท บวกเพิ่มขึ้น 20.16% เทียบราคาไอพีโอ 9.82 บาท/หุ้น บิ๊กบอส "กรมเชษฐ์” พร้อมเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ตามแผนปีละ 5-7 โครงการ ปั้นผลงานเติบโตต่อเนื่องปีละกว่า 20% หนุนผลงานสร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง หวังติดท็อป 10 มาร์เก็ตแคปติดของกลุ่มอสังหาฯ   นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์  จำกัด (มหาชน) (ASW) เปิดเผยว่า ในวันนี้ (วันที่ 28 เมษายน 2564 ) หุ้น ASW ของบริษัทได้ทำการเปิดการซื้อขาย​ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นวันแรก ปรากฏว่าสามารถเปิดตลาดยืนเหนือราคาจองซื้อที่ราคา 11.80 บาท เพิ่มขึ้น หรือ 20.16 % เทียบราคาไอพีโอ 9.82 บาท/หุ้น  ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่มีต่อบริษัทฯ ในฐานะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่มีการเติบโตของรายได้และกำไรอย่างแข็งแกร่ง มีอัตราการทำกำไรขั้นต้น (ย้อนหลัง 3 ปี ) อยู่ในระดับสูง 30.7- 44.2%  จากควบคุมต้นทุนการดำเนินงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้การบริหารงานของทีมงานที่มีประสบการณ์มายาวนานกว่า 16 ปี ทำให้มีความเข้าใจในตลาดและออกโปรดักส์ได้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคในทุกเซกเมนต์   โดยเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทเตรียมนำไปใช้สำหรับพัฒนาโครงการระหว่างปี 2564-2567 รวมไปถึงคืนเงินกู้สถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ทั้งนี้ บริษัทมีโครงการในอนาคตพร้อมพัฒนาและขายใน 4-5 ปีข้างหน้าจำนวน 11 โครงการมูลค่า 21,202 ล้านบาท โดยในปีนี้มีแผนเปิดตัว 6 โครงการมูลค่า 10,850 ล้านบาท ซึ่งแต่ละปีวางแผนจะเปิดโครงการใหม่ประมาณ 5-7 โครงการ ในทำเลกรุงเทพฯ เป็นหลัก สำหรับแนวโน้มการเติบโต บริษัทวางเป้าหมายการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากผลการดำเนินงานที่ผ่านมา บริษัทสามารถดำเนินงานเติบโตไม่ต่ำกว่าปีละ 20% จึงวางเป้าหมายการเติบโตในอนาคตไม่ต่ำกว่าผลการดำเนินงานที่ผ่านมา ด้วยกลยุทธ์การดำเนินงานเน้นใน 3 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.การบริหารงานที่มีความยืดหยุ่น (Dynamic) 2.การมีแบรนด์สินค้าหลากหลาย จับกลุ่มเป้หมายหลายกลุ่ม และหลายระดับราคา และ 3.การกระจายทำเลไปยังหลายพื้นที่เพิ่มมากขึ้น เช่น จังหวัดชลบุรี รวมถึงการพัฒนาสินค้าหลายรูปแบบ ทั้งโครงการคอนโดไฮไลส์ คอนโดโรว์ไรส์  และโครงการแนวราบ ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์การกระจายความเสี่ยงอย่างหนึ่ง   โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) 5,302 ล้านบาท และปีนี้จะมีโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จอีกกว่า 6,000 ล้านบาท ปัจจุบันยังมีโครงการอยู่ระหว่างการก่อสร้างและเปิดการขายรวม 8 โครงการ มูลค่า 11,377 ล้านบาท และโครงการในอนาคตอีก 11 โครงการ มูลค่า 21,202 ล้านบาท   อย่างไรก็ตาม จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบัน บริษัทได้หันมาทำการตลาดและการขาย  ด้วยการเน้นช่องทางออนไลน์ ซึ่งได้ปรับตัวมาตั้งแต่การแพร่ระบาดในรอบแรก ซึ่งแนวทางการทำตลาดและการขายในปีนี้ บริษัทเน้นการจัดทำโปรโมชั่น และรายการส่งเสริมการขาย ทั้งในส่วนของแพ็กเกจห้องพักตกแต่งพร้อมเข้าอยู่ การได้รับสิทธิประโยชน์จากมาตรการภาครัฐ รวมถึงการพัฒนาโครงการในระดับราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ซึ่งเป็นราคาที่ยังมีความต้องการ นอกจากนี้ ยังเน้นการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในยุคโควิด-19 ด้วย ​ นายกรมเชษฐ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันคาดหวังให้รัฐบาล มีมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ใน 2 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.การขยายฐานกลุ่มราคาที่อยู่อาศัยในระดับราคา 5-10 ล้านบาท จากปัจจุบันที่อยู่อาศัยที่จะได้รับสิทธิประโยชน์จากมาตรการของภาครัฐ คือ ระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท และ 2.อยากให้รัฐบาลจัดตั้งกองทุนเงินสนับสนุนการพัฒนาโครงการ สำหรับผู้ประกอบการรายเล็ก โดยผ่านสถาบันการเงิน เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการรายเล็ก มีความสามารถทางด้านการแข่งขัน และพัฒนาโครงการให้สอดคล้องกับกลไกลตลาดอสังหาฯ ได้เพิ่มมากขึ้น   ในอนาคต ASW มีเป้าหมายสู่การเป็นบริษัทที่มีมาร์เก็ตแคป ติดอันดับ 1 ใน 10 ของหุ้นกลุ่มอสังหาฯที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้านนางศิริพร เหล่ารัตนกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการ  บริษัท ที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินกล่าวว่า การเข้าเทรดในวันแรกได้รับการตอบรับอย่างคึกคัก ส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยพื้นฐานที่มีความแข็งแกร่งของบริษัทฯ และการกำหนดราคาขายหุ้นไอพีโอที่มีความเหมาะสม ซึ่งในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน มีความภูมิใจอย่างยิ่ง และถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของบริษัทฯ ที่จะสามารถนำเงินที่ได้รับจากการระดมทุนในครั้งนี้ไปต่อยอดธุรกิจ สร้างความแข็งแกร่งพร้อมทั้งผลักดันการเติบโตให้เป็นไปตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ รวมทั้งเชื่อว่า ASW จะเป็นหุ้นที่มีความน่าสนใจ และจะสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุนได้ในอนาคต
ดีเวลลอปเปอร์งัดแคมเปญ “ช่วยผ่อน” กระตุ้นยอดขายอสังหาฯ สู้พิษโควิด-19

ดีเวลลอปเปอร์งัดแคมเปญ “ช่วยผ่อน” กระตุ้นยอดขายอสังหาฯ สู้พิษโควิด-19

ดีเวลลอปเปอร์งัดแคมเปญ "ช่วยผ่อน" กระตุ้นยอดขายอสังหาฯ สู้พิษโควิด-19  LPN จัดหนักอัดโปรช่วยผ่อน 60 เดือน ขน 11 โครงการสร้างยอด 1,000 ล้าน หวังกระตุ้นยอดขายไตรมาส 3 หลังโควิดระรอก 3 ยังระบาดหนัก   ​เชื่ออีก 5 ปีสถานการณ์คลี่คลาย​   สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ครั้งนี้ ถือว่ารุนแรงที่สุด นับตั้งแต่ประเทศไทยต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดครั้งแรกในช่วงต้นปี 2563 ด้วยจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่รายวัน  ซึ่งมีจำนวนมากกว่า 2,000 คนต่อวันต่อเนื่องกันหลายวัน และมีผู้เสียชีวิตสะสมมากกว่า 100 คนด้วย แม้ว่าจะตัวเลขดังกล่าวเมื่อเทียบกับหลายประเทศในโลก เมืองไทยเรายังถือว่าดีกว่ามาก แต่หากเปรียบเทียบกับผลงานการบริหารจัดการที่ผ่านมา ในครั้งนี้ถือว่ารุนแรงที่สุดแล้ว   แน่นอน สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ได้เพิ่มระดับความรุนแรงของผลกระทบ ต่อวิถีชีวิตและการดำเนินธุรกิจต่าง ๆ ภายในประเทศไทยเป็นอย่างมาก ความมั่นใจในการดำเนินชีวิตและธุรกิจลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง ตราบใดที่การฉีดวัคซีนยังไม่ทั่วถึงและเป็นไปอย่างช้า ไม่ทันกับสถานการณ์และความรุนแรงที่เกิดขึ้น  อย่างไรก็ตาม ชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไป และธุรกิจก็ต้องขับเคลื่อนไปข้างหน้า ภายใต้วิถีชีวิตปกติใหม่ และการปรับตัวให้อยู่รอดให้ได้ภายใต้ภาวะวิกฤตที่เกิดขึ้น แคมเปญ “อยู่ฟรี” กระตุ้นยอดขาย  สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ได้รับผลกระทบไม่ต่างจากหลายธุรกิจ ก็ต้องใช้ความพยายามและปรับตัวให้สอดรับกับผลกระทบที่เกิดขึ้น ในระยะแรกของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น สิ่งที่ดีเวลลอปเปอร์ปรับตัวและทำเป็นสิ่งแรก คือ การหยุดเปิดตัวโครงการใหม่ หันมาระบายสต็อกสินค้าในมือ เพื่อสร้างกระแสเงินสด โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม เพราะเป็นโครงการที่ต้องใช้ระยะเวลานานนับปีกว่าจะสามารถคืนทุน ต่างจากโครงการแนวราบ ที่คืนทุนได้เร็วกว่า และสอดคล้องกับพฤติกรรมของคนยุคโควิด-19 ที่ต้องการพักอาศัยและใช้พื้นที่ของบ้านมากขึ้น ดีเวลลอปเปอร์จึงหันมาเน้นการขายโครงการแนวราบแทน   นอกจากนี้ ยังกระตุ้นดีมานด์และแรงจูงใจในการให้ผู้คนที่ต้องการซื้อบ้าน ออกมาจับจ่ายใช้สอย ในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว ด้วยแรงโปรโมชั่นสารพัด โดยเฉพาะการให้ลูกค้าอยู่ฟรี หรือการช่วยผ่อนค่างวดกับสถาบันการเงินแทนลูกค้า ซึ่งหลังจากเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กลุ่มแสนสิริ ถือเป็นดีเวลลอปเปอร์รายแรก ๆ ที่นำกลยุทธ์นี้มาใช้กระตุ้นยอดขาย นอกเหนือจากการลด แลก แจก แถม ที่ให้เป็นปกติแล้ว แม้ว่าการให้อยู่ฟรี หรือ การช่วยผ่อนค่างวดกับสถาบันการเงินจะไม่ใช่กลยุทธ์ใหม่ เพราะดีเวลลอปเปอร์หลายรายได้ใช้แคมเปญนี้มาก่อนหน้าแล้ว ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มออริจิ้น กลุ่มเมเจอร์ดีเวลลอปเม้นท์ แต่ถือว่าภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่กำลังซื้อชะลอตัวและความเชื่อมั่นลดลง ก็นับว่าเป็นกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จและได้รับความสนใจจากลูกค้าจำนวนมาก  เห็นได้จากการปล่อยแคมเปญ แสนสิริผ่อนให้​ 24 เดือน ของค่ายแสนสิริที่ทำออกมาหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก “ริชชี่” จัดให้อยู่ฟรี 60 เดือน หลังจากนั้น บรรดาดีเวลลอปเปอร์รายอื่น ๆ ก็เดินตามทางเดียวกันกับกลุ่มแสนสิริ ด้วยการออกแคมเปญการอยู่ฟรี หรือผ่อนชำระค่างวดกับสถาบันการเงินให้ลูกค้า เป็นระยะเวลาตั้งแต่ 1-3 ปี เพราะประเมินว่ากว่า เศรษฐกิจจะกลับมาเติบโตดีเหมือนก่อนหน้าที่จะเกิดโควิด-19 น่าจะใช้ระยะเวลา 2-3 ปี  ซึ่งจะทำให้ลูกค้ากลับมามีกำลังซื้อและเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจเหมือนเดิม การจัดแคมเปญที่ทำให้ลูกค้าสามารถซื้อสินค้าได้โดยยังไม่ต้องจ่ายเงินในวันนี้ หรือจ่ายน้อยที่สุด ถือเป็นวิธีที่ถูกใจผู้บริโภค และตรงกับความต้องการของพวกเขามากที่สุด โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีความต้องการจะซื้อที่อยู่อาศัย หรือวางแผนไว้แล้ว แต่ยังคงลังเลใจกับภาวะความไม่แน่นอนของสถาการณ์ที่เกิดขึ้น   ระยะเวลาที่ดีเวลลอปเปอร์ช่วยผ่อนชำระค่าบ้าน กับสถาบันการเงินให้ลูกค้าก่อน  ช่วงที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะมีระยะเวลาประมาณ 12-36 เดือน แต่มีเพียงรายเดียวที่จัดแคมเปญให้ลูกค้าอยู่ฟรีมากที่สุดถึง 60 เดือน หรือ 5 ปี คือ บริษัท ริชี่เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) หรือ RICHY โดยจัดแคมเปญชื่อว่า  RICHY Double Choice ด้วยการนำ 10 โครงการมาจัดแคมเปญ ทั้งโครงการคอนโดมิเนียมแนวสูง และ ทาวน์โฮม อาทิ The Rich เอกมัย, The Rich เพลินจิต-นานา, The Rich สาทร-ตากสิน, Rich Park @ทริปเปิ้ลสเตชั่น ศรีนครินทร์, Rich Point @BTS วุฒากาศ และ The Rich BizHome สุขุมวิท 101 เป็นต้น ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับที่ดี จนสามารถปิดการขายได้หลายโครงการ LPN ขน 11 โครงการช่วยผ่อน 60 เดือน สำหรับการแพร่ระบาดโควิด-19 ระรอก 3 นี้ กลยุทธ์ที่ดีเวลลอปเปอร์ยังคงนำมาใช้เป็นเครื่องมือทางการตลาด ยังคงเป็นการช่วยลูกค้าผ่อนชำระค่างวดกับสถาบันการเงิน หรือการอยู่ฟรี ซึ่งยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ค่ายแอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ ได้เปิดตัวแคมเปญ “ช่วยผ่อนนานสูงสุด...5 ปี” พร้อมฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน เพื่อแบ่งเบาภาระการผ่อนบ้าน โดยบริษัทช่วยผ่อนค่างวดบ้านในช่วง 5 ปีแรกให้กับลูกค้า สูงสุดเดือนละ 13,000 บาท เมื่อซื้อห้องชุดกับคอนโดมิเนียมทั้ง 11 โครงการที่เข้าร่วมแคมเปญ อาทิ 1.โครงการลุมพินี ซีวิว ชะอำ แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 26 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 1.38 ล้านบาท  2. ลุมพินี พาร์ค เพชรเกษม 98 แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 26 ตร.ม.ราคาเริ่มต้น 1.44 ล้านบาท  และ3. ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า - ริเวอร์วิว แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 26 ตร.ม.ราคาเริ่มต้น 1.58 ล้านบาท   นางปนัดดา ขจรศิลป์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)(LPN) เปิดเผยว่า  สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19​ ระลอกใหม่​ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นใจของผู้ซื้อบ้านต่อรายได้ในอนาคต ในขณะที่ยังมีความต้องการซื้อบ้านเพื่อการอยู่อาศัย ซึ่งบริษัทช่วยแบ่งเบาภาระการผ่อนบ้าน ในช่วง 5 ปีแรก  เพราะเชื่อว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 น่าจะคลี่คลายแล้ว และเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นยอดขายของบริษัทในไตรมาสสองของปี 2564 โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้ 1,000 ล้านบาท จากแคมเปญนี้   โดยลูกค้าสามารถเลือกได้ว่าจะให้ LPN ช่วยผ่อน ตั้งแต่ระยะเวลา 30 เดือน ช่วยผ่อนสูงสุดเดือนละ 13,000 บาท ระยะเวลา 40 เดือน ช่วยผ่อนสูงสุดเดือนละ 9,750 บาท ระยะเวลา 50 เดือน ช่วยผ่อนสูงสุดเดือนละ 7,800 บาท หรือระยะเวลา 60 เดือน  ช่วยผ่อนสูงสุดเดือนละ 6,500 บาท เริ่มตั้งแต่วันนี้ ถึง 15 พ.ค.2564 ในขณะเดียวกันแคมเปญดังกล่าวยังมอบส่วนลดสูงสุดถึง 35% ราคาพิเศษเริ่มต้นที่ 1.38 ล้านบาท และฟรีค่าใช้จ่ายวันโอนสูงสุด 120,000 บาทด้วย เชื่อว่ายังจะมีดีเวลลอปเปอร์อีกหลายราย ที่เตรียมจัดแคมเปญการตลาดออกมา เพื่อเรียกยอดขายและกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้นกว่านี้ หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงระบาดเพิ่มมากขึ้น มีจำนวนตัวเลขผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเสียชีวิตที่มีจำนวนสะสมมากกว่านี้ กำลังซื้อและความเชื่อมั่นของประชาชนส่วนใหญ่ ยังคงไม่กลับมาได้อย่างรวดเร็ว   แต่หากมีการฉีดวัคซีนจำนวนมาก และดำเนินการอย่างรวดเร็ว รวมถึงประสิทธิภาพของวัคซีนใช้ได้ผลดี และรัฐบาลจัดการปัญหาการแพร่ระบาดต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เชื่อมั่นว่าโปรโมชั่นทางการตลาดอาจจะไม่ได้รุนแรงไปกว่านี้แล้ว แต่ทั้งนี้ก็คงขึ้นอยู่กับภาวะเศรษฐกิจโดยรวมด้วย ว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้รวดเร็วแค่ไหน ซึ่งคงต้องรอดูฝีมือการบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้กันต่อไป ​       ​​​
เช็คให้ชัวร์ !! ซื้อบ้านใหม่ vs สร้างบ้านเอง แบบไหนเหมาะกับคุณ?

เช็คให้ชัวร์ !! ซื้อบ้านใหม่ vs สร้างบ้านเอง แบบไหนเหมาะกับคุณ?

การมีบ้านเป็นของตัวเองถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายและความภาคภูมิใจในชีวิตของผู้บริโภคส่วนใหญ่ นอกจากจะมีคุณค่าทางจิตใจ เมื่อสร้างครอบครัวแล้ว การได้พักผ่อนในบ้านที่เพียบพร้อมโดนใจยังเปรียบเสมือนเป็นรางวัลตอบแทนจากการทำงาน นอกจากนี้อสังหาริมทรัพย์ถือเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าสามารถต่อยอดในอนาคตได้นอกเหนือจากการอยู่อาศัยอีกด้วย    แม้สภาพเศรษฐกิจปัจจุบันจะส่งผลให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ ยังคงชะลอการใช้จ่ายเพื่อรอดูสถานการณ์ในอนาคต แต่ถือว่ายังพอมีสัญญาณบวกให้เห็น จากข้อมูลเรื่องดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยรวมในเดือนมีนาคม 2564 ที่ผ่านมาของกระทรวงพาณิชย์ ที่พบว่า  มีการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง มาอยู่ที่ระดับ 47.5 จากระดับ 45.5 ในเดือนก่อนหน้า ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบันและในอนาคต (ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 40.2 และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในอนาคตอยู่ที่ระดับ 52.3) แสดงให้เห็นแนวโน้มกำลังซื้อของผู้บริโภคที่คาดว่าจะกลับมาในไม่ช้าเมื่อเศรษฐกิจปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น ขนาดและทำเล ปัจจัยเลือกซื้อบ้านคนยุคปัจจุบัน ข้อมูลจากผลสำรวจ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study พบว่า ผู้บริโภคชาวไทยให้ความสำคัญกับการเลือกซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัย โดยพิจารณาจากเรื่องเหล่านี้ -ขนาดที่อยู่อาศัยให้ความสำคัญ 48% -สิ่งอำนวยความสะดวก 44% -ความคุ้มค่าในการใช้จ่าย โดยพิจารณาจากราคาเฉลี่ยต่อพื้นที่ใช้สอย 38%   ในขณะที่ปัจจัยภายนอกโครงการที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยนั้นให้ความสำคัญกับเรื่องต่าง ๆ ดังนี้ -ทำเลที่ตั้งให้ความสำคัญ 54% -ความสะดวกสบายจากการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ 50% -ความปลอดภัยในโครงการ 45% จะเห็นได้ว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ ยังคงให้ความสนใจไปที่การตอบโจทย์การอยู่อาศัยที่ครบครันเป็นหลัก มากกว่าความสวยงาม โดยเฉพาะเรื่องทำเลที่ตั้ง และระบบขนส่งสาธารณะที่เป็นสองอันดับแรกที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญสูงสุด ซื้อบ้านใหม่ vs  สร้างบ้านเอง​ อย่างไหนเหมาะกับคุณ อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งปัจจัยที่มีความสำคัญในการอยู่อาศัยไม่แพ้กัน คือ ความปลอดภัยของที่อยู่อาศัย แม้เหตุผลที่หลายคนตัดสินใจเลือกซื้อบ้านใหม่จากโครงการบ้านจัดสรรเพราะต้องการความครบครันพร้อมอยู่อาศัยอย่างเบ็ดเสร็จ และประหยัดเวลาในการใช้ชีวิตหลาย ๆ ด้าน แต่ต้องไม่ลืมว่า “การเลือกซื้อบ้านใหม่” นั้น ผู้อยู่อาศัยจริงไม่ได้มีบทบาทในการวางระบบความปลอดภัยตั้งแต่ขั้นตอนการก่อสร้าง แล้วจะมั่นใจได้อย่างไรว่าบ้านใหม่ที่ซื้อมาตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้เพียงพอ ในขณะที่การจะตัดสินใจ “สร้างบ้านเอง” ก็มีความกังวลในเรื่องการควบคุมคุณภาพการก่อสร้างและการประสานงานกับผู้รับเหมา แล้วการมีบ้านหลังใหม่ในรูปแบบไหนที่เหมาะกับคุณมากกว่า   ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์  ได้นำเสนอข้อควรพิจารณาระหว่างการ “ซื้อบ้านใหม่” และ “สร้างบ้านเอง” เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้บริโภคที่ต้องการมีบ้านสามารถตัดสินใจเลือกบ้านที่ตรงใจและครอบคลุมทุกความต้องการของคนในครอบครัวได้มากที่สุด ข้อดี การซื้อบ้านใหม่  -ได้บ้านใหม่พร้อมเข้าอยู่ ควบคุมค่าใช้จ่ายได้ง่ายกว่า การเลือกซื้อบ้านในโครงการใหม่จะมีราคาที่แน่นอน ซึ่งเป็นราคาที่ทางโครงการได้คำนวณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าจะเป็นค่าที่ดิน ค่าก่อสร้าง ค่าบริหารจัดการต่าง ๆ รวมทั้งค่าใช้จ่ายด้านการขายและการตลาด ดังนั้นบ้านจัดสรรจึงค่อนข้างมีราคาที่ชัดเจนพอสมควร ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถวางแผนงบประมาณเพิ่มเติมในส่วนการตกแต่งภายในหรือค่าเฟอร์นิเจอร์ได้ง่ายขึ้น ต่างจากการสร้างบ้านเองที่ต้องมีการวางแผนค่าใช้จ่ายตั้งแต่ขั้นตอนการจ้างสถาปนิกเขียนแบบ จนกระทั่งการเลือกผู้รับเหมา นอกจากนี้ข้อดีของการซื้อบ้านจากผู้พัฒนาอสังหาฯ คือ เจ้าของบ้านไม่ต้องเหนื่อยมาลงแรงเองในขั้นตอนการก่อสร้างหรือคุมงาน ปล่อยให้เป็นความรับผิดชอบของผู้พัฒนาอสังหาฯ ได้โดยตรง -ยื่นขอสินเชื่อได้ง่ายกว่า มาพร้อมโปรฯ ดึงดูดใจ การยื่นขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านในโครงการใหม่มักมีข้อเสนอที่ดึงดูดความสนใจมากกว่า เนื่องจากผู้พัฒนาอสังหาฯ มักจะมีการจับมือกับพันธมิตรที่เป็นธนาคารและสถาบันการเงินต่าง ๆ ในการจัดทำโปรโมชั่น/แคมเปญการตลาดมานำเสนออย่างต่อเนื่องเพื่อกระตุ้นยอดขายและดึงดูดกำลังซื้อของผู้บริโภคให้กลับมา เมื่อผนวกกับมาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ของรัฐบาลที่ให้ความสำคัญไปที่การซื้อบ้านใหม่จากผู้พัฒนาอสังหาฯ เท่านั้น จึงทำให้การซื้อบ้านใหม่ในโครงการต่าง ๆ เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจยิ่งขึ้นในช่วงนี้ มีความสะดวกสบายในขั้นตอนการดำเนินธุรกรรมและยื่นเอกสารขอสินเชื่อต่าง ๆ ซึ่งมีโอกาสกู้ได้วงเงินที่สูงกว่าด้วย -พื้นที่ส่วนกลางตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ อุ่นใจด้วยเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย พื้นที่ส่วนกลางของหมู่บ้านจัดสรรส่วนใหญ่ได้รับการออกแบบให้รองรับการทำกิจกรรมที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยทุก Generation ทั้งในด้านการพบปะสังสรรค์หรือเป็นพื้นที่สร้างสรรค์สุขภาพ ไม่ว่าจะเป็นโซนพักผ่อนหย่อนใจในสวนสาธารณะเน้นใกล้ชิดธรรมชาติที่นอกจากจะได้ความร่มรื่นจากต้นไม้แล้วยังช่วยกรองมลพิษอีกด้วย หรือการมีห้องฟิตเนส สระว่ายน้ำ และพื้นที่ออกกำลังกายกลางแจ้งเพื่อสร้างสุขภาพที่ยั่งยืน นอกจากนี้ โครงการหมู่บ้านจัดสรรยังมีระบบดูแลรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวด โดยมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย (รปภ.) ที่คอยตรวจตราความสงบเรียบร้อย คัดกรองและบันทึกข้อมูลการเข้า-ออกของบุคคลภายนอก และมีการติดตั้งกล้องวงจรปิดทั่วบริเวณโครงการ ซึ่งช่วยให้ลูกบ้านมีความมั่นใจเมื่ออยู่อาศัยหรือทำกิจกรรมต่าง ๆ ในหมู่บ้านมากขึ้น ข้อเสีย การซื้อบ้านใหม่  -ขยับขยายพื้นที่ลำบาก บ้านจัดสรรในโครงการต่าง ๆ มักจะมีการออกแบบแปลนบ้านมาตรฐานไว้อยู่แล้ว และในโครงการหนึ่งมักจะมีเพียงไม่กี่รูปแบบให้เลือก แน่นอนว่าย่อมไม่สามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยของทุกครอบครัวได้อย่างครบถ้วน เพราะไม่ได้ออกแบบโดยคำนึงถึงการใช้งานจริงของครอบครัวนั้น ๆ โดยเฉพาะ นอกจากนี้เมื่อมีแผนขยายครอบครัวในอนาคตหากคิดจะขยับขยายหรือต่อเติมพื้นที่ใช้สอยเพิ่มก็เป็นเรื่องที่ลำบากและต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วน เพราะที่ดินมีพื้นที่จำกัดและการต่อเติมต้องคำนึงถึงข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องเพื่อไม่ให้ละเมิดสิทธิของเพื่อนบ้าน รวมทั้งต้องตรวจสอบข้อตกลง/ข้อกำหนดของโครงการบ้านจัดสรรที่ได้บัญญัติไว้อีกด้วย เช่น ห้ามตกแต่ง ต่อเติม ขยายรั้วนอกที่ดิน หรือทาสีฉูดฉาดภายในระยะเวลาที่กำหนด -วัดดวงกับนิติบุคคล และเพื่อนบ้านในอนาคต โครงการบ้านจัดสรรจะมีนิติบุคคลเป็นตัวแทนหมู่บ้านคอยจัดประชุมตามวาระต่าง ๆ รักษาความสงบเรียบร้อยในการใช้งานทรัพย์สินส่วนกลาง และควบคุมการบังคับใช้กฎระเบียบของสมาชิกในหมู่บ้านเพื่อสร้างสังคมที่อยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข จึงถือว่ามีบทบาทสำคัญและส่งผลต่อการอยู่อาศัยไม่น้อย หากเป็นโครงการอสังหาฯ จากผู้ประกอบการรายกลางหรือรายเล็กอาจมีการคัดเลือกทีมนิติบุคคลจากผู้อยู่อาศัยขึ้นมาเป็นตัวแทนในการดูแลบริหารจัดการเรื่องต่าง ๆ แทนลูกบ้าน ซึ่งอาจจะไม่มีประสบการณ์บริการจัดการปัญหาอย่างเป็นระบบได้เทียบเท่าบริษัทรับบริหารนิติบุคคลมืออาชีพแน่นอน   นอกจากนี้ การเลือกซื้อบ้านใหม่ในโครงการบ้านจัดสรรจะไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเพื่อนบ้านที่ย้ายเข้ามาใหม่จะมีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตอย่างไร หากต้องเผชิญปัญหากระทบกระทั่งระหว่างเพื่อนบ้านที่ไม่สามารถตกลงกันได้ก็ถือเป็นเรื่องที่น่าปวดหัวไม่น้อย ถ้านิติบุคคลไม่มีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการปัญหาให้จบด้วยดีได้ ก็เป็นอีกความท้าทายที่หลายคนไม่อยากเผชิญแน่นอน ข้อดี การสร้างบ้านเอง -ได้บ้านตรงตามอุดมคติ ออกแบบได้ในสไตล์ที่ถูกใจ การสร้างบ้านเองช่วยให้ผู้อยู่อาศัยมีความผูกพันกับบ้านและเพิ่มความภูมิใจเมื่อเป็นเจ้าของมากขึ้น เนื่องจากได้มีส่วนร่วมด้วยตนเองตั้งแต่การออกแบบบ้านในฝันออกมาเป็นรูปเป็นร่างเพื่อให้สถาปนิกเขียนแบบแปลน การเลือกออกแบบในสไตล์ที่ชอบ การคัดสรรวัสดุที่ใช้ รวมไปถึงเลือกผู้รับเหมาด้วยตัวเอง สามารถวางแผนตกแต่งในสไตล์ที่ชอบได้ตั้งแต่แรก ซึ่งจะลดปัญหาค่าใช้จ่ายในการรีโนเวทที่ตามมาในภายหลังได้ นอกจากผู้บริโภคที่สนใจสร้างบ้านเองจะได้บ้านใหม่ตรงตามที่วาดฝันและแน่นอนว่าบ้านนี้จะตอบโจทย์การอยู่อาศัยและไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างของสมาชิกในครอบครัวได้ครบถ้วนที่สุด -ได้บ้านในทำเลที่โดนใจ ท่ามกลางเพื่อนบ้านที่รู้ใจ ทำเลที่ตั้งของที่อยู่อาศัยมีผลต่อการตัดสินใจซื้อไม่น้อย แม้หลายโครงการบ้านจัดสรรจะมีระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันแต่หากอยู่ในทำเลที่ไม่ดี เดินทางไม่สะดวกก็ถือว่าไม่ตอบโจทย์มากพอ เมื่อเมืองหลวงและหัวเมืองใหญ่มีการพัฒนาความเจริญในหลายด้านย่อมทำให้ทำเลทองบางแห่งมีราคาสูงตามไปด้วย หรือทำเลที่ดีบางแห่งอาจมีขนาดพื้นที่ไม่เพียงพอที่จะพัฒนาเป็นโครงการอสังหาฯ ขนาดใหญ่ ดังนั้นการที่ผู้บริโภคเลือกที่จะซื้อที่ดินในทำเลที่ดีและเป็นมงคลตามความเชื่อมาเก็บไว้ก่อนที่จะดำเนินการปลูกสร้างที่อยู่อาศัยในอนาคตจึงเป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ เนื่องจากที่ดินจะมีมูลค่าเพิ่มเรื่อย ๆ แม้จะเก็บไว้เป็นเวลานาน นอกจากนี้การสร้างบ้านในที่ดินตนเองทำให้รู้ว่าเพื่อนบ้านของเราเป็นใครบ้าง มีอุปนิสัยหรือประกอบอาชีพอะไร เพื่อประเมินสถานการณ์เบื้องต้นที่อาจเกิดขึ้นเมื่อย้ายเข้ามาอยู่อาศัย หรือหากใครมีที่ดินเปล่าในบริเวณใกล้เคียงกับบ้านญาติพี่น้องก็ถือเป็นข้อดี เพราะเมื่อก่อสร้างบ้านในที่ดินนั้นก็จะยิ่งเพิ่มความสบายใจและอุ่นใจ เมื่อได้อาศัยท่ามกลางเพื่อนบ้านที่คุ้นเคยกัน -ควบคุมคุณภาพบ้าน อัพเกรดความปลอดภัยได้ตามใจสั่ง การเลือกสร้างบ้านเองนั้นผู้บริโภคจะสามารถเลือกวัสดุที่ใช้เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้บ้านได้ด้วยตนเองได้ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่งานโครงสร้างจนถึงงานสถาปัตย์ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้วัสดุที่มีค่าการต้านทานความร้อนสูง มีคุณสมบัติทนไฟ หรือเสริมระบบป้องกันปลวก เพื่อป้องกันปัญหาที่จะตามมาหรือเหตุไม่คาดฝันในอนาคต แม้แต่บ้านที่อยู่ในทำเลที่มีความเสี่ยงในการเกิดภัยพิบัติต่าง ๆ ก็สามารถเลือกใช้การก่อสร้างแบบใหม่ที่ช่วยให้บ้านแข็งแรงยิ่งขึ้นและทนต่อการเกิดแผ่นดินไหวได้อีกด้วย นอกจากนี้ผู้อยู่อาศัยยังเลือกใช้เทคโนโลยีมาช่วยวางระบบความปลอดภัยในบ้านผ่านการติดตั้งกล้องวงจรปิด ระบบดักจับควัน ระบบดักจับการเคลื่อนไหวในบ้านเพิ่มเติมได้ แม้จะมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นตามระดับความปลอดภัยที่ได้รับเพิ่ม แต่จะช่วยให้เจ้าของบ้านอุ่นใจว่าได้เสริมเกราะป้องกันให้บ้านปลอดภัยและสามารถรับมือกับภัยธรรมชาติและการโจรกรรมที่ไม่คาดคิดได้ดีขึ้นอีกระดับ ข้อเสีย การสร้างบ้านเอง -เสี่ยงดวงกับผู้รับเหมา ต้องมีความรู้เรื่องก่อสร้าง การจ้างผู้รับเหมาถือเป็นความท้าทายอันดับต้น ๆ ของคนสร้างบ้าน เพราะไม่มีอะไรมาการันตีได้ว่างานที่ได้จะออกมามีคุณภาพตามที่คิดหรือไม่ เนื่องจากการอ่านรีวิวสร้างบ้านตามสื่อต่าง ๆ อาจไม่สามารถนำมาวัดผลหน้างานจริงได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือเมื่อเกิดปัญหาจุกจิกระหว่างการก่อสร้าง เจ้าของบ้านจะเรียกร้องให้ช่างแก้ไขได้มากน้อยเพียงใด หากเจ้าของบ้านไม่มีความรู้เลยก็อาจเสียเปรียบหรือโดนหลอกโกงสเปกวัสดุได้ง่าย ๆ งานที่ได้อาจไม่มีคุณภาพมากเพียงพอเท่าราคาที่เสียไป ดังนั้นผู้บริโภคจึงควรหมั่นศึกษาหาความรู้พื้นฐานเรื่องการก่อสร้างอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นแนวทางในตรวจเช็กเอกสาร สเปกวัสดุ ตรวจสอบค่าใช้จ่ายในเอกสารแสดงรายการวัสดุและค่าใช้จ่าย (Bill of Quantities หรือ BOQ) เพื่อป้องกันการเสียรู้ให้ผู้รับเหมาในเบื้องต้น และต้องตกลงรายละเอียดงานและสัญญาว่าจ้างให้ชัดเจนเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดในภายหลัง -เสี่ยงงบบานปลาย ต้องวางแผนการเงินอย่างดี การเลือกสร้างบ้านเองนั้นแม้จะได้บ้านที่ถูกใจมากกว่า แต่แน่นอนว่าย่อมแลกกับการที่ต้องมีค่าใช้จ่ายที่มากขึ้นทั้งในส่วนค่าที่ดิน ค่าออกแบบแปลน ค่าสถาปนิก ค่าวัสดุก่อสร้าง ค่าแรงผู้รับเหมา รวมถึงค่าตกแต่งเพื่อความสวยงาม หากผู้บริโภคไม่มีประสบการณ์ในการรับมือปัญหาเหล่านี้ หรือไม่มีการวางแผนทางการเงินที่รัดกุมเพียงพออาจนำไปสู่ปัญหางบบานปลาย คุมค่าใช้จ่ายไม่อยู่ เนื่องจากค่าวัสดุอุปกรณ์มีการปรับเปลี่ยนตามเกรดและอาจมีการเบิกค่าใช้จ่ายที่ผู้รับเหมาไม่ได้แจ้งล่วงหน้า หากไม่กำหนดเพดานค่าใช้จ่ายที่ชัดเจนหรือสำรองเงินไว้เพียงพอ อาจเกิดปัญหาในภายหลังได้ ดังนั้น การเลือกทำบัญชีรายรับ–รายจ่ายเพื่อบันทึกค่าใช้จ่ายทั้งหมดตั้งแต่วางแผนมีบ้านจนเริ่มก่อสร้าง และอัพเดตงบประมาณที่ตั้งไว้ตลอดเพื่อประมาณการค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง จะช่วยให้สามารถควบคุมค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างได้ดีขึ้น   อย่างไรก็ตาม การมีบ้านเป็นของตัวเองนั้นไม่ว่าจะเลือกซื้อบ้านใหม่หรือสร้างบ้านเอง ผู้บริโภคต้องคำนึงเสมอว่าความต้องการของผู้อยู่อาศัยคือสิ่งสำคัญที่สุด แต่ต้องไม่ลืมว่าการพิจารณางบประมาณที่มีให้เหมาะสมกับการซื้อหรือสร้างบ้านก็เป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ไม่ควรมองข้ามเช่นกัน     ภาพประกอบ
โควิด-19 & ขยายเวลามาตรการภาษี  ทำราคาบ้านจัดสรรใหม่ Q2 ลดลง

โควิด-19 & ขยายเวลามาตรการภาษี  ทำราคาบ้านจัดสรรใหม่ Q2 ลดลง

REIC เผยราคาบ้านจัดสรรไตรมาสแรก ปรับตัวเพิ่มจากปลายปี 63 หลังลดต่ำมาต่อเนื่อง 3 ไตรมาส  แต่ยังต่ำกว่าก่อนเกิดโควิด-19 ขณะที่แนวโน้มราคาบ้านในไตรมาส 2 ได้อานิสงค์มาตรการรัฐ ทำต้นทุนผู้ประกอบการถูกลง และแรงกดดันจากไวรัสโควิด-19 ยังระบาด ส่งผลให้ราคาบ้านคาดปรับตัวลดลงต่ออีกเล็กน้อย   ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) รายงานดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2564  ที่ผ่านมา ว่ามีค่าดัชนีเท่ากับ 128.2 ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2563   (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เริ่มเห็นการปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากไตรมาสก่อนหน้า 0.3% หลังจากที่ลดต่ำลงต่อเนื่องติดต่อกันมา 3 ไตรมาสในช่วงไตรมาส 2 ถึง 4 ปี 2563 ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ที่ยังมีการแพร่ระบาดต่อเนื่องไปในบางพื้นที่ อานิสงค์มาตรการรัฐ ทำราคาบ้านถูกลง​ ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า จากภาพรวมดัชนีได้สะท้อนว่า ในช่วงไตรมาส 2 ถึง 4 ปี 2563 เป็นช่วงที่ราคาบ้านจัดสรรใหม่ปรับลดต่อเนื่องจากโปรโมชั่นต่าง ๆ ของสต๊อกที่มีอยู่เดิมเป็นสำคัญ แต่สังเกตได้ว่าพอเข้าสู่ไตรมาส 1 ปี 2564 ก็กลับมีการปรับขึ้นสูงกว่าไตรมาส 4 ปี 2563 ประมาณ  0.3% ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการเปิดตัวโครงการบ้านจัดสรรใหม่ ๆ ในช่วงที่ผ่านมาที่มีต้นทุนราคาที่ดินสูงขึ้น และเป็นสินค้าที่มีความต้องการในตลาดสูง แต่ราคาบ้านจัดสรรใน ไตรมาส 1 ปี 2564 ค่อนข้างชัดเจนว่าบ้านจัดสรรยังคงถูกกว่าต้นปี 2563 เล็กน้อย อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัส โควิด-19 ยังคงรุนแรง ก็อาจทำให้ดัชนีราคาบ้านจัดสรรกลับมาปรับตัวลดลงเล็กน้อย หรือ ทรงตัวในไตรมาส 2 ปี 2564 ได้   สำหรับการที่รัฐบาลมีมาตรการในการขยายระยะเวลามาตรการการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ โดยลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และการจดจำนองสำหรับบ้านใหม่ ไปจนถึงสิ้นปี 2564 น่าจะมีผลต่อการกระตุ้นตลาดบ้านประเภททาวน์เฮ้าส์ เนื่องจากยังคงมีหน่วยขายระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลพอสมควร แต่สำหรับบ้านเดี่ยวน่าจะได้รับประโยชน์น้อย   นอกจากนี้ การเลื่อนประกาศอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไปเป็นปี 2565 และลดการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเหลืออัตรา  10% ซึ่งถือว่าเป็นมาตรการที่สำคัญในการช่วยลดต้นทุนให้ผู้ประกอบการที่จะพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถเสนอขายบ้านจัดสรรในราคาต่ำลงได้ ดัชนีราคาบ้านจัดสรรปรับเพิ่ม 0.3% ดัชนีราคาบ้านจัดสรรในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2564 มีค่าดัชนีเท่ากับ 128.2 เลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เพิ่มขึ้น  0.3%   ทั้งนี้ เมื่อจำแนกดัชนีราคาบ้านจัดสรรตามพื้นที่ พบว่า พื้นที่กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 127.1 ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เพิ่มขึ้น  0.3% ขณะที่พื้นที่​ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 129.0 ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เพิ่มขึ้น  0.2% (ดูตารางที่ 3 และแผนภูมิที่ 1 - 3)   ดัชนีราคาบ้านเดี่ยวปรับเพิ่ม 0.3% ส่วนดัชนีราคาบ้านเดี่ยว ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2564 มีค่าดัชนีเท่ากับ 126.4 ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เพิ่มขึ้น  0.3%   โดยพื้นที่กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 125.7 ลดลง 0.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เพิ่มขึ้น  0.3% ขณะที่พื้นที่ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 126.5 ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน(YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ลดลง  0.2% (ดูตารางที่ 2 และแผนภูมิที่ 1 - 3) ดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์ปรับเพิ่มขึ้น 0.3% สำหรับดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์ ในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2564 มีค่าดัชนีเท่ากับ 130.1 ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เพิ่มขึ้น  0.3%  โดยพื้นที่กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 128.2 ลดลง 0.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)  เพิ่มขึ้น  0.2% ส่วนพื้นที่ปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 132.1 ลดลง 0.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เพิ่มขึ้น  0.2% (ดูตารางที่ 3 และแผนภูมิที่ 1 - 3)   สำหรับรายการส่งเสริมการขายบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขายในไตรมาสนี้ พบว่า ส่วนใหญ่ 46.6% เป็นส่วนลดค่าใช้จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ และ/หรือ ฟรีค่าส่วนกลาง รองลงมา  32.8%  เป็นของแถม เช่น เครื่องปรับอากาศ เฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน ปั๊มน้ำ แท้งก์น้ำ ฯลฯ และ  20.5% เป็นส่วน ลดเงินสด  
แสนสิริ เผยโฉม สิริ เพลส ซีรีย์ใหม่ ทาวน์โฮม 2 สไตล์นิวยอร์กและเกียวโต

แสนสิริ เผยโฉม สิริ เพลส ซีรีย์ใหม่ ทาวน์โฮม 2 สไตล์นิวยอร์กและเกียวโต

แสนสิริ  เปิดตัว “สิริ เพลส” ซีรีย์ใหม่ “Dream Destination” ดีไซน์ ที่มากกว่าฟังก์ชัน เผยโฉม 2 โครงการล่าสุด ที่ได้แรงบันดาลใจจากเมืองท่องเที่ยว  2 สไตล์ นิวยอร์กและเกียวโต ที่สิริ เพลส บางนา-เทพารักษ์ และสิริ เพลส  วงแหวน-ลำลูกกา  พร้อมเตรียมเผยโฉมสิริ เพลส 6 โครงการใหม่ในปีนี้ครอบคลุมทุกทำเล  และวางเป้ายอดขายทาวน์โฮมในปีนี้ 3,600 ล้านบาท โตจากปีก่อน 24%   นายอาณัติ  กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI)  เปิดเผยว่า ในปีนี้แสนสิริมีแผนรุกพัฒนาโครงการแนวราบทั้งหมด 16 โครงการมูลค่ารวม 15,500 ล้านบาท แบ่งเป็นการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว 6 โครงการ มูลค่ารวม 5,500 ล้านบาท มิกซ์โปรเจกต์ 3 โครงการ มูลค่ารวม 2,600 ล้านบาท และทาวน์โฮม 7 โครงการ มูลค่ารวม 7,400 ล้านบาท โดยทาวน์โฮมแบรนด์ “สิริ เพลส”  ยังคงเป็นหัวหอกหลักในการรุกตลาดทาวน์โฮมของแสนสิริในปีนี้ “นอกจากการรุกพัฒนาโครงการแนวราบ ด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ ในปีนี้ ไฮไลท์ที่สำคัญ ยังมาจากการพลิกโฉมครั้งสำคัญใน “ดีไซน์” ที่อยู่อาศัยโครงการแนวราบในทุกแบรนด์ ทั้งทาวน์โฮมแบรนด์สิริ เพลส บ้านและทาวน์โฮมแบรนด์อณาสิริ บ้านเดี่ยวแบรนด์ฮาบิเทีย สราญสิริ บุราสิริ และเศรษฐสิริ การเปิดตัว “BuGaan” เอ็กซ์คลูซีฟ เรสซิเดนซ์ เจาะกลุ่ม Young Successor รวมถึงการเปิดตัว New segment ทาวน์โฮมระดับบนในช่วงปลายเดือนเมษายนนี้ ซึ่งคาดว่าจะได้รับความสนใจอย่างมากในปีนี้”   สำหรับแบนด์​สิริ เพลส ในปีนี้บริษัทวางแผนเปิดตัว 6 โครงการใหม่ครอบคลุมทุกทำเล มูลค่ารวม 5,900 ล้านบาท และวางเป้าหมายยอดขายทาวน์โฮมในปีนี้ไว้ 3,600 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 24% ซึ่งเชื่อมั่นว่า สิริ เพลส ซีรีย์ใหม่ Dream Destination ในทุกโครงการจะได้รับการตอบรับที่ดี จากการเป็นทาวน์โฮมที่พัฒนาจากความเข้าใจใน Customer Insight อย่างแท้จริง  ซึ่งนอกจากแรงบันดาลใจจากเมืองท่องเที่ยว นิวยอร์กและเกียวโต ใน 2 โครงการใหม่ สิริ เพลส บางนา-เทพารักษ์ และสิริ เพลส วงแหวน-ลำลูกกาแล้ว ยังมีแรงบันดาลใจด้านดีไซน์ จากเมืองท่องเที่ยวซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางในสไตล์อื่น ๆ ที่เตรียมเปิดตัวตามมาในปีนี้อีกด้วย      
เลี้ยงสัตว์อย่างไรไม่ต้องทะเลาะกับเพื่อนบ้าน

เลี้ยงสัตว์อย่างไรไม่ต้องทะเลาะกับเพื่อนบ้าน

เลี้ยงสัตว์อย่างไรไม่ต้องทะเลาะกับเพื่อนบ้าน ปัจจุบันจะเห็นได้ว่าหลายคนหันมาเลี้ยงสัตว์กันมากขึ้น และหลายคอนโดก็อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์เลี้ยงได้บ้างแล้ว หลายคนเลือกจะมีสัตว์เลี้ยงไว้ช่วยสอดส่องดูแลบ้าน บางคนก็เลี้ยงไว้เป็นเพื่อนคลายเหงา สำหรับสัตว์เลี้ยงของเรานั้น ไม่ว่าจะเป็นน้องหมา น้องแมว หรือสัตว์ชนิดอื่นๆ ก็ล้วนแต่น่ารัก น่าเอ็นดูทั้งสิ้น ถึงแม้สัตว์เลี้ยงของเราจะทำอะไรผิดไปบ้าง เช่น อึ-ฉี่ไม่เป็นที่ ส่งเสียงดังรบกวนเมื่อเจอคนแปลกหน้า เรื่องเหล่านี้จะดูเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เจ้าของสัตว์มักจะคิดว่าสามารถตักเตือนและให้อภัยกันได้ แต่อย่าลืมว่า สิ่งที่สัตว์เลี้ยงแสดงออกมานั้น อาจรบกวน “เพื่อนบ้าน” ที่แสนน่ารักของเราด้วย ซึ่งคงจะดีหากเราหาวิธีดูแลสัตว์เลี้ยงไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เรามีวิธีดีๆ มาฝากกันค่ะ เลี้ยงสัตว์อย่างไรไม่ต้องทะเลาะกับเพื่อนบ้าน 1. ศึกษาวิธีการดูแลสัตว์ก่อนนำมาเลี้ยง เนื่องจากสัตว์แต่ละชนิดต้องการการดูแลที่แตกต่างกัน บางชนิดสามารถเลี้ยงในระบบปิดได้ ในขณะที่สัตว์บางชนิดหรือบางสายพันธุ์เหมาะที่จะเลี้ยงแบบปล่อยหรือมีพื้นที่ให้พวกมันวิ่งเล่นได้มากกว่า ทั้งนี้หากไม่อยากให้สัตว์ไปรบกวนเพื่อนบ้านมากนัก ควรพิจารณาเลือกสัตว์ที่สามารถเลี้ยงแบบระบบปิด หรือเลี้ยงในบ้านได้ เช่น แมวหรือสุนัขพันธุ์เล็กถึงขนาดกลางที่ไม่ค่อยส่งเสียงเห่าบ่อย ๆ เช่น สุนัขพันธ์    คาวาเลียร์ คิง ชาลส์ สแปเนียล, สุนัขพันธุ์บาเซนจิ, สุนัขพันธุ์เฟรนช์ บูลด็อก, สุนัขพันธุ์ชิบะ เป็นต้น 2. แจ้งให้เพื่อนบ้านทราบ ไม่ว่าเราจะอาศัยในละแวกนั้นมานาน หรือเพิ่งย้ายเข้าไปอยู่ใหม่ ๆ แต่ถ้ามีการเลี้ยงสัตว์ ก็ควรบอกกล่าวกับให้เพื่อนบ้านทราบ และขออภัยไว้ล่วงหน้าหากสัตว์เลี้ยงของเราไปรบกวน ในขณะเดียวกันก็เป็นการเปิดโอกาสให้เพื่อนบ้านเข้ามาพูดคุยหรือให้คำแนะนำกับเราหากสัตว์เลี้ยงของเราไปสร้างความเดือดร้อนให้กับพวกเขาในอนาคต 3. หมั่นทำความสะอาดของใช้สัตว์เลี้ยง เพื่อลดและป้องกันไม่ให้เกิดกลิ่นเหม็นรบกวน โดยเฉพาะกระบะทรายหรือจุดที่สัตว์เลี้ยงมักไปอึหรือฉี่เป็นประจำ ด้วยการเก็บกวาดทุกครั้งที่มีการขับถ่าย หมั่นล้างทำความสะอาดและเปลี่ยนทรายในกระบะทุก ๆ 2 สัปดาห์ ที่สำคัญคือวางกระบะทรายไว้ในที่ที่มีอากาศถ่ายเทได้ดี และฉีดสเปรย์ดับกลิ่นไม่พึงประสงค์ช่วยอีกทางหนึ่งก็ได้ 4. ใส่สายจูงทุกครั้งที่พาไปเดินเล่น สำหรับเจ้าของที่กลัวว่าสัตว์เลี้ยงจะเบื่อ อยากพาไปเดินเล่นออกกำลังกายบ้าง ก็ควรใส่สายจูงทุกครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้สุนัข-แมวของเราไปรบกวนหรือทำอันตรายคนอื่นขณะวิ่งเล่น พร้อมกับพกอุปกรณ์สำหรับเก็บและทำความสะอาดบริเวณที่สัตว์เลี้ยงอุจจาระไปทิ้งในถังขยะทุกครั้งด้วย  5. ให้เวลาและใส่ใจสัตว์เลี้ยงให้มากขึ้น บางครั้งการที่สัตว์เลี้ยงส่งเสียงดังรบกวน เช่น สุนัขเห่าบ่อย ๆ ไม่ได้เป็นเพราะว่ากำลังเจอสิ่งผิดปกติเสมอไป เพราะบางครั้งอาจเป็นการเรียกร้องความสนใจจากเจ้าของ ทั้งนี้หากเกิดขึ้นนาน ๆ ครั้งก็คงไม่ส่งผลกระทบมากนัก แต่ถ้าเกิดขึ้นบ่อย ๆ ก็จะสร้างความรำคาญให้เพื่อนบ้านได้ ดังนั้นให้เจ้าของลองสังเกตดูว่ามีสาเหตุมาจากอะไร แล้วรีบแก้ไข เพื่อเปลี่ยนพฤติกรรม    6. ฉีดวัคซีนป้องกันโรคให้เรียบร้อย ไม่ใช่แค่เป็นการป้องกันโรคให้กับสัตว์เลี้ยงของเราเท่านั้น แต่ยังเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับเพื่อนบ้านของเราด้วย โดยการปรึกษากับสัตวแพทย์ว่าสัตว์เลี้ยงของเราควรฉีดวัคซีนใดบ้าง และพาไปรับวัคซีนต่อเนื่องเมื่อถึงกำหนดหรือเกิดโรคระบาดบ่อย ๆ เช่น วัคซีนโรคพิษสุนัขบ้า โรคอันตรายที่เจ้าของสัตว์เลี้ยงทั้งหลายพึงระวัง 7. ศึกษากฎระเบียบของที่พักอาศัย เนื่องจากแต่ละพื้นที่มีข้อกฎหมายหรือข้อตกลงที่ไม่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นหมู่บ้านจัดสรร คอนโด หรือหอพัก ซึ่งอาจจะมีการจำกัดชนิดของสัตว์เลี้ยง รวมถึงขนาดของสัตว์ตัวน้อย ดังนั้นเราควรศึกษากฎระเบียบ ข้อบังคับ และปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้มีเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์ และทำให้รบกวนเพื่อนบ้าน   ที่สำคัญอย่าลืมศึกษาข้อมูลให้ครบทุกด้านก่อนการเลี้ยงสัตว์นะคะ ไม่ว่าจะเป็นอุปนิสัยของสัตว์เลี้ยงที่เราอยากจะรับมาอยู่ด้วย รวมถึงกฎระเบียบต่างๆ ของที่พักอาศัย พร้อมกับพูดคุยกับเพื่อนบ้านให้เข้าใจไว้ก่อน จะได้สบายใจกันทุกฝ่าย แฮปปี้กันทุกคนจ้า   CR : ข้อมูลจาก PetExpoClub   บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง คิดอยากจะเลี้ยงสัตว์เล็กๆ สักตัว ในคอนโดฯ เลี้ยงอะไรดีล่ะ? ทำความสะอาดบ้านไกล “ภูมิแพ้”  
เอพี ไทยแลนด์ยอดขาย Q1 เกือบ 8,000 ล้าน เดินหน้าเปิด 5 โปรเจ็กต์ไตรมาส 2  

เอพี ไทยแลนด์ยอดขาย Q1 เกือบ 8,000 ล้าน เดินหน้าเปิด 5 โปรเจ็กต์ไตรมาส 2  

เอพี ไทยแลนด์ ฟอร์มดีตั้งแต่ต้นปี ไตรมาสแรกกวาดยอดขาย 7,966 ล้าน จากการปักหมุด 113 โครงการในกรุงเทพฯ และ 5 จังหวัดตลาดศักยภาพ เดินหน้าเปิดโปรเจ็กต์ใหม่ต่อเนื่องอีก 5 โครงการ ในไตรมาส 3 ชูโครงการแนวราบ เป็นซูเปอร์สตาร์สร้างยอดขายและรายได้  มั่นใจปีนี้กวาดรายได้​ 43,100 ล้าน และยอดขาย 35,500 ล้าน ตามเป้าหมาย   นายวิทการ จันทวิมล  รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 1 ที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้มากถึง 7,966 ล้านบาท จากอสังหาริมทรัพย์เครือเอพีที่กระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 113 โครงการ (Exiting Projects) เพิ่มขึ้น 32% เมื่อเทียบกับยอดขายไตรมาส 1 ของปี 2563 ที่ผ่านมามีจำนวน 6,045 ล้านบาท โดยในไตรมาสแรกที่ผ่านมา มียอดขายที่มาจากสินค้าแนวราบมากถึง 7,293  ล้านบาท  สะท้อนภาพความเชื่อมั่นที่ลูกค้ามีต่อสินค้าบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮมเครือเอพี  ที่กระจายครอบคลุมในพื้นที่กรุงเทพฯ และตลาดใหม่ใน 5 จังหวัดที่บริษัทได้ขยายเข้าไปทำตลาด ได้แก่  จังหวัดขอนแก่น ระยอง นครศรีธรรมราช อยุธยา และเชียงราย จนสามารถสร้างการเติบโตด้านยอดขายได้อย่างโดดเด่นที่สุดท่ามกลางสภาวะตลาดผันผวนในปัจจุบัน   ส่วนภาพรวมธุรกิจอสังหาฯ​​ ในไตรมาสที่ 2 เชื่อว่ายังคงอยู่ในสภาวะที่รอการฟื้นตัว ทั้งด้านความต้องการ (Demand) ​ที่ยังคงเป็นไปตามภาพรวมเศรษฐกิจ  และด้านการเปิดตัวสินค้าใหม่ (Supply) ซึ่งผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่กี่รายที่ยังคงเปิดตัวโครงการใหม่ช่วงที่ผ่านมา โดยคาดว่าความมั่นใจในกลุ่มสินค้า​คอนโดมิเนียมจะดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง แต่คงต้องใช้เวลาอีกนาน  กว่าจะฟื้นตัวกลับไปเหมือนก่อนเกิดเหตุการณ์โควิด-19 ขณะที่สินค้าแนวราบยังคงเป็นซูเปอร์สตาร์ต่อเนื่องไปอีกปี ทั้งนี้ โอกาสรอดของธุรกิจอสังหาฯ ​ ท่ามกลางการเผชิญกับสภาวะ Ripple Effect หรือปรากฎการณ์ระลอกคลื่น จากความเสียหายที่เกิดจากโควิด-19 นั้น นอกจากแผนการบริหารจัดการภายในองค์กร เพื่อสร้างความแข็งแกร่งแล้ว อีกหนึ่งในการสร้างโอกาสและความได้เปรียบในการแข่งขันที่มากขึ้น คือ การบริหารจัดการพอร์ตสินค้าให้มีสินค้าพร้อมขาย และกระจายไปในหลายทำเล  จะมีส่วนช่วยทที่นำมาซึ่งความสำเร็จในวันนี้ ควบคู่ไปกับการมี EMPOWER LIVING เป็นเป้าหมายสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่การส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีที่ลูกค้าสามารถเลือกได้   สำหรับแผนการเปิดตัวโครงการในช่วงไตรมาส 2 บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวสินค้าแนวราบจำนวน 5 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 2,660 ล้านบาท โดยทั้งหมดมีแผนจะเปิดขายในช่วงเดือนมิถุนายน  แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว 2 โครงการ มูลค่ารวม 1,650 ล้านบาท ได้แก่ 1.CENTRO พหล-วิภาวดี 2 จำนวน 249 ยูนิต มูลค่า 1,250 ล้านบาท 2.CENTRO ราชพฤกษ์-สวนผัก 3 จำนวน 43 ยูนิต มูลค่า 400 ล้านบาท   ทาวน์โฮม 3 โครงการ มูลค่ารวม 1,010 ล้านบาท ได้แก่ 1.Pleno บางนา-อ่อนนุช 2 จำนวน 233 ยูนิต มูลค่า 570 ล้านบาท 2.Pleno ปิ่นเกล้า-จรัญ 2 จำนวน 86 ยูนิต มูลค่า 330 ล้านบาท และโฮมออฟฟิศ 3.District รามอินทรา-จตุโชติ จำนวน 20 ยูนิต มูลค่า 110 ล้านบาท   ทั้งนี้ ในปี 2564 นี้ เอพี ไทยแลนด์ ตั้งเป้าจะมีโครงการอสังหาฯ ที่พัฒนาอยู่ทั่วประเทศ  145 โครงการ มูลค่าพร้อมขายกว่า 118,128 ล้านบาท โดยเป็นโครงการใหม่ที่เปิดตัวในปี 2564 (New Launch Projects) จำนวน 34 โครงการ มูลค่าประมาณ 43,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นโครงการแนวราบจำนวน 30 โครงการ มูลค่าประมาณ 28,800 ล้านบาท และคอนโด ที่คาดว่าจะพร้อมเปิดตัวในช่วงครึ่งปีหลังจำนวน 4 โครงการ มูลค่าประมาณ 14,200 ล้านบาท และโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย (Existing Projects) ที่กระจายไปในทุกทำเลทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดมากถึง 113 โครงการ มูลค่าสินค้าพร้อมขายประมาณ 77,428 ล้านบาท (รวมโครงการเปิดใหม่ของปี 2564 ที่ได้เปิดตัวไปแล้ว 2 โครงการ) โดยไตรมาส 1 บริษัทฯ ได้เปิดตัวโครงการไปแล้วจำนวน 2 โครงการ คือ อภิทาวน์ เชียงราย และอภิทาวน์ อยุธยา มูลค่าโครงการรวม 2,300 ล้านบาท เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา โดย ณ 31 มีนาคม 2564 สามารถขายได้แล้วกว่า 300 ล้านบาท สะท้อนถึงความเชื่อมั่นและความไว้วางใจของลูกค้าในตลาดหัวเมืองใหญ่ ที่มีต่อแบรนด์และอสังหาฯ ภายใต้การพัฒนาของเอพี  และในปีนี้ บริษัทฯ ตั้งเป้ารับรู้รายได้ (รวม 100% JV) 43,100 ล้านบาท และเป้ายอดขายที่ 35,500 ล้านบาท (อ่านข่าวเพิ่มเติม.....เอพี วางเป้าขึ้นเบอร์ 1 อสังหาฯ ไทย ขน 147 โครงการสร้างรายได้กว่า 4 หมื่นล้าน)
เสนาผนึกกลุ่มฮันคิวฮันชิน  ปั้นทาวน์โฮมร่วมทุนโครงการแรกของวงการ

เสนาผนึกกลุ่มฮันคิวฮันชิน ปั้นทาวน์โฮมร่วมทุนโครงการแรกของวงการ

เสนา เดินหน้า จับมือกลุ่มฮันคิว ฮันชิน พันธมิตรจากญี่ปุ่น ปั้นโครงการต่อเนื่อง ประเดิมครั้งแรกบุกตลาดแนวราบ พัฒนาโครงการทาวน์โฮม กลุ่มตลาดราคา Affordable โครงการแรกของวงการอสังหาฯ เจาะทำเลเพทพารักษ์-บางบ่อ   บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เริ่มต้นจับมือกับกลุ่มฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป พันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ด้วยแนวความคิดที่ต้องการ​นำเอาความแข็งแกร่ง และประสบการณ์ด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยในประเทศญี่ปุ่น มาปรับใช้กับตลาดภายในประเทศไทย โดยโครงการแรกเป็นการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม “นิช โมโน สุขุมวิท – แบริ่ง”   การพัฒนาโครงการภายใต้ความร่วมมือของ 2 ดีเวลลอปเปอร์ ตั้งแต่วันแรกจนถึงปัจจุบัน มีจำนวนรวม 14 โครงการ รวมมูลค่า 40,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นคอนโดแนวสูงเป็นหลัก แต่สำหรับปีนี้เป็นการก้าวเข้าสู่ปีที่ 5 ของการร่วมกับกลุ่มฮันคิว ฮันชิน ซึ่งความร่วมมือที่ดีระหว่างกัน ได้ขยายตลาดมาสู่การพัฒนาโครงการแนวราบ ด้วยการพัฒนาโครงการทาวน์โฮมโปรเจกต์แรก ภายใต้แบรนด์ เสนา เวล่า เทพารักษ์ – บางบ่อ มูลค่าโครงการ 900 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการร่วมมือกันครั้งแรกของของดีเวลลอปเปอร์ไทยและต่างชาติในการพัฒนาโครงการทาวน์โฮม และเป็นกลุ่มตลาดราคาจับต้องได้ (Affordable) ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า นโยบายในการดำเนินธุรกิจในปี 2564 คือ SENA Strong ซึ่งประกอบด้วย 7 Strong ได้แก่ 1.Strong Step ​2.Strong Affordable Condo  3.Strong Partner  4.Strong Solar 5.Strong Digitalized Service App 6.Strong Agent และ ​7.Strong Management Team ซึ่งการพัฒนาโครงการร่วมทุนในรูปแบบทาวน์โฮม ได้นำเอา 3 Strong มาพัฒนาร่วมกัน ได้แก่ 1.Strong Affordable Condo  ​2.Strong Partner และ 3.Strong Solar   ระหว่างเสนา และ ฮันคิว ฮัน ชิน วันนี้เราเป็นมากกว่าพันธมิตรร่วมทุนทางธุรกิจ ซึ่งในปี 2564 เสนา วางแผนธุรกิจตามนโยบาย SENA Strong และยังคงแนวทางการทำงานกับทาง ฮันคิว ฮันชิน เหมือนเดิมคือการคิดถึงลูกค้าเป็นหลัก และสร้างที่อยู่อาศัยที่ดีให้กับผู้บริโภค   โดยจุดเด่นของการพัฒนาโครงการทาวน์โฮม ระหว่างเสนาและกลุ่มฮันคิว ฮันชิน คือ การนำแนวคิดการพัฒนาที่อยู่อาศัยของญี่ปุ่นที่เรียกว่า  “Geo fit+”   มาปรับใช้ให้เข้ากับพฤติกรรมผู้บริโภคในประเทศไทย เพื่อสร้างที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพมากยิ่งขึ้น โดยประกอบด้วย 4 เรื่อง คือ 1.Geo fit+ Day เน้นว่าจะพัฒนาโปรดักท์อย่างไรให้เข้ากับการใช้งานจริงในชีวิตประจำวัน 2.Geo fit+ Eco การแสวงหาแนวทางประหยัดพลังงาน ไม่ว่าจะเป็น พลังงานไฟฟ้า เชื้อเพลิง หรือน้ำ 3.Geo fit+ Stage การออกแบบบนแนวคิดเพื่อรองรับผู้อยู่อาศัยทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกวัย 4.Geo fit+ Sonae ใส่ใจทุกดีเทลในการใช้ชีวิตที่เกี่ยวข้องกับเรื่องของความปลอดภัย ผศ.ดร.เกษรา กล่าวเพิ่มเติมว่า ในเบื้องต้นปีนี้เสนาและกลุ่มฮันคิว ฮันชิน จะพัฒนาโครงการทาวน์โฮมร่วมกันอย่างน้อย 3 โครงการ ซึ่งอาจจะพัฒนามากกว่านี้ โดยขึ้นอยู่กับสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจ จากปีนี้ที่บริษัทวางแผนเปิดโครงการทั้งหมด 17 โครงการ โดยแผนการเปิดโครงการอีก 15 โครงการยังเป็นไปตามแผนที่ได้วางไว้ การมีพาร์ทเนอร์ที่ดี เป็นการทำให้เราเป็น strang company และอยากเป็น sustain company ที่ sustain ไปเรื่อย ๆสามารถพัฒนาที่อยู่อาศัยให้กับลูกค้าที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งไม่มีคำว่าจุดจบ เพราะเราไม่คิดว่ามีคำว่าดีที่สุด มีแต่ดีขึ้นเรื่อยๆ มีแต่คำว่าพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง ด้านนายประสิทธิ์ วัฒนานุกิจ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานสนับสนุนงานก่อสร้าง บริษัท เสนาดีเวล ลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงรายละเอียดโครงการ เสนา เวล่า เทพารักษ์ – บางบ่อ ว่าพัฒนาโครงการบนคอนเซ็ปต์แบรนด์ “ชีวิตที่ลงตัวกับความสุขที่เรียบง่าย” เป็นทาวน์โฮมแนวคิดใหม่ สูง 2 ชั้น บนเนื้อที่โครงการ 39 ไร่เศษ จำนวน 298 หลัง มีแบบบ้านให้เลือก 2 แบบ คือ แบบบ้าน THEE และแบบบ้าน THEE Plus ขนาดที่ดินเริ่ม 20 – 41 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยภายในบ้านเริ่ม 127 – 140 ตารางเมตร ขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องเอนกประสงค์ พร้อมที่จอดรถ 2 คัน ราคาเริ่ม 2.99 ล้านบาท*  โดยกำหนดก่อสร้างตั้งแต่เดือนธันวาคม  2563 และ คาดว่าจะแล้วเสร็จทั้งโครงการภายในปี 2567   เสนา เวล่า เทพารักษ์ – บางบ่อ ตั้งอยู่บนทำเลที่มีศักยภาพติดถนนใหญ่ ใกล้แหล่งงาน นิคมอุตสาหกรรมบางพลี นิคมบางปู และนิคมเวลโกร์ว แวดล้อมด้วยสถานที่สำคัญทั้งโรงพยาบาล สถานศึกษา แหล่งช้อปปิ้ง ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ เมกาบางนา ,มาร์เก็ตวิลเลจ สุวรรณภูมิ เทสโก้ โลตัส ซิตี้พาร์ค และ บิ๊กซี บางพลี เป็นต้น ในอนาคตมีรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายจากเคหะ สมุทรปราการ วิ่งไปถึงบางปู เพิ่มอีก 4 สถานี ประกอบด้วย สถานีบางปู สถานีศรีจันทร์ประดิษฐ์ สถานีเมืองโบราณ และสถานีสวางคนิวาส รวมระยะทาง 7 กิโลเมตร            
การเคหะฯเปิดตัวบ้านเคหะสุขประชาได้ทั้งบ้านแถมมีอาชีพ

การเคหะฯเปิดตัวบ้านเคหะสุขประชาได้ทั้งบ้านแถมมีอาชีพ

การเคหะแห่งชาติ เปิดโครงการบ้านเคหะสุขประชา (ฉลองกรุง/ร่มเกล้า)  บ้านเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย หลังได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว  นำร่อง 2 โครงการ จำนวน 572 ยูนิต ปล่อยเช่าเริ่มต้น 1,500–3,000 บาท/เดือน   นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ เปิดเผย จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้เศรษฐกิจของประเทศถดถอย ทำให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม รวมทั้งความมั่นคงในด้านที่อยู่อาศัย ด้วยความห่วงใยและต้องการช่วยเหลือพี่น้องประชาชน พลเอก ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบนโยบายให้ทุกหน่วยงานจัดทำโครงการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือประชาชนในทุกมิติ โดยนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้มอบหมายให้หน่วยงานในสังกัดจัดทำโครงการเยียวยาและฟื้นฟูผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าวรวมไปถึงกลุ่มผู้เปราะบางให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ภายใต้โครงการ “พม.เราไม่ทิ้งกัน” พร้อมมอบนโยบายให้การเคหะแห่งชาติจัดสร้างที่อยู่อาศัยประเภทเช่าเพิ่มมากขึ้น เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายและสร้างโอกาสให้ประชาชนที่มีรายได้น้อยสามารถเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้อย่างทั่วถึง   ทั้งนี้ การเคหะแห่งชาติแห่งชาติได้เสนอ “โครงการบ้านเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย” ให้คณะรัฐมนตรีรับทราบ เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2563 โดยมีเป้าหมายจัดสร้าง 100,000 ยูนิต ภายในระยะเวลา 5 ปี (พ.ศ.2564 - 2568) กำหนดส่งมอบปีละประมาณ 20,000 ยูนิต   โดยการเคหะแห่งชาติดำเนินโครงการดังกล่าวภายใต้ชื่อ “โครงการบ้านเคหะสุขประชา” เพื่อสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยให้กับผู้มีรายได้น้อย ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มเปราะบาง ข้าราชการชั้นผู้น้อย ข้าราชการเกษียณ รวมถึงผู้บุกรุกในพื้นที่สาธารณะ ทั้งยังเป็นการช่วยเหลือผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19   อีกทั้งเป็นการตอบสนองนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาที่อยู่อาศัยให้แก่ประชาชนครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายตามแผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560 - 2579) ที่ต้องการให้คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยถ้วนทั่ว (Housing for all) สำหรับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ประกอบด้วย ผู้ที่เรียนจบไม่มีงานทำ ผู้ที่ต้องการเปลี่ยนอาชีพ ลูกกตัญญู คนตกงาน/ไม่มีที่ดินทำกิน  คนพิการและผู้สูงอายุที่ยังทำงานได้ และแม่เลี้ยงเดี่ยวที่ต้องการอาชีพ   ปัจจุบันโครงการบ้านเคหะสุขประชา อยู่ระหว่างการก่อสร้างโครงการนำร่อง ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 2 โครงการ จำนวน 572 ยูนิต ได้แก่ โครงการบ้านเคหะสุขประชาร่มเกล้า จำนวน 270 ยูนิต และโครงการบ้านเคหะสุขประชาฉลองกรุง จำนวน 302 ยูนิต อัตราค่าเช่าเริ่มต้น 1,500–3,000 บาท/เดือน นอกเหนือ จากการเช่าอยู่อาศัยในโครงการบ้านเคหะสุขประชาแล้ว การเคหะแห่งชาติยังได้สร้างเศรษฐกิจชุมชนคู่ขนานกันไปในมิติ มีบ้าน - มีอาชีพ มีรายได้ - มีสุข ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยให้สามารถประกอบอาชีพตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง   ภายในโครงการยังจัดให้มีพื้นที่สีเขียว พื้นที่สันทนาการ พื้นที่จอดรถ และพื้นที่ “เศรษฐกิจ  สุขประชา” ซึ่งขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการพัฒนาโครงการของแต่ละพื้นที่ มี 6 รูปแบบ ได้แก่ เกษตรอินทรีย์ ปศุสัตว์ อาชีพบริการชุมชนและชุมชนข้างเคียง ตลาด อุตสาหกรรมขนาดเล็ก และศูนย์การค้าปลีก - ส่ง โดยมุ่งส่งเสริมให้ผู้อยู่อาศัยประกอบอาชีพอิสระในชุมชน รวมถึงสนับสนุนเศรษฐกิจชุมชนตามภูมิสังคมของพื้นที่นั้นๆ เริ่มตั้งแต่การผลิตไปจนถึงช่องทางการจัดจำหน่าย   ทั้งนี้ การเคหะแห่งชาติได้เปิดให้ประชาชนลงทะเบียนจองสิทธิเช่าโครงการบ้านเคหะสุขประชาร่มเกล้าและฉลองกรุง ระหว่างวันที่ 23 - 30 มีนาคม 2564 ปรากฏว่ามีประชาชนให้ความสนใจจองสิทธิจำนวน 6,660 รายและการเคหะแห่งชาติได้พิจารณาคัดกรองคุณสมบัติของผู้ลงทะเบียนในเบื้องต้น ซึ่งมีประชาชนที่ผ่านการพิจารณาจำนวน 6,627 ราย โดยโครงการบ้านเคหะสุขประชาร่มเกล้า มีผู้ลงทะเบียนที่ผ่านคุณสมบัติ จำนวน 4,285 ราย และโครงการบ้านเคหะสุขประชาฉลองกรุง มีผู้ลงทะเบียนที่ผ่านคุณสมบัติ จำนวน 2,342 ราย โดยการเคหะแห่งชาติได้ทำการจับสลากผู้ได้สิทธิไปแล้วเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2564 ที่ผ่านมา รวมทั้งมอบสิทธิบ้านเช่าในโครงการบ้านเคหะสุขประชาฉลองกรุงให้กับกลุ่มเปราะบางที่ผ่านการพิจารณาคัดเลือกจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จำนวน 14 ยูนิ   การเคหะแห่งชาติได้เชิญคณะทำงานพิจารณาคัดเลือกผู้เช่า เพื่อการอยู่อาศัยและดำเนินกิจการเศรษฐกิจชุมชนภายใต้โครงการบ้านเช่าสำหรับผู้มีรายได้น้อย (บ้านเคหะสุขประชา) ของการเคหะแห่งชาติ ผู้บริหาร ผู้แทนกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พี่น้องประชาชนผู้จองสิทธิที่รับรู้ข่าวสารการจับสลากฯผ่านช่องทาง Facebook การเคหะแห่งชาติ และสื่อมวลชน เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน โดยสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิโครงการบ้านเคหะสุขประชา (ร่มเกล้า/ฉลองกรุง) ได้ทาง www.nha.co.th และ LINE OA : @NHA.THAILAND นอกจากนี้ การเคหะแห่งชาติจะส่ง SMS แจ้งผลให้กับผู้ได้สิทธิรับทราบอีกทางหนึ่งด้วย   นายทวีพงษ์  กล่าวเพิ่มเติมว่า การเคหะแห่งชาติมีความเชื่อมั่นว่า โครงการบ้านเคหะสุขประชาสามารถตอบสนองประชาชน  ผู้มีรายได้น้อยที่ต้องการประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้เป็นอย่างดี เพราะนอกจากจะได้มีที่อยู่อาศัยอย่างมั่นคงในราคาที่สามารถรับภาระได้แล้ว ภายในโครงการยังได้จัดเตรียมพื้นที่ “เศรษฐกิจสุขประชา” ซึ่งภายในโครงการบ้านเคหะสุขประชาฉลองกรุงจะถูกพัฒนาให้เป็นตลาด และโครงการบ้านเคหะสุขประชาร่มเกล้าจะพัฒนาในรูปแบบคอมมูนิตี้มอลล์ เพื่อรองรับงานและสร้างอาชีพให้กับผู้อยู่อาศัยในชุมชน รวมทั้งยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยในชุมชนให้เกิดความยั่งยืนต่อไป  
อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน ​และคอนโด ประจำเดือนเมษายน 2564

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน ​และคอนโด ประจำเดือนเมษายน 2564

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน ใครที่กำลังวางแผนซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม และจะต้องกู้เงินกับธนาคาร ปีนี้ถือเป็นอีกปีที่อัตราดอกเบี้ยยังถือว่าต่ำ เป็นช่วงเวลาที่ดีหากใครมีความพร้อมด้านการเงิน และมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง  ลองมาสำรวจดูกันว่าในเดือนเมษายน 2564 แต่ละธนาคารคิดอัตราดอกเบี้ยสำหรับการกู้เงินซื้อบ้านเท่าไรกันบ้าง อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ  วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1   ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.00% หลังจากนั้น MRR-0.75% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.50% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.75% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.75% หลังจากนั้น MRR-0.75% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.45% อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.50% หลังจากนั้น MRR-0.75% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.33% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.875% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.875% หลังจากนั้น MRR-0.75% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.38% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.00% หลังจากนั้น MRR-0.50% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.72% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.50% หลังจากนั้น MRR-0.50% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.70% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.25% หลังจากนั้น MRR-0.75% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.41% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.875% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.875% หลังจากนั้น MRR-0.75% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.38% -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก 4.75% หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า ​500,00 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า ​คิดอัตราดอกเบี้ย​ MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย ​MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สําหรับผู้ที่ยื่นคําขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค. 64 - 31 มี.ค. 64 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ​และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ​ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ​ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วนั ที่ 21 พ.ค.63 เท่ากับ 5.75% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ​​ 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อสำหรับบ้านใหม่ แคมเปญ สินเชื่อบ้านกรุงไทย...สุขใจถ้วนหน้า โดยไม่คิดค่า  ธรรมเนียมยื่นกู้ ดังนี้ การกู้เงินโดยทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 0.64% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.45% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.45% ปีที่ 4 เป็นต้นไป อัตราดอกเบี้ย MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.73% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.02% การกู้เงินแบบไม่ทำประกัน คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 0.64% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.30% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.30% ปีที่ 4 เป็นต้นไป อัตราดอกเบี้ย MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.83% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.05% ธนาคารกรุงไทย ยังมีแคมเปญการกู้เงินซื้อบ้าน ที่ธนาคารออกค่าจดจำนองให้** และยังฟรี ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ โดยคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้​ การกู้เงินโดยทำประกันด้วย คิดอัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 0.64% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.95% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.95% ปีที่ 4 เป็นต้นไป อัตราดอกเบี้ย MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.06% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.13% การกู้เงินแบบไม่ทำประกัน คิดอัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 0.64% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.80% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.80% ปีที่ 4 เป็นต้นไป อัตราดอกเบี้ย MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.16% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.16% หมายเหตุ -การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ 1.ทำ MRTA/GLT SP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี 2.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ หรือ ระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ **ธนาคารออกค่าจดจำนองให้ 1% สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท หากลูกค้าปิดบัญชีก่อน 5 ปี ธนาคารจะเรียกเก็บค่าจดจำนองคืน ***อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมิน สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.35% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.25% ปีที่ 3 เป็นต้นไป MRR-1.10% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.82% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.30% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.50% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย MRR-1.60% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.35% ปีที่ 3 เป็นต้นไป MRR-1.10% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.50% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.75% ปีที่ 3 เป็นต้นไป MRR-1.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.02% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.25% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย MRR-1.95% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.75% ปีที่ 3 เป็นต้นไป MRR-1.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.23% หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ​ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พ.ค. 63 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย. 64 – 31 พ.ค. 64 โดยจดจำานองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 30 มิ.ย. 64 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป โดยพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.22% หลังจากนั้น MRR-1% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.89% สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-0.72% หลังจากนั้น MRR-0.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.39% หมายเหตุ : -อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% (ประกาศ ณ วันที่ 22 พ.ค. 63) -อัตราดอกเบี้ยข้างต้นสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 - 30 เมษายน 2564 จดจำนองภายใน วันที่ 28 พฤษภาคม 2564 -สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภทรวมอาคารพาณิชย์ยกเว้น Refinance และการปล่อยกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า -วงเงินให้กู้สูงสุดไม่เกิน 90% ของราคาซื้อขายและไม่เกิน 90% ของราคาประเมินหลักประกัน -ทำประกันคุ้มครองสินเชื่อบ้าน โดยสมัครทำประกันคุ้มครองสินเชื่อบ้านได้รับอนุมัติและไม่ยกเลิกการทำประกันตามเงื่อนไขดังนี้ >ทุนประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อขั้นต่ำ 70% ขึ้นไปของวงเงินสินเชื่อบ้านและเลือกระยะเวลาคุ้มครอง 100% ของระยะเวลากู้ หรือ >ทุนประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ 100% ของวงเงินสินเชื่อบ้านและเลือกระยะเวลาคุ้มครองขั้นต่ำ 70% ของระยะเวลากู้ -การทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้านกสิกรไทยรับประกันโดย บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ลูกค้าต้องทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขในกรมธรรม์ก่อนตัดสินใจทำประกันทุกครั้ง ทั้งนี้ผู้ซื้อมีสิทธิ์เลือกที่จะทำประกันชีวิตหรือไม่ก็ได้ ไม่มีผลต่อการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ -การพิจารณารับประกันขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและกฎเกณฑ์การรับประกันของ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) รายละเอียดอื่น ๆ -กรณีกู้ซื้อบ้านใหม่หรือบ้านมือสอง วงเงินกู้ได้ไม่เกิน 90% ของราคาซื้อขาย และไม่เกิน 90 % ของราคาประเมินหลักประกัน -กรณีกู้ปลูกสร้างบ้าน กู้ปลูกสร้างบ้านบนที่ดินของตนเอง >วงเงินให้กู้ไม่เกิน 100% ของราคาค่าก่อสร้างตามสัญญาว่าจ้าง แต่ไม่เกิน 90%ของราคาประเมิน ที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง กู้ซื้อที่ดินพร้อมขอกู้ปลูกสร้างบ้าน >วงเงินให้กู้ไม่เกิน 90% ของราคาซื้อขายที่ดินรวมกับราคาค่าก่อสร้างตามสัญญาว่าจ้าง แต่ไม่เกิน 90% ของราคาประเมินที่ดินและราคาประเมินแบบสิ่งปลูกสร้าง -ค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย ดังนี้ ค่าสำรวจและประเมินราคาหลักประกันโดยบริษัท โพรเกรส แอพไพรซัล หรือบริษัทประเมินที่ธนาคารรับรอง คิดขั้นต่ำ 3,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่ : กรณีซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกําหนด) โดยคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  2.450%-2.750% ปีต่อไป MLR-1.75% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย2.650%-2.950% ปีต่อไป MLR-1.75% ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.60%-2.99% ปีต่อไป MLR-1.75% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.80%-3.19% ปีต่อไป MLR-1.75% หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ​เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่​18 สิวหาคม 2563 เท่กับ​ 6.525% ต่อปี 3.เลือกทําประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา​​​​​​ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า​ Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.​กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง ​​หากลูกค้า Re-Finance หรือชําระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคี ​เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด ​โดยผู้กู้สามารถเลือกทําประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ ​ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน​ 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด ​30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สําหรับพนักงานเงินเดือนประจํา และไม่เกิน 70 ปี สําหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.10% ระยะเวลาที่เหลือ MRR-2.00% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.80% หลังจากนั้น MRR-2.00% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.15% หมายเหตุ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 10 เมษายน 2563) 7.ธนาคารทีเอ็มบี ธนาคารทีเอ็มบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป จะได้รับฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย และค่าประเมินหลักทรัพย์ มีการคิดดอกเบี้ย ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.63% หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย MRR-1.63% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.45% ทางเลือก 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.23% หลังจากนั้น MRR-1.63% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46% ทางเลือก 3 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 4.25% ปีที่ 3 MRR-1.63% หลังจากนั้น MRR-1.63% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.38% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.56% ทางเลือกที่ 4 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-1.88% หลังจากนั้น MRR-1.63% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.40% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.57% สมัครไม่ครบผลิตภัณฑ์เสริมทั้ง 3 ประเภท ทางเลือกที่ 5 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 4.90% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.38% หลังจากนั้น MRR-1.38% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.90% ทางเลือกที่ 6 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.48% หลังจากนั้น MRR-1.38% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% หมายเหตุ เมื่อคุณกู้ซื้อบ้านกับ TMB พร้อมสมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ทีเอ็มบีคุ้มบ้าน (MRTA) 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีเอ็มบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต TMB (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต TMB แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) ข้อเสนอพิเศษเมื่อคุณกู้ซื้อบ้านกับ TMB พร้อมสมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท นอกจากดอกเบี้ยคงที่ต่ำสำหรับ 3 ปีแรกแล้ว ยังได้รับสิทธิพิเศษต่าง ๆ ดังนี้ -ฟรีประกันอัคคีภัย: TMB จ่ายให้ตามมูลค่าเบี้ยประกันภัย ประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท –ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง: TMB จ่ายให้ 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท สำหรับกรณีซื้อบ้าน จากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง สำหรับกรณีที่กู้ซื้อบ้านกับ TMB โดยไม่สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท จะได้รับอัตราดอกเบี้ยปกติจาก TMB โดยยังได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติมอีกดังนี้ -ฟรีประกันอัคคีภัย: TMB จ่ายให้ตามมูลค่าเบี้ยประกันภัย ประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง ทั้งนี้ อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร EIR (Effective Interest Rate : อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา) เป็นเพียงตัวอย่างที่ใช้ในการคำนวณเท่านั้น โดยคำนวณจาก เงินกู้ 3 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระ 20 ปี / MRR (Minimum Retail Rate : อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี) = 6.28% ต่อปี ณ วันที่ 1 มิถุนายน 2563 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.950% ปีต่อไป MRR ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.950% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทําประกัน​ Credit Life 70% กําหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกําหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กําหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 - 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2563) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด สอบถามเพิ่มเติม SCB Call Center โทร.02-777-7777 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อบ้านลูกค้าทั่วไป  โครงการบ้าน ธอส.เพื่อคุณปี 2564 มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.86% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.86% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.29% หลังจากนั้น MRR-0.75% หมายเหตุ ยกเว้นค่าธรรมยื่นกู้  0.1% ของวงเงินกู้และทุกบัญชีเงินกู้ภายใต้หลักประกันเดียกกัน อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 10.ธนาคารยูโอบี ธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโคงการหมู่บ้านทั่วไป โดยวงเงินตั้งแต่ 500,000 บาทจนถึง 50 ล้านบาทขึ้นอยู่กับที่ตั้งของหลักประกัน โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.55% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.80% หลังจากนั้น MRR-1.60% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.60% หลังจากนั้น MRR-1.60% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.95% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.40% หลังจากนั้น MRR-1.60% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.88% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.20% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.20% ปีที่ 4 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.60% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.96% หมายเหตุ -ขอสินเชื่อตั้งแต่ 1 เมษายน - 30 มิถุนายน 2564 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายใน 30 กรกฎาคม 2564 -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาครยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.35% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ​(Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น)​ -การอนุมัติสินเชื่อ​เป็นไปตำมหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ  7.35% ต่อปี ​(ตามประกาศธนาคารณ วันที่ 13 เม.ย. 63) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย​ MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้​ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ​เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร​ -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย ​(ใบอนุญาตประกันชีวิต​เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาสภัย​ เลขที่ ว.00020/2546) ทำหนี่เสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ​จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย คือ โฮมโลน โดนใจ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 2.00% โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.00% (MRR-5.35%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.80% (MRR-2.25%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10%  (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 2 ปีแรก) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.20% (MRR-3.15%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.55% (MRR-4.80%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 4 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.75% (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 3 ปีแรก) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1%  ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใดๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ล้านละ 3,500 บาท  กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่** -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 4.60% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.10% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.35% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่างๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่ วันนี้ - 30 มิถุนายน 2564 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีสินเชื่อบ้าน ดอกเบี้ยต่ำ ผ่อนสบาย ปีแรก 0.50% ผ่อนสบาย ล้านละ 1,500 บาทต่อเดือน นาน 1 ปี โดยคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ กรณีทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 0.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 3.770% (MRR-2.475%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป อัตราดอกเบี้ย 4.745% (MRR-1.50%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.680% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 3.975% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.270% (MRR-1.975%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.245% (MRR-1.00%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.180% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.458% เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยโปรโมชั่น 1.สมัครผลิตภัณฑ์/บริการของธนาคาร ได้แก่ บัตรอิเล็กทรอนิกส์/ บัตรเครดิต หรือ สินเชื่อบัตรเงินสด / บริการ MyMo/ ชำระสินเชื่อหักผ่านบัญชี / ประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA) อย่างน้อย 3 ประเภท ทั้งนี้ หากลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์/ บริการ ตามที่กหนดอยู่แล้วสามารถใช้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้ 2.กรณีไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด 3 ปี ทุกกรณี คิดค่าธรรมเนียม 3% ของยอดเงินต้นคงเหลือ 3.สามารถเลือกชำระแบบผ่อนต่ำ โดยเงินงวดผ่อนชำระต่อจำนวนเงินกู้สินเชื่อเคหะ 1 ล้านบาท ปีที่ 1 เท่ากับ 1,500 บาท /เดือน ปีที่ 2-3 เท่ากับ 6,000 บาท/เดือน ยกเว้น กรณีกู้ปลูกสร้าง/ต่อเติมซ่อมแซม ไม่สามารถเลือกชำระแบบผ่อนต่ำได้ หมายเหตุ 1.ประกัน หมายถึง ประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ 2.อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR=6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) 3.อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระ 20 ปี   บทความที่เกี่ยวข้อง อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ประจำเดือนมกราคม 2564
“ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้”  กวาดยอดขาย Q1 กว่า 7,500 ล้าน  พร้อมเปิด 4 แบรนด์ใหม่

“ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” กวาดยอดขาย Q1 กว่า 7,500 ล้าน พร้อมเปิด 4 แบรนด์ใหม่

“ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” กวาดยอดขายไตรมาสแรก 7,500 ล้าน เดินหน้าเปิดโครงการใหม่ในไตรมาส 2 อีก 3 โครงการ พร้อมเปิด 4 แบรนด์คอนโดใหม่ เจาะตลาดเซ็กเมนท์ใหม่ต่อเนื่อง มั่นใจหนุนยอดขายทั้งปี All Time High ทะลุ 29,000 ล้านบาทตามเป้า   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า บริษัทสามารถสร้างยอดขายโครงการที่อยู่อาศัยในไตรมาส 1/2564 (ม.ค.-มี.ค.2564) ได้ที่ 7,500 ล้านบาท หรือคิดเป็น  26% ของเป้าหมายยอดขายปีนี้ 29,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากกลุ่มคอนโดมิเนียมประมาณ 73% และยอดขายจากกลุ่มบ้านจัดสรร ประมาณ 27%  ถือเป็นผลการดำเนินงานที่น่าพึงพอใจ ในสภาวะที่ตลาดช่วงต้นไตรมาสได้รับแรงกดดันทางเศรษฐกิจจาก การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ช่วงปลายเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา   จากยอดขายดังกล่าว แบ่งเป็นยอดขายจากกลุ่มโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) ราว 69% และยอดขายจากกลุ่มโครงการที่เพิ่งเปิดขายหรืออยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง (Ongoing) ราว 31% โดยไฟท์ติ้งแบรนด์ที่ช่วยให้ยอดขายในไตรมาส 1/2564 ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม คือแบรนด์ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge) ที่เจาะตลาดระดับไฮเอนด์ และแบรนด์ดิ ออริจิ้น (The Origin) ที่เจาะตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยทั้ง 2 แบรนด์มีจุดแข็งคือการกระจายตัวอยู่ใกล้รถไฟฟ้าหลากหลายทำเล มีฟังก์ชั่นภายในห้องพักและพื้นที่ส่วนกลางที่ตอบโจทย์การ Work From Home และการใช้ชีวิตแบบ Next Normal ในอนาคต มีระดับราคาที่ผู้บริโภคยังสามารถเข้าถึงได้ในสภาวะปัจจุบัน ขณะเดียวกัน บริษัทเตรียมเปิดตัวโครการใหม่ เพิ่มเติม​ในไตรมาส 2/2564 อีก 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 4,200 ล้านบาท ได้แก่ แกรนด์ บริทาเนีย บางนา กม.12 แกรนด์ บริทาเนีย ราชพฤกษ์-พระราม 5 รวมถึงแบรนด์ใหม่อย่าง “แฮมป์ตัน” (Hampton) แบรนด์อสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน (Investment Property) โครงการแรกของบริษัท ที่ร่วมทุนกับกลุ่มดุสิตธานี นำร่องในทำเลศรีราชาภายใต้ชื่อ แฮมป์ตัน ศรีราชา เราศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภค และให้ความสำคัญกับเรื่อง Customer Insight มาตั้งแต่ช่วงก่อนโควิด-19 ทำให้ โครงการที่อยู่อาศัยแบรนด์ต่าง ๆ ของเรา เป็น Smart Products และ Excellent Services ที่สามารถตอบโจทย์ได้ในทุกจังหวะเวลา   โดยตามแผน ORIGIN NEXT LEVEL ในปีนี้ บริษัทมีแบรนด์คอนโดมิเนียมใหม่ที่จะใช้บุกตลาดศักยภาพเพิ่มเติมถึง 4 แบรนด์  จากที่ผ่านมาในช่วงกลางปี 2562 ได้เปิดตัวแบรนด์ดิ ออริจิ้น เจาะตลาดกลุ่ม Gen Z ที่ปัจจุบันปิดการขายไปแล้วหลายโครงการ ช่วงปลายปี 2563 เปิดตัวแบรนด์โซโห แบงค็อก โครงการแรก ขยายฐานลูกค้าใหม่ในตลาดไฮเอนด์ ปัจจุบันก็มียอดขายสะสมแล้วกว่า 75%   ที่ผ่านมา ออริจิ้นมี Key Success คือ การปรับตัวอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง มองหาตลาดใหม่ ๆ ที่มีความต้องการและมีโอกาสเติบโตอยู่เสมอ   นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับสถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงหลังจากนี้ มีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้นเป็นลำดับ เนื่องจากมีปัจจัยบวกหลายด้านที่ทยอยเกิดขึ้นต่อภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อของผู้บริโภค อาทิ โอกาสการกลับมาเปิดประเทศจากเรื่องวัคซีนวีซ่า การทยอยฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ให้แก่บุคคลกลุ่มต่าง ๆ การต่ออายุมาตรการลดภาษีค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนอง โดยบริษัทมีโครงการที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่ และโครงการที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จในปีนี้ในระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งจะได้รับอานิสงส์จากมาตรการดังกล่าว คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 11,000 ล้านบาท แบ่งเป็นกลุ่มคอนโดมิเนียม ประมาณ 8,500 ล้านบาท และกลุ่มบ้านจัดสรรแบรนด์ไบรตัน (Brighton) อีกประมาณ 2,500 ล้านบาท   นายพีระพงศ์ กล่าวตอนท้ายว่า  จากปัจจัยบวกเชิงมหภาค และปัจจัยบวกจากการปรับตัวขององค์กร ประกอบกับยอดขายจาก New S Curve ของเครืออย่างธุรกิจบ้านจัดสรร สถานการณ์เศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจโลก และกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ดีขึ้นเป็นลำดับ เราเชื่อมั่นว่าปีนี้จะสามารถสร้างยอดขายเป็น All Time High ที่ 29,000 ล้านบาทตามเป้า ​