บทสรุปมาตรการแบงก์รัฐ- เอกชน กับมาตรการช่วยเหลือลูกค้ากู้ซื้อบ้านปี 64 พร้อมเดินช่วยลูกหนี้ต่อปีหน้า สารพัดแนวทาง อาทิ แบ่งจ่ายค่างวด 25%-75% พักชำระเงินต้น และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน หวังต่อลมหายใจลูกหนี้ได้รับผลกระทบจากโควิด–19
นายกิตติ พัฒนพงศ์พิบูล ประธานสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า (COVID-19) ที่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ และภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงภาวะหนี้ครัวเรือนของประชาชนที่มีการปรับตัวสูงขึ้น ทำให้สถาบันการเงินที่ให้บริการด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่น ๆ ของรัฐและเอกชน ได้ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและผลกระทบดังกล่าวอย่างต่อเนื่องในปี 2564 โดยสถาบันการเงินแต่ละแห่ง ได้มีมาตรการช่วยเหลือประชาชนมากมายหลายมาตรการ อาทิ การแบ่งจ่ายงวดผ่อนชำระ การพักชำระเงินต้น การจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน เป็นต้น
สมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย และสถาบันการเงินสมาชิก มุ่งหวังให้มาตรการช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ของสถาบันการเงินสมาชิกทุกแห่ง สามารถเข้าถึงต้องการของลูกค้า และ สอดคล้องกับปัญหาของลูกหนี้แต่ละกลุ่มในครั้งนี้ จะช่วยให้ลูกหนี้ทุกกลุ่มสามารถประคับประคองธุรกิจให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกันเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินในระบบเศรษฐกิจของประเทศให้มั่นคง ยั่งยืน
นายพงษ์ศักดิ์ คำนวนศิริ รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานสินเชื่อ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กล่าวว่า ธนาคาร ได้ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มาตั้งแต่ปี 2563 ภายใต้โครงการ “ธอส.รวมไทย สร้างชาติ” โดยได้ขยายระยะเวลาความช่วยเหลือให้กับลูกค้าเดิมที่อยู่ระหว่างการใช้มาตรการ ต่อไปถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ผ่าน 5 มาตรการ ประกอบด้วย
มาตรการที่ 9, 10, 11 : แบ่งจ่ายเงินงวดผ่อนชำระ (ตัดเงินต้น ตัดดอกเบี้ย) เหลือ 25% หรือ 50% หรือ 75% ของเงินงวดผ่อนชำระในปัจจุบัน โดยทั้ง 5 มาตรการ ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าที่มีสถานะบัญชีปกติ สถานะ NPL และลูกหนี้สถานะ NPL ที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้
มาตรการที่ 13 : พักชำระเงินต้น และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน สำหรับลูกค้าที่มีสถานะบัญชีปกติ (ไม่เป็น NPL ไม่อยู่ขั้นตอนของกฎหมาย และไม่อยู่ระหว่างทำข้อตกลงประนอมหนี้) และต้องเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบอาชีพ หรือทำธุรกิจ หรือการค้า เนื่องจากโควิด-19
มาตรการที่ 14 : พักชำระเงินต้น และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน พร้อมลดดอกเบี้ยลงเหลือ 3.90% ต่อปี สำหรับลูกหนี้ที่สถานะ NPL และลูกหนี้ NPL ที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้ ทั้งนี้ ลูกค้าที่เข้าร่วมมาตรการจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบอาชีพ หรือทำธุรกิจ หรือการค้า เนื่องจาก โควิด-19 และไม่สามารถผ่อนชำระเงินงวดให้ธนาคารได้ตามสัญญาเงินกู้ หรือตามข้อตกลงปรับโครงสร้างหนี้ หรือ ตามคำพิพากษา
โดยในเฟสแรกที่มาตรการสิ้นสุดเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ธนาคารได้ช่วยเหลือลูกหนี้ซึ่งกู้เงินกับธนาคารรวม 183,000 ล้านบาท และได้ให้ลูกหนี้ลงทะเบียนเพื่อได้รับการช่วยเหลือต่อ ในเดือนพฤศจิกายนคิดเป็นมูลค่าวงเงินสินเชื้อ 113,600 ล้านบาท ซึ่งในปี 2565 ธนาคารจะมีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยต่อเนื่อง ทั้งการลดดอกเบี้ย การแบ่งจ่ายตามความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้
ด้านนายอิสระ วงศ์รุ่ง รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กลุ่มลูกค้าบุคคล กล่าวว่า ในบทบาทการเป็นธนาคารเพื่อสังคม หรือ Social Bank ของธนาคารออมสิน เล็งเห็นแล้วว่า ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศไทยล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติ โควิด-19 ทำให้มีคนตกงาน ขาดรายได้ หรือบางคนยังมีงานทำ แต่อาจถูกลดเงินเดือน ขณะที่ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ยังคงเท่าเดิม หรือเพิ่มขึ้น
ดังนั้น ธนาคารจึงได้มี มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ค้างชำระไม่เกิน 90 วัน เป็นการพักชำระเงินต้น และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ย 25%-100% หรือ พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ถึง ธันวาคม 2564 และมาตรการรวมหนี้ (Debt Consolidation) เป็นการรวมภาระหนี้ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อรายย่อยประเภทอื่น เช่น สินเชื่อธุรกิจบัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล สินเชื่อพัฒนากลุ่มอาชีพ สินเชื่อฐานราก เป็นต้น เพื่อลดภาระดอกเบี้ย และแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนให้มีสภาพคล่องไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน
นอกจากนี้ ธนาคารได้มีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าและประชาชนทั่วไป ในด้านของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ผ่านแคมเปญ “สินเชื่อบ้านกู้ปีนี้ ผ่อนปีหน้า” ดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน และภายใน 6 เดือนนี้ ยังไม่ต้องผ่อนเงินงวดคืนให้ออมสิน เป็นการแบ่งเบาภาระให้ผู้กู้มีเงินสดไว้ใช้จ่ายในช่วง 6 เดือนแรก จะช่วยให้ผ่านวิกฤตหรือความยากลำบากไปด้วยกัน โดยลูกค้าจะต้องได้รับการอนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน 30 ธันวาคม 2564
ขณะเดียวกัน จากสถานการณ์น้ำท่วมตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้าเพิ่มเติมที่มีสินเชื่อกับธนาคารทุกประเภท เช่น ลูกค้าที่มีสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยกับธนาคารออมสิน จะได้รับการให้พักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยนาน 3 เดือน โดยลูกค้าสามารถติดต่อสาขาธนาคารออมสินที่มีบัญชีสินเชื่ออยู่ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 พร้อมทั้งยังมีมาตรการความช่วยเหลืออื่น ๆ ที่ธนาคารได้ดูแลลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง
สำหรับปี 2565 ธนาคารจะมีการดำเนินช่วยเหลือลูกหนี้ประเภทต่างอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านการรวมหนี้ข้ามธนาคาร การให้วงเงินสินเชื่อประเภทต่าง ๆ ในทุกกลุ่มลูกค้าด้วย ล่าสุด ธนาคารออมสินยังมีแคมเปญการกู้เงินซื้ออสังหาฯ ด้วยอัตราดอกเบี้ย 0% และปลอดเงินต้นเป็นระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งลูกค้าจะเริ่มต้นผ่อนชำระในปีหน้า
นายชัยยศ ตันพิสุทธิ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.ธนาคารกสิกรไทย กล่าวว่า ธนาคารมีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อของธนาคารกสิกรไทยที่ประสบปัญหาจากสถานกาณ์ โควิด-19 ด้วยกัน 3 ทางเลือก คือ 1. ผ่อนชำระเฉพาะดอกเบี้ย และลดอัตราดอกเบี้ย 0.10% เป็นระยะเวลา 3 เดือน 2. ลดยอดผ่อนต่องวด 50% เป็นระยะเวลา 3 เดือน และ 3. เลื่อนการชำระค่างวด (เงินต้นและดอกเบี้ย) เป็นระยะเวลา 3 เดือน
โดยธนาคารจะแจ้งผลการอนุมัติผ่านทาง SMS ภายใน 10 วันทำการ หลังจากลูกค้าลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว (กรณีลงทะเบียนสำเร็จ ก่อนวันครบกำหนด 10 วัน ธนาคารจะเริ่มปรับยอดผ่อนภายในรอบบัญชีนั้น หากลงทะเบียนสำเร็จหลังจากนั้น ธนาคารจะปรับยอดผ่อนในรอบบัญชีถัดไป) ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถชำระหนี้มากกว่าเงื่อนไขที่เข้าร่วมมาตรการได้ เพื่อลดยอดหนี้หรือดอกเบี้ยผ่าน K Plus โดยไม่ต้องแจ้งธนาคาร และสามารถสมัครเข้าร่วมมาตรการได้ตั้งแต่บัดนี้ ถึง 31 ธันวาคม 2564
สำหรับข้อมูล ณ 30 กันยายนที่ผ่านมา ธนาคารทั้งระบบได้ช่วยลูกค้าแบ่งเบาภาระจากผลกระทบโควิด-19 รวม 622,000 ราย วงเงินรวม 820,000 ล้านบาท ในส่วนธนาคารกสิกรได้ช่วยลูกค้าคิดเป็นวงเงินรวม 142,000 ล้านบาท
ส่วนนายอภิรัฐ เหล่าสินชัย ผู้จัดการศูนย์สินเชื่ออุปโภคบริโภค บมจ.ธนาคารกรุงเทพ กล่าวว่า ในส่วนของธนาคารกรุงเทพ มีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าของธนาคารที่ประสบปัญหาโควิด-19 ผ่านสินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่ออเนกประสงค์ที่ใช้ที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกัน โดยมีมาตรการลดภาระการชำระหนี้ให้กับลูกค้าผ่าน 4 มาตรการคือ 1. การปรับลดค่างวด 2. พักชำระเฉพาะเงินต้น และพิจารณาให้ชำระดอกเบี้ยเพียงบางส่วน 3. พักชำระเฉพาะเงินต้น และพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ย และ 4. พักชำระค่างวด เพื่อให้ลูกค้าสามารถวางแผนทางการเงินของตนเองในสถานการณ์นี้ และร่วมฝ่าวิกฤตการเงินร่วมไปกับลูกค้าของธนาคาร
โดยธนาคารกรุงเทพจะช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 ต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี 2565 ซึ่งปีหน้าจะเพิ่มความเข้มข้นในการช่วยเหลือ ภายใต้แนวทางความยั่งยืน อาทิ การเพิ่มระยะเวลาผ่อนชำระให้นานขึ้น โดยดูจากสภาพปัญหา และความสามารถในการผ่อนชำระของลูกค้าแต่ละราย
สำหรับนางสาวพัชรินทร์ สุงสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสายงาน Retail Lending Product Management ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ธนาคารได้มีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อที่อยู่อาศัยมาโดยตลอดตั้งแต่ระยะที่ 1 จนถึงปัจจุบัน เพื่อลดผลกระทบจากโควิด-19 ระยะที่ 3 โดยเสนอมาตรการที่เหมาะสมกับลูกค้า แต่ละราย ตามความสามารถในการชำระหนี้ เช่น การปรับลดค่างวดและหรือขยายระยะเวลาการผ่อนชำระ การพักเงินต้นและจ่ายดอกเบี้ยบางส่วน เพื่อให้ลูกหนี้สามารถทยอยคืนเป็นขั้นบันไดตามความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถขอเข้ารับมาตรการช่วยเหลือได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564
“ธนาคารมีเจตนารมณ์แน่วแน่ในการสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนก้าวผ่านวิกฤตดังกล่าวไปด้วยกัน ด้วยการ ทำตัวเราให้แข็งแรง ช่วยเหลือลูกค้าให้อยู่รอด และสนับสนุนสังคมให้อยู่ได้ จึงได้ดำเนินการเชิงรุกในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แบบเบ็ดเสร็จ โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อนำลูกค้าที่ได้รับผลกระทบที่อยู่ในโครงการช่วยเหลือไปสู่การแก้ปัญหาในระยะยาว โดยลูกค้าที่ผ่านกระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แบบเบ็ดเสร็จจะได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิด และคาดว่าจะสามารถฟื้นตัวไปพร้อม ๆ กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ”
นายสีห์โสภณ ตติยะวรนันท์ ผู้ช่วยสายงาน Retail Lending ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ เปิดเผยว่า ธนาคารมีความเป็นห่วงลูกค้าโดยออกมาตราการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด -19 (สำหรับลูกค้าที่ยังไม่เป็น NPL) โดยมีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่มีที่อยู่อาศัย เป็นหลักประกัน ดังนี้ 1.พักชำระค่างวด (เงินต้นและดอกเบี้ย) 3 งวด 2.ลดค่างวด 3 งวด และพิจารณากาลดอัตราดอกเบี้ยให้ตามความเหมาะสมของลูกค้าแต่ละราย และ 3.ขยายระยะเวลาการพักชำระหนี้หรือการลดค่างวด ทั้งนี้ธนาคารพิจารณาการช่วยเหลือเป็นรายกรณีไป โดยสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564