Infographic

 

Infographic ล่าสุด

1 2 3 4 ... 13
5 ข้อต้องรู้ก่อนจะเป็น “ผู้กู้ร่วม”

5 ข้อต้องรู้ก่อนจะเป็น “ผู้กู้ร่วม”

เวลาเราจะกู้สินเชื่อที่อยู่อาศัย แต่เกิดกู้คนเดียวไม่ผ่านหรือรายได้ไม่พอ ทางออกที่นิยมใช้กันมากที่สุดนั่นคือการหา “ผู้กู้ร่วม” เพื่อเพิ่มความสามารถในการผ่อนชำระ แต่ก่อนจะหาผู้กู้ร่วมหรือถูกขอให้เป็นผู้กู้ร่วมก็ตาม จะมีข้อที่ควรพิจารณา 5 ข้อสำคัญที่ต้องตระหนักให้รอบคอบ ดังนี้ครับ คุณสมบัติของผู้กู้ร่วม ผู้กู้ร่วม จะต้องมีความสัมพันธ์ทางเครือญาติกัน เช่น นามสกุลเดียวกัน เป็นสามี-ภรรยากัน เป็นต้น และมีเงื่อนไขอื่นๆ แล้วแต่ธนาคาร ภาระหนี้ผ่อนหารเฉลี่ย เมื่อไรก็ตามที่เราอยู่ในสถานะ “ผู้กู้ร่วม” เต็มตัว นั่นหมายความว่าเราจะเป็นลูกหนี้ที่มีภาระร่วมด้วยเช่นกันกับผู้กู้หลัก แม้ว่าในความเป็นจริง เราจะเป็นผู้ช่วยผ่อนชำระด้วยหรือไม่ก็ตาม และแน่นอนว่าในอนาคต หากผู้กู้ร่วมต้องการขอสินเชื่อครั้งใหม่ การกู้ร่วมตรงนี้ก็จะถูกนำไปพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ด้วย เช่น การกู้สินเชื่อครั้งนี้มีการผ่อนชำระเดือนละ 12,000 บาท เท่ากับว่าผู้กู้หลักกับผู้กู้ร่วมจะรับภาระคนละ 6,000 บาท ถ้าไปขอสินเชื่อครั้งใหม่ธนาคารจะมองว่าความสามารถในการผ่อนมีน้อยลง ประวัติผ่อนชำระเช่นเดียวกัน เมื่อเรากู้ร่วมไปแล้ว ประวัติการผ่อนชำระก็จะเป็นไปตามผู้กู้หลักตามไปด้วย ซึ่งหากมีการผ่อนชำระล่าช้า หรือไม่สามารถชำระหนี้ได้จนค้างชำระ ประวัติการผ่อนต่างๆ เหล่านี้ก็จะแสดงในเครดิตบูโรของผู้กู้ร่วมด้วย ส่งผลอย่างมากต่อการขอสินเชื่อครั้งใหม่ในอนาคต กรรมสิทธิ์ในหลักประกันร่วมกัน กรณีของการกู้ร่วมโดยทั่วไปทำได้ 2 แบบ คือ ใส่ชื่อคนเดียวเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ กับ ใส่ชื่อผู้กู้ร่วมเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกัน แต่อย่าลืมว่าหากในอนาคตต้องการจะขายบ้าน ก็จะต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ทุกคนเสียก่อน สิทธิประโยชน์ด้านลดหย่อนภาษี ดอกเบี้ยบ้านจากการกู้ร่วมสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง แต่สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาทต่อปีภาษี สำหรับกรณีของการกู้ร่วมให้หารเฉลี่ยตามจำนวนผู้กู้ เช่น ดอกเบี้ยบ้านทั้งปีอยู่ที่ 90,000 บาท จะสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้คนละ 45,000 บาท แต่หากดอกเบี้ยเกิน 100,000 บาท จะใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้จะอยู่ที่ 100,000 บาทเท่านั้น นั่นหมายความว่าสามารถใช้สิทธิลดหย่อนดอกเบี้ยบ้านได้คนละ 50,000 บาท จะแบ่งเองว่าฝ่ายหนึ่งมากกว่าอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้   จะเห็นได้ว่าการที่จะเป็นผู้กู้ร่วมเต็มตัวนั้น ไม่ใช่แค่เซ็นเพื่อให้ยื่นกู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยผ่านหรือเพิ่มวงเงินเท่านั้น แต่ต้องมองไปถึงอนาคตด้วยครับ เพราะส่งผลต่อเครดิตบูโรของเราเต็มๆ ไม่ต่างจากเป็นผู้กู้หลักเลย ถ้าหาผู้กู้ร่วมได้แล้ว ก็อย่าลืมดูเนื้อหาอื่นที่เกี่ยวข้องกับการกู้สินเชื่อต่อไปจาก Infographic อื่นๆ ของเราด้วยนะครับ   เคล็ด (ไม่) ลับ เลือกธนาคารกู้ซื้อบ้าน เคล็ดลับผ่อนบ้านให้หมดเร็ว ดอกเบี้ยลด หมดหนี้ไว  
เคล็ดลับผ่อนบ้านให้หมดเร็ว ดอกเบี้ยลด หมดหนี้ไว

เคล็ดลับผ่อนบ้านให้หมดเร็ว ดอกเบี้ยลด หมดหนี้ไว

เวลาเรากู้ซื้อที่อยู่อาศัยไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโดก็ตาม ด้วยระยะเวลาผ่อนยาว 20-30 ปี ดูเหมือนจะเป็นการผ่อนแบบสบายๆ แต่อย่าลืมว่าต่อไปเราไม่ได้ผ่อนแค่เงินที่เรากู้มาจากธนาคารเท่านั้น เพราะที่ตามมาก็คือดอกเบี้ย เช่น กู้ซื้อบ้าน 3 ล้านบาท เลือกผ่อนเป็น 20 ปี คิดเป็นดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายทั้งหมดประมาณ 2.5 ล้านบาท ฉะนั้นยิ่งผ่อนหมดเร็วมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งประหยัดดอกเบี้ยจากการผ่อนได้มากเท่านั้นครับ แล้วอย่างนี้ ใครล่ะจะไม่อยากหมดหนี้เร็วๆ   โปะเงินผ่อนบ้านเพิ่มทุกเดือน ก่อนเราจะตัดสินในใจซื้อบ้านหรือคอนโด สิ่งสำคัญคือต้องกู้ในระดับราคาที่ไม่เกินตัวจนเกินไปนัก เพราะไม่ใช่แค่ผ่อนต่อเดือนที่ทางธนาคารกำหนดมาให้ได้เท่านั้น แต่เราต้องสามารถจ่ายโปะเงินเพิ่มมากกว่าที่กำหนดได้ทุกเดือน เพื่อให้ระยะเวลาในการผ่อนของเราจบลงเร็วขึ้น ดอกเบี้ยก็ไม่บานต่อตามไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น กู้มา 3 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อน 20 ปี ดอกเบี้ยทั้งหมด 2.5 ล้านบาท และต้องผ่อนเดือนละ 22,300 บาท แต่หากเราเพิ่มเงินผ่อนอีกเดือนละ 10% หรือคิดเป็นเป็นเงิน 2,230 บาท ทำแบบนี้ทุกเดือน ระยะเวลาผ่อนก็จะเหลือ 17 ปี ดอกเบี้ยทั้งหมดจะเหลือ 1.9. ล้านบาท และถ้ายิ่งโปะมากกว่านี้ก็จะยิ่งลดลงอีกครับ โปะด้วยเงินก้อน เป็นประจำทุกปีสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่บริษัทจะจ่ายโบนัสให้พนักงงานเป็นเงินก้อน บางแห่งก็ได้ตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสนบาทกันเลยทีเดียวเชียว แนะนำว่าเมื่อเรามีเงินก้อนแล้วแบ่งมาโปะเพื่อให้ยอดหนี้ลดลง จากตัวอย่างเดิม กู้มา 3 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อน 20 ปี ดอกเบี้ยทั้งหมด 2.5 ล้านบาท เอาเงินโบนัสมาโปะบ้าน 1 แสนบาท โดยโปะเมื่อผ่อนบ้านไปแล้ว 1 ปี และโปะเพียงครั้งเดียว คิดเป็นดอกเบี้ยที่ประหยัดได้ตลอดระยะเวลาที่เหลือเกือบ 3 แสนบาท และระยะเวลาผ่อนบ้านลดลงเกือบ 1.5 ปี ครบ 3 ปี รีไฟแนนซ์ โดยทั่วไปแล้วเมื่อเราเริ่มกู้เงินกับธนาคาร ก็จะมีอัตราดอกเบี้ยต่ำคงที่อยู่ประมาณ 3 ปี แต่หลังจากนั้นแล้วก็จะลอยตัวขึ้น เราจึงเลือกที่จะรีไฟแนนซ์กับธนาคารใหม่ที่ให้ดอกเบี้ยต่ำกว่า แต่ถ้าตลอดระยะเวลา 3 ปี จะสามารถเจราจาขอลดอัตราดอกเบี้ยลงได้กับทางธนาคารเดิม แต่ก่อนจะตัดสินใจก็ต้องเปรียบเทียบดูหลายๆ ธนาคาร ก่อนจะทำตามขั้นตอนเหมือนกับการยื่นกู้ครั้งแรก ซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายที่ตามมาจากการรีไฟแนนซ์ ซึ่งได้แก่ ค่าธรรมเนียมในการจำนอง (จ่ายกรมที่ดิน) 1% ของวงเงินกู้ใหม่ ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ใหม่ ค่าประเมินหลักประกัน 2,700 บาท (ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคาร)   และก่อนจะยื่นกู้สินเชื่อธนาคาร หรือรีไฟแนนซ์ใหม่ เรายังมีอีกหนึ่ง Infographic เรื่อง เคล็ด (ไม่) ลับ เลือกธนาคารกู้ซื้อบ้าน ก็สำคัญไม่แพ้กันครับ  
บ้านกับรถ ซื้ออะไรก่อนดี ?

บ้านกับรถ ซื้ออะไรก่อนดี ?

เป้าหมายของชีวิตใครหลายๆ คนหลังจากเรียนจบคืออะไรครับ? ส่วนมากแล้วก็จะเป็นการที่มีรถและบ้านเป็นของตัวเอง หรือการเก็บเงินเริ่มสร้างครอบครัว แต่ไม่ว่าจะมีเป้าหมายอะไรก็ตาม เรื่องของราคาก็ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญ เพราะยุคนี้จะซื้อด้วยเงินสด หรือใช้เงินเก็บล้วนๆ ก็คงยากสำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างเรา  ลองมาดูกันว่า เราควรจะวางแผนระหว่างซื้อรถกับซื้อบ้าน ถ้าต้องเลือกจะซื้ออะไรก่อนดี?? สำรวจความพร้อมของตัวเองในการกู้เงิน เริ่มจากดูรายรับกับรายจ่ายของเราในปัจจุบัน แล้วนำมาเปรียบเทียบกับความสามารถที่เราจะชำระเงินได้ โดยพิจารณาจาก 2 ส่วนหลักๆ   เงินดาวน์ เงินกู้ยืม ดอกเบี้ย ต้องนำมาคำนวณให้ดีในระยะยาวตามข้อกำหนดเงื่อนไขที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละสถาบันที่เราจะยื่นกู้ ซึ่งการผ่อนชำระนั้น เงินกู้ไม่ควรเกิน 40% ของรายได้ เช่น เรามีเงินเดือน 30,000 บาท เราจะมีความสามารถในการชำระเงินกู้ได้เดือนละ 12,000 บาท เป็นต้น และอย่าลืมภาระค่าใช้จ่ายและหนี้สินอื่นๆ ที่มีอยู่ก็ต้องเอามาคำนวณด้วยเช่นกัน   ค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษา ไม่ว่าจะรถหรือบ้านก็ย่อมมีค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษาระหว่างที่เราผ่อนไปด้วยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น ค่าซ่อมรถ ค่าน้ำมัน ค่าประกันรถยนต์ หรือค่าส่วนกลางของที่อยู่อาศัย ค่าบำรุงรักษาต่างๆ เหล่านี้อย่าลืมนำมาคิดเป็นรายจ่ายต่อเดือนด้วยนะครับ   ต้องเลือกซื้ออันไหนก่อนระหว่าง บ้าน หรือ รถ? ความจำเป็น เหตุผลนี้เป็นปัจจัยส่วนบุคคลเลยครับ บางคนอาศัยอยู่บ้านเดิมกับครอบครัวไม่มีแผนจะแต่งงาน หรือบ้านอยู่ไกล เดินทางไม่สะดวก ก็อาจจะต้องพิจารณาการซื้อรถ บางคนมีที่อยู่อาศัยใกล้ที่ทำงานอยู่แล้ว มีการวางแผนแต่งงาน ก็อาจจะพิจารณาซื้อบ้านก่อน เป็นต้น   วิถีชีวิต อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องลองสังเกตตัวเอง เช่น หากเราต้องทำงานที่ต้องใช้รถเดินทางตลอดเวลา อย่างเช่น อาชีพเซลที่ต้องเดินทางติดต่อลูกค้า การตัดสินใจซื้อรถเพื่อประโยชน์ในการเดินทางเพื่อสร้างรายได้ก็น่าจะเป็นคำตอบที่ถูกต้อง แต่ถ้าการเดินทางระหว่างบ้านกับที่ทำงานสะดวกสบายด้วยระบบขนส่งสาธารณะอยู่แล้ว ก็อาจจะพิจารณาซื้อบ้านก่อน แต่อย่าลืมการวางแผนระยะยาวไว้ด้วย เพราะเราทุกคนมีโอกาสที่จะเปลี่ยนงานได้อยู่เสมอ ไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม   การลงทุนทางการเงิน ในการกู้เงินซื้อบ้านหรือรถให้คิดว่าเป็นการลงทุนทางการเงิน เพราะบางคนอาจมีรายได้จากรถยนต์ได้ เช่น ค้าขาย หรือใช้ประโยชน์เพื่อสร้างรายได้เพิ่ม ถ้าลองรวมกับค่าเสื่อมแล้วคุ้มค่าก็แนะนำให้พิจารณาการซื้อรถก่อน แต่ถ้าหากการซื้อรถนั้นไม่สามารถเพิ่มรายได้ หรือลดภาระทางการเงินได้ ในทางกลับกันมีแต่จะเกิดค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ การซื้อบ้านก่อนก็อาจมีผลดีกว่า เนื่องจากในแต่ละปีที่ผ่านไปมูลค่าของบ้านมักจะเพิ่มสูงขึ้น แต่รถยนต์กลับมีราคาลดลง   มองการณ์ให้ไกล สุดท้ายก็ต้องดูเรื่องของรายรับ-รายจ่ายของเราเป็นหลักแล้ว จะต้องมองไปไกลถึงอนาคตข้างหน้าถึงความจำเป็นของเราให้มากที่สุด แล้วคุณจะมีทั้งรถทั้งบ้าน โดยไม่ต้องกลัวว่าจะผ่อนกันหัวโต หรือต้องประสบปัญหาทางการเงิน     ไม่ว่าจะตัดสินใจซื้ออะไรก่อนระหว่างรถยนต์กับบ้าน ก็ควรคิดให้รอบด้านทั้งในปัจจุบันไปจนถึงอนาคต เพราะทั้งสองอย่างนี้เป็นรวมแล้วจำนวนไม่น้อยเลย และถ้าตัดสินใจเลือกซื้อได้แล้ว ในครั้งหน้าเราจะนำเทคนิคการผ่อนให้หมดเร็วๆ มาฝากกัน อย่าลืมติดตามในสัปดาห์หน้านะครับ    
ที่ดินทรุด ปัญหาที่เช็กและแก้ได้

ที่ดินทรุด ปัญหาที่เช็กและแก้ได้

เมื่อวันเวลาผ่านไปหลายบ้านมักจะต้องเจอกับปัญหาที่ดินทรุด ก่อให้เกิดปัญหาตามมากมาย เสียทั้งเวลา เสียทั้งเงินฉะนั้นเราจึงควรตรวจสอบดินทรุดด้วยวิธีต่างๆ พร้อมศึกษาวิธีแก้ปัญหา ตรวจสอบดินทรุดอย่างเข้าใจ ก่อนความยุ่งยากทั้งหลายจะตามมา ย้อนอดีตที่ดินของตนเอง ก่อนจะควักเงินก้อนโตซื้อที่ดินสักผืน ควรตรวจสอบย้อนประวัติกลับไปดูให้ดีว่า ที่ดินนั้นเคยเป็นแอ่ง บ่อน้ำ หรืออยู่ใกล้กับแม่น้ำหรือไม่ เพราะสาเหตุเหล่านี้เป็นปัจจัยหลักที่จะก่อให้เกิดน้ำกัดเซาะอยู่ตลอดจนที่ดินทรุดในอนาคต กระทบถึงโครงสร้างบ้านได้ แต่หากเป็นที่ดินมรดกก็ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อป้องกันปัญหา   เช็คโซนของบ้านเรา กรุงเทพฯ มีลักษณะเป็นที่ลุ่มต่ำ ตั้งอยู่บริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยา จึงทำให้บางที่ดินเกิดเป็นแอ่ง  มีอัตราการทรุดตัวลงทุกปีประมาณ 1 เซนติเมตร  และยังมีระดับน้ำทะเลหนุนปีละปริมาณ 4 มิลลิเมตร เหล่านี้เกิดจากสิ่งก่อสร้างถูกก่อสร้างบนดินลักษณะอ่อนนุ่มนั่นเองนั่นเอง และถ้าดูผลการสำรวจจากกรมทรัพยากรธรณี สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย และกรมแผนที่ทหารเมื่อช่วงปี 2551 จะพบว่าแต่ละโซนของกรุงเทพฯ มีที่ดินทรุดตัวมากน้อยแตกต่างกัน ทั้งนี้พื้นที่ทรุดมากที่สุดคือเขตบางกะปิ โดยมีการทรุดตัวสะสมประมาณ 1.20 เมตรเศษ ส่วนที่น้อยสุดคือฝั่งนนทบุรี   พิจารณาที่ดินทรุดช่วงหน้าฝน ฤดูฝนเป็นช่วงเวลาที่ดีในการเช็คว่าที่ดินมีการทรุดตัวหรือไม่ โดยสามารถดูได้จากปริมาณดินอันไหลไปกับน้ำฝน ในขณะเดียวกันหากเพิ่งถมใหม่ๆ จะทำให้ที่ดินมีความแน่นขึ้น ทั้งนี้การถมที่ให้แน่นมีด้วยกัน 2 วิธีคือ ถมแบบอัด เพิ่มปริมาณความหนาทีละชั้นหน้าดิน เมื่อฝนตกถูกชะล้างออกไป วิธีนี้สามารถป้องกันดินทรุดได้ดี ส่วนวิธีที่ 2 เป็นการถมแบบไม่อัด คือให้เต็มพื้นที่ทีเดียว แน่นอนว่าข้อดีคือได้ความเร็ว แต่ข้อเสียสังเกตได้เลยฝนตกแบบนี้ ดินทรุดแน่นอน   แก้ไขรับมือปัญหาที่ดินทรุด   ถมที่ดินใหม่ให้แน่น การถมที่ดินในหน้าฝนจะทำให้ดินแน่น แต่ทั้งนี้ต้องขึ้นอยู่กับรูปแบบของการถมด้วย ซึ่งแน่นอนว่าการถมแบบบีบอัด ย่อมป้องกันปัญหาที่ดินทรุดได้อย่างดี แต่ถ้าต้องการความแน่น เพื่อความชัวร์ว่าสร้างบ้านหรืออาคารไปแล้วไม่ทรุด ต้องเพิ่มปริมาณดินทีละชั้นประมาณ 20-50 เซนติเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะดินด้วย ประกอบกับระหว่างการถมต้องอัดให้แน่นทีละชั้น แล้วค่อยถมต่อ อันเป็นกระบวนการของการบีบอัดหน้าดิน ซึ่งต้องทำเช่นนี้จนกว่าจะได้ระดับดินจนเต็มพื้นที่ ทั้งนี้เมื่อถมเสร็จ สังเกตว่าปริมาณดินไม่เกิดการยุบตัวลง จึงค่อยลงมือสร้างบ้านหรืออาคารนั้นได้   สร้างกำแพงดิน กรณีดินเกิดการทรุดตัวลงแล้วให้ใช้วิธีสร้างกำแพงดิน ซึ่งอาจเกิดจากขั้นตอนการถมดินโดยไม่ได้ใช้วิธีบีบอัด ทำให้ดินไหลไปกับกระแสน้ำ ดังนั้นวิธีแก้ไขเฉพาะหน้าคือต้องสร้างกำแพงดินนั่นเอง   ปูหญ้าแฝก เรียกว่าเป็นวิธีแก้ปัญหาดินทรุด ที่ประหยัดสุดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยวิธีปลูกหญ้าแฝกในแนวสโลบ เพื่อป้องกันดินสไลด์ในช่วงหน้าฝนหรือฤดูน้ำหลาก ซึ่งส่วนใหญ่จะนิยมปลูกขวางแนวลาดชัน ทั้งนี้เป็นการป้องกันน้ำกัดเซาะ นิยมกับพื้นที่ริมแม่น้ำ   ทั้งวิธีการป้องกันและแก้ไขปัญหาเหล่านี้อาจจะต้องใช้เวลากันระยะหนึ่งเลยครับ แต่ทั้งนี้ก็เพื่อปกป้องบ้านของเราให้ ไร้ปัญหาที่ดินทรุด เกิดความเสียหายอย่างมหาศาลในอนาคต      
10 วิธีดับกลิ่นฉุนปัสสาวะในห้องน้ำ

10 วิธีดับกลิ่นฉุนปัสสาวะในห้องน้ำ

กลิ่นไม่พึงประสงค์ในห้องน้ำที่ใครๆ ก็ร้องยี้!! หนีไม่พ้นกลิ่นฉุนจากปัสสาวะที่คลุ้งตลบอบอวลไปทั่วห้องน้ำ แถมด้วยคราบสกปรกจนไม่อยากจะเข้าใช้ต่อ แต่วันนี้เรามีวิธีกำจัดกลิ่นเหล่านี้ด้วยสิ่งของที่หาได้ง่ายๆ ในบ้านของเราเอง ตามไปดูกันดีกว่าครับ ว่ามีวิธีไหนที่สามารถดับกลิ่นฉี่ในห้องน้ำได้ผลบ้าง     น้ำยาล้างจาน วิธีง่ายๆ ที่ต้องมีเพียงขวดหัวสเปรย์เท่านั้น โดยผสมน้ำยาล้างจาน 1 ช้อนโต๊ะ กับน้ำเปล่า 6 ออนซ์ แล้วเทใส่ขวดสเปรย์ นำไปฉีดให้ทั่วชักโครก รวมถึงในแท็งก์น้ำของชักโครก แล้วใช้แปรงขัดตาม จากนั้นล้างออกด้วยน้ำสะอาด กลิ่นก็จะหายไป    น้ำมะนาวผสมเบกกิ้งโซดา ทั้งน้ำมะนาวกับเบกกิ้งโซดา ใช้ประโยชน์ได้หลายอย่างมากเลยนะครับ แนะนำว่าให้มีติดบ้านเอาไว้เลย อย่างการกำจัดกลิ่นปัสสาวะในห้องน้ำก็สามารถทำได้โดย นำทั้งสองสิ่งนี้มาผสมกันจนเป็นครีมข้นๆ แล้วนำไปถูให้ทั่วชักโครกกับตามขอบยาวแนว ทิ้งไว้ 15 นาที จากนั้นเปิดฝาแท็งก์น้ำด้านหลังโถออก แล้วเทน้ำส้มสายชู ½ ถ้วยตวงลงไป ทิ้งไว้ 15 นาที กดน้ำทิ้ง 2-3 ครั้ง เทน้ำส้มสายชูลงไปเพิ่มอีก ½ ถ้วยตวง ปล่อยทิ้งไว้สักพัก ระหว่างนั้นให้นำแปรงสีฟันที่ไม่ใช้แล้วมาขัดทำความสะอาดตามร่องเล็ก ๆ ที่ชักโครกให้สะอาด แล้วกดน้ำทิ้งซ้ำอีกครั้ง   สารฟอกขาว วิธีนี้เหมาะสำหรับห้องน้ำที่มีกลิ่นแรงครับ ให้นำสารฟอกขาว 1 ถ้วยตวง เทลงในโถสุขภัณฑ์แล้วทิ้งไว้สักพัก จากนั้นนำฟองน้ำหรือแปรงขัดมาชุบสารฟอกขาวเพียงเล็กน้อย แล้วขัดไปรอบๆ โถให้ทั่ว และกดน้ำในโถส้วมทิ้งไปหลายๆ รอบ   ก้อนเบกกิ้งโซดา วิธีนี้อาจต้องใช้เวลาสักนิดครับ เริ่มจากนำเบกกิ้งโซดามาผสมกับกรดมะนาว น้ำส้มสายชู ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ และน้ำมันหอมระเหย คนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากันดี จากนั้นตักใส่แม่พิมพ์ แล้วรอให้จับตัวเป็นก้อน หากโถสุขภัณฑ์มีกลิ่นก็เอาก้อนนี้ใส่ลงไปได้เลย   น้ำสบู่ผสมน้ำส้มสายชู สูตรนี้หลายคนบอกว่าได้ผลดีทีเดียวครับ นำเบกกิ้งโซดา ¼ ถ้วยตวง มาผสมกับน้ำส้มสายชู ¼ ถ้วยตวง เติมน้ำเปล่าลงไปอีก 2 แกลลอน และสบู่เหลว 30 มิลลิลิตร แต่ถ้ากลิ่นแรงมากๆ ก็แนะนำให้ผสมผงบอแร็กซ์ลงไปอีก ½ ถ้วยตวง แล้วคนให้เข้ากัน นำไปทำความสะอาดพื้นห้องน้ำ โดยเฉพาะบริเวณที่มีกลิ่น   น้ำมันหอมระเหยผสมแอลกอฮอล์ เป็นวิธีสำหรับป้องกันกลิ่นก่อนจะเกิดปัญหาครับ โดยผสมแอลกอฮอล์ 1 ช้อนชา น้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่ชอบประมาณ 30-40 หยด และน้ำเปล่าอีกเล็กน้อยพอให้ไม่ข้นจนเกินไป แล้วเทใส่ขวดสเปรย์ ใช้ฉีดที่ชักโครกทุกครั้งหลังเราทำธุระเสร็จ   เกลือผสมน้ำส้มสายชู บางครั้งกลิ่นก็ไม่ได้มาจากตัวโถสุขภัณฑ์เพียงอย่างเดียวนะครับ แต่อาจจะอยู่ที่พื้นด้วยก็ได้ ฉะนั้นก็ต้องทำความสะอาดพื้นไปด้วย เริ่มจากนำเกลือ 1 ถ้วยตวง มาผสมกับเบกกิ้งโซดา 1 ถ้วยตวง และตามด้วยน้ำส้มสายชูอีก 1 ถ้วยตวง คนให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี แล้วราดพื้นทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วเช็ดส่วนผสมออกให้หมดหรือล้างออกด้วยน้ำสะอาด   ซักพรมในห้องน้ำ ถ้าห้องน้ำมีพรมเช็ดเท้าล่ะก็ ต้องนำมาซักทำความสะอาดด้วยนะครับ เพราะอาจจะแอบมีปัสสาวะสะสมไว้เป็นเวลานานจนทำให้ส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วก็ได้   สูตรแอมโมเนียผสม นำแอลกอฮอล์ขนาด 2 ถ้วยตวง มาผสมกับสบู่เหลว 1 ช้อนชา และแอมโมเนียธรรมดาหรือแอมโมเนียกลิ่นมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ ในระหว่างที่กำลังผสมอย่าคนจนเกิดฟองอากาศเด็ดขาด แล้วเทใส่ขวดสเปรย์เก็บไว้ เมื่อจะใช้ดับกลิ่นก็เพียงแค่ฉีดสเปรย์ลงไปและราดน้ำให้เรียบร้อย   DIY เครื่องหอม เป็นวิธีสำหรับคนชอบ DIY ครับ มีส่วนประกอบเยอะและใช้เวลากว่าวิธีอื่นสักหน่อย แต่สามารถดัดแปลงสูตรเองได้ตามใจชอบด้วย เริ่มจากฝานเลมอนแล้วนำไปใส่ในขวดโหลที่มีฝาปิด ตามด้วยโรสแมรี่ 2 ก้าน วานิลลาสกัด 1 ช้อนชา เติมน้ำให้เกือบเต็มขวดโหล นำไปแช่ในตู้เย็นประมาณ 2 สัปดาห์ แล้วค่อยนำเอาออกมาต้มด้วยไฟกลางให้พอเดือด เทใส่ขวดโหล จากนั้นก็นำไปวางในห้องน้ำได้เลย     ทั้ง 10 วิธีนี้ ลองเลือกนำไปใช้ดูนะครับ แล้วจะพบว่าเป็นการกำจัดกลิ่นที่ไม่ยากเลย แถมบางวิธียังได้กลิ่นหอมๆ ในห้องน้ำไว้ด้วยอีกต่างหาก และอย่าลืมติดตามเคล็ดลับดีๆ อย่างนี้จาก Infographic ของเรานะครับ      
เปิดข้อมูล 5 แอปเรียกรถโดยสารในประเทศไทย

เปิดข้อมูล 5 แอปเรียกรถโดยสารในประเทศไทย

ในยุคที่ใครๆ ก็มีสมาร์ทโฟนอยู่ในมือ จะทำอะไรชีวิตก็ดูง่ายไปหมด รวมถึงการมี Application เรียกรถโดยสาร จะไปไหนก็สะดวก บริการรับ-ส่งถึงหน้าบ้าน ไม่ต้องต่อรองใดๆ แต่ในบ้านเราก็มีบริการแบบเดียวกันอยู่หลายเจ้า วันนี้เรานำข้อมูลจาก 5 Application มาเปรียบเทียบกันให้ดูครับ เผื่อจะเป็นทางเลือกให้ตัดสินใจลองใช้บริการกันได้   Grab เจ้าของ : 75% สัญชาติไทย โดยมีกลุ่มเซ็นทรัลเป็นนักลงทุนใหญ่ รูปแบบการให้บริการรถ : รถยนต์ส่วนบุคคลทั่วไป, แท็กซี่, บริการสั่งอาหาร, บริการจ่ายเงินออนไลน์ และบริการส่งของ จำนวนจังหวัดให้บริการ : 18 จังหวัด แพลตฟอร์มการเรียก : แอปพลิเคชั่น ราคา : ใช้ระบบ Dynamic Pricing รถยนต์ส่วนบุคคลทั่วไป เริ่มต้น 30 บาท และ 9 บาท/กม. แท็กซี่ ราคาตามมิเตอร์ + ค่าเรียก 20 บาท   Line Thailand เจ้าของ : 50.02% สัญชาติไทย (บริษัทแม่จากประเทศเกาหลีใต้) รูปแบบการให้บริการรถ : แท็กซี่, บริการสั่งอาหาร และพัสดุ จำนวนจังหวัดให้บริการ : กรุงเทพฯ แพลตฟอร์มการเรียก : แอปพลิเคชั่น ราคา : ราคาตามมิเตอร์ + ค่าเรียก 20 บาท   All Thai Taxi เจ้าของ : นครชัยแอร์ (ทำแบบธุรกิจเช่าซื้อ) รูปแบบการให้บริการรถ : แท็กซี่จากนครชัยแอร์ (Toyota Prius) จำนวนจังหวัดให้บริการ : กรุงเทพฯ และเชียงใหม่ แพลตฟอร์มการเรียก : Call Center, Line@ ราคา : มิเตอร์เริ่มต้น 35 บาท + ค่าบริการเรียกผ่านแอปพลิเคชั่น และ Call Center 40 บาท   Smart Taxi เจ้าของ : บริษัท สมาร์ทแท็กซี่ จำกัด รูปแบบการให้บริการรถ : แท็กซี่ทั่วไป จำนวนจังหวัดให้บริการ : กรุงเทพฯ แพลตฟอร์มการเรียก : Call Center และแอปพลิเคชั่น ราคา : มิเตอร์เริ่มต้น 35 บาท + ค่าบริการเรียกผ่านแอปพลิเคชั่น 25 บาท หรือ Call Center 20 บาท   Taxi OK เจ้าของ : บริษัท แท็กซี่ โอเค จำกัด รูปแบบการให้บริการรถ : Taxi ทั่วไป จำนวนจังหวัดให้บริการ : กรุงเทพฯ แพลตฟอร์มการเรียก : แอปพลิเคชั่น ราคา : มิเตอร์เริ่มต้น 35 บาท + ค่าบริการเรียกผ่านแอปพลิเคชั่น 20 บาท     ข้อมูลจาก CONC Thammasat  
ซื้อคอนโด มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง?

ซื้อคอนโด มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง?

เวลาเราจะซื้อคอนโดฯ สักห้องหนึ่ง จะมีค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่นอกเหนือจากเงินดาวน์ เงินจอง ตามมาอีกไม่น้อยเลยนะครับ ลองมาดูกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง จะได้เตรียมตัว เตรียมใจ เตรียมตังค์ในกระเป๋าเอาไว้ทัน   ค่าใช้จ่ายเมื่อจะซื้อคอนโด เงินจอง (จ่ายครั้งเดียว) ราคาตั้งแต่ประมาณ 20,000 บาทขึ้นไป ขึ้นอยู่กับราคาห้องที่เราจะซื้อ   เงินทำสัญญา (จ่ายครั้งเดียว) เมื่อวางเงินจองแล้ว ถัดไปอีก 7-14 วัน ทางโครงการจะเรียกมาทำสัญญาจะซื้อจะขาย โดยมากเป็นจำนวนเงินก้อนที่มากกว่าเงินจองตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสน แล้วแต่ราคาห้องของเรา   เงินดาวน์ (จ่ายหลายครั้งเป็นงวดๆ ) การซื้อคอนโดในปัจจุบันจะเป็นการซื้อตั้งแต่โครงการกำลังสร้างอยู่ จึงมีการผ่อนดาวน์เป็นงวดๆ แล้วแต่โครงการจะกำหนด โดยจะดูระยะเวลาการก่อสร้างด้วย แต่เนื่องจากมีมาตรการปล่อยสินเชื่อเพื่อซื้อคอนโดได้ไม่เกิน 90% (LTV) ดังนั้นเงินดาวน์ที่ต้องมีทั้งหมด (เมื่อรวมกับเงินจอง และเงินทำสัญญาแล้ว) ก็มักจะอยู่ที่ประมาณ 10-15% ของราคาคอนโด   ราคาค่าซื้อคอนโดส่วนที่เหลือ (จ่ายครั้งเดียวโดยเราเองหรือธนาคารที่ให้กู้) ใครที่ซื้อเงินสดก็สามารถโอนราคาคอนโดฯ อีก 85% - 90% ของราคาคอนโดที่เหลือได้เลย แต่หากผู้ยื่นกู้กับธนาคารจะต้องมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมอีก คือ ค่าประเมินราคาห้องชุด จ่ายในวันที่ไปทำเรื่องยื่นกู้ เฉลี่ยอยู่ที่ 2,000-3,000 บาท/1 ครั้ง/ธนาคาร (หากกู้ไม่ผ่านก็ไม่สามารถเอาเงินคืนได้), ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย และค่าจดทะเบียนจำนอง ชำระให้สำนักงานที่ดินในอัตราร้อยละ 1 ของมูลค่าจดจำนอง (ซึ่งมูลค่าจดจำนอง ธนาคารจะเป็นคนกำหนด)   ค่าธรรมเนียมการโอน (จ่ายครั้งเดียว) จ่ายในวันโอนกรรมสิทธิ์ให้กับกรมที่ดิน โดยค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนอัตราร้อยละ 2 ของราคาประเมิน   ค่าอากรสแตมป์ (จ่ายครั้งเดียว) การจดทะเบียนโอนคอนโด กรมที่ดินจะเก็บค่าอากรแสตมป์ในอัตราร้อยละ 0.5 ของราคาซื้อขาย   เงินกองทุนสำรองส่วนกลาง (จ่ายครั้งเดียว) เงินกองกลางที่นิติบุคคลอาคารชุดจะเรียกเก็บไว้เป็น "กองทุนสำรอง" เพื่อใช้จ่ายในการบริหารจัดการคอนโดในระยะยาว  โดยจะคิดตามขนาดพื้นที่ห้องของเรา   ค่าประกันมิเตอร์ไฟฟ้า (จ่ายครั้งเดียว) เป็นการการวางเงินประกันการใช้มิเตอร์กับการไฟฟ้านครหลวง เฉลี่ยประมาณ 2,000 - 4,000 บาท ขึ้นอยู่กับขนาดมิเตอร์ไฟฟ้า   ราคาพื้นที่ห้องที่เกินกว่ากำหนดตอนแรก (จ่ายครั้งเดียว) เมื่อห้องของเราสร้างเสร็จแล้ว แต่ได้พื้นที่เพิ่มขึ้นมา เราอาจต้องจ่ายเพิ่มสำหรับตารางเมตรที่เพิ่มขึ้น โดยยึดราคาที่ระบุไว้ในสัญญาจะซื้อจะขาย   ค่าใช้จ่ายเมื่อเป็นเจ้าของคอนโดแล้ว ค่าส่วนกลาง (จ่ายปีละครั้ง) เป็นค่าใช้จ่ายตาม พรบ.อาคารชุด เพื่อนำไปคิดตามขนาดพื้นที่ห้องเป็นตารางเมตรแล้วคูณด้วยอัตราค่าส่วนกลางต่อเดือน เพื่อนำไปบริหารจัดการทรัพย์สินส่วนกลาง   ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการใช้น้ำประปา (จ่ายตามที่นิติบุคคลฯ จะเรียกเก็บจากเรา) บางโครงการอาจมีการเรียกเก็บค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับน้ำประปาเพิ่มเติม แล้วแต่โครงการว่าจะเรียกค่าใช้จ่ายนี้ว่าอะไรแล้วแต่ทางนิติบุคคล   เบี้ยประกันที่ธนาคารกำหนดให้เราทำ (จ่ายตามที่จะตกลงกับธนาคาร/บริษัทประกันภัย) ส่วนใหญ่เวลาเรากู้เงินซื้อคอนโดธนาคารที่ปล่อยกู้มักจะให้ทำประกันอัคคีภัยบนตัวคอนโด และรับผิดชอบจ่ายเบี้ยประกันไปด้วยเลย เพราะธนาคารถือว่าเงินที่ซื้อคอนโดเป็นเงินของธนาคาร ดังนั้น ถ้ามีความเสียหายและได้เงินมา ธนาคารควรมีสิทธิเอาเงินมาลดหนี้ก่อนเสมอ   ค่าเบี้ยประกันภัยอาคารชุดที่นิติบุคคลฯ เป็นคนทำประกัน (จ่ายตามที่นิติบุคคลฯ จะเรียกเก็บจากเรา) เบี้ยประกันเหล่านี้ ทางนิติบุคคลฯ ก็จะมาเรียกเก็บจากเจ้าของร่วมทุกคนตามสัดส่วนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ส่วนกลาง ซึ่งควรสอบถามทางนิติให้ดีว่าเป็นประกันอะไร เราจะได้ไม่ต้องไปทำประกันซ้ำซ้อน      
ซื้อบ้านให้ไกลจากน้ำท่วม ควรดูอะไรบ้าง?

ซื้อบ้านให้ไกลจากน้ำท่วม ควรดูอะไรบ้าง?

จากเหตุการณ์อุทกภัยหลายครั้งหลายหนที่ผ่านมาในบ้านเรา คงทำให้ต้องตระหนักถึงที่อยู่อาศัยในทำเลที่ปลอดภัยจากน้ำท่วมมากขึ้น ซึ่งครั้งนี้เรามีคำตอบว่าควรต้องดูเรื่องอะไรบ้าง ถึงจะปลอดภัยจากน้ำท่วมจริงๆ เผื่อว่าเราอาจจะต้องเจอกับมวลน้ำแบบนี้อีกครั้งหรือหลายครั้งในอนาคต ฉะนั้นในการเลือกบ้านหรือที่ดินให้ปลอดภัยจากน้ำท่วมก็ต้องดูจากข้อมูลหลายด้าน ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกแหล่งที่อยู่อาศัย ดังนี้ครับ   โซนผังเมือง โซนสีต่างๆ ที่ปรากฎในผังเมืองเป็นตัวบ่งชี้ว่า เมืองนั้นๆ กําหนดแนวทางการใช้พื้นที่ดินแต่ละเขตเป็นอย่างไร มีการใช้งานในลักษณะใดบ้าง เช่น พาณิชยกรรม ที่อยู่อาศัย หรือพื้นที่เกษตรกรรม เป็นต้น ฉะนั้นในโซนที่เป็นสีเขียว ซึ่งถูกกำหนดเอาไว้ว่าเป็นพื้นที่สำหรับเกษตรกรรม ละพื้นที่ชนบทอนุรักษ์และเกษตรกรรม เป็นพื้นที่เสี่ยงกับน้ำท่วมมากที่สุด เพราะเป็นเส้นทางการระบายน้ำ   แนวคันกั้นน้ำ การเลือกซื้อบ้านหรือที่ดินที่อยู่ภายในแนวคันกั้นน้ำจะช่วยลดความเสี่ยงเรื่องน้ำท่วมได้ระดับหนึ่ง โดยดูจากการวางตําแหน่งคันกั้นน้ำในพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล ซึ่งแนวคันกั้นน้ำจะมีความสูงต่ำแตกต่างกันและมีลักษณะซ้อนกันเป็นชั้นๆ ที่สัมพันธ์กับตําแหน่งคู คลองธรรมชาติ เพื่อป้องกันน้ำจากทางตอนเหนือเข้าท่วมบริเวณพื้นที่กรุงเทพชั้นกลางและชั้นใน   ตําแหน่งคู คลอง แหล่งน้ำธรรมชาติ แน่นอนว่าแหล่งน้ำตามธรรมชาติย่อมมีความเสี่ยงมากที่สุดหากเกิดน้ำท่วมขึ้น ฉะนั้นหากเลือกจะอยู่ใกล้กับแม่น้ำ คู คลอง นอกจากจะได้วิวสวยๆ แล้ว ยังต้องคำนึงถึงช่วงน้ำมาด้วยนะครับ   ความสูงต่ำของที่ดิน/ที่ตั้ง (Topography)  ลองค้นหาข้อมูลการวิเคราะห์ระดับน้ำท่วมจะพบว่าแต่ละพื้นที่จะมีการคาดการณ์ระดับน้ำท่วมที่สูงต่ำต่างกัน นั่นเป็นเพราะแต่ละพื้นที่มีระดับความสูงของแผ่นดินที่ต่างกันทําให้ระดับน้ำมีความลึกต่างกัน ฉะนั้นหากเลือกที่ดินสําหรับปลูกบ้าน ในพื้นที่ที่มีระดับสูงกว่าจะมีความเสี่ยงจาก น้ำน้อยกว่า   เส้นทางน้ำไหล การปลูกสร้างบ้านเรือนต้องไม่ขวางทางที่น้ำไหลผ่าน เพราะแรงของน้ำนั้นมหาศาลมาก ก่อนจะสร้างบ้านหรือซื้อที่ดินต้องลองสังเกตว่าเมื่อฝนตกลงมาแล้ว เส้นทางการไหลของน้ำฝนได้ผ่านแนวที่ดินของเราหรือไม่ หากน้ำไหลผ่านให้ควรหลีกเลี่ยง   มาตรการป้องกันน้ำท่วม หากตัดสินใจจะซื้อบ้านสักโครงการ ลองถามทางโครงการสักนิดครับว่า มีมาตรการป้องกันน้ำท่วมอย่างไรบ้าง เช่น การจัดทําเขื่อนหรือคันกั้นน้ำในโครงการ รูปแบบการระบายน้ำในโครงการ การจัดเตรียมพื้นที่หน่วงน้ำ ไปจนถึงการเตรียมความพร้อมเพื่อการอพยพหนีน้ำ ในกรณีวิกฤต ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันความเสี่ยงในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกปี     เหล่านี้เป็นข้อพิจารณาก่อนจะตัดสินใจซื้อบ้านหรือที่ดินสักแห่ง เพื่อป้องกันกรณีน้ำท่วมที่มีความเสี่ยงกันอยู่ทุกปีครับ  
รับมือน้ำท่วม เตรียมตัวให้พร้อมก่อนน้ำมา

รับมือน้ำท่วม เตรียมตัวให้พร้อมก่อนน้ำมา

คงไม่มีใครอยากให้เกิดน้ำท่วมบ้านเราหรอก จริงไหมครับ? แต่หากเลี่ยงไม่ได้ก็ต้องเตรียมตัวไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นให้น้อยที่สุด รวมถึงความปลอดภัยของตัวเองกับคนในครอบครัวเราด้วยครับ   จดเบอร์โทรศัพท์สำคัญของหน่วยงานต่างๆ ไว้  ก่อนน้ำจะมาก็ต้องติดตามข้อมูลข่าวสารกันให้ดีก่อน โดยสามารถติดตามได้หลากหลายช่องทาง อาทิ กรมอุตุนิยมวิทยา, กรมทรัพยากรน้ำ, ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ, กรมทรัพยากรธรณี, กรมชลประทาน, กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นต้น สิ่งสำคัญคือต้องจดเบอร์โทรศัพท์สำคัญของหน่วยงานต่างๆ ไว้ เผื่อเหตุการณ์ฉุกเฉินเกิดขึ้นจะได้ขอความช่วยเหลือได้ทันที เช่น - ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ติดต่อกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย โทร. 1784 - ประสานงานด้านการแพทย์ฉุกเฉิน หรืออุบัติเหตุ โทรฟรี 1669 หรือ 0-2591-9769 ตลอด 24 ชั่วโมง - สอบถามสภาพอากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา โทร. 0-2398-9830   ตุนเสบียง เมื่อติดตามข่าวสารเกี่ยวกับอุทกภัยแล้วประเมินว่าน้ำจะมาถึงบ้านเราแน่ ให้รีบไปตุนอาหารเอาไว้ เป็นพวกอาหารแห้งที่สามารถเก็บไว้ได้นาน สำคัญที่สุดคือน้ำสะอาดทั้งสำหรับดื่มและใช้ สำรองเอาไว้ให้ได้มากที่สุด แล้วเก็บเอาไว้ในที่คาดว่าน้ำท่วมไม่ถึง เพราะน้ำที่มากับน้ำท่วมอาจตามมาด้วยเชื้อโรคต่างๆ ไม่ควรนำมาใช้หรือดื่มกิน   เตรียมอุปกรณ์จำเป็น เตรียมหาอุปกรณ์จำเป็นต่างๆ เพื่อการดำรงชีพท่ามกลางน้ำท่วม อาทิ เสื้อชูชีพ บูทกันน้ำแบบขายาว เทียนไข ไฟแช็ก  ไฟฉาย โทรศัพท์มือถือ แบตเตอรี่สำรอง ยาทากันยุง ยาฆ่าแมลง ผ้าอนามัย ผ้าอ้อมเด็ก อุปกรณ์ทำอาหารอย่างเตาที่ใช้แก๊สกระป๋อง เป็นต้น รวมถึงเตรียมยารักษาโรคเอาไว้ให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นยาแก้ท้องเสีย ยาแก้ปวด ยาลดไข้ อุปกรณ์ทำแผล โดยเฉพาะใครที่มีโรคประจำตัวก็ควรมียาติดตัวเอาไว้ให้เพียงพอ     ตรวจสอบอุปกรณ์ไฟฟ้า สำรวจอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดในบ้าน อย่างย้ายปลั๊กไฟขึ้นที่สูง หาเทปกาวปิดรูปลั๊กเอาไว้ และสับคัตเอาท์หรือตัดกระแสไฟเมื่อน้ำเริ่มท่วมในระดับที่เสี่ยงอันตราย   ป้องกันสัตว์ร้ายเข้าบ้าน น้ำท่วมมักจะมีของแถมตามมาเป็นสัตว์เลื้อยคลานต่างๆ ฉะนั้นเราควรป้องกันบ้านเราจากน้ำท่วมในเบื้องต้น เช่น กระสอบทรายไว้เพื่อทำผนังกั้นน้ำ แผ่นพลาสติก ไม้แผ่น ตะปู กาวซิลิโคนสำหรับอุดตามร่องประตู หน้าต่าง และอย่าลืมเด็ดขาด! สำหรับการอุดรูจากท่อระบายน้ำ ไม่ว่าจะเป็นพื้นห้องน้ำ อ่างล้างหน้า สุขภัณฑ์ อ่างล้างจาน เป็นต้น รวมถึงเตรียมน้ำมันก๊าดเอาไว้ทารอบๆ บริเวณที่มีคนอาศัยอยู่ เพื่อป้องกันสัตว์เข้ามาขณะที่น้ำท่วมแล้ว   ขนของขึ้นที่สูง ขนสิ่งของมีค่า และของต่างๆ ที่จำเป็นขึ้นที่สูงก่อน แล้วอย่าลืมเก็บเอกสารสำคัญไว้ในถุงพลาสติดกันน้ำด้วย เช่น ทะเบียนบ้าน บัตรประชาน เอกสารธนาคาร เอกสารที่ดิน ฯลฯ รวมถึงรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์ให้ไปจอดไว้ในที่สูง น้ำท่วมไม่ถึง   สารสกัดชีวภาพหรือ EM  เรื่องขับถ่ายก็สำคัญไม่น้อยไปกว่าข้ออื่นๆ เลยครับ เวลาน้ำท่วมมักจะมีปัญหาเรื่องสิ่งปฏิกูลลงไปในท่อได้ยาก เพราะบ่อเกรอะ บ่อซึมจะต้องบำบัดโดยการซึมลงดิน เมื่อน้ำท่วมทำให้น้ำจากดินภายนอกจะซึมเข้ามาในบ่อจนราดไม่ลง ยิ่งไปกว่านั้นหากแรงดันน้ำมากๆ เข้า อาจเกิดอาการระเบิดได้ครับ ฉะนั้นควรเตรียมเจ้าสารสกัดชีวภาพหรือ EM เอาไว้ราดลงโถสุขภัณฑ์ เพื่อให้ย่อยสลายได้เร็ว   ดูแล้วอาจจะต้องเตรียมตัวกันหลายขั้นตอนหน่อยนะครับ อาจจะดูยิบย่อยอยู่หลายอย่าง แต่ก็อยากให้ระมัดระวังกันอย่างที่สุดครับ  
ฮวงจุ้ยตำแหน่งเตียงนอน เสริมรักรุ่ง เงินพุ่ง

ฮวงจุ้ยตำแหน่งเตียงนอน เสริมรักรุ่ง เงินพุ่ง

ทุกที่อยู่อาศัยย่อมต้องมีเตียงจริงไหมล่ะครับ? ฉะนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญมากอย่างหนึ่งในบ้านของเรา ซึ่งสามารถบ่งบอกลักษณะทางฮวงจุ้ยได้ชัดเจนอีกสิ่งหนึ่งด้วยเช่นกัน ดังนั้นถ้าจัดดีๆ ล่ะก็ เชื่อว่าจะช่วยให้ชีวิตของเราเป็นไปในทางที่ดีกว่าครึ่ง โดยเฉพาะเรื่องความรัก คนในครอบครัว และด้านการเงิน ซึ่งก็มีหลายอย่างที่ควรระวัง และควรจะทำครับ   อย่าวางเตียงตรงกับประตู ไม่ว่าจะประตูห้องนอนหรือประตูห้องน้ำ ก็ไม่ควรวางเตียงตรงกับประตู ตามความเชื่อทางฮวงจุ้ยคือทิศไม่เป็นมงคล จะมีเรื่องให้เดือดเนื้อร้อนใจอยู่ตลอด และยังส่งผลทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ แต่หากเลี่ยงไม่ได้ก็ลองวิธีแก้ด้วยการหาลูกบอลคริสตัลคั่นไว้ระหว่างเตียงกับประตู เพื่อสะท้อนพลังงานที่ไม่ดีออกไป   อย่าหันหัวเตียงไปทางห้องน้ำ ไม่ควรหันหัวเตียงไปไว้ผนังเดียวกันกับห้องน้ำ เพราะจะทำให้ความรักของคุณดิ่งลงเหว มีแต่เรื่องทะเลาะกันไม่หยุดหย่อน นอกจากนี้ยังส่งผลเสียต่อเรื่องสุขภาพ พอสุขภาพไม่ดีแล้วก็ย่อมต้องเสียเงินรักษาตามไปด้วย เรื่องนี้พ่วงหลายเรื่องเลยล่ะครับ ฉะนั้นห้ามเด็ดขาด   ห้ามวางเตียงติดกับหน้างต่างกระจกใส เชื่อกันว่าหากเตียงอยู่ใกล้กับหน้างต่างกระจกใสจะทำให้พลังงานที่ไม่ดีจากภายนอกเข้ามาทำให้นอนไม่หลับ ฝันร้ายบ่อยๆ และอาจเกิดมีเรื่องมีราวกับคู่รักให้ทะเลาะกันจนถึงขั้นเลิกกันได้ วิธีแก้ก็แค่หาผ้าม่านทึบๆ มากั้นเอาไว้ครับ   ไม่ควรอยู่ชิดซ้ายทางตะวันตก ลองหยิบมือถือขึ้นมาแล้วเช็คจาก application เข็มทิศดูครับ ถ้าเตียงของเราอยู่ค่อนไปทางทิศตะวันตก ตามฮวงจุ้ยบอกว่าจะทำให้ความรักเกิดปัญหากระทบกระทั่งกัน ไปจนถึงขั้นแตกแยกกันเลยล่ะครับ   ควรมีโต๊ะหัวเตียงทั้ง 2 ข้าง การมีโต๊ะหัวเตียงทั้ง 2 ข้าง จะช่วยเรื่องสมดุลในชีวิตที่ดี เงินทองหมุนเวียนไหลคล่องมือ ส่วนตัวโต๊ะเองก็ไม่ควรมีมุมแหลมคม เกิดเป็นพลังที่ไม่ดีคอยมาทิ่มแทงเราได้   เรื่องเตียงก็เป็นอีกหัวใจสำคัญของฮวงจุ้ยนะครับ เพราะคนเราจะต้องอยู่ในห้องนอนวันละหลายชั่วโมงทีเดียว ลองเอาไปทำตามกันดูครับ แล้วเรา Reviewyourliving.com จะนำเอาทั้งสาระความรู้ รวมถึงเรื่องราวฮวงจุ้ยดีๆ มาฝากกันทุกสัปดาห์  
ที่ดินแบบไหน? จะไม่โดนตึกสูงบัง

ที่ดินแบบไหน? จะไม่โดนตึกสูงบัง

เวลาเราจะเลือกอยู่อาศัยในคอนโดฯ สักยูนิต เชื่อว่าทุกคนจะต้องเลือกตำแหน่งห้อง มองทิศทางมาแล้วเป็นอย่างดี ทั้งห้องแบบที่ไม่โดนแสงแดดตรงๆ วิวสวย ไม่ว่าจะวิวสระว่ายน้ำ วิวสวน และวิวเมืองโล่งๆ สำหรับชั้นสูง แต่วันดีคืนดีใครจะไปรู้ว่าทิศที่โล่งไร้อาคารบดบังทัศนียภาพ อาจจะมีอาคารสูงเกิดขึ้นมาภายหลังกลายเป็นว่าความสุขจากทิวทัศน์สุดลูกหูลูกตาถูกดับฝันลงทันที แถมห้องของเรายังมีโอกาสราคาตกอีกต่างหาก ซึ่งตามกฏหมายแล้วอาคารต้องเว้นที่ว่างจากเขตที่ดินอย่างน้อย 6 เมตร เพราะฉะนั้นในกรณีอาคารสูงข้างเคียงจะมีระยะตึกติดกันมากที่สุด 12 เมตร เป็นระยะเพื่อให้รถดับเพลิงทำงานได้หากเกิดเหตุไฟไหม้ แต่ถ้าเป็นระยะสายตาก็มองเห็นระยะประชิดกันพอสมควรเลยนะครับ   เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดหวังที่อาจเกิดขึ้นเช่นนี้ เราสามารถอาศัยความรู้และความเข้าใจในกฎหมายอาคารสักเล็กน้อย แล้วลองสังเกตที่ดินข้างตึกกันสักนิดครับ ว่าจะมีแนวโน้มไม่กลายเป็นอาคารสูงขึ้นมาบังในอนาคต   ที่ดินติดแม่น้ำ หรือติดถนน เฉพาะในทิศที่ติดแม่น้ำ หรือติดถนน อันนี้มั่นใจได้เลยว่าในอนาคตก็ยังจะเป็นแม่น้ำหรือถนนอยู่แล้ว และการันตีว่าตึกสูงจะต้องอยู่ห่างจากห้องเราไปอีกฟากถนนไม่ต่ำกว่า 6 เมตร   ดูจากสถานที่ใกล้เคียง ที่ดินข้างคอนโดรวมถึงบริเวณใกล้เคียงเป็นที่ตั้งของสถานที่สำคัญต่างๆ ที่ดูแล้วปักหลักมั่นคงไม่น่าจะมีการเปลี่ยนแปลง เช่น โรงพยาบาลชื่อดัง สวนสาธารณะของรัฐ โรงเรียน วัด (หากไม่ถือว่าคอนโดอยู่ใกล้วัดนะครับ) แม้ในกรณีนี้อาจจะไม่สามารถรับรองได้ 100% แต่ก็พอจะใช้พิจารณาได้   ที่ดินติดถนนกว้างไม่เกิน 10 เมตร เนื่องจากกฎหมายอาคารกำหนดให้อาคารสูงต้องตั้งอยู่บนที่ดินที่มีถนนกว้างเกิน 10 เมตรเข้าถึง จึงจะสร้างอาคารสูงได้ ซึ่งหากที่ดินด้านใดด้านหนึ่งของคอนโดติดซอยเล็กๆ หรือติดถนนที่มีหน้ากว้างไม่เกิน 10 เมตร ทิศนั้นก็ย่อมไม่มีโอกาสเป็นตึกสูง ขณะเดียวกันที่ดินติดถนนเล็กกว่า 10 เมตร จะสามารถสร้างอาคารสูงสุดได้ไม่เกิน 23 เมตร (ประมาณ 7-8 ชั้น) อย่างไรก็ตามหากเกิดการรวบที่ดินก้อนนั้นไปติดต่อกับที่ดินอื่นที่ติดถนนกว้างเกิน 10 เมตรได้ ที่ดินนั้นก็จะสามารถสร้างตึกสูงได้เช่นกัน   ที่ดินติดตีนสะพาน หรือที่ดินติดทางโค้ง กฎหมายอาคารกำหนดไว้ว่า อาคารสูงโดยทั่วไปต้องมีที่จอดรถ และอาคารจอดรถห้ามมีทางเข้าออกติดตีนสะพานที่มี ”ความลาดชัน” ใกล้กว่า 50 เมตร (นับจากกึ่งกลางทางเข้าจนถึงจุดเริ่มต้นทางลาด โดยสะพานที่มีความลาดน้อยกว่า 2 ซม.ต่อระยะ 1 เมตร ไม่นับเป็นสะพานที่ต้องทำตามกฎนี้) หรือใกล้ทางโค้งเกินกว่า 20 เมตร (นับจากกึ่งกลางทางเข้าจนถึงจุดเริ่มต้นโค้ง) ทำให้ที่ดินที่ติดสะพาน และติดทางโค้งทางแยกในระยะดังกล่าวจึงไม่สามารถสร้างอาคารสูงได้   ที่ดินโซนห้ามสร้างอาคารสูง กฎหมายผังเมืองมีข้อกำหนดในแต่ละโซนเรื่องขนาดของตึกที่สร้างได้ หากอาคารคอนโดของเราอยู่บนขอบระหว่างผังเมืองโซนสร้างอาคารสูงได้ กับโซนผังเมืองที่ห้ามสร้างอาคารสูง ที่ดินข้างนั้นก็จะห้ามสร้างอาคารสูงโดยปริยาย แต่ข้ออาจจะเป็นกรณีที่หาได้ยากครับ เพราะโดยทั่วไปผังเมืองจะเปลี่ยนโซนต่อเมื่ออยู่กันคนละบล็อกถนน ไม่ได้ตัดกันระหว่างที่ดิน อีกทั้งผังเมืองจะมีการพิจารณาปรับเปลี่ยนใหม่เสมอทุก 5–10 ปี จึงมีความไม่แน่นอนสูง   ที่ดินขนาดเล็ก เนื่องจากกฎหมายกำหนดระยะร่นต่างๆ ของอาคารสูงไว้ เช่น ต้องมีที่ว่างให้รถดับเพลิงวิ่งโดยรอบ 6 เมตร ที่ดินที่มีขนาดเล็กมากๆ (เช่น มีหน้าที่ดินกว้างไม่ถึง 20 เมตร) จึงไม่คุ้มค่าที่จะสร้างเป็นอาคารสูง แต่ข้อนี้มีความไม่แน่ไม่นอนมาก เพราะโครงการอาคารที่จะสร้างใหม่ มักกวาดซื้อที่ดินก้อนเล็กๆ รวมแปลงเข้าด้วยกันเป็นที่ดินผืนใหญ่เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้าที่ดินผืนเล็กๆ นั้นมีขอบเขตอีกทางเป็นถนน แม่น้ำ หรือโครงการที่ไม่น่าจะเปลี่ยนไปเป็นโครงการอื่นตามข้ออื่นๆ ด้านบน ก็ทำให้มั่นใจได้ว่า ที่ดินนั้นจะไม่กลายเป็นตึกสูงได้มากขึ้น   ทั้งหมดนี้เป็นหลักการพิจารณา และคาดเดาสภาพแวดล้อมที่ดินรอบคอนโดที่มีแนวโน้มจะเกิดอาคารสูงขึ้นได้ในเบื้องต้นครับ ยังมีอีกหลายกรณียิบย่อยทีเดียว แต่อย่างน้อยก็นำทั้ง 6 หัวข้อนี้ไปลองพิจารณากันดูก่อนตัดสินใจนะครับ อาจจะช่วยให้เรามองอนาคตได้อย่างรอบคอบ และกว้างไกลขึ้นอีก      
ฮวงจุ้ยตู้เย็น วางตรงไหนเสริมดวง สีอะไรถูกโฉลก

ฮวงจุ้ยตู้เย็น วางตรงไหนเสริมดวง สีอะไรถูกโฉลก

เรื่องของฮวงจุ้ยสามารถนำมาปรับใช้ได้ทุกอย่างภายในบ้านเลยครับ อย่างการเลือกสี และวางตำแหน่งตู้เย็น ตามความเชื่อแล้วก็ส่งผลหลายต่อหลายอย่างในครอบครัวของเรา รวมถึงตัวเองด้วยเช่นกัน หากขาดการดูแลรักษา วางผิดตำแหน่ง หรือเลือกสีไม่ถูกต้อง ก็จะส่งผลเสียต่อชีวิต เช่น การงาน การเงิน ความสัมพันธ์ และสุขภาพ ฉะนั้นมาดูวิธีการจัดวางตู้เย็นที่ถูกต้องและเลือกสีตู้เย็นให้ถูกโฉลกกันครับ     ในห้องควรเลี่ยงตู้เย็นสีแดง ก่อนอื่นต้องเลือกสีตู้เย็นให้ตรงตามความเชื่อศาสตร์ฮวงจุ้ยกันก่อนครับ เหตุผลที่ต้องไม่ใช่ตู้เย็นสีแดง ด้วยเหตุผลของความเป็นธาตุไฟในสีแดง ซึ่งจะส่งผลให้เกิดความขัดแย้งภายในบ้าน ส่วนสีตู้เย็นที่ถูกโฉลก ได้แก่ สีขาวกับสีเงิน ทั้ง 2 สีนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความบริสุทธิ์และสุขลักษณะที่ดี นอกจากนี้ก็มีสีเบจกับสีขาวมุกที่จัดอยู่ในกลุ่มของธาตุดินและสามารถนำมาใช้ในห้องครัวได้เช่นกัน   การดูแลและรักษาความสะอาด ตู้เย็น เปรียบเหมือนสัญลักษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ ฉะนั้นจะต้องไม่ปล่อยให้ตู้เย็นว่างจนเกินไป ในทางกลับกันหากมีอาหารมากเกินไปจนเต็มตู้ ก็จะทำให้พลังชี่ (Qi) ไม่หมุนเวียน การจัดตู้เย็นที่ดีจึงควรสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ในตู้เย็นได้อย่างสะดวก หยิบจับง่าย ไม่มีของหมดอายุอยู่ในตู้ ดูแลให้ไม่มีกลิ่นเหม็น ทำความสะอาดภายในบ่อยๆ เพื่อให้เกิดพลังงานชี่ (Qi) หมุนเวียนได้ดี ที่สำคัญเลยคือจะทำให้คนในบ้านมีทั้งเงินทอง โชคลาภ และความโชคดี   การจัดวางตำแหน่งตู้เย็น เป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้ครับ เพราะจะส่งผลตามฮวงจุ้ยหลายด้านทีเดียว ไม่ว่าจะความเป็นอยู่ของคนในบ้าน เรื่องการเงิน ความมั่นคง และสุขภาพ แต่ก็ไม่ได้ดูยากจนเกินไปครับ มีวิธีการง่ายๆ ดังนี้   ไม่ควรวางตู้เย็นตรงกับประตู ไม่ว่าตู้เย็นจะอยู่ในห้องนั่งเล่น ห้องครัวหรือที่ไหนก็ตาม ไม่ควรวางให้ตรงกับประตูครับ เพราะจะทำให้การหมุนเวียนของพลังชี่ (Qi) ติดขัด และทำให้เก็บเงินไม่อยู่ มีเรื่องให้ใช้จ่ายตลอด ถ้าไม่สามารถเปลี่ยนตำแหน่งได้ ให้นำเหรียญจีนโบราณ 5 จักรพรรดิ แขวนไว้เหนือประตู จะช่วยขับไล่พลังร้ายออกไปและเรียกโชคลาภเข้ามาแทน   ไม่ควรวางใกล้เตา ตามศาสตร์ฮวงจุ้ยนั้น ตู้เย็นคือโลหะ ส่วนเตาอยู่ในกลุ่มธาตุไฟ จึงไม่ควรอย่างยิ่งที่จะวางสองสิ่งนี้ไว้ใกล้กัน หรือวางไว้ตรงข้ามกัน เพราะจะทำให้คนในบ้านทะเลาะเบาะแว้ง มีปากมีเสียง และขาดความสามัคคี ทางที่ดีควรจะวางเตา อ่างล้างจาน และตู้เย็นให้เป็นรูปสามเลี่ยม เพื่อลดการปะทะหรือความความขัดแย้ง   ไม่ควรวางของบนตู้เย็น เชื่อว่าเป็นกันหลายบ้านเลยใช่ไหมล่ะครับ ไม่ว่าจะวางสิ่งของต่างๆ ไปจนถึงเตาไมโครเวฟ แนะนำให้ปล่อยโล่งไว้ดีกว่าครับ เพราะนอกจากจะมีผลต่อระบบระบายความร้อนของตู้เย็นแล้ว ทางฮวงจุ้ยถือว่าสิ่งของเหล่านี้จะไปขัดการไหลเวียนของกระแสลมที่เชื่อมโยงไปถึงเรื่องสุขภาพด้วย   ไม่ควรวางตู้เย็นในห้องนอน นอกจากเรื่องของความร้อนจากตู้เย็นจะออกมาแล้ว ยังเป็นเหตุผลทางฮวงจุ้ยว่า เป็นอุปสรรคขัดขวางโอกาสความก้าวหน้าและความสำเร็จในเรื่องหน้าที่การงาน     ก่อนจะซื้อตู้เย็นเครื่องใหม่หรืออยากจะลองเปลี่ยนให้ชีวิตดีขึ้น ก็ลองนำฮวงจุ้ยของตู้เย็นไปปรับใช้กันดูครับ ไม่เสียหายอะไร แล้วอย่าลืมติดตามเรื่องราวสาระน่ารู้ของที่อยู่อาศัยผ่าน Infographic แบบง่ายๆ ที่บางครั้งก็อาจไม่ใช่แค่เรื่องเล็กๆ ได้ทุกสัปดาห์ทาง reviewyourliving.com ของเราครับ    
เทคนิคทำความสะอาดบ้านแบบง๊ายง่าย ห่างไกล “ภูมิแพ้”

เทคนิคทำความสะอาดบ้านแบบง๊ายง่าย ห่างไกล “ภูมิแพ้”

ภูมิแพ้ โรคที่เกิดขึ้นกับใครหลายคน เพราะสภาพแวดล้อมในปัจจุบันล้วนมีแต่มลภาวะมากมาย วิธีเบื้องต้นที่จะทำให้ คนในครอบครัวของเราห่างไกลจากโรคภูมิแพ้ได้ หลายบ้านก็ใช้วิธีหมั่นทำความสะอาดกันบ่อยๆ เพราะหนึ่งในสาเหตุหลัก ที่ไปกระตุ้นอาการภูมิแพ้ก็คือ “ฝุ่น” ที่ฟุ้งกระจายเต็มบ้านหรืออยู่ตามซอกหลืบก็มีไม่น้อย ดังนั้นมาปกป้องคนที่คุณรักด้วยเคล็ดลับการทำความสะอาดและจัดบ้านให้ปลอดจากฝุ่นตัวการกันดีกว่าครับ   ตุ๊กตาตัวสะสมฝุ่น หลายคนมักจะมีเจ้าตุ๊กตาตัวโปรดนอนกอดทุกคืน แต่รู้หรือไม่ว่าเจ้าตุ๊กตาขนๆ เหล่านี้เป็นแหล่งสะสมฝุ่นชั้นดีเลยนะครับ ทางที่ดีไม่ควรที่จะวางตุ๊กตาไว้ใกล้หัวนอนเกินไป หรือหมั่นนำไปซักทำความสะอาดบ่อยๆ เพื่อไม่ให้ฝุ่นจับ โดยวิธีการ ทำความสะอาดเพียงนำตุ๊กตาไปซักด้วยน้ำสบู่ จากนั้นล้างออกด้วยน้ำร้อน ซับน้ำออกให้มากที่สุด แล้วนำไปตากแดด หมั่นทำแบบนี้เป็นประจำเพื่อสุขอนามัยที่ดีจะได้ไม่เกิดภูมิแพ้นะครับ ไรฝุ่นบนที่นอนอย่ามองข้าม ทุกคนจะต้องอยู่กับเตียงนอนมากเป็นพิเศษกว่าจุดอื่น เพราะเราต้องนอนวันละหลายชั่วโมงในแต่ละวัน ซึ่งหากที่นอนของเราไม่ได้รับการดูแลทำความสะอาด ก็จะยิ่งเป็นที่สะสมของไรฝุ่นเลยล่ะครับ เพราะไรฝุ่น จะอาศัยในบริเวณที่มีความอับชื้น และเจริญเติบโตได้ดีจากอาหารซึ่งก็คือเซลล์ผิวหนังของมนุษย์ รวมถึงใยผ้าและขนสัตว์ ดังนั้นควรนำผ้าปูที่นอน ปลอกหมอน ไปซักทำความสะอาด และหมั่นนำฟูกที่นอน หมอน ไปตากแดดฆ่าเชื้อโรค จะได้ช่วยลดไรฝุ่น กำจัดขนสัตว์ และอาบน้ำให้สัตว์เลี้ยงเป็นประจำ บ้านไหนมีสัตว์เลี้ยงต้องมีความระมัดระวังเรื่องขนเป็นพิเศษ  โดยเฉพาะบริเวณเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นผ้า หรือตาม ซอกมุมต่างๆ ควรใช้เครื่องดูดฝุ่นดูดให้ทั่ว ถ้ามีขนสัตว์ติดตามที่นอนหรือเสื้อผ้า ก็ควรใช้ลูกกลิ้งกำจัดให้เรียบร้อย แต่หากใครที่รู้ตัวว่าเป็นภูมิแพ้ก็ควรหลีกเลี่ยงการนำสัตว์เลี้ยงเข้ามาในห้องนอนด้วย นอกจากเรื่องขนสัตว์แล้ว ยังมีเรื่องของรังแคของสัตว์เลี้ยงก็เป็นอาหารชั้นดีของไรฝุ่นบนที่นอนเช่นกัน จึงควรอาบน้ำให้น้องหมาน้องแมวด้วยนะครับ ทำความสะอาดมุมอับชื้น และซอกหลืบตามบ้าน ตามมุมหลายแห่งในบ้านเป็นแหล่งก่อตัวของเชื้อโรคได้ดีทีเดียว นอกจากจะทำการดูดฝุ่นแล้ว ยังควรฉีดน้ำยาฆ่าเชื้อโรค ในการทำความสะอาดด้วย เพื่อป้องกันการก่อตัวของสารก่อภูมิแพ้หรือไรฝุ่น ผ้าม่าน แหล่งสะสมฝุ่นที่คุณมักมองข้าม เวลาทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์พวกโต๊ะ เก้าอี้ โซฟา ที่เรามักจะมองเห็นฝุ่นได้ชัดเจน แต่สำหรับผ้าม่านกลับเป็นสิ่งที่ หลายคนมองข้าม แถมนาน ๆ ทีถึงจะถอดมาซักอีกด้วย แต่รู้หรือไม่ว่าผ้าม่านนี่แหละตัว “อมฝุ่น” เลยล่ะครับ แม้จะมองไม่ค่อยเห็นด้วยตาเปล่า ผ้าม่านจึงกลายเป็นแหล่งสะสมเพาะพันธุ์เชื้อโรค ดังนั้นจึงควรถอดผ้าม่านออกมาซัก ทำความสะอาดกันบ้าง จะได้ไม่อมฝุ่นจนกระตุ้นภูมิแพ้นะครับ   อย่ามองว่าโรคภูมิแพ้เป็นเรื่องเล็กครับ แค่หมั่นทำความสะอาดบ้านของเราเป็นพิเศษเท่านั้นเองครับ อาการภูมิแพ้ก็จะไม่กำเริบให้กวนใจ   Infographic ที่น่าสนใจอื่นๆ ของเราครับ 9 ทริค จัดบ้านให้ร่ำรวยตลอดปี เรียกทรัพย์ รับโชค 8 สิ่งไม่ควรมี ถ้าอยากหลับสบาย ลดหย่อนภาษี สำหรับมนุษย์เงินเดือน  
 จัดหิ้งพระในบ้าน ให้เป็นสิริมงคลกับเจ้าของ

 จัดหิ้งพระในบ้าน ให้เป็นสิริมงคลกับเจ้าของ

เรื่องของศาสนาและความเชื่อเป็นของคู่กันกับคนไทยมาเนิ่นนาน เราจะเห็นได้ว่าแทบทุกบ้านจะต้องมีหิ้งพระ หรือมากกว่านั้นอาจจะมีหิ้งเทพ หิ้งรูปบรรพบุรุษ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ที่เราบูชานับถือ แต่หลายคนไม่ทราบว่าควรจัดวางไว้บริเวณใดของบ้านถึงจะเหมาะสม เป็นมงคลกับชีวิต บางครั้งอาจเผลอวางผิดที่ผิดทางจนเกิดความ ไม่เป็นมงคลตามความเชื่อได้ เราจึงรวบรวมคำแนะนำดีๆ เหล่านี้มาฝากกันครับ   สิ่งที่ควรทำ หมั่นดูแลหิ้งพระให้สะอาดอยู่เสมอ  ทำความสะอาดบ้านแล้วก็อย่าลืมต้องทำความสะอาดหิ้งพระด้วยนะครับ เพราะเชื่อว่าหากองค์พระหรือรูปเทพ มีฝุ่นจับเชื่อว่าจะทำให้คนในบ้านเจ็บป่วย นอกจากนั้นควรหมั่นเปลี่ยนน้ำ ดอกไม้ในแจกันบูชาเพื่อให้ชีวิตของคนในบ้าน สดชื่น แจ่มใสอยู่ตลอดเวลา   เลือกตำแหน่งที่สงบ วางหิ้งพระอยู่ในมุมสงบของบ้าน ไร้เสียงรบกวน จอแจ เพราะบางบ้านวางหิ้งพระไว้บริเวณประตูเข้า-ออก ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าคนในบ้านจะพบแต่ความวุ่นวาย   หิ้งพระบนหลังตู้ควรสูงกว่าศีรษะ  หิ้งพระควรอยู่สูงกว่าศีรษะ โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียม อพาร์ทเมนท์ต้องระวังเรื่องนี้ให้ดีครับ เพราะส่งผลกับความเจริญก้าวหน้า อาชีพการงาน   หิ้งพระควรตั้งอยู่ในมุมที่เป็นสัดส่วน  จัดพื้นที่เฉพาะสำหรับหิ้งพระ หรือแยกห้องพระออกจากห้องอื่นๆ คือทางเลือกที่ดีที่สุดครับ และหากอยู่นอกบ้านแล้ว สามารถมองเห็นหิ้งพระในบ้านอย่างชัดเจนถือว่าไม่ดี ที่สำคัญคือบนหิ้งพระควรมีองค์พระหรือองค์เทพ รวมกันแล้วเป็นจำนวนเลขคี่    สิ่งที่ไม่ควรทำ หิ้งพระไม่ควรติดตั้งผนังเดียวกับห้องน้ำหรือห้องครัว  ไม่ควรวางพิงผนังเดียวกับห้องน้ำหรือห้องครัว รวมถึงไม่ควรหันหน้าหิ้งบูชาไปตรงกับประตูห้องน้ำหรือห้องครัว เพราะจะทำให้คนในบ้านเจ็บป่วย มีเรื่องขัดแย้งหรือเงินทองรั่วไหล เก็บเงินไม่อยู่    ไม่ควรตั้งอยู่ปลายเตียง  ไม่ควรหันหน้าหิ้งพระเข้าหาเตียงนอน และทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงการตั้งหิ้งบูชาไว้ในห้องนอน เนื่องจากเราอาจมีกิจกรรม ที่ไม่เหมาะสมต่อหน้าหิ้งพระเช่นการเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือการร่วมหลับนอนของคู่สามี-ภรรยา เป็นต้น   วางหิ้งพระไว้ที่ห้องรับแขก ห้องรับแขกเป็นจุดที่มักจอแจ วุ่นวายมากที่สุดในบ้าน ดังนั้นไม่ควรวางหิ้งพระไว้ในส่วนของห้องรับแขก   หลีกเลี่ยงการตั้งหิ้งบูชาไว้ใต้คาน  นอกจะดูเรื่องการวางในพื้นที่เหมาะสมแล้ว ก็ต้องเงยหน้ามองบนฝ้าเพดานสักนิดครับ เพราะหากหิ้งบูชาอยู่ใต้คาน นั่นหมายถึงดวงชะตาของเจ้าของบ้านอาจถูกกดทับ และมักมีเรื่องให้ปวดหัวอยู่เสมอ   จะเห็นได้ว่าการจะบูชาสิ่งศักสิทธิ์เอาไว้ในบ้านของเรา เป็นสิ่งที่หลายบ้านทำกันอยู่แล้วครับ เพียงแค่ต้องรอบคอบ ในการวางตำแหน่งกันสักหน่อย ซึ่งก็ดูแล้วไม่ยากจนเกินใช่ไหมครับ ทั้งนี้ก็เพื่อให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่เจ้าของบ้าน ตามความเชื่อนั่นเอง    
เคล็ด (ไม่) ลับ  เลือกธนาคารกู้ซื้อบ้าน

เคล็ด (ไม่) ลับ เลือกธนาคารกู้ซื้อบ้าน

เมื่อเราอยากจะมีบ้านหรือคอนโดใหม่ ไม่ว่าจะเป็นการย้ายที่อยู่ หรือขยับขยายครอบครัวก็ตาม เชื่อว่าหลายคนต้องทำการบ้านกันอย่างหนักว่าจะเลือกโครงการไหนดี ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทำเล รูปแบบบ้าน สิ่งแวดล้อม สิ่งอำนวยความสะดวก ที่ตอบโจทย์กับเราและครอบครัวได้มากที่สุด สำคัญที่สุดก็คงหนีไม่พ้นเรื่องของราคาที่จะต้องมีการยื่นกู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยกับธนาคารต่างๆ ซึ่งก็มีหลายแห่ง หลายโปรโมชั่นมาให้เลือกกันจนปวดหัวไปหมด แต่วันนี้เรามี “เคล็ดลับเลือกธนาคาร เมื่อกู้ซื้อบ้าน” ให้ได้ไปเป็นทริคลองสังเกตดู เพียง 4 ข้อเท่านั้นครับ กู้ที่ไหนดี การยื่นกู้สินเชื่อที่อยู่อาศัยนั้นมีหลากหลายสถาบันการเงิน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นธนาคารพาณิชย์ เช่น ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงเทพ ฯลฯ นอกจากนั้นยังมีสหกรณ์ออมทรัพย์ บริษัทประกันชีวิต บริษัทอสังหาริมทรัพย์ การเคหะแห่งชาติ หรือบริษัทนายจ้างของตนเอง เป็นต้น แต่การที่เลือกสถาบันการเงินที่ให้กู้เพื่อซื้อบ้านก็ควรต้องศึกษา พร้อมเปรียบเทียบเงื่อนไขต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะเรื่องดอกเบี้ย เพื่อให้เหมาะกับความสามารถการผ่อนในระยะยาวของผู้กู้   เงื่อนไขสินเชื่อที่เหมาะกับตัวเอง เนื่องจากการกู้ซื้อที่อยู่อาศัยนั้นมีการผ่อนชำระยาวนานมากกว่าการกู้ชนิดอื่นๆ เฉลี่ยราว 25-30 ปี หรืออาจมากกว่านี้ ฉะนั้นควรจะเลือกสถาบันการเงินสำหรับเงินกู้สินเชื่อบ้านให้กู้อย่างมืออาชีพ เพื่อป้องกันปัญหาในระยะยาวไม่ให้เกิดเหตุการณ์ถูกเรียกคืนเงิน หรือเกิดอาการสะดุดระหว่างทาง   ดอกเบี้ยต่ำ ดูอย่างไร ใครๆ ก็ต้องการดอกเบี้ยต่ำ เพื่อไม่ให้เกิดภาระกับการผ่อนต่อเดือนที่มากเกินไป ก็ต้องมาดูกันที่อัตราดอกเบี้ยคงที่ในระยะเวลานานๆ ตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไป เพราะในระหว่างนั้นจะไม่มีการปรับอัตราผ่อนและหลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ยที่คิดเป็นเท่าไร ส่วนใหญ่จะอิงกับ MLR ลูกค้ารายย่อยชั้นดี ซึ่งอย่างหลังจะมีอัตราสูงกว่าเล็กน้อย การอิงกับอัตราดังกล่าวจะต้องดูว่าบวกหรือลบเท่าไรจากอัตราอ้างอิง ถ้าคำนวณแล้วสูงกว่าอีกสถาบันหนึ่งก็เป็นข้อพิจารณาเลือกใช้บริการ   กู้ได้มากน้อย ดูตรงไหน แต่ละคนจะยื่นกู้ได้ในวงเงินที่แตกต่างกัน เพราะทางสถาบันการเงินจะมีการประเมินราคาที่อยู่อาศัย ซึ่งส่วนใหญ่ธนาคารพาณิชย์จะมีบริษัทในเครือเป็นผู้ประเมิน โดยการประเมินราคาหลักประกันนั้น ถ้าเป็นโครงการที่สร้างโดยบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่มีชื่อเสียงก็จะอิงกับราคาซื้อขายเป็นหลัก ดังนั้นวงเงินให้กู้ตามเกณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย ถ้าเป็นแนวราบ คือบ้านเดี่ยวหรือทาวน์เฮ้าส์สูงสุดไม่เกิน 95% ของราคาประเมิน และถ้าเป็นแนวสูง หมายถึง คอนโดฯ สูงสุดไม่เกิน 90% ของราคาประเมิน ฉะนั้นถ้าผู้กู้มีเงินออมมากหน่อยก็ไม่ต้องกังวลเรื่องวงเงินกู้มากเท่ากับผู้มีเงินออมจำกัดที่จำต้องเลือกสถาบันที่ให้วงเงินกู้มากกว่า และต้องดูหลักเกณฑ์มาตรการ LTV ประกอบด้วย    
วิธีกำจัดตะไคร่น้ำบนพื้นและหลังคา

วิธีกำจัดตะไคร่น้ำบนพื้นและหลังคา

ฝนตกบ่อยเกิดน้ำขัง มีความชื้นสะสมเพิ่มมากขึ้น สิ่งที่จะตามมาเป็นของคู่กันกับความชื้นก็คือตะไคร่น้ำ ที่ชอบเกาะอยู่ตามหลังคา ผนัง และพื้น ซึ่งไม่ใช่แค่ดูสกปรกแค่นั้นนะครับ แต่ยังลื่นน่าดู ถ้าเราเผลอไปเดินเหยียบมันเข้าล่ะก็ ต้องลื่นล้มแน่นอนครับ มากำจัดตะไคร่น้ำก่อนจะเกิดอุบัติเหตุกับคนในบ้านกันดีกว่า   เครื่องฉีดน้ำแรงดันสูง ใครที่ยังไม่มีเครื่องฉีดน้ำแรงดันสูงอาจจะต้องลงทุนกันหน่อยครับ ราคาเริ่มต้นประมาณพันกว่าบาท แต่สามารถใช้ได้อย่างง่ายดาย สะดวก ประหยัดแรง ประหยัดเวลา แถมยังเอาไปใช้ล้างรถได้ด้วยนะครับ ซื้อ 1 เครื่องได้ประโยชน์ 2 ต่อ แต่ถ้าตะไคร่น้ำเกาะตัวหนาแล้ว ก็อาจจะขจัดออกได้ไม่หมดเสียทีเดียว อาจต้องมีการขัดพื้นเพิ่มครับ น้ำร้อน ต้มน้ำร้อนให้เดือดมากๆ แล้วราดลงบนบริเวณที่มีตะไคร่น้ำ ตามด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอื่น ๆ เทซ้ำลงไปที่เดิม ก่อนจะลงมือใช้แปรงขัดออก น้ำยาล้างจาน ต้องมีทุกบ้านอยู่แล้วครับสำหรับน้ำยาล้างจาน โดยผสมน้ำยาล้างจาน 600 มิลลิลิตร กับน้ำเปล่า 5 แกลลอนให้เข้ากัน แล้วราดลงบนตะไคร่น้ำ ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง จากนั้นก็ทำการขัดและล้างออกให้สะอาด น้ำส้มสายชู หนึ่งในเครื่องปรุงอาหารที่สารพัดประโยชน์จริงๆ ครับ เพียงแค่นำน้ำส้มสายชูมาราดลงบนตะไคร่น้ำโดยตรงให้ทั่ว ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 10 นาทีแล้วค่อยขัดออกให้หมดจด สุดท้ายก็ราดน้ำเพื่อทำความสะอาดให้เกลี้ยง เบกกิ้งโซดา เดี๋ยวนี้เบกกิ้งโซดาหาซื้อได้ง่ายตามซุปเปอร์มาร์เกตทั่วไปครับ เพียงแค่นำไปโรยลงบนตะไคร่น้ำให้ทั่ว แล้วทิ้งไว้อย่างน้อย 24 ชั่วโมง หลังจากนั้นเศษตะไคร่น้ำจะหลุดออกมาเอง เราแค่กวาดมันทิ้งไปครับ สารฟอกขาว ผสมสารฟอกขาว ¾ ถ้วยตวง กับน้ำเปล่า 1 แกลลอน เพื่อนำไปราดบนตะไคร่น้ำและทิ้งไว้ 10 นาที แล้วค่อยล้างออก ระวังอย่าปล่อยให้สารฟอกขาวที่เราเทลงไปนั้นแห้งไปกับพื้น และระวังอย่าให้ไหลไปโดนต้นไม้ในสวนของคุณด้วยนะครับ ปูนขาว ไฮเดรตไลม์ (Hydrated lime) ปูนขาว ไฮเดรตไลม์  1 กิโลกรัม มาผสมน้ำเปล่า 3 แกลลอน ฉีดพ่นลงไปบนตะไคร่น้ำให้ทั่ว ทิ้งไว้ 24 ชั่วโมง เมื่อตัวตะไคร่น้ำเปลี่ยนเป็นสีเหลืองอมน้ำตาลก็สามารถขัดออกได้อย่างง่ายดาย แปรงทองเหลือง หลังจากเลือกใช้น้ำยาที่จะมาลงพื้นที่มีตะไคร่เกาะได้แล้ว อย่าลืมว่าการขัดพื้นที่เป็นคอนกรีตให้ใช้แปรงทองเหลืองขัด จะทำให้คราบต่างๆ หลุดออกได้ง่ายยิ่งขึ้น แนะนำให้ต่อด้านไม้ยาวๆ นะครับ เวลาลงมือขัดจะได้ไม่ปวดหลังมาก     วิธีที่เรานำมาฝากสามารถหาซื้ออุกปกรณ์ได้ตามท้องตลาดทั่วไปครับ แต่หากวิธีไหนมีสารเคมีอยู่ด้วยก็ต้องระมัดระวังในการใช้งานให้มาก เก็บสารเคมีที่เหลือไว้อย่างมิดชิด ที่สำคัญต้องอ่านวิธีการใช้งานอย่างละเอียดบนฉลากผลิตภัณฑ์ครับ      
เคล็ดลับเก็บออมของมนุษย์เงินเดือน เพื่อเงินก้อนโต!

เคล็ดลับเก็บออมของมนุษย์เงินเดือน เพื่อเงินก้อนโต!

เคยไหมครับ? อยากจะมีเงินเก็บสักก้อน แต่พยายามเท่าไหร่ก็ทำไม่ได้สักที เพราะค่าใช้จ่ายจุกจิกตามมาแต่ละเดือนเต็มไปหมด ไม่ว่าจะค่าใช้จ่ายส่วนตัว หรือมีเหตุจำเป็นอื่นๆ อยู่ประจำ ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากนะครับ แต่จริงๆ แล้วเราสามารถทำได้ด้วยเทคนิคแบบง่ายๆ ไม่มีอะไรซับซ้อนหรือยากเกินไปเลย ด้วยวิธีที่เรานำมาฝากกันตามนี้เลยครับ   ทำบัญชีรายรับรายจ่าย เป็นสิ่งที่เราถูกสอนกันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กใช่ไหมล่ะครับ แม้จะดูเป็นวิธีแบบง่ายๆ แต่ยังคงได้ผลดีทีเดียว เพราะเราสามารถแยกแยะรายรับ รายจ่าย ออกมาได้อย่างชัดเจน สะท้อนการใช้เงินในแต่ละวันว่าหมดไปกับอะไรบ้าง อีกทั้งยังเป็นตัวชี้วัดจำนวนรายได้ที่เข้ามาด้วย ทำให้สามารถคำนวณการใช้เงินและแบ่งเก็บออมได้ ยิ่งสมัยนี้มี Application ฟรีหลายตัวที่เป็นบันทึกบัญชีรายรับ รายจ่าย ให้จดแทนสมุดได้อย่างสะดวกสบายขึ้น   แบ่งแยกสัดส่วนให้ชัดเจน เมื่อเราได้เงินเดือนมาก็ทำการแบ่งเงินออกเป็นส่วนๆ เอาไว้เลยครับ ไม่ว่าจะเป็น ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าผ่อนรถ ค่าผ่อนบ้าน ค่าโทรศัพท์ ฯลฯ เหลือเงินเท่าไหร่ จึงเอามาหักส่วนที่เป็นเงินออมเอาไว้ด้วยเลยครับ อาจจะเริ่มที่ 5% ก่อน แล้วค่อยขยับให้มากขึ้นตามความเหมาะสมของตัวเราเอง   กำหนดค่าใช้จ่ายรายวัน หากเกินต้องหยอดกระปุก อีกวิธีหนึ่งที่ช่วยเพิ่มเงินออมของคุณให้เพิ่มพูนขึ้นอย่างดาย โดยการกำหนดค่าใช้จ่ายรายวัน เช่น ตั้งใจใช้เงินวันละ 200 บาท แต่ใช้เกินไปเป็น 250 บาท ก็ต้องนำเงินกลับมาหยอดกระปุก 50 บาท เพื่อเป็นกฎเกณฑ์ฝึกวินัยการใช้เงินไปในตัว ทั้งยังมีเงินเก็บเพิ่มขึ้นอีกด้วยครับ   ชาไข่มุก = ออมเงิน เหล่าสาวกชาไข่มุกทั้งหลายที่จะขาดรสชาติหอมหวานนุ่มหนึบแบบชาไข่มุกแก้วโปรดไปเสียไม่ได้ แม้ราคาต่อแก้วจะไม่ได้ถูกสักเท่าไหร่เลยก็ตาม งั้นมาลองวิธีง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณรู้สึกดีทุกครั้งที่ซื้อชาไข่มุกสักแก้วนั้น ก็เพียงแค่ใช้คติ ‘ซื้อเท่าไหร่ออมเท่านั้น’ เช่น เมื่อคุณซื้อชาราคา 100 บาท คุณก็ต้องกลับไปหยอดกระปุก 100 บาท ซึ่งอาจจะดูเหมือนเป็นเงินจำนวนไม่มาก แต่เชื่อเถอะครับ ถ้าทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ ก็จะมีเงินก้อนเพิ่มขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด   อย่าใช้เศษ ยกตัวอย่างหากคุณได้รับเงินเดือนเข้าบัญชี 24,500 บาท ก็พยายามใช้เพียง 24,000 บาท ส่วน 500 บาทที่เหลือนั้นก็ถือเป็นการเก็บออมไปในตัวนั่นเอง ยิ่งถ้าคุณมีวินัยและตั้งใจเก็บไปทุกเดือนๆ เงินก้อนก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแน่นอนครับ   เก็บแบงค์ 50 อีกหนึ่งเคล็ดลับที่ฮิตมาก นั่นก็คือการเก็บธนบัตร 50 บาทครับ เพราะแบงค์ 50 นั้นไม่ใช่ว่าเรามีโอกาสได้รับบ่อยๆ เหมือนแบงค์ 20 และ 100 บาท ฉะนั้นหากมีโอกาสได้รับเงินทอนเป็นแบงค์ 50 ก็เก็บไว้ สะสมไปเรื่อยๆ เมื่อผ่านไปครบ 1 ปี ลองเอาออกมานับดู คุณอาจจะตกใจกับยอดเงินออมนี้ก็ได้นะครับ   เปิดบัญชีฝากประจำ ใครที่คิดว่าวิธีที่ผ่านมา ตัวเองจะต้องทำไม่ได้แน่เลย งั้นมาลองวิธีสุดท้ายแบบหักดิบกันไปเลยครับ เดินไปเปิดบัญชีฝากประจำเริ่มต้นที่ขั้นต่ำเดือนละ 1,000 บาท ก็ได้ ถ้าจะให้ดีล่ะก็ใช้ระบบการตัดยอดเงินอัตโนมัติจากบัญชีที่รับเงินเดือนของเราเลยครับ ที่สำคัญคือต้องฝากให้ครบตามกำหนด ห้ามนำออกมาใช้ก่อนเด็ดขาด     วิธีการเก็บออมเงินเหล่านี้สามารถเริ่มทำได้เลยไม่ต้องรอช้า แค่ต้องมีวินัยในตัวเองเท่านั้นครับ เพราะถ้ารีบเก็บเงินกันตั้งแต่ตอนนี้ อนาคตก็สามารถวางแผนต่อยอดเอาไปทำอะไรได้อีกเยอะ  
วิธีกำจัดมด ด้วยของใกล้ตัว

วิธีกำจัดมด ด้วยของใกล้ตัว

วางของกินไว้ทีไร เผลอแป๊บเดียวมดขึ้นทุกที ไม่ว่าจะในครัว โต๊ะกินข้าว โต๊ะทำงาน มดก็ขึ้นได้ทั้งนั้น อย่ารอช้าครับ! หาของใกล้ตัวมารีบกำจัดมดออกไปให้ไกลกันดีกว่า     กากกาแฟ เดี๋ยวนี้คนนิยมดื่มกาแฟกันมากขึ้น กากกาแฟจึงเป็นของทั่วไปที่หาได้ง่าย โดยเฉพาะตามร้านกาแฟที่สามารถขอได้ฟรี โดยแค่เรานำกากกาแฟมาโรยไว้ตามทางเดินมด แค่นี้กลิ่นของมันจะช่วยไม่ให้มดมากวนใจเราอีกเลย   แป้ง แป้งเด็กกลิ่นหอมอ่อนๆ นี่แหละครับที่มดไม่ชอบ เพราะกลิ่นของแป้งจะไปกลบกลิ่นที่มดใช้สื่อสารกัน แถมฝุ่นแป้งยังไปอุดรูหายใจของมดจนหายใจไม่ออก เพียงแค่เราโรยแป้งไว้บริเวณถังขยะ ขาโต๊ะ หรือรังมดขนาดเล็ก   น้ำสบู่ น้ำผสมกับสบู่เหลว ใส่ขวดสเปรย์ฉีดตามทางเดินมดให้ทั่วบริเวณ ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที ค่อยเช็ดออก อาจจะใช้น้ำยาล้างจานหรือน้ำยาซักผ้าแทนสบู่ก็ได้ครับ   น้ำส้มสายชู+น้ำเปล่า น้ำส้มสายชูในครัวของเราสารพัดประโยชน์จริงๆ ครับ เพียงแค่นำมาผสมกับน้ำเปล่าในปริมาณเท่าๆ กันที่ 1:1 ใส่ขวดสเปรย์ฉีด หรือจะชุบฟองน้ำเช็ดตามทางเดินมดก็ได้   มะนาว+น้ำเปล่า กรดซิตริกในมะนาวจะช่วยไล่มดออกไปได้ครับ เพียงแค่นำน้ำมะนาวผสมน้ำเปล่าอัตราส่วน 1:3  ใส่ขวดสเปรย์ฉีดพ่นตามพื้นผนังที่มดชอบเดินขบวนผ่าน   น้ำมันก๊าด+ขมิ้น ด้วยความที่มดมีประสาทการรับรู้กลิ่นที่ไวมาก วิธีนี้จึงค่อนข้างได้ผลดีที่เดียวครับ ก่อนอื่นให้เรานำขมิ้นมาตำให้ละเอียดหรือจะใส่โถปั่นก็ได้ ผสมกับน้ำมันก๊าด จากนั้นหาต้นตอรังมดให้เจอแล้วนำไปราดใส่เลยครับ มดจะหายไปแน่นอน   สิ่งของใกล้ตัวในบ้านของเรานั้นมีประโยชน์หลายอย่างทีเดียวครับ นอกจากจะประหยัดค่าใช้จ่าย ยังปลอดภัยต่อคนในครอบครัวอีกด้วย ลองติดตามวิธีการง่ายๆ เหล่านี้ได้ใน Infographic ของเรา รับรองว่าจะนำสิ่งดีๆ มาคอยอัพเดทกันอยู่เสมอครับ    
กำจัดปลวก ด้วยวิธีธรรมชาติ

กำจัดปลวก ด้วยวิธีธรรมชาติ

“ปลวก” ก็ย่อมรู้สึกหวาดผวาปลวกตัวร้ายนี้อย่างแน่นอน แม้จะมีช่างที่รับกำจัดปลวกโดยเฉพาะ แต่ราคาประมาณหลักหมื่นบาทก็ถือว่าไม่ใช่เล่นเลยทีเดียว ฉะนั้นลองมาใช้วิธีจากธรรมชาติง่ายๆ กันดูก่อนครับ ปลอดภัย ราคาไม่แพงด้วย   นำเฟอร์นิเจอร์ไปตากแดด เป็นวิธีเบื้องต้นที่ง่ายที่สุด ให้นำเฟอร์นิเจอร์ที่ปลวกขึ้นไปตากแดดตรงๆ ทิ้งไว้ 3-5 วัน ให้เฟอร์นิเจอร์ของเราแห้งสนิท ปลวกก็จะหายไปเองครับ   สร้างกับดัก หาไม้กระดานหรือกระดาษแข็งที่จะใช้สร้างกับดักสักแผ่นนำมาพรมน้ำให้ชื้น แล้วนำไปวางไว้มุมที่คาดว่าปลวกจะอาศัยอยู่ ปล่อยทิ้งไว้สักพักใหญ่ค่อยกลับมาดูอีกที เมื่อปลวกรุมแทะแผ่นกับดักของเราพอสมควรแล้วก็รีบนำไปเผาทิ้งทันทีครับ วิธีนี้แม้จะไม้ได้ทำให้ปลวกถึงขั้นหายไปจากบ้านของเรา แต่ก็สามารถช่วยลดจำนวนลงได้พอสมควรเลยล่ะครับ   น้ำมันเปลือกส้มหรือน้ำมันสะเดา ลองหาซื้อน้ำมันเปลือกส้มหรือน้ำมันสะเดา นำมาทาลงบนเฟอร์นิเจอร์ที่เป็นไม้ และนำไปหยอดตามรอยแตกของผนังอย่างสม่ำเสมอ สาร d-limonene ที่อยู่ในน้ำมันจะช่วยกำจัดปลวกได้ดี   เกลือ วัตถุดิบสามัญประจำครัวอย่างเกลือ นำมาผสมกับน้ำอุ่นในปริมาณเท่าๆ กัน คนให้ละลายเข้ากันดี แล้วนำไปฉีดตามจุดที่มีปลวกติดต่อกัน 3-4 วัน   พริกป่น สำหรับพื้นไม้ที่โดนปลวกแทะยังไม่มาก ให้ลองเทพริกป่นที่มีอยู่ในครัวบ้านเรานี่แหละครับ ลงไปตามร่องรอยไม้ที่โดนปลวกแทะได้เลย   น้ำส้มสายชู อีกหนึ่งของหาง่ายในครัวครับ ผสมน้ำส้มสายชูประมาณครึ่งถ้วยกับมะนาว 2 ลูก แล้วเทลงในขวดสเปรย์ นำไปฉีดพ่นบริเวณที่มีปลวก ทำวันละ 2 ครั้ง ติดต่อกัน 3-4 วัน ปลวกก็จะหายไป   เลี้ยงไส้เดือนฝอย เป็นอีกครั้งที่เราแนะนำให้เลี้ยงสัตว์ เพื่อกำจัดแมลงบางชนิดครับ สำหรับการกำจัดปลวกนั้น เราขอแนะนำให้เลี้ยงไส้เดือนฝอย ซึ่งมีขนาดตัวเล็กกว่าปลวกเสียอีก ฟังดูอาจจะน่ากลัวสักนิดนะครับ แต่เจ้าไส้เดือนฝอยจะแทรกเข้าไปในตัวปลวกผ่านข้อต่อ เมื่อไส้เดือนเคลื่อนตัวสู่ช่องว่างในตัวปลวกก็จะปล่อยแบคทีเรียสร้างสารพิษเข้าสู่กระแสเลือดของปลวก ส่งผลให้ปลวกตายได้ภายใน 6 ชั่วโมง แต่ตัวไส้เดือนฝอยจะขยายพันธุ์ต่อไปได้ในอีก 3-4 วัน รอปลวกมาเป็นอาหารของมันใหม่อีกต่อไป   ลองสำรวจบ้านและเฟอร์นิเจอร์ของเราให้ดีครับ หากเจอปลวกเริ่มก่อตัวแล้วล่ะก็ ให้รีบหาทางกำจัดก่อนจะลุกลามจนพังบ้านของเรานะครับ    
ต่อเติมห้องครัวไทย แบบโปร่งหรือแบบทึบดี?

ต่อเติมห้องครัวไทย แบบโปร่งหรือแบบทึบดี?

ขึ้นชื่อว่าอาหารไทย เวลาประกอบอาหารก็ย่อมจะต้องมีเสียงดัง กลิ่นแรง ควันฟุ้งเกิดขึ้น ซึ่งคงไม่เหมาะหากครัวของเราอยู่ภายในบ้าน หลายครอบครัวจึงมักจะใช้วิธีต่อเติมครัวไทยแยกออกจากตัวบ้าน แต่จะเลือกต่อเติมรูปแบบไหน เรามาดูการเปรียบเทียบกันระหว่างข้อดี-ข้อเสีย ของครัวไทยแบบทึบและแบบโปร่ง เผื่อจะประกอบการตัดสินใจของบ้านคุณได้ครับ   ห้องครัวทึบ ขึ้นชื่อว่าครัวทึบก็จะมีลักษณะสมชื่อเลยครับ คือจะเป็นห้องที่กั้นด้วยผนังทึบรอบด้าน มีหลังคาต่อออกมาอย่างมิดชิด มีการเจาะช่องระบายอากาศ หน้าต่างบ้างตามความเหมาะสม   ข้อดี ให้ความปลอดภัย มีความเป็นส่วนตัว มีพื้นที่สำหรับติดตั้งตู้เก็บของได้มากกว่า สามารถป้องกันสิ่งสกปรก สิ่งไม่พึงประสงค์จากภายนอกได้ดี และเครื่องดูดควันที่ใช้ภายในจะช่วยป้องกันกลิ่นและควันที่จะฟุ้งกระจายสู่ภายนอกบ้านได้ดีกว่า   ข้อเสีย การต่อเติมจะใช้เวลามากกว่า มีค่าใช้จ่ายสูงกว่า เพราะปริมาณวัสดุ โครงสร้าง และการเตรียมงานระบบที่มากกว่า และด้วยวัสดุที่ใช้มีน้ำหนักมากกว่าก็จะทำให้มีโอกาสทรุดตัวได้เร็วกว่า ห้องครัวโปร่ง   สำหรับครัวโปร่งจะใช้ระแนงไม้แทนผนังทึบครับ อาจจะใช้แทนผนังแค่บางส่วนเพื่อความเป็นส่วนตัว เช่น เป็นกำแพงทึบครึ่งล่าง ส่วนครึ่งบนเป็นระแนงไม้ หรือเป็นผนังระแนงไม้ด้านใดด้านหนึ่ง และหลังคาก็อาจจะติดตั้งแค่กันสาดยื่นออกมาจากตัวบ้านเดิม รวมไปถึงชุดครัวที่อาจซื้อแบบสำเร็จรูปมาติดตั้งหรือก่อปูนตามการใช้งาน เรียกว่าเน้นความง่าย สะดวกนั่นเอง   ข้อดี เน้นความโปร่งโล่ง อากาศถ่ายเทสะดวก ระบายอากาศ กลิ่น และควันออกไปได้ง่าย จึงเหมาะสำหรับการทำอาหารไทย การต่อเติมทำได้สะดวกรวดเร็วมากกว่าแบบทึบ   ข้อเสีย ฝุ่น สิ่งปรก รวมถึงแมลงต่างๆ เข้ามาในครัวได้ง่าย ต้องทำความสะอาดบ่อย อุปกรณ์ทำครัวจึงต้องมีที่เก็บอย่างมิดชิด หลายครอบครัวจึงเลือกที่จะใช้ครัวโปร่งสำหรับประกอบอาหารและล้างภาชนะเท่านั้น และควรระมัดระวังเรื่องกลิ่น ควันที่ฟุ้งกระจายไปสู่บ้านใกล้เคียงได้   เมื่อเห็นข้อดี-ข้อเสียอย่างนี้แล้ว ก็ลองนำไปพิจารณาก่อนจะลงมือต่อเติมนะครับ แต่สิ่งสำคัญที่ลืมไม่ได้เด็ดขาดนั่นคือโครงสร้างที่ถ่ายน้ำหนักลงพื้นของครัวส่วนต่อเติม จะต้องแยกจากกันกับโครงสร้างบ้านเดิม เพราะส่วนต่อเติมซึ่งมักลงเสาเข็ม สั้นนั้นโดยปกติจะทรุดตัวเร็วกว่าตัวบ้านเดิม จึงควรให้การทรุดตัวเป็นอิสระจากกัน จะได้ไม่เกิดความเสียหายลุกลามใหญ่โตมากไปภายหลังได้ ความรู้เกี่ยวกับการทำห้องครัวไทย กั้นครัวไทยในบ้าน ปลอดภัย ไม่กวนใคร รวมเรื่องราวการต่อเติม-สร้างบ้าน 4 ปัญหาคาใจต่อเติมครัวแล้วทรุด บ้านชั้นเดียวต่อเติมเป็นบ้านสองชั้นได้หรือไม่ 7 ความผิดพลาดในการสร้างบ้าน ที่ควรใส่ใจ
มันมากับหน้าฝน ตะขาบเข้าบ้านทำอย่างไรดี

มันมากับหน้าฝน ตะขาบเข้าบ้านทำอย่างไรดี

ฤดูฝนเช่นนี้มักจะมีสัตว์มีพิษหรือแมลงต่างๆ ที่ไม่ได้รับเชิญหนีน้ำออกมาให้เราได้เห็นภายในบ้านของเราง่ายกว่าช่วงอื่น ซึ่งหนึ่งในสัตว์มีพิษร้ายแรงที่ว่าก็คือ “ตะขาบ” ที่โดยทั่วไปตะขาบอาศัยในที่มืดและอับชื้น และออกหากินในเวลากลางคืน เห็นตัวไม่ใหญ่โตแบบนี้ แต่พิษร้ายแรงจนเป็นอันตรายต่อชีวิตมนุษย์ได้เลยนะครับ   ผงกำจัดปลวก ผงกำจัดปลวกที่มีขายทั่วไป นำมาโรยให้รอบบ้าน รวมถึงรั้วบ้าน ตะขาบที่ถูกผงนี้เข้าก็จะตายไปในที่สุด แต่ให้ระวังเด็กกับสัตว์เลี้ยงอย่าให้ไปสัมผัสนะครับ จะเกิดอันตรายจากสารพิษได้ ปูนขาว เช่นเดียวกันกับผงกำจัดปลวกครับ นำไปโรยไว้ตามที่ตะขาบมักจะอาศัยอยู่ อย่างบนดินอ่อนๆ ที่มีความชื้น หรือตามกองใบไม้ทับถมกัน ปูนขาวจะดูดความชื้น ทำให้ตะขาบไม่ชอบแล้วหนีออกไปเอง หรืออาจจะเพิ่มประสิทธิภาพ ด้วยการผสมสมุนไพรอย่างมะกรูด โดยใช้วิธีการคั้นน้ำจากผลมะกรูดผสมกับปูนขาวก็ได้เช่นกัน โซดาไฟ บ่อยครั้งที่เรามักพบว่าตะขาบมักจะขึ้นมาจากท่อระบายน้ำบริเวณบ้านหรือในห้องน้ำ ฉะนั้นให้ใช้โซดาไฟมาผสมกับ น้ำเทลงในท่อ ด้วยฤทธิ์กัดกร่อนกับความร้อนสูงของโซดาไฟ จะช่วยให้แมลงต่างๆ ไม่เข้ามาใกล้เลยครับ     สารกำจัดแมลง Stargle G อีกหนึ่งสารเคมีที่ใช้ในการกำจัดแมลง แต่มีความปลอดภัยมากกว่า เกษตรกรต่างประเทศนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยใช้งานด้วยการโรยทิ้งไว้รอบบริเวณบ้าน แถมยังได้ผลที่ดีด้วยครับ สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์ และเคมีทางการเกษตรทั่วไป Tick Tox Powder จริงๆ แล้วผลิตภัณฑ์ Tick Tox Powder ใช้สำหรับกำจัดเห็บหมัด ให้กับสุนัข แมว กระต่าย หรือหนูเลี้ยง แต่เราสามารถนำมาโรยรอบๆ ตัวบ้านจะช่วยกำจัดตะขาบได้ทั้งตัวเล็กและตัวโตได้ครับ กาวดักหนู กาวเหนียวๆ ที่อยู่บนกาวดักหนู นำไปวางตามมุมต่างๆ ในบ้าน นอกจากจะสามารถใช้ดักตะขาบให้ติดกับได้แล้ว ยังทำให้สัตว์ชนิดอื่นๆ ติดตามไปด้วยเช่นกันครับ ไม่ว่าจะเป็นแมลง หรือสัตว์เลื้อยคลานอื่น ๆ แต่วิธีนี้จะใช้ได้เฉพาะกับตะขาบตัวเล็กนะครับ เพราะตะขาบตัวใหญ่จะสามารถสละขาที่ติดกาวออก แล้วยังเดินไปต่อได้ตามเดิม น้ำส้มควันไม้ น้ำส้มควันไม้นำมาผสมน้ำแล้วฉีดพ่น แต่ระวังอย่าให้เข้าตา หรือไปสัมผัสโดนผิวของเรานะครับ เพราะมีฤทธิ์เป็นกรดสูงทีเดียว โดยหาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์การเกษตร หรือร้านขายวัสดุก่อสร้างบางแห่ง เศษสบู่ เศษสบู่เล็กๆ ที่ใกล้จะหมดแล้วอย่าทิ้งนะครับ นำไปวางไว้บริเวณปากท่อระบายน้ำในห้องน้ำ หรือวางบนฝาปิดท่อน้ำ ไว้เลย ความลื่นและความเป็นด่างของตัวสบู่ทำให้แมลงไม่เข้าใกล้ เลี้ยงไก่ วิธีแบบบ้านๆ แต่เห็นผลได้ชัด หากเรามีพื้นที่เพียงพอในการเลี้ยงไก่นะครับ เพราะไก่เปรียบเสมือนคู่อริกับตะขาบ เลยล่ะครับ แต่ก็มีข้อเสียตรงที่ไก่มักจะชอบคุ้ยจิกกินจนพืชผักที่เราปลูกเอาไว้จนเสียหายได้   หน้าฝนก็ต้องดูแลทั้งตัวเองและคนในครอบครัวเป็นพิเศษหน่อยนะครับ ไม่ใช่แค่เรื่องของสุขภาพ แต่ยังรวมถึงอันตราย จากสัตว์ร้ายต่างๆ ป้องกันไว้ก่อนจะเกิดอันตรายคือสิ่งที่ดีที่สุดครับ          
วิธีไล่หนูบนเพดานบ้าน

วิธีไล่หนูบนเพดานบ้าน

แขกที่ไม่ได้รับเชิญในบ้านเราหนึ่งในนั้นมักจะมี “หนู” สัตว์ฟันแทะ แถมยังขยันวิ่งอยู่บนฝ้าเพดานสร้างเสียงดังรำคาญ โดยเฉพาะเวลากลางคืนที่วิ่งกันทีแทบนอนไม่ได้เลยใช่ไหมครับ คงไม่มีใครอยากเจอปัญหาแบบนี้แน่นอน เพราะนอกจากจะสร้างความรำคาญ ข้าวของพังเสียหายจากการโดนแทะแล้ว ยังเป็นพาหะนำโรค ซึ่งอันตรายมากด้วยนะครับ รีบกำจัดแบบไม่ต้องฆ่าให้รู้สึกบาปกันดีกว่าครับ   กรงดักหนู วิธีสุดคลาสสิกด้วยการนำกรงดักหนูพร้อมแขวนอาหารที่จะใช้เป็นเหยื่อล่อแขวนไว้ในกรง แนะนำให้วางมากกว่า 1 กรงนะครับ แล้วนำไปวางใต้เพดานบ้าน รอให้หนูติดกรงแล้วจึงนำไปทิ้งให้ไกลบ้าน แต่ระวังอย่าลืมทิ้งไว้นะครับ เพราะถ้าหนูตายคากรงแล้วล่ะก็ จะเกิดกลิ่นเหม็นเน่าติดไปอีกหลายวันเลย แผ่นปิดเชิงชายกระเบื้อง สำรวจว่าบริเวณชายกระเบื้องของบ้านเรามีช่องว่างรูโหว่ที่หนูสามารถมุดเข้ามาตรงไหนได้บ้าง แล้วทำการติดแผ่นปิดเชิงชายกระเบื้องปิดรูเหล่านั้นให้หมดเลยครับ เป็นการจัดการที่ต้นตอได้ดีทีเดียว เลี้ยงแมว วิธีง่ายๆ สไตล์ทาสแมว ด้วยสัญชาตญาณของเจ้าแมวที่เปรียบเสมือนเป็นโจทก์เก่ากับหนู ก็จะช่วยลดจำนวนของหนูลงได้จนหมดจากบ้านเราไป ทรายแมว บ้านไหนเลี้ยงแมวก็ย่อมต้องมีทรายแมวใช่ไหมครับ ซึ่งทรายแมวในกระบะที่เปื้อนฉี่ของน้องแมวแล้ว อย่าเพิ่งตักทิ้งนะครับ ลองเก็บใส่ถุงแล้วนำไปวางที่ใต้ฝ้าหลังคาหรือตามจุดที่หนูวิ่งผ่าน แค่กลิ่นก็ทำให้หนูไม่กล้าเข้าใกล้แล้วครับ น้ำมันสะระแหน่ หรือน้ำมันก๊าด นำน้ำมันสะระแหน่ น้ำมันก๊าด ใส่ในภาชนะเล็กๆ หรือจะใช้วิธีชุบสำลี แล้วนำไปวางกระจายหลายๆ แห่งตามใต้ฝ้าหลังคา จุดที่พบเจอหนูวิ่งผ่าน หรือแหล่งอาหารพวกเศษขยะ กลิ่นอันรุนแรงของตัวน้ำมันเหล่านี้จะช่วยให้หนูหนีไปเอง แต่ต้องคอยหมั่นเปลี่ยนน้ำมันบ่อยๆ นะครับ เพื่อให้ยังส่งกลิ่นฉุนอยู่ตลอด จุดประทัด นอกจากเรื่องของกลิ่นฉุนที่จะช่วยไล่หนูออกไปได้แล้ว ยังมีเรื่องของเสียงดังจากประทัดจะช่วยให้หนูที่มีธรรมชาติขี้ตกใจออกไปได้ เริ่มจากลองหารังของมันครับ แล้วจุดประทัดโยนไปบริเวณนั้น เมื่อเกิดเสียงดังจากประทัดนี่แหละครับจะทำให้หนูอพยพกันออกไป ผลิตภัณฑ์กำจัดหนู ทุกวันนี้มีผลิตภัณฑ์กำจัดหนูอยู่หลากหลายชนิดให้ได้เลือกใช้กัน ไม่ว่าจะเป็น สมุนไพรไล่หนู ก้อนไล่หนู แผ่นแปะไล่หนู สเปรย์ไล่หนู และเครื่องไล่หนูต่างๆ ที่ออกแบบมาเพื่อกำจัดหนูในบ้านด้วยวิธีง่ายๆ ลองเลือกใช้กันดูครับ   สิ่งสำคัญอีกอย่างคือการป้องกันไม่ให้หนูเข้าบ้านนะครับ ง่ายๆ เลยคือทำความสะอาดบ้านไม่ให้มีขยะ โดยเฉพาะเศษอาหารที่เป็นแหล่งอาศัยชั้นดีของหนู รวมถึงพยายามอย่าให้กิ่งไม้โน้มถึงตัวบ้าน เพราะหนูจะไต่มาตามต้นไม้แล้วเข้าบ้านได้ แต่ถ้าหนูเข้าบ้านไปแล้วล่ะก็ อย่าลืมรีบกำจัดออกไปก่อนจะมีคนในบ้านล้มป่วยเพราะเชื้อโรคจากหนูนะครับ      
7 ลักษณะบ้านอยู่แล้ว “จน”

7 ลักษณะบ้านอยู่แล้ว “จน”

ใครที่เคยตั้งคำถามกับตัวเองว่า ขยันเท่าไหร่ก็ไม่รวยสักที เก็บเงินไม่เคยอยู่เลย ลองหันมาดูศาสตร์เรื่องของฮวงจุ้ยของบ้านเรากันดูครับ ว่าจะเข้าข่ายบ้านที่อยู่แล้วจนหรือเปล่า   บ้านอยู่ระดับต่ำกว่า หรือสูงกว่าถนน หากบ้านอยู่ในระดับต่ำกว่าถนนจะทำให้โชคลาภจะไหลไปมาอยู่ภายนอกบ้าน เข้าสู่บ้านของเราได้ไม่สะดวก ขณะเดียวกันหากบ้านอยู่สูงกว่าถนนโชคลาภก็ไม่สามารถไหลเข้าบ้านได้เช่นกันครับ วิธีแก้คือ ทำหน้าบ้านให้เป็นลานกว้าง เพื่อเปิดรับพลังแห่งโชคลาภมากให้ไหลเข้าบ้าน   บ้านโดนสะพานตัดผ่าน บ้านที่โดนสะพานตัดผ่าน หรือมีลักษณะอยู่ใต้สะพานไม่สามารถมองเห็นหน้าบ้านได้จะทำให้โชคลาภและสิ่งดีงามไม่ไหลเข้าบ้าน หรือไล่เข้าบ้านได้ไม่ถนัดนัก   สภาพแวดล้อมสกปรก ตามหลักของฮวงจุ้ยแล้วจะทำให้ขาดพลังชี่ ทำให้ไม่ว่าจะขยันทำมาหากินมากแค่ไหนก็เหมือนเหนื่อยเปล่า ดังนั้นควรดูแลทำความสะอาดไม่ใช่แค่ภายในบ้าน แต่ต้องดูแลสภาพแวดล้อมรอบบ้านด้วย   รั้วบ้านเตี้ยเกินไป และมีแหลมคม หากรั้วบ้านเตี้ยเกินเชื่อกันว่า จะทำให้เก็บเงินทองไม่อยู่ และหากกำแพงบ้านมีลักษณะขรุขระ แหลมคมจะทำให้ผู้อยู่อาศัยมักจะพบเจอกับอุปสรรคต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะในเรื่องของหน้าที่การงาน และการค้าขาย   ประตูและหน้าต่างมีมากจนเกินไป จริงอยู่ครับที่บ้านสมัยใหม่มักจะมีประตูหน้าต่างหลายบาน เพื่อเปิดรับแสงธรรมชาติ ทำให้บ้านดูโปร่งขึ้น อากาศถ่ายเทได้ดีด้วย แต่ในทางกลับกันตามตำราฮวงจุ้ยนั้นกล่าวว่าจะทำให้โชคลาภไหลออกไปได้ง่าย ไม่สามารถเก็บเอาไว้ได้ ทำให้เก็บเงินได้ไม่นานก็ไหลออกเสียแล้ว แนะนำให้ไม่เปิดพร้อมกันหลายๆ บาน หรือติดตั้งผ้าม่านไว้ครับ   เปิดประตูแล้วเจอบันได ถ้าเราเปิดประตูทางเข้า-ออกหลักของบ้าน แล้วมองเข้าไปเจอบันได หรือประตูหลังบ้าน ถือเป็นเรื่องไม่ดีเอาเสียเลยสำหรับฮวงจุ้ย เพราะจะทำให้เงินทองเข้าแล้วออกไปจากบ้านอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้เก็บเงินไม่อยู่ มีรายจ่ายมากกว่ารายได้เสมอจนไม่มีเหลือเก็บ   ประตูบ้านห้ามรก ประตูบ้านคือสิ่งสำคัญมากต่อการเป็นช่องทางเข้าของเงินทองให้ไหลเข้าบ้าน ฉะนั้นต้องไม่ทำให้ประตูบ้านแคบและรก เพราะจะไปขัดขวางพลังงานโชคโลภให้เข้ามาอีกครับ     สิ่งเหล่านี้คือความเชื่อทางศาสตร์ฮวงจุ้ยครับ ลองนำไปปรับใช้กันดูเท่าที่จะทำได้ก็ไม่ได้เสียหายอะไร อย่างน้อยก็ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยสบายใจขึ้น เพราะเรื่องทรัพย์สินเงินทอง ใครๆ ก็อยากมีเก็บไว้ใช่ไหมครับ      
วิธีใช้ปลั๊กพ่วงอย่างไรให้ปลอดภัย

วิธีใช้ปลั๊กพ่วงอย่างไรให้ปลอดภัย

เกือบทุกบ้านต้องมีปลั๊กพ่วงไว้ใช้งานอยู่แล้ว แต่ทราบวิธีการใช้ที่ถูกต้องหรือยังครับ เพราะหลายครั้งหลายหนที่สาเหตุของการเกิดอัคคีภัยนั้นมาจากไฟฟ้าลัดวงจร โดยเฉพาะจากการใช้ปลั๊กพ่วงผิดวิธี หรือการเสื่อมสภาพของตัวปลั๊กพ่วงนี่แหละครับ ฉะนั้นมาดูวิธีการใช้งานที่ถูกต้อง เพื่อป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาครับ     ปลั๊กพ่วงที่ดี ส่วนประกอบต้องครบ ก่อนจะเลือกซื้อปลั๊กพ่วงสักอันต้องดูส่วนประกอบเหล่านี้ให้ครบครับ สวิตช์เปิด-ปิด หากใช้ไฟฟ้าเกินกำหนดจะช่วยตัดกระแสไฟฟ้า เต้าเสียบ มีฉนวนหุ้มที่โคนขาปลั๊กทั้งสองขา เต้ารับ มีแรงดันไฟฟ้าที่กำหนดไม่เกิน 250 โวลต์  ควรทำจากทองแดงหรือทองเหลือง เพราะนำไฟฟ้าได้ดีกว่า สายไฟได้มาตรฐาน หุ้มฉนวน 2 ชั้น ฟิวส์ หรือ CB   ตรวจสอบสภาพก่อนใช้งาน ปลั๊กพ่วงต้องมีสภาพสมบูรณ์ก่อนการใช้งานทุกครั้ง หากมีร่องรอยชำรุดเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นฉนวนหุ้มสายไฟแตก ขาปลั๊กมีรอยไหม้ หรือเมื่อเสียบปลั๊กไฟแล้วมีประกายไฟขึ้น ขณะใช้งานมีเสียงดัง สายไฟร้อน ปลั๊กหลวม ฯลฯ ให้หยุดใช้งานแล้วเปลี่ยนปลั๊กพ่วงใหม่ได้เลยครับ อย่าเสียดาย เพราะเราต้องป้องกันก่อนจะเกิดอันตราย   ห้ามใช้กับเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดใหญ่ เครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟเยอะ เช่น ตู้เย็น เครื่องทำน้ำเย็น ฯลฯ ควรจะเสียบกับเต้ารับจากไฟบ้านโดยตรงครับ หากเสียบกับปลั๊กพ่วงอาจทำให้เกินพิกัดกระแสไฟฟ้าที่ตัวเต้าจะรับได้ ซึ่งปกติแล้วจะอยู่ที่ 16 แอมป์ หรือ 2,600 โวลต์   ไม่พ่วงแล้ว พ่วงอีก ถ้าความยาวสายไฟไม่พอ ก็ลองหาตัวใหม่ที่มีความยาวเพียงพอกับการใช้งานครับ อย่าใช้วิธีพ่วงแล้ว พ่วงอีกต่อกันไปเรื่อยๆ เพราะจะทำให้ปริมาณไฟฟ้ารวมกันเกินขนาด เกิดความร้อนสูงจนอาจไปละลายสายทองแดงด้านในสายไฟทั้งสองเส้น แล้วเมื่อแตะกันก็จะเกิดลัดวงจรขึ้นครับ   ใช้งานแค่ชั่วคราวเท่านั้น ปลั๊กพ่วงถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานชั่วคราวเท่านั้นนะครับ ทำให้มีการเสื่อมสภาพเร็วกว่าเต้ารับตามบ้านทั่วไป ดังนั้นเมื่อใช้งานเสร็จแล้วก็ควรดึงปลั๊กออกจากเต้ารับ ห้ามนำไปเดินสายแล้วติดกับผนังกลายเป็น และอย่าใช้งานจนเต็มทุกรู     อย่าลืมตรวจสอบปลั๊กพ่วงอย่างสม่ำเสมอ และใช้ให้ถูกวิธีนะครับ เพราะหากเกิดอัคคีภัยขึ้นมา จากประกายไฟเล็กๆ ที่เราคาดไม่ถึง อาจลุกลามไปทำลายทรัพย์สิน หรือถึงแก่ชีวิตได้ครับ      

1 2 3 4 ... 13