ภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ แถมตัวเลขหนี้ครัวเรือนก็สูง ทำให้ธนาคารปล่อยสินเชื่อยากขึ้นตามไปด้วย หลายคนจึงประสบปัญหา “กู้ไม่ผ่าน” ซึ่งเดี๋ยวนี้หลายธนาคารก็มักไม่บอกสาเหตุที่แท้จริงว่าเกิดปัญหาที่จุดไหนกันแน่ถึงกู้ไม่ผ่าน แต่สำหรับ Infographic นี้เราจะมาบอกกันครับว่า เหตุผลที่กู้ไม่ผ่านเกิดมาจากอะไร เพื่อให้ได้เตรียมตัวก่อนยื่นขอสินเชื่อ
ทุกสถาบันการเงินจะมีความเข้มงวดมากในการตรวจสอบประวัติทางการเงินผ่านเครดิตบูโร ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายอะไรก็แล้วแต่ เช่น ผ่อนรถ บัตรเครดิต ฯลฯ หากเคยมีประวัติชำระล่าช้า ค้างชำระ หรือมีหนี้สินเกิน 5 บัญชีขึ้นไป จุดนี้เป็นสาเหตุทำให้ธนาคารปฏิเสธสินเชื่อมากที่สุด ทั้งนี้ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดหนี้เสีย หรือที่เรียกกันว่า NPL ขึ้นในอนาคต
จากข้อที่แล้ว หากเราสามารถจัดการค่าใช้จ่ายทั้งหมดของเราได้เป็นอย่างดี ตรงเวลา สม่ำเสมอ แต่บางครั้งก็ยังกู้ไม่ผ่าน สาเหตุอาจจะมาจากการที่เรามีภาระค่าใช้จ่ายมากเกินกว่า 40% ของรายได้ในแต่ละเดือน ก็มีโอกาสสูงมากที่ธนาคารจะปฏิเสธสินเชื่อด้วยเช่นกัน
ลองสำรวจดูครับว่า เราเคยไปเซ็นค้ำประกันให้ใครไว้หรือมีชื่อเป็นผู้กู้ร่วมกับใครหรือไม่ แล้วตรวจสอบให้ดีว่าผู้ที่เราเซ็นให้หรือใช้ชื่อเราไปกู้ร่วมด้วยมีประวัติการผ่อนชำระที่ดีหรือไม่ เพราะหากคนกู้มีประวัติการชำระไม่ดี หรือเกิดเบี้ยวหนี้ขึ้นมา ประวัติทางการเงินของเราจะพลอยเสียไปด้วย ทำให้กู้ไม่ผ่านได้
เรื่องการเดินบัญชีของเราในทุกๆ เดือน ธนาคารก็จะตรวจสอบเช่นกันครับ สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่มีเงินหมุนเข้าทุกเดือนเป็นประจำก็จะได้เปรียบหน่อย แต่ธนาคารก็จะพิจารณาอีกว่าเราพอมีเงินก็บสักก้อนที่เป็นเงินเย็นสำรองไว้บ้างหรือไม่ ซึ่งถ้าเราใช้จนหมดทุกเดือนก็เสี่ยงที่จะกู้ไม่ผ่านด้วยเช่นกัน สำหรับคนที่ไม่ได้มีเงินเดือนประจำ ก็แนะนำว่าพยายามเอาเงินเข้า-ออก ผ่านบัญชีอยู่เป็นประจำ ให้การเดินบัญชีไม่นิ่งจนเกินไป และธนาคารสามารถตรวจสอบได้ง่ายขึ้น
ทั้งนี้หากธนาคารปฏิเสธสินเชื่อ เราสามารถยื่นเรื่องขอเหตุผลเป็นลายลักษณ์อักษรได้ครับ จะได้ทราบจุดบกพร่องแล้วนำไปแก้ไขแล้วยื่นกู้ใหม่อีกครั้ง ขั้นต่ำคือหลังจาก 6 เดือนหลังจากยื่นกู้ไม่ผ่าน แต่พอเห็นสาเหตุอย่างนี้แล้ว เราก็สามารถเตรียมตัวให้ดีก่อนยื่นกู้สินเชื่อ ซึ่งเราจะนำ Infographic มาฝากกันต่อในโอกาสถัดไปครับ