สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ปีนี้ก็ถือว่าเป็นปีที่ยากลำบากปีหนึ่ง เพราะเจอกับปัจจัยลบหลายเรื่อง เหลือเวลาอีกเดือนเดียวจะทำผลงานได้ตามเป้าหมายหรือไม่ คงลุ้นกันน่าดู เดือนธันวาคมคงเป็นช่วงเวลาสุดท้าย ที่จะโหมแรงทำการตลาดกันสุดฤทธิ์ ได้ตามตามเป้าหมายหรือไม่ค่อนมาว่ากันอีกที
ส่วนรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาวงการอสังหาฯ ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร มาหาคำตอบกัน
นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท – แวลู บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในครึ่งปีหลัง 2562 บริษัทมีการปรับกลุทธ์การเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียม โดยเน้นโครงการที่เป็น Best in Class เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางที่มีกำลังซื้อและมีศักยภาพในท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ในทำเลใกล้รถไฟฟ้าและมีดีมานด์รองรับ โดยในไตรมาส 4 จะเปิดคอนโดมิเนียมอีก 3 โครงการ ได้แก่ The Tree พัฒนาการ-เอกมัย, The Tree Victory Monument และ The Tree พระราม 4-สุขุมวิท มูลค่ารวม 5,100 ล้านบาท
โดยโครงการ “The Tree Victory Monument” ถือเป็นโครงการ Highlight ของแบรนด์ The Tree โครงการแรกในระดับลักชัวรี่ มีการปรับโฉมที่ทำห้องฝ้าเพดานสูง 4.4 เมตร และ ห้อง Duplex ฝ้าเพดานสูง 4.9 เมตร ในราคาที่แข่งขันได้
นายสงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึง ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในปัจจุบันนี้ว่า คอนโดมิเนียมที่มีทำเลอยู่ในย่านกลางเมืองและชานเมืองยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับตลาดกลุ่มลูกค้าระดับบน ซึ่งถือเป็นกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ยังมีความต้องการหาสินค้าที่มีคุณภาพมาตอบโจทย์การอยู่อาศัย ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของคนเมืองที่มองหาคอนโดมิเนียมในย่านกลางเมือง พร้อมต้องการหลีกหนีความวุ่นวาย
ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวลักชัวรี่คอนโด “ดิ อิสสระ สาทร” (The Issara Sathorn) ย่านถนนจันทน์-สาทร เป็นโครงการคอนโดมิเนียมสูง 37 ชั้น จำนวน 270 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 2,400 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างในปีหน้า และคาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จประมาณปี 2565 ราคาเริ่มต้น 4.88 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 1-2-60 ไร่ บริเวณถนนจันทน์-สาทร มีขนาดพื้นที่ห้องเริ่มต้น 32.75-188 ตารางเมตร มีห้องให้เลือกถึง 4 รูปแบบ ได้แก่ ห้องแบบ 1 ห้องนอน, ห้องแบบ 2 ห้องนอน, ห้องแบบ 3 ห้องนอน และเพนท์เฮ้าส์ 3-4 ห้องนอน
นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK เปิดเผยว่า ได้ย้ายสำนักงานใหม่มาที่ถนนสุรวงค์ เนื่องกจากสถานที่เดิมได้ครบสัญญาเช่า 30 ปี จึงได้ย้ายสำนักงานใหม่ด้วยการลงทุน 250 ล้านบาท เช่าที่ดินย่านสุรวงศ์ ก่อสร้างอาคารขนาด 8 ชั้น ชูแนวคิด Wellbeing ภายใต้คอนเซปต์ Workplace Wellbeing
โดยภายในอาคาร บริเวณชั้น G เป็นพื้นที่ Co-Wellnest ซึ่งพนักงานสามารถใช้พื้นที่ในการ Sharing ความรู้ต่างๆ นอกจากนี้ยังเปิดให้บุคคลภายนอกเข้ามาใช้บริการได้, ชั้น P1 – P2ชั้นจอดรถ, ชั้น 5 ชั้นฟิตเนสให้พนักงานได้ออกกำลังกาย มีทั้งห้องโยคะและห้องกายภาพ, ชั้น 6, 7, 8 คือส่วนของสำนักงาน โดยที่ชั้น 8 จะมีในส่วนของห้องอาหาร (Canteen) สำหรับพนักงานด้วย และชั้นดาดฟ้า ที่จัดให้เป็น “Rooftop Organic Farm” ให้ผู้บริหารและพนักงานได้ร่วมกันปลูกผัก-ผลไม้ออร์แกนิค สำหรับไว้รับประทานอีกทั้งเพื่อให้พนักงาน ได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของที่มาที่ไปของอาหาร
นายปิติ จารุกำจร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและบริหารกลยุทธ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดตัวโครงการ “KHUN by YOO inspired by Starck” (คุณ บาย ยู อินสไปร์ บาย สตาร์ค)” ภายใต้บริษัทร่วมทุนกับ บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ซึ่งได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ 100% มูลค่ารวม 4,400 ล้านบาท ซึ่งเป็น 1st Design Branded Residence ระดับลักซ์ชัวรี่ใน Sansiri Luxury Collection ภายใต้ความร่วมมือกับ YOO Studio แบรนด์ดีไซน์สตูดิโอระดับโลกอย่างเต็มรูปแบบแห่งแรกในประเทศไทย ปัจจุบันมียอดขายแล้วเกือบ 70% หรือคิดเป็นมูลค่า 2,800 ล้านบาท
นายปิติ กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการนี้เป็น 1 ในเพียงแค่ 36 โปรเจ็กต์ทั่วโลกที่ฟิลิปป์ สตาร์ค ร่วมรังสรรค์ ด้วยจำนวนจำกัดเพียง 148 ยูนิต มาตรฐานทั่วไปที่มีในตลาด จึงถือเป็นอสังหาฯ ที่มีศักยภาพสูงมากในการลงทุนแบบ Passion Investment ซึ่งโครงการ KHUN by YOO inspired by Starck ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ 100% พร้อมโอนกรรมสิทธ์แล้วตั้งแต่วันนี้ ราคาเริ่มต้นที่ 18.9 ล้านบาท ปัจจุบัน Sansiri Luxury collection คอลเลคชั่น สร้างยอดขายรวมแล้วกว่า 17,700 ล้านบาท ได้แก่ 98 Wireless ซึ่งปัจจุบันเหลือเพียงจำนวน 3 ยูนิต, บ้านแสนสิริ พัฒนาการเหลือเพียงจำนวน 3 หลัง ตลอดจน THE MONUMENT Thong Lo ที่มียอดขายแล้วถึง 60% จากทั้งหมดของโครงการ
นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN) เปิดเผยถึงศักยภาพของทำเลรังสิตว่า พื้นที่ในทำเลรังสิตตั้งแต่ลำลูกกา รังสิต-องครักษ์ และคลองหลวง ถือเป็นพื้นที่ของการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรมาอย่างยาวนาน เนื่องจากเป็นทำเลที่มีความสะดวกในด้านการเดินทางจากโครงข่ายคมนาคมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ถนนวิภาวดีรังสิต ทางด่วนดอนเมืองโทลล์เวย์ ถนนวงแหวนฝั่งตะวันออก เป็นต้น
ขณะที่ในปัจจุบันรถไฟฟ้าทั้งสายสีแดงธรรมศาสตร์ รังสิต-บางซื่อ และรถไฟฟ้าสายสีเขียว หมอชิต-คูคต ที่จะเปิดให้บริการในอนาคต และมีแผนจะขยายเส้นทางไปถึงถนนวงแหวน จะทำให้การเดินทางเข้า-ออกเมืองมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ประกอบกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ เช่น การขยายสนามบินดอนเมือง รวมถึงห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เกิดขึ้นในอนาคต และห้างเดิมที่มีให้บริการอยู่แล้วจะทำให้สิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่มีความพร้อมและสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้ทำเลรังสิตกลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่ง
ทั้งนี้ โครงการที่อยู่อาศัยในทำเล ลำลูกกา-รังสิต ถือเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคในเมือง ซึ่งโครงการทาวน์โฮมของบริษัทฯ ในทำเลรังสิต ราคาเริ่มต้นประมาณ 2 ล้านบาท ได้ห้องนอน 3 ห้องนอน และที่จอดรถ 2 คัน ส่วนบ้านราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 2 ล้านกว่า – 6 ล้านบาท บริษัทจึงได้เปิด 7 โครงการมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท ในทำเลดังกล่าว ได้แก่ 1.โครงการไลโอ บลิสซ์ รังสิต-คลองหลวง 2. โครงการไลโอ บลิสซ์ ลำลูกกา-คลอง 2 3.โครงการบุรีรมย์ รังสิต-ลำลูกกา คลอง 4 4. โครงการลลิล ทาวน์ ลำลูกกา คลอง 4-5 5. โครงการลลิล ทาวน์ วงแหวน-ลำลูกกา คลอง 6 6. โครงการลลิล ทาวน์ รังสิต-คลอง 2 และ 7. โครงการไลโอ บลิสซ์ รังสิต-คลอง 4 รวมมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท
นางทองอุไร ลิ้มปิติ ประธานกรรมการ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เปิดเผยว่า ได้เปิดให้ประชาชนจองหุ้น IPO ได้ในวันที่ 25 – 29 พฤศจิกายนนี้ ผ่านธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ ทุกสาขา ในช่วงราคาเสนอขาย 15.50-17.50 บาทต่อหุ้น โดยบริษัทจะเสนอขายหุ้น IPO ด้วยจำนวนรวมกันไม่เกิน 1,535 ล้านหุ้น ประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 280 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมจำนวนไม่เกิน 1,255 ล้านหุ้น
นอกจากนี้ อาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Greenshoe) จำนวนไม่เกิน 230 ล้านหุ้น รวมทั้งสิ้นจำนวนไม่เกิน 1,765 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 5 บาท เพื่อนำเงินจากการระดมทุนไปขยายธุรกิจโดยซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขายในอนาคต ชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงิน และ/หรือชำระหุ้นกู้ที่ถึงกำหนดที่ออกโดยบริษัทฯ และ/หรือตั๋วเงินจ่าย และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน