Tag : Home

816 ผลลัพธ์
โนเบิล  กวาดยอดจองหุ้นกู้ 1,800 ล้าน  ระดมทุนปั้นโปรเจ็กต์ 47,700 ล้าน รับอสังหาฯ ฟื้นตัว

โนเบิล กวาดยอดจองหุ้นกู้ 1,800 ล้าน ระดมทุนปั้นโปรเจ็กต์ 47,700 ล้าน รับอสังหาฯ ฟื้นตัว

หุ้นกู้ โนเบิล  เผยยอดขายหุ้นกู้ทะลุเป้า ทำได้ 1,800 ล้าน แม้มีสถานการณ์โควิด-19 เตรียมนำเงิน​ที่ได้ซื้อที่ดินปั้นโปรเจ็กต์แนวราบ พร้อมใช้เป็นทุนหมุนเวียนต่อยอดธุรกิจ เปิดโปรเจ็กต์ใหม่ 18 โครงการ มูลค่า  47,700 ล้าน  รองรับอสังหาฯ ฟื้นตัว   นายอรรถวิทย์ เฉลิมทรัพยากร กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงิน บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE  เปิดเผยว่า แม้ว่าจะมีสถานการณ์โควิด-19 แต่​นักลงทุนยังมั่นใจในการดำเนินธุรกิจของโนเบิล มีการจองซื้อหุ้นกู้มาเป็นจำนวนมาก เกินกว่าจำนวนที่บริษัทตั้งเป้าไว้​ ส่งผลให้ต้องนำหุ้นกู้ที่สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติมหรือ Greenshoe option จำนวน 300 ล้านบาทมาใช้ รวมเป็นมูลค่าหุ้นกู้ที่ออกและเสนอขายทั้งสิ้น 1,800 ล้านบาท หุ้นกู้โนเบิลต่อยอดธุรกิจ โดยเสนอขายหุ้นกู้ระหว่างวันที่ 25-27 มกราคม 2565 ที่ผ่านมา  ซึ่งโนเบิล มีแผนจะนำเงินส่วนหนึ่งไปใช้ในการซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการในแนวราบที่ยังเติบโตได้ดี ส่วนที่เหลือจะเก็บไว้เพื่อชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในช่วงเดือนมิถุนายน 2565 และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ และในปีนี้โนเบิล ได้เตรียมความพร้อมรับมือกับการฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 18 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 47,700 ล้านบาท ซึ่งโนเบิล มีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนของการพัฒนาโครงการแนวราบ รวมถึงเพิ่มโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise ในพอร์ตให้มากขึ้น เพื่อขยายพอร์ตให้มีสินค้าที่สามารถรองรับกลุ่มลูหกค้าได้หลากหลาย และครอบคลุมในหลายทำเล   กลุ่มผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนให้การตอบรับหุ้นกู้ของโนเบิลเป็นอย่างดีนั้น มาจากชื่อเสียงของโนเบิลมีประวัติการชำระหนี้ที่ดี ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง รวมถึงแบรนด์สินค้าซึ่งเป็นที่ยอมรับในตลาดคอนโดมิเนียม ตลอดจนมียอดขายรอการรับรู้รายได้หรือ Backlog จำนวนมากที่จะช่วยประกันรายได้ในอนาคตของบริษัท ได้เป็นอย่างดี   นอกจากนี้ โนเบิลยังได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากทริสเรทติ้งที่ระดับ BBB และได้รับการปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “Stable” ในปีที่ผ่านมา ในขณะที่หุ้นกู้ของบริษัทฯ ได้รับการปรับอันดับความน่าเชื่อถือขึ้นมาเป็น BBB แม้ในปี 2564 ที่ผ่านมาจะมีความไม่แน่นอนจากสถานการณ์โควิด-19 สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการตัดสินใจของนักลงทุนในการลงทุนในหุ้นกู้ของโนเบิล ในครั้งนี้   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง 7 บิ๊กอสังหาฯ ระดมทุน ผ่าน "หุ้นกู้" 2 เดือนเฉียด 10,000 ล้าน
7 บิ๊กอสังหาฯ ระดมทุน ผ่าน “หุ้นกู้”  2 เดือนเฉียด 10,000 ล้าน

7 บิ๊กอสังหาฯ ระดมทุน ผ่าน “หุ้นกู้” 2 เดือนเฉียด 10,000 ล้าน

หุ้นกู้ 7 บิ๊กอสังหาฯ ออกรวมมูลค่าเฉียด 10,000 ล้าน เสนอดอกเบี้ย 3.1-7.5% นำเงินต่อยอดพัฒนาโครงการ พร้อมลุยธุรกิจปี 65 หลังจากปีที่ผ่านมามีการรดมทุนผ่านหุ้นกู้กว่า 270,000 ล้าน การระดมทุนเพื่อมาดำเนินธุรกิจ นอกจากจะมาจากส่วนของเจ้าของกินการและกรรมการ ที่จะนำออกมาใช้แล้ว การกู้ยืมเงินทุนกับสถาบันการเงิน ก็เป็นวิธีปกติที่ทุกธุรกิจเลือกที่จะใช้กัน แต่บางครั้งการกู้ยืมเงินกับสถาบันการเงิน ก็อาจจะไม่ได้คล่องตัวมากนัก หรือเจ้าของธุรกิจคงต้องมีหลักทรัพย์ หรือมีคุณสมบัติที่ดีพอในการจะไปกู้เงิน  นอกเหนือจากการกู้ยืมเงินกับสถาบันการเงินแล้ว วิธีการระดมทุนเพื่อมาใช้ดำเนินธุรกิจ หรือขยายกิจการ ก็ยังมีอีกหลายวิธี หนึ่งในวิธีที่บริษัทชั้นนำนิยมทำ โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ คือ การระดมทุนผ่าน หุ้นกู้   โดยหุ้นกู้โดยทั่วไป จะมีการกำหนดมูลค่าไว้ที่หน่วยละ 1,000 บาท และหุ้นกู้ส่วนใหญ่มักกำหนดมูลค่าการซื้อขั้นต่ำไว้ที่ 100,000 บาท หรืออาจมากกว่านั้นในกรณีการขายให้นักลงทุนสถาบัน หรือนักลงทุนรายใหญ่  โดยผู้ซื้อหุ้นกู้จะมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ ในขณะที่ผู้ออกหุ้นกู้จะมีสถานะเป็นลูกหนี้ที่มาขอยืมเงินพร้อมสัญญาว่าจะจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้คืนให้ผู้กู้ในอัตราที่แน่นอน ตามระยะเวลาของสัญญาการกู้เงิน เช่น หุ้นกู้อายุ 3 ปีจนถึง 10 ปี   สำหรับผลตอบแทนของหุ้นกู้จะอยู่ในรูปของดอกเบี้ย การจ่ายดอกเบี้ยจะจ่ายปีละ 2 ครั้ง หรือทุก ๆ 6 เดือน แต่สำหรับหุ้นกู้บางรุ่นอาจจ่ายปีละ 4 ครั้ง หรือทุก ๆ 3 เดือนก็ได้ และดอกเบี้ยที่ได้รับจากหุ้นกู้ต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่ 15% เช่นเดียวกับรายได้จากดอกเบี้ยชนิดอื่น ๆ   ในแวดวงธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บรรดาดีเวลลอปเปอร์จำนวนมากก็เลือกใช้วิธีการขายหุ้นกู้ เป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการเงิน สำหรับการระดมทุนเพื่อมาต่อยอดธุรกิจ พัฒนาโครงการใหม่ เสริมสภาพคล่องทางธุรกิจ โดยในช่วงปี 2564 ที่ผ่านมา พบว่า บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ มีการระดมทุนผ่านการขายหุ้นกู้กว่า 270,000 ล้านบาทเลยทีเดียว สำหรับปี 2565 เฉพาะแค่ 2 เดือนแรก ก็พบว่ามีบริษัทอสังหาฯ เสนอขายหุ้นกู้แล้วเกือบ 10,000 ล้านบาท ยังไม่นับรวมบริษัท แลนด์​ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ที่ประกาศแผนว่าจะระดมทุนผ่านหุ้นกู้อีก 14,000 ล้านบาท ซึ่งยังไม่ได้ระบุว่าจะเริ่มเสนอขายเมื่อใดด้วย 5 ประโยชน์หุ้นกู้ รู้ไว้ก่อนจ่ายเงินซื้อ* สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจในการลงทุนหรือซื้อหุ้นกู้นั้น คือ ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ย ที่สูงกว่าอัตราเงินฝากธนาคาร แม้ว่าระยะเวลาการไถ่ถอนคืนจะมีระยะเวลาหลายปีก็ตาม แต่หากวัดจากอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับ นักลงทุนที่มีเงินออมหรือไม่จำเป็นต้องรีบใช้เงิน จึงเลือกที่จะมาลงทุนในหุ้นกู้มากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม  นักลงทุนที่ตัดสินใจซื้อหุ้นกู้ควรคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ ที่จะได้รับจากการลงทุน ก่อน​ ได้แก่ 1.อัตราผลตอบแทน   หุ้นกู้ของบริษัทเอกชน มักจะเสนออัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่มีลักษณะและอายุคงเหลือใกล้เคียงกัน ผลตอบแทนสส่วนที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ จะเป็นการชดเชยให้กับความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากหุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัทเอกชนถือว่ามีความเสี่ยงในด้านการผิดนัดชำระหนี้ มากกว่าพันธบัตรรัฐบาล 2.เป็นแหล่งรายได้ประจำ   เนื่องจากหุ้นกู้และตราสารหนี้จ่ายดอกเบี้ยเป็นงวดๆ แก่ผู้ลงทุน และจะจ่ายคืนเงินต้นเมื่อครบกำหนดของอายุกุ้นกู้ หากนักลงทุนที่ต้องการรายได้ประจำ โดยที่เงินต้นของการลงทุนนั้นยังคงอยู่ครบ จึงอาจพิจารณาลงทุนในหุ้นกู้และตราสารหนี้อื่น ๆ ไว้ในพอร์ตการลงทุน ​​ 3.ความมั่นคงปลอดภัยของเงินลงทุน  นักลงทุนควรพิจารณาอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่ท่านลงทุน โดยอันดับความน่าเชื่อถือที่สูง ก็ถือว่ามีความปลอดภัยสูง หรือแปลได้ว่า มีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับชำระเงินคืนค่อนข้างต่ำ อันดับความน่าเชื่อถือนี้จะประเมินจากประวัติทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ออกหุ้นกู้ ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำหนดให้หุ้นกู้ที่ออกขายในประเทศไทยจะต้องได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ 4.การกระจายความเสี่ยงของการลงทุน  หุ้นกู้อาจถือว่าเป็นเครื่องมือการลงทุนที่ตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ของความต้องการของนักลงทุนในเรื่องการกระจายความเสี่ยง โดยนักลงทุนสามารถกระจายการลงทุนไปสู่ธุรกิจประเภทต่าง ๆ โดยมีอันดับความน่าเชื่อถือที่หบากหลายได้ 5.สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้   หุ้นกู้ สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนมือกันได้ในตลาดรอง โดยไม่ต้องรอให้ถึงวันครบกำหนดอายุ อย่างไรก็ตาม สภาพคล่องการซื้อขายอาจแตกต่างไปตามขนาดและเงื่อนไขของแต่ละหุ้นกู้ บิ๊กอสังหาฯ​เสนอขายหุ้นกู้เฉียด 10,000 ล้าน สำหรับในช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2565 บริษัทอสังหาฯ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้มีการเสนอขายหุ้นกู้ให้กับประชาชนทั่วไป และนักลงทุนสถาบัน 7 บริษัท รวมวงเงินเบื้องต้น 9,950 ล้านบาท โดยมีผลตอบแทนเป็นอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ 3.1-7.5% ต่อปี อนันดา ขายหุ้นได้ตามเป้า 5,000 ล้าน บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ได้เสนอขายหุ้นกู้รุ่น 1 อายุ 1 ปี 6 เดือน ผลตอบแทน 4.50% ต่อปี และรุ่นอายุ 2 ปี 6 เดือน ผลตอบแทน 5.40% ต่อปี ซึ่งได้เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน ในวันที่ 11-13 มกราคม 2565 ผ่านสถาบันการเงิน 7 แห่ง ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ได้แก่  ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด   สำหรับหุ้นกู้ของบริษัทได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อจากบริษัท ทริส เรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2564 ที่ระดับ "BBB-" เช่นเดียวกับอันดับเครดิตองค์กร และมีแนวโน้ม "คงที่" (Stable) โดยตั้งเป้าเสนอขายหุ้นกู้ 5,000 ล้านบาท ซึ่งภายหลังจากการเปิดจำหน่ายก็สามารถขายได้ตามเป้าที่วางเอาไว้ แม้ว่าในสภาวะที่ตลาดตราสารหนี้ยังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 บริษัทฯ มีแผนไถ่ถอนหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ที่ถึงกำหนด 5 ปี จำนวน 770 ล้านบาทและเดือนมีนาคม 2565 จำนวน 230 ล้านบาท หุ้นกู้ดิจิทัล “แสนสิริ” ขายเกลี้ยงไม่ถึง 4 วิ. บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) ได้มีการเสนอขายหุ้นกู้ในนรูปแบบใหม่ ด้วยการซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง” ที่มีมูลค่าเสนอขาย 2,000 ล้านบาท ในวันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา โดยให้ผลตอบแทนดอกเบี้ยคงที่ 3.10% ต่อปี ระยะเวลาลงทุนเพียง 2 ปี 6 เดือน รับดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ เมื่อเปิดขายหุ้นกู้สามารถมียอดจองซื้อเต็มมูมูลค่าเสนอขาย 2,000 ล้านบาท ในระยะเวลาเพียง 3 นาที 38 วินาที โดยเป็นหุ้นกู้ดิจิทัลแสนสิริตามแผนการเสนอขาย 1,000 ล้านบาท และมีหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติม (กรีนชู) อีกจำนวน 1,000 ล้านบาท  จากนักลงทุนจำนวน 5,800 ราย ซึ่งเป็นนักลงทุนรายย่อยที่เข้าถึงหุ้นกู้ดิจิทัลแสนสิริ แกรนด์ แอสเสทฯ ขายหุ้นกู้ ดอกเบี้ย 7% บริษัท ​แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (GRAND) ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อออกและเสนอขายหุ้นกู้มีประกันมูลค่าไม่เกิน 1,000 ล้านบาท อายุ 1 ปี 6 เดือน ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดไถ่ถอน มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ 7%  ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ โดยเสนอขายให้ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ ระหว่างวันที่ 24-26 ม.ค.65 ผ่าน บล.โกลเบล็ก บล.กรุงไทย ซีมีโก้ และ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ "BB-" แนวโน้มอันดับเครดิต"Negative" เมื่อวันที่ 19 มี.ค.64   สำหรับหลักประกัน ได้แก่ หลักประกันประเภทอสังหาริมทรัพย์มูลค่าไม่น้อยกว่า 1.05 เท่าของมูลค่าหุ้นกู้ที่จำหน่ายได้ ได้แก่ ที่ดินระยอง และห้องชุดโครงการไฮด์ สุขุมวิท 11 และ หลักประกันประเภทหุ้น มูลค่าไม่น้อยกว่า 0.54 เท่า ของมูลค่าหุ้นกู้ที่จำหน่ายได้ ได้แก่ หุ้นสามัญของบมจ.โรงแรมรอยัลออคิด(ประเทศไทย)  (ROH)  บริษัทมีวัตถุประสงค์จะนำเงินที่ได้มาใช้ชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน จำนวน 380 ล้านบาท และที่เหลือ 620 ล้านบาทใช้ชำระคืนหนี้หุ้นกู้ที่จะครบกำหนดเดือน ก.พ.65 จำนวน 1,489 ล้านบาท โนเบิล ขายหุ้นระดมทุนพัฒนาโครงการใหม่ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE   หลังจากได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลเพื่อขออนุญาตและเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ไปเมื่อช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ขณะนี้บริษัทได้รับอนุญาตให้เสนอขายหุ้นกู้จากสำนักงาน ก.ล.ต. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเป็นการออกและเสนอขายหุ้นกู้ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป และผู้ลงทุนสถาบัน อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.60% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือน จองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณทุก ๆ 100,000 บาท เสนอขายระหว่างวันที่ 25-27 มกราคม 2565 นี้ โดยวัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้ครั้งนี้เพื่อขยายการลงทุนและการพัฒนาโครงการใหม่ ๆ โดยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในแนวราบมากขึ้นรวมถึงการลงทุนในบริษัทร่วมทุน ทั้งนี้บริษัทฯและหุ้นกู้ที่ออกในครั้งนี้ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2565 ที่ระดับ “BBB” แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” ซึ่งหุ้นกู้ที่ออกครั้งนี้และหุ้นกู้ชุดอื่น ๆ ของบริษัทฯ ในปัจจุบันได้รับการเพิ่มอันดับเครดิตจากเดิมที่ระดับ “BBB-” มาที่ระดับ “BBB” เช่นเดียวกัน ไรมอนแลนด์ ขายหุ้นกู้ 300 ล้าน บริษัท  ไรมอนแลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ ​ RML ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อออกและเสนอขายหุ้นกู้มีประกันของบริษัท ครั้งที่ 1/2565 มูลค่าไม่เกิน 300 ล้านบาท อายุ 1 ปี 3 เดือน ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2566 มีอัตราดอกเบี้ยคงที่  6.25% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ ระหว่างวันที่ 8-10 ก.พ.65 โดยมีผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ได้แก่ บล.คิงส์ฟอร์ด บล.ยูโอบีเคย์เฮียน (ประเทศไทย) บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ CCC(tha) เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.64 ซึ่งบริษัทมีวัตถุประสงค์จะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจในปี 65-66 ไซมิส ขายหุ้นกู้ 1,200 ล้าน ต่อยอดธุรกิจ บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA ได้ออกหุ้นกู้จำนวน 2 ชุด วงเงินไม่เกิน 1,200 ล้านบาท  โดยแบ่งเป็นชุดที่ 1 หุ้นกู้ ผลตอบแทน 6.25% อายุ 2 ปี 6 เดือน มีหลักประกัน จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน และชุด 2​ หุ้นกู้ ผลตอบแทน 6.8% อายุ 2 ปี ไม่มีหลักประกัน จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน โดยเปิดขายระหว่างวันที่ 11 และ 14 – 15 ก.พ.นี้   โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินไปต่อยอดในธุรกิจต่าง ๆ เช่น Recurring Income, F&B, Cloud Kitchen, AMC, Technology, Wellness, พัฒนาโครงการแนวราบต่าง ๆ และบางส่วนนำเงินไปไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนด  โดยธุรกิจใหม่ๆ นี้ จะสร้างรายได้เพื่อการเติบโตแบบยั่งยืน  อีกทั้งจะทำให้มีการกระจายแหล่งที่มาของรายได้ ตอบโจทย์แผนธุรกิจระยะยาว ออลอินสไปร์ ระดมขายหุ้นกู้ 450 ล้าน บริษัท ​ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อออกและเสนอขายหุ้นกู้มีประกันของบริษัท ครั้งที่ 1/2565 มูลค่าไม่เกิน 450 ล้านบาท ชุดที่ 1 หุ้นกู้อายุ 2 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2567 มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ 7.00% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ และชุดที่ 2 หุ้นกู้อายุ 3 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2568 มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ 7.50% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้   โดยหุ้นกู้ดังกล่าวจะเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ ระหว่างวันที่ 17-18 และ 21-22 ก.พ.65 ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ได้แก่  บล.เอเอสแอล บล.บียอนด์ บล.คันทรี่กรุ๊ป  และ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) สำหรับหลักประกัน ได้แก่ ที่ดินเปล่ารวมถึงส่วนควบบนที่ดินที่จะมีขึ้นในอนาคต และ กรรมสิทธิ์ห้อง โครงการ The Excel Ratchada 18 และโครงการ The Excel Ladprao-Sutthisan โดยดำรงมูลค่าทรัพย์สินที่เป็นประกันในอัตราส่วนไม่น้อยกว่า 1:1 เท่า บริษัทมีวัตถุประสงค์นำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ เพื่อใช้ชำระคืนหุ้นกู้ ALL222A ที่จะครบกำหนด 28 ก.พ.65 ประมาณ 413 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินหมุนเวียนในกิจการ และในโครงการที่มีอยู่ปัจจุบัน ประมาณ 37 ล้านบาท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ วางแผนขายหุ้นกู้ 14,000 ล้าน สำหรับบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH ​มีแผนที่จะออกหุ้นกู้อีกจำนวน 14,000 ล้านบาทในปี 2565 นี้ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจะอยู่ในระดับที่ลดลงจากสิ้นปี 2564 โดยอยู่ในระดับที่ไม่เกิน 100% ซึ่งในปี 2564 บริษัทได้มีการออกหุ้นกู้มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท ระยะเวลา 2-3 ปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 1.40% ต่อปี โดยปัจจุบันยังไม่มีรายละเอียดการจำหน่ายหุ้นกู้ออกมา ​​   ที่มา : *ดีดี พร็อพเพอร์ตี้ www.set.or.th, Reviewyourliving รวมรวม
4 สูตร (ไม่) ลับ “Be-Think-Do-Say” สร้างแบรนด์ “อสังหาฯ” ให้เป็นผู้นำธุรกิจ

4 สูตร (ไม่) ลับ “Be-Think-Do-Say” สร้างแบรนด์ “อสังหาฯ” ให้เป็นผู้นำธุรกิจ

ต้องยอมรับว่าจากการเข้ามาของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้โลกเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทั้งชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนทั่วไป รวมถึงการดำเนินธุรกิจของธุรกิจต่าง ๆ ที่ต้องปรับเปลี่ยนตามให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคด้วย และไม่เพียงแต่การดำเนินธุรกิจที่จะต้องตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคให้ได้เท่านั้น   แต่การดำเนินธุรกิจต้องสามารถก้าวขึ้นมาเป็นแบรนด์ผู้นำตลาด หรือ LEADERSHIP BRAND เพื่อครองใจตลาดและผู้บริโภคให้ได้ เพราะยุคปัจจุบันผู้บริโภคจงรักภักดีต่อแบรนด์ลดน้อยลง และไม่ได้รักหรือชอบสิ่งใดสิ่งหนึ่งแต่เพียงอย่างเดียว ผู้บริโภคพร้อมจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตัวเองได้ตลอดเวลาด้วย   สำหรับการสร้างแบรนด์ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  แม้ว่าคนส่วนใหญ่เลือกซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม จากทำเลที่ตั้ง วัสดุก่อสร้าง ราคาหรือโปรโมชั่น แต่เรื่องของแบรนด์ก็ถือว่ามีความสำคัญ เพราะจะสะท้อนกลับมาถึงสิ่งต่าง ๆ ดังกล่าว ที่จะทำให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่นว่า เป็นสินค้าที่มีคุณภาพดี ราคายุติธรรม การสร้างแบรนด์อสังหาฯ ในยุคปัจจุบันจึงเป็นสิ่งจำเป็นไม่แพ้กับธุรกิจอื่น ๆ โดยสูตรลับการสร้างแบรนด์ที่สำคัญ ประกอบด้วย “Be-Think-Do-Say” ที่ถือว่าเป็นหัวใจที่จะทำให้แบรนด์เป็นที่ยอมรับและเข้าไปนั่งในใจของลูกค้า ซึ่ง “ดลชัย บุณยะรัตเวช ประธานและประธานบริหารฝ่ายกลยุทธ์ บริษัท อินสปิริตี้ พาร์ทเนอร์ชิพ จำกัด ​ ได้มาถ่ายทอดเคล็ดลับดังกล่าว ในหัวข้อ “Brand Leadership & Brand Portfolio Management” ภายในงาน TerraHint Brand Series 2021 – Develop the leadership brand in a game changing way พลิกเกม เปลี่ยนแบรนด์สู่ผู้นำ   Consumer Paradox ผู้บริโภคหลายใจในยุคโควิด ปัจจุบันการก้าวสู่แบรนด์ผู้นำ หรือ LEADERSHIP BRAND อาจจะไม่ใช่เรื่องยาก เพราะโลกมีการเปลี่ยนแปลง สังคมและสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลง ที่ส่งผลให้การดำเนินธุรกิจเปลี่ยนแปลงไปมาก ทำให้การสร้างแบรนด์ได้รับปัจจัยสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19   สำหรับคำว่า LEADERSHIP BRAND มีความหมายว่า เป็นแบรนด์ที่มีอำนาจในการสื่อสาร IDENTITY หรืออัตลักษณ์ของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ และสามารถแสดงความโดดเด่น หรือพิเศษอย่างมั่นคง และที่สำคัญจะต้องสื่อสารในสิ่งที่ ตัวเองเชื่อ และสัญญากับสังคมได้ สามารถจะส่งมอบคุณค่าของแบรนด์ได้ตลอดเวลา แต่สิ่งสำคัญเราจะสร้างแบรนด์ เพื่อครองใจตลาดและผู้บริโภค ในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ภายใต้ยุค New Normal โดยเฉพาะพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป   โดยปัจจุบัน พบว่า พฤติกรรมผู้บริโภคในยุค New Normal มีการเปลี่ยนแปลงใน 4 มุมด้วยกัน ดังนี้ 1.Changing the Channel ช่องทางในการติดต่อสื่อสารที่เปลี่ยนแปลง  มีความเป็นดิจิตอลมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันการติดต่อแบบ Physical ก็ยังจำเป็น เพราะมนุษย์เป็นสัตว์สังคม สองโลกต้องไปด้วยกัน 2.Shift  to Value การใช้จ่ายที่คิดแล้วคิดอีก เพราะเงินหายาก กว่าจะซื้ออะไรได้จะคิดมากขึ้น 3.Healthy, safety and Local คนให้คนสำคัญกับเรื่องของสุขภาพ การนอนหลับที่ดี การมีสมาธิ และความปลอดภัย การใช้จ่ายภายในประเทศ 4.Shock to Loyalty รอยัลตี้ของแบรนด์น้อยลง  ผู้บริโภคยุคปัจจุบัน พร้อมจะเปลี่ยนไปซื้อสินค้าแบรนด์อื่นได้ง่ายขึ้น เพราะเน้นในเรื่องของความสะดวสบาย อะไรที่ใกล้ตัวและสะดวกก็จะเลือกซื้อแบรนด์นั้น จากพฤติกรรมผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น คำนึงถึงเรื่องความปลอดภัย ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมผู้บริโภค ที่ถือว่าเป็น​เทรนด์ใหม่ คือ Consumer paradox ซึ่งหมายถึง ผู้บริโภคมีความต้องการ 2 อย่างในตัวเอง ไม่ได้มีความต้องการด้านเดียว มักจะมี 2 มุมเสมอ และบางครั้งก็ขัดแย้งกันเอง ซึ่งแบรน์จะต้องตอบสนองเขาให้ได้ เป็นเทรนด์ที่ผู้บริโภคยุคปัจจุบันมีความหลายใจ บางครั้ง อยากได้ Digital world แล้วก็อยากได้ Physical world ด้วย บางครั้งก็อยากได้ Social time และก็อยากได้เวลาของตัวเองด้วย ดังนั้น แบรนด์จะต้องมีความเข้าใจผู้บริโภคตลอดเวลา ผู้บริโภคเปลี่ยนไป ทั้ง Demographic จิตวิทยา  ค่านิยม  แบรนด์จึงอยู่เฉยไม่ได้ ต้องจับให้ได้และต้องเข้าใจ  เพราะแบรนด์คือการสร้างความสัมพันธ์ (Brand is a relationship) ระหว่างธุรกิจกับผู้บริโภค ถ้าความสัมพันธ์ไม่แข็งแรงแบรนด์ก็ไปต่อไม่ได้ เพราะฉะนั้น Brand ต้องเป็น Paradox หมายถึงการมี 2 มิติ มีเพียงมิติเดียวไม่ได้ เพื่อตอบสนองความต้องการ 2 มิติของผู้บริโภค เหมือนหยิน-หยาง มีจุดแข็งและจุดอ่อนนุ่ม ทุกอย่างต้องมี 2 มิติเสมอ  เป็นเทรนด์ใหม่ของการสร้างแบรนด์ 4 สูตรสร้างแบรนด์ “Be-Think-Do-Say”​ ส่วนองค์ประกอบหลักในการสร้างแบรนด์ มีด้วยกัน 3 มุม ที่จะต้องรู้ ประกอบด้วย 1.BRADD PURPOSE เป้าหมายของแบรนด์เราต้องรู้ว่า คุณค่าและกลยุทธ์องค์กร เป็นอย่างไร และต้องมีความชัดเจน 2.CONSUMER NEEDS ที่เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต 3.WORLD NEEDS เป็นอย่างไร หลังจากสังคมเกิดโรคระบาดขึ้น แบรนด์สามารถปรับตัวเข้ากับสังคมใหม่ได้อย่างไร การสร้างแบรนด์จะต้องนำเอาองค์ประกอบทั้ง 3 มาพิจารณา และสามารถปรับให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นให้ได้ ซึ่งวิธีการทำงานในสร้างแบรนด์ที่ถูกต้อง  จะต้องเริ่มต้นด้วย 1.DEFINE ว่าบริบทเป็นอย่างไร ความท้าทายเป็นอย่างไร กลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างไร 2.ALIGN การนำเอาทุกอย่างมาปรับให้เข้ากัน ทั้งองค์กร สิ่งแวดล้อม กลุ่มเป้าหมาย 3.PROJECT เมื่อนำทุกอย่างมาจัดการให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน หรือ ALIGN เข้าด้วยกันแล้ว จึงทำเป็นแบรนด์ให้เป็นแฟลตฟอร์มออกไป เมื่อทุกอย่างนิ่งแล้วทำเป็น PROJECT โดยเฉพาะแบรนด์อสังหาริมทรัพย์​ ถ้าเรามีกลยุทธ์แบรนด์ที่นิ่ง ทุกอย่างสัมพันธ์กันหมดแล้ว สามารถทำโปรเจ็กต์ที่ถูกต้อง   สำหรับวิธีการสร้างแบรนด์ เพื่อก้าวไปสู่ความเป็นผู้นำ จะต้องประกอบไปด้วย 4 องค์ประกอบสำคัญ คือ “Be-Think-Do-Say” 1.Be : Brand essence, Brand purpose, Brand positioning การสร้างแบรนด์ต้องเริ่มต้นด้วยกความเข้าใจ Being ตัวเองก่อน คำว่า Being ไม่ใช่แค่บุคลิกภาพ แต่รวมถึง Spirit  จิตวิญญาณของแบรนด์ว่าเป็นอย่างไร 2.Think: Brand idea, Brand portfolio/architecture, Brand identity เมื่อรู้จักตัวเองแล้วจะรู้วิธีคิด ว่าอสังหาฯ ​จะต้องมีไอเดียอย่างไร มีคอนเซ็ปต์อย่างไร 3.Do: Brand culture, Brand expression , Brand behavior เมื่อได้ไอเดียและคอนเซ็ปต์แล้ว แต่อย่างสื่อสารการตลาด แต่ต้องทำให้เห็นก่อน Doing จึงหมายถึง คุณจะต้องสร้างวัฒนธรรมแบรนด์ให้ชัดเจน พนักงานทุกคนต้องเข้าใจ การแสดงออกจะเป็นอย่างไร ต้องวางแผนให้ดี Portfolio จะเป็นอย่างไร สินค้าจะมีอะไรบ้าง 4.Say : Brand communication, Brand narrative, Identity expression หลังจากทำกระบวนการในขั้นตอน Do แล้วค่อยสื่อสารการตลาด หรือ Saying ออกไป ซึ่งถือเป็นอันดับสุดท้ายของการสร้างแบรนด์ ค้นหาตัวตนของแบรนด์ ในการสร้างแบรนด์สู่การเป็นผู้นำ จุดเริ่มต้นต้องค้นหาตัวตนที่แท้จริง หรือ Be authentic ของแบรนด์ให้ได้  ต้องเข้าใจตัวตนของแบรนด์อสังหาฯ​ ที่แท้จริงของคุณว่าเป็นอย่างไร คำว่า​ authentic ซึ่งหมายถึง ตัวจริง ของแท้ คุณจะต้องหาจิตวิญญาณที่แท้จริงของตัวเองให้ชัดเจน ซึ่งวิธีการหาจะใช้การเริ่มต้นด้วยการตั้งคำถาม We are….. Why we are…..    เป็นคำถามที่ต้องถามตัวเอง เราเป็นใครกันแน่? โดยมีเคล็ดลับในการหาคำตอบให้กับตนเอง ด้วยการตั้งคำถาม Who are you เพราะการที่คุณเป็นอะไร มันจะสะท้อนสิ่งที่คุณทำ คุณครีเอท และมาจากคนที่รู้จักคุณ​ เป็น 3 มุม ที่บ่งบอกว่าตัวคุณเป็นใคร  ผู้บริโภคคุณเป็นใคร สิ่งที่คุณอยากครีเอทคืออะไร สิ่งที่จะอยากทำคืออะไร  อันนี้เป็นตัวบ่งบอกว่าคุณ คือ ใคร   นอกจากนี้ ยังจะต้องสร้างภาพแบรนด์ให้มีความเป็นมนุษย์ให้ได้ เพื่อสร้างบุคลิกของแบรนด์ หรือวัฒนธรรมของตนเองให้ตลอดรอดฝั่ง เพราะยุคนี้  UNIQUE SELLING POINT ไม่มีแล้ว  ทุกอย่างมันเหมือนกันหมด เทคโนโลยีมันตามกันทัน เราจะทำอย่างไร ที่จะสร้างบ้านให้แตกต่าง สิ่งที่อยากแนะนำให้แบรนด์อสังหาฯ ทำคือ SPIRITUAL IDENTITY อัตลักษณ์ทางจิตวิญญาณ เป็นเทรนด์ใหม่ล่าสุด ถ้าทุกแบรนด์เข้าใจ จะไปต่อได้ง่ายและโดดเด่น แสดงความเป็น LEADSHIP ได้ง่าย ค้นหาตัวตนจากบทบาทที่แสดง อีกวิธีในการค้นหาตัวตนของแบรนด์ ด้วยการค้นหาบทบาทที่แบรนด์กำลังแสดง หรือ BRAND ARCHETYPES บทบาทของแบรนด์ ถ้าสมมุตว่าแบรนด์กำลังเล่นละครอยู่ คุณกำลังแสดง​บทบาทไหนอยู่ เป็นตัวละครแบบไหน ในโลกนี้มีจะมี 12 บทพื้นฐานที่คนแสดงออกมา แต่การทำงานจริงอาจจะมีมากกว่านี้ ขึ้นอยู่กับบริบทที่จะเกิดขึ้น เช่น ถ้าเป็นบท Creator ​ก็เป็นคนมีความคิด ถ้าเป็น Explorer  คุณก็เป็นคนที่ชอบค้นพบอะไรใหม่ ๆ Outlaw ชอบแหกกฎ Jester เป็นคนสนุกสนาน Lover  คนโรแมนติกสวยงาม Caregiver  มอบความรักความเอาใจใส่ให้กับคน Everyman คนง่าย ๆ สบาย ๆ ติดดิน Innocent เป็นคนไม่มีพิษไม่มีภัย Ruler ผู้นำ  Sage นักปราชญ  Magicianคนชอบเสกอะไรใหม่  Hero คามเป็นผู้นำ   นอกจากนี้ ในการสร้างแบรนด์สิ่งสำคัญที่นักสร้างแบรนด์ต้องทำ คือ การเล่นกับสมองผู้บริโภค ทั้ง 2 ด้าน คือ ​ แบรดน์ที่ดีจะต้องเล่นกับสมองซีกขวา อารมณ์ ความรู้สึก จิตนาการ  ส่วนโปรดักส์และฟังก์ชั่น ต้องเล่นกับสมองซีกซ้าย หมายถึงว่า  ถ้าแบรนด์อสังหาฯ สร้างแบรนด์ให้โดนใจ โดนความรู้สึก  ทุกอย่างต้องไปด้วยกันทั้งสมองซีกซ้ายและขวา หรือ ต้องมี Head กับ Heart คือ มีทั้งลอจิกส์และความรู้สึก (หัวใจ) คน   แบรนด์แอปเปิ้ล Think different เขาเล่นสองบทบาท คือ บท Creator และ Rebel นักขบถ สตีฟ จอบส์ เขาเป็นนักสร้างสรรค์และนักขบถด้วย แบรนด์อิเกีย เป็นแบรนด์ Regular guy  คือ เป็นแบรนด์ง่าย ๆ ติดดิน แต่มุมที่สอง มีความเป็น Creator   ค้นหา Big idea สร้างตัวตน เมื่อเข้าใจตัวตนของแบรนด์แล้วว่าเป็นใคร สิ่งที่ต้องทำต่อมา คือ กระบวนการ Think ด้วย การหา Big idea  ที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้ไปทำอะไรต่อไป การหา Big idea สามารถหาได้ 2 มุม คือ มุมที่เด่น Differentiated Value และ มุมที่คุณมี โดน Relevance Value โดย Big idea จะเป็นตัวกลางเชื่อมระหว่างทั้ง 2 เรื่องดังกล่าว ​ Big idea ที่ดี จะต้องมี 2 ด้านดังกล่าว ซึ่งอาจะเปรียบเทียบได้ว่าจะต้องมีทั้ง Head และ Heart คือ หัวใจและสมอง ซึ่งหัวใจต้องมีความชัดเจน ตรงโดดเด่นไม่เหมือนคนอื่น ต้องเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย   สำหรับ Big idea มีประโยชน์ในการใช้งานทั้งภายในองค์กร และภายนอกองค์กร ประโยชน์ของ Big idea ที่ใช้ภายในองค์กร คือ 1.Team attitude คือการสร้างทีมของคุณ ให้มีทัศนคติเดียวกัน 2.Product innovation and design สามารถสร้างสินค้า ดีไซน์สินค้า และกลยุทธ์สินค้าภายใน 3.Internal communication สื่อสารภายในองค์กรให้ทุกคนเข้าใจว่าแบรนด์เป็นอย่างไร 4.Organiztion Identity อัตลักษณ์ขององค์กร ต้องแสดงกายภาพ แบบไหน การแสดงออกอย่างไร ว่าเป็นคนในองค์กรนี้   ประโยชน์ของ Big idea ที่ใช้ภายนอกองค์กร  คือ 1.Brand representative behavior อย่างเซล หรือแอมบาสเดอร์ ที่จะออกไปพบสังคม จะต้องทำตัวอย่างไร​ 2.Products delivery การส่งมอบสินค้าจะเป็นอย่างไร 3.External narrative การสร้างเรื่องราวภายนอกจะเป็นอย่างไร การโฆษณาประชาสัมพันธ์​ 4.Expression identity (Look and feel) การแสดงออก รูป รส กลิ่นเสียง จะเป็นอย่างไร ทำก่อน "พูด" ให้แบรนด์มีพลัง​ เมื่อเรามีไอเดียแล้ว ต้องรู้วิธีการทำงาน อย่าเพิ่งสื่อสารออกไป ต้องทำให้เห็นจริงก่อน หรือ Do provide value อย่ารีบพูด "Actions speak louder than words" อย่ารีบสร้างสโลแกน ทำให้เห็นก่อน สมัยนี้แนวทางการสร้างแบรนด์ไม่ใช่ Story telling แต่เป็น Story doing ทำแบรนด์ให้จับต้องได้ แล้วจะชนะเกมทุกอย่างในยุคนี้ Show…don’t tell ทำทุกอย่างให้เห็น ด้วยกลยุทธ์ของการบริหารแบรนด์ หรือ  Brand Portfolio Strategy   การบริหารแบรนด์อย่างไรให้เป็นผู้นำ  จะต้องบริหารแบรนด์ให้มีพลัง ด้วยใช้กลยุทธ์  Brand Portfolio Strategy เริ่มต้นจากการตั้งคำถามมีแบรนด์ไปเพื่อใคร ทำแบรนด์ไปทำไม มีสินค้าเพื่อใคร จะต้องมีแบรนด์ลูกด้วยหรือไม่ ต้องจัดพอร์ตสินค้าให้มีความชัดเจน ผู้บริโภคจะได้เข้าใจและสามารถเข้าถึงแบรนด์ได้ ซึ่งโดยปกติบนโลกนี้โครงสร้างของแบรนด์ หรือ Brand Architectures จะมีแบบมาตรฐานด้วยกัน 3 รูปแบบ 1.Masterbrand หมายถึง ทุกแบรนด์ในองค์กรใช้ชื่อแบรนด์แม่มาช่วยในการดำเนินธุรกิจ เช่น กลุ่ม HYATT 2.Endossed หมายถึง แบรนด์แม่สร้างแบรนด์ลูก แล้วแบรนด์แม่มาช่วยสนับสนุนในการสร้างแบรนด์ เช่น กลุ่ม MARRIOTT 3.Individual หรือ House of brand หมายถึง บริษัทพัฒนาแบรนด์ออกมา โดยมีชื่อไม่เหมือนกัน ไม่ได้ใช้ชื่อเชื่อมโยงกัน แต่ออกมาจากบริษัทแม่เดียวกัน เช่น กลุ่ม STARWOOD ได้เวลาส่งเสียง สร้างแบรนด์ให้ดัง หลังจากได้ทำกระบวนการ Be-Think-Do แล้ว ก็มาถึงกระบวนการสุดท้าย คือ Say ที่หมายถึงการสื่อสารการตลาด ให้ผู้บริโภคและคนภายนอกได้รู้จักแบรนด์ ซึ่งการสื่อสารในทุก ๆ สื่อ จะต้องสื่อสารเรื่องหลักเรื่องเดียวกัน นอกจากใจความสำคัญแล้ว ลีลา บุคลิกลักษณะของการสื่อสาร ต้องออกมาเหมือนกันด้วย โดยจะต้องสื่อสารออกมาในลักษณะ เป็นการสื่อสารออกมาจากคน ๆ เดียวกัน ในทุกสื่อทุกช่องทาง​   แนวทางการสื่อสารสำหรับแบรนด์ผู้นำ จะต้องประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ดังนี้ -What I VALUE the most แสดงให้ลูกค้าเห็นว่าแบรนด์ให้คุณค่ากับอะไร เป้าหมายคืออะไร สิ่งที่แบรนด์เห็นว่าเป็นสิ่งสำคัญคืออะไร -What I want to be KNOWN for แบรนด์อยากให้ลูกค้าทุกคน เห็นว่าแบรนด์เป็นอย่างไร แบรนด์จะโดดเด่นตรงไหน -How I will LEAD แบรนด์จะตัวอย่างที่ดีให้กับสังคมอย่างไร ต้องทำให้เห็น ​ -What I expect FROM YOU แบรนด์ต้องการให้ผู้บริโภคคิดอย่างไร ทำอย่างไรต่อไปกับชีวิตของตนเอง เช่น เป็นตัวของตัวเองที่สุด แสดงความรักต่อความครอบครัวมากที่สุด ไม่ใช่แค่ขายของ   ในการเล่าเรื่องของแบรนด์จะต้องทำให้เห็น ให้ผู้บริโภคจินตนาการเห็นกายภาพที่ชัดเจน ว่าแบรนด์มีลักษณะอย่างไร เห็นแล้วรู้ได้ทันทีว่าเป็นแบรนด์ของเรา แบรนด์จึงต้องมีอัตลักษณ์ที่ชัดเจน และนำเอาไปใช้ในทุก ๆ สื่อ นอกจากนี้ ต้องทำให้คนในองค์กรทุกแผนก รวมถึงสินค้า การตลาด ต้องสื่อสารออกมาให้มีความสอดคล้องกันทั้งหมด เหมือนออกมาจากบุคคลคนเดียวกัน   Say คือ การสร้าง communication และการแสดงออก  เมื่อได้กระบวนการทั้งหมด ผู้บริโภคจะรู้สึกเข้าใจ Brand โดยอัตโนมัติ เพราะแบรนด์นามธรรม เป็นการแสดงอารมณ์ ความรู้สึก และความรับรู้ที่ผู้บริโภครู้สึกได้ทางอารมณ์ ส่วนสินค้า คือ เหตุผล ดังนั้น เมื่อทำกระบวนการ Be-Think-Do-Say ผู้บริโภคจะรับรู้และรู้สึกได้เอง   การทำธุรกิจต้องมี Business strategy แต่ก่อนทำ Marketing strategy ต้องลงทุนทำ Brand strategy ซึ่ง strategy จะเป็นตัวเชื่อมระหว่าง Business strategy กับ Marketing strategy เพื่อไม่ให้หลงทาง ซึ่ง Brand strategy จะช่วยกำหนดตัวตน จุดยืน เป็นเข็มทิศให้กับ การตลาดทำงานอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด Brand strategy เป็นตัวกลางในการเชื่อม Business กับ strategy เพราะ Marketing is what you do branding is what you are คุณต้องรู้ตัวว่าคุณเป็นใครก่อน ที่คุณจะทำอะไร ทั้งหมดนี้ คือ กระบวนการสร้างแบรนด์ ที่จะก้าวไปสู่การเป็นผู้นำ ซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ในยุคที่ข้อมูลข่าวสารสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ง่าย แต่สิ่งสำคัญกว่าการขึ้นเป็นผู้นำ คือ การรักษาความเป็นผู้นำ และการครองใจผู้บริโภค สามารถตอบสนองความต้องการให้เขาได้อย่างตรงจุด และอย่างสม่ำเสมอ รวมถึงการรักษาคุณภาพของสินค้าและบริการ ที่แบรนด์นำเสนอให้กับลูกค้าด้วย  
อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนมกราคม 2565

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนมกราคม 2565

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน เราได้ก้าวสู่ศักราชใหม่ 2565 กันมาพักนึงแล้ว สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ยังคงอยู่กับเราเหมือนเดิม ทำให้เราต้องระมัดระวังตัวเอง การ์ดอย่าตก แม้ความร้ายแรงของโรคจะไม่เหมือนในระยะแรกก็ตาม   ผลกระทบสำคัญอย่างหนึ่งที่ยังคงมีอยู่กับเรา คือ ภาวะสินค้าราคาแพงขึ้นมากมายหลายรายการ ซึ่งการเพิ่มขึ้นก็คงมีหลายปัจจัย ขึ้นอยู่กับแต่ละชนิดสินค้า ส่วนหนึ่งก็เป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นั่นแหละ แม้ว่าจะมีสินค้าหลายรายการปรับราคาเพิ่มขึ้น  แต่สำหรับในธุรกิจการเงิน อัตราดอกเบี้ยยังถือว่าต่ำอยู่มาก โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน เพราะกำลังซื้อที่ลดลง ทำให้ธนาคารต้องรักษาอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ไม่ให้สูง เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ลูกค้ามาใช้บริการ   สำหรับภาพรวมอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโดมิเนียมใหม่ ประจำเดือนมกราคม 2565 ในภาพรวมยังถือว่าธนาคารส่วนใหญ่ ยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยเท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา มีเพียงบางธนาคารที่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ซึ่งเชื่อว่าหากสถานการณ์บ้านเมืองและภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น อัตราดอกเบี้ยคงขยับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จะว่าไปจังหวะนี้เป็นช่วงเวลาที่ดี หากใครที่อยากจะซื้อบ้านหรือคอนโด และมีความสามารถจะผ่อนได้ในระยะยาว และมีกำลังซื้อที่แท้จริง ก็อย่าปล่อยเวลาให้ผ่านไป แต่หากยังไม่มีแผน หรือดูสถานะทางการเงินหรือการทำงานแล้ว  ยังไม่ค่อยมั่นใจ จะรอไปก่อนเราก็ไม่ว่ากัน   มาดูกันว่า อัตราดอกเบี้ยส่วนใหญ่ที่ธนาคารปล่อยให้ลูกค้ากู้ซื้อบ้านมีอัตราเท่าไรกันบ้าง 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป  โดยอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ประจำเดือนมกราคม 2565 มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ  วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1   ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น 5.2%  (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.2% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65%   อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 0.17% ที่คิดอัตราดอกเบี้ย 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 0.17% ที่คิดอัตราดอกเบี้ย 4.65% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น  5.45% (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.45%  (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.9% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.7%(MRR-1.25%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.075%(MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2%(MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58%   -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก 4.75% หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า ​500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า ​คิดอัตราดอกเบี้ย​ MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย ​MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา   หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค.- 1 มี.ค. 65 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ​และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา ​ -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ​ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ​ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ​​ 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อสำหรับบ้านใหม่ กรุงไทย SURE  โดยไม่คิดค่า  ธรรมเนียมยื่นกู้  โดยเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด  ไม่เปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ​​ดังนี้ แบบคงที่ 1 ปี ฟรีค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75%  ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.80% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.20% เพิ่มขึ้น 0.20% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตรา 4.04% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0%  ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.87% (MRR-2.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.90% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.24% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 0.16% ที่คิดอัตราดอกเบี้ย 4.08% แบบลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.77%  (MRR-3.45%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.77% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.22% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.87% (MRR-3.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.87% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.26%   สินเชื่อสำหรับการกู้ซื้อบ้านที่ธนาคารออกค่าจดจำนองให้** และ ฟรี ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบคงที่ แบบทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ไม่เปลี่ยนแปลง ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%)  เพิ่มขึ้น 0.35% จากเดือนก่อนหน้าคิด 3.97% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.13% เพิ่มขึ้น 0.23% จากเดือนก่อนหน้าคิด 2.90% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.32% เพิ่มขึ้น 0.06% จากเดือนก่อนหน้าคิดอัตรา 4.24%   แบบไม่ทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0%  ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%) เพิ่มขึ้น 0.35% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด​ 3.97% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%) เพิ่มขึ้น 0.3% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.02% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.23% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 0.23% ที่คิดดอกเบี้ย 3.0% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา = 4.35% เพิ่มขึ้น 0.08% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 4.27%   แบบลอยตัว แบบทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.12% (MRR-3.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.12% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.35%   แบบไม่ทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.22% (MRR-3.0%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.22% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 3.38%   การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ 1.ทำ MRTA/GLT SP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี 2.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ 3.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ **ธนาคารออกค่าจดจำนองให้ 1% สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท หากลูกค้าปิดบัญชีก่อน 5 ปี ธนาคารจะเรียกเก็บค่าจดจำนองคืน ***อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 มี.ค.65 MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมินอัตราดอกเบี้ยยังคงเท่าเดิมจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.9% ( MRR-3.15%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.00%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.39% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.50% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย MRR-1.60% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.55%  (MRR-3.50%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.3%  (MRR-2.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.02% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.25% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.1% (MRR-1.95%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.3% (MRR-1.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.7%  (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.23%   หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ​ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พ.ค. 63 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 30 เม.ย. 65 โดยจดจำนองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 31 พ.ค. 65 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป โดยพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ ซึ่งเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 7.72% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 7.72% สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 8.22% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 8.22% หมายเหตุ : -อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% (ประกาศ ณ วันที่ 22 พ.ค. 63) -อัตราดอกเบี้ยข้างต้นสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่ 20 ก.ค.  – 31 ธ.ค. 64 -สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภทรวมอาคารพาณิชย์ยกเว้น Refinance และการปล่อยกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า -มีค่าสำรวจและประเมินราคาหลักประกันโดยบริษัท โพรเกรส แอพไพรซัล หรือบริษัทประเมินที่ธนาคารรับรอง คิดขั้นต่ำ 3,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) -วงเงินให้กู้สูงสุดไม่เกิน 90% ของเราซื้อขายและไม่เกิน 90% ของราคาประเมินหลักประกัน *ข้อมูลภายในเว็บไซต์ ณ วันที่ 13 ม.ค. 65 ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่ : กรณีซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด) ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราเดิมเท่ากับเดือนที่ผ่านมา โดยธนาคารเกียรตินาคินมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  2.450%-2.750% ปีต่อไป ดอกเบี้ย  4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.650%-2.950% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.60%-2.99% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.80%-3.19% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ​เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่​ 18 สิงหาคม 2563 เท่กับ​ 6.525% ต่อปี 3.เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา​​​​​​ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า​ Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.​กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง ​​หากลูกค้า Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท  ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคี ​เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด ​โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ ​ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน​ 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด ​30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารซีไอเอ็มบี มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.10%) ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย 5.35% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-2.80%) หลังจากนั้น 5.35% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.15% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2564) -ธนาคารยังมีอัตราดอกเบี้ยสำหรับพนักงานประจำรายได้ 30,000-50,000 หรือเจ้าของกิจการรายได้ 50,000 บาทขึ้นไปไว้พิจารณาด้วย รวมถึงสินเชื่อสำหรับโครงการที่ธนาคารเป็นผู้สนับสนุน 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป จะได้รับฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าจดทะเบียนจำนอง และค่าประเมินหลักทรัพย์ ซึ่งยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยเท่ากับเดือนที่ผ่านมา  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.23%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.4% (MRR-1.88%) หลังจากนั้น 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.4% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือก 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา ดอกเบี้ย 4.65% หมายเหตุ สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส ​ 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท​ -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -MRR (Minimum Retail Rate : อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี) = 6.28% ต่อปี ณ วันที่ 7 พ.ค. 64 -การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารไทยพาณิชย์ คิดมีอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.950% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.950% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยะเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2565 ​มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา เพราะในปีที่ผ่านมา เป็นโครงการบ้านธอส. เพื่อคุณ ปี 2564 ทำให้มีการปรับปรุงอัตราดอกเบี้ยใหม่  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.15% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.75% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.9% (MRR-2.25%) เพิ่มขึ้น 0.15% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.4%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญา  5.4% หมายเหตุ -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.-30 ธ.ค.65   (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติมวงเงินของโครงการแล้ว) -อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินกู้และทุกบัญชีเงินกู้ภายใต้หลักประกันเดียวกัน 10.ธนาคารยูโอบี ธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโครงการหมู่บ้านทั่วไป  โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เปลี่ยนแปลงจาก​เดือนที่ผ่านมาเล็กน้อย ซึ่งธนาคารยูโอบีมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด  ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.35% ลดลง 0.2%  จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.55% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.35% (MRR-4.0%) ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.55% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.35% ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.79% ลดลง 0.08% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.87% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.55% ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.80%) ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย  3.75% หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.55% ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% ลดลง 0.08% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.95% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.8% ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75%  (MRR-2.60%) ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.95% หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.45% ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.8% ลดลง 0.08% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.88% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.0% ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.20% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.95%  (MRR-2.24%) ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย  5.15% ปีที่ 4 อัตราดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.65% ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.96% หมายเหตุ -ขอสินเชื่อตั้งแต่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค. 65 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายใน 29 เม.ย.​ 65 -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาคารยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.35% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ​(Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น)​ -การอนุมัติสินเชื่อ​เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ  7.35% ต่อปี ​(ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 1 เม.ย. 64) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย​ MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้​ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ​เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร​ -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย ​(ใบอนุญาตประกันชีวิต​เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศภัย​ เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่เสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ​จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย คือ โฮมโลน โดนใจ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 1.9% (สำหรับผู้มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป) โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยสำหรับผู้กู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.0% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.00% (MRR-5.35%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.80% (MRR-3.55%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10%  (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 2 ปีแรก) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.20% (MRR-3.15%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.55% (MRR-4.80%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 4 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.75% (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 3 ปีแรก) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ล้านละ 3,500 บาท  กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่** -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 4.60% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.10% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.35% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่างๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค. 65 -สำหรับอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.9% สำหรับผู้กู้ที่มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป ผ่อนต่ำเดือนละ 3,500 บาท ฟรีค่าจดจำนองสินเชื่อเมื่อซื้อประกันผ่านธนาคาร ฟรีค่าประเมินหลักประกัน 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีสินเชื่อเคหะ สำหรับให้บริการผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไปซื้อบ้านหรือคอนโด ภายใต้แคมเปญ อัตราดอกเบี้ย 0% 6 เดือนแรก ภาพรวมไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ​ โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้​ กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ยเฉลี่ย 0.75% (เดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 1.5%)  ลดลง 0.75% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย 1.5% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.525% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.525% (MRR-2.72%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.6% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.101% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ยเฉลี่ย 1.0% (เดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 2.0%) ปรับลดลง 1.0% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.0% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.15% ปีที่​ 3 ดอกเบี้ย 4.15% (MRR-2.095%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.1% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.286%   เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยโปรโมชั่น 1.ประกัน หมายถึง ประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ 2.อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR=6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) 3.รายละเอียดเพิ่มเติมสอบถามได้จากธนาคาร   ที่มา Reviewyourliving รวบรวมจากเว็บไซต์ธนาคาร ข้อมูล ณ วันที่ 13 ม.ค.65   บทความที่เกี่ยวข้อง อัพเดท ดอกเบี้ย กู้ซื้อบ้านและคอนโด เดือนธันวาคม 64 อัพเดท ดอกเบี้ย กู้ซื้อบ้านและคอนโด เดือนพฤศจิกายน 64  
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้  ชู 2 คีย์ซัคเซส กวดยอดขาย 64   สร้าง New High กว่า 3 หมื่นล้าน

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ชู 2 คีย์ซัคเซส กวดยอดขาย 64  สร้าง New High กว่า 3 หมื่นล้าน

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ กวาดยอดขายบ้าน-คอนโดปี 64 ทำ New High ใหม่ ทะลุเป้า 17% โกยยอดกว่า 30,250 ล้าน จาก 2 คีย์ซัคเซส  "ความเข้าใจลูกค้า-ความสามารถในการปรับตัว" ปี 65  เตรียส่งเมกะโปรเจ็กต์ เดินหน้าต่อสร้างรายได้-ยอดขาย   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI  เปิดเผยว่า  ในปี  2564 ที่ผ่านมา บริษัทมียอดขาย (Presales) โครงการที่อยู่อาศัยประมาณ 30,250 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ 29,000 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโต 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ยอดขายดังกล่าวถือเป็นสถิติ New High ใหม่ของบริษัทอีกด้วย    สำหรับยอดขายดังกล่าว แบ่งเป็นยอดขายจากกลุ่มบ้านจัดสรร 28% และกลุ่มคอนโดมิเนียม 72% หากแบ่งตามสถานะโครงการ จะพบว่ามียอดขายจาก โครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) คิดเป็นสัดส่วน 65% และกลุ่มโครงการที่เพิ่งเปิดขายหรืออยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง (Ongoing) สัดส่วน 35%  ปี 2564 นับเป็นปีที่ไม่ง่ายสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีปัจจัยภายนอกหลายอย่างเกิดขึ้นต่อเนื่องตลอดทั้งปี ทั้งการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอก 2-3 มาตรการล็อคดาวน์ มาตรการปิดแคมป์ก่อสร้าง  สำหรับปัจจัยความสำเร็จของบริษัทในปีที่ผ่านมาด ยังคงเป็นเรื่องความเข้าใจความต้องการของผู้บริโภค (Customer Insight) และความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับทุกสถานการณ์  บริษัทมีการสร้างลูกเล่นใหม่ๆ ในการเข้าถึงและตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ยังคงมองหาที่อยู่อาศัยใหม่ เช่น การจัดมหกรรมคอนโดออนไลน์ในรูปแบบ Property Live การเจาะเซ็กเมนท์ใหม่​ ส่งผลให้ทั้งโครงการพร้อมอยู่และโครงการเปิดตัวใหม่ยังตอบสนองดีมานด์ได้อย่างดี จนทำยอดขายทั้งปีได้สูงกว่าเป้าหมายดังกล่าว ​    ในปีที่ผ่านมา บริษัทยังได้เปิดตัวคอนโดมิเนียมหลากหลายแบรนด์ใหม่อย่างต่อเนื่อง  อาทิ บริกซ์ตัน (Brixton) เจาะตลาดเฉพาะกลุ่มในราคาที่เข้าถึงได้ (Affordable Niche) เช่น คอนโดมิเนียมสำหรับคนรักสัตว์เลี้ยง คอนโดมิเนียมสำหรับนักศึกษา ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play) เจาะตลาดกลุ่มสตาร์ทอัพ ออริจิ้น เวลเนส เรสซิเดนซ์ เจาะตลาดกลุ่มผู้สูงวัย (Silver Age) และแฮมป์ตัน (Hampton) โดยทุกแบรนด์ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี ขณะเดียวกัน โครงการบ้านจัดสรรภายใต้บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) ก็สามารถสร้างยอดขายระดับ All Time High ได้ต่อเนื่องทุกปี ตามแผนเติบโตของบริษัท  นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับภาพรวมปี 2565 นั้น ยังคงมีหลากหลายสถานการณ์ที่ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด อาทิ การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน และสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้น มาตรการต่างๆ ของภาครัฐที่อาจตามมาจากการแพร่ระบาด สถานการณ์เงินเฟ้อทั้งในระดับประเทศและระดับโลก อย่างไรก็ดี บริษัทประเมินว่าภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จะยังมีโอกาสเติบโตได้มากกว่าปี 2564  เราอยู่กับสถานการณ์โควิด-19 มาราวๆ 2 ปี ทุกภาคส่วนมีภูมิคุ้มกันและขีดความสามารถในการปรับตัวสูงขึ้น ประชาชนส่วนใหญ่ในขณะนี้อยู่ระหว่างการทยอยฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ซึ่งน่าจะส่งผลต่อความมั่นใจในการกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระยะยาวตามปกติมากขึ้น โดยบริษัท​และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่นๆ เอง ก็ยังปรับตัวได้อย่างแข็งแกร่งในปี 2564 จึงเชื่อมั่นว่า หากทุกฝ่ายยังคงตื่นตัว จริงจังต่อการป้องกัน แก้ไข และปรับตัวรับมือความท้าทาย ภาพรวมตลาดปี 2565 ก็ยังน่าจะขับเคลื่อนไปได้มากกว่าปี 2564  บริษัทได้เตรียมแผนธุรกิจไว้หลายด้านตลอดปี 2565 รวมถึงจะมี “เมกะโปรเจ็กต์” ที่จะมาพลิกเกมการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และสร้างอีกระดับของการใช้ชีวิตให้แก่ผู้บริโภค คาดว่าจะเปิดเผยรายละเอียดต่างๆ ได้ในช่วงปลาย ก.พ.-กลาง มี.ค.65 นี้
กานดา พร็อพเพอร์ตี้  ลุยอสังหาฯปี 65 สร้างยอดขาย 3,000 ล้าน  ชูบ้านสไตล์ใหม่ 6 โครงการเจาะเรียลดีมานด์

กานดา พร็อพเพอร์ตี้ ลุยอสังหาฯปี 65 สร้างยอดขาย 3,000 ล้าน ชูบ้านสไตล์ใหม่ 6 โครงการเจาะเรียลดีมานด์

กานดา พร็อพเพอร์ตี้  ลุยตลาด​บ้านปี 65 ​ส่ง 6 โครงการ มูลค่า 4,700 ล้าน เป้ายอดขายทะลุ 3,300 ล้านบาท ชู​แบบบ้านใหม่สไตล์ English Garden และทาวน์โฮมแบรนด์ใหม่ ลุยตลาดภายใต้แนวคิดใหม่ 5 Kanda Concept หลังปี 64 ทำยอดขายได้ 3,000 ล้านบาท และรายได้ 2,050 ล้านบาท   นายหัสกร บุญยัง รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2565 ว่า มีแผนจะเปิดโครงการใหม่เป็นที่อยู่อาศัยแนวราบรวม 6 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,700 ล้านบาท ซึ่งมีทั้งการเปิดโครงการในทำเลเดิม และขยายไปในทำเลใหม่​ รวมทั้งการเปิดแบรนด์ใหม่ในกลุ่มทาวน์เฮ้าส์ระดับกลาง-กลางบน เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าให้ครอบคลุม และขยายฐานการสร้างรายได้ให้กว้างขึ้น   สำหรับโครงการใหม่ที่จะเปิดขายในปี 2565 ประกอบด้วย โครงการไอลีฟ ไพร์ม ลำลูกกา คลอง 2 โครงการไอลีฟ ไพร์ม 2 ประชาอุทิศ 90 โครงการไอลีฟ พราวด์ พระราม 2 กม. 14 และโครงการไอลีฟ พราวด์ วงแหวน-รังสิต คลอง 4 ซึ่งเป็นทาวน์โฮมแบรนด์ใหม่ ระดับราคา 2-3 ล้านบาท รวมทั้งการเปิดโครงการในทำเลใหม่อีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการไอลีฟ ไพร์ม รามอินทรา-คู้บอน และโครงการไอลีฟ ไพร์ม พัทยา-จอมเทียน ที่จังหวัดชลบุรี   ในปี 2565 บริษัทจะมีทั้งโครงการใหม่ และโครงการที่อยู่ระหว่างการขายรวม 16 โครงการ ใน 11 ทำเล ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูมิภาค โดยได้ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 3,300 ล้านบาท และเป้ารายได้อยู่ที่ 2,500 ล้านบาท ขณะที่ปี 2564 บริษัททำยอดขายไปได้ 3,000 ล้านบาท และมีรายได้อยู่ที่ 2,050 ล้านบาท ซึ่งถือว่าทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยมีการเปิดโครงการใหม่ไปเพียง 2 โครงการ ได้แก่ ไอลีฟ ไพร์ม ประชาอุทิศ 90 และ ไอลีฟ ไพร์ม 2 พระราม 2 กม. 14   “ภาพรวมของเศรษฐกิจและภาคอสังหาริมทรัพย์ในปี 2565 จะเติบโตขึ้นกว่าปี 2564 แต่เป็นการเติบโตในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าจะเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอน  แต่เชื่อว่าถ้าความรุนแรงและผู้เสียชีวิตไม่เพิ่มขึ้นมากจะทำให้ความกดดันที่จะต้องใช้มาตรการปิดประเทศลดน้อยลง ขณะที่ไทยรวมถึงหลายๆ ประเทศหันมาให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนควบคู่ไปกับการควบคุมโรค ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจสามารถเดินต่อไปได้ แม้จะเติบโตได้ไม่มากนัก”   นายหัสกร  กล่าวอีกว่า ในส่วนของภาคอสังหาริมทรัพย์ การผ่อนคลายมาตรการคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV) และการขยายมาตรการลดค่าโอนและจดจำนองที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทออกไปอีก 1 ปี ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก โดยจะมีผลในเชิงบวกต่อตลาด จากการผ่อนปรนให้ผู้ซื้อสามารถขอสินเชื่อได้ 100% และช่วยลดภาระจากมาตรการลดค่าโอน ขณะเดียวกัน ยังส่งผลเชิงจิตวิทยา จากการที่ภาครัฐใช้อสังหาฯเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จะสร้างบรรยากาศที่ดีต่อตลาด และสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นกับผู้บริโภค นอกจากนี้ การลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองจะช่วยให้ผู้ประกอบการชะลอการปรับราคาบ้านตามต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่หลายตัวได้ปรับขึ้นไปแล้ว 5-30% เนื่องจากสถานการณ์ในขณะนี้เชื่อว่าผู้ประกอบการยังคงให้ความสำคัญกับสภาพคล่องมากกว่าผลกำไร การลดค่าโอนจึงช่วยให้ผู้ประกอบการนำประโยชน์ที่ได้จากส่วนนี้ส่งต่อไปให้ผู้บริโภคทั้งในเรื่องของการโปรโมชั่น หรือการชะลอการปรับขึ้นราคาตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น   “คาดว่าตลาดบ้านแนวราบจะยังเติบโตต่อเนื่องจากปี 2564 โดยส่วนหนึ่งจะยังคงได้อานิสงส์จากกลุ่มลูกค้าที่เคยอยู่ในเมืองอาจจะขยับออกมาชานเมือง เพื่อซื้อบ้านที่ได้พื้นที่ใช้สอยที่มากขึ้น ได้อยู่กับครอบครัวที่ใหญ่ขึ้น ได้ประโยชน์จากการอยู่อาศัยที่คุ้มค่าขึ้นจากการที่จะต้อง work from home ส่วนคอนโดมิเนียมจะเริ่มฟื้นตัวแต่จะยังไม่กลับไปดีเท่ากับช่วงก่อนปี 2560 ซึ่งทั้งบ้านแนวราบ และคอนโดมิเนียม จะเป็นการทำตลาดในกลุ่มที่มีความต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงเป็นกลุ่มหลัก”   นายหัสกร กล่าวอีกว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายในการดำเนินธุรกิจและทำให้บริษัทต้องปรับตัวใน 3 เรื่องหลักๆ เรื่องแรกเป็นเรื่องที่บริษัทให้สำคัญที่สุดคือ การบริการสภาพคล่องทั้งเงินที่จะเข้ามาและเงินที่จะต้องจ่ายออกไป โดยโฟกัสไปที่การขายและการก่อสร้างที่จะต้องสอดรับกันระหว่างรายรับกับรายจ่าย โดยมีการวางแผนงานก่อสร้างกับงานขายที่ต้องประชุมติดตามกันอย่างใกล้ชิด   เรื่องที่ 2 คือ เรื่องของความปลอดภัยด้านสุขอนามัยของพนักงานและลูกค้า พนักงานที่มีการสัมผัสใกล้ชิดลูกค้าจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยมีการตรวจ ATK การทำความสะอาดบ้านตัวอย่างและสำนักงานขายอย่างสม่ำเสมอ อุปกรณ์ทำความสะอาดและป้องกันต่างๆ มีการเตรียมไว้ให้พร้อมในทุกโครงการ รวมถึงการให้พนักงานสลับกัน  work from home เพื่อลดความหนาแน่นของแต่ละไซต์โครงการ เป็นการลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ   เรื่องที่ 3 เป็นเรื่องของการปรับปรุงระบบการทำงานของบริษัทให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งในปัจจุบันและอนาคต อย่างเช่น เรื่องโปรดักส์ได้มีการออกแบบบ้านใหม่รองรับ New Lifestyle ที่เกิดจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นบ้านในสไตล์ English Garden ที่มีการออกแบบพื้นที่รองรับการใช้ประโยชน์ที่หลากหลายจากการที่ผู้บริโภคต้องใช้เวลาอยู่กับบ้านมากขึ้น และนำสไตล์การจัดสวนแบบอังกฤษมาช่วยสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและผ่อนคลายในโครงการ   “แบบบ้านสไตล์ English Garden จะมีความคลาสสิก ให้ความรู้สึกที่อบอุ่นและผ่อนคลาย เมื่อผู้บริโภคต้องใช้เวลาอยู่กับบ้านมากขึ้น โดยได้นำมาใช้กับโครงการไอลีฟ ไพร์ม 2 พระราม 2 กม. 14 ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2564 เป็นโครงการแรก และจะนำไปใช้กับทุกโครงการใหม่ในปี 2565 เริ่มที่โครการไอลีฟ ไพร์ม พัทยา-จอมเทียน ที่คาดว่าจะเปิดตัวได้ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2565” นอกจากนี้ บริษัทยังได้ปรับแนวคิดการพัฒนาโครงการในทุกโครงการจากเดิมที่ใช้ 4 Kanda Concept เป็นหลักในการพัฒนา ปัจจุบันได้เพิ่มเป็น 5 Kanda Concept ประกอบด้วย Eco Smart การใช้พลังงานทางเลือก โดยใช้หลักการของ 3R-Reduce Reuse Recycle Easy Maintenance การออกแบบบ้านให้ง่ายต่อการซ่อมบำรุงในอนาคต การเลือกใช้วัสดุทนทาน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม Multi Generation ออกแบบบ้านที่คำนึงถึงการอยู่อาศัยร่วมกันของแต่ละช่วงวัย ตอบโจทย์การอยู่อาศัยแบบครอบครัวใหญ่ Flood Protection การออกแบบโครงการให้มีระบบป้องกันน้ำท่วม ส่วนที่เพิ่มขึ้นมาเป็น concept ที่ 5 คือ Space Matter การให้ความสำคัญกับพื้นที่ใช้สอยเพื่อรองรับความต้องการใช้พื้นที่หลากหลายขึ้น เช่น บ้านหนึ่งหลังออกแบบให้มี 4 ห้องนอน ด้วยจำนวนห้องที่หลากหลายทำให้เพียงพอต่อการปรับเปลี่ยนห้องได้ตามประโยชน์การใช้สอย รวมไปถึงการออกแบบฟังก์ชั่นการใช้สอยในพื้นที่ส่วนอื่น ๆ ให้เหมาะสมกับ space ในส่วนนั้น ๆ นายหัสกร กล่าวปิดท้ายว่า ในอีก 1-2 ปีข้างหน้าบริษัทวางเป้าจะขยายทำเลใหม่เพิ่มปีละ 1-2 ทำเล และเปิดโครงการปีละ 5-10 โครงการ ตั้งเป้าเติบโตปีละ 10-20% หรือมีรายได้ประมาณ 2,000-2,500 ล้านบาท ขณะที่แผนในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า ได้วางเป้าในการเติบโตที่สูงขึ้น โดยมีการขยายธุรกิจเพิ่มจากปัจจุบันมีธุรกิจสำนักพิมพ์ออนไลน์ และการนำสินทรัพย์ที่มีอยู่มาปล่อยเช่าในระยะยาว ในอนาคตจะมีการขยายธุรกิจไปในอสังหาริมทรัพย์รูปแบบอื่น ๆ เพิ่ม โดยคาดว่าจะมีรายได้ในระดับ 3,000-3,500 ล้านบาท
แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู บ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน ท่ามกลางบรรยากาศสุดชิล

แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู บ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน ท่ามกลางบรรยากาศสุดชิล

แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู บ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน ท่ามกลางบรรยากาศสุดชิล รีวิวฉบับนี้ เราจะพาไปชมบ้านเดี่ยว สไตล์ Modern English Victorian ภายใต้แบรนด์ “แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู" บ้านเดี่ยวบรรยากาศบ้านพักตากอากาศ ติดถนนสุขุมวิท จาก บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด มาแนะนำให้รู้จักกัน ซึ่งปักหมุดในย่านบางปูที่มีชื่อเสียงมายาวนานในเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติใกล้กรุงเทพฯ และเหมาะแก่การพักผ่อน ชมนกนางนวลที่อพยพมาในช่วงต้นฤดูหนาวของทุกปีด้วย   ถ้าพูดถึงชื่อ “บางปู” คงไม่มีใครไม่รู้จักอย่างแน่นอน ในโซนนี้เป็นพื้นที่ที่รองรับการขยายตัวจากเขตกรุงเทพฯ มาอย่างยาวนาน มีถนนสายหลักอย่าง “ถนนสุขุมวิท” ตัดผ่านเพื่อเป็นเส้นทางในการเดินทางสู่ภาคตะวันออกมาก่อนถนนบางนา-ตราด และถนนสายอื่นๆ ในปัจจุบัน เราจึงเห็นว่าในย่านนี้เป็นทั้งที่ตั้งของโครงการนิคมอุตสาหกรรมมากมาย เป็นทั้งแหล่งรวมของโกดัง ศูนย์กระจายสินค้า รวมทั้งมีการขยายตัวของแหล่งที่อยู่อาศัยมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ที่ได้รับการพัฒนาด้านคมนาคมตลอดเวลา การเดินทางสะดวก มีถนนเชื่อมต่อเส้นทางหลักได้หลายสาย เช่น ถนนสุขุมวิท ถนนเทพารักษ์ ถนนแพรกษา ถนนบางนา-ตราด ฯลฯ และยังมีรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียวเข้ม ซึ่งปัจจุบันมีสถานีเคหะเป็นสถานีปลายทาง  แต่ต่อไปในอนาคตส่วนต่อขยายจากสถานีเคหะ จะขยายต่อมาถึง “โซนบางปู” โดยมาสุดที่สถานีตำหรุ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ที่อาศัยในย่านนี้เดินทางสะดวกมากยิ่งขึ้น     ปักหมุดทำเลดี  แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู บ้านเดี่ยวเพื่อการอยู่อาศัย ที่ตั้งของโครงการ แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู อยู่ติดถนนสุขุมวิท (สายเก่า) ซึ่งมีการเดินทางที่สะดวกไม่ว่าจะเป็นการเดินทางเข้าเมือง หรือเดินทางสู่โซนตะวันออกของไทย แถมยังเป็นทำเลที่มีรถไฟฟ้าเข้าถึงแล้วอีกด้วย ในขณะที่บริเวณรอบๆ มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งห้างสรรพสินค้าเพื่อการจับจ่ายใช้สอย โรงเรียน มหาวิทยาลัยชั้นนำ  สถานพยาบาลก็มีครบ ใกล้แหล่งท่องเที่ยวอย่าง สถานตากอากาศบางปู เมืองโบราณ อีกทั้งยังมีแหล่งงานขนาดใหญ่ในนิคมอุตสาหกรรมบางปู นิคมอุตสาหกรรม บางพลี และศูนย์กระจายสินค้าขนาดใหญ่อีกมากมาย แต่ด้วยทำเลที่ห่างออกจากโซนนิคมอุตสาหกรรมบางปูมาพอสมควร จึงได้บรรยากาศของเมืองตากอากาศอย่างเต็มที่ และเหมากับการอยู่อาศัยเป็นอย่างมาก   ห้างสรรพสินค้าใกล้เคียง โรบินสัน สมุทรปราการ บิ๊กซี สมุทรปราการ บิ๊กซี บางพลี โลตัส บางปู แมคโคร บางพลี โฮมโปร สุวรรณภูมิ เซ็นทรัล วิลเลจ เมกา บางนา อิเกีย บางนา   สถานศึกษาใกล้เคียง โรงเรียนสวนกุหลายวิทยาลัย สมุทรปราการ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี สมุทรปราการ   สถานพยาบาลใกล้เคียง โรงพยาบาลรามาฯ สมุทรปราการ โรงพยาบาลรัทรินทร์ บางปู โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพ ต.บางปูใหม่ โรงพยาบาล บางนา 2 โรงพยาบาลศครินทร์ สมุทรปราการ   สถานที่ใกล้เคียงอื่นๆ นิคมอุตสาหกรรม บางปู นิคมอุตสาหกรรม บางพลี สถานตากอากาศบางปู เมืองโบราณ   บ้านเดี่ยวสไตล์ Modern English Victorian พร้อมบรรยากาศแห่งการพักผ่อน แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู มีคอนเซปต์การออกแบบตัวบ้านมาในสไตล์ Modern English Victorian ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ โดยเน้นที่ความหรูหรา กว้างขวางอยู่สบาย สามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยเพื่อทุกคนในครอบครัว โดยมีจุดเด่นที่ฟังก์ชันภายในบ้านที่แบ่งเป็น 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ บนที่ดินตั้งแต่ขนาด 50 ตารางวาเป็นต้นไป   ภายในพื้นที่โครงการขนาด 50 ไร่ ประกอบไปด้วยบ้านเดี่ยว 2 ชั้น จำนวน 227 ยูนิต ที่มีรูปแบบการดีไซน์ที่สวยงามทันสมัย โดยมีแบบบ้านให้เลือกด้วยกัน 3 แบบ ซึ่งแตกต่างกันไปด้วยพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน และขนาดของที่ดิน พร้อมฟังก์การใช้งานที่เอื้อต่อการอยู่อาศัยของทุกคนในครอบครัว ทุกแบบบ้านมีห้องน้ำ Master Bedroom ขนาดใหญ่ พร้อมห้องน้ำในตัว รวมถึงห้องอเนกประสงค์บริเวณชั้นล่าง ที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลากหลาย ทั้งเป็นห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุ ใช้เป็นห้องพักผ่อน หรือใช้เป็นห้องทำงานก็ได้ตามแต่ไลฟ์สไตล์ของเจ้าของบ้าน โดยมีแบบบ้านให้เลือกดังนี้   S – Simon บ้านเดี่ยว 2 ชั้น บนที่ดินเริ่มต้น 50 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 159 ตารางเมตร ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ     แบบบ้าน Simon มีขนาดกำลังดี เหมาะกับผู้ที่กำลังต้องการขยายครอบครัว และต้องการพื้นที่ส่วนตัวให้กับสมาชิกภายในบ้าน บริเวณชั้นล่างแบ่งเป็น Living Area ที่เปิดโล่งและเปิดรับแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ ด้วยความสูงของเพดานที่สูงถึง 2.70 เมตรในบริเวณชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 เพดานสูงถึง 2.85 เมตร บริเวณ Living Area สามารถแบ่งการใช้สอยออกเป็นห้องรับแขก และห้องรับประทานอาหารได้สบายๆ รวมถึงห้องนอนชั้นล่าง ก็สามารถใช้เป็นห้องทำงาน หรือห้องนอนผู้สูงอายุได้ตามวัตถุประสงค์การใช้สอยอีกด้วย       ขึ้นมาที่บริเวณชั้น 2 แบ่งเป็น 3 ห้องนอน และ 2 ห้องน้ำ โดยมีห้อง Master Bedroom ขนาดใหญ่ พร้อมห้องน้ำในตัว แถมยังมีพื้นที่เหลือพอสำหรับทำ Walk-in Closet ได้สบายๆ นอกจากนี้อีก 2 ห้องนอนเล็กก็ยังมีขนาดกำลังดี สามารถตกแต่งเป็นห้องนอนของเด็กๆ ได้ตามในแบบบ้านตัวอย่างก็น่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว   M – Marble บ้านเดี่ยว 2 ชั้น บนที่ดินเริ่มต้น 50 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 167 ตารางเมตร ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ         แบบบ้าน Marble จะมีพื้นที่ใช้สอยกว้างขึ้นมาอีกสเต็บ แต่ฟังก์ชันภายในบ้าน ยังคงมีลักษณะเดียวกันกับแบบบ้าน Simon รวมถึงความสูงของเพดานที่สูง 2.70 เมตร และ 2.85 เมตรเช่นเดียวกัน   Living Area บริเวณชั้นล่างมีความโอ่โถงมากขึ้น สามารถวางชุดโซฟาได้ใหญ่ขึ้น พื้นที่ติดกันวางชุดโต๊ะรับประทานอาหารได้ 4 ที่นั่งกำลังสวย ซึ่งใกล้ๆ กับชุด Pantry ที่ทางโครงการตกแต่งมาให้ชมเป็นไอเดีย นอกจากนี้ในบริเวณห้องนอนชั้นล่าง ในบ้านตัวอย่างยังจำลองเป็นห้องสตูดิโอ ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนปัจจุบันที่นิยมมีกิจการบนโลกโซเชียล         ในขณะที่บริเวณชั้น 2 ก็แบ่งเป็น 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ซึ่งแต่ละห้องก็มีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น และห้อง Master Bedroom ที่กว้างขวาง พร้อมเปิดรับแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ เช่นเดียวกับห้องนอนเล็กอีก 2 ห้อง ก็มีหน้าต่างขนาดใหญ่มากพอให้ห้องสว่างได้ด้วยแสงจากธรรมชาติเช่นกัน     L – Luther บ้านเดี่ยว 2 ชั้น บนที่ดินเริ่มต้น 50 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 214 ตารางเมตร ฟังก์ชัน 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ             แบบบ้าน Luther เป็นที่มีขนาดใหญ่ที่สุด มีลักษณะเป็นบ้านหน้ากว้าง และจะมีตำแหน่งอยู่บนที่ดินแปลงมุมทั้งหมด ในส่วนของการแบ่งฟังก์ชันภายในยังคงเหมือนกันทั้งหมด แต่เพิ่มเติมที่แบบบ้าน Luther จะมีการแบ่งพื้นที่สำหรับห้องครัวไว้ภายในบ้านมาให้เรียบร้อยแล้ว รวมถึงพื้นที่โถงกลางบ้านก็กว้างขวางมาก เหมาะกับครอบครัวขนาดใหญ่           ในขณะที่บริเวณชั้น 2 เมื่อขึ้นบันไดมาแล้วจะเจอกับ Living Area บริเวณโถงกลางระหว่างห้องต่างๆ ของชั้นบน ด้วยพื้นที่บ้านขนาดใหญ่ทำให้พื้นที่ใช้สอยแต่ละห้องกว้างขวางขึ้นเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะห้อง Master Bedroom ที่มีประตูกระจกใสยาวตลอดแนวระเบียง พร้อมกับ Walk-in Closet ขนาดใหญ่ขึ้นบริเวณหน้าห้องน้ำพอดี ในขณะที่ห้องนอนเล็กอีก 2 ห้อง กว้างพอที่จะมีโต๊ะทำงานพร้อมมุมส่วนตัวได้สบายๆ     ภายในโครงการ แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู มีพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย และมีบรรยากาศเงียบสงบ เป็นส่วนตัว และลมพัดเย็นสบายเหมือนเหมาะกับการพักผ่อนและอยู่อาศัย ทางโครงการจัดสรรพื้นที่สวนกลางไว้มากมาย บริเวณโซนด้านหน้า คลับเฮ้าส์ มีทั้งสระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ และสระน้ำพุที่ให้บรรยากาศการพักผ่อนเพิ่มขึ้น ภายในคลับเฮ้าส์มีทั้ง Co-working Space, Game Room และ ฟิตเนส พร้อมอุปกรณ์ครบถ้วน ถัดจากคลับเฮาส์เข้ามาด้านในโครงการ เป็นสวนสไตล์อังกฤษขนาดใหญ่ ตรงตามคอนเซปต์ Modern English Victorian ได้อย่างสมบูรณ์แบบ พร้อมสนามเด็กเล่นขนาดใหญ่, ลู่วิ่ง, มุมนั่งเล่นพักผ่อน แถมยังเอาใจคนรักสัตว์เลี้ยงแบบเต็มที่ เพราะมีพื้นที่ Pets Zone ไว้ให้น้องหมาได้วิ่งเล่นได้อย่างสบายใจ        โครงการ แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู เป็นอีกหนึ่งโครงการที่เหมาะสำหรับการอยู่อาศัยเป็นอย่างมาก ทั้งในส่วนของบรรยากาศโดยรวมภายในโครงการ และสิ่งอำนวยความสะดวกโดยรอบที่จัดว่ามีพร้อมสรรพ ในอนาคตส่วนต่อขยายของสถานีรถไฟฟ้ามาถึงสถานีตำหรุ ก็จะยิ่งทำให้การเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองสะดวกมากยิ่งขึ้น อีกทั้งแบบบ้านของโครงการก็มีให้เลือกหลายแบบ สำหรับผู้อาศัยที่ต้องการขยายครอบครัวใหญ่ขึ้น หรือต้องการพื้นที่สำหรับสมาชิกในครอบครัวมากขึ้น อีกทั้งตัวโครงการเองก็ได้รับความสนใจจากคนในพื้นที่เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากมีความคุ้นเคยกับพื้นที่อยู่แล้ว อีกทั้งราคาเริ่มต้นในระดับที่สามารถเป็นเจ้าของได้ง่ายขึ้น จึงไม่น่าแปลกใจที่ทำให้โครงการนี้ถูกจับจองอย่างรวดเร็ว     สนใจโครงการ แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู หรือต้องการข้อมูลโปรโมชั่นเพิ่มเติม สามารถสอบถามข้อมูลได้ที่ www.sivarom.co.th/grand-bang-pu/   บทความที่เกี่ยวข้อง สิวารมณ์ วิลเลจ สุขุมวิท-เทพารักษ์ “สิวารมณ์” ขน 7 โครงการ อัดแคมเปญ ดันยอดขาย    
5 คำถามเริ่มต้นที่ต้องตอบ สำหรับคนที่คิดจะสร้างบ้าน

5 คำถามเริ่มต้นที่ต้องตอบ สำหรับคนที่คิดจะสร้างบ้าน

การมีบ้านสักหลังคงเป็นความฝันของใครหลาย ๆ คน ยิ่งในภาวะปัจจุบัน ที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงมีอยู่  การอยู่บ้านที่มีพื้นที่กว้าง ๆ เพื่อใช้ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน การทำงาน หรือการเรียน เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ต้องการ มากกว่าการอยู่ในห้องคอนโดมิเนียม เป็นทางเลือกที่คนส่วนใหญ่ต้องการ แต่การจะมีบ้านสักหลัง คนส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกซื้อจากดีเวลลอปเปอร์ ที่พัฒนาขึ้นมาขายมากมายหลายรูปแบบ หลายทำเล และระดับราคา แต่ก็มีไม่น้อยเลือกที่จะปลูกสร้างบ้านเอง ตามรูปแบบและขนาดที่ต้องการ โดยเฉพาะเลือกที่จะอยู่ในทำเลเดิมที่คุ้นเคย บนที่ดินของตนเอง แล้วการจะปลูกสร้างบ้านของตนเอง จะต้องเริ่มต้นอย่างไรดี เราจึงมี 5 คำถามสำคัญ สำหรับคนที่ต้องการปลูกสร้างบ้านเอง มาใช้เป็นแนวทางการวางแผน เพื่อให้ได้บ้านที่ถูกใจ ตรงความต้องการของผู้อยู่อาศัยมากที่สุด มาเป็นไอเดียกัน ​ 1.เริ่มต้นด้วยแบบและขนาดเท่าไรดี จุดเริ่มต้นของการสร้างบ้าน คนส่วนใหญ่จะคิดถึงรูปแบบและหน้าตาของบ้าน ว่าตนเองต้องการบ้านสไตล์ไหน หน้าตาบ้านเป็นอย่างไร หลังจากนั้นก็จะลงไปในรายละเอียดของตัวบ้าน ว่าจะต้องมีขนาดพื้นที่เท่าไร มีกี่ห้องนอน มีพื้นที่อะไรบ้าง   ปัญหาที่ต้องเจอหากเริ่มต้นแบบนี้ คือ ความไม่สอดคล้องกันของการใช้งานกับขนาดสัดส่วน รูปร่างหน้าตาของบ้านในภายหลัง  ซึ่งทางออกของปัญหานี้ คงต้องเริ่มจากการสำรวจความต้องการของสมาชิกภายในบ้านก่อน ทั้งความต้องการใช้งานและด้านความสวยงาม เมื่อรวบรวมมาได้ส่วนหนึ่งจะถูกแปลงไปเป็นขนาดพื้นที่ใช้สอย ทำให้ขนาด สัดส่วน รูปร่างหน้าตา สอดคล้องกับการใช้งาน อีกทั้งขนาดพื้นที่ใช้สอยยังสามารถนำมาตั้งต้นประเมินค่าใช้จ่ายในงานออกแบบก่อสร้างอย่างคร่าว ๆ ได้อีกด้วย 2.เตรียมงบประมาณเท่าไรจะพอ เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เป็นหัวใจสำคัญของการปลูกสร้างบ้านของตนเอง เพราะปัญหาที่มักจะพบบ่อยเสมอ คือ งบประมาณบานปลาย จากเดิมที่วางไว้เท่านี้ แต่พอสร้างจริงก็มีค่าใช้จ่ายงอกขึ้นมา โดยเฉพาะหากมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการก่อสร้าง ขนาด หรือวัสดุที่ใช้   โดยเราสามารถประเมินค่าใช้จ่ายในการสร้างบ้านได้ตั้งแต่ต้น ซึ่งตัวเลขเบื้องต้นที่ได้มานั้น จะมีความคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงค่อนข้างมาก แต่จะทำให้เจ้าของบ้านเห็นวงเงินงบประมาณที่ต้องเตรียมเอาไว้ใช้จ่ายได้ในภาพรวมได้ โดยรายละเอียดค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียมไว้ จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ค่าออกแบบ และ ค่าก่อสร้าง   อัตราค่าออกแบบ ส่วนมากจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของค่าก่อสร้าง โดยสมาคมสถาปนิกกำหนดมาตรฐานค่าก่อสร้างบ้านพักอาศัยไว้ที่ 7.5% ของค่าก่อสร้าง โดยค่าออกแบบจะมากหรือน้อย นอกจากจะขึ้นอยู่กับพื้นที่ก่อสร้างแล้วยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ความยากง่ายของแบบ,  ระดับของการให้บริการ, ความน่าเชื่อถือ เป็นต้น  อัตราค่าก่อสร้าง มักจะแตกต่างกันตามข้อจำกัดของสภาพที่ตั้ง สภาพแวดล้อม, ความยากง่ายในงานก่อสร้าง, ค่าจ้างแรงงาน, ค่าวัสดุก่อสร้าง และค่าดำเนินงานของผู้รับเหมา   แต่หากต้องการตัวเลขค่าใช้จ่ายที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากขึ้น จำเป็นจะต้องดำเนินการออกแบบให้แล้วเสร็จก่อน จากนั้นจึงทำการคิดคำนวณค่าก่อสร้างจากการถอดปริมาณวัสดุ และปริมาณเนื้องาน ออกมาจากแบบก่อสร้าง รวมกับค่าดำเนินงานของผู้รับเหมา เพื่อเป็นราคารวมทั้งหมด ซึ่งวิธีนี้เราก็จะได้ค่าก่อสร้างที่ใกล้เคียงความจริง รวมถึงเห็นค่าใช้จ่ายแยกตามรายการงานแต่ละส่วนอย่างชัดเจน หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ BOQ (Bill of Quantity) นั่นเอง 3.เลือกใช้วัสดุอย่างไรในแบบที่ไช่ การเลือกใช้วัสดุ เป็นหนึ่งขั้นตอนในงานออกแบบ ที่ทางสถาปนิกจะทำหน้าที่ช่วยเหลือเจ้าของบ้านหรือเจ้าของงาน เลือกวัสดุเพื่อนำมาใช้ในงานก่อสร้างได้อย่างเหมาะสม ตรงตามความต้องการทั้งด้านการใช้งาน ความสวยงาม และการควบคุมงบประมาณ ในกรณีที่เจ้าของบ้านต้องเลือกวัสดุด้วยตัวเอง ควรศึกษา และทำการเปรียบเทียบคุณสมบัติ ความยากง่ายในการใช้งาน ราคา รวมถึงพิจารณาความยากง่ายในการจัดหามาซ่อมแซมเมื่อเกิดการชำรุดในภายหลังเอาไว้ด้วย   ในปัจจุบันเพื่ออำนวยความสะดวก และเป็นทางเลือกใหม่ให้กับเจ้าของงาน ผู้ผลิตสินค้าวัสดุก่อสร้างจึงมักจะมีบริการสินค้าพร้อมงานติดตั้งในรูปแบบของ Solution งานส่วนต่าง ๆ ของบ้าน ให้เจ้าของงานเลือกใช้แทนการขายแค่ตัววัสดุก่อสร้างเป็นชิ้น ๆ แถมยังมีการรับประกันงานติดตั้ง ช่วยลดความกังวลหลังงานก่อสร้าง เช่น งานมุงกระเบื้องหลังคา, งานติดตั้งประตูหน้าต่างไวนิล, งานจัดสวนปูทางเดิน, งานติดตั้งฉนวนกันความร้อน และ งานปรับปรุงห้องน้ำ เป็นต้น 4.ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะได้อยู่บ้าน การสร้างบ้านสักหลังจะใช้ระยะเวลานานแค่ไหน สามารถพิจารณาจากระยะเวลาที่ใช้ในงานออกแบบ หรือระยะเวลาที่ใช้ในการจัดหาแบบก่อสร้างบ้าน รวมเข้ากับระยะเวลาที่ใช้ในงานก่อสร้างบ้าน โดยปกติสถาปนิกมักจะใช้ระยะเวลาในงานออกแบบบ้านตั้งแต่ 2 เดือนขึ้นไป บ้านบางหลังที่เจ้าของบ้านพิถีพิถันในงานออกแบบอาจจะใช้ระยะเวลาในการออกแบบยาวนานมากกว่าหนึ่งปีเลยทีเดียว   ในส่วนของงานก่อสร้างถ้านับระยะเวลาที่ใช้ตั้งแต่จัดหาผู้รับเหมา ทำเรื่องขออนุญาตก่อสร้างกับทางราชการ จนถึงงานก่อสร้างบ้านแล้วเสร็จ ยกตัวอย่างบ้านที่มีรูปแบบเรียบง่ายไม่มีรายละเอียดงานก่อสร้างที่ซับซ้อน มักจะใช้ระยะเวลาดำเนินงานประมาณ 8-12 เดือน โดยยังไม่รวมระยะเวลาของงานตกแต่งภายในและการจัดสวนรอบบ้าน 5.เจอปัญหากับผู้รับเหมา แก้ไขอย่างไรไม่ให้ปวดหัว ปัญหาส่วนใหญ่ที่เจ้าของบ้านไม่อยากพบเจอในช่วงงานก่อสร้าง คือ งานก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามกำหนด ไม่เป็นไปตามข้อตกลง ผู้รับเหมาทิ้งงาน, คุณภาพงานก่อสร้างไม่ตรงตามความคาดหวัง งานไม่ตรงแบบ งานไม่เรียบร้อย, งานก่อสร้างยืดเยื้อ ปรับแก้แบบหน้างาน ทำให้ค่าใช้จ่ายบานปลาย  ฯลฯ   ปัญหาเหล่านี้มักทำให้งานก่อสร้างสะดุด เจ้าของบ้าน และช่างผู้รับเหมารู้สึกกังวลใจ แต่ปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นสามารถควบคุมดูแลได้ด้วยการมีแบบก่อสร้างคุณภาพดี มีรายละเอียดงานก่อสร้างครบถ้วน, มีคนคอยควบคุมงานก่อสร้างพร้อมมีทีมช่างก่อสร้างที่มีประสบการณ์ เอาใจใส่คอยติดตามตรวจสอบแก้ไขข้อผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนที่จะลุกลามเป็นปัญหาใหญ่ และที่สำคัญเจ้าของบ้าน กับช่างผู้รับเหมาจะต้องรับรู้และมีความเข้าใจเนื้อหาของแบบและงานก่อสร้างไปในทิศทางเดียวกัน มีการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน ต่อกันโดยตลอดระหว่างงานก่อสร้าง เพียงเท่านี้งานก่อสร้างก็จะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น   ทั้งหมดนี้ ก็เป็น 5 คำถามสำคัญสำหรับผู้ที่คิดจะปลูกสร้างบ้านเอง แทนการไปเลือกซื้อจากโครงการบ้านจัดสรรต่าง ๆ หวังว่าจะใช้เป็นแนวทางการวางแผน เพื่อปลูกสร้างบ้านและได้บ้านตามที่ฝันไว้ ที่สำคัญควรปรึกษาและเลือกใช้บริการจากผู้ที่มีประสบการณ์และเชื่อถือได้เสมอ   ที่มา : SCG Home  
พีดีเฮ้าส์  มองตลาดรับสร้างบ้าน 65 ดีสุดโต 7%  เน้นความน่าเชื่อถือ ปั๊มยอด 1,000 ล้าน

พีดีเฮ้าส์ มองตลาดรับสร้างบ้าน 65 ดีสุดโต 7% เน้นความน่าเชื่อถือ ปั๊มยอด 1,000 ล้าน

พีดีเฮ้าส์ ประเมินตลาดรับสร้างบ้านปี 65 หากปัจจัยบวกหนุน-ไม่เกิดโควิดระบาดซ้ำ ตลาดอาจขยายตัวดีสุด 5-7% แต่ยังมีปัจจัยลบ ราคาวัสดุจ่อปรับเพิ่มสูง กระทบผู้ประกอบการแข่งตัดราคา ขณะที่บริษัทเตรียมแผนทั้งรุก-รับ พร้อมเน้นสร้างความน่าเชื่อถือ คุณภาพมาตรฐานการก่อสร้าง ปั๊มยอดขาย 1,000 ล้าน พร้อมขยายสาขาอีก 2 ​แห่งที่จ.สุพรรณบุรี และอุดรธานี บทสรุปตลาดรับสร้างบ้านปี 64 และทิศทางปี 65 ฝ่ายพัฒนาธุรกิจรับสร้างบ้าน ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ บริษัท พีดี เฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด รายงานว่า  ภาพรวมปริมาณบ้านสร้างเองและความต้องการสร้างบ้านหลังใหม่ตลอดปี 2564 ที่ผ่านมายังซบเซาต่อเนื่อง โดยปัจจัยหลักเกิดจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจประเทศที่ฟื้นตัวในอัตราต่ำมาก โดยเฉพาะในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี (ม.ค.-ก.ย.) ผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่กล้าตัดสินใจลงทุนเกี่ยวกับบ้านและรถยนต์ กระทั่งเริ่มเข้าสู่ในช่วงไตรมาส 4 เมื่อภาครัฐและหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบ เริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคระบาด  และประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนมากขึ้น พบว่าผู้บริโภคที่ชะลอแผนสร้างบ้านเอาไว้ เริ่มหันกลับมาเร่งศึกษาข้อมูลและกล้าตัดสินใจสร้างบ้านใหม่อีกครั้ง   สถานการณ์ดังกล่าวเห็นได้จาก จำนวนยอดขายหรือจองสร้างบ้านของพีดีเฮ้าส์ และกลุ่มบริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำในช่วง 2 เดือนสุดท้าย (พ.ย.-ธ.ค.) เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ และเป็นตัวเร่งการตัดสินใจสร้างบ้านของผู้บริโภคในช่วงท้ายปีก็คือ แนวโน้มการปรับตัวของราคาวัสดุก่อสร้างและราคาบ้านสูงขึ้นในปี 2565 จากการส่งสัญญาณของผู้ประกอบการทั้ง 2 กลุ่มธุรกิจ   ทั้งนี้ประเมินว่า หากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 และการควบคุมของภาครัฐไม่เกิดปัญหาซ้ำอีกครั้งในช่วงต้นปี 2565 เชื่อมั่นว่ากำลังซื้อและความต้องการสร้างบ้านของผู้บริโภค มีโอกาสจะกลับมาขยายตัวอีกครั้ง โดยคาดว่าความต้องการสร้างบ้านหลังใหม่ของผู้บริโภค และประชาชนที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลให้ตลาดรับสร้างบ้านปี 2565 สามารถขยายตัว 5-7% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา ต้นทุนวัสดุพุ่งรับปีเสือ บรรดาผู้ประกอบการรับสร้างบ้านส่วนใหญ่ ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งในต่างจังหวัด ต่างมีความวิตกกังวลว่า การตัดสินใจและการแก้ปัญหาของรัฐบาล และหน่วยงานที่รับผิดชอบ ต่อสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่หรือโอมิครอน ที่เริ่มแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในช่วงท้ายปีเก่าและเริ่มต้นใหม่ปี 2565 เพราะหากรัฐบาลยังเน้นใช้หลักความมั่นคงนำเศรษฐกิจเหมือนเช่นที่ผ่านมา ซึ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวและกำลังซื้อลดลงอีกครั้ง  สำหรับธุรกิจรับสร้างบ้านจึงยังคงได้รับผลกระทบดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้   นอกจากนี้ กลุ่มผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างเตรียมปรับราคาขึ้นในปี 2565 นี้ ซึ่งจะกลายเป็นอีกหนึ่งปัญหาหนักใจของผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน โดยเฉพาะรายที่เน้นแข่งขันด้านราคาต่ำหรือการขายตัดราคา ซึ่งมีการทำสัญญารับจ้างปลูกสร้างบ้านไว้กับลูกค้าตามต้นทุนวัสดุราคาเดิมก่อนหน้านี้  จึงทำให้ต้องแบกรับต้นทุนวัสดุที่ปรับตัวสูงขึ้นเอาไว้เอง และอาจประสบปัญหาขาดทุนหนักหรือดำเนินกิจการต่อไปอย่างลำบาก พีดีเฮ้าส์ตั้งเป้า 1,000 ล้าน ฝ่ายพัฒนาธุรกิจรับสร้างบ้าน ประเมินปัจจัยบวกและลบที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นในปี 2565 แล้ว คาดว่าภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านจะมีโอกาสกลับมาขยายตัวหรือชะลอตัวได้พอ ๆ กัน ดังนั้นบริษัทฯ จึงเตรียมแผนไว้ทั้งเชิงรุกและตั้งรับเอาไว้ โดยพร้อมปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น​ อาทิเช่น การขยายสาขาและพื้นที่ให้บริการต่างจังหวัดเพื่อรองรับกำลังซื้อที่จะขยายตัว ซึ่งได้วางแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 2 สาขาใหม่ ที่จังหวัดสุพรรณบุรี และอุดรธานี การปรับโครงสร้างองค์กรให้กระทัดรัด โดยนำซอฟแวร์และระบบปฏิบัติงานบนแอปพลิเคชั่น มาใช้ในการจัดการงานหลังบ้าน ซึ่งจะเป็นการลดต้นทุนค่าดำเนินงานและค่าใช้จ่าย สามารถรับมือกับเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ชะลอตัว  รวมทั้งเป็นการหลีกเลี่ยงสงครามราคา เป็นต้น สำหรับ ปี 2565 นี้ ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ ตั้งเป้ายอดขายบ้านรวมทุกสาขาไว้กว่า 1,000 ล้านบาทถึงแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจและมูลค่าตลาดรับสร้างบ้านจะไม่ฟื้นตัว แต่ยังมั่นใจว่าแผนธุรกิจที่เตรียมไว้จะสามารถดึงส่วนแบ่งตลาดที่เป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทฯ จากคู่แข่งได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังรุกขยายรับงานตกแต่งภายในอย่างจริงจังมากขึ้น พร้อมกับตั้งเป้ารับรู้รายได้รวมงานตกแต่งภายในไว้อีก 90-100 ล้านบาท เร่งสร้างมาตรฐานมืออาชีพลดแข่งขันราคา นายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีดีเฮ้าส์ฯ เปิดเผยว่า  สำหรับภาพรวมการแข่งขันของธุรกิจรับสร้างบ้านปี 2565 นี้ เชื่อว่าไม่รุนแรงเท่าปีที่ผ่านมา เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่กังวลกับปัญหาต้นทุนก่อสร้างที่ผันผวนและเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคกลุ่มที่ต้องการใช้บริการรับสร้างบ้านมืออาชีพ ส่วนใหญ่จะพิจารณาและให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพการก่อสร้าง ทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ และความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบการมากกว่าราคาที่แตกต่างกันแค่ 5-10% ความเชื่อถือและความไว้วางใจที่ผู้บริโภคมีต่อผู้ประกอบการรับสร้างบ้านถือเป็นปัจจัยที่สำคัญ สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมาจากผู้ประกอบการที่มีการจัดการธุรกิจอย่างมืออาชีพ ซื่อสัตย์ต่อลูกค้า การมีจุดยืนทางธุรกิจ ผลงานในปัจจุบันและที่ผ่านมา โดยเฉพาะการมีจุดยืนทางธุรกิจนั้น ก็เพื่อสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ และองค์กรหรือแบรนด์จะได้มีความชัดเจนในสายตาของผู้บริโภค รวมถึงแนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล ตัวอย่างเช่น การปฏิบัติต่อลูกจ้างอย่างถูกต้องตามกฎหมายแรงงาน การประกอบธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมายและภาษี การคืนกำไรให้สังคม การคำนึงถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม และไม่เอาเปรียบสังคม ฯลฯ   นอกจากนี้แล้ว ผู้ประกอบการจะต้องพัฒนาขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปพร้อม ๆ กัน เช่น นำเทคโนโลยีการก่อสร้างสำเร็จรูปมาใช้มากขึ้นเพื่อทดแทนแรงงานที่ขาดแคลน ฯลฯ และหลีกหนีออกจากโซนการแข่งขันที่รุนแรง หรือ Red Ocean เพื่อเป็นการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานธุรกิจรับสร้างบ้านของตัวเอง ในมุมมองของผู้บริโภคให้แตกต่างจากผู้รับเหมารายย่อยทั่วไปอย่างชัดเจน    
[PR News] “EZVIZ” รุ่น C6W คว้ารางวัลสุดยอดนวัตกรรมสมาร์ทโฮมโซลูชั่นอัจฉริยะภายในบ้านแห่งปี จาก  “IoT Innovator Award 2021”

[PR News] “EZVIZ” รุ่น C6W คว้ารางวัลสุดยอดนวัตกรรมสมาร์ทโฮมโซลูชั่นอัจฉริยะภายในบ้านแห่งปี จาก “IoT Innovator Award 2021”

ผลิตภัณฑ์กล้องสมาร์ทโฮมอัจฉริยะ อีซี่วิซ  รุ่น “C6W” สามารถคว้ารางวัลชนะเลิศ และเป็นผู้ชนะประเภท Home Automation เพียงผู้เดียว จากเวทีการประกวด “IoT Innovator Award 2021” ที่จัดขึ้นโดย Compass Intelligence บริษัทที่ปรึกษาและวิจัยด้านการตลาด IoT จากสหรัฐฯ เพื่อยกย่องให้กล้องวงจรปิดภายในบ้าน EZVIZ C6W เป็นสุดยอดนวัตกรรมสมาร์ทโฮมโซลูชั่นอัจฉริยะภายในบ้านที่ดีที่สุด   จากความโดดเด่นด้านการผสานมิติแห่งการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีสไตล์ เข้ากับเทคโนโลยีกล้องวงจรปิดแบบฟลูฟังก์ชั่น (Full Fuction) ขับเคลื่อนด้วยระบบเอไอเทคโนโลยีอัจฉริยะ เพิ่มความสามารถซูมอัตโนมัติสูงสุด 4 เท่าเมื่อตรวจพบความเคลื่อนไหวแบบเรียลไทม์ พร้อมคุณภาพวีดิโอ 2K (4 ล้านพิกเซล) ที่คมชัดทุกรายละเอียด ปรับหมุนได้ทั้งแนวตั้ง 340° และแนวนอน 75° (Pan and tilt camera) ไร้สายติดตั้งง่าย ควบคุมและสั่งผ่านได้อย่างสะดวกรวดเร็วผ่าน EZVIZ App และฟังก์ชั่น “การสื่อสารสองทาง” ที่ติดตั้งไมโครโฟนและลำโพงมาในตัว และสามารถจัดการกล้องผ่านสมาร์ทโฟน ​    
คาดตลาดอสังหาฯ ปี 65 โต 15-20%  ได้ผลบวกเศรษฐกิจ-เปิดประเทศ-คลายล็อก LTV

คาดตลาดอสังหาฯ ปี 65 โต 15-20% ได้ผลบวกเศรษฐกิจ-เปิดประเทศ-คลายล็อก LTV

LPN Wisdom มองตลาดอสังหาฯ 65 โต 15-20% ได้จากปัจจัยบวกเศรษฐกิจฟื้นตัว 3.5-4% แรงหนุนการเปิดประเทศ แบงก์ชาติผ่อนคลาย LTV แต่ยังห่วงหนี้ครัวเรือนพุ่ง ความไม่แน่นอนของโควิด-19 ทุบตลาด ขณะที่บทสรุปปี 64 เปิดตัวใหม่ลดเหลือ  53,000-55,000 ยูนิต​   หลังจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ ต้องเผชิญกับปัจจัยลบที่เข้ามาทำให้ตลาดชะลอตัวอย่างหนัก คือ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมา แต่แนวโน้มปี 2565 ดูเหมือนว่าตลาดอสังหาฯ กำลังจะได้รับข่าวดี มีแนวโน้มเติบโตเป็นบวกเสียที จากปัจจัยบวกสำคัญ คือ การเติบโตของภาวะเศรษฐกิจไทย จากการการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ที่คาดว่าจะเติบโตประมาณ 3.5-4% ส่งผลให้ตลาดอสังหาฯ มีแนวโน้มเติบโต 15-20%   นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวก​จากการที่รัฐบาลมีมาตรการเปิดประเทศ ให้มีการเดินทางท่องเที่ยวได้เพิ่มขึ้น รวมถึงมาตรการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan-to-Value: LTV) เป็นการชั่วคราว โดยกำหนดให้เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV ratio) เป็น100% สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภท ซึ่งมีผลจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 อีกด้วย LPN Wisdom มองตลาดโต 15-20% นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LPN Wisdom หรือ LWS) บริษัทวิจัยและที่ปรึกษาในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) ประเมินว่า ​ ในปี 2565 ตลาดอสังหาฯ จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ประมาณ 78,000-90,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 305,000-318,000 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นประมาณ 15-20% เมื่อเทียบกับปี 2564 เนื่องจากผู้ประกอบการเริ่มมีความมั่นใจ ทำให้ทยอยเปิดตัวโครงการที่ถูกเลื่อนการเปิดตัวในปี 2564 มาเปิดตัวในปี 2565 รวมถึงแผนเปิดตัวโครงการใหม่ที่เพิ่มขึ้นในปี 2565   โดยในปี 2565 ที่อยู่อาศัยประเภท บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ยังคงเป็นกลุ่มสินค้า ที่จะมีการเปิดตัวมาก​ ซึ่งจะเพิ่มขึ้นประมาณ 40-50% เมื่อเทียบกับปี 2564 เพื่อตอบรับกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการทำงานจากที่บ้าน (Work from Home)  ซึ่งประเมินว่าจำนวนเปิดตัวบ้านพักอาศัยจะอยู่ที่ ประมาณ 46,800-54,000 ยูนิตคิดเป็นมูลค่าประมาณ 183,000-190,800 ล้านบาท   ในขณะที่การเปิดตัวคอนโดมิเนียมในปี 2565 มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น 10-15%จากปี 2564 เช่นกัน เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาผู้ประกอบการอสังหาฯ ชะลอแผนการเปิดตัวคอนโด  และเร่งขายคอนโดที่คงค้างอยู่จำนวนมากออกมา  ทำให้ช่วงไตรมาส 3 ปี 2564 มีจำนวนคอนโดเหลือขายในตลาดลดลง ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีจำนวน 83,914 ยูนิต ลดลง 7.6% จาก ณ สิ้นปี 2563 ที่มียูนิตเหลือขายในตลาดอยู่ที่ 90,841 ยูนิต บ้าน3-5 ล้าน ดีมานด์สูงต่อเนื่อง ในด้านกำลังซื้อและความต้องการที่อยู่อาศัยในปี 2565 นายประพันธ์ศักดิ์ ให้ความเห็นว่า ที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและคอนโดระดับราคา 3-5 ล้านบาท ยังเป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะในทำเลที่อยู่ใกล้กับแนวรถไฟฟ้าทั้งสายใหม่และสายเก่า โดยทำเลที่ได้รับการตอบรับที่จากตลาดได้แก่ ทำเลที่ติดกับส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียว สีแดง และสายสีเหลือง เช่น ย่านรังสิต-นวนคร, ศรีนครินทร์-สุวรรณภูมิ, อ่อนนุช-บางนา, ดอนเมือง-พหลโยธิน เป็นต้นในขณะที่ราคาที่อยู่อาศัยในปี 2565 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น ตามราคาที่ดินที่ขยับเพิ่มขึ้น ตามการพัฒนาของระบบขนส่งในระบบราง ที่เชื่อมต่อพื้นที่ระหว่างกรุงเทพฯ ชั้นในกับกรุงเทพฯ ชั้นนอก รวมไปถึงราคาวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าราคาที่อยู่อาศัยจะมีการปรับตัวขึ้นมาประมาณ 5-10% ขึ้นอยู่กับทำเล  อย่างไรก็ตาม ผู้ซื้อยังคงสามารถต่อรองได้ขึ้นอยู่กับสภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการในแต่ละทำเล   นอกจากนี้  ตลาดอสังหาฯ ในปี 2565 ยังประเมินว่ามีปัจจัยเสี่ยง ที่อาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะภาระหนี้ครัวเรือนที่สูง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและความมั่นใจของผู้ซื้อที่อยู่อาศัย  ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน และแนวโน้มการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธ์ “โอมิครอน” ถ้าเกิดการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงอีกรอบ อาจส่งผลประทบต่อตลาดอสังหาฯ ในปี 2565 ได้เช่นกัน บทสรุปตลาดปี 2564 หดตัว 20% สำหรับปี 2564 คาดว่าการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัย ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะมีประมาณ  53,000-55,000 ยูนิต​ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 265,000-300,000 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และบ้านแฝด ประมาณ 33,000-35,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 166,000-188,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 2563 ประมาณ 10%-20% และเป็นการเปิดตัวโครงการคอนโดประมาณ 20,000-22,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 99,000-112,000 ล้านบาท ลดลง 16%-23% จากปี 2564   โดยตัวเลขการเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในเดือน มกราคม-พฤศจิกายน 2564 มีจำนวน 52,171 ยูนิต ลดลง 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 เป็นการเปิดตัวโครงการคอนโด 20,295 ยูนิต มีอัตราการขายเฉลี่ยอยู่ที่ 23% และการเปิดตัวโครงการแนวราบ 31,876 ยูนิต อัตราการขายเฉลี่ยอยู่ที่ 13% โดยในเดือนพฤศจิกายน 2564 มีการเปิดตัวโครงการใหม่สูงสุดของปี 2564 โดยมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 11,648ยูนิต มูลค่า 52,185 ล้านบาท   (คิดเป็นสัดส่วน 22.32% ของจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งหมดในเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2564)   ด้านความต้องการที่อยู่อาศัยในปี 2564 ที่อยู่อาศัยในแนวราบยังเป็นกลุ่มที่ทำยอดขายสูง โดยเฉพาะ ทาวน์เฮาส์ ในระดับราคาขายต่อหน่วย 2-5 ล้านบาท และบ้านเดี่ยว ราคาขายมากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป โดยมียอดขายเปิดตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 14% และ 22% ตามลำดับ ขณะที่คอนโดเปิดขายใหม่ระดับราคาขายต่ำกว่า 3 ล้านบาทต่อยูนิตได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาดโดยมียอดขายเปิดตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 27% ปี 2564 เป็นปีที่ภาคอสังหาฯ ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว มาตรการผ่อนคลายต่าง ๆ จากภาครัฐ เป็นปัจจัยที่จะหนุนอสังหาฯ ในปี 2565 ให้สามารถเติบโตได้ หลังจากที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 มาต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563-2564    
“ออริจิ้น” จับมือ มือ “บุญภา 2020” ลุยอสังหาฯ ประเดิมโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส 4,000 ล้า

“ออริจิ้น” จับมือ มือ “บุญภา 2020” ลุยอสังหาฯ ประเดิมโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส 4,000 ล้า

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จับมือ “บุญภา 2020” บริษัทของ 2 ตระกูล “สวาทยานนท์-วรเศรษฐการกิจ” ลุยธุรกิจอสังหาฯ ประเดิมโปรเจ็กต์แรก “ออริจิ้น สมาร์ท คอมเพล็กซ์ บางนา” มิกซ์ยูส 4,000 ล้าน ย่านบางนา รับการเติบโตกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก จากนโยบายอีอีซี-เมกะโปรเจ็กต์   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับบริษัท บุญภา 2020 จำกัดจัดตั้งบริษัทร่วมทุนจำนวน 2 บริษัท เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยและโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้ประจำ ภายใต้วิสัยทัศน์ ORIGIN NEXT LEVEL โดยมีการขยายธุรกิจทั้งเชิงกว้างและเชิงลึก   ที่ผ่านมา ผู้คนอาจชินกับภาพออริจิ้นร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติหรือบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯเป็นหลัก แต่ความเป็นจริง เราเปิดกว้างในการสร้างความร่วมมือ หรือ Synergy เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ กับพันธมิตรทุกรูปแบบ สำหรับโครงการนำร่องที่จะพัฒนาร่วมกันโครงการแรก คือ “ออริจิ้น สมาร์ท คอมเพล็กซ์ บางนา” (Origin Smart Complex Bangna) มูลค่าโครงการรวมกว่า 4,000 ล้านบาท เป็นโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ติดถนนบางนา-ตราด บนพื้นที่รวมกว่า 8 ไร่ของกลุ่มบุญภา ภายในโครงการจะประกอบด้วย 2 โครงการย่อย ได้แก่ โครงการวัน ออริจิ้น มาสเตอร์พีซ บางนา (One Origin Masterpiece Bangna) เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างกลุ่มบุญภาและบริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ตัวโครงการประกอบด้วยอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกรวม 29 ชั้น 1 อาคาร แบบ Leasehold 3+30 ปี พื้นที่รวม (Gross Floor Area) 56,700 ตร.ม. พื้นที่ให้เช่า (Lettable Area) ประมาณ 30,000 ตร.ม. คาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการได้ในช่วงปี 2567 โครงการที่ 2 คือ ออริจิ้น เพลส บางนา (Origin Place Bangna) เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างกลุ่มบุญภาและบริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด ผู้พัฒนาโครงการกลุ่ม Smart Condominium ในเครือออริจิ้น ตัวโครงการเป็นโครงการที่อยู่อาศัย ผสมผสานระหว่างคอนโดมิเนียมและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน (Investment Property) แบบ Freehold สูง 26 ชั้น ภายในอาคารประกอบด้วยคอนโดมิเนียมพักอาศัย 1-2 ห้องนอน ขนาด 27-55 ตร.ม. จำนวน 774 ยูนิต คาดว่าจะเริ่มเปิดขายรอบ Presales ในช่วงไตรมาส 1/2565 เริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 2/2565 และก่อสร้างแล้วเสร็จช่วงไตรมาส 2/2567   สำหรับทำเลย่านบางนา-ตราด มีศักยภาพที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการเกิดขึ้นของหลากหลายเมกะโปรเจ็คท์ อาทิ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ที่คาดว่าจะเกิดให้บริการช่วงกลางปี 2565 โครงการรถไฟฟ้ารางคู่ขนาดเบา บางนา-สุวรรณภูมิ โครงการเชื่อมต่อเส้นบางนากับสนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้การเดินทางไปยังต่างจังหวัดและต่างประเทศสะดวกยิ่งขึ้น หลากหลายเมกะโปรเจ็คท์ที่อยู่อาศัย เมกะโปรเจ็คท์ด้านโลจิสติกส์ เติมเต็มย่านบางนา-ตราดให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะส่งผลให้เกิดการจ้างงานและมีความต้องการสำนักงานในทำเลที่เดินทางไป EEC ได้สะดวกอย่างเส้นบางนา-ตราด ขณะเดียวกัน กลุ่มบุญภา ก็มีที่ดินแปลงใหญ่ในย่านบางนา-ตราด ออริจิ้นเองก็ถือเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จ้าวทำเลฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ และ EEC ที่เติบโตและเชี่ยวชาญในทำเลนี้มานับสิบปี ประเมินว่าตลาดสำนักงานให้เช่าในทำเลศักยภาพยังคงมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ช่วงเวลาที่โครงการของเราก่อสร้างแล้วเสร็จตอนปี 2567 น่าจะเป็นช่วงที่ตลาดขยายตัวอย่างเต็มที่ บางนา-ตราดจะกลายเป็นสุดยอดทำเลทองที่มีความต้องการทั้งที่อยู่อาศัยและสำนักงานให้เช่ามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามการเติบโตของเมกะโปรเจ็คท์จำนวนมหาศาล ด้านนายพิสิษฏ์พงศ์ วรเศรษฐการกิจ กรรมการบริหาร บริษัท บุญภา 2020 จำกัด กล่าวว่า บริษัทในเครือของบุญภามีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มาเป็นเวลาอันยาวนาน โดยเฉพาะในกลุ่ม Commercial Real Estate และ Industrial Real Estate เน้นลงทุนในที่ดินทำเลศักยภาพมาโดยตลอด ความร่วมมือกับออริจิ้นในครั้งนี้ มีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถนำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของทั้งสองกลุ่มมาร่วมกันพัฒนาโครงการคุณภาพที่จะสามารถส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้าในทำเลย่านบางนานี้ได้ โดยบริษัท บุญภา 2020 จำกัด ก่อตั้งขึ้นโดยทายาท 2 ตระกูลดัง ตระกูลสวาทยานนท์ และตระกูลวรเศรษฐการกิจ ซึ่งทั้ง 2 ตระกูล มีความเชี่ยวชาญในหลากหลายธุรกิจและอุตสาหกรรมมายาวนานกว่า 70 ปี อาทิ ธุรกิจเชือก แห อวน ธุรกิจพลาสติกและเคมี ธุรกิจบริหารและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจสิ่งทอ โดยมีรายได้รวมจากธุรกิจในเครือปีละกว่า 8,000 ล้านบาท   ปัจจุบันบริษัท บุญภา 2020 จำกัด เป็นผู้ดำเนินธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดยบริษัทในเครือดำเนินธุรกิจหลากหลาย อาทิ กลุ่มบริษัทสยามบราเดอร์ ดำเนินธุรกิจเชือก แห อวน พลาสติกและเคมีภัณฑ์ มีบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภายใต้ชื่อโครงการต่างๆ เช่น The Master, สยามนิเวศน์, ทัศนีย์นิเวศน์, Burlington, ทรัพย์ทวี Factory Park มีธุรกิจสิ่งทอโดยบริษัทเอกรัตน์อุตสาหกรรมสิ่งทอ   นอกจากนี้ ยังดำเนินธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่าใน Prime Business Location เช่น อาคาร Thai CC Tower (อาคาร 34 ชั้นขนาด 110,000 ตร.ม. หน้าสถานีรถไฟฟ้าสุรศักดิ์ถนนสาทร) อาคารมหาทุนพลาซ่า (อาคาร 18 ชั้นขนาด 56,000 ตร.ม. หน้าสถานีรถไฟฟ้าเพลินจิต) อาคาร MS Siam Tower (อาคาร 38 ชั้นขนาด 80,000 ตร.ม. ริมถนนพระรามสาม) และอื่นๆ มีประสบการณ์มากมายและดำเนินธุรกิจอันมั่นคงและยาวนานมากกว่า 70 ปี
อัพเดต 5 เทรนด์ที่อยู่อาศัย-การก่อสร้าง มาแรงปี 2022

อัพเดต 5 เทรนด์ที่อยู่อาศัย-การก่อสร้าง มาแรงปี 2022

คงปฏิเสธไม่ได้ว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่กินเวลานานกว่า 2 ปี รวมถึงวิกฤติโลกร้อนที่รุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทุกบริบทของการใช้ชีวิต และการทำงาน ต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเทรนด์โลกวิถีใหม่ ซึ่งปัจจุบันได้กลายเป็นวิถีชีวิตปกติของวันนี้ หรือ Now Normal ที่ทุกคนเริ่มคุ้นเคย เรียนรู้ที่จะวางแผน และปรับชีวิตให้เข้ากับสถานการณ์ที่คาดเดาไม่ได้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในปีหน้าที่กำลังจะมาถึงเรายังคงต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่เชื่อว่าทุกคนจะเรียนรู้และปรับตัวรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ ขณะที่ผู้ประกอบการธุรกิจต่าง ๆ เอง ก็ต้องหากลยุทธ์และแผนธุรกิจออกมารองรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปด้วย โดยคงต้องประเมินและวิเคราะห์ถึงเทรนด์ในอนาคตว่าจะเกิดอะไรขึ้น   สำหรับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะด้านที่อยู่อาศัยเอง ก็ต้องพัฒนาที่อยู่อาศัยและการก่อสร้าง ให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ที่มีพฤติกรรมการอยู่อาศัยไม่เหมือนเดิม ซึ่ง SCG ได้ทำการวิเคราะห์และประเมินพฤติกรรมการอยู่อาศัยและความต้องการของผู้บริโภคในปี 2565 ที่จะมาตอบโจทย์ภายใต้วิถีชีวิต Now Normal  โดยจะมี 5 เทรนด์สำคัญ คือ 1.Smart Living and Building การนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบบ้าน หรือใช้สั่งเปิด-ปิด และควบคุมอุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้าน และอาคาร เพื่อเพิ่มความสะดวกสบาย ปลอดภัย และประหยัดพลังงานมากยิ่งขึ้น เช่น ระบบสั่งการด้วยเสียง หรือเซนเซอร์ แอปพลิเคชัน ดิจิทัลแพลตฟอร์ม รวมไปถึงเครื่องใช้ภายในบ้านระบบอัตโนมัติต่างๆ 2.Health & Well-Being ในยุคนี้ เรื่องสุขอนามัยเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงเป็นอย่างมาก เพราะไม่ว่าจะโควิด-19 ฝุ่น PM 2.5 เชื้อไวรัส หรือแบคทีเรีย ต่างก็สร้างความกังวลให้เราทุกคน ดังนั้นคงจะดีไม่น้อย ถ้าเราปรับบ้าน และอาคารให้พร้อมรับมือกับความกังวลเหล่านี้ เพื่อดูแลสุขอนามัยของผู้อยู่อาศัยในระยะยาว พร้อมสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับทุกคน โดยเฉพาะผู้สูงอายุ และเด็กเล็กที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ 3.Sustainable Living ความยั่งยืนเป็นอีกหนึ่งเมกะเทรนด์ที่คนทั่วโลกให้ความสำคัญ หลายคนหันมาใส่ใจและเลือกใช้วัสดุก่อสร้างที่มอบความยั่งยืน ทั้งด้านเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประหยัดทรัพยากร ประหยัดพลังงาน และปลอดภัยต่อผู้อาศัย 4.Home Transformation ทุกวันนี้บ้านได้กลายเป็น “Multi-functional Space” ที่เป็นทั้งบ้าน ออฟฟิศ โรงเรียน ฟิตเนส ที่พักผ่อน ฯลฯ หลายคนจึงหันมาปรับและต่อเติมพื้นที่ใช้สอยให้เหมาะกับการใช้งานของสมาชิกแต่ละคน โดยเน้นให้มีความยืดหยุ่น และใช้งานได้อย่างเอนกประสงค์มากที่สุด เช่น แบ่งสัดส่วนห้องทำงาน/ห้องเรียนในห้องนอน หรือห้องนั่งเล่น จัดสรรพื้นที่ในห้องครัวเป็นโซนนั่งชิล โต๊ะทำงาน และทานอาหาร ตกแต่งสวนหน้าบ้านให้เป็นสนามเด็กเล่น พื้นที่ออกกำลังกาย มุมพักผ่อน และโรงจอดรถ เป็นต้น 5.Construction Transformation การออกแบบและก่อสร้างอาคารแห่งอนาคต กำลังถูกทรานฟอร์มด้วยเทคโนโลยี และนวัตกรรมการก่อสร้างมากมาย ซึ่งจะเข้ามาช่วยลดเวลา ลดเศษวัสดุในไซต์งานก่อสร้าง เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงมีความแม่นยำสูง และครบวงจร โดยเทคโนโลยีที่มีการนำมาใช้อย่างแพร่หลาย ได้แก่ นวัตกรรม 3D Cement Printing ใช้สร้างสรรค์ได้ทั้งงานก่อสร้าง และงานตกแต่งที่มีความซับซ้อน สามารถครีเอทลายปรินท์ได้อย่างหลากหลาย ขึ้นรูปชิ้นงานได้ตามรูปแบบที่ต้องการ เทคโนโลยี Building Information Modeling (BIM) ที่ช่วยสร้างความแม่นยำในการออกแบบ บริหารจัดการและควบคุมคุณภาพงานก่อสร้างตั้งแต่ก่อนโครงการขณะก่อสร้างและหลังจบโครงการ และ Drone นวัตกรรมประเมินพื้นที่ก่อนออกแบบผังโครงการ ช่วยลดความผิดพลาดในการก่อสร้าง เพิ่มความปลอดภัยในไซต์งาน เป็นต้น   นายนิธิ ภัทรโชค กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี เปิดเผยว่า โควิด-19 และโลกร้อนกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการอยู่อาศัย และการก่อสร้างวิถีใหม่ โดยผู้คนต้องการที่อยู่อาศัยที่ปลอดภัย มีสุขอนามัย เอื้อต่อการสร้างเสริมสุขภาพที่ดี สะดวกสบาย และตอบการใช้งานที่หลากหลาย ขณะเดียวกันก็คำนึงถึงการประหยัดพลังงาน ความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และความยั่งยืนเพิ่มขึ้นด้วย ทำให้ทุกคนเริ่มปรับตัว และพัฒนาวิถีชีวิตให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงสู่ยุค Now Normal ซึ่งบ้านถือเป็น Safe Space ในการใช้ชีวิต และทำทุกกิจกรรมต่าง ๆ ทั้งทำงาน เรียน พักผ่อน และอีกมากมาย ​​
พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค  ผนึก “ฮ่องกงแลนด์-ซูมิโตโม-เซกิซุย”  ปั้นรายได้ 13,000 ล้าน  ใน 3 ปี

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ผนึก “ฮ่องกงแลนด์-ซูมิโตโม-เซกิซุย” ปั้นรายได้ 13,000 ล้าน  ใน 3 ปี

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ดึง 3 ทุนพันธมิตร “ฮ่องกงแลนด์-ซูมิโตโม ฟอร์เรสทรี-เซกิซุย เคมิคอล” สร้างรายได้ 13,000 ล้าน  ใน 3 ปีข้างหน้า ประเดิมแผนปี 65 สร้างรายได้ 5,000 ล้าน โต 5 เท่าจากปี 64 เดินหน้าปั้นโปรเจ็กต์ต่อเนื่อง   นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจของกลุ่มบริษัทในปี 2565 ว่ารายได้โดยรวมคาดว่าจะดีขึ้นกว่าปี 2564 โดยจะสามารถกลับมาฟื้นตัวได้ในระดับใกล้เคียงกับก่อนหน้าที่จะเกิดสถานการณ์โควิด-19 โดยกลยุทธ์สำคัญคือการเพิ่มรายได้จากโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรจากต่างประเทศทั้ง 3 ราย ได้แก่  ฮ่องกงแลนด์,  ซูมิโตโม ฟอร์เรสทรี และ เซกิซุย เคมิคอล     ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายในระยะ 3 ปีข้างหน้า หรือปี 2565-2567 จะมีรายได้จากโครงการร่วมทุนรวม 13,000 ล้านบาท เติบโตและทำกำไรเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน  โดยปี 2565 ตั้งเป้าไว้ที่ 5,000 ล้านบาท ส่วนปี 2566 และ 2567 คาดจะมีรายได้อีกปีละ 4,000 ล้านบาท สำหรับปี 2565 บริษัทตั้งเป้ารายได้จากโครงการร่วมทุนเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าตัว เมื่อเทียบกับปีนี้ ซึ่งมีรายได้ 1,000 ล้านบาท โดยจะมาจากโครงการร่วมทุนกับ “ฮ่องกงแลนด์” จำนวน 1,400 ล้านบาท โดยในปี 2565 บริษัทจะมีการเปิดโครงการใหม่ “เลค เลเจ้นด์ บางนา-สุวรรณภูมิ” อย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม โดยเป็นบ้านเดี่ยวระดับราคา ราคา 30-120 ล้านบาท  และมีการขยายโครงการต่อเนื่องของ “เลค เลเจนด์ แจ้งวัฒนะ” ที่เตรียมเปิดคฤหาสน์ติดทะเลสาบเพิ่มเติมในเฟส 2  ราคาเริ่มต้น 60 ล้านบาท  พร้อมกันนี้จะมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมากจากโครงการร่วมทุนกับ “ซูมิโตโม ฟอร์เรสทรี” ประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียม “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ” จำนวน 2,500 ล้านบาท ที่กำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ได้ในไตรมาส 2 ปี 2565 ปัจจุบันมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) แล้ว 2,000 ล้านบาท หรือ 40% ของรายได้จากการร่วมทุนทั้งหมด   นอกจากนี้ ยังมีโครงการ “เลค ฟอร์เรสต์” บ้านเดี่ยวระดับราคา 3.5-7 ล้านบาท คาดจะทำรายได้ให้อีก 500 ล้านบาท รวมเป็นจำนวน 3,000 ล้านบาท  และบริษัทยังมีการร่วมทุนกับ “เซกิซุย เคมิคอล” ซึ่งเป็นบ้านนวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยีจากประเทศญี่ปุ่น ระดับราคา 20-60 ล้านบาท ในโครงการเพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ ทั้ง 5 ทำเล ซึ่งจะมีรายได้เข้ามาอีก 600 ล้านบาทด้วย   สำหรับกลยุทธ์ในการเติบโตของโครงการร่วมทุนนั้น บริษัทอาศัยความร่วมมือกับพันธมิตรมาช่วยเสริมความแข็งแกร่ง ทั้งโนว์ฮาวในการพัฒนาโครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการในระดับพรีเมี่ยม ซึ่งที่ผ่านมาสามารถสร้างสินค้าประเภทบ้านเดี่ยวระดับบนที่มีความโดดเด่น และสร้างความแตกต่างในตลาดที่อยู่อาศัย ซึ่งความร่วมมือกับพันธมิตรจากต่างประเทศทั้ง 3 ราย ยังเป็นการต่อยอดศักยภาพและสร้างการเติบโตของธุรกิจในระยะยาวได้อย่างชัดเจน
ถอดกลยุทธ์ เอพี ไทยแลนด์  สู้พิษโควิด-19 เดินหน้าสู่ยอดโอน 40,000 ล้าน

ถอดกลยุทธ์ เอพี ไทยแลนด์ สู้พิษโควิด-19 เดินหน้าสู่ยอดโอน 40,000 ล้าน

เอพี ไทยแลนด์ ลุยธุรกิจด้วยพันธกิจ “EMPOWER LIVING” ฝ่าวิกฤตโควิด-19 สร้างยอดขายกว่า 35,800 ล้านบาท  คาดปิดปี 2564 สร้างยอดโอนได้ 40,000 ล้าน ขนโครงกาพร้อมขาย​ 120 โครงการ  มูลค่าพร้อมขายกว่า 196,000 ล้าน สร้างยอด   ถึงปัจจุบันแม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะยังไม่ยุติลง และยังมีไวรัสกลายพันธุ์เกิดเป็นสายพันธุ์ใหม่อยู่เสมอ แต่ทุกธุรกิจก็ยังคงมุ่งหาแนวทางการรับมือ และสร้างการเติบโตให้กับองค์กรของตนเองอยู่เสมอ โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน   ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ต้องเผชิญความท้าทายรอบด้าน โดยเฉพาะพฤติกรรมผู้บริโภคที่ไม่เหมือนเดิม แต่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ต่างก็รับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ดี และสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างชัดเจน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “เอพี ไทยแลนด์” ที่วันนี้ดูเหมือนจะทำผลงานได้ดีมาเป็นอันดับต้น ๆ ของวงการ   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  จากปี 2563 ถึง 2564 ทุกภาคธุรกิจต่างยังต้องเผชิญกับภาวะ Ripple Effect (หรือปรากฎการณ์ระลอกคลื่น) ที่ศูนย์กลางก็คือความเสียหายทางเศรษฐกิจจาก โควิด-19 อย่างเลี่ยงไม่ได้ วิกฤตโควิด-19 ได้สร้างบททดสอบ และบทเรียนอย่างมากมายให้กับผู้คนทั่วโลก และในปี 2564 นี้ถือเป็นปีที่ 30 ที่เอพี ไทยแลนด์ ดำเนินธุรกิจอยู่ในอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และสามารถก้าวผ่านวิกฤตมาได้อย่างแข็งแกร่งอีกครั้งหนึ่ง โดยมีพันธกิจ “EMPOWER LIVING” เป็นเจตจำนงสำคัญในการดำรงอยู่ของเอพี ไทยแลนด์ เพื่อส่งมอบคุณภาพชีวิต ที่ดี ที่ลูกค้าสามารถเลือกได้ และถือเป็นเข็มทิศหลักในการกำหนดกลยุทธ์การแข่งขัน เพื่อสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ ควบคู่กับความพร้อมในการปรับตัวให้สอดรับกับวิถีชีวิตใหม่ที่เปลี่ยนไปอย่างถาวร   แต่อย่างไรก็ตาม การเกิดขึ้นของโอมิครอน (Omicron) สะท้อนให้เห็นแล้วว่าศึกครั้งนี้ไม่จบในเร็ววัน โรคระบาดต้องอยู่ไปอีกระยะหนึ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ ควบคู่ไปกับความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจที่ผันผวน​ ส่งผลต่อ sentiment ของผู้บริโภค การดำเนินธุรกิจในปี 2565 ยังคงตั้งอยู่บนความไม่ประมาท   เรายังคงต้องวิ่งมาราธอนที่ยังไม่เจอเส้นชัยกันไปอีกสักพักใหญ่ ถ้าออกตัวแรงไปเรื่อย ๆ ก็จะหมดแรง ถ้าวิ่งช้าก็แพ้คนอื่น  หนทางข้างหน้าต้องต่อสู่อีกยาวไกล มีเรื่องใหม่ให้เจอทุกวัน โดยคีย์สำคัญคือต้องตัดสินใจให้ไว ในแต่ละวันนี้มีเรื่องใหม่เกิดขึ้นทำให้ต้องเอาเข้ามาตัดสินใจ ซึ่งนี่คือหนึ่งในวิถีที่ทำให้เอพีผ่านวิกฤตโควิดมาได้เป็นปีที่ 2 บริหารพอร์ตพร้อมขาย ดันยอดโอน 4 หมื่นล้าน หนึ่งใน Key Drive สำคัญ ที่ทำให้เอพี ไทยแลนด์ยังคงเติบโตท่ามกลางสภาวะผันผวนของปีนี้ได้อย่างแข็งแกร่งคือ การบริหารจัดการพอร์ตสินค้าพร้อมขาย ให้กระจายไปในหลากหลายทำเล เพื่อสร้างโอกาสและความได้เปรียบในการแข่งขันที่มากขึ้น นอกจากความพร้อมของทีมงาน   โดยในปี 2564 เอพีเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้นจำนวน 24 โครงการ มูลค่าประมาณ 27,550 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบ  22 โครงการ มูลค่า 19,650 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม  2 โครงการ มูลค่า 7,900 ล้านบาท และเมื่อรวมกับโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย ทำให้ปัจจุบันมีโครงการกระจายอยู่ทั่วประเทศ มากถึง 120 โครงการ  มูลค่าพร้อมขายกว่า 196,000 ล้านบาท   ข้อมูล ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2564 เอพี ไทยแลนด์สามารถทำยอดขายจากอสังหาริมทรัพย์ในเครือ ได้มากถึง 35,800 ล้านบาท และคาดว่าปิดปี 2564 จะสามารถสร้างยอดโอนได้เกือบ 40,000 ล้านบาท ถึงแม้ตลอดปีที่ผ่านมา ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับภาวะล็อกดาวน์ ที่ส่งผลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอย่างมากก็ตาม แต่เอพี ไทยแลนด์ยังคงสร้างผลการดำเนินงานที่โดดเด่นได้อย่างชัดเจน ทั้งผลการดำเนินงาน การดูแลพนักงาน และที่สำคัญการบริหารจัดการกระแสเงินสด และการรักษาสัดส่วนหนี้สิ้นต่อทุนที่ ณ ไตรมาส 3/2564 ต่ำเพียง 0.56 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่ 0.71 เท่า เทรนด์ HOMEBODY ดันยอดขายบ้าน ภายใต้ยุคโควิด-19 ที่ทำให้พฤติกรรมของผู้คนเลือกที่อาศัยอยู่ในบ้านมากกว่าการใช้ชีวิตนอกบ้าน ส่งผลทำให้เกิดเทรนด์การใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า HOMEBODY หรือเทรนด์ติดบ้าน กลายเป็นความคุ้นชินของคนวันนี้ “บ้าน” ในโลกความเป็นอยู่ใหม่ จึงถูกยกระดับให้เป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย แต่ “บ้าน” ต้องเป็นทุกอย่างให้กับทุกคนในครอบครัว ทั้งพื้นที่ทำงาน ห้องเรียนออน์ไลน์ ฟิตเนส ห้องไลฟ์สด หรือแม้กระทั่งสตูดิโอทำเพลง   จากเทรนด์ติดบ้านที่เกิดขึ้น ได้ส่งผลให้ดีมานด์บ้านเดี่ยวมีจำนวนมาก จึงส่งผลให้ยอดขายของเอพีเติบโต​ โดยยอดขายที่เกิดขึ้นกว่า 60% ถือเป็นยอดขายที่มาจากสินค้ากลุ่มบ้านเดี่ยว ซึ่งกลยุทธ์สร้างความสำเร็จในกลุ่มบ้านเดียว คือ 1. โมเดลบ้านที่ดีที่สุด คิดจากอินไซต์จริงเพื่อให้สอดรับกับความต้องการของผู้อาศัย อาทิ แปลนบ้านหน้ากว้าง ที่สามารถเพิ่มมุม Work from Home หรือ เรียนออนไลน์พร้อมรับแสงธรรมชาติ 2. นวัตกรรมบ้านที่เข้าใจชีวิต ที่ผสานเทคโนโลยีเข้ากับการออกแบบพื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่ส่วนรวมภายในบ้านหนึ่งหลังที่มีรายละเอียดการออกแบบที่ตอบโจทย์ความปลอดภัย ความสะดวกสบาย  WORK FROM ANYWHERE จะไม่ใช่เทรนด์อีกต่อไป   นอกจากนี้ ข้อมูลจากบริษัท Morgan Stanley ระบุว่าอีก 7 ปีข้างหน้า ครึ่งหนึ่งของแรงงานในสหรัฐฯ จะเป็นฟรีแลนซ์ ซึ่งสอดคล้องกับการคาดคะเนของปีเตอร์ เลเวลส์ (Pieter Levels) สตาร์ทอัพ โปรแกรมเมอร์ และดีไซเนอร์ชาวดัตช์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ nomadlist.com ที่เปรียบเสมือนเข็มทิศการเดินทางไปทั่วโลกสำหรับชาว Digital Nomad ในปัจจุบัน ที่ว่าภายในปี 2578 จะมีคนทำงานอิสระที่เรียกตัวเองว่า Digital Nomad 1,000 ล้านคน จากข้อมูลปี 2562 ที่มีอยู่จำนวน 25 ล้านคน  ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มของคนรุ่นใหม่ที่การทำงานจากที่ไหนก็ได้ (Work from Anywhere) จะกลายเป็น norm ปกติของชีวิตในอนาคต ถึงแม้วิกฤตการแพร่ระบาดของโรคจะเริ่มคลี่คลายไปแล้วก็ตาม  ดังนั้น การออกแบบพื้นที่อย่างชาญฉลาดจะกลายเป็นจุดขายใหม่ที่ดึงดูด Next Generation ที่มุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จได้อย่างดีที่สุด ทั้งเรื่องการทำงาน และด้านชีวิตส่วนตัว Everything Digital เสริมบริการ-งานขาย   อีกหนึ่งในโรดแมทที่เอพี  ยึดเป็นหลักสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ คือ  Everything Digital ในด้านงานขายและงานบริการหลังการขาย ที่ได้มีการนำเทคโนโลยีมาเป็นหนึ่งในกลไกขับเคลื่อน เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่สะดวกสบายเข้าถึงสินค้าและการอยู่อาศัยในเอพีคอมมูนิตี้ผ่านระบบดิจิตอลมากยิ่งขึ้น ซึ่งจากข้อมูลในปี 2564 พบว่าลูกค้าคอนโดเอพีกว่า 85% สอบถามข้อมูลหรือนัดหมายเยี่ยมชมโครงการผ่านดิจิตอลแพลตฟอร์มต่างๆ ของเอพีเพิ่มมากขึ้น  โดยเฉพาะ ONE CLICK NEW HOME โซลูชั่นใหม่กับการซื้ออสังหาริมทรัพย์เครือเอพี ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อส่งตรงประสบการณ์เสมือนเดินทางไปยังชมโครงการจริง ทั้งพื้นที่ส่วนกลาง ห้องจริง วิวจริง พร้อมบรรยากาศกลางวันและกลางคืน ด้วยความละเอียดสูงสุดแบบ 360° ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการนำเสนอสินค้าผ่านประสบการณ์โลกดิจิตอลเสมือนจริง  และช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้โดยไม่ต้องเดินทางออกจากบ้าน   รวมถึงงานบริการหลังการขายผ่าน SMART พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ในเครือเอพี ประสบความสำเร็จกับการเปิดตัว SMART WORLD ชีวิตที่เลือกได้ ซึ่งเป็นดิจิตอล เซอร์วิส แพลตฟอร์ม บริหารคุณภาพชีวิตหลังการอยู่อาศัยที่เอพีพัฒนาให้เป็นแอปพลิเคชันเดียวที่เอ็มพาวเวอร์ให้การใช้ชีวิตในบ้าน เป็นเรื่องง่าย ที่เลือกได้ตามไลฟ์สไตล์ของลูกค้าแต่ละคน  ด้วยชีวิตที่เลือกกับ 24 ฟังก์ชั่นกว่า 100 บริการ  ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นโดยผสมผสานวิธีคิดภายใต้หลัก Design Thinking เข้ากับการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เสถียรและเข้าถึงได้ทุก Generation  ณ ปัจจุบัน SMART WORLD มีผู้ใช้บริการแล้วกว่า 80,000 ยูสเซอร์ มียอด  ผู้ Active User เฉลี่ย 48,000 ยูสเซอร์ต่อเดือน ถือเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมบริการที่โดดเด่นด้านพร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ในเครือเอพี   ทั้งหมดนี้คือความสำเร็จที่เกิดขึ้น โดยมีความพร้อมขององค์กรเป็นพื้นฐาน  โดยเฉพาะเป้าหมายขององค์กร เพื่อขับเคลื่อนทีมงานไปในทิศทางเดียวกัน โครงสร้างองค์กรที่แข็งแกร่งพร้อมรับกับการปรับตัวที่รวดเร็วได้อย่างยืดหยุ่น แม้คลื่นวิกฤตจะกระทบอีกสักกี่ครั้งเอพี ไทยแลนด์ พร้อมที่จะนำความสำเร็จ และสิ่งที่เรียนรู้ในปี 2564 มาเป็นแรงขับเคลื่อน เป็นพลังในการตั้งรับความท้าทายใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในปี 2665 เพื่อส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดี ที่ลูกค้าสามารถเลือกได้ ด้วยนวัตกรรมสินค้าและบริการที่สร้างความแตกต่าง ทั้งด้านคุณภาพ พื้นที่ใช้สอย ความสะดวกสบาย และความปลอดภัยในการพักอาศัย เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่ยิ่งใหญ่นั่นคือ EMPOWER LIVING  
[PR News] เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม เปิดตัวแอปพลิเคชั่น HOME+ ผู้ช่วยเรื่องบ้านตัว 24 ชม.

[PR News] เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม เปิดตัวแอปพลิเคชั่น HOME+ ผู้ช่วยเรื่องบ้านตัว 24 ชม.

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม  เปิดตัว แอปพลิเคชั่น HOME+ (โฮมพลัส)  ผู้ช่วยเรื่องบ้านที่รู้ใจอยู่ใกล้ตัวตลอด 24 ชั่วโมง HOME+  ฟังก์ชั่นพิเศษสะสมคะแนน เพื่อแลกสิทธิพิเศษ ของรางวัลฟรี   นายรองฤทธิ์ ธรรมสถิต ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานสนับสนุนโครงการที่อยู่อาศัย 1 บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าได้เปิดตัว HOME+ (โฮมพลัส) แอปพลิเคชั่นใหม่ เหมือนมีผู้ช่วยเรื่องบ้านตลอด 24 ชั่วโมง  ฟังก์ชั่นพิเศษสะสมคะแนน เพื่อแลกสิทธิพิเศษ ของรางวัลฟรีและส่วนลดมากมาย  รวมถึงผู้สนใจสามารถจอกคิวนัดเข้าชมโครงการได้ เมื่อแวะชมโครงการก็ยังสะสมคะแนนได้อีก และสำหรับลูกบ้านของบริษัท แอปนี้ก็ตัวช่วยดูแลบริการหลังการขาย แจ้งซ่อม ตรวจสอบสถานะ ติดตามและประเมินผลงาน รวมถึงรับข่าวสารสิทธิพิเศษต่างๆ ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว อีกด้วย โดยพร้อมเปิดตัวแอปในวันที่ ​​ 21 ธันวาคม นี้   ฟังก์ชั่นพิเศษที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตส์ของทุกคน HELPMATE เหมือนมีผู้ช่วยที่รู้ใจ สำหรับทุกคนที่อยากมีบ้านหรือสนใจในการดูแลบ้าน เหมือนมีมืออาชีพคอยแนะนำ ในการเลือกบ้านให้ตรงตามไลฟ์สไตล์และความต้องการของทุกคน PRIVILEGE สิทธิพิเศษมากมาย เป็นความพิเศษที่แตกต่างจากแอปพลิเคชั่นอื่น ช่วยเติมเต็มการใช้ชีวิตให้เต็มความสุขกับการสะสมคะแนนฟรีๆ เพื่อแลก สิทธิพิเศษ ของรางวัล  หรือ ส่วนลด จากสินค้าและบริการมากมาย อาทิ ร้านอร่อยจาก Oishi, Shabushi, MK, Swensen’s, After You, Auntie Anne’s, Chabuton, Krispy Kreme, Dairy Queen, Gram Café&pancakes, BAR.B.Q Plaza, GAGA, Kamu, Squeeze หรือบริการจากร้านอาหารและโรงแรมชั้นนำ อย่าง The Okura Prestige Bangkok, Holiday Inn Express, Marriott Executive Apartments Mayfair Bangkok, W Bangkok, Modena, Triple Y,  Melia Koh Samui, Sheraton Samui Resort ช้อปสบายกับสินค้าและบริการที่ถูกใจสบายกระเป๋า กับ Grand Home Mart, NocNoc Com, 24 Fix, อาคเนย์ประกันชีวิต และ Shopee เป็นต้น LIFESTYLE สาระน่ารู้ ใช้ชีวิตให้มีความสุข กับข้อมูลข่าวสาร สาระน่ารู้เพื่อการอยู่อาศัย ที่คัดสรรมาเพื่อทุกคน บริการพิเศษและกิจกรรมต่างๆ สำหรับทุกคนในครอบครัวได้อย่างแท้จริง SERVICE บริการสำหรับลูกบ้าน เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม ที่เป็นตัวช่วยดูแลบริการหลังการขาย แจ้งซ่อม ตรวจสอบสถานะ ติดตามและประเมินผลงาน รวมถึงรับข่าวสารสิทธิพิเศษต่างๆ  
ดีดีพร็อพเพอร์ตี้  คาดตลาดอสังหาฯ ปี 65 มีแววฟื้น  ลุ้นมาตรการรัฐ-การคุมโควิดหนุน

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ คาดตลาดอสังหาฯ ปี 65 มีแววฟื้น ลุ้นมาตรการรัฐ-การคุมโควิดหนุน

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ สรุปภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปี 2564 เป็นปีแห่งความท้าทาย-ผันผวนสูง จากผลกระทบของโควิด-19 แม้คนไทยส่วนใหญ่อยากมีบ้าน แต่รายได้หายในช่วงโควิด-19 ขณะที่อสังหาฯ ปี 65 รอฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ ส่วนดีเวลลอปเปอร์ ยังคงเน้นระบายสต็อก คู่การเปิดตัวโครงการใหม่ ขณะที่ผู้บริโภคยังหวังมาตรการช่วยเหลือจากภาครัฐ เป็นปัจจัยบวกช่วยกระตุ้นตลาดให้กลับมาฟื้นตัวได้อีกครั้ง   นางกมลภัทร แสวงกิจ ผู้จัดการใหญ่ประจำประเทศไทย ดีดีพร็อพเพอร์ตี้(DDproperty) เปิดเผยว่า ในปี 2564 นี้ตัวแปรสำคัญที่ส่งผลกระทบกับภาคธุรกิจหลักของประเทศ ยังคงมาจากวิกฤติโควิด-19 รวมถึงภาคอสังหาริมทรัพย์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยคาดการณ์ว่าปีนี้ จะเป็นปีที่มีแนวโน้มฟื้นตัวได้อีกครั้ง แต่สถานการณ์ที่ผันผวนยังคงเป็นอุปสรรคใหญ่ ทำให้ตลาดอสังหาฯ ปีนี้ไม่สามารถเติบโตได้ดีเท่าที่ควร ประกอบกับการแข่งขันสงครามราคาที่ดุเดือดของผู้พัฒนาอสังหาฯ อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 ทำให้เกิดการดูดซับกำลังซื้อจากผู้บริโภคไปแล้วพอสมควร เมื่อต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนทางการเงินจากการแพร่ระบาดฯ ที่ยืดเยื้อ จึงทำให้ผู้บริโภคส่วนใหญ่ชะลอการซื้อออกไปก่อน นางกมลภัทร กล่าวว่า แม้ว่าปีนี้ภาครัฐจะออกมาตรการที่เอื้อต่อการซื้ออสังหาฯ มากขึ้น รวมถึงมีการผ่อนคลายมาตรการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย (Loan-to-Value: LTV) ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)ในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา แต่มาตรการดังกล่าวก็ยังไม่สามารถช่วยกระตุ้นการเติบโตในตลาดอสังหาฯ ได้มากนัก เนื่องจากผู้บริโภคยังคงไม่มั่นใจกับสถานการณ์โควิด-19 และไม่มีกำลังซื้อเพียงพอจากผลกระทบของการแพร่ระบาดฯ โควิด-19 ฉุดคนไทยชะลอซื้อบ้าน สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ยังส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินและความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของผู้บริโภค จึงต้องวางแผนการเงินอย่างรัดกุมในระยะยาว ผลสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคต่อสภาพตลาดอสังหาฯ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด พบว่า เกือบ 3 ใน 4 ของผู้บริโภคชาวไทย หรือสัดส่วน 71% ยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยแต่เลือกที่จะชะลอการซื้อออกไปก่อน โดย 39% วางแผนจะซื้อบ้านภายใน 1-2 ปี   อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคเผยว่าอุปสรรคสำคัญที่มีผลต่อการซื้อที่อยู่อาศัย มาจากการขาดรายได้ในช่วงโควิด-19 ถึง 66% รองลงมา สัดส่วน 63% คือ ราคาที่อยู่อาศัย ตามมาด้วยความไม่แน่นอนทางการเมือง และธนาคารไม่อนุมัติสินเชื่อบ้านในสัดส่วนเท่ากัน คือ 37% สะท้อนให้เห็นว่าปัญหาทางการเงินยังคงเป็นอุปสรรคอันดับต้น ๆ ของคนหาบ้าน   นอกจากนี้ ผู้บริโภคส่วนใหญ่ สัดส่วน 80% มองว่ารัฐบาลยังไม่ค่อยมีส่วนช่วยที่จะทำให้คนในประเทศสามารถเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ โดยมาตรการเยียวยาภาคอสังหาฯ ที่ต้องการมากที่สุดจากภาครัฐ คือ การลดอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านทั้งบ้านใหม่และบ้านที่กำลังผ่อนอยู่  สัดส่วน 57% เพื่อแบ่งเบาภาระผู้ที่ต้องการมีบ้านเป็นของตัวเองท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง ถอดบทเรียนอสังหาฯ ปี 64  ภาพรวมการเติบโตของภาคอสังหาฯ ที่ยังไม่ฟื้นตัวเท่าที่ควร ส่งผลให้ผู้พัฒนาอสังหาฯ ส่วนใหญ่ชะลอการเปิดโครงการใหม่ออกไปก่อน โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม และหันมาเน้นระบายสต็อกคงค้างผ่านสงครามราคาเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคในช่วงนี้แทน จึงทำให้ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในปี 2564 โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ในภาพรวมยังคงปรับตัวลดลงถึง 11% จากรอบปีก่อน นอกจากนี้ จำนวนอุปทานยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจากอุปทานคงค้างในตลาดบวกกับอัตราการดูดซับที่ลดลง อย่างไรก็ดี แนวโน้มอุปทานที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่จะเป็นโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีความต้องการในตลาดสูง โดยบ้านเดี่ยวมีจำนวนอุปทานเพิ่มขึ้น 33% จากปีก่อนหน้า ทาวน์เฮ้าส์เพิ่มขึ้น 30% ส่วนคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้น 11%   นอกจากเทรนด์ที่อยู่อาศัยแนวราบจะได้รับความนิยมจากไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปแล้ว เทรนด์การพัฒนาที่อยู่อาศัยยังกระจายออกไปในทำเลนอกเขตศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ (City Fringe) และแถบชานเมือง (Outskirts) มากขึ้น เนื่องจากเป็นทำเลที่สามารถพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบในราคาที่เอื้อมได้ ประกอบกับปัจจัยบวกจากการขยายโครงข่ายรถไฟฟ้าที่เชื่อมต่อการเดินทางสู่ใจกลางเมืองได้สะดวกขึ้น ข้อมูลจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยผ่านจุดต่ำสุดแล้วในไตรมาสที่ 3 ปี 2564 ถือเป็นสัญญาณบวกที่ทุกภาคส่วนเฝ้ารอ คาดว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2565 จะฟื้นตัว โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจและตลาดท่องเที่ยวในประเทศที่ทยอยฟื้นตัวตามการผ่อนคลายมาตรการควบคุมของภาครัฐ และการระดมฉีดวัคซีนที่เพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดแรงงานและกำลังซื้อของผู้บริโภคมีแนวโน้มปรับดีขึ้นตามไปด้วย จับตาอสังหาฯ ปี 65 รอเวลาฟื้นตามเศรษฐกิจ สำหรับธุรกิจอสังหาฯ ในปี 2565 คาดว่าจะเป็นปีแห่งการฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ ไทย โดยเริ่มเห็นสัญญาณบวกในช่วงท้ายปี 2564 แต่คาดว่าระดับราคาอสังหาฯ จะยังไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นมากนัก ควบคู่ไปกับการออกแคมเปญหรือโปรโมชั่น เพื่อดึงดูดกำลังซื้อจากผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) และนักลงทุนที่มีความพร้อมและหวังผลตอบแทนในระยะยาว ในขณะที่อุปทานยังไม่มีสัญญาณล้นตลาด (Oversupply) หรือเกิดภาวะฟองสบู่ ทั้งนี้ ปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตา คือ ความคืบหน้าในการควบคุมการแพร่ระบาดฯ รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและภาคอสังหาฯ จากภาครัฐ ซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางการเติบโตโดยตรง อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยยังคงเปราะบางและมีความไม่แน่นอน ผู้ประกอบการและผู้บริโภคจึงควรติดตามสถานการณ์การระบาดฯ หลังเปิดประเทศ และมาตรการสนับสนุนจากภาครัฐอย่างใกล้ชิดก่อนตัดสินใจ
IWG x รัตนากร ขยายสำนักงานให้เช่า วางเป้า 10 ปี 40 แห่งทั่วไทย

IWG x รัตนากร ขยายสำนักงานให้เช่า วางเป้า 10 ปี 40 แห่งทั่วไทย

IWG x รัตนากร แอสเซท ลงนามสัญญาแฟรนไชส์ บริหารพื้นที่สำนักงานให้เช่า 40 แห่งทั่วไทย ใน 10 ปี ตอบสนองการทำงานแบบไฮบริด ประเดิมปี 65 เปิด 5 แห่ง ได้แก่ ในเมืองพัทยา ชลบุรี ศรีราชา ระยอง     มาร์ค ดิกสัน ผู้ก่อตั้งธุรกิจและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร IWG เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หลายธุรกิจเล็งเห็น และปรับตัวอย่างรวดเร็วเพื่อตอบรับความต้องการในการทำงานแบบไฮบริด (Hybrid working) ซึ่งมีธุรกิจจำนวนมากทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ กำลังนำมาใช้อยู่ เพื่อดึงดูดและรักษาบุคลากรที่มีความสามารถไว้ได้ ไม่เพียงเท่านั้นการปรับเปลี่ยนมาสู่โมเดลการทำงานในรูปแบบดังกล่าว ยังช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานได้อีกด้วย บรรดาธุรกิจต่าง ๆ กำลังกำหนดพื้นที่การทำงานใหม่ ให้เข้าไปใกล้ที่พักของบุคลากรมากขึ้น เพื่อให้พวกเขาสามารถทำงานได้อย่างยืดหยุ่น เป็นการเปลี่ยนแปลง ที่ตอบสนองความต้องการและความจำเป็นของบุคลากร ปัจจุบันการทำงานแบบยืดหยุ่นที่ไม่ยึดติดกับสถานที่ ได้รับความนิยมมากขึ้นในหลากหลายอาชีพ โดยเฉพาะกลุ่มคนยุคมิลเลนเนียม (เจเนอเรชั่น วาย) ซึ่งคุ้นชินกับดิจิทัลเทคโนโลยีและชื่นชอบในความคล่องตัวและยืดหยุ่นในการทำงาน การทำงานแบบไฮบริดพนักงานไม่เพียงแต่ได้ทำงานในสถานที่ที่หลากหลาย ยังใช้เวลาในการเดินทางไปทำงานลดลง สามารถทำงาน ณ สถานที่แห่งไหนก็ได้ สำนักงาน บ้าน หรือ พื้นที่ทำงานในรูปแบบ Flexible Workspace เป็นแนวทางการทำงานที่มีความยืดหยุ่นสูง ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานมากขึ้น   ล่าสุด IWG  ได้เซ็นสัญญามอบสิทธิ์หลักในการบริหารแฟรนไชส์ระดับภูมิภาคหรือมาสเตอร์แฟรนไชส์ให้กับ รัตนากร แอสเซท ผู้ประกอบการด้านอสังหาริมทรัพย์ของไทย เป็นผู้ร่วมพัฒนาและขยายธุรกิจในประเทศไทย ภายใต้ข้อตกลงแฟรนไชส์ที่ รัตนากร แอสเซท สามารถพัฒนาพื้นที่สำนักงานให้เช่าแบบยืดหยุ่น (Flexible Workspace) ได้ทุกจังหวัดทั่วทุกภูมิภาคในประเทศไทย ยกเว้นกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยในปี 2565 รัตนากร แอสเซท ร่วมมือกับ IWG เปิดศูนย์ใหม่ จำนวน 5 แห่ง ได้แก่ ในเมืองพัทยา จำนวน 2 แห่ง ในชลบุรี ศรีราชา และระยอง พื้นที่ละ 1 แห่ง ซึ่งการเปิดศูนย์แห่งใหม่นี้เป็นกลยุทธ์การขยายธุรกิจร่วมกันระหว่าง IWG และ รัตนากร แอสเซท โดยตั้งเป้าเปิดศูนย์อย่างน้อย 40 แห่งทั่วไทยภายใน 10 ปี   นายมาร์ค กล่าวว่า ความต้องการ ในการทำงานแบบไฮบริด ของหลายธุรกิจที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ ประกอบกับการคิดทบทวนใหม่ ในกลยุทธ์การดำเนินงานด้านอสังหาริมทรัพย์ จึงเกิดเป็นความร่วมมือทางธุรกิจร่วมกับรัตนากร แอสเซท ที่จะเอื้อประโยชน์ให้เกิดการขยายธุรกิจได้รวดเร็วขึ้น ตอบสนองความต้องการของผู้คนในการทำงานแบบไฮบริดทั่วประเทศไทย และรองรับการขยายตัวของสังคมเมือง ซึ่งเป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกมาอย่างต่อเนื่อง การกระจายความเจริญจากเมืองหลวงสู่หัวเมืองใหญ่ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมในหลากมิติ   ปัจจุบัน IWG ผู้ให้บริการพื้นที่สำนักงานให้เช่าในรูปแบบ Flexible Workspace แถวหน้าระดับโลก เปิดดำเนินการมาเป็นเวลากว่า 30 ปี  สำหรับในประเทศไทยนั้น IWG เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2542 ปัจจุบันมีสาขาเปิดให้บริการในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัดทั้งสิ้น 26 แห่งนับตั้งแต่ต้นปี 2564 IWG มีลูกค้าใหม่ในเครือข่ายทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 2 ล้านราย เนื่องจากบริษัทต่าง ๆ รับรู้ถึงประโยชน์ของการให้พนักงานเข้าถึงสำนักงานให้เช่าระดับมืออาชีพที่มีอุปกรณ์ครบครันที่ตั้งอยู่ใจกลางเมืองบนทำเลไม่ไกลจากที่พักอาศัย   ด้านนายจักรรัตน์ เรืองรัตนากร กรรมการผู้จัดการ บริษัท รัตนากร แอสเซท จำกัด บริษัทอสังหาริมทรัพย์ของไทยที่มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี มีมูลค่าสินทรัพย์กว่า 33,000 ล้านบาท ดำเนินงานครอบคลุม ทั้งที่อยู่อาศัย พื้นที่ค้าปลีก โรงงาน และโรงแรม กล่าวว่า บริษัทมีแผนจัดหาพื้นที่สำนักงานให้เช่าในพื้นที่ซึ่งเป็นศูนย์กลางของแต่ละภูมิภาค อย่างเชียงใหม่ เชียงราย และภูเก็ต โดยศูนย์เหล่านี้จะอยู่ในโครงการมิกซ์ยูสที่มีอยู่แล้วบางส่วน รวมถึงโรงแรม คอนโดมิเนียม ห้างสรรพสินค้า และพื้นที่ค้าปลีกที่บริษัทบริหารจัดการอยู่ เพื่อให้ลูกค้าได้มีพื้นที่ทำงานที่สะดวกสบายพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ โดยจะช่วยยกระดับชีวิตของผู้คนให้ใช้ชีวิตอย่างสมดุล ทั้งการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัว นี่เป็นการตอบโจทย์แนวโน้มการทำงานแบบไฮบริด คนกลุ่มนี้จะแสวงหาสถานที่ใหม่ ๆ ที่ชื่นชอบและเลือกใช้เป็นสถานที่ในการทำงานสำหรับพวกเขา ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนี้ยังก่อให้เกิดประโยชน์แก่ธุรกิจท้องถิ่นอีกด้วย การทำธุรกิจไม่จำเป็นต้องมีสำนักงานเป็นของตัวเอง หรือทำสัญญาเช่าระยะยาวอีกต่อไป นายจักรรัตน์ กล่าวอีกว่า ​IWG เป็นโคเวิร์กกิ้งสเปซที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยแบรนด์ที่หลากหลาย ดังนั้น รัตนากร แอสเซท จึงร่วมมือกับ IWG เพราะเชื่อมั่นในธุรกิจ flexspace หรือ พื้นที่พร้อมใช้ตามความต้องการ และมองเห็นโอกาสในการเติบโตของธุรกิจนี้ การเป็นพันธมิตรทางธุรกิจระหว่างรัตนากร แอสเซท กับ IWG มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาร่วมกัน ซึ่งจะส่งผลให้รัตนากร แอสเซท สามารถขยายธุรกิจและเติบโตต่อไปในอนาคต​​
อัพเดท ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนธันวาคม 64

อัพเดท ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนธันวาคม 64

อัพเดท ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด อัพเดท ดอกเบี้ย กู้ซื้อบ้านและคอนโด เดือนธันวาคม 64  ภาพรวมแบงก์ยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม สำหรับปล่อยกู้ให้ลูกค้า เพื่อขอสินเชื่อซื้อที่อยู่อาศัย โดยแบงก์ออมสิน ออกแคมเปญอัตราดอกเบี้ยต่ำสุด 0% นาน 6 เดือน เราได้เดินทางมาถึงเดือนสุดท้ายของปี 2564 กันแล้ว เวลาผ่านไปเร็วมากในแต่ละปี  และปีนี้ก็เป็นอีกปีหนึ่งที่เราต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่ปัจจุบันสถานการณ์ก็ปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง คนส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนครบตามกำหนด ทำให้อัตราการเสียชีวิตของคนไทยลดต่ำลง   สำหรับสถานการณ์ของธุรกิจก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากนโยบายการเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ หลายธุรกิจก็เริ่มฟื้นตัวขึ้นมาบ้าง แต่หลายธุรกิจก็ยังเผชิญกับผลกระทบจากโควิด-19 ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ หลายบริษัทที่ปรับตัวได้ดี และมีการบริหารสต็อกอย่างมีประสิทธิภาพ ก็ยังคงทำยอดขายและรายได้ต่อเนื่อง แต่ก็มีหลายบริษัทที่ยังต้องฝ่าฟันกับวิกฤตครั้งนี้ต่อไป   ส่วนช่วงเดือนสุดท้ายของปีเช่นนี้ แน่นอน เป็นจังหวะของการทำตลาดการส่งเสริมการขาย โค้งสุดท้ายของปีนี้ ที่จะทำให้ผลประกอบการเป็นไปตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ ดังนั้น เราจึงเห็นแคมเปญการตลาดออกมามากมาย รวมถึงการเปิดตัวโครงการใหม่ด้วย ใครเล็งทำเลไหน บ้านระดับราคาเท่าไร และมีความพร้อมความต้องการ ก็เป็นโอกาสดีที่จะเลือกซื้อ ซึ่งไม่เพียงแต่แคมเปญการตลาดจากฝั่งดีเวลลอปเปอร์เท่านั้น ด้านสถาบันการเงิน ก็ยังรักษาอัตราดอกเบี้ยอยู่ในภาวะต่ำ เหมาะอย่างยิ่งที่จะกู้เงินซื้อบ้านสักหลัง ใครวางแผนไว้แล้ว ก็ลองพิจารณาเปรียบเทียบกันดู ส่วนแบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยน่าสนใจอย่างไรบ้าง ลองพิจารณากันดูได้เลย 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป  โดยอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ประจำเดือนธันวาคมยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ  วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1   ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น 5.2%  (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.2% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65%   อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น  5.45% (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.45%  (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.9% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.7%(MRR-1.25%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.075%(MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2%(MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58%   -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก 4.75% หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า ​500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า ​คิดอัตราดอกเบี้ย​ MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย ​MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา   หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 14 ต.ค.- 31 ธ.ค.​ 64 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ​และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา ​ -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ​ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ​ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ​​ 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อสำหรับบ้านใหม่ แคมเปญ สินเชื่อบ้านกรุงไทย…สุขใจถ้วนหน้า โดยไม่คิดค่า  ธรรมเนียมยื่นกู้  โดยเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ไม่มีการเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา​ดังนี้ แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75%  ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.80% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.04% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0%  ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.87% (MRR-2.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.90% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.08%   สินเชื่อสำหรับการกู้ซื้อบ้านที่ธนาคารออกค่าจดจำนองให้** และ ฟรี ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ไม่เปลี่ยนแปลง ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.97% (MRR-2.25%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.97% (MRR-2.25%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.90% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.24% แบบไม่ทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0%  ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.97% (MRR-2.25%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 4.02% (MRR-2.20%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.0% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา = 4.27%   การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ 1.ทำ MRTA/GLT SP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี 2.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ 3.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ **ธนาคารออกค่าจดจำนองให้ 1% สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท หากลูกค้าปิดบัญชีก่อน 5 ปี ธนาคารจะเรียกเก็บค่าจดจำนองคืน ***อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 ธ.ค. 2564 MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมินอัตราดอกเบี้ยยังคงเท่าเดิมจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากมีระยะเวลาการใช้อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ 1 ก.ย.- 31 ธ.ค. 64 โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.9% ( MRR-3.15%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.00%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.39% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.50% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย MRR-1.60% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.55%  (MRR-3.50%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.3%  (MRR-2.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.02% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.25% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.1% (MRR-1.95%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.3% (MRR-1.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.7%  (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.23% หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ​ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พ.ค. 63 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 64 – 31 ธ.ค. 64 โดยจดจำานองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 31 ม.ค. 65 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป โดยพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ ซึ่งเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 7.72% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 7.72% สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 8.22% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 8.22% % หมายเหตุ : -อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% (ประกาศ ณ วันที่ 22 พ.ค. 63) -อัตราดอกเบี้ยข้างต้นสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่ 20 ก.ค.  – 31 ธ.ค. 64 -สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภทรวมอาคารพาณิชย์ยกเว้น Refinance และการปล่อยกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า -มีค่าสำรวจและประเมินราคาหลักประกันโดยบริษัท โพรเกรส แอพไพรซัล หรือบริษัทประเมินที่ธนาคารรับรอง คิดขั้นต่ำ 3,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) -วงเงินให้กู้สูงสุดไม่เกิน 90% ของเราซื้อขายและไม่เกิน 90% ของราคาประเมินหลักประกัน 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่ : กรณีซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด) ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราดเดิมเท่ากับเดือนที่ผ่านมา โดยธนาคารเกียรตินาคินมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  2.450%-2.750% ปีต่อไป ดอกเบี้ย  4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.650%-2.950% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.60%-2.99% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.80%-3.19% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ​เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่​ 18 สิงหาคม 2563 เท่กับ​ 6.525% ต่อปี 3.เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา​​​​​​ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า​ Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.​กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง ​​หากลูกค้า Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท  ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคี ​เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด ​โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ ​ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน​ 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด ​30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารซีไอเอ็มบี มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.10%) ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย 5.35% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-2.80%) หลังจากนั้น 5.35% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.15% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 10 เมษายน 2563) -ธนาคารยังมีอัตราดอกเบี้ยสำหรับพนักงานประจำรายได้ 30,000-50,000 หรือเจ้าของกิจการรายได้ 50,000 บาทขึ้นไปไว้พิจารณาด้วย รวมถึงสินเชื่อสำหรับโครงการที่ธนาคารเป็นผู้สนับสนุน 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป จะได้รับฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าจดทะเบียนจำนอง และค่าประเมินหลักทรัพย์ ซึ่งยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยเท่ากับเดือนพฤศจิกายนผ่านมา  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.23%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.4% (MRR-1.88%) หลังจากนั้น 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.4% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือก 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา ดอกเบี้ย 4.65%   หมายเหตุ สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส ​ 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท​ -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -MRR (Minimum Retail Rate : อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี) = 6.28% ต่อปี ณ วันที่ 7 พ.ค. 64 -การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.-31 ธ.ค.64 และจดจำนองภายใน 31 ม.ค. 65 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารไทยพาณิชย์ คิดมีอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.950% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.950% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2564 ​มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.75% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.4%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 5.4% หมายเหตุ ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 64 – 30 ธ.ค. 64   (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติมวงเงินของโครงการแล้ว) อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 10.ธนาคารยูโอบี ธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโคงการหมู่บ้านทั่วไป  โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับ​เดือนที่ผ่านมา  ธนาคารยูโอบีมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด  ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.55% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.80%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.75% (MRR-3.60%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.95% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-2.40%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.88% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.20% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% (MRR-2.20%) ปีที่ 4 อัตราดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.96% หมายเหตุ -ขอสินเชื่อตั้งแต่ 1 ก.ย. – 30 ธ.ค. 64 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายใน 31 ม.ค.​ 65 -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาครยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.35% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ​(Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น)​ -การอนุมัติสินเชื่อ​เป็นไปตำมหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ  7.35% ต่อปี ​(ตามประกาศธนาคารณ วันที่ 1 เม.ย. 64) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย​ MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้​ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ​เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร​ -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย ​(ใบอนุญาตประกันชีวิต​เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาสภัย​ เลขที่ ว.00020/2546) ทำหนี่เสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ​จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย คือ โฮมโลน โดนใจ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 1.9% (สำหรับผู้มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป) โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยสำหรับผู้กู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.0% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.00% (MRR-5.35%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.80% (MRR-3.55%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10%  (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 2 ปีแรก) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.20% (MRR-3.15%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.55% (MRR-4.80%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 4 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.75% (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 3 ปีแรก) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ล้านละ 3,500 บาท  กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่** -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 4.60% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.10% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.35% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่างๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่ 1 ต.ค. – 31 ธ.ค. 64 -สำหรับอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.9% สำหรับผู้กู้ที่มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป ผ่อนต่ำเดือนละ 3,500 บาท ฟรีค่าจดจำนองสินเชื่อเมื่อซื้อประกันผ่านธนาคาร ฟรีค่าประเมินหลักประกัน 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีสินเชื่อเคหะ สำหรับให้บริการผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไปซื้อบ้านหรือคอนโด ภายใต้แคมเปญ อัตราดอกเบี้ย 0% 6 เดือนแรก ภาพรวมไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนพฤศจิกายน มีเพียงอัตราดอกเบี้ยปีแรกที่เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้​ กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ยเฉลี่ย 0.75% (เดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 1.5%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.525% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.525% (MRR-2.72%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.6% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.101% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ยเฉลี่ย 1.0% (เดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 2.0%) ปรับลดลง 1.0% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.0% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.15% ปีที่​ 3 ดอกเบี้ย 4.15% (MRR-2.095%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.1% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.286%   เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยโปรโมชั่น 1.ประกัน หมายถึง ประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ 2.อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR=6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) 3.รายละเอียดเพิ่มเติมสอบถามได้จากธนาคาร   ที่มา Reviewyourliving รวบรวมจากเว็บไซต์ธนาคาร ข้อมูล ณ วันที่ 2 ธันวาคม 64   บทความที่เกี่ยวข้อง อัพเดท ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ประจำเดือนพฤศจิกายนตุลาคม 2564 อัพเดท ดอกเบี้ย รีไฟแนนซ์ สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนตุลาคม 2564 แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยถูกสุด
[PR News] “เอพี ไทยแลนด์”  โชว์นิวไฮพรีเซลแนวราบกว่า 3 หมื่นล้าน  พร้อมบุกต่อบ้านดีไซน์ 3 ใหม่ ก่อนปิดปี

[PR News] “เอพี ไทยแลนด์” โชว์นิวไฮพรีเซลแนวราบกว่า 3 หมื่นล้าน พร้อมบุกต่อบ้านดีไซน์ 3 ใหม่ ก่อนปิดปี

“เอพี ไทยแลนด์” โชว์นิวไฮพรีเซลแนวราบกว่า 3 หมื่นล้าน โต 20% พร้อมบุกต่อบ้านดีไซน์ 3 ใหม่  3 ทำเลฮอต มูลค่ารวม 3,560 ล้านบาท  ก่อนปิดปี   นายรัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน 2564 บริษัทสามารถสร้างยอดขายในสินค้ากลุ่มแนวราบได้ทะลุเป้าหมายทั้งปี และสารถสร้างการเติบโตได้ 20% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนด้วยมูลค่ายอดขาย 30,100 ล้านบาท ถือเป็นสถิติยอดขายนิวไฮใหม่ของบริษัท   ยอดขายกลุ่มบ้านแนวราบที่เติบโตดีเกินคาด เป็นผลจาก​แผนธุรกิจการบริหารพอร์ตแนวราบที่แข็งแกร่ง ควบคู่ไปกับความพร้อมที่จะปรับตัวอย่างรวดเร็ว ภายใต้พันธกิจใหญ่ “EMPOWER LIVING” ที่ส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีที่ลูกค้าสามารถเลือกได้  โดยเฉพาะสินค้าบ้านเดี่ยวที่ได้รับการตอบรับที่ดีในทุกระดับราคา โดยมียอดลูกค้าเข้าชมโครงการบ้านเดี่ยวเอพีเฉลี่ยประมาณ 600 ครอบครัว/สัปดาห์ เพิ่มขึ้นแซงหน้าปีก่อนหน้าเกือบเท่าตัว   "การเติบโตทั้งหมดเป็นการเติบโตแบบ Organic Growth ตอกย้ำภาพความเป็นผู้นำตัวจริงในอุตสาหกรรมและศักยภาพขององค์กรที่แข็งแกร่งได้เป็นอย่างดี"   โดยในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนปิดปีนี้ ​กลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยวเอพี ได้เปิดตัวแบบบ้าน 3 ดีไซน์ใหม่ ภายใต้แบรนด์ ‘เซนโทร’ (CENTRO) หนึ่งในท็อปแบรนด์ไฮไลท์ในพอร์ตสินค้าบ้านเดี่ยวเอพี  ซึ่งพร้อมเปิดชมแบบบ้านทั้ง 3 ดีไซน์ใหม่พร้อมกันในเดือนธันวาคม 64 นี้ ปักธง 3 ทำเลแรก มูลค่ารวม 3,560 ล้านบาท ได้แก่ CENTRO ปิ่นเกล้า มูลค่าโครงการ 1,620 ล้านบาท CENTRO ดอนเมือง-แจ้งวัฒนะ มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท และ CENTRO บางนา-ศรีนครินทร์ มูลค่าโครงการ 840 ล้านบาท ด้านนางพิมพรรณ ปรีชานนท์ ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานบริหารแบรนด์และพัฒนาสินค้าบ้านเดี่ยว  กล่าวถึงแบบบ้านดีไซน์ใหม่ในครั้งนี้ว่า แนวคิดการพัฒนาแบบบ้านดีไซน์ใหม่ภายใต้แบรนด์เซนโทร (CENTRO) เป็นการตีโจทย์ใหม่บนจุดแข็งของการออกแบบบ้านเดี่ยวเอพีในเรื่อง Functional Space เข้ากับแนวคิด Next Normal ที่ตอบรับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดจากสถานการณ์การแพร่ระบาดที่เกิดขึ้น ทั้งในเรื่องการใช้พื้นที่ภายในบ้าน การออกแบบพื้นที่ของสมาชิกแต่ละคนในครอบครัวให้ตอบโจทย์การทำงานที่บ้าน  การเรียนออนไลน์ การทำครัว พื้นที่สีเขียวรอบบ้าน หรือแม้กระทั่งทิศทางของแสงธรรมชาติในตัวบ้าน รวมถึงการออกแบบพื้นส่วนกลางแบบ Next Normal เช่น การปั่นจักรยานแบบ Virtual Training  และ Virtual Gym และ การอยู่ร่วมกับธรรมชาติรอบ ๆ โครงการ เป็นต้น โดยมี 3 จุดขายไฮไลท์ ได้แก่ 1.ขยายพื้นที่เป็นสองเท่า ครั้งแรกของการดีไซน์บ้านหน้ากว้างสูงสุด 25 เมตร  และเพิ่มฟรีสเปซที่ชั้น 2 กับการนำเสนอการดีไซน์พื้นที่แบบ L-Shaped โดยสามารถปรับเป็นพื้นที่พักผ่อนของครอบครัว รองรับชุดโซฟาได้สูงสุด 4-6 ที่นั่ง หรือปรับเปลี่ยนเป็นห้องทำงานได้ และในส่วนพื้นที่รับประทานอาหารที่สามารถรองรับสูงสุด 10 ที่นั่ง ก่อนเชื่อมต่อไปยังห้องครัวแบบปิดขนาดใหญ่ และที่จอดรถสูงสุด 4 คัน   2.ดีไซน์ส่วนพักผ่อนออกจากพื้นที่ส่วนกลางในบ้าน ออกแบบเพื่อตอบทุกความต้องการในอนาคต แยกส่วนห้องอเนกประสงค์ที่ชั้น 1 (ห้องน้ำในตัว) ที่สามารถปรับเป็นห้องนอนผู้สูงอายุ หรือห้องทำงาน แยกส่วนเรือนรับรอง (ห้องนอน ห้องนั่งเล่น และห้องน้ำ) แต่ยังคงสามารถเชื่อมต่อกับตัวบ้านได้อย่างสะดวก โดยสามารถดัดแปลงเป็นพื้นที่เอนกประสงค์ ทั้งโฮมออฟฟิศ สตูดิโอ หรือรองรับการขยายครอบครัวในอนาคต เป็นต้น 3.สเปซฟังก์ชั่นแบ่งครบเป็นสัดส่วน ดีไซน์ห้องนอนใหญ่พร้อม Walk-in closet ห้องน้ำฟังก์ชั่น His & Her พร้อมอ่างอาบน้ำ  โดยในส่วนของห้องนอนที่ 2 และ 3 ดีไซน์ห้องน้ำในตัวทุกห้องนอน และพื้นที่สีเขียวพร้อมมุมพักผ่อนส่วนตัว เป็นต้น   -โครงการ CENTRO ปิ่นเกล้า มูลค่าโครงการ 1,620 ล้านบาท บนเนื้อที่ 59 ไร่ จำนวน 152 หลัง บนที่ดิน 100 – 170 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 250 - 389 ตร.ม. บ้านเดี่ยวหรูสไตล์โมเดิร์น สเปซฟังก์ชั่นสูงสุด 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ ห้องรับแขก 2 ห้องนั่งเล่น 1 ห้องแม่บ้าน (ห้องน้ำในตัว)  ที่จอดรถ 4 คัน พร้อมเรือนรับรอง (ห้องนอน ห้องนั่งเล่นและห้องน้ำในตัว) บนทำเลติดถนนบรมราชชนนีใกล้ทางด่วนศรีรัชและเซ็นทรัลปิ่นเกล้า ราคาเริ่มต้น 9.5-15 ล้านบาท   -โครงการ CENTRO ดอนเมือง-แจ้งวัฒนะ มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท บนเนื้อที่ 37 ไร่ จำนวน 137 หลัง บนที่ดิน 50.8 - 118 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 164 – 289 ตร.ม. บ้านเดี่ยวดีไซน์ใหม่ ฟังก์ชั่นสูงสุด 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 2 ห้องนั่งเล่น ห้องรับประทานอาหาร ห้องครัว ห้องแม่บ้าน และที่จอดรถ 3 คัน บนทำเลเชื่อมต่อดอนเมือง-แจ้งวัฒนะ-สรงประภา เพียง 3 กม. ใกล้รถไฟฟ้า (สายสีแดง) สถานีดอนเมือง ใกล้สนามบินดอนเมืองและเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ ราคาเริ่มต้น 7.99-12 ล้านบาท   -โครงการ CENTRO บางนา-ศรีนครินทร์ มูลค่าโครงการ 840 ล้านบาท บนเนื้อที่ 23 ไร่ จำนวนเพียง 105 หลัง  บ้านเดี่ยวดีไซน์ใหม่ บนที่ดิน 50.2 - 83 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 173 - 252 ตร.ม.  4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 2 ห้องนั่งเล่น ห้องรับประทานอาหาร ห้องครัว และ 3 ที่จอดรถในร่ม บนทำเลใจกลางบางนา - ศรีนครินทร์ พร้อมเชื่อมต่อเทพารักษ์ ใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน เพียง 5 นาที ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีศรีด่าน และใกล้อิเกีย บางนา เพียง 12 นาที ราคาเริ่มต้น 7.5 - 15 ล้านบาท โดยบริษัทจะเปิดให้ชมสเปซจริงรอบ VVIP ได้แล้ววันนี้เป็นต้นไป และลูกค้าที่ลงทะเบียนนัดหมาย เข้าชมโครงการรับส่วนลดเพิ่ม 100,000 บาท และ Iphone รุ่น 13 Pro Max ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.apthai.com
[PR News]  ทอสเท็มเปิดตัว “ATIS” นวัตกรรมประตูหน้าต่างรวม 2 ฟังก์ชั่นในหนึ่งบาน

[PR News] ทอสเท็มเปิดตัว “ATIS” นวัตกรรมประตูหน้าต่างรวม 2 ฟังก์ชั่นในหนึ่งบาน

ทอสเท็ม รับเทรนด์คน Work from Home และอยู่บ้านนานขึ้น เปิดตัว “ATIS” นวัตกรรมประตูหน้าต่างอะลูมิเนียมรวม 2 ฟังก์ชั่นในบานเดียว ทั้งบานเลื่อนและกระทุ้ง ตอบโจทย์ชีวิต New Normal เจาะตลาดกลุ่ม B2C หลังเติบโตต่อเนื่องกว่า 20-30%   นายวิชา วรสายัณห์ ลีดเดอร์ กลุ่มธุรกิจ เฮาส์ซิ่งเทคโนโลยี บริษัท ลิกซิล (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การเเพร่ระบาดของโควิด-19 ช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้คนต้องปรับตัว ใช้เวลาอาศัยอยู่ในบ้านเพื่อทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) หรือทำกิจกรรมร่วมกับครอบครัวต่อวันยาวนานขึ้น ขณะเดียวกันเทรนด์การตกเเต่งบ้านก็เริ่มเปลี่ยนไป โดยผู้คนหันมาให้ความสำคัญกับความสะดวกและความสบายของพื้นที่อยู่อาศัย มีการปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซมบ้าน รวมถึงสนใจการออกแบบตกแต่งบ้าน และเลือกซื้อวัสดุมาปรับปรุงบ้านด้วยตัวเองกันมากขึ้น   จากปัจจัยต่าง ๆ ดังกล่าว ทำให้บริษัทต้องปรับทิศทางการตลาด เพื่อหาเเนวทางที่ตอบโจทย์สถานการณ์ตลาดและพฤติกรรมของกลุ่มผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปให้ได้มากขึ้น จึงได้ทำการศึกษาวิจัย พัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ เพื่อเป็นผู้นำตลาดในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์การใช้งานของผู้บริโภคในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี   ล่าสุด แบรนด์ทอสเท็ม (TOSTEM) ได้เปิดตัว​ผลิตภัณฑ์ “ATIS FRAMING THE BEAUTY OF LIVING” กรอบหน้าต่างและประตู ที่ต้องการเพิ่มความสะดวกสบายให้กับการอยู่อาศัยภายในบ้าน ซึ่งผลิตภัณฑ์ประตูหน้าต่างอะลูมิเนียมใหม่ล่าสุด เป็นการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างรูปแบบดีไซน์ทรงเพรียวบาง ที่ซ่อนฟังก์ชันสำคัญไว้ภายในเพื่อความสะดวกทุกการใช้งาน อาทิ หน้าต่างบานยก (Tile & Slide) ที่รวมฟังก์ชันการทำงานที่สำคัญ 2 อย่างเข้าไว้ในกรอบหน้าต่างเดียวกัน ถือเป็นรายแรกในตลาด โดยจุดเด่นสำคัญที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของ ATIS ในหน้าต่างบานยก (Tile & Slide) นี้คือ ลักษณะการเปิดแบบเอียงบานเข้าด้านในห้องเพื่อรับลมธรรมชาติได้ตลอดวันแม้ในขณะที่ฝนตก  มี PSS BALANCER ที่ช่วยให้การเปิด-ปิดหน้าต่างเป็นไปอย่างนุ่มนวล เบาแรง เพราะบาลานเซอร์จะรองรับน้ำหนักบานหน้าต่างทั้งหมดไว้พร้อมด้วยนวัตกรรมผืนมุ้งกันแมลง Invisible Shield โดยใช้เส้นใยที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางขนาดเล็กกว่าทั่วไปถึง 40% ทำให้โปร่งแสงขึ้น สามารถให้ลมผ่านได้มากขึ้นถึง 20%   สำหรับภาพรวมธุรกิจของทอสเท็ม ในประเทศไทย มีอัตราการเติบโตขึ้นเท่าตัวในระยะเวลา 10 ที่ผ่านมา โดยก่อนหน้านี้ ทอสเท็มเป็นที่รู้จักในเเวดวงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เเละสถาปนิก เนื่องจากเน้นทำตลาดเเบบ B2B กับกลุ่มลูกค้าโครงการ แต่ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาสัดส่วนรายได้จากกลุ่มลูกค้าแบบ B2C หรือกลุ่มเจ้าของบ้านมีอัตราการเติบโตขึ้นถึง 20-30% จึงเป็นโอกาสที่ดีสำหรับ ATIS ที่จะเน้นทำการตลาดกับลูกค้ากลุ่มนี้มากขึ้น เราจึงเดินหน้าพัฒนารูปแบบและช่องทางการสื่อสาร ให้ลูกค้าเห็นความแตกต่างของผลิตภัณฑ์ ด้วยฟังก์ชันที่หลากหลาย ที่ช่วยให้ลูกค้าใช้งานระบบได้สะดวก รวดเร็ว ง่ายขึ้นกว่าเดิม และตอบโจทย์พฤติกรรมของคนในยุค New Normal ทั้งโชว์รูมเสมือนจริงในช่องทางเว็บไซต์ โซเชียลมีเดีย   นอกจากนี้ ATIS ยังได้เตรียมเปิดตัวโปรเจกต์พิเศษ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันครั้งแรกกับสถาปนิก ผู้ออกแบบ และดีไซน์เนอร์ชื่อดัง มาร่วมพูดคุยแลกเปลี่ยนแนวคิด ในหัวข้อ "Design/Survive/Beauty“ นำโดย คุณวสุ วิรัชศิลป์ สถาปนิกผู้ก่อตั้ง VaSLab ห้องทดลองทางสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติ คุณปอม–ธัชมาพรรณ จันทร์จำรัสแสง ศิลปินนักวาดภาพ,  คุณผ้าป่าน-สิริมา ไชยปรีชาวิทย์ นักจัดการงานสร้างสรรค์ ผู้ก่อตั้งบริษัท Ground Control และคุณพลอย-หฤษฎี ลีละยุวพันธ์ นักออกแบบและตกแต่งภายใน โดยทั้ง 4 ท่าน จะเป็นตัวแทนของความสวยงามแห่งสุนทรียภาพการใช้ชีวิตในแต่ละด้าน มาร่วม บอกเล่าเรื่องราว แรงบันดาลใจ ตลอดจนมุมมองและความคิดการทำสิ่งต่างๆ ในคอนเซปต์ “FRAMING THE BEAUTY OF LIVING” ผ่านวิดิโอชุดพิเศษ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกท่าน โดยจะเปิดตัวอย่างเต็มรูปแบบในช่วงต้นปีหน้า   สำหรับ ทอสเท็ม เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ประตูหน้าต่างอะลูมิเนียมจากประเทศญี่ปุ่น และได้รับความเชื่อถือจากผู้บริโภคมายาวนานกว่า 50 ปี เริ่มขยายธุรกิจมาสร้างโรงงานผลิตในประเทศไทยเมื่อ 35 ปีที่แล้ว และปัจจุบันเป็นฐานการผลิตสินค้าอะลูมิเนียมที่ใหญ่ที่สุดของลิกซิลคอร์เปอเรชั่น (LIXIL) เริ่มทำการตลาดในประเทศไทยเมื่อ 17 ปีที่แล้ว และได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคในเมืองไทยตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา   ปัจจุบันนอกเหนือจากประเทศไทยและญี่ปุ่น ทอสเท็มยังดำเนินธุรกิจในประเทศอินโดนีเซีย อินเดีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม  ด้วยไลน์ผลิตภัณฑ์ครบวงจรตั้งแต่ หน้าต่าง-ประตูสำหรับใช้งานทั้งภายนอกและภายใน ประตูหน้าบ้าน ไปจนถึงผลิตภัณฑ์สำหรับสถาปัตยกรรมภายนอกอย่างประตูรั้ว ซึ่งทั้งหมดผ่านการรับรองคุณภาพตามมาตรฐาน JIS ประเทศญี่ปุ่น และ ASTM ประเทศสหรัฐอเมริกา
[PR News] การเคหะฯ มอบบ้านให้ 86 รายแรก ในโครงการอาคารเช่าผู้มีรายได้น้อย

[PR News] การเคหะฯ มอบบ้านให้ 86 รายแรก ในโครงการอาคารเช่าผู้มีรายได้น้อย

การเคหะแห่งชาติ ส่งมอบบ้านให้ประชาชน 86 รายแรกที่จองผ่านออนไลน์ ตาม “โครงการอาคารเช่าผู้มีรายได้น้อย” ค่าเช่าเริ่มต้นแค่ 1,200 บาท พร้อมเดินหน้าให้คนไทยได้จองต่ออีกกว่า 700 ยูนิตใน 5 จังหวัด ทั้งสมุทรสาคร กาญจนบุรี มหาสารคราม สุรินทร์ และอุบลฯ   นายทวีพงษ์ วิชัยดิษฐ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ เปิดเผยว่า  จากการที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยการเคหะแห่งชาติ ได้เปิดให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยลงทะเบียนจองสิทธิ์ “โครงการอาคารเช่าผู้มีรายได้น้อย” ซึ่งสามารถเข้าอยู่อาศัยได้ทันที 5 จังหวัด รวมทั้งสิ้น 818 ยูนิต  ได้แก่ สมุทรสาคร จำนวน 196 ยูนิต กาญจนบุรี จำนวน 79 ยูนิต มหาสารคาม จำนวน 138 ยูนิต สุรินทร์ จำนวน 163 ยูนิต และอุบลราชธานี จำนวน 242 ยูนิต  ซึ่งเป็นห้องพักอาศัยขนาด 28 - 30 ตารางเมตร อัตราค่าเช่าตั้งแต่ 1,400 - 2,500 บาท ล่าสุด ได้ส่งมอบโครงการอาคารเช่า สมุทรสาคร (กระทุ่มแบน 3 ) โดยให้สิทธิ์ผู้สูงอายุ คนพิการ และผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐจองสิทธิ์ ตั้งแต่วันที่จองสิทธิ์ผ่านระบบออนไลน์ก่อนเป็นอันดับแรก ตั้งแต่วันที่ 1 - 30 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา ซึ่งมีประชาชนสนใจลงทะเบียน จำนวน 88 ราย และผ่านเกณฑ์ได้สิทธิการเช่า จำนวน 86 ราย ส่วนประชาชนทั่วไป ได้เปิดให้ลงทะเบียนจองสิทธิ์เช่าเป็นลำดับถัดไป ตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป โดย Walk in เข้ามาจองได้ที่สำนักงานเคหะจังหวัด สาขาสมุทรสาคร 2  หรือสอบถามรายละเอียดผ่าน Call Center 1615   สำหรับโครงการอาคารเช่าสมุทรสาคร (กระทุ่มแบน 3) จัดสร้างขึ้นเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยในราคาที่สามารถรับภาระได้ ตั้งอยู่บนที่ดินของการเคหะแห่งชาติ จำนวน 7 ไร่ มี 4 อาคาร สูง 4 ชั้น ขนาดพื้นที่ห้องพักอาศัยประมาณ 28 - 31 ตารางเมตร รวมทั้งสิ้น 196 ยูนิต โดยชั้น 1 เป็นห้องผู้สูงอายุ และผู้พิการ รวม 40 ห้อง ค่าเช่า 2,400 บาทต่อเดือน ชั้น 2-4 ค่าเช่า 2,100-2,500 บาทต่อเดือน มีค่าเงินประกันการเช่า 1 เดือน โดยโครงการอาคารเช่าดังกล่าว กำหนดให้ความสำคัญผู้ได้สิทธิ เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการอันดับแรก และให้ผู้มีรายได้น้อยได้เช่าอยู่อย่างแท้จริง ตามมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ดังนั้น จึงกำหนดเกณฑ์เป็น 4 กลุ่ม ดังนี้ กลุ่มที่ 1 : ​เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อายุตั้งแต่ 50 - 59 ปี และอายุ 60 ปี* ขึ้นไป (ผู้สูงอายุ) บริบูรณ์นับตั้งแต่วันทำสัญญา หรือผู้พิการ กลุ่มที่ 2 : ​ไม่ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อายุตั้งแต่ 50 - 59 ปี และอายุ 60 ปี* ขึ้นไป (ผู้สูงอายุ) บริบูรณ์นับตั้งแต่วันทำสัญญา หรือผู้พิการ กลุ่มที่ 3 : เป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ อายุ 20 - 49 ปีบริบูรณ์นับตั้งแต่วันทำสัญญา และ กลุ่มที่ 4 : ประชาชนทั่วไป หรือข้าราชการโดยจะให้สิทธิกลุ่มที่ 1 เป็นลำดับแรก สามารถเลือกพักอาศัยชั้น 1 และให้ กลุ่มที่ 2,3,4 เป็นลำดับถัดไป พร้อมทั้งกำหนดสัดส่วนของการพักอาศัยให้แก่ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 60% และข้าราชการ ประชาชนผู้มีรายได้น้อย 40%   ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ กล่าวเพิ่มเติมว่า การเคหะแห่งชาติเป็นหน่วยงานที่มีภารกิจหลักในด้านการพัฒนา  ที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยทุกกลุ่มเป้าหมาย โดยมีแผนการดำเนินงานจัดสร้างโครงการอาคารเช่าจำนวน 117,471 ยูนิต ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย ระยะ 20 ปี (พ.ศ. 2560 - 2579) ตามนโยบายของ พลเอก ประยุทธ์  จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่ต้องการให้คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยถ้วนทั่ว (Housing for all) และนายจุติ  ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่ต้องการยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีที่อยู่อาศัยในชุมชนที่มีสภาพแวดล้อมที่ดี มีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน   ด้านนายราชัญ คำรัง อายุ 28 ปี อาชีพค้าขายของออนไลน์ ให้เหตุผลที่มาเช่าโครงการอาคารเช่าสมุทรสาคร  (กระทุ่มแบน 3) ว่า เนื่องจากทำเลที่ตั้งดี มีศักยภาพ การเดินทางสะดวก บริเวณโครงการสะอาด มีความปลอดภัย เพราะมีกล้องวงจรปิด CCTV ทุกอาคาร ทุกชั้น ที่สำคัญค่าเช่าถูกเพียงเดือนละ 2,400 บาท จากที่ปัจจุบันเสียค่าเช่าเดือนละ 4,500 บาท และด้วยทำเลที่ใกล้ชุมชน จึงชวนคุณแม่มาเช่าอยู่ในโครงการด้วย เพราะบริเวณใกล้โครงการฯ เป็นย่านชุมชนสามารถค้าขายได้ ซึ่งจะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น เพราะสามารถทำงานและดูแลคุณแม่ได้ด้วย   ขณะที่ นางสาวมยุรี ฉิมพลีวัฒน์ อายุ 53 ปี อาชีพขายลูกชิ้นทอด บอกว่า เมื่อมาดูโครงการอาคารเช่าสมุทรสาคร (กระทุ่มแบน 3)  แล้วพบว่า สภาพแวดล้อมดี มีความเป็นส่วนตัว มีความปลอดภัย มีการติดกล้อง CCTV  ทุกอาคารทุกชั้น และมี รปภ.ตลอด 24 ชั่วโมง อีกทั้งค่าเช่ายังถูกกว่าโครงการทั่วไป ซึ่งจะช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายลงได้มากและจะทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอีกด้วย    
10 จุดตรวจเช็คสุขภาพบ้าน เพื่อยืดอายุการใช้งานให้ยาวนาน

10 จุดตรวจเช็คสุขภาพบ้าน เพื่อยืดอายุการใช้งานให้ยาวนาน

สิ่งหนึ่งที่จะทำให้ร่างกายคนเราแข็งแรงและมีสุขภาพดีได้ คือ การตรวจร่างกายประจำปี เพราะจะทำให้เรารู้ว่าร่างกายเรามีอะไรต้องดูแล  ซ่อมแซม หรือฟื้นฟูให้กลับมาเป็นปกติ หรืออย่างน้อยก็ไม่ให้เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา สำหรับบ้านพักอาศัยที่เราอยู่ ก็ไม่ได้ต่างจากร่างกายมนุษย์  การจะทำให้บ้านยังมีความมั่นคงแข็งแรง และมีสภาพการใช้งานที่ดีอยู่เสมอ ก็ต้องมีการตรวจสุขภาพบ้านด้วยเช่นกัน เพราะจะได้รู้ว่ามีส่วนไหนต้องซ่อมแซม และดูแล เพื่อให้บ้านมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน อายุบ้านกับจุดที่ต้องดูแล สำหรับบ้านที่ก่อสร้างมา มีจุดการตรวจสอบแตกต่างกันเป็นพิเศษบ้าง ตามระยะเวลาหรืออายุของตัวบ้าน ดังนี้ -บ้านที่มีอายุ 0-5 ปี ปัญหาที่พบส่วนใหญ่มักเกิดจากความบกพร่องของการก่อสร้าง เรียกว่า Defect อาทิ การแตกร้าวของผนังจากการฉาบ หรือเลือกใช้ปูนฉาบที่ไม่ได้มาตรฐาน หรือความบกพร่องของอุปกรณ์ภายในบ้านที่มาจากการติดตั้งไม่ได้มาตรฐาน นอกจากนี้ อาจพบปัญหาดินรอบบ้านทรุดตัว จนเกิดโพรงใต้บ้าน ซึ่งหากเป็นบ้านในโครงการและอยู่ในช่วงรับประกัน ให้สอบถามทางโครงการว่าปัญหานี้อยู่ในเงื่อนไขการรับประกันหรือไม่ แต่หากเป็นบ้านสั่งสร้างก็อาจจะพิจารณาซ่อมแซมเป็นจุด ๆ ไป -บ้านที่มีอายุ 5-15 ปี เป็นช่วงเวลาควรเริ่มทำการตรวจสอบและบำรุงรักษา ซึ่งหากแก้ไขได้ทันจะช่วยลดการเกิดปัญหาที่อาจบานปลายในอนาคตได้ โดยเน้นตรวจ 3 จุดสำคัญ ได้แก่ ภายนอกบ้าน, ภายในบ้าน และโครงสร้างของบ้าน 10 จุดตรวจสุขภาพบ้าน 1.รอยร้าวที่ผนังบ้าน การตรวจสอบ: สามารถตรวจสอบได้ด้วยตา โดยจะเห็นรอยร้าวขนาดเล็กแตกยาวไปมาแบบไร้ทิศทาง สร้างความเสียหายให้ผนังและสีภายนอก โดยเฉพาะทิศที่ได้รับความร้อนจากแสงแดดตลอดวัน เช่น ทิศใต้ และทิศตะวันตก รอยร้าวชนิดนี้ไม่อันตราย ไม่ส่งผลกับโครงสร้างอาคาร แต่ถ้าปล่อยไว้นานอาจเป็นสาเหตุให้เกิดการรั่วซึมของน้ำฝนเข้าสู่อาคารได้ การแก้ไข: แก้ไขได้โดยแต่งรอยแตกร้าวให้กว้างขึ้นเล็กน้อยเป็นรูปตัววี พร้อมทำความสะอาดให้เรียบร้อย หลังจากนั้นทำการทารองพื้นปูนเก่า และเก็บรอยร้าวด้วยวัสดุอุดโป้วที่มีความยืดหยุ่นสูง ก่อนทาสีทับหน้าชนิดยืดหยุ่นตามระบบการทาสีที่ถูกต้อง   แต่หากเป็นรอยเพียงเท่าเส้นผมให้ทาสีทับหน้าชนิดยืดหยุ่นตัวสูงทาทับปิดรอยแตกร้าวได้เลย 2.การรั่วซึมที่ผนัง การตรวจสอบ: รอยรั่วบริเวณมุมประตูหน้าต่างมักมาพร้อมรอยแตกร้าวบริเวณมุมวงกบ ทำให้น้ำรั่วซึมเข้าบ้าน  อาจเกิดจากไม่ได้ใส่ลวดกรงไก่ จึงสร้างรอยร้าวเวลาใช้งานประตูหรือหน้าต่าง การแก้ไข: ควรใส่ลวดกรงไก่เพื่อป้องกันรอยแตกร้าวอันเป็นสาเหตุรั่วซึม 3.รอยรั่วบริเวณรอยต่อผนังชนท้องคาน การตรวจสอบ: แตกร้าวเป็นเส้นระหว่างใต้คานกับผนัง ทำให้น้ำฝนไหลเข้าตัวบ้าน สาเหตุมักเกิดตั้งแต่ขั้นตอนการก่อสร้าง การผิดขั้นตอน หรือเร่งฉาบปูนเร็วเกินไป ทำให้ปูนเกิดการหดตัวลง การแก้ไข: ใช้ซิลิโคน หรืออครีลิกยิงเข้าไประหว่างร่อง ความยืดหยุ่นของสารเชื่อมประสานจะช่วยอุดรอยร้าวได้ 4.รอยรั่วบริเวณรอยต่อแนวดิ่งข้างเสา สาเหตุอาจเกิดจากการเก็บงานรอยต่อจุดนี้ไม่ดี หรือร้ายแรงหน่อยคือ ไม่ได้เสียบเหล็กหนวดกุ้งระหว่างเสากับผนังบ้าน การตรวจสอบ : จุดรอยรั่วบริเวณรอยต่อแนวดิ่งข้างเสา การแก้ไข:  สกัดรอยแตกร้าวให้ใหญ่ขึ้นเป็นรูปตัววี จากนั้นยาด้วย PU แล้วทาสีเก็บความเรียบร้อย และควรใส่เหล็กหนวดกุ้งทุกครั้งในการก่อผนังชนเสา 5.การทรุดตัวของดินและพื้นรอบบ้าน การตรวจสอบ: หลังจากที่พบการทรุดตัวของดินรอบบ้านในช่วง 5 ปีแล้วนั้น ปัญหาที่มักตามมาคือ ปัญหาพื้นรอบบ้านและพื้นจอดรถมีการทรุดตัวเสียหาย เป็นเพราะพื้นส่วนนี้ส่วนใหญ่มักไม่ได้ทำการลงเสาเข็ม หรือเป็นการลงเสาเข็มแบบสั้นที่อาศัยแรงฝืดในชั้นดินช่วยพยุงน้ำหนักของพื้นไว้ และเมื่อเวลาผ่านไปพื้นดินมีการทรุดตัวตามธรรมชาติ ทำให้เกิดความเสียหายตามมา  โดยหากหากเป็นพื้นคอนกรีตจะเริ่มจากการสังเกตเห็นว่ามีระดับที่เอียงผิดปกติ และหากมีการทรุดมากขึ้น จะเห็นรอยแตกร้าวบริเวณพื้นตามมา การแก้ไข : หากเป็นพื้นจอดรถควรทำการลงเข็ม เพื่อช่วยลดการทรุดตัวในอนาคต และควรแยกขาดจากตัวบ้านเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายในกรณีที่มีการขยับตัวของโครงสร้าง 6.ตรวจสอบหลังคาเพื่อป้องกันสัตว์เล็ก ปัญหาสัตว์เล็กทำลายหลังคา ทั้งกัดกินโครงสร้างและเข้ามาทำรัง ซึ่งสัตว์เล็ก ๆ เหล่านี้คือตัวการที่ทำให้หลังคาบ้านโดนทำลาย ผุพังง่าย ก่อความรำคาญทั้งกลิ่นและเสียง รวมถึงทำให้บ้านสกปรก การตรวจสอบ: ครอบข้าง  อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ไม่พบช่องว่าง, สันหลังคา  ไม่ชำรุด เเตกร้าว, เชิงชายอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ไม่แตกหัก, สันตะเข้  อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ไม่พบช่องว่าง, ครอบปิดปลายสันตะเข้ อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ไม่พบช่องว่าง และ ฝ้าชายคา ไม่ชำรุด เเตกหักเสียหาย การแก้ไข: ติดตั้งระบบหลังคากันสัตว์เล็ก SCG เพื่อช่วยป้องกันไม่ให้สัตว์ต่างๆ เข้ามาทำลายโครงสร้างหลังคาหรือเข้ามาอยู่อาศัยได้ ประกอบไปด้วยอุปกรณ์ 5 ชนิด ช่วยป้องกันจุดเสี่ยง 5 จุดด้วยกัน ได้แก่  แผ่นปิดครอบข้าง  แผ่นปิดครอบสันหลังคา  แผ่นปิดเชิงชาย แผ่นปิดครอบสันตะเข้  แผ่นปิดปลายสันตะเข้ 7.การรั่วซึมที่หลังคา การตรวจสอบ: สังเกตรูปทรงหลังคาว่าได้ระดับ มีความสมมาตรดีหรือไม่ กระเบื้องมุงหลังคาติดตั้งได้แนว ไม่เผยอ ไม่มีรอยแตกร้าว, ครอบหลังคาทั้งแนวสันหลังคาและตะเข้สันปิดมิดชิด  ถ้าครอบเปียกให้สังเกตว่าปูนใต้ครอบมีรอยร้าวหรือไม่ เพราะเป็นจุดที่น้ำซึมผ่านได้, มองหาคราบน้ำบนฝ้าชายคาว่ามีหรือไม่ และลองเปิดฝ้าเพดานชั้นบนแล้วสังเกตดูว่ามีช่องของแสง หรือคราบน้ำในโถงหลังคาหรือไม่ การแก้ไข : ปรึกษาช่างผู้ชำนาญและมีประสบการณ์ 8.พื้นไม้กับปัญหาเรื่องปลวก การตรวจสอบพื้นที่ภายในบ้าน การตรวจสอบ: ตรวจสอบพื้นไม้ภายในบ้านว่ายังใช้งานได้ดี มีปัญหาเรื่องปลวกหรือไม่ ตรวจพบมีรอยทางเดินปลวกภายในบ้าน, ตรวจพบเศษปีกหรือมูลของแมลงเม่าภายในตัวบ้าน, ประตูหน้าต่างที่เป็นไม้เมื่อใช้งานเริ่มฝืดและเปิดยากขึ้น และได้ยินเสียงปลวกที่กำลังกินไม้อยู่ การแก้ไข: ควรเรียกบริษัทกำจัดปลวกมาทำการฉีดพ่นน้ำยาทั้งภายนอกและภายในบ้าน ทุก 1-3 ปี หรือ เลือกใช้วิธีเพาะเชื้อ เพื่อความปลอดภัยกับสุขภาพของผู้อยู่อาศัย  9.พื้นกระเบื้องเซรามิค การตรวจสอบ:พื้นกระเบื้องเมื่อใช้งานไปนาน ๆ อาจเกิดปัญหากระเบื้องหลุดร่อน หรือยาแนวหลุดวิธีแก้ปัญหาเบื้องต้นสามารถทำการแก้ไขเป็นจุด ๆ ได้ การแก้ไข: แนะนำว่าให้เตรียมซื้อกระเบื้องเซรามิคในเฉดสีเดียวกันสำรองไว้ เผื่อต้องการปรับปรุงหรือซ่อมแซมในบางจุด เพราะหากดำเนินการซื้อภายหลังอาจทำให้เฉดสีกระเบื้องแตกต่างกันได้ หรือบางรุ่นอาจไม่ทำการผลิตแล้ว อาจจะเช็คกับทางบริษัทผู้ผลิต เพื่อตรวจสอบกระเบื้องรุ่นที่เคยซื้อมาว่ายังมีหรือไม่  10.การตรวจสอบโครงสร้างของบ้าน รอยแตกร้าวที่อันตรายกับโครงสร้าง จะมีรูปแบบรอยแตกร้าวที่มีขนาดใหญ่ ในตำแหน่งโครงสร้าง เช่น เสา คาน พื้น ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าโครงสร้างของบ้านอาจมีปัญหา และไม่ปลอดภัยสำหรับผู้อยู่อาศัย การตรวจสอบ: พบรอยแตกร้าวขนาดใหญ่ที่ตำแหน่งเสา คาน พื้น ร้ายแรงหน่อยอาจเห็นเหล็กเสริมภายในโครงสร้าง, พบรอยแตกร้าวหรือรอยแตกเฉียง 45 องศาที่ผนัง, พบรอยแยกแตกแยกระหว่างโครงสร้างบ้านเดิมกับส่วนต่อเติม, พบเหล็กเส้นที่ตำแหน่งท้องพื้นชั้นดาดฟ้า และพบการล้มเอียงของพื้น หรือผนังของตัวบ้าน การแก้ไข: แนะนำให้ปรึกษาวิศวกรโครงสร้างเพื่อทำการแก้ไข   ทั้งหมดนี้ก็เป็นการตรวจสุขภาพบ้านทั้ง 10 จุดที่สำคัญ ซึ่งมักจะเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับบ้านที่ปลูกสร้างมาเป็นระยะเวลานาน ๆ และเป็นปัญหาที่มีผลต่อโครงสร้างของความมั่นคงแข็งแรง เราจึงควรหมั่นตรวจสอบและดูแลเป็นประจำทุก ๆ ปี โดยเฉพาะหลังจากหมดฤดูฝน หรือก่อนเข้าสู่ฤดูฝน เพราะบางปัญหาอาจจะลุกลามใหญ่โตได้ หากโดยน้ำฝน เช่น ปัญหารั่วซึมของโครงสร้างหลังคา หรือรอยร้าวของผนังบ้าน เป็นต้น   ที่มา SCG HOME  
แบงก์ช่วยลูกหนี้สินเชื่อบ้านโดนพิษโควิด-19  เดินหน้าต่อมาตรการช่วยค่างวดถึงปี 65

แบงก์ช่วยลูกหนี้สินเชื่อบ้านโดนพิษโควิด-19 เดินหน้าต่อมาตรการช่วยค่างวดถึงปี 65

บทสรุปมาตรการแบงก์รัฐ- เอกชน กับมาตรการช่วยเหลือลูกค้ากู้ซื้อบ้านปี 64 พร้อมเดินช่วยลูกหนี้ต่อปีหน้า สารพัด​แนวทาง อาทิ แบ่งจ่ายค่างวด 25%-75% พักชำระเงินต้น และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน หวังต่อลมหายใจลูกหนี้ได้รับผลกระทบจาก​​โควิด-19        นายกิตติ พัฒนพงศ์พิบูล  ประธานสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย เปิดเผยว่า  จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า (COVID-19)  ที่ส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจ และภาคอสังหาริมทรัพย์ รวมถึงภาวะหนี้ครัวเรือนของประชาชนที่มีการปรับตัวสูงขึ้น  ทำให้สถาบันการเงินที่ให้บริการด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่น ๆ ของรัฐและเอกชน  ได้ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนและผลกระทบดังกล่าวอย่างต่อเนื่องในปี 2564  โดยสถาบันการเงินแต่ละแห่ง ได้มีมาตรการช่วยเหลือประชาชนมากมายหลายมาตรการ อาทิ การแบ่งจ่ายงวดผ่อนชำระ การพักชำระเงินต้น การจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน เป็นต้น   สมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย และสถาบันการเงินสมาชิก  มุ่งหวังให้มาตรการช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ โควิด-19  ของสถาบันการเงินสมาชิกทุกแห่ง  สามารถเข้าถึงต้องการของลูกค้า และ สอดคล้องกับปัญหาของลูกหนี้แต่ละกลุ่มในครั้งนี้ จะช่วยให้ลูกหนี้ทุกกลุ่มสามารถประคับประคองธุรกิจให้ผ่านพ้นวิกฤตครั้งนี้ไปด้วยกันเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางการเงินในระบบเศรษฐกิจของประเทศให้มั่นคง ยั่งยืน นายพงษ์ศักดิ์  คำนวนศิริ  รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มงานสินเชื่อ   ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กล่าวว่า ธนาคาร ได้ออกมาตรการให้ความช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 มาตั้งแต่ปี 2563  ภายใต้โครงการ “ธอส.รวมไทย สร้างชาติ”  โดยได้ขยายระยะเวลาความช่วยเหลือให้กับลูกค้าเดิมที่อยู่ระหว่างการใช้มาตรการ ต่อไปถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564   ผ่าน  5 มาตรการ ประกอบด้วย   มาตรการที่ 9, 10, 11 : แบ่งจ่ายเงินงวดผ่อนชำระ (ตัดเงินต้น ตัดดอกเบี้ย) เหลือ 25% หรือ 50% หรือ 75% ของเงินงวดผ่อนชำระในปัจจุบัน โดยทั้ง 5 มาตรการ ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าที่มีสถานะบัญชีปกติ สถานะ NPL และลูกหนี้สถานะ NPL ที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้   มาตรการที่ 13 : พักชำระเงินต้น และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน สำหรับลูกค้าที่มีสถานะบัญชีปกติ (ไม่เป็น NPL ไม่อยู่ขั้นตอนของกฎหมาย และไม่อยู่ระหว่างทำข้อตกลงประนอมหนี้) และต้องเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบอาชีพ หรือทำธุรกิจ หรือการค้า เนื่องจากโควิด-19   มาตรการที่ 14 : พักชำระเงินต้น และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยรายเดือน พร้อมลดดอกเบี้ยลงเหลือ 3.90% ต่อปี  สำหรับลูกหนี้ที่สถานะ NPL และลูกหนี้ NPL ที่อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างหนี้  ทั้งนี้ ลูกค้าที่เข้าร่วมมาตรการจะต้องเป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการประกอบอาชีพ หรือทำธุรกิจ หรือการค้า เนื่องจาก โควิด-19 และไม่สามารถผ่อนชำระเงินงวดให้ธนาคารได้ตามสัญญาเงินกู้ หรือตามข้อตกลงปรับโครงสร้างหนี้ หรือ ตามคำพิพากษา   โดยในเฟสแรกที่มาตรการสิ้นสุดเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ธนาคารได้ช่วยเหลือลูกหนี้ซึ่งกู้เงินกับธนาคารรวม 183,000 ล้านบาท และได้ให้ลูกหนี้ลงทะเบียนเพื่อได้รับการช่วยเหลือต่อ ในเดือนพฤศจิกายนคิดเป็นมูลค่าวงเงินสินเชื้อ 113,600 ล้านบาท ซึ่งในปี 2565 ธนาคารจะมีการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ตามนโยบายของธนาคารแห่งประเทศไทยต่อเนื่อง ทั้งการลดดอกเบี้ย การแบ่งจ่ายตามความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ ด้านนายอิสระ วงศ์รุ่ง รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กลุ่มลูกค้าบุคคล  กล่าวว่า ในบทบาทการเป็นธนาคารเพื่อสังคม หรือ Social Bank ของธนาคารออมสิน เล็งเห็นแล้วว่า ประชาชนส่วนใหญ่ในประเทศไทยล้วนแล้วแต่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติ โควิด-19 ทำให้มีคนตกงาน ขาดรายได้ หรือบางคนยังมีงานทำ แต่อาจถูกลดเงินเดือน ขณะที่ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ยังคงเท่าเดิม หรือเพิ่มขึ้น   ดังนั้น ธนาคารจึงได้มี มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ค้างชำระไม่เกิน 90 วัน เป็นการพักชำระเงินต้น และจ่ายเฉพาะดอกเบี้ย 25%-100% หรือ พักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ถึง ธันวาคม 2564  และมาตรการรวมหนี้ (Debt Consolidation) เป็นการรวมภาระหนี้ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อรายย่อยประเภทอื่น เช่น สินเชื่อธุรกิจบัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล สินเชื่อพัฒนากลุ่มอาชีพ สินเชื่อฐานราก เป็นต้น เพื่อลดภาระดอกเบี้ย และแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนให้มีสภาพคล่องไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน   นอกจากนี้ ธนาคารได้มีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าและประชาชนทั่วไป ในด้านของสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ผ่านแคมเปญ “สินเชื่อบ้านกู้ปีนี้ ผ่อนปีหน้า” ดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน และภายใน 6 เดือนนี้ ยังไม่ต้องผ่อนเงินงวดคืนให้ออมสิน เป็นการแบ่งเบาภาระให้ผู้กู้มีเงินสดไว้ใช้จ่ายในช่วง 6 เดือนแรก จะช่วยให้ผ่านวิกฤตหรือความยากลำบากไปด้วยกัน โดยลูกค้าจะต้องได้รับการอนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน 30 ธันวาคม 2564   ขณะเดียวกัน จากสถานการณ์น้ำท่วมตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกันยายนที่ผ่านมา ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือลูกค้าเพิ่มเติมที่มีสินเชื่อกับธนาคารทุกประเภท เช่น ลูกค้าที่มีสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยกับธนาคารออมสิน จะได้รับการให้พักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยนาน 3 เดือน โดยลูกค้าสามารถติดต่อสาขาธนาคารออมสินที่มีบัญชีสินเชื่ออยู่ได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 พร้อมทั้งยังมีมาตรการความช่วยเหลืออื่น ๆ ที่ธนาคารได้ดูแลลูกค้าทุกกลุ่มอย่างต่อเนื่อง   สำหรับปี 2565 ธนาคารจะมีการดำเนินช่วยเหลือลูกหนี้ประเภทต่างอย่างต่อเนื่อง ทั้งด้านการรวมหนี้ข้ามธนาคาร การให้วงเงินสินเชื่อประเภทต่าง ๆ ในทุกกลุ่มลูกค้าด้วย ล่าสุด ธนาคารออมสินยังมีแคมเปญการกู้เงินซื้ออสังหาฯ ด้วยอัตราดอกเบี้ย 0% และปลอดเงินต้นเป็นระยะเวลา 6 เดือน ซึ่งลูกค้าจะเริ่มต้นผ่อนชำระในปีหน้า   นายชัยยศ   ตันพิสุทธิ์   ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บมจ.ธนาคารกสิกรไทย   กล่าวว่า  ธนาคารมีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อของธนาคารกสิกรไทยที่ประสบปัญหาจากสถานกาณ์ โควิด-19  ด้วยกัน  3 ทางเลือก คือ   1. ผ่อนชำระเฉพาะดอกเบี้ย และลดอัตราดอกเบี้ย 0.10% เป็นระยะเวลา 3 เดือน  2. ลดยอดผ่อนต่องวด 50% เป็นระยะเวลา 3 เดือน  และ  3. เลื่อนการชำระค่างวด (เงินต้นและดอกเบี้ย) เป็นระยะเวลา 3 เดือน   โดยธนาคารจะแจ้งผลการอนุมัติผ่านทาง SMS ภายใน 10 วันทำการ หลังจากลูกค้าลงทะเบียนเรียบร้อยแล้ว  (กรณีลงทะเบียนสำเร็จ ก่อนวันครบกำหนด 10 วัน ธนาคารจะเริ่มปรับยอดผ่อนภายในรอบบัญชีนั้น  หากลงทะเบียนสำเร็จหลังจากนั้น ธนาคารจะปรับยอดผ่อนในรอบบัญชีถัดไป) ทั้งนี้  ลูกค้าสามารถชำระหนี้มากกว่าเงื่อนไขที่เข้าร่วมมาตรการได้  เพื่อลดยอดหนี้หรือดอกเบี้ยผ่าน K Plus โดยไม่ต้องแจ้งธนาคาร และสามารถสมัครเข้าร่วมมาตรการได้ตั้งแต่บัดนี้  ถึง 31 ธันวาคม 2564   สำหรับข้อมูล ณ 30 กันยายนที่ผ่านมา ธนาคารทั้งระบบได้ช่วยลูกค้าแบ่งเบาภาระจากผลกระทบโควิด-19 รวม 622,000 ราย วงเงินรวม 820,000 ล้านบาท ในส่วนธนาคารกสิกรได้ช่วยลูกค้าคิดเป็นวงเงินรวม 142,000 ล้านบาท   ส่วนนายอภิรัฐ เหล่าสินชัย  ผู้จัดการศูนย์สินเชื่ออุปโภคบริโภค บมจ.ธนาคารกรุงเทพ  กล่าวว่า  ในส่วนของธนาคารกรุงเทพ  มีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าของธนาคารที่ประสบปัญหาโควิด-19 ผ่านสินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่ออเนกประสงค์ที่ใช้ที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกัน  โดยมีมาตรการลดภาระการชำระหนี้ให้กับลูกค้าผ่าน 4 มาตรการคือ  1. การปรับลดค่างวด  2. พักชำระเฉพาะเงินต้น และพิจารณาให้ชำระดอกเบี้ยเพียงบางส่วน  3. พักชำระเฉพาะเงินต้น และพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ย และ 4. พักชำระค่างวด  เพื่อให้ลูกค้าสามารถวางแผนทางการเงินของตนเองในสถานการณ์นี้ และร่วมฝ่าวิกฤตการเงินร่วมไปกับลูกค้าของธนาคาร   โดยธนาคารกรุงเทพจะช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบโควิด-19 ต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี 2565 ซึ่งปีหน้าจะเพิ่มความเข้มข้นในการช่วยเหลือ ภายใต้แนวทางความยั่งยืน อาทิ การเพิ่มระยะเวลาผ่อนชำระให้นานขึ้น โดยดูจากสภาพปัญหา และความสามารถในการผ่อนชำระของลูกค้าแต่ละราย   สำหรับนางสาวพัชรินทร์  สุงสุวรรณ ผู้อำนวยการอาวุโส ผู้บริหารสายงาน Retail Lending  Product Management  ธนาคารไทยพาณิชย์  กล่าวว่า ธนาคารได้มีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อที่อยู่อาศัยมาโดยตลอดตั้งแต่ระยะที่ 1 จนถึงปัจจุบัน เพื่อลดผลกระทบจากโควิด-19  ระยะที่ 3 โดยเสนอมาตรการที่เหมาะสมกับลูกค้า แต่ละราย ตามความสามารถในการชำระหนี้  เช่น การปรับลดค่างวดและหรือขยายระยะเวลาการผ่อนชำระ การพักเงินต้นและจ่ายดอกเบี้ยบางส่วน เพื่อให้ลูกหนี้สามารถทยอยคืนเป็นขั้นบันไดตามความสามารถในการชำระหนี้ของลูกหนี้ ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถขอเข้ารับมาตรการช่วยเหลือได้จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564   “ธนาคารมีเจตนารมณ์แน่วแน่ในการสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนก้าวผ่านวิกฤตดังกล่าวไปด้วยกัน ด้วยการ ทำตัวเราให้แข็งแรง ช่วยเหลือลูกค้าให้อยู่รอด และสนับสนุนสังคมให้อยู่ได้  จึงได้ดำเนินการเชิงรุกในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แบบเบ็ดเสร็จ โดยมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อนำลูกค้าที่ได้รับผลกระทบที่อยู่ในโครงการช่วยเหลือไปสู่การแก้ปัญหาในระยะยาว โดยลูกค้าที่ผ่านกระบวนการปรับปรุงโครงสร้างหนี้แบบเบ็ดเสร็จจะได้รับการติดตามอย่างใกล้ชิด และคาดว่าจะสามารถฟื้นตัวไปพร้อม ๆ กับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ”   นายสีห์โสภณ ตติยะวรนันท์ ผู้ช่วยสายงาน Retail Lending  ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์  เปิดเผยว่า  ธนาคารมีความเป็นห่วงลูกค้าโดยออกมาตราการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด -19 (สำหรับลูกค้าที่ยังไม่เป็น NPL) โดยมีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าสินเชื่อที่อยู่อาศัยที่มีที่อยู่อาศัย เป็นหลักประกัน ดังนี้ 1.พักชำระค่างวด (เงินต้นและดอกเบี้ย) 3 งวด   2.ลดค่างวด 3 งวด  และพิจารณากาลดอัตราดอกเบี้ยให้ตามความเหมาะสมของลูกค้าแต่ละราย  และ 3.ขยายระยะเวลาการพักชำระหนี้หรือการลดค่างวด ทั้งนี้ธนาคารพิจารณาการช่วยเหลือเป็นรายกรณีไป โดยสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564