Tag : Home

816 ผลลัพธ์
10 ไอเดีย เปลี่ยนผนังห้องธรรมดาด้วยเทปกาวง่ายๆ ทำได้เอง

10 ไอเดีย เปลี่ยนผนังห้องธรรมดาด้วยเทปกาวง่ายๆ ทำได้เอง

10 ไอเดีย เปลี่ยนผนังห้องธรรมดาด้วยเทปกาวง่ายๆ ทำได้เอง ในช่วงที่ต้องทำงานแบบ work from home นี้ การอยู่ในห้องทั้งวันหลายคนคงจะเกิดอาการเบื่อ อาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนบรรยากาศภายในห้อง หรือลองตกแต่งสิ่งรอบๆ ข้างบ้าง เพื่อเป็นการเพิ่มความน่าสนใจให้กับห้องเดิมที่เราเห็นอยู่ทุกวันจนชินตา ครั้งนี้เรามีไอเดียมานำเสนอ ใช้อุปกรณ์ไม่เยอะ และสามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยตัวเอง ที่สำคัญใช้งบประมาณไม่มาก ก็สามารถเปลี่ยนบรรยากาศจากห้องเดิมให้เหมือนได้ห้องใหม่กันไปเลย   ครั้งนี้เราเลือกวิธีการอย่างง่าย ที่เชื่อว่าทุกคนสามารถทำได้ด้วยตัวเอง อย่างการทาสีผนัง บางคนอาจจะรู้สึกว่าเป็นงานที่ยากเพราะไม่เคยทำ แต่จริงๆ แล้วเราสามารถทำได้ด้วยตัวเองเพียงแค่ใช้เทปกาวเป็นตัวช่วยสร้างแพทเทิร์นลวดลายต่างๆ เพื่อเปลี่ยนสีผนังห้อง และปรับบรรยากาศให้ห้องของเราน่าอยู่มากยิ่งขึ้น แล้วจะมีแพทเทิร์นลวดลายอะไรบ้างไปดูพร้อมๆ กันเลยดีกว่า   10 ไอเดีย เปลี่ยนผนังห้องธรรมดาด้วยเทปกาวง่ายๆ ทำได้เอง   1.Color blocking การทาสีบล็อกแบบนี้เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการทาผนังโดยใช้เทปกาว เนื่องจากส่วนใหญ่แล้วผนังจะมีสีเดียวกัน และยังเป็นลายที่มีการใช้เทปกาวก็จำนวนน้อยกว่าเทคนิคอื่นๆ เหมาะสำหรับห้องที่เปิดกว้างและมีพื้นที่ผนังโล่งกว้าง การทาสีบล็อกแบบนี้เป็นวิธีที่ดีอีกรูปแบบนึงในการไม่ทำให้พื่นที่ดูว่างโล่งจนเกินไป     2.Triangle pattern หากว่าคุณกำลังมองหาการออกแบบลวดลายฝาผนังที่เรียบง่าย สบายตา แต่ในขณะเดียวกันก็ยังดูมีดีไซน์เก๋ไม่น่าเบื่อจนเกินไป ลายสามเหลี่ยมนี้ก็เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดี ซึ่งแพทเทิร์นนี้อาจจะใช้เวลาทาสีนานมากขึ้นอีกหน่อย เนื่องจากต้องรอให้สีแต่ละส่วนแห้งก่อนจึงจะทาสีในส่วนถัดไปได้ แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็น่าประทับใจไม่น้อยเลยทีเดียว ลองเลือกชุดสีที่ใกล้เคียงกัน หรือเลือกใช้สีที่เป็นคู่ตรงข้ามกันหากคุณต้องการความฉูดฉาดโดดเด่นไม่ซ้ำใคร รับรองว่าจากผนังบานเรียบๆ จะป๊อปขึ้นทันตา     3.Vertical stripes ลายทางแนวตั้งก็เป็นอีกหนึ่งลายที่นิยมใช้กันมาก เนื่องจากมีความดึงดูดสายตา และสามารถช่วยให้ห้องที่มีเพดานต่ำดูสูงขึ้นได้ ส่วนใหญ่เรามักจะเลือกใช้เทปกาวให้มีขนาดเท่าๆ กัน หรือกะระยะแบ่งความกว้างให้สม่ำเสมอ แต่ถ้าอยากจะลองเปลี่ยนความกว้างของแถบสีแต่ละแถบให้กว้างขึ้น หรือเป็นแพทเทิร์นแบบไม่เท่ากันเพื่อเพิ่มความน่าสนใจให้กับผนังก็น่าสนใจไม่น้อย แม้กระทั่งการเลือกทาแถบสีไปจนถึงบนเพดานเลยก็สวยไปอีกแบบ     4.Horizontal stripes เทคนิคการทาสีเป็นแถบแนวนอนนั้นเหมือนกับการใช้กระดาษกาวแบ่งแถบสีเส้นแนวตั้งเลย แค่เปลี่ยนจากการใช้เทปกาวแปะขึ้นลงก็สลับเป็นซ้ายขวาแทน ลวดลายแพทเทิร์นแนวนอนนี้เป็นอีกรูปแบบที่ดีในการช่วยให้ห้องแคบรู้สึกกว้างขึ้น นอกจากนี้การใช้ลายทางกว้างเท่ากันก็ช่วยให้ความรู้สึกสว่างและโปร่ง สบายตามากขึ้นด้วย ซึ่งเราอาจจะเพิ่มลูกเล่นของสีเข้าไปโดยใช้เฉดสีต่างๆ ของสีเดียวกันก็จะสร้างเอฟเฟกต์แบบ Ombre หรือการไล่สีให้กับผนังธรรมดาสวยขึ้นได้ โดยให้เริ่มด้วยสีที่เข้มที่สุดอยู่ด้านล่างแล้วค่อยๆ ไล่เฉดสีขึ้นไป และใช้สีที่สว่างที่สุดทาด้านบน     5.Geometric blocks หากคุณเบื่อกับแพทเทิร์นง่ายๆ ลายเดิมๆ แล้ว ลองเลือกใช้รูปแบบของรูปทรงเรขาคณิตมาช่วยให้ผนังดูสดใส และมีลวดลายที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้นได้ ทั้งรูปทรงสี่เหลี่ยมขนาดต่างๆ วางทับซ้อนกัน หรือรูปสามเหลี่ยมที่หลากหลายมาใช้ หรือแม้แต่การนำรูปทรงในแบบต่างๆ มามิกซ์แอนด์แมทช์เข้าด้วยกัน และลองใช้สีโทนตรงข้ามกัน ทั้งโทนร้อนหรือโทนเย็นมาสร้างลูกเล่นเพิ่มเข้าไปให้กับผนังขาวๆ มีรูปแบบที่ดูน่าสนใจยิ่งขึ้น     6.Paint a trellis วิธีการของลวดลายแบบตาข่ายนี้ เป็นการทาสีให้เป็นช่องบนผนัง ซึ่งเป็นวิธีที่ดีในการสร้างความรู้สึกให้เหมือนกับมีสวนอยู่ในห้อง โดยเราจะใช้เทปกาวสร้างลวดลายตาข่ายเพื่อหลอกตา เพียงแค่กะระยะห่างให้เท่าๆ กัน แล้วเลือกทาสีเฉพาะช่องที่เว้นไว้ จากนั้นเราสามารถลองวาดเถาวัลย์ พวกไม้เลื้อยอย่าง Wisteria หรือแม้แต่เลือกหาไม้ประดับทั้งของไม้จริง และไม้ประดิษฐ์มาประดับเพิ่ม ก็เป็นทางเลือกที่ทำให้ห้องดูร่มรื่มและสบายตาได้อีก     7.Herringbone pattern ลวดลายกางปลานี้คนส่วนใหญ่มักจะนำไปเป็นลายสำหรับปูพื้นห้อง เพราะเป็นลายที่เพิ่มความหรูหรา และเป็นแพทเทิร์นที่สวยงาม เพียงแค่ใช้วัสดุจากไม้เข้ามา ก็ทำให้บรรยากาศของห้องดูคลาสสิค อีกทั้งยังเป็นรูปแบบที่นิยมกันมาอย่างยาวนาน ครั้งนี้เราลองเปลี่ยนจากลวดลายบนพื้นมาเป็นลวดลายกางปลาบนผนังดูบ้าง โดยเราสามารถวาดได้ด้วยตัวเอง เป็นเส้นทะแยงไปมาอย่างเป็นระเบียบ แต่ถ้าอยากได้เส้นของลายกางปลาเท่าๆ กัน ก็แค่ใช้เทปกาวแปะเป็นแนวเฉียงสลับกัน ทั้งนี้อาจจะใช้สีที่คล้ายกับไม้ด้วยก็ได้ หรือลองเลือกเป็นสีโทนอ่อนไม่เข้มจนเกินไป ก็จะเพิ่มความน่าสนใจได้เช่นกัน     8.Diamond pattern ลวดลายเพชรนี้ก็เป็นแพทเทิร์นอีกรูปแบบหนึ่งที่สามารถใช้เทปกาวในการสร้างสรรค์งานศิลปะลงบนผนังได้ไม่ยาก และเป็นอีกลายที่คลาสสิค เพียงแค่ใช้เทปกาวแปะเป็นแนวเฉียงสลับซ้ายขวาในแนวทะแยงมุมในมุมที่เท่าๆ กัน แล้วทางสีในช่องที่ต้องการได้เลย แค่นี้ก็เป็นอีกทางเลือกที่ดีสำหรับห้องที่เปิดโล่งและมีพื้นที่เยอะที่จะทำให้ห้องสดใสขึ้นมาได้ทันที     9.Argyle ลวดลายนี้เป็นการเพิ่มความยากและเลเวลอัพการทาผนังให้ดูมืออาชีพมายิ่งขึ้น เพราะเป็นแพทเทิร์นที่กินเวลากว่ารูปแบบของ Diamond pattern ในขั้นเริ่มต้นอาจจะมีความคล้ายกัน แต่อาจจะใช้เทปกาวเยอะกว่า และมีความซับซ้อนมากกว่าในการเลือกสี และการเลือกเว้นระยะของแถบสีให้มีเส้นเล็กหรือใหญ่เพื่อสร้างลวดลายที่ซับซ้อนมากขึ้น รวมถึงการเลือกทาสีในเฉดเดียวกันแต่มีความเข้มอ่อนไม่เท่ากันในแต่ละช่อง ซึ่งต้องอาศัยการวางแผนที่ดี แต่เมื่อเสร็จแล้ว แพทเทิร์นนี้จะช่วยให้ห้องดูโมเดิร์นขึ้นมาได้     10.Gingham ผนังลายตารางถือเป็นแพทเทิร์นยอดฮิตสุดคลาสสิคอีกอันนึงที่น่ารัก สดใส และนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย โดยมักจะเลือกใช้สีอ่อนไม่ว่าจะเป็นสีโทนร้อนหรือโทนเย็นก็ได้หมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเลือกสีพาสเทลมาใช้กับลายตารางก็จะเพิ่มความหวานให้กับห้องได้ เนื่องจากเรามักจะเลือกสีที่มาใช้ตัดกับพื้นสีขาวเดิมของผนัง แค่นี้ก็จะช่วยให้ไม่ดูทึบและหนักเกินไป เราสามารถทาได้ทั้งผนังในบางผนังของห้อง หรือจะทาแค่ครึ่งเดียวของผนังก็น่าสนใจเช่นกัน ซึ่งเป็นอีกแพทเทิร์นยอดนิยมที่สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับในทุกๆ งานศิลปะจริงๆ   เป็นอย่างไรบ้างกับไอเดียการออกแบบเพ้นท์ผนังด้วยเทปกาวที่เรานำมาฝากในครั้งนี้ ใครที่กำลังเบื่อกับสีผนังห้องเรียบๆ แบบเดิม ก็สามารถนำไปปรับใช้ให้เข้ากับผนังที่มีหรือส่วนอื่นๆ ในบ้านได้ ไม่ว่าจะเป็นห้องนั่งเล่น ห้องโถง ห้องนอน หรือแม้แต่ห้องครัว ไม่ต้องกลัวว่าจะทำเองไม่ได้ ลองเลือกลวดลายง่ายๆ เป็นการเริ่มต้นก่อน เราเชื่อว่าทุกคนสามารถทำตามได้อย่างแน่นอน และจะยิ่งเพิ่มความภาคภูมิใจได้เมื่อเสร็จแล้ว เพราะทุกอย่างเราได้ทำด้วยสองมือของตัวเอง   cr. fromhousetohome   บทความที่น่าสนใจ แต่งห้องนอน 12 ราศี ให้ถูกโฉลก  เฮง ๆ ปัง ๆ กับ  “หมอช้าง” ของแต่งบ้านเสริมฮวงจุ้ย ความรัก หาคู่แท้  
อีสเทอร์น สตาร์  เปิด 4 โครงการ 3,000 ล้าน  ลุยตลาดอสังหาฯ ท่ามกลางปัจจัยลบ

อีสเทอร์น สตาร์ เปิด 4 โครงการ 3,000 ล้าน ลุยตลาดอสังหาฯ ท่ามกลางปัจจัยลบ

อีสเทอร์น สตาร์ อีสเทอร์น สตาร์  เปิดแผนธุรกิจปีเสือ ผุด 4 โครงการใหม่ มูลค่า 3,000 ล้าน พร้อมวางเป้ารายได้-ยอดขาย 1,700 ล้าน ชี้ตลาดอสังหาฯ ยังเผชิญปัจจัยลบ ทั้งโควิด-19 ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ หนี้ครัวเรือนสูง แต่ยังมีปัจจัยบวกจากมาตรการรัฐ   ดร.ต่อศักดิ์ เลิศศรีสกุลรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา  บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ด้านการขายและการตลาดหันมาใช้ช่องทางสื่อออนไลน์ทุกรูปแบบ พร้อมเร่งสร้างการรับรู้รายได้จากการขายและโอนโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ​   นอกจากนี้ บริษัทได้รุกตลาดแนวราบมากขึ้น ด้วยการเปิดโครงการใหม่ คือเวลาน่า อะโมด้า อู่ตะเภา-บ้านฉาง ใน จ.ระยอง โครงการบ้านเดี่ยว ราคา 4.5-6.5 ล้านบาท บนพื้นที่ 27 ไร่ จำนวน 104 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 540 ล้านบาท ส่งผลให้ผลประกอบการบริษัทในปี 2564 มียอดขาย 1,334 ล้านบาท และยอดรายได้อยู่ที่ 1,326 ล้านบาท  มีผลกำไรสุทธิ 19 ล้านบาท   ดร.ต่อศักดิ์ กล่าวต่อว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2565 ยังต้องเผชิญปัจจัยลบ คือการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ และผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลต่อรายได้และกำลังซื้อของลูกค้า ภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง การเพิ่มขึ้นของหนี้เสีย (NPL) ทำให้การปล่อยสินเชื่อยังคุมเข้ม ราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้น ตลอดจนกำลังซื้อจากนักลงทุนต่างชาติยังไม่กลับมา แต่ยังมีปัจจัยบวก จากนโยบายภาครัฐที่ช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ เช่น การผ่อนคลายมาตรการ LTV การลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง ปริมาณบ้านคงค้างที่ลดลงจากการชะลอตัวในการเปิดการขายโครงการใหม่ในปีที่ผ่านมา แต่เชื่อมั่นว่ากำลังซื้อที่อยู่อาศัยอย่างแท้จริงยังคงมีอยู่ในตลาดสำหรับบ้านแนว ราบและคอนโดมิเนียมในระดับราคากลาง-ล่าง   โดยแผนธุรกิจในปี 2565  บริษัทวางเป้าหมายยอดขาย และเป้าหมายยอดรายได้ที่ราว 1,700 ล้านบาท  ซึ่งมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 4 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 2 โครงการ ภายใต้แบรนด์ “Quintara  Lite” เป็นคอนโดมิเนียมซีรีย์ใหม่ในราคาเริ่มต้นไม่ถึง 2 ล้านบาท  ตั้งอยู่ในพื้นที่ใจกลางเมืองย่านรัชดาและสุขุมวิท  ส่วนที่จังหวัดระยองมีจะเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยว 2 โครงการ ราคาเริ่มต้นต่ำกว่า 3 ล้านบาท ในพื้นที่โครงการอีสเทอร์น สตาร์ ฟอร์เรสโต้ อ.บ้านฉาง จ.ระยอง  
รวมแหล่งตรวจเครดิตบูโร เช็คความพร้อมก่อนสร้างหนี้ ​

รวมแหล่งตรวจเครดิตบูโร เช็คความพร้อมก่อนสร้างหนี้ ​

ตรวจเครดิตบูโร การตรวจเช็คเครดิตบูโร ถือเป็นหนึ่งเรื่องสำคัญ ของคนที่คิดจะก่อหนี้ก้อนโต อย่างเช่น การขอสินเชื่อธนาคาร เพื่อกู้ซื้อบ้าน หรือคอนโดมิเนียมสักห้อง เพราะธนาคารจะดูข้อมูลของผู้ขอกู้ ว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์การให้สินเชื่อหรือไม่ หรือก็คือ จะต้องตรวจดูข้อมูลย้อนหลัง ว่ามีพฤติกรรมการชำระหนี้ในอดีตอย่างไร มีภาระหนี้สินปัจจุบันมากน้อยแค่ไหน จะได้ประเมินและวัดความสามารถในการผ่อนชำระหนี้กับทางธนาคารนั่นเอง ปัจจุบันการตรวจเครดิตบูโร ไม่ใช่เรื่องยาก สามารถทำได้ด้วยตนเอง และมีช่องทางการตรวจเครดิตบูโรหลากหลายช่องทางมาก ซึ่งวันนี้ได้รวบรวมข้อมูลมาให้ใว้แล้ว สะดวกที่ไหน สะดวกอย่างไร ก็ใช้บริการกันได้ตามความสะดวกเลย​ รวมแหล่งตรวจเช็คเครดิตบูโร 1.ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร ปัจจุบันศูนย์ตรวจเครดิตบูโรส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่จังหวัดกรุงเทพฯ​ เป็นหลัก โดยมีศูนย์ตรวจที่ให้บริการตามพื้นที่ต่าง ๆ ดังนี้   -ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่  อาคาร 2 ชั้น 2  เลขที่ 63 ถนนพระราม 9 เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310 เปิดให้บริการวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 9.00 – 16.30 น. หยุดวันนักขัตฤกษ์ ให้บริการกับบุคคลธรรมดาของตนเองและมอบอำนาจ / เครดิตสกอริ่ง (บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล) / นิติบุคคล / นิติบุคคล (มอบอำนาจ) / ชาวต่างชาติ  นิติบุคคลยังใช้บริการผ่านไปรษณีย์ลงทะเบียนได้ด้วย   -ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร – อาคารเพิร์ล แบงก์ค็อกชั้น 3 (โซนธนาคาร) (BTS อารีย์ ทางออก 1) เปิดให้บริการวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 9.00 น. – 18.00 น. หยุดวันหยุดนักขัตฤกษ์ ให้บริการเฉพาะบุคคลธรรมดาของตนเองและมอบอำนาจ / เครดิตสกอริ่ง (บุคคลธรรมดา) / ชาวต่างชาติ   -ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร – สถานีรถไฟฟ้า BTS ศาลาแดง (ภายในสถานี)  เปิดให้บริการวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 9.00 น. – 18.00 น. หยุดวันหยุดนักขัตฤกษ์ ให้บริการเฉพาะบุคคลธรรมดาของตนเองและมอบ อำนาจ / เครดิตสกอริ่ง (บุคคลธรรมดา) / ชาวต่างชาติ   -ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร – ท่าวังหลัง (บริเวณทางเข้า-ออก ท่าเรือ และใกล้ประตู 8 ของโรงพยาบาลศิริราช) เปิดให้บริการวันจันทร์ –  ศุกร์ เวลา 9.00 น. – 18.00 น ให้บริการเฉพาะบุคคลธรรมดาของตนเองและมอบอำนาจ / เครดิตสกอริ่ง (บุคคลธรรมดา) / ชาวต่างชาติ   -ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร – สถานีรถไฟฟ้า BTS หมอชิต (ภายในสถานี) เปิดให้บริการวันจันทร์ –  อาทิตย์ เวลา 9.00 น. – 18.00 น. ให้บริการเฉพาะบุคคลธรรมดาของตนเองและมอบอำนาจ / เครดิตสกอริ่ง (บุคคลธรรมดา) / ชาวต่างชาติ   -ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร – สถานีรถไฟฟ้า BTS ชิดลม (ภายในสถานี) เปิดให้บริการวันจันทร์ –  อาทิตย์ เวลา 9.00 น. – 18.00 น. ให้บริการเฉพาะบุคคลธรรมดาของตนเองและมอบอำนาจ / เครดิตสกอริ่ง (บุคคลธรรมดา) / ชาวต่างชาติ   -ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร ห้างเจเวนิว (นวนคร) ชั้น 3 ติดประกันสังคม เปิดให้บริการวันจันทร์ –  อาทิตย์ เวลา 9.00 น. – 18.00 น. ให้บริการเฉพาะบุคคลธรรมดาของตนเองและมอบอำนาจ / เครดิตสกอริ่ง (บุคคลธรรมดา) / ชาวต่างชาติ 2.Application เช่น Bureou OK สำหรับการตรวจเครดิตบูโร ยังสามารถทำได้สะดวกและง่าย ๆ ผ่าน แอป ได้แก่ แอป Bureou OK  ของ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติฯ การตรวจข้อมูลเครดิตและเครดิตสกอริ่ง ผ่านแอป Bureau OK  มีขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้ ขั้นตอนการลงทะเบียนใช้บริการ Bureau OK 1.ลงทะเบียนโดยใช้บัตรประชาชนของตนเอง ยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ เตรียมหมายเลขโทรศัพท์มือถือ (เพื่อรับรหัส OTP ยืนยันตัวตน)  และอีเมลของตนเอง สำหรับยืนยันการใช้บริการ 2.ดาวน์โหลดแอป Bureau OK  ได้ทั้งระบบปฏิบัติการ Android และ iOS 3.สร้างบัญชีผู้ใช้งานและเข้าระบบได้เลย​ – บริการตรวจข้อมูลเครดิตและเครดิตสกอริ่ง รับรายงานรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (NCB e-Credit Report) ทางอีเมลได้ทันที – บริการอื่น ๆ เช่น รายงานแบบสรุป ดูประวัติการตรวจย้อนหลัง เช็กภาระหนี้สินของตนเอง การอ่านรายงาน ข่าวสารข้อมูลเครดิตบูโร – สอบถามปัญหา ข้อสงสัยเกี่ยวกับเครดิตบูโร ค่าบริการ -รายงานข้อมูลเครดิต 100 บาท -รายงานข้อมูลเครดิตและเครดิตสกอริ่ง 200 บาท -สามารถเลือกชำระค่าบริการผ่าน QR Code หรือบัตรเครดิต/บัตรเดบิตได้ในแอปทันที   ข้อมูล 21 มี.ค. 65*ปิดปรับปรุงระบบบริการแอปพลิเคชัน “บูโร โอเค” เป็นการชั่วคราว เพื่อพัฒนาระบบและเพิ่มประสิทธิภาพระบบบริการให้ดียิ่งขึ้น 3.ตู้ตรวจเครดิตบูโรด้วยตนเอง สำหรับคนที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ  สามารถตรวจเครดิตบูโรได้ด้วยตนเอง ผ่านตู้คีออส ซึ่งเป็นตู้ตรวจเครดิตบูโรด้วยตนเอง ซึ่งสามารถรับรายงานทางอีเมล ได้ทันที โดยตู้ตั้งอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ ดังนี้   1.Bureau Lab (บูโรแล็บ) –ภายในสถานี BTS ชิดลม และหมอชิต –ท่าเรือวังหลัง อยู่บริเวณทางเข้า-ออก ท่าเรือ และใกล้ประตู 8 ของโรงพยาบาลศิริราช 2.สถานีกลางบางซื่อ  ด้านหลังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ประตูทางเข้า 1  จุดติดตั้งนาฬิกาประจำสถานี หรือนาฬิกาหน้าปัดหมายเลข 9 3.ศูนย์การค้า ดิ อเวนิว รัชโยธิน กรุงเทพฯ ชั้น 4 4.ที่ทำการไปรษณีย์ทั่วประเทศ ที่ทำการไป​รษณีย์ และเคาน์เตอร์บริการไปรษณีย์ ทุกแห่งทั่วประเทศ  เป็นอีกสถานที่ที่สามารถตรวจเช็คข้อมูลเครดิตบูโรได้ โดยใช้บัตรประชาชนของตนเอง พร้อมค่าบริการรายงานข้อมูลเครดิต 150 บาทไปยื่นขอรับได้ แต่เฉพาะรายการลูกค้าบุคคลธรรมดา ยื่นขอตรวจของตนเองเท่านั้นหาก ซึ่งจะรับรายงานทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ภายใน 7 วันทำการ แต่หากต้องการตรวจเครดิตบูโรแบบสรุป สามารถรอรับได้ทันที  และไม่เสียค่าบริการ  สามารถตรวจสอบสาขาที่ให้บริการเพิ่มเติม ที่ www.thailandpost.co.th  5.Internet Banking สำหรับ Internet Banking ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการตรวจเครดิตบูโร แต่จะมีเฉพาะธนาคารกรุงศรีอยุธยา และธนาคารกรุงไทย เพียง 2 แห่งเท่านั้นที่ท่านสามารถยื่นคำขอรายงานเครดิตบูโรได้ผ่านช่องทาง Internet Banking ได้ด้วยตนเอง 6.Mobile Banking ในยุคปัจจุบันคนส่วนใหญ่ มักจะมีแอปพลิเคชั่นเพื่ออำนวยความสะดวก รวมถึงแอปของธนาคาร เพื่อทำธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ  และหนึ่งในนั้นก็คือ การขอข้อมูลเครดิตบูโรผ่านแอปธนาคารด้วย ซึ่งปัจจุบันมี 4 ธนาคารที่เปิดให้บริการผ่านโมบาย แอป ดังนี้ แอป MyMo ธนาคารออมสิน ให้บริการตรวจข้อมูลเครดิตและเครดิตสกอริ่ง ผ่านโมบายแอป MyMo ธนาคารออมสิน  เลือกวิธีรับรายงานได้ 2 รูปแบบ 1.รับรายงานรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (NCB e-Credit Report) ทางอีเมล ภายใน 24 ชั่วโมง ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่เครดิตบูโรกำหนด 2.รับผลทางไปรษณีย์ลงทะเบียนภายใน 7 วันทำการ (ข้อมูลรูปแบบเอกสาร) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 1143 MyMo Call Center   หมายเหตุ -กรณีชื่อ-นามสกุล อีเมล เบอร์โทรศัพท์มือถือ และที่อยู่ของท่านมีการเปลี่ยนแปลง กรุณาปรับแก้ไขในระบบให้ถูกต้องก่อนใช้บริการ -อัปเดต Mymo เป็นเวอร์ชันล่าสุดก่อนทำรายการ   -แอป KKP Mobile Application ให้บริการตรวจข้อมูลเครดิตและเครดิตสกอริ่ง ผ่าน KKP Mobile Application ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (แบบเรียลไทม์)   -แอป  Krungthai Next ให้บริการตรวจรายงานข้อมูลเครดิตและเครดิตสกอริ่ง ผ่านโมบายแอป ”Krungthai Next” รับรายงานรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (NCB e-Credit report) ทางอีเมล ภายใน 24 ชั่วโมง  แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่เครดิตบูโรกำหนด ซึ่งสามารถเลือกวิธีรับผลได้ดั่งใจ 2 วิธี 1.รับผลทางอีเมลภายใน 24ชั่วโมง* (ข้อมูลเครดิตรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์) 2.รับผลทางไปรษณีย์ลงทะเบียนภายใน 7 วันทำการ (ข้อมูลเครดิตรูปแบบเอกสาร)   หมายเหตุ : – หากไม่ได้รับภายในกำหนด โปรดติดต่อ consumer@ncb.co.th – บริการยื่นคำขอตรวจเครดิตบูโรผ่านเคาน์เตอร์สาขา และ ATM ของธนาคารกรุงไทย พร้อมรับผลทางไปรษณีย์ลงทะเบียนได้เช่นเดิม   -แอป ttb touch การตรวจเครดิตบูโรผ่านโมบายแอป “ttb touch” (ธนาคารทีทีบี)  สามารถรับรายงานข้อมูลเครดิตรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Credit report) ทางอีเมลภายใน 3 วันทำการ (ข้อมูลเครดิตรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์) หรือรับผลทางไปรษณีย์ลงทะเบียนภายใน 7 วันทำการ (ข้อมูลเครดิตรูปแบบเอกสาร)   หมายเหตุ -กรณีชื่อ-สกุล อีเมล เบอร์โทรศัพท์มือถือ และที่อยู่ของท่านมีการเปลี่ยนแปลง กรุณาปรับแก้ไขในระบบให้ถูกต้อง ก่อนใช้บริการ -หากไม่ได้รับภายในกำหนด โปรดติดต่อ consumer@ncb.co.th -บริการยื่นคำขอตรวจเครดิตบูโรผ่านเคาน์เตอร์สาขา และ ATM ของธนาคารทีเอ็มบี พร้อมรับผลทางไปรษณีย์ลงทะเบียนได้เช่นเดิม 7.เคาน์เตอร์ธนาคาร สำหรับคนที่อาจจะไม่ชอบใช้เทคโนโลยี หรือไม่ถนัด ก็สามารถเดินทางไปที่ธนาคาร เพื่อขอตรวจเครดิตบูโร หรือประวัติเครดิตได้ด้วย โดยการยื่นคำขอตรวจเครดิตบูโร ผ่านเคาน์เตอร์ 5 ธนาคารทั่วประเทศได้ดังนี้ -ธนาคารกรุงไทย -ธนาคารอาคารสงเคราะห์ -ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ -ธนาคารกรุงศรี -ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร   โดยธนาคารจะทำหน้าที่เป็นตัวแทน บริษัท ข้อมูลเครดิตฯ ในการรับคำขอตรวจสอบ และรับชำระค่าตรวจสอบ ซึ่งจะให้บริการเฉพาะเจ้าของข้อมูลที่เป็นบุคคลธรรมดา และต้องมายื่นขอตรวจสอบด้วยตนเองเท่านั้น โดยบริษัท ข้อมูลเครดิตฯ​จะเป็นผู้ตรวจสอบข้อมูล และจัดส่งรายงานข้อมูลเครดิตทางไปรษณีย์ลงทะเบียนให้แก่ผู้ขอ ภายใน 1 สัปดาห์นับจากวันที่ท่านได้ยื่นคำขอที่ธนาคาร   ขั้นตอนการขอยื่นคำขอตรวจสอบข้อมูลเครดิตที่เคาน์เตอร์ธนาคาร 1.เจ้าของข้อมูลบุคคลธรรมดา กรอกแบบคำขอตรวจสอบข้อมูลเครดิตที่ธนาคาร หรือขอแบบฟอร์มจากเจ้าหน้าที่ธนาคารสาขาที่ท่านติดต่อ และลงลายมือชื่อให้ครบถ้วน พร้อมแนบหลักฐาน ดังต่อไปนี้ กรณีบุคคลสัญชาติไทย บัตรประจำตัวประชาชน/บัตรอื่นที่หน่วยงานราชการออกให้ที่แสดงเลขที่บัตรประจำตัวประชาชน (ตัวจริง) กรณีบุคคลต่างด้าว 1.หนังสือเดินทาง/ใบสำคัญถิ่นที่อยู่ (ตัวจริง) 2.ยื่นเอกสารในข้อ 1 และชำระค่าธรรมเนียมการตรวจสอบข้อมูลเครดิตต่อเจ้าหน้าที่ธนาคาร 3.ธนาคาร จะออกหลักฐานการรับชำระเงินค่าธรรมเนียม และค่าจัดส่งเอกสาร ให้แก่ท่านเก็บไว้เป็นหลักฐาน 4.บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จะจัดส่งรายงานข้อมูลเครดิตให้แก่ท่านภายใน 7 วันทำการนับจากวันที่ยื่นคำขอ ที่ธนาคาร   หมายเหตุ :  ในแบบฟอร์มการขอตรวจสอบ กรุณาระบุที่อยู่ของท่านที่จะให้บริษัทจัดส่งรายงานให้ครบถ้วน และชัดเจน รวมทั้งหมายเลขโทรศัพท์ของท่านในกรณีที่บริษัทต้องการสอบถามเพิ่มเติม 8.ตู้เบิกเงินสด (ATM) เราสามารถตรวจเครดิตบูโรผ่านตู้ ATM ของธนาคารได้ด้วย  โดยต้องเป็นบัตรเอทีเอมของธนาคารนั้น ซึ่งเจ้าของบัตรใช้บริการได้ กับตู้ ATM ของธนาคารต่าง ๆดังนี้ -ธนาคารกรุงไทย (KTB) สำหรับลูกค้าของธนาคารที่ถือบัตร ATM และบัตรเดบิต -ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) สำหรับลูกค้าของธนาคารที่ถือบัตร ATM, บัตรเดบิต และบัตรเครดิต (ที่ใช้เป็นบัตรเอทีเอ็ม) โดยผู้ขอจะได้รับรายงานทางไปรษณีย์ลงทะเบียนภายใน 1 สัปดาห์ 9.ช่องทางออนไลน์ของเครดิตบูโร (NCB) นอกจากนี้ บริษัท ข้อมูลเครดิตฯ ยังมีบริการสอบถามข้อมูลต่าง ๆ รวมถึงการเช็คเครดิตบูโร กับช่างออนไลน์และโซเชียลมีเดีย ได้แก่ เว็บไซต์ www.ncb.co.th ช่องทางไอจี เฟสบุ๊ค ยูทูป ไลน์แอด ilovebureau และอีเมล consumer@ncb.co.th ซึ่งสามารถติดต่อเพื่อขอตรวจเช็คเครดิตบูโร และข้อมูลอื่น ๆ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง   ทั้งหมดนี้ ก็เป็นแหล่งการตรวจเครดิตบูโร ที่ทุกคนอยากรู้ว่าตนเองมีประวัติการชำระหนี้อย่างไร หรือมีหนี้อยู่มากน้อยแค่ไหน ก็สามารถตรวจสอบกันได้ โดยเฉพาะคนที่กำลังวางแผนก่อหนี้ก่อนใหญ่ ควรจะตรวจสอบและเตรียมความพร้อมให้ดีที่สุด   CR : บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร)  
รวมวิธีประหยัดไฟ รับมือค่าไฟฟ้าขึ้นราคา 4 บาท กับสารพัดวิธีเซฟเงินในกระเป๋า

รวมวิธีประหยัดไฟ รับมือค่าไฟฟ้าขึ้นราคา 4 บาท กับสารพัดวิธีเซฟเงินในกระเป๋า

วิธีประหยัดไฟ หลายคนคงได้ยินข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ออกมาแล้วว่า จะมีการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า โดยจะเรียกเก็บค่าไฟฟ้ารอบเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม ในอัตรา 24.77 สตางค์ต่อหน่วย เป็นผลมาจากการคำนวณเอฟทีงวดนี้เพิ่มขึ้น 23.38 สตางค์ต่อหน่วย รวมกับการเก็บค่าเอฟทีรอบก่อนหน้าในช่วงเดือนกันยายน-ธันวาคม 2564  อัตรา 1.39 สตางค์ต่อหน่วย และเมื่อรวมกับค่าไฟฐาน 3.76 บาทต่อหน่วย ทำให้ประชาชนต้องจ่ายจริง 4.00 บาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้น 5.82% ถือเป็นตัวเลขสูงสุดจากอดีตมา     วิธี​ประหยัดไฟ น่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด สำหรับประชาชนที่จะรับมือกับค่าไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น เพราะเราสามารถทำได้เอง และเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว คำว่าการประหยัดไฟ ไม่ได้หมายถึงการเลิกใช้ไฟฟ้า แต่เป็นวิธีการใช้ไฟฟ้าให้เกิดประโยชน์สูงสุด และมีประสิทธิภาพสูงสุด เรียกว่าต้องใช้ไฟฟ้าให้คุ้มค่า อะไรลดได้ต้องลด อะไรประหยัดได้ต้องประหยัดนั่นเอง   วิธีประหยัดไฟ มีหลากหลายวิธีด้วยกัน ไม่ใช่มีแค่วิธีการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดไฟเบอร์ 5 เท่านั้น แต่ยังมีอีกมากมายสารพัดวิธี รวมถึงเรื่องบางเรื่องที่เราอาจจะมองข้ามไป ไม่คิดว่าจะส่งผลต่อการประหยัดค่าไฟฟ้าได้ อย่างเช่น การปลูกต้นไม้ให้ร่มเงากับตัวบ้าน หรือการเลือกใช้สีทาบ้านสะท้อนความร้อน ซึ่งวิธีการเหล่านี้อาจจะไม่ได้ช่วยลดค่าไฟฟ้าได้โดยตรง แต่เป็นการช่วยทำให้บ้านเย็นขึ้น ทำให้เราไม่ต้องเปิดเครื่องปรับอากาศ อาจจะเปิดแค่พัดลมซึ่งกินไฟน้อยกว่าก็ได้ หรืออาจจะเปิดเครื่องปรับอากาศ แต่เมื่อบ้านเย็นแอร์ก็ไม่ต้องทำงานหนัก ใช้ไฟฟ้าก็น้อยลง เป็นต้น   สำหรับวิธีประหยัดไฟ Reviewyourliving นำเสนอบทความ สาระ ความรู้ต่าง ๆ มาโดยตลอดและมีมาต่อเนื่อง วันนี้จึงจะรวบรวมเอาบทความทั้งหมด มาไว้ในที่เดียว เพื่อให้ผู้อ่านได้ใช้เทคนิค และวิธีประหยัดไฟ เอาไปปรับใช้กันในหน้าร้อนนี้ จะได้รับมือกับค่าไฟฟ้าขึ้นราคา 4 บาทต่อหน่วย ให้ไม่ต้องควักเงินในกระเป๋ามากนัก เช็คอุปกรณ์ไฟฟ้า อะไรกินไฟสูงสุด เริ่มต้นเราคงต้องมาดูก่อนว่า อุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดไหน ที่ใช้ไฟฟ้าเยอะ เปลืองค่าไฟมากกว่าเพื่อน กับบทความต่าง ๆ ดังนี้ -บทความ “Top 5 เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ดูดเงินในกระเป๋าคุณ แบบร้องไห้หนักมาก” 1.เครื่องใช้ไฟฟ้ากินไฟ อันดับ 1 “เครื่องปรับอากาศ” 2.เครื่องใช้ไฟฟ้าตัวเล็กกินไฟ “เครื่องทำน้ำอุ่น” 3.ตู้เย็น เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีกันทุกบ้าน 4.เครื่องซักผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องใช้ให้ดี 5.เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เลี่ยงไม่ได้ “เตารีด”   อ่านรายละเอียดของบทความเพิ่มเติมได้ที่ Top 5 เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ดูดเงินในกระเป๋าคุณ แบบร้องไห้หนักมาก -บทความ “เปิดทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง เสียค่าไฟเท่าไหร่” แล้วเครื่องไฟฟ้าแต่ละชนิดกินไฟฟ้ามากแค่ไหน โดยเราคำนวณให้ดูแล้วหากเปิดใช้ 1 ชั่วโมง เรามาตรวจสอบกัน เปิดทิ้งไว้ 1 ชม. เสียค่าไฟเท่าไหร่ พัดลมตั้งพื้น 12-18 นิ้วค่าไฟ 0.15-0.25 บาท พัดลมตั้งพื้น  70-104 วัตต์ ค่าไฟ 0.50-0.75 บาท ตู้เย็น 2 ประตู 5.5 -12.2 คิว ค่าไฟ 0.30-0.40 บาท โทรทัศน์ LED 43-65 นิ้ว ค่าไฟ 0.40- 1 บาท เตารีดไฟฟ้าขนาด 1000-2800 วัตต์ค่าไฟ 3.5-10 บาท เครื่องปิ้งขนมปัง 760-900 วัตต์ค่าไฟ 3-3.5 บาท เตาปิ้ง 1-2 หัว ขนาดเตา 2000-3500 วัตต์ ค่าไฟ 8-14 บาท เครื่องซักผ้า 10 KG ค่าไฟ 2-8 บาท เครื่องอบผ้า 650-2,500 วัตต์ ค่าไฟ 3-10 บาท หม้อหุงข้าว 1.0-1.8 ลิตร ค่าไฟ 3-6 บาท ไมโครเวฟ 20-30 ลิตร ค่าไฟ 3-4 บาท เครื่องปรับอากาศ 9,000-22,000 BTU ค่าไฟ 2.5-6 บาท ไดร์เป่าผม  1,600-2,300 วัตต์ค่าไฟ 6-9 บาท เครื่องทำน้ำอุ่น 3,500-6,000 วัตต์ค่าไฟ 13.5-23.5 บาท เครื่องดูดฝุ่น 1,400-2,000 วัตต์ค่าไฟ 6-8 บาท   อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม เปิดทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง เสียค่าไฟเท่าไหร่ รวมวิธีประหยัดค่าไฟ แบบสบายกระเป๋า พอเราเช็คแล้วว่า ต้นเหตุค่าไฟพุ่งสูง คือ เหล่าบรรดาเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟเราแต่ละเดือนจำนวนมาก เราต้องเสียค่าไฟไปไม่น้อย คราวนี้ก็มาดูกันว่า จะมีวิธีประหยัดค่าไฟฟ้าได้อย่างไร กับบทความต่าง ๆ ดังนี้ -บทความ “How to #save ประหยัดค่าไฟช่วงหน้าร้อน” ในบทความนี้ เรามี วิธีประหยัดค่าไฟฟ้าในบ้าน และประหยัดเงินในกระเป๋าคุณด้วย 8 เครื่องใช้ไฟฟ้า กับ วิธีประหยัดค่าไฟในบ้านมาให้ได้ลองทำตามกันดู ​ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม How to #save ประหยัดค่าไฟช่วงหน้าร้อน -บทความ “6 วิธีประหยัดค่าไฟในช่วงหน้าร้อน” บทความนี้มี 6 วิธีประหยัดค่าไฟ ในช่วงหน้าร้อน มานำเสนอ ​ได้แก่ 1.ปรับอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียสเสมอ 2.เครื่องใช้ไฟฟ้าเก่า เลิกใช้ซะ 3.ทำความสะอาดตู้เย็นให้หมดจด 4.ถอดปลั๊กทุกครั้งเมื่อไม่ใช้งาน 5.มาใช้หลอดไฟ LED กันเถอะ 6.ใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาที่ปริมาณการใช้ไฟน้อย   ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติม อ่านต่อได้ที่ 6 วิธีประหยัดค่าไฟในช่วงหน้าร้อน   -บทความ “9 วิธีแต่งบ้านคลายร้อน ช่วยให้บ้านเย็นน่าอยู่ อากาศสบายไม่อบอ้าว” การแต่งบ้าน ก็เป็นวิธีที่ช่วยทำให้บ้านเย็น และมีประโยชน์ทำให้ประหยัดค่าไฟได้ทางอ้อมด้วยนะ 1.ติดกันสาดกันแดด 2.ใช้หลังคาป้องกันความร้อน 3.ปลูกต้นไม้ให้ร่มเงา 4.เปิดหน้าต่างระบายอากาศ 5.ติดพัดลมเพดาน 6.เลี่ยงการปูพรม 7.เลือกใช้หลอด LED 8.ทาผนังด้วยสีโทนเย็น 9.ติดพัดลมอากาศในห้องน้ำ   อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม 9 วิธีแต่งบ้านคลายร้อน ช่วยให้บ้านเย็นน่าอยู่ อากาศสบายไม่อบอ้าว -บทความ “ทางลัดลดค่าไฟ 15 วิธีจัดห้องนอนให้เย็นสบายโดยไม่เปิดแอร์” บางครั้ง วิธีประหยัดไฟ อาจจะทำเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยตรงก็ได้ ก็เป็นการประหยัดค่าไฟฟ้าได้เหมือนกัน ซึ่งบทความนี้มี 15 วิธีมาบอกเล่าเช่นกัน ดังนี้ 1.เปลี่ยนชุดเครื่องนอนให้เป็นผ้าคอตตอน 2.ดื่มน้ำก่อนเข้านอน 3.เปลี่ยนหมอนใหม่ 4.จัดทิศพัดลมให้ถูก เพื่อดูดความร้อนออกนอกบ้าน 5.แขวนผ้าเปียกที่หน้าต่างช่วยปรับอากาศให้เย็นลง 6.วางก้อนน้ำแข็งไว้หน้าพัดลม 7.นอนคนเดียวบ้าง ก็ทำให้อุณหภูมิลดลง 8.เปลี่ยนเตียงนอนบ้างเพื่อให้อากาศหมุนรอบตัวเรา 9.เลือกซื้อชุดนอนแบบผ้าคอตตอนมาสวมใส่ 10.อาบน้ำก่อนนอนช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย 11.ปิดไฟก่อนนอนช่วยลดปริมาณความร้อนได้ 12.วางถังน้ำไว้แช่เท้าไว้ที่ปลายเตียง 13.นอนชั้นล่างอากาศจะเย็นที่สุด 14.ดึงปลั๊กไฟที่ไม่ใช้งานออกให้หมด 15.ทำแอร์ใช้เอง   อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ทางลัดลดค่าไฟ 15 วิธีจัดห้องนอนให้เย็นสบายโดยไม่เปิดแอร์ -บทความ “5 วิธีลดร้อนให้บ้าน” นอกจากนี้ เรายังมีการนำเสนอเทคนิคและวิธีการอีก 5 วิธีที่ไม่น่าเชื่อว่าจะช่วยลดความร้อนให้บ้านได้ แถมยังมีผลกับการช่วยลดค่าไฟฟ้าได้อีกด้วย ดังนี้ 1.Façade ช่วยได้ 2.ติดฟิลม์กรองแสงลดความร้อนสิ! 3.เปลี่ยนผ้าม่าน ชีวิตก็เปลี่ยน… 4.ต้นไม้ก็ช่วยได้นะ 5.ติดฉนวนกันความร้อน   อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม 5 วิธีลดร้อนให้บ้าน -บทความ “ลดความร้อนที่ผนังก่ออิฐฉาบปูนได้อย่างไรบ้าง” ส่วนบทความนี้ เป็นวิธีที่ใช้ได้ผลจริง แต่อาจจะต้องลงทุนเพิ่ม และต้องพึ่งพาช่างผู้ชำนาญการเข้ามาช่วย เป็นงานที่เราอาจจะทำเองไม่ได้ แต่ก็ช่วยทำให้บ้านเย็น และประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ด้วย อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้​ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ลดความร้อนที่ผนังก่ออิฐฉาบปูนได้อย่างไรบ้าง ทั้งหมดนี้ ก็เป็นบทความ สาระ ความรู้ ที่เราเคยนำเสนอไว้แล้ว แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหน ก็ยังมีประโยชน์ และช่วยให้ประหยัดค่าไฟได้จริง ไม่เชื่อต้องลองทำตามและพิสูจน์ด้วยตัวคุณเอง
ไขข้อสงสัย? บ้านแบบไหนเหมาะกับ การติดโซลาร์เซลล์ และ 7 เรื่องควรรู้

ไขข้อสงสัย? บ้านแบบไหนเหมาะกับ การติดโซลาร์เซลล์ และ 7 เรื่องควรรู้

การติดโซลาร์เซลล์ การติดโซลาร์เซลล์ บนหลังคาอาคาร หรือที่พักอาศัย เป็นแนวทางหนึ่งที่เข้ามาช่วยประหยัดค่าไฟฟ้าได้อย่างมาก โดยเฉพาะหากคิดถึงความคุ้มค่าในระยะยาว เพราะเป็นการลงทุนครั้งเดียว และเป็นการใช้พลังงานธรรมชาติที่ไม่ต้องลงทุนเพิ่มเติม ยกเว้นแต่การดูแลรักษา และการซ่อมบำรุงตามอายุการใช้งาน โดยเฉพาะตอนนี้อากาศเมืองไทยร้อนกันสุด ๆ แดดแรงแทบจะเผาผิวเราให้ไหม้ได้เลย ถ้าขืนไปยืนอยู่กลางแดดนาน ๆ โดยไม่ได้มีการป้องกัน ทำให้คนส่วนใหญ่เลือกจะอยู่แต่ภายในอาคาร เปิดเครื่องปรับอากาศเย็น ๆ เพื่อความสบายตัว ลดความเสี่ยงออกไปสัมผัสอากาศร้อนภายนอก   เมื่อต้องอยู่แต่ภายในอาคาร หรือบ้านเรือน ที่พักอาศัย แถมต้องเปิดเครื่องปรับอากาศ หรือ พัดลมเป็นเวลานาน ๆ แน่นอน ค่าไฟฟ้าเพิ่มสูงขึ้นแน่นอน แม้ว่าจะใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าแบบประหยัดไฟเบอร์ 5 ก็ตาม แต่ช่วงหน้าร้อนแบบนี้ ค่าไฟฟ้าสูงขึ้นสูงสุดของปี การติดโซลาร์เซลล์ จึงน่าจะเป็นตัวช่วยที่ดีในการประหยัดค่าไฟฟ้า บ้านแบบไหนเหมาะกับ การติดโซลาร์เซลล์ ระบบโซลาร์เซลล์ หรือระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ถือเป็นพลังงานทางเลือกที่ได้รับความนิยมมากขึ้น​ เพราะนอกจากจะเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแล้ว ปัจจุบันราคายังถูกลงกว่าในอดีตค่อนข้างมาก และยิ่งในระยะยาวก็มีความคุ้มค่า เพราะเป็นการลงทุนครั้งเดียว ไม่นับรวมกับการซ่อมบำรุง และในอนาคตโซลาร์จะเป็นหนึ่งในพลังงานที่สามารถทดแทนพลังงานหลักได้หากมีความต้องการใช้ไฟฟ้าที่มากขึ้น   ปัจจุบันดีเวลลอปเปอร์ที่พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ก็ใชระบบโซลาร์เซลล์ ที่มีการติดตั้งตามอาคารหรือบ้านมาเป็นหนึ่งจุดขายสำคัญ เพราะช่วยทำให้คนที่อยู่บ้านลดค่าใช้จ่ายจากค่าไฟฟ้าลงได้มาก ทำให้ระบบโซลาร์เซลล์ ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนบ้านไหนที่ยังไม่ได้ติดตั้งโซลาร์เซลล์ แล้วมีความสนใจที่จะนำมาติดตั้งบ้าง คงต้องศึกษาข้อมูลและวัดความคุ้มค่าดูก่อน เพื่อใช้เป็นเกณฑ์ปรกอบการตัดสินใจ เพราะแม้ว่าปัจจุบันราคาโซลาร์เซลล์จะถูกลง แต่ก็ต้องใช้งบประมาณมากพอสมควร ​   สำหรับบ้านที่จะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ควรมีพื้นที่บนหลังคาหรือดาดฟ้าที่รับแสงได้ดี โดยทิศใต้จะรับแสงได้ดีที่สุด ส่วนทิศเหนือจะรับแสงได้น้อยที่สุด การติดตั้งจะใช้พื้นที่ประมาณ 14 – 18 ตารางเมตรขึ้นไป และพื้นที่ติดตั้งต้องรับน้ำหนักได้ประมาณ 20 กิโลกรัมต่อตารางเมตรขึ้นไปด้วย ซึ่งบ้านที่เหมาะกับการติดตั้งระบบโซลาร์จะเป็นบ้านแบบไหนบ้าง มาดูกัน -บ้านที่มีการใช้ไฟระหว่างวันมาก เช่น บ้านที่มีผู้อยู่อาศัยช่วงเวลากลางวัน อาคารโฮมออฟฟิศ ร้านอาหารที่มีการเปิดแอร์ตลอดวัน ส่วนใครที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้า การชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ช่วงกลางวันถือว่าเหมาะมาก เพราะเป็นช่วงที่สามารถใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ได้เต็มที่ ช่วยลดการใช้ไฟจากการไฟฟ้าได้เป็นอย่างดี -เจ้าของบ้านที่อยากมีส่วนร่วมในการใช้พลังงานสะอาด และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยการติดตั้งระบบโซลาร์จะช่วยลดการเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกได้ นอกจากนี้ การติดโซลาร์เซลล์ยังช่วยให้บ้านเย็นขึ้นด้วย เพราะเหมือนมีหลังคาอีกชั้นช่วยบังแดดไว้ -บ้านที่ต้องการประหยัดค่าไฟในระยะยาว การติดโซลาร์ เป็นการตอบรับการมาของโลกยุคดิจิทัล ที่ค่าไฟมีแนวโน้มสูงขึ้นทุกปี โดยบ้านที่มีค่าไฟเกิน 3,000 บาทต่อเดือน มีความเหมาะสมที่จะติดโซลาร์เซลล์ 7 ข้อต้องรู้ในการติดตั้งโซลาร์เซลล์ สำหรับบ้านไหน หรืออาคารไหน ที่ต้องการจะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ หรือโซลาร์รูฟท็อป คงต้องทำการศึกษาหาข้อดีข้อเสีย วางแผนด้านการติดตั้ง เพราะว่าจะต้องมีขั้นตอนการขออนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการวางแผนงบประมาณ  ข้อมูลด้านการใช้งาน การดูแล และบำรุงรักษา เพื่อจะได้เข้าใจระบบการทำงาน ลดปัญหาที่จะเกิดขึ้นภายหลังด้วย โดยแนวทางการติดโซลาร์เซลล์  มี 7 เรื่องสำคัญที่จะต้องทำความเข้าใจ และต้องปฏิบัติ ดังนี้ 1.เช็คพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าในบ้านด้วย บิลค่าไฟฟ้าย้อนหลัง 3 เดือน – 1 ปี ก่อนจะหาสเปคแผงโซลาร์เซลล์ หรือคิดว่าบ้านเราจะต้องติดตั้งกี่แผงดี? หยุดความคิดนั้นก่อน เพราะสิ่งที่ต้องทำอันดับหนึ่งคือต้องคำนวนว่าบ้านเราใช้ไฟฟ้ามากน้อยแค่ไหน ด้วยการดูบิลค่าไฟฟ้าย้อนหลัง 3 เดือน – 1 ปี เพราะพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าของเราจะเป็นเหมือนแนวทางให้เราสามารถตัดสินใจได้ว่าเราจะติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่มีกำลังผลิตเท่าไร 2.สำรวจปริมาณการใช้ไฟฟ้าทั้งกลางวันและกลางคืน ลองดูว่าปริมาณที่เราใช้ไฟฟ้าในตอนกลางวันมากน้อยแค่ไหน เอามาเปรียบเทียบกับปริมาณการใช้ไฟฟ้าในตอนกลางคืน เราจะได้เห็นว่าถ้าเราจะสามารถลดค่าไฟฟ้าช่วงกลางวันไปได้เท่าไรหากติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป 3.เช็คค่าใช้จ่ายในการติดตั้ง สำหรับค่าใช้จ่ายในการติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ขอเปรียบเทียบกับข้อมูล ดังนี้ หากเราต้องการติดตั้งโซลาร์เซลล์ที่มีกำลังติดตั้ง 1,000 วัตต์ จะมีค่าใช้จ่ายเริ่มต้นที่ 25,000 บาท ถึง 35,000 บาท ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่รวมทุกๆอย่างแล้วทั้ง ค่าบริการติดตั้ง ค่าใช้จ่ายในการขออนุญาตติดตั้ง ทั้งนี้ การติดตั้ง 1,000 วัตต์หรือ 1 กิโลวัตต์ สามารถลดค่าไฟฟ้าได้ประมาณ 500-800 บาทต่อเดือน 4.สำรวจพื้นที่สำหรับติดตั้งและการยื่นเรื่องขออนุญาตติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ เมื่อเราสำรวจการใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน และเลือกปริมาณในการผลิตแล้ว ให้เราแจ้งขออนุญาตติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ที่เขตโยธาท้องถิ่นที่เราอาศัยอยู่ ทางเขตโยธาจะส่งวิศวกรมาสำรวจหลังคาบ้านของเราว่ามีความพร้อมติดตั้งหรือไม่ หรือจะต้องซ่อมแซมหลังคา หรือต้องเพิ่มเติมอะไรเพื่อให้ติดตั้งแผงได้โดยปลอดภัย หลังจากเช็คความพร้อมของหลังคาบ้านแล้ว เราจะต้องทำเรื่องขออนุญาตการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA) หรือการไฟฟ้านครหลวง(กฟน.)ในเขตพื้นที่ ที่บ้านเราตั้งอยู่โดยส่งแบบแปลน 2 แบบไปให้การไฟฟ้าฯ พิจารณา แบบที่1 เรียกว่า “ส่งแบบ Single Line Diagram” เป็นแปลนระบบไฟฟ้า และ 2 เป็นแปลนอินเวอร์เตอร์ 5.ยื่นเรื่องกับคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เมื่อเราได้รับการพิจารณาจากเขตโยธาท้องถิ่น และการไฟฟ้าฯเรียบร้อยแล้ว ให้เรานำเอกสารที่ได้รับมายื่นเรื่องต่อไปที่ คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) เพราะเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ รับเรื่องและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการขอใบอนุญาตการประกอบกิจการ พลังงานตามประเภท ขนาดและลักษณะของกิจการพลังงาน ตลอดจน ตรวจสอบการและสนับสนุนการดำเนินการตามหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขการออกใบอนุญาตทั้งก่อนและหลังในเขตพื้นที่ที่รับผิดชอบ กกพ.จะพิจารณาว่าเราสามารถติดตั้งโซลาร์เซลล์ได้หรือไม่ 6.เริ่มติดตั้งโซลาร์เซลล์  ขั้นตอนที่ 6 นี้เป็นขั้นตอนที่สำคัญเพราะเราจะต้องเริ่มขึ้นหลังคาแล้ว โดยเราจะต้องเตรียมตัวดังนี้ -เลือกทีมช่างที่มีความชำนาญการ เลือกใช้บริษัทที่มีความน่าเชื่อถือ มีประวัติการติดตั้ง และเคยรับงานมากน้อยแค่ไหน ลักษณะงานขนาดเล็กใหญ่แค่ไหน -เลือกใช้อินเวอร์เตอร์ที่มีคุณภาพ -เลือกแผงโซลาร์เซลล์และรุ่นของแผงที่เหมาะสม เมื่อช่างมาติดตั้ง เราจะต้องเช็คว่าสิ่งที่ช่างแนะนำก่อนหน้านี้ กับอุปกรณ์ที่นำมาติดจริงตรงกันหรือไม่  อย่างไรก็ดียังไม่ต้องกังวลไป เพราะจะมีวิศวกรจากโยธาเขตท้องถิ่นมาตรวจเช็คอีกครั้ง ว่าอุปกรณ์ได้มาตรฐานหรือไม่ 7.การใช้งาน การดูแลรักษา และการรีไซเคิล เมื่อติดตั้งแล้วเสร็จ ก็เป็นหน้าที่ของเราเจ้าของบ้านที่จะเป็นคนดูแลรักษา เบื้องต้นคือการล้างแผงโซลาร์เซลล์ไม่ให้มีฝุ่นหรือสิ่งสกปรกมาเกาะเพราะจะลดประสิทธิภาพการผลิตพลังงานไฟฟ้าของแผงโซลาร์เซลล์เพียงแค่ใช้น้ำสะอาดฉีดล้างและใช้ผ้าเช็ดให้แห้ง แผงโซลาร์เซลล์จะสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับบ้านเรานานประมาณ 25 ปีโดยมาตรฐาน  (หากดูแลรักษาดีสามารถใช้งานนานถึง 30 ปี) เมื่อแผงโซลาร์หมดอายุการใช้งานแล้วก็จะต้องนำแผงเข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลแผงโซลาร์ซึ่งปัจจุบันมีเทคโนโลยีนำร่องที่สามารถรีไซเคิลแผงโซลาร์เซลล์ได้แล้ว   ทั้งหมดนี้เป็นข้อมูลสำหรับการใช้พิจาณา และประกอบการตัดสินใจ รวมถึงขั้นตอนการดำเนินการติดตั้ง  ซึ่งบ้านไหนจะติดตั้งโซลาร์เซลล์ ก็ควรหาข้อมูลให้รอบด้าน ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ และดำเนินการต่าง ๆ ให้ถูกต้อง เพื่อที่จะได้มีพลังงานได้ใช้ในต้นทุนที่ประหยัดลง   CR : SCB, Greenpace Thailand อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง SENA ส่ง “ทาวน์โฮมติดโซลาร์” 1 กิโลวัตต์ รับกระแส Work Form Home
7 ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ของคนยุคดิจิทัล

7 ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ของคนยุคดิจิทัล

ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 วิถีชีวิตของคนในยุคปัจจุบัน ก็เปลี่ยนไปมากมาย ไม่ใช่แค่ไลฟ์สไตล์เวลาอยู่นอกบ้าน ที่จะต้องสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือให้สะอาดบ่อย ๆ เข้าสถานที่ต่าง ๆ ต้องตรวจวัดอุณหภูมิ และการเว้นระยะห่างทางสังคม แต่การอยู่อาศัยในบ้านก็เปลี่ยนแปลงไป ในลักษณะเช่นเดียวกัน เมื่อพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนยุคโควิด-19 เปลี่ยนไปเช่นนี้ ย่อมส่งผลถึงการเลือกที่อยู่อาศัย ซึ่งให้ความสำคัญกับบ้านที่เข้ามาตอบสนองวิถีชีวิต ภายใต้สถานการณ์โรคระบาดเช่นนี้ ซึ่งมีแนวทางการเลือกอยู่อาศัยในบ้านที่ไม่ได้เหมือนในอดีตแล้ว  จึงถือเป็นหน้าที่สำคัญที่บรรดาดีเวลลอปเปอร์ จะต้องพัฒนาที่อยู่อาศัยออกมา ให้ตรงกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป   จากแบบสอบถาม DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study ล่าสุด ที่เผยให้เห็นทัศนคติและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากผลกระทบของโควิด-19 โดย 2 ใน 3 ของผู้บริโภค หรือ สัดส่วน 66% เห็นว่า ต้องหลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่แออัด  ขณะที่ความเห็นเกือบครึ่ง หรือสัดส่วน 42%  เลือกที่จะหลีกเลี่ยงการไปรับประทานอาหารนอกบ้านบ่อย ๆ โดยเกือบ 1 ใน 3 ของผู้บริโภค หรือสัดส่วน 31% ยังคงกังวลใจเกี่ยวกับการแพร่ระบาด เนื่องจากผู้ใกล้ชิดจะได้รับผลกระทบ และมีเพียง 1% เท่านั้นที่ผู้บริโภคมองว่าโควิด-19 ไม่ได้มีผลต่อการดำเนินชีวิตของพวกเขาเลย   สำหรับผลกระทบต่อการอยู่อาศัย ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาด ที่ส่งผลในเรื่องการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย จาก​ แบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด  ระบุว่า ผลกระทบของโควิด-19 ที่กลายมาเป็นปัจจัยเร่งให้ผู้บริโภคเปลี่ยนมุมมองและพฤติกรรมการเลือกที่อยู่อาศัยไปจากก่อนยุค New Normal โดยมองหาบ้านที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคใหม่ด้วยเช่นกัน  ซึ่งสรุปออกมาเป็น 7 ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย หรือก็คือ ปัจจัยที่ผู้บริโภคใช้เป็นเกณฑ์ตัดสินใจในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยนั่นเอง 7 ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ของคนยุคดิจิทัล 1.Work from Home กับการลาออกครั้งใหญ่ ในช่วงมีการแพร่ระบาดหนัก ๆ มาตรการทำงานจากที่บ้าน หรือ Work from Home เป็นวิธีหลักที่แทบทุกองค์กรนำมาใช้ เพื่อให้ธุรกิจยังเดินหน้าขณะที่พนักงานก็ปลอดภัย ไม่เสี่ยงต่อการได้รับเชื้อโรค มีหลายองค์กรที่ใช้มาตรการ Work from Home นานนับปี ทำให้ปัจจุบันพนักงานจำนวนมาก คุ้นชินกับวิถีชีวิตแบบนี้ และยังมองว่าเป็นแนวทางการทำงานที่ปลอดภัย ทั้งต่อตัวเองและบุคคลในครอบครัวด้วย   การสำรวจพบว่า ผู้บริโภคมากกว่าครึ่ง (59%) ตั้งใจหางานที่อนุญาตให้ Work from Home ได้มากขึ้น เนื่องจากเห็นความสำคัญของการได้ใช้ชีวิตกับครอบครัวและต้องการรักษาระยะห่างในสังคม นอกจากนี้ในช่วง Work from Home ที่ผ่านมา ผู้บริโภคต่างได้ปรับปรุงพื้นที่ใช้สอยเพื่อสร้างบรรยากาศที่บ้านให้รองรับการทำงานออนไลน์ไปแล้ว จึงอาจยังไม่เห็นความจำเป็นในการกลับไปทำงานที่ออฟฟิศ ในสหรัฐอเมริกา พบว่า เกิดกระแสการลาออกระลอกใหญ่ของมนุษย์เงินเดือน (The Great Resignation) หลังจากสถานการณ์โรคระบาดคลี่คลาย และมีการกลับมาทำงานที่ออฟฟิศเหมือนเดิม ในประเทศไทยก็มีโอกาสจะเกิดขึ้นแบบนี้ได้เช่นกัน​ หากองค์กรให้พนักงานกลับมาทำงานที่ออฟฟิศเหมือนเดิม ขณะที่ยังมีการแพร่ระบาดของโรคจำนวนมาก 2.คนเลือกซื้ออสังหาฯ ผ่านโลกออนไลน์ มากขึ้น ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19  เครื่องมือทางการตลาดสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ทุกองค์กรหยิบมาใช้ คือ การตลาดออนไลน์ ซึ่งเป็นเครื่องมือเข้าถึงคนได้ง่ายและปลอดภัย บริษัทอสังหาริมทรัพย์แทบจะทุกบริษัทก็ได้เอาการลาดออนไลน์ มาใช้เป็นช่องทางการซื้อขายที่อยู่อาศัย หรือบริหารการตลาด  ทำให้ออนไลน์ที่เดิมเป็นเพียงแหล่งค้นหาข้อมูลโครงการที่อยู่อาศัย กลายมาเป็นเครื่องมือในการซื้อขายสำคัญ ​ โดยมากกว่าครึ่งของผู้บริโภคเลือกใช้ช่องทางออนไลน์ในการคัดเลือกโครงการที่อยู่อาศัยที่สนใจ (54%) และเยี่ยมชมโครงการเสมือนจริง (52%) นอกจากนี้ยังพบว่า 1 ใน 5 ของผู้บริโภค (20%) มีการเซ็นสัญญาซื้อขายผ่านออนไลน์ สะท้อนให้เห็นการปรับตัวและใช้ประโยชน์จากโลกออนไลน์ทั้งในฝั่งผู้ซื้อและผู้ขายได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่า หากโครงการไหนไม่มีช่องทางออนไลน์  คงไม่ไดอยู่ในลิสต์ที่ผู้บริโภคจะเลือกซื้อแน่นอน 3.Cryptocurrency เพิ่มโอกาสให้คนรุ่นใหม่ซื้อบ้าน   การเข้ามามีบทบาทของสกุลเงินดิจิทัล หรือ Cryptocurrency ที่นอกจากจะเป็นการลงทุนที่เห็นผลตอบแทนเร็วแล้ว ผลตอบแทนจากการลงทุนในสกุลเงินนี้ยังถือเป็นช่องทางที่สร้างโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยที่มีราคาสูงได้ง่ายขึ้นอีกด้วย จากแบบสอบถามฯ พบว่า มากกว่าครึ่งของผู้บริโภค (57%) สนใจที่จะใช้สกุลเงินดิจิทัลในการซื้อบ้าน/คอนโดฯ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ซึ่งเปิดรับเทคโนโลยีและเรียนรู้สิ่งใหม่ได้เร็วนั้น มีแนวโน้มสนใจซื้อบ้านด้วยสกุลเงินดิจิทัลสูงตามไปด้วย โดยกลุ่มช่วงอายุ 22-29 ปี ให้ความสนใจถึง 71% ในขณะที่ช่วงอายุ 30-39 ปี สนใจถึง 61% 4.“มาตรการภาครัฐ” ปัจจัยบวกกระตุ้นซื้อบ้าน   มาตรการภาครัฐ ถือเป็นปัจจัยบวกกระตุ้นความต้องการซื้อบ้าน และปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย จากสภาพเศรษฐกิจยังคงไม่ฟื้นตัว ผู้บริโภคจึงเลือกที่จะวางแผนการเงินอย่างรัดกุมและชะลอการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปก่อน เพราะต้องการรักษากระแสเงินสดเอาไว้ มาตรการจากภาครัฐที่ออกมา อาทิ การลดค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองทั้งบ้านใหม่และบ้านมือสอง การผ่อนคลายมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ชั่วคราวของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้กลายเป็นปัจจัยบวกที่มีแนวโน้มจะส่งผลให้ความต้องการซื้อของผู้บริโภคเติบโต   โดย 7 ใน 10 ของผู้บริโภคเผยว่าตั้งใจจะซื้อที่อยู่อาศัยในอนาคต หลังจากที่ผู้บริโภคได้มีการปรับตัวและเรียนรู้ที่จะอยู่กับโควิด-19 ได้ดีขึ้น ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างที่อยู่อาศัยเริ่มปรับตัวสูงขึ้น และผู้พัฒนาอสังหาฯ มีแนวโน้มปรับราคาขายเพิ่มขึ้นเช่นกัน รวมไปถึงผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้งนอกประเทศที่อาจส่งผลให้แนวโน้มราคาสินค้าและภาวะเงินเฟ้อในไทยปรับตัวสูงขึ้น ได้กลายเป็นอีกปัจจัยเร่งให้เกิดการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย เห็นได้จากการที่ผู้บริโภควางแผนซื้อที่อยู่อาศัยภายใน 2 ปีมีถึง 45% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากผลสำรวจรอบที่แล้ว (39%) สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการซื้อบ้านที่มีแนวโน้มสูงขึ้น 5.วางแผนรองรับแผนเกษียณ   คนวางแผนซื้อบ้านเพื่อรองรับแผนเกษียณ เป็นอีกปัจจัยที่มาช่วยตัดสินใจการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของคนยุคปัจจุบัน เพราะจากการสอบถาม  พบผู้บริโภคมากกว่า 3 ใน 4 (78%) ที่เป็นเจ้าของบ้านอยู่แล้วยังคงต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่ม โดยมองว่าการซื้ออสังหาฯ เพิ่มนั้นไม่ได้ตอบโจทย์การอยู่อาศัยเท่านั้น แต่วางแผนต่อยอดการใช้ชีวิตเพื่อความมั่นคงในอนาคตด้วย โดยเป้าหมายยอดนิยมของการซื้อบ้านเพิ่มอันดับต้น ๆ ของผู้บริโภค คือ ซื้อไว้รองรับแผนเกษียณอายุในอนาคต (31%) ตามมาด้วยการซื้อให้ญาติหรือพี่น้อง (28%) และซื้อปล่อยเช่าสร้างรายได้ระยะยาว (26%) นอกจากนี้ ยังพบว่า 46% ของผู้บริโภคที่เป็นเจ้าของบ้านปัจจุบันนั้นยังมีแผนที่จะซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มภายในช่วง 1 ปีข้างหน้านี้ สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อและมีความพร้อมทางการเงินกลับมามีความมั่นใจที่จะจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น 6.บ้านต้องส่งเสริม “สุขภาพ” ปัจจัยเรื่องของสุขภาพ เป็นเทรนด์ที่มีมาก่อนหน้าจะเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แล้ว เมื่อเกิดสถานการณ์โรคระบาดขึ้น ยิ่งเข้ามาตอกย้ำเพิ่มน้ำหนักในเรื่องนี้มากขึ้น คนส่วนใหญ่​เกือบ 2 ใน 3 ของผู้บริโภคปัจจุบัน (63%) หันมาให้ความสำคัญกับไลฟ์สไตล์ที่ส่งเสริมการสร้างสุขภาพที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในกลุ่มผู้สูงอายุ เนื่องจากมองว่าการมีร่างกายที่แข็งแรงและพฤติกรรมสุขภาพที่ดีจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย และช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัส นอกจากการดูแลสุขภาพแล้ว ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังตระหนักถึงความสำคัญของการมีสถานบริการสุขภาพอยู่ใกล้ที่อยู่อาศัยแม้ว่าการแพร่ระบาดฯ จะหมดไปก็ตาม โดยแผนการดูแลสุขภาพในอนาคตของผู้บริโภคถึง 88% เผยว่าต้องการเช่าหรือซื้อที่อยู่อาศัยที่อยู่ใกล้โรงพยาบาลมากที่สุด ตามมาด้วย 45% มองหาที่อยู่อาศัยใกล้ร้านขายยา และ 37% มองหาที่อยู่อาศัยใกล้ศูนย์บริการด้านสุขภาพเฉพาะทาง เพื่อวางแผนรองรับการใช้ชีวิตระยะยาวที่ต้องการความสะดวกสบายในการเดินทางไปพบแพทย์หรือตรวจเช็กสุขภาพ 7.รถยนต์ไฟฟ้าตัวแปรสำคัญเมื่อคิดซื้อบ้าน   รถยนต์ไฟฟ้าเป็นเทรนด์ที่ยังมาแรงไม่มีตก ยิ่งช่วงที่ผ่านมาราคาเชื้อเพลิงปรับตัวขึ้นสูง และภาครัฐมีการกำหนดทิศทางการพัฒนาและขับเคลื่อนมาตรการสนับสนุนฯ รถยนต์ไฟฟ้าที่ชัดเจนมากขึ้น ทำให้คนสนใจการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น และนับจากนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่คนจะเลือกซื้อบ้าน ด้วยการดูว่าโครงการมีการเตรียมอุปกรณ์รองรับกับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าหรือไม่  ตัวแปรสำคัญเมื่อคิดซื้อบ้าน เมื่อน ส่งผลให้กระแสความสนใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในไทยกลับมาอีกครั้ง จากผลสำรวจ พบว่า โดย 2 ใน 3 ของคนหาบ้าน (67%) เผยว่ายินดีที่จะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อซื้อบ้าน/คอนโดฯ ที่มีจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ารองรับ เนื่องจากผู้บริโภคคำนึงถึงความยั่งยืนของการใช้ชีวิตในอนาคต การซื้อที่อยู่อาศัยแต่ละครั้งถือเป็นเรื่องใหญ่ จึงต้องคิดอย่างรอบคอบ มองไปถึงฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในระยะยาวให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้ายังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกทางหนึ่ง ถือเป็น ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย สำคัญในสถานการณ์เช่นนี้   ทั้งหมดนี้ ก็คงกล่าวได้ว่า เป็น 7 ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ที่สำคัญซึ่งผู้บริโภคยุคการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะใช้เป็นเกณฑ์ในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย หรือใช้ตัดสินใจว่าจะเลือกซื้อโครงการไหนดี ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการก็เอาปัจจัยทั้งหมด มาเป็นแนวทางการพัฒนาโครงการในอนาคตด้วย เพราะต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้า เพื่อสร้างยอดขายและกำไรอย่างต่อเนื่องนั่นเอง   CR: DDproperty   บทความที่เกี่ยวข้อง 7 วิธีปรับปรุงบ้านเพื่อผู้สูงอายุ ด้วยตัวเอง
ไนท์แฟรงค์  มองตลาดอสังหาฯ 65 บ้าน 10 ล้านมาแรง  ​คอนโด จ่อเปิดตัวใหม่ 10,000 ยูนิต

ไนท์แฟรงค์ มองตลาดอสังหาฯ 65 บ้าน 10 ล้านมาแรง ​คอนโด จ่อเปิดตัวใหม่ 10,000 ยูนิต

ไนท์แฟรงค์ มองตลาดอสังหาฯ 65 ส่งสัญญาณบวก บ้าน 10 ล้านอัพดาวรุ่ง เหตุกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง ซัพพลายน้อย ขณที่ตลาดคอนโด จ่อเปิดตัว 10,000 ยูนิต แต่ยังห่วงปัญหาเงินเฟ้อ ราคาต้นทุนพุ่ง กดดันภาวะตลาดและกำลังซื้อ แม้รัฐกระตุ้นตลาดยืดระยะเวลา มาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนถึงสิ้นปี   หลังจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เกิดขึ้นในช่วง 1-2 ปีแรก จนถึงปี 2565 ในปัจจุบัน ตลาดอสังหาฯ ก็ปรับตัวได้ดีขึ้น สภาพตลาดเริ่มมีทิศทางฟื้นตัว เห็นได้จากการที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ ประกาศแผนธุรกิจที่จะรุกตลาดกันอย่างหนัก และแผนการเปิดตัวโครงการจำนวนมาก จากช่วง 2 ปีที่ผ่านมาได้หยุดและชะลอแผนการเปิดตัวโครงการใหม่   นายสัญชัย คูเอกชัย ผู้อำนวยการและหัวหน้าส่วนงานวิจัยและที่ปรึกษา บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด ได้ฉายภาพตลาดอสังหาฯ ในปี 2565 ว่า ตลาดอสังหาฯ ที่มีแนวโน้มเติบโตดีและส่งสัญญาณเป็นบวก คือกลุ่มบ้านระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ​ส่วนตลาดคอนโดมิเนียมก็มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น หลังจากที่ผู้ประกอบการหยุดพัฒนาโครงการ และปีนี้ได้ประกาศแผนการเปิดตัวโครงการมากขึ้น   แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยน่าจับตายังคงมีให้เห็น โดยเฉพาะเรื่องของต้นทุนด้านต่าง ๆ ที่แนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นจากปัจจัยเรื่องสภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งจะส่งผลให้ราคาขายของอสังหาฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามมาด้วย แม้ว่าปัจจัยบวกที่จะช่วยกระตุ้นตลาดยังมีอีกหลายประการ เช่น มาตรการของภาครัฐ การผ่อนปรนมาตรการ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ตลาดบ้าน 10 ล้านขึ้น โตต่อเนื่อง แนวโน้มตลาดบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ในปี 2565 ส่งสัญญาณบวก และเป็นตลาดที่แข็งแกร่งจากศักยภาพของกลุ่มผู้มีกำลังซื้อสูง แม้ปี 2564 ที่ผ่านมาดีเวลลอปเปอร์ พัฒนาโครงการแนวรามมากขึ้น  แต่บ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ยังมีการพัฒนาออกมาไม่มากนัก ​แต่ความต้องการบ้านระดับราคา 10 ล้านบาท ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ถือว่าเป็นกลุ่มสำคัญที่สามารถทำรายได้ให้กับดีเวลลอปเปอร์​ที่พัฒนาโครงการบ้านแนวราบกลุ่มนี้ในระยะที่ผ่านมา แม้ความต้องการของบ้านกลุ่มนี้จะมีค่อนข้างจำกัด   สาเหตุสำคัญที่ทำให้บ้านยังคงได้รับการตอบรับที่ดี เป็นผลจากการระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้พฤติกรรมการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตแบบ New Normal  คนมีความต้องการพื้นที่อยู่อาศัยจากเดิมมากขึ้น และยังคงสอดคล้องกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน  รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีที่นำมาใช้กับบ้าน รวมไปถึงทำเลโครงการอยู่ในโซนที่เดินทางง่าย บทสรุปตลาดบ้านราคา 10 ล้านอัพ ช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ความต้องที่การอยู่อาศัย เปลี่ยนแปลงไป ผู้คนต้องอยู่อาศัยในบ้านกันมากขึ้น และอยู่ด้วยกันหลายคน มาตรการหนึ่งของการลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 คือ การเว้นระยะห่างทางสังคม ส่งผลให้ความต้องการพื้นที่อยู่อาศัยที่มากขึ้น ประกอบกับการต้องทำกิจกรรมต่าง ๆ ภายในบ้าน ดังนั้น ตลาดบ้านแนวราบจึงกลายเป็นพระเอกสำคัญของตลาดอสังหาฯ ที่ยังสามารถสร้างการเติบโตได้   ในปี 2565 ทิศทางตลาดก็ยังไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงไปจากที่ผ่านมา ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงต้องอยู่อาศัยในบ้าน และต้องการพื้นที่การทำกิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งในบรรดาตลาดบ้านแนวราบ ที่น่าจับตามองและมีทิศทางการเติบโตอย่างน่าสนใจ คือ กลุ่มบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป เพราะฐานลูกค้าสำคัญเป็นกลุ่มคนกำลังซื้อสูง ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว หรือภาวะเงินเฟ้อ เมื่อเทียบกับฐานลูกค้ากลุ่มอื่น โดยบทสรุปของตลาดบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปที่น่าสนใจในปี 2564 และแนวโน้มภาวะตลาดในปี 2565 มีดังนี้   1.จำนวนใบอนุญาตบ้านในระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ที่ได้รับการอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดิน (ทั้งโครงการ) พบว่า ตั้งแต่ปี 2560 ถึง ปี 2564 มีการอนุญาตจัดสรรที่ดิน สำหรับกลุ่มบ้านที่มีระดับราคาขาย 10 ล้านบาทขึ้นไป จำนวนทั้งสิ้น 10,087 ยูนิต   2.ปี 2564 พบว่ามีใบอนุญาตจัดสรรที่ดินในกลุ่มบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป​ อยู่ที่ 1,785 ยูนิต   3.สิ้นปี 2564 บ้านระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาท ขึ้นไป มีเหลือขายประมาณ 197 โครงการ มีจำนวนสะสมทั้งสิ้น 20,434 ยูนิต   4.อัตราการขายช่วงสิ้นปี 2564 มีอัตราการขายเพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบจากปีก่อนหน้าที่ 61% โดยมีจำนวนยูนิตขายได้ทั้งสิ้น 14,766 ยูนิต คิดเป็นอัตราการขาย 72%   5.ตลอดทั้งปี 2564 มีจำนวนยูนิตขายได้ใหม่ 3,100 ยูนิต ซึ่งเป็นจำนวนค่อนข้างสูง เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2563 สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตของตลาดที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง เป็นโอกาสอันดีของดีเวลลอปเปอร์ที่จะพัฒนาบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปออกมาทำตลาด   6.ความต้องการบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป -บ้านที่มีระดับราคาขายระหว่าง 10-20 ล้านบาท มีดีมานด์สูงสุดเพิ่มมาอยู่ที่ 8,043 ยูนิต -บ้านที่มีระดับราคาขายระหว่าง 21-30 ล้านบาท มีดีมานด์อยู่ที่ 2,816 ยูนิต -บ้านที่มีระดับราคาขายระหว่าง 31-40 ล้านบาท มีดีมานด์อยู่ที่ 2,102 ยูนิต   7.อัตราการขายของกลุ่มบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป -บ้านที่มีราคาสูงกว่า 100 ล้านบาท อัตราการขายสูงสุดอยู่ที่ 90% เพราะจำนวนบ้านในระดับราคานี้มีอยู่จำกัด ทำให้อัตราการขายสูงที่สุด -บ้านราคา 51-60 ล้านบาท มีอัตราการขายอยู่ในอัตรา 83% -บ้านราคา 31-40 ล้านบาท มีอัตราการขายอยู่ในอัตรา 82% -บ้านราคา 61-70 ล้านบาท อัตราการขายต่ำที่สุด และมีความต้องการต่ำที่สุด 8.แนวโน้มตลาดบ้านราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ในปี 2565  ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากฐานกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูง ยังมีความต้องการ และพฤติกรรมการใช้ชีวิตตามวิถี New Normal   9.กลุ่มผู้ซื้อ Gen Y คือกลุ่มอายุ 22-38 ปี จะเข้ามาหนุนตลาดบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ให้เติบโต เป็นกลุ่มผู้ที่จะเข้ามาซื้อบ้านในระดับราคาดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น ​เนื่องจากช่วงวัยของกลุ่มผู้ซื้อกำลังเปลี่ยนไป เป็นช่วงอายุที่อยู่ในระหว่างการเปลี่ยนแปลง เช่น ต้องการขยายครอบครัวหรือสร้างครอบครัว รวมไปถึงการทำเป็นออฟฟิศในบ้านพร้อมอยู่อาศัยไปด้วย ซึ่งรูปแบบบ้านประเภทดังกล่าวมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตรงไลฟ์สไตล์กลุ่มผู้ซื้อได้อย่างดี   นอกจากนี้ กลุ่ม Gen Y ยังเป็นกลุ่มที่เน้นประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัวส่วนมากกว่าการเป็นพนักงานเงินเดือน หรือแม้แต่การรับช่วงกิจการต่อการครอบครัว จากผลวิจัยพบว่าโครงการบ้านในรูปแบบทาวน์โฮมและบ้านแฝดเริ่มที่จะได้รับการตอบรับจากคนในช่วงกลุ่มวัยดังกล่าวขึ้นมาบ้าง   10.ตลาดน่าจะมีการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้น จากจำนวนโครงการที่จะพัฒนาออกมาขาย เนื่องมาจากรัฐบาลออกประกาศกำหนดอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโดยไม่มีการลดหย่อนภาษี ส่งผลให้ดีเวลลอปเปอร์ต้องวางแผนงาน พัฒนาที่ดินที่เก็บไว้ในมือออกมา เพื่อทยอยพัฒนาที่ดินที่เก็บไว้ในมือออกมา   11.บ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ยังมีความท้าทายในการพัฒนา จากภาวะต้นทุนที่สูงขึ้น ​​ไม่ว่าจะเป็นราคาค่าวัสดุก่อสร้าง ค่าแรงพนักงาน ค่าใช้จ่ายของมาตราการโรคระบาดให้แก่พนักงาน รวมถึงต้นทุนของค่าภาษีที่ดินที่ต้องจ่าย 100%   นอกจากนี้ สิ่งสำคัญในการออกแบบบ้านรองรับกับอนาคต ควรมีการออกแบบให้สอดรับกับเทคโนโลยีให้สะดวกต่อการใช้ชีวิตรวมถึงเทคโนโลยีที่จะช่วยในเรื่องของการประหยัดพลังงานภายในบ้าน ซึ่งจะเห็นว่าในบางโครงการได้มีการนำมาใช้บ้างแล้ว หรือการออกแบบที่ผสมผสานกับธรรมชาติเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมส่งผลที่ดีต่อคุณภาพชีวิต การออกแบบที่รองรับอนาคตหรือที่เรียกว่า Sustainable นั้นจะเป็นสิ่งที่กลุ่มผู้ซื้อให้ความสำคัญมากขึ้นเพราะคุ้มค่าแก่การลงทุนในการซื้ออยู่อาศัย อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการควรศึกษาพฤติกรรมของกลุ่มผู้บริโภคเพื่อโฟกัสกลุ่มเป้าหมายในแต่ละช่วงวัยเพื่อให้สามารถตอบรับกับการใช้ชีวิตได้อย่างเหมาะสมและครอบคลุม ส่องตลาดคอนโด 65 จ่อเปิด 10,000 ยูนิต ส่วนตลาดคอนโดมิเนียมในปี 2565 นี้ เชื่อว่ามีแนวโน้มทยอยกลับมาฟื้นตัวและมีความคึกคักมากขึ้น เนื่องจากดีเวอลอปเปอร์รายใหญ่มีแผนเปิดตัวโครงการมากขึ้น โดยคาดว่าจะมีโครงการเปิดใหม่ประมาณ 10,000 ยูนิต ในไตรมาสแรกของปี 2565   แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่น่ากังวล ที่ต้องเฝ้าจับตามอง เพราะจะเป็นปัจจัยลบที่มาฉุดการเติบโตของตลาดได้ คือ -การระบาดของโควิค 19 สายพันธุ์ “โอมิครอน” หากมีการแพร่ระบาดที่รุนแรงและส่งผลให้จำนวนผู้เสียชีวิตและผู้ป่วยหนักมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ อาจส่งผลให้รัฐบาลต้องออกคำสั่งให้กลับเข้าสู่การล็อคดาวน์อีกครั้ง -ภาวะเงินเฟ้อที่จะส่งผลต่อราคาสินค้าอุปโภคและบริโภค รวมถึงราคาวัสดุก่อสร้างให้เพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจยังชะลอตัว -แนวโน้มของราคาขายคอนโดจึงมีโอกาสที่ปรับตัวสูงขึ้นในปี 2565 และหากโครงการอยู่ในทำเลที่ดี โอกาสในการต่อราคาของผู้ซื้อจะทำได้ยากขึ้น จึงอาจจะส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงได้   ส่วนปัจจัยบวกสนับสนุนตลาดคอนโดในปี 2565 คือ มาตราการช่วยเหลือและกระตุ้นกำลังซื้อของรัฐบาล อาทิ การลดค่าโอน-จำนองที่ยืดระยะเวลาออกไป เป็นมาตรการที่กระตุ้นกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ซึ่งคนกลุ่มนี้ยังเป็นกำลังซื้อหลักในช่วงเวลานี้ โดยระดับราคาคอนโดที่กลุ่มเรียลดีมานด์ให้ความสนใจอยู่ในช่วงราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีของผู้ประกอบการ ที่จะทำโปรโมชั่นราคา เพื่อให้สอดรับกับมาตราการลดค่าโอน-จำนองของรัฐบาล เป็นการระบายสต็อกที่ยังคงเหลืออยู่ออกไป บทสรุปคอนโด​ Q4/64 เพิ่ม 62.7% สำหรับสถานการณ์คอนโดในช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 ที่ผ่านมา พบว่า มีซัพพลายทั้ง 11,252 ยูนิต เพิ่มขึ้น 62.7% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 และเพิ่มขึ้น 79.5% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2564 โดยคอนโดที่มีสะสมในช่วงไตรมาส 4 ดังกล่าวมีจำนวนมากคิดเป็นสัดส่วนถึง​เกือบ 56% ของจำนวนทั้งปี 2564  ที่มีจำนวนทั้งสิ้น 20,015 ยูนิต ​   สาเหตุสำคัญที่ผู้ประกอบการ เปิดตัวคอนโดมจำนวนมากขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 จากเดิมที่ไตรมาส 1-3 มีการชะลอตัวการเปิดโครงการใหม่ เป็นเพราะ -รัฐบาลผ่อนคลายและยกเลิกมาตราการล็อคดาวน์ พร้อมทั้งเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะในรูปแบบ Test & Go -ธนาคารแห่งประเทศไทยมีผ่อนปรนมาตราการ LTV เป็นการชั่วคราวจนถึงสิ้นปี 2565   2 ปัจจัยสำคัญดังกล่าว ส่งผลให้ดีเวลลอปเปอร์ มองว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเปิดโครงการใหม่ โดยเป็นการเปิดที่เน้นจับกลุ่มเรียลดีมานด์ ที่เป็นกำลังซื้อหลักในเวลานี้เท่านั้น ซึ่งเน้นทำตลาดคอนโดระดับราคา 3 ล้านบาท   -ชานเมืองเปิดตัวโครงการใหม่สูงสุดคิดเป็น 76% หรือ 7,117 ยูนิต  ส่วนบริเวณรอบเขตศูนย์กลางธุรกิจ (City Fringe) เปิดตัวคิดเป็น 13% และบริเวณศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) เปิดตัวใหม่คิดเป็นสัดส่วน 11%   -จำนวนคอนโดที่เปิดขายใหม่ ยังเป็นกลุ่มดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่สูงถึง 70% จากจำนวนที่เปิดขายทั้งหมด โดยคอนโดที่เปิดขายในไตรมาสนี้อยู่ในระดับราคาตั้งแต่ 900,000  – 3.5 ล้านบาท หากแยกตามเกรดจะแบ่งเป็นคอนโดเกรด C สัดส่วน 63% แสดงให้เห็นว่านักพัฒนาเลือกที่จะเปิดขายคอนโดในระดับราคาเฉลี่ยที่ประมาณ 80,000 – 100,000 บาท/ตร.ม. เพราะเป็นสินค้นที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มที่เป็นกำลังซื้อหลัก และคอนโดเกรด B สัดส่วน 37%   -ส่วนของจำนวนคอนโดที่ขายได้ใหม่ในไตรมาส 4 ปี 2564 อยู่ที่ 2,835 ยูนิต คิดเป็นอัตราการขายอยู่ที่ 25.2% ซึ่งอัตราการขายลดลง 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกับในปีก่อนหน้า และลดลง 12.8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2564   สาเหตุอัตราการขายใหม่ลดลง เนื่องมาจากจำนวนยูนิตเปิดขายใหม่นั้นมีค่อนข้างมาก ในขณะที่ยูนิตขายได้กลับมีน้อย เพราะเป็นโครงการที่ขายเพียงใบจองเท่านั้น แม้ว่าจะมียูนิตขายที่น้อยแต่ก็มั่นใจได้ว่าห้องที่ถูกขายไปนั้นจะไม่ได้รับการยกเลิก เนื่องจากโครงการมีการประเมินศักยภาพลูกค้ามากขึ้นเพื่อให้สามารถปิดการขายได้จริง ส่งผลให้ในอนาคตยอดปฏิเสธสินเชื่ออาจจะลดลง -กลุ่มผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นกลุ่มกำลังซื้อระดับกลาง ที่ยังมีรายได้แน่นอนและมีมากกว่ากลุ่มนักลงทุน เนื่องจากโครงการที่เปิดขายจะอยู่ในโซนชานเมืองซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยเป็นหลัก ทำให้กลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัย (Real Demand) ที่มีความพร้อมในการซื้อให้ความสนใจโครงการ โดยเฉพาะห้องที่มีระดับราคาไม่เกิน 3 ล้าน   -ระดับราคาขายคอนโดในกรุงเทพฯ ณ ไตรมาส 4 ปี 2564 ปรับตัวลดลงในทุกพื้นที่  โดยบริเวณศูนย์กลางธุรกิจราคาปรับลดลง 4.6% ปีต่อปีอยู่ที่ 239,689 บาท/ตร.ม.  ในบริเวณรอบเขตศูนย์กลางธุรกิจลดลง 6.3% ปีต่อปีอยู่ที่ 115,659 บาท/ตร.ม. และย่านชานเมืองลดลง 8.2% ปีต่อปี อยู่ที่ 63,258 บาท/ตร.ม.   ทั้งนี้ สาเหตุมาจากบางโครงการที่เปิดขายมานานและยังไม่สามารถปิดการขายได้ ทำการลดราคาขายลงหรือบางโครงการก็ลดราคาลง เพื่อให้สอดคล้องกับมาตราการลดค่าโอน-จำนอง ในราคาไม่เกิน 3 ล้าน ซึ่งเป็นกลุ่มราคาที่ยังคงมีตลาดรองรับ ส่งผลให้ยูนิตเหลือขายในตลาดได้มีการระบายสต็อกออกไปบ้างบางส่วน ราคาขายคอนโดอาจเริ่มขึ้นจากสภาวะเงินเฟ้อ  
เอพี ไทยแลนด์  เดินแผนพัฒนาสูงสุดในตลาด  ประเดิม Q1 เปิดแนวราบ 11 โครงการ มูลค่า 9,590 ล้าน

เอพี ไทยแลนด์ เดินแผนพัฒนาสูงสุดในตลาด ประเดิม Q1 เปิดแนวราบ 11 โครงการ มูลค่า 9,590 ล้าน

เอพี ไทยแลนด์ เดินหน้าตามแผนปั้นโปรเจ็กต์สูงสุดในอุตสาหกรรม ประเดิมไตรมาสแรกเปิดตัว 11 แนวราบใหม่ มูลค่า 9,590 ล้านบาท  พร้อมทาวน์โฮมโมเดลใหม่ใน 7 ทำเล​กับ 4 แบรนด์คุณภาพจาก บ้านกลางเมือง – แกรนด์ พลีโน่ -  พลีโน่ – พลีโน่ ทาวน์  พร้อมเดินเครื่องสินค้าบ้านเดี่ยวเติบโตต่อเนื่อง เตรียมเปิดตัว CENTRO 4 โครงการ​ พรีเซลพร้อมกันในวันที่ 26 - 27 มีนาคมนี้   นายเมธา รักธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจ กลุ่มสินค้าทาวน์โฮม บริษัท​เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในไตรมาสแรกของปีนี้  กลุ่มสินค้าแนวราบวางแผนเปิดโครงการใหม่ รวมทั้งสิ้น 11 โครงการ มูลค่า 9,590 ล้านบาท  โดยเปิดตัวภายใต้แบรนด์ “เซนโทร” (CENTRO) 4 โครงการใหม่ และพร้อมเปิดตัว 7 ทาวน์โฮมใหม่ที่มาพร้อมกับ 7 แบบบ้านใหม่  ซึ่งจะเปิดพรีเซลทั้ง 11 โครงการนี้ในวันที่ 26 -27 มีนาคมนี้ โดยแผนธุรกิจในภาพใหญ่ของปี 2565 นี้กลุ่มธุรกิจสินค้าทาวน์โฮม ได้ตั้ง เป้าเปิดตัว 20 แบบบ้านใหม่ ใน 6 แบรนด์ทาวน์โฮม  ซึ่งใน ไตรมาส 1 นี้ นำร่องด้วยการเปิดตัว 7 แบบบ้านใหม่ใน 7 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการรวม  4,470 ล้านบาท ที่ปรับโฉมใหม่ทั้งหมด ทั้งมิติงานสถาปัตยกรรมและพื้นที่ภายใน ได้แก่ ทาวน์โฮมแบรนด์บ้านกลางเมืองกับแบบบ้าน LAPIZ   ทาวน์โฮม 3 ชั้น หน้ากว้าง 5 เมตร ขนาดที่ดิน 17.5 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 136 ตร.ม. ในโครงการ 1.บ้านกลางเมือง สาทร-กัลปพฤกษ์ จำนวน  70 ยูนิต ราคา 4.99 - 9 ล้านบาท   2.บ้านกลางเมือง สุขสวัสดิ์-พระราม 3 จำนวน 46 ยูนิต  ราคาเริ่ม 4.79 ล้านบาท  ทาวน์โฮมแบรนด์พลีโน่ กับแบบบ้าน DAVIN ทาวน์โฮม 2 ชั้น หน้ากว้าง 5.7 เมตร ขนาดที่ดิน 17.5 ตร.วา ขึ้นไป พื้นที่ใช้สอย 104 ตร.ม. ในโครงการ   3.พลีโน่ ราชพฤกษ์-สาทร จำนวน 158 ยูนิต ราคาเริ่ม   2.99 ล้านบาท แบบบ้าน VIVID ทาวน์โฮม 2ชั้น หน้ากว้าง 5.5 เมตร  ขนาดที่ดิน 17.5 ตร.วา ขึ้นไป พื้นที่ใช้สอย 106.45 ตร.ม. ในโครงการ   4.พลีโน่ วิภาวดี-ดอนเมือง จำนวน 235  ยูนิต ราคา 2.99-5.59 ล้านบาท แบบบ้าน BEAMING ทาวน์โฮม 2 ชั้น หน้ากว้าง 7 เมตร  ขนาดที่ดิน 25 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 132 ตร.ม. ในโครงการ   5.พลีโน่  เพชรเกษม-สาย 4 จำนวน 227  ยูนิต และบ้านแฝดแบรนด์แกรนด์ พลีโน่ กับแบบบ้าน JANETTE หน้ากว้าง 9.4 เมตร ขนาดที่ดิน 35.35 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 145  ตร.ม. ในโครงการ   6.แกรนด์ พลีโน่ ศาลายา-บรมฯ จำนวน 212 ยูนิต สุดท้ายกับแบรนด์น้องใหม่   7.พลีโน่ ทาวน์ บางนา จำนวน 351 ยูนิต ราคา 1.99-4.99 ล้านบาท กับแบบบ้าน 2 ดีไซน์ใหม่ GROSSO ทาวน์โฮม 2 ชั้น หน้ากว้าง 5 เมตร ขนาดที่ดิน 16.5 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 91 ตร.ม. และ SHAWN บ้านแฝดโมเดลใหม่ หน้ากว้าง 11.4 เมตร ขนาดที่ดิน 35.35 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 145ตร.ม.   ด้านนายรัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว  กล่าวว่า กลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว ในไตรมาส 1 นี้ ได้เปิดตัวแบบบ้านดีไซน์ใหม่ ภายใต้แบรนด์ “เซนโทร” (CENTRO)  โดยในวันที่ 26-27 มีนาคมนี้ เตรียมเปิดให้ชมบ้านตัวอย่างใน 4 ทำเล ได้แก่ 1.CENTRO ปิ่นเกล้า บ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ พร้อมเรือนรับรอง พื้นที่ใช้สอย 389 ตร.ม. ราคา 9.5-15 ล้านบาท   2.CENTRO ดอนเมือง-แจ้งวัฒนะ บ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ พื้นที่ ใช้สอย 289ตร.ม. พร้อมห้องแม่บ้าน ราคา 7.99-12 ล้านบาท   3.CENTRO บางนา-ศรีนครินทร์ บ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 252ตร.ม. ราคา 7.79-15 ล้านบาท   4.CENTRO รามอินทรา จตุโชติ 2 บ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ พร้อมห้องแม่บ้าน พื้นที่ใช้สอย 289 ตร.ม. พร้อมห้องแม่บ้าน ราคา 6.99-12 ล้านบาท   สำหรับแผนธุรกิจของเอพีในปี 2565 มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่สูงที่สุดในอุตสาหกรรม โดยมีแผนพัฒนาโครงการใหม่ รวมทั้งสิ้นจำนวน 65 โครงการ มูลค่าประมาณ 78,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นทาวน์โฮม จำนวน 29 โครงการ มูลค่า 25,200 ล้านบาท บ้านเดี่ยว จำนวน 26 โครงการ มูลค่า 35,600 ล้านบาท คอนโดมิเนียมจำนวน 5 โครงการ มูลค่าประมาณ 13,000 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด จำนวน   5 โครงการ มูลค่า 4,200 ล้านบาท   โดยตั้งเป้ายอดขาย 50,000 ล้านบาท เป้ารายได้รวม 100% JV ที่  47,000 ล้านบาท ซึ่ง ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2565 บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้แล้วกว่า 9,100 ล้านบาท  
[PR News] ASW จ่ายปันผลปี 64 รวม 0.54706 บาทต่อหุ้น  พร้อมแจกวอร์แรนต์ ASW-W1 กำหนดราคาใช้สิทธิ 12 บาท

[PR News] ASW จ่ายปันผลปี 64 รวม 0.54706 บาทต่อหุ้น พร้อมแจกวอร์แรนต์ ASW-W1 กำหนดราคาใช้สิทธิ 12 บาท

แอสเซทไวส์  ประกาศจ่ายปันผลปี 2564 อัตรารวม 0.54706 บาทต่อหุ้น เตรียมกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปีที่ผ่านมา อัตรา 0.40 บาทต่อหุ้นในวันที่ 11 มี.ค.นี้ พร้อมแจกวอร์แรนต์ ASW-W1 แก่ผู้ถือหุ้นเดิม อัตรา 3 หุ้นเดิม ต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิครั้งที่ 1 กำหนดราคาใช้สิทธิ 12 บาทต่อหุ้น เตรียมเปิดตัว 7 โครงการใหม่ วางเป้าหมายรายได้รวมปีนี้ 6,000 ล้านบาท เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์             นายกรมเชษฐ์  วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW  เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปีที่ผ่านมา ได้มุ่งขยายธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ผลักดันการเติบโตอย่างยั่งยืนควบคู่กับการเป็นหุ้นปันผลที่สร้างผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุน ซึ่งความสำเร็จจากผลการดำเนินงานในปี 2564 สามารถเอาชนะความท้าทายจากปัจจัยลบโควิด-19 ทำรายได้รวม 5,034 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% และมีกำไรสุทธิ 951 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 9% จากปีก่อน ดังนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ จึงมีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ที่กำหนดจัดในวันที่ 20 เมษายน 2565 อนุมัติการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 ในอัตรารวมหุ้นละ 0.54706 บาท ซึ่งเป็นการจ่ายเงินปันผลงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2564 ไปแล้ว คิดเป็น 0.14706 บาทต่อหุ้นในรูปแบบของหุ้นปันผลและเงินสด คงเหลือจ่ายปันผลจากงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2564 เป็นเงินสดอีกจำนวน 0.40 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 11 มีนาคม 2565 และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 5 พฤษภาคม 2565   ทั้งนี้ บอร์ดบริษัทฯ ยังมีมติอนุมัติการจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิหรือวอแรนท์ ครั้งที่ 1 (ASW-W1) จำนวนไม่เกิน 285,373,707 หน่วย ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นในอัตรา 3 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ โดยมีอายุ 2 ปีนับจากวันที่ได้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ ที่กำหนดอัตราใช้สิทธิตามใบแสดงสิทธิ ASW-W1 ในอัตรา 1 หน่วยต่อ 1 หุ้นสามัญ ในราคาใช้สิทธิ 12 บาทต่อหุ้น นอกจากนี้ จะขออนุมัติผู้ถือหุ้นเพื่อเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทฯ อีกจำนวน 506,985,818.00 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 856,121,119.00 บาท เป็นทุนจดทะเบียน 1,363,106,937.00 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 506,985,818 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท รองรับการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไปให้แก่บุคคลในวงจำกัดจำนวน 85,612,111 หุ้น การออกและเสนอขาย ASW-W1 จำนวน 285,373,707 หุ้น เพื่อนำเงินที่ได้มาใช้ลงทุนในโครงการที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันจำนวน 6 โครงการ ได้แก่ โครงการแอทโมซ โอเอซิส อ่อนนุช, แอทโมซ โฟลว์ มีนบุรี และดิ ออเนอร์ โยธินพัฒนา เป็นต้น   รวมถึงพัฒนาโครงการใหม่อีก 7 โครงการทั้งโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการบ้านแนวราบ มูลค่าโครงการรวม 12,400 ล้านบาท โดยในปี 2565 วางเป้าหมายยอดขาย (พรีเซล)  10,000 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ (รายได้รวม) 6,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 19% พร้อมก้าวสู่ความเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศ  
วิลล่า คุณาลัย  ชู 3 กลยุทธ์ ลุยตลาดอสังหาฯ แนวราบ  ปั้นยอดขาย 1,800 ล้าน รายได้โต 15-20%

วิลล่า คุณาลัย ชู 3 กลยุทธ์ ลุยตลาดอสังหาฯ แนวราบ ปั้นยอดขาย 1,800 ล้าน รายได้โต 15-20%

วิลล่า คุณาลัย ชู 3 กลยุทธ์ ลุยตลาดอสังหาฯ แนวราบ ปั้นยอดขายแตะ 1,800 ล้าน พร้อมรายได้โต 15-20% เดินหน้าขยายพื้นที่พัฒนาโซนใหม่ “พระราม 2-บางขุนเทียน” ขึ้นโครงการ  3,000 ล้านบาท   นางประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ KUN เปิดเผยว่า ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะแนวราบ ในปี2565 จะเป็นปีที่ท้าทาย แต่ก็จะเป็นปีที่ดีต่อเนื่อง แม้จะอยู่ภายใต้แรงกดดันเรื่องหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น และความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ เพราะบ้านยังเป็นสินค้าที่ตลาดมีความต้องการอยู่สูง และเป็นความต้องการที่แท้จริง​ โดยเฉพาะการปรับตัวตามสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น เช่น การทำงานจากบ้าน​ การเรียนออนไลน์ หรือการทำกิจกรรมในบ้านมากขึ้น ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้ชีวิต รวมไปถึง ภาพรวมของประเทศที่มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านการสื่อสาร ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่ ทำให้บ้านกลายเป็นสิ่งสำคัญ จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ผู้บริโภคมองหาที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้น อีกทั้งยังมีการส่งเสริมของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ออกมาตรการผ่อนปรนเกณฑ์ LTV และรัฐบาลต่อมาตรการลดค่าธรรมเนียมโอนของบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท จึงเป็นการส่งเสริมให้ตลาดอสังหาฯ ​เติบโตได้ต่อเนื่อง เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลมีการกระตุ้นตลาดอย่างเป็นรูปธรรม และสนับสนุนนโยบายให้คนมีบ้านอย่างต่อเนื่อง   ขณะเดียวกัน ยังมองว่า ตลาดอสังหาฯ ประเภทแนวราบในปี 2565 จะมีการแข่งขันที่สูง จากการที่ผู้ประกอบการหันมาพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น  เพื่อรองรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ซึ่งบริษัทจะมุ่งเน้นการทำตลาด เพื่อรักษากลุ่มลูกค้าเดิม พร้อมทั้งปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละทำเล พร้อมกับเดินหน้าตอกย้ำศักยภาพ ด้วยการสร้างแบรนด์ให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ตั้งเป้ารายได้โต 15-20% ในปี 2565 บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างผลประกอบการ​ New High ต่อไป โดยได้ตั้งเป้าหมายอัตราการเติบโตของรายได้เพิ่มขึ้น 15-20% จากปี 2564 ที่ผ่านมา และตั้งเป้ายอดขาย​ 1,800 ล้านบาท เติบโตจากปี2564 ที่ 1,510 ล้านบาท  และในปีนี้จะเป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวผลกำไรของบริษัทอย่างชัดเจน หลังจากที่ได้ลงทุนมาต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา  โดย ณ สิ้นปี 2564 บริษัทฯมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่า 300 ล้านบาท และจะทยอยรับรู้รายได้เข้ามาภายในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 นี้   โดยแนวทางการทำตลาด บริษัทจะใช้ 2 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ 1.Market Penetration การขยายสินค้าในเซ็กเมนต์ใหม่ ๆ เพิ่มเติม เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดให้มากขึ้น ​และ 2. Market Development ในโซนที่บริษัทได้เริ่มต้นเข้าไปพัฒนา ซึ่งในในปีนี้ได้ขยายไปในโซนบางขุนเทียน เพื่อสร้างฐานรายรับในอนาคตให้เติบโตยิ่งขึ้น   นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมแผนการพัฒนาธุรกิจ ตามแผนระยะกลางที่ภายในระย  5 ปี (2566 – 2570) ที่เตรียมพร้อมเพื่อการพัฒนาโครงการรวมมูลค่าเกือบ 10,000  ล้านบาท บนที่ดินเปล่าที่บริษัทได้วางมัดจำไว้แล้ว รวมถึงการเปิดโครงการใหม่ในอนาคตเพิ่มเติม ทำให้​บริษัทมีความสามารถในการรับรู้รายได้จากปัจจุบันจนถึงปี 2570 โดยจะเน้นการขยายจับตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบระดับราคา 2-8 ล้านบาท ซึ่งตลาดดังกล่าวมีการขยายตัวเติบโตอย่างต่อเนื่อง 3 กลยุทธ์ลุยตลาดอสังหาฯ ในปีนี้“คุณาลัย” ยังมุ่งเน้นทำการปรับโครงสร้างภายใน (Re-engineer) องค์กรทั้งหมด  เพื่อผลักดันเป้าหมายรายรับที่ 1,500 ล้าน และ 2,000 ล้านในอนาคตอันใกล้นี้ ทั้งนี้ บริษัทยังคงเน้นการขับเคลื่อนธุรกิจ โดยให้ความสำคัญกับ 3 เรื่องสำคัญ ได้แก่ 1.Product Redefined การปรับปรุงสินค้า ให้บ้านสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตในปัจจุบัน และอนาคตได้อย่างราบรื่น ทั้งในส่วนของรูปแบบการแบ่งพื้นที่ใช้สอยภายในและภายนอกบ้าน การให้ความสำคัญกับการสื่อสาร เช่น อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีจำนวนมากขึ้น การใช้พลังงาน และค่าใช้จ่าย เช่น การติด solar cell เพื่อประหยัดพลังงานในช่วงกลางวัน   บริษัทมีแผนพัฒนาบ้านในรูปแบบ Eco Smart โดยการนำพลังงานทางเลือกมาใช้กับบ้านของ บริษัทโดยนำร่องที่โครงการ คุณาลัย พรีม บางส่วน ด้วยการติดตั้งแผนโซล่าเซลล์ให้กับบ้านในโซนนำร่อง เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้าลง และนำหลักการเรื่องการจัดการพื้นที่ใช้สอยภายในและภายนอกบ้าน หรือ space management มาปรับปรุงสินค้า    2.Project Redesigned สภาพโครงการในรูปแบบใหม่ ที่เน้นความเป็นส่วนตัวของแต่ละครอบครัว โดยการออกแบบอาศัยหลักทางวิทยาศาสตร์และสถาปัตยกรรม มาออกแบบให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ การมีกิจกรรมนอกบ้านและในบ้าน ที่สามารถทำได้โดยไม่ต้องกังวลถึงโรคภัย 3.Organization Re-Engineered อัพเกรดองค์กรทั้งส่วนของ soft and hard skills สู่ความเป็นเลิศในสิ่งที่บริษัทถนัด เพื่อต่อยอดผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะสมสำหรับเป้าหมายขององค์กร ลงทุน 1,000 ล้านเปิด 2 โปรเจ็กต์ใหม่ ในปีนี้บริษัทได้วางงบการลงทุนไว้ประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยเป็นงบประมาณสำหรับซื้อที่ดิน 450 ล้านบาท ส่วนวงเงินที่เหลือจะนำไปลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ ซึ่งวางแผนเปิด 2 โครงการ คือ 1. โครงการคุณาลัย เดซี่ (Kunalai Daisy) โครงการบ้านแฝด และบ้านเดี่ยว ระดับราคา 3-5 ล้านบาท โซนบางบัวทอง มูลค่าโครงการ ประมาณ 800 ล้านบาท   2.โครงการ คุณาลัย นาวาร่า (Kunalai Navara) เป็นโครงการ ในทิศที่ 3 ของบริษัท​ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ของกรุงเทพฯ โซนพระราม 2-บางขุนเทียน มีมูลค่าโครงการประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยมองว่าทำเลดังกล่าวจะเป็น Blue Ocean ที่ยังคงมีความต้องการ จึงเป็นโอกาสทางธุรกิจที่บริษัทจะเข้าไปพัฒนาโครงการ คาดจะเปิดขายได้ภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ อ่านข่าวเพิ่มเติม วิลล่า คุณาลัย เปิดโปรเจ็กต์โซนใหม่​ จับตลาดเรียลดีมานด์ หนุนรายได้โต10-15 %
บ้านมือสอง  ยอดประกาศขายพุ่ง ทั้งจำนวนและมูลค่า  หลังได้อานิสงค์มาตรการรัฐหนุน

บ้านมือสอง ยอดประกาศขายพุ่ง ทั้งจำนวนและมูลค่า หลังได้อานิสงค์มาตรการรัฐหนุน

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เปิดเผยข้อมูล​การประกาศขายผ่านเว็บไซต์ตลาดนัดบ้านมือสอง (www.taladnudbaan.com) บริษัทภาคเอกชนที่มีปริมาณการประกาศขายเป็นจำนวนมาก และข้อมูลที่อยู่อาศัยมือสองของสถาบันการเงินของรัฐและเอกชน บริษัทบริหารสินทรัพย์ภาครัฐและเอกชน และกรมบังคับคดี ช่วงไตรมาส 4 ปี 64 พบมีการขยายตัวทั้งจำนวนและมูลค่า จากไตรมาสก่อนหน้า   ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า ตลาดที่อยู่อาศัยมือสอง ในไตรมาส 4 ปี 2564 ที่ผ่านมา มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ทั้งในด้านจำนวนและมูลค่า โดยประเภทที่มีการประกาศขายมากที่สุด ได้แก่ “บ้านเดี่ยว” ในด้านระดับราคา พบว่า ระดับราคา 5.00 – 7.50 ล้านบาท เป็นระดับราคาที่มีทั้งจำนวนยูนิตและมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือนเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 (QoQ) มากที่สุด โดยกรุงเทพฯ เป็นจังหวัดที่มีการประกาศขายของที่อยู่อาศัยมือสองมากที่สุด​ 62% ในด้านมูลค่า และ 41% ในด้านจำนวนยูนิตประกาศขายเฉลี่ยต่อเดือนในไตรมาสนี้   ปัจจัยที่ทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยมือสองขยายตัวดังกล่าว เนื่องจากได้​อานิสงส์ที่ภาครัฐได้มีการต่ออายุมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และการจดจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยที่ไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยเพิ่มเติมการให้สิทธิครอบคลุมมาถึงที่อยู่อาศัยมือสองจากเดิมที่มีผลเฉพาะที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ โดยมีระยะเวลาสิ้นสุดมาตรการดังกล่าวไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565  นอกจากนั้น ยังได้รับผลดีจากการประกาศผ่อนปรนมาตรการ LTV เป็นการชั่วคราว จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งคาดว่ามาตรการดังกล่าวข้างต้น จะส่งผลให้ตลาดที่อยู่อาศัยมือสองในปี 2565 ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง พ.ย.64 ประกาศขายกว่า 1.49 แสนยูนิต ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 พบว่า มีจำนวนประกาศขายเฉลี่ยต่อเดือน 145,753 ยูนิต ปรับตัวเพิ่มขึ้น 12.3% และมีมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือน 990,224 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 14.8% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 3 ปี 2564 ซึ่งมีจำนวนยูนิต​เฉลี่ยต่อเดือน 129,732 ยูนิต​​และมีมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือน 862,455 ล้านบาท โดยในไตรมาส 4 ปี 2564 พบว่า เดือนที่มีจำนวนและมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายมากที่สุด ได้แก่ เดือนพฤศจิกายน ซึ่งมีจำนวน 149,529 ยูนิต มูลค่า 1,061,435 ล้านบาท      เมื่อพิจารณาภาพรวมทั้งปี 2564 พบว่า มีจำนวนประกาศขายเฉลี่ยต่อเดือน 126,237 ยูนิต และมีมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือน 855,317 ล้านบาท โดยมีจำนวนและมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายสะสมมากที่สุดในเดือนพฤศจิกายน 2564 (ดูตารางที่ 1 และ แผนภูมิที่ 1 - 2) ตารางที่ 1 จำนวนหน่วยและมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือนของที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย ทั่วประเทศ หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   แผนภูมิที่ 1 จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศ หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   แผนภูมิที่ 2 มูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศ (หน่วย : ล้านบาท) หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ บ้านเดี่ยวประกาศขายมากสุด14.4% เมื่อพิจารณาการขยายตัวของจำนวนที่อยู่อาศัยมือสอง ที่ประกาศขายในแต่ละประเภท พบว่า ในไตรมาส 4 ปี 2564  ที่อยู่อาศัยมือสองทุกประเภทมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ปี 2564 โดยบ้านเดี่ยวประกาศขายเพิ่มขึ้นมากที่สุด 14.4% รองลงมาเป็นทาวน์เฮ้าส์ เพิ่มขึ้น 12.5% ห้องชุด เพิ่มขึ้น 11.0% บ้านแฝด เพิ่มขึ้น 5.1% และอาคารพาณิชย์ เพิ่มขึ้น 4.0%   ในด้านมูลค่าเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า พบว่า ทาวน์เฮ้าส์มีมูลค่าประกาศขายเพิ่มขึ้นมากที่สุด 18.1% รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยว มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 16.8% บ้านแฝด เพิ่มขึ้น 16.1% ห้องชุด เพิ่มขึ้น 12.0% แต่อาคารพาณิชย์กลับมีมูลค่าลดลง -3.0% (ดูตารางที่ 2 – 3 และแผนภูมิที่ 3 – 4) ตารางที่ 2 จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศ แยกตามประเภทที่อยู่อาศัย หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   ตารางที่ 3 มูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศ แยกตามประเภทที่อยู่อาศัย หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ แผนภูมิที่ 3 จำนวนหน่วยและมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศแยกตามประเภทที่อยู่อาศัย หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   แผนภูมิที่ 4 อัตราขยายตัว (QoQ) จำนวนหน่วยและมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศแยกตามประเภทที่อยู่อาศัย หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   ที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขายในช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 จำนวนยูนิตเฉลี่ย 145,753 ยูนิตต่อเดือน พบว่า บ้านเดี่ยว มีสัดส่วนจำนวนที่ประกาศขายมากที่สุด 38.5% รองลงมาเป็น ห้องชุด 32.1% ทาวน์เฮ้าส์ 25.2% อาคารพาณิชย์  2.7% และเป็นบ้านแฝด 1.6%   หากพิจารณาจากมูลค่าเฉลี่ย 990,224 ล้านบาทต่อเดือน จะเห็นได้ว่าบ้านเดี่ยวเป็นประเภทที่มีสัดส่วนมูลค่าประกาศขายมากที่สุด 52.1% รองลงมาเป็น ห้องชุด 33.5% ทาวน์เฮ้าส์ 11.5% อาคารพาณิชย์ 2.0% ส่วนบ้านแฝด เป็นประเภทที่มีมูลค่าประกาศขายน้อยที่สุดเพียง 0.8% (ดูตารางที่ 4 และแผนภูมิที่ 5)   ตารางที่ 4 สัดส่วนจำนวนหน่วยและมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศแยกตามประเภทที่อยู่อาศัย หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   แผนภูมิที่ 5 สัดส่วนจำนวนหน่วยและมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขายเฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศแยกตามประเภทที่อยู่อาศัย หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ บ้าน 3-5 ล้านประกาศขายมากสุด จำนวนยูนิตเฉลี่ยต่อเดือน ของที่อยู่อาศัยมือสอง ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 พบว่า 3 อันดับแรกที่ประกาศขายเพิ่มขึ้น ได้แก่ ระดับราคา 5.01 – 7.50 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ปี 2564 (QoQ) 32.9% รองลงมาอันดับสอง ระดับราคา 7.51 – 10.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.0% และอันดับสาม ระดับราคาไม่เกิน 1.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.9%   สอดคล้องกับมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือน ที่เพิ่มขึ้น 3 ลำดับแรก ได้แก่ ระดับราคา 5.01 – 7.50 ล้านบาท มีจำนวนมูลค่าเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ปี 2564 32.9% รองลงมาอันดับสอง ระดับราคา 7.51 – 10.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.8% และอันดับสาม ระดับราคาไม่เกิน 1.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.1% (ดูตารางที่ 5 – 6 และแผนภูมิที่ 6 - 7)   ตารางที่ 5 จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศ แยกตามระดับราคา หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   ตารางที่ 6 มูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศ แยกตามระดับราคา หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   แผนภูมิที่ 6 อัตราขยายตัว (QoQ) จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศแยกตามระดับราคา หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   แผนภูมิที่ 7 อัตราขยายตัว (QoQ) มูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศแยกตามระดับราคา หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   สำหรับสัดส่วนระดับราคาบ้านมือสองที่ประกาศขายในช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 สูงสุด 3 อันดับแรก ในด้านจำนวนหน่วย พบว่า อันดับแรก ระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท มีสัดส่วนมากที่สุด 17.3% อันดับสอง ระดับราคาไม่เกิน 1.00 ล้านบาท มีสัดส่วน 15.9% และอันดับสาม ระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท มีสัดส่วน 15.7% ซึ่งสัดส่วนจำนวนหน่วยทั้ง 3 ระดับราคาดังกล่าวรวมกันมีสัดส่วนรวม 48.9%   แต่สำหรับสัดส่วนมูลค่านั้น พบว่า 3 อันดับแรกที่มีสัดส่วนมากที่สุด ได้แก่ ระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาท มีสัดส่วนมากถึง  61.4% อันดับสอง ระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท มีสัดส่วน  10.1 และอันดับสาม ระดับราคา 5.01 – 7.50 ล้านบาท มีสัดส่วน  9.5% ซึ่งสัดส่วนมูลค่าทั้ง 3 ระดับราคาดังกล่าวรวมกันมากถึง  81.0% (ดูตารางที่ 7 และแผนภูมิที่ 8)   ตารางที่ 7 สัดส่วนจำนวนหน่วยและมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศแยกตามระดับราคา หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   แผนภูมิที่ 8 สัดส่วนจำนวนหน่วยและมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขายเฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศแยกตามระดับราคา หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กรุงเทพฯขายเฉลี่ยเดือนละ 6 แสนล้าน หากจัดอันดับตามมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือนของที่อยู่อาศัยมือสองที่มีการประกาศขายในไตรมาส 4 ปี 2564 พบว่า 10 จังหวัดที่มีมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือนสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพฯ  ภูเก็ต นนทบุรี สมุทรปราการ ชลบุรี เชียงใหม่ ปทุมธานี สุราษฎร์ธานี ประจวบคีรีขันธ์ และสมุทรสาคร อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ ​จังหวัดเดียว มีมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือนถึง 616,614 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 62.3% เมื่อเทียบกับมูลค่าทั้งประเทศ และมีหน่วยประกาศขายเฉลี่ยต่อเดือน 60,269 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน  41.3%   ส่วนอันดับที่ 2 – 10 มีสัดส่วนมูลค่าและจำนวนหน่วยไม่ถึงร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับมูลค่าและจำนวนหน่วยทั่วประเทศ แต่ 10 จังหวัดนี้ มีมูลค่ารวมกันมากถึง 90.9% ส่วนจังหวัดที่เหลืออีก 67 จังหวัด มีสัดส่วนมูลค่ารวมกันเพียง 9.1% (มีสัดส่วนจำนวนหน่วยรวมกัน 23.8%) (ดูตารางที่ 8 – 10 และแผนภูมิที่ 9) ตารางที่ 8 จังหวัดที่มูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายเฉลี่ยต่อเดือนสูงสุด 10 อันดับแรกในไตรมาส 4 ปี 2564 หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   ตารางที่ 9 อัตราขยายตัว (QoQ) 10 จังหวัดที่มีมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายเฉลี่ยต่อเดือนสูงสุดในไตรมาส 4 ปี 2564 หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   แผนภูมิที่ 9 อัตราขยายตัว (QoQ) ของมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือน หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   ตารางที่ 10 สัดส่วนจำนวนหน่วยและมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือนของ 10 จังหวัดแรกที่มีมูลค่าสูงสุดในไตรมาส 4 ปี 2564 หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์  
อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนมีนาคม 2565

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนมีนาคม 2565

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน  เข้าสู่เดือนสุดท้ายของไตรมาสแรกปี 2565 แล้ว บรรยากาศบ้านเมือง มีทิศทางที่ดีขึ้น คนทั่วไปออกมาใช้ชีวิตเป็นปกติ กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มขยับเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะยังคงมีอยู่ อัตราการติดเชื้อก็มีตัวเลขสูงพอควร แต่ความรุนแรงไม่มากเท่าอดีต อัตราการเสียชีวิตเริ่มคงที่ ถือเป็นสัญญาณที่ดี ว่าตอนนี้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่มากพอสมควร จากอัตราการได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มของคนไทยที่มากพอสมควร   ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2565 สัญญาณการฟื้นตัวปรับไปในทิศทางที่ดี เห็นได้จากความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ ที่ออกมาประกาศแผนธุรกิจของปี 2565 ซึ่งแต่ละรายไม่ได้ลดระดับความร้อนแรงลงเลย ในทางตรงกันข้ามกลับบุกตลาดหนักมากขึ้น หลังจาก 2 ปีที่ชะลอแผนไป สาเหตุหนึ่งคงเป็นเพราะมองว่าอะไร ๆ ก็น่าจะดีขึ้น และมีปัจจัยบวกสนับสนุนตลาดอยู่หลายประเด็น   หนึ่งในประเด็นที่ช่วยผลักดันตลาด ก็คือ อัตราดอกเบี้ยการให้สินเชื่อกู้ซื้อบ้านและคอนโดมิเนียม ของสถาบันการเงินยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ทำให้เป็นโอกาสของคนที่มีความพร้อมและมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย ในการรับอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว ส่วนธนาคารไหนให้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เท่าไรบ้างนั้น Reviewyourliving ได้อัพเดทสถานการณ์ ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ของเดือนมีนาคม 2565 รวบรวมไว้ให้แล้ว ซึ่งภาพรวมทั้งหมดยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป  โดยอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ประจำเดือนมีนาคม 2565 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ  วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1   ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น 5.2%  (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.2% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น  5.45% (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.45%  (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.9% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.7%(MRR-1.25%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.075%(MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2%(MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58%   -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก 4.75% หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า ​500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า ​คิดอัตราดอกเบี้ย​ MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย ​MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา   หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค.- 31 มี.ค. 65 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ​และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา ​ -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ​ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ​ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ​​ 2.ธนาคารกรุงไทย อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด สำหรับธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อสำหรับบ้านใหม่ กรุงไทย SURE  โดยไม่คิดค่า  ธรรมเนียมยื่นกู้  โดยเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  ไม่เปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ​​ดังนี้ แบบคงที่ 1 ปี ฟรีค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.80% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.20% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.87% (MRR-2.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.90% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.24% แบบลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.77%  (MRR-3.45%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.77% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.22% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.87% (MRR-3.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.87% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.26%   สินเชื่อสำหรับการกู้ซื้อบ้านที่ธนาคารออกค่าจดจำนองให้** และ ฟรี ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบคงที่ แบบทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.13% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.32% แบบไม่ทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.23% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา = 4.35% แบบลอยตัว แบบทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.12% (MRR-3.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.12% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.35% แบบไม่ทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.22% (MRR-3.0%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.22% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 3.38%   การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ 1.ทำ MRTA/GLT SP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี 2.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ 3.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ **ธนาคารออกค่าจดจำนองให้ 1% สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท หากลูกค้าปิดบัญชีก่อน 5 ปี ธนาคารจะเรียกเก็บค่าจดจำนองคืน ***อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 มี.ค.65 MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมินอัตราดอกเบี้ยยังคงเท่าเดิมจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.9% ( MRR-3.15%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.00%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.39% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.50% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย MRR-1.60% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.55%  (MRR-3.50%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.3%  (MRR-2.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.02% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.25% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.1% (MRR-1.95%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.3% (MRR-1.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.7%  (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.23%   หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ​ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พ.ค. 63 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 30 เม.ย. 65 โดยจดจำนองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 31 พ.ค. 65 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป โดยพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ ซึ่งเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 7.72% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 7.72% สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 8.22% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 8.22% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% (ประกาศ ณ วันที่ 22 พ.ค. 2563) ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ย MRR ให้อ้างอิงอัตราดอกเบี้ยตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ลูกค้ายื่นใบสมัครสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม 2565 โดยสามารถยื่นกู้ได้สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภท ยกเว้นการกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม 0.25% ในปีแรก หากทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อบ้านตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -กรณียื่นกู้บ้านในโครงการจัดสรรที่ธนาคารสนับสนุน ธนาคารฯมีอัตราดอกเบี้ยพิเศษ สอบถามรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ K-Contact Center 02-8888888 ต่อ 887 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (KKP Home Loan เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย) กรณี บ้านใหม่ : ซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราเดิมเท่ากับเดือนที่ผ่านมา โดยธนาคารเกียรตินาคินมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  2.45%-2.75% ปีต่อไป ดอกเบี้ย  4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.65%-2.95% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.60%-2.99% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.80%-3.19% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%)   หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ​เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่​ 18 สิงหาคม 2563 เท่กับ​ 6.525% ต่อปี 3.เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา​​​​​​ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า​ Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.​กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง ​​หากลูกค้า Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท  ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคี ​เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด ​โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ ​ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน​ 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด ​30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เท่ากับเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารซีไอเอ็มบี มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.1%) ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย 5.35% (MRR-2.0%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-2.8%) หลังจากนั้น 5.35% (MRR-2.0%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.15% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2564) -ธนาคารยังมีอัตราดอกเบี้ยสำหรับพนักงานประจำรายได้ 30,000-50,000 หรือเจ้าของกิจการรายได้ 50,000 บาทขึ้นไปไว้พิจารณาด้วย รวมถึงสินเชื่อสำหรับโครงการที่ธนาคารเป็นผู้สนับสนุน 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป ภายใต้แคมเปญดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้นเฉลี่ย 3 ปีแรก 4.05% ต่อปี จะได้รับฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าจดทะเบียนจำนอง และค่าประเมินหลักทรัพย์ ซึ่งอัพเดทอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ของเดือนมีนาคม ยังคงใช้ในอัตราเท่ากับเดือนที่ผ่านมา  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.23%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.4% (MRR-1.88%) หลังจากนั้น 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.4% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือก 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา ดอกเบี้ย 4.65% รายละเอียดเงื่อนไข สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส ​ 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท​ -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 3 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของธนาคาร -ธนาคารขอสงวนสิทธิเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แจ้งไว้ในเอกสารฉบับนี้ โดยไม่ ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ในกรณีที่ธนาคารเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนจำนองหลักประกันแทนผู้กู้หากผู้กู้มีความประสงค์จะไถ่ถอนหลักประกันและชำระหนี้คืนทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันเบิกใช้เงินกู้ ครั้งแรก ผู้กู้ตกลงคืนเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองหลักประกันตามจำนวนเงินที่ธนาคารได้ช าระไปให้แก่ธนาคาร ในวันที่ผู้กู้ได้ชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้น (ค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท) -กค้าต้องสำรอง จ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ลูกค้าใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 30 วันทำการนับจากวันที่ลูกค้าจดจำนอง -MRR = 6.28% ตามประกาศธนาคาร https://www.ttbbank.com/th/rates/loan-interest-rates -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึง 30 มิถุนายน 2565 และจดจำนอง ภายใน 31 กรกฎาคม 2565 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา  คิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.95% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยะเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2565 ​มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากแคมเปญสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2565  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.15% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.9% (MRR-2.25%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.4%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญา  5.4% หมายเหตุ -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.-30 ธ.ค.65   (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติมวงเงินของโครงการแล้ว) -อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินกู้และทุกบัญชีเงินกู้ภายใต้หลักประกันเดียวกัน 10.ธนาคารยูโอบี ธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโครงการหมู่บ้านทั่วไป  โดยอัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ด้วยการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับเดือนที่ผ่าน  ซึ่งธนาคารยูโอบีมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.35% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.35% (MRR-4.0%) อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.79% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.55% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.80%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.8% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75%  (MRR-2.60%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.45% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.8% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.95%  (MRR-2.24%) ปีที่ 4 อัตราดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.96% หมายเหตุ -ขอสินเชื่อตั้งแต่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค. 65 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายใน 29 เม.ย.​ 65 -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาคารยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.35% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ​(Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น)​ -การอนุมัติสินเชื่อ​เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ  7.35% ต่อปี ​(ตามประกาศธนาคารณ วันที่ 1 เม.ย. 64) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย​ MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้​ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ​เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร​ -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย ​(ใบอนุญาตประกันชีวิต​เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศภัย​ เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ​จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย คือ โฮมโลน โดนใจ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 1.9% (สำหรับผู้มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป) โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยสำหรับผู้กู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.0% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.00% (MRR-5.35%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.80% (MRR-3.55%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10%  (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 2 ปีแรก) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.20% (MRR-3.15%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.55% (MRR-4.80%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 4 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.75% (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 3 ปีแรก) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ล้านละ 3,500 บาท  กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่** -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 4.60% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.10% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.35% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่าง ๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค. 65 -สำหรับอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.9% สำหรับผู้กู้ที่มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป ผ่อนต่ำเดือนละ 3,500 บาท ฟรีค่าจดจำนองสินเชื่อเมื่อซื้อประกันผ่านธนาคาร ฟรีค่าประเมินหลักประกัน 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีสินเชื่อเคหะ สำหรับให้บริการผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไปซื้อบ้านหรือคอนโด ภายใต้แคมเปญ ผ่อนต่ำปีแรก ล้านละ 2,500 บาทต่อเดือน สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยยื่นกู้ภายในวันที่ 30 เมษายน 2565 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน 31 พฤษภาคม 2565 โดยมีรายละเอียด ​ดังนี้​ กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.0% เพิ่มขึ้น 1.25% จากเดือนที่ผ่านมา เพราะมีแคมเปญดอกเบี้ย 0% ใน 6 เดือนแรก ทำให้เดือนที่ผ่านมามีดอกเบี้ยเฉลี่ยปีแรก 0.75% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.9% (MRR-3.345%) ลดลง 0.425% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 3.525% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.6% ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.126% เพิ่มขึ้น 0.025% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 4.101% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.25% เพิ่มขึ้น 1.25% จากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ย​ 1.0% จากแคมเปญเดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 2.0% ​ ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.525% (MRR-2.72%) ลดลง 0.625% จากเดือนที่ผ่านมา คิดอัตราดอกเบี้ย  4.15% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.995% (MRR-1.25%) เพิ่มขึ้น 1.895% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 3.1% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.31% เพิ่มขึ้น 0.024% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 4.286%   เงื่อนไขการผ่อนชำระ -ปีที่ 1 ผ่อนชำระ 2,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 2 ผ่อนชำระ 4,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 3 ผ่อนชำระ 5,500 บาทต่อเดือน หมายเหตุ -ยื่นกู้ภายในวันที่ 30 เมษายน 2565 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2565 -อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR=6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระ 20 ปี ผ่อนเท่ากันทุกงวด -ทำประกัน หมายถึง การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ โดยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข เป็นไปตามธนาคารกำหนด -เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเคหะตามโปรโมชั่น สมัครบริการ MyMo และผลิตภัณฑ์ / บริการอื่น ของธนาคารอย่างน้อย 2 ประเภท ได้แก่ บัตรอิเล็กทรอนิกส์ / บัตรเครดิต หรือสินเชื่อบัตรเงินสด / ชำระสินเชื่อหักผ่านบัญชี / ประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ ทั้งนี้ หากลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นตามที่กำหนดอยู่แล้ว สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้ และกรณีไม่มี Smartphone ให้สมัครผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นของธนาคารตามที่กำหนดทดแทนได้ -*กรณี ฟรี ค่าธรรมเนียมจดจำนอง ให้ตามที่จ่ายจริง (รวมทุกสัญญาที่กู้ในคราวเดียวกัน) และลูกค้าต้องสำรองจ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินไปก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินหลังหักภาษี ณ ที่จ่าย 1% ของเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองคืนภายใน 30 วัน -กรณีผู้กู้ชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น หรือไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด (Prepayment) ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามที่ธนาคารกำหนด (ปัจจุบันร้อยละ 3.00 ของยอดเงินต้นคงเหลือ) ทั้งนี้ กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยกรณีไถ่ถอนจำนองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินอื่น (Re-Finance) และฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง ผู้กู้จะต้องชำระค่าจดจำนองคืนแก่ธนาคารเต็มจำนวน -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่น ๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า   ที่มา Reviewyourliving รวบรวมจากเว็บไซต์ธนาคาร ข้อมูล ณ วันที่ 2 มี.ค.65 บทความที่เกี่ยวข้อง อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกุมภาพันธ์ 2565 อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนกุมภาพันธ์ 2565 แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยถูกสุด
โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จ่ายปันผลเพิ่มหุ้นละ 0.08 บาท พร้อมแผนปี 65 เปิดโครงการใหม่ 47,700 ล้าน

โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จ่ายปันผลเพิ่มหุ้นละ 0.08 บาท พร้อมแผนปี 65 เปิดโครงการใหม่ 47,700 ล้าน

โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ ประกาศจ่ายปันผลงวดครึ่งปีหลังปี 64  หุ้นละ 0.08 บาท รวมทั้งปีจ่าย 0.43 บาทต่อหุ้น จ่อขึ้น XD 9 พ.ค.65 แม้ปี 64 ทำรายได้ลด 32% เหลือ 7,430 ล้าน แต่ยังทำกำไรกว่า 932 ล้าน​ หลังเจอล็อกดาวน์ประเทศ ปี 65 ยังเดินหน้าเปิดโปรเจ็กต์ใหม่ 18 โครงการ  มูลค่ารวม 47,700 ล้าน     นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท  โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE  เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 มีมติอนุมัติการจัดสรรกำไรสุทธิงวดปี 2564 เพื่อจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการครึ่งปีหลังของปี 2564 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.08 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นผลประกอบการทั้งปี 2564 ที่อัตรารวม 0.43 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนปันผล (Dividend Yield) ที่ประมาณ 7%   โดยจะนำเสนอเข้าที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 28 เมษายน 2565 เพื่อทำการอนุมัติและกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2565  และกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2565 เพื่อกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 26 พฤษภาคม 2565 เจอพิษล็อกดาวน์ รายได้ปี 64 ลด 32% สำหรับผลการดำเนินงานปี 2564  บริษัทมีรายได้รวม 7,430 ล้านบาท ลดลง 32%  และกำไรสุทธิอยู่ที่ 932 ล้านบาท ลดลง 50% เมื่อเทียบจากปีก่อน  ส่วนอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ลดลงอยู่ที่ระดับกว่า 12.5% และอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อยู่ที่ระดับ 33.0% ลดลงจากปีก่อน เนื่องจากมีการทำแคมเปญสำหรับโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่   รวมถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จนส่งผลให้เศรษฐกิจในประเทศหยุดชะงักจากมาตรการคุ้มเข้มเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ จนนำไปสู่การออกมาตรการล็อกดาวน์ รวมถึงการปิดแคมป์คนงาน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนอกจากส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อภาคการดำเนินธุรกิจด้วยเช่นเดียวกัน ในช่วงเดือนเมษายน 2564 ภาครัฐได้คุมเข้มมาตรการล็อกดาวน์ และการปิดแคมป์คนงาน ส่งผลต่อ Sentiment ของกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาฯ รวมถึงกลุ่มผู้บริโภคและฉุดให้กำลังผู้บริโภคลดลง ขณะที่ภาคธุรกิจโดยเฉพาะกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้ง NOBLE ต้องเลื่อนแผนเปิดตัวโครงการใหม่ออกไป และปรับกลยุทธ์มุ่งเน้นทยอยการขายโครงการเดิมที่มีในพอร์ต เพื่อระบายโครงการเดิมเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงทางการเงิน   อย่างไรก็ตามภาคอสังหาฯเริ่มกลับมาฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 4/2564 จากนโยบายกระตุ้นมาตรการของภาครัฐ ทั้งการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ รวมถึงมาตรการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (มาตรการ LTV) เป็นการชั่วคราว โดยกำหนดให้เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV ratio) เป็น 100 % (จากเดิม 70% - 90%)  ซึ่งส่งผลเชิงบวกต่อภาคธุรกิจอสังหาฯ​​ ขณะที่ยอดขาย ในปี 2564 อยู่ที่ระดับ 8,035 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 22% จากปี 2563 จากการขายโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่  5,700 ล้านบาท และมาจากการขายโครงการเปิดใหม่และโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกประมาณ 2,335 ล้านบาท แบ่งเป็นลูกค้าภายในประเทศ 71% และลูกค้าต่างชาติ 29%   สำหรับยอดขายกลุ่มลูกค้าต่างชาติ บริษัทมีส่วนแบ่งตลาด​​ 52% ของยอดขายรวมทุกผู้ประกอบการในการขายคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯและปริมณฑล ส่วนปี 2564 บริษัทเปิดตัวโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่า 6,900 ล้านบาท ได้แก่ โครงการโนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ โครงการนิว โนเบิล เซ็นเตอร์ บางนา และโครงการนิว โนเบิล คอนเนค เฮ้าส์ ดอนเมือง แผนธุรกิจปี 65  เปิด 18 โปรเจ็กต์ สำหรับทิศทางธุรกิจในปี 2565  บริษัทวางเป้ายอดขาย  28,000 ล้านบาท และรายได้  11,000 ล้านบาท พร้อมทั้งเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 18 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 47,700 ล้านบาท โดยบางโครงการเป็นโครงการที่เลื่อนเปิดมาจากปี 2564   ทั้งนี้บริษัทได้วางเป้าหมาย เพื่อขยายพอร์ตสัดส่วนของการพัฒนาโครงการแนวราบ และโครงการคอนโดแบบ Low Rise มากขึ้น เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงและกระจายสินค้าให้หลากหลาย ครอบคลุมทุกทิศของกรุงเทพฯ อาทิ โซนราชพฤกษ์ เอกมัย บางนา และกรุงเทพกรีฑา เป็นต้น   โดยช่วงต้นปี 2565 บริษัท ได้เปิดตัวโครงการพร้อมกัน 5 โครงการ  ได้แก่ โครงการนิว โนเบิล ดิสทริค อาร์ 9 โครงการนิว โนเบิล เมกา พลัส บางนา และโครงการนิว โนเบิล ซี-สแควร์ สวนหลวง สเตชั่น ซึ่งทั้ง 3 โครงการเป็นโครงการติดห้างสรรพสินค้า นอกจากนี้ ยังมีโครงการนิว โนเบิล อีโว อารีย์ และโครงการนิว โนเบิล คอนเน็กซ์ คอนโด ดอนเมือง ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี สะท้อนจากยอดขายสองเดือนแรกสำหรับ 5 โครงการรวมมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท และรวมยอดขายจากทุกโครงการเป็นมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันบริษัทฯยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง   ในปี 2565  บริษัทยังวางแผนลงทุนในสหราชอาณาจักร ด้วยการการลงทุนซื้อสินทรัพย์อย่างต่อเนื่อง โดยกลยุทธ์จะเปลี่ยนการลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ทั้งอาคาร มาเป็นการซื้อแบบ Bulk ยูนิต หรือการซื้อเป็นจำนวนหลาย ๆ ห้อง (Bulk Deal) แทน เนื่องจากการซื้อเป็นจำนวนยูนิตจะมีการแข่งขั้นที่น้อยกว่าการซื้อทั้งอาคาร   โดยได้วางเป้าหมายจะซื้อสินทรัพย์อสังหาฯ ในประเทศอังกฤษ จำนวน 550 ยูนิต ภายใต้วงเงินลงทุน 100 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง ( NOBLE จะลงทุน 45% ตามสัดส่วน) ในเบื้องต้นคาดว่าภายในไตรมาสแรกของปีนี้จะมีการซื้อสินทรัพย์จำนวน 70 ยูนิต   อ่านข่าวเพิ่มเติม 5 ไฮไลท์แผนธุรกิจปี 64 “โนเบิล” กับแนวทางสู่ Top5 ผู้นำอสังหาฯ ไทย
[PR News] GLAND จับมือหัวเว่ย  ร่วมพัฒนา Smart Digital Township & Intelligent Connectivity

[PR News] GLAND จับมือหัวเว่ย ร่วมพัฒนา Smart Digital Township & Intelligent Connectivity

GLAND จับมือหัวเว่ย ยกระดับอสังหาฯไทย ก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างสมบูรณ์แบบ ร่วมพัฒนา Smart Digital Township & Intelligent Connectivity ด้วยเทคโนโลยีระดับโลก เดินหน้านโยบายไทยแลนด์ 4.0   นางสาวนภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLAND เปิดเผยว่า บริษัทได้ลงนามบันทึกข้อตกลงการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์  กับบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัดเพื่อเดินหน้าพัฒนาออฟฟิศอัจฉริยะและดิจิทัลสเปซ ตอกย้ำพื้นที่แห่งการใช้ชีวิตและการทำงานในอนาคต ผสานโลก Physical และ Digital เชื่อมโยง ICT และ IOT สู่วงการอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มรูปแบบ   การได้ร่วมมือกับหัวเว่ยในครั้งนี้ ถือเป็นการช่วยเติมเต็ม และนำเอาความรู้ความเชี่ยวชาญของหัวเว่ย มาช่วยเพิ่มศักยภาพความแข็งแกร่งและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับมิกซ์ยูสโปรเจ็ค ต่าง ๆ อาทิ อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า ที่อยู่อาศัย และ โรงแรม ในอนาคต ของ GLAND รวมถึงบริษัทในเครือในอนาคต เพื่อสร้างเมืองแห่งการอยู่อาศัยอัจฉริยะ เป็น Smart Digital Township ที่ทันสมัย สร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดให้ธุรกิจ และ ยกระดับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยให้ทันต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ประเทศไทย กำลังมุ่งสู่การก้าวสู่ยุคสังคมดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ โดยประเทศไทยจะกลายเป็น ดิจิทัลฮับที่สำคัญของภูมิภาคอาเซียน ภายใต้นโยบาย Thailand 4.0 ของภาครัฐ รวมถึงเป็น ตลาดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในด้านการค้าการลงทุนจากต่างประเทศ GLAND ซึ่งถือหุ้นใหญ่โดยบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เป็นผู้พัฒนาและบริหารอสังหาริมทรัพย์ โดยมีสินทรัพย์หลักอยู่ในโครงการ เดอะ แกรนด์ พระราม 9 (The Grand Rama 9) พื้นที่ใจกลางเมืองบนพื้นที่ประมาณ 73 ไร่ ตั้งอยู่บนถนนพระราม 9 ติดถนนรัชดาภิเษก ซึ่งเป็นทำเลศักยภาพสูงในย่านธุรกิจแห่งใหม่ (The New CBD) ของกรุงเทพฯ โดยโครงการมีองค์ประกอบหลักอยู่ 3 ธุรกิจ ได้แก่ อาคารสำนักงานให้เช่าที่อยู่ภายใต้การบริหาร 3 แห่ง ได้แก่ 1. จี ทาวเวอร์ 2.เดอะไนน์ ทาวเวอร์ และ 3.ยูนิลีเวอร์ เฮ้าส์ ด้วยพื้นที่เช่าสุทธิในทุกโครงการรวมกันกว่า 145,000 ตารางเมตร  โครงการคอนโดมิเนียมเพื่อขาย เบ็ล แกรนด์ พระราม 9 ซึ่งได้ทำการขายและโอนเสร็จสิ้นทั้งโครงการแล้ว และพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าสุทธิในอาคารสำนักงานและคอนโดมิเนียมรวมกันกว่า 20,000 ตารางเมตร   นอกจากนี้ GLAND มีที่ดินที่รอการพัฒนาอยู่อีก 4 แห่ง รวมกันกว่า 190 ไร่ ซึ่งตั้งอยู่บนทำเลที่ศักยภาพสูงในกรุงเทพฯ เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว โดยที่ดินดังกล่าวประกอบด้วย 1.ที่ดินเปล่าในโครงการ เดอะ แกรนด์ พระราม 9 2. ที่ดินบริเวณพหลโยธิน ซึ่งที่ดินทั้งสองแห่งอยู่ระหว่างการสรุปแผนการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส นอกจากนี้ยังมี 3. ที่ดินบริเวณดอนเมือง โดยได้นำที่ดินบางส่วนไปพัฒนาโครงการนิรติ ดอนเมือง ซึ่งเริ่มเปิดขายและโอนในปี 2564 และ 4.ที่ดินบริเวณกำแพงเพชร ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางการพัฒนาโครงการในอนาคต ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า  หัวเว่ยและทาง GLAND เป็นพันธมิตรที่ทำงานร่วมกันมาอย่างใกล้ชิดและยาวนาน นับตั้งแต่เราเริ่มธุรกิจในไทยอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2542 โดยสำนักงานใหญ่ของหัวเว่ย เทคโนโลยี่ ประเทศไทย ตั้งอยู่ในอาคารจีทาวเวอร์ แกรนด์ ซึ่งเป็นอาคารในเครือของ GLAND   นอกจากนี้ หัวเว่ยยังได้นำร่องเปิดตัวศูนย์ Huawei Open Lab Bangkok ในปี 2560 ที่อาคารเดียวกัน เพื่อช่วยพัฒนาทักษะดิจิทัลในประเทศไทย สร้างสรรค์นวัตกรรม และรองรับเป้าหมายของประเทศในการขึ้นเป็นศูนย์กลางดิจิทัลระดับอาเซียน เราหวังว่าความร่วมมือระหว่างหัวเว่ยและ GLAND ครั้งนี้  จะช่วยเสริมความอัจฉริยะให้แก่ภาคอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย ซึ่งถือเป็นการตอบโจทย์พันธกิจของหัวเว่ยในการเป็นผู้สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล รวมทั้งนำเทคโนโลยีดิจิทัลไปสู่ทุกคน บ้านทุกหลัง และองค์กรทุกแห่ง เพื่อสร้างประเทศไทยอัจฉริยะที่เชื่อมโยงกันอย่างเต็มรูปแบบ ความร่วมมือระหว่าง  GLAND และ หัวเว่ย ที่จะพัฒนา ecosystem ที่ครบวงจร ผ่านทาง 5 องค์ประกอบสำคัญ ในการสร้าง Smart Digital Township ผ่านอสังหาฯต่างๆ ของ GLAND ได้แก่ 1.Smart Building พัฒนาอาคารอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยีระดับโลก ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกสบายด้านการใช้งานต่อผู้ใช้อาคาร และ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม   2.Smart Asset Management การบริหารจัดการสินทรัพย์ด้วย เทคโนโลยี 5G, เทคโนโลยีแอคเซสพอยท์ Wi-Fi 6 ความเร็วระดับอัลตร้าไฮสปีด, โมดูล IoT และ กล้องตรวจจับอัจฉริยะ   3.Smart Hospitality and Retail เชื่อมโยงระบบ Fiber Backbone สู่การเป็นโรงแรมและศูนย์การค้าอัจฉริยะแห่งโลกอนาคต   4.Smart Campus and Living ระบบอาคารและพื้นที่อยู่อาศัย ที่มุ่งเน้นด้านความปลอดภัย รวมถึงระบบที่จอดรถอัจฉริยะ   5.Intelligent Connectivity การเชื่อมต่ออัจฉริยะด้วยระบบ AI หรือปัญญาประดิษฐ์, VDO & Imaging Technology และ ไฟเบอร์ออพติก รวมถึง พื้นที่เก็บข้อมูลในคลาวด์  
เอพี ไทยแลนด์  ลุย​ตลาดคอนโดแมส ส่ง แอสปาย โฉมใหม่  ประเดิมครึ่งปีแรกเปิด​ 3 โครงการ  6,800 ล้าน

เอพี ไทยแลนด์ ลุย​ตลาดคอนโดแมส ส่ง แอสปาย โฉมใหม่ ประเดิมครึ่งปีแรกเปิด​ 3 โครงการ 6,800 ล้าน

เอพี ไทยแลนด์ เดินหน้าตลาดคอนโดปี 65 ส่ง 5 โครงการใหม่ มูลค่า  13,000 ล้าน พร้อมกับเป้ารายได้ ​12,300 ล้าน  ประเดิมครึ่งปีแรก 3 โปรแจ็กต์แบรนด์แอสปาย มูลค่า 6,800 ล้าน หลังปรับโฉมใหม่ หวังครองแชมป์ตลาดแมส กับการมาของ 3 จุดขายที่มั่นใจ ในภาวะกำลังซื้อและเศรษฐกิจชะลอตัว   เอพี ไทยแลนด์ นับเป็นดีเวลอปเปอร์อสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ที่ในปีนี้เตรียมรุกตลาดอย่างหนัก เพื่อสร้างการเติบโตทั้งด้านยอดขายและรายได้ จากการประกาศแผนธุรกิจในปี 2565 ก่อนหน้านี้ บริษัทได้วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุดถึง 65 โครงการ มูลค่า 78,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 50,000 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ 47,000 ล้านบาท   โครงการส่วนใหญ่ที่เปิดยังเป็นโครงการแนวราบ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด แต่ที่สำคัญ คือ เอพี ไทยแลนด์ ยังมีแผนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ออกมาทำตลาด มากถึง  5 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 65% ตั้งเป้ายอดขายคอนโดทั้งปีที่ 12,000 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้กลุ่มสินค้าคอนโดรวม (100% JV) ที่ 12,300 ล้านบาท   ในแผนการเปิดตัวคอนโดทั้ง 5 โครงการปีนี้ เอพี ไทยแลนด์ได้วางแผนช่วงครึ่งปีแรกนี้ จะเปิดตัว​ 3 โครงการ มูลค่ารวม 6,800 ล้านบาท ประเด็นสำคัญ คือ การเปิดตัวแบรนด์แอสปาย (ASPIRE) ที่มีการปรับโฉมใหม่ทั้งหมด เป็นแบรนด์ที่จับตลาดแมส มีราคาขายต่อยูนิต 1.99-2.89 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ของตลาดอสังหาฯ  ที่มีความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจ และกำลังซื้อที่ชะลอตัวลงพอสมควร  คำถามสำคัญก็คือ อะไรคือปัจจัยที่ทำให้ เอพี ไทยแลนด์ มั่นใจต่อการเปิดตัวโครงการแอสปายครั้งนี้ ว่ากลุ่มเป้าหมายดังกล่าวจะยังมีกำลังซื้อที่ดี  สามารถสร้างยอดขายและรายได้ให้กับเอพี ไทยแลนด์ได้ เอพี มองตลาดคอนโดฟื้นตัว นางสาวกมลทิพย์ บำรุงชาติอุดม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม บริษัท​ เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) มองสถานการณ์ตลาดคอนโดในปีนี้น่าจะปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น หากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทรงตัวหรือไม่รุนแรงไปกว่าปัจจุบัน เพราะปีนี้ตลาดคอนโดเริ่มเข้าใกล้ภาวะสมดุลของดีมานด์และซัพพลาย จากช่วง 2 ปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการมีการระบายสต็อกออกไปค่อนข้างมาก  ปีนี้​เป็นปีต่อเนื่องที่ ตลาดคอนโดขับเคลื่อนด้วยเรียลดีมานด์ในประเทศ ทำให้ผู้ซื้อได้ในราคาที่คุ้มค่า ถ้าเศรษฐกิจดี คอนโดจะปรับราคาเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ ปีนี้ยังมีมาตรการของรัฐบาลที่ออกมาช่วยกระตุ้นตลาดคอนโด อาทิ การลดค่าธรรมเนียมการโอน ค่าจดจำนอง และการผ่อนคลายมาตรการ LTV ส่งผลต่อ เซ็นติเมนท์ที่ดีขึ้น ขณะเดียวกัน ยังมองเห็นว่าตลาดคอนโดยังมีกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ในประเทศ ที่มีความต้องการซื้อคอนโดเพื่ออยู่จริงยังคงมีอยู่ เห็นได้จากยอดขายตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึง 15 ก.พ. 65 สามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า1,080 ล้านบาท เติบโตกว่า 250% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยเป็นยอดขายจากโครงการเดิมที่เปิดตัวมาก่อนหน้า เนื่องจากเอพี ไทยแลนด์ยังไม่มีการเปิดโครงการใหม่ ปรับโฉมแอสปายใหม่ พร้อม 3 จุดขาย เอพี ไทยแลนด์ ได้มีการปรับแบรนด์โพสิชั่นนิ่ง  แอสปาย ใหม่ ภายใต้จุดยืน “LIVE AS YOU ASPIRE อิสระในทุกมิติของชีวิต”  โดยตั้งเป้าการพัฒนาให้แอสปาย คือคอนโดในกลุ่มแมสเซกเมนต์ที่ดีที่สุด จากกระบวนการทำงาน ที่เรียกว่า AP Empathy Design ซึ่งเป็นการหาความต้องการจริงของกลุ่มลูกค้าในแต่ละทำเล เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้จริง ๆ และตอบสนองความต้องการนั้นไปในแต่ละทำเล ​ซึ่งทำให้แบรนด์แอสปาย มี 3 จุดขายใหม่ ได้แก่ 1.Modular Layout การออกแบบห้องที่มีดีไซน์ใหม่กว่า ​ 40 รูปแบบ โดยเน้นความยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ ตามรูปแบบการใช้ชีวิตไฮบริดของคนปัจจุบัน ที่ไม่ได้ทำอาชีพเดียว หรือมีกิจกรรมเพียงอย่างเดียว คนหนึ่งคนอาจจะมีหลายหน้าที่และบทบาทแต่กต่างกันไป ทำให้มีความต้องการใช้พื้นที่แตกต่างกัน​ และในแต่ละทำเล รูปแบบดีไซน์ฟังก์ชั่นห้องก็จะแตกต่างกันไปด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของกลุ่มเป้าหมายแต่ละทำเล 2.The Best of ‘ME’ Space   มีการออกแบบให้แต่ละโครงการในแต่ละทำเล มีพื้นที่ส่วนกลาง ที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมของลูกค้าในแต่ละทำเล ที่ผ่านมาบางโครงการมีพื้นที่ส่วนกลางให้กับลูกบ้าน แต่ไม่ตรงกับความต้องการที่จะใช้งาน ทำให้ลูกบ้านไม่ได้ใช้พื้นที่ส่วนกลางนั้น เช่น แอสปาย ปิ่นเกล้า-อรุณอัมรินทร์ กลุ่มเป้าหมายเป็นบุคลากรทางการแพทย์  จึงจัดทำพื้นที่ส่วนกลางที่เน้นความรีแลกซ์ และเน้นความเป็นส่วนตัว 3.Entry - Level Price การกำหนดราคาของแต่ละทำเล จะเน้นการขายในราคาที่คุ้มค้า โดยโครงการแอสปาย ปิ่นเกล้า-อรุณอัมรินทร์ มีราคาขายเริ่มต้นตารางเมตรละ 94,000 บาท แอสปาย รัชโยธิน  ราคาขายเริ่มต้นตารางเมตรละ 79,600 บาทและสุขุมวิท - พระราม 4 ราคาขายเริ่มต้นตารางเมตรละ 99,000 บาท 3 จุดขายใหม่จะเป็น wining point ที่จะทำให้แอสปายโฉมใหม่ในปีนี้ เหนือกว่าคู่แข่ง ในเซ็กเมนต์เดียวกัน หรือเหนือกว่าคู่แข่งในตลาดที่มีอยู่ อัตราผลตอบแทนเช่า 5% นอกเหนือจากการวิเคราะห์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าแล้ว เอพี ไทยแลนด์ มองว่า อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในคอนโดยังสูง โดยเฉพาะผลตอบแทนการปล่อยเช่า (Rental Yield) ถึง 4.5 – 5% ในทำเลที่ได้เข้าไปพัฒนาโครงการ ทำเล MRT สถานีบางยี่ขัน - บางขุนนนท์ – แยกไฟฉาย ผลตอบแทน 4.5 – 5% ทำเลในโซนอรุณอมรินทร์ ถือเป็นทำเลศูนย์กลางการแพทย์และสถาบันการศึกษาชั้นนำทำเลหนึ่ง ซึ่งที่ดินหามาพัฒนาได้ยาก เนื่องจากที่ดินติดถนนอรุณอมรินทร์ ที่มีขนาดเหมาะสมกับการพัฒนาคอนโดมีจำกัด โครงการแอสปาย ปิ่นเกล้า - อรุณอมรินทร์  เป็นโครงการใหม่เพียงโครงการเดียวบนช่วงถนนเส้นดังกล่าว  ซึ่งในย่านนั้นมีความต้องการสูง เห็นได้จากยอดขายรวมถึง 75% จากทั้งหมด 11 โครงการที่เปิดขายในแนวโครงข่าย MRT สถานีบางยี่ขัน - บางขุนนนท์ - แยกไฟฉาย และยังเป็นโอกาสของตลาดปล่อยเช่าในลูกค้ากลุ่มนักศึกษา-บุคคลากรทางการแพทย์ที่น่าจับตามอง โดยอัตราการปล่อยเช่าปีล่าสุดที่ 8,000 - 15,000 บาทต่อเดือน ด้วยผลตอบแทนการปล่อยเช่า  ถึง 4.5 – 5% ตลาดคอนโดรัศมี 1.5 กม.จาก BTS รัชโยธิน ทำให้ย่านรัชโยธินเป็นทำเลศักยภาพในการลงทุน ทั้งเพื่ออยู่อาศัยเองและการปล่อยเช่าในอนาคต ซึ่งได้ผลบวกจากรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียว (หมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต) เปิดทำการ  จากการสำรวจซัพพลายพบ 15 โครงการ จำนวน 9,024 ยูนิต มียอดขายแล้วกว่า 87% ในขณะที่ 3 ปีที่ผ่านมาพบการเปิดโครงการใหม่ลดลงต่อเนื่อง และสินค้าคงเหลือขายปัจจุบัน พบราคาขายเฉลี่ย 125,000 - 150,000 บาท/ตารางเมตร   โดยอัตราผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า (Rental Yield) ในย่านนี้ที่มีอัตราที่ดีเช่นกันที่ประมาณ 5% และพบภาพรวมอัตราการปล่อยเช่าปีล่าสุดที่ 9,000 - 20,000 บาทต่อเดือน  และ ตลาดคอนโดโซนพระราม 4 - สุขุมวิท ในรัศมี 1.5 กิโลเมตรจาก BTS พระโขนง ตลาดคอนโดในย่านพระราม 4-สุขุมวิท ​พบยอดขายรวมที่เกิดขึ้น 76% จากทั้งสิ้น 21 โครงการ  โดยภาพรวมอัตราการปล่อยเช่าปีล่าสุด อยู่ที่ 9,500 - 20,000 บาทต่อเดือน  หรือผลตอบแทนการปล่อยเช่า (Rental Yield) ถึง 5% ทำให้ภาพรวมตลาดของคอนโดในทำเลนี้ เป็นที่สนใจของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง​​​​ เอพี ไทยแลนด์วางเป้ารายได้คอนโด 12,300 ล. ณ  วันที่ 15 ก.พ. 65 บริษัทฯ มีสินค้าคอนโดมิเนียมอยู่ระหว่างการขายจำนวน 15 โครงการ มูลค่าคงเหลือขาย 27,530 ล้านบาท และมีสินค้าคอนโดรอรับรู้รายได้รวมโครงการร่วมทุน (Backlog) มูลค่ามากถึง 18,300 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดเอพี มูลค่า 1,500 ล้านบาท และเป็นโครงการร่วมทุน มูลค่า 16,800 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ภายในปีนี้ มูลค่า 9,790 ล้านบาท ที่เหลือจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2567   ในปีนี้เอพี ไทยแลนด์ ยังเตรียมรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ 3 คอนโดใหม่ ได้แก่ แอสปาย เอราวัณ ไพร์ม LIFE สาทร เซียร์รา และ RHYTHM เอกมัย เอสเตท มูลค่ารวม 12,800 ล้านบาท  รวมถึงยังมีสินค้าสร้างเสร็จพร้อมขาย 6,550 ล้าบาท แบ่งเป็นโคงการของเอพี ไทยแลนด์พัฒนามูลค่า 400 ล้านบาท และโครงการร่วมทุนมูลค่าประมาณ 6,100 ล้านบาท ซึ่งจะรองรับยอดขายได้ถึงปี 2566 ปีนี้กลุ่มคอนโดวางเป้ายอดขาย 12,000 ล้านบาท  และรายได้ 12,300 ล้านบาท  สำหรับปี2564 ที่ผ่านมา เอพี ไทยแลนด์  มีรายได้รวมจากสินค้าแนวราบและกลุ่มคอนโดฯ (100% JV) มากถึง 40,015 ล้านบาท และด้านกำไรสุทธิปี 64 (Net Profit) สูงถึง 4,543 ล้านบาท โตกว่า 7.5% และสำหรับความท้าทายของตลาดคอนโดในปีนี้ คือ ทิศทางของตลาดยังคงปรับเปลี่ยนตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว  กลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ในเซกเมนต์กลางถึงกลางล่างที่มองหาคอนโดใหม่ในทำเลซิตี้โซนได้ทยอยปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ และหลายดีเวลลอปเปอร์ต่างกระโดดลงมาแข่งขันในตลาดมากขึ้น ปีนี้ผู้ประกอบการยังมองว่าเป็นปีที่ท้าทาย นอกเหนือจากการคาดการณ์ที่แม่นยำ การเลือกที่ดินที่ใช่ การพัฒนาตอบโจทย์อินไซต์ลูกค้าในแต่ละโลเกชั่นจริง ๆ จะทำให้คอนโดตอบโจทย์​ ชนะคู่แข่ง และมีตลาดรองรับอยู่ได้   อ่านข่าวเพิ่มเติม เอพี ไทยแลนด์ เดินแผนธุรกิจปี 65 ที่สุดตลาด เปิดตัว 65 โครงการ มูลค่า 78,000 ล้าน
เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาทใน 5 ปี ตั้งเป้า องค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ปี 2050

เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาทใน 5 ปี ตั้งเป้า องค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ปี 2050

เซ็นทรัลพัฒนา องค์กรยั่งยืนระดับโลก เดินหน้าวิสัยทัศน์ Imagining better futures for all สร้าง Sustainable Ecosystem ที่แข็งแกร่ง ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาทใน 5 ปี ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คน ตั้งเป้า องค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ปี 2050 เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาทใน 5 ปี ตั้งเป้า องค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ปี 2050 บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)  ผู้พัฒนาธุรกิจศูนย์การค้าเซ็นทรัล, ที่พักอาศัย, อาคารสำนักงาน และโรงแรมทั่วประเทศ เดินหน้าวิสัยทัศน์ Imagining better futures for all สร้าง Sustainable Ecosystem ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ด้วยบทบาทของ ‘Place Maker’ นักพัฒนาพื้นที่แห่งอนาคต ที่บุกเบิกสร้างเมืองและความเจริญทั่วประเทศชูแผนธุรกิจ 5 ปี (2022-2026) ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาท ด้วย 3 กลยุทธ์สู่ความยั่งยืน ด้วยการ Synergy ผนึกกำลังธุรกิจมิกซ์ยูส คู่ค้า ชุมชน ทุกฝ่าย, บุกเบิกสร้างมาตรฐานใหม่ของพื้นที่การใช้ชีวิตแห่งอนาคต และมุ่งสู่องค์กรแห่งการสร้างโอกาส พัฒนา ‘คน’ พัฒนาเมืองและประเทศ และยกระดับวงการอสังหาฯ และรีเทลของไทย นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้เผยวิสัยทัศน์การดำเนินธุรกิจ พร้อมประกาศ Brand Commitment for Better Futures เพื่อมุ่งมั่นสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตและอนาคตที่ดีให้กับผู้คน สังคม และโลกของเรา ตอกย้ำการเป็นบริษัทยั่งยืนในระดับโลก พร้อมเผย Brand Identity ใหม่ทั้ง Corporate และศูนย์การค้าทั่วประเทศ สะท้อนอัตลักษณ์ความภูมิใจท้องถิ่น และแตกต่างโมเดิร์นได้แนวคิดจากเอเจนซี่ด้านดีไซน์ระดับโลก นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “ตลอดระยะกว่า 40 ปี เซ็นทรัลพัฒนารู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้คน ได้อยู่เคียงข้างและช่วยพัฒนาประเทศชาติมาโดยตลอด จนกลายเป็นภาพจำของการเป็น ‘Center of Life’ ศูนย์กลางการใช้ชีวิตของทุกคนและทุกชุมชนที่โครงการเราไปตั้งอยู่ ในวันนี้ภายใต้บทบาทของการเป็น ‘Place Maker’ นักพัฒนาที่ต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนทุกแห่ง สร้างพื้นที่ที่จะเป็นอนาคตที่ดีให้กับทุกคน โดยเชื่อมโยง 2 สิ่งที่สำคัญคือ ‘People’ คนและชุมชนที่เป็นพลังขับเคลื่อนสังคมและสร้างความเปลี่ยนแปลง และ ‘Planet’ สิ่งแวดล้อมและโลกใบนี้ เข้ามาอยู่ใน Sustainable Ecosystem ที่แข็งแกร่งและยั่งยืนของเรา” โดยภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่ เซ็นทรัลพัฒนาเดินหน้าสร้าง Better Futures ด้วย 3 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ 1: SYNERGY for new solutions ผนึกกำลังทุกฝ่าย สร้างแพลตฟอร์มยกระดับการใช้ชีวิตและธุรกิจอย่างครบวงจร 1.1     Synergy within Retail-Led Mixed-Use Development: ผนึกกำลังทุกองค์ประกอบที่แข็งแกร่งของเซ็นทรัลพัฒนา มอบประสบการณ์ที่ Seamless โดยให้ศูนย์การค้าเป็นธุรกิจหลัก (Retail-Led Mixed-use development) ทั้งศูนย์การค้า, ที่อยู่อาศัย, อาคารสำนักงาน และโรงแรม โดยในอีก 5 ปี (2022-2026) บริษัทฯ จะมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ อยู่ในมากกว่า 30 จังหวัด ซึ่งจะทำให้จำนวนโครงการทั้งหมด (รวมปัจจุบันและอนาคต) ได้แก่ ศูนย์การค้า 50 แห่ง ทั้งในและต่างประเทศ และคอมมูนิตี้มอลล์ 16 แห่ง (อยู่ระหว่างการศึกษาการขยาย), โครงการที่พักอาศัย 68 แห่ง, อาคารสำนักงาน 13 แห่ง และโรงแรม 37 แห่ง โดยมากกว่า 50% ของโครงการทั้งหมดจะเป็นรูปแบบมิกซ์ยูสที่มีมากกว่า 1 ธุรกิจ และมีศูนย์การค้าเป็นหัวใจสำคัญ โดยเร่งขยายการเติบโตของทุกๆ ธุรกิจพร้อมกันไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดจะเชื่อมโยงยกระดับการใช้ชีวิตทุกรูปแบบทั้ง shop-work-stay-play-live ด้วยโครงการรีเทลที่เติมเต็มทุกฟอร์แมตและเทรนด์ใหม่ๆ, โครงการที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพและเชื่อมโยงสิทธิประโยชน์ในเครือเพื่อลูกบ้านเซ็นทรัล พร้อมเชื่อมต่อออฟฟิศให้เป็นสถานที่ที่ทำงานที่ดีที่สุดเพราะใกล้ศูนย์การค้าและโรงแรม รวมถึงปั้นโรงแรมแบรนด์น้องใหม่ เพื่อยกระดับทำให้ทุกเมืองเป็นเมืองท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังได้ตั้งทีม Business & Digital Transformation ลงทุน 450 ล้านบาทในปี 2022 เพื่อทรานฟอร์มสู่การเป็น Omnichannel Platform ซึ่งมากกว่าการเชื่อม offline และ online แต่ยังเชื่อมโยงทุกธุรกิจใน ecosystem เข้าด้วยกัน และเชื่อมโยงธุรกิจที่อยู่กับเราไปยังลูกค้าด้วยเป็น B2B2C สร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้าในอนาคต 1.2     Synergy with business partners: มุ่งมั่นสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจของคู่ค้า พร้อมจัดตั้งทีม Partner Champions ที่จะเป็น Business Consultant ในการเป็น End-to-End Solutions ให้กับคู่ค้าอย่างครบวงจร ได้แก่ การช่วยเหลือการเติบโตและขยายสาขาด้วยโมเดล Co-investment, Funding, และ Franchise การช่วยเหลือด้าน Business Operation ต่างๆ, การใช้ Big Data จาก The 1 และ The 1 Biz, และ Retail Omnichannel เพื่อส่งเสริมและผลักดันธุรกิจของคู่ค้า, รวมไปถึงการจัดการ Transaction และบริการต่างๆ ที่จะช่วยพันธมิตรทุกราย 1.3     Synergy with communities: ทุกโครงการของเซ็นทรัลพัฒนามีส่วนสะท้อนอัตลักษณ์ Local Essence ของชุมชน ทั้งได้ด้าน Art & Culture รวมไปถึง Local Wealth การสร้างและกระจายรายได้ให้กับชุมชน นอกจากนี้ ยังเป็นแพลตฟอร์มยกระดับ SMEs และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในแบบ Cross-Region ให้ผู้ประกอบการ, เกษตรกร และอาชีพต่างๆ ได้เข้าถึงพื้นที่การขายและลูกค้า โดยรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 40,000 ตร.ม. หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 300 ล้านบาทต่อปี กลยุทธ์ที่ 2: PIONEER for better lives สร้างมาตรฐานใหม่ของพื้นที่แห่งการใช้ชีวิตที่ดีในอนาคต ต่อไปนี้ภายในทุกโครงการใหม่ของเซ็นทรัลพัฒนาจะมีการบริหารจัดการที่ใส่ใจหัวใจสำคัญ 2 ด้านเพื่อการใช้ชีวิตของทุกคนอย่างยั่งยืน ได้แก่ Green & Energy ด้วย Green Building Standard มาตรฐานอาคารเขียวระดับสากล, ติดตั้งเซลล์ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ในทุกโครงการ, พัฒนาอาคารอัจฉริยะหรือ Building Automation, การเพิ่มจุด EV Charging และ Recycle Station สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดและแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน เป็นต้น Health & Wellness พื้นที่ที่มีส่วนช่วยยกระดับการใช้ชีวิตของผู้คน ด้วยการตอกย้ำแผนแม่บทและมาตรการด้านความสะอาดและความปลอดภัย, การเพิ่มพื้นที่สีเขียวทั้ง indoor-outdoor, การออกแบบที่ตอบสนองคนทุกกลุ่ม (Inclusive Design) ให้เป็นพื้นที่ที่ทุกคนมาใช้ได้จริง รวมถึงพื้นที่เพื่อชุมชน เช่น ลานออกกำลังกาย, สนามเด็กเล่น, ศูนย์การเรียนรู้, ศูนย์ฉีดวัคซีน, พื้นที่รับบริจาคโลหิต, พื้นที่เพื่อ well-being สำหรับชุมชน เป็นต้น กลยุทธ์ที่ 3: OPPORTUNITIES with Purpose ขับเคลื่อนสังคมและธุรกิจ เปิดโอกาสให้ทุกคน เป็นองค์กรแห่งการสร้าง ‘โอกาส’ พัฒนาคน พัฒนาเมือง พัฒนาประเทศ และยกระดับวงการอสังหาฯ และรีเทลของไทย เทียบเท่าระดับโลก เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าร่วมกัน ให้คนได้มาเรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ จับคู่ทางธุรกิจ และขยายไปทั้งในและต่างประเทศ ผ่านโครงการ Central Pattana Lead และ Retail Academy สร้าง Local Wealth ให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ ขยายความเจริญจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่น และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในจังหวัด ให้คนรุ่นใหม่ได้เข้ามาร่วมงานกับเซ็นทรัลพัฒนา ผ่านโปรแกรมให้ได้ทดลองไอเดียใหม่ๆ เช่น Retail Hackathon ซึ่งนำไปต่อยอดจริง ให้โอกาสอย่างทั่วถึงกับกลุ่มคนที่หลากหลาย LGBTQ+ ข้อจำกัดทางร่างกาย บุคคลพิเศษ และมีความเป็น Global Citizen ให้ความสำคัญกับ Global Values อาทิ Human Rights, Equality, Diversity เป็นต้น จากกลยุทธ์ทั้งหมดนำไปสู่การสร้าง Big impact ในเชิงเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมของทุกเจเนอร์เรชั่น โดยนางสาววัลยากล่าวต่อไปว่า “ภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่ เราจึงมุ่งมั่นที่จะทำตาม Brand Commitment สำคัญคือการเดินหน้าสร้าง Sustainable Ecosystem ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน เพื่อผู้คนและโลก ยืนหยัด สร้างพื้นที่ที่มีคุณภาพ ส่งเสริมการใช้ชีวิตในทุกมิติ สร้างสรรค์สิ่งที่ที่ดีเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนสำหรับคนไทยและประเทศไทย โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน ได้แก่ ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนและชุมชนทั่วประเทศ: โดยปัจจุบัน เซ็นทรัลพัฒนามีส่วนช่วยสร้างเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจเทียบเท่าประมาณ 1% ของ GDP ของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง และในอีก 5 ปีข้างหน้า จะยังคงเติบโตเช่นนี้ และทำให้เกิดการจ้างงานไม่ต่ำกว่า 150,000 ตำแหน่ง ที่อยู่ใน sustainable ecosystem ของเซ็นทรัลพัฒนา ตั้งเป้าเป็นองค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ภายในปี 2050 ด้วยแผนระยะยาวตั้งเป็น Net Zero Carbon Emission ให้ได้ผ่านการลดการใช้พลังงานให้ได้ 50% ลดการใช้ CFC และสารที่ทำลายชั้นบรรยากาศ และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดหรือ Clean Energy ให้ได้อีก 50% นอกจากนี้เรายังตั้งเป้าปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียวทั้งภายในและภายนอกโครงการให้ได้ถึง 1 ล้านต้นโดยเร็วอีกด้วย” บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ขับเคลื่อนสู่อนาคตภายใต้เจตจำนงค์ของแบรนด์ Imagining better futures for all ด้วยการสร้างและพัฒนาพื้นที่ที่มีคุณภาพเพื่อดูแลคนและชุมชน รวมถึงสิ่งแวดล้อม ให้เติบโตควบคู่ไปกับการเดินหน้าทางเศรษฐกิจและขับเคลื่อนประเทศไทย ที่ผ่านมา บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นบริษัทอสังหาฯ หนึ่งเดียวในไทยที่เป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนระดับโลก DJSI World ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 และ DJSI Emerging Markets ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาใหม่ เพื่อสะท้อน Commitment for better futures โปรดรับชมได้ทาง https://youtu.be/ZrUKWsxGZks   บทความหน้าสนใจ The Forestias – เมืองต้นแบบกลางป่าใหญ่ในกรุงเทพฯ 6 วิธีช้อปปิ้งในห้าง-ซุปเปอร์มาร์เก็ต ให้ปลอดภัยจากโควิด-19  
ศุภาลัย  ทุบสถิติปี 64 New High Record  ทำรายได้ – กำไร สูงสุดในรอบ 3 ทศวรรษ

ศุภาลัย ทุบสถิติปี 64 New High Record ทำรายได้ – กำไร สูงสุดในรอบ 3 ทศวรรษ

ศุภาลัย โชว์ผลงานปี 64 สร้าง New High Record ทุบสถิติกวาดรายได้ – กำไร เกินเป้าที่ตั้งไว้ สูงสุดรอบ 30 ปี  โกยกำไร 7,070 ล้าน โตกว่า 66 % และรายได้รวมสูงถึง 29,647 ล้าน เพิ่มขึ้น 41%  ชี้เป็นผลสำเร็จจากการเงินแข็งแกร่งและแผนกลยุทธ์ปรับตัวรับมือที่รวดเร็วให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง พัฒนาผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ลูกค้า ปี 65 พร้อมเดินหน้าสร้างยอดขาย 28,000 ล้าน และรายได้ 29,000 ล้าน  จากการเปิดตัว 34 โครงการใหม่   นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานรอบปี 2564 ศุภาลัยทุบสถิติกำไรสุทธิสูงสุด สร้าง New High New Record สูงสุดในรอบ 3 ทศวรรษ สามารถสร้างผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 66% หรือ 7,070 ล้านบาท รวมถึงรายได้รวมเติบโตแบบก้าวกระโดดสูงสุดเช่นกัน 29,647 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เกินเป้าหมายที่วางไว้ 28,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นตัวเลขสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท โดยแบ่งเป็นรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาฯ  28,938 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% จากปี 2563 โดยแบ่งเป็นรายได้จากบ้านและทาวน์เฮาส์ 51% และอาคารชุด 49% โดยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 ศุภาลัยมีรายได้รวม 11,126 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% และกำไร 2,879  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% สวนกระแสอย่างก้าวกระโดดสูงสุด เติบโตจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า มาจากยอดรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด และโครงการแนวราบที่ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่ และการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน (Cash Flow Management) ส่งผลให้อัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ระดับ 43% ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 ลดลงจากระดับ 55% ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 ปัจจัยสร้างความสำเร็จ สำหรับปัจจัยสำคัญที่มีส่วนผลักดันศุภาลัย สามารถสร้างการเติบโตอย่างผู้นำและยั่งยืน ทั้งด้านรายได้และกำไร  มาจาก -ทีมงานที่มีศักยภาพและแข็งแกร่ง นำหลักการทำงานแบบ Agile มาปรับใช้ภายในองค์กร เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการขององค์กรได้อย่างรวดเร็ว -การพัฒนาผลิตภัณฑ์ สร้างสรรค์รูปแบบผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ตรงตามความต้องการของลูกค้า -การบริการอย่างครบวงจรบนแพลตฟอร์มออนไลน์ สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ผ่านการขายแบบออนไลน์ให้แก่ลูกค้า ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว เช่น Supalai Online Booking , Supalai Private Tours และพัฒนา Living Solution Platform ผ่านแอปพลิเคชัน Supalai Sabai จัดการทุกเรื่องบ้านยกระดับการอยู่อาศัยแบบครบวงจร -การบริหารต้นทุนและ Cash Flow อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรแข็งแกร่ง -ส่งเสริม Waste management ในกระบวนการก่อสร้าง กำหนดแนวทางการทำงานเพื่อลดปริมาณความสูญเสียของวัสดุก่อสร้างได้อย่างเหมาะสม และสามารถจัดการกับเศษวัสดุก่อสร้างให้เกิดมูลค่าสูงสุด รวมทั้งลดผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ผลงานในปี 2564 ที่ปรากฏออกมานั้นคุ้มค่ากับการวางแผนกลยุทธ์และความทุ่มเท เพราะศุภลายประสบความสำเร็จเกินเป้าจากแผนการดำเนินงานที่ตั้งไว้ ท่ามกลางวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น โดยสามารถสร้างสถิติครั้งใหม่ New High ตั้งแต่เปิดบริษัท เติบโตทางด้านรายได้และกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งยอดขายและโอนกรรมสิทธิ์โครงการสร้างเสร็จ พร้อมเข้าอยู่ โดยปีที่ผ่านมาศุภาล้ยตั้งเป้าหมายยอดขาย 27,000 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ 28,000 ล้านบาท ซึ่งปี 2564 ถือเป็นปีที่ท้าทายเป็นอย่างมากในการบริหารจัดการธุรกิจ เพื่อให้เป็นไปตามกลยุทธ์ธุรกิจที่วางไว้ว่า ก้าวไปข้างหน้า..เติบโตอย่างผู้นำ และยั่งยืน ทั้งด้านรายได้ และกำไร  จากแผนการเปิดตัวโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียม รวม 23 โครงการใหม่ ที่สามารถเจาะกลุ่มลูกค้าทุก  เซ็กเมนต์ ครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยทำเลยอดนิยมที่สร้างยอดขายได้ทะยานสูงเป็นลำดับต้นๆ คือ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ชลบุรี และระยอง ที่กำลังซื้อยังคงมีอยู่อย่างเหนียวแน่น โดยสินค้าแนวราบเป็นสินค้าเบอร์หนึ่งที่ได้รับความนิยมมากขึ้นต่อเนื่องในปัจจุบัน   อีกทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เปิดตัวแบรนด์ใหม่ พร้อมแบบบ้านใหม่ ฟังก์ชันใหม่ ให้ตอบโจทย์ลูกค้า มากที่สุด อาทิ โครงการศุภาลัย เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี 121 และโครงการคอนโดมิเนียม ศุภาลัย พรีเมียร์ สามเสน - ราชวัตร ควบคู่ไปกับแผนการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ ในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ของปี 2564 รวมทั้งสิ้น 3 โครงการด้วยกัน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า คือ ศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร ศุภาลัย ริวา แกรนด์ และศุภาลัย เวอเรนด้า สถานีภาษีเจริญ   ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการงวดปี 2564 ให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 1.25 บาท โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 27 เม.ย. 65 และจ่ายปันผล วันที่ 12 พ.ค. 65   นายไตรเตชะ กล่าวอีกว่า ในปี 2565 ศุภาลัยเร่งเสริมศักยภาพการบริหารจัดการมุ่งมั่นพัฒนากลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ เพื่อผลักดันยอดขายให้สู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยตั้งเป้าหมายยอดขาย 28,000 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ 29,000 ล้านบาท จากการเปิดตัวโครงการใหม่ 34 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 31 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 40,000 ล้านบาท พร้อมรุกเปิดตลาดอสังหาฯ ในจังหวัดใหม่ๆ เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค พร้อมด้วยทำเลศักยภาพ อาทิ ฉะเชิงเทรา ลำพูน นครสวรรค์ นครปฐม และ ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคทั่วทุกภูมิภาค สำหรับที่อยู่อาศัยแนวราบยังมีโอกาสเติบโตในทิศทางที่ดี เนื่องจากยังเป็นกลุ่ม Real Demand ที่มีความต้องการของที่อยู่อาศัยสูง พร้อมมุ่งพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่มากขึ้น รวมไปถึงการพัฒนารูปแบบการซื้อที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคตของบริษัท ความสำเร็จของปี 2564 เป็นแรงผลักดันสำคัญให้ศุภาลัยมุ่งมั่นการดำเนินธุรกิจอสังหาฯ ตามหลักธรรมภิบาลและเน้นการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์พร้อมการให้บริการลูกค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้าทุกกลุ่มทุกวัย   New Record ที่สุดใน 3 ทศวรรษนี้ อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง ศุภาลัย วาง 4 กลยุทธ์ ทำรายได้ New High 28,000 ล้านบาท
พฤกษา เตรียมงบลงทุน 10,000 ล้านปี 65 พร้อมขยายธุรกิจ “พร็อพเทค-เฮลท์เทค” ​

พฤกษา เตรียมงบลงทุน 10,000 ล้านปี 65 พร้อมขยายธุรกิจ “พร็อพเทค-เฮลท์เทค” ​

พฤกษา เดินหน้าลุยธุรกิจอสังหาฯ -เทคโนโลยี เตรียมงบ 10,000 ล้าน ปั้นโปรเจ็กต์ที่อยู่อาศัย พร้อมแสวงหาโอกาสในธุรกิจตามเทรนด์โลก เปิดรับทุกรูปแบบพันธมิตรร่วมทุน ลุยพร็อพเทคและเฮลท์เทค วางเป้ายอดขายอสังหาฯ 31,000 ล้าน  โต 23% และยอดโอน ­33,000 ล้าน โต​ 18%   พฤกษา วาง 4 กลยุทธ์ลุยธุรกิจปี 65 นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง (มหาชน) เปิดเผยถึงทิศทางในการดำเนินธุรกิจปี 2565 ว่า ได้วางงบลงทุนไว้ 10,000 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจเฮลท์แคร์ 6,500 ล้านบาท และการลงทุนใน Corporate Venture Fund เป็นการมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ที่นอกเหนือจากธุรกิจอสังหาฯ  ตามเทรนด์โลกอนาคต ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งการลงทุน การร่วมเป็นพันธมิตร (Partnership) และการทำ Outside-in Innovation ด้วยงบประมาณการลงทุนอีก 3,500 ล้านบาท ระยะเวลาการใช้งบประมาณภายใน 3 ปี   โดยการดำเนินธุรกิจของพฤกษาในปีนี้ ได้วาง 4 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ 1.ปรับ Portfolio   มุ่งลดสินค้าคงค้าง และเพิ่มสัดส่วนกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์บ้านระดับพรีเมียม 2.เสริมแกร่งธุรกิจหลัก ด้วยการจัดสรรที่ดินในมือ 157 ผืน มูลค่า 15,400 ล้านบาท  โดยปีนี้ยังวางแผนซื้อที่ดินเพิ่มเติมอีก 3,000-5,000 ล้านบาท และการบริหารโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 145 โครงการ และมียูนิตพร้อมอยู่ที่พร้อมขายสร้างรายได้ 2,300 ยูนิต 3.ความร่วมมือ (Synergy) ทั้งกับธุรกิจอสังหาฯ และโรงพยาบาลวิมุต ในเครือเองที่จะเปิดให้บริการศูนย์ดูแลผู้ป่วยและผู้สูงวัยในโครงการต่าง ๆ 4.การสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการนำนวัตกรรมมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล ตามหลัก ESG และการลงทุนใน Corporate Venture Fund เพื่อมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ตามเทรนด์โลกอนาคต ในรูปแบบต่าง ๆ ที่มุ่งเน้นใน 2 ด้านที่จะมาสนับสนุนธุรกิจหลัก   ได้แก่ -PropTech เช่น โซลูชั่นที่มุ่งส่งเสริมการสร้างประสบการณ์ที่ดีของลูกค้า การขายและการตลาดดิจิทัล Smart Home IOT Senior Living / Nursing Home เป็นต้น -Health Tech มุ่งเน้นแพลตฟอร์ม เกี่ยวกับบริการทางการแพทย์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานธุรกิจสุขภาพ (Healthcare Supply Chain) อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดต้องคำนึงถึงการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (Sustainability)  โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ได้ลงทุนในบริษัทชั้นนำด้านธุรกิจ Clinical Laboratories, Digital Heath และ Genomic Labs ที่สิงคโปร์ อีกทั้งยังมีการจัด Bootcamp เพื่อคัดเลือกทีม External Venture Building จากทีมที่สมัครเข้ามามากกว่าร้อยทีม และขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้เกี่ยวกับการลงทุนสตาร์ทอัพในต่างประเทศ  คาดว่าจะเริ่มลงทุนในเดือนมีนาคมนี้ และทั้งหมดนี้จะเป็นการต่อห่วงโซ่ธุรกิจของพฤกษา โฮลดิ้ง ให้แข็งแกร่งขึ้นจากความร่วมมือกันระหว่างองค์กรและ Innovation Technology ของบริษัท Startup ได้เป็นอย่างดี  พฤกษา โฮลดิ้ง มีความแข็งแกร่งในด้านการเงิน ปัจจุบันมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานกว่า 11,900 ล้านบาท  ปัจจุบัน พฤกษา โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน ( Net Gearing) อยู่ที่ 0.36x ได้รับอันดับเครดิตองค์กร หรือ ทริสเรทติ้งที่ระดับ A ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต Stable หรือ คงที่ และด้วยผลประกอบการในปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทฯ มีมติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.96  บาท โดยจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.31 บาท   จึงคงเหลือจ่ายเงินปันผลในรอบนี้ในอัตราหุ้นละ 0.65  บาท โดยจะนำเสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในเดือนเมษายน 2565 พฤกษา เปิด 31 โปรเจ็กต์ปั้นรายได้ 3.3 หมื่นล้าน นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2565 ได้วางแผนเปิดโครงการใหม่ 31 โครงการ มูลค่าประมาณ 16,300 ล้านบาท ประกอบด้วย ทาวน์เฮาส์ 22 โครงการ บ้านเดี่ยว 6 โครงการ และคอนโดมิเนียม 3 โครงการ ตั้งเป้ายอดขายปี 2565 อยู่ที่ 31,000 ล้านบาท เติบโต 23% และยอดโอน 33,000 ล้านบาท เติบโต 18%  โดยจะมีคอนโดอีก 7 โครงการที่จะโอนกรรมสิทธิ์เป็นรายได้ในปีนี้มูลค่า 2,900 ล้านบาท พฤกษาเน้นตลาดแนวราบ โดยใช้บิสิเนสโมเดลใหม่ที่เน้นตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าและเลือกเปิดโครงการที่มีศักยภาพสูง โดยรุกกลุ่มเรียลดีมานด์เซ็กเม้นต์รายได้ระดับกลางถึงสูงมากขึ้น สำหรับผลประกอบการปี 2564 ที่ผ่านมา​ สามารถทำยอดขายได้ 25.4 พันล้านบาท เติบโต 16% ซึ่งกลุ่มบ้านเดี่ยวเติบโตสูงถึง 23% เมื่อเทียบกับปี 2563 และทำรายได้ 28 พันล้านบาท  เปิดโครงการใหม่ตามแผนทั้งสิ้นรวม 31 โครงการ มูลค่า 21.1 พันล้านบาท   นอกจากนี้ ในช่วง 8 ไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทสามารถลดสินค้าคงค้างไปได้ จาก 23,300 ล้านบาท เหลือเพียง 7,500 ล้านบาท จากการใช้กลยุทธ์ราคาและโปรโมชั่น  ซึ่งในไตรมาสแรกของปีนี้  พฤกษา เรียลเอสเตทยังคงจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่อเนื่องด้วย แคมเปญ “มั่งมีศรีสุข” มอบอั่งเปาและข้อเสนอพิเศษ อาทิ อยู่ฟรี สูงสุดนาน 24 เดือน สิทธิส่วนกลางฟรี สูงสุดนาน 36 เดือน หรือ ฟรีทุกค่าใช้จ่ายวันโอน รวมมูลค่าสูงสุด 4 ล้านบาท  ระหว่างวันนี้ – 31 มี.ค. 2565 บริษัทสร้างยอดขายอสังหาฯ เพิ่มขึ้นในทุกประเภท ทั้ง ทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว และคอนโด  จากการปรับบิซิเนสโมเดลใหม่ ใช้กลยุทธ์ยึดความต้องการลูกค้าเป็นศูนย์กลาง    พฤกษา วางเป้าธุรกิจเฮลท์แคร์ 700 ล้าน นายแพทย์กฤตวิทย์ เลิศอุตสาหกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลวิมุต โฮลดิ้ง จำกัด  กล่าวว่า ​“โรงพยาบาลวิมุต เปิดให้บริการตั้งแต่ พฤษภาคม 2564 มีความพร้อมในการให้บริการในทุกศูนย์สุขภาพ มีทีมแพทย์เฉพาะทางที่ชำนาญการ เปิดบริการเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางระดับตติยภูมิ  นอกจากนี้ ยังเป็นศูนย์ฉีดวัคซีนที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ในปีนี้วิมุตมุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรม ด้าน Digital Healthtech เช่น Application, Telemedicine และการบริการที่ตอบรับการดูแลผู้ป่วยกลุ่ม NCDs เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และเทรนด์การใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ ล่าสุดได้ออกโปรแกรม Total Senior Solution เพื่อดูแลผู้สูงอายุแบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นบริการดูแลผู้สูงอายุถึงบ้าน โดยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว การร่วมกับพฤกษาปรับฟังก์ชั่นบ้านให้เหมาะกับผู้สูงวัย การออกแบบให้มีทางลาดสำหรับรถเข็น การติดตั้งราวจับภายในบ้าน ที่นั่งอาบน้ำ พื้นกันกระแทก โดยเริ่มทำแล้วในโครงการของพฤกษา สำหรับความคืบหน้าโครงการ ViMUT Health Center ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาด 50 เตียง ได้เริ่มดำเนินการแห่งแรกแล้ว ที่โครงการพฤกษา อเวนิว บางนา-วงแหวน จะเปิดให้บริการในเดือนสิงหาคม 2565 นอกจากนี้ ยังมีแผนที่พัฒนาศูนย์ดูแลผู้สูงอายุในโครงการคอนโดมิเนียมของพฤกษาทำเลในเมืองที่มีศักยภาพในอนาคตอีกด้วย สำหรับรายได้ของธุรกิจสุขภาพของพฤกษาปีนี้น่าจะมีรายได้ 700 ล้านบาท เติบโต 2-3 เท่าจากปีที่ผ่านมา  
เอสซี แอสเสท  ชู 3 ยุทธศาสตร์  ปั้นรายได้แสนล้าน  ประเดิมปี 65 ลุยเปิด 27 โปรเจ็กต์ใหม่

เอสซี แอสเสท ชู 3 ยุทธศาสตร์  ปั้นรายได้แสนล้าน ประเดิมปี 65 ลุยเปิด 27 โปรเจ็กต์ใหม่

เอสซี แอสเสท ลุยสร้างรายได้เติบโตต่อเนื่องรวมสี่ปีกว่า 100,000 ล้านบาท ด้วยโรดแมป  “SC Thriving for Good” กวาดรายได้ทั้งธุรกิจอสังหาฯ และมองหาโอกาสในธุรกิจใหม่ ขณะแผนปี 65 เตรียมปักหมุดโปรเจ็กต์ใหม่  27 โครงการ มูลค่า 40,000 ล้าน สูงสุดในประวัติศาสตร์บริษัท   นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จากัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยถึงโรดแมปการดำเนินธุรกิจภายในระยะ 4 ปี (2565-2568) ภายใต้แนวคิด “SC Thriving for Good” เติบโต เชื่อมต่อ ยั่งยืน บนวิถีโลกใหม่ เป็นองค์กรที่สร้างคุณค่า เชื่อมต่อ solutions สู่ผู้คนและสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างรายได้เติบโตต่อเนื่อง 4 ปี รวมกว่า 100,000 ล้านบาท หลังจากในช่วงปี 2563-2564 เอสซี แอสเสทได้รอดผ่านวิกฤตที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี​ เอสซี แอสเสท ชู 3 ยุทธศาสตร์สู่รายได้แสนล้าน ยุทธศาสตร์ 1: Thriving  “เติบโต บนสมรภูมิเดิม และน่านน้ำใหม่” เป้าหมายด้านการเติบโตของเอสซี แอสเสท คือ ทุกปีจะต้องสร้างรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องตลอด 4 ปี เพื่อให้มีรายได้รวม 100,000 ล้านบาท ซึ่งปีนี้เป็นปีแรกที่เอสซี แอสเสท ตั้งเป้าหมายว่าจะทำรายได้เกิน 20,000 ล้านบาท และในปี 2568 มีรายได้แตะ 30,000 ล้านบาท พร้อมกับการเป็นแบรนด์ที่ 1 ในใจของกลุ่มลูกค้าด้วย   โดยรายได้หลักจะมาจากธุรกิจพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยสัดส่วน 80% และธุรกิจใหม่ที่บริษัทกำลังจะขยายเพิ่มอีก 20% ซึ่งในส่วนของธุรกิจใหม่ จะเป็นการหาโอกาสจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็น Work from Anywhere และ Home is everything ซึ่งคือการทำงานจากที่ใดก็ได้ และสามารถสร้างรายได้จากที่บ้านได้ ซึ่งธุรกิจใหม่ที่จะขยายไป ได้แก่ Workation Hotel การลงทุนในธุรกิจอพาร์ทเมนท์ในสหรัฐอเมริกา รวมถึงธุรกิจอื่น ๆ ที่เตรียมเปิดตัวในเร็ว ๆ นี้อีกด้วย เป้าหมายแนวราบสร้างรายได้ 20,000 ล้านบาท ในปี 2025 และเป็นแบรนด์บ้านเดี่ยวอันดับ 1 ในใจผู้คน แนวสูงจะเป็นแบรนด์คอนโดอันดับ 1 สำหรับคน Gen Y พร้อมกับเปิดโครงการใหม่รวม 20,000 ล้านบาท  ใน 4 ปี ยุทธศาสตร์ 2: Connecting  การ “เชื่อมต่อ ทุกสิ่งถึงกัน สร้างคุณค่าที่มากกว่า” กับ 3 การเชื่อมต่อที่สำคัญ ได้แก่ เชื่อมต่อที่ 1 ตั้งแต่ปี 2561 เอสซี แอสเสท ได้นำเทคโนโลยีเข้ามาเชื่อมต่อการพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการ โดยปีที่ผ่านมามีการพัฒนาให้บ้านของเอสซี แอสเสท มีความฉลาดขึ้นกับ “RueJai IOS” ซึ่งปีนี้จะพัฒนาให้ดีขึ้น ด้วยการติดตั้งลำโพงอัจฉริยะ เพื่อให้สามารถสั่งงานต่าง ๆ ภายในบ้านได้ด้วยเสียงด้วย นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกับ กลุ่มเอสซีจีติดตั้งระบบ Active Airflow & Air Quality Control ที่เป็นระบบการทำงานอัตโนมัติ นำอากาศเสียออกจากตัวบ้าน รวมถึง การดักจับสัญญาณควัน และแจ้งเตือนไปยังรปภ. ขณะที่แอปพลิเคชั่น RueJai พัฒนาไปสู่เวอร์ชั่น 3.0 การติดตั้งจุดชาร์ตรถหลังานไฟฟ้า เชื่อมต่อที่ 2 การนำเทคโนโลยี Blockchain ภายใต้ชื่อ SC MORNING COIN ที่เชื่อมต่อกับหน่วยงานภายนอก ที่จะทำให้พนักงานในองค์กร ลูกค้า และพันธมิตรทางธุรกิจ ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ การใช้เทคโนโลยี Blockchain ทำแล้วเราไม่ได้เปรีย แต่ถ้าเราไม่ทำเราจะเสียเปรียบเชื่อมต่อที่ 3 การสื่อสารภายใน ให้พนักงาน 1,200 คน ได้รับการติดต่อสื่อสารเชื่อมถึงกัน เพื่อการทำงานที่คล่องตัว และได้ทุกสถานการณ์ โดยจะใช้ดาต้าเป็นเครื่องมือสำคัญ ทั้งด้านการทำงานภายใน และการพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้า ​  ยุทธศาสตร์ 3: Sustaining “ยั่งยืน สร้างคุณค่า สู่ผู้คนและสิ่งแวดล้อม” กับ 3 คุณค่าที่สำคัญ ได้แก่ 1.การพัฒนาคุณภาพสินค้าให้มีมาตรฐาน 2.การส่งมอบคุณภาพชีวิตทั้งคู่ค้า และพนักงาน เพื่อให้เอสซี แอสเสท เป็นองค์กรธุรกิจอสังหาฯ ที่น่าทำงานอันดับ 1 และ 3.การสร้างคุณค่าสู่สิ่งแวดล้อม กับนโยบายการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases) ลง 20% ภายในปี 2568 เอสซี แอสเสท แผนปี ​ 2022 เปิด 27 โปรเจ็กต์ ในปี 2565 เอสซี แอสเสท ตั้งเป้าหมายรายได้และยอดขาย 22,000 ล้านบาท โดยมีการเปิดโครงการใหม่สูงเป็นสถิติใหม่ 27 โครงการ มูลค่า 40,000 ล้านบาท  แบ่งเป็นแนวราบ 25 โครงการ มูลค่า 33,500 ล้านบาท ซึ่งมากกว่า 70%  เป็นบ้านเดี่ยวราคามากกว่า 10 ล้านบาท โดยมีโครงการบ้านเดี่ยวระดับ 50 ล้านบาทด้วยในปีนี้ ส่วนคอนโดวางแผนเปิด 2 โครงการใหม่ มูลค่า 6,500 ล้านบาท บนทำเลใกล้รถไฟฟ้า BTS 2 สถานี คือ วงเวียนใหญ่ และทองหล่อ ซึ่งจะมีการเปิดโครงการในทุกแบรนด์และทุกทำเลทั่วกรุงเทพฯ และมีแบรนด์คอนโดใหม่เพิ่มเข้ามา 2 แบรนด์ จับกลุ่มลูกค้า Gen Y แม้กลุ่ม Gen X จะมีกำลังซื้อมากสุด แต่ต่อไปดีมานด์มากที่สุด คือ เจนวาย เราตั้งใจว่า 4 ปี เปิด 20,000 ล้านบาท 10 โคงการ 10 ทำเล ตอนนี้เรามีที่ดินเกือบครึ่งในการพัฒนาแล้ว​ จากแผนการเปิดตัวในปีนี้ จะส่งผลให้กลุ่มแอสซี แอสเสท มีโครงการพัฒนาเพื่อขายรวมทั้งสิ้น 78 โครงการ มูลค่า 69,000 ล้านบาท มีสัดส่วนแนวราบ 70% และแนวสูง 30%  พร้อมเตรียมงบลงทุนที่ดินใหม่ในปีนี้ 11,500 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตอย่างต่อเนื่องไปถึงปี 2568 อสังหาฯ 65 ยังแข่งรุนแรง สำหรับแนวโน้มธุรกิจอสังหาฯ ในปีนี้ นายณัฐพงศ์ มองว่า ที่ผ่านมาภาพรวมธุรกิจได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และในปีนี้ผู้ประกอบการรายใหญ่จะลุยทำธุรกิจกันมากขึ้น ส่งผลให้การแข่งขันจะรุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ สำหรับตลาดแนวราบยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง และน่าจะเติบโตได้ดีตามวิถีโลกใหม่  ซึ่งปีที่ผ่านมายอดขายบ้านเติบโตถึง 29% มีมูลค่ากว่า 120,000 ล้านบาท  แต่อาจจะมีความท้ายทายในเรื่องการก่อสร้าง ที่ขาดแคลนแรงงงานที่ผู้ประกอบการทุกรายต้องบริหารจัดการให้ดี   นายณัฐพงศ์ กล่าวอีกว่า ตลาดคอนโดปีนี้ไม่แย่กว่าปีที่แล้ว เพราะในภาวะที่เกิดโควิด-19 ตลาดก็ยังไปได้ดี มีการระบายสต็อกลงไปได้ส่วนหนึ่ง และปีนี้มีความหวังว่าต่างชาติมีโอกาสจะเข้ามาในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะหลายประเทศเริ่มประกาศไม่ใส่หน้ากาก แต่ปีหน้าตลาดคอนโดดีขึ้นอย่างแน่นอน ตลาดแนวราบยังเติบโตอย่างน่าตื่นเต้น คนต้องการพื้นที่ จากเดิมอสังหาฯ เน้น โลเกชั่น โลเกชั่น โลเกชั่น แต่ปัจจุบันต้องการสเปซ สเปซ สเปซ ​สิ่งที่เราทำไปตอบโจทย์ความต้องการใหม่เหล่านี้ทันที ปัจจุบันบริษัทมีความพร้อม เนื่องจากมีสภาพคล่องสูง มีเงินสดและวงเงินพร้อมเบิกใช้กว่า 10,000 ล้านบาท และแม้ว่าที่ผ่านมาจะลงทุนจำนวนมาก แต่หนี้สินไม่ได้สูง ทำให้เมื่อเกิดอะไรขึ้นก็ตามบริษัทสามารถรับมือได้   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง เอสซี แอสเสท ลุย Q2 เปิดบ้านแนวราบ 1,145 ล้าน เดินหน้ารักษาแชมป์บ้านเดี่ยว ถอดกลยุทธ์ “เอสซี แอสเสท” ใช้ความยืดหยุ่น สร้างพอร์ตธุรกิจให้เติบโต พร้อมเพิ่มรายได้ประจำ    
ชีวาทัย  เดินแผนธุรกิจปี 65 สู่รายได้ 3,000 ล้าน  ปั้นโปรเจ็กต์ใหม่-ขยายสู่ธุรกิจขายบ้านมือสอง

ชีวาทัย เดินแผนธุรกิจปี 65 สู่รายได้ 3,000 ล้าน ปั้นโปรเจ็กต์ใหม่-ขยายสู่ธุรกิจขายบ้านมือสอง

ชีวาทัย เดินหน้าแผนธุรกิจปี 65 เตรียมเจรจาซื้อที่ดิน 6 แปลง ปั้นโครงการใหม่มูลค่า 5,000 ล้าน พร้อมวางเป้าทำรายได้ 2,800-3,000 ล้าน หลังตุน Backlog ในมือ 1,800 ล้าน ขณะเดียวกันมองหาโอกาสธุรกิจสร้างรายได้เพิ่ม และกระจายความเสี่ยง ประมูลทรัพย์มือสอง จากกรมบังคับคดี  รีโนเวทขายใหม่ทำกำไรขั้นต้น 30%   นายบุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA เปิดเผยว่า ภาพรวมของปี 2565 ยังเป็นปีที่มีความท้าทายในการดำเนินธุรกิจ จากผลกระทบ​การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 ที่รุนแรงและต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่ปีที่ผ่ามา ส่งผลกระทบต่อทั้งประเทศ  นอกจากนี้ ยังมีปัญหากำลังซื้อของผู้บริโภค ที่ยังมีปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูง ทำให้ถึงแม้ว่ามีความต้องการซื้อบ้านและคอนโดมิเนียม แต่กำลังซื้ออาจจะมีไม่เพียงพอ รวมถึงยังต้องการสินค้าราคาถูก ทำให้ผู้ประกอบการต้องแข่งขันด้านราคาที่อยู่อาศัย เกิดเป็นสงครามราคา และภาวการณ์แข่งขันที่รุนแรง ซึ่งในบางทำเลก็อาจจะเกิดภาวะโอเว่อร์ซัพพลาย จากการเปิดตัวกันจำนวนมาก ในโครงการบ้านแนวราบ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีปัจจัยลบเกิดขึ้น แต่สัญญาณในเชิงบวกต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็ยังมีให้เห็น ไม่ว่าจะเป็น การปรับตัวเข้ากับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มองว่าเป็นเรื่องปกติในชีวิต กลุ่มคนระดับกลางยังมีกำลังซื้อที่ดี และมีความต้องการซื้ออสังหาฯ ดอกเบี้ยธนาคารยังอยู่ในอัตราต่ำ ยังมีการทำงานจากที่บ้าน (Work from Home)  ทำให้เกิดความต้องการบ้านแนวราบ แนวโน้มกลุ่มลูกค้าต่างชาติจะกลับเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้น และแผนการพัฒนาโครงการของผู้ประกอบการจะมีเพิ่มมากขึ้น ชีวาทัย แผนปี 65 สร้างรายได้ 3,000 ล้าน สำหรับแผนธุรกิจปี 2565 เบื้อต้นบริษัทเปิดตัวโครงการใหม่ 1 โครงการ คือ โครงการชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค ลาดพร้าว-โชคชัย 4 (เฟส2) จำนวน 380 ยูนิต มูลค่าโครงการ 994 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียมโลวไรซ์ สไตล์ Loft ที่ตั้งอยู่บนทำเลย่านลาดพร้าว มีห้องให้เลือกตั้งแต่ 26.0-45.50 ตร.ม. ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายและรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ โดยจะเปิดการขายในช่วงเดือนเมษายนนี้   นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาและศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดซื้อที่ดินจำนวน​ 6 แปลง เพื่อพัฒนาโครงการรวมมูลค่า 5,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการ  คอนโดโลว์ไรซ์ แบรนด์ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค  2-3 โครงการ มูลค่าประมาณ 2,800 ล้านบาท บ้านเดี่ยว แบรนด์ชีวารมย์ 2 โครงการ มูลค่า 1,500 ล้านบาท และทาวน์โฮม แบรนด์ชีวาโฮม 1 โครงการ มูลค่าประมาณ 700 ล้านบาท โดยหากการเจรจาซื้อที่ดินเป็นผลสำเร็จจะเปิดตัวภายในปีนี้ แต่หากไม่สำเร็จจะเปิดตัวในปีต่อไป   ส่วนเป้าหมายรายได้ปี 2565 คาดว่าจะทำได้ 2,800-3,000 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้จะมี 2 โครงการใหม่มูลค่า 2,581 ล้านบาท ที่จะรับรู้รายได้ในปีนี้เป็นปีแรก ได้แก่ โครงการชีวาทัย  ฮอลล์มาร์ค ลาดพร้าว-โชคชัย 4 (เฟส2) มูลค่า 994 ล้านบาท และโครงการชีวาทัย ปิ่นเกล้า มีจำนวน 593 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,587 ล้านบาท   รวมถึงยังมีโครงการเดิมที่ยังมียอดขายรอรับรู้รายได้  (Backlog) ทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องมูลค่า 1,800 ล้านบาท และคาดว่าปีนี้จะมีอัตรากำไรเติบโต 4-10% ซื้อบ้านมือ 2 รีโนเวทปั้นรายได้ 400 ล้าน ชีวาทัย มองหาโอกาสทางการตลาด และการลดความเสี่ยง จากการดำเนินธุรกิจพัฒนาโครงการบ้านและคอนโด ด้วยการขยายธุรกิจใหม่ CHEWA RENUE ซึ่งเป็นการซื้อทรัพย์มือ 2 ที่กรมบังคับคดี เพื่อนำมารีโนเวทใหม่ และนำออกขาย นายบุญ กล่าวว่า ธุรกิจนี้มีความน่าสนใจ เพราะหลายทำเลไม่สามารถหาซื้อที่ดินมาพัฒนาโครงการได้แล้ว และถึงแม้หาซื้อได้ก็จะมีราคาแพง ทำให้พัฒนาโครงการออกมาแล้วราคาบ้านจะสูง ซึ่งการขยายมาธุรกิจดังกล่าว จะช่วยการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ เพิ่มรายได้ให้กับบริษัท และยังเป็นทางเลือกให้กับกลุ่มลูกค้าที่สามารถเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในทำเลที่ดีได้ โดยบริษัทคาดว่าจะสามารถทำรายได้จากธุรกิจดังกล่าวมูลค่า 400 ล้านบาท ภายในระยะ 3 ปีนับจากนี้ หลายโครงการอยู่ในทำเลที่ดี แต่ลูกค้ามีปัญหาการเงิน ทำให้บ้านถูกยึด เราไปประมูลแล้วนำมารีโนเวทขาย ซึ่งลูกค้าหลายคนก็ไม่มายด์ที่จะซื้อบ้านมือ 2 สำหรับทรัพย์ที่จะประมูลจากกรมบังคับคดี จะมีทั้งในส่วนของบ้านเดี่ยว และคอนโด โดยราคาคอนโดจะอยู่ประมาณ 2-3 ล้านบาท บ้านเดี่ยวระดับราคา 4-5 ล้านบาท ซึ่งหากการประมูลไม่มีคู่แข่งจะได้ราคาลดลงมาถึง 50% เมื่อบริษัทซื้อมาจะใช้ระยะเวลาประมาณ รีโนเวท กำไรขั้นต้น 30% กำไรสุทธิ 20%   ข่าวที่เกี่ยวข้อง ชีวาทัย เดินหน้าระบาสสต็อก ตุนเงินสดสร้างรายได้​ 2,500 ล้าน
อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนกุมภาพันธ์ 2565 แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยถูกสุด

อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนกุมภาพันธ์ 2565 แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยถูกสุด

อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ ถือว่าปี 2565 เป็นช่วงจังหวะที่ดี สำหรับกลุ่มคนที่มีความพร้อมทั้งด้านการเงินและการงาน ในการจะเลือกซื้อบ้านหรือคอนโดมาไว้ครอบครอง แม้ว่าภาวะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะยังคงมีอยู่ แต่เชื่อว่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะปัจจัยสนับสนุนมีหลายอย่าง หนึ่งในปัจจัยสำคัญ คือ อัตราดอกเบี้ยการกู้ซื้อบ้าน ยังอยู่ในอัตราที่ไม่สูง แม้ว่าราคาวัสดุก่อสร้าง และต้นทุนอื่น ๆ จะเริ่มขยับเพิ่มขึ้นแล้วก็ตาม   นอกจาก อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน จะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำแล้ว อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโด ก็อยู่ในทิศทางเดียวกัน โดยนับตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วมาจนถึงปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโด แทบไม่ได้ขยับเพิ่มขึ้นเลย จึงถือเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ที่ซื้อบ้านมาแล้วครบกำหนดระยะเวลา 3 ปี และสามารถที่จะลองหาอัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่าเดิม เพื่อลดภาระค่าผ่อนชำระ และบางส่วนอาจจะสามารถกู้เงินเพิ่มมาใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นได้อีกด้วย  ลองมาดูกันว่าอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโด ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2565 แต่ละธนาคารมีเท่าไรกันบ้าง มาอัพเดทกันดู อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ  มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการรีไฟแนนซ์บ้าน  กรณีหลักทรัพย์เป็นที่อยู่อาศัยทั่วไป เฉพาะวงเงินอนุมัติตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งอัตราดอกเบี้ยของเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ​นี้  ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีอัตราดอกเบี้ยให้เลือกด้วยกัน 3 ทางเลือก  ได้แก่ ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.00% กรณีไม่ทำประกัน  อัตราดอกเบี้ย 2.25% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 2.95% (MRR-3.00%) หลังจากนั้น 4.45% ​(MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.13-3.22% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.66-3.72% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.325% (MRR-3.625%)  กรณีไม่ทำประกัน ดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย  4.45% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.12-3.20% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.66-3.72% ทางเลือกที่ 3 ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.825% (MRR-3.125%) กรณีไม่ทำประกัน ดอกเบี้ย  3.075% (MRR-2.875%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.075% (MRR-2.875%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.45%  (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.45-3.53% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.86-3.92% หมายเหตุ -MRR = 5.95% ประกาศ ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 -วงเงินกู้สูงสุด เท่ากับ 100% ภาระหนี้คงค้าง และไม่เกินอัตราส่วนสินเชื่อสูงสุดตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -ระยะเวลากู้สูงสุด 30 ปี (เฉพาะพนักงานประจำสูงสุด 35 ปี) รวมอายุผู้กู้สูงสุด 65 ปี -ค่าธรรมเนียม คิดค่าสำรวจและประเมินหลักประกัน 3,210 บาท (ธนาคารจะคืนค่าสำรวจและค่าประเมินหลักประกันหลังจากลูกค้าได้รับอนุมัติและเบิกใช้สินเชื่อแล้ว) -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปี ตลาดอายุสัญญาวงเงินกู้ 2 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี -รายละเอียดและเงื่อนไขอื่น โปรดสอบถามจากธนาคาร -กรณีแสดงวัตถุประสงค์ เช่น เพื่อการต่อเติม/ซ่อมแซม/ตกแต่งที่พักอาศัย ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา หรือการจัดหาสินค้าหรือบริการเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนตัว เป็นต้น​ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค. 65 - 31 ม.ค. 65 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อและจดจำนองภายใน 2 เดือนนับแต่วันที่ ลงนามในสัญญากู้ -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบัน ตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ย กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง หากลูกค้ายกเลิก และไถ่ถอนหลักประกัน ก่อนระยะเวลา 3 ปี ไม่ว่ากรณีชำระหนี้ด้วยเงินสด หรือ รีไฟแนนซ์ธนาคารจะเรียกคืนค่าธรรมเนียมจดจำนองจากผู้กู้ -ธนาคารจะโอนเงินคืนค่าสำรวจและประเมินหลักประกันเข้าบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ที่ลูกค้า ใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 60 วัน หลังจากลูกค้าได้รับอนุมัติและเบิกใช้สินเชื่อกับธนาคารแล้ว พิเศษ รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยพิเศษปีแรก 0.25% เพียงสมัครสินเชื่อบ้านบัวหลวงพร้อมประกันชีวิตคุ้มครองเครดิต โฮมเฟิสต์ พลัส (ฉบับปรับปรุง) -กรณีจำนวนเงินเอาประกันภัยเต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี หรือเท่ากับระยะเวลาในสัญญากู้ -กรณีจำนวนเงินเอาประกันภัยอย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาเอาประกันภัยอย่างน้อย 70% ของระยะเวลาในสัญญากู้ (เฉพาะลูกค้าที่ทำสัญญากู้ตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป) 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน ซึ่งอัตราดอกเบี้ยเดือนกุมภาพันธ์ มีการคิดอัตราดอกเบี้ย  ดังนี้ ดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน กรณีฟรีค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบคงที่ ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.60% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.01% แบบคงที่ ไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.0% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.55% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.25% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.05% แบบลอยตัว ทำประกัน   ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.55% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =2.67% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.03% แบบลอยตัว ไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.45% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =2.77% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.06% ดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน กรณีธนาคารออกค่าจดจำนองให้ และฟรีค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบคงที่ ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.10% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.00% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =3.03% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.12% แบบคงที่ ไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.0% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.05% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.00% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =3.13% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.16% แบบลอยตัว ทำประกัน   ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.20% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =3.02% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.15% แบบลอยตัว ไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.10% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =3.12% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.19% หมายเหตุ การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ 1.ทำ MRTA/GLT SP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี 2.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ 3.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ***อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2565 MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีแคมเปญการให้บริการสินเชื่อรีไฟแนนซ์กับลูกค้า คือ  ฟรี ค่าประเมินหลักทรัพย์ ฟรี ค่าจดจำนอง ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 31 มี.ค. 65 โดยอัตราดอกเบี้ย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งคิดดอกเบี้ยตามรายละเอียด ดังนี้​ สำหรับวงเงินตั้งแต่ 1 -1.5 ล้านบาท ทางเลือก 1 ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.90% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย MRR-3.15% หลังจากนั้น MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.20% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-1.85% หลังจากนั้น MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.05% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.66% ทางเลือกที่ 3* ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.50% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.70% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-1.35% หลังจากนั้น MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.30% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.78% สำหรับวงเงินตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.75% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย MRR-3.85% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-1.75% = 4.3% หลังจากนั้น MRR-1.75% = 4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.40% ทางเลือก 2 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.0% หลังจากนั้น MRR-1.75% =4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.0% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.60% ทางเลือก 3 ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย MRR-2.70% = 3.35% หลังจากนั้น MRR-2.70% = 3.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.35% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.35% ทางเลือก 4* ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.25% หลังจากนั้น MRR-1.75% = 4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.74% ทางเลือกที่ 5 ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 0.50% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.25% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.05% หลังจากนั้น MRR-1.75%= 4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.61%   หมายเหตุ -สินเชื่อฟรีค่าจดจำนอง เฉพาะลูกค้าที่ซื้อ MRTA/MLTA ตามเงื่อนไขที่กำหนดเท่านั้น จึงจะสามารถเลือกรับดอกเบี้ยทางเลือกฟรีค่าจดจำนองได้โปรดอ้างอิงตาม Product Catalog_ประกัน (สาขากลาง) / Product Catalog_ประกัน(สาขาภูมิภาค) และ ใบข้อเสนอ (QE) -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 1.5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาทแต่ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 3 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้าซื้อ MRTA/MLTA หาก ค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -กรณีลูกค้าเลือกรับอัตราดอกเบี้ยทางเลือกที่ 3 (วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท) หรือทางเลือกที่ 4 (วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป) ฟรีค่าจดจำนองตามเงื่อนไขที่กำหนด -กรณีลูกค้าเลือกรับอัตราดอกเบี้ยทางเลือกที่ 1-2 (วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท) หรือทางเลือกที่ 1-3(วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป) หรือทางเลือกที่ 5(วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป) รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปีเฉพาะในปีที่ 1 ทั้ง 2 กรณีลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์​MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรีเซฟตี้โลน 2 MLTA : กรุงศรีรักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรีรักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ประจำ ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรืออย่างน้อย 50% ของวงเงินกุ้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน -MRR =6.05% (ณ 21 พ.ค.63) -ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-30 เม.ย.65 และจดจำนอง และเบิกเงินกู้ภายในวันที่ 31 พ.ค. 65 -ธนาคารสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิดภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) -รายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติม สอบถามได้จากธนาคาร​ 4.ธนาคารกสิกรไทย อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้านของธนาคารกสิกรไทย ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา  โดยธนาคารกสิกรไทยมีบริการสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ ดังนี้ ปีที่ 1 MRR = 5.97% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.97% หมายเหตุ -MRR = 5.97% ( ณ วันที่ 22 พ.ค.63) -สำหรับผู้ที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค.65 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีแคมเปญ KKP Home Loan Refinance สำหรับลูกค้าบ้านรีไฟแนนซ์ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ในอัตราที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ ทางเลือก ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.59% ปีต่อไป MLR-1.75% = 4.775% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.79% ปีต่อไป MLR-1.75% = 4.775% ทางเลือก ดอกเบี้ยแบบลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.79% ปีต่อไป MLR-1.75% = 4.775% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.99% ปีต่อไป MLR-1.75% หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง​ เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา​ (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว โดยจะประกาศไว้​ ณ สถานที่ทำการให้บริการและเว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที 18 สิงหาคม​ 2563 เท่ากับ 6.525% ตอ่ ปี 3.เลือก​ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA)​ ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 1​​0 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปีให้ระยะเวลาเอาประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ​ 3 ปีแรก คิดค่า Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง​ 5.กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง หากลูกค้า​ Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ทุกกรณี ลูกค้าต้องชำระคืนค่าจดจำนองที่ธนาคารเคยสำรองจ่ายให้ แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น​ 3,210 บาท ค่าอากรแสตมป์ ร้อยละ​ 0.05 ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน​ 10,000 บาท) 7.ค่าธรรมเนียมติดตามทวงถามหนี้ : ค้างชำระ 1 งวด 50 บาท/รอบการทวงถามหนี้ ค้างชำระมากกว่า 1 งวด 100 บาท/รอบการทวงถามหนี้ 8.เบี้ยประกันอัคคีภัย เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันภัยกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ที่ให้อัตราดอกเบี้ยเท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา โดยประเภทสินเชื่อรีไฟแนนซ์ และขอวงเงินเพิ่ม (กรณีไม่ขอวงเงินเพิ่มมีอัตราดอกเบี้ยเฉพาะสอบถามได้จากทางธนาคาร) มีอัตราการคิดดอกเบี้ย ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 30,000 บาทขึ้นไป แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  (MRR-3.66%) = 3.69% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย (MRR-2.00%) =5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.69% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.93% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย   (MRR-3.36%) = 3.99% หลังจากนั้น (MRR-2.00%) = 5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.01% สำหรับพนักงานเงินเดือน 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ขึ้นไป ทางเลือก 2 แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-3.36% = 3.99% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.00% = 5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.01% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-3.06% = 4.29% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.00% = 5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.29% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.08% หมายเหตุ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 10 เมษายน 2563) กรณีไม่ขอวงเงินเพิ่ม สอบถามรายละเอียดกับทางธนาคารโดยตรง 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบีมีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอัตราการคิดดอกเบี้ย สำหรับเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ​ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-3.53% =2.75% หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย (MRR-1.63%)=4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.02% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.18%=3.1% หลังจากนั้น (MRR-1.63%)= 4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี อัตรา 3.10% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.14% ทางเลือก 3 (สมัครผลิตภัณฑ์ไม่ครบทั้ง 3 ประเภท) ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย (MRR-2.74%) = 3.54% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีดอกเบี้ย 3.54% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.29% สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อบ้าน สไมล์ โฮม หรือ สไมล์ โฮม พลัส 2.สมัครใช้บริการ หักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ทีทีบีเพื่อผ่อนช าระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ทีทีบี (กรณีที่มีบัตรเดบิต ทีทีบีแล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) ช่วยคุณประหยัดดอกเบี้ยได้มากขึ้น ผ่อนต่อเดือนน้อยลง และเป็นเจ้าของบ้านได้เร็วขึ้น เมื่อรีไฟแนนซ์บ้านกับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ยให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท  รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ นาน 3 ปี  ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท  ฟรี! ค่าจดทะเบียนจำนอง มูลค่า 1% ของเงินกู้สูงสุด 200,000 บาท  ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง หมายเหตุ : -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -MRR (Minimum Retail Rate: อัตราดอกเบี้ย ลูกค้ารายย่อยชั้นดี) = 6.28% ต่อปี ณ วันที่ 7 พ.ค. 2564 -การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการ พิจารณาสินเชื่อ -สำหรับลูกค้าที่ยื่นที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.​-30 มิ.ย. 65 และจดจำนองภายในวันที่ 31 ก.ค. 65 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อทั่วไปที่รีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินอื่น โดยเดือนกุมภาพันธ์ 2565  ​ยังคงอัตราดอกเบี้ยเท่ากับเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% ปีต่อไป MRR-0.72%= 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.242% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.90% ปีต่อไป MRR-0.72% = 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.174% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10 ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร.1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 9 ส.ค.2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำหรับธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส. ถือว่าเป็นธนาคารสำหรับการให้สินเชื่อเพื่อซื้อบ้านและคอนโด รวมถึงสินเชื่ออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรง มีสินเชื่อให้เลือกมากมายหลายประเภท สำหรับการรีไฟแนนซ์บ้านจากสถาบันการเงินอื่นก็เช่นกันมีหลากหลายประเภท โดยในส่วนสินเชื่อบ้านสุขสันต์ เพื่อให้ลูกค้าใช้บริการรีไฟแนนซ์  โดยอัตราดอกเบี้ยสำหรับเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ​​โดยมีรายละเอียดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ แบบที่ 1 สำหรับกลุ่มลูกค้าสวัสดิการ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.99% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.16%= 2.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.65%=3.5% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย MRR-1.0%= 5.15% แบบที่ 2 สำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อย ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.09% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย  MRR-3.06%= 3.09% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-2.55%=3.6% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย MRR-0.5%=5.65%   หมายเหตุ -นิยามคำว่า “อาคาร” หมายถึง บ้านเดี่ยว บ้านแฝดทาวน์เฮ้าส์ และอาคารพาณิชย์เพื่อที่อยู่อาศัย ยกเว้นแฟลต และบ้านเช่า -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ร้อยละ 0.1 ของวงเงินทำนิติกรรม -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค.-30 ธ.ค.​65 อนุมัติและทำนิติกรรมภายใน​ 30 ธ.ค.​​ 65 (ทั้งนี้ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเต็มวงเงินของโครงการแล้ว) -MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พ.ค. 64 10.ธนาคารยูโอบี สำหรับธนาคารยูโอบี มีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ UOB Home Loan - รีไฟแนนซ์ ​วงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์ (ส่วนสินเชื่อประเภทรีไฟแนนซ์ไม่รวมวงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมกับทางธนาคาร​)  ซึ่งอัตราดอกเบี้ยในเดือนกุมภาพันธ์ 65 ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า​ รายละเอียดดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.89% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-4.46%)= 2.89% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.60% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-4.36%) = 2.99% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.99% ลดลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.64% ทางเลือก 3 แบบทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 1.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.36%) = 4.99% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.60% ทางเลือก 4 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.09% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.26%) = 5.09% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.09% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.64% หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ​ (MRTA) ผ่านธนาคารยูโอบี -ทุนประกันเต็มวงเงินกู้และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ ​10 ปีหรือ​ -ทุนประกันขั้นต่ำ ​80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มระยะเวลากู้​ 2.อัตราดอกเบี้ย สำหรับสินเชื่อรีไฟแนนซ์วงเงิน​ 1 ล้านบาทอายุสัญญา​ 15 ปี MRR = 7.35% ต่อปีอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้สำหรับโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับทำสัญญากู้ยืม​ของลูกค้าแต่ละรายอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย​ 3.อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับวงเงินเพิ่มไม่เกิน​ 50% ของวงเงินกู้รวมทั้ง ทั้งนี้ไม่นับรวมวงเงินกู้สินเชื่ออื่นเพื่อชำระค่าเบี้ย​ประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินชื่อ ​ (MRTA) วงเงินกู้รีไฟแนนซ์สูงสุด รวมส่วนกู้เพิ่มต้องไม่เกิน 95% ของราคาประเมิน ขึ้นอยู่กับรายได้ ประเภทของลูกค้า / ประเภทและที่ตั้งของหลักประกัน/ ราคาหลักประกัน / จำนวนสัญญากู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของลูกค้า วงเงินกู้รีไฟแนนซ์อนุมัติ รวมส่วนกู้เพิ่มต้องไม่เกินวงเงินกู้รีไฟแนนซ์ 4.กรณีกู้โดยไม่รวมวงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์และรายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาติดต่อธนาคารโดยตรง 5.สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่ ​1 ม.ค.​- 31 มี.ค.​ 65 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายในวันที่ 29 เม.ย. 65 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีแคมเปญสินเชื่อรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด ดอกเบี้ยต่ำ เพียง 0.59% ต่อปี ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยคิดดอกเบี้ยดังนี้ แบบที่ 1 สำหรับผู้กู้รายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.59% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-6.76% = 0.59% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.37% = 3.98% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.67% แบบที่ 2 ปีที่ 1 ดอกเบี้ยคงที่ 0.79% หรือ ผ่อนล้านละ 3,5000 บาท ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ยคงที่ MRR-3.32% = 4.03% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.74% แบบที่ 3 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.35%=2.00% ปีที่ 3 MRR-3.55%=3.80% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 4 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10% หรือ ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-3.45% = 3.90% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.64% แบบที่ 5 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-4.75% = 2.60% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 6 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.80% หรือ ผ่อนล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% แบบที่ 2 สำหรับผู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.79% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-6.56% = 0.79% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.32% = 4.03% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.74% แบบที่ 2 ปีที่ 1 ดอกเบี้ยคงที่ 0.99% หรือ ผ่อนล้านละ 3,5000 บาท ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ยคงที่ MRR-3.27% = 4.08% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.05% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.81% แบบที่ 3 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.25%=2.10% ปีที่ 3 MRR-3.45%=3.9% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.64% แบบที่ 4 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.20% หรือ ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-3.35% = 4.00% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.70% แบบที่ 5 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-4.65% = 2.70% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 6 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.90% หรือ ผ่อนล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.82% ข้อกำหนดและเงื่อนไข 1.สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า Refinance ดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.59% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป หรืออัตราดอกเบี้ย 0.79% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป และเบิกรับเงินกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-31 มี.ค.65 2.วงเงินกู้เริ่มต้น 1.0 ล้านบาท และราคาประเมินหลักประกัน (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.0 ล้านบาท หรือ (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.5 ล้านบาท (โครงการจัดสรรทุกโครงการ) 3.อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขดังกล่าว สำหรับหลักประกันที่ได้รับการจัดสรรทุกโครงการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ยกเว้น ที่ดินว่างเปล่า, อาคารพาณิชย์ 4.กรณีลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือสูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือเปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรกทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 5.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี 6.ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำล้านละ 3,500 บาท ได้ในแบบอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่เท่านั้น 7.อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ วันที่ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย 8.อัตราดอกเบี้ย หลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด 12 ธนาคารออมสิน ธนาคาออมสิน มีสินเชื่อเคหะ เพื่อซื้อ สร้างต่อเติม หรือ รีไฟแนนซ์ พร้อมแคมเปญ ฟรีค่าบริการสินเชื่อ ค่านิติกรรมสัญญา และค่าจดจำนอง ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยประจำเดือนกุมภาพันธ์ สำหรับลูกค้าทั่วไป ดังนี้ แบบทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.34% =2.905% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.6% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.126% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.250% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.72%) = 3.525% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.10% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.310%   หมายเหตุ -MRR=6.245% ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.63 -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระ 20 ปี แบบผ่อนเท่ากันทุกงวด -ทำประกัน หมายถึง การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ โดยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข เป็นไปตามธนาคารกำหนด -เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเคหะตามโปรโมชั่น สมัครบริการ MyMo และผลิตภัณฑ์/บริการอื่นของธนาคารอย่างน้อย 2 ประเภท ได้แก่ บัตราอิเล็กทรอนิกส์/บัตรเครดิต หรือสินเชื่อบัตรเงินสด/ชำระสินเชื่อหักผ่านบัญชี/ประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ ทั้งนี้ หากลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์/บริการอื่นตามที่กำหนดอยู่แล้ว สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้ และกรณีไม่มี Smartphone ให้สมัครผลิตภัณฑ์/บริการอื่นของธนาครตามที่กำหนดแทนได้ -กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนองให้ตามที่จ่ายจริง (รวมทุกสัญญาที่กู้ในคราวเดียวกัน) และลูกค้าต้องสำรองจ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินไปก่อนโดยธนาคารจะโอนเงินหลังหักภาษี ณ ที่จ่าย 1% ของเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองคืนภายใน 30 วัน -กรณีผู้กู้ชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น หรือไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด (Prepayment) ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามที่ธนาคารกำหนด (ปัจจุบันร้อยละ 3.0 ของยอดเงินคงเหลือ) ทั้งนี้ กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยกรณีไถ่ถอนจำนองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินอื่น (Re-Finance) และฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง ผู้กู้จะต้องชำระค่าจดจำนองคืนแก่ธนาคารเต็มจำนวน -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่น ๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า​   ที่มา : Reviewyourliving รวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ธนาคาร ณ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565   บทความที่เกี่ยวข้อง อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนตุลาคม 2564 แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยถูกสุด อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกุมภาพันธ์ 2565
“ศุภาลัย เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี 121” Luxury แบรนด์ใหม่จาก บมจ.ศุภาลัย

“ศุภาลัย เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี 121” Luxury แบรนด์ใหม่จาก บมจ.ศุภาลัย

“ศุภาลัย เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี121” บ้านหรู 3 ชั้นติดถนน บรมราชชนนี เดินทางสะดวกใกล้ทางคู้ขนานลอยฟ้า และวงแหวนกาญจนาพิเศก และจุดขึ้นลงทางด่วน ทางด่วนศรีรัช-วงแหวนรอบนอก ใกล้แหล่งช็อปปิ้ง Central Plaza ศาลายา, Lotus’s ศาลายา Foodland, Brio Mall อยู่ใกล้กับสถานศึกษา ม.มหิดล ศาลายา, รร.สาธิตนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล, และ รร.อัสสัมชัญธนบุรี “ศุภาลัย เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี121” ศุภาลัย เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี 121 ขนาดที่ดินโครงการ 34ไร่ เป็นโครงการบ้านเดี่ยวหรู 3 ชั้น ที่ดินบ้าน เริ่มต้น 100 ตร.ว. ขึ้นไป พื้นที่ใช้สอย เริ่มต้น 380-480 ตร.ม. ขนาด 4-5 ห้องนอน, 6-7 ห้องน้ำ จอดรถได้ 4 คัน  ดีไซน์ใหม่จากสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล ผสมผสานกับแนวคิดของการใช้ชีวิตจริง มีให้เลือก 3 แบบ 3 สไตล์   3 แบบบ้าน คือ ศุภศิรินทร์ พื้นที่ 480 ตร.ม. 4 ห้องนอน 7 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ  2.ศุภจรินทร์ พื้นที่ 399 ตร.ม. 2 ห้องนอนมาสเตอร์ 2 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ 3.ศุภศรัณย์ พื้นที่  380 ตร.ม. 2 ห้องนอนมาสเตอร์ 3 ห้องนอน 7 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ ส่วนกลาง คลับเฮาส์, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส และพื้นที่สีเขียวในสวนสาธารณะ สนามเด็กเล่น ขนาดรวม 1 ไร่ ไม่มีสายไฟให้รกตา ด้วยระบบเดินสายไฟใต้ดิน ทางเข้าออกระบบ Bluetooth และระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง พร้อมติดตั้งกล้อง CCTV ภายในโครงการ  ราคาเริ่มต้น 20-30 ล้านบาท   บทความน่าสนใจ “รัชดา-วงศ์สว่าง” น่าอยู่อย่างไร? “สามเสน-ราชวัตร” ย่านนี้มีเรื่องราว รีวิว ศุภาลัย พรีโม่ รังสิต     
อสังหาฯ ลุยต่อ “ดิจิทัลแอสเซท” ปี 65  ขน NFT- คริปโทฯ เจาะไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่

อสังหาฯ ลุยต่อ “ดิจิทัลแอสเซท” ปี 65 ขน NFT- คริปโทฯ เจาะไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่

คริปโทเคอร์เรนซี ปี 2565 ได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น และกลายเป็นกระแสที่มีการพูดถึงกันอย่างมาก ตั้งแต่ต้นปีเลยทีเดียว ไม่เฉพาะกับคนที่เทรดเหรียญดิจิทัล หรืออยู่ในแวดวงการเงินดิจิทัลเท่านั้น แต่เป็นประเด็นที่แทบทุกธุรกิจต่างพูดถึงกัน เพราะมีทั้งกระแสข่าวว่ากรมสรรพากรที่จะออกมาจัดเก็บภาษี ข่าวการออกมาเบรก ไม่ให้มีการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการ (Means of Payment)   จากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)   สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และกระทรวงการคลัง จึงทำให้หลายธุรกิจกังวลใจ และมีการชะลอการนำเอาคริปโทเคอร์เรนซีมาใช้ธุรกิจของตนเอง ต้องรอความชัดเจนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก่อน   แต่อย่างไรก็ตาม โลกของดิจิทัล สินทรัพย์ดิจิทัล และการเงินดิจิทัล เป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจไม่สามารถปฏิเสธได้ เพราะเรื่องดังกล่าวกำลังเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์เอง แม้ว่าจะเป็นสินค้ามีมูลค่าสูง ที่ผู้บริโภคหนึ่งคนอาจจะซื้อมาครอบครองได้เพียง 1 ครั้งในชีวิต แต่ธุรกิจอสังหาฯ โดยเฉพาะตลาดที่อยู่อาศัยไม่ได้มีแค่เรื่องการซื้อขายบ้านหรือคอนโดมิเนียมเท่านั้น ในกระบวนการและขั้นตอนต่าง ๆ ของธุรกิจอสังหาฯ ยังมีอีกมากมาย นับตั้งแต่กระบวนการก่อนซื้อไปจนถึงการบริการหลังการขาย ทำให้ดีเวลลอปเปอร์ต้องก้าวเข้าสู่โลกการเงินดิจิทัล สินทรัพย์ดิจิทัล และวงการคริปโทเคอร์เรนซี ในรูปแบบต่าง     ๆ   ปัจจุบันมีบริษัทอสังหาฯ มากกว่า 20 บริษัทที่ก้าวเข้ามาสู่วงการ และการเงินดิจิทัล ซึ่งมีแผนธุรกิจและแผนงานแตกต่างกันไป แต่ล้วนมุ่งสู่การนำเอามาช่วยสร้างการเติบโต และตอบโจทย์ทางการตลาด โดยเฉพาะการตอบโจทย์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป คริปโท ฯ ในแวดวงอสังหาฯ ปี 65 บูทิค เปิดขาย NFT 99 แบบภายใน 24 ชั่วโมง บริษัท บีสโปค ไลฟ์ ไซเอนซ์ จำกัด (“บีสโปค”) ภายใต้บริษัท บูทิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ดำเนินธุรกิจด้านโรงแรมและศูนย์การค้า ได้เดินหน้าเข้าสู่วงการ Non-Fungible Token (NFTs) เป็นครั้งแรก ด้วยการเปิดตัว NFT ชุดแรกของ CannaThai420 ที่มีจำนวนจำกัดบนบล็อกเชน Ethereum โดย NFT ชุด Seed Plant ทั้ง 99 แบบที่ไม่ซ้ำกันเลยนั้น ทำยอดขายกว่า 22 Ethereum ภายในระยะเวลาเพียง 24 ชั่วโมง นับเป็นการประสบความสำเร็จก้าวแรกของโครงการ CannaThai420 ที่เพิ่งริเริ่มขึ้นได้เพียง 2 เดือนเท่านั้น โดย NFT ชุดแรกของ CannaThai420 หรือ Seed Plant NFTs วางจำหน่ายบนเว็บไซต์ http://www.CannaThai420.com เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2565 เวลา 13.00 น. ที่ผ่านมา ทางบูทิคได้ปล่อยขาย NFT ครั้งแรกรวม 99 แบบ จากทั้งหมด 120 แบบที่ผลิตในชุด Seed Plant ครั้งนี้ โดยส่วนที่เหลืออีก 21 แบบนั้น จะถูกเก็บไว้ในคลังของ CannaThai420 เนื่องจากวงจรการปลูกต้นกัญชาแม่พันธุ์ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากการเพาะเมล็ดพันธุ์ซ้ำแล้ว ดังนั้น Seed Plant NFT ที่สร้างขึ้นจึงจะยังคงเป็นสิ่งที่หายากและเป็นที่ต้องการภายในระบบนิเวศของ CannaThai420 ตัวอย่างเช่น Seed Plant NFT จะเป็นบันไดขั้นแรกในการค้นหาแม่พันธุ์กัญชาที่แข็งแรงและมีค่าที่สุด ซึ่งเรียกว่า Royal Alpha Family ซึ่งประกอบด้วย 1 อัลฟ่าควีน (Alpha Queen) และ 9 อัลฟ่าปริ๊นเซส (Alpha Princesses) ซึ่งหมายความว่า ผู้ถือ Seed Plant NFT มีโอกาสที่จะเป็นผู้ถือครองพืชกัญชาที่ทรงคุณค่าและทรงพลังที่สุดในประเทศไทย ในรูปแบบของสะสมดิจิตอล NFT อีกด้วย ASW ใช้ Popcoin เจาะไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ขณะที่นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW เปิดเผยว่า บริษัทได้ให้ความสำคัญกับ Digital Transformation โดยสิ่งหนึ่งที่สนใจก็คือ “ดิจิทัลแอสเซท” ที่กำลังเป็นเทรนด์และมีบทบาทสำคัญกับคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นลูกค้าหลักของแอสเซทไวส์ ที่ผ่านมาจึงได้ตั้งบริษัทในเครือ บริษัท ดิจิโทไนซ์ จำกัด ด้วยความร่วมมือจากพันธมิตรทางธุรกิจอย่าง บริษัท ฟิวเจอร์คอมเพเทเร่ จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ขับเคลื่อนเหรียญ Popcoin เพื่อรองรับการศึกษาและลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) รวมถึงแสวงหาโอกาสในการใช้เทคโนโลยี และแพลตฟอร์มที่ทันสมัย เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจให้รับกับเทรนด์อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับแอสเซทไวส์ มองว่าเหรียญ Popcoin ซึ่งถือเป็น Utility Token ที่จะเป็นตัวกลางในการใช้งานต่าง ๆ บนแพลตฟอร์ม มีระบบที่น่าเชื่อถือ เป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพในการเติมเต็มความต้องการ สร้างโอกาสทางการตลาดให้แก่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดใน Popcoin Ecosystem ทั้งแบรนด์ ผู้สร้างคอนเทนต์ และโดยเฉพาะผู้บริโภค ดังนั้น Popcoin จึงไม่ใช่แค่เหรียญคริปโทเคอร์เรนซีเท่านั้น แต่เป็นคอมมูนิตี้ขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงคนแต่ละกลุ่มเข้าด้วยกัน ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นแพลตฟอร์มที่มีพลังที่จะช่วยให้แอสเซทไวส์ใกล้ชิดกับลูกบ้าน และคนรุ่นใหม่ได้มากกว่าที่เคย พร้อมเข้าถึงความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุดและวัดผลได้จริง   โดยเหรียญ Popcoin เป็นสมาร์ทมาร์เก็ตติ้งแพลตฟอร์มเอนเตอร์เทนเมิร์ช ที่เกิดจากความร่วมมือของบริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS Group, บริษัท โฟร์ท แอปเปิ้ล จํากัด, บริษัท ฟิวเจอร์คอมเพเทเร่ จำกัด และบริษัทพันธมิตรชั้นนำแนวหน้าของไทย  ซึ่ง Popcoin จะเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญ ที่พลิกโฉมการทำกลยุทธ์ทางการตลาดของแอสเซทไวส์ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับกิจกรรม และสร้างสิทธิประโยชน์รูปแบบใหม่ ๆ ให้กับลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้า Kave Condo ซึ่งเป็นนักศึกษา คนรุ่นใหม่ที่มีความเข้าใจและคุ้นเคยกับการใช้สกุลเงินคริปโทฯ อีกทั้งยังสามารถนำเหรียญ Popcoin มาต่อยอดในกิจกรรมต่าง ๆ  ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของลูกบ้าน ซึ่งอนาคตอันใกล้ จะได้เห็นการมีส่วนร่วมดี ๆ  บนแพลตฟอร์ม Popcoin เพื่อเปิดประสบการณ์การใช้ชีวิตให้กับลูกบ้านในทุกมิติ อนันดาฯ ขน15 โครงการแจก KUB COIN  ด้านบริษัท อนันดา ดีเวล ลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) จับกระแส “Digital Asset” มาอย่างต่อเนื่องล่าสุดได้ส่ง 2 แคมเปญ “อนันดา ครบ คุ้ม KUB” และ “Fabulous Offer” ได้นำโครงการคอนโดเข้าร่วมแคมเปญ 15 โครงการ สำหรับรับฟรี KUB COIN เมื่อซื้อคอนโดทุกยูนิต   โดยอนันดาฯ มองว่ากลุ่ม GEN C เป็นกลุ่มผู้บริโภคในยุคใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อการสื่อสารเป็นหลัก ชอบความสะดวกสบาย สนใจสิ่งที่มีสไตล์เฉพาะตัว เป็นกลุ่ม Cash Smart หรือ กลุ่มคนที่ฉลาดในการบริหารเงิน นิยมให้เงินทำงาน รู้จักวางแผนการใช้เงินเพื่ออนาคต รวมไปถึงมีการลงทุนในมุมต่างๆ เช่น ลงทุนในหุ้น และกองทุน ซึ่งในยุคปัจจุบันเริ่มให้ความสนใจในเรื่องคริปโทเคอเรนซี่  หรือ NFT ที่กำลังมาแรง คนเหล่านี้เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของอนันดา  ที่มีความสนใจในด้านดังกล่าว สำหรับแคมเปญ “อนันดา ครบ คุ้ม KUB”  มีโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่กว่า 11 โครงการ ภายใต้แบรนด์  ไอดีโอ โมบิ, ไอดีโอ,  เอลลิโอ และ ยูนิโอ เริ่ม 1.59 – 14.9 ล้านบาท* ส่วนแคมเปญ “Fabulous Offer” กับห้องแต่งครบ พร้อมเข้าอยู่ มีแบรนด์ แอชตัน และ ไอดีโอ คิว โดยมีโครงการเข้าร่วมแคมเปญ 4 โครงการ ซึ่งแคมเปญมีระยะเวลาตั้งแต่วันนี้ – 15 กุมภาพันธ์นี้ ริชชี่-เอสซี เตรียมก้าวสู่โลกคริปโทฯ หลายบริษัทอาจจะมีการเดินหน้าการเข้าสู่โลกคริปโทฯ อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว แต่ก็มีบางบริษัทที่อยู่ระหว่างการศึกษา และบางบริษัทก็เริ่มนำร่องการนำเอาคริปโทฯ เข้ามาใช้บ้างแล้ว แม้จะไม่เต็มรูปแบบ เพราะต้องรอความชัดเจนในหลายเรื่อง รวมถึงความพร้อมต่าง ๆ ด้วย สำหรับเอสซี แอสเสท หรือบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  เริ่มศึกษาและเตรียมความพร้อมก้าวสู่โลกคริปโทฯ รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัลนรูปแบบต่างๆ ล่าสุด  ร่วมมือกับ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) Creative Economy Agency (Public Organization) หรือ CEA จัดเสวนา NFT 101 presented by SC Asset เปิดชั้นเรียนกับเซียน NFT แบ่งปันความรู้ตั้งแต่ระดับพื้นฐานจนถึงเคล็ดลับสำคัญในการเป็นผู้เล่นของตลาด ซึ่งงานดังกล่าว​ส่วนหนึ่งของงาน Bangkok Design Week 2022 โดยจัดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 16.00 – 18.00 น. ผ่านระบบออนไลน์ FB Live :Bangkok Design Week หรือที่ FB Page : SC Asset   นอกจากนี้ เอสซี แอสเสท ยังอยู่ระหว่างการศึกษาเกี่ยวกับทำระดมทุนด้วยวิธี ICO เนื่องจากมีสินทรัพย์ ประเภทอาคารที่สร้างรายได้ประจำมูลค่ารวมกว่า 6,000 ล้านบาท  และวางแผนการออก SC Morning Coin ซึ่งเป็นเหรียญดิจิทัล ใช้ในแพลตฟอร์ม สำหรับพนักงานลูกค้า คู่ค้าและนักลงทุน ต่อยอดจาก SC token ที่ปัจจุบันใช้กันภายในองค์กรอยู่แล้วด้วย   ขณะที่บริษัท ริชี่เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) หรือ RICHY  ได้เริ่มนำร่องเปิดรับการซื้อขายอสังหาฯ ของบริษัทบ้างแล้ว แม้ว่าช่วงแรกจะขายได้เพียง 1 ยูนิต แต่ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี เพราะบริษัทยังไม่ได้เริ่มทำการตลาดและการประชาสัมพันธ์อย่างจริงจัง   ดร.อาภา อรรถบูรณ์วงศ์ ประธานกรรมการบริหาร เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดช่องทางการรับชำระเงินค่าสินค้าด้วยสกุลเงินดิจิตัล   เพื่อนำมาต่อยอดจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต เนื่องจากสินทรัพย์ดิจิทัลกำลังได้รับความนิยม และเป็นที่ยอมรับของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทฯอยู่แล้ว   ทั้งหมดเป็นเพียงส่วนหนึ่งของผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่ได้เข้ามาสู่วงการคริปโทฯ และสินทรัพย์ดิจิทัล ยังมีผู้ประกอบการอีกหลายรายที่กำลังวางแผน และเตรียมความพร้อม รวมถึงความชัดเจนในการก้าวเข้ามาสู่วงการนี้ ซึ่งคงมีข่าวออกมาอย่างต่อเนื่องให้เราได้ติดตามกัน   บทความที่เกี่ยวข้อง แอสเซทไวส์   เพิ่มทางเลือกแลกเงินดิจิทัล จับมือ​ “Bitkub” ขยายฐานลูกค้า  New Gen ซื้อบ้าน-คอนโด ด้วย Cryptocurrency
อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกุมภาพันธ์ 2565

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกุมภาพันธ์ 2565

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน ปี 2565 ผ่านไปแล้ว 1 เดือน ขณะนี้เราได้ก้าวสู่เดือนที่ 2 คือ เดือนธันวาคม 2565 ที่มีเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ของจีน หรือ วันตรุษจีน ซึ่งในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ก็เริ่มกลับมาครึกครื้นมากขึ้น จากบรรยากาศของการประกาศแผนธุรกิจ ของดีเวลลอปเปอร์ชั้นนำ ที่พร้อมจะลุยธุรกิจในปีนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะมองภาพบวกว่าธุรกิจอสังหาฯ จะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมา   ปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนให้ตลาดอสังหาฯ ปีนี้น่าจะฟื้นตัวตามที่คาดหวังกันไว้ คือ อัตราดอกเบี้ยการกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ยังอยู่ในอัตราที่ต่ำเมื่อเทียบกับช่วงที่ตลาดอสังหาฯ บูมกันมาก ๆ จึงถือว่าเป็นจังหวะที่ดี หากผุ้ที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง และมีความพร้อมด้านฐานะการเงิน หรือการงาน   ลองมาดูกันว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2565 อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ในเดือนนี้จะมีอัตราดอกเบี้ยเท่าไรกันบ้าง  ซึ่งในภาพรวมแล้วส่วนใหญ่ดอกเบี้ยยังอยู่ในอัตราคงที่เท่ากับช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา แต่รายละเอียดเป็นอย่างไร ติดตามได้ในบทความนี้เลย​​ อัพเดทอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป  โดยอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ  วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1   ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น 5.2%  (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.2% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น  5.45% (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.45%  (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.9% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.7%(MRR-1.25%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.075%(MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2%(MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58%   -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก 4.75% หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า ​500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า ​คิดอัตราดอกเบี้ย​ MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย ​MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา   หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค.- 1 มี.ค. 65 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ​และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา ​ -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ​ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ​ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ​​ 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อสำหรับบ้านใหม่ กรุงไทย SURE  โดยไม่คิดค่า  ธรรมเนียมยื่นกู้  โดยเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  ไม่เปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ​​ดังนี้ แบบคงที่ 1 ปี ฟรีค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.80% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.20% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.87% (MRR-2.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.90% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.24% แบบลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.77%  (MRR-3.45%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.77% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.22% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.87% (MRR-3.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.87% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.26%   สินเชื่อสำหรับการกู้ซื้อบ้านที่ธนาคารออกค่าจดจำนองให้** และ ฟรี ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบคงที่ แบบทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.13% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.32% แบบไม่ทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.23% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา = 4.35% แบบลอยตัว แบบทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.12% (MRR-3.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.12% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.35% แบบไม่ทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.22% (MRR-3.0%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.22% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 3.38%   การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ 1.ทำ MRTA/GLT SP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี 2.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ 3.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ **ธนาคารออกค่าจดจำนองให้ 1% สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท หากลูกค้าปิดบัญชีก่อน 5 ปี ธนาคารจะเรียกเก็บค่าจดจำนองคืน ***อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 มี.ค.65 MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมินอัตราดอกเบี้ยยังคงเท่าเดิมจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.9% ( MRR-3.15%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.00%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.39% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.50% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย MRR-1.60% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.55%  (MRR-3.50%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.3%  (MRR-2.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.02% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.25% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.1% (MRR-1.95%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.3% (MRR-1.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.7%  (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.23%   หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ​ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พ.ค. 63 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 30 เม.ย. 65 โดยจดจำนองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 31 พ.ค. 65 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป โดยพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ ซึ่งเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 7.72% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 7.72% สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 8.22% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 8.22% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% (ประกาศ ณ วันที่ 22 พ.ค. 2563) ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ย MRR ให้อ้างอิงอัตราดอกเบี้ยตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ลูกค้ายื่นใบสมัครสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 มีนาคม 2565 โดยสามารถยื่นกู้ได้สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภท ยกเว้นการกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม 0.25% ในปีแรก หากทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อบ้านตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -กรณียื่นกู้บ้านในโครงการจัดสรรที่ธนาคารสนับสนุน ธนาคารฯมีอัตราดอกเบี้ยพิเศษ สอบถามรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ K-Contact Center 02-8888888 ต่อ 887 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (KKP Home Loan เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย) กรณี บ้านใหม่ : ซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราเดิมเท่ากับเดือนที่ผ่านมา โดยธนาคารเกียรตินาคินมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  2.45%-2.75% ปีต่อไป ดอกเบี้ย  4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.65%-2.95% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.60%-2.99% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.80%-3.19% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ​เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่​ 18 สิงหาคม 2563 เท่กับ​ 6.525% ต่อปี 3.เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา​​​​​​ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า​ Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.​กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง ​​หากลูกค้า Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท  ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคี ​เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด ​โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ ​ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน​ 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด ​30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เท่ากับเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารซีไอเอ็มบี มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.1%) ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย 5.35% (MRR-2.0%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-2.8%) หลังจากนั้น 5.35% (MRR-2.0%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.15% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2564) -ธนาคารยังมีอัตราดอกเบี้ยสำหรับพนักงานประจำรายได้ 30,000-50,000 หรือเจ้าของกิจการรายได้ 50,000 บาทขึ้นไปไว้พิจารณาด้วย รวมถึงสินเชื่อสำหรับโครงการที่ธนาคารเป็นผู้สนับสนุน 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป ภายใต้แคมเปญดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้นเฉลี่ย 3 ปีแรก 4.05% ต่อปี จะได้รับฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าจดทะเบียนจำนอง และค่าประเมินหลักทรัพย์ ซึ่งยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เท่ากับเดือนที่ผ่านมา  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.23%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.4% (MRR-1.88%) หลังจากนั้น 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.4% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือก 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา ดอกเบี้ย 4.65% รายละเอียดเงื่อนไข สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส ​ 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท​ -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 3 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของธนาคาร -ธนาคารขอสงวนสิทธิเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แจ้งไว้ในเอกสารฉบับนี้ โดยไม่ ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ในกรณีที่ธนาคารเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนจำนองหลักประกันแทนผู้กู้หากผู้กู้มีความประสงค์จะไถ่ถอนหลักประกันและชำระหนี้คืนทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันเบิกใช้เงินกู้ ครั้งแรก ผู้กู้ตกลงคืนเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองหลักประกันตามจำนวนเงินที่ธนาคารได้ช าระไปให้แก่ธนาคาร ในวันที่ผู้กู้ได้ชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้น (ค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท) -กค้าต้องสำรอง จ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ลูกค้าใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 30 วันทำการนับจากวันที่ลูกค้าจดจำนอง -MRR = 6.28% ตามประกาศธนาคาร https://www.ttbbank.com/th/rates/loan-interest-rates -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึง 30 มิถุนายน 2565 และจดจำนอง ภายใน 31 กรกฎาคม 2565 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา  คิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.95% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยะเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2565 ​มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากแคมเปญสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2565  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.15% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.9% (MRR-2.25%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.4%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญา  5.4% หมายเหตุ -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.-30 ธ.ค.65   (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติมวงเงินของโครงการแล้ว) -อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินกู้และทุกบัญชีเงินกู้ภายใต้หลักประกันเดียวกัน 10.ธนาคารยูโอบี ธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโครงการหมู่บ้านทั่วไป  โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับเดือนที่ผ่าน  ซึ่งธนาคารยูโอบีมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.35% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.35% (MRR-4.0%) อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.79% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.55% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.80%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.8% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75%  (MRR-2.60%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.45% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.8% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.95%  (MRR-2.24%) ปีที่ 4 อัตราดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.96% หมายเหตุ -ขอสินเชื่อตั้งแต่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค. 65 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายใน 29 เม.ย.​ 65 -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาคารยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.35% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ​(Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น)​ -การอนุมัติสินเชื่อ​เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ  7.35% ต่อปี ​(ตามประกาศธนาคารณ วันที่ 1 เม.ย. 64) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย​ MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้​ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ​เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร​ -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย ​(ใบอนุญาตประกันชีวิต​เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศภัย​ เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ​จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย คือ โฮมโลน โดนใจ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 1.9% (สำหรับผู้มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป) โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยสำหรับผู้กู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.0% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.00% (MRR-5.35%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.80% (MRR-3.55%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10%  (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 2 ปีแรก) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.20% (MRR-3.15%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.55% (MRR-4.80%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 4 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.75% (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 3 ปีแรก) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ล้านละ 3,500 บาท  กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่** -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 4.60% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.10% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.35% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่าง ๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค. 65 -สำหรับอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.9% สำหรับผู้กู้ที่มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป ผ่อนต่ำเดือนละ 3,500 บาท ฟรีค่าจดจำนองสินเชื่อเมื่อซื้อประกันผ่านธนาคาร ฟรีค่าประเมินหลักประกัน 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีสินเชื่อเคหะ สำหรับให้บริการผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไปซื้อบ้านหรือคอนโด ภายใต้แคมเปญ ผ่อนต่ำปีแรก ล้านละ 2,500 บาทต่อเดือน สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยยื่นกู้ภายในวันที่ 30 เมษายน 2565 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน 31 พฤษภาคม 2565 โดยมีรายละเอียด ​ดังนี้​ กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.0% เพิ่มขึ้น 1.25% จากเดือนที่ผ่านมา เพราะมีแคมเปญดอกเบี้ย 0% ใน 6 เดือนแรก ทำให้เดือนที่ผ่านมามีดอกเบี้ยเฉลี่ยปีแรก 0.75% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.9% (MRR-3.345%) ลดลง 0.425% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 3.525% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.6% ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.126% เพิ่มขึ้น 0.025% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 4.101% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.25% เพิ่มขึ้น 1.25% จากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ย​ 1.0% จากแคมเปญเดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 2.0% ​ ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.525% (MRR-2.72%) ลดลง 0.625% จากเดือนที่ผ่านมา คิดอัตราดอกเบี้ย  4.15% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.995% (MRR-1.25%) เพิ่มขึ้น 1.895% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 3.1% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.31% เพิ่มขึ้น 0.024% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 4.286%   เงื่อนไขการผ่อนชำระ -ปีที่ 1 ผ่อนชำระ 2,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 2 ผ่อนชำระ 4,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 3 ผ่อนชำระ 5,500 บาทต่อเดือน หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR=6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระ 20 ปี ผ่อนเท่ากันทุกงวด -ทำประกัน หมายถึง การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ โดยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข เป็นไปตามธนาคารกำหนด -เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเคหะตามโปรโมชั่น สมัครบริการ MyMo และผลิตภัณฑ์ / บริการอื่น ของธนาคารอย่างน้อย 2 ประเภท ได้แก่ บัตรอิเล็กทรอนิกส์ / บัตรเครดิต หรือสินเชื่อบัตรเงินสด / ชำระสินเชื่อหักผ่านบัญชี / ประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ ทั้งนี้ หากลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นตามที่กำหนดอยู่แล้ว สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้ และกรณีไม่มี Smartphone ให้สมัครผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นของธนาคารตามที่กำหนดทดแทนได้ -*กรณี ฟรี ค่าธรรมเนียมจดจำนอง ให้ตามที่จ่ายจริง (รวมทุกสัญญาที่กู้ในคราวเดียวกัน) และลูกค้าต้องสำรองจ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินไปก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินหลังหักภาษี ณ ที่จ่าย 1% ของเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองคืนภายใน 30 วัน -กรณีผู้กู้ชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น หรือไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด (Prepayment) ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามที่ธนาคารกำหนด (ปัจจุบันร้อยละ 3.00 ของยอดเงินต้นคงเหลือ) ทั้งนี้ กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยกรณีไถ่ถอนจำนองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินอื่น (Re-Finance) และฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง ผู้กู้จะต้องชำระค่าจดจำนองคืนแก่ธนาคารเต็มจำนวน -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่น ๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า   ที่มา Reviewyourliving รวบรวมจากเว็บไซต์ธนาคาร ข้อมูล ณ วันที่ 1 ก.พ.65 บทความที่เกี่ยวข้อง อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนมกราคม 2565