Tag : Home

816 ผลลัพธ์
[PR News] เพอร์เฟค จับมือ 7 พันธมิตร  เดินพัฒนา “ถนนหอการค้าไทย” ให้เป็นถนนสีเขียว

[PR News] เพอร์เฟค จับมือ 7 พันธมิตร เดินพัฒนา “ถนนหอการค้าไทย” ให้เป็นถนนสีเขียว

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จับมือ 7 องค์กร ร่วมสร้าง “ถนนหอการค้าไทย” ยาว 4 กิโลเมตร ให้เป็นถนนสีเขียว มุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาดเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิต   โดยร่วมกับ “อีวีโลโม” บริษัทชั้นนำจากอเมริกา สร้างสถานีชาร์จรถไฟฟ้าและติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าในบ้านเดี่ยวทุกโครงการ จับมือบริษัทในกลุ่ม ปตท. ได้แก่ “อรุณ พลัส, อีวี มี พลัส, สวอพ แอนด์ โก” ให้บริการซื้อหรือเช่ารถยนต์ไฟฟ้าผ่านแอปพลิเคชั่น ศึกษาการให้บริการ EV Bus และตู้สลับแบตเตอรี่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในชุมชน พร้อมจับมือ “โลตัส โกเฟรช” ที่มาเปิดสาขาใหม่ในแนวคิดเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ “โรงเรียนนานาชาติเอสไอเอสบี” ร่วมเป็นส่วนหนึ่งด้วยโรงเรียนพลังงานทางเลือก   นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้  เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับ 7 องค์กรร่วมสร้าง “ถนนหอการค้าไทย” ให้เป็นถนนสีเขียว เพื่อส่งเสริมการใช้พลังานสะอาดบนถนนหอการค้าไทย ด้วยการตั้งสถานีชาร์จไฟฟ้าบนพื้นที่ส่วนกลางและบริเวณชุมชน มีการติดตั้ง EV Charger Home Box ให้กับบ้านเดี่ยวทุกโครงการทุกระดับราคา เพื่อเตรียมความพร้อมรองรับการใช้รถยนต์ไฟฟ้า และยังมีการศึกษาถึงการให้บริการ EV Bus และตู้สลับแบตเตอรี่สำหรับมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าเพื่อให้บริการในชุมชน ตลอดจนยังได้รับความร่วมมือจากภาคธุรกิจที่ตั้งอยู่บนถนนนี้ ที่มีแนวทางการดำเนินงานในแบบเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมทั้งจะติดตั้งเครื่องชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าในศูนย์ราชการนนทบุรี เพื่อจุดประกายให้คนหันมาสนใจการใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น   โดยความร่วมมือกับ 7 องค์กรประกอบด้วย “อีวีโลโม” บริษัทชั้นนำจากอเมริกา สร้างสถานีชาร์จรถไฟฟ้าและติดตั้งเครื่องชาร์จรถไฟฟ้าในบ้านเดี่ยวทุกโครงการ บริษัทในกลุ่ม ปตท. ได้แก่ “อรุณ พลัส, อีวี มี พลัส, สวอพ แอนด์ โก” ให้บริการซื้อหรือเช่ารถยนต์ไฟฟ้าผ่านแอปพลิเคชั่น ศึกษาการให้บริการ EV Bus และตู้สลับแบตเตอรี่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในชุมชน “โลตัส โกเฟรช” ที่มาเปิดสาขาใหม่ในแนวคิดเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และ “โรงเรียนนานาชาติเอสไอเอสบี” ร่วมเป็นส่วนหนึ่งด้วยโรงเรียนพลังงานทางเลือก   สำหรับถนนหอการค้าไทยเป็นถนนที่บริษัทสร้างขึ้น มีระยะทาง 4 กิโลเมตร เชื่อมระหว่างถ.ชัยพฤกษ์และถ.สะพานนนทบุรี-บางบัวทอง ซึ่งถนนดังกล่าวมีพื้นที่สำหรับพัฒนาโครงการรวม 1,226 ไร่ ปัจจุบันเติบโตเป็นชุมชนขนาดใหญ่ มีโครงการที่อยู่อาศัย สถาบันการศึกษา โรงเรียนนานาชาติ ศูนย์การค้าชุมชน ธุรกิจร้านค้าต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย อีกทั้งยังมีพื้นที่รอการพัฒนาและ   มีศักยภาพที่จะขยายตัวต่อเนื่องในอนาคต จากการเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ บริษัทจึงมีแนวคิดที่จะผลักดันให้ถนนหอการค้าไทย เป็นถนนที่มุ่งเน้นการใช้พลังงานสะอาด เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้คนในชุมชนอย่างเป็นรูปธรรม   สำหรับความร่วมมือจากบริษัทใน กลุ่ม ปตท. นายชาญ กุลภัทรนิรันดร์  Head of 2 Wheel and Bus Business Development  บริษัท อรุณ พลัส จำกัด  กล่าวว่า อรุณ พลัส เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจด้าน EV Value Chain รองรับการขยายฐานธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าของกลุ่ม ปตท. โดยรถบัสไฟฟ้า หรือ  E-Bus เป็นหนึ่งการดำเนินงานที่อยู่ระหว่างพัฒนาเพื่อสามารถให้บริการได้ในราคาที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ  ปัจจุบัน อรุณ พลัส ให้บริการ Shuttle E-Bus สำหรับรับส่งพนักงานในกลุ่ม ปตท. และมีแผนให้บริการแก่ผู้ที่สนใจภายนอกสามารถเลือกซื้อหรือเช่า E-Bus ได้ในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งคาดว่าจะพร้อมให้บริการได้กลางปี 2565 สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค และ อรุณ พลัส จะหารือเพื่อพัฒนาการให้บริการ E-Bus ร่วมกัน เพื่อให้ชุมชนบนถนนหอการค้าไทยได้มีโอกาสทดลองใช้งาน E-Bus ของอรุณ พลัส ซึ่งเป็นเทคโนโลยีพลังงานสะอาด อันจะมีส่วนช่วยพัฒนาชุมชนนี้ ให้เป็นชุมชนสีเขียว   นายสุวิชชา สุดใจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการจัดการ บริษัท อีวี มี พลัส จำกัด  กล่าวว่า  อีวี มี พลัส บริษัทสตาร์ทอัพของ กลุ่ม ปตท. พร้อมมอบประสบการณ์การเป็นเจ้าของ EV ที่สะดวกยิ่งขึ้น ผ่านแอปพลิเคชัน EVme ซึ่งเป็นดิจิทัลแพลตฟอร์มให้บริการ EV เต็มรูปแบบรายแรกและรายเดียวในประเทศไทย ที่สามารถเลือกใช้บริการซื้อหรือเช่า EV ได้ในราคาพิเศษ โดยมีตัวเลือกรถหลากรุ่นหลายแบรนด์  ตลอดจนให้บริการข้อมูลที่ตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ปัจจุบัน EVme อยู่ระหว่างทดสอบการให้บริการ โดยจะพร้อมเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในต้นปี 2565 สำหรับโครงการของ พร็อพเพอร์ตี้ เฟอร์เฟค บน  “ถนนหอการค้าไทย” ซึ่งเตรียมโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับการใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าเรียบร้อยแล้ว อีวี มี พลัส จะนำเสนอบริการทดลองใช้งาน EV ได้ในราคาพิเศษก่อนตัดสินใจซื้อ ให้กับลูกบ้าน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนให้เกิดการใช้พลังงานสะอาดผ่าน EV ต่อไป   นางสาวอาวีมาศ สิริแสงทักษิณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สวอพ แอนด์ โก จำกัด  กล่าวว่า สวอพ แอนด์ โก เป็นอีกหนึ่งบริษัทในกลุ่ม ปตท. ที่ดำเนินธุรกิจให้บริการแพลตฟอร์มสลับแบตเตอรี่แก่ผู้ใช้งานมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าแบบไม่ต้องรอชาร์จ เพื่อรองรับการขยายตัวของผู้ใช้งานยานยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต ปัจจุบัน สวอพ แอนด์ โก เปิดให้บริการสถานีสลับแบตเตอรี่มอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าแบบไม่ต้องรอชาร์จ จำนวน 22 แห่งทั่วกรุงเทพฯ และมีแผนขยายการให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศ สำหรับโครงการ “ถนนหอการค้าไทย” นี้  สวอพ แอนด์ โก จะมีบริการตู้สลับแบตเตอรี่ พร้อมแบตเตอรี่ ประมาณ 30 ก้อน เพื่อสามารถรองรับรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าในพื้นที่ ได้กว่า 10 คัน ซึ่งผู้ใช้งานสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน Swap & Go เชื่อมต่อกับรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าที่รองรับการใช้งาน เพื่อเข้ากระบวนการสลับแบตเตอรี่ได้ด้วยตัวเอง ได้อย่างสะดวก ง่ายดาย   สำหรับ อีวีโลโม  นางสาวนิโคล วู กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีวีโลโม เทคโนโลยีส์ จำกัด เปิดเผยว่า อีวีโลโม เป็นบริษัทชั้นนำด้านยานยนต์ไฟฟ้าจากสหรัฐอเมริกา มีความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เพื่อรุกเข้าสู่ตลาดบ้าน EV Ready ในประเทศไทย  โดยจะเป็นผู้ติดตั้ง EV Charger Home Box ให้กับบ้านเดี่ยวในทุกโครงการของ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค พร้อมบริการบำรุงรักษา ซึ่งทั่วไปแล้วผู้ใช้รถยนต์ไฟไฟฟ้าจะมีการชาร์จไฟที่บ้านมากกว่า 80% จึงตั้งเป้าหมายจะร่วมกันติดตั้งเครื่องชาร์จในบ้านรวมจำนวน 10,000 หลัง โดยเป็นเครื่องชาร์จอัจฉริยะ EVLOMO ELO Series ซึ่งมีจุดเด่นในเรื่องการป้องกันฝุ่นและน้ำ ใช้งานได้ในทุกสภาพอากาศ มีความปลอดภัย สามารถเชื่อมต่อ 4G และ Wi-Fi สำหรับการชาร์จจากระยะไกล และยังรองรับทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษในการแสดงผลบนหน้าจอ  EVLOMO ยังได้เปิดตัวสถานีชาร์จไฟฟ้าในพื้นที่ส่วนกลางและบริเวณชุมชน อาทิ หน้าคลับเฮ้าส์ ลานจอดรถหน้าร้านค้า ฯลฯ เพื่อให้บริการแก่คนในชุมชนและประชาชนทั่วไป เป็นการส่งเสริมให้มีการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในวงกว้างมากขึ้น”   ในส่วน โลตัส โดย นางสาวสลิลลา สีหพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านความยั่งยืนและกฏหมาย บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด กล่าวว่า บริษัทจะเปิด “โลตัส โกเฟรช” สาขาใหม่บนถนนหอการค้าไทย ในวันที่ 25 พฤศจิกายน ด้วยแนวคิดมินิซุปเปอร์มาร์เก็ตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะติดตั้งเครื่องรับขวดน้ำพลาสติกอัตโนมัติ (Reverse Vending Machine) เพื่อเก็บบรรจุภัณฑ์กลับไปรีไซเคิล โดยลูกค้าสามารถแลกไข่ไก่ฟรี 1 ฟอง สำหรับขวดพลาสติกทุกๆ 10 ขวดที่นำมารีไซเคิลผ่านเครื่องนี้ พร้อมส่งเสริมให้ลดการใช้พลาสติก ด้วยการงดแจกถุงพลาสติก ซึ่งทางโลตัสมี “ถุงคืนชีพ” จำหน่าย ที่ผลิตจากพลาสติกรีไซเคิล ใช้ซ้ำได้หลายครั้ง เมื่อชำรุดก็นำมาเปลี่ยนใบใหม่ได้ฟรี ทั้งนี้ โลตัสมีนโยบายลดใช้บรรจุภัณฑ์เพื่อลดขยะต่างๆ โดยเฉพาะขยะพลาสติกและขยะอาหาร รวมทั้งส่งเสริมให้มีการนำทรัพยากรวนกลับมาใช้ด้วย   ด้าน โรงเรียนนานาชาติเอสไอเอสบี นายเคลวิน โคว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า ที่ผ่านมา เอสไอเอสบี ได้ก้าวไปสู่การเป็นโรงเรียนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และดำเนินการตามแนวทางที่จะไปสู่การพัฒนาสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน  สำหรับโรงเรียนนานาชาติเอสไอเอสบี นนทบุรี ตั้งอยู่บนพื้นที่ 18.5 ไร่ บนถนนหอการค้าไทย มีกำหนดเปิดตัวในเดือนสิงหาคม 2566 โดยโรงเรียนเอสไอเอสบี สาขาที่ 5 แห่งนี้ พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในโครงการถนนสีเขียว เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีสำหรับนักเรียน อาทิเช่น การนำระบบปรับอากาศอัจฉริยะมาใช้ การออกแบบให้ใช้แสงธรรมชาติเพื่อลดการใช้ไฟฟ้า ซึ่งช่วยประหยัดพลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ยังพร้อมมีความร่วมมือเพื่อเปลี่ยนการใช้พลังงานของโรงเรียนไปสู่การใช้พลังงานสะอาด เพื่อให้โรงเรียนเอสไอเอสบี นนทบุรี เป็นโรงเรียนสีเขียวชั้นนำ และเป็นต้นแบบของโรงเรียนที่ใช้พลังงานทางเลือก
พฤกษา เรียลเอสเตท  อัดแคมเปญพร้อมเปิด 9 โครงการใหม่ Q4  ดันเป้ารายได้ 32,000 ล้าน

พฤกษา เรียลเอสเตท อัดแคมเปญพร้อมเปิด 9 โครงการใหม่ Q4 ดันเป้ารายได้ 32,000 ล้าน

“พฤกษา เรียลเอสเตท” ลุยทำตลาด ปั้นยอดขายและรายได้โค้งท้ายปี เตรียมเปิด 9 โครงการใหม่  8,540 ล้าน พร้อมโอน 7 คอนโดมูลค่า 6,000 ล้าน มั่นใจผลงานทั้งปีตามเป้าหมาย ทำรายได้ 32,000 ล้านบาท   "พฤกษา เรียลเอสเตท" ถือว่าเป็น 1 ในผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยรายใหญ่ของไทย ซึ่งมีทั้งโครงการคอนโดมิเนียม ทาวน์เฮ้าส์ และบ้านเดี่ยว กระจายอยู่ทั่วทุกมุมของกรุงเทพฯ และปริมณฑล และมีสินค้าหลากหลายราคา แต่สินค้าที่ถือเป็นพระเอกหลัก คงเป็นกลุ่มระดับระคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท เพราะ "พฤกษา เรียลเอสเตท" มีสินค้ากลุ่มนี้อยู่ในพอร์ตจำนวนมาก แต่จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีรุนแรงต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคส่วนใหญ่ และที่ได้รับผลกระทบหนักก็คือ กลุ่มลูกค้าระดับกลาง-ล่าง เพราะเป็นกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจมากกว่ากลุ่มอื่น   ผลกระทบของโควิด-19 ส่งผลกระทบให้เห็นอย่างชัดเจน จากผละประกอบการของ "พฤกษา เรียลเอสเตท" ในช่วงไตรมาส 3 ที่ลดลงต่ำกว่าไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แล้ว ช่วงไตรมาส 3 ของทุกปีก็ถือเป็นช่วงโลว์ซีซั่นของการขายอสังหาฯ ด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ถือว่าเป็นช่วงเวลาสำคัญ ที่หลายบริษัทใช้เป็นโอกาสในการสร้างยอดขายและรายได้ ให้กลับมาเติบโตตามเป้าหมายได้อีกครั้ง เพราะเป็นจังหวะโค้งท้ายของปีที่ผู้บริโภคจะตัดสินใจซื้อบ้านหรือคอนโด และผู้ประกอบการก็พร้อมจะจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย  เพื่อทำยอดขายและรายได้ให้ได้ตามแผนที่วางไว้ตั้งแต่ต้นปี ซึ่งเป้าหมายยอยขายปีนี้วางไว้ 28,000 ล้านบาท รายได้ 32,000 ล้านบาท กับการเปิดโครงการใหม่ 31 โครงการ มูลค่า 21,580 ล้านบาท Q4 ลุยโอน 7 โปรเจ็กต์ เปิดใหม่อีก 9 แผนการสร้างยอดขายและรายได้ในช่วงโค้งท้ายของปี “พฤกษา เรียลเอสเตท” ได้เตรียม 3 กลยุทธ์สำคัญไว้ดังนี้ 1.โอน7 คอนโดมูลค่า 6,000 ล้าน เพิ่มรายได้ ในไตรมาสสุดท้าย บริษัทจะเริ่มโอนคอนโดรวม 7 โครงการ มูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท ได้แก่ เดอะรีเสิร์ฟ สาทร, เดอะไพรเวซี่ เตาปูนอินเตอร์เชนจ์,  แชปเตอร์ ทองหล่อ 25, แชปเตอร์วัน โฟลว์ บางโพ, เดอะไพรเวซี่ S101, พลัมคอนโด สุขุมวิท 97.1 และเดอะทรี พัฒนาการ-เอกมัย 2.เปิด 9 โครงการใหม่ High Value Project ในทำเลเด่น โดยมีมูลค่ารวม 8,540 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการทาวน์เฮ้าส์​ 5 โครงการ มูลค่า 3,620 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 3 โครงการมูลค่า 4,010 ล้านบาท และคอนโด 1 โครงการมูลค่า 910 ล้านบาท 3.โปรโมท กลยุทธ์แคมเปญดิจิทัล และโปรโมชั่น ต่อเนื่อง ที่ผ่านมาการทำตลาดออนไลน์ของพฤกษา ถือว่าประสบความสำเร็จและสามารถเพิ่มยอดขายกลับมาได้มากพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งมีการล็อกดาวน์กลุ่มลูกค้าไม่สามารถเดินทางไปเยี่ยมชมโครงการได้ ซึ่งที่ผ่านมาเว็บไซต์ของพฤกษา มีลูกค้าใหม่เข้าเยี่ยมชมคิดเป็น 92% จากผู้ชม 5.7 ล้านคน เติบโต 93% เมื่อเทียบกับปีก่อน นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า ไตรมาสสุดท้ายได้เตรียมจัดแคมเปญ “ลดเด็ด ยกกำลัง 3”​ เพื่อขานรับนโยบายการผ่อนปรนมาตรการ LTV  ซึ่งจะทำให้ลูกค้าสามารถกู้ได้ 100% ไม่ต้องวางเงินดาวน์แล้ว พฤกษายังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ได้แก่ 1.แคมเปญจัด ใหญ่! ลดใหญ่  แห่งปี 2.ไม่งอก! ไม่มีค่าใช้งอก เพราะฟรีค่าโอน อยู่ฟรี ฟรีค่าส่วนกลาง สูงสุด 3 ปี* 3.พิเศษ! ปลดล็อก LTV กู้สุงสุด 110% ฟรีดาวน์ พร้อมสิทธิและข้อเสนอพิเศษเพิ่มเติมจากธนาคารพันธมิตร โดยมีโครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม คอนโดพร้อมอยู่กว่า 140 โครงการ 1,500 ยูนิต ที่เข้าร่วมด้วยราคาเริ่มต้น 1.29 ล้านบาท ถึง 31 ธ.ค. 64 ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา มีมูลค่า 223,614 ล้านบาท เติบโต 7%  โดยตลาดบ้านเดี่ยวเติบโตสูงขึ้นอย่างชัดเจนถึง 30% ในขณะที่เซกเมนต์อื่นยังติดลบ หรือทรงตัว Q3 โดยโควิดทุบยอดขาย-รายได้ สำหรับผลประกอบการในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา เป็นไปตามภาพรวมของธุรกิจอสังหาฯ ที่โดยส่วนใหญ่จะมียอดขายและรายลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งผลประกอบการของ “พฤกษา เรียลเอสเตท” ก็มีทิศทางเดียวกัน และมีไฮไลท์ผลการดำเนินงานดังนี้ -ยอดขายมีมูลค่า 5,902 ล้านบาท ลดลง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งทำได้ 6,584 ล้านบาท และลดลง 18% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ของปี 2564 ที่มีมูลค่า 7,225 ล้านบาท -รายได้มีมูลค่า 5,970 ล้านบาท ลดลง 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ที่มีมูลค่า 6,353 ล้านบาท และลดลง 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ที่มีมูลค่า 6,334 ล้านบาท -กำไรสุทธิ 331 ล้านบาท ลดลง 45% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีมูลค่า 603 ล้านบาท และลดลง 22% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าที่มีมูลค่า 427 ล้านบาท -สินค้าคงค้างในไตรมาส 3 มีมูลค่า 7,411 ล้านบาท ลดลงถึง 57% นับตั้งแต่ไตรมาส 3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีสินค้าคงค้างมูลค่า 17,223 ล้านบาท   สำหรับช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมาบริษัทเปิดตัวโครงการใหม่ 7 โครงการมูลค่า 4,192 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโด 1 โครงการมูลค่า 4,192 ล้านบาท และทาวนเฮ้าส์ 6 โครงการมูลค่า 3,708 ล้านบาท 9 เดือนยอดขายโต 24%  แม้ว่าผลการดำเนินงานเฉพาะในไตรมาส 3 ของ​ “พฤกษา เรียลเอสเตท” จะชะลอตัวลง แต่หากนับรวมการดำเนินงานมาตั้งแต่ต้นปี หรือช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมา ยังถือว่าเป็นไปตามแผนงานและเป้าหมายที่บริษัทได้วางไว้ โดยมีไฮไลท์ผลการดำเนินงานดังนี้ -ยอดขาย 9 เดือนแรกได้ 20,067 ล้านบาท เติบโต 24% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทำรายได้ 19,192 ล้านบาท -รายได้ช่วง 9 เดือน มูลค่า 19,192 ล้านบาท ลดลง 2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ที่มีมูลค่า 19.661 ล้านบาท -กำไรสุทธิ 1,364 ล้านบาท ลดลง 30% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาซึ่งมีกำไรสุทธิ 1,942 ล้านบาท   นายปิยะ กล่าวอีกว่า ช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทเปิดโครงการใหม่ไปแล้ว 22 โครงการ มูลค่า 13,040  ล้านบาท  ซึ่งสถานการณ์ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมายังค่อนข้างมีความกดดัน มีปัจจัยลบจากภาวะเศรษฐกิจและการล็อกดาวน์ ทำให้ต้องเลื่อนการเปิดโครงการออกไป แต่ภาพรวมผลประกอบการยังคงอยู่ในเกณฑ์ที่ดี  และสามารถลดสินค้าคงค้างลงไปได้ถึง 57% จากปีก่อน   โดยปัจจุบันบริษัทมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ที่ 22,958 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโด มูลค่า 19,367 ล้านบาท บ้านเดี่ยว มูลค่า 973 ล้านบาท และทาวน์เฮ้าส์ มูลค่า 2,618 ล้านบาท โดยจะรับรู้ต่อเนื่องตั้งแต่ปีนี้ไปจนถึงปี 2568   สำหรับทิศทางธุรกิจอสังหาฯ ในอนาคตมองว่า ยังมีปัจจัยบวกสำคัญ คือ  การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลแก และ​เศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว ซึ่งเป็นผลมาจากจีดีพีมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ซึ่งคาดว่าปี 2565 เศรษฐกิจจะเติบโตในอัตรา 4.5  จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีจีดีพี 1.0 และยังมีปัจจัยบวกจากการเปิดประเทศ รวมถึงมาตรการปลดล็อก LTV ด้วย   แต่ขณะเดียวกันปัจจัยที่ยังกังวลจะยังเป็น 3 เรื่องสำคัญ คือ 1.ความเสี่ยงจากการกลายพันธุ์ของโควิด-19 2.กำลังซื้อยังต่ำในกลุ่มระดับกลางและล่าง และ​ 3.ภาวะหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ระดับสูง 89.6% และหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ซึ่งมีอัตรา 3.7%    
เอพี ไทยแลนด์  ลุย 2 เดือนสุดท้าย เปิด 12 โครงการแนวราบ  หลัง​ 9 เดือนแรกทำกำไร 3,549 ล้าน         

เอพี ไทยแลนด์ ลุย 2 เดือนสุดท้าย เปิด 12 โครงการแนวราบ หลัง​ 9 เดือนแรกทำกำไร 3,549 ล้าน         

เอพี ไทยแลนด์  เดินหน้าเปิดโปรเจ็กต์ใหม่โค้งท้ายปี 2 เดือนเปิดแนวราบ​​ 12 โครงการ มูลค่า 8,570 ล้านบาท ​หลังผลประกอบการ 9 เดือนแรก ทำรายรายได้รวม 30,324 ล้านกำไรสุทธิ 3,549 ล้าน   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์  บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงาน 9 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (รวม 100% JV) และธุรกิจอื่นๆ รวมทั้งสิ้น 30,324 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 3,549 ล้านบาท ด้านสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ในระดับต่ำมากเพียง 0.56 เท่า ซึ่งทั้งหมดล้วนสะท้อนถึงความสามารถ ในการบริหารจัดการภายในองค์กร ควบคู่ไปกับการบริหารพอร์ตสินค้า และการบริหารกระแสเงินสดที่รัดกุมและมีประสิทธิภาพท่ามกลางภาวะผันผวนที่เกิดขึ้น โดยบริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายรวม ณ สิ้นเดือนตุลาคม 64 ได้มากถึง 31,210 ล้านบาท คิดเป็น 88% จากเป้าหมายยอดขาย 35,500 ล้านบาท เป็นสัดส่วนยอดขายจากโครงการแนวราบ 28,594 ล้านบาท   สำหรับภาพรวมอสังหาริมทรัพย์โค้งสุดท้ายของปี 2564 ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่ธุรกิจอสังหาฯ ต้องเผชิญกับความท้าทายและภาวะผันผวนที่เกิดขึ้นจากสถานการณ์การแพร่ระบาด โดยเฉพาะมาตราการการล็อกดาวน์ที่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา   คาดว่าสถานการณ์ต่างๆ จะเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ทั้งกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และเซนทิเมนต์ ของผู้บริโภค และจากการผ่อนคลายมาตรการ LTV ไปถึงปีสิ้นปี 2565 ก็ถือเป็นสัญญาณบวกที่ดี นอกจากจะกระตุ้นภาคธุรกิจอสังหาฯ  ให้ฟื้นกลับแล้ว ยังช่วยขับเคลื่อนภาคธุรกิจอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องได้อีกด้วย     โดยในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการแนวราบใหม่​อีก​ 12 โครงการ มูลค่ารวม 8,570 ล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์โฮม 9 โครงการ มูลค่ารวม 5,010 ล้านบาท ด้วยจุดขาย “พลิกแนวคิดชีวิตแนวตั้ง” กับทาวน์โฮมแบรนด์บ้านกลางเมือง และพลีโน่ พร้อมบ้านเดี่ยวแบรนด์เซนโทร (CENTRO)  3  โครงการใหม่ มูลค่า 3,560 ล้านบาท กับการเน้นย้ำจุดยืน “บ้านที่เข้าใจชีวิต” ปี 2564 ถือเป็นอีกปีที่ซุปเปอร์สตาร์ของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คือสินค้ากลุ่มแนวราบ สะท้อนได้จากตัวเลขทั้งยอดขายและยอดโอนของบริษัทฯ ที่ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง โดยเป็นการเติบโตแบบ Organic Growth ที่สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพขององค์กรได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาเราทุกคนจะต้องเผชิญกับการล็อกดาวน์ที่ส่งผลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอย่างมาก แต่บริษัทฯ ยังคงรักษาสถานะ การเติบโตได้อย่างคงที่ โดย   สำหรับปี​ 2564 บริษัทมีแผนพัฒนาโครงการใหม่รวมทั้งสิ้น  24 โครงการ มูลค่าประมาณ 27,550 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นโครงการแนวราบจำนวน 22 โครงการ มูลค่าประมาณ 19,650 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมจำนวน 2 โครงการ มูลค่าประมาณ 7,900 ล้านบาท เปิดตัวไปแล้วทั้งสิ้น 12 โครงการ มูลค่า 18,980 ล้านบาท คงเหลือเปิดตัวอีกจำนวน 12 โครงการ  มูลค่ารวม 8,570  ล้านบาท
ลลิล  กวดยอดขาย 10 เดือน 6,300 ล้าน  พร้อมปรับโฉม “บ้านลลิล The Prestige”

ลลิล กวดยอดขาย 10 เดือน 6,300 ล้าน พร้อมปรับโฉม “บ้านลลิล The Prestige”

ลลิล มองตลาดอสังหาฯ โค้งท้ายยังแข่งเดือด ผู้ประกอบการยังเน้นโปรโมชั่นหนัก หลังแนวโน้มภาพรวมปรับตัวดีขึ้น มั่นใจสิ้นปีปิดยอดขายตามเป้า 7,000 ล้าน หลัง 10 เดือนตุนแล้ว 6,200-6,300 ล้าน พร้อมเดินหน้าปรับโฉมโปรเจ็กต์บ้านเดี่ยวราคา 5-8 ล้าน รับกลุ่มครอบครัวขยายและวิถีชีวิต New normal   นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN  เปิดเผยถึงทิศทางการแข่งขันธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วง 2 เดือนสุดท้ายว่า ยังคงแข่งขันรุนแรง ไม่แตกต่างจากช่วงที่ผ่านมา เพราะว่ากำลังซื้อชะลอตัว ทำให้ความต้องการซื้ออสังหาฯ ลดลง ประกอบกับซัพพลายที่มีอยู่ในตลาด ผู้ประกอบการนำมาทำตลาดและจัดโปรโมชั่นจำนวนมาก และตอนนี้ผู้ประกอบการเริ่มมีความมั่นใจ รวมถึงแนวโน้มภาพรวมต่าง ๆ ปรับตัวดีขึ้น จึงน่าจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่มากขึ้นด้วย   การแข่งขันดุเดือนมาตลอด ไม่มีช่วงไหน ที่การแข่งขันไม่ดุเดือด สำหรับทิศทางในปี 2565 นั้น สถานการณ์คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้น จากแนวโน้มของภาพรวมเศรษฐกิจ และภาวการณ์ระบาดของโควิด-19 น่าจะทำให้มีการพัฒนาโครงการของผู้ประกอบการมีมากขึ้นด้วย ซึ่งผู้ประกอบการคงจะต้องทำการศึกษาข้อมูล และวิเคราะห์การตลาดให้ดี เพราะแม้ว่าแนวโน้มทุกอย่างจะปรับตัวดีขึ้น แต่ภาวะเศรษฐกิจก็ยังคงมีความผันผวนอยู่ตลอดเวลา   โดยมองว่าในปี 2565 ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวังว่าจะกระทบต่อธุรกิจอสังหาฯ  ไม่ว่าจะเป็นการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภาวะเงินเฟื้อ อัตราดอกเบี้ยซึ่งมีแนวโน้มปรับสูงขึ้น ต้นทุนด้านพลังงาน ภาวะเศรษฐกิจโลก ภาวการณ์ฟื้นตัวของตลาดการท่องเที่ยว เนื่องจากเป็นอุตสาหกรรมที่มีบทบาทสำคัญต่อภาวะเศรษฐกิจไทย มีสัดส่วน 13-15% ของจีดีโดยรวมประเทศ   นายชูรัชฏ์ กล่าวว่า สำหรับภาพรวมของบริษัทในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา สามารถทำยอดขายได้ประมาณ 6,200-6,300 ล้านบาท เป็นไปตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ ซึ่งในปีนี้น่าจะทำยอดขายได้ 7,000 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่ได้ประกาศไว้ตั้งแต่ต้นปี โดยเปิดโครงการใหม่ไปแล้ว 9 โครงการ รวมมูลค่า 6,000 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ประมาณ​1,300 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้ต่อเนื่องไปถึงช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 และปัจจุบันมีบ้านพร้อมขายอยู่ในสต็อกมูลค่าประมาณ 1,100-1,200 ล้านบาท   ล่าสุด บริษัทจึงได้พัฒนา ปรับโฉมแบรนด์บ้านเดี่ยว จาก “บ้านลลิล” สู่ “บ้านลลิล The Prestige” เพื่อเป็นการเติมเต็มกลุ่มบ้านระดับราคา 5-8 ล้านบาท เพื่อให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย​ โดยมุ่งพัฒนาบ้าน ที่ตอบโจทย์กำลังซื้อกลุ่มนี้และ เพิ่มโอกาสทางการตลาดสู่การเติบโตที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น  ประกอบกับผลสำรวจผู้บริโภคในปัจจุบัน พบว่า บ้านในระดับราคา 5-8 ล้านบาท เป็นสินค้าที่ยังมีความต้องการซื้อ โดยเฉพาะในกลุ่มลูกค้าที่ต้องการขยายครอบครัวที่ใหญ่ขึ้น บ้านขนาดใหญ่จึงตอบโจทย์ เพราะมีห้องอเนกประสงค์ที่สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันการใช้งานตามที่ต้องการ อาทิ พื้นที่ work from home การเรียนออนไลน์ หรือแม้กระทั้งปรับเป็นห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุ   นอกจากนี้ ยังต้องการบ้านตอบรับกับชีวิตวิถีใหม่ในยุค New Normal  ที่มีพื้นที่บริเวณโดยรอบบ้านรองรับกับการใช้ชีวิตและมีความเป็นส่วนตัว มีพื้นที่สีเขียวในการผ่อนคลาย โดยได้เปิดตัวโครงการแรก “บ้านลลิล The Prestige” ประชาอุทิศ – สุขสวัสดิ์ บนพื้นที่ 39 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท รวม 181 ยูนิต เป็นบ้านในสไตล์ French Colonial ผ่านแรงบันดาลใจจากพระราชวังแวร์ซายและสวนโพรวองซ์ (Provence) และตัวบ้านใช้นวัตกรรมประหยัดพลังงานเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยเป็นบ้านเดี่ยวขนาด 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ที่มีให้เลือกถึง 4 แบบบ้าน ประกอบไปด้วย -แบบบ้าน IMPERIAL พื้นที่ใช้สอย 174* ตร.ม. 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว  2 ที่จอดรถในร่ม -แบบบ้าน GORGEOUS A พื้นที่ใช้สอย 154* ตร.ม. 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว  2 ที่จอดรถในร่ม -แบบบ้าน GORGEOUS B พื้นที่ใช้สอย 154* ตร.ม. 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว  2 ที่จอดรถในร่ม -แบบบ้าน GARISH พื้นที่ใช้สอย 154* ตร.ม. 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องครัว  2 ที่จอดรถในร่ม   สำหรับพ้นที่ส่วนกลางของโครงการ ได้ติดตั้งระบบไฟแสงสว่างในแบบ LED ด้วยระบบโซล่าร์เซล พร้อมระบบหมุนเวียนน้ำเพื่อดูแลสวนส่วนกลาง กล้องวงจรปิดบริเวณโครงการพร้อมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ที่เข้าออกโครงการด้วยระบบ keycard access  
อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ประจำเดือนพฤศจิกายน 2564

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ประจำเดือนพฤศจิกายน 2564

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน อัพเดท ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ประจำเดือนพฤศจิกายน 2564 ภาพรวมธนาคารยังตรึงดอกเบี้ยเท่ากับช่วงก่อนหน้า เพื่อกระตุ้นยอดสินเชื่อ โดยแบงก์ออมสินจัดแคมเปญดอกเบี้ยถูกสุด 0% ใน 6 เดือนแรก ส่งผลให้ดอกเบี้ยเฉลี่ยปีแรก 0.75% เท่ากับแบงก์กรุงไทย เริ่มต้นเดือนพฤศจิกายน 2564 ประเทศไทยได้เปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนตามประกาศของรัฐบาลไทย เกี่ยวกับการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสโควิด-19 ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับภาวะเศรษฐกิจไทย ที่กำลังจะฟื้นตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง หากการแพร่ระบาดไม่ลุกลามหรือรุนแรงไปกว่านี้   เมื่อเศรษฐกิจดีขึ้น เงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบมากขึ้น กำลังซื้อของคนไทยก็น่าจะเพิ่มมากขึ้น และคงมีความเชื่อมั่นต่ออนาคตของตนเอง ว่าจะมีรายได้เข้ามาอย่างต่อเนื่อง หากสถานการณ์เป็นอย่างนี้แน่นอนว่า การจับจ่ายใช้สอยของประชาชนคนไทย ก็คงมีมากขึ้นตามมา ทำให้นักการตลาดคงต้องจัดแคมเปญออกมาสร้างยอดขายกันมากขึ้นด้วย   สำหรับใครที่มีความต้องการซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม โดยประเมินสถานการณ์และฐานะทางการเงินของตนเองแล้วว่าสามารถหามาผ่อนชำระได้ตลอดอายุสัญญา และวางแผนว่าจะซื้อที่อยู่อาศัยของตนเอง ช่วงเวลานี้ก็เป็นโอกาสที่ดี เพราะอัตราดอกเบี้ยอยู่ในเกณฑ์ต่ำ แถมด้วยโปรโมชั่นจากดีเวลลอปเปอร์มีออกมามากมายด้วย และมีข่าวแว่ว ๆ จากดีเวลลอปเปอร์บางรายที่ออกมาส่งสัญญาณว่า อนาคตราคาบ้านและคอนโดขยับเพิ่มขึ้นแน่ ๆ เพราะช่วงที่ผ่านมาเป็นจุดต่ำสุดของตลาดอสังหาฯ แล้ว ดังนั้นใครสนใจก็รีบพิจารณากันโดยเร็ว   ส่วนใครตัดสินใจได้แล้วว่าจะซื้อบ้านหรือคอนโดจากแบรนด์ที่ชื่นชอบ ก็ลองมาดูกันว่าแต่ละธนาคารมีการให้สินเชื่อกู้ซื้อบ้านในอัตราเท่าไรบ้าง สำหรับเดือนพฤศจิกายนนี้ ซึ่งจะว่าไปแล้วภาพรวมก็ยังไม่ได้แตกต่างจากเดือนที่ผ่านมาเท่าไรนัก ส่วนใหญ่อัตราดอกเบี้ยยังคงที่ แต่มาอัพเดทกันอีกทีว่าแบงค์ไหนให้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านเท่าไรกันบ้าง 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป  โดยอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด เดือนพฤศจิกายนยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ  วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1   ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น 5.2%  (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.2% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น  5.45% (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.45%  (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.9% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.7%(MRR-1.25%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.075%(MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2%(MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58%   -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก 4.75% หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า ​500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า ​คิดอัตราดอกเบี้ย​ MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย ​MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา   หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 14 ต.ค.- 31 ธ.ค.​ 64 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ​และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา ​ -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ​ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ​ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ​​ 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อสำหรับบ้านใหม่ แคมเปญ สินเชื่อบ้านกรุงไทย…สุขใจถ้วนหน้า โดยไม่คิดค่า  ธรรมเนียมยื่นกู้  โดยเดือนนี้มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด มีการเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา​ดังนี้ แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75%  ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) ปรับเพิ่ม 0.15% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.67% (MRR-2.55%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) ปรับเพิ่ม 0.15% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.67% (MRR-2.55%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.80% ปรับเพิ่ม 0.11% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.69% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.04% ปรับเพิ่มขึ้น 0.02% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.02% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0%  ไม่เปลี่ยนแปลง ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) ปรับเพิ่ม 0.15% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.67% (MRR-2.55%)  3.67% (MRR-2.55%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.87% (MRR-2.35%) ปรับเพิ่ม 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.67% (MRR-2.55%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.90% ปรับเพิ่มขึ้น 0.12% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.78% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.08% เพิ่มขึ้น 0.04% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.04%   สินเชื่อสำหรับการกู้ซื้อบ้านที่ธนาคารออกค่าจดจำนองให้** และ ฟรี ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ไม่เปลี่ยนแปลง ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.97% (MRR-2.25%) ปรับลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย  4.17% (MRR-2.05%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.97% (MRR-2.25%) ปรับลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย  4.17% (MRR-2.05%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.90% ปรับลดลง 0.13% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.03% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.24% ปรับเพิ่มขึ้น 0.12% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.12% แบบไม่ทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0%  ไม่เปลี่ยนแปลง ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.97% (MRR-2.25%) ปรับลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย  4.17% (MRR-2.05%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 4.02% (MRR-2.20%) ปรับลดลง 0.15% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.17% (MRR-2.05%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.0% ปรับลดลง 0.11% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.11% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา = 4.27% ปรับเพิ่มขึ้น 0.12% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.15%   การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ 1.ทำ MRTA/GLT SP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี 2.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ 3.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ **ธนาคารออกค่าจดจำนองให้ 1% สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท หากลูกค้าปิดบัญชีก่อน 5 ปี ธนาคารจะเรียกเก็บค่าจดจำนองคืน ***อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 ธ.ค. 2564 MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมินอัตราดอกเบี้ยยังคงเท่าเดิมจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากมีระยะเวลาการใช้อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ 1 ก.ย.- 31 ธ.ค. 64 โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.9% ( MRR-3.15%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.00%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.39% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.50% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย MRR-1.60% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.55%  (MRR-3.50%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.3%  (MRR-2.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.02% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.25% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.1% (MRR-1.95%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.3% (MRR-1.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.7%  (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.23%   หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ​ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พ.ค. 63 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 64 – 31 ธ.ค. 64 โดยจดจำานองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 31 ม.ค. 65 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป โดยพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ ซึ่งเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนตุลาคมที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 7.72% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 7.72% สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 8.22% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 8.22% % หมายเหตุ : -อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% (ประกาศ ณ วันที่ 22 พ.ค. 63) -อัตราดอกเบี้ยข้างต้นสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่ 20 ก.ค.  – 31 ธ.ค. 64 -สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภทรวมอาคารพาณิชย์ยกเว้น Refinance และการปล่อยกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า -มีค่าสำรวจและประเมินราคาหลักประกันโดยบริษัท โพรเกรส แอพไพรซัล หรือบริษัทประเมินที่ธนาคารรับรอง คิดขั้นต่ำ 3,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) -วงเงินให้กู้สูงสุดไม่เกิน 90% ของเราซื้อขายและไม่เกิน 90% ของราคาประเมินหลักประกัน 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่ : กรณีซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด) ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราดเดิมเท่ากับเดือนที่ผ่านมา โดยธนาคารเกียรตินาคินมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  2.450%-2.750% ปีต่อไป ดอกเบี้ย  4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.650%-2.950% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี  แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.60%-2.99% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.80%-3.19% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ​เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่​ 18 สิงหาคม 2563 เท่กับ​ 6.525% ต่อปี 3.เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา​​​​​​ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า​ Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.​กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง ​​หากลูกค้า Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท  ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคี ​เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด ​โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ ​ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน​ 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด ​30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารซีไอเอ็มบี มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.10%) ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย 5.35% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-2.80%) หลังจากนั้น 5.35% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.15% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 10 เมษายน 2563) -ธนาคารยังมีอัตราดอกเบี้ยสำหรับพนักงานประจำรายได้ 30,000-50,000 หรือเจ้าของกิจการรายได้ 50,000 บาทขึ้นไปไว้พิจารณาด้วย รวมถึงสินเชื่อสำหรับโครงการที่ธนาคารเป็นผู้สนับสนุน 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป จะได้รับฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าจดทะเบียนจำนอง และค่าประเมินหลักทรัพย์ ซึ่งยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยเท่ากับเดือนตุลาคมที่ผ่านมา  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.23%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.4% (MRR-1.88%) หลังจากนั้น 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.4% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือก 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา ดอกเบี้ย 4.65%   หมายเหตุ สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส ​ 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท​ -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -MRR (Minimum Retail Rate : อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี) = 6.28% ต่อปี ณ วันที่ 7 พ.ค. 64 -การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.-31 ธ.ค.64 และจดจำนองภายใน 31 ม.ค. 65 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารไทยพาณิชย์  คิดมีอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.950% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.950% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2563) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2564 ​มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.75% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.4%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 5.4% หมายเหตุ ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 64 – 30 ธ.ค. 64   (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติมวงเงินของโครงการแล้ว) อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 10.ธนาคารยูโอบี ธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโคงการหมู่บ้านทั่วไป  โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับ​เดือนที่ผ่านมา  ธนาคารยูโอบีมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด  ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.55% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.80%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.75% (MRR-3.60%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.95% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-2.40%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.88% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.20% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% (MRR-2.20%) ปีที่ 4 อัตราดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.96% หมายเหตุ -ขอสินเชื่อตั้งแต่ 1 ก.ย. – 30 ธ.ค. 64 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายใน 31 ม.ค.​ 65 -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาครยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.35% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ​(Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น)​ -การอนุมัติสินเชื่อ​เป็นไปตำมหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ  7.35% ต่อปี ​(ตามประกาศธนาคารณ วันที่ 1 เม.ย. 64) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย​ MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้​ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ​เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร​ -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย ​(ใบอนุญาตประกันชีวิต​เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาสภัย​ เลขที่ ว.00020/2546) ทำหนี่เสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ​จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย คือ โฮมโลน โดนใจ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 1.9% (สำหรับผู้มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป) โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยสำหรับผู้กู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.0% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.00% (MRR-5.35%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.80% (MRR-3.55%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10%  (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 2 ปีแรก) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.20% (MRR-3.15%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.55% (MRR-4.80%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 4 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.75% (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 3 ปีแรก) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ล้านละ 3,500 บาท  กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่** -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 4.60% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.10% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.35% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่างๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่ 1 ต.ค. – 31 ธ.ค. 64 -สำหรับอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.9% สำหรับผู้กู้ที่มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป ผ่อนต่ำเดือนละ 3,500 บาท ฟรีค่าจดจำนองสินเชื่อเมื่อซื้อประกันผ่านธนาคาร ฟรีค่าประเมินหลักประกัน 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีสินเชื่อเคหะ สำหรับให้บริการผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไปซื้อบ้านหรือคอนโด ภายใต้แคมเปญ อัตราดอกเบี้ย 0% 6 เดือนแรก ภาพรวมไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนตุลาคม มีเพียงอัตราดอกเบี้ยปีแรกที่เปลี่ยนแปลงเล็กน้อย โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้​ กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ยเฉลี่ย 0.75% (เดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 1.5%)  ลดลง 0.75% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย 1.5% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.525% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.525% (MRR-2.72%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.6% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.101% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ยเฉลี่ย 1.0% (เดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 2.0%) ปรับลดลง 1.0% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.0% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.15% ปีที่​ 3 ดอกเบี้ย 4.15% (MRR-2.095%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.1% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.286%   เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยโปรโมชั่น 1.ประกัน หมายถึง ประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ 2.อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR=6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) 3.รายละเอียดเพิ่มเติมสอบถามได้จากธนาคาร   ที่มา Reviewyourliving รวบรวมจากเว็บไซต์ธนาคาร ข้อมูล ณ วันที่ 1 พ.ย. 64   บทความที่เกี่ยวข้อง อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนตุลาคม 64 อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน เดือนกันยายน 2564  
7 บทสรุปตลาดที่อยู่อาศัยใน EEC  ครึ่งปีแรก 64 ลดทั้งดีมาน์และซัพพลาย​

7 บทสรุปตลาดที่อยู่อาศัยใน EEC ครึ่งปีแรก 64 ลดทั้งดีมาน์และซัพพลาย​

โครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ซึ่งอยู่ในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ  EEC ก็ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่ต่างจากพื้นที่ของจังหวัดอื่น ๆ แถมยังเป็นพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม)  ด้วย ทำให้ได้รับผลกระทบด้านกำลังซื้อ และความมั่นใจต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์เป็นอย่างมากด้วย สะท้อนได้จากการชะลอตัวลงของทั้งฝั่งดีมานด์และซัพพลาย    โดยล่าสุด ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) หรือ REIC ได้สรุปสถานการณ์ตลาดอสังหาฯ ในส่วนที่อยู่อาศัยของพื้นที่ 3 จังหวัดดังกล่าว ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 พบว่าทั้งซัพพลายและดีมานด์หดตัวลงอย่างต่อเนื่อง 1.ใบอนุญาตจัดสรรที่ดินลด แต่ใบอนุญาติก่อสร้างเพิ่ม -การออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดิน ในช่วงครึ่งปีแรก จำนวนโครงการ ลดลง 22.8% และจำนวนยูนิตลดลง 15.7% -การออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยปรับตัวเพิ่มขึ้น  7.1%  ซึ่งเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นจากฐานที่ต่ำมากในช่วงที่ไม่ปกติ -การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย จำนวนยูนิตลดลง​ 21.9% และมูลค่าลดลง 18.1%   โครงการที่อยู่อาศัยที่ได้รับอนุญาตจัดสรรที่ดินจากกรมที่ดินจำนวน  71 โครงการ 7,090 ยูนิต จำนวนโครงการลดลง 22.8%  และจำนวนยูนิตลดลง 15.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2563 ซึ่งมี  92  โครงการ  8,409 ยูนิต ในจำนวน 7,090 ยูนิต 2.ทาวน์เฮ้าส์ได้ใบอนุญาตจัดสรรที่ดินมากสุด ใบอนุญาตจัดสรรที่ดินมากที่สุด เรียงตามลำดับดังนี้ -ทาวน์เฮ้าส์ ​จำนวน  3,682 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 51.9% ของจำนวนการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด บ้านแฝด  จำนวน  1,676 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 23.6% -บ้านเดี่ยว จำนวน  1,667 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน  23.5% -ส่วนที่เหลือเป็น อาคารพาณิชย์ และที่ดินจัดสรร ตามลำดับ 3.ชลบุรี ออกใบอนุญาตจัดสรรมากสุด เมื่อพิจารณารายจังหวัดในพื้นที่ EEC ในครึ่งแรกปี 2564 จังหวัดที่มีการออกใบอนุญาตจัดสรรมากที่สุด เรียงลำดับได้ดังนี้ อันดับ 1 จังหวัดชลบุรี มีจำนวน 3,704 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน​ 52.2% ของการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั้งหมด และมีการออกใบอนุญาตจัดสรรเพิ่มขึ้น​ 9.2% อันดับ 2 จังหวัดระยอง มีจำนวน 2,782 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 39.2% มีการออกใบอนุญาตจัดสรรลดลง 7.3% อันดับ 3 จังหวัดฉะเชิงเทรา มีจำนวน 604 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 8.5% มีการออกใบอนุญาตจัดสรรลดลงมากถึง 70.0% 4.ใบอนุญาตก่อสร้างเพิ่ม 7.1% การออกใบอนุญาตก่อสร้าง ทั้งที่เป็นบ้านที่ประชาชนสร้างเอง บ้านในโครงการจัดสรร และอาคารชุด มีจำนวนประมาณ 17,049 ยูนิต เพิ่มขึ้น 7.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2563 แบ่งออกเป็น -การออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยแนวราบจำนวนประมาณ 13,895  ยูนิต ลดลง 1.8% -การออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยอาคารชุด จำนวนประมาณ 3,154  ยูนิต เพิ่มขึ้น 78.9%  เมื่อเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2563 5.ชลบุรี ออกใบอนุญาตก่อสร้างกว่า 10,000 ยูนิต จังหวัดที่มีการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยมากที่สุด อันดับ 1 จังหวัดชลบุรี มีการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยประมาณ 10,389 ยูนิตคิดเป็นสัดส่วน  60.9%  ของการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั้งหมด อันดับ 2 จังหวัดระยอง มีการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยประมาณ 3,722 ยูนิตคิดเป็นสัดส่วน 21.8% ของการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั้งหมด อันดับ 3 จังหวัดฉะเชิงเทรา มีการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยประมาณ 2,938 ยูนิตคิดเป็นสัดส่วน17.2% ของการออกใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัยทั้งหมด 6.ครึ่งปีแรก 64 โอนกรรมสิทธิ์ลดลง 21.9% การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย มีจำนวน 16,045 ยูนิต ลดลง 21.9% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 มีจำนวน 20,550 ยูนิต มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ 37,855 ล้านบาท  ลดลง 18.1% ​ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2563 มีมูลค่า 46,209 ล้านบาท 7.ชลบุรี โอนกรรมสิทธิ์กว่า 30,000 ล้าน เมื่อพิจารณารายจังหวัดที่มีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย อันดับ 1 จังหวัดชลบุรี มีจำนวน 12,489 ยูนิต ลดลง 5.3% และมีมูลค่า 30,436 ล้านบาท ลดลง 3.6% อันดับ 2 จังหวัดระยอง มีจำนวน 2,794 ยูนิต ลดลง 47.5% และมีมูลค่า 5,874 ล้านบาท ลดลง ​43.8% อันดับ 3 จังหวัดฉะเชิงเทรา มีจำนวน 762 ยูนิต ลดลง 62.6%  และมีมูลค่า 1,545  ล้านบาท ลดลง 63.1% ประเมินสถานการณ์ภาพรวมปี 2564 การขอใบอนุญาตจัดสรรที่ดิน  จะมีอัตราขยายตัวอยู่ในช่วง -17.5% ถึง -0.8% การขอใบอนุญาตก่อสร้างที่อยู่อาศัย จะมีอัตราขยายตัวอยู่ในช่วง  -9.2% ถึง 11.0% ยูนิตการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย จะมีอัตราขยายตัวอยู่ในช่วง​ -37.8% ถึง -24.0% มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย ​ จะมีอัตราขยายตัวอยู่ในช่วง​ 9.5% ถึง 33.8% เนื่องจากราคาที่อยู่อาศัยต่อยูนิตปรับตัวสูงขึ้น เมื่อเทียบกับปี 2563    
ธนาคารแห่งประเทศไทย ผ่อนคลายมาตรการ LTV ชั่วคราว กระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาฯ

ธนาคารแห่งประเทศไทย ผ่อนคลายมาตรการ LTV ชั่วคราว กระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาฯ

ผ่อนคลายมาตรการ LTV ชั่วคราว   [วันที่ 21 ตุลาคม 2564] นางรุ่ง มัลลิกะมาส ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโควิด 19 ที่ยืดเยื้อ แม้มีแนวโน้มจะทยอยฟื้นตัวได้จากความคืบหน้าในการกระจายวัคซีนและการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาด ทำให้เปิดประเทศได้เร็วกว่าคาด แต่การฟื้นตัวยังเปราะบางจากความไม่แน่นอนสูง และฐานะการเงินของบางภาคธุรกิจ และครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบหนัก โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์อยู่ในภาวะซบเซาจากอุปสงค์ที่อ่อนแอ และภาคก่อสร้างที่ได้รับผลจากการระบาด ธปท. ประเมินแล้วเห็นว่า เพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และพยุงการจ้างงาน จึงควรเร่งเพิ่มเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีธุรกิจเกี่ยวเนื่องจำนวนมาก โดยเฉพาะจากกลุ่มที่ยังมีฐานะการเงินเข้มแข็งหรือรองรับการก่อหนี้เพิ่มได้ ผ่านการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (มาตรการ LTV) เป็นการชั่วคราว    สาระสำคัญการ ผ่อนคลายมาตรการ LTV ชั่วคราว ในครั้งนี้ มีดังนี้ 1. กำหนดให้ เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV ratio) เป็นร้อยละ 100 (กู้ได้เต็มมูลค่าหลักประกัน) สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (รวมสินเชื่ออื่น นอกเหนือจากเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย และมีที่อยู่อาศัยนั้นเป็นหลักประกันหรือสินเชื่อ Top-up แล้ว) ทั้งกรณี (1) มูลค่าหลักประกันต่ำกว่า 10 ล้านบาท ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 2 เป็นต้นไป1  และ (2) กรณีมูลค่าหลักประกันตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 1 เป็นต้นไป   2. การผ่อนคลายนี้ให้เป็นการชั่วคราว สำหรับสัญญาเงินกู้ที่ทำสัญญาตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565   ธปท. คาดว่าการผ่อนคลายมาตรการ LTV ในครั้งนี้ จะช่วยดึงเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีความสำคัญและมีธุรกิจเกี่ยวเนื่อง คิดเป็นกว่าร้อยละ 9.8 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) และมีการจ้างงานรวมกว่า 2.8 ล้านคน    ภายใต้แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังเปราะบาง ประกอบกับในปัจจุบัน สถาบันการเงินมีมาตรฐานการให้สินเชื่อที่รัดกุม โดยคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ในระยะยาวเป็นหลัก ธปท. จึงประเมินว่า ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินที่จะมาจากการเก็งกำไรในภาคอสังหาริมทรัพย์ ในระยะหนึ่งปีข้างหน้ามีจำกัด ทั้งนี้ ธปท. จะติดตามสถานการณ์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และภาคอสังหาริมทรัพย์ มาตรฐานการให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน และความสามารถของประชาชนในการกู้หรือซื้อที่อยู่อาศัยได้ในราคาที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนมาตรการได้อย่างเท่าทันและเหมาะสมต่อไป   1) LTV ของสัญญากู้หลังแรก ของที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท ปัจจุบันกำหนดไว้ที่ร้อยละ 100 จึงไม่ผ่อนคลายเพิ่มเติม​ ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย   บทความที่น่าสนใจ อัพเดท ดอกเบี้ย กู้ซื้อบ้านและคอนโด เดือนตุลาคม 64 อัพเดท ดอกเบี้ย รีไฟแนนซ์ สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนตุลาคม 64  
CPN  เปิด “เซ็นทรัล ศรีราชา” 27 ต.ค.นี้  ชู 7 ไฮไลท์ ต้นแบบมิกซ์ยูสแห่งอนาคต

CPN เปิด “เซ็นทรัล ศรีราชา” 27 ต.ค.นี้ ชู 7 ไฮไลท์ ต้นแบบมิกซ์ยูสแห่งอนาคต

CPN เดินหน้าตามแผนเปิด เซ็นทรัล ศรีราชา 27 ต.ค.นี้ นับเป็นศูนย์การค้าแห่งที่ 34 หลังปักหมุดลงทุนในชลบุรีกว่า 13,000 ล้าน ชู 7 ไฮไลท์ ต้นแบบโครงการมิกซ์ยูสแห่งอนาคต พร้อมมั่นใจศักยภาพของเมือง ก้าวสู่การเป็น New Silicon Valley ของเมืองไทย ในอนาคต   ถ้าไม่นับจังหวัดกรุงเทพฯ แล้ว จังหวัดที่กลุ่มเซ็นทรัลเช้าไปลงทุนขยายสาขามากที่สุด ก็คงเป็นจังหวัดชลบุรี เพราะมีมากถึง 4 สาขา คือ เซ็นทรัลพลาซา ชลบุรี, เซ็นทรัล เฟสติวัล พัทยาบีช และ เซ็นทรัล เซ็นเตอร์ พัทยา​ ล่าสุดกำลังจะเปิดตัวสาขาแห่งที่ 4 ของจังหวัดชลบุรี คือ เซ็นทรัล ศรีราชา ซึ่งบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ได้ลงทุนไปกว่า 4,200 ล้านบาท มีกำหนดการเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว คือวันที่ 27 ต.ค. 2564 แม้จะเปิดพื้นที่ 90% แต่ถือว่าเป็นการเปิดตัวเป็นทางการอย่างสมบูรณ์แบบ ตามกำหนดแผนธุรกิจที่วางไว้ตั้งแต่ต้น   เหตุผลสำคัญที่ทำให้ CPN เลือกปักหมุด ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลถึง 4 สาขา ก็คงเป็นที่รู้กันอย่างดีว่า จังหวัดชลบุรีเป็นเมืองเศรษฐกิจหลักด้านการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรม เพราะมีทั้งนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ และแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ สร้างรายได้ให้ประเทศสูงเป็นอันดับต้น ๆ ทั้งรายได้จากภาคการท่องเที่ยว ภาคอุตสาหกรรม และการบริการ มีแรงงานอยู่จำนวนมากมายมหาศาล ทั้งชาวไทยและต่างชาติ ซึ่งถือเป็นกำลังซื้อที่มากมายมหาศาล  ซึ่งเหตุผลต่าง ๆ เหล่านี้ จึงทำให้​ CPN ​เข้ามาลงทุนในจังหวัดชลบุรี และหากนับเม็ดเงินลงทุนทั้ง 4 โครงการดังกล่าว ก็มากกว่า 13,000 ล้านบาท นี่เฉพาะในส่วนของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเท่านั้น ยังไม่นับโครงการโรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ และออฟฟิศ ที่ลงทุนในอดีตและอนาคตอีกมากมาย​   สำหรับความน่าสนใจของโครงการเซ็นทรัล ศรีราชา ที่กำลังจะเปิดตัวให้คนชลบุรี และจังหวัดใกล้เคียง รวมถึงนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาจังหวัดชลบุรี ได้มีประสบการณ์ภายในศูนย์การค้าแห่งนี้ มีอะไรน่าสนใจบ้างนั้น  มาฟังจากดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด นางสาวภัทรพร เพ็ญประพัฒน์ Head of Commercialization CPN อธิบายถึงแนวคิดและรูปแบบของโครงการนี้ กับชู 7 ไฮไลท์ ที่ CPN วางให้เป็นต้นแบบโครงการมิกซ์ยูสแห่งอนาคต ว่ามีอะไรบ้าง 1.The New District: CPN มุ่งหวังให้ “เซ็นทรัล ศรีราชา” เป็นจุดหมายปลายทางใหม่อีกแห่งหนึ่งของจังหวัดชลบุรี แม้อ.ศรีราชาจะเป็นเพียงเมืองระดับอำเภอ แต่ก็มีศักยภาพและความพร้อมในการเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของทั้งนักท่องเที่ยว ผู้ต้องการจับจ่ายใช้สอย และใช้ชีวิตในรูปแบบต่าง ๆ  ที่สำคัญต้องการสร้าง Business District และดาวน์ทาวน์ศรีราชา สู่การเป็น Center of EEC ด้วย   โดยตัวโครงการเป็นรูปแบบมิกซ์ยูส​ บนที่ดิน 27 ไร่ พื้นที่รวมกว่า 140,000 ตร.ม. ประกอบด้วยศูนย์การค้า, โรงแรมขนาด 180 ห้อง, ที่อยู่อาศัย และคอนเวนชั่นฮอลล์ภายในโครงการ ซึ่งเริ่มต้นเปิดตัวศูนย์การค้าก่อน และภายในระยะเวลา 3-5 ปีจะพัฒนาส่วนอื่น ๆ ตามมา 2.Hygiene & Safety: จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้มาตรการด้านสาธารณสุขเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นในทุกพื้นที่  เซ็นทรัล ศรีราชา จึงลงทุนใช้นวัตกรรม “Smart & Healthy Building” ครั้งแรกกับที่เซ็นทรัล  ศรีราชา อัพเกรดระบบปรับอากาศและกรองอากาศเพื่อให้มีอากาศที่สะอาดหมุนเวียนภายในศูนย์การค้ามากที่สุด ด้วยการติดตั้งแผ่นกรองอากาศคุณภาพสูง (MERV Filter) ที่ช่วยกรองละอองฝุ่นได้มากถึง 90%, ติดตั้ง UVC Lamp แสงยูวีที่เครื่องปรับอากาศส่วนกลาง ลดการแพร่เชื้อโรคในระบบปรับอากาศได้มากถึง 95% และติดตั้งระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศตามจุดต่าง ๆ เพื่อวัดคุณภาพอากาศภายในศูนย์การค้าให้มั่นใจว่าอยู่ในระดับที่ดีเสมอ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าทุกท่านที่มาใช้บริการ 3.Green Living & Circular Economy: จากพันธกิจ Carbon Neutral และ Zero Waste เพื่อความยั่งยืน เซ็นทรัล ศรีราชาจึงเป็นต้นแบบ Eco-Friendly Mall แห่งแรกในภาคตะวันออกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในทุกมิติ ตั้งแต่เริ่มก่อสร้างโครงการกับการนำขยะเสาเข็มมารีไซเคิล, การติดตั้ง Recycle Station กับเป้าหมายการแยกขยะที่ร้านค้าภายในศูนย์​ ก่อนวางแผนขยายสู่โรงเรียน โรงพยาบาล และชุมชน สำหรับด้าน Energy Saving  มีการพัฒนาระบบปรับอากาศที่ช่วยลดพลังงานได้ถึง 40%, การติดตั้ง Solar Rooftop เพื่อช่วยลดการใช้ไฟฟ้ารวมไปถึงการออกแบบที่ช่วยประหยัดพลังงาน อาทิ การใช้แสงธรรมชาติภายในศูนย์ให้มากที่สุด, การติดตั้งฝ้าลดความร้อน ไปจนถึงการเพิ่มพื้นที่สีเขียวทั่วทั้งโครงการ 4.The First Semi-Outdoor Experience จากความสำเร็จของโครงการ​เซ็นทรัล อีสต์วิลล์ ในหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะพื้นที่ Outdoor ทำให้ CPN นำต้นแบบดังกล่าวมาใช้กับ เซ็นทรัล ศรีราชา อาทิ Outdoor Walking Street บนพื้นที่กว่า 2,800 ตร.ม., Giant Green Wall, Pet Park & Services เป็น Pet-Friendly Mall แห่งแรกในภาคตะวันออก สร้างคอมมูนิตี้แห่งใหม่ของคนรักสัตว์เลี้ยงอีกด้วย 5.Seamless Integrated Experience เพราะปัจจุบันไลฟ์สไตล์ของคนไม่ได้จำกัดเพียงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และวิถีชีวิตของคนในปัจจุบันให้ความสำคัญกับชีวิตครอบครัว การทำกิจกรรมร่วมกับคนในครอบครัวมากขึ้น แนวคิดในการพัฒนาโครงการของ CPN จึงสร้าง Destination Concepts อย่างเป็นรูปธรรมด้วยศูนย์การค้ารูปแบบใหม่ที่ Blur the Line กับโซนใหม่ที่ช้อปปิ้งด้วยกันได้ทั้งครอบครัวที่มีชื่อว่า Playhouse​ แห่งแรกตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของคนรักแฟชั่น คัดสรรสินค้าสุดชิคมารวมอยู่ในชั้นเดียว และ  Design House  สินค้าตกแต่งบ้านอย่างมีสไตล์มารวมไว้ในที่เดียว 6.Digitalization & Sharing Economy ด้วยความมุ่งมั่นในการเป็น Community Thought Leader ให้ศรีราชา สร้าง Co-Working Space แห่งแรกในศรีราชา ตอบโจทย์คนทำงานยุคใหม่และกลุ่ม Start-up 7.The Innovation Oasis: CPN ตั้งเป้าให้ เซ็นทรัล ศรีราช เป็น No.1 Destination ศูนย์กลางไลฟ์สไตล์แห่งอนาคตเพื่อศรีราชา จึงได้นำระบบไอทีเข้ามาสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้า ในหลากหลายเรื่อง ภายใต้ 4 ไอเดีย​สำคัญ​ ได้แก่ -Nature-Tech Oasis การนำเทคโนโลยีและประสบการณ์ใกล้ชิดธรรมชาติ มาให้บริการ ​เช่น EV Charging Station, Solar Battery Charger, สนับสนุนให้ใช้ร้านค้าใช้ Bio-Degradable Packaging, E-Receipt, E-Menu เพื่อลดการใช้กระดาษ และรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเริ่มที่แรกที่ Food Park ภายในศูนย์ -Inspiring Oasis   การสร้างพื้นที่สำหรับการสร้างไอเดีย ภายใต้แนวคิด Hub of Creative Lifestyle เช่น B2S Think Space และ Co-Working Space -Urbanised Oasis การนำแบรนด์และสินค้ามาตอบสนองความต้องการของลูกค้า เช่น Tops Premium ซูเปอร์มาเก็ตดีไซน์แบบ Glasshouse, แบรนด์แฟชั่นชั้นนำที่ขยายสาขามาที่อ.ศรีราชาครั้งแรก อาทิ Muji, Uniqlo, กลุ่ม Jaspal อาทิ CCOO, Lyn  เป็นต้น ร้านอาหารดังมากมายกว่า 30 ร้าน อาทิ Bonchon, Mos Burger, Fin Sushi, Potato Corner, Fuji Restaurant เป็นต้น และโซนไฮไลท์ อาทิ Asian Village ที่นำแบรนด์ดังจากทั่วเอเชียมารวมกันไว้ในที่เดียว พร้อมเอาใจ Pet Lovers ด้วย Central Si Racha Pet Community คอมมูนิตี้คนรักสัตว์ ที่สามารถพาน้องหมามาทำ Dog ID ฟรี! พร้อมด้วยบริการต่างๆ ทั้งธนาคาร โรงภาพยนตร์  Si Racha Cineplex, Supersports, Powerbuy, Kids Playground และ Education Center -Community Co-Creation Oasis เซ็นทรัล ศรีราชา มีการดึงเอาอัตลักษณ์และความภาคภูมิใจท้องถิ่นมาผสานและถ่ายทอดผ่านคอนเซ็ปต์  Si Racha's Charm หรือ มนต์เสน่ห์แห่งศรีราชา จึงได้ดีไซน์ฟีเจอร์แลนด์มาร์กทั่วศูนย์​  ได้แก่ Outdoor Signature ชื่อเมือง “ศรีราชา”, Si Racha Textile ตกแต่งด้วยลวดลาย “ผ้าทอคุณย่าท่าน”, House of Carpenter จุดนั่งพักผ่อนหย่อนใจ, Tiger + Neko Sculpture เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการนำเอาซอสพริกศรีราชา ซึ่งเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมทั่วประเทศ มาร่วมกันทำเมนูอาหารเฉพาะกับศูนย์อาหารด้วย ภายใต้แคมเปญ “Food Park x ซอสศรีราชา และยังมีการจับมือกับแบรนด์ดังเพื่อทำสินค้าคอลเลคชั่นพิเศษ เช่น Uniqlo และ Jubilee นอกจากนี้ยังจับมือภาครัฐ อาทิ อพท. จัดงานส่งเสริมหัตถกรรมชุมชนตลอดปี, ร่วมกับชุมชนพนัสนิคม ทำ Wrap ตุ๊กตุ๊กจักสาน และนำสินค้าจักสานชุมชนมาขายภายในศูนย์, และแผนความร่วมกับคอมมูนิตี้โดยรอบ เซ็นทรัล ศรีราชา เป็นศูนย์การค้าแห่งที่ 34 ซึ่งศรีราชามีศักยภาพในอนาคตจะเป็น New Silicon Valley ของเมืองไทย    
ศุภาลัย เดินหน้าลุยตลาดคอนโด เตรียมเปิด 4 โปรเจ็กต์ใหม่

ศุภาลัย เดินหน้าลุยตลาดคอนโด เตรียมเปิด 4 โปรเจ็กต์ใหม่

ศุภาลัย เดินหน้าทำตลาดคอนโด เตรียมเปิดโปรเจ็กต์ใหม่โค้งท้ายปี 4 โปรเจ็กต์ ประเดิม “ศุภาลัย พรีเมียร์ สามเสน-ราชวัตร” หลังกวาดยอดขาย 9  เดือนกลุ่มคอนโดพร้อมอยู่พร้อมโอนกว่า 3,800 ล้าน มั่นใจปี 64 ทำผลงานได้ตามเป้าหมายพร้อมใช้งบ 8,000 ซื้อที่ดินปั้นโปรเจ็กต์ต่อเนื่อง   นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ไตรมาส 4 ของปีนี้ บริษัทเตรียมเปิดโครงการคอนโดมิเนียม 4 โครงการ ซึ่งโครงการแรก คือ โครงการ​​ศุภาลัย พรีเมียร์ สามเสน-ราชวัตร ​ซึ่งกลุ่มเป้าหมายหลักคือผู้ที่อยู่อาศัยในย่านราชวัตร ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าลูกค้าส่วนใหญ่มีความต้องการอยู่ในทำเลเดิม แต่ยังไม่เคยมีโครงการเข้ามาพัฒนา ถ้าคอนโดเปิดในทำเลใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีจะสามารถสร้างดีมานด์ใหม่ได้   โดยช่วง 9 เดือนแรก บริษัทไม่ได้ทำการเปิดตัวโครงการคอนโดเลย เนื่องจากรอช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเปิดตัว แต่แม้ว่าไม่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ แต่ยอดขายในกลุ่มคอนโดยังทำได้ 3,810 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา และคาดว่ายอดขายคอนโดตลอดทั้งปีนี้น่าจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ​ขณะเดียวกันบริษัทยังทำตลาดกลุ่มคอนโดสร้างเสร็จพร้อมอยู่ที่สำคัญ 4 โครงการ ได้แก่ โครงการศุภาลัย ริวา แกรนด์, ศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร, ศุภาลัย เวอเรนด้า สถานีภาษีเจริญ และศุภาลัย โอเรียนทัล สุขุมวิท 39 ที่มีการโอนกรรมสิทธ์อย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา   ส่วนในช่วง​ 9 เดือน บริษัทยอดขายโครงการแนวราบได้ 13,743 ล้านบาท ทำให้มียอดขายรวม ​17,553 ล้านบาท จากเป้าหมายยอดขายในปีนี้​ 27,000 ล้านบาท  ซึ่งยอดขายโครงการแนวราบปีนี้  คาดว่าน่าจะทำ Record high และทำให้ได้ยอดขายรวมปีนี้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ด้วย  โดยกลยุทธ์หลักในการทำตลาดช่วงที่ผ่านมา บริษัทมีการขยายโครงการไปยังตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น นอกจากนี้ ยังพัฒนาโครงการแนวราบ ทำให้สัดส่วนปัจจุบันโครงการแนวราบมีมากถึง 70%  รวมถึงการทำตลาดและจัดโปรโมชั่นในโครงการกลุ่มพร้อมเข้าอยู่พร้อมโอน ​ สำหรับโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่ ที่บริษัททำตลาดอย่างโครงการ ศุภาลัย ริวา แกรนด์ มูลค่าโครงการ 6,800 ล้านบาท สามารถทำยอดขายได้แล้ว 5,450 ล้านบาท คิดเป็น 80% โครงการตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ​บนพื้นที่ 11 ไร่  มีอาคารชุดพักอาศัย 3 อาคาร ประกอบด้วย อาคาร A สูง 37 ชั้น อาคาร B และ C สูง 36 ชั้น (รวมดาดฟ้า)  โดยมีห้องพัก 706 ยูนิต ร้านค้า 14 ยูนิต  มีห้องพักตั้งแต่แบบ 1 - 3 ห้องนอน และ Penthouse 4 ห้องนอน ขนาด 53.5 - 433 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 4.59  ล้านบาท  ที่จอดรถกว่า 130% ของจำนวนยูนิต​ เราเสียเวลาในช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม จึงได้เตรียมเอาโครงการพร้อมอยู่พร้อมโอนมาทำโปรโมชั่น เพื่อให้เกิดยอดขาย โดยเฉพาะโครงการคอนโดที่ปกติจะมียอดขายมากสุดตอนพรีเซล เพราะลูกค้าต้องการได้ราคาดีที่สุด และยอดขายจะมามากอีกครั้งช่วงที่โครงการสร้างเสร็จ เพราะลูกค้าต้องการเห็นห้องจริง และลูกค้าบางส่วนไม่แน่ใจในการกู้ต้องการเห็นโครงการเสร็จแล้ว ที่ปกติยอดขายจะเริ่มดีก่อนตึกเสร็จประมาณ 3-4 เดือน นอกจากการเปิดตัวโครงการคอนโด 4 โครงการในไตรมาสสุดท้าย บริษัทยังเตรียมเปิดตัวโครงการแนวราบอีก 11 โครงการ ทำให้​ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทเปิดโครงการใหม่ 15 โครงการ  จากแผนเดิมที่ทั้งปีจะเปิดโครงการทั้งหมด 31 โครงการ รวมมูลค่า 34,000 ล้านบาท เฉพาะไตรมาส 3 ที่ผ่านมาเปิดโครงการไปได้ 7 โครงการ ซึ่งเดิมวางแผนเปิดมากกว่านี้ แต่ติดปัญหาการปิดแคมป์คนงานก่อสร้างโครงการ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19   ส่วนงบประมาณซื้อที่ดินในปีนี้บริษัทเตรียมไว้ 8,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันยังมีงบประมาณเหลือในการซื้อที่ดินเพิ่ม โดยมีแนวโน้มว่าบริษัทจะใช้งบประมาณซื้อที่ดินมากกว่าเป้าหมายที่ได้วางไว้ หากมีราคาที่ดินที่เหมาะสม เพราะปัจจุบันราคาที่ดินยังทรงตัว ไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นหรือลดราคาลง ถึงแม้ว่าการแข่งขันในการซื้อที่ดินของผู้ประกอบการจะไม่สูงเหมือนช่วงก่อนหน้านี้ก็ตาม นายไตรเตชะ กล่าวถึงสถานการณ์ตลาดคอนโดของไทยปัจจุบันว่า  ตลาดเริ่มชะลอตัวลงตั้งแต่ปี 2561 ​เนื่องจากกลุ่มลูกค้าต่างชาติลดลง โดยปี 2561 มีสัดส่วน 17% ปี 2562 มีสัดส่วน 15% และปี 2563 มีสัดส่วน 3% ลดลงอย่างต่อเนื่อง ยอดขายของคอนโดในช่วงปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นผลจากกลุ่มลูกค้าต่างชาติหายไป และกลุ่มลูกค้าเก็กกำไรที่คาดว่าน่าจะมีประมาณ 10% ที่หายไป ทำให้ภาพรวมตลาดคอนโดลดลงอย่างมาก แต่คาดว่าในปี 2565 หากการเดินทางกลับมาได้ปกติ และสถานการณ์ต่าง ๆ ปรับตัวดีขึ้น ตลาดคอนโดน่าจะกลับมาเติบโตอีกครั้ง ปัจจุบันลูกค้าคอนโดในกลุ่มเรียลดีมานด์ลดลงเพราะโครงการเปิดใหม่ลดลง ซึ่งคอนโดขายก่อนโอน ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันลูกค้าไม่มั่นใจว่าจะสามารถโอนได้จริงหรือไม่ หรือจะขอสินเชื่อธนาคารได้หรือเปล่า การซื้อโครงการสร้างเสร็จเพราะลูกค้ารู้ว่าสามารถขอยื่นกู้ได้เลย หรือสามารถตรวจสอบได้ว่าจะสามารถกู้ผ่านหรือไม่    
[Preview] แกรนด์ สิวารมณ์ (สุขุมวิท-บางปู)

[Preview] แกรนด์ สิวารมณ์ (สุขุมวิท-บางปู)

โครงการแกรนด์ สิวารมณ์ (สุขุมวิท-บางปู) บ้านเดี่ยวดีไซน์หรูจาก บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด บนทำเลศักยภาพ ติดถนนใหญ่ ถนนสุขุมวิท (สายเก่า) สะดวกทุกการเดินทาง พร้อมแนวคิดของการออกแบบบ้านที่ตอบสนอง Life Style ของคนยุคใหม่ ตอบโจทย์การทำงานแบบ Work From Home และมีพื้นที่ใช้สอยกว้างขวางสำหรับทุกคนในครอบครัว เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ รวมถึงพื้นที่ใกล้เคียงที่เอื้อต่อการอยู่อาศัยให้ได้บรรยากาศของการพักผ่อนอย่างแท้จริง   เดินทางสะดวกเชื่อมต่อถนนหลายสาย การเดินทางเข้าออกโครงการ "แกรนด์ สิวารมณ์ (สุขุมวิท-บางปู)" สะดวกสบาย มีเส้นทางเชื่อมต่อสู่ถนนสายหลักหลายสาย อาทิ ถนนสุขุมวิท, ถนนเทพารักษ์, ถนนบางนา, ถนนตำหรุ-กิ่งแก้ว ซึ่งมุ่งหน้าไปยังท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หรือ จะเดินทางออกไปในโซนตะวันออกเช่น จ.ฉะเชิงเทรา จ.ชลบุรี จ.ระยอง ก็สะดวกเช่นกัน     นอกจากนี้ที่ตั้งโครงการยังอยู่ใกล้กับห้างสรรพสินค้าชั้นนำ รวมถึงแหล่งงาน และสาธารณูปโภคต่างๆ มากมาย อาทิ โรบินสัน สมุทรปราการ, บิ๊กซี สมุทรปราการ, โลตัส บางปู, สถานตากอากาศบางปู, นิคมอุตสาหกรรมบางปู, นิคมอุตสาหกรรม บางพลี, โรงพยาบาลรัทรินทร์, โรงพยาบาลรามา สมุทรปราการ, มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี สมุทรปราการ แบบบ้านสวยสไตล์ English Cottage Layout บ้านใหม่มีให้เลือกมากถึง 3 Type ตอบโจทย์ด้วยฟังก์ชั่นที่ลงตัว 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ โดดเด่นด้วยห้องนอน Master Bedroom ขนาดใหญ่ พร้อมห้องน้ำในตัว ในขณะที่ห้องนอนล่าง ก็สามารถใช้รองรับสำหรับผู้สูงอายุ หรือปรับเปลี่ยนเป็นห้องทำงานได้ตามความต้องการ แบบบ้านของโครงการ "แกรนด์ สิวารมณ์ (สุขุมวิท-บางปู)" Simon  บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาด 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 159 ตร.ม. บนที่ดิน 50 ตร.ว. Marble บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาด 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 167 ตร.ม. บนที่ดิน 50 ตร.ว. Luther บ้านเดี่ยว 2 ชั้น ขนาด 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 214 ตร.ม. บนที่ดิน 50 ตร.ว. สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ อลังการสโมสรสุดหรู สไตล์อิงลิช คอทเทจ พร้อม Facility มากมาย พร้อมระบบรักษาความปลอดภัย ตลอด 24 ชั่วโมง และเข้า-ออกโครงการด้วยระบบ Easy Pass สระว่ายน้ำ ฟิตเนส สวนสาธารณะ Play Ground Pets Zone Exercise Outdoor Jogging Lane Colosseum zone Street Basketball Street soccer Co – Working space   ทำเลดีใกล้สิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ใกล้ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ โลตัสบางปู โรบินสัน สมุทรปราการ บิ๊กซี สมุทรปราการ บิ๊กซี บางพลี โฮมโปร สุวรรณภูมิ แม็คโคร บางพลี เมกา บางนา ใกล้โรงพยาบาล รพ. รามาฯ สมุทรปราการ รพ.รัทรินทร์ บางปู รพ.ส่งเสริมสุขภาพ ต.บางปูใหม่ ใกล้สถานศึกษา รร.สวนกุหลาบ สมุทรปราการ มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี สมุทรปราการ   บทความที่เกี่ยวข้อง สิวารมณ์ วิลเลจ สุขุมวิท-เทพารักษ์ “สิวารมณ์” ขน 7 โครงการ อัดแคมเปญ ดันยอดขาย  
อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์  สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนตุลาคม 2564 แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยถูกสุด

อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนตุลาคม 2564 แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยถูกสุด

อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ปัจจุบันเริ่มปรับตัวดีขึ้น รัฐบาลเริ่มมีการคลายมาตรการล็อกดาวน์ และขยายเวลาเคอร์ฟิวไปถึงเวลา 22.00 ทำให้หลายคนเริ่มออกมาใช้ชีวิตแบบปกติใหม่ ต้องสวมแมสก์ ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยเจลแอลกอฮอล์ และการเว้นระยะห่างทางสังคม เพื่อความปลอดภัย ไม่ได้รับเชื้อไวรัสโควิด-19 แม้ว่าสถานการณ์จะเริ่มดีขึ้น แต่ภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อโดยรวมยังไม่ฟื้นตัวเป็นปกติ หลายธุรกิจยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวให้กลับมามียอดขายและรายได้เหมือนเดิม และประชาชนทั่วไปหลายคนก็ยังไม่ได้มีรายได้กลับมาเท่าเดิมก่อนที่จะเกิดโควิด-19 ระบาด หลายคนและหลายธุรกิจจึงยังต้องรักษาสภาพคล่องทางการเงินให้มีประสิทธิภาพ และบริหารกระแสเงินสดให้ดีที่สุด เพราะอนาคตมีแต่เรื่องที่ไม่แน่นอน   สำหรับใครที่ต้องการเงิน หรือต้องการลดภาระจากการเป็นหนี้ที่อยู่อาศัย ซึ่งได้กู้เงินมาก่อนหน้านี้ และมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะรีไฟแนนซ์บ้านหรือคอนโด รวมถึงอสังหาฯ อื่น ๆ วิธีการรีไฟแนนซ์ก็เป็นทางออกหนึ่งที่ช่วยได้ แต่ถ้าจะรีไฟแนนซ์แล้ว มาดูกันก่อนว่าแบงก์ไหน มีอัตราดอกเบี้ยเท่าไรกันบ้างที่คิดกับลูกค้า สำหรับเดือนตุลาคมนี้ มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร เราได้อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้านจากทุกแบงก์มาให้พิจารณาแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่อัตราดอกเบี้ยไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนัก 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ  มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการรีไฟแนนซ์บ้าน  กรณีหลักทรัพย์เป็นที่อยู่อาศัยทั่วไป เฉพาะวงเงินอนุมัติตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งอัตราดอกเบี้ยของเดือนตุลาคม​นี้  ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีอัตราดอกเบี้ยให้เลือกด้วยกัน 3 ทางเลือก  ได้แก่ ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.00% กรณีไม่ทำประกัน  อัตราดอกเบี้ย 2.25% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 2.95% (MRR-3.00) หลังจากนั้น 4.45% ​(MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.13-3.22% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.66-3.72% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.325% (MRR-3.625%)  กรณีไม่ทำประกัน ดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย  4.45% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.12-3.20 อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.66-3.72% ทางเลือกที่ 3 ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.825% (MRR-3.125%) กรณีไม่ทำประกัน ดอกเบี้ย  3.075% (MRR-2.875%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.075% (MRR-2.875%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.45%  (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.45-3.53% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.86-3.92% หมายเหตุ -MRR = 5.95% ประกาศ ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 -วงเงินกู้สูงสุด เท่ากับ 100% ภาระหนี้คงค้าง และไม่เกินอัตราส่วนสินเชื่อสูงสุดตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -ระยะเวลากู้สูงสุด 30 ปี (เฉพาะพนักงานประจำสูงสุด 35 ปี) รวมอายุผู้กู้สูงสุด 65 ปี -ค่าธรรมเนียม คิดค่าสำรวจและประเมินหลักประกัน 3,210 บาท (ธนาคารจะคืนค่าสำรวจและค่าประเมินหลักประกันหลังจากลูกค้าได้รับอนุมัติและเบิกใช้สินเชื่อแล้ว) -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปี ตลาดอายุสัญญาวงเงินกู้ 2 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี -รายละเอียดและเงื่อนไขอื่น โปรดสอบถามจากธนาคาร -กรณีแสดงวัตถุประสงค์ เช่น เพื่อการต่อเติม/ซ่อมแซม/ตกแต่งที่พักอาศัย ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา หรือการจัดหาสินค้าหรือบริการเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนตัว เป็นต้น​ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 5 ก.ค. 64 - 30 ก.ย. 64 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อและจดจำนองภายใน 2 เดือนนับแต่วันที่ ลงนามในสัญญากู้ -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบัน ตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ย กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง หากลูกค้ายกเลิก และไถ่ถอนหลักประกัน ก่อนระยะเวลา 3 ปี ไม่ว่ากรณีชำระหนี้ด้วยเงินสด หรือ รีไฟแนนซ์ธนาคารจะเรียกคืนค่าธรรมเนียมจดจำนองจากผู้กู้ -ธนาคารจะโอนเงินคืนค่าสำรวจและประเมินหลักประกันเข้าบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ที่ลูกค้า ใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 60 วัน หลังจากลูกค้าได้รับอนุมัติและเบิกใช้สินเชื่อกับธนาคารแล้ว พิเศษ รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยพิเศษปีแรก 0.25% เพียงสมัครสินเชื่อบ้านบัวหลวงพร้อมประกันชีวิตคุ้มครองเครดิต โฮมเฟิสต์ พลัส (ฉบับปรับปรุง) -กรณีจำนวนเงินเอาประกันภัยเต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี หรือเท่ากับระยะเวลาในสัญญากู้ -กรณีจำนวนเงินเอาประกันภัยอย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาเอาประกันภัยอย่างน้อย 70% ของระยะเวลาในสัญญากู้ (เฉพาะลูกค้าที่ทำสัญญากู้ตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป) *ข้อมูล ณ วันที่ 4 ตุลาคม ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน ซึ่งอัตราดอกเบี้ยเดือนกันยายน มีการเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนที่ผ่านมา   ดังนี้ แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.22% = 3.0% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =3.0% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.15% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-2.97% = 3.25% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.23% หมายเหตุ การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ 1.ทำ MRTA/GLT SP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี 2.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ 3.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ***อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2564 MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีแคมเปญการให้บริการสินเชื่อรีไฟแนนซ์กับลูกค้า คือ  ฟรี! ค่าประเมินหลักทรัพย์ ฟรี! ค่าจดจำนอง ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. – 31 ธ.ค. 64 โดยอัตราดอกเบี้ย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งคิดดอกเบี้ยตามรายละเอียด ดังนี้​ สำหรับวงเงินตั้งแต่ 1 -1.5 ล้านบาท ทางเลือก 1 ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย MRR-1.85% ปีที่ 4-5 ดอกเบี้ย MRR-1.50% หลังจากนั้น MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.05% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.66% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ย 2.90% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-3.15% ปีที่ 4-5 ดอกเบี้ย MRR-1.50% หลังจากนั้น MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.65% ทางเลือกที่ 3* ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.50% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย MRR-1.35% ปีที่ 4-5 ดอกเบี้ย MRR-1.50% หลังจากนั้น MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.30% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.78% สำหรับวงเงินตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย MRR-2.15% = 3.9% ปีที่ 4-5 ดอกเบี้ย MRR-1.75% = 4.3% หลังจากนั้น MRR-1.75% = 4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.45% ทางเลือก 2 ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.75% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 2.20% ปีที่ 3-5 ดอกเบี้ย MRR-1.75% = 4.3% หลังจากนั้น MRR-1.75% =4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.40% ทางเลือกที่ 3 ปีที่ 1-5  ดอกเบี้ย MRR-2.70% = 3.35% หลังจากนั้น MRR-2.70% = 3.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.35% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.35% ทางเลือกที่ 4* ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.50% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย MRR-1.65% = 4.4% ปีที่ 4-5 ดอกเบี้ย MRR-1.75% = 4.3% หลังจากนั้น MRR-1.75% = 4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.10% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.57% สำหรับวงเงินกู้อนุมัติ 3 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 5 ปีที่ 1-5 อัตราดอกเบี้ย 3.50% หลังจากนั้น MRR-1.75%= 4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.50% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.67%   หมายเหตุ *เฉพาะลูกค้าที่ซื้อ MRTA/MLTA ตามเงื่อนไขที่กำหนดเท่านั้น จึงจะสามารถเลือกรับดอกเบี้ยทางเลือกฟรีค่าจดจำนองได้โปรดอ้างอิงตาม Product Catalog_ประกัน (สาขากลาง) / Product Catalog_ประกัน(สาขาภูมิภาค) และ ใบข้อเสนอ (QE) ** อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 1.5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาทแต่ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 3 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้าซื้อ MRTA/MLTA หาก ค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -กรณีลูกค้าเลือกรับอัตราดอกเบี้ยทางเลือกที่ 3 (วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท) หรือทางเลือกที่ 4 (วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป) ฟรีค่าจดจำนองตามเงื่อนไขที่กำหนด -กรณีลูกค้าเลือกรับอัตราดอกเบี้ยทางเลือกที่ 1-2 (วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท) หรือทางเลือกที่ 1-3(วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป) หรือทางเลือกที่ 5(วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป) รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปีเฉพาะในปีที่ 1 ทั้ง 2 กรณีลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้1) -MRR =6.05% (ณ 21พ.ค.63) -ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.-31 ธ.ค.64 และจดจำนอง และเบิกเงินกู้ภายในวันที่ 31 ม.ค. 65 -รายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติม สอบถามได้จากธนาคาร​ 4.ธนาคารกสิกรไทย อัตราดอกเบี้ยบ้านของธนาคารกสิกรไทย ในเดือนตุลาคมนี้ มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา  โดยธนาคารกสิกรไทยมีบริการสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ ดังนี้ ปีที่ 1 MRR = 5.97% ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาลดให้ลูกค้าสูงสุด 1.50% จากอัตราดอกเบี้ยเดิมของลูกค้า* และเป็นแบบอัตราดอกเบี้ยลอยตัว​ อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.97% ปรับเพิ่มจากเดือนที่ผ่านมาคิด ​อัตราดอกเบี้ย MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.97% ปรับเพิ่มจากเดือนที่ผ่านมาคิด ​อัตราดอกเบี้ย MRR-1.50% หมายเหตุ -MRR = 5.97% ( ณ วันที่ 22 พ.ค.63) -สำหรับผู้ที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่ 20 กรกฎาคม-ธันวาคม​ 64 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินคิน มีแคมเปญ KKP Home Loan Refinance สำหรับลูกค้าบ้านรีไฟแนนซ์ประจำเดือนตุลาคม ในอัตราที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ ทางเลือก ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.590% ปีต่อไป MLR-1.75% = 4.775% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.790% ปีต่อไป MLR-1.75% = 4.775% ทางเลือก ดอกเบี้ยแบบลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.790% ปีต่อไป MLR-1.75% = 4.775% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.990% ปีต่อไป MLR-1.75% หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง​ เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา​ (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว โดยจะประกาศไว้​ ณ สถานที่ทำการให้บริการและเว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที 18 สิงหาคม​ 2563 เท่ากับ 6.525% ตอ่ ปี 3) เลือก​ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA)​ ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมรีะยะเวลาเอาประกันภัย ​​0 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปีให้ระยะเวลาเอาประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ​ 3 ปีแรก คิดค่า Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง​ 5.กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง หากลูกค้า​ Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ทุกกรณี ลูกค้าต้องชำระคืนค่าจดจำนองที่ธนาคารเคยสำรองจ่ายให้ แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น​ 3,210 บาท ค่าอากรแสตมป์ ร้อยละ​ 0.05 ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน​ 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคีภัยเป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทประกันภัยที่เชื่อถือ​ (a) อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อ หลักประกัน 100% ของราคาประเมิน (b) ระยะเวลากู้สูงสุด​ 30 ปี (อายุผู้กู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน  65 ปีสำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปีสำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ที่ให้อัตราดอกเบี้ยเท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา โดยประเภทสินเชื่อรีไฟแนนซ์ และขอวงเงินเพิ่ม (กรณีไม่ขอวงเงินเพิ่มมีอัตราดอกเบี้ยเฉพาะสอบถามได้จากทางธนาคาร) มีอัตราการคิดดอกเบี้ย ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 30,000 บาทขึ้นไป แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  (MRR-3.66%) = 3.69% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย (MRR-2.00%) =5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.69% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.93% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย   (MRR-3.36%) = 3.99% หลังจากนั้น (MRR-2.00%) = 5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.01% สำหรับพนักงานเงินเดือน 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ขึ้นไป ทางเลือก 2 แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-3.36% = 3.99% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.00% = 5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.01% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-3.06% = 4.29% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.00% = 5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.29% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.08% หมายเหตุ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 10 เมษายน 2563) กรณีไม่ขอวงเงินเพิ่ม สอบถามรายละเอียดกับทางธนาคารโดยตรง 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบีมีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอัตราการคิดดอกเบี้ย สำหรับเดือนตุลาคม ​ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-3.53% =2.75% หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย (MRR-1.63%)=4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.02% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.18% หลังจากนั้น (MRR-1.63%)= 4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี อัตรา 3.10% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.14% ทางเลือก 3 (สมัครผลิตภัณฑ์ไม่ครบทั้ง 3 ประเภท) ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย (MRR-2.74) = 3.54% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีดอกเบี้ย 3.54% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.29%   สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อบ้าน สไมล์ โฮม หรือ สไมล์ โฮม พลัส 2.สมัครใช้บริการ หักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ทีทีบีเพื่อผ่อนช าระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ทีทีบี (กรณีที่มีบัตรเดบิต ทีทีบีแล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) ช่วยคุณประหยัดดอกเบี้ยได้มากขึ้น ผ่อนต่อเดือนน้อยลง และเป็นเจ้าของบ้านได้เร็วขึ้น เมื่อรีไฟแนนซ์บ้านกับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ยให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท  รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ นาน 3 ปี  ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท  ฟรี! ค่าจดทะเบียนจำนอง มูลค่า 1% ของเงินกู้สูงสุด 200,000 บาท  ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง หมายเหตุ : -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -MRR (Minimum Retail Rate : อัตราดอกเบี้ย ลูกค้ารายย่อยชั้นดี) = 6.28% ต่อปี ณ วันที่ 7 พ.ค. 2564 -การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการ พิจารณาสินเชื่อ -สำหรับลูกค้าที่ยื่นที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน​-31 ธันวาคม 64 และจดจำนองภายในวันที่ 31 มกราคม​ 65 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อทั่วไปที่รีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินอื่น โดยเดือนตุลาคม ​ยังคงอัตราดอกเบี้ยเท่ากับเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% ปีต่อไป MRR-0.72%= 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.242% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.90% ปีต่อไป MRR-0.72% = 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.174% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2563) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำหรับธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส. มีสินเชื่อบ้านสุขสันต์  เพื่อให้ลูกค้าใช้บริการรีไฟแนนซ์  โดยอัตราดอกเบี้ยสำหรับเดือนตุลาคม ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ​​โดยมีรายละเอียดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ แบบที่ 1 สำหรับกลุ่มลูกค้าสวัสดิการ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.99% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.16%= 2.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.65%=3.5% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย MRR-1.0%= 5.15% แบบที่ 2 สำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อย ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.09% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย  MRR-3.06%= 3.09% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-2.55%=3.6% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 5.65% (MRR-1.0%) เพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาที่คิดดอกเบี้ย =5.15%   หมายเหตุ -นิยามคำว่า “อาคาร” หมายถึง บ้านเดี่ยว บ้านแฝดทาวน์เฮ้าส์ และอาคารพาณิชย์เพื่อที่อยู่อาศัย ยกเว้นแฟลต และบ้านเช่า -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ร้อยละ 0.1 ของวงเงินทำนิติกรรม -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ถึง​30 ธันวาคม 2564 อนุมัติและทำนิติกรรมภายใน​ 31 มกราคม ​2565 (ทั้งนี้ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเต็มวงเงินของโครงการแล้ว) -MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พ.ค. 64 10.ธนาคารยูโอบี สำหรับธนาคารยูโอบี มีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ UOB Home Loan - รีไฟแนนซ์ ​(รวมวงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์​)  สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่ ​1 ตุลาคม​- 30 ธันวาคม​ 2564 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายในวันที่ 31 มกราคม 2565 ซึ่งอัตราดอกเบี้ยในเดือนตุลาคม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า​ รายละเอียดดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.89% ลดลง 0.4% จากเดือนที่ผ่านมาที่คิดดอกเบี้ย 3.29% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-4.46%)= 2.89% ลดลง 0.4% จากเดือนที่ผ่านมา ที่คิดดอกเบี้ย (MRR-4.06%)=3.29% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.89% ลดลง 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่ดอกเบี้ย 3.29% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.60% ลดล 0.17% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.77% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.99% ลดลง 0.5% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.49% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-4.36%) = 2.99% ลดลง 0.5% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกบี้ย (MRR-3.86%) = 3.49% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.99% ลดลง 0.5% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.49% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.64% ลดลง 0.21% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.85% ทางเลือก 3 แบบทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 1.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.36%) = 4.99% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.60% ทางเลือก 4 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.09% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.26%) = 5.09% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.09% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.64%   หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ​ (MRTA) ผ่านธนาคารยูโอบี -ทุนประกันเต็มวงเงินกู้และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ ​10 ปีหรือ​ -ทุนประกันขั้นต่ำ ​80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มระยะเวลากู้​ 2.อัตราดอกเบี้ย สำหรับสินเชื่อรีไฟแนนซ์วงเงิน​ 1 ล้านบาทอายุสัญญา​ 15 ปี MRR = 7.35% ต่อปีอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้สำหรับโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับทำสัญญากู้ยืม​ของลูกค้าแต่ละรายอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย​ 3.อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับวงเงินเพิ่มไม่เกิน​ 50% ของวงเงินกู้รวมทั้ง ทั้งนี้ไม่นับรวมวงเงินกู้สินเชื่ออื่นเพื่อชำระค่าเบี้ย​ประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินชื่อ ​ (MRTA) วงเงินกู้รีไฟแนนซ์สูงสุด รวมส่วนกู้เพิ่มต้องไม่เกิน 95% ของราคาประเมิน ขึ้นอยู่กับรายได้ ประเภทของลูกค้า / ประเภทและที่ตั้งของหลักประกัน/ ราคาหลักประกัน / จำนวนสัญญากู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของลูกค้า วงเงินกู้รีไฟแนนซ์อนุมัติ รวมส่วนกู้เพิ่มต้องไม่เกินวงเงินกู้รีไฟแนนซ์ 4.กรณีกู้โดยไม่รวมวงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์และรายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาติดต่อธนาคารโดยตรง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีแคมเปญสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ดอกเบี้ยต่ำ!! เพียง 0.59% ต่อปี ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยคิดดอกเบี้ยดังนี้ แบบที่ 1 สำหรับผู้กู้รายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.59% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-6.76% = 0.59% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.37% = 3.98% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.67% แบบที่ 2 ปีที่ 1 ดอกเบี้ยคงที่ 0.79% หรือ ผ่อนล้านละ 3,5000 บาท ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ยคงที่ MRR-3.32% = 4.03% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.74% แบบที่ 3 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.35%=2.00% ปีที่ 3 MRR-3.55%=3.80% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 4 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10% หรือ ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-3.45% = 3.90% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.64% แบบที่ 5 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-4.75% = 2.60% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 6 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.80% หรือ ผ่อนล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% แบบที่ 2 สำหรับผู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.79% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-6.56% = 0.79% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.32% = 4.03% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.74% แบบที่ 2 ปีที่ 1 ดอกเบี้ยคงที่ 0.99% หรือ ผ่อนล้านละ 3,5000 บาท ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ยคงที่ MRR-3.27% = 4.08% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.05% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.81% แบบที่ 3 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.25%=2.10% ปีที่ 3 MRR-3.45%=3.9% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.64% แบบที่ 4 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.20% หรือ ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-3.35% = 4.00% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.70% แบบที่ 5 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-4.65% = 2.70% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 6 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.90% หรือ ผ่อนล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.82%   ข้อกำหนดและเงื่อนไข 1.สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า Refinance ดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.59% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป หรืออัตราดอกเบี้ย 0.79% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป และเบิกรับเงินกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม​- 31 ธันวาคม 2564 2.วงเงินกู้เริ่มต้น 1.0 ล้านบาท และราคาประเมินหลักประกัน (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.0 ล้านบาท หรือ (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.5 ล้านบาท (โครงการจัดสรรทุกโครงการ) 3.อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขดังกล่าว สำหรับหลักประกันที่ได้รับการจัดสรรทุกโครงการในเขตกรุงเทพฯ  และปริมณฑล ยกเว้น ที่ดินว่างเปล่า, อาคารพาณิชย์ 4.กรณีลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือสูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือเปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรกทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 5.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี 6.ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำล้านละ 3,500 บาท ได้ในแบบอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่เท่านั้น 7.อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.350% (ณ วันที่ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย 8.อัตราดอกเบี้ย หลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด 12 ธนาคารออมสิน ธนาคาออมสิน มีสินเชื่อเคหะ รีไฟแนนซ์ โดยมีอัตราดอกเบี้ย 0% สูงสุด 9 เดือนแรก ซึ่งถือว่าเริ่มต้นแคมเปญในเดือนตุลาคม ดังนี้ แบบทำประกัน แบบที่ 1 ปีที่ 1ดอกเบี้ยเฉลี่ย 0.5% (เดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 1% ) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.5% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.745%) = 3.5% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.5% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.061% แบบที่ 2 ปีที่ 1ดอกเบี้ยเฉลี่ย 0.5% (เดือนที่ 1-9 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 10-12 ดอกเบี้ย 1.8% ) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.525% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.72%) = 3.525% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.5% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.059% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1ดอกเบี้ยเฉลี่ย 0.5% (เดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 1.75% ) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.063% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.182%) = 4.063% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.0% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.248%   หมายเหตุ -สินเชื่อกรณีไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่น (Re-Finance) และกู้เพิ่มเติมเพื่อการอุปโภคบริโภค (Re-Plus) -อัตราดอกเบี้ย 0% สูงสุด 9 เดือนแรก ถ้าจดจำนองภายในวันที่ 29 ตุลาคม 2564 หลังจากนั้นผ่อนต่ำปีแรกล้านละ 2,000 บาทต่อเดือน อัตราดอกเบี้ย 0% สูงสุด 6 เดือน หลังจากนั้นผ่อนต่ำล้านละ 1,500 บาทต่อเดือน -ฟรี ค่าบริการสินเชื่อ และ ค่านิติกรรมสัญญา -ฟรี ค่าจดจำนอง สูงสุด 50,000 บาทสำหรับ วงเงินสินเชื่อเคหะคงเหลือตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป   ที่มา : Reviewyourliving รวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ธนาคาร ณ วันที่ 4 ตุลาคม 2564   บทความที่เกี่ยวข้อง อัพเดท ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนตุลาคม 64 อัพเดท ดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนกันยายน 64 แลงก์ไหนให้ถูกสุด
อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนตุลาคม 64

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนตุลาคม 64

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน อัพเดท ดอกเบี้ย กู้ซื้อบ้านและคอนโด เดือนตุลาคม 64 ธนาคารส่วนใหญ่ยังคงดอกเบี้ยเท่ากับเดือนกันยายน โอกาสดีของคนอยากซื้อบ้านและคอนโดช่วงโค้งท้ายปี ​ ตอนนี้เราได้เดินทางมาถึงโค้งสุดท้ายของปี เพราะเข้าสู่ไตรมาส 4 ของปี 2564 แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่พีคสุดของหลายธุรกิจ ในการจะทำการตลาดและสร้างยอดขาย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็เช่นเดียวกัน ถือเป็นไฮซีซั่นที่ดีเวลลอปเปอร์จะโหมแคมเปญการตลาด และการเปิดตัวโครงการใหม่ เพื่อมาสร้างยอดขายและรายได้ก่อนปิดปีงบประมาณ   ปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้ยอดขายและรายได้ของดีเวลลอปเปอร์ได้ตามเป้า ก็คงเป็นเรื่องอัตราดอกเบี้ยการกู้ซื้อบ้าน เพราะยิ่งดอกเบี้ยต่ำเท่าไร ก็ทำให้คนซื้อมีภาระการผ่อนชำระที่ไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับดอกเบี้ยที่สูงกว่า ยิ่งกู้ระยะเวลานาน ๆ ดอกเบี้ยต่ำก็ทำให้ต้นทุนดอกเบี้ยโดยรวมต่ำไปได้   ถึงเวลานี้ ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโดมิเนียม อยู่ในเรทเท่าไรกันบ้างในแต่ละธนาคาร มีการขยับปรับเปลี่ยนจากช่วงเดือนที่แล้วอย่างไร เรามาอัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ประจำเดือนตุลาคม 2564  ซึ่งภาพรวมส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก ​เรียกได้ว่าเป็นจังหวะที่ดี หากใครคิดอยากมีบ้านหรือคอนโดเป็นของตนเอง​ 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป (อัตราดอกเบี้ยยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา) อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ  วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1   ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น 5.2%  (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.2% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น  5.45% (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.45%  (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.9% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.7%(MRR-1.25%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.075%(MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2%(MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58%   -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก 4.75% หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า ​500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า ​คิดอัตราดอกเบี้ย​ MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย ​MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา   หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 5 ก.ค. 64 – 30 ก.ย.​ 64 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ​และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ​ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ​ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ​​ * ข้อมูลจากเว็บไซต์ธนาคาร ณ วันที่ 4 ต.ค. 64 ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนข้อมูลจากเดือนก่อนหน้า 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อสำหรับบ้านใหม่ แคมเปญ สินเชื่อบ้านกรุงไทย…สุขใจถ้วนหน้า โดยไม่คิดค่า  ธรรมเนียมยื่นกู้  โดยเดือนนี้ อัตราดอกเบี้ยมีการเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนกันยายน​​ที่ผ่านมา ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยดังนี้ แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75%  ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.67% (MRR-2.55%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.67% (MRR-2.55%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.72%  (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.69% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.04% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.67% (MRR-2.55%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.67% (MRR-2.55%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.72% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.78% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.04% สินเชื่อสำหรับการกู้ซื้อบ้านที่ธนาคารออกค่าจดจำนองให้** และ ฟรี ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบทำประกัน คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.17% (MRR-2.05%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 4.17% (MRR-2.05%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.72% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.03% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.12% แบบไม่ทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.17% (MRR-2.05%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 4.17% (MRR-2.05%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.72% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.11% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา = 4.15%   การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ 1.ทำ MRTA/GLT SP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี 2.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ 3.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ **ธนาคารออกค่าจดจำนองให้ 1% สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท หากลูกค้าปิดบัญชีก่อน 5 ปี ธนาคารจะเรียกเก็บค่าจดจำนองคืน ***อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 มิ.ย. 2564 MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมินอัตราดอกเบี้ยยังคงเท่าเดิมจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากมีระยะเวลาการใช้อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ 1 ก.ย.- 31 ธ.ค. 64 สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.9% ( MRR-3.15%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.00%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.39% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.50% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย MRR-1.60% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.55%  (MRR-3.50%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.3%  (MRR-2.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.02% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.25% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.1% (MRR-1.95%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.3% (MRR-1.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.7%  (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.23%   หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ​ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พ.ค. 63 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 64 – 31 ธ.ค. 64 โดยจดจำานองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 31 ม.ค. 65 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป โดยพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ ซึ่งเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนกันยายนที่ผ่านมา ดังนี้ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 7.72% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 7.72% สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 8.22% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 8.22% % หมายเหตุ : -อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% (ประกาศ ณ วันที่ 22 พ.ค. 63) -อัตราดอกเบี้ยข้างต้นสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่ 20 ก.ค.  – 31 ธ.ค. 64 -สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภทรวมอาคารพาณิชย์ยกเว้น Refinance และการปล่อยกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า -มีค่าสำรวจและประเมินราคาหลักประกันโดยบริษัท โพรเกรส แอพไพรซัล หรือบริษัทประเมินที่ธนาคารรับรอง คิดขั้นต่ำ 3,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) -วงเงินให้กู้สูงสุดไม่เกิน 90% ของเราซื้อขายและไม่เกิน 90% ของราคาประเมินหลักประกัน 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่ : กรณีซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด) โดยคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราดเดิมเท่ากับเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  2.450%-2.750% ปีต่อไป ดอกเบี้ย  4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.650%-2.950% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.60%-2.99% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.80%-3.19% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ​เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่​ 18 สิงหาคม 2563 เท่กับ​ 6.525% ต่อปี 3.เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา​​​​​​ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า​ Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.​กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง ​​หากลูกค้า Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท   ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคี ​เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด ​โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ ​ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน​ 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด ​30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.10%) ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย 5.35% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-2.80%) หลังจากนั้น 5.35% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.15% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 10 เมษายน 2563) -ธนาคารยังมีอัตราดอกเบี้ยสำหรับพนักงานประจำรายได้ 30,000-50,000 หรือเจ้าของกิจการรายได้ 50,000 บาทขึ้นไปไว้พิจารณาด้วย รวมถึงสินเชื่อสำหรับโครงการที่ธนาคารเป็นผู้สนับสนุน 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป จะได้รับฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าจดทะเบียนจำนอง และค่าประเมินหลักทรัพย์ ซึ่งยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยเท่ากับเดือนกันยายนที่ผ่านมา  ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.23%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.4% (MRR-1.88%) หลังจากนั้น 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.4% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือก 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา ดอกเบี้ย 4.65%   หมายเหตุ สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส ​ 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท​ -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -MRR (Minimum Retail Rate : อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี) = 6.28% ต่อปี ณ วันที่ 7 พ.ค. 64 -การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.-31 ธ.ค.64 และจดจำนองภายใน 31 ม.ค. 65 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.950% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.950% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2563) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด * ข้อมูลจากเว็บไซต์ธนาคาร ณ วันที่ 4 ต.ค. 64 ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนข้อมูลจากเดือนก่อนหน้า 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2564 ​มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา  ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.75% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.4%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 5.4% หมายเหตุ ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 64 – 30 ธ.ค. 64   (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติมวงเงินของโครงการแล้ว) อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 10.ธนาคารยูโอบี ธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโคงการหมู่บ้านทั่วไป  โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับ​เดือนที่ผ่านมา ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.55% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.80%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.75% (MRR-3.60%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.95% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-2.40%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.88% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.20% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% (MRR-2.20%) ปีที่ 4 อัตราดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.96% หมายเหตุ -ขอสินเชื่อตั้งแต่ 1 ก.ย. – 30 ธ.ค. 64 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายใน 31 ม.ค.​ 65 -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาครยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.35% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ​(Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น)​ -การอนุมัติสินเชื่อ​เป็นไปตำมหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ  7.35% ต่อปี ​(ตามประกาศธนาคารณ วันที่ 1 เม.ย. 64) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย​ MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้​ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ​เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร​ -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย ​(ใบอนุญาตประกันชีวิต​เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาสภัย​ เลขที่ ว.00020/2546) ทำหนี่เสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ​จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย คือ โฮมโลน โดนใจ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น ใ1.9% (สำหรับผู้มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป) โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยสำหรับผู้กู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.0% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.00% (MRR-5.35%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.80% (MRR-3.55%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10%  (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 2 ปีแรก) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.20% (MRR-3.15%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.55% (MRR-4.80%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 4 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.75% (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 3 ปีแรก) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ล้านละ 3,500 บาท  กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่** -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 4.60% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.10% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.35% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่างๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่ 1 ต.ค. – 31 ธ.ค. 64 -สำหรับอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.9% สำหรับผู้กู้ที่มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป ผ่อนต่ำเดือนละ 3,500 บาท ฟรีค่าจดจำนองสินเชื่อเมื่อซื้อประกันผ่านธนาคาร ฟรีค่าประเมินหลักประกัน 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีสินเชื่อเคหะ สำหรับให้บริการผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไปซื้อบ้านหรือคอนโด โดยเป็นสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยใหม่ ภายใต้แคมเปญใหม่ อัตราดอกเบี้ย 0% 6 เดือนแรก ทำให้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด สำหรับเดือนตุลาคมนี้ มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ดังนี้​ กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ยเฉลี่ย 1.5% ปรับลดลงจากเดือนก่อนหน้า 1.99% จากที่คิดดอกเบี้ยอัตรา ​3.49% (หมายเหตุ ดอกเบี้ยปีแรก ในตารางแก้ไขเป็น 1.5%) (เดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 1.5%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.525% ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 0.035% จากที่คิดดอกเบี้ยอัตรา ​3.49% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.525% (MRR-2.72%) ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 0.035% จากที่คิดดอกเบี้ยอัตรา ​3.49% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.6% ปรับลดลง 0.89% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 3.49% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.101% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.0 ปรับลดลง 1.99% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.99% (เดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 2.0%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.15% ปรับเพิ่มขึ้น 0.16% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.99% ปีที่​ 3 ดอกเบี้ย 4.15% (MRR-2.095%) ปรับเพิ่มขึ้น 0.16% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด ดอกเบี้ย 3.99% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.1% ปรับลดลง 0.89% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.286%   เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยโปรโมชั่น 1.ประกัน หมายถึง ประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ 2.อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR=6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) 3.รายละเอียดเพิ่มเติมสอบถามได้จากธนาคาร   บทความที่เกี่ยวข้อง อัพเดท ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านเดือนกันยายน 2564
เปิด 4 ความต้องการของ “ลูกบ้าน” ในยุคโควิด-19 ที่ดีเวลลอปเปอร์ต้องไม่มองข้าม

เปิด 4 ความต้องการของ “ลูกบ้าน” ในยุคโควิด-19 ที่ดีเวลลอปเปอร์ต้องไม่มองข้าม

ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 วิถีชีวิตของคนในยุคปัจจุบัน ก็ไม่เหมือนเดิม ต้องปรับเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้อยู่ได้และอยู่อย่างปลอดภัย ภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาด โดยเฉพาะเรื่องของความสะอาดและสุขอนามัย ที่คือหัวใจหลักสำคัญในการป้องกันการได้รับเชื้อโรค ไม่เพียงเท่านั้น เทคโนโลยีและดิจิทัลในรูปแบบต่าง ๆ ได้ถูกนำมาพัฒนา เพื่อสร้างวิถีชีวิตใหม่ (New normal) ให้สะดวกและปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น จึงมีคำพูดว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นตัวเร่งทำให้การใช้ดิจิทัลเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะตลาดอีคอมเมิร์ซทั้งหลาย จากการที่วิถีชีวิตของคนในยุคปัจจุบัน มี “โควิด-19” มาเป็นตัวแปร ทำให้การใช้ชีวิตของคนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ส่งผลให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเรียนรู้ และปรับตัวตาม เพื่อนำเสนอสินค้าหรือบริการให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปด้วย ไม่เช่นนั้นธุรกิจหรือบริการนั้นก็คงไปไม่รอด   ล่าสุด บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LPN Wisdom หรือ LWS)  บริษัทวิจัยและที่ปรึกษาในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) ได้นำเสนอผลงานวิจัยของทีมวิจัยงานบริการ (Service Development Centre: SDC) เกี่ยวกับการพัฒนางานบริการ ว่าผู้บริโภคมีความต้องการอย่างไรในด้านงานบริการ หลังจาก​เกิดการแพร่ระบาดของโควิด​-19    โดยเป็นการสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างของผู้พักอาศัยในชุมชนภายใต้การบริหารของ บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) บริษัทในเครือของ LPN  และพบว่า พฤติกรรมของผู้พักอาศัยในชุมชนให้ความสำคัญกับช่องทางออนไลน์ในการติดต่อสื่อสาร/รับข่าวสาร และพบพฤติกรรมการใช้ช่องทางออนไลน์อื่น ๆ ในการทำกิจกรรมซื้อ-ขายสินค้า เช่น สั่งซื้อสินค้าออนไลน์กว่า 90% ใช้บริการสั่งซื้ออาหารกว่า 80% ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) และ We Are Social ร่วมกับ Hootsuite ที่ระบุว่า ในยุค 5.0 ประเทศไทยมีจำนวนผู้ใช้งาน Internet ในปี 2564 มากกว่า 46 ล้านคน (เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าจากปี 2562  ของประชากรทั้งประเทศที่ 66 ล้านคน 4 ความต้องการด้านการบริการของผู้บริโภคยุคโควิด-19 จากผลสำรวจดังกล่าว ทำให้ผู้ให้บริการต้องปรับตัวโดยนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เป็นเครื่องมือในการจัดเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า (Data Analytic) เพื่อนำมาพัฒนางานบริการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันและอนาคต   นอกจากนี้ จากผลการสำรวจของลูกบ้านดังกล่าว แสดงให้เห็นถึง พฤติกรรมผู้บริโภคปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลง โดยด้านความต้องการในการได้รับการบริการ ที่ดีเวลลอปเปอร์จำเป็นต้องรู้ เพื่อตอบสนองและนำเสนอบริการได้ตรงความต้องการ  ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน  4 เรื่อง  ดังนี้ 1.ต้องได้รับการบริการที่รวดเร็ว ความรวดเร็วในการเข้าถึงผู้บริโภค  :  การที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการใช้ชีวิตทำให้การเข้าถึงข้อมูลของสินค้าและบริการเป็นไปอย่างรวดเร็ว และการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการสามารถทำได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส ทำให้ผู้ขายสินค้าและบริการจำเป็นต้องมีความรวดเร็วในการเข้าถึงผู้บริโภค ทั้งในด้านคุณภาพสินค้าและบริการ รวมถึงกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้เทคโนโลยีการสื่อสารให้เข้ามามีส่วนช่วยให้สามารถส่งต่อข้อมูลของผู้ประกอบการไปสู่ลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้เป็นปัจจัยเร่งในการตัดสินใจให้กับลูกค้า   รวมถึงการพัฒนางานบริการให้มีความสะดวกรวดเร็ว เข้าถึงง่าย ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการในหลายธุรกิจได้มีการพัฒนาช่องทางการสื่อสารและงานบริการผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อลดการสัมผัสโดยตรง และมีอัตราเร่งในการเข้าถึงผู้ต้องการใช้บริการได้อย่างรวดเร็ว เช่น บริการด้านสาธารณสุขผ่านระบบ Telehealth  ซึ่งให้บริการปรึกษาด้านสุขภาพโดยแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพผ่านช่องทางออนไลน์ การให้บริการเบิก ถอน โอน เงิน ชำระราคาสินค้าและบริการผ่าน application ต่าง ๆ ของสถาบันการเงิน การรับชำระค่าบริการส่วนกลางของอาคารชุดพักอาศัย  ผ่าน application หรือ QR Code การใช้เทคโนโลยี Beacon ส่งสัญญาณบลูทูธไปยังสมาร์ตโฟนของผู้ใช้บริการที่อยู่ในรัศมีที่สัญญาณส่งถึง หากสมาร์ตโฟนเปิดช่องรับสัญญาณบลูทูธเอาไว้ก็จะมีการแจ้งเตือนทางสมาร์ตโฟน และทำการรับข้อมูล (Information) ที่มีประโยชน์แก่ผู้ใช้บริการได้ทันที   อาทิเช่น การส่งคูปองส่วนลด โปรโมชั่นบริการที่ลูกค้ากำลังสนใจโดยที่ลูกค้ายังไม่ได้ร้องขอ การแจ้งเตือนข้อมูลให้ผู้ใช้ได้ทันที ทำให้ผู้ใช้ได้สิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น  การใช้ในระบบบัตรคิว ในการจัดลำดับการให้บริการงานต้อนรับที่ต้องบริการลูกค้าจำนวนมาก เช่นการเข้าคิวส่ง-รับพัสดุ การใช้ในการเข้ารหัสหรือปลดล็อกรหัสการใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ตัวปลดล็อกจักรยานด้วยแอปพลิเคชัน เมื่อเจ้าของเดินเข้าไปใกล้ในระยะที่อุปกรณ์ตรวจจับได้ก็สามารถใช้มือถือสั่งปลดล็อกได้ หรือแม้กระทั่งการใช้เป็นอุปกรณ์สำหรับการติดตามดูแลเด็กเล็กได้อย่างรวดเร็ว  ซึ่งใช้ส่งสัญญาณแจ้งเตือนไปยังผู้ปกครองเมื่อเด็ก ๆ ออกห่างหรืออยู่นอกสายตา 2.ต้องได้รับบริการที่มีความคุ้มค่า สร้างความคุ้มค่าในงานบริการ : การพัฒนางานบริการที่ให้ความคุ้มค่าในการใช้งานสำหรับผู้บริโภค โดยการออกแบบงานบริการที่สร้างความพึงพอใจให้กับผู้ใช้บริการด้วยระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ลดการรอคอยในการรับบริการด้วยการออกแบบให้มีระบบการจองคิวเพื่อเข้าใช้บริการ เลือกแพ็คเกจการใช้บริการได้ตามความต้องการ สะดวกและถูกรวมไว้ ณ ที่เดียว ง่ายต่อการสั่งสินค้า และที่สำคัญประหยัดค่าขนส่ง การปรับขนาดสินค้าให้เหมาะกับการขนส่ง กระจายจุดเข้าถึงสินค้า อย่างธุรกิจ คลาวด์คิดเช่น งานบริการบริหารจัดการเพื่อการอยู่อาศัย ยังนำเทคโนโลยีมาช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายของเจ้าของห้องชุด   เช่น Smart Lighting Control  ระบบควบคุมการทำงานของไฟฟ้าส่วนกลาง  ช่วยประหยัดไฟฟ้า บันทึก   ข้อมูลการเปิด-ปิดไฟ เครื่องปรับอากาศได้  บริการเหล่านี้จะถูกเลือกเป็นอันดับต้นๆ ระบบฐานข้อมูลทั้งการจัดการและการประมวลผลข้อมูล จึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญที่ผู้ให้บริการไม่อาจมองข้ามได้ ที่จะสามารถเสนอสิทธิพิเศษต่าง ๆ ได้ง่ายและตรงใจผู้ใช้บริการ การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ AI (Artificial Intelligence) และเทคโนโลยีเชื่อมต่ออุปกรณ์อัตโนมัติ IOT (Internet of Thing) มาใช้ในหลายประเภทงานบริการ  บริการขนส่ง บริการจองคิว บริการจำหน่ายสินค้าออนไลน์ สินค้าประเภทอาหารพร้อมรับประทานล้วนใช้เทคโนโลยี เนื่องจากเวลายังคงเป็นสิ่งที่มีค่า และเทคโนโลยีช่วยให้เราใช้มันได้อย่างคุ้มค่า และเข้าถึงสิ่งที่เราต้องการได้เร็วขึ้น 3.ต้องการได้รับบริการทุกที่ทุกวันทุกเวลา  ทุกที่ ทุกเวลา (24hr. x 7days) : การเข้าถึงเทคโนโลยี และพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ทำให้การตอบสนองต่อผู้ใช้บริการที่รวดเร็ว รวมไปถึงระบบของงานบริการที่มีประสิทธิภาพ ในแบบ Real Time เป็นสิ่งสำคัญ พฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันไม่ชอบการรอคอย จึงทำให้การตอบกลับที่รวดเร็วในแบบ Real Time เป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของงานบริการในปัจจุบันที่ผ่านหน้าจอสัมผัส การนำ ระบบ AI : Artificial Intelligence หรือ ปัญญาประดิษฐ์ที่มีความสามารถในการทำความเข้าใจ เรียนรู้องค์ความรู้ต่าง ๆ เช่น วิเคราะห์ วางแผน และตัดสินใจในการแก้ไขปัญหาได้ ส่งผลให้เกิดความรวดเร็วในการให้บริการ อย่างเช่น การติดต่อมายัง Call Center ของผู้ใช้บริการ จะมีระบบ AI คอยให้บริการเบื้องต้น หากเกินขอบเขตในสิ่งที่ทำได้จะถูกโอนไปยังพนักงานโดยตรง แน่นอนว่าผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ต้องการที่จะติดต่อกับพนักงานโดยตรง แต่ดีกว่าได้รับการปฏิเสธให้ติดต่อใหม่อีกครั้ง   ดังนั้น จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจที่ผู้ประกอบการ จะนำมาพัฒนาและปรับใช้กับธุรกิจการให้บริการ  นอกจากนั้นยังมีการใช้หุ่นยนต์ทำความสะอาดสระว่ายน้ำ เก็บใบไม้และเศษผงบริเวณก้นสระได้ สามารถขจัดสิ่งสกปรก  ตะไคร่ และแบคทีเรียด้วยชุดกรองแบบ  มีตัวแปลงไฟฟ้าจากไฟปกติเป็นแบบโวลต์ต่ำ ทำให้สามารถทำความสะอาดขณะมีการใช้สระว่ายน้ำได้  จากตัวอย่างที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า สามารถให้บริการได้ 24 ชม. อีกทั้งลดค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกอบธุรกิจงานบริการ อย่างอัตรากำลังของพนักงานได้ในขณะที่ยังคงประสิทธิภาพงานบริการที่ลูกค้าได้รับ 4.ต้องการได้รับความสะดวกสบาย พัฒนางานบริการเพื่อสร้างลูกค้าในอนาคต : การพัฒนางานบริการนอกจากพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการในปัจจุบันแล้ว ด้วยประสิทธิภาพของเทคโนโลยีในการวิเคราะห์ข้อมูลของผู้บริโภค (Data Analytic) ทำให้ผู้ประกอบการสามารถที่จะนำไปพัฒนางานบริการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในอนาคตได้ เช่น การใช้เทคโนโลยี VR : Virtual Reality เป็นการจำลองสถานที่ขึ้นมาเป็นโลกเสมือนจริงโดยส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับการมองเห็น โดยผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับสถานที่หรือสิ่งแวดล้อมที่จำลองขึ้นมาได้ผ่านอุปกรณ์  เป็นการสร้างประสบการณ์ที่สนุกมากขึ้นในการซื้อสินค้าและบริการ  ในวงการอสังหาริมทรัพย์มีการนำมาใช้ สำหรับลูกค้าชมโครงการบ้าน และคอนโดโครงการใหม่ ซึ่งให้ความสมจริงได้มากกว่าการดู แบบโมเดลจำลองอีกทั้งไม่ต้องไปยังสถานที่จริงอีกด้วย บางครั้งลูกค้าไม่ทราบความต้องการของตัวเอง  การนำข้อมูลมาวิเคราะห์และนำเสนอบริการใหม่ๆ ให้กับลูกค้าโดยวิเคราะห์จากพฤติกรรมของลูกค้า เป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการ และเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในอนาคต นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอมฯ กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19 ว่า ได้เพิ่มอัตราเร่งในการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เป็นโอกาสของผู้ประกอบการที่จะพัฒนางานบริการที่ตอบโจทย์กับพฤติกรรมของผู้บริโภคได้ง่ายขึ้นผ่านเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูล นำมาวิเคราะห์พฤติกรรมและความต้องการของลูกค้า เพื่อสร้างงานบริการที่สามารถตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบาย รวดเร็ว ง่ายต่อการใช้งาน และมีความเฉพาะตัว (Unique) สร้างความรู้สึกพิเศษ (Exclusive) ให้กับผู้รับบริการแบบเฉพาะตัว (Privacy) ในแบบที่เรียกว่า Smart Service พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปโดยให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี การเข้าถึงข้อมูลเพื่อช่วยในการตัดสินใจที่จะซื้อสินค้าและบริการ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการในธุรกิจบริการต้องมีการปรับตัว พัฒนางานบริการให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภค  
“ออริจิ้น” โชว์ยอดพรีเซล 9 เดือน 23,000 ล้าน  Q4 เปิดบ้าน-คอนโดอีก 9 โครงการ

“ออริจิ้น” โชว์ยอดพรีเซล 9 เดือน 23,000 ล้าน Q4 เปิดบ้าน-คอนโดอีก 9 โครงการ

“ออริจิ้น” โชว์ผลงานยอดขาย 9 เดือนแรกปี 64 กวาดยอดทะลุ 23,000 ล้าน ทะลุ 79% ของเป้าหมายทั้งปี หลังปรับตัวสู่การตลาดออนไลน์ผ่าน Property Live พร้อมบุกตลาดเซ็กเมนท์ใหม่ต่อเนื่อง  ไตรมาส 4 จ่อเปิดโครงการใหม่เพิ่มอีก 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 6,295 ล้าน หนุนยอดขายสร้างสถิติ All Time High ที่ 29,000 ล้านบาทตามเป้า   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 (ม.ค.-ก.ย.64) บริษัทมียอดขายสะสมแล้วกว่า 23,000 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าราว 22% คิดเป็น 79% ของเป้าหมายทั้งปีที่ตั้งไว้ที่ 29,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดขายจากกลุ่มบ้านจัดสรร 27% และกลุ่มคอนโดมิเนียม 73% หากแบ่งตามสถานะโครงการ มีสัดส่วนยอดขายจากโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) 71% และกลุ่มโครงการที่เพิ่งเปิดขายหรืออยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง (On Construction) 29% “จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่สูงขึ้นกว่าปีที่แล้ว เป็นปัจจัยที่ท้าทายภาพรวมธุรกิจต่างๆ อย่างมาก เราเองพยายามปรับตัวอย่างต่อเนื่องภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทาย ทั้งการสร้างลูกเล่นใหม่ๆ ในการเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น อย่างการจัดมหกรรมคอนโดออนไลน์ 9.9 Origin Condo Festival ในรูปแบบ Property Live การบุกตลาดเซ็กเมนท์ใหม่ๆ ที่มีดีมานด์และยังมีโอกาสเติบโตอย่างคอนโดที่เลี้ยงสัตว์ได้ การเปิดตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน หรือ Investment Property หาแนวทางที่ทำให้เราโตไปกับทฤษฎี K-Shaped Recovery ฝั่งขาขึ้น ส่งผลให้เรายังทำยอดขายได้ตามเป้าหมาย”    สำหรับแบรนด์สำคัญที่สร้างยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play) แบรนด์คอนโดมิเนียมเจาะตลาดกลุ่มคนเพิ่งเริ่มต้นทำงาน (First Jobber) และกลุ่ม Gen Z ที่ยังคงได้รับการตอบรับอย่างต่อเนื่องจากทั้งฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ในช่วง Next Normal แบ่งแยกพื้นที่สำหรับการทำงาน การอยู่อาศัย และราคาที่เข้าถึงได้ง่าย บ้านจัดสรรในเครือบริทาเนีย (Britania) โดยเฉพาะโครงการในฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ ที่เปิดตัวในปีนี้อย่างแกรนด์ บริทาเนีย ราชพฤกษ์-พระราม 5   นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ไตรมาส 4/2564 ของปีนี้ น่าจะเป็นช่วงที่ภาพรวมธุรกิจอสังหาฯฟื้นตัวชัดเจน จากยอดผู้ติดเชื้อใหม่ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาส 3/2564 และยอดการฉีดวัคซีนที่ทยอยเพิ่มขึ้น หากภาครัฐสามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง และเพิ่มอัตราการฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ จะเป็นการช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคในการกลับมาจับจ่ายใช้สอย และเพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการในการทำการตลาดที่เป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ สำหรับบริษัท มีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงไตรมาส 4/2564 เพิ่มเติมอีก 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 6,295 ล้านบาท ตามแผนงานที่วางไว้ แบ่งเป็น โครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1,695 ล้านบาท ได้แก่ 1.ออริจิ้น เวลเนส เรสซิเดนซ์ แบริ่ง 2.ออริจิ้น เวลเนส เรสซิเดนซ์ รามอินทรา 3.บริกซ์ตัน เกษตร ศรีราชา แคมปัส โครงการบ้านจัดสรร 6 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 4,600 ล้านบาท ได้แก่ 1.ไบรตัน บางปะกง 2.บริทาเนีย แพรกษา สเตชั่น 3.บริทาเนีย ติวานนท์-ราชพฤกษ์ 4.แกรนด์ บริทาเนีย พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา 5.แกรนด์ บริทาเนีย นนทบุรี สเตชั่น 6.แกรนด์บริทาเนีย สุวรรณภูมิ โดยทุก โครงการที่เปิดตัว ยังคงเปิดตัวในทำเลที่มีความต้องการสูง โดยเฉพาะทำเลฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ ไปจนถึงเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมถึงมีการบุกเซ็กเมนท์ใหม่อย่างตลาดผู้สูงวัย (Silver Age) รองรับการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ด้วยแบรนด์ใหม่ ออริจิ้น เวลเนส เรสซิเดนซ์ แบรนด์คอนโดมิเนียม Leasehold พร้อมโปรแกรมดูแลผู้สูงอายุ ทั้งนี้ ไตรมาส 4/2564 จะยังคงเป็นไตรมาสที่บริษัทเปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุดเช่นเดียวกับทุกปี คาดว่าจะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างยอดขายใหม่ในช่วงโค้งสุดท้าย หนุนภาพรวมยอดขายทั้งปีสร้างสถิติใหม่นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท (All Time High) ที่ 29,000 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้   สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 86 โครงการ (สถานะ ณ สิ้นไตรมาส 3/2564) เช่น  แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) ดิ ออริจิ้น (The Origin) ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), เคนซิงตัน (Kensington) แฮมป์ตัน (Hampton) และ บริทาเนีย (BRITANIA) รวมมูลค่าโครงการกว่า 137,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร
พีดีเฮ้าส์  โชว์ยอดขาย 9 เดือน 800 ล้าน  ลุยตลาดโค้งท้ายเพิ่มสาขา-แบบบ้านใหม่

พีดีเฮ้าส์ โชว์ยอดขาย 9 เดือน 800 ล้าน ลุยตลาดโค้งท้ายเพิ่มสาขา-แบบบ้านใหม่

พีดีเฮ้าส์ กวาดยอดขาย 9 เดือน เกือบ 800 ล้าน แม้เจอพิษโควิด-19 ภาวะเศรษฐกิจ และปัญหาน้ำท่วม ลูกค้าลด 30% หลังปรับกลยุทธ์การสื่อสาร พร้อมเพิ่มบริการออกแบบครบวงจร สร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า ไตรมาสสุดท้ายเตรียม 4 แบบบ้านใหม่กระตุ้นตลาด ขยายสาขาเพิ่ม   นายพิศาล ธรรมวิเศษ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป จำกัด หรือศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ เปิดเผยว่า ความต้องการสร้างบ้านใหม่ของประชาชนทั่วประเทศ ในช่วงไตรมาส 3 ชะลอตัวลง เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ซึ่ง​เป็นผลมาจากการประกาศล็อกดาวน์ของรัฐบาล และความไม่เชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 รอบใหม่ และทิศทางเศรษฐกิจในอนาคต รวมถึงประชาชนบางส่วนในต่างจังหวัดมีความเชื่อและไม่นิยมปลูกสร้างบ้านในช่วงเข้าพรรษาหรือฤดูฝน ส่งผลให้ตลาดรับสร้างบ้านซบเซาลง สำหรับตลาดรับสร้างบ้านในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ยังพบว่ามีการแข่งขันสูงทั้งจากผู้ประกอบการรายเล็กและรายใหญ่ ด้วยการจัดโปรโมชั่น ลด แจก แถม กันอย่างดุเดือด ตัวอย่างเช่น ลดราคาสูงสุด 15-33% หรือต่อเติมฟรีมูลค่าสูงสุด 2 ล้านบาท เป็นต้น  นอกจากนี้ ยังพบว่ ผู้บริโภคที่เคยวางแผนจะสร้างบ้านในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนใหญ่เลือกที่ชะลอการตัดสินใจปลูกสร้างบ้านออกไปก่อน ด้วยเหตุผลรอดูความชัดเจนของนโยบายภาครัฐในการบริหารจัดการโรคระบาดโควิด-19 และมีความกังวลว่าเศรษฐกิจประเทศจะฟื้นตัวได้ช้า   อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าแนวโน้มความต้องการสร้างบ้านหลังที่ 2 ในต่างจังหวัด เพื่อใช้เป็นทั้งที่อยู่อาศัยและสถานที่ทำงาน (Work from home) หรือเป็นเซฟโซนในการใช้ชีวิตแบบ New Normal ที่พฤติกรรมของผู้คนในสังคมเปลี่ยนไป โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อมากพอ เริ่มเกิดขึ้นและขยายตัวเพิ่มขึ้นตามลำดับ ในปีนี้และในอนาคต   นายพิศาล กล่าวว่า พีดีเฮ้าส์ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงภาวการณ์แข่งขันที่รุนแรงด้วย ทำให้จำนวนผู้บริโภคที่สนใจสร้างบ้านติดต่อเข้ามาลดลงถึง 30% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงไตรมาสก่อนหน้า พีดีเฮ้าส์จึงได้ปรับกลยุทธ์การขายและการตลาด  ด้วยการมุ่งเน้นสื่อสารถึงความแตกต่างและมาตรฐานการให้บริการ ทั้งก่อนและหลังการขาย กระบวนการก่อสร้าง คุณภาพผลงานเมื่อสร้างแล้วเสร็จ และทีมงานผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าเป้าหมายเฉพาะกลุ่มมากขึ้น ภายใต้แบรนด์พีดีเฮ้าส์ ที่มีสาขาให้บริการทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งในต่างจังหวัด นอกจากนี้ พีดีเฮ้าส์ยังเพิ่มการให้บริการออกแบบ-ตกแต่งภายในและจัดสวนแบบครบวงจร ซึ่งจากการปรับกลยุทธ์แข่งขันดังกล่าว ส่งผลให้สามารถทำยอดขายบ้านในไตรมาส 3 คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 210 ล้านบาทเศษ เติบโตสวนทางกับตลาดที่ซบเซาและทำให้ยอดขาย 9 เดือนที่ผ่านมา มีมูลค่ารวมทุกสาขาเกือบ 800 ล้านบาท โดยลูกค้าที่ใช้บริการสร้างบ้านจำแนกออกเป็นกลุ่มราคาบ้าน 2-3 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 18% กลุ่มราคาบ้าน 3-5 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 38% กลุ่มราคา 5-10 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 36% และกลุ่มราคาบ้าน 10 ล้านบาทขึ้นไป คิดเป็น 8%   ด้าน น.ส.ถิรพร สุวรรณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท พีดี เฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในฐานะผู้บริหารสิทธิ์และมาตรฐานธุรกิจรับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในไตรมาสสุดท้ายยอมรับว่าคาดการณ์ตลาดรับสร้างบ้านได้ยาก เนื่องจากยังคงมีปัจจัยลบอยู่รอบด้าน ทั้งเรื่องของเศรษฐกิจ การเมือง และการแพร่ระบาดของโควิด-19 แม้ภาครัฐจะพยายามเร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชนแต่ก็ยังไม่ครอบคลุมมากพอทำให้ผู้บริโภคยังมีความกังวล   นอกจากนี้ ยังมีปัญหาน้ำท่วมขังจากอิทธิพลของพายุโซนร้อน "เตี้ยนหมู่" ทำให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่ภาคอีสาน ส่งผลกระทบจนทำให้ได้รับความเสียหาย เช่น น้ำท่วมบริเวณโดยรอบหรือใกล้เคียงไซต์งานก่อสร้าง ต้นทุนค่าขนส่ง หรือการขนส่งวัสดุที่ล่าช้าออกไป และคาดการณ์จะทำให้สถานการณ์ตลาดรับสร้างบ้านชะลอตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามพีดีเฮ้าส์เองก็คงต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ตามแผนปลุกกำลังซื้อในช่วงโค้งสุดท้ายปีนี้ พร้อมกันนี้เตรียมเปิดสาขาใหม่จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นการขยายสาขาในพื้นที่เมืองรอง เพื่อสามารถเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุด รองรับความต้องการของลูกค้าในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง ภาพรวมของตลาดรับสร้างบ้าน 9 เดือนแรกที่ชะลอตัว ทำให้บริษัทฯ ต้องหันมาปรับกลยุทธ์การขายและการตลาด เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน ทั้งการปรับวิธีการสื่อสารกับลูกค้าที่เน้นสร้างความรู้ความเข้าใจต่อผลิตภัณฑ์และบริการ เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย-ข้อแตกต่าง พร้อมให้คำปรึกษาในรายละเอียดการก่อสร้างที่คนอยากสร้างบ้านต้องรู้ เพื่อให้ลูกค้าคลายความกังวลใจและป้องกันการเกิดข้อขัดแย้งหรือความเข้าใจผิดในอนาคต โดยไม่เลือกใช้วิธีตั้งราคาสูงแล้วหั่นราคาหรือลดราคาเกินจริง หรือกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจด้วยราคา ไม่ใช่ที่ตัวผลิตภัณฑ์และบริการอย่างแท้จริง   นอกจากนี้ ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ ได้เตรียมเปิดตัวแบบบ้านใหม่อีก 1 ซีรีส์ จำนวน 4 แบบ ระดับราคา 5-8 ล้านบาท พร้อมรายการวัสดุ-อุปกรณ์ก่อสร้างภายใต้คอนเซ็ปต์บ้านประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะมีความแตกต่างจากบริษัทรับสร้างบ้านรายอื่น  
ชาญอิสสระ  เปิดตัว Issara Easy Connect   ดูโครงการ-ซื้อขายผ่านออนไลน์

ชาญอิสสระ เปิดตัว Issara Easy Connect  ดูโครงการ-ซื้อขายผ่านออนไลน์

ชาญอิสสระ เปิดตัว Issara Easy Connect  ดูโครงการผ่านออนไลน์แบบเรียลไทม์ 360 องศา ประเดิม 4 โปรเจ็กต์ รับพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน หลังเจอโควิด-19 ระบาด ดีเวลลอปเปอร์ต้องปรับตัวเพิ่มช่องทางขายออนไลน์   นายดิฐวัฒน์ อิสสระ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานสร้างสรรค์สื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมา ส่งผลให้พฤติกรรมของลูกค้าส่วนใหญ่ ไม่กล้าออกมาใช้ชีวิตภายนอกบ้าน เนื่องจากมีความกังวล และระมัดระวังตัวเองมากขึ้น  การพัฒนาการขายและปรับกลยุทธ์การตลาดให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุค New Normal นี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ จากพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไปส่งผลให้แนวทางการตลาดต้องมีการปรับเปลี่ยนให้สอดรับกับความต้องการของลูกค้าในการอำนวยความสะดวกเข้าเยี่ยมชมโครงการ ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวแอปพลิเคชั่นใหม่ภายใต้ชื่อ Issara Easy Connect เป็นการเยี่ยมชมโครงการผ่านระบบออนไลน์ ในแบบ Private Live. Private Tour. Real Time 360◦. ชมง่าย แชทสะดวก จองสบาย เพื่อเป็นการตอบโจทย์ Pain Points ของผู้บริโภคในการเยี่ยมชมโครงการ ที่ต้องการความสะดวก ปลอดภัย ได้เห็นห้องจริง วิวจริง และวัสดุจริง อีกทั้งยังสามารถ Interact ได้โดยตรงกับ Sale Consultant ได้ทันที ซึ่งการเยี่ยมชมโครงการสามารถเชิญครอบครัว หรือเพื่อนเข้าร่วมชมพร้อมกันได้ถึง 5 Devices   นายดิฐวัฒน์  กล่าวอีกว่า ชาญอิสสระมุ่งเน้นนำนวัตกรรมต่าง ๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ผู้บริโภคได้รับความสะดวกสบาย และได้รับความปลอดภัย ซึ่งการใช้สื่อออนไลน์จึงเข้ามามีส่วนช่วยให้การเสนอขายอสังหาริมทรัพย์ตอบโจทย์ผู้ซื้อได้มากขึ้น ในยุคโควิดนี้-19  ผู้ซื้อสามารถชมโครงการผ่านสื่อ 3D / VDO / ภาพถ่ายเคลื่อนไหวได้โดยไม่ต้องเข้าไปในพื้นที่ ลดความเสี่ยงได้   สำหรับ ​Issara Easy Connect เป็นแอปพลิเคชั่นเยี่ยมชมโครงการแบบ Private Live. Private Tour. Real Time 360◦. ซึ่งเป็นครั้งแรกในวันที่  23 กันยายน 2564  นำร่อง 4 โครงการ ได้แก่ โครงการ อิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม9, โครงการบ้านอิสสระ บางนา, โครงการ ดิ อิสสระ สาทร และโครงการศศรา หัวหิน ซึ่งลูกค้าที่สนใจเข้าเยี่ยมชมโครงการในรูปแบบของ Issara Easy Connect สามารถลงทะเบียนผ่านทาง LINE OA ของโครงการที่ต้องการเข้าเยี่ยมชม ทำการนัดหมายวัน เวลา กับ Sale Consultant เพื่อรับลิงค์เข้าไปชมโครงการ   การเพิ่มเติมช่องทาง Issara Easy Connect บริษัทมั่นใจว่าจะเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคในยุคนี้ ขณะที่ในส่วนของสำนักงานขายก็ยังคงเป็นช่องทางหลักที่ได้รับความนิยม เพราะส่วนใหญ่แล้วลูกค้ายังมีความต้องการมาเห็นพื้นที่ตั้งของโครงการจริง สัมผัสห้องตัวอย่างจริง แต่การตลาดออนไลน์จะเข้ามาช่วยให้ลูกค้าสะดวก สำหรับลูกค้าที่ไม่ต้องการเดินทางออกจากบ้านจะได้รับข้อมูลครบถ้วนเหมือนมาสัมผัสจริง ซึ่งลูกค้าที่สนใจชมโครงการผ่าน Issara Easy Connect และจองโครงการผ่านช่องทางออนไลน์ ​จะได้รับส่วนลด ON TOP ทันที่ 10,000 บาท ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ตุลาคม 2564 นายดิฐวัฒน์  กล่าวถึง​ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงต้นปี 2564 ที่ผ่านมาว่า ยังมีความเปราะบางอย่างต่อเนื่อง ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายๆ ค่ายชะลอการเปิดโครงการใหม่ จากสถานการณ์วิกฤตโรคระบาดที่นำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจในปัจจุบัน และพร้อมใจกันกระตุ้นยอดขายด้วยการเน้นทำแคมเปญการตลาดต่อเนื่อง ทั้งลด ทั้งแถม เพื่อผลักดันให้เกิดยอดขาย ยอดโอน เพราะสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างนี้คงจะอยู่กับเราไปอีกเป็นปีๆ   ทั้งนี้ หากดูจำนวนซัพพลายปีที่ผ่านมา ยูนิตรอขายรวมก็ลดลงจากประมาณ 320,000 ยูนิตต่อปี คงเหลือ 290,000 ยูนิตต่อปี หรือลดลงในอัตรา 6.9% แต่ถ้ามาดูด้านดีมานด์ ปี 2563 มีการโอนกรรมสิทธิ์ 126,000 ยูนิต  ซึ่งความต้องการยังคงมีอยู่ใกล้เคียงกับอัตราเฉลี่ย 3 ปีที่ผ่านมา แต่ปี 2563 ผู้ประกอบการลดราคาลงโดยเฉพาะอาคารชุด 10-20% ทำให้สามารถรักษายอดขายในระดับ 126,000 ยูนิตได้ การเปิดโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในช่วงปีที่ผ่านมา มีการชะลอตัวลงอย่างมาก จากปกติมีจำนวน 110,000-120,000 ยูนิตต่อปี คงเหลือเพียง 72,000 ยูนิต ลดลง 35% และในปีนี้ก็คาดว่าจะลดลงอย่างต่อเนื่อง  
4 เรื่อง ที่เจ้าของบ้านควรรู้ ก่อนปลูกสร้างบ้าน

4 เรื่อง ที่เจ้าของบ้านควรรู้ ก่อนปลูกสร้างบ้าน

หนทางในการจะมีบ้านสักหลัง การเลือกซื้อจากดีเวลลอปเปอร์ ที่พัฒนาออกมาขาย ก็ถือว่าเป็นวิธีการที่ง่าย สะดวก สามารถเลือกแบบบ้านต่าง ๆ หรือเลือกทำเลที่อยากอยู่อาศัยได้ ภายใต้งบประมาณที่ลูกค้ามี และมีโครงการต่าง ๆ ให้เลือกมามาย  แต่การเลือกซื้อบ้านจัดสรร ก็อาจจะไม่ได้บ้านตรงใจเราทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบหน้าตา ขนาดพื้นที่ ดีไซน์ และฟังก์ชั่น ซึ่งถูกกำหนดและออกแบบไว้แล้ว ​ การจะเปลี่ยนแบบหรือฟังก์ชั่นในอย่างที่เราต้องการ หรือแม้จะเลือกในทำเลที่อยากอยู่จริง ๆ ก็อาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายนัก   ทางเลือกหนึ่งของคนที่อยากมีบ้าน ในแบบที่ฝันเอาไว้คงต้องสั่งสร้างเอง  สามารถเลือกทำเลที่ต้องการ แบบบ้าน รวมถึงก่อสร้างภายใต้กรอบงบประมาณที่เตรียมเอาไว้ได้ แต่การจะสั่งสร้างบ้านในแบบที่เราต้องการได้นั้น  คงต้องวางแผนและเตรียมตัวให้ดี เพราะหากขาดการวางแผน และเตรียมความพร้อมในเรื่องต่าง ๆ เอาไว้ก่อน  อาจมีปัญหาตามมาได้มากมายเหมือนกัน   นอกจากนี้ การปลูกสร้างบ้านเอง ยังมีหลายวิธีด้วยเช่นกัน หลายคนอาจจะใช้วิธีการว่าจ้างบริษัทรับสร้างบ้าน ที่มีให้บริการแบบครบวงจร ตั้งแต่เริ่มต้นจนส่งมอบบ้าน เพียงแค่เลือกแบบบ้านและงบประมาณที่ต้องการจะปลูกสร้างบ้าน  แต่หลายคนก็เลือกที่ใช้วิธีการออกแบบบ้านเอง หรือหาแบบบ้านที่ไม่เหมือนกับที่บริษัทรับสร้างบ้านมีให้บริการ แล้วว่าจ้างผู้รับเหมาให้สร้างบ้านตามแบบบ้านที่ตัวเองต้องการ  ก็เป็นทางเลือกที่หลายคนนิยม แต่กระบวนการต่าง ๆ ของการปลูกสร้างบ้าน เราคงต้องดำเนินการเองและต้องควบคุมงานเองทั้งหมด เพื่อให้บ้านในฝันออกมาตรงตามที่อยากได้   สำหรับคนที่ต้องการมีบ้านในแบบฉบับของตนเอง เรื่องที่ต้องทำก่อนอื่น คงเป็นการหารูปแบบของบ้านที่ต้องการอาจจะจ้างสถาปนิกออกแบบ หรือหาแบบบ้านฟรี ที่มีหลายหน่วยงานจัดทำแจกให้กับประชาชนทั่วไป หรือตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ก็พอจะหาได้​ หลังจากได้แบบบ้านมาแล้ว กระบวนการปลูกสร้างบ้านยังมีขั้นตอนอีกหลายอย่าง วันนี้เราจึงจะมาแนะนำ 4 เรื่อง ที่เจ้าของบ้านควรรู้ ก่อนปลูกสร้างบ้านเอง   1.กระบวนการยื่นเพื่อขออนุญาต เรื่องแรกที่เจ้าของบ้านควรรู้หลังจากได้แบบบ้านฟรีมาแล้ว คือ การสร้างบ้านจะต้องมีการยื่นขออนุญาตกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น สำนักงานเขต หรือเทศบาล โดยปกติแล้วเอกสารที่ต้องใช้ในการขออนุญาต ประกอบด้วย แบบ ข.1 คำขออนุญาตก่อสร้างอาคาร ดัดแปลงอาคาร หรือรื้อถอนอาคาร เอกสารแปลนบ้าน แบบบ้าน และรายละเอียดการก่อสร้างที่ได้มาตรฐานมีสถาปนิกและวิศวกรเป็นผู้เซ็นรับรองแบบ หนังสือรับรองจากสถาปนิกผู้ออกแบบบ้าน ผู้ควบคุมและเอกสารจากวิศวกรงานก่อสร้าง สำเนาโฉนดที่ดินที่จะสร้าง หรือเอกสารสิทธิแสดงความเป็นเจ้าของที่ที่ดินผืนนั้น หรือกรณีเช่าที่ดินปลูกสร้างบ้าน จะต้องมีเอกสารแสดงสิทธิที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของด้วย สำเนาบัตรประชาชน หรือทะเบียนบ้านเจ้าของอาคาร ในกรณีเป็นนิติบุคคลใช้หนังสือรับรองการจดทะเบียน กรณีที่ไม่ได้ยื่นขออนุญาตก่อสร้างด้วยตัวเอง จะต้องมีหนังสือแสดงการมอบอำนาจให้กับผู้ที่เป็นตัวแทนในการยื่นขออนุญาตก่อสร้าง 2. ประเมินงบประมาณที่จำเป็น การทราบงบประมาณที่ต้องใช้ในการก่อสร้างเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญ แบบบ้านฟรีจำนวนไม่น้อยจะมาพร้อมกับรายการประมาณการสินค้าที่ต้องใช้แบบคร่าว ๆ ซึ่งว่าที่เจ้าของบ้านสามารถใช้คำนวณงบประมาณคร่าว ๆ ได้ แต่หากแบบบ้านที่ไม่มาไม่มีรายการประมาณสินค้า หรือไม่แน่ใจว่าจะคำนวณเองได้ถูกต้องหรือไม่ ก็สามารถปรึกษาหรือว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญอย่างสถาปนิกให้คำนวณให้ได้ 3. แบบสถาปัตยกรรม อีกเรื่องที่ควรรู้คือ แบบบ้านที่ได้มานั้นมีแบบสถาปัตยกรรมด้วยหรือไม่ เพราะจะเป็นตัวระบุการติดตั้งวัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ ตำแหน่งและทิศทางของพื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน เป็นต้น ทั้งนี้ แบบสถาปัตยกรรมต้องระบุมาอย่างละเอียดมากเพียงพอที่จะเข้าสู่กระบวนการก่อสร้างได้ แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าของบ้านก็มีหน้าที่ต้องศึกษาและทำความเข้าใจเบื้องต้นกับแบบสถาปัตยกรรมด้วย เช่น ห้องนอน หรือห้องนั่งเล่น ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ใช้สอยบ่อยที่สุด หากอยู่ตรงกับทิศตะวันตกที่โดนแดดส่องแรงมาก ๆ ในยามบ่าย อาจส่งผลกระทบเมื่อเข้าอยู่อาศัยจริงก็เป็นได้ ดังนั้น หากเจ้าของบ้านเข้าใจตรงจุดนี้แล้ว ก็จะสามารถปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญอย่างเช่นสถาปนิก หรือวิศวกรเพื่อปรับปรุงแบบก่อนที่จะเริ่มสร้างได้ 4. ให้ความสำคัญกับรายละเอียด เรื่องสุดท้ายที่ควรรู้หลังจากได้แบบบ้านฟรีก็คือ รายละเอียดในชุดต่าง ๆ อย่างระบบไฟฟ้าและระบบประปา เพราะหากสร้างบ้านโดยไม่มีรายละเอียดเหล่านี้แล้ว จะมีปัญหาตามมาอย่างแน่นอน สำหรับระบบไฟเจ้าของบ้านควรตรวจสอบว่าแบบบ้านนั้น แสดงตำแหน่งอุปกรณ์ไฟฟ้า สเปคของอุปกรณ์ ควบคุมไฟ และระบุชนิด, ขนาดของสายไฟที่เหมาะสมจะใช้ในบ้านได้หรือไม่ ส่วนระบบประปาและสุขาภิบาล แบบบ้านควรแสดงขนาดและตำแหน่งของถังเก็บน้ำ ปั๊มน้ำ หรือแนวการเดินท่อน้ำดีน้ำเสียเอาไว้ และบ้านที่ต้องการความปลอดภัย อาจลองพิจารณาดูว่าแบบบ้านนั้นมีเรื่องระบบรักษาความปลอดภัย อย่างเช่น กล้องวงจรปิด สายโทรศัพท์ หรือสายอินเทอร์เน็ต มาให้ด้วยหรือไม่   การสร้างบ้านอยู่เอง อาจจะมีขั้นตอนและซับซ้อนอยู่บ้าง แต่จะสร้างความภาคภูมิใจผ่านไอเดียของเราเอง และตอบโจทย์การอยู่อาศัยของสมาชิกภายในบ้านได้อย่างแท้จริง สิ่งสำคัญอย่าลืมปฏิบัติตาม 4 เรื่องควรรู้หลังจากได้แบบบ้านฟรี ซึ่งจะช่วยให้การสร้างบ้านราบรื่นขึ้นได้อย่างแน่นอน   ขอขอบคุณข้อมูลจาก SCG HOME Experience  
ซื้อบ้าน-คอนโด ด้วย Cryptocurrency

ซื้อบ้าน-คอนโด ด้วย Cryptocurrency

นับตั้งแต่เทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามามีบทบาทสำคัญ ในชีวิตประจำวันของมนุษย์ ได้ส่งผลให้พฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนในยุคปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปจากอดีตอย่างมากมาย  สิ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือ การได้รับความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการติดต่อสื่อสาร  หรือจับจ่ายใช้สอย การทำธุรกรรมทางการเงิน ซึ่งทุกอย่างสามารถจัดการได้เพียงแค่ปลายนิ้วสัมผัส ผ่านโทรศัพท์มือถือ หรือแท็บเล็ต โลกของการเงินปัจจุบัน กำลังพัฒนาไปสู่โลกการเงินดิจิทัล หรือ Fintech (Financial Technology) เพิ่มมากขึ้น   เพราะเทคโนโลยีดิจิทัลไม่เพียงแค่เข้ามาเพิ่มความสะดวกสบาย  ในการเป็นช่องทางการทำธุรกรรมทางการเงินของคนทั่วไปเท่านั้น แต่ปัจจุบันเทคโนโลยีดิจิทัล ได้เข้ามาพัฒนาตลาดการเงินและการลงทุน จากการลงทุนด้วยรูปแบบของเงินสกุลต่าง ๆ ที่สามารถจับต้องได้ มาสู่การลงทุนในรูปแบบของเงินดิจิทัล ที่ไม่ได้มีตัวเงินจับต้องได้จริง ๆ หรือที่รู้จักกันในรูปแบบของสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) ทำความรู้จัก “สินทรัพย์ดิจิทัล​” ตอนนี้กระแสการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล กำลังได้รับความสนใจทั้งจากนักลงทุน หรือประชาชนทั่วไป เพราะซื้อขายง่ายแถมมีความเชื่อว่าให้ผลตอบแทนดี ส่วนฝั่งผู้ประกอบการที่จะก้าวมาเป็นผู้ให้บริการ มองเห็นโอกาสทางการตลาด เพราะว่าสอดคล้องกับพฤติกรรมของคนในยุคปัจจุบัน ที่คุ้นเคยและมีความเข้าใจในเทคโนโลยีดิจิทัลเป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ซึ่งเติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีดิจิทัล จึงทำให้การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้แต่เด็กนักเรียนมัธยมปลายบางคน ยังเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล   แม้ว่าการลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล กำลังเป็นกระแสและได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น แต่คนส่วนใหญ่ของประเทศก็ยังขาดความรู้และความเข้าใจที่แท้จริง ประกอบกับผู้ให้บริการที่ถูกต้องและได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ อย่างธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ยังมีอยู่จำนวนไม่กี่รายเท่านั้น ​ สินทรัพย์ดิจิทัล  ประกอบด้วย 1.คริปโทเคอร์เรนซี    คริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) ตามความหมายที่ ก.ล.ต. ได้ให้ไว้  คือ หน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้า บริการ สินทรัพย์ดิจิทัลอื่น หรือสิทธิอื่นใด โดยสามารถใช้เป็นสื่อกลางในการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการได้หากผู้ใช้ยอมรับ ปัจจุบันคริปโทเคอร์เรนซียังไม่ใช่เงินที่ธนาคารกลางใดในโลกรับรองว่าสามารถใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย (legal tender) ซึ่งคริปโทเคอร์เรนซีที่รู้จักกันแพร่หลาย เช่น Bitcoin, Ethereum เป็นต้น 2.โทเคนดิจิทัล นอกจากนี้  สินทรัพย์ดิจิทัล ยังประกอบไปด้วย​ ​โทเคนดิจิทัล (Digital Token) ที่หมายถึง  หน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่สร้างขึ้นเพื่อกำหนดสิทธิของบุคคลในการร่วมลงทุน (investment token) หรือสิทธิในการได้มาซึ่งสินค้าและบริการ หรือสิทธิอื่น ๆ (utility token) ตามที่ได้ตกลงกับผู้ออกโทเคน ซึ่งอาจเสนอขายโทเคนผ่านกระบวนการ Initial Coin Offering (ICO) ซึ่งเป็นการระดมทุนรูปแบบหนึ่งที่ใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ามาช่วย โดยบริษัทจะเสนอและกำหนดขายโทเคนที่กำหนดสิทธิหรือผลประโยชน์ต่าง ๆ ของผู้ลงทุน เช่น ส่วนแบ่งกำไรจากโครงการ หรือสิทธิในการได้มาซึ่งสินค้าหรือ บริการที่เฉพาะเจาะจงและกำหนดให้ผู้ลงทุนที่ต้องการจะร่วมลงทุนสามารถเข้าร่วมได้โดยการนำคริปโทฯ หรือเงิน มาแลกโทเคนที่บริษัทออก โดยมีการกำหนดและบังคับสิทธิที่จะได้รับด้วย smart contract บนเทคโนโลยีบล็อกเชน   ปัจจุบันก.ล.ต. ปรับปรุงรายชื่อคริปโทฯ ที่สามารถใช้ลงทุนใน ICO ได้ หรือที่ผู้ประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลสามารถใช้ในการเทียบราคาสินทรัพย์ดิจิทัลอื่น ๆ ในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลได้ โดยปัจจุบันมี 4 ตัว ได้แก่ Bitcoin (BTC) Ethereum (ETH) Ripple (XRP) และ Stellar (XLM) พร้อมย้ำการประกาศรายชื่อคริปโทฯ  ดังกล่าวไม่ใช่การรับรองสถานะให้เป็นเงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายแต่อย่างใด   รายชื่อคริปโทฯ ที่ ก.ล.ต. ประกาศนั้นมีเพื่อวัตถุประสงค์ในการอนุญาตให้เป็นคริปโทฯ ​ที่ใช้ลงทุนในโทเคนดิจิทัลที่ผ่านกระบวนการทำไอซีโอได้  ตลอดจนเพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลสามารถใช้ในการเปรียบเทียบมูลค่ากับสินทรัพย์ดิจิทัลตัวอื่น ๆ ที่จดทะเบียนในศูนย์ซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (base trading pair) ตามพระราชกำหนดการประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล พ.ศ. 2561 โดยหลักในการคัดเลือกคริปโทฯ ในรายชื่อจะพิจารณาจากพัฒนาการ ข่าวสารที่เกี่ยวข้อง และปัจจัยสำคัญอื่นเกี่ยวกับคริปโทเคอร์เรนซีต่าง ๆ โดยรายชื่อที่ประกาศนั้น อาจได้รับการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเป็นระยะ ๆ คริปโทฯ อีกช่องทางเพิ่มยอดขายอสังหา ในช่วงเวลา 1-2 ปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เริ่มหันมาให้ความสนใจในการใช้สินทรัพย์ดิจิทัล เข้ามาประยุกต์ใช้กับธุรกิจมากขึ้น เพราะช่วงที่ผ่านมาธุรกิจอสังหาฯ ต่างเผชิญกับความยากลำบากในการทำธุรกิจ โดยเฉพาะตั้งแต่มีการออกมาตรการ LTV ของธปท. เพื่อลดระดับความร้อนแรงในตลาดอสังหาฯ โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม จากกลุ่มผู้ซื้อนักลงทุน กลุ่มนักเก็งกำไร และกลุ่มทุนต่างชาติ จนปีที่ผ่านมามีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ตลาดอสังหาฯ ได้รับผลกระทบอย่างมากมาย ​   หนึ่งในหัวใจสำคัญของการดำเนินธุรกิจอสังหาฯ ภายใต้สถานการณ์ที่แวดล้อมไปด้วยปัจจัยลบ คือ การบริหารกระแสเงินสด และรักษาสภาพคล่องทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ  ดังนั้น โจทย์ของดีเวลลอปเปอร์จึงต้องพยายามเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน การสร้างยอดขายเพิ่ม และบริหารสต็อกสินค้าให้มีประสิทธิภาพ ช่วงที่ผ่านมาเราจึงเห็นการทำตลาดกันอย่างหนัก ด้วยแคมเปญลดแลกแจกแถม เพื่อให้ได้ยอดขายและกระแสเงินสดกลับเข้ามาสู่บริษัท และการลดการเปิดตัวโครงการใหม่ โดยเฉพาะโครงการคอนโด   นอกจากนี้ การใช้เครื่องมือทางการเงิน ก็เป็นอีกหนึ่งทางรอดในยามวิกฤตของธุรกิจอสังหาฯ เห็นได้จากการออกหุ้นกู้ เพื่อระดมทุนให้บริษัทมีงบประมาณในการขับเคลื่อนธุรกิจต่อไปได้ ในภาวะที่สถาบันการเงินเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการ รวมถึงประชนชนผู้บริโภคทั่วไป และแน่นอนการก้าวไปสู่ตลาดการเงินดิจิทัล ด้วยการเพิ่มช่องทางการซื้อขายด้วยสินทรัพย์ดิจิทัล ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการเพิ่มยอดขาย และสร้างรายได้ เป็นการปรับตัวรองรับกับการเปลี่ยนแปลงของโลกธุรกิจ และพฤติกรรมผู้บริโภค   ปัจจุบันจึงได้เห็นดีเวลลอปเปอร์หลายราย  จับมือกับผู้พันธมิตรผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล เพื่อซื้อขายบ้าน และคอนโด รวมถึงการชำระค่าส่วนกลางหรือค่าใช้จ่ายอื่น ๆ เกี่ยวกับการซื้อขายอสังหาฯ หรือบริการต่าง ๆ ของดีเวลลอปเปอร์ด้วย ส่วนตอนนี้มีใครได้เข้ามาในตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลบ้างแล้ว ไปดูกัน ORI จับมือบิทคับซื้อขายผ่านคริปโต​ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ได้ร่วมมือกับบริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด หรือ บิทคับ (Bitkub) ให้ลูกค้าสามารถซื้อบ้านและคอนโดของกลุ่มออริจิ้นได้ทุกโครงการ ด้วยคริปโทเคอร์เรนซี ผ่าน Wallet จากบัญชี Bitkub​ ซึ่งจะทำให้ออริจิ้นสามารถขยายฐานลูกค้าออกไปได้กว้างมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะชาวต่างชาติในต่างประเทศ จะได้รับความสะดวกในการซื้อขายคอนโด มากกว่าการใช้สกุลเงินปกติ ​   โดยสกุลเงินดิจิทัลที่สามารถนำมาซื้อขายบ้านและคอนโดของออริจิ้นได้นั้น มีด้วยกัน 3 สกุลเงิน ได้แก่ ได้แก่ อีเธอเรียม (Ethereum-ETH) เทเทอร์ (Tether USD-USDT) และบิทคอยน์ (BitcoinBTC) ซึ่งโครงการของกลุ่มออริจิ้นที่สามารถใช้สกุลเงินดิจิทัลได้ ประกอบด้วย  บ้านเดี่ยวแบรนด์ ไบรตัน (Brighton) บริทาเนีย (Britania) แกรนด์ บริทาเนีย (Grand Britania) และบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่เบลกราเวีย (Belgravia) รวมถึงโครงการคอนโด ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ อาทิ สมาร์ทคอนโดสำหรับคน Gen Z แบรนด์ดิ ออริจิ้น (The Origin), ออริจิ้นปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug&Play) และบริกซ์ตัน (Brixton) คอนโดระดับไฮเอนด์แบรนด์ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge) และ โซโห แบงค็อก (SOHO Bangkok) ไปจนถึงแบรนด์คอนโดระดับ ลักซ์ชัวรี่อย่าง พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) และอสังหาฯ เพื่อการลงทุนอย่างแบรนด์แฮมป์ตัน (Hampton) ชาญอิสสระ ผนึก BITKUB   บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ CI ได้ร่วมมือกับบิทคับ ในการขยายฐานลูกค้าผู้ที่ต้องการซื้ออสังหาฯ ในกลุ่มชาญอิสสระ ด้วยสกุลเงินดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นคอนโด​ บ้านเดี่ยว บ้านพักตากอากาศ รวมถึงจองที่พักโรงแรมในเครือ  13 โครงการ ผ่านเหรียญ 4 สกุลเงินที่ได้รับความนิยมและมีโอกาสเติบโตในอนาคต ได้แก่ Bitcoin (BTC), Ethereum (ETH),  USDC และ USDT โดยผู้ซื้อสามารถดำเนินการผ่าน Wallet จากบัญชี BITKUB   โดยชาญอิสสระได้นำทุกโครงการของบริษัทและบริษัทในเครือมาเปิดรับสกุลเงินดิจิทัล ใช้คริปโทเคอร์เรนซี เป็นเจ้าของอสังหาฯ พร้อมวางเงินจอง  เงินดาวน์ เงินโอนได้ 100% ของราคาบ้านหรือห้องชุดใช้แลกเปลี่ยนเป็นค่าที่พัก เมื่อใช้บริการโรงแรม รวมทั้งค่าใช้จ่ายส่วนกลาง หรือ Sinking Fund CMC จับมือ Zipmex บริษัท เจ้าพระยามหานคร จำกัด (มหาชน) หรือ CMC  ได้จับมือกับบริษัท ซิปเม็กซ์ จำกัด (Zipmex) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำของเอเชีย ทั้งในประเทศไทย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย อินโดนีเซีย เพื่อใช้แพลตฟอร์มของซิปเม็กซ์ ในการซื้อขายคอนโด และบ้านของ CMC ด้วยคริปโทเคอร์เรนซี เป็นช่องทางการชำระเงินใหม่ ที่จะทำให้ลูกค้าทั้งไทยและต่างประเทศ ได้รับความสะดวกสบายและมีช่องทางการชำระเงินที่เพิ่มมากขึ้น สำหรับโทเคนดิจิทัลทุกชนิด อาทิ​​ BTC, ETH, ZMT, USDT, USDC, LTC, BCH, GOLD, LINK, OMG, SXP, ENJ, YFI, SAND,  XLM และ SIX เป็นต้น  สามารถนำมาซื้อบ้านและคอนโดของกลุ่ม CMC ได้ทุกโครงการ และยังนำเอาโทเคนดิจิทัลมาจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อาทิ จ่ายเป็นค่าจอง ค่าทำสัญญาซื้อขาย ค่าโอนกรรมสิทธิ์ ค่าส่วนกลาง ASW ลุยสกุลเงินดิจิทัล บริษัท​ แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน​) หรือ ASW ​ได้ร่วมมือกับ บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิ้งส์  เพิ่มทางเลือกให้ลูกค้าแลกสกุลเงินดิจิทัล หรือ คริปโทฯ  เป็นเงินบาท เพื่อใช้ในการซื้อบ้านและคอนโดของบริษัท ผ่าน Wallet ของบิทคับ ​​พร้อมกับการ​จัดตั้ง บริษัท ดิจิโทไนซ์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อย เพื่อรองรับการศึกษาและลงทุนเกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัล และเทคโนโลยี ให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนไปของเทคโนโลยี โดยให้ความสนใจไปที่เทคโนโลยีบล็อกเชน และพร้อมตั้ง บริษัท ฟิวเจอร์คอมแพทเทเร่ จำกัด เป็นที่ปรึกษาผู้ชำนาญการในการจัดการสินทรัพย์ดิจิทัลด้วย ALL เล็งใช้ DOGE ซื้อบ้าน-คอนโด​ ด้านบริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL ได้มีการศึกษาความเป็นไปได้ในการนำสกุลเงินดิจิทัล DOGE Coin มาใช้ซื้อขายบ้านและคอนโดในโครงการของออลอินสไปร์ เพราะมองว่าเหรียญดังกล่าว เป็นสกุลเงินดิจิทัลที่กำลังได้รับความนิยม โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ เพราะมีสภาพคล่องสูง และราคาอยู่ในระดับที่ดี จึงมีความเป็นไปได้ที่จะนำเอาสกุลเงินดิจิทัลดังกล่าวมาใช้ซื้อขายบ้านและคอนโด​ ANAN ซื้อขายบ้าน-คอนโดผ่านคริปโทฯ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN  ได้ร่วมมือกับ Bitkub  พัฒนาช่องทางการชำระเงิน โดยเป็นการนำสินทรัพย์ดิจิทัล (Cryptocurrency) มาใช้ชำระเงินสำหรับการซื้อขายบ้านและคอนโด ของอนันดาฯ  ลูกค้าสามารถใช้เหรียญคริปโทฯ ชำระแทนเงินสดกับทุกโครงการของอนันดาฯ ผ่าน Wallet ของบิทคับ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าในการจ่ายเงิน โดยทุกโครงการบ้านและคอนโดของอนันดา ภายใต้แบรนด์ แอชตัน, ไอดีโอ คิว, ไอดีโอ โมบิ, ไอดีโอ, เอลลิโอ, ยูนิโอ, อาร์เทล, แอริ, เอโทล, ยูนิโอทาวน์ และเออร์บานิโอ แสนสิริ จับมือ XSpring บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ได้จับมือ XSpring  เปิดรับสกุลเงินดิจิทัล ใช้คริปโทฯ ซื้อที่อยู่อาศัยของแสนสิริได้ทุกโครงการ พร้อมยังใช้จ่ายค่าส่วนกลางโครงการได้ ซึ่งเป็นการรองรับตลาดคริปโทฯ ที่เติบโตก้าวกระโดด พุ่งกว่า 1.16 ล้านบัญชี ณ วันที่  31 พฤษภาคม 2564 และเป็นการเจาะกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ ที่ให้ความสนใจในตลาดคริปโทฯ นอกจากการใช้คริปโทฯ ซื้อบ้าน – คอนโดของแสนสิริได้ทุกโครงการแล้ว ยังใช้จ่ายค่าส่วนกลางได้ตลอดทุกปี สำหรับโครงการที่บริหารโดยพลัส พร็อพเพอร์ตี้  ซึ่งเปิดรับทุก Wallet ไม่จำกัดคริปโทฯ ​4 สกุลเงินดิจิทัล ได้แก่ Bitcoin, ETH , USDC และ USDT ผ่านทาง Bitazza (บิทาซซ่า) โบรกเกอร์-ดีลเลอร์ที่มีเครือข่ายทั้งในไทยและทั่วโลก ในฐานะพาร์ทเนอร์ที่ช่วยเปิด Wallet​ แฟรคชั่น จับมือ 3 ดีเวลลอปเปอร์ บริษัท แฟรคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษัทในเครือ Fraction Group ผู้ดำเนินธุรกิจ Fintech ของฮ่องกง ได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต. ให้เป็นผู้ให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัล (ICO Portal License) โดยจะเริ่มประกอบกิจการเมื่อได้รับความเห็นชอบจาก ก.ล.ต ซึ่ง Fraction ได้พัฒนา Platform เพื่อให้บริการระบบเสนอขายโทเคนดิจิทัลครบวงจร ให้บริการครอบคลุม บริการแปลงสินทรัพย์ให้อยู่ในรูปของสินทรัพย์ดิจิทัล (NFT and Asset Digitization) และการแบ่งซอยสินทรัพย์ออกเป็นส่วนย่อย ๆ (Ownership Fractionalization) อย่างครบวงจร ​ การเสนอขายโทเคนดิจิทัลครั้งแรกให้กับนักลงทุน (“Initial Fraction Offering” หรือ “IFO”)  บริการตลาดที่สองเพื่อรองรับการซื้อขายโทเคนดิจิทัลระหว่างผู้ลงทุน และ​ การทำหน้าที่ตัวกลางสำหรับบริการอื่น ๆ ทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าและนักลงทุนในทุกขั้นตอน ตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดกระบวนการ   โดยบริษัทมี​ Platform สำเร็จรูปที่ครอบคลุมทุกขั้นตอนและพร้อมใช้งานได้ทันที ทำให้ทั้งบุคคลธรรมดา และนิติบุคคล สามารถลงทุน, เสนอขาย, และบริหารการถือครองสินทรัพย์ทุกประเภท ไม่ว่าส่วนของความเป็นเจ้าของจะเล็กน้อยแค่ไหน โดยสินทรัพย์นั้นอาจจะอยู่ในรูปของ คอนโดในเมือง, รีสอร์ทริมทะเล, งานศิลปะ  ซึ่งรวมถึงการบริหารกองทุนส่วนบุคคล สินทรัพย์ และ ผู้ลงทุนด้วย   ล่าสุด บริษัทได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) กับ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ MQDC,​ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ CI และบริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) หรือ NVD เพื่อหาแนวทางนำโครงการอสังหาฯ  ของทั้ง 3 บริษัทมาระดมทุนจากการเสนอขายโทเคนดิจิทัลครั้งแรก (IFO) มูลค่ารวม 15,000 ล้านบาท ซึ่งหลังจากที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. ให้เริ่มดำเนินการได้แล้ว Fraction จะทำงานร่วมกับ MQDC, ชาญอิสสระ และ เนอวานา ไดอิ เพื่อสรุปโครงสร้างการเสนอขาย และจัดทำเอกสารการเสนอขาย IFO เพื่อยื่นขออนุมัติจาก ก.ล.ต. ต่อไป โดย Fraction คาดว่าจะเริ่มเปิดจอง IFO ได้ในไตรมาสแรกของปี 2565   ถือได้ว่าการพัฒนาการของโลกการเงินดิจิทัล กำลังก้าวเข้ามามีบทบาทต่อวงการอสังหาฯ ซึ่งอาจจะเข้ามาช่วยทำให้ตลาดอสังหาฯ ที่ชะลอตัวลงไป กลับมาเติบโตและฟื้นตัวได้เร็วขึ้น แต่เรื่องนี้ก็ยังถือเป็นเรื่องใหม่มากสำหรับวงการอสังหาฯ ของไทย ไม่ว่าจะเป็นฝั่งผู้ประกอบการ หรือฝั่งผู้บริโภค ที่คงต้องศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับคริปโทฯ ให้มากขึ้นกว่านี้ เพราะเหรียญไม่ได้มีด้านเดียว การลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลเอง ก็ยังมีหลายปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวัง เพราะมีความเสี่ยงจากการลงทุนไม่ต่างจากการลงทุนชนิดอื่น   ก.ล.ต.เคยระบุว่า การลงทุนในคริปโทฯ มีความเสี่ยงมากมายหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น ไม่มีการรับประกันความสำเร็จหรือผลตอบแทน อาจไม่มีสภาพคล่องเปลี่ยนมือยาก ผู้ประกอบการธุรกิจอาจไม่มีใบอนุญาต และราคามีความผันผวน อย่างที่เกิดขึ้นหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมา ดีเวลลอปเปอร์ได้รับเหรียญจาการแลกเปลี่ยนอสังหาฯ มาแล้ว ราคาเกิดตกลง ก็เสี่ยงขาดทุนได้เช่นกัน ดังนั้น นักลงทุนหรือผู้บริโภคที่จะเข้าไปสู่การตลาดคริปโทฯ คงต้องศึกษาและพิจารณาอย่างละเอียดรอบครอบ เพื่อไม่ให้มาเสียใจได้ในภายหลัง และหวังว่าผู้ซื้อจะได้บ้านหรือคอนโดตามที่ต้องการ ส่วนผู้ประกอบการก็ขอให้ขายดีมีกำไรกันทุกราย
THE UNIQUE VILLAGE บ้านเดี่ยวสไตล์มินิมอล

THE UNIQUE VILLAGE บ้านเดี่ยวสไตล์มินิมอล

THE UNIQUE VILLAGE บ้านเดี่ยวสไตล์มินิมอล โครงการ THE UNIQUE VILLAGE By KTN ASSET THE UNIQUE VILLAGE บ้านเดี่ยวสไตล์มินิมอล บนทำเลศาลายา-คลองโยง ที่น่ารักน่าอยู่แบบสุดๆ ตอบโจทย์ทุกคนในครอบครัว ด้วยบ้านขนาด 4 ห้องนอน4  4 ห้องน้ำ บนที่ดินขนาด 49 ตารางวา แถมราคาช่วง Presale ก็โดนใจ เปิดตัวในงบ 2.99 ล้านบาท* เท่านั้น พร้อมความเป็นส่วนตัวแบบสุดๆ เพียงแค่ 4 ยูนิต     THE UNIQUE VILLAGE บ้านเดี่ยวสไตล์มินิมอล โครงการ THE UNIQUE VILLAGE By KTN ASSETเป็นโครงการบ้านเดี่ยว สไตล์ "มินิมอล" ตามคอนเซปต์ของแบรนด์ "Less Speaking, More Creating" ซึ่งโดดเด่นด้วยการออกแบบตัวบ้านให้มีความเรียบง่าย แต่ยังคงไว้ด้วยฟังก์ชันครบครัน ตอบสนองทุกความต้องการ ตอบโจทย์ความสะดวกสบายในการอยู่อาศัยของทุกคนในครอบครัว จากแนวคิด Organic Living ใช้ชีวิตใกล้ชิดธรรมชาติ บนทำเลในย่าน ศาลายา-คลองโยง จังหวัดนครปฐม ใกล้ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองสายบางใหญ่-กาญจนบุรี (กำลังก่อสร้าง) สามารถเดินทางได้ง่าย ไม่ว่าจะเข้าสู่ใจกลางเมือง หรือเดินทางออกต่างจังหวัด ก็ใช้เวลาเดินทางไม่มาก ตัวบ้านอยู่บนที่ดินขนาด 49 ตารางวา ออกแบบเป็นหน้าจั่ว 2 ชั้น ภายในแบ่งเป็น 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอยทั้งหมด 132 ตารางเมตร ที่เพิ่มพื้นที่ให้ทุกคนในครอบครัวได้ใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ ใกล้ทั้งแหล่งช็อปปิ้งอย่าง Central ศาลายา และมหาวิทยาลัยมหิดล แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ทั้งร้านอาหาร ร้านกาแฟ และคาเฟ่เก๋ๆ อีกเพียบ ทำให้ทุกวันของคุณเป็นวันพักผ่อนได้พิเศษกว่าใคร ด้วยยูนิตจำนวนจำกัดเพียง 4 หลังเท่านั้น!! ราคาเริ่มต้น 2.99 ล้าน* เฉพาะช่วง PRESALE เท่านั้น *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด KTN ASSET โทรสอบถามรายละเอียดโครงการ • โทรสอบถามเพิ่มเติม : 099-607-6116 • Line : @KTNASSET ( มี @ นำหน้า ) • Facebook : KTN ASSET บทความที่น่าสนใจ ‘ศาลายา – พุทธมณฑลสาย 5’ แลนด์มาร์กใหม่อสังหาฯ ทุ่ม 9 พันล้านขยายถนนนครอินทร์เชื่อมศาลายา
7  มาตรการดึงต่างชาติกระตุ้นเศรษฐกิจ-การลงทุนไทย เพิ่มเม็ดเงิน 1 ล้านล้าน

7 มาตรการดึงต่างชาติกระตุ้นเศรษฐกิจ-การลงทุนไทย เพิ่มเม็ดเงิน 1 ล้านล้าน

ภาวะเศรษฐกิจไทย มีหลายอุตสาหกรรมที่เป็นตัวขับเคลื่อนและสร้างการเติบโต ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการผลิต การส่งออก การเกษตร การท่องเที่ยว และอสังหาริมทรัพย์  ซึ่งส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาตลาดต่างประเทศ หรือไม่ก็เป็นกลุ่มค้าชาวต่างชาติ เพราะลำพังการบริโภคภายในประเทศ อาจจะไม่เพียงพอต่อการสร้างการเติบของเศรษฐกิจไทยได้มากพอ แต่จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ภาวะเศรษฐกิจไทยก็ชะลอตัวลงอย่างมาก โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและอสังหาริมทรัพย์ เพราะ 2 กลุ่มนี้มีฐานลูกค้าต่างชาติช่วยสร้างการเติบโตอย่างมีนัยะสำคัญ เมื่อมีการแพร่ระบาดของเชื้อโรค ทำให้ต้องล็อกดาวน์ประเทศ หยุดการเดินทางหยุดการท่องเที่ยว แน่นอนกลุ่มลูกค้าต่างชาติสำหรับตลาดการท่องเที่ยวและอสังหาฯ หายไปจนแทบจะเป็นศูนย์ ซึ่งทุกประเทศในโลกนี้ต่างก็เผชิญชะตากรรมไม่ได้แตกต่างกันมากนัก   รัฐบาลไทยเองจึงพยายามเร่งหามาตรการเพื่อมาฟื้นฟูเศรษฐกิจ และกระตุ้นตลาดกลับมาให้ได้เร็วและมากที่สุด เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดส่งสัญญาณดีขึ้น มาตรการควบคุมโรคทำได้ดี ประชาชนคนไทยได้รับการฉีดวัคซีนกันมากตามเกณฑ์ที่กำหนด   ล่าสุด การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 14 กันยายนที่ผ่านมา จึงมีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน โดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้ามาภายในประเทศไทย ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ ซึ่งมีด้วยกัน 7 เรื่องสำคัญ ดังนี้ ​   1.เห็นชอบในหลักการของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย (มาตรการฯ) และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) รับผิดชอบการดำเนินมาตรการฯ โดยพิจารณาจัดตั้งหน่วยบริการขึ้นเพื่อสนับสนุนและเชิญชวนให้ชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้ามาเป็นผู้พำนักระยะยาวในประเทศไทย หรือพิจารณาให้เอกชนเข้าร่วมดำเนินงานส่วนใดส่วนหนึ่งภายใต้กำกับของ สกท. ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินมาตรการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและไม่เป็นภาระต่องบประมาณแผ่นดินเกินสมควร 2.มอบหมายให้กระทรวงมหาไทย (มท.) พิจารณาความเหมาะสมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดวีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาวใหม่ รวมทั้งข้อยกเว้นและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ (1) ยกเว้นให้ผู้ถือวีซ่าประเภทผู้พำนักอาศัยระยะยาวและวีซ่าประเภท Smart Visa ทั้งหมดไม่ต้องมีหนังสือแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบหากอยู่ในประเทศเกินเก้าสิบวัน ตามมาตรา 37 (5) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 และให้มีคุณสมบัติของผู้ขอวีซ่า สิทธิประโยชน์ และรายละเอียดอื่น ๆ ตามที่เสนอ (2) ให้ศึกษาแนวทางการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการถือครองที่ดิน   3.มอบหมายให้กระทรวงแรงงาน (รง.) พิจารณาความเหมาะสมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการการทำงานและอนุญาตให้ทำงานของคนต่างด้าว โดยให้ผู้ถือวีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาวสามารถทำงานให้นายจ้างทั้งที่อยู่ในราชอาณาจักรและนอกราชอาณาจักรได้โดยได้รับอนุญาตให้ทำงานโดยอัตโนมัติพร้อมกับการขอวีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาว   4.มอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) พิจารณาให้ผู้ถือวีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาวไม่อยู่ภายใต้หลักเกณฑ์การพิจารณาออกใบอนุญาตทำงาน เรื่อง การกำหนดให้การจ้างคนต่างด้าว 1 คนต้องจ้างงานพนักงานคนไทยทำงานประจำ 4 คน ตามคำสั่ง ตช. ที่ 327/2557 เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการพิจารณากรณีคนต่างด้าวขออนุญาตอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว 5.มอบหมายให้กระทรวงการคลัง (กค.) พิจารณาความเหมาะสมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาษีประเภทต่าง ๆ และระเบียบวิธีปฏิบัติด้านการศุลกากร ดังนี้ 1.ปรับลดพิกัดอัตราอากรขาเข้าเพื่ออำนวยความสะดวกและลดต้นทุนในการนำสินค้าประเภทไวน์ สุรา และยาสูบประเภทซิการ์ลงกึ่งหนึ่งเป็นเวลา 5 ปี 2.ปรับปรุงประกาศกรมศุลกากรที่เกี่ยวกับการปฏิบัติพิธีการศุลกากรของติดตัวผู้โดยสารที่นำติดตัวเข้ามาในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรพร้อมกับตนทางท่าอากาศยานให้เหมาะสมและเป็นปัจจุบัน โดยให้ใช้หลักการพิจารณาจากปริมาณ จำนวน หรือสภาพของสิ่งของที่นำเข้าหรือส่งออกว่าเป็นไปเพื่อการใช้ประโยชน์ส่วนตนหรือไม่ แทนการพิจารณาจากมูลค่าของสิ่งของ 3.ดำเนินการจัดทำและเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรเพื่อกำหนดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ถือวีซ่าผู้พำนักระยะยาวประเภทกลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ โดยเทียบเคียงกับมาตรการภาษีในลักษณะเดียวกันของเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการดึงดูดกลุ่มผู้พำนักระยะยาวเป้าหมายที่มีศักยภาพสูงและมีรายได้จากการทำงานในประเทศไทยระหว่างที่ได้รับอนุญาตให้อยู่อาศัยในราชอาณาจักร   6.มอบหมายให้ สกท. พิจารณาการบริหารจัดการวีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาวและวีซ่าประเภทอื่น ๆ ที่มีอยู่แล้วเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน   7.มอบหมายให้หน่วยงานที่รับผิดชอบข้างต้นเร่งรัดดำเนินการภายใน 90 วัน และให้รายงานความคืบหน้าของผลการพิจารณาผ่าน สศช. เพื่อรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป โดยเป้าหมายในระยะ 5 ปี (2565-2569) ประเทศไทยต้องการมีชาวต่างชาติที่มีรายได้สูง นักลงทุน ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ผู้เกษียณอายุที่มีรายได้สูงจากบำนาญมาอาศัยในไทย 1 ล้านคน เพื่อทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้น 1 ล้านล้านบาท  ซึ่งคาดว่านักท่องเที่ยวที่เข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทย จะมีการใช้จ่ายเงินเบื้องต้นคนละ 1  ล้านบาทต่อปี   ที่มา : เว็บไซต์นสพ.แนวหน้า, มติครม.วันที่ 14 ก.ย.2564      
พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค  เตรียมเปิด 2 โปรเจ็กต์กว่า 6,600 ล้าน  เจาะลูกค้าไฮเอนด์ กำลังซื้อสูง-กระทบโควิด-19 น้อย

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เตรียมเปิด 2 โปรเจ็กต์กว่า 6,600 ล้าน เจาะลูกค้าไฮเอนด์ กำลังซื้อสูง-กระทบโควิด-19 น้อย

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ลุยสร้างยอดขายเพิ่มกลุ่มโครงการไฮเอนด์ เตรียมเปิดโครงการใหม่โค้งท้ายปลายปี  2 โปรเจ็กต์ มูลค่า 6,630 ล้าน ​หลังพบกลุ่มลูกค้ายังมีกำลังซื้อสูง ได้ผลกระทบจากโควิด-19 น้อย   นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 4 บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 2 โครงการ รวมมูลค่า 6,630 ล้านบาท ได้แก่ “เลค เลเจ้นด์ บางนา-สุวรรณภูมิ” บนทำเลใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ จำนวน 127 ยูนิต ระดับราคา 28-80 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 6,080 ล้านบาท  ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับฮ่องกงแลนด์เป็นโครงการที่ 2 ต่อเนื่องจากเลค เลเจ้นด์ แจ้งวัฒนะ โดยยังคงคอนเซ็ปต์บ้านริมทะเลสาบ แต่มีขนาดใหญ่ถึง 100 ไร่ ซึ่งใหญ่ที่สุดในทำเลบางนา-สุวรรณภูมิ นอกจากนี้ ยังจะเปิดตัวโครงการ “เพนตัน” โฮมออฟฟิศและบ้านเดี่ยว 5 ชั้น ทำเลสุทธิสาร มูลค่าโครงการ 550 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในส่วนของโฮมออฟฟิศก่อน จำนวน 6 ยูนิต มูลค่ารวม 300 ล้านบาท โดยโฮมออฟฟิศ ใจกลางเมืองยังคงเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ ที่ต้องการซื้อเพื่อทำเป็นออฟฟิศในทำเลที่สามารถเดินทางสะดวก และยังสามารถจัดสรรพื้นที่ชั้นบนไว้เพื่อพักอาศัยและพักผ่อนด้วยสวนและสระว่ายน้ำส่วนตัว ช่วงโค้งสุดท้ายของปี  จะมีการเปิดตัว 2 โครงการใหม่ เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบน ที่มีกำลังซื้อสูง มีความพร้อม และได้รับผลกระทบจากโควิด-19 น้อยกว่ากลุ่มอื่น พร้อมกันนี้ ในช่วงปลายปี บริษัทยังจะเน้นทำการตลาดในโครงการระดับไฮเอนด์ต่อเนื่อง ในโครงการทำเลเขาใหญ่ ได้แก่ “เบลล่า เดล มอนเต้” บ้านเดี่ยวในแบบรีสอร์ตเรสซิเดนซ์ ราคา 23-80 ล้านบาท  เนื่องจากยังมีแนวโน้มยอดขายที่ดีต่อเนื่อง จากช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา สามารถทำยอดขายโครงการได้ถึง 400 ล้านบาท  เฉพาะเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โครงการได้รับความสนใจมีการเข้าชมข้อมูลทางออนไลน์เพิ่มขึ้นถึง 85% โดยดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นเป็นกลุ่มลูกค้าที่ต้องการ บ้านตากอากาศหรือบ้านหลังที่สองนอกเมืองเพื่อรองรับวิถีชีวิตใหม่ โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ เนื่องจากเขาใหญ่ยังคงเป็นทำเลทอง สำหรับคนที่ต้องการบ้านพักตากอากาศหรูมักเลือกเป็นแห่งแรก ๆ ลูกค้ากลุ่มนี้จะให้ความสำคัญกับสินค้าที่มีคุณภาพ   นอกจากนี้ การก่อสร้างโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองบางปะอิน–โคราช ยังมีส่วนทำให้โครงการในย่านเขาใหญ่มีความน่าสนใจเพิ่มขึ้น โดย “เบลล่า เดล มอนเต้” มีจุดเด่นอยู่ที่รูปแบบโครงการในสไตล์อิตาเลี่ยนรายล้อมด้วยทิวเขา ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเลคโคโมทะเลสาบยอดนิยมของอิตาลี โดยเน้นกลุ่มที่ต้องการบ้านสไตล์รีสอร์ตในสังคมที่เงียบสงบ ให้ความเป็นส่วนตัว ด้วยจำนวนยูนิตไม่มาก
เซ็นทรัลพรัฒนา  ปั้นแบรนด์ นิรติ จับตลาดเรียลดีมานด์  เปิดโปรเจ็ตก์ใหม่ 1,850 ล้าน

เซ็นทรัลพรัฒนา ปั้นแบรนด์ นิรติ จับตลาดเรียลดีมานด์ เปิดโปรเจ็ตก์ใหม่ 1,850 ล้าน

เซ็นทรัลพัฒนา เดินหน้าปั้นพอร์ตอสังหาฯ เพื่ออยู่อาศัย เปิดโปรเจ็กต์ นิรติ ดอนเมือง มูลค่า 1,850 ล้าน รับกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์และเครดิตดี   ร.อ. กรี เดชชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย บริษัท เซ็นทรัล​พัฒนา จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า ได้เตรียมเดินหน้าปั้นพอร์ตอสังหาริมทรัพย์ ทั้งแนวราบและแนวสูง เพื่อเป้าหมายการเป็นหนึ่งในผู้นำโครงการในรูปแบบมิกซ์ยูส  ด้วยการนำธุรกิจศูนย์การค้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ ​   โดยวันที่ 18-19 กันยายนนี้ เตรียมเปิดพรีเซลอย่างเป็นทางการ  โครงการแนวราบในรูปแบบมิกซ์โปรดักส์ ประกอบด้วยบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ภายใต้แบรนด์นิรติ ได้แก่ โครงการนิรติ ดอนเมือง ตั้งอยู่ในย่านดอนเมือง-วิภาวดี  บ้านสไตล์โมเดิร์นทรอปิคอล​ รวม 262 ยูนิต มูลค่ารวม 1,850 ล้านบาท  ในระดับราคา 4.29-12 ล้านบาท  ซึ่งถือว่าเป็นเซ็กเมนต์กลุ่มลูกค้าเรียลดีมานต์ ที่มีกำลังซื้อและเครดิตดี โครงการ​นิรติ ดอนเมือง มีพื้นที่โครงการ 45-3-68.5 ไร่ แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว  ขนาดที่ดิน 50.2 ตร.ว. ขึ้นไป พื้นที่ใช้สอย 180 – 227 ตร.ม.,  บ้านแฝด ขนาดที่ดิน 36.9 ตร.ว. ขึ้นไป พื้นที่ใช้สอย 180-227 ตร.ม. และทาวน์โฮมขนาดที่ดิน 22.1 ตร.ว. ขึ้นไป  พื้นที่ใช้สอยประมาณ 143 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 4.29  - 12 ล้าน   นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่เปิดขายแล้ว อีกสองทำเล ได้แก่ นิรติ บางนา และนิรติ เชียงราย รวม 3 โครงการ และยังมี แบรนด์ นินญา บ้านหรูระดับ 9.9-15  ล้านบาท และ แบรนด์ นิยาม บ้านหรูระดับลักชูรี่ เริ่มต้น 25 ล้านบาท การลงทุนในธุรกิจอสังหาฯ ​เพื่อการอยู่อาศัย ในปี 2564 บริษัทวางเป้าหมายพัฒนาโครงการให้สอดคล้องไปกับธุรกิจหลักอย่างศูนย์การค้า และมิกซ์ยูสโปรเจ็กต์ ที่จะเข้าไปเป็นแลนด์มาร์กใหม่ศูนย์กลางการใช้ชีวิต หรือ Center of Life ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ ชูอัตลักษณ์ของจังหวัด และต้องเป็นมิตรกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม   ปัจจุบันเซ็นทรัลพัฒนา เรซซิเด้นซ์ และบริษัทในเครือ มีโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายแล้ว  ได้แก่ 1.โครงการคอนโดมิเนียม ฟีล พหล34  คอนโดมิเนียมแบบ Low Rise 8 ชั้น มูลค่าโครงการประมาณ 1,400 ล้านบาท พื้นที่ 3-2-7.4 ไร่  จำนวน 358 ยูนิต ห้องขนาด 25-35  ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.99 ล้านบาท* 2.โครงการบ้าน นินญา กัลปพฤกษ์ (บ้านแฝด) มูลค่าโครงการประมาณ 1,500 ล้านบาท ติดถนนใหญ่กัลปพฤกษ์ จำนวน 144 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 9-12 ล้านบาท 3.โครงการบ้านเดี่ยว นิยาม บรมราชชนนี (บ้านเดี่ยวระดับลักชูรี่) คฤหาสน์หรูสไตล์ Modern Classic มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 กว่าล้านบาท จำนวน71 ยูนิต
เอพี เปิดบ้านเดี่ยว 5 โปรเจ็กต์กว่า 7,000 ล.  รับคลายล็อกดาวน์ พร้อมโชว์  8 เดือนทำยอดโต36%

เอพี เปิดบ้านเดี่ยว 5 โปรเจ็กต์กว่า 7,000 ล. รับคลายล็อกดาวน์ พร้อมโชว์ 8 เดือนทำยอดโต36%

คลายล็อกดาวน์ ส่งสัญญาณบวกธุรกิจอสังหาฯ “เอพี” เดินหน้าเปิด 5 โครงการใหม่กว่า 7,000 ล้าน เติมพอร์ตบ้านเดี่ยว หลัง 8 เดือนปิดไป 6 โปรเจ็กต์ พร้อมสร้างยอดขายกว่า 12,400 ล้าน ​เติบโต 36%   นายรัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ รองกรรมการผู้อำนวยการ  สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว บริษัท​ เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า แม้ช่วงที่ผ่านมาจะมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ผู้บริโภคเกิดการชะลอการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ลงบ้าง  แต่ปัจจุบันภาพรวมของธุรกิจอสังหาฯ เริ่มฟื้นตัวหลังคลายล็อกดาวน์เป็นสัญญาณบวก ทำให้ช่วง​ 8 เดือนที่ผ่านมา เอพี สามารถสร้างยอดขายรวมได้มากถึง 23,300 ล้านบาท โดยเป็นยอดขายจากสินค้าบ้านเดี่ยว 12,400 ล้านบาท หรือเติบโตกว่า 36% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ 9,100 ล้านบาท ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาบ้านเดี่ยวเครือเอพี มียอดลูกค้าเยี่ยมชมโครงการผ่านการนัดหมายล่วงหน้า ทางระบบออน์ไลน์ เฉลี่ย 385 ครอบครัวต่อสัปดาห์ นับเป็นกระแสตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สามารถประกาศปิดการขายไปได้ทั้งสิ้น 6 โครงการ ส่วนในไตรมาส 4 นี้ คาดว่าจะสามารถทยอยปิดการขายเพิ่มได้อีก 8 โครงการ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและการเติบโตอย่างมั่นคง  ในเดือนกันยายนนี้ เอพีพร้อมเปิดตัวบ้านเดี่ยวโครงการใหม่เพิ่มจำนวน 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 7,020 ล้านบาท โดยมุ่งกระจายไปหลากหลายทำเลขายดี เพื่อเติมเต็มช่องว่างของโครงการเดิมที่ปิดการขายไปแล้ว และเพื่อสร้างโอกาสความได้เปรียบในการแข่งขันที่มากขึ้น รวมไปถึงการรุกขยายพอร์ตในเซ็กเมนต์ซูเปอร์ลักชัวรี่ ด้วยแบรนด์ “บ้านกลางกรุง” ที่จะกลับมาปักธงในทำเลใจกลางเมืองอีกครั้ง สำหรับบ้านเดี่ยวเอพี 5 โครงการใหม่ ที่พร้อมเปิดขายเดือนกันยายนนี้ มูลค่ารวม 7,020 ล้านบาท ได้แก่ ​1.บ้านกลางกรุง สาธุประดิษฐ์-พระราม 3 มูลค่าโครงการ 400 ล้านบาท บนพื้นที่ดิน 2 ไร่ บ้านเดี่ยวสุดหรู 3 ชั้น  ด้ยการดีไซน์สถาปัตยกรรมโมเดิร์นในวิถีใหม่ พร้อมสเปซฟังก์ชั่นขนาดใหญ่ ตอบรับการใช้ชีวิตของสมาชิกทุกช่วงวัย ทั้งพื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่ของครอบครัว จำนวน​ 13 หลัง ​บนทำเลย่านสาธุประดิษฐ์ ราคา 35-60 ล้านบาท 2.THE CITY ปิ่นเกล้า-บรมฯ 2 มูลค่าโครงการ 2,060 ล้านบาท ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 48 ไร่ บ้านเดี่ยวหรูหลังใหญ่ จำนวนเพียง 105 หลัง ดีไซน์ทันสมัยระดับไฮเอนด์ การออกแบบที่ลงตัวด้วย Double Volume เพดานสูง  บนทำเลศักยภาพบรมราชชนนี ราคา 18.9-29 ล้านบาท 3.THE CITY รามอินทรา-วงแหวน มูลค่าโครงการ 1,270 ล้านบาท ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 34 ไร่ บ้านเดี่ยวสองชั้นสุดหรู จำนวน 108 หลัง ราคา 15.99 - 21 ล้านบาท 4.CENTRO วิภาวดี มูลค่าโครงการ 2,090 ล้านบาท ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 56 ไร่ บ้านเดี่ยวดีไซน์สไตล์โมเดิร์น พื้นที่ใหญ่ 193-274 ตร.ม. ฟังก์ชั่นครบ 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ ทำเลเมือง บนถนนวิภาวดี จำนวน 233 หลัง ราคา 8.99 - 12 ล้านบาท 5.CENTRO ราชพฤกษ์ 345 มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท ตั้งอยู่บนขนาดที่ดิน 42 ไร่ บ้านเดี่ยวแนวคิดใหม่ ฟังก์ชั่นใหญ่ จำนวน 187 หลัง พื้นที่ขนาดใหญ่กว่า 274 ตร.ม. 4 ห้องนอน  3 ที่จอดรถ พร้อม Home Automation ทั้งหลัง บนทำเลติดถนนใหญ่ 345 ราคา 5.99 - 12 ล้านบาท แม้ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันจะท้าทายอย่างมาก แต่ด้วยความตั้งใจในการพัฒนาและส่งมอบบ้านเดี่ยวทุกโครงการในเครือเอพี รวมถึง 5 โครงการใหม่ที่พร้อมในการเปิดตัวเดือนกันยายนนี้  ทำให้เรามั่นใจว่าจะสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างโดดเด่นตามเป้าหมาย ทั้งในมิติการขายและการโอนกรรมสิทธิ์อย่างแน่นอน บ้านเดี่ยวเอพี 5 โครงการใหม่ พร้อมเปิดชมโครงการจริงแล้ววันนี้ ลูกค้าสามารถเยี่ยมชมโครงการได้อย่างไร้กังวลด้วยมาตรการสร้างความอุ่นใจในรูปแบบที่เป็นส่วนตัว ผ่านการนัดหมายวันและเวลาล่วงหน้า พร้อมด้วยการฉีดวัคซีนเสริมภูมิคุ้มกันป้องกันโควิด-19 แก่พนักงานขายเครือเอพีทุกคน สำนักงานขายเปิดให้เยี่ยมชมทุกวัน 09.00 – 18.00 น. ภายใต้มาตรการทำความสะอาดและการดูแลอำนวยความสะดวกที่รัดกุม พร้อมลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษและราคาที่ดีที่สุดจากแต่ละโครงการ ได้ทางเว็บไซต์ของบริษัท    
แลนดี้โฮม เจาะตลาดลูกค้าไฮเอนด์ ดันยอดขาย 8 เดือนทะลุ 1,600 ล้าน

แลนดี้โฮม เจาะตลาดลูกค้าไฮเอนด์ ดันยอดขาย 8 เดือนทะลุ 1,600 ล้าน

แลนดี้โฮม โชว์ผลงานปิดยอดขาย 8 เดือน ทะลุ 1,600 ล้าน สวนกระแสโควิด-19 หลังบุกตลาดลูกค้าไฮเอนด์ สร้างบ้านหลังละ 15 ล้าน มั่นใจสิ้นปีปิดยอดขายได้ตาม​เป้า 2,400 ล้าน   นางสาวพรรัตน์ มณีรัตนะพร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท แลนดี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ยอดขายในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา บริษัทสามารถปิดยอดขายได้ 1,600 ล้านบาท แม้ว่าจะมีมาตรการ​ล็อกดาวน์ประเทศ เพื่อยับยั้งการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลต่อให้ภาคธุรกิจเกิดการชะลอตัว แต่สำหรับแลนดี้ โฮม ยังคงเติบโตสวนทางพิษโควิดดังกล่าว โดยยอดขายในช่วงมกราคม – สิงหาคมที่ผ่านมา ​แบ่งสัดส่วนตามมูลค่าการปลูกสร้าง ดังนี้ บ้านหรูขนาดใหญ่ Brand Landy Grand ราคา 15 ล้านบาทขึ้นไป สัดส่วน 32% บ้านขนาดกลาง Brand Landy Home ราคา 5 - 10 ล้านบาท สัดส่วน 32% และราคา 10-15 ล้านบาท สัดส่วน 23% ส่วนบ้านหลังเล็ก  Brand Trendy Home ราคา 2 - 5 ล้านบาท สัดส่วน 13% โดยพบว่าลูกค้าที่มีงบประมาณปลูกสร้างตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป เป็นกลุ่มที่มีความต้องการปลูกสร้างบ้านสูงสุด   สำหรับปัจจัยที่ส่งผลให้ยอดขายของในกลุ่มบ้านหรูแบรนด์ Landy Grand เติบโตเกินเป้าหมาย มาจากการเปิดสาขาใหม่ในโซนราชพฤกษ์ที่เน้นเจาะกลุ่มตลาดไฮเอนด์ย่านฝั่งธนฯ ได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี ตลาดไฮเอนด์เป็นกลุ่มนิชมาร์เก็ตที่มีกำลังซื้อและความต้องการบ้านหรูในราคาที่คุ้มค่า และเป็นลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางการเงินจากสถานการณ์โควิดน้อยกว่ากลุ่มอื่น ประกอบกับการขึ้นราคาของวัสดุก่อสร้างโดยเฉพาะราคาเหล็กที่ปรับขึ้นแรงในช่วงต้นปี รวมถึงค่าแรงช่างที่ปรับตัวสูงขึ้นทำให้ลูกค้าเร่งตัดสินใจปลูกสร้างบ้าน เพราะมองว่าในอนาคตราคาบ้านจะมีการขึ้นราคาตามวัสดุและค่าแรงที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง   นอกจากนี้ การอ่อนตัวของค่าเงินบาทยังส่งผลให้ลูกค้าหันมาปลูกสร้างบ้าน เพื่อเป็นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และที่ดิน เนื่องจากเป็นการลงทุนที่มีแต่มูลค่าเพิ่มขึ้น อีกทั้งไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป เช่นการ Work from home ในช่วงโควิดทำให้ลูกค้าเห็นถึงความสำคัญของพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านและเทคโนโลยีเพื่อคุณภาพการอยู่อาศัยที่สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตวิถีใหม่ รวมถึงลูกค้าหลายรายมองว่าช่วงนี้สามารถบริหารจัดการเวลาในการปรึกษากับทีมสถาปนิกและมีเวลาในการเข้ามาตรวจสอบความคืบหน้าการก่อสร้างได้มากขึ้น   ตลาดไฮเอนด์ที่เติบโต สอดคล้องกับผลสำรวจของสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ที่พบว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19  ไม่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มลูกค้าระดับบนที่มีความพร้อมในการตัดสินใจปลูกสร้างบ้าน แลนดี้ โฮม จึงมองเห็นโอกาสในการทำตลาดรับสร้างบ้านหรูขนาดใหญ่ภายใต้แบรนด์ Landy Grand   นางสาวพรรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมถึงแนวโน้มสถานการณ์ตลาดรับสร้างบ้านครึ่งปีหลังว่า หากสถานการณ์โควิด-19 มีทิศทางที่ดีขึ้น รัฐบาลมีการคลายมาตรการล็อกดาวน์ จะส่งผลให้กิจการต่าง ๆ กลับมามีรายได้ ซึ่งลูกค้ากลุ่มเจ้าของธุรกิจที่มีแผนจะปลูกสร้างบ้านจะกล้าตัดสินใจ เนื่องจากมีความเชื่อมั่นในสถานการณ์และสามารถวางแผนในอนาคตได้ชัดเจนยิ่งขึ้น   อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายยอดขายในปีนี้  ที่คาดว่าจะทำได้​ 2,400 ล้านบาท ทางแลนดี้ โฮม จึงถือโอกาส จัดโปรโมชั่นพิเศษ เพื่อฉลองครบรอบ 33 ปี แลนดี้ โฮม ระหว่างวันที่ 16-26 กันยายน 2564 ณ แลนดี้ โฮม ทุกสาขา โดยจะมีการ​​เปิดตัวแบบบ้านใหม่ ​เพื่อการใช้ชีวิตวิถีใหม่กว่า 10 แบบ พร้อมติดตั้ง CAP+ (แค็พพลัส) ระบบเติมอากาศบริสุทธิ์ภายในบ้าน ช่วยกรองฝุ่น PM 2.5, ป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ภายในห้องด้วยการสร้าง Positive Pressure ช่วยสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยจากเชื้อโรค และมอบส่วนลดสูงสุด 33%​ สูงสุด 250,000 บาท และ On top ด้วย Voucher มูลค่าสูงสุด 300,000 บาท   นอกจากนี้ทางแลนดี้ โฮม ยังสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการด้วยการกำหนดนโยบายการป้องกันและปฏิบัติงานในสถานการณ์โควิด-19 อย่างเคร่งครัด โดยแบ่งเป็นส่วนของ Show room สำนักงานขาย ได้มีมาตรการการดูแลรักษาความสะอาด โดยพนักงานทุกสาขาได้รับวัคซีนโควิด-19 ครบ 100% สำหรับในส่วนของหน้างานก่อสร้าง ได้กำหนดให้ช่างวัดอุณหภูมิร่างกายพร้อมถ่ายภาพการตรวจสอบทุกเช้า ก่อนเริ่มงานและพนักงานทุกคนสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา