Tag : Lifestyle

432 ผลลัพธ์
เทคนิคเก็บเงินเที่ยวทั้งครอบครัว ทัวร์ได้ในไทยและต่างประเทศ

เทคนิคเก็บเงินเที่ยวทั้งครอบครัว ทัวร์ได้ในไทยและต่างประเทศ

เทคนิคเก็บเงินเที่ยว แม้ว่าตอนนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิดข-19 จะยังคงอยู่ แต่คนส่วนใหญ่ก็ออกมาใช้ชีวิตกันปกติ มีการเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ  และหลายสถานที่ก็เปิดให้บริการ แม้ว่าการออกมาใช้ชีวิต จะต้องอยู่ภายใต้วิถีชีวิตปกติใหม่ (New Normal) ทั้งเรื่องการสวมหน้ากากอนามัย การล้างมือด้วยแอลกอฮอล์บ่อย ๆ การเว้นรระยะห่างทางสังคม ที่สำคัญการได้รับการฉีดวัคซีนป้องกัน คนส่วนใหญ่ก็พร้อมปฏิบัติตาม นอกจากการเดินทางเพื่อทำงาน การเดินทางท่องเที่ยวไปยังสถานที่ท่องเที่ยว ปัจจุบันก็มีมากขึ้นด้วย เพราะการท่องเที่ยวเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้เรามีความสุข สบายใจ และเป็นการพักผ่อนที่ดี เป็นหนึ่งในองค์ประกอบสำคัญของการดูแลร่างกายและจิตใจให้แข็งแรง คนส่วนใหญ่จึงให้ความสำคัญ และท่องเที่ยวกันเพิ่มมากขึ้น   แต่แน่นอน ปัจจัยสำคัญของการเดินทางท่องเที่ยว นอกจากจะต้องมีเวลาว่างแล้ว คงต้องมีเงินเพียงพอด้วย เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยว ยิ่งปัจจุบันภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว รายได้ของหลายคนอาจจะลดลง หรือได้รับผลกระทบ ทำให้มีเงินใช้จ่ายได้ไม่เต็มที่ เหมือนในยามที่เศรษฐกิจเฟื่องฟู แต่การท่องเที่ยวก็เป็นยาบำรุงสภาพจิตใจได้เป็นอย่างดี  หากอยากออกไปเที่ยวก็คงต้องมาหาวิธี ทำยังไงจะมีเงินไปเที่ยวได้   วันนี้ Reviewyourliving จึงมาแนะนำ วิธีเก็บเงินไปเที่ยว ซึ่งเป็นเทคนิคเก็บเงินท่องเที่ยว ที่สามารถนำไปใช้ได้จริง และสามารถไปกันได้ทั้งครอบครัว ไม่ว่าจะซื้อทัวร์หรือเดินทางไปเที่ยวกันเอง ทั้งสถานที่ท่องเที่ยวภายในประเทศ และต่างประเทศ เทคนิคเก็บเงินเที่ยว ทั้งครอบครัว ทัวร์ได้ในไทยและต่างประเทศ 1.แบ่งเงินออมจากน้อยไปมาก พนักงานที่เป็นมนุษย์เงินเดือน หรือแม้แต่ผู้ประกอบอาชีพอิสระ รายได้และรายจ่ายในภาวะวิกฤตโควิด-19 อาจจะไม่มีความแน่นอน ดังนั้น ต้องเริ่มวางแผนงบประมาณ ว่าจะต้องใช้เท่าไรในการไปท่องเที่ย แล้วเริ่มออมเงิน ​แล้วประเมินคร่าว ๆ ว่า ช่วงเดือนไหนออมเงินได้เท่าไหร่ เช่น 4 เดือนแรกจะออม 5,000 บาท อีก 4 เดือนต่อมาจะออมมากขึ้นเป็น 7,000 บาท เป็นต้น การเก็บเงินไปเที่ยวแบบนี้ คงต้องวางแผนกันเป็นปี ว่าช่วงไหนจะออมเงินมากเงินน้อย​ 2.ออมเป็นสกุลเงินต่างประเทศ อยากไปเที่ยวประเทศไหน งบประมาณเท่าไร ไปเมื่อไร ให้วางแผนแล้วใช้วิธีออมเงิน ด้วยการเก็บเงินสกุลนั้น ๆ แต่​เทคนิคนี้เจะหมาะสำหรับคนชอบติดตามข่าวสารเป็นประจำ เพราะอัตราแลกเปลี่ยนประจำวันขึ้นลงไม่เท่ากัน และเหมาะมากกับคนที่มีเงินออมอยู่พอประมาณแล้ว และอยากออมต่อยอดให้มากขึ้นอีก ก็สามารถแบ่งแลกเงิน แทนการออมเงินเพื่อแลกครั้งเดียวได้ 3.ออมในบัญชีเดียว ดีกว่า กระจายหลายบัญชี การเปิดบัญชีเพื่อออมเงินหลายบัญชี อาจให้ผลลัพธ์เท่ากับการออมใส่บัญชีเดียว เพราะอย่าลืมว่าการกระจายบัญชีออม ย่อมต้องมีค่าธรรมเนียมในแต่ละบัญชีด้วย ดังนั้น หากรู้ตัวว่าเป็นคนมีวินัยการออมหย่อนมาก ก็ควรแข็งใจออมในบัญชีเดียวให้สำเร็จก่อน แล้วค่อยต่อยอดออมในอีกบัญชี 4.เฉลี่ยออมกับคนในครอบครัว คนในครอบครัวมาร่วมกันวางแผนจะไปเที่ยวไหน ใครออมได้เดือนละเท่าไร ก็แบ่ง ๆ กันออม  หากประเมินคร่าว ๆ แล้วค้นพบว่าตัวเองไม่สามารถเก็บเงินได้สำเร็จตามแพลนที่วางไว้แน่นอน ลองใช้วิธีวางแผนร่วมกับครอบครัว ช่วยกันออมเงินคนละเล็กละน้อย เช่น น้องออม 300 เราออม 500 คุณพ่อ คุณแม่ออม 200 ทุกเดือน เป็นต้น วิธีนี้ช่วยเพิ่มความสนุกให้กับการวางแผนเที่ยวได้ไม่น้อยเลย 5.เด็กออมเหรียญ ผู้ใหญ่ออมแบงค์ ให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการออม แต่ วิธีนี้ไม่จำเป็นต้องระบุจำนวนเงินออมให้แน่นอนตายตัว แต่เน้นหยอดใส่กระปุกให้ได้ทุกวัน โดยมีเป้าหมายเป็นจำนวนเงินที่ทุกคนร่วมกันตั้งธงไว้ ยิ่งได้เงินตามเป้าหมายไวเท่าไหร่ ทริปในฝันก็ยิ่งเกิดขึ้นได้เร็วเท่านั้น ครอบครัวที่มีเด็กวัยเรียนอยู่ด้วย วิธีนี้นอกจากจะช่วยฝึกวินัยในการออมเงินแล้ว ยังทำให้เด็ก ๆ รู้สึกว่าตัวเองมีส่วนร่วมกับทริปที่จะเกิดขึ้นนี้จริง ๆ รวมถึงเห็นคุณค่าของเงิน และยังสนุกกับไปกับการเก็บเงินด้วย   เพื่อความคล่องตัวในการเก็บเงิน แนะนำให้เปิดบัญชีออนไลน์เพื่อทริปท่องเที่ยวโดยเฉพาะ เพราะนอกจากจะง่าย สะดวก ปลอดภัยแล้ว ยังสามารถเช็กยอดเงินได้ทุกที่ ทุกเวลา อีกด้วย 6.ออมตามจุดหมายปลายทาง เทคนิคการออมเงินเที่ยว วิธีนี้ เป็นการตั้งธงไว้ก่อน หรือตั้งเป้าหมายสถานที่เที่ยวจะไป และงบประมาณต้องใช้ แล้วมาดูว่าสมาชิกในครอบครัวแต่ละคนสามารถออมเงินกันคนละเท่าไร หรือหัวหน้าครอบครัวจะออมคนเดียวก็ได้ การบอกสมาชิกในครอบครัวให้ทราบ เพื่อที่จะลดค่าใช้จ่ายไม่จำเป็น หรือทำให้ทุกคนเข้าใจว่าต้องเตรียมเงินมากน้อยแค่ไหน ทุกคนจะได้มีส่วนร่วมในการท่องเที่ยว -ออมเดือนละ 500 บาท เที่ยวในประเทศได้ชิล ๆ สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มเก็บออม แนะนำให้ออมเดือนละ 500 บาท ถ้าเพื่อน ๆ ทำได้ตั้งแต่ต้นปี ปลายปีก็จะมีเงินสำหรับไปเที่ยวในประเทศได้ 2-3 วัน ในราคา 5,000-6,000 บาท โดยค่าตั๋วเครื่องบินชั้นประหยัดจะเริ่มตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักพัน ส่วนค่าที่พักเริ่มต้นที่ 500 บาทต่อคืน เหลือเงินไว้กินเที่ยวช้อปประมาณ 2,000-3,000 บาทชิล ๆ อีกด้วย -ออมเดือนละ 1,000 บาท ก็ปักหมุดเที่ยวประเทศใกล้ๆ ได้ ประมาณ 10,000-12,000 บาท สามารถขยับจากเที่ยวในประเทศไปประเทศใกล้ ๆ ได้ 3-5 วัน ค่าตั๋วเครื่องบินเริ่มต้นที่ประมาณ 3,000-4,000 บาท ถ้าจองตั๋วล่วงหน้าก็จะได้ในราคาถูก เหลือเงินสำหรับค่าที่พักและค่ากินอย่างสบาย ๆ โดยค่าที่พักจะอยู่ที่ประมาณ 1,000-2,000 บาทต่อคืน ใครอยากลงไปสัมผัสวัฒนธรรมต่างประเทศแบบใกล้ๆ อย่างประเทศลาว เวียดนาม เมียนมา หรือมาเลเซีย ก็ลองเก็บเงินกันดูนะคะ -ออมเดือนละ 3,000 บาท เที่ยวโซนเอเชียได้ไม่มีเอาท์ สำหรับใครที่อยากไปเที่ยวไกลกว่าอาเซียนก็ลองปรับจำนวนเงินเก็บในแต่ละเดือนให้สูงขึ้นอีกหน่อยเป็น 3,000 บาท ต่อเดือน เพื่อให้มีตัวเลือกในการไปเที่ยวที่หลากหลายขึ้น ถ้าเพื่อนๆ ลองเก็บเงินในจำนวนเท่านี้ปลายปีก็จะมีเงินไปเที่ยวถึง 30,000-36,000 บาท สามารถไปเที่ยวโซนเอเชียได้ประมาณ 3-5 วัน ค่าตั๋วเครื่องบินช่วงโปรโมชั่นอยู่ที่ประมาณ 7,000-12,000 บาท หากได้ตั๋วเครื่องบินราคาถูก ก็จะเหลือเงินสำหรับค่าใช้จ่ายส่วนอื่น ๆ เกือบ 30,000 บาทเลย โดยประเทศที่สามารถไปท่องเที่ยวได้ในงบเท่านี้ก็มีเกาหลี ญี่ปุ่น หรือจีน เป็นต้น -ออมเดือนละ 5,000 บาท เช็คอินได้ฟิน ๆ ที่ยุโรป สำหรับคนที่มีกำลังมากหน่อย สามารถเลือกเก็บเดือนละ 5,000 บาท สิ้นปีก็จะมีเงินให้ชื่นใจถึง 50,000-60,000 บาท งบเท่านี้เลือกเที่ยวได้หลายที่ตามที่ใจต้องการ ทั้งยุโรปตะวันออกและยุโรปตะวันตก สามารถไปเที่ยวได้ประมาณ 6-7 วัน โดยราคาตั๋วเครื่องบินจะอยู่ที่ราว ๆ 10,000-22,000 บาท ใครยังไม่เคยไปยุโรปตะวันออก แนะนำเส้นทางออสเตรีย-สโลวาเกีย-เช็ก เมื่อไปถึงออสเตรียต้องแวะเมืองหลวงอย่างเวียนนา เพื่อเที่ยวชมสถาปัตยกรรมที่หรูหรางดงามแบบ Rococo และชมผลงานศิลปะอันหลากหลายของ Schoenbrunn Palace เป็นต้น   ส่วนใครที่อยากจะไปท่องเที่ยวเส้นทางยุโรปตะวันตก ฝรั่งเศส-เบลเยี่ยม-เนเธอร์แลนด์ ก็มีความน่าสนใจและสวยงามไม่แพ้กัน แค่มีวีซ่าเชงเก้นก็สามารถเดินทางระหว่างประเทศได้สะดวก ค่าทำวีซ่าอยู่ที่ประมาณ 2,000 – 2,500 บาท   ทั้งหมดนี้ คือวิ เทคนิคการออมเงินเที่ยว ซึ่งเป็นธีง่าย ๆ สำหรับการเก็บเงินเพื่อพาครอบครัวไปเที่ยว ซึ่งจำนวนเงินจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับเป้าหมายและการวางแผนของเรา ที่สำคัญที่สุดก็คือ ความตั้งใจในการเก็บออมอย่างจริงจัง ขอให้ทุกคนสนุกกับการท่องเที่ยว และปลอดภัยจากอันตรายต่าง ๆ   ขอบคุณข้อมูลจาก : SCB, Krungsri Plearn Plearn ภาพประกอบ : freepik, pixabay   บทความที่เกี่ยวข้อง เจาะอินไซต์ 8 เทรนด์ท่องเที่ยวปี 2020 นักท่องเที่ยวไทยใส่ใจสิ่งแวดล้อม-เที่ยวเมืองรองมากขึ้น
รวมแหล่งตรวจเครดิตบูโร เช็คความพร้อมก่อนสร้างหนี้ ​

รวมแหล่งตรวจเครดิตบูโร เช็คความพร้อมก่อนสร้างหนี้ ​

ตรวจเครดิตบูโร การตรวจเช็คเครดิตบูโร ถือเป็นหนึ่งเรื่องสำคัญ ของคนที่คิดจะก่อหนี้ก้อนโต อย่างเช่น การขอสินเชื่อธนาคาร เพื่อกู้ซื้อบ้าน หรือคอนโดมิเนียมสักห้อง เพราะธนาคารจะดูข้อมูลของผู้ขอกู้ ว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนตามหลักเกณฑ์การให้สินเชื่อหรือไม่ หรือก็คือ จะต้องตรวจดูข้อมูลย้อนหลัง ว่ามีพฤติกรรมการชำระหนี้ในอดีตอย่างไร มีภาระหนี้สินปัจจุบันมากน้อยแค่ไหน จะได้ประเมินและวัดความสามารถในการผ่อนชำระหนี้กับทางธนาคารนั่นเอง ปัจจุบันการตรวจเครดิตบูโร ไม่ใช่เรื่องยาก สามารถทำได้ด้วยตนเอง และมีช่องทางการตรวจเครดิตบูโรหลากหลายช่องทางมาก ซึ่งวันนี้ได้รวบรวมข้อมูลมาให้ใว้แล้ว สะดวกที่ไหน สะดวกอย่างไร ก็ใช้บริการกันได้ตามความสะดวกเลย​ รวมแหล่งตรวจเช็คเครดิตบูโร 1.ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร ปัจจุบันศูนย์ตรวจเครดิตบูโรส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่จังหวัดกรุงเทพฯ​ เป็นหลัก โดยมีศูนย์ตรวจที่ให้บริการตามพื้นที่ต่าง ๆ ดังนี้   -ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่  อาคาร 2 ชั้น 2  เลขที่ 63 ถนนพระราม 9 เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310 เปิดให้บริการวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 9.00 – 16.30 น. หยุดวันนักขัตฤกษ์ ให้บริการกับบุคคลธรรมดาของตนเองและมอบอำนาจ / เครดิตสกอริ่ง (บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล) / นิติบุคคล / นิติบุคคล (มอบอำนาจ) / ชาวต่างชาติ  นิติบุคคลยังใช้บริการผ่านไปรษณีย์ลงทะเบียนได้ด้วย   -ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร – อาคารเพิร์ล แบงก์ค็อกชั้น 3 (โซนธนาคาร) (BTS อารีย์ ทางออก 1) เปิดให้บริการวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 9.00 น. – 18.00 น. หยุดวันหยุดนักขัตฤกษ์ ให้บริการเฉพาะบุคคลธรรมดาของตนเองและมอบอำนาจ / เครดิตสกอริ่ง (บุคคลธรรมดา) / ชาวต่างชาติ   -ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร – สถานีรถไฟฟ้า BTS ศาลาแดง (ภายในสถานี)  เปิดให้บริการวันจันทร์ – ศุกร์ เวลา 9.00 น. – 18.00 น. หยุดวันหยุดนักขัตฤกษ์ ให้บริการเฉพาะบุคคลธรรมดาของตนเองและมอบ อำนาจ / เครดิตสกอริ่ง (บุคคลธรรมดา) / ชาวต่างชาติ   -ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร – ท่าวังหลัง (บริเวณทางเข้า-ออก ท่าเรือ และใกล้ประตู 8 ของโรงพยาบาลศิริราช) เปิดให้บริการวันจันทร์ –  ศุกร์ เวลา 9.00 น. – 18.00 น ให้บริการเฉพาะบุคคลธรรมดาของตนเองและมอบอำนาจ / เครดิตสกอริ่ง (บุคคลธรรมดา) / ชาวต่างชาติ   -ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร – สถานีรถไฟฟ้า BTS หมอชิต (ภายในสถานี) เปิดให้บริการวันจันทร์ –  อาทิตย์ เวลา 9.00 น. – 18.00 น. ให้บริการเฉพาะบุคคลธรรมดาของตนเองและมอบอำนาจ / เครดิตสกอริ่ง (บุคคลธรรมดา) / ชาวต่างชาติ   -ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร – สถานีรถไฟฟ้า BTS ชิดลม (ภายในสถานี) เปิดให้บริการวันจันทร์ –  อาทิตย์ เวลา 9.00 น. – 18.00 น. ให้บริการเฉพาะบุคคลธรรมดาของตนเองและมอบอำนาจ / เครดิตสกอริ่ง (บุคคลธรรมดา) / ชาวต่างชาติ   -ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร ห้างเจเวนิว (นวนคร) ชั้น 3 ติดประกันสังคม เปิดให้บริการวันจันทร์ –  อาทิตย์ เวลา 9.00 น. – 18.00 น. ให้บริการเฉพาะบุคคลธรรมดาของตนเองและมอบอำนาจ / เครดิตสกอริ่ง (บุคคลธรรมดา) / ชาวต่างชาติ 2.Application เช่น Bureou OK สำหรับการตรวจเครดิตบูโร ยังสามารถทำได้สะดวกและง่าย ๆ ผ่าน แอป ได้แก่ แอป Bureou OK  ของ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติฯ การตรวจข้อมูลเครดิตและเครดิตสกอริ่ง ผ่านแอป Bureau OK  มีขั้นตอนต่าง ๆ ดังนี้ ขั้นตอนการลงทะเบียนใช้บริการ Bureau OK 1.ลงทะเบียนโดยใช้บัตรประชาชนของตนเอง ยื่นให้กับเจ้าหน้าที่ เตรียมหมายเลขโทรศัพท์มือถือ (เพื่อรับรหัส OTP ยืนยันตัวตน)  และอีเมลของตนเอง สำหรับยืนยันการใช้บริการ 2.ดาวน์โหลดแอป Bureau OK  ได้ทั้งระบบปฏิบัติการ Android และ iOS 3.สร้างบัญชีผู้ใช้งานและเข้าระบบได้เลย​ – บริการตรวจข้อมูลเครดิตและเครดิตสกอริ่ง รับรายงานรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (NCB e-Credit Report) ทางอีเมลได้ทันที – บริการอื่น ๆ เช่น รายงานแบบสรุป ดูประวัติการตรวจย้อนหลัง เช็กภาระหนี้สินของตนเอง การอ่านรายงาน ข่าวสารข้อมูลเครดิตบูโร – สอบถามปัญหา ข้อสงสัยเกี่ยวกับเครดิตบูโร ค่าบริการ -รายงานข้อมูลเครดิต 100 บาท -รายงานข้อมูลเครดิตและเครดิตสกอริ่ง 200 บาท -สามารถเลือกชำระค่าบริการผ่าน QR Code หรือบัตรเครดิต/บัตรเดบิตได้ในแอปทันที   ข้อมูล 21 มี.ค. 65*ปิดปรับปรุงระบบบริการแอปพลิเคชัน “บูโร โอเค” เป็นการชั่วคราว เพื่อพัฒนาระบบและเพิ่มประสิทธิภาพระบบบริการให้ดียิ่งขึ้น 3.ตู้ตรวจเครดิตบูโรด้วยตนเอง สำหรับคนที่อยู่ในเขตกรุงเทพฯ  สามารถตรวจเครดิตบูโรได้ด้วยตนเอง ผ่านตู้คีออส ซึ่งเป็นตู้ตรวจเครดิตบูโรด้วยตนเอง ซึ่งสามารถรับรายงานทางอีเมล ได้ทันที โดยตู้ตั้งอยู่ตามสถานที่ต่าง ๆ ดังนี้   1.Bureau Lab (บูโรแล็บ) –ภายในสถานี BTS ชิดลม และหมอชิต –ท่าเรือวังหลัง อยู่บริเวณทางเข้า-ออก ท่าเรือ และใกล้ประตู 8 ของโรงพยาบาลศิริราช 2.สถานีกลางบางซื่อ  ด้านหลังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ประตูทางเข้า 1  จุดติดตั้งนาฬิกาประจำสถานี หรือนาฬิกาหน้าปัดหมายเลข 9 3.ศูนย์การค้า ดิ อเวนิว รัชโยธิน กรุงเทพฯ ชั้น 4 4.ที่ทำการไปรษณีย์ทั่วประเทศ ที่ทำการไป​รษณีย์ และเคาน์เตอร์บริการไปรษณีย์ ทุกแห่งทั่วประเทศ  เป็นอีกสถานที่ที่สามารถตรวจเช็คข้อมูลเครดิตบูโรได้ โดยใช้บัตรประชาชนของตนเอง พร้อมค่าบริการรายงานข้อมูลเครดิต 150 บาทไปยื่นขอรับได้ แต่เฉพาะรายการลูกค้าบุคคลธรรมดา ยื่นขอตรวจของตนเองเท่านั้นหาก ซึ่งจะรับรายงานทางไปรษณีย์ลงทะเบียน ภายใน 7 วันทำการ แต่หากต้องการตรวจเครดิตบูโรแบบสรุป สามารถรอรับได้ทันที  และไม่เสียค่าบริการ  สามารถตรวจสอบสาขาที่ให้บริการเพิ่มเติม ที่ www.thailandpost.co.th  5.Internet Banking สำหรับ Internet Banking ก็เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการตรวจเครดิตบูโร แต่จะมีเฉพาะธนาคารกรุงศรีอยุธยา และธนาคารกรุงไทย เพียง 2 แห่งเท่านั้นที่ท่านสามารถยื่นคำขอรายงานเครดิตบูโรได้ผ่านช่องทาง Internet Banking ได้ด้วยตนเอง 6.Mobile Banking ในยุคปัจจุบันคนส่วนใหญ่ มักจะมีแอปพลิเคชั่นเพื่ออำนวยความสะดวก รวมถึงแอปของธนาคาร เพื่อทำธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ  และหนึ่งในนั้นก็คือ การขอข้อมูลเครดิตบูโรผ่านแอปธนาคารด้วย ซึ่งปัจจุบันมี 4 ธนาคารที่เปิดให้บริการผ่านโมบาย แอป ดังนี้ แอป MyMo ธนาคารออมสิน ให้บริการตรวจข้อมูลเครดิตและเครดิตสกอริ่ง ผ่านโมบายแอป MyMo ธนาคารออมสิน  เลือกวิธีรับรายงานได้ 2 รูปแบบ 1.รับรายงานรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (NCB e-Credit Report) ทางอีเมล ภายใน 24 ชั่วโมง ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่เครดิตบูโรกำหนด 2.รับผลทางไปรษณีย์ลงทะเบียนภายใน 7 วันทำการ (ข้อมูลรูปแบบเอกสาร) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม 1143 MyMo Call Center   หมายเหตุ -กรณีชื่อ-นามสกุล อีเมล เบอร์โทรศัพท์มือถือ และที่อยู่ของท่านมีการเปลี่ยนแปลง กรุณาปรับแก้ไขในระบบให้ถูกต้องก่อนใช้บริการ -อัปเดต Mymo เป็นเวอร์ชันล่าสุดก่อนทำรายการ   -แอป KKP Mobile Application ให้บริการตรวจข้อมูลเครดิตและเครดิตสกอริ่ง ผ่าน KKP Mobile Application ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (แบบเรียลไทม์)   -แอป  Krungthai Next ให้บริการตรวจรายงานข้อมูลเครดิตและเครดิตสกอริ่ง ผ่านโมบายแอป ”Krungthai Next” รับรายงานรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (NCB e-Credit report) ทางอีเมล ภายใน 24 ชั่วโมง  แต่ต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่เครดิตบูโรกำหนด ซึ่งสามารถเลือกวิธีรับผลได้ดั่งใจ 2 วิธี 1.รับผลทางอีเมลภายใน 24ชั่วโมง* (ข้อมูลเครดิตรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์) 2.รับผลทางไปรษณีย์ลงทะเบียนภายใน 7 วันทำการ (ข้อมูลเครดิตรูปแบบเอกสาร)   หมายเหตุ : – หากไม่ได้รับภายในกำหนด โปรดติดต่อ consumer@ncb.co.th – บริการยื่นคำขอตรวจเครดิตบูโรผ่านเคาน์เตอร์สาขา และ ATM ของธนาคารกรุงไทย พร้อมรับผลทางไปรษณีย์ลงทะเบียนได้เช่นเดิม   -แอป ttb touch การตรวจเครดิตบูโรผ่านโมบายแอป “ttb touch” (ธนาคารทีทีบี)  สามารถรับรายงานข้อมูลเครดิตรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ (E-Credit report) ทางอีเมลภายใน 3 วันทำการ (ข้อมูลเครดิตรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์) หรือรับผลทางไปรษณีย์ลงทะเบียนภายใน 7 วันทำการ (ข้อมูลเครดิตรูปแบบเอกสาร)   หมายเหตุ -กรณีชื่อ-สกุล อีเมล เบอร์โทรศัพท์มือถือ และที่อยู่ของท่านมีการเปลี่ยนแปลง กรุณาปรับแก้ไขในระบบให้ถูกต้อง ก่อนใช้บริการ -หากไม่ได้รับภายในกำหนด โปรดติดต่อ consumer@ncb.co.th -บริการยื่นคำขอตรวจเครดิตบูโรผ่านเคาน์เตอร์สาขา และ ATM ของธนาคารทีเอ็มบี พร้อมรับผลทางไปรษณีย์ลงทะเบียนได้เช่นเดิม 7.เคาน์เตอร์ธนาคาร สำหรับคนที่อาจจะไม่ชอบใช้เทคโนโลยี หรือไม่ถนัด ก็สามารถเดินทางไปที่ธนาคาร เพื่อขอตรวจเครดิตบูโร หรือประวัติเครดิตได้ด้วย โดยการยื่นคำขอตรวจเครดิตบูโร ผ่านเคาน์เตอร์ 5 ธนาคารทั่วประเทศได้ดังนี้ -ธนาคารกรุงไทย -ธนาคารอาคารสงเคราะห์ -ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ -ธนาคารกรุงศรี -ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร   โดยธนาคารจะทำหน้าที่เป็นตัวแทน บริษัท ข้อมูลเครดิตฯ ในการรับคำขอตรวจสอบ และรับชำระค่าตรวจสอบ ซึ่งจะให้บริการเฉพาะเจ้าของข้อมูลที่เป็นบุคคลธรรมดา และต้องมายื่นขอตรวจสอบด้วยตนเองเท่านั้น โดยบริษัท ข้อมูลเครดิตฯ​จะเป็นผู้ตรวจสอบข้อมูล และจัดส่งรายงานข้อมูลเครดิตทางไปรษณีย์ลงทะเบียนให้แก่ผู้ขอ ภายใน 1 สัปดาห์นับจากวันที่ท่านได้ยื่นคำขอที่ธนาคาร   ขั้นตอนการขอยื่นคำขอตรวจสอบข้อมูลเครดิตที่เคาน์เตอร์ธนาคาร 1.เจ้าของข้อมูลบุคคลธรรมดา กรอกแบบคำขอตรวจสอบข้อมูลเครดิตที่ธนาคาร หรือขอแบบฟอร์มจากเจ้าหน้าที่ธนาคารสาขาที่ท่านติดต่อ และลงลายมือชื่อให้ครบถ้วน พร้อมแนบหลักฐาน ดังต่อไปนี้ กรณีบุคคลสัญชาติไทย บัตรประจำตัวประชาชน/บัตรอื่นที่หน่วยงานราชการออกให้ที่แสดงเลขที่บัตรประจำตัวประชาชน (ตัวจริง) กรณีบุคคลต่างด้าว 1.หนังสือเดินทาง/ใบสำคัญถิ่นที่อยู่ (ตัวจริง) 2.ยื่นเอกสารในข้อ 1 และชำระค่าธรรมเนียมการตรวจสอบข้อมูลเครดิตต่อเจ้าหน้าที่ธนาคาร 3.ธนาคาร จะออกหลักฐานการรับชำระเงินค่าธรรมเนียม และค่าจัดส่งเอกสาร ให้แก่ท่านเก็บไว้เป็นหลักฐาน 4.บริษัทข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จะจัดส่งรายงานข้อมูลเครดิตให้แก่ท่านภายใน 7 วันทำการนับจากวันที่ยื่นคำขอ ที่ธนาคาร   หมายเหตุ :  ในแบบฟอร์มการขอตรวจสอบ กรุณาระบุที่อยู่ของท่านที่จะให้บริษัทจัดส่งรายงานให้ครบถ้วน และชัดเจน รวมทั้งหมายเลขโทรศัพท์ของท่านในกรณีที่บริษัทต้องการสอบถามเพิ่มเติม 8.ตู้เบิกเงินสด (ATM) เราสามารถตรวจเครดิตบูโรผ่านตู้ ATM ของธนาคารได้ด้วย  โดยต้องเป็นบัตรเอทีเอมของธนาคารนั้น ซึ่งเจ้าของบัตรใช้บริการได้ กับตู้ ATM ของธนาคารต่าง ๆดังนี้ -ธนาคารกรุงไทย (KTB) สำหรับลูกค้าของธนาคารที่ถือบัตร ATM และบัตรเดบิต -ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) สำหรับลูกค้าของธนาคารที่ถือบัตร ATM, บัตรเดบิต และบัตรเครดิต (ที่ใช้เป็นบัตรเอทีเอ็ม) โดยผู้ขอจะได้รับรายงานทางไปรษณีย์ลงทะเบียนภายใน 1 สัปดาห์ 9.ช่องทางออนไลน์ของเครดิตบูโร (NCB) นอกจากนี้ บริษัท ข้อมูลเครดิตฯ ยังมีบริการสอบถามข้อมูลต่าง ๆ รวมถึงการเช็คเครดิตบูโร กับช่างออนไลน์และโซเชียลมีเดีย ได้แก่ เว็บไซต์ www.ncb.co.th ช่องทางไอจี เฟสบุ๊ค ยูทูป ไลน์แอด ilovebureau และอีเมล consumer@ncb.co.th ซึ่งสามารถติดต่อเพื่อขอตรวจเช็คเครดิตบูโร และข้อมูลอื่น ๆ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง   ทั้งหมดนี้ ก็เป็นแหล่งการตรวจเครดิตบูโร ที่ทุกคนอยากรู้ว่าตนเองมีประวัติการชำระหนี้อย่างไร หรือมีหนี้อยู่มากน้อยแค่ไหน ก็สามารถตรวจสอบกันได้ โดยเฉพาะคนที่กำลังวางแผนก่อหนี้ก่อนใหญ่ ควรจะตรวจสอบและเตรียมความพร้อมให้ดีที่สุด   CR : บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร)  
Bang Khla Cafe คาแฟ่สไตล์โฮมมี่ เหมือนปิกนิกในสวนหลังบ้าน

Bang Khla Cafe คาแฟ่สไตล์โฮมมี่ เหมือนปิกนิกในสวนหลังบ้าน

คาเฟ่และร้านอาหาร ที่ตั้งอยู่ทางเข้าตลาดน้ำบางคล้า  ตัวร้านดีไซน์มาในสไตล์โฮมมี่ สีขาวอบอุ่น  เติมความร่มรื่นด้วยต้นไม้รอบๆ บรรยากาศเรียบง่ายพร้อมมุมถ่ายรูปแจ่มๆเพียบ Bang Khla Cafe คาแฟ่สไตล์โฮมมี่ ดื่มด่ำกับบรรยากาศกันแล้ว มาดูเมนูกันบ้าง เครื่องดื่ม ขนม  หรือจะจัดหนักก็มีอาหารหนักๆอิ่มๆ ให้เลือก เมนูซิกเนเจอร์ที่ทางร้านแนะนำ คือ อเมริกาโน  น้ำมะพร้าว สายหวานละมุนต้องห้ามพลาดกันเลย   มาดูเมนูอาหารจานเด็ดกันบ้าง ข้าวผัดน้ำพริลงเรือ ปลากะพงราน้ำปลา เสิร์ฟพร้อมผักเคียงสดๆ อีกแมนูที่ไม่เคยเจอที่ไหนแน่ๆ อกไก่นุ่มย่างน้ำตาลโตรด ส้มตำยอดมะพร้าว จัดว่าดี  หนุ่มสาวสายคาเฟ่ต้องกินขนม จิบกาแฟ ต้องสั่งชุด picnic set  ชาร้อน ครัวซองต์ เค้ก ขนมเปี๊ยะ   เสาร์อาทิตย์ นี้ยังไม่มีที่ไป บางคล้า ฉะเชิงเทรา ก็ไม่ไกลจากกรุงเทพ มีที่ให้แวะจะสายบุญ สายชิว สายช้อป อย่าลืมต้องปักหมุด Bang Khla Cafe  น่าจะเป็นร้านที่ต้องห้ามพลาดอีกร้านนึง   🥤 ข้อมูลร้าน Bang Khla Cafe (บางคล้า คาเฟ่ แอนด์เรสเตอรอง) พิกัด : https://goo.gl/maps/PdDyCEt8HkPbrVUP8 ที่อยู่ : 2 ถ.ระเบียบอนุสรณ์ ต.บางคล้า อ.บางคล้า จ.ฉะเชิงเทรา ร้านเปิดบริการ : 08.00 - 20.00 น. โทร : 08-2510-4538 ที่จอดรถ : มี เว็บไซต์ : https://www.facebook.com/bangkhlacafe-105062425325074/     ร้านแนะนำ RISE COFFEE กาแฟดีที่ เพลินจิต Know Name Cafe กินหมูกระทะสไตล์อเมริกันที่รังสิต 4 แอปสั่งอาหาร อิ่มแบบจุกๆ ส่งฟรี มีโปรฯ แถมสิทธิ์คนละครึ่ง  
รู้ทุกเรื่องของระบบ Blockchain ด้วยแบบจำลอง (ตอนที่1) [VDO]

รู้ทุกเรื่องของระบบ Blockchain ด้วยแบบจำลอง (ตอนที่1) [VDO]

รู้ทุกเรื่องของระบบ Blockchain ด้วยแบบจำลอง (ตอนที่1) ก่อนหน้านี้ เราเคยนำเสนอบทความ Blockchain คืออะไร? เกี่ยวอะไรกับ Bitcoin – Crypto ซึ่งเป็นการอธิบายถึงเทคโนโลยีของระบบ Blockchain ว่าได้เข้ามาช่วยแก้ปัญหาอะไรได้บ้าง และหลักการทำงานของ Blockchain เป็นอย่างไรบ้าง   แต่เพื่อความเข้าใจระบบ Blockchain และเห็นภาพการทำงานที่ชัดเจน ในบทความนี้จึงจะมาอธิบายถึงการทำงานของระบบ Blockchain ด้วยแบบจำลองการทำงานของระบบ Blockchain ผ่านเว็บไซต์ https://andres.com  ซึ่งเราสามารถทดลองเปลี่ยนแปลงค่าต่าง ๆ ได้ เพื่อการเรียนรู้วิธีการทำงานของระบบ Blockchain ได้ง่ายขึ้น โดยที่เราไม่จำเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจในการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ ก็สามารถทดลองเข้าไปใช้งานได้     เริ่มต้นจากการที่เราได้เข้าไปยังเว็บไซต์ดังกล่าว เมื่อเข้าไปยังเว็บไซต์แล้ว จะเห็นว่ามีการแบ่งตัวอย่างการทำงานของ Blockchain ออกเป็น 6 หัวข้อด้วยกัน (เมนูด้านบนขวามือ จะแสดงหัวข้อต่าง ๆ บนหน้าเว็บไซต์)   การ Hash ข้อมูลด้วย SHA256 โดยเราจะมาเริ่มกันที่การ Hash ข้อมูลกันก่อน สำหรับตัวอย่างการ Hash ข้อมูลในเว็บนี้ จะเป็นการใช้อัลกอริทึม SHA256 ในการ Hash ข้อมูลออกมา โดยตัว SHA256 นี้ก็จะเป็นอัลกอริทึมเดียวกันกับตัว Blockchain ของ Bitcoin ใช้ในการ Hash ข้อมูล โดย SHA256 จะถูกใช้ Hash ข้อมูลในส่วน Data ซึ่งผลจะออกมาเป็นรหัส Hash ตามรูปในตัวอย่าง    โดยเราจะมาทำการลองทดสอบคุณสมบัติของ Hash ว่ามีคุณสมบัติอะไรบ้าง เริ่มต้นด้วยการใส่ข้อมูลไปเรื่อย ๆ ซึ่งจะพบว่า เมื่อเราใส่ข้อมูลไปในส่วนของ Data ไปทุกครั้ง รหัสของ Hash ก็จะมีการเปลี่ยนแปลงไปทุกครั้งเช่นกัน ​โดยความยามของรหัส Hash จะยังคงเท่าเดิมเสมอ และข้อมูลที่จะใส่เข้าไปสามารถใส่ได้ไม่จำกัด ใส่ข้อไปมากแค่ไหนก็ได้   ต่อมาจะมาดูคุณสมบัติถัดไปของการ Hash ซึ่งรหัสของ Hash ที่ดูว่าเป็นรหัสมั่ว ๆ ไม่มีความหมายอะไร แต่จริง ๆ แล้วรหัส Hash ไม่ได้มั่ว เพราะหน้าตาของรหัส Hash จะออกมาเหมือนเดิมเสมอ ตาม Data ที่เราใส่เข้าไป ถ้าเราใส่ Data ชุดเดิม รหัสของ Hash ก็จะกลับมาเป็นแบบเดิมเสมอ คุณสมบัติของ Hash อันนึงก็คือ ตัว Hash ไม่สามารถถูกคาดเดาโดย Data ที่ใส่เข้ามาในส่วนของ Data ได้เลย เพราะเมื่อใส่ข้อมูลใหม่ที่ไม่เหมือนเดิมเพียงเล็กน้อย รหัส Hash ก็จะเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่เหลือเค้าโครงเดิมเลย ซึ่งคุณสมบัตินี้ ก็เป็นหนึ่งในคุณสมบัติของการรักษาความปลอดภัยในระบบ Blockchain   การต่อยอดฟังก์ชั่นการใช้งาน Hash ระบบ Blockchain มีการต่อยอดฟังก์ชั่นการใช้งานของ Hash ในการทำงานของ Block อย่างไรบ้าง ซึ่งในส่วนของ Block เมื่อเราเข้ามาแล้วจะเห็นข้อมูลเพิ่มเติมมาจากการ Hash ดังนี้ อันที่ 1 คือ หมายเลข Block อันที่ 2 คือ ตัวเลข Nonce อันที่ 3 คือ Data ช่องสำหรับใส่ข้อมูล ซึ่งเหมือนเดิม อันที่ 4 คือ ตัวเลข Hash เหมือนเดิม แต่จะสังเกตเห็นว่า ตัวเลข Hash เป็นตัวเลข 0 จำนวน 4 ตัว ซึ่งไม่ใช่ Hash แบบปกติ ซึ่งตัว Hash ที่มี 0000 นำหน้าเช่นนี้ จะมีความหมายว่าข้อมูลใน Block มีการถูกบันทึกลงไปใน Block เรียบร้อยแล้ว หรือก็คือ มีการถูก Sign ลงไปแล้ว   เมื่อลองทดสอบใส่ข้อมูลลงไปในช่อง Data สิ่งแรกที่เกิดขึ้น รหัสของ Hash ที่เคยนำหน้าด้วย 0000 ได้เปลี่ยนไปเป็นแบบอื่นแล้ว และพื้นหลังของ Block ได้เปลี่ยนจากสีเขียวไปเป็นสีแดงแล้ว ซึ่งหมายความว่าตอนนี้ข้อมูล ไม่ได้มีการถูก Sign ลงไปใน Block แล้ว หรือไม่ได้ถูกบันทึกลงไปใน Block เมื่อเป็นแบบนี้ เรามีวิธีอย่างไรในการทำให้ข้อมูลที่มีการเปลี่ยนแปลง มีการถูก Sign ลงไปใน Block   สำหรับวิธีการทำ คือ การเปลี่ยนตัวเลขของ Nonce ไปเรื่อย ๆ ด้วยวิธีการสุ่มตัวเลข จนกว่าเราจะได้รหัส Hash ซึ่งเป็น 0000 นำหน้า ข้อมูลใน Block ถึงจะถูก Sign ลงไป ซึ่งถือว่าต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะเจอตัวเลขดังกล่าว ซึ่งในระบบ Blockchain ก็จะใช้หลักการที่เรียกว่า Mining ด้วยการใช้ตัวคอมพิวเตอร์ ในการสุ่มหาตัวเลข โดยตัวอย่างหากกดตรงปุ่ม Mine จะเป็นการ Mining ซึ่งจะทำการ Mining ที่ต้องใช้ระยะเวลาประมาณหนึ่ง และจะได้ตัวเลข Nonce ออกมาเป็น 85869 แล้วจะได้ตัวเลข Hash ที่มี 0000 นำหน้า และพื้นสกรีนด้านหลังจะเปลี่ยนจากสีแดงมาเป็นสีเขียว หมายความว่าตัวข้อมูลใน Block มีการถูก Sign ลงไปเรียบร้อยแล้ว   กรณีที่เราเปลี่ยนตัวเลขของ Block จะเห็นว่าต้องทำการ Mining ใหม่เช่นกัน เพราะมีทำให้ตัวเลขรหัสของ Hash เปลี่ยนแปลงไป  จะเห็นว่าตัวข้อมูลที่มีผลต่อการ Hash จะมีทั้งหมายเลขของ Block  ตัวเลข Nonce และตัว Data ที่เราใส่เข้าไป   หากสังเกต จะเห็นว่าตัวเลข Nonce จะทำหน้าหน้าที่คล้าย ๆ กับตัวเลขที่เป็นคำตอบของ Block​ นี้ เพื่อที่จะได้ทำให้ ตัวข้อมูลมีการถูกบันทึกลงไปใน Block ได้ ซึ่งในระบบ Blockchain ของ Bitcoin ก็คือ ใครที่สามารถหาตัวเลข Nonce เป็นคนแรก ก็จะได้ตัว Bitcoin เป็น Reward ไป   การเชื่อมโยงข้อมูลของระบบ Blockchain เมื่อเรากดไปที่หัวข้อ Blockchain เพื่อเข้ามาที่หน้า Blockchain จะเห็นข้อมูลในแต่ละ Block ซึ่งเราได้ทำการศึกษารายละเอียดไปก่อนหน้านี้ มีลักษณะการเรียงต่อ ๆ กัน เป็น Blockc1 Block2 Block3 Block4 และ Block5 แล้วจะเห็นว่าข้อมูลของแต่ Block จะมีช่อง Prev ซึ่ง คือข้อมูล Hash ของ Block ก่อนหน้า เนื่องจากว่าระบบ Blockchain จะใช้ตัว Hash ของ Block ก่อนหน้าเป็นค่าตั้งต้นสำหรับ Block ถัดไป   กรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลใน Block สุดท้าย ก็จะต้องทำการ Mining ใหม่เหมือนเดิม แต่จะทำการ Mining เฉพาะ Block5  หากกรณีเปลี่ยนข้อมูล Block3 จะเกิดการเปลี่ยนแปลงของ Block3 Block4 Block5 ซึ่งไม่สามารถบันทึกข้อมูลของ Block3 Block4 Block5 ได้ เพราะตัวเลขนำหน้าของ Hash ทั้ง  3 Block ไม่ใช่เลข 0000 วิธีการแก้ไขเพื่อให้ทั้ง 3 Block สามารถบันทึกข้อมูลได้ คือ ต้องทำการ Mining ใหม่ตั้งแต่ Block3 แล้วทำการ Mining ใน Block4 แม้ว่าไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลใน Data ก็ตาม และสุดท้ายต้องทำการ Mining ใน Block5 ต่อไป   จะสังเกตเห็นว่า ยิ่งเราไปแก้ไขข้อมูลใน Block ที่อยู่อันดับต้น ๆ มากเท่าไร เรายิ่งต้องทำการ Mining ในแต่ละ Block มากขึ้นเท่านั้น ซึ่งเป็นวิธีการที่ระบบ Blockchain ใช้ในการป้องกันการแก้ไขข้อมูล   แล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่า ระบบ Blockchain มีการแก้ไขข้อมูล แล้วถูก Remind ใหม่พวกนี้ มีการถูก Remind ข้อมูลในระบบ Blockchain เข้าไปใน Node อื่น ๆ ด้วยหรือไม่ หรือหากเราต้องการอยากทราบว่าข้อมูลระบบ Blockchain ที่เรามีอยู่ มีความถูกต้องหรือไม่ สามารถจะทำการตรวจสอบได้อย่างไร   หลักการทำงาน Distributed Blockchain สำหรับตัวอย่างของ Distributed Blockchain จะมีการแบ่งข้อมูลออกเป็น 3 Blockchain คือ Peer A Peer B Peer C โดยเบื้องต้นข้อมูลของทั้ง 3 คนนี้จะมีลักษณะข้อมูลที่เหมือนกัน โดยจะสังเกตุได้ที่ตัว Hash ตัว Block5 จะเป็น 0000 แล้วก็ E4 B9     ในส่วนของ Peer B ก็เช่นกัน Hash ตัวสุดท้ายก็เป็น E4 B9 Peer C ก็เหมือนกันมีข้อมูล Hash เหมือนกันข้อมูลตัวสุดท้ายเป็น E4 B9  ข้อมูล Hash ก่อนหน้านี้ก็เหมือนกันทุกประการ ในแต่ละ Block แล้วกรณีที่ Peer B มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลไป เช่น   ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลใน Block สุดท้าย ถ้าเป็นเช่นนี้ ตัวระบบจะสามารถตรวจสอบได้ทันทีว่า ข้อมูลของ Blockchain ของ Peer B เป็นข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง เพราะว่า ตัว Hash ตัวสุดท้ายไม่ได้ขึ้นต้นด้วย 0000 แต่ถึงแม้ตัว Peer B ทำการ Mining ข้อมูล เพื่อให้มี 0000 ออกมา ก็จะสังเกตเห็นว่าตัว Hash ตัวสุดท้าย ของ Peer A เป็น 0000 แล้วก็ E4 B9 แต่ว่าตัว Hash ตัวสุดท้ายของ Peer B เป็น 28 BC ขณะที่ Peer C ยังเป็นตัวเลขเดิม คือ E4 B9   เมื่อเป็นแบบนี้ ด้วยระบบ Blockchain ก็สามารถตรวจสอบได้ทันทีว่าข้อมูลของ ตัว B ว่ามีความแตกต่างจาก Blockchain ของตัวอื่น เพราะฉะนั้น Blockchain ของตัว B ก็จะถือว่าเป็นข้อมูลที่ไม่มีความถูกต้อง เพราะมีสัดส่วนเพียง 1 ใน 3 ของข้อมูลทั้งหมด และในหลักการของ Blockchain ที่จะยึดถือ ข้อมูลของเสียงส่วนมากเป็นหลัก ก็จะทำให้ตัว ข้อมูลของ A และ C เป็นข้อมูลที่มีความถูกต้อง ในขณะที่ B เป็นข้อมูลที่ไม่มีความถูกต้อง     โดยระบบ Blockchain ของ Bitcoin ในปัจจุบัน ก็จะมีการ กระจายข้อมูลของ Blockchain ไปยังหน่วยต่าง ๆ ทั่วโลก ก็จะทำให้ Node ต่าง ๆทั่วโลกสามารถ ช่วยกันตรวจสอบข้อมูลกันได้ง่ายขึ้น ซึ่งปกติจะมาเช็คที่ Hash ตัวสุดท้ายก่อนเลย ว่ามีข้อมูลของการ Hash ตรงกันหรือเปล่า แล้วถ้าเกิดสมมุติว่ามี Node ไหน ที่มีข้อมูล แตกต่างจาก Node อื่น ๆ ก็จะสามารถตรวจสอบได้ว่าข้อมูลที่แตกต่างกัน เกิดขึ้นที่ Block ไหน ด้วยการตรวจสอบผ่านทางรหัส Hash   ทั้งหมดนี้ ก็เป็นตัวอย่างการทำงานของ Blockchain แต่จากตัวอย่างที่เห็น ในส่วนของ Data จะเป็นเพียงการกรอกข้อมูลมั่ว ๆ ไม่ได้มีความหมายอะไร แต่ตัวอย่างถัดไป เราจะมาดูตัวอย่าง การโอนเงินด้วยระบบ Blockchain ผ่านทางหัวข้อ Tokens ตรงนี้     Tokens แบบจำลองการโอนเงิน ในส่วนหัวข้อ Tokens ตรงนี้ การบันทึกข้อมูลในส่วนของ Data จะเปลี่ยนเป็น Transaction โดยข้อมูลในส่วนของ Transaction ก็จะมีการระบุ ใครโอนเงินให้ใคร เป็นจำนวนเงินเท่าไร แล้วจะเห็นได้ว่า ขนาด Transaction ในแต่ละ Block จะมีขนาดข้อมูลไม่เท่ากัน เนื่องจากว่าขนาดข้อมูลในแต่ละ Block ไม่จำเป็นต้องมีขนาดเท่ากัน  คุณสมบัติแบบ Distributed ก็มีอยู่เช่นเดิม มีการเก็บข้อมูลแบบกระจายกัน แล้วตัว Hash ก็ต้องมีรหัสตัว Hash ที่เหมือนกันด้วย แล้วถ้าหากมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลใน Block ใดก็ตาม  เราก็ต้องมาทำการ Mining เพื่อหาตัว Hash ใหม่เช่นเดิม   แต่จากตัวอย่างเราจะเห็นแค่การโอนเงินจากใครไปให้ใคร เป็นจำนวนเงินเท่าไร และการเงินเกิดขึ้นใน Block ไหน แต่เราไม่ได้มีการตรวจสอบเลยว่า แล้วคนที่โอนจำนวนเงิน เช่น Dracy โอนเงินให้ Bingley จำนวน 25 เหรียญ Darcy มีจำนวนเงินเพียงพอจริง ๆ หรือเปล่า ที่จะโอนเงินให้ทาง Bingley จำนวน 25 เหรียญ ซึ่งตัวอย่างการตรวจสอบว่าทาง Dracy มีเงินเพียงพอหรือเปล่า เราจะไปดูกันที่ตัวอย่างในหัวข้อ Coinbase (แถบเมนูด้านบนขวามือ)     ที่นี่เรามาดูกันที่ Coinbase Transaction สำหรับ Coinbase ไม่ได้หมายถึงตัวเว็บไซต์ที่ให้ซื้อขายCryptocurrency แต่หมายถึง Transaction แรกที่เกิดขึ้นในระบบ โดยจากตัวอย่าง จะเห็นว่า Transaction แรกที่เกิดขึ้น คือ ระบบมีการสร้างจำนวนเงินขึ้นมา 100 เหรียญ เพื่อโอนให้ทาง Anders แล้วถัดมา Anders ก็มีการโอนจำนวนเงิน ให้กับคนอื่น ๆ ต่อไป โดยจะสังเกตว่า จำนวนเวินที่ Anders จะโอนเงินให้คนอื่นได้ก็ไม่ควรเกิน 100 เหรียญ แล้วจำนวนเงินในระบบก็ไม่ควรที่จะเกิน 100 เหรียญเช่นกัน   โดยจากข้อมูลตรงนี้ ก็จะเห็นว่ามีการโอนเงินไปเรื่อย ๆ แล้วข้อมูลจาก Blockchain เราสามารถที่จะคิดย้อนกลับ โดยเช็คในแต่ละคนได้นะว่าแต่ละคน มีเงินเพียงพอจริง ๆ หรือไม่ ที่จะโอนให้คนอื่นต่อไป อย่างเช่น Jackson โอนเงินให้  Alexander  2 เหรียญ เราก็ต้องมาดูก่อนหน้านี้ว่า Jackson มีการได้รับเงินจากใครมาก่อนด้วยหรือเปล่า เราจะเห็นว่า Jackson ก็เคยได้รับเงินมาจากทาง Emily แล้วทาง Madison แล้วเคยได้รับเงินจาก Sophia ใน Block นี้เช่นกัน ซึ่งจะเห็นได้ว่า ข้อมูลการรับโอนเงินในระบบ Blockchain จะทำให้เราสามารถตรวจสอบได้ว่า เงินเคยโอนจากใครไปหาใคร แล้วคน ๆ นั้น มีเงินจำนวนเท่านั้นจริง ๆ หรือเปล่า ที่จะสามารถโอนต่อให้คนอื่นได้     สมมุติทาง Anders มีการไปเปลี่ยนข้อมูลใน Blockchain ของตัวเอง ว่าตัวเองได้เงิน จากระบบ 1,000 เหรียญ จะเห็นว่าตัว Hash มีค่าเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งจะไม่ตรงกับตัว Hash ใน Peer อื่น ๆ ในระบบ Blockchain  ก็จะทำให้ข้อมูล Peer A ถูกตีตกไปด้วยระบบ เพราะว่าระบบจะมองว่าข้อมูลตัวนี้ไม่ถูกต้อง   ทั้งหมดเป็นตัวอย่างการทำงานของระบบ Blockchain ที่เราได้เรียนรู้การ Hash ข้อมูล การบันทึกข้อมูลลงใน Block การเชื่อมโยงข้อมูลเป็น chain รวมถึงการกระจายศูนย์รวมการเก็บข้อมูล หรือที่เรียกว่า Distributed ledger รวมถึงตัวอย่างการโอนเงินผ่านระบบ Blockchain ว่ามีแบบจำลองหน้าตาประมาณไหน แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมดของเว็บไซต์นี้ ในส่วนของเว็บไซต์นี้ยังมีแบบจำลองการทำงาน ในส่วน Private Key แล้วตัว Public Key ซึ่งเป็นตัวฟังก์ชั่นสำคัญในการโอนเงินในระบบ Blockchain ซึ่งสามารถติดตามต่อในบทความต่อไป   บทความที่เกี่ยวข้อง Blockchain คืออะไร? เกี่ยวอะไรกับ Bitcoin – Crypto Blockchain มีกี่ประเภท? เรื่องต้องรู้ก่อนเข้าสู่โลกการเงินดิจิทัล ไขทุกข้อสงสัย การโอน Crypto กับ E-Banking ต่างกันยังไง? เรื่องต้องรู้ ETH Smart Contract คืออะไร? Coin VS Token เหมือน หรือ ต่าง อย่างไร? ETFs แค่เข้าใจ ก็ลงทุน Bitcoin ได้ไม่ยาก Bitcoin Wallet คืออะไร? จะเสี่ยงแค่ไหน? ถ้าคอมพิวเตอร์โดยขโมย!! ทำไมต้อง IPO ทำไปเพื่ออะไร? – เข้าใจการระดมทุนใน SET ด้วย IPO Bitcoin กับการฟอกเงินและอาชญากรรม DeFi นวัตกรรมการเงินดิจิทัล ที่ไม่ต้องง้อธนาคาร Chainlink กับบทบาทและความสำคัญในโลกการเงินดิจิทัล รู้จักกับ STO อีกวิธีของการระดมเงินทุน ทั้งรวดเร็วและปลอดภัย รู้จัก Yield Farming เพื่อการลงทุนคริปโทให้กำไรงอกเงย Liquidity Pool คืออะไร สำคัญแค่ไหนในวงการ Cryptocurrency รู้จักกับ LUKSO เทคโนโลยี Blockchain เพื่อไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล Impermanent Loss คืออะไร เข้าใจเรื่องเสี่ยงขาดทุนในการฟาร์ม Compound Finance การปล่อยกู้เพื่อสร้างกำไรในคริปโทฯ ถ้าไม่เข้าใจ ICO อย่าพึ่งลงทุนใน Crypto  
รวมวิธีประหยัดไฟ รับมือค่าไฟฟ้าขึ้นราคา 4 บาท กับสารพัดวิธีเซฟเงินในกระเป๋า

รวมวิธีประหยัดไฟ รับมือค่าไฟฟ้าขึ้นราคา 4 บาท กับสารพัดวิธีเซฟเงินในกระเป๋า

วิธีประหยัดไฟ หลายคนคงได้ยินข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ออกมาแล้วว่า จะมีการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า โดยจะเรียกเก็บค่าไฟฟ้ารอบเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม ในอัตรา 24.77 สตางค์ต่อหน่วย เป็นผลมาจากการคำนวณเอฟทีงวดนี้เพิ่มขึ้น 23.38 สตางค์ต่อหน่วย รวมกับการเก็บค่าเอฟทีรอบก่อนหน้าในช่วงเดือนกันยายน-ธันวาคม 2564  อัตรา 1.39 สตางค์ต่อหน่วย และเมื่อรวมกับค่าไฟฐาน 3.76 บาทต่อหน่วย ทำให้ประชาชนต้องจ่ายจริง 4.00 บาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้น 5.82% ถือเป็นตัวเลขสูงสุดจากอดีตมา     วิธี​ประหยัดไฟ น่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด สำหรับประชาชนที่จะรับมือกับค่าไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น เพราะเราสามารถทำได้เอง และเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว คำว่าการประหยัดไฟ ไม่ได้หมายถึงการเลิกใช้ไฟฟ้า แต่เป็นวิธีการใช้ไฟฟ้าให้เกิดประโยชน์สูงสุด และมีประสิทธิภาพสูงสุด เรียกว่าต้องใช้ไฟฟ้าให้คุ้มค่า อะไรลดได้ต้องลด อะไรประหยัดได้ต้องประหยัดนั่นเอง   วิธีประหยัดไฟ มีหลากหลายวิธีด้วยกัน ไม่ใช่มีแค่วิธีการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดไฟเบอร์ 5 เท่านั้น แต่ยังมีอีกมากมายสารพัดวิธี รวมถึงเรื่องบางเรื่องที่เราอาจจะมองข้ามไป ไม่คิดว่าจะส่งผลต่อการประหยัดค่าไฟฟ้าได้ อย่างเช่น การปลูกต้นไม้ให้ร่มเงากับตัวบ้าน หรือการเลือกใช้สีทาบ้านสะท้อนความร้อน ซึ่งวิธีการเหล่านี้อาจจะไม่ได้ช่วยลดค่าไฟฟ้าได้โดยตรง แต่เป็นการช่วยทำให้บ้านเย็นขึ้น ทำให้เราไม่ต้องเปิดเครื่องปรับอากาศ อาจจะเปิดแค่พัดลมซึ่งกินไฟน้อยกว่าก็ได้ หรืออาจจะเปิดเครื่องปรับอากาศ แต่เมื่อบ้านเย็นแอร์ก็ไม่ต้องทำงานหนัก ใช้ไฟฟ้าก็น้อยลง เป็นต้น   สำหรับวิธีประหยัดไฟ Reviewyourliving นำเสนอบทความ สาระ ความรู้ต่าง ๆ มาโดยตลอดและมีมาต่อเนื่อง วันนี้จึงจะรวบรวมเอาบทความทั้งหมด มาไว้ในที่เดียว เพื่อให้ผู้อ่านได้ใช้เทคนิค และวิธีประหยัดไฟ เอาไปปรับใช้กันในหน้าร้อนนี้ จะได้รับมือกับค่าไฟฟ้าขึ้นราคา 4 บาทต่อหน่วย ให้ไม่ต้องควักเงินในกระเป๋ามากนัก เช็คอุปกรณ์ไฟฟ้า อะไรกินไฟสูงสุด เริ่มต้นเราคงต้องมาดูก่อนว่า อุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดไหน ที่ใช้ไฟฟ้าเยอะ เปลืองค่าไฟมากกว่าเพื่อน กับบทความต่าง ๆ ดังนี้ -บทความ “Top 5 เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ดูดเงินในกระเป๋าคุณ แบบร้องไห้หนักมาก” 1.เครื่องใช้ไฟฟ้ากินไฟ อันดับ 1 “เครื่องปรับอากาศ” 2.เครื่องใช้ไฟฟ้าตัวเล็กกินไฟ “เครื่องทำน้ำอุ่น” 3.ตู้เย็น เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีกันทุกบ้าน 4.เครื่องซักผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องใช้ให้ดี 5.เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เลี่ยงไม่ได้ “เตารีด”   อ่านรายละเอียดของบทความเพิ่มเติมได้ที่ Top 5 เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ดูดเงินในกระเป๋าคุณ แบบร้องไห้หนักมาก -บทความ “เปิดทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง เสียค่าไฟเท่าไหร่” แล้วเครื่องไฟฟ้าแต่ละชนิดกินไฟฟ้ามากแค่ไหน โดยเราคำนวณให้ดูแล้วหากเปิดใช้ 1 ชั่วโมง เรามาตรวจสอบกัน เปิดทิ้งไว้ 1 ชม. เสียค่าไฟเท่าไหร่ พัดลมตั้งพื้น 12-18 นิ้วค่าไฟ 0.15-0.25 บาท พัดลมตั้งพื้น  70-104 วัตต์ ค่าไฟ 0.50-0.75 บาท ตู้เย็น 2 ประตู 5.5 -12.2 คิว ค่าไฟ 0.30-0.40 บาท โทรทัศน์ LED 43-65 นิ้ว ค่าไฟ 0.40- 1 บาท เตารีดไฟฟ้าขนาด 1000-2800 วัตต์ค่าไฟ 3.5-10 บาท เครื่องปิ้งขนมปัง 760-900 วัตต์ค่าไฟ 3-3.5 บาท เตาปิ้ง 1-2 หัว ขนาดเตา 2000-3500 วัตต์ ค่าไฟ 8-14 บาท เครื่องซักผ้า 10 KG ค่าไฟ 2-8 บาท เครื่องอบผ้า 650-2,500 วัตต์ ค่าไฟ 3-10 บาท หม้อหุงข้าว 1.0-1.8 ลิตร ค่าไฟ 3-6 บาท ไมโครเวฟ 20-30 ลิตร ค่าไฟ 3-4 บาท เครื่องปรับอากาศ 9,000-22,000 BTU ค่าไฟ 2.5-6 บาท ไดร์เป่าผม  1,600-2,300 วัตต์ค่าไฟ 6-9 บาท เครื่องทำน้ำอุ่น 3,500-6,000 วัตต์ค่าไฟ 13.5-23.5 บาท เครื่องดูดฝุ่น 1,400-2,000 วัตต์ค่าไฟ 6-8 บาท   อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม เปิดทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง เสียค่าไฟเท่าไหร่ รวมวิธีประหยัดค่าไฟ แบบสบายกระเป๋า พอเราเช็คแล้วว่า ต้นเหตุค่าไฟพุ่งสูง คือ เหล่าบรรดาเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟเราแต่ละเดือนจำนวนมาก เราต้องเสียค่าไฟไปไม่น้อย คราวนี้ก็มาดูกันว่า จะมีวิธีประหยัดค่าไฟฟ้าได้อย่างไร กับบทความต่าง ๆ ดังนี้ -บทความ “How to #save ประหยัดค่าไฟช่วงหน้าร้อน” ในบทความนี้ เรามี วิธีประหยัดค่าไฟฟ้าในบ้าน และประหยัดเงินในกระเป๋าคุณด้วย 8 เครื่องใช้ไฟฟ้า กับ วิธีประหยัดค่าไฟในบ้านมาให้ได้ลองทำตามกันดู ​ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม How to #save ประหยัดค่าไฟช่วงหน้าร้อน -บทความ “6 วิธีประหยัดค่าไฟในช่วงหน้าร้อน” บทความนี้มี 6 วิธีประหยัดค่าไฟ ในช่วงหน้าร้อน มานำเสนอ ​ได้แก่ 1.ปรับอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียสเสมอ 2.เครื่องใช้ไฟฟ้าเก่า เลิกใช้ซะ 3.ทำความสะอาดตู้เย็นให้หมดจด 4.ถอดปลั๊กทุกครั้งเมื่อไม่ใช้งาน 5.มาใช้หลอดไฟ LED กันเถอะ 6.ใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาที่ปริมาณการใช้ไฟน้อย   ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติม อ่านต่อได้ที่ 6 วิธีประหยัดค่าไฟในช่วงหน้าร้อน   -บทความ “9 วิธีแต่งบ้านคลายร้อน ช่วยให้บ้านเย็นน่าอยู่ อากาศสบายไม่อบอ้าว” การแต่งบ้าน ก็เป็นวิธีที่ช่วยทำให้บ้านเย็น และมีประโยชน์ทำให้ประหยัดค่าไฟได้ทางอ้อมด้วยนะ 1.ติดกันสาดกันแดด 2.ใช้หลังคาป้องกันความร้อน 3.ปลูกต้นไม้ให้ร่มเงา 4.เปิดหน้าต่างระบายอากาศ 5.ติดพัดลมเพดาน 6.เลี่ยงการปูพรม 7.เลือกใช้หลอด LED 8.ทาผนังด้วยสีโทนเย็น 9.ติดพัดลมอากาศในห้องน้ำ   อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม 9 วิธีแต่งบ้านคลายร้อน ช่วยให้บ้านเย็นน่าอยู่ อากาศสบายไม่อบอ้าว -บทความ “ทางลัดลดค่าไฟ 15 วิธีจัดห้องนอนให้เย็นสบายโดยไม่เปิดแอร์” บางครั้ง วิธีประหยัดไฟ อาจจะทำเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยตรงก็ได้ ก็เป็นการประหยัดค่าไฟฟ้าได้เหมือนกัน ซึ่งบทความนี้มี 15 วิธีมาบอกเล่าเช่นกัน ดังนี้ 1.เปลี่ยนชุดเครื่องนอนให้เป็นผ้าคอตตอน 2.ดื่มน้ำก่อนเข้านอน 3.เปลี่ยนหมอนใหม่ 4.จัดทิศพัดลมให้ถูก เพื่อดูดความร้อนออกนอกบ้าน 5.แขวนผ้าเปียกที่หน้าต่างช่วยปรับอากาศให้เย็นลง 6.วางก้อนน้ำแข็งไว้หน้าพัดลม 7.นอนคนเดียวบ้าง ก็ทำให้อุณหภูมิลดลง 8.เปลี่ยนเตียงนอนบ้างเพื่อให้อากาศหมุนรอบตัวเรา 9.เลือกซื้อชุดนอนแบบผ้าคอตตอนมาสวมใส่ 10.อาบน้ำก่อนนอนช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย 11.ปิดไฟก่อนนอนช่วยลดปริมาณความร้อนได้ 12.วางถังน้ำไว้แช่เท้าไว้ที่ปลายเตียง 13.นอนชั้นล่างอากาศจะเย็นที่สุด 14.ดึงปลั๊กไฟที่ไม่ใช้งานออกให้หมด 15.ทำแอร์ใช้เอง   อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ทางลัดลดค่าไฟ 15 วิธีจัดห้องนอนให้เย็นสบายโดยไม่เปิดแอร์ -บทความ “5 วิธีลดร้อนให้บ้าน” นอกจากนี้ เรายังมีการนำเสนอเทคนิคและวิธีการอีก 5 วิธีที่ไม่น่าเชื่อว่าจะช่วยลดความร้อนให้บ้านได้ แถมยังมีผลกับการช่วยลดค่าไฟฟ้าได้อีกด้วย ดังนี้ 1.Façade ช่วยได้ 2.ติดฟิลม์กรองแสงลดความร้อนสิ! 3.เปลี่ยนผ้าม่าน ชีวิตก็เปลี่ยน… 4.ต้นไม้ก็ช่วยได้นะ 5.ติดฉนวนกันความร้อน   อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม 5 วิธีลดร้อนให้บ้าน -บทความ “ลดความร้อนที่ผนังก่ออิฐฉาบปูนได้อย่างไรบ้าง” ส่วนบทความนี้ เป็นวิธีที่ใช้ได้ผลจริง แต่อาจจะต้องลงทุนเพิ่ม และต้องพึ่งพาช่างผู้ชำนาญการเข้ามาช่วย เป็นงานที่เราอาจจะทำเองไม่ได้ แต่ก็ช่วยทำให้บ้านเย็น และประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ด้วย อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้​ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ลดความร้อนที่ผนังก่ออิฐฉาบปูนได้อย่างไรบ้าง ทั้งหมดนี้ ก็เป็นบทความ สาระ ความรู้ ที่เราเคยนำเสนอไว้แล้ว แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหน ก็ยังมีประโยชน์ และช่วยให้ประหยัดค่าไฟได้จริง ไม่เชื่อต้องลองทำตามและพิสูจน์ด้วยตัวคุณเอง
7 ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ของคนยุคดิจิทัล

7 ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ของคนยุคดิจิทัล

ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 วิถีชีวิตของคนในยุคปัจจุบัน ก็เปลี่ยนไปมากมาย ไม่ใช่แค่ไลฟ์สไตล์เวลาอยู่นอกบ้าน ที่จะต้องสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือให้สะอาดบ่อย ๆ เข้าสถานที่ต่าง ๆ ต้องตรวจวัดอุณหภูมิ และการเว้นระยะห่างทางสังคม แต่การอยู่อาศัยในบ้านก็เปลี่ยนแปลงไป ในลักษณะเช่นเดียวกัน เมื่อพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนยุคโควิด-19 เปลี่ยนไปเช่นนี้ ย่อมส่งผลถึงการเลือกที่อยู่อาศัย ซึ่งให้ความสำคัญกับบ้านที่เข้ามาตอบสนองวิถีชีวิต ภายใต้สถานการณ์โรคระบาดเช่นนี้ ซึ่งมีแนวทางการเลือกอยู่อาศัยในบ้านที่ไม่ได้เหมือนในอดีตแล้ว  จึงถือเป็นหน้าที่สำคัญที่บรรดาดีเวลลอปเปอร์ จะต้องพัฒนาที่อยู่อาศัยออกมา ให้ตรงกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป   จากแบบสอบถาม DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study ล่าสุด ที่เผยให้เห็นทัศนคติและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากผลกระทบของโควิด-19 โดย 2 ใน 3 ของผู้บริโภค หรือ สัดส่วน 66% เห็นว่า ต้องหลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่แออัด  ขณะที่ความเห็นเกือบครึ่ง หรือสัดส่วน 42%  เลือกที่จะหลีกเลี่ยงการไปรับประทานอาหารนอกบ้านบ่อย ๆ โดยเกือบ 1 ใน 3 ของผู้บริโภค หรือสัดส่วน 31% ยังคงกังวลใจเกี่ยวกับการแพร่ระบาด เนื่องจากผู้ใกล้ชิดจะได้รับผลกระทบ และมีเพียง 1% เท่านั้นที่ผู้บริโภคมองว่าโควิด-19 ไม่ได้มีผลต่อการดำเนินชีวิตของพวกเขาเลย   สำหรับผลกระทบต่อการอยู่อาศัย ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาด ที่ส่งผลในเรื่องการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย จาก​ แบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด  ระบุว่า ผลกระทบของโควิด-19 ที่กลายมาเป็นปัจจัยเร่งให้ผู้บริโภคเปลี่ยนมุมมองและพฤติกรรมการเลือกที่อยู่อาศัยไปจากก่อนยุค New Normal โดยมองหาบ้านที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคใหม่ด้วยเช่นกัน  ซึ่งสรุปออกมาเป็น 7 ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย หรือก็คือ ปัจจัยที่ผู้บริโภคใช้เป็นเกณฑ์ตัดสินใจในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยนั่นเอง 7 ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ของคนยุคดิจิทัล 1.Work from Home กับการลาออกครั้งใหญ่ ในช่วงมีการแพร่ระบาดหนัก ๆ มาตรการทำงานจากที่บ้าน หรือ Work from Home เป็นวิธีหลักที่แทบทุกองค์กรนำมาใช้ เพื่อให้ธุรกิจยังเดินหน้าขณะที่พนักงานก็ปลอดภัย ไม่เสี่ยงต่อการได้รับเชื้อโรค มีหลายองค์กรที่ใช้มาตรการ Work from Home นานนับปี ทำให้ปัจจุบันพนักงานจำนวนมาก คุ้นชินกับวิถีชีวิตแบบนี้ และยังมองว่าเป็นแนวทางการทำงานที่ปลอดภัย ทั้งต่อตัวเองและบุคคลในครอบครัวด้วย   การสำรวจพบว่า ผู้บริโภคมากกว่าครึ่ง (59%) ตั้งใจหางานที่อนุญาตให้ Work from Home ได้มากขึ้น เนื่องจากเห็นความสำคัญของการได้ใช้ชีวิตกับครอบครัวและต้องการรักษาระยะห่างในสังคม นอกจากนี้ในช่วง Work from Home ที่ผ่านมา ผู้บริโภคต่างได้ปรับปรุงพื้นที่ใช้สอยเพื่อสร้างบรรยากาศที่บ้านให้รองรับการทำงานออนไลน์ไปแล้ว จึงอาจยังไม่เห็นความจำเป็นในการกลับไปทำงานที่ออฟฟิศ ในสหรัฐอเมริกา พบว่า เกิดกระแสการลาออกระลอกใหญ่ของมนุษย์เงินเดือน (The Great Resignation) หลังจากสถานการณ์โรคระบาดคลี่คลาย และมีการกลับมาทำงานที่ออฟฟิศเหมือนเดิม ในประเทศไทยก็มีโอกาสจะเกิดขึ้นแบบนี้ได้เช่นกัน​ หากองค์กรให้พนักงานกลับมาทำงานที่ออฟฟิศเหมือนเดิม ขณะที่ยังมีการแพร่ระบาดของโรคจำนวนมาก 2.คนเลือกซื้ออสังหาฯ ผ่านโลกออนไลน์ มากขึ้น ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19  เครื่องมือทางการตลาดสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ทุกองค์กรหยิบมาใช้ คือ การตลาดออนไลน์ ซึ่งเป็นเครื่องมือเข้าถึงคนได้ง่ายและปลอดภัย บริษัทอสังหาริมทรัพย์แทบจะทุกบริษัทก็ได้เอาการลาดออนไลน์ มาใช้เป็นช่องทางการซื้อขายที่อยู่อาศัย หรือบริหารการตลาด  ทำให้ออนไลน์ที่เดิมเป็นเพียงแหล่งค้นหาข้อมูลโครงการที่อยู่อาศัย กลายมาเป็นเครื่องมือในการซื้อขายสำคัญ ​ โดยมากกว่าครึ่งของผู้บริโภคเลือกใช้ช่องทางออนไลน์ในการคัดเลือกโครงการที่อยู่อาศัยที่สนใจ (54%) และเยี่ยมชมโครงการเสมือนจริง (52%) นอกจากนี้ยังพบว่า 1 ใน 5 ของผู้บริโภค (20%) มีการเซ็นสัญญาซื้อขายผ่านออนไลน์ สะท้อนให้เห็นการปรับตัวและใช้ประโยชน์จากโลกออนไลน์ทั้งในฝั่งผู้ซื้อและผู้ขายได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่า หากโครงการไหนไม่มีช่องทางออนไลน์  คงไม่ไดอยู่ในลิสต์ที่ผู้บริโภคจะเลือกซื้อแน่นอน 3.Cryptocurrency เพิ่มโอกาสให้คนรุ่นใหม่ซื้อบ้าน   การเข้ามามีบทบาทของสกุลเงินดิจิทัล หรือ Cryptocurrency ที่นอกจากจะเป็นการลงทุนที่เห็นผลตอบแทนเร็วแล้ว ผลตอบแทนจากการลงทุนในสกุลเงินนี้ยังถือเป็นช่องทางที่สร้างโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยที่มีราคาสูงได้ง่ายขึ้นอีกด้วย จากแบบสอบถามฯ พบว่า มากกว่าครึ่งของผู้บริโภค (57%) สนใจที่จะใช้สกุลเงินดิจิทัลในการซื้อบ้าน/คอนโดฯ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ซึ่งเปิดรับเทคโนโลยีและเรียนรู้สิ่งใหม่ได้เร็วนั้น มีแนวโน้มสนใจซื้อบ้านด้วยสกุลเงินดิจิทัลสูงตามไปด้วย โดยกลุ่มช่วงอายุ 22-29 ปี ให้ความสนใจถึง 71% ในขณะที่ช่วงอายุ 30-39 ปี สนใจถึง 61% 4.“มาตรการภาครัฐ” ปัจจัยบวกกระตุ้นซื้อบ้าน   มาตรการภาครัฐ ถือเป็นปัจจัยบวกกระตุ้นความต้องการซื้อบ้าน และปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย จากสภาพเศรษฐกิจยังคงไม่ฟื้นตัว ผู้บริโภคจึงเลือกที่จะวางแผนการเงินอย่างรัดกุมและชะลอการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปก่อน เพราะต้องการรักษากระแสเงินสดเอาไว้ มาตรการจากภาครัฐที่ออกมา อาทิ การลดค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองทั้งบ้านใหม่และบ้านมือสอง การผ่อนคลายมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ชั่วคราวของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้กลายเป็นปัจจัยบวกที่มีแนวโน้มจะส่งผลให้ความต้องการซื้อของผู้บริโภคเติบโต   โดย 7 ใน 10 ของผู้บริโภคเผยว่าตั้งใจจะซื้อที่อยู่อาศัยในอนาคต หลังจากที่ผู้บริโภคได้มีการปรับตัวและเรียนรู้ที่จะอยู่กับโควิด-19 ได้ดีขึ้น ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างที่อยู่อาศัยเริ่มปรับตัวสูงขึ้น และผู้พัฒนาอสังหาฯ มีแนวโน้มปรับราคาขายเพิ่มขึ้นเช่นกัน รวมไปถึงผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้งนอกประเทศที่อาจส่งผลให้แนวโน้มราคาสินค้าและภาวะเงินเฟ้อในไทยปรับตัวสูงขึ้น ได้กลายเป็นอีกปัจจัยเร่งให้เกิดการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย เห็นได้จากการที่ผู้บริโภควางแผนซื้อที่อยู่อาศัยภายใน 2 ปีมีถึง 45% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากผลสำรวจรอบที่แล้ว (39%) สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการซื้อบ้านที่มีแนวโน้มสูงขึ้น 5.วางแผนรองรับแผนเกษียณ   คนวางแผนซื้อบ้านเพื่อรองรับแผนเกษียณ เป็นอีกปัจจัยที่มาช่วยตัดสินใจการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของคนยุคปัจจุบัน เพราะจากการสอบถาม  พบผู้บริโภคมากกว่า 3 ใน 4 (78%) ที่เป็นเจ้าของบ้านอยู่แล้วยังคงต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่ม โดยมองว่าการซื้ออสังหาฯ เพิ่มนั้นไม่ได้ตอบโจทย์การอยู่อาศัยเท่านั้น แต่วางแผนต่อยอดการใช้ชีวิตเพื่อความมั่นคงในอนาคตด้วย โดยเป้าหมายยอดนิยมของการซื้อบ้านเพิ่มอันดับต้น ๆ ของผู้บริโภค คือ ซื้อไว้รองรับแผนเกษียณอายุในอนาคต (31%) ตามมาด้วยการซื้อให้ญาติหรือพี่น้อง (28%) และซื้อปล่อยเช่าสร้างรายได้ระยะยาว (26%) นอกจากนี้ ยังพบว่า 46% ของผู้บริโภคที่เป็นเจ้าของบ้านปัจจุบันนั้นยังมีแผนที่จะซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มภายในช่วง 1 ปีข้างหน้านี้ สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อและมีความพร้อมทางการเงินกลับมามีความมั่นใจที่จะจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น 6.บ้านต้องส่งเสริม “สุขภาพ” ปัจจัยเรื่องของสุขภาพ เป็นเทรนด์ที่มีมาก่อนหน้าจะเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แล้ว เมื่อเกิดสถานการณ์โรคระบาดขึ้น ยิ่งเข้ามาตอกย้ำเพิ่มน้ำหนักในเรื่องนี้มากขึ้น คนส่วนใหญ่​เกือบ 2 ใน 3 ของผู้บริโภคปัจจุบัน (63%) หันมาให้ความสำคัญกับไลฟ์สไตล์ที่ส่งเสริมการสร้างสุขภาพที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในกลุ่มผู้สูงอายุ เนื่องจากมองว่าการมีร่างกายที่แข็งแรงและพฤติกรรมสุขภาพที่ดีจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย และช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัส นอกจากการดูแลสุขภาพแล้ว ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังตระหนักถึงความสำคัญของการมีสถานบริการสุขภาพอยู่ใกล้ที่อยู่อาศัยแม้ว่าการแพร่ระบาดฯ จะหมดไปก็ตาม โดยแผนการดูแลสุขภาพในอนาคตของผู้บริโภคถึง 88% เผยว่าต้องการเช่าหรือซื้อที่อยู่อาศัยที่อยู่ใกล้โรงพยาบาลมากที่สุด ตามมาด้วย 45% มองหาที่อยู่อาศัยใกล้ร้านขายยา และ 37% มองหาที่อยู่อาศัยใกล้ศูนย์บริการด้านสุขภาพเฉพาะทาง เพื่อวางแผนรองรับการใช้ชีวิตระยะยาวที่ต้องการความสะดวกสบายในการเดินทางไปพบแพทย์หรือตรวจเช็กสุขภาพ 7.รถยนต์ไฟฟ้าตัวแปรสำคัญเมื่อคิดซื้อบ้าน   รถยนต์ไฟฟ้าเป็นเทรนด์ที่ยังมาแรงไม่มีตก ยิ่งช่วงที่ผ่านมาราคาเชื้อเพลิงปรับตัวขึ้นสูง และภาครัฐมีการกำหนดทิศทางการพัฒนาและขับเคลื่อนมาตรการสนับสนุนฯ รถยนต์ไฟฟ้าที่ชัดเจนมากขึ้น ทำให้คนสนใจการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น และนับจากนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่คนจะเลือกซื้อบ้าน ด้วยการดูว่าโครงการมีการเตรียมอุปกรณ์รองรับกับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าหรือไม่  ตัวแปรสำคัญเมื่อคิดซื้อบ้าน เมื่อน ส่งผลให้กระแสความสนใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในไทยกลับมาอีกครั้ง จากผลสำรวจ พบว่า โดย 2 ใน 3 ของคนหาบ้าน (67%) เผยว่ายินดีที่จะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อซื้อบ้าน/คอนโดฯ ที่มีจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ารองรับ เนื่องจากผู้บริโภคคำนึงถึงความยั่งยืนของการใช้ชีวิตในอนาคต การซื้อที่อยู่อาศัยแต่ละครั้งถือเป็นเรื่องใหญ่ จึงต้องคิดอย่างรอบคอบ มองไปถึงฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในระยะยาวให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้ายังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกทางหนึ่ง ถือเป็น ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย สำคัญในสถานการณ์เช่นนี้   ทั้งหมดนี้ ก็คงกล่าวได้ว่า เป็น 7 ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ที่สำคัญซึ่งผู้บริโภคยุคการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะใช้เป็นเกณฑ์ในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย หรือใช้ตัดสินใจว่าจะเลือกซื้อโครงการไหนดี ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการก็เอาปัจจัยทั้งหมด มาเป็นแนวทางการพัฒนาโครงการในอนาคตด้วย เพราะต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้า เพื่อสร้างยอดขายและกำไรอย่างต่อเนื่องนั่นเอง   CR: DDproperty   บทความที่เกี่ยวข้อง 7 วิธีปรับปรุงบ้านเพื่อผู้สูงอายุ ด้วยตัวเอง
ถ้าไม่เข้าใจ ICO อย่าพึ่งลงทุนใน Crypto [VDO]

ถ้าไม่เข้าใจ ICO อย่าพึ่งลงทุนใน Crypto [VDO]

ถ้าไม่เข้าใจ ICO อย่าพึ่งลงทุนใน Crypto การเริ่มต้นธุรกิจแค่มี “ไอเดีย” ที่ดีอย่างเดียว คงอาจจะไม่เพียงพอ เพราะหนึ่งใน “หัวใจ” สำคัญอย่างหนึ่ง ที่จะทำให้ไอเดียดี ๆ เกิดขึ้นจริงได้ คือ เงินทุน ซึ่งการได้มาของเงินทุน ก็มีหลากหลายวิธี สิ่งหนึ่งที่มักถูกใช้ คือ การระดมทุนจากนักลงทุนทั่วไปที่สนใจในธุรกิจหรือไอเดียนั้น ๆ ด้วยการขายหุ้น หรือแม้แต่บริษัทที่ดำเนินธุรกิจมาแล้ว แต่ต้องการขยายธุรกิจให้ใหญ่โตมากขึ้น ก็มักจะระดมทุนด้วยการขายหุ้นผ่านตลาดหลักทรัพย์ ที่เรียกว่า IPO ซึ่งเราเคยนำเสนอบทความไว้ก่อนหน้านี้แล้ว   ปัจจุบันโลกการเงินไม่ได้มีแค่เงินรูปแบบกระดาษหรือเงินปกติทั่วไป แต่ยังมีโลกการเงินดิจิทัล หรือ Cryptocurrency เข้ามามีส่วนสำคัญในการผลักดันให้เกิดธุรกิจใหม่ หรือต่อยอดจากธุรกิจเดิม ทำให้ “เงินทุน” ที่ต้องการระดมทุน ไม่ได้มาในรูปแบบเงินปกติทั่วไป แต่มาในรูปแบบของเงินดิจิทัลด้วย ซึ่งบทความนี้จะมาอธิบายถึงวิธีการระดมทุนของเงินดิจิทัล หรือที่เรียกว่า ICO ย่อมาจาก​ Initial Coin Offering คือการระดมทุน แบบดิจิทัล ด้วยการเสนอขาย ดิจิทัลโทเคน (Digital Token) ผ่านระบบ Blockchain ต่อประชาชนทั่วไป   ICO วิธีระดมเงินทุนในโลก Cryptocurrency เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนถึงวิธีการระดมทุนด้วยวิธีการ ICO ขอนำเสนอตัวอย่าง ตามรายละเอียดดังนี้ มี Developer ต้องการพัฒนา ICO Project ขึ้นมา ซึ่งมีความพร้อมในการพัฒนา แต่มีปัญหาขาดเงินทุน จึงต้องการระดมทุนมาเพื่อพัฒนา Project โดยวิธีการระดมทุนตามตัวอย่าง เป็นการใช้ Smart Contract ของ ETH ซึ่งวิธีการระดมทุนจะมีขั้นตอน เริ่มจาก Developer จะต้องเขียน Smart Contract ขึ้นมา และมีการกำหนดเป้าหมายเงินทุนที่ต้องการ รวมถึงอัตราแลกเปลี่ยนระหว่าง ETH กับ Token เช่น นักลงทุนจ่าย ETH มา 1 ETH ก็อาจจะได้รับ Token จำนวนเท่ากับ 100 Token   โดยจะพบว่า ICO Project ทุก Project ที่ถูกพัฒนาขึ้นมา จะต้องมีองค์ประกอบสำคัญ คือ Developer(นักพัฒนา), Investor (นักลงทุน) และ User (ผู้ใช้งาน) ซึ่งใช้ Token เป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนเงินลงทุน ทำงานอยู่บนระบบ Blockchain เวลามีการโอน Token ระหว่างกันของคนทั้ง 3 กลุ่ม จะมีการตรวจสอบความถูกต้องของจำนวนเงินที่ระดมทุน ด้วยระบบ Blockchain   ระดมทุนด้วย ICO Project มีวิธีการอย่างไร เมื่อมีนักลงทุนสนใจที่จะลงทุนใน ICO Project นี้ สิ่งที่นักลงทุนต้องทำเป็นสิ่งแรก คือ การโอนตัว ETH มาที่ตัว Smart Contract แล้วตัว Smart Contract จะทำการรวบรวมตัว ETH แล้วคอยตรวจสอบ ETH ที่ได้รับจากนักลงทุนว่าถึงตามเป้าหมายที่ Developer ต้องการแล้วหรือยัง ถ้าตัว Smart Contract มีการสะสมตัว ETH จากนักลงทุนครบตามจำนวนที่Developer กำหนดไว้ ตัว Smart Contract จะทำการส่งตัว ETH ที่ได้รับไปให้ Developer แล้วทำการโอน Token ตามอัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้ใน Smart Contract ไปยังนักลงทุนแต่ละราย   แต่ถ้ากรณีที่ Smart Contract ไม่สามารถรวบรวมตัว ETH ได้ตามจำนวนที่ Developer กำหนดไว้ ตามกำหนดระยะเวลา เช่น กำหนดระยะเวลาการระดมทุนไว้ 10 วัน ทาง Smart Contract ก็ยังไม่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนมากพอ ที่จะสะสมตัว ETH ได้ครบ ทาง Smart Contract ก็จะทำการโอนตัว ETH กลับไปยังนักลงทุนแต่ละคน และทาง Developer ก็จะไม่ได้อะไร เพราะไม่สามารถระดมทุนได้ตามเป้าหมายที่กำหนด โดยจะเห็นว่าการระดมทุนผ่าน Smart Contract ให้ผลตอบแทนผ่านทาง Token   ตัวอย่างที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นหนึ่งในรูปแบบการระดมทุนด้วย Smart Contract ผ่านระบบ Blockchain ของ ETH ปัจจุบันยังมีการระดมทุนด้วย Smart Contract อื่น ๆ หรือตัวเหรียญอื่น ๆ อีกหลายประเภท เปลี่ยน Token เป็นเงินทุนเพื่อพัฒนา Project สมมติกรณีที่ Developer สามารถระดมทุนได้เหรียญมาตามกำหนดและเสร็จสิ้นการตรวจสอบแล้ว ทาง Developer ต้องการนำตัว ETH ไปพัฒนา Project แต่บางทีตัว ETH ก็ไม่สามารถนำไปซื้อสินค้า หรืออุปกรณ์​ หรือว่าจ้างคนมาพัฒนา Project ร่วมกันได้ Developer ก็ต้องการช่องทางในการเปลี่ยนตัว ETH มาเป็น Currency หรือเงินต่าง ๆ อย่างเช่น ดอลล่าร์ หรือเงินบาท เพื่อนำมาใช้พัฒนา Project ได้ ส่วนนักลงทุนก็เช่นกัน เมื่อได้รับ Token มาแล้วก็ต้องการขายตัว Token เพื่อทำกำไร สำหรับ User ก็เช่นกัน ถ้าเกิดตัว Project มีการพัฒนาไปจนเกิดการใช้งานแล้ว ตัว User ก็ต้องการช่องทางไปซื้อตัว Token เพื่อนำ Token มาใช้บริการในตัว ICO Project ที่พัฒนาขึ้นมา ซึ่งตัวที่จะมาแก้ปัญหาเหล่านี้ให้กับ Developer , Investor และ User คือ Crypto Exchange หรือ Web Exchange นั่นเอง อย่างพวก Binance, Bitkub, Satang Pro และ BX   EXPERTY ตัวอย่าง ICO Project สำหรับ EXPERTY คือ ตัวอย่าง ICO Project ที่ได้พัฒนาออกมา และระดมทุนออก Token มาแล้ว ซึ่งมีการนำเสนอข้อมูลอะไรบ้าง และข้อมูลที่นำเสนอให้กับนักลงทุนมีอะไรบ้าง จะมาดูตัวอย่างกัน   กรณีที่ Developer ต้องการระดมทุนด้วยการ ICO Project จะมีการนำเสนอข้อมูลผ่าน White Paper เพื่อนำเสนอข้อมูลให้กับนักลงทุนพิจารณา ซึ่งปกติข้อมูลใน White Paper จะมีข้อมูลต่าง ๆ เช่น ตัว Project พัฒนาขึ้นมาเพื่ออะไร มีการใช้ประโยชน์จาก Smart Contract หรือ Blockchain อย่างไร รวมถึงทิศทางการพัฒนา Project ที่จะมีการไปในทิศทางใด ตามระยะเวลา Time Frame ที่ White Paper เสนอมา รวมถึงการพูดถึงจำนวนเหรียญที่มีการเสนอขายครั้งนี้ รวมถึง Total Supply ทั้งหมด และวัตถุประสงค์การใช้เงินที่ได้จากการระดมทุนว่าจะไปใช้อะไรบ้าง รวมถึงข้อมูลทีมพัฒนา และทีมที่ปรึกษา   จาก White Paper ของ EXPERTY พบว่า Project นี้ต้องการเงินทุน 33,000 ETH โดยตัว EXPERTY มีจำนวนเหรียญเท่ากับ 100 ล้านเหรียญ Token และมีการแบ่งสัดส่วนเหรียญ Token ตามนี้ คือ  1 ใน 3 ออกมาขาย ICO ครั้งนี้ ที่เหลือตามรายละเอียดใน White Paper   นอกจากนี้ ยังมีรายละเอียดว่า EXPERTY มีการทำงานบน Blockchain ETH และวิธีการ ICO ครั้งนี้ สามารถซื้อโดยตรงผ่านทาง ETH ได้ หรือซื้อผ่านทาง Bitcoin โดยใช้ตัว ETH Bitcoin หรือ Fiat Currency ต่าง ๆ เช่น ดอลล่าร์ หรือยูโร ก็สามารถซื้อได้เหมือนกัน ส่วนข้อมูลสำคัญอื่น ๆ เช่น มีทีม Developer มีใครบ้าง โรดแมพการพัฒนาจะไปทิศทางไหน   ตัวอย่าง White Paper ดังกล่าว นักลงทุน ICO Project ควรทำการศึกษา White Paper ก่อนว่าจะพัฒนาไปในทิศทางใด มีการสร้างจำนวนเหรียญ Token เท่าไร มีการเสนอขายเป็นจำนวนเหรียญเท่าไรแล้ว แล้วต้องคิดว่าจะมีคนมาใช้ Project นี้มากน้อยเพียงใด   ​ดังนั้น นักลงทุนจึงควรศึกษารายละเอียดให้รอบครอบ เพื่อใช้การตัดสินใจ และเป็นการลดความเสี่ยงจากการลงทุน เพราะโลกของการลงทุน มีความเสี่ยงอยู่เสมอ   บทความที่เกี่ยวข้อง Blockchain คืออะไร? เกี่ยวอะไรกับ Bitcoin – Crypto Blockchain มีกี่ประเภท? เรื่องต้องรู้ก่อนเข้าสู่โลกการเงินดิจิทัล ไขทุกข้อสงสัย การโอน Crypto กับ E-Banking ต่างกันยังไง? เรื่องต้องรู้ ETH Smart Contract คืออะไร? Coin VS Token เหมือน หรือ ต่าง อย่างไร? ETFs แค่เข้าใจ ก็ลงทุน Bitcoin ได้ไม่ยาก Bitcoin Wallet คืออะไร? จะเสี่ยงแค่ไหน? ถ้าคอมพิวเตอร์โดยขโมย!! ทำไมต้อง IPO ทำไปเพื่ออะไร? – เข้าใจการระดมทุนใน SET ด้วย IPO Bitcoin กับการฟอกเงินและอาชญากรรม DeFi นวัตกรรมการเงินดิจิทัล ที่ไม่ต้องง้อธนาคาร Chainlink กับบทบาทและความสำคัญในโลกการเงินดิจิทัล รู้จักกับ STO อีกวิธีของการระดมเงินทุน ทั้งรวดเร็วและปลอดภัย รู้จัก Yield Farming เพื่อการลงทุนคริปโทให้กำไรงอกเงย Liquidity Pool คืออะไร สำคัญแค่ไหนในวงการ Cryptocurrency รู้จักกับ LUKSO เทคโนโลยี Blockchain เพื่อไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล Impermanent Loss คืออะไร เข้าใจเรื่องเสี่ยงขาดทุนในการฟาร์ม Compound Finance การปล่อยกู้เพื่อสร้างกำไรในคริปโทฯ  
7 วิธีปรับปรุงบ้านเพื่อผู้สูงอายุ ด้วยตัวเอง

7 วิธีปรับปรุงบ้านเพื่อผู้สูงอายุ ด้วยตัวเอง

ด้วยพัฒนาการทางด้านการแพทย์ที่ล้ำหน้าไปมาก ประกอบกับการดูแลใส่ใจตัวเองของคนยุคปัจจุบัน ส่งผลให้คนส่วนใหญ่มีอายุที่ยืนยาวขึ้น อายุขัยเฉลี่ยของการเสียชีวิตก็เพิ่มขึ้น   โครงสร้างอายุของประชากรในแต่ละประเทศก็ปรับเปลี่ยนไป มีคนสูงอายุเพิ่มมากขึ้น รวมถึงประเทศไทยด้วย เรียกว่าเป็นการก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยิ่งอัตราการเกิดใหม่ที่ลดน้อยลงด้วย สัดส่วนผู้สูงอายุก็ยิ่งเพิ่มตัวเลขมากขึ้น นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LPN Wisdom หรือ LWS)  บริษัทวิจัยและที่ปรึกษาในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) ระบุว่า ​ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ รายงานตัวเลขประชากรไทยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป  ในปี 2573 จะมีมากกว่า 21% เป็นการเข้าสู่ Super Aged Society ในช่วงเวลาดังกล่าว   โดยผู้สูงอายุแบ่งเป็น 2 กลุ่มคือ กลุ่มที่สามารถดูแลตัวเองได้ (Independent Living/Active Aging) กับกลุ่มที่ต้องมีผู้ดูแล (Assisted Living) สำหรับกลุ่มที่ดูแลตัวเองได้ การปรับปรุงสภาพแวดล้อม และที่อยู่อาศัย ให้เหมาะกับการใช้งานจึงเป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถที่จะใช้ชีวิตได้อย่างปกติ   ในขณะที่กลุ่มที่ต้องมีผู้ดูแลที่จำเป็นต้องเข้าไปอยู่ในสถานบริบาลหรือ Nursing Home Care สถานบริบาล จำเป็นต้องออกแบบพื้นที่ให้เหมาะสมสำหรับการดูแลผู้สูงอายุเช่นกัน   ดังนั้น ทาง LPN Wisdom จึงแนะนำ 7 วิธีปรับปรุงบ้านเพื่อผู้สูงอายุ ด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นวิธีการปรับปรุงอย่างง่าย  ตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุในครอบครัว ประกอบด้วย 1.ปรับปรุงห้องน้ำป้องกันลื่นล้ม การปรับปรุงห้องน้ำ เป็นวิธี ปรับปรุงบ้านเพื่อผู้สูงอายุ ที่จำเป็นและต้องทำเป็นอันดับแรก ๆ เพราะเป็นสถานที่สำหรับกิจวัตรประจำวัน ซึ่งใช้วันละหลาย ๆ ครั้ง และเป็นสถานที่เสี่ยงของการเกิดอุบัติเหตุได้ง่ายด้วย จาก​สถิติการเกิดอุบัติเหตุของผู้สูงอายุพบว่า 1 ใน 3 ของผู้สูงอายุ จะเกิดอุบัติเหตุลื่นล้มในห้องน้ำ ดังนั้น ห้องน้ำจึงเป็นพื้นที่แรกในบ้านที่ควรปรับปรุง โดยติดตั้งราวจับช่วยพยุงตัว ใช้กระเบื้องพื้นที่มีผิวหยาบโดยค่ากันลื่นที่ R10 ขึ้นไป เลือกสุขภัณฑ์ที่แข็งแรงไม่แตกหักง่าย โดยเฉพาะโถสุขภัณฑ์ระดับนั่งไม่ควรต่ำเกินไปทำให้ลุกยาก และห้องน้ำควรมีแสงสว่างที่เพียงพอ 2.เลือกเก้าอี้-โซฟาไม่ล้มง่าย   การเลือกเฟอร์นิเจอร์ที่ตอบรับการใช้งานของผู้สูงอายุ ควรเลือกเก้าอี้และโซฟาที่มั่นคงไม่ล้มง่าย เพราะผู้สูงอายุมักจะทิ้งน้ำหนักเพื่อพยุงตัวในขณะลุกหรือนั่ง ที่นั่งตื้นเหมาะกับผู้ที่มีปัญหาหัวเข่า มากกว่าที่นั่งที่ลึก ที่นั่งที่สามารถปรับเอนได้เหมาะกับการพักผ่อนในตอนกลางวัน ที่รองขาจำเป็น ในการยกขาให้สูงขึ้นเพื่อลดอาการเหน็บชาเบาะสามารถถอดซักทำความสะอาดได้ง่าย โต๊ะหรือชั้นวางของควรมีขอบมุมที่มนป้องกันการกระแทก ติดตั้งชั้นวางของที่อยู่ในระยะเอื้อมถึง ไม่สูงเกินไป หลีกเลี่ยงการใช้บันไดปีน และฟูกที่นอนควรสูงจากพื้น 45-50 เซนติเมตร 3.เลือกวัสดุปูพื้นลดแรงกระแทก   พื้นบ้านหรือพื้นห้องนอน เป็นสิ่งที่ต้องทำให้ถูกต้องและเหมาะสมกับการใช้งานของผู้สูงอายุ ซึ่งต้อง​เลือกวัสดุพื้นอุณหภูมิคงที่และลดแรงกระแทก ห้องผู้สูงอายุควรหลีกเลี่ยงการใช้วัสดุที่ถ่ายเทความร้อน-เย็น กับสภาพแวดล้อมเร็วเกินไป เช่น พื้นกระเบื้อง พื้นหิน เพราะเมื่อสัมผัสแล้วรู้สึกไม่สบายตัว ร่างกายต้องปรับอุณหภูมิบ่อยอาจเกิดความเจ็บป่วยได้ง่าย ดังนั้น พื้นไม้ซึ่งอุณหภูมิคงที่จึงเหมาะกว่า ช่วยลดแรงกระแทกหากลื่นล้ม และลายไม้ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย นอกจากนี้ยังมีวัสดุพื้นลดแรงกระแทก ลายไม้ ทำจาก PVC  ก็สามารถใช้ได้เช่นเดียวกัน หากบ้านไหนยังไม่ได้ปรับปรุงพื้นให้เหมาะสม ควรต้องรีบดำเนินการ เพราะเป็น วิธีปรับปรุงบ้านเพื่อผู้สูงอายุ ที่ไม่อาจจะละเลยได้ 4.ติดตั้งราวจับบันได บันไดจำเป็นจะต้องมีราวจับยึดเกาะ ส่วนมือจับประตูเปลี่ยนจากลูกบิดเป็นแบบก้านโยก บันไดเป็นจุดสำคัญที่อาจเกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้น ควรติดตั้งราวจับตลอดแนวบันไดทั้งสองด้าน โดยเป็นราวจับที่มั่นคง สูงจากพื้น 80 ซม. ในขณะที่มือจับประตูควรปรับเปลี่ยนจากลูกบิดมาเป็นที่เปิดปิดประตูแบบก้านโยก เพื่อให้ง่ายต่อการใช้งานสำหรับผู้สูงอายุ 5.เพิ่มพื้นที่สีเขียวในบ้าน นอกจากเรื่องการดูแลร่างกายของผู้สูงอายุแล้ว การดูแลเรื่องของจิตใจก็เป็นสิ่งจำเป็นไม่แพ้กัน การเพิ่มพื้นที่สีเขียวภายในบ้านจะช่วยฟื้นฟูจิตใจของผู้สูงอายุได้ดี ​ ช่วยบรรเทาความตึงเครียด ลดระดับภาวะซึมเศร้า การได้สัมผัสธรรมชาติทำให้เกิดอารมณ์เชิงบวก อาจจัดให้มีพื้นที่ปลูกไม้กระถาง ผักสวนครัว กระตุ้นให้ผู้สูงอายุขยับร่างกายเล็ก ๆ น้อย ๆในชีวิตประจำวันมากขึ้น หากไม่มีพื้นที่ปลูกต้นไม้ วิธีง่ายก็คงจะเป็นพวกต้นไม้เล็ก ๆ ใส่กระถางไว้ในบ้าน หรือไม่แจกันดอกไม้สดมาไว้ในบ้านบ้างก็ช่วยได้ 6.เติมความสะดวกด้วย Smart Home   แม้เรื่องเทคโนโลยีหลาย ๆ อย่าง ผู้สูงอายุอาจจะไม่ถนัดมากนัก แต่หากแนะนำการใช้งานก็อาจจะไม่ใช่เรื่องยาก เดี๋ยวนี้ผู้สูงอายุหลายคน สามารถเล่นโซเชียลมีเดีย เว็บไซต์​ หรือแอปพลิเคชั่นหลายอย่างได้ไม่แพ้เด็ก ๆ ดังนั้น วิธีการปรับปรุงบ้านเพื่อผู้สูงอายุ ก็ควรทำให้บ้านฉลาดขึ้น ด้วยระบบ Smart Home อย่างเช่น การติดตั้งกล้องวงจรปิด การเปิดปิดประตูอัตโนมัติ หรือการติดตั้งสัญญาณกันขโมย ปุ่มฉุกเฉินที่ห้องน้ำและหัวเตียง เพื่อส่งสัญญาณแจ้งเตือนไปยัง ครอบครัว ผู้ดูแลอาคาร หรือโรงพยาบาลได้เป็นต้น เพราะบางครั้งผู้สูงอายุจำนวนไม่น้อยที่อยู่คนเดียว หรืออยู่กันเองเป็นคู่ Smart Home จึงตอบโจทย์ความสะดวกสบาย สามารถควบคุมอุปกรณ์ต่าง ๆ 7.อัพสปีดออนไลน์ด้วย WiFi วิธีการปรับปรุงบ้านเพื่อผู้สูงอายุ ข้อนี้ อาจจะใกล้เคียงกับ ข้อที่ผ่านมา แต่อย่าลืมว่า ต้องเพิ่มสปีดของสัญญาณ WiFi ให้แรง ๆ เพื่อการใช้งานของระบบเหล่านั้นจะได้มีประสิทธิภาพ รวมถึงการเล่นโซเชียลมีเดียของบรรดาผู้สูงอายุด้วย   นอกจากนี้ จากการสำรวจของ NRF พบว่าคนรุ่น Baby Boomer กว่า 47% ใช้ Social Network เพิ่มมากขึ้น โดย 75% มีบัญชี Facebook ของตนเอง ชื่นชอบการส่งต่อข้อมูลให้กับเพื่อน ๆ รวมถึงใช้ติดต่อ กับครอบครัวเพื่อคลายเหงา นอกจากนี้ ผู้สูงอายุยังชื่นชอบการสั่งสินค้าออนไลน์เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย ดังนั้น การติดตั้ง WiFi ที่ทั่วถึงทั้งบริเวณพักอาศัย จึงเป็นสิ่งจำเป็น   ทั้งหมด เป็นคำแนะนำสำหรับ วิธีการปรับปรุงบ้านเพื่อผู้สูงอายุ ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องความสะดวกสบายในการอยู่อาศัยเท่านั้น แต่ยังคำนึงถึงความปลอดภัย และเรื่องของสุขภาพด้วย หากบ้านไหนยังมีจุดเสี่ยง คงต้องรีบดำเนินการโดยด่วน เพราะหากเกิดอุบัติเหตุกับผู้สูงอายุแล้ว เรื่องเล็กอาจจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ได้            
[PR News] LET จับมือ Dahua เสริมแกร่ง “โมเดิร์น ซิเคียวริตี้” รุกตลาดเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัย

[PR News] LET จับมือ Dahua เสริมแกร่ง “โมเดิร์น ซิเคียวริตี้” รุกตลาดเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัย

โมเดิร์น ซิเคียวริตี้ ล็อกซเล่ย์ อีโวลูชั่น เทคโนโลยี หรือ LET เดินหน้าแนวคิด "โมเดิร์น ซิเคียวริตี้" ต่อเนื่อง ล่าสุดจับมือ ด้าหัว เทคโนโลยี ยักษ์ใหญ่ผู้เชี่ยวชาญระบบรักษาความปลอดภัยชั้นนำของจีน เสริมศักยภาพเทคโนโลยีดิจิทัลรักษาความปลอดภัยตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างของลูกค้าแบบครบวงจร   นายยุทธพร จิตตเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท​ ล็อกซเล่ย์ อีโวลูชั่น เทคโนโลยี จำกัด หรือ LET  เปิดเผยว่า​ บริษัทได้ลงนามความร่วมมือกับ ด้าหัว เทคโนโลยี เป็นพันธมิตรเพิ่มขีดความสามารถดำเนินธุรกิจเทคโนโลยีด้านรักษาความปลอดภัยเหนือระดับ “โมเดิร์น ซิเคียวริตี้” ภายใต้กลยุทธ์ The New Society Market  ซึ่งการจับมือเป็นพันธมิตรกับด้าหัวฯ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งระบบรักษาความปลอดภัยชั้นนำจากประเทศจีน ครั้งนี้เป็นการผนึกความเชี่ยวชาญและเสริมจุดแข็งทางด้านเทคโนโลยีความปลอดภัย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการในแข่งขันทางธุรกิจ ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรด้วยการผสานอุปกรณ์ แพลตฟอร์มและโซลูชั่นทั้งของ LET และ Dahua เข้าด้วยกันเพื่อตอบโจทย์ และรองรับความต้องการของลูกค้าด้านงานรักษาความปลอดภัยที่แตกต่างกัน สำหรับกลยุทธ์ The New Society Market จะเป็นการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างทีมงานของ LET และ Dahua เพื่อการตัดสินใจที่รวดเร็ว และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าหลักได้แก่ องค์กรภาครัฐ องค์กรภาคธุรกิจ รัฐวิสาหกิจ อาทิ หน่วยงานราชการ โรงพยาบาล ธนาคาร บริษัทประกันภัย และหมู่บ้านจัดสรร เป็นต้น อีกทั้งยังเฟ้นหาลูกค้าใหม่ๆ โดยทีมจะมุ่งเน้นแผนการศึกษา พัฒนา ออกแบบระบบ และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมผสานเข้ากับ บียอน แพลทฟอร์ม (Beyond Platform) แพลทฟอร์มอัจฉริยะด้านรักษาความปลอดภัย ผ่านบิ๊กดาต้าและการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ทำงานร่วมกับกล้องโทรทัศน์วงจรปิด และระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับต่างๆ   พร้อมการบริหารจัดการแบบศูนย์รวมผ่านห้องปฏิบัติการ Single Command Control Center เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกันทั้งด้านระดับความปลอดภัย และข้อกำหนดในโครงการของลูกค้าให้ตรงใจกับผู้ใช้งานมากที่สุด นอกจากตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายแล้ว บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญเรื่องการจัดฝึกอบรมให้กับลูกค้าโดยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญที่พัฒนาระบบ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% จากปีก่อน นายโจว ชิง คันทรี่เมเนเจอร์ บริษัท ด้าหัว เทคโนโลยี เชื่อมั่นว่า การผนึกกำลังกันในครั้งนี้จะช่วยให้ด้าหัวฯ สามารถขยายตลาดในประเทศไทยได้เพิ่มมากขึ้น ด้วยความพร้อมด้านอุปกรณ์ ฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ของด้าหัวฯ ผนวกรวมกับประสบการณ์ความเชี่ยวชาญ และบียอน แพลทฟอร์ม (Beyond Platform) ที่ทันสมัยของ LET จะทำให้ลูกค้าได้รับประโยชน์จากการพัฒนาและออกแบบระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีขึ้น มีประสิทธิภาพสูงสุด และตรงความต้องการของลูกค้ามากที่สุด
Compound Finance การปล่อยกู้เพื่อสร้างกำไรในคริปโทฯ [VDO]

Compound Finance การปล่อยกู้เพื่อสร้างกำไรในคริปโทฯ [VDO]

Compound Finance การปล่อยกู้เพื่อสร้างกำไรในคริปโทฯ หลายคนที่สนใจวงการ Cryptocurrency คงเคยได้ยินการพูดถึง Compound Finance กันมาบ้าง โดยเฉพาะคนที่มีเหรียญดิจิทัลอยู่ในมือ ซึ่งสามารถนำเอาเหรียญไปสร้างมูลค่าเพิ่ม จากการปล่อยกู้ หรืออยากจะกู้เองก็ได้  ซึ่งบทความนี้จะพาทุกคนไปรู้จักกับ Compound Finance ว่าคืออะไรกันแน่  และจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับคนที่มี Cryptocurrency แล้วมีความต้องการสร้างรายได้เพิ่มจากการนำมาปล่อยกู้เพื่อได้รับดอกเบี้ย หรือคนที่ต้องการขอกู้ Cryptocurrency จะต้องดำเนินการอย่างไรบ้าง   ไขข้อข้องใจ Compound Finance คืออะไร Compound Finance เป็นแพลตฟอร์มที่จะช่วยอำนวยความสะดวก ผู้มี Cryptocurrency แล้วอยากจะเอามาปล่อยกู้เพื่อได้รับดอกเบี้ย รวมถึงผู้ที่จะมาขอกู้ตัว Cryptocurrency ก็สามารถเข้ามาใช้งานผ่านแพลตฟอร์มนี้ได้เช่นกัน และบทความนี้นอกจากจะทำความเข้าใจแพลตฟอร์ม Compound Finance เบื้องต้นแล้ว ยังจะอธิบายถึงฟังก์ชั่นสำคัญของ Compound Finance ว่ามีอย่างไรบ้าง   สำหรับผู้ที่สนใจ รายละเอียดต่าง ๆ เกี่ยวกับวงเงินการปล่อยกู้ มูลค่าเงินที่มีคนปล่อยกู้ และข้ออื่น ๆ  สามารถเข้าไปดูได้ในเว็บบราวเซอร์ compound.finance   เมื่อเข้าไปแล้วจะพบข้อมูลต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นมูลค่าเงินทั้งหมด (Total Supply)  ที่ระบบสามารถจะปล่อยกู้ได้  Total Borrow คือ มูลค่าเงินทั้งหมดที่มีคนกู้ไปในขณะนี้ ​รวมถึงมีการแสดง Cryptocurrency ที่มีการให้กู้ยืมหลาย Cryptocurrency ด้วยกัน  เช่น Ether, USD Coin หรือ DAI และยังมีการแสดงอัตราดอกเบี้ยที่ผู้ให้กู้จะได้รับ และดอกเบี้ยที่ผู้กู้จะต้องจ่ายแสดงไว้ด้วย   เข้าใจการกู้ยืมเงินใน Compound Finance หลายคนอาจจะสงสัย Compound Finance มีการทำงานอย่างไร มีการปล่อยกู้แบบ pear to pear หรือเปล่า? ความจริงแล้ว Compound Finance ใช้ระบบ Currency Pool เป็นการเชื่อมโยงระหว่าง Lender (ผู้ให้กู้) กับตัว Borrower หรือตัวผู้กู้ โดยฝั่ง Lender เป็นคน Supply Cryptocurrency เข้ามาใน  Currency Pool ก็จะได้รับอัตราดอกเบี้ยเป็น Supply APR เป็นค่าตอบแทน โดยตัวอัตราดอกเบี้ยที่โค้ดใน Compound Finance จะเป็นอัตราดอกเบี้ยต่อปี หรือ APR ย่อมาจาก Annual Percentage Rate     สำหรับผู้กู้ จะเป็นผู้มี Demand ในการที่จะมาขอกู้ทาง Currency Pool แล้วทางผู้กู้ก็ต้องชำระเป็นอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ หรืออัตรา Borrow APR เข้ามาที่ตัว Currency Pool โดยตัว Compound Finance จะเป็นคนบริหารจัดการตัว Currency Pool ให้สามารถบริหารจัดการไปได้อย่างราบรื่น รวมถึงและบริหารจัดการความเสี่ยงต่าง ๆ   การกู้เงินใน Compound Finance โดยขั้นตอนการกู้เงินใน อันดับแรกเราต้องมีการ Supply ตัว Cryptocurrency หรือมีการวางหลักประกันเข้ามาในตัว Currency Pool หลังจากได้วางตัวหลักประกันไปแล้ว จะได้รับ borrowing power จะคล้ายกับการไปกู้เงินกับทางธนาคาร ที่เราจะต้องวางสินทรัพย์ค้ำประกันก่อน ที่ดิน หรือบ้าน พอวางสินทรัพย์ ทางธนาคารจะให้วงเงินมา ซึ่งวงเงิน หรือ​ borrowing power หลังจากเรามี borrowing power แล้วเราก็สามารถกู้ยืมเงินจาก Currency Pool   ถ้าเราต้องการไถ่ถอนหลักประกัน เราต้องจ่ายตัวเงินกู้กลับไปพร้อมอัตราดอกเบี้ย เราจะได้ตัวหลักประกันคืนกลับมา ขั้นตอนนี้เหมือนการกู้ยืมเงินกับสถาบันการเงิน หรือบริษัทลิสซิ่งต่าง ๆ   มูลค่าสินทรัพย์และความเสี่ยงใน Compound Finance การนำสินทรัพย์มาค้ำประกัน แน่นอนว่าจะต้องมีการประเมินมูลค่า และความเสี่ยงของสินทรัพย์นั้น ๆ เพื่อประเมินว่าจะสามารถปล่อยวงเงินออกไปได้เท่าไร โดยปกติวงเงินกู้จะต้องมีมูลค่าน้อยกว่ามูลค่าสินทรัพย์ที่นำมาค้ำประกัน เพราะต้องบริหารความเสี่ยงจากการที่ผู้กู้ไม่ชำระหนี้  ซึ่งหลักการนี้ ไม่แตกต่างจากการกู้ยืมเงินกับทางธนาคาร หรือบริษัทลิสซิ่งต่าง ๆ ในแพลตฟอร์ม Compound Finance จึงมีการประเมินมูลค่าของเหรียญที่นำมาปล่อยให้กู้ยืมด้วย   กรณีตัวอย่างในแพลตฟอร์ม Compound Finance จำนวนเงินที่นำมาค้ำประกันมีมูลค่าเท่ากับ 35 us ในขณะที่ยอดเงินกู้มีค่าเท่ากับ 0 และ borrowing power มีมูลค่าเท่ากับ 23.48 us จะเห็นว่า borrowing power มีมูลค่ามากกว่า supply balance ตัววงเงินกู้จะมีมูลค่าน้อยกว่าสินทรัพย์ที่มาค้ำเป็นหลักประกัน จะเหมือนกับการกู้เงินกับทางธนาคาร หรือบริษัทลิสซิ่ง ที่จะมีการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ขึ้นมา แล้วมีการมอบวงเงินให้ต่ำกว่ามูลค่าสินทรัพย์ที่มาค้ำประกัน หรือเป็นการบริหารความเสี่ยงของทางธนาคาร     จากภาพตัวอย่าง ทาง Compound Finance ก็มีการจัดระดับชั้นความเสี่ยงของสินทรัพย์ที่นำมาค้ำประกันไว้จากตัวอย่าง ตัว BAT (Basic Attention Token) จะมีตัว Collateral Factor 60% ความหมายก็คือ ถ้าเรานำตัว BAT ที่มีมูลค่าเช่น 100 us มาค้ำประกัน เราจะได้รับตัว borrowing power เท่ากับ 60 us กรณี ETH มีตัว Collateral Factor เท่ากับ 75% ซึ่งสูงกว่า BAT ทำให้เวลาเราเอาตัว ETH มาค้ำประกันจะได้รับตัว borrowing power เป็นสัดส่วนที่มากกว่าตัว BAT   Compound Finance ก็มีการยึดทรัพย์  อย่างไรก็ตาม การกู้เงินผ่านตัว Compound Finance  มีขั้นตอนหนึ่งอันหนึ่งที่เราต้องทราบไว้ ซึ่งคือขั้นตอนการ Liquidation ซึ่งคือ การยึดทรัพย์เพื่อขายทอดตลาด  สาเหตุทำให้เกิด Liquidation คือ เมื่อภาระหนี้ หรือ debt ซึ่งประกอบไปด้วยเงินต้นที่เรากู้มาพร้อมภาระดอกเบี้ย  เกิดภาระหนี้สินมีมูลค่ามากกว่าวงเงินของเรา หรือตัว borrowing power ก็จะทำให้ตัวระบบทำการ Liquidation ซึ่งหลังจากเข้าสู่ขั้นตอนการ Liquidation ตัว collertral หรือสินทรัพย์ที่ถูกนำมาค้ำประกัน ก็จะถูกนำไปขาย สิ่งที่ผู้กู้จะได้รับคืน คือ จำนวนเงิน เท่ากับตัวมูลค่าหลักทรัพย์ที่เอาไปขาย หักลบด้วยภาระหนี้สิน และหักลบด้วยส่วนลด ซึ่งส่วนลดนี้เหมือนค่าดำเนินการที่นำตัวสินทรัพย์นี้ไป ขายทอดตลาด   ดอกเบี้ยกู้ยืมใน Compound Finance ปัจจัยที่ทำให้เกิดการกู้ยืมเงิน หัวใจอีกอย่างหนึ่ง คือ อัตราดอกเบี้ย ที่ผู้ให้กู้จะต้องได้รับ จากผู้ขอกู้ ซึ่งในแพลตฟอร์ม Compound Finance มีการคิดอัตตราดอกเบี้ย ​ ตัว Supply APR จะต่ำกว่า Borrow APR หรือคือดอกเบี้ยที่ผู้ให้กู้จะได้รับ จะต่ำกว่าดอกเบี้ยที่ผู้กู้จะต้องจ่าย เพื่อความเข้าใจจะดูจากกรณีตัวอย่างนี้   เริ่มต้นจากผู้ให้กู้ มีจำนวนเหรียญให้กู้ 200 mm(ล้านเหรียญ) ทางฝั่งผู้กู้มีความต้องการกู้อยู่100 mm จะเห็นว่ามีส่วนต่างอยู่ที่ฝั่ง Supply มีมากกว่า Demand แล้วทางฝั่งผู้กู้มีภาระที่จะต้องจ่ายดอกเบี้ยอยู่ 10% เมื่อคำนวณออกมาแล้วจะมีมูลค่าเท่ากับ 10 mm ซึ่งจำนวนเงิน 10 mm จะถูกนำไปจ่ายให้ฝั่งผู้ให้กู้ แต่ว่าโดยปกติ Compound Finance จะมีการหักเงินเก็บสำรองไว้ส่วนหนึ่ง เช่นในจำนวนนี้จะสำรอง (reserve) ไว้ 2 mm โดยหากคำนวณตัวเลขที่จ่ายมาให้ทางฝั่ง Supply ของ Currency Pool จะเหลือ 8 mm แล้วถ้านำจำนวน 8 mm มาคำนวณกับจำนวนเงินให้กู้ได้ทั้งหมด 200 mm ตัว APR ที่ฝั่งผู้ให้กู้จะได้รับจะเท่ากับ 4.0% นี่จึงเป็นที่มาของอัตราดอกเบี้ยที่ผู้ให้กู้กับผู้กู้ถึงมีความแตกต่างกัน สาเหตุมาจากความแตกต่างทางฝั่ง Supply กับ Demand กับการหักสำรองของ Compound Finance ไว้เพื่อการบริหารความเสี่ยง   การบริหาร Compound Finance ด้วย cToken นอกจากนี้ ตัว Compound Finance ยังมีการใช้ตัว  cToken  มาช่วยในการบริหารจัดการ จากตัวอย่างจะเห็นว่า มีตัว cBAT  กับ cETH ซึ่งตัว  cToken เกิดจาการที่เราได้นำตัว BAT กับ ETH ไปทำการค้ำประกันไว้กับตัว Compound Finance ด้วย  ซึ่งขั้นตอนการได้มาของ cToken มีดังนี้ ในขั้นตอนที่เรานำสินทรัพย์ไปค้ำประกันไว้กับตัว Currency Pool โดยสิ่งที่เราจะได้นอกจาก borrowing power เราจะได้ตัว cToken ของตัวสินทรัพย์ที่เราเอาไปค้ำประกันไว้ด้วย สมมติถ้าเราเอา ETH ไปค้ำเราก็จะได้ cETH ถ้าเราเอา Dai ไปค้ำ ก็จะได้ cDai ถ้าเราเอา Bat ไปค้ำเราก็จะได้ cBat   คุณสมบัติของ cToken สำหรับ cToken มีคุณสมบัติ ดังนี้ 1.ERC-20 หรือเป็น Token ที่สามารถโอนไปหาคนอื่นได้ เหมือนการโอน Token ของ Blockchain ของ Ethereum 2.represent balance in protocol ตัว cToken เป็นตัวยืนยันว่าเรามีสินทรัพย์อะไรบ้างใน Compound Finance 3. accrue interest over time cToken มีการสะสมมูลค่าอัตราดอกเบี้ยในการปล่อยกู้ทบต้นไปเรื่อย ๆ ตามระยะเวลาที่เรามีการปล่อยกู้ไป ใน Compound Finance 4.Useful Collateral การที่เรามี cToken แสดงว่าเรามีสินทรัพยไปค้ำประกันใน Compound Finance ก็ทำให้เราสามารถทำการกู้ยืมเงินออกมาจาก Compound Finance ได้   แล้ว cToken มีการเก็บอัตราดอกเบี้ย ใน Compound Finance อย่างไรบ้างนั้น อธิบายจากกรณีตัวอย่างดังนี้ คือ  User คนหนึ่งนำ Dai จำนวน 1,000 Dai ไปปล่อยกู้ใน Compound Finance โดยตัว exchange rate ระหว่างตัว DAI กับ cDAI เท่ากับ​ 0.020070 USER รายนี้จะได้รับตัว cDAI = 49,825.61 cDAI เป็นผลตอบแทนที่นำตัว DAI เข้ามาในระบบ 1,000 มาปล่อยกู้ใน Compound Finance หลังจากนั้น ทาง USER ก็นำเอาตัว cDAI ที่เขามีทั้งหมด ไปไถ่ถอนตัว DAI กลับคืนมา พอเวลาผ่านไป ซึ่งตัว exchange rate ของตัว DAI กับ cDAI ก็เปลี่ยนแปลงไป โดยตัว cDAI  ก็จะสามารถแลกตัว DAI ได้มากขึ้น จะเพิ่มขึ้นเป็น 0.021591 โดยเมื่อคำนวณตามอัตราแลกเปลี่ยน จะทำให้ USER รายนี้ได้รับตัว DAI กลับไปจำนวน 1,075.78 DAI   จะเห็นว่าตัว USER คนนี้ได้รับตัว DAI กลับคืนมา มากกว่าตัว DAI เริ่มต้นที่ใส่เข้าไปในระบบเพื่อปล่อยกู้ ตัวดอกเบี้ยที่ผู้ให้กู้ได้รับไป ซึ่งจำนวน 75.78 ก็คือ อัตราดอกเบี้ยที่ผู้ให้กู้ได้รับไป     แล้วการไถ่ถอนจำเป็นจะต้องไถ่ถอนทั้งก้อนหรือไม่ คำตอบไม่จำเป็น ตัวอย่างนี้ ถ้า USER ต้องการไถ่ถอนเท่ากับจำนวนที่ใส่ไป จำนวน 1,000 DAI วิธีการ คือ ต้องใส่จำนวน cDAI คืนเข้าไปในระบบจำนวน 46,351.59 cDAI เมื่อคำนวณตามอัตราแลกเปลี่ยน จะทำให้ตัว USER จะได้ตัว DAI กลับคืนมาเท่ากับ 1,000 DAI ส่วนจำนวน 75.78 DAI ที่เหลือยก็จะอยู่ในระบบ แล้วมีการปล่อยกู้ให้ทาง USER ได้รับดอกเบี้ยไปเรื่อย ๆ   (สำหรับข้อมูลของอัตราดอกเบี้ย เราสามารถดูได้ในระบบ Compound Finance)   ประเด็นสุดท้าย Governance  ของ Compound Finance ปัจจุบันระบบ Compound Finance ยังมีการควบคุมแบบ Centralized ตัว Admin เป็นคนดูแลระบบ ถูกคัดเลือกมาจากคนที่พัฒนาตัวนี้อยู่ ยังไม่ได้ถูก กระจายอำนาจ Decentralized ปัจจุบัน โดยตัว Admin มีอำนาจในการเพิ่มตัว cToken หรือปรับตัววิธีการคำนวณตัวอัตราดอกเบี้ยได้ รวมถึงอัพเดทแหล่งข้อมูลของราคาที่จะนำมาใช้คำนวณ มูลค่าของสินทรัพย์แต่ละชนิด ใน Compound Finance  และมีอำนาจในการควบคุมเงินทุนสำรองด้วย   แต่อย่างไรก็ตาม โรดแมปของ Compound Finance มีแผนการเปลี่ยนวิธีการควบคุมจาก Centralized มา Decentralized โดยออก Token ที่มีสิทธิ์การออกเสียงในการเลือก Admin ขึ้นมาบริหารจัดการ Compound Finance โดย Token จะมีลักษณะที่เรียกว่า Decentralized Autonomus Organization หรือ DAO   ทั้งหมดก็เป็นเรื่องรายของแพลตฟอร์ม Compound Finance ซึ่งถือว่ามีความใกล้เคียงกับระบบการกู้ยืมเงินในธนาคาร ที่เราคุ้นเคยกันอย่างดี เพียงแต่แพลตฟอร์ม Compound Finance เป็นการรอบรับการกู้ยืมเงินในโลกการเงินดิจิทัล ที่เราจำเป็นต้องเรียนรู้และเข้าใจ เพราะโลกปัจจุบันเป็นยุคดิจิทัลไปแล้ว   บทความที่เกี่ยวข้อง Blockchain คืออะไร? เกี่ยวอะไรกับ Bitcoin – Crypto Blockchain มีกี่ประเภท? เรื่องต้องรู้ก่อนเข้าสู่โลกการเงินดิจิทัล ไขทุกข้อสงสัย การโอน Crypto กับ E-Banking ต่างกันยังไง? เรื่องต้องรู้ ETH Smart Contract คืออะไร? Coin VS Token เหมือน หรือ ต่าง อย่างไร? ETFs แค่เข้าใจ ก็ลงทุน Bitcoin ได้ไม่ยาก Bitcoin Wallet คืออะไร? จะเสี่ยงแค่ไหน? ถ้าคอมพิวเตอร์โดยขโมย!! ทำไมต้อง IPO ทำไปเพื่ออะไร? – เข้าใจการระดมทุนใน SET ด้วย IPO Bitcoin กับการฟอกเงินและอาชญากรรม DeFi นวัตกรรมการเงินดิจิทัล ที่ไม่ต้องง้อธนาคาร Chainlink กับบทบาทและความสำคัญในโลกการเงินดิจิทัล รู้จักกับ STO อีกวิธีของการระดมเงินทุน ทั้งรวดเร็วและปลอดภัย รู้จัก Yield Farming เพื่อการลงทุนคริปโทให้กำไรงอกเงย Liquidity Pool คืออะไร สำคัญแค่ไหนในวงการ Cryptocurrency รู้จักกับ LUKSO เทคโนโลยี Blockchain เพื่อไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล Impermanent Loss คืออะไร เข้าใจเรื่องเสี่ยงขาดทุนในการฟาร์ม  
เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาทใน 5 ปี ตั้งเป้า องค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ปี 2050

เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาทใน 5 ปี ตั้งเป้า องค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ปี 2050

เซ็นทรัลพัฒนา องค์กรยั่งยืนระดับโลก เดินหน้าวิสัยทัศน์ Imagining better futures for all สร้าง Sustainable Ecosystem ที่แข็งแกร่ง ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาทใน 5 ปี ยกระดับคุณภาพชีวิตผู้คน ตั้งเป้า องค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ปี 2050 เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาทใน 5 ปี ตั้งเป้า องค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ปี 2050 บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)  ผู้พัฒนาธุรกิจศูนย์การค้าเซ็นทรัล, ที่พักอาศัย, อาคารสำนักงาน และโรงแรมทั่วประเทศ เดินหน้าวิสัยทัศน์ Imagining better futures for all สร้าง Sustainable Ecosystem ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ด้วยบทบาทของ ‘Place Maker’ นักพัฒนาพื้นที่แห่งอนาคต ที่บุกเบิกสร้างเมืองและความเจริญทั่วประเทศชูแผนธุรกิจ 5 ปี (2022-2026) ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาท ด้วย 3 กลยุทธ์สู่ความยั่งยืน ด้วยการ Synergy ผนึกกำลังธุรกิจมิกซ์ยูส คู่ค้า ชุมชน ทุกฝ่าย, บุกเบิกสร้างมาตรฐานใหม่ของพื้นที่การใช้ชีวิตแห่งอนาคต และมุ่งสู่องค์กรแห่งการสร้างโอกาส พัฒนา ‘คน’ พัฒนาเมืองและประเทศ และยกระดับวงการอสังหาฯ และรีเทลของไทย นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ได้เผยวิสัยทัศน์การดำเนินธุรกิจ พร้อมประกาศ Brand Commitment for Better Futures เพื่อมุ่งมั่นสร้างสรรค์คุณภาพชีวิตและอนาคตที่ดีให้กับผู้คน สังคม และโลกของเรา ตอกย้ำการเป็นบริษัทยั่งยืนในระดับโลก พร้อมเผย Brand Identity ใหม่ทั้ง Corporate และศูนย์การค้าทั่วประเทศ สะท้อนอัตลักษณ์ความภูมิใจท้องถิ่น และแตกต่างโมเดิร์นได้แนวคิดจากเอเจนซี่ด้านดีไซน์ระดับโลก นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เซ็นทรัลพัฒนา กล่าวว่า “ตลอดระยะกว่า 40 ปี เซ็นทรัลพัฒนารู้สึกภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้คน ได้อยู่เคียงข้างและช่วยพัฒนาประเทศชาติมาโดยตลอด จนกลายเป็นภาพจำของการเป็น ‘Center of Life’ ศูนย์กลางการใช้ชีวิตของทุกคนและทุกชุมชนที่โครงการเราไปตั้งอยู่ ในวันนี้ภายใต้บทบาทของการเป็น ‘Place Maker’ นักพัฒนาที่ต้องการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คนทุกแห่ง สร้างพื้นที่ที่จะเป็นอนาคตที่ดีให้กับทุกคน โดยเชื่อมโยง 2 สิ่งที่สำคัญคือ ‘People’ คนและชุมชนที่เป็นพลังขับเคลื่อนสังคมและสร้างความเปลี่ยนแปลง และ ‘Planet’ สิ่งแวดล้อมและโลกใบนี้ เข้ามาอยู่ใน Sustainable Ecosystem ที่แข็งแกร่งและยั่งยืนของเรา” โดยภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่ เซ็นทรัลพัฒนาเดินหน้าสร้าง Better Futures ด้วย 3 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ กลยุทธ์ที่ 1: SYNERGY for new solutions ผนึกกำลังทุกฝ่าย สร้างแพลตฟอร์มยกระดับการใช้ชีวิตและธุรกิจอย่างครบวงจร 1.1     Synergy within Retail-Led Mixed-Use Development: ผนึกกำลังทุกองค์ประกอบที่แข็งแกร่งของเซ็นทรัลพัฒนา มอบประสบการณ์ที่ Seamless โดยให้ศูนย์การค้าเป็นธุรกิจหลัก (Retail-Led Mixed-use development) ทั้งศูนย์การค้า, ที่อยู่อาศัย, อาคารสำนักงาน และโรงแรม โดยในอีก 5 ปี (2022-2026) บริษัทฯ จะมีโครงการอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ อยู่ในมากกว่า 30 จังหวัด ซึ่งจะทำให้จำนวนโครงการทั้งหมด (รวมปัจจุบันและอนาคต) ได้แก่ ศูนย์การค้า 50 แห่ง ทั้งในและต่างประเทศ และคอมมูนิตี้มอลล์ 16 แห่ง (อยู่ระหว่างการศึกษาการขยาย), โครงการที่พักอาศัย 68 แห่ง, อาคารสำนักงาน 13 แห่ง และโรงแรม 37 แห่ง โดยมากกว่า 50% ของโครงการทั้งหมดจะเป็นรูปแบบมิกซ์ยูสที่มีมากกว่า 1 ธุรกิจ และมีศูนย์การค้าเป็นหัวใจสำคัญ โดยเร่งขยายการเติบโตของทุกๆ ธุรกิจพร้อมกันไปอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทั้งหมดจะเชื่อมโยงยกระดับการใช้ชีวิตทุกรูปแบบทั้ง shop-work-stay-play-live ด้วยโครงการรีเทลที่เติมเต็มทุกฟอร์แมตและเทรนด์ใหม่ๆ, โครงการที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพและเชื่อมโยงสิทธิประโยชน์ในเครือเพื่อลูกบ้านเซ็นทรัล พร้อมเชื่อมต่อออฟฟิศให้เป็นสถานที่ที่ทำงานที่ดีที่สุดเพราะใกล้ศูนย์การค้าและโรงแรม รวมถึงปั้นโรงแรมแบรนด์น้องใหม่ เพื่อยกระดับทำให้ทุกเมืองเป็นเมืองท่องเที่ยว นอกจากนี้ ยังได้ตั้งทีม Business & Digital Transformation ลงทุน 450 ล้านบาทในปี 2022 เพื่อทรานฟอร์มสู่การเป็น Omnichannel Platform ซึ่งมากกว่าการเชื่อม offline และ online แต่ยังเชื่อมโยงทุกธุรกิจใน ecosystem เข้าด้วยกัน และเชื่อมโยงธุรกิจที่อยู่กับเราไปยังลูกค้าด้วยเป็น B2B2C สร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้าในอนาคต 1.2     Synergy with business partners: มุ่งมั่นสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับธุรกิจของคู่ค้า พร้อมจัดตั้งทีม Partner Champions ที่จะเป็น Business Consultant ในการเป็น End-to-End Solutions ให้กับคู่ค้าอย่างครบวงจร ได้แก่ การช่วยเหลือการเติบโตและขยายสาขาด้วยโมเดล Co-investment, Funding, และ Franchise การช่วยเหลือด้าน Business Operation ต่างๆ, การใช้ Big Data จาก The 1 และ The 1 Biz, และ Retail Omnichannel เพื่อส่งเสริมและผลักดันธุรกิจของคู่ค้า, รวมไปถึงการจัดการ Transaction และบริการต่างๆ ที่จะช่วยพันธมิตรทุกราย 1.3     Synergy with communities: ทุกโครงการของเซ็นทรัลพัฒนามีส่วนสะท้อนอัตลักษณ์ Local Essence ของชุมชน ทั้งได้ด้าน Art & Culture รวมไปถึง Local Wealth การสร้างและกระจายรายได้ให้กับชุมชน นอกจากนี้ ยังเป็นแพลตฟอร์มยกระดับ SMEs และอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในแบบ Cross-Region ให้ผู้ประกอบการ, เกษตรกร และอาชีพต่างๆ ได้เข้าถึงพื้นที่การขายและลูกค้า โดยรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 40,000 ตร.ม. หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 300 ล้านบาทต่อปี กลยุทธ์ที่ 2: PIONEER for better lives สร้างมาตรฐานใหม่ของพื้นที่แห่งการใช้ชีวิตที่ดีในอนาคต ต่อไปนี้ภายในทุกโครงการใหม่ของเซ็นทรัลพัฒนาจะมีการบริหารจัดการที่ใส่ใจหัวใจสำคัญ 2 ด้านเพื่อการใช้ชีวิตของทุกคนอย่างยั่งยืน ได้แก่ Green & Energy ด้วย Green Building Standard มาตรฐานอาคารเขียวระดับสากล, ติดตั้งเซลล์ผลิตพลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ในทุกโครงการ, พัฒนาอาคารอัจฉริยะหรือ Building Automation, การเพิ่มจุด EV Charging และ Recycle Station สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดและแนวทางเศรษฐกิจหมุนเวียน เป็นต้น Health & Wellness พื้นที่ที่มีส่วนช่วยยกระดับการใช้ชีวิตของผู้คน ด้วยการตอกย้ำแผนแม่บทและมาตรการด้านความสะอาดและความปลอดภัย, การเพิ่มพื้นที่สีเขียวทั้ง indoor-outdoor, การออกแบบที่ตอบสนองคนทุกกลุ่ม (Inclusive Design) ให้เป็นพื้นที่ที่ทุกคนมาใช้ได้จริง รวมถึงพื้นที่เพื่อชุมชน เช่น ลานออกกำลังกาย, สนามเด็กเล่น, ศูนย์การเรียนรู้, ศูนย์ฉีดวัคซีน, พื้นที่รับบริจาคโลหิต, พื้นที่เพื่อ well-being สำหรับชุมชน เป็นต้น กลยุทธ์ที่ 3: OPPORTUNITIES with Purpose ขับเคลื่อนสังคมและธุรกิจ เปิดโอกาสให้ทุกคน เป็นองค์กรแห่งการสร้าง ‘โอกาส’ พัฒนาคน พัฒนาเมือง พัฒนาประเทศ และยกระดับวงการอสังหาฯ และรีเทลของไทย เทียบเท่าระดับโลก เพื่อสร้างอนาคตที่ดีกว่าร่วมกัน ให้คนได้มาเรียนรู้ แลกเปลี่ยนประสบการณ์ จับคู่ทางธุรกิจ และขยายไปทั้งในและต่างประเทศ ผ่านโครงการ Central Pattana Lead และ Retail Academy สร้าง Local Wealth ให้เกิดการจ้างงานในพื้นที่ ขยายความเจริญจากส่วนกลางสู่ท้องถิ่น และยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในจังหวัด ให้คนรุ่นใหม่ได้เข้ามาร่วมงานกับเซ็นทรัลพัฒนา ผ่านโปรแกรมให้ได้ทดลองไอเดียใหม่ๆ เช่น Retail Hackathon ซึ่งนำไปต่อยอดจริง ให้โอกาสอย่างทั่วถึงกับกลุ่มคนที่หลากหลาย LGBTQ+ ข้อจำกัดทางร่างกาย บุคคลพิเศษ และมีความเป็น Global Citizen ให้ความสำคัญกับ Global Values อาทิ Human Rights, Equality, Diversity เป็นต้น จากกลยุทธ์ทั้งหมดนำไปสู่การสร้าง Big impact ในเชิงเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อมของทุกเจเนอร์เรชั่น โดยนางสาววัลยากล่าวต่อไปว่า “ภายใต้วิสัยทัศน์ใหม่ เราจึงมุ่งมั่นที่จะทำตาม Brand Commitment สำคัญคือการเดินหน้าสร้าง Sustainable Ecosystem ที่แข็งแกร่งและยั่งยืน เพื่อผู้คนและโลก ยืนหยัด สร้างพื้นที่ที่มีคุณภาพ ส่งเสริมการใช้ชีวิตในทุกมิติ สร้างสรรค์สิ่งที่ที่ดีเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนสำหรับคนไทยและประเทศไทย โดยมีเป้าหมายที่ชัดเจน ได้แก่ ยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้คนและชุมชนทั่วประเทศ: โดยปัจจุบัน เซ็นทรัลพัฒนามีส่วนช่วยสร้างเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจเทียบเท่าประมาณ 1% ของ GDP ของประเทศมาอย่างต่อเนื่อง และในอีก 5 ปีข้างหน้า จะยังคงเติบโตเช่นนี้ และทำให้เกิดการจ้างงานไม่ต่ำกว่า 150,000 ตำแหน่ง ที่อยู่ใน sustainable ecosystem ของเซ็นทรัลพัฒนา ตั้งเป้าเป็นองค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ภายในปี 2050 ด้วยแผนระยะยาวตั้งเป็น Net Zero Carbon Emission ให้ได้ผ่านการลดการใช้พลังงานให้ได้ 50% ลดการใช้ CFC และสารที่ทำลายชั้นบรรยากาศ และส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดหรือ Clean Energy ให้ได้อีก 50% นอกจากนี้เรายังตั้งเป้าปลูกต้นไม้เพิ่มพื้นที่สีเขียวทั้งภายในและภายนอกโครงการให้ได้ถึง 1 ล้านต้นโดยเร็วอีกด้วย” บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ขับเคลื่อนสู่อนาคตภายใต้เจตจำนงค์ของแบรนด์ Imagining better futures for all ด้วยการสร้างและพัฒนาพื้นที่ที่มีคุณภาพเพื่อดูแลคนและชุมชน รวมถึงสิ่งแวดล้อม ให้เติบโตควบคู่ไปกับการเดินหน้าทางเศรษฐกิจและขับเคลื่อนประเทศไทย ที่ผ่านมา บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจเพื่อความยั่งยืนมาอย่างต่อเนื่อง โดยเป็นบริษัทอสังหาฯ หนึ่งเดียวในไทยที่เป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืนระดับโลก DJSI World ต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 และ DJSI Emerging Markets ต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้เปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาใหม่ เพื่อสะท้อน Commitment for better futures โปรดรับชมได้ทาง https://youtu.be/ZrUKWsxGZks   บทความหน้าสนใจ The Forestias – เมืองต้นแบบกลางป่าใหญ่ในกรุงเทพฯ 6 วิธีช้อปปิ้งในห้าง-ซุปเปอร์มาร์เก็ต ให้ปลอดภัยจากโควิด-19  
Impermanent Loss คืออะไร เข้าใจเรื่องเสี่ยงขาดทุนในการฟาร์ม [VDO]

Impermanent Loss คืออะไร เข้าใจเรื่องเสี่ยงขาดทุนในการฟาร์ม [VDO]

Impermanent Loss คืออะไร เข้าใจเรื่องเสี่ยงขาดทุนในการฟาร์ม Impermanent Loss หากแปลตามความหมาย ก็คือ การขาดทุนชั่วคราว แต่ในวงการ Cryptocurrency นั้น จะหมายถึง ค่าส่วนต่างที่ขาดทุนหรือค่าเสียโอกาสจากการฟาร์มที่เกิดขึ้นในเวลานั้น แต่ยังไม่ใช่ผลขาดทุนจริง เป็นเพียงมูลค่าเหรียญใน Liquidity Pool มีมูลค่าน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับการถือเหรียญนั้นเอาไว้เฉย ๆ จะขาดทุนจริง ๆ ก็ต่อเมื่อมีการถอนเหรียญนั้นออกจาก Liquidity Pool   แต่เพื่อความเข้าใจที่ชัดเจนขึ้น วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับ Impermanent Loss ว่าคืออะไรกันแน่ โดยผ่านกรณีตัวอย่างต่อไปนี้     สมมติมีนาย A และมีตัว Liquidity pool เป็นคู่เหรียญ ETH กับ DAI เริ่มต้นกำหนดให้นาย A ใส่ตัวเหรียญ ETH กับ DAI เข้ามาใน Pool โดยนาย A ใส่จำนวนเหรียญ ETH มา 3 เหรียญ และราคาเท่ากับ 200 USD เท่ากับ 1 ETH ก็จะทำให้ตัว ETH ที่ใส่เข้ามามีมูลค่าเท่ากับ 600 USD ในขณะที่จำนวน DAI นาย A ใส่เข้ามา 600 DAI ซึ่งตัวนี้มีมูลค่าเท่ากับ 1 USD ทำให้ตัว DAI มีมูลค่าเท่ากับ 600 USD อยู่แล้ว ดังนั้น ตอนเริ่มต้นมูลค่าเหรียญที่นาย A ใส่เข้าไปทั้งหมดจะมีมูลค่าเท่ากับ 1,200   ต่อมามูลค่า ETH มีมูลค่าเพิ่มขึ้น จาก 200 เป็น 250 แล้วนาย B มาสังเกตเห็นว่า ETH ใน Pool นี้ มีราคาถูกกว่าราคาตลาด เพราะมีราคาเริ่มต้นที่ 200  ขณะที่ราคาตลาดขึ้นมาเป็น 250 แล้ว นาย B เห็นโอกาสนี้เลยเอาตัว DAI เข้ามาซื้อ ETH ใน Pool นี้ ด้วยการโอน DAI เข้ามาใน Pool นี้ แล้วทำการซื้อ ETH ออกไป แล้วนาย B ก็ทำการทยอยซื้อ ETH ไปเรื่อย ๆ จนได้จำนวน 1 ETH  ในราคาเฉลี่ยที่ 225 USD ต่อ ETH หลังจากนาย B ทำการซื้อ ETH ใน Pool นี้ ก็จะทำให้สถานะของ ETH ใน Pool นี้เปลี่ยนไป โดย ETH เพียง 2 ETH โดยคูณกับมูลค่าตลาดของ ETH เหลือเพียง 250 USD นั่นหมายความว่า ETH ใน Pool นี้จะมีมูลค่า 500 USD ในขณะที่ตัว DAI จะมีเพิ่มขึ้นเท่ากับจำนวนที่ได้รับจากนาย B คือ 225 เมื่อคูณกับจำนวน DAI ที่มีอยู่เดิมก็จะเท่ากับ 825 DAI จะทำให้มูลค่ารวมของตัว DAI มีมูลค่าเท่ากับ 825 USD เมื่อรวมกับมูลค่าของ ETH ก็จะทำให้ตอนนี้ Pool ของนาย A มีมูลค่าเท่ากับ 1,325 เหรียญ  เมื่อเป็นเช่นนี้ มูลค่า Pool ของนาย A ก็จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น 125 USD   แต่ถ้ามองในอีกมุมหนึ่ง ถ้านาย A ถือเหรียญพวกนี้ไว้เฉย ๆ ถือ ETH กับ DAI ไว้เฉย ๆ ใน wallet ไม่นำมาใส่ไว้ใน Pool  นี้  มูลค่าพอร์ตของนาย A ทั้งหมดจะมีมูลค่าเท่ากับเท่าไร ลองมาคำนวณกันดู   ตอนเริ่มต้น นาย A มีจำนวน ETH อยู่ 3 ETH แล้วนำมาคูณกับมูลค่า ETH ณ ตอนนี้ ที่มีอยู่ตอนนี้ ซึ่งเท่ากับ 250 USD  ต่อ ETH ก็จะทำให้มูลค่าของนาย A มีทั้งหมดเท่ากับ 750 แล้วเมื่อนำมารวมกับมูลค่า DAI ที่ตอนแรกมีทั้งหมด 600 DAI ก็จะทำให้ตัวนาย A จะมีมูลค่าของพอร์ต ทั้งหมดเท่ากับ 1,350 USD ซึ่งเมื่อเอามาเปรียบเทียบกับมูลค่าพอร์ตข้างต้นแล้ว จะเห็นว่า ตัวนาย A ถ้าถือเหรียญพวกนี้ไว้เฉย ๆ มูลค่าพอร์ตของนาย A มีมูลค่ามากกว่าพอร์ตของนาย A เอามาใส่ใน Pool ตอนนี้ 25 USD ซึ่งส่วนต่างตรงนี้จะเรียกว่า Impermanent Loss ก็คือผลขาดทุนเมื่อเทียบกับการถือเหรียญไว้เฉย ๆ ซึ่งไม่ใช่ผลการขาดทุนที่เกิดขึ้นจริง แต่เป็นการเปรียบเทียบระหว่างการถือเหรียญไว้เฉย ๆ กับการเอาจำนวนเหรียญที่อยู่ใน Pool มาเปรียบเทียบมูลค่ากัน   ถ้าหากนาย A ทำการถอดเหรียญออกจาก Pool เมื่อถึงตอนนั้นตัน  Impermanent Loss ตรงนั้น ก็จะเป็น Permanent Loss จริง ๆ ของพอร์ตนาย A แต่อย่างไรก็ตาม ถ้านาย A ถอนเหรียญออกจาก Pool  สิ่งที่นาย A จะได้รับ คือ ค่าธรรมเนียม เพราะฉะนั้น เวลาการมาคำนวณผลประโยชน์ที่นาย A ได้รับ จากการนำจำนวนเหรียญเข้ามาใส่ใน Pool นี้ ก็จะต้องมีการเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมที่นาย A ได้รับ กับ Impermanent Loss  ที่จะเกิดขึ้น   บทความที่เกี่ยวข้อง Blockchain คืออะไร? เกี่ยวอะไรกับ Bitcoin – Crypto Blockchain มีกี่ประเภท? เรื่องต้องรู้ก่อนเข้าสู่โลกการเงินดิจิทัล ไขทุกข้อสงสัย การโอน Crypto กับ E-Banking ต่างกันยังไง? เรื่องต้องรู้ ETH Smart Contract คืออะไร? Coin VS Token เหมือน หรือ ต่าง อย่างไร? ETFs แค่เข้าใจ ก็ลงทุน Bitcoin ได้ไม่ยาก Bitcoin Wallet คืออะไร? จะเสี่ยงแค่ไหน? ถ้าคอมพิวเตอร์โดยขโมย!! ทำไมต้อง IPO ทำไปเพื่ออะไร? – เข้าใจการระดมทุนใน SET ด้วย IPO Bitcoin กับการฟอกเงินและอาชญากรรม DeFi นวัตกรรมการเงินดิจิทัล ที่ไม่ต้องง้อธนาคาร Chainlink กับบทบาทและความสำคัญในโลกการเงินดิจิทัล รู้จักกับ STO อีกวิธีของการระดมเงินทุน ทั้งรวดเร็วและปลอดภัย รู้จัก Yield Farming เพื่อการลงทุนคริปโทให้กำไรงอกเงย Liquidity Pool คืออะไร สำคัญแค่ไหนในวงการ Cryptocurrency รู้จักกับ LUKSO เทคโนโลยี Blockchain เพื่อไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล  
KAYY Coffee คาเฟ่น่ารักย่านบางลำพู

KAYY Coffee คาเฟ่น่ารักย่านบางลำพู

บ่ายนี้เดินเล่นย่านพระนครชมเกาะรัตนโกสิน จนมาถึง แหล่งการค้า บางลำพู เหนื่อยหากาแฟยามบ่ายแบบสดชื่น ต้องนึกถึงร้านนี้ ที่เดิมเคยเป็นร้านกาแฟรถเข็น ขายกาแฟโบราณในรุ่นพ่อที่ขายมามากกว่า 20 ปี เปลี่ยนถ่ายมาถึงรุ่นลูกคนรุ่นใหม่ที่ ตกแต่งให้ร้านมีที่นั่ง และมุมถ่ายรูปเก๋ จะนั่งทำงานปลั๊กไฟก็พร้อม KAYY Coffee และขอบอก เจ้าของร้านดูแลบริการดีมาก เป็นกันเองสุดๆ  บอกเลยสาวๆกรี๊ดสลบ กาแฟดีอาหารตาก็ดีนะครับ บอกเลยงานดีจ้า เมนูที่สดชื่นๆ ยามบ่ายแนะนำ   สุมาลี ที่เป็นน้ำมะนาวแท้ผสมน้ำผึ้งเดือน5 พร้อมด้วยกาแฟเข้ม 1 ช็อต Black Orange กาแฟส้ม จากน้ำส้มคั้นสดผสมเนื้อส้ม รสหวานอมเปรี้ยว ผสมกับเอสเพรสโซ่ช๊อต คื่มง่ายสดชื่น Strawberry Short Cake สตรอเบอร์รี่สลับกับชั้นครีมสด เนื้อเค้กนุ่มเบาเเละเนียนละเอียด หอมมัน เเละที่สาวๆน่าจะสบายใจขึ้นหน่อย คือหวานน้อย kayycoffee ร้านอยู่ที่ ถนน พระสุเมรุ เข้าซอยข้างธนาคารกสิกรไทย สาขาบางลำพู เดินไม่กี่ก้าวก็ถึง 🛵ROBINHOOD ,GRAB ,LINEMAN ⏰ เปิด 8:00 - 18:00 น ☎️096-6151964 Line : @kayycoffee   Lifestyle Review your living RISE COFFEE กาแฟดีที่ เพลินจิต Know Name Cafe คาเฟ่หมูกระทะ   
รู้จักกับ LUKSO เทคโนโลยี Blockchain เพื่อไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล [VDO]

รู้จักกับ LUKSO เทคโนโลยี Blockchain เพื่อไลฟ์สไตล์ยุคดิจิทัล [VDO]

รู้จักกับ LUKSO เทคโนโลยี Blockchain Lukso คือ Multiverse Infrastructure Blockchain ที่มี Fabian Vogelsteller เป็นผู้ก่อตั้ง (Foundation) และผู้พัฒนาหลักของโปรเจ็กต์นี้ โดยประวัติของ Fabian เขาคือหนึ่งในทีมผู้พัฒนา Ethereum ยุคแรก ๆ และเป็นผู้พัฒนาร่วมออกแบบ และสร้างตัว ERC 20 Token ซึ่งเป็น Token หลักที่มีการใช้งานบน Blockchain ของ Ethereum ในปัจจุบัน   โดย Lukso มีหน้าที่การใช้งานที่สำคัญอยู่ 3 อย่าง คือ Universal Public Profiles (UPP) Digital Certificates (NFTs) Cultural Currencies (Tokens) หรือการสร้าง Token บน Blockchain   สำหรับสิ่งที่ทำให้ Lukso ต่างจากแพลตฟอร์ม Blockchain อื่น ๆ คือ UPP   UPP คืออะไรมีประโยชน์อย่างไร เวลาจะสร้าง Account  ขึ้นมาบนแพลตฟอร์ม Lukso ตัว Account จะเป็นลักษณะของ Smart Contract Based Account พอเป็นลักษณะนี้ ก็หมายความว่า ตัว Account ที่เราสร้างขึ้นมา  Creator จะมีสิทธิ์เป็นเจ้าของ 100% นอกจากนี้ Creator จะมีสิทธิ์ควบคุม ได้ 100% หมายความว่า ตัว Account นี้มีคุณสมบัติเป็น Decentralized นั่นคือ จะมีเฉพาะตัวเจ้าของที่ทำการลบ หรือ ปิดกั้น ตัว Account นี้ได้   ถามว่ามันมีประโยชน์อย่างไร ให้ลองนึกถึงภาพ Account ที่อยู่บน Youtube, Facebook, Twitter มันมีการควบคุมในลักษณะ Centralized อยู่ ทาง Youtube, Facebook, Twitter จะสามารถลบ Account ของเราได้ทุกเมื่อ หรือทำการปิดกั้นข้อมูลไม่ให้คนอื่นเข้ามาเห็นข้อมูลเราได้ แต่ด้วยคุณสมบัติของ UPP บน Blockchain  Lukso ก็จะทำให้ไม่มีคนอื่นมาลบหรือปิดกั้น Account ที่ Creator สร้างขึ้นมาได้   นอกจากนี้ Account ที่สร้างขึ้นมาเป็น Smart Contract Based Account จะมีการบันทึกข้อมูลในส่วนนี้ลงใน Blockchain ของ Lukso นั้น หมายความว่าตัว Account จะมีข้อมูลอยู่แล้วที่เก็บอยู่บน Blockchain นั้น จะทำให้ Account นี้ แค่ Account เดียว ที่เป็น Smart Contract Based สามารถที่จะทำการเชื่อมต่อได้กับทุก ๆ แพลตฟอร์มทันที หรือต่อไปนี้ถ้าสมมติมีโซเชียลมีเดียหลาย ๆ แพลตฟอร์ม เช่น Youtube, Facebook, Twitter เขามาทำการเชื่อมต่อกับ Blockchain ของ Lukso ทาง Creator สามารถสร้างตัว Account ขึ้นมาอันเดียวบน Blockchain ของ Lukso แล้วทำการเชื่อมต่อเข้ากับทุก ๆ แพลตฟอร์มได้โดยทันที ทาง Creator ไม่จำเป็นต้องคอยอัพเดทตัวโปรไฟล์ ใน Youtube , Facebook,  Twitter ทำให้ตัว UPP มีคุณสมบัติสำคัญ คือ One Profile All Platform   สำหรับเทคโนโลยีที่สำคัญของ Lukso ที่ทำให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างตัว UPP ขึ้นมาได้ คือตัว Lukso จะใช้ตัว ERC725 เป็นตัว Token Standard ที่ไว้ใช้ในตัว Lukso นอกจากนี้ ถ้าดูแผนภาพ ที่ Fabian ได้พรีเซนต์ไว้คร่าว ๆ  ตัว ERC725 Token มีฟังก์ชั่นการใช้งานหลากหลายที่ทางผู้ใช้งาน สามารถแก้ไขในแต่ละส่วน และอัพเดทข้อมูลเข้าไปได้ อย่างที่เราคุ้นเคย อย่างตัว Avatar หรือตัวโปรไฟล์ทางเจ้าของ Account เข้าไปแก้ไขได้ตลอดเวลา   นอกจากนี้ตัว Account หนึ่งสามารถมีผู้ใช้งานเข้าไปได้หลายคน โดยแต่ละคนจะมีสิทธิ์เข้าไปใช้งานได้แตกต่างกัน บางคนอาจจะเข้าไปเปลี่ยนได้เฉพาะ Avatar บางคนก็สามารถเปลี่ยน Avatar หรือโอน Cryptocurrency หรือสินทรัพย์ดิจิทัลก็ได้เช่นกัน นั่นก็ทำให้ตัว UPP ไม่จำกัดแค่ การใช้งานระหว่างเฉพาะคนธรรมดาเท่านั้น แต่ทางบริษัทแบรนด์สินค้ากลุ่มคอมมูนิตี้ ก็สามารถสร้างตัว Account ของตัวเองขึ้นมาแล้วก็ให้สิทธิ์แต่ละคนเข้าไปแก้ไขอัพเดท ข้อมูลส่วนต่าง ๆ ได้ ตามสิทธิ์ที่แต่ละคนได้รับมา   ทำความรู้จักกับ Digital Certificates (NFTs) ทาง Lukso มองว่าจะมี Products หลัก ๆ คือ Digital Products หรือ ตัว NFTs ที่เราคุ้นเคย และถัดมาเป็น Phygital Products คือ การนำเทคโนโลยี NFTs เข้ามาใช้งานร่วมกับสินค้าจริง ๆ บนโลก Physical แต่สิ่งที่ดูน่าสนใจจริง ๆ ของฟังก์ชั่นนี้ของ Lukso คือ Flexible NFTs   โดยขอยกตัวอย่าง Flexible NFTs เพื่อความเข้าใจ เช่น ตัวโปรเจ็กต์ NFTs หนึ่ง ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะมีผู้ร่วมกันสร้างหลายคน ไม่ว่าจะเป็น Creator, Influencer และศิลปินหลายคนเข้าร่วมกันสร้าง NFTs ขึ้นมา โดยตัว NFTs ดังกล่าวอาจจะมีศิลปินหนึ่งคนทำเป็นรูปภาพขึ้นมา และศิลปินอีกคนที่เป็นนักดนตรีใส่เพลงเข้ามาได้ และต่อมาก็มีศิลปินคนหนึ่งเข้ามาแก้ไขรูปภาพเพิ่มเติม ซึ่งก็สามารถทำได้ตามเงื่อนไขของ UPP คือ ศิลปินคนแรก ที่สร้างสรรค์ผลงานขึ้นมาก็จะมอบสิทธิ์ให้แต่ละคนที่จะเข้ามาแก้ไข ก็เป็นไปได้เหมือนกัน   หรือตัวอย่างถัดมา คือ Dynamic NFTs คือ NFTs ตัวหนึ่งที่มีคุณสมบัติหรือลักษณะที่แสดงออกมาเปลี่ยนไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ให้กับ NFTs ตัวนี้ เช่น อาจจะมีไฟล์รูปภาพรูปหนึ่ง ที่จะมีการเปลี่ยนสีไปตามข้อมูลอุณหภูมิที่ได้รับข้อมูลผ่านทาง Oracle มาที่ NFTs ตัวนี้   นอกจากนี้ ยังมีตัวอย่าง Products ที่มีการทดลองทำมาบน Testnet ของ Lukso อย่างเช่นแพลตฟอร์ม THEDEMATERIALISED  หรือ DMAT ซึ่งจะเป็น​แพลตฟอร์ม Market Place ของ Lukso ในอนาคตก็มีการร่วมมือกับสตูดิโอต่าง ๆ ที่มีการทำ NFTs ในการนำตัว NFTs ที่มีอยู่ มาใช้งานคู่กับตัวแอป​ Snapchat ก็สามารถทำให้ผู้ใช้งานสามารถถ่ายรูปและมีรูป NFTs โพล่ขึ้นมาตามรูปภาพ จะเห็นภาพเสมือนกับผู้ใช้งานกำลังสวมใส่ NFTs ชิ้นนั้นอยู่นั่นเอง   ถัดมาเป็นตัวอย่างของ Phygital Products ทาง Lukso เคยทดสอบทำชิพมาตัวหนึ่ง เอาไปฝังไว้ในเสื้อผ้า แล้วเวลาสแกนด้วยแอปที่รองรับชิพนี้ ก็จะเห็นภาพโฮโรแกรมแล้วแสดงรายละเอียดของตัว NFTs ที่จะแสดงความเป็นเจ้าของ หรือรายละเอียดของเสื้อผ้านั้นให้เราเห็น ซึ่งเทคโนโลยีนี้คาดว่าในอนาคตจะใช้กับแบรนด์เสื้อผ้าต่าง ๆ ซึ่งตรวจสอบว่าสินค้านี้เป็นของจริงหรือเปล่า ซึ่งแบรนด์สินค้าที่ได้มีการทดลองทำ NFTs ขึ้นมา บน Blockchain Lukso บน Testnet ก็จะมี KARL LAGERFELD  ที่จะทำตัว NFTs ฟิกเกอร์ของ KARL LAGERFELD  มา 2 แบบ   นอกจากนี้ ยังมีแบรนด์ REBECCA MINKOFF ซึ่งมีการออกตัว NFTs ทั้งเสื้อผ้าและกระเป๋า ​ ซึ่ง NFTs ทั้งหมด จะรองรับการใช้งานผ่านเทคโนโลยี AR ทั้งหมด   การสร้าง Tokens ด้วย Cultural Currencies จากคุณสมบัติ UPP จะทำให้แต่ละแอคเคาน์ หรือแต่ละโปรไฟล์ สามารถที่จะสร้าง Token ของตัวเองออกมาทั้งรูปแบบ Brand Tokens, Influencer Tokens, Social Tokens หรือตัว Tokens ต่าง ๆ ที่จะแสดงถึงสิทธิพิเศษ หรือ สิทธิต่าง ๆ ที่ Creator กำหนดขึ้นมา   Technologies ของ Lukso มีอะไรบ้าง สำหรับ Technologies ของ Lukso มีดังนี้ คือ ERC725, Casper beacon chain และตัว Lukso สามารถใช้งานร่วมกับ EVM Compatible ได้ด้วย ตัว Blockchain ของ Lukso มีลักษณะเป็น Decentralization เหมือนกับตัว ETH2.0 รวมถึงความสามารถในการ Confirm ปริมาณ Transection ด้วยเช่นกัน นั่นทำให้ Fabian มองว่า Lukso ไม่ได้เป็น ETH Killer แต่มีลักษณะที่มีความเป็นพี่น้องกับ Ethereum มากกว่า ใครก็ตามจะลองพัฒนา Products ETH2.0 ก็สามารถมาทดลองบน Blockchain ของ Lukso ได้ก่อนเช่นกัน   สำหรับฝั่ง Advisors ของ Lukso นั้น มีแบรนด์ดัง ๆ เข้ามาร่วมบ้าง อาทิ Nike, Channel, Burberry รวมถึงแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียอย่าง Instagram   สำหรับใครที่อยากจะทดลองใช้แพลตฟอร์ม Lukso ปัจจุบัน Lukso อยู่ในช่วง Testnet ทำให้ตัว Token ที่มีการซื้อขายในปัจจุบัน จะเป็น ERC-20 Token มีชื่อย่อว่า LYXE แต่พอตัว Mainnet เสร็จตัว Lukso จะทำการย้ายตัว Token จาก LYXE มาเป็น LYX Token ก็จะเป็น ER-725 Token โดยล่าสุด Lukso คาดว่าตัว Mainnet จะเสร็จสิ้นและปล่อยให้นำออกมาใช้ได้ภายในเดือนมิถุนายนปีนี้   ถ้าใครสนใจสามารถไปติดตามได้ทาง IG Twitter ของ Lukso ก็คือ Lukso Project ที่น่าสนใจ เพราะเป็น Blockchain ที่เป็น Multiverse Infrastructure ด้วย   บทความที่เกี่ยวข้อง Blockchain คืออะไร? เกี่ยวอะไรกับ Bitcoin – Crypto Blockchain มีกี่ประเภท? เรื่องต้องรู้ก่อนเข้าสู่โลกการเงินดิจิทัล ไขทุกข้อสงสัย การโอน Crypto กับ E-Banking ต่างกันยังไง? เรื่องต้องรู้ ETH Smart Contract คืออะไร? Coin VS Token เหมือน หรือ ต่าง อย่างไร? ETFs แค่เข้าใจ ก็ลงทุน Bitcoin ได้ไม่ยาก Bitcoin Wallet คืออะไร? จะเสี่ยงแค่ไหน? ถ้าคอมพิวเตอร์โดยขโมย!! ทำไมต้อง IPO ทำไปเพื่ออะไร? – เข้าใจการระดมทุนใน SET ด้วย IPO Bitcoin กับการฟอกเงินและอาชญากรรม DeFi นวัตกรรมการเงินดิจิทัล ที่ไม่ต้องง้อธนาคาร Chainlink กับบทบาทและความสำคัญในโลกการเงินดิจิทัล รู้จักกับ STO อีกวิธีของการระดมเงินทุน ทั้งรวดเร็วและปลอดภัย รู้จัก Yield Farming เพื่อการลงทุนคริปโทให้กำไรงอกเงย Liquidity Pool คืออะไร สำคัญแค่ไหนในวงการ Cryptocurrency
ดอกไม้วาเลนไทน์ ความหมายดี ไม่ได้มีแค่ “กุหลาบสีแดง”

ดอกไม้วาเลนไทน์ ความหมายดี ไม่ได้มีแค่ “กุหลาบสีแดง”

ทุกวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปี เชื่อว่าบรรดาสาว ๆ ต่างก็ตั้งตารอว่าจะมีหนุ่มคนไหน นำเอาดอกกุหลาบสีแดงมามอบให้แทนความรักความห่วงใย เนื่องในวันวาเลนไทน์ ซึ่งตรงกับวันที่ 14 กุมภาพันธ์ของทุกปีกันบ้าง  โดยเฉพาะบรรดาสาว ๆ ที่มีคู่รักอยู่แล้ว เชื่อว่าต้องตั้งตารอดอกไม้ช่อโต หรือไม่ก็ของขวัญแทนใจอะไรสักชิ้นหนึ่งแน่นอน   ดอกกุหลาบสีแดง ถูกนำมาใช้แทนสัญลักษณ์ของวันวาเลนไทน์ เพราะมีตำนานความเชื่อว่า ดอกกุหลาบเป็นเครื่องหมายแทนการกำเนิดของ เทพธิดาวีนัส ซึ่งเป็นเทพแห่งความงาม และความรัก ซึ่งเทพวีนัสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อโฟรไดท์  ในตำนานเทพของกรีกได้กล่าวไว้ว่า น้ำตาของเธอหยดลงปะปนกับเลือดของ อคอนิส คนรักของเธอที่ถูกหมูป่าฆ่า เลือดและน้ำตาหยดลงสู่พื้นแล้วกลายเป็นดอกไม้สีแดงเข้มหรือดอกกุหลาบนั่นเอง แต่บางตำนานก็เล่าว่าดอกกุหลาบเกิดจากเลือดของ อโฟรไดท์ เองที่หยดลงสู่พื้น เมื่อเธอแทงตัวเองด้วยหนามแหลม ซึ่งนี่เป็นหนึ่งในตำนานที่เล่าต่อ ๆ กันมา ทำให้ดอกกุหลาบสีแดง เป็นสัญลักษณ์ที่ถูกมอบให้กันในวันวาเลนไทน์  เพื่อแสดงความรักต่อกัน สำหรับดอกกุหลาบสีแดง  เป็นดอกไม้ที่สื่อความหมายถึงการตกหลุมรัก หรือแอบชื่นชอบ มักถูกนำมาใช้เป็นสื่อแทนใจ เพื่อจะบอกให้รู้ว่ามีคนกำลังแอบปลื้มอยู่ มีความรักที่สุดแสน จะลึกซึ้ง  มั่นคง เรียกได้ว่าความรักนั้น ไม่มีวันจืดจางไป จากหัวใจ   แต่หากปีนี้หนุ่ม ๆ จะเซอร์ไพรซ์แฟนสาว ด้วยดอกไม้สักช่อ แต่กุหลาบสีแดงหาซื้อยาก หรือไม่ราคาก็แพงแสนแพง หรือคิดว่าให้ดอกกุหลาบสีแดงมาแล้วหลายปี อยากจะลองเปลี่ยนเป็นดอกไม้ชนิดอื่นดูบ้าง อาจจะหาซื้อง่ายกว่า หรือราคาไม่แพงมาก  แล้วอยากได้ดอกไม้แทนใจที่มีความหมายดี ๆ ไม่ต่างจากดอกกุหลาบสีแดง หรือเป็นดอกกุหลาบก็ได้ไม่ต้องสีแดงก็ได้  จะเลือกดอกกุหลาบสีอะไรดี ที่ยังให้ความหมายซึ้งตรึงใจ หรือดอกไม้อื่น ๆ ที่มีความหมายสุดโรแมนติกได้บ้าง วันนี้ เราได้รวบรวมดอกไม้เหล่านั้นมาให้เป็นตัวเลือกกับทุกคนแล้ว ดอกไม้วาเลนไทน์ ให้ดอกอะไรได้บ้าง ดอกกุหลาบสีเหลือง เป็นตัวแทนแห่งมิตรภาพ สื่อถึงความห่วงใยของผู้ให้ แสดงถึงความปรารถนาดี ต้องการให้สุขภาพแข็งแรง มีความสุขสดชื่น มีความหมายถึงเรื่องของสุขภาพที่ดี หลายคนจึงเชื่อและนิยมนำไปมอบหรือเยี่ยมคนป่วย แต่จริง ๆ แล้ว สามารถมอบให้กับเพื่อนเนื่องในโอกาสพิเศษได้เช่นกัน ดอกกุหลาบสีขาว แสดงถึงความรักที่ใสสะอาด บริสุทธิ์ น่าทะนุถนอม เป็นการให้ความรักโดยไม่หวังผลกลับคืนมา  เป็นการให้ความรักแบบไม่หวังผลใด ๆ ตอบแทน นิยมใช้เพื่อแสดงความรักที่จริงใจของตนเอง สามารถมอบให้กับผู้ที่เคารพรักได้ อาทิ  เจ้านาย ครูบาอาจารย์ ให้พ่อแม่ ดอกกุหลาบสีชมพู หมายถึง ความโรแมนติก ที่แสดงถึงความรักที่หวานซึ้งที่ผู้ให้มีต่อผู้รับ แต่ไม่ใช่ความรักที่ลึกซึ้งมากนัก  แค่เป็นเพียงรักที่ฉาบฉวยต้องการเปลี่ยนแปลงเพื่อแสวงหาสิ่งที่คิดว่าดีที่สุดเท่านั้นเอง ดอกกุหลาบสีส้ม หมายถึง ความรักเหมือนกุหลาบสีแดง แต่เป็นการแสดงความอบอุ่น และสื่อให้เห็นถึงความสดใส ความเป็นตัวของตัวเองของผู้รับ เมื่ออยู่ใกล้แล้วทำให้รู้สึกอบอุ่น และยังบ่งบอกความในใจถึงความรักและสิ่งที่ผ่านมาด้วย ดอกลิลลี่ ดอกลิลลี่เป็นดอกไม้แห่งความโดดเด่น และการเป็นผู้นำ หมายถึงรักที่เบ่งบานและบริสุทธิ์ใจ หลายคนก็เลือกดอกลิลลี่ เป็นดอกไม้วาเลนไทน์​ ที่มอบให้คนรักได้เช่นกัน ซึ่งดอกลิลลี่ก็มีสารพัดสี สวยๆ ทั้งนั้น ในบ้านเราก็ปลูกได้ง่ายด้วย ไม่ต้องสั่งจากต่างประเทศ แล้วสีไหนดีที่จะโรแมนติกแสนหวาน ดอกลิลลี่สีชมพู ถ้ามอบให้คนรัก จะหมายถึงตัวแทนของความรัก ความจริงใจ ความเข้าอกเข้าใจ ความอ่อนหวาน ความรักที่ค้นเจอ ความรักที่ดีที่สุดที่ตามหามานาน เหมาะสมกับโอกาสที่ ต้องการแสดงออกและสื่อถึงความรู้สึกทั้งหมด ดังเช่นวันแห่งความรัก แต่หากมอบให้เพื่อนหรือคนในครอบครัวจะแสดงถึงความรู้สึกเห็นอกเห็นใจและความอบอุ่น ดอกลิลลี่สีส้ม เป็นดอกไม้ที่แสดงออกถึงความร่าเริง สดใส ความสุขที่ได้อยู่ใกล้ เหมาะกับโอกาสที่จะมอบให้กับคนที่เรารัก โดยส่วนใหญ่จะเป็นคนในครอบครัว  เพื่อนฝูง หรือบุคคลอื่น ๆ เพื่อแสดงถึงความขอบคุณและความชื่นชมก็ได้เช่นกัน ดอกลิลลี่สีเหลือง คือ สัญลักษณ์ของความมั่นคง แสดงออกถึงความอบอุ่นที่ห่วงใย ของความรักที่มั่นคง เหมาะสำหรับโอกาสที่จะแสดงออกถึงความห่วงใย ห่วงหาอาทร มิตรภาพ ความยินดี และความอบอุ่น ใช้เพื่อแสดงความขอบคุณและความห่วงใย สามารถมอบให้ได้ทั้งเพื่อนสนิท เพื่อนร่วมงาน หรือญาติพี่น้อง รวมถึงการไปเยี่ยมผู้ป่วย ดอกลิลลี่สีขาว มีความหมายถึงความรักที่บริสุทธิ์ เช่นเดียวกันกับดอกกุหลาบสีขาว  และยังแสดงออกถึงความรักแบบอ่อนหวาน จริงใจ และเทิดทูน จึงมักถูกใช้แทน ประโยคที่ว่า "ฉันรู้สึกดีที่ได้รู้จักและอยู่ใกล้คุณ" จึงสามารถมอบให้กันแทนดอกกุหลาบสีแดงในวันวาเลนไทน์  นอกจากนี้ ยังเหมาะสมที่จะมอบให้กันในโอกาสแสดงความยินดี มอบให้ในวันรับปริญญา หรืองานมงคลต่าง ๆ ดอกลิลลี่สีม่วง คือสัญลักษณ์ของความภาคภูมิใจ ความเคารพ ความสำเร็จ และความพิเศษ จึงเหมาะสำหรับการมอบให้คนพิเศษ คนสำคัญ หรือผู้ใหญ่เพื่อบอกว่าคุณชื่นชมผู้รับมากแค่ไหน ดอกคาร์เนชั่น   ดอกคาร์เนชั่น เป็นสัญลักษณ์ของการเฉลิมฉลอง ซึ่งในตำนานความเป็นมาของชาวกรีกโรมัน มักจะนิยมใช้ดอกคาร์เนชั่น ในโอกาสการแสดงความยินดี ความรื่นเริงต่าง ๆ ดอกคาร์เนชั่นจึงเป็นสัญลักษณ์ของการแสดงความยินดี และความรักที่เบ่งบาน ซึ่งดอกคาร์เนชั่นก็มีหลายสีเหมือนกับดอกไม้อีกหลายชนิด และแต่ละสีก็สื่อความหมายดีดีมากมายแตกต่างกัน แล้วเราจะเลือกดอกคาร์เนชั่นสีอะไร เพื่อใช้เป็น ดอกไม้วาเลนไทน์ กันดี มาดูความหมายของแต่ละสีกัน ​ดอกคาร์เนชั่นสีแดง เป็นดอกไม้ที่สื่อถึงความรัก  ออกแนวอ้อนวอนให้ผู้ได้รับ เห็นความรักของผู้ที่มอบให้ จึงเหมาะสำหรับการมอบให้กับคนที่เราแอบชอบ  นอกจากนี้ ยังสื่อความหมาย ของการชื่นชม และความรักที่ลึกซึ้ง ดอกคาร์เนชั่นสีชมพู เป็นตัวแทนของความรักที่กำลังผลิบาน ความอ่อนโยน และเป็นสัญลักษณ์ของความกตัญญู  ทำให้สามารถมอบดอกคร์เนชั่นนี้ กับผู้มีพระคุณและที่เคารพได้ ไม่ว่าจะเป็น คุณแม่ คุณครู เพื่อนฝูงหรือเพื่อนร่วมงานเพื่อแสดงความขอบคุณได้อีกด้วย ดอกคาร์เนชั่นสีเหลือง เหมาะสำหรับการมอบให้กับผู้ที่เราอยากขอโทษ แต่ก็ยังหมายถึง ผู้ให้กำลังงอนและต้องการให้ผู้รับมาง้อด้วย นอกจากนี้ ดอกคาร์เนชั่นสีเหลือง ยังเป็นสัญลักษณ์ของการปฏิเสธและความผิดหวัง ดอกคาร์เนชั่นสีขาว แสดงถึงความชื่นชมยินดี ความบริสุทธิ์ และความโชคดี จึงเหมาะสำหรับการมอบ เพื่อแสดงความยินดีในโอกาสต่าง ๆ และยังหมายถึงชีวิตที่รุ่งเรือง เหมาะสำหรับการมอบเป็นของขวัญวันเกิดให้กับผู้ใหญ่ หรือใช้แทนคำอวยพรหรือให้กำลังใจผู้ที่กำลังเริ่มต้นสิ่งใหม่ ๆ ในชีวิต ดอกคาร์เนชั่นสีม่วง  สำหรับดอกคาร์เนชั่นสีม่วง จะมีความหมาย ถึงความเสียใจต่อสถานการณ์ที่โชคร้าย และแทนคำขอโทษ ​ ทิวลิป เป็นดอกไม้อีกหนึ่งชนิด ที่มีความหมายดี จึงถูกนำมามอบให้กับคนรักอยู่เสมอ ๆ แต่ดอกทิวลิปเองส่วนใหญ่จะเป็นดอกไม้นำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้มีราคาสูงกว่าดอกไม้ในประเทศ แต่ก็มีบางพื้นที่ของประเทศไทยที่ปลูกได้อยู่บ้างเหมือนกัน โดยดอกทิวลิป มีความหมายถึง การตกหลุมรักอย่างหัวปัักหัวปำ ชนิดรักเธออย่างหมดหัวใจ  เป็นรักและยังเป็นสัญลักษณ์ของจินตนาการ ความใฝ่ฝัน คู่รักที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งดอกทิวลิปก็เป็นดอกไม้อีกหนึ่งชนิดที่มีสีสันมากมาย แต่ละสีก็จะมีความสวยงามและสื่อความหมายแตกต่างกันไป มาดูกัน ให้ดอกทิวลิปสีอะไรดีเป็น ดอกไม้วาเลนไทน์ ทิวลิปสีแดง สัญลักษณ์แห่งความมั่นคงในความรัก ความหลงใหล จริงใจ ซื่อสัตย์ และรักอย่างหมดใจ  ใช้มอบเพื่อสื่อความในใจว่า “ฉันรักเธอหมดใจ” หรือ “ฉันจะรักเธอตลอดไป” ทิวลิปสีชมพู แสดงถึงความสุข ความห่วงใย ความปรารถนาดี สื่อได้อีกแบบว่า “เปิดเผย ไม่ปิดบัง” นิยมใช้เพื่อแสดงความยินดีกับเพื่อนหรือคนสำคัญในโอกาสพิเศษต่าง ๆ ทิวลิปสีเหลือง เป็นตัวแทนภาพแห่งความสุข ความสดใส ความเยาว์วัย และความหวัง  และยังเป็นตัวแทนของมิตรภาพที่สามารถมอบให้เพื่อน ๆ เพื่อแสดงคำขอบคุณและความห่วงใยได้ด้วย ทิวลิปสีส้ม หมายถึง ความสุข ความกระตือรือร้น ความอบอุ่น พลัง และแรงบันดาลใจ จึงใช้มอบเพื่อแสดงความความชื่นชม หรือเมื่อต้องการให้กำลังใจหรือเติมพลังบวกให้กับคนพิเศษ ทิวลิปสีขาว หมายถึงการให้อภัย ความเคารพ ความบริสุทธิ์ และการให้เกียรติ สามารถมอบให้ได้ทุกโอกาสพิเศษ รวมถึงวันวาเลนไทน์ หรือจะในวาระการแสดงออกว่าเราต้องการขอโทษใครสักคนก็ได้ด้วย ​ ทิวลิปสีม่วง หมายถึงความซื่อสัตย์ และมั่นคง   ทั้งหมดนี้ ก็เป็น ดอกไม้วาเลนไทน์ ความหมายดี สุดโรแมนติก เพื่อมอบให้คนที่เรารัก ไม่จำเป็นจะต้องเป็นความรักแบบหนุ่มสาวหรือแฟนเท่านั้น อยากให้กับคนที่เรารักแบบไหน ก็ให้ได้เลย     ที่มา -https://1168group.com/ -www.Sanook.com -https://www.fruitnflora.com/ -https://www.honeydew-florist.com/ -https://www.pooyingnaka.com/
Liquidity Pool คืออะไร สำคัญแค่ไหนในวงการ Cryptocurrency [VDO]

Liquidity Pool คืออะไร สำคัญแค่ไหนในวงการ Cryptocurrency [VDO]

Liquidity Pool คืออะไร  Liquidity Pool คืออะไร? ดีอย่างไร? และมีส่วนช่วยเสริมสภาพคล่องให้กับการเงินดิจิทัลอย่างไร วันนี้เรามีบทความเกี่ยวกับ Liquidity Pool มาอธิบายให้ฟัง เพื่อคลายข้อสงสัยต่าง ๆ   ก่อนที่จะทำความเข้าใจ Liquidity Pool ว่าคืออะไร ก่อนอื่นจะต้องเข้าใจตัว DEX ก่อน ซึ่ง DEX คือ Decentralized Exchange อย่างพวก Uniswap, Balancer, Curve ซึ่งทั้งหมดเป็นแพลตฟอร์ม ที่ให้คนเข้ามาใช้บริการได้ซื้อขายแลกเปลี่ยนตัว Cryptocurrency การที่ตัวแพลตฟอร์มเหล่านี้จะมีตัว Cryptocurrency ให้คนมาใช้งานหรือซื้อขายแลกเปลี่ยนกันได้ ก็ต้องมีคนที่เอาตัว Cryptocurrency ต่าง ๆ ทั้งหลายเหล่านี้เข้ามาใช้ใน Pool เช่น ETH, DAI, USDC, Link หรือ Token อะไรก็ตาม ในแพลตฟอร์มนั้น ๆ เพื่อแพลตฟอร์มแต่ละแพลตฟอร์มจะได้มีตัวเหรียญเอามาให้คนซื้อขายแลกเปลี่ยนกันได้  การซื้อขายแลกเปลี่ยน Token จะเกิดขึ้นได้ จะต้องเป็นการซื้อขายแลกเปลี่ยน Token ใน Pool       Liquidity Pool คืออะไร จำเป็นแค่ไหนในการแลกเปลี่ยน หลายคนอาจจะสงสัยว่า ทำไมต้อง Pool ด้วย ทำไมไม่ใช้กระดานซื้อขายแลกเปลี่ยน ตั้ง Bid Offer ที่เราทำการซื้อขายและเปลี่ยนตัว Cryptocurrency บน web exchange ต่าง ๆ   ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจก่อนว่า การซื้อขายแลกเปลี่ยนบนกระดาน exchange ฝั่ง Bid ต้องมีทาง Buyer หรือผู้ซื้อ ทำการ Bid ทำราคาเสนอซื้อเข้ามา ในขณะที่ฝั่งคนขาย ก็ต้องตั้งราคาขาย Offer มา ซึ่งบางกรณี ฝั่ง Bid อาจจะยินดีซื้อแค่ราคา 100 แต่ฝั่งขายยินดีที่จะขายในราคา 120 ก็จะสังเกตเห็นว่าจะมีส่วนต่างของราคาเสนอซื้อกับเสนอขายค่อนข้างห่างกันเกินไป ซึ่งโดยปกติจะมี Market Maker หรือที่เรียกว่า MM เข้ามาช่วยทำให้เกิดสภาพคล่องในการซื้อขาย โดยตัว Market Maker จะเข้ามาตั้งราคาเสนอซื้อกับเสนอขายให้มีส่วนต่างน้อยลง ทาง Market Maker ก็อาจจะตั้ง Bid มาหลาย ๆ ราคา อาจจะตั้ง 105, 109, 109.50 ในขณะที่ฝั่ง Offer จะมี Market Maker ก็จะมีการตั้งราคาขายให้ต่ำลงมา อาจจะมีการตั้งราคา 115, 113, 112   เราจะสังเกตเห็นว่า การซื้อขายแลกเปลี่ยนที่ไม่ได้ใช้ Pool แต่เป็นการใส่คำสั่ง Bid Offer บนกระดานแลกเปลี่ยน ก็จะมีการใส่คำสั่งตัว Bid Offer จำนวนมหาศาล แล้วก็จะต้องมีการเปลี่ยนแปลงคำสั่งจำนวนมาก จะเป็นข้อจำกัดของการซื้อขายแลกเปลี่ยนบน Decentralized Exchange เพราะการส่งคำสั่งบน Decentralized Exchange ในแต่ละครั้ง จะมีค่าธรรมเนียมอยู่ด้วยทุกคำสั่ง ที่ใส่ไปใน Smart Contract ของตัว Blockchain นี้ จะมีการเก็บค่าธรรมเนียม ถึงแม้ว่าตัวคำสั่งนี้จะไม่เกิดการซื้อขายแลกเปลี่ยนก็ตาม พอเป็นแบบนี้ ก็ทำให้การซื้อขายแลกเปลี่ยนบนกระดานที่เราคุ้นเคยกัน ก็จะไม่เหมาะสมกับการที่เราจะเอาไปใช้บน Decentralized Exchange เพราะถ้าเป็นแบบนั้น ตัว Market Maker จะเจ๊งกนไปหมด เพราะต้องจ่ายค่าธรรมเนียมจำนวนมหาศาล   หลักการทำงานของ Liquidity Pool จากตัวอย่าง Pool ของ Uniswap มี Pool หนึ่งที่จะเป็นคู่เหรียญของ ETH กับ DAI ในส่วนของ Pool ตัวนี้จะต้องมีคนเอตัว ETH กับ DAI เข้ามาใส่ใน Pool นี้ เพื่อที่จะทำให้ตัว Uniswap ทำการซื้อขายแลกเปลี่ยนตัว ETH กับ DAI ได้ จากตัวอย่าง คือ   นาย A ต้องใส่ตัว ETH กับ DAI ข้ามา แล้วนาย A จะได้รับผลตอบแทนเป็น Liquidity Pool Token ซึ่งตัว Liquidity Pool Token จะคอยสะสมค่าธรรมเนียมที่นาย A ได้รับ ถ้ามีคนซื้อขายตัว ETH กับ DAI บนแพลตฟอร์มของ Uniswap ปัจจุบันตัวแพลตฟอร์มของ Uniswap จะทำการเก็บค่าธรรมเนียม 0.3% เวลามีคนทำการซื้อขาย Token บนแพลตฟอร์มของ Uniswap ตัว Uniswap ก็จะมีระบบ Market Making ของตัวเองที่เป็นระบบแบบ Automatic ที่มีชื่อว่า AMM ที่ย่อมาจาก Automated Market Making ซึ่งระบบ AMM ของ Uniswap ก็จะทำงานด้วยสมการ การคำนวณ ดังนี้               ETHQ x DAIQ = K   จำนวนของ  ETH เมื่อคูณกับจำนวนของ DAI แล้ว ก็จะมีค่าเท่ากับ ค่า K หรือ ค่าคงที่ค่าหนึ่ง ซึ่งวิธีการนี้จะทำให้ตัวราคา Token ที่มีการซื้อขายบนแพลตฟอร์มนี้ จะมีการปรับราคาตาม Demand Supply ที่มีการส่งคำสั่งเข้ามาในระบบ ซึ่งจะทำให้ตัว Uniswap จะมีสภาพคล่องอยู่ตลอดเวลา ก็จะทำให้ตัว Uniswap เป็นตัว Market Maker แบบ Automatic ได้โดยไม่ต้องมีการส่งคำสั่งไปยัง Smart Contract หลาย ๆ รอบ แต่สมการการคำนวณนี้ ก็จะเป็นเฉพาะของ Uniswap   อย่างตัว Balancer Pool ที่สามารถทำการคูณจำนวน Token หลาย ๆ Token เข้าไปใน Pool เดียวกันได้ ก็จะใช้สมการหนึ่ง ตามตัวอย่างนี้              (X x Y x Z)1/3 = K ให้สอดคล้อง Demand Supply ในการปรับราคาและปรับจำนวน Token ใน Pool ให้ตอบสนอง Demand Supply ที่เกิดขึ้น   ถ้านาย A ต้องการถอนตัว ETH DAI ที่ใส่เข้ามาใน Pool วิธีการ คือ นาย A จะต้องทำการโอนตัว Liquidity Pool กลับเข้าไปที่ Pool หลังจากมีคำสั่งส่งกลับไปก็จะถูก Burn ทิ้ง แล้วนาย A จะได้รับตัว ETH กับตัว DAI บวกด้วยค่าธรรมเนียม 0.3% ที่นาย A จะได้รับตามสัดส่วน ที่เขาใส่เข้ามาใน Pool   แต่อย่างไรก็ตาม นาย A อาจจะเกิดผลขาดทุนจาก Permanent Loss หรือผลขาดทุนจาก Impermanent Loss (รายละเอียดจะนำเสนอในบทความต่อไป)   รู้จักความเสี่ยงของ Liquidity Pool ความเสี่ยงของ Liquidity Pool มีด้วยกัน 5 เรื่องดังนี้   1. การเกิด Bug เพราะตัว Liquidity Pool ที่เราเห็นว่ามีหลาย Liquidity Pool ก็เป็นไปได้ว่าจะมี Bug เกิดขึ้น หรือการเขียน code ที่ไม่ถูกต้อง หรือ มีช่วงโหว่ ทำให้ตัว Smart Contract ทำงานผิดพลาด จากที่คิดไว้   2. การโจรกรรมโดย Hacker ตัว Pool ที่มีตัว Cryptocurrency กองอยู่ด้วยกัน ก็จะตกเป็นเป้าหมายของพวก Hacker ในการทำการ Hack เอาตัวเหรียญออกไป   3. Admin Keys ตอนนี้โปรเจ็กต์หลายโปรเจ็กต์ ที่เป็น Smart Contract ฝั่ง Developer ก็จะมีการสร้างตัว Admin keys ไว้ซึ่งตัว Admin keys นี้คนที่เป็นเจ้าของ Admin keys นี้สามารถเข้ามาแก้ไขดัดแปลง ตัว Smart contract ได้ทุกเมื่อ นอกจากนี้ การมีอยู่ของ Admin keys ก็มีความเสี่ยงอีกอย่างหนึ่ง คือ Developer คนที่เป็นเจ้าของ Admin keys เกิดทำ Keys หลุดไปข้างนอกแล้ว มีพวก Hacker หรือผู้ไม่ประสงค์ดีมาเห็น ก็จะเอาตัว Keys มาแก้ไขตัว Smart contract ได้เหมือนกัน   4. Impermanent Loss คือ การขาดทุน ที่อาจจะเกิดขึ้นกับ Cryptocurrency  ซึ่งมีสาเหตุจากความผันผวนของราคาสินทรัพย์ดิจิทัลในตลาดโลก   5. Systemic risk เป็นความเสียงที่เกิดจากตัวระบบทำงานผิดพลาดทั้งระบบ   ทั้งหมดนี้ คือ เรื่องราวของ Liquidity Pool ที่นักลงทุนหรือผู้สนใจเกี่ยวกับ Cryptocurrency ควรทำการศึกษาและเข้าใจ เพื่อประโยชน์ในการลงทุน และเป็นการลดความเสี่ยงจากการขาดทุนได้อีกด้วย   บทความที่เกี่ยวข้อง Blockchain คืออะไร? เกี่ยวอะไรกับ Bitcoin – Crypto Blockchain มีกี่ประเภท? เรื่องต้องรู้ก่อนเข้าสู่โลกการเงินดิจิทัล ไขทุกข้อสงสัย การโอน Crypto กับ E-Banking ต่างกันยังไง? เรื่องต้องรู้ ETH Smart Contract คืออะไร? Coin VS Token เหมือน หรือ ต่าง อย่างไร? ETFs แค่เข้าใจ ก็ลงทุน Bitcoin ได้ไม่ยาก Bitcoin Wallet คืออะไร? จะเสี่ยงแค่ไหน? ถ้าคอมพิวเตอร์โดยขโมย!! ทำไมต้อง IPO ทำไปเพื่ออะไร? – เข้าใจการระดมทุนใน SET ด้วย IPO Bitcoin กับการฟอกเงินและอาชญากรรม DeFi นวัตกรรมการเงินดิจิทัล ที่ไม่ต้องง้อธนาคาร Chainlink กับบทบาทและความสำคัญในโลกการเงินดิจิทัล รู้จักกับ STO อีกวิธีของการระดมเงินทุน ทั้งรวดเร็วและปลอดภัย รู้จัก Yield Farming เพื่อการลงทุนคริปโทให้กำไรงอกเงย  
Know Name Cafe กินหมูกระทะสไตล์อเมริกันที่รังสิต

Know Name Cafe กินหมูกระทะสไตล์อเมริกันที่รังสิต

Know Name Cafe คาเฟ่หมูกระทะ สไตล์วัยรุ่นอเมริกันยุค 90 โทนสีแดงแสงไฟฉูดฉาด เด่นเห็นแต่ไกล  ลบภาพร้านหมูกระทะแบบเดิมๆไปได้เลย เมนูหมูแบ่งเป็นชุดตามความต้องการ  สามารถสั่งเพิ่มได้  ร้านนี้มีของดอง กุ้งดอง แซลมอนดอง ปูม้าดอง หนวดหมึกดอง น้ำจิ้มที่นี่รสจัดไม่หวงเครื่องเลย สำหรับครอบครัวใหญ่ หรือจะมาเป็นหมู่คณะ ปาร์ตี๋หมูกระทะเพื่อนฝูงแนวร่วม ร้านก็มีห้อง VIP ส่วนตัวให้บริการ จะเฮฮาเสียงดังก็ไม่ต้องกังวลจะไปรบกวนใคร   Know Name Cafe ร้านตั้งอยู่ในปั้มน้ำมันคาลเท็กซ์ รังสิตคลอง 3 facebook  Know Name  Cafe หมูกระทะ พิกัด  📍Know Name Cafe หมูกระทะ https://goo.gl/maps/Yrv7acXdv5x2NU8R8 ⏰เวลาทำการ 11.00น.- 23.00น. 🚘 มีที่จอดรถ บทความอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง RISE COFFEE กาแฟดีที่ เพลินจิต #Knownamecafe #รังสิตคลองสาม #หมูกระทะ #คาเฟ่หมูกระทะ
รู้จักกับ STO อีกวิธีของการระดมเงินทุน ทั้งรวดเร็วและปลอดภัย [VDO]

รู้จักกับ STO อีกวิธีของการระดมเงินทุน ทั้งรวดเร็วและปลอดภัย [VDO]

STO อีกวิธีของการระดมเงินทุน ทั้งรวดเร็วและปลอดภัย ในการระดมทุน เพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจ หรือขยายกิจการ มักจะใช้เครื่องมือทางการเงิน เข้ามาเป็นตัวช่วย ซึ่งมีอยู่มากมายหลายวิธี อย่างเช่น การเพิ่มหุ้นสามัญ หรือการ IPO ในตลาดหลักทรัพย์ ก็เป็นหนึ่งวิธีการและถือเป็นเครื่องมือทางการเงินสำคัญ ที่นักธุรกิจหรือนักลงทุนใช้กัน ก่อนหน้านี้ เราได้เขียนบทความเรื่อง “ทำไมต้อง IPO ทำไปเพื่ออะไร? – เข้าใจการระดมทุนใน SET ด้วย IPO”​ อธิบายไว้ส่วนหนึ่งแล้ว สามารถอ่านทำความเข้าใจกันได้   แต่สำหรับปัจจุบันในโลกการเงิน โดยเฉพาะโลกการเงินดิจิทัล เครื่องมือทางการเงินได้ถูกพัฒนามากขึ้น ด้วยการนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกสบาย และมีความปลอดภัยสูงมากขึ้น ซึ่งวันนี้จะมาเล่าเรื่องการระดมทุนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า STO ซึ่งคืออะไร แล้วตัว STO มีความแตกต่างอย่างไรกับการระดมทุนด้วยวิธีการที่เราคุ้นเคยกันอย่างเช่น การระดมทุนผ่านหุ้นสามัญ หรือหุ้นกู้ที่เราคุ้นเคยกันอย่างไร หรือมีความแตกต่างจากการระดมทุนผ่านทาง ICO (Initial Coin Offering) ที่มีการระดมทุนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาอย่างไรบ้าง     รูปแบบการระดมทุน STO ย่อมาจาก Security Token Offering ซึ่งจะประกอบด้วยตัวเครื่องมือที่ใช้ในการระดมทุน หรือ Instrument ที่มีอยู่ด้วยกัน 2 ประเภท ได้แก่ 1.ส่วนเครื่องมือที่เป็นหลักทรัพย์  หรือ Security 2.Non-Securites หรือว่า ตัวเครื่องมือที่ไม่ใช่หลักทรัพย์   โดยสิ่งที่จะมาแบ่งได้ว่า ตัว Instrument ใด เป็นหลักทรัพย์ แล้วตัวใดไม่ใช่หลักทรัพย์ โดยปกติแล้วหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างเช่น กลต. จะใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง เข้ามาพิจารณา อย่างเช่น พ.ร.บ.หลักทรัพย์ หรือ Security Act รวมถึง กฎหมายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องด้วย   นอกจากการแบ่งประเภทการระดมทุนด้วย เครื่องมือที่ใช้แล้ว ยังมีการแบ่งรูปแบบการลงทุนด้วยการใช้​เทคโนโลยีที่เราใช้ในการระดมทุนด้วย จะแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1.การลงทุนแบบ Traditional ซึ่งก็คือ แบบที่เราคุ้นเคยกันมาในอดีต 2.การระดมทุนผ่านทางเทคโนโลยี Blockchain   จากหลักเกณฑ์การแบ่งวิธีการระดมทุนด้วยการแบ่งประเภทของ Instrument และประเภทของเทคโนโลยี และจะจัดประเภทได้ว่า การระดมทุนผ่านทางหุ้นสามัญ หุ้นกู้ รวมถึง พวกหน่วยลงทุนในกองทุน เช่น กอง REIT จะถูกจัดประเภทเป็นการระดมทุนด้วยหลักทรัพย์ ด้วยวิธีการแบบ Traditional   STO หรือ Security Token Offering คือ การระดมทุนผ่านหลักทรัพย์ ด้วยเทคโนโลยี Blockchain ข้อแตกต่างระหว่าง STO กับ ICO สำหรับการระดมทุนด้วยวิธีการ Initial Coin Offering หรือ ICO ที่มีการระดมทุนกันอย่างแพร่หลายใน 2-3 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากโดยส่วนใหญ่แล้ว การระดมทุนด้วยด้วยวิธีการ ICO นักลงทุนจะได้ตัว Token ที่มีลักษณะเป็น Utility Token เป็นสิ่งตอบแทน ซึ่งโดยส่วนใหญ่ตัว Token  ที่ออกมาจะมีลักษณะเป็น Utility จะไม่ได้มีลักษณะเป็นหลักทรัพย์ตามตัวบทกฎหมาย ทำให้การระดมทุนด้วยวิธีการ ICO จะเป็นการระดมทุนด้วยเทคโนโลยี Blockchain ผ่านทางเครื่องมือที่ไม่ใช่หลักทรัพย์   ส่วนการลงทุนด้วยรูปแบบ STO กับ ICO เป็นการระดทุนที่ใช้เทคโนโลยีBlockchain มาใช้ในการระดมทุนเหมือนกัน แต่สิ่งที่ STO แตกต่าง จาก ICO ก็คือ ตัว Token ที่ใช้ในการระดมทุน จะมีลักษณะเป็น Security (หลักทรัพย์) เมื่อตีความตัวบทกฎหมาย จึงเป็นข้อแตกต่างระหว่าง STO กับ ICO   สรุปได้ว่า ตัว Security Token Offering หรือ STO ก็คือ การระดมทุนผ่านหลักทรัพย์ ด้วยเทคโนโลยี Blockchain นั่นเอง และจะสังเกตเห็นว่าตัว STO จะแตกต่างจากการระดมทุนแบบTraditional ตรงการใช้เทคโนโลยี ซึ่งสาเหตุที่คนพยายามนำตัวเทคโนโลยี Blockchain มาใช้ในการระดมทุนในส่วนของหลักทรัพย์ด้วยนะครับ เนื่องจากช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ที่มีการระดมทุนด้วยวิธีการ ICO ผ่านทางเทคโนโลยี Blockchain และเริ่มมีการสังเกตเห็นว่า การระดมทุนด้วยเทคโนโลยี Blockchain นอจากจะมีความรวดเร็วแล้ว ก็สามารถระดมทุนได้อย่างหลากหลาย  สามารถช่วยลดต้นทุน ในการระดมทุนให้กับแก่ผู้ที่ต้องการเงินได้อย่างมาก ทำให้ตอนนี้เริ่มมีตัว STO ออกมาให้กับนักลงทุนในบางประเทศแล้ว โดยตัวโปรเจ็กต์ STO ที่ออกมา มีทั้งในรูปแบบที่เหมือนกับหุ้นสามัญ หรือหุ้นกู้ หรือแบบตัวผสมระหว่างหุ้นกับกับหุ้นสามัญ   บทความที่เกี่ยวข้อง Blockchain คืออะไร? เกี่ยวอะไรกับ Bitcoin – Crypto Blockchain มีกี่ประเภท? เรื่องต้องรู้ก่อนเข้าสู่โลกการเงินดิจิทัล ไขทุกข้อสงสัย การโอน Crypto กับ E-Banking ต่างกันยังไง? เรื่องต้องรู้ ETH Smart Contract คืออะไร? Coin VS Token เหมือน หรือ ต่าง อย่างไร? ETFs แค่เข้าใจ ก็ลงทุน Bitcoin ได้ไม่ยาก Bitcoin Wallet คืออะไร? จะเสี่ยงแค่ไหน? ถ้าคอมพิวเตอร์โดยขโมย!! ทำไมต้อง IPO ทำไปเพื่ออะไร? – เข้าใจการระดมทุนใน SET ด้วย IPO Bitcoin กับการฟอกเงินและอาชญากรรม DeFi นวัตกรรมการเงินดิจิทัล ที่ไม่ต้องง้อธนาคาร Chainlink กับบทบาทและความสำคัญในโลกการเงินดิจิทัล  
RISE COFFEE กาแฟดีที่ เพลินจิต

RISE COFFEE กาแฟดีที่ เพลินจิต

ร้านกาแฟที่ไม่ได้เป็นแค่คาแฟ่ แต่ยังเป็นโรงคั่วกาแฟด้วย ภายในร้านโทนขาวตัดกับสีส้ม ดูสะอาดเหมือนเดินเข้าห้องทดลองวิทยาศาสตร์  เค้าเตอร์รับออเดอร์และเครื่องชงกาแฟ อยุ่ตรงกลางร้าน  พร้อมที่นั่งริมกระจก น้องบาริสต้าแนะนำในช่วงบ่ายๆที่เราก้าวเข้าไป  สำหรับสาวๆครับที่ชอบกาแฟนม แบบ Dirty RISE COFFEE เติมความต่างลงไป กับ  Dirty cereal killer  เอาซีเรียลโรยหน้า เติมความกรุบๆ กรอบจนหมดแก้ว ส่วนมาตรฐานชายไทยที่กินกาแฟไม่สนเวลาแบบผม อเมริกาโน่เย็น อย่างเคย สดชื่น ตาสว่างยามบ่าย  จัดว่าดีดื่มง่ายไม่เข้มจนเกินไป ร้านอยู่ที่ มหาทุนพลาซ่า เพลินจิต ลงรถไฟฟ้าไม่กี่ก้าวก็ถึง  มารถไฟฟ้าเถอะนะ เอารถมาค่าจอดรถแถวนี้บอกเลยตัวเบา ร้านเปิดทุกวัน 8.00 -17.00 น  มุมถ่ายรูปเพียบ
“รัชดา-วงศ์สว่าง” น่าอยู่อย่างไร?

“รัชดา-วงศ์สว่าง” น่าอยู่อย่างไร?

“รัชดา-วงศ์สว่าง” น่าอยู่อย่างไร?   พื้นที่ในย่าน “รัชดา-วงศ์สว่าง” โซนที่เรียกได้ว่า เป็นพื้นที่ของการอยู่อาศัยขนาดใหญ่มานาน เนื่องจากการขยายตัวของชุมชน จากโซนบางซื่อมาจนถึงวงศ์สว่างจะเห็นได้ว่ามีหมู่บ้านเก่าแก่เกิดขึ้นมากมาย ประกอบกับในบริเวณนี้ยังเป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ ด้วยเหตุที่มีสำนักงานใหญ่ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) ใกล้กับชุมทางรถไฟบางซื่อ ใกล้สถานีขนส่งหมอชิต แล้วยังมีพื้นที่ของหน่วยงานภาครัฐอีกมากมาย บริเวณนี้จึงมีการพัฒนาที่อยู่อาศัยมาอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน   สะดวกเดินทาง “รัชดา-วงศ์สว่าง” น่าอยู่อย่างไร? “แยกวงศ์สว่าง” เป็นแยกสำคัญที่เป็นจุดเชื่อมต่อถนนสายสำคัญเข้าด้วยกัน โดยมี “ถนนวงศ์สว่าง” และ “ถนนรัชดาภิเษก”  ตัดกับ “ถนนกรุงเทพ-นนทบุรี” ซึ่งมีรถไฟฟ้าสายสีม่วงยาวตลอดสาย จากแหล่งที่อยู่อาศัยเดิมที่เป็นบ้านแนวราบ และอาคารพาณิชย์เสียเป็นส่วนใหญ่ ก็มีเริ่มมีโครงการคอนโดมิเนียมผุดขึ้นมากมายตามแนวรถไฟฟ้า ที่ดินในโซนนี้จึงถูกพัฒนาเกือบเต็มพื้นที่ และอาจมีการชะลอตัวเล็กน้อยในช่วงที่รถไฟฟ้า MRT ทั้ง 2 สายยังไม่เชื่อมต่อถึงกัน   หลังจากที่รถไฟฟ้าสายสีม่วงได้เชื่อมการเดินทางกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเสร็จสมบูรณ์ ก็ทำให้ทำเลในย่านวงศ์สว่างกลับมาเป็นที่น่าจับตาอีกครั้ง นอกจากนี้ การใช้รถส่วนตัวก็เป็นอีกทางเลือกที่ยังคงสะดวกมากเช่นกัน ด้วยเป็นทำเลที่มีจุดขึ้นลงทางด่วนอยู่ไม่ไกล แถมยังมีหลายด่านให้เลือกใช้ เช่น ด่านประชาชื่น, ด่านรัชดาภิเษก และด่านบางกรวย ในขณะที่ถนนรัชดาภิเษกซึ่งถือเป็นถนนวงแหวนรอบในของกรุงเทพฯ ก็เป็นถนนสายสำคัญที่ตัดผ่านใจกลางเมือง ใจกลางย่านธุรกิจ ทั้งฝั่งธนบุรีและพระนคร ไปจนถึงนนทบุรีกันเลยทีเดียว     และ “สถานีกลางบางซื่อ” ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเดินทางระบบรางขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศไทยและอาเซียน ก็เป็นอีกชุมสายของการเดินทางที่สำคัญไม่แพ้กัน เพราะเป็นทั้งชุมทางของรถไฟฟ้าทั้ง 3 สาย รถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม, รถไฟฟ้าสายสีแดงอ่อน และรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน อีกทั้งยังเป็นสถานีรถไฟหลักแห่งใหม่ของไทย แทนสถานีหัวลำโพงเดิม และในอนาคตจะเป็นสถานีรองรับระบบรถไฟฟ้าความเร็วสูงอีกด้วย ความเป็นศูนย์กลางการเดินทางระบบรางที่สำคัญนี่เอง จะทำให้การเดินทางไปยังภาคส่วนต่างๆ ของประเทศไทยมีความสะดวกมากยิ่งขึ้นไปอีก   “ศุภาลัย ลอฟท์ รัชดา-วงศ์สว่าง” คอนโดมิเนียมติดใจกลางเมือง   อย่างที่เกริ่นกันไปแล้วในเรื่องความเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของย่าน  “รัชดา-วงศ์สว่าง” ดังนั้นเราจะพาไปทำความรู้จักกับโครงการใหม่ล่าสุดจาก บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ที่กำลังจ่อคิวเปิดตัวในเร็ววันนี้     โครงการศุภาลัย ลอฟท์ รัชดา-วงศ์สว่าง ปักหมุดริมถนนรัชดาภิเษก (ขาเข้า) ช่วงระหว่างแยกวงศ์สว่าง และแยกประชานุกูล เป็นจุดที่สามารถเดินทางได้สะดวก ไม่ว่าจะเดินทางเข้าสู่ใจกลางรัชดา ศูนย์รวมธุรกิจขนาดใหญ่ที่ได้รับการขนานนามว่า New CBD ของกรุงเทพฯ ตลอดเส้นทางที่ถนนรัชดาภิเษกตัดผ่านเราจะเห็นอาคารสำนักงานขนาดใหญ่มากมายที่เราคุ้นเคย  อีกทั้งหน่วยงานราชการ โรงพยาบาล โรงเรียน มหาวิทยาลัย รวมไปถึงแหล่งช้อปปิ้ง แฮงค์เอ้าท์มากมายเต็มไปหมด อาทิ ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ (SCB), อเวนิว รัชโยธิน, เมเจอร์ รัชโยธิน, ตึกช้าง, สำนักงานอัยการสูงสุด, โรงเรียนสาธิต มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม, มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม, ศาลแพ่ง, ศาลอาญา, เมืองไทยภัทร คอมเพล็กซ์, บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต, เตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ รัชดา, เดอะ สตรีท รัชดา, CW Tower, บิ๊กซี เอ็กซ์ตร้า รัชดา, เอสพลานาด รัชดา, ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย, ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย, สถานทูตจีน, อาคารทรู ทาวน์เวอร์, เซ็นทรัล พระราม9, ฟอร์จูน ทาวน์เวอร์, G Tower ฯลฯ   ในขณะที่จากทางแยกวงศ์สว่างไป ยังมีแหล่งงานขนาดใหญ่อย่าง สำนักงานใหญ่ ปูนซีเมนต์ไทย, การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า พระนครเหนือ, มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร เป็นต้น     ถ้าจะบอกว่าตำแหน่งที่ตั้งของโครงการศุภาลัย ลอฟท์ รัชดา-วงศ์สว่าง มีความเหมาะสมสำหรับการอยู่อาศัยก็คงจะไม่เกินเลยนัก โดยเฉพาะกับกลุ่มวัยทำงานที่กำลังมองหาคอนโดมิเนียมใกล้แหล่งงาน มีการเดินทางสะดวก และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันสามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้อย่างรอบด้าน ถึงแม้ว่าในปัจจุบันบริเวณใกล้ๆ ที่ตั้งโครงการจะไม่มีร้านสะดวกซื้อในระยะที่เดินถึง และบางคนอาจจะมองว่าขาดความอุดมสมบูรณ์ในเรื่องอาหารการกินไปบ้าง แต่ในความเป็นจริงแล้วถ้าขับรถหรือขยับออกไปทางแยกวงศ์สว่างซักนิด ก็จะเจอกับแหล่งช้อปปิ้งหลักของคนในย่านนี้อย่าง “วงศ์สว่างทาวน์เซ็นเตอร์”  หรือที่รู้จักและเรียกกันติดปากว่า “Big C วงศ์สว่าง” ซึ่งอยู่คู่แยกวงศ์สว่างมาอย่างยาวนาน และปัจจุบันพื้นที่ทั้งหมดกำลังมีการปรับปรุงโฉมครั้งใหญ่ คาดว่าจะมีร้านค้าชั้นนำมากขึ้น รวมถึงร้านอาหารชื่อดังก็จะตามมาเปิดให้บริการอีกมากมาย  ซึ่งบรรยากาศโดยรอบนี้น่าจะเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อยเลยทีเดียว นอกจากนี้ก็ยังมีร้านอาหาร และคาเฟ่ ให้เลือกอีกพอสมควร และก็อยู่ไม่ห่างจากโครงการมากนัก หรือถ้าหากยังคิดว่าอยากให้ใกล้กว่านี้ เมื่อโครงการแล้วเสร็จ พื้นที่ร้านค้าภายในโครงการจะมีร้านสะดวกซื้ออย่าง 7-11 ให้บริการด้วย เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกบ้านไม่ต้องเหนื่อยเดินให้ไกลอีกต่อไป   HIGHLAND LIVELIHOOD – เปิดรับวิวมุมสูงแบบเต็มตา โครงการศุภาลัย ลอฟท์ รัชดา-วงศ์สว่าง เป็นคอนโดมิเนียม High Rise สูง 18 ชั้น จำนวน 3 อาคาร ที่มีแนวคิดในการออกแบบเพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตบนที่สูงได้อย่างเต็มที่ จัดเต็มด้วย Roof TopFacilities ส่วนกลางที่ยกขึ้นไปไว้บนชั้น 18 ซึ่งเป็นชั้นบนสุดของอาคาร พร้อมเชื่อมต่อพื้นที่ส่วนกลางบนดาดฟ้าทั้ง 3 อาคารด้วย Jogging Track ยาว 340 เมตร เพื่อให้ลูกบ้านทุกคนได้ใช้ Facility ได้อย่างอิสระเต็มที่ และเพิ่มมุมมองการเปิดรับวิวเมืองได้กว้างเต็มสายตา โดยมีสระว่ายน้ำ ระบบน้ำเกลือ ความยาว 30 เมตร, Kids Zone และ Relaxing Pavillion อยู่บนอาคาร A ส่วน Fitness, Co-Living Spaceและ Backyard Garden จะอยู่บนอาคาร B และบนอาคาร C จะเป็นพื้นที่ของ Co-Working Space ที่จะมาตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนเมืองในปัจจุบันที่ต้องการพื้นที่สำหรับสร้างสรรค์แรงบันดาลในการทำงานอย่างไม่รู้จบ     พื้นที่ส่วนกลางภายในโครงการไม่ได้จำกัดอยู่แต่บนชั้นดาดฟ้าเท่านั้น ด้วยไอเดียการออกแบบที่ต้องการเน้นความเรียบง่าย สงบ แต่ในขณะเดียวกันก็แฝงความหรูหราเอาไว้ด้วย โทนสีที่ใช้จึงเป็น Mono Tone และคุมธีมภายในเน้นใช้ Meterial หินลายธรรมชาติเป็นหลัก ให้ฟิลแบบการพักผ่อนในรีสอร์ท พร้อมด้วยพื้นที่สีเขียวกว่า 3 ไร่ และเสริมด้วย Green Wall สอดแทรกธรรมชาติในทุกส่วนของโครงการ ในขณะที่รูปแบบการใช้ชีวิตแบบ New Normal ก็ถูกจัดเป็นส่วนหนึ่งที่ทางโครงการให้ความสำคัญ ด้วยการออกแบบให้มีจุด Delivery Pick Up แยกเป็นสัดส่วนในทุกอาคาร, มีห้องเก็บพัสดุ และประตูอัตโนมัติเพื่อลดการสัมผัส   ยังไม่หมดแต่เพียงเท่านี้ พื้นที่ภายในโครงการยังใส่ใจการออกแบบแบบ Universal Design เพื่อรองรับผู้พิการ หรือผู้ที่ต้องใช้ Wheel Chair ให้สามารถใช้ชีวิตได้สะดวกสบายยิ่งขึ้น แถมยังเตรียมพร้อมรองรับการใช้รถไฟฟ้าที่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นด้วย จุดจอด EV Charger ภายในโครงการ หรือถ้าหากไม่สะดวกจะใช้รถส่วนตัว ทางโครงการก็จัดเตรียม Shuttle Bus ไว้บริการรับ-ส่ง ถึง MRT สถานีวงค์สว่างไว้ให้เรียบร้อยเลยทีเดียว     นอกจากนี้ การออกแบบและว่า Layout ห้องก็มีให้เลือกหลากหลายตามความต้องการ โดยมีไฮไลท์ อยู่ที่แปลนห้อง 1 ห้องนอน ซึ่งเป็นแบบห้องที่เพิ่ม Favorite Corner แยกจากห้องนอน สามารถใช้เป็นห้องทำงานเพื่อให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบ New Normal ที่ต้อง WFH กันมากขึ้น พร้อมด้วยเพดานสูงถึง 2.7 เมตร ทำให้บรรยากาศภายในห้องกว้างและโปร่งสบายมากขึ้น รวมถึงยังมีแบบห้องที่น่าสนใจอื่นๆ ทั้งห้องแบบ Loft และแบบ 2 ห้องนอนที่เหมาะกับครอบครัวขนาดเล็ก หรือกลุ่มคนที่กำลังต้องการขยับขยายที่อยู่ใหม่เพื่อสร้างครอบครัว     ปัจจุบัน ณ ที่ตั้งโครงการ ได้เปิด Sale Gallery ให้เข้าสัมผัสบรรยากาศของห้องตัวอย่างได้แล้ว ซึ่งมีให้เข้าชมด้วยกัน 2 Type ในขนาด 35 ตร.ม. เหมือนกัน แต่ต่างกันที่ Layout ห้อง ซึ่งทำออกมาได้น่าสนใจทั้งคู่เลย พื้นที่ใช้สอยกำลังดี ฟังก์ชันที่จัดไว้ก็เหมาะกับการอยู่อาศัย 1-2 คน หรือกลุ่มคนทำงานที่ต้องการที่อยู่อาศัยใกล้ๆ แหล่งงานและเดินทางสะดวก           ถ้าหากว่าคุณกำลังมองหาคอนโดมิเนียมที่เดินทางสะดวกสบาย มีบรรยากาศที่เหมาะสมในการอยู่อาศัย ไม่ว่าจะไว้อยู่อาศัยเองหรือเพื่อการปล่อยเช่า โครงการศุภาลัย ลอฟท์ รัชดา-วงศ์สว่าง ก็น่าจะเป็นคอนโดมิเนียมที่ต้องเก็บไว้พิจารณาในลำดับต้นๆ เลยก็ว่าได้ ด้วยความเป็นโครงการใหม่ล่าสุดของย่านนี้ และเอกลักษณ์ของแบรนด์ที่สามารถตอบโจทย์กลุ่มคนทำงานได้เป็นอย่างดี ในราคาเริ่มต้น 1.7 ล้านบาท*   ถ้าไม่รีบตัดสินใจจับจอง โอกาสพลาดการเป็นเจ้าของน่าจะมีสูง!!   บทความน่าสนใจ “สามเสน-ราชวัตร” ย่านนี้มีเรื่องราว เตาปูน ของเราน่าอยู่ [VDO Review Around] ศุภาลัย เดินหน้าลุยตลาดคอนโด เตรียมเปิด 4 โปรเจ็กต์ใหม่    
Chainlink กับบทบาทและความสำคัญในโลกการเงินดิจิทัล [VDO]

Chainlink กับบทบาทและความสำคัญในโลกการเงินดิจิทัล [VDO]

Chainlink กับบทบาทและความสำคัญในโลกการเงินดิจิทัล Chainlink คือ Decentralized Oracle Network ซึ่ง Oracle คือ ตัวกลางที่จะส่งผ่านข้อมูลที่ถูกต้องไปยังอีกฝั่งหนึ่ง Chainlink จะทำหน้าที่เป็นตัว Oracle หรือตัวกลาง ในการส่งผ่านข้อมูลระหว่าง Off-chain จะหมายถึงเหตุการณ์ หรือตัวข้อมูลต่าง ๆ ที่มีการขึ้นนอกระบบ Blockchain เช่น ผลการแข่งขันฟุตบอล หรือ ตัวอุณหภูมิที่จะมีการเกิดขึ้นอยู่นอกระบบ Blockchain และการบันทึกข้อมูล ส่วนแรก ก็มักจะอยู่นอก Blockchain ในขณะที่อีกด้าน คือ ฝั่ง On-chain ซึ่งก็คือ ตัวระบบ Blockchain รวมถึงฟังก์ชั่นการทำงานต่าง ๆ บนระบบ Blockchain เช่น ตัว Smart Contract ของ Ethereum ซึ่งตัว Chainlink จะเข้ามาทำหน้าที่เป็นตัวกลาง หรือ Oracle ในการส่งผ่านข้อมูลระหว่าง Off-chain กับ On-chain   OFF-CHAIN หมายถึงเหตุการณ์ หรือตัวข้อมูลต่างๆ ที่มีการขึ้นนอกระบบ Blockchain On-chain คือ ตัวระบบ Blockchain รวมถึงฟังก์ชั่นการทำงานต่างๆ บนระบบ Blockchain  Chainlink ตัวกลางเชื่อมโยงข้อมูล พอมาถึงตรงนี้ หลายคนคงสงสัยว่า แล้วการส่งผ่านข้อมูลระหว่าง Off-chain กับ On-chain มันมีความสำคัญอย่างไร ทำไมตัว Chainlink จึงมีความสำคัญขึ้นมาได้ มาดูตัวอย่างนี้กัน   ฝั่ง On-chain เขียน Smart contract ขึ้นมา ซึ่งเป็น Smart contract ที่เอาไว้ทายผลฟุตบอล พรีเมียร์ลีก อังกฤษ หรือ EPL Champion โดย Smart contract จะทำงานโดยมีคน 3 คน คือ A, B และ C ทายผลมาใครจะเป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีก โดยแต่ละคนใส่เงินมาเท่า ๆ กัน เข้ามาใน Smart contract นี้ ถ้าใครทายถูกก็จะได้เงินไป แต่ถ้าไม่มีใครทายถูกเลย ตัวเงินจะถูกคืนไปที่ 3 คนเท่า ๆ กัน ตามที่แต่ละคนใส่เงินเข้ามาตอนแรก   โดย A ทาย Liverpool จะได้แชมป์ B ทาย Mancity จะได้แชมป์ C ทาย Chelsea จะได้แชมป์ แล้วตัวกลไกลของ Smart contract จะ Ticker หรือทำงานเมื่อได้ข้อมูลว่า ใครเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกอังกฤษ ถ้าเราสังเกตว่า ข้อมูลนี้จะบอกว่าใครเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกอังกฤษ จะได้ไม่เกิดขึ้นบน Blockchain แต่เกิดขึ้นบนสนาม หรือตารางคะแนน ซึ่งเป็นข้อมูลอยู่นอก Blockchain ซึ่งจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริง Liverpool ได้แชมป์ พรีเมียร์ลีกอังกฤษ แต่ตัว Smart contract จะยังไม่สามารถจ่ายเงินให้กับ A ที่ทายว่า Liverpool ได้แชมป์ได้ทันที จะต้องมีการส่งข้อมูลจาก Off-chain เข้าสู่ On-chain ก่อน ตัว Smart contract จึงจะทำงานได้     แล้วมาถึงคำถามที่ว่า แล้วตัว Smart contract จะไปเอาข้อมูลไหนดี ที่มีความถูกต้องและมีความน่าเชื่อถือ ถ้าตัว Smart contract ได้ข้อมูลผิด ๆ ก็จะทำงานผิดไปจากวัตถุประสงค์เดิม จากข้อมูลที่ Liverpool ได้แชมป์ แต่ถ้ามีคนขี้โกงใส่ข้อมูลมาว่า Chelsea เป็นแชมป์แทนที่เงินจะไปที่ C ซึ่งตรงนี้แหละ ตัว Chainlink จะเข้ามาทำหน้าหน้าที่เป็น Oracle การกรอกข้อมูลที่ถูกต้องไปให้ Smart contract บนระบบ Blockchain ทำงานได้ถูกต้อง   ลักษณะการทำงานของ Chainlink เริ่มต้นจากการดูฝั่ง On-chain ที่มีตัว Smart contract อยู่ด้วยกัน 3 ตัว คือ Oracle contract, Link contract และ User contract โดยตัว User contract เป็น Smart contract ที่เป็นผู้ต้องการใช้งาน Data หรือตัวข้อมูลจาก Off-chain มาทำงาน ขณะที่ตัว Oracle contract เป็นตัว Smart contract ที่มีทางกลุ่มผู้พัฒนาพัฒนาในการเรียกใช้ตัวข้อมูล จาก Off-chain มาใช้งานกับตัว User contract ของตัวเองได้   ในขณะที่ตัว Link contract หรือตัว Contract ของ Chainlink จะเป็นตัว Contract ที่คอยควบคุมการทำงานของตัว Oracle contract กับตัว User contract ให้ทำงานกับตัว Link token ได้   สำหรับฝั่ง Off-chain ก็จะมีตัว Node X คือ คนที่จะไปถึงข้อมูลที่เกิดขึ้นในระบบ Off-chain มาให้กับทาง Oracle contract และมีตัว Pool data ของข้อมูล     ขั้นตอนการทำงานในภาพรวม 1.เริ่มต้นแรก ตัว User contract โดย User contract จะต้องทำการ Sent Request หรือทำการส่งคำสั่ง ขอข้อมูลกับทาง Oracle contract 2.ตัว Oracle contract รับตัว Request 3.หลังจากตัว Oracle contract ได้ตัว Request แล้ว ก็จะทำการ Sent job คล้าย ๆ กับการส่งใบงานไปยัง Node X หลังจาก Node X ได้รับใบงานแล้ว ก็จะทำการดึงข้อมูลมา 4.Node X จะทำการส่งข้อมูลไปยัง Oracle contract ตามตัว Job ที่ได้รับมา โดยขั้นตอนนี้จะเรียกว่า Full fill request 5.หลังจากตัว Oracle contract ได้ข้อมูลจาก Node X แล้วจะทำการส่งข้อมูลไปยังUser contract โดยขั้นตอนนี้ เรียกว่า Deliver result   Link token บทบาทและความสำคัญในระบบ Chainlink ที่เราได้เห็นไป คือ ขั้นตอนการทำงานในภาพรวม แต่เรายังไม่ได้พูดถึงตัว Link token ว่าตัว Link token เข้ามามีบทบาทอย่างไร ตอนไหน ให้สังเกตตอนที่ Sent request ไปหา Oracle contract ได้ ตัว User contract จะต้องทำการส่งตัว Link token ด้วย เพื่อจ่ายเป็นค่าธรรมเนียมในการเรียกขอใช้ Data นี้     ขั้นตอนที่ 2 ตัว Oracle contract  จะทำการส่งตัว Link token ไปให้ตัว Node X เพื่อจ่ายเป็นค่าธรรมเนียมในการดึงข้อมูลของ Node X นอกจากนี้ ตัว Node X จะเป็นบริการข้อมูล มายังตัว Oracle contract ได้ ตัว Node X ต้องทำการฝากตัว Link token ไว้ที่ตัว Oracle contract คล้าย ๆ กับเป็นหลักประกัน  หรือ Collateral เมื่อตัว Node X สามารถทำการส่งตัว Request ได้ หรือทำการส่งตัวข้อมูลได้หรือตัว Node X มีการส่งข้อมูลที่ผิด ๆ มายัง Oracle contract ซึ่ง Oracle contract ก็จะทำการยึดตัว Link token ที่ทาง Node X เอามาฝากไว้เป็นหลักประกัน นี่เป็นกลไกของ Chain Link ที่ป้องกันการที่ Node ซึ่งอยู่บน Off-chain ทำการจะทำการส่งข้อมูลที่ผิด ๆ มาอย่าง Smart contract บน Blockchain   นอกจากนี้ ตัวระบบ Chain Link มีความเป็น Decentralize เนื่องจากตัว User contract ไม่จำเป็นต้องติดต่อมาทาง Oracle contract หรือ Node X เพียง Node เดียว ตัว User contract จะทำการส่ง Request ไปยังหลาย Oracle ได้ นอกจากนี้ ตัว Oracle contract ก็ไม่จำเป็นต้องไปส่ง Job ให้กับทาง Node เพียง Node เดียว ตัว Oracle contract ทำการ Sent Job ไปยังหลาย Node ได้ ซึ่งวิธีการนี้ ก็จะตอบโจทย์การเป็น Decentralize หรือการไม่พึ่งพิงตัวกลางรายใดรายหนึ่ง   โดยวิธีการนี้ จะเป็นการคัดข้อมูลที่ถูกต้องจาก Off-chain มา Smart contract บน Blockchain ได้ แล้วตัว Link token จะมีมูลค่ามากขนาดไหน ก็จะขึ้นอยู่กับการใช้งานจริง และประเภทของการใช้งานจริง มีการเดิมพันความถูกต้องของข้อมูลมากขนาดไหน เช่น พวกการพนัน หรือการประกันภัย แน่นอน ความถูกต้องของข้อมูลจะมีมูลค่าสูงมาก     หมายเหตุ : ประวัติผู้ออก ChainLink -ในปี 2014 บริษัท SmartContract.com ได้ถูกก่อตั้งโดย Sergey Nazarov เป็นบริษัทที่เป็นตัวกลางให้ข้อมูลภายนอกแก่ Blockchain ซึ่งในขณะนั้น Oracle ยังดำเนินการในรูปแบบเครือข่าย Centralized อยู่ ต่อมาในปี 2017 ทางทีมได้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็นบริษัท Chainlink และพัฒนา Oracle Network ให้เป็น Decentalized โดย Oracle Network เชื่อมต่อกับแพลตฟอร์ม Smart Contract เพื่อดึงข้อมูลจากภายนอกมายัง Blockchain และยังอนุญาตให้ทุกคนสามารถดึงข้อมูลเข้ามายัง Blockchain ได้อีกด้วย  นอกจากนั้นได้มีการระดมทุน ICO เป็นจำนวนเงิน 32 ล้านดอลลาร์สำหรับพัฒนาโปรเจคต์ (ที่มา-Zipmex)   บทความที่เกี่ยวข้อง Blockchain คืออะไร? เกี่ยวอะไรกับ Bitcoin – Crypto Blockchain มีกี่ประเภท? เรื่องต้องรู้ก่อนเข้าสู่โลกการเงินดิจิทัล ไขทุกข้อสงสัย การโอน Crypto กับ E-Banking ต่างกันยังไง? เรื่องต้องรู้ ETH Smart Contract คืออะไร? Coin VS Token เหมือน หรือ ต่าง อย่างไร? ETFs แค่เข้าใจ ก็ลงทุน Bitcoin ได้ไม่ยาก Bitcoin Wallet คืออะไร? จะเสี่ยงแค่ไหน? ถ้าคอมพิวเตอร์โดยขโมย!! ทำไมต้อง IPO ทำไปเพื่ออะไร? – เข้าใจการระดมทุนใน SET ด้วย IPO Bitcoin กับการฟอกเงินและอาชญากรรม DeFi นวัตกรรมการเงินดิจิทัล ที่ไม่ต้องง้อธนาคาร  
หมูแพงใช่ไหม?  กินอะไรแทนดี มีโปรตีนเยอะเหมือนกัน

หมูแพงใช่ไหม?  กินอะไรแทนดี มีโปรตีนเยอะเหมือนกัน

นอกเหนือข่าวการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ ที่มีการพูดถึงกันอย่างมากในช่วงนี้  ก็มีข่าวสินค้าราคาแพงโดยเฉพาะเนื้อหมู ที่ปรับเพิ่มขึ้นจนหลายคนบ่นไปตาม ๆ กัน ซึ่งถือว่าเป็นผลกระทบต่อเนื่องจากภาวะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา กำลังซื้อของคนลดลง และคนว่างงานเยอะขึ้น ทางเลือกหนึ่งของการปรับตัวรับกับภาวะสินค้าแพง เราคงต้องลดรายจ่าย หรือไม่ก็เพิ่มรายได้ให้มากขึ้น และอีกทางเลือกหนึ่งที่ทำกัน คือ การหาสินค้าทดแทนมาบริโภค โดยเฉพาะสำหรับคนที่ไม่ได้กินเพื่อความอร่อย แต่ต้องการได้รับสารอาหาร ซึ่งก็คือ โปรตีนจากเนื้อหมู มาให้กับร่างกาย ดังนั้น หากหมูแพง และต้องการกินโปรตีนให้เพียงพอต่อวัน บางคนก็เลือกที่จะไปหาอาหารที่เป็นแหล่งโปรตีนอื่น ๆ มาทดแทน   วันนี้ เราจึงได้รวบรวมอาหารหลากหลายประเภท ที่ให้ทั้งความอร่อยและให้คุณค่า ด้วยการให้สาราหารสำคัญอย่าง โปรตีน มาเป็นแนวทางเลือกสำหรับคนที่บ่นว่าเนื้อหมูแพง อาจจะลองพิจารณาสินค้าชนิดอื่นก็ได้ แต่ก่อนจะซื้อหามาบริโภค ก็คงต้องตรวจสอบราคากันด้วย เพราะไม่รู้ว่าสินค้าอื่นมีการปรับราคาตามราคาเนื้อหมูหรือไม่ 1.อัลมอนต์ เป็นที่รู้กันดีว่า พืชตระกูลถั่ว ก็เป็นแหล่งอาหารที่ให้โปรตีนสูง โดยเฉพาะถั่วอัลมอนด์ ซึ่งในปริมาณ100 กรัม จะให้โปรตีนในปริมาณ 21.25 กรัม และอัลมอนต์ไม่ได้ให้เพียงแค่โปรตีน แต่ยังมีสารอาหารที่มีประโยชน์อื่น ๆ ด้วย โดยเฉพาะ​มีกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย มีวิตามินบี วิตามิน อี​ ใยอาหารและกรดไขมันโอเมก้า 3 โดยอัลมอนด์ 1 กำมือ สามารถให้วิตามินอีถึง 121% ของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน แต่อัลมอนด์ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่แพ้ถั่ว 2.ถั่วเหลือง   สำหรับพืชตระกูลถั่วอีกหนึ่งชนิด ที่หาซื้อได้ง่ายและมีอยู่ทั่ว ๆ ไป สำหรับบ้านเรา คือ ถั่วเหลือง ซึ่งเต็มไปด้วยสารอาหารสำคัญ อย่าง โปรตีน เช่นกัน โดยในปริมาณ 100 กรัม ถั่วเหลืองจะให้โปรตีน 34.1 กรัม ซึ่งสามารถใช้แทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่าสูงกว่าเน้อสัตว์ถึง 35% นอกจานี้ ยังมีโฟเลต แคลเซียม และกากใยอาหาร อีกทั้งมีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน และป้องกันโรคหัวใจได้อย่างดี 3.เม็ดมะม่วงหิมพานต์ สำหรับเม็ดมะม่วงหิมพานต์ มีสารอาหารสำคัญที่เต็มไปด้วยไขมันดี วิตามิน  สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน เค วิตามิน ดี วตามิน บี 6 ฟอสฟอรัส แมกนีเซียม ตลอดจนสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง ช่วยบำรุงสุขภาพเหงือก สุขภาพฟันและกระดูกให้แข็งแรง ป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ และที่ขาดไม่ได้ คือ โปรตีน ซึ่งเม็ดมะม่วงหิมพานต์ 100 กรัม ให้โปรตีนได้ 18.2 กรัม 4.เต้าหู้ อย่างที่บอกไว้ว่า ถั่วเหลืองเป็นแห่งโปรตีนสำคัญ ที่สามารถทดแทนเนื้อหมูได้ ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วเหลือง อย่างเต้าหู้ ก็ต้องมีให้โปรตีนเช่นกัน และถือเป็นทางเลือกในการบริโภคอาหารที่หลากหลายมากขึ้น เพราะสามารถนำเอาเต้าหู้ไปใช้แทนเนื้อสัตว์ได้  ทำให้สะดวกต่อการบริโภค แต่ขณะเดียวกันให้คุณค่าสารอาหารด้วย โดยเต้าหู้ปริมาณ 100 กรัม ให้โปรตีน 8 กรัม และให้คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามิน เอ วิตามิน บี วิตามิน บี​1 วิตามิน บี วิตามิน บี​6 วิตามิน บี12 ไนอาซิน วิตามิน ซี วิตามิน ดี วิตามิน อี​ โดยประเภทของเตาหู้ที่ให้ปริมาณโปรตีนมากที่สุด คือ  ฟองเต้าหู้​ 5.นม   นม คือ ผลิตภัณฑ์จากสัตว์ที่ถือว่าเป็นแหล่งโปรตีนสูง และสามารถดื่มได้ทุกวัน ราคาไม่สูง โดยนมปริมาณ 100 กรัม  จะให้โปรตีน 3.4 กรัม นอกจากนี้ นมยัง​มีสารอาหารเกือบทุกชนิดที่ร่างกายต้องการ เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพสูงที่ดี และมีแคลเซียม ฟอสฟอรัส และไรโบฟลาวิน (วิตามิน บี2) สูง 6.ชีส ซีส เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากนมวัว ที่นำมาแปรรูปเพื่อรักษาคุณค่าทางอาหาร จึงเป็นอีกหนึ่งแหล่งโปรตีนที่ดีสำหรับร่างกาย แถมทำให้อิ่มท้องได้ด้วย จึงเป็นหนึ่งเมนูสำหรับผู้ที่ต้องการโปรตีน โดยเฉพาะผู้ออกกำลังกายหรือลดน้ำหนัก สามารถช่วยเพิ่มกล้ามเนื้อและลดไขมันได้ด้วย โดยชีสในปริมาณ 100 กรัม จะให้โปรตีน 14-35 กรัม 7.โยเกิร์ต โยเกิร์ตเนื้อเนียน เป็นทั้งแหล่งโปรตีนที่ดีและอุดมไปด้วยโปรไบโอติกส์ ซึ่งต่างมีประโยชน์ต่อการลดน้ำหนัก โปรตีนในโยเกิร์ตจะเข้าไปช่วยป้องการผกผันของระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ส่วนโปรไบโอติกส์ก็จะเข้าไปช่วยทำให้ระบบขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น   ในโยเกิร์ต 100 กรัม ให้โปรตีน 10 กรัม 8.เนื้อวัว แน่นอนว่า เวลาพูดถึงโปรตีน คนจะนึกถึงเนื้อสัตว์เป็นอันดับแรก และนอกจากเนื้อหมูที่คนส่วนใหญ่บริโภคกันแล้ว เนื้อวัว ก็เป็นเนื้อสัตว์ที่ได้รับความนิยมเช่นกัน เพราะสามารถให้โปรตีน และสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายได้ไม่แพ้กัน ที่ผ่านมาเนื้อวัวมีราคาสูงกว่าเนื้อหมู แต่ตอนนี้ราคาอาจจะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ดังนั้น หากเนื้อหมูแพง ก็มีกินเนื้อวัวบ้างจะเป็นไรไป ซึ่งเนื้อวัว 100 กรัม จะให้โปรตีน 26 กรัม 9.อกไก่   ในบรรดาเนื้อสัตว์ทั้งหลาย เนื้อไก่ก็เป็นเนื้อสัตว์ที่ราคาไม่สูง แต่ให้โปรตีนไม่น้อย โดยเฉพาะส่วนอกไก่ ที่ให้ปริมาณโปรตีน  1 กรัม สำหรับเนื้อไก่ 100 กรัม จึงมักถูกบรรดานักเพาะกล้ามหรือผู้ต้องการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ หยิบมาปรุงเป็นเมนูสำคัญในการสร้างกล้ามเนื้อ ​ อกไก่ยังง่ายต่อการปรุงและหลากหลาย นอกจากโปรตีนสูง ไขมันต่ำแล้ว อกไก่ยังมีสารแอนคาร์โนซีน(Carnosine) และสารแอนเซอรีน(Anserine) สูง ลดความเหนื่อยล้าของกล้ามเนื้อ ออกกำลังกายได้นานขึ้นอีกด้วย 10.ไข่ นอกจากเราจะได้ยินข่าวหมูแพงแล้ว ที่ผ่าน ๆ มา ข่าวไข่แพงก็มีให้เห็นเป็นระยะ ๆ แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังนิยมกินไข่ เพราะทั้งง่าย สะดวก และอร่อย มีคุณค่าทางโภชนาการหลากหลาย โดยมีประมาณโปรตีน 13 กรัมต่อไข 100 กรัม  ทำให้การทานไข่ทั้งฟองเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพและมีคุณค่าทางโภชนาการมากที่สุด โดยไข่เป็นแหล่งวิตามิน แร่ธาตุ และไขมันที่ดีต่อสุขภาพ ประกอบไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่ปกป้องดวงตา และสารอาหารในสมองที่คุณต้องการ 11.ปลาแซลมอน    สำหรับสายกินอาหารญี่ปุ่น คงจะชื่นชอบและถูกปากกับเมนู ปลาแซลมอน ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนสำคัญ และดีต่อร่างกายเหมาะกับทุกเพศทุกวัย ในปลาแซลมอน 100 กรัม จะให้โปรตีน 20 กรัม พร้อมด้วย​โอเมก้า 3 สูง มีวิตามินบี วิตามินดี โพแทสเซียม และสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น สารประเภทแคโรทีนอยด์ และมีกรดไขมันที่ดี มีประโยชน์ต่อร่างกาย และเนื้อปลายังย่อยง่าย ไม่เหมือนเนื้อสัตว์ชนิดอื่น แต่ข้อควรระวัง หากคุณกำลังไดเอท ควรหลีกเลี่ยงการทานแซลมอนตรงเนื้อส่วนท้อง และหนัง เนื่องจากเป็นส่วนที่มีไขมันสูง เพราะแทนที่จะได้ประโชยน์อาจจะได้ไขมันมากเกินไปนั่นเอง​ 12.ทูน่า   ทูน่า ก็เป็นเนื้อปลาที่บริโภคง่าย ให้ประโยชน์สูง แม้ว่าราคาอาจจะสูงกว่าแหล่งโปรตีนบางชนิด อย่างเช่น ไข่ แต่ก็ถือเป็นแหล่งโปรตีนสำคัญ เช่นทูน่ากระป๋องแบบใส่น้ำเกลือ ในปริมาณ 154 กรัม ให้โปรตีน 39 กรัม แถมหาซื้อได้ง่าย แต่หากไม่เลือกแบบกระป๋องก็มีชนิดอื่น ๆ ให้เลือกได้ตามความต้องการ โดยทูน่าเป็นปลาที่มีไขมันและแคลอรี่ต่ำ และส่วนที่เหลือก็จะเป็นโปรตีนเกือบทั้งหมดเลยต่างจากปลาชนิดอื่น ทูน่ามีสารอาหารหลายชนิดในปริมาณมากและมีกรดไขมันโอเมก้า 3 อยู่เยอะ ในทูน่ามีโปรตีนมากถึง 94% ของแคลอรี่ทั้งหมด 13.กุ้ง-ปู หลายคนอาจจะนึกไม่ถึงว่า อาหารทะเลหลายชนิดที่มีโปรตีนสูงเหมือนกัน ส่วนใหญ่มักจะไปนึกถึงคลอเรสเตอรอล เสียมากกว่า สำหรับอาหารทะเลที่มีเปลือก หรือ Shellfish ก็มีโปรตีนสูงเช่นกัน ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ Mollusk ได้แก่ หอย ปลาหมึก และ Crustacean ได้แก่ กุ้ง ปู นั่นเอง โดยการทานอาหารทะเลที่มีเปลือก เช่น ปู หรือกุ้ง ในปริมาณ 100 กรัมนั้น จะได้รับโปรตีนอยู่ที่ประมาณ 20-26 กรัม   และทั้งหมดนี้ ก็คือ แหล่งโปรตีนสำคัญสำหรับร่างกาย ที่เราอาจจะไม่จำเป็นต้องพึ่งพาเฉพาะแต่เนื้อหมู หากเราเห็นว่าตอนนี้ราคาเนื้อหมูแพง รวมถึงเนื้อสัตว์หรืออาหารบางชนิดมันมีราคาแพง ก็ลองเลือกกินเลือกซื้อสินค้าอื่น ๆ ทดแทนไป หากเป้าหมายของการกิน ไม่ใช่เรื่องความอร่อยเป็นหลัก แต่การกินเป็นการดำรงชีวิตอยู่อย่างมีคุณภาพ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ประเทศไทยเราอุดมสมบูรณ์ไปด้วยอาหารมากมายหลากหลายชนิด เราสามารถเลือกได้ตามความต้องการ   ที่มา : sgethai.com, trueid.net   บทความที่น่าสนใจ 10 พืชโปรตีนสูง ไม่ต้องง้อเนื้อสัตว์      
DeFi นวัตกรรมการเงินดิจิทัล ที่ไม่ต้องง้อธนาคาร [VDO]

DeFi นวัตกรรมการเงินดิจิทัล ที่ไม่ต้องง้อธนาคาร [VDO]

DeFi นวัตกรรมการเงินดิจิทัล ที่ไม่ต้องง้อธนาคาร วันนี้เราจะมาพาทุกคนไปรู้จักกับคำว่า DeFi ว่าคืออะไร เกิดขึ้นมาได้อย่างไร และเข้ามาช่วยแก้ปัญหาอะไรให้เราได้บ้าง พร้อมกับจะพาไปดูว่าโปรเจ็กต์ DeFi ที่น่าสนใจ มีการพัฒนาขึ้นมาให้เราได้ทดลองใช้งานได้แล้วมีอะไรบ้าง   DeFi ย่อมาจาก Decentralized Finance หมายถึง การใช้บริการทางการเงินในรูปแบบใดก็ตาม ที่ไม่ต้องพึ่งพาตัวกลางเลย ตัว Finance Products ทั้งหลายที่เรารู้จัก เช่น การกู้ยืม การระดมทุน หรือว่าการลงทุน เราต้องอาศัยตัวหลางทั้งสิ้น ได้แก่ ธนาคาร​ กองทุน หรือบริษัทหลักทรัพย์ โดยแนวคิดการทำธุรกรรมต่าง ๆเหล่านี้ ที่ไม่ต้องอาศัยตัวกลางจึงเกิดขึ้น และเป็นที่มาของเทคโนโลยี Blockchain และ Smart Contract  โดยคุณสมบัติของ Blockchain และ Smart Contract  ได้มีการพัฒนา Finance Product ที่ไม่ต้องอาศัยตัวกลาง ที่พัฒนาขึ้นมาโดยอาศัยเทคโนโลยี Blockchain และ Smart Contract  จึงถูกเรียกว่า DeFi นั่นเอง   Traditional Finance  หรือการให้บริการทางการเงินแบบดั้งเดิม แตกต่างจาก DeFi คือ การมีตัวกลางนั่นเอง   DeFi กับแก้ปัญหาการเงินแบบเก่า แต่ถ้าเรามาลองคิดดูตัว Financial Product ทั้งหลาย เช่น การให้กู้ยืม การระดมทุนหรือการลงทุน ซึ่งมีมาเป็น 100 ปีแล้ว และที่เราใช้อยู่มันมีปัญหาอะไร  และตัว DeFi จะเข้ามาแก้ปัญหาอะไร ถ้าเราลองพิจารณาถึงประเด็นหลักที่ทำให้ตัว Traditional Finance  หรือการให้บริการทางการเงินแบบดั้งเดิม แตกต่างจาก DeFi ก็คือ การมีตัวกลางนั่นเอง การต้องพึ่งพิงตัวกลางก็นำมาซึ่งประเด็นหลายประเด็น ดังนี้ 1.ความเชื่อมมั่นในการทำธุรกรรม (Need Trust) เนื่องจากการทำทุรกรรมต่าง ๆ ทางการเงิน ขึ้นอยู่กับความเชื่อมั่น โดยเราจะต้องเชื่อมั่นว่า การทำธุรกรรมของเราจะต้องไม่โดนโกง มีความถูกต้อง ซึ่งในความเป็นจริงอาจเกิดผิดพลาดขึ้นก็ได้ เช่น เงินฝากในธนาคารที่หายไป จนเกิดเป็นข่าวในช่วงที่ผ่านมา       2.การได้ทำธุรกรรมทางการเงินต้องได้รับอนุญาต (Need permission) การทำทุรกรรมการเงินใดใดก็ตาม จะต้องได้รับอนุญาตก่อน ซึ่งโดยปกติจะต้องมีการขอข้อมูลก่อน เพื่อไปทำการตรวจสอบก่อนที่จะทำการเปิดบัญชีกับทางธนาคารก่อน  ซึ่งตัวกลางมีอำนาจในการยับยั้งไม่ให้เราเปิดบัญชีใช้งานได้เช่นกัน   3.การกระจุกตัวของการบริหารความเสี่ยง (Central risk) จะเห็นว่าในระบบดั้งเดิมการบริหารจัดการความเสี่ยง จะกระจุกตัวอยู่ที่สถาบันการเงินไม่กี่แห่ง ซึ่งในอดีตเรามีความเชื่อว่าสถาบันการเงินเหล่านี้ มีจะมีผู้เชี่ยวชาญมาคอยดูแลเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว แต่จากข้อมูลในอดีตจะเห็นว่า  วิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทุกครั้ง ก็จะลุกลามมาจากสถาบันการเงิน เพราะสถาบันการเงินเหล่านี้ถูกควบคุมโดยมนุษย์  ซึ่งมนุษย์ก็อาจจะก่อความผิดพลาดขึ้นมาได้เช่นกัน   ข้อดีของ DeFi 1.ไม่จำเป็นต้องมีตัวกลาง (No middleman) ตัว DeFi ไม่จำเป็นต้องมีตัวกลางในการควบคุม   2.ไม่ต้องพึ่งพาความเชื่อมั่น (Trustless) จากการที่ DeFi ไม่มีตัวกลาง เพราะฉะนั้นการทำธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ เราไม่ต้องฝากชีวิตไว้กับความเชื่อมั่น เพราะการทำธุรกรรมต่าง ๆ จะเป็นไปเงื่อนไขงของระบบ Smart Contract และ Blockchain  ที่กำหนดไว้ตั้งแต่แรกจะไม่มีใครมาเปลี่ยนแปลงได้   3.ให้อิสระผู้ใช้งาน (Permissionless) ตัว DeFi จะให้​อิสระกับผู้ใช้งานอย่างเต็มที่ ในการเข้ามาเปิดบัญชีใช้งาน และโอนเงินเข้าหรือโอนเงินออกได้อย่างอิสระ และไม่มีใครที่จะสามารถฟรีซเงินเราไม่ให้โอนเงินเข้าหรือโอนเงินออกไปหาใครได้   4.อำนาจการบริหารความเสี่ยงถูกกระจายออกไป (Diversify risk) ถัดมา คือ อำนาจการบริหารความเสี่ยงจะมีการกระจายตัวออกไป ทำให้ความเสี่ยงมีการกระจายตัวออกไป ไม่มีการกระจุกตัวอยู่ที่คนใดคนหนึ่ง   DeFi vs Bitcoin ต่างกันอย่างไร? หลายคนอาจจะมีข้อสงสัยว่า Bitcoin ไม่ใช่ DeFi หรืออย่างไร ซึ่งก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า Bitcoin  นำมาซึ่งเทคโนโลยี Blockchain  และเทคโนโลยี Blockchain ก็มาซึ่งการส่งเงินรับเงิน การผลิตเงิน และการเก็บรักษาตัวเงิน แต่สิ่งที่บิทคอยน์ไม่ได้นำมาคือ การกู้ยืมเงิน การฝากเงินแล้วได้ดอกเบี้ย รวมถึงการระดมทุนสิ่งเหล่านี้ Bitcoin ไม่ได้นำมา   นอกจากนี้ หลายคนอาจจะยังมีข้อสงสัยเกี่ยวกับ Smart Contract มีที่มาอย่างไร ซึ่งที่มาของ Smart Contract นั้นมาพร้อมกับ Ethereum ซึ่งมีจะเด่น 2 ข้อ   1.Blockchain ของ Ethereum สามารถสร้าง Token หรือ Cryptocurrency อื่น ๆ ขึ้นมาทำงานบน Blockchain ของ Ethereum ได้   2.ฟังชั่น Smart Contract คือ ตัวโปรเจก์เช็คต่าง ๆ พัฒนาขึ้นมาบน Ethereum  สามารถพัฒนา Smart Contract ออกมาในรูปแบบใดก็ได้ รวมถึงรูปแบบฟังก์ชันทางการเงิน เช่น การกู้ยืม การฝากเงิน จึงเป็นที่มา ว่าทำไมจึงมีโปรเจ็กต์ DeFi  เกิดขึ้นมากมายบน Blockchain บน Ethereum   ทำความรู้จักโปรเจ็ค DeFi ที่น่าสนใจ 1.Dai Dai เป็นตัว Stable coin  ที่มีการกำหนดมูลค่าเท่ากับ 1 USD  ด้วยกลไก Smart Contract ของ Maker Dao ที่นำตัวสินทรัพย์มามาค้ำประกัน โดยสินทรัพย์ที่นำมาค้ำประกัน จะสามารถทำการตัวสอบได้โดยแพลตฟอร์มของ Maker Dao โดยเราสามารถตรวจสอบได้ตลอดเวลา ซึ่งแตกต่างจาก ​USD Ether ที่มีการอ้างว่ามีตัว USD ค้ำประกันอยู่ แต่จริง ๆ เราไม่สามารถตรวจสอบได้แบบเรียลไทม์ เหมือนแพลตฟอร์มตัว Maker Dao  ได้ ว่ามีสินทรัพย์ค้ำประกันอยู่เพียงพอจริง ๆ  ทำให้เห็นว่า Dai มีความเป็น Decentralized ที่ชัดเจน  ในขณะที่​ USD Ether มีลักษณะเป็น Centralized เหมือน Traditional Finance  แบบตั้งเดิมนั่นเอง   2.แพลตฟอร์มการให้กู้ยืม มีตัวที่น่าสนใจ คือ Maker Dao และ Compound  โดย Maker Dao แพลตฟอร์มการให้กู้ โดยสามารถนำสินทรัพย์ที่มีความผันผวนของราคา เช่น Ether  ไปค้ำประกันและขอเงินกู้มาเป็นตัว Dai ซึ่ง Maker จะทำตัวเหมือนธนาคารคนที่ถือของตัว token maker  จะสามารถร่วมกันออกนโยบาย ปรับเพิ่มลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และสามารถกำหนดได้ว่า สินทรัพย์ประเภทใดจะมาค้ำประกันได้ และมีการกำหนดตัวเพดานสินทรัพย์แต่ละประเภทจะสามารถปล่อยกู้ได้มากน้อยแค่ไหนตามมูลค่าสินทรัพย์ประเภทนั้น ในขณะที่ตัว Compound เหมือน Money Market  หรือคล้ายกับตลาดเงินกู้ระยะสั้นที่ จะเข้ามาปล่อยเงินกู้หรือของกู้ตัว Cryptocurrency  ในตลาดนี้ได้   3.DEX หรือ Decentralized Exchange Decentralized Exchange หรือ Dex เป็นโปรเจ็กต์การซื้อขาย Cryptocurrency โดยไม่ต้องอาศัยตัวกลาง ซึ่งการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มพวกนี้ จะดีกว่าการซื้อขายผ่าน Web Exchange เพราะตัว Web Exchange มีโอกาสที่จะถูก Hack ได้ง่ายกว่า และการซื้อขายผ่านWeb Exchange มักจะต้องการให้เราส่งข้อมูลเพื่อยืนยันตัวตนก่อน ในขณะที่การซื้อขายผ่านแพลตฟอร์ม DEX  ไม่มีความจำเป็นที่เราจะต้องยืนยันตัวตนและอายุเท่าไหร่ก็ทำการซื้อขายได้ ตัวโปรเจ็กต์ที่น่าสนใจ คือ  Kyber Network  โดย Kyber Network จะมีคำสั่งในการซื้อขาย และการทำธุรกรรมจะเกิดขึ้นบน Blockchain ทั้งหมด   นอกจากนี้ ยังมี DeFi โปรเจ็กต์อีกมากมาย ที่เปิดให้บริการและรวมถึงอยู่ระหว่างการพัฒนา ซึ่งเป็นที่น่าจับตามองจะมีโปรเจ็กต์ใดบ้างที่จะมีคนใช้งานกันอย่างแพร่หลายและอนาคต หากมีข้อมูลที่น่าสนใจเราจะนำมาเล่าให้ฟัง   ทุกท่านสามารถติดตามบทความด้านการเงินดิจิทัล และบทความอื่น ๆ ที่น่าสนใจ ได้อย่างต่อเนื่องที่ www.reviewyourliving.com หรือผ่านช่องทาง Facebook Fanpage : Review Your Living รู้จริงเรื่องที่อยู่อาศัย   บทความที่เกี่ยวข้อง Blockchain คืออะไร? เกี่ยวอะไรกับ Bitcoin – Crypto Blockchain มีกี่ประเภท? เรื่องต้องรู้ก่อนเข้าสู่โลกการเงินดิจิทัล ไขทุกข้อสงสัย การโอน Crypto กับ E-Banking ต่างกันยังไง? เรื่องต้องรู้ ETH Smart Contract คืออะไร? Coin VS Token เหมือน หรือ ต่าง อย่างไร? ETFs แค่เข้าใจ ก็ลงทุน Bitcoin ได้ไม่ยาก Bitcoin Wallet คืออะไร? จะเสี่ยงแค่ไหน? ถ้าคอมพิวเตอร์โดยขโมย!! ทำไมต้อง IPO ทำไปเพื่ออะไร? – เข้าใจการระดมทุนใน SET ด้วย IPO Bitcoin กับการฟอกเงินและอาชญากรรม  
เซ็นทรัลพัฒนา เตรียมเปิด “เซ็นทรัล วิลเลจ” เฟส 2 ต้นปี 65

เซ็นทรัลพัฒนา เตรียมเปิด “เซ็นทรัล วิลเลจ” เฟส 2 ต้นปี 65

เซ็นทรัลพัฒนา เตรียมเปิด เซ็นทรัล วิลเลจ เฟส 2 ต้นปี 65 หลังเฟสแรกทำยอดการเช่าสูง 99% พร้อมเดินหน้า 4 กลยุทธ์สร้างความสำเร็จต่อ ​ นายชาติ จิราธิวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ฝ่ายพัฒนาโครงการ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา  จำกัด (มหาชน) หรือ CPN เปิดเผยว่า ได้เตรียมเปิดโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ ในเฟสที่ 2 วันที่ 28 มกราคม 2565 ตามแผนที่ได้วางเอาไว้ หลังจากโครงการได้เปิดให้บริการในเฟสแรกไปเมื่อเดือนสิงหาคม 2562 ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จ จากการตอบรับที่ดีของทั้งกลุ่มลูกค้าคนไทยและต่างชาติ   โดยเฟสแรกมียอดทราฟฟิกที่สูงในวันเปิดตัว มีอัตราการเข้าใช้พื้นที่ (Occupancy Rate) 99% มาตลอด และหลังคลายล็อคดาวน์มียอด Transaction เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 14% (เปรียบเทียบปี 2020 กับ 2021) หลายแบรนด์มียอดขายที่ดีเกินความคาดหมายหรือ Impressive Sales อาทิ JIM THOMPSON FACTORY STORE, THE COSMETICS COMPANY STORE รวมถึงแบรนด์ที่เป็น Exclusive Stores ก็มียอดขายที่ดี ได้แก่ ERMENEGILDO ZEGNA, POLO RALPH LAUREN, CALVIN KLEIN, TOMMY HILFIGER, MARIMEKKO, BATH & BODY WORKS, VICTORIA’S SECRET, OUTLET BY CLUB21, COACH, MICHAEL KORS, KATE SPADE และ ADIDAS ในเฟส 2 มีกลยุทธ์ที่ช่วยสร้างความมั่นใจให้คู่ค้า ด้วยกลยุทธ์การตลาดที่ช่วยดึงดูดทราฟฟิก  ซึ่งเป็นความสำเร็จของเราในทุกโครงการ อย่างเซ็นทรัล ศรีราชา, เซ็นทรัล อยุธยา ที่มียอดทราฟฟิกที่ดีตั้งแต่วันแรก รวมไปถึงแผนธุรกิจที่จะช่วยให้คู่ค้าขยายธุรกิจได้อย่างมั่นใจ กับ Flexible Leasing Programme 4 กลยุทธ์สร้างการเติบโตต่อเนื่องในโครงการเฟส 2 1.การเพิ่มแบรนด์สินค้าใหม่ โดยเฟส 2 มีแบรนด์ใหม่ๆ หลากหลายเติมเต็มทุก lifestyle ทั้งกลุ่ม Sport & Adventure สำหรับแฟชั่นกีฬาที่เจาะลึก ทั้ง Golf, การวิ่ง กลุ่มเครื่องสำอางและแฟชั่น อย่าง Pomelo, Beautrium กลุ่มครอบครัว ทั้งร้านของเล่นแบรนด์ดังจากญี่ปุ่น, ร้าน Pet N Me ครั้งแรกของเอาท์เล็ต ซึ่งเป็น Category ใหม่สำหรับเอาท์เล็ตในเมืองไทย, B2S เอาท์เล็ตครั้งแรก และแบรนด์ technology อย่าง XIAOMI BY Dimi Technology 2.ขยายฐานลูกค้ากำลังซื้อสูงอย่างต่อเนื่อง โดยขยายฐานลูกค้าทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงมีลูกค้าประจำที่อยู่รอบศูนย์ฯ มีโรงเรียนอินเตอร์, หมู่บ้านระดับกลางถึงไฮเอนด์ ซึ่งฐานลูกค้าสำคัญ ได้แก่ -กลุ่ม Family ด้วยการเพิ่มแบรนด์ดังจากประเทศญี่ปุ่น อาทิ สินค้า Home & Living, เครื่องครัว, ของเล่นเด็กและเสื้อผ้า พร้อมด้วยสนามเด็กเล่นขนาดใหญ่แบบ Full-scale playground, Pet-Friendly สร้างคอมมิวนิตี้คนรักสัตว์ และร้านชา-กาแฟ สไตล์ญี่ปุ่น -กลุ่ม Wealth เจาะกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง ด้วยการจัดกิจกรรม Supercar meeting ทุกสัปดาห์ และใช้ฐานลูกค้าของศูนย์การค้าเซ็นทรัลในสาขาอื่น ๆ ทั่วประเทศมาต่อยอดทำ CRM Marketing -กลุ่ม Sport Lifestyle ด้วยการเพิ่มแบรนด์ใหม่ ๆ อาทิ Rev-Runner ร้านรองเท้าวิ่ง และอุปกรณ์วิ่งโดยเฉพาะ, Columbia อุปกรณ์แคมป์ปิ้ง, จักรยาน, กอล์ฟ, วิ่ง และลาน Skate park  ทำให้โครงการกลายเป็น Sport Destination มีกลุ่มคนที่ชื่นชอบการเล่นกีฬา เล่น Skateboard 3.เพิ่มช่องทางการขาย Intensive Omnichannel ทั่วประเทศ การเพิ่มช่องทางออนไลน์ CHAT & SHOP ทำให้สามารถขายสินค้าได้ทั่วประเทศ รวมถึงมีแผนเจาะกลุ่มตลาดเอเชียและอาเซียน โดยเฉพาะกลุ่ม CLMV และมาเลเซีย 4.การสร้าง Festive Vibes ตลอดทั้งปี อาทิ การเป็น Food destination รวมร้านอาหารดังไว้มากมาย และ “ตรอกญี่ปุ่น”​ สำหรับคนชื่นชอบอาหารญี่ปุ่น จุด Attraction landmark อาทิ ลานน้ำพุขนาดใหญ่  ช่วงเทศกาลปลายปีเตรียมต้นคริสต์มาสยักษ์กลางลานน้ำพุ การประดับไฟทั่วทั้งพื้นที่ จุด Instagrammable Photo Landmark สีสันสดใสทั่วทั้งศูนย์ฯ   สำหรับโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ​ มีมูลค่าโครงการรวม 5,000 ล้านบาท บนพื้นที่ 36,000 ตร.ม. มีที่จอดรถมากกว่า 2,000 คัน เดินทางจากในเมืองประมาณ 30-45 นาที  ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ซื้อสินค้าแบรนด์เนมลดสูงสุด 35-70% ช่วงแคมเปญพิเศษลดถึง 90% เปิดให้บริการทุกวัน จันทร์ - ศุกร์ เวลา 11.00 - 21.00 น. เสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา 10.00 - 22.00 น. โดยโครงการในเฟส 2 ยังคงมีดีไซน์ต่อเนื่องกับเฟสแรกกับเอกลักษณ์ Thai Modern พร้อมได้แรงบันดาลใจมาจากวิถีชีวิตและศิลปวัฒนธรรมไทย นำเสนอในรูปแบบหมู่บ้านไทยร่วมสมัยที่  โดยเฟส 2 ได้ขยายเพิ่มอีก 4 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่บ้านช่างทอ (Textile Village) โดดเด่นด้วยลายเส้นผ้าทอของไทย, หมู่บ้านช่างก่อ (Brick Village) กับการก่ออิฐเป็นแพทเทิร์นที่แปลกตา, หมู่บ้านช่างลายคราม (Porcelain Village) นำความสวยงามของเครื่องลายครามมาออกแบบให้มีลูกเล่น และหมู่บ้านช่างเงินช่างทอง (Goldsmith Village) กับลวดลายสีเงินสีทองสื่อถึงความหรูหราและความประณีตท่ามกลางบรรยากาศแบบ Outdoor Experience ที่ร่มรื่นด้วยพื้นที่สีเขียว ทางเดินมีหลังคาที่กว้างขึ้น  มีน้ำพุ, บ้านต้นไม้, ภูเขา และจุดถ่ายรูปไฮไลท์ Instagrammable Landmarks รวมถึงมีการจัดอีเว้นท์ งานอาร์ต ศิลปะร่วมสมัย ที่หมุนเวียนตลอดทั้งปี   นอกจากนี้ การจับมือกับพาร์ทเนอร์ มิตซูบิชิ เอสเตท (ไทยแลนด์) ​ยังเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งสำคัญ โดยเซ็นทรัลพัฒนามีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการที่เป็น Destination Landmark มาแล้วทั่วประเทศ ตอนนี้มี 36 สาขาในประเทศไทยและต่างประเทศ สามารถเจาะกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูงซึ่งเป็นฐานลูกค้าของศูนย์การค้าเซ็นทรัล  ผ่านช่องทาง Intensive Omnichannel ในขณะที่มิตซูบิชิ เอสเตท กรุ๊ป มีประสบการณ์ในการพัฒนาเอาท์เล็ตชื่อดังของเอเชีย ทำให้เซ็นทรัล วิลเลจ เป็นลักชูรี่เอาท์เล็ต ที่มีศักยภาพและมาตรฐานไม่แพ้เอาท์เล็ตแห่งอื่นของโลก   ด้านนานยโทโมฮิโกะ เองูจิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท (ไทยแลนด์) กล่าวว่า โครงการเซ็นทรัล วิลเลจ เป็นหนึ่งในการบุกเบิกพอร์ตโฟลิโอใหม่ของบริษัทฯ ที่ได้รุกตลาดลักชูรี่เอาท์เล็ตครั้งแรกในประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งการร่วมเป็นพันธมิตรกับเซ็นทรัลพัฒนา ในแบบ “Two Nations, One Success” ได้พิสูจน์แล้วถึงความสำเร็จของเซ็นทรัล วิลเลจ ในเฟสแรก โดยบริษัทยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตและการฟื้นตัวด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทย รวมไปถึงความต้องการซื้อสินค้าแบรนด์เนมในประเทศไทยที่มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง สำหรับการขยายโครงการเฟสสอง ทางมิตซูบิชิฯ เตรียมแผนที่จะดึงแบรนด์สินเค้าของประเทศญี่ปุ่นเข้ามาเปิดตลาดในไทยมากขึ้น ​   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง CPN ยืนยัน “เซ็นทรัล วิลเลจ” เปิดแน่ 31 สิงหาคมนี้ มั่นใจได้รับอนุญาตและก่อสร้างถูกต้อง เปิดพรุ่งนี้ (วันที่ 31 สิงหาคม 2562) แน่นอน !!!  หลังศาลปกครองสั่งคุ้มครอง “เซ็นทรัล วิลเลจ” ช้อปเลย รออะไร? เซ็นทรัล วิลเลจ เปิดวันแรก ลูกค้ารอเปิดประตูกว่า 2,000 คน