Tag : News

2376 ผลลัพธ์
5 ทำเลฮอต คนสนใจค้นหามากที่สุดประจำปี 2019

5 ทำเลฮอต คนสนใจค้นหามากที่สุดประจำปี 2019

ปี 2019 นับเป็นปีแห่งความลุ้นระทึกของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่พักอาศัย จากรายงาน DDproperty Property Market Outlook ฉบับล่าสุด พบว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงทรงตัว ซึ่งเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจทั้งในประเทศและทั่วโลกที่ชะลอตัว มาตรการ LTV ควบคุมสินเชื่อบ้านจากธนาคารแห่งประเทศไทย รวมถึงหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง แต่ด้วยความที่ที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยสี่ที่สำคัญ จึงเชื่อว่ายังมีความต้องการอย่างต่อเนื่องในตลาด รอเพียงการกระตุ้นจากภาครัฐ หรือโอกาสที่เหมาะสมเท่านั้น   สังเกตได้จากการค้นหาที่อยู่อาศัยในเว็บไซต์ DDproperty.com ที่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในทำเลสำคัญ ๆ ของกรุงเทพฯ  แล้วทำเลไหนที่คนยังคงมองหา และค้นหามากที่สุดกัน ลองมาดูว่าตลอดทั้งปี 2019 มีทำเลไหนที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ค้นหาที่อยู่อาศัยมากที่สุด 5 อันดับแรก 5 ทำเลฮอตคนหามากสุดในรอบปี 1.อ่อนนุช อ่อนนุช ถือเป็นทำเลยอดฮิต ติดอันดับต้น ๆ ของยอดค้นหามากที่สุด มาตลอดแทบจะทุกครั้ง โดยเฉพาะบริเวณรถไฟฟ้า BTS สถานีอ่อนนุช ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากราคาอสังหาริมทรัพย์ยังไม่แพงเกินไป ถือเป็นช่วงราคาที่คนทำงาน หรือผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน (First Jobber) ยังสามารถซื้อเป็นเจ้าของเองได้ นอกจากนี้ยังเดินทางสะดวกสบาย ใกล้รถไฟฟ้า BTS เชื่อมต่อใจกลางเมืองและศูนย์กลางธุรกิจทั้งทองหล่อ อโศก สยาม หรือสีลม สาทร ได้ไม่ยาก และใช้เวลาไม่นาน รายล้อมด้วยห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ ตลาด และแหล่งแฮงก์เอ้าท์มากมาย มีสีสันในการใช้ชีวิตที่ครบจบในที่เดียว ทำไมอ่อนนุชถึงน่าอยู่ ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก อาทิ ตลาดอ่อนนุช, เทสโก้ โลตัส สุขุมวิท 50, บิ๊กซี อ่อนนุช, ฮาบิโตะมอลล์, พิคอะเดลี่ เดินทางง่ายใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีอ่อนนุช และเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีเหลือง สถานีศรีนุช (อนาคต) จุดเด่นสำคัญ ตลาดเช่าใหญ่ของกลุ่มชาวต่างประเทศที่มาทำงานในเมืองไทย (Expat) โดยมีชาวต่างชาติเช่าห้องชุดเพื่ออยู่อาศัยในย่านนี้สูงถึงประมาณ 70% ราคาค่าเช่าคอนโดมิเนียมสูงขึ้นถึง 10% ในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา 2.อารีย์ อีกหนึ่งทำเลที่ได้รับความนิยมในการค้นหาสูงสุดเป็นอันดับที่ 2 ในปี 2019 คือ อารีย์ หากถามว่าทำเลนี้มีอะไรดี คงต้องบอกว่าทำเลนี้แต่เดิมเป็นทำเลขุนนางเก่า ที่มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง และมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด หลังจากมีรถไฟฟ้า BTS เปิดให้บริการ ทำให้ทำเลนี้กลายเป็นทำเลที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ โดยเฉพาะรูปแบบคอนโดมิเนียมที่มีเพิ่มมากขึ้นทุกวัน รวมถึงยังเป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ทั้งภาครัฐและเอกชน มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายทั้งตลาด ร้านค้า ร้านอาหาร แหล่งช้อปปิ้ง เดินทางเชื่อมต่อสะดวก ไม่ไกลจากใจกลางเมือง และสถานีกลางบางซื่อ ทำไมอารีย์ถึงน่าอยู่ ใกล้สถานีกลางบางซื่อ เชื่อมต่อใจกลางเมือง-ปริมณฑลได้สะดวก ด้วยรถไฟฟ้า BTS โดยไม่ต้องเปลี่ยนสาย จุดเด่นสำคัญ ศูนย์กลางอาคารสำนักงานแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ ทั้งภาครัฐและเอกชน มีคนทำงานมากกว่า 6,000 คนต่อวัน 3.พระราม 9 ทำเลที่มียอดการค้นหามากเป็นอันดับที่ 3 คงหนีไม่พ้น พระราม 9 เพราะที่ผ่านมามีการพัฒนาในทำเลนี้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริเวณรถไฟฟ้า MRT สถานีพระราม 9 ซึ่งมีทั้งห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ขนาบข้างทั้ง 2 ฟากฝั่งถนน ได้แก่ ฟอร์จูน และเซ็นทรัลพลาซา แกรนด์ พระราม 9 ไม่ไกลกันนักก็มีทั้งเอสพลานาด ซีนีเพล็กซ์ รัชดาภิเษก และเดอะ สตรีท รัชดา แม้ว่าซุปเปอร์ทาวเวอร์จะพับโครงการไปแล้ว แต่ยังมีอาคารสำนักงาน และแหล่งงานขนาดใหญ่จำนวนมากในย่านนี้ และมีโครงการใหม่ ๆ รอจ่อคิวพัฒนาเป็นจำนวนมาก จึงไม่น่าแปลกใจที่พระราม 9 ได้ชื่อว่าเป็นทำเลศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ หรือ New CBD โดยโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในทำเลนี้มียอดขายเฉลี่ยสูงถึงเกือบ 90% ทำไมพระราม 9 ถึงน่าอยู่ ทำเลใกล้ห้าง ใกล้แหล่งงาน ใกล้รถไฟฟ้า MRT สถานีพระราม 9 เชื่อมต่อรถไฟฟ้า BTS ได้สะดวก อนาคตจะเชื่อมต่อเป็นวงแหวนกับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงเตาปูน-ท่าพระ และช่วงหัวลำโพง-หลักสอง จุดเด่นสำคัญ เป็นทำเลที่กลุ่มชาวจีนเข้ามาอยู่อาศัยเป็นจำนวนมาก เพราะใกล้สถานทูตจีน ราคาที่อยู่อาศัยปรับตัวสูงขึ้นปีละประมาณ 10-20% ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าอยู่ที่ประมาณ 5% ต่อปี 4.บางนา มาถึงอันดับที่ 4 ทำเลบางนา ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันมีการพัฒนาต่อเนื่องทั้งด้านการเดินทางที่มีรถไฟฟ้า BTS พาดผ่านช่วงบริเวณแยกบางนา และยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ มากมาย จากแต่เดิมที่การพัฒนากระจุกตัวอยู่บริเวณแยกบางนา อาทิ ห้างสรรพสินค้าอย่างเซ็นทรัลพลาซา บางนา และศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา แต่ปัจจุบันการพัฒนาเริ่มกระจายตัวออกไปจากบริเวณอื่นมากขึ้น ซึ่งปัจจัยหลักมาจากห้างสรรพสินค้าใหม่อย่างอิเกีย บางนา และเมกาบางนา ส่วนรูปแบบที่อยู่อาศัยก็มีหลากหลายทั้งคอนโดมิเนียม ทาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยว โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี บริเวณแนวถนนกาญจนาภิเษก ทำไมบางนาถึงน่าอยู่ มีตัวเลือกการเดินทางที่หลากหลายทั้งถนนบางนา-ตราด และสุขุมวิท ใกล้ทางด่วนอย่างทางพิเศษเฉลิมมหานคร ทางพิเศษบูรพาวิถี และถนนกาญจนาภิเษก และใกล้รถไฟฟ้า BTS จุดเด่นสำคัญ อนาคตบริเวณแยกบางนาจะมีโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ของเดอะมอลล์กรุ๊ปอย่างแบงค็อกมอลล์ ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ทำเลนี้เติบโตเพิ่มขึ้นไปอีก บางนา เป็นเพียงไม่กี่ทำเลในกรุงเทพฯ ที่มีราคาอสังหาฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดปี 2019 5.สะพานควาย มาถึงทำเลสุดท้าย ไม่ไกล้ ไม่ไกล ยังอยู่ในแนวรถไฟฟ้า BTS คือทำเลสะพานควาย ทำเลนี้เป็นทำเลก่อนหน้าจตุจักรเพียง 1 สถานี จึงเชื่อมต่อสถานีกลางบางซื่อได้ไม่ยาก เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า BTS สถานีสะพานควาย โดยปัจจุบันเป็นแหล่งงานสำคัญอีกแห่งหนึ่ง เชื่อมต่อกับถนนวิภาวดีรังสิต และรัชดาภิเษกได้สะดวก และใช้ถนนพหลโยธินเดินทางได้สะดวกเช่นกัน มีตลาด ร้านค้า ร้านอาหาร Co-working space และแหล่งแฮงก์เอ้าท์มากมาย ทำไมสะพานควายถึงน่าอยู่ ใกล้รถไฟฟ้า ใกล้สถานีกลางบางซื่อ มีแหล่งแฮงก์เอ้าท์ ร้านค้า ร้านอาหาร จำนวนมาก และใกล้สวนจตุจักร จุดเด่นสำคัญ ใกล้สวนสาธารณะขนาดใหญ่อย่างอุทยานจตุจักร มีเนื้อที่ประมาณ 727 ไร่ อนาคตจะมีโครงการมิกซ์ยูสเกิดขึ้น ซึ่งมีทั้งอาคารสำนักงาน พื้นที่ค้าปลีก และโรงแรม รถไฟฟ้า ผลักดันทำเลฮอต จะเห็นได้ว่าทำเลที่มียอดค้นหามากที่สุดทั้ง 5 อันดับ ล้วนแล้วแต่เป็นทำเลในแนวรถไฟฟ้าทั้งสิ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความต้องการของผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่ไม่ว่าซื้อหรือเช่านั้น มองเรื่องทำเลเป็นสำคัญสอดคล้องกับผลการสำรวจความคิดเห็นของผู้บริโภคต่อสภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ (DDproperty Consumer Sentiment Survey) รอบล่าสุด ที่ระบุว่าทำเลยังเป็นปัจจัยหลักที่ผู้เลือกซื้อที่อยู่อาศัยให้ความสำคัญ เชื่อว่าในอนาคตเมื่อกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีเส้นทางรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอีกหลายสาย จะยิ่งทำให้เห็นภาพการเลือกที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคกระจายตัวออกไปสู่เส้นทางสายต่าง ๆ มากขึ้น   โดยพบว่า 1 ใน 3 ของผู้ที่ตอบแบบสอบถาม หรือ 32% มองว่าระยะทาง 400-500 เมตร จากที่พักอาศัยถึงระบบขนส่งสาธารณะ เป็นระยะห่างที่ยอมรับได้   นอกจากนี้ยังพบว่า ระยะทางจากสิ่งอำนวยความสะดวกที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญ ได้แก่ 60% ใกล้ระบบขนส่งสาธารณะ 51% ใกล้สถานที่ทำงาน 34% ใกล้จากแหล่งช้อปปิ้ง 33% ใกล้สถานพยาบาล   ขณะเดียวกันยังพบว่า 35% ของผู้ตอบแบบสอบถามให้ความสนใจกับการซื้ออสังหาฯ ในพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ เนื่องจากราคาที่ดินและอสังหาฯ ในบริเวณดังกล่าวยังมีราคาไม่สูงมากนัก รวมทั้งโครงการรถไฟฟ้าหลายสายที่ใกล้เปิดใช้บริการและอยู่ในระหว่างการก่อสร้างหลายเส้นทางทำให้การเดินทางเชื่อมต่อจากเขตกรุงเทพฯ รอบนอก เข้าสู่ใจกลางเมืองได้สะดวกเช่นกัน   รองลงมาจำนวน 16% ให้ความสนใจในทำเลรัชดา ลาดพร้าว พระราม 9 และอีก 15% ยังเทใจให้กับพื้นที่สุขุมวิทชั้นใน ขณะที่ทำเลสุขุมวิทรอบนอก อย่าง บางนา แบริ่ง และย่านอารีย์กับพหลโยธิน ได้รับความสนใจในจำนวน 11% เท่ากัน อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง เปิดทำเลฮอต !! คอนโดฯ ที่จะออกสู่ตลาดกว่า 20,000 ยูนิตในไตรมาส 3 ที่ดิน 4 ทำเลฮอตราคาพุ่ง 20-30%
[PR News] ศุภาลัย จับตลาดสูงวัยเปิดบ้านอายุวัฒนะ “ศุภวัฒนาลัย” เพื่อคนวัย 50+

[PR News] ศุภาลัย จับตลาดสูงวัยเปิดบ้านอายุวัฒนะ “ศุภวัฒนาลัย” เพื่อคนวัย 50+

ศุภาลัย ลงทุน 300 ล้าน เปิดโปรเจ็กต์บ้านอายุวัฒนะ “ศุภวัฒนาลัย” จับตลาดสังคมผู้สูงวัย กลุ่มคนอายุ 50 ปีขึ้นไป ให้พักอาศัยตลอดชีวิต ในราคา 1.3-1.5 ล้านบาท   ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการเล็งเห็นถึงสังคมไทยที่กำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ซึ่งจะมีสัดส่วน 20% ของจำนวนประชากรทั้งหมด  บริษัทจึงได้พัฒนาโครงการ “ศุภวัฒนาลัย” (Supalai Wellness Valley) โครงการเพื่อสังคมคุณภาพของผู้ที่มีอายุ 50+ (อายุ 50 ปีขึ้นไป) เป็นโครงการแรกจำนวนกว่า 100 ยูนิต มูลค่ากว่า 300 ล้านบาท ประกอบกับตลอดระยะเวลา  3 ทศวรรษที่ผ่านมา บริษัทได้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภทต่างๆ ทั้งโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด รวมถึงการลงทุนโครงการอสังหาฯในต่างประเทศ เป็นที่พักอาศัยรองรับไลฟ์สไตล์ของผู้พักอาศัยทุกคนในครอบครัว ด้วยประสบการณ์ความเชี่ยวชาญด้านการออกแบบโครงการอสังหาฯ มาอย่างยาวนาน จึงพัฒนาโครงการดังกล่าว  เพื่อเป็นโครงการส่งเสริมสังคมให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี   โดยมุ่งออกแบบและพัฒนาที่อยู่อาศัย ที่คำนึงถึงความสะดวกสบายของทุกเพศทุกวัย หรือการออกแบบเพื่อทุกคน (Universal Design) อาทิ เด็ก ผู้ใหญ่ คนชรา สามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติสุข สอดคล้องกับนโยบาย  “ศุภาลัย ใส่ใจ…สร้างสรรค์ สังคมไทย” สู่การเปิดตัวโครงการ “ศุภวัฒนาลัย” เพื่อสังคมคุณภาพของวัย 50 ปีขึ้นไป บ้านสำหรับวัยแห่งความสุขที่ลูกหลานไปเยี่ยมเยียนและพักอยู่ด้วยกันได้ โครงการ “ศุภวัฒนาลัย” (Supalai Wellness Valley) ชูแนวคิด “สังคมคุณภาพของวัย 50+ เพื่อคุณค่าการมีชีวิตอยู่อย่างยั่งยืน”  มุ่งสร้างการใช้ชีวิตอย่างสุขสงบงดงามในสังคมคุณภาพปลอดภัย ในอ้อมกอดของธรรมชาติ ตั้งอยู่บนที่ดินรวมกว่า 180 ไร่   ใกล้โค้งแม่น้ำป่าสักที่สวยที่สุด อำเภอแก่งคอย จังหวัดสระบุรี   โดยแบบบ้านทันสมัยสไตล์โมเดิร์น ออกแบบฟังก์ชั่นการใช้งานตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความปลอดภัยของผู้สูงวัย บ้านพัก ขนาดประมาณ 55 ตารางเมตร  1 ห้องนอน 1 ห้องนั่งเล่น/อาหาร และ 1 ห้องน้ำ พร้อมพื้นที่ หน้าบ้าน-หลังบ้าน ที่จะทำสวนส่วนตัว และชื่นชมสวนป่าใหญ่ในโครงการด้วยพรรณไม้กลิ่นหอม หลากหลายชนิด  มีระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง กล้อง CCTV เข้า-ออก   ภายในโครงการ อีกทั้งติดตั้งอุปกรณ์ช่วยเหลือฉุกเฉิน ตลอดจนศูนย์ Service Center พร้อมเจ้าหน้าที่พยาบาลให้การดูแลและบริการกิจกรรมความรู้ทั้งด้านสุขภาพ ทำอาหาร ศิลปะ บันเทิง เกษตรกรรม ท่องเที่ยว ฯลฯ  สิ่งอำนวยความสะดวกของโรงแรมศุภาลัย ป่าสัก รีสอร์ท แอนด์ สปา อาทิ สระว่ายน้ำ ฟิตเนส  ห้องสปานวดผ่อนคลาย ห้องอาหารรสเลิศ ห้องคาราโอเกะ สนุกเกอร์ มินิมาร์ท ร้านกาแฟ สวนนก  หอชมวิว ฯลฯ เพื่อเสริมสร้างคุณค่าการมีชีวิตอยู่อย่างยั่งยืนของผู้พักอาศัยตามแนวคิดหลักของโครงการ สำหรับข้อกำหนดของผู้พักอาศัยต้องมีอายุ 50 ปีขึ้นไป มีสิทธิพักอาศัยภายในโครงการตลอดชีพ*  ราคาเช่าซื้อระยะยาว โปรโมชั่นพิเศษเพียง 1.3 ล้านบาท สำหรับผู้พักอาศัย 1 ท่าน และราคา 1.5 ล้านบาท สำหรับผู้พักอาศัย 2 ท่าน  (*เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด)  
กลุ่มเซ็นทรัล เปิดไทวัสดุโมเดลใหม่ ใช้เทคโนโลยีเสริมไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค-ลดต้นทุน

กลุ่มเซ็นทรัล เปิดไทวัสดุโมเดลใหม่ ใช้เทคโนโลยีเสริมไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค-ลดต้นทุน

ท่ามกลางการแข่งขันของธุรกิจจัดจำหน่ายวัดุก่อสร้าง และอุปกรณ์ซ่อมแซมบ้าน ซึ่งนับวันมีแต่รุนแรง เพราะมีบรรดาผู้เล่นรายใหญ่ซึ่งมีศักยภาพการแข่งขันสูงอยู่ในตลาด ประกอบกับยุคปัจจุบัน ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แถมยังมีเทคโนโลยีดิจิทัล เข้ามาสร้างความสะดวกสบาย และยังทำให้วิถีชีวิตของคนยุคนี้ เปลี่ยนแปลงไปจากอดีตมากมาย ทำให้การทำธุรกิจต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะการปรับตัวให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภค   กลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งถือเป็นยักษ์ใหญ่ในธุรกิจค้าปลีก มีรูปแบบการทำธุรกิจหลากหลาย ซึ่งหนึ่งในนั้น คือ ธุรกิจจัดจำหน่ายวัสดุก่อสร้าง สินค้าตกแต่ง และซ่อมแซมบ้าน ภายใต้แบรนด์ “ไทวัสดุ” ของบริษัท ซีอาร์ซี ไทวัสดุ จำกัด มีนายสุทิสาร จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร เป็นผู้ดูแลธุรกิจ ก็ต้องปรับตัวรองรับกับสภาพธุรกิจและการแข่งขันในปัจจุบัน  ถือเป็นหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้ เปิดไทวัสดุโมเดลใหม่ กับสาขาที่ 50 ที่หนองจอก ไทวัสดุ โมเดลใหม่ สาขาหนองจอก มีอะไรแตกต่าง ด้วยเหตุผลเรื่องของไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป และมีเทคโนโลยีเข้ามาเป็นส่วนสำคัญในชีวิตประจำวัน ทำให้ กลุ่มเซ็นทรัล เปิดไทวัสดุ โมเดลใหม่ ที่สาขาหนองจอก เป็นสาขาแรกและต้นแบบกับการทำตลาดตอบโจทย์ยุคดิจิทัล ซึ่งมี 4 เรื่องสำคัญแตกต่างจากสาขาเดิมที่มีอยู่ก่อนหน้านี้   1.ลดขนาดพื้นที่ของสาขาลง 50% จากปกติจะต้องใช้พื้นที่ 30 ไร่ แต่ไทวัสดุ สาขาหนองจอก ใช้พื้นที่ประมาณ​ 10 ไร่ ซึ่งมีพื้นที่ขายประมาณ 10,000 ตารางเมตร 18,000 ตารางเมตร 2.ลดจำนวนพนักงานให้บริการลง 50% จากสาขาปกติใช้พนักงานประมาณ​150 คน ไทวัสดุ สาขาหนองจอก ใช้พนักงานประมาณ 50-80 คน 3.วางจำหน่ายสินค้าหลักกว่า 20,000 รายการ แต่สินค้าประเภทของใช้ส่วนตัว หรือของตกแต่ง  (Home Decoration) จะใช้รูปแบบการจัดจำหน่ายออนไลน์ 4.นำระบบเทคโนโลยีมาช่วยในการซื้อขายสินค้า โดยสินค้าบางรายการลูกค้าไม่ต้องหยิบลงตระกร้า เพียงแต่สแกนคิวอาร์โค้ท เพื่อสั่งซื้อและชำระเงินที่แคชเชียร์ ซึ่งลูกค้ารอรับสินค้าได้ที่จุดรับสินค้า ไม่เกิน 15 นาทีหลังจากชำระเงินแล้ว   สินค้าที่จำหน่ายภายในไทวัสด โมเดลใหม่ สาขาหนองจอก แบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่ 1.สินค้าที่ลูกค้าส่วนใหญ่ซื้อประจำ สินค้าจะอยู่บนชั้นวางสินค้า สามารถหยิบซื้อได้ทันที 2.สินค้าโครงสร้าง เช่น เหล็ก ปูน ลูกค้าสามารถสแกนคิวอาร์โค้ด เพื่อสั่งซื้อสินค้า 3.สินค้าที่บริษัทจำหน่ายให้ครบ แต่ลูกค้าต้องสั่งซื้อผ่านออนไลน์ โดยสามารถสแกนคิวอาร์โค้ด เพื่อสั่งซื้อสินค้าได้ ไทวัสดุ โมเดลใหม่ ช่วยลดต้นทุน-เข้าถึงกลุ่มลูกค้า นายสุทธิสาร กล่าวว่า การเปิดไทวัสดุ โมเดลใหม่ สาขาหนองจอก จะทำให้ลูกค้าเดินทางเข้าถึงสาขาได้ง่ายขึ้น เพราะใช้ระยะเวลาเดินทางไม่นาน ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการสาขาลดต่ำลง แม้ต้นทุนการลงทุนจะไม่ได้ลดลงก็ตาม   “เราอยากให้ลูกค้าเดินทางไม่นาน ไม่เกินชั่วโมง เดิมลูกค้าบางพื้นที่ในต่างจังหวัดต้องเดินทาง 3 ชั่วโมง เพราะสาขาอยู่ไกล”   แผนการขยายต่อไปในอนาคต บริษัทจะเน้นอำเภอขนาดเล็กลง  ซึ่งหากเป็นพื้นที่หลัก เช่นตัวจังหวัดหรืออำเภอเมือง จะใช้รูปแบบสาขาขนาดใหญ่  แต่หากเป็นอำเภอขนาดเล็ก จะใช้รูปแบบสาขาขนาดเล็ก และนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ซึ่งกลยุทธ์การขยายสาขาจะช่วยสร้างการเติบโตของบริษัท   ไทวัสดุ โมเดลใหม่ ต้นแบบขยายสาขา ปัจจุบันบริษัทมีสาขาเปิดให้บริการรวมสาขาหนองจอก 50 สาขา ซึ่งปีนี้ขยายสาขาก่อนหน้าในรูปแบบขนาดใหญ่ไปแล้ว 4 สาขา ใช้งบลงทุนไปประมาณ​ 3,000 ล้านบาท ส่วนปี 2563 จะขยายสาขาเพิ่ม 7 สาขา แบ่งเป็นรูปแบบสาขาขนาดใหญ่ 5 สาขา และสาขาขนาดเล็กอีก 2 สาขา ซึ่งจะใช้ไทวัสด โมเดลใหม่ สาขาหนองจอก เป็นต้นแบบ โดยใช้งบลงทุน 3,500 ล้านบาท หรือประมาณ​สาขาละ 300 ล้านบาท รวมถึงมีแผนปรับปรุงสาขาเดิมด้วย   สำหรับภาพรวมธุรกิจค้าปลีกวัสดุก่อสร้างและซ่อมแซม ในปีนี้ชะลอตัวกว่าปีที่ผ่านมา ยอดขายสินค้าของคู่แข่งส่วนใหญ่จะลดลงกว่าปีที่ผ่านมา  ส่วนผลประกอบการของไทวัสดุ มีอัตราการเติบโตโดยรวม 20% ซึ่งเป็นผลจากการขยายสาขาใหม่เพิ่ม ขณะที่ยอดขายของสาขาเดิมมีอัตราการเติบโต 8-10%  โดยคาดว่าภาพรวมตลาดในปีนี้อาจจะติดลบ 0.1% หรือหากสถานการณ์ฟื้นตัวดีขึ้น อาจจะเติบโตได้ในอัตรา 1%   “ในอดีตยอดขายเติบโต 20% ปัจจุบันเติบโตได้ถึง 10% ก็ถือว่าดีแล้ว ในปีหน้าบริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตไว้ 15% จากยอดขายปีนี้น่าจะทำได้ 30,000 ล้านบาท”   ข่าวที่เกี่ยวข้อง ไทวัสดุ เขย่าตลาดวัสดุก่อสร้างปลายปี ทุ่ม 600 ล้านผุดสาขาที่ 43 บนถนนชัยพฤกษ์
9 วิธีรับมือเมื่อลูกโดนกลั่นแกล้งที่โรงเรียน  แก้ปัญหาการบลูลี

9 วิธีรับมือเมื่อลูกโดนกลั่นแกล้งที่โรงเรียน แก้ปัญหาการบลูลี

ช่วงสัปดาห์ที่แล้ว หนึ่งในประเด็นร้อนแรงบนโลกโซเชียล ที่พูดถึงกันมากมาย คือ  เรื่องเด็กนักเรียนมัธยมถูกเพื่อนล้อเลียน จนนำมาซึ่งความโกรธแค้น จนถึงขั้นเกิดการฆาตกรรม เป็นเรื่องเศร้าเสียใจที่ไม่น่าเกิดขึ้นในสังคมไทย การรังแก กลั่นแกล้งในโรงเรียน หรือ การบูลลี (Bully) ได้กลายเป็นปัญหาที่ไม่ใช่เรื่องเล็กอีกต่อไป และมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้นในสังคมไทย จากสถิติของกรมสุขภาพจิต ชี้ว่า ในปี 2561 มีจำนวนนักเรียนไทยโดนกลั่นแกล้งในโรงเรียนสูงถึง 600,000 คน หรือคิดเป็นอัตราส่วน 40% มากที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลกรองจากญี่ปุ่น ปัจจุบันระดับความรุนแรงของพฤติกรรมการกลั่นแกล้งและปัญหาการกลั่นแกล้งกันในโรงเรียนได้ทวีความรุนแรงมากขึ้นทุกปี ทุกฝ่ายจึงควรหันมาร่วมมือกันแก้ปัญหาการบลูลี   BDMS เสริมความรู้ผู้ปกครองแก้ปัญหาการบลูลี บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS จึงได้จัดกิจกรรมเพื่ออบรมให้ความรู้ แก่ พ่อแม่ ผู้ปกครอง และครู ที่โรงเรียนทอสี  ในหัวข้อ “คำพูดสร้างสรรค์ สร้างสังคมน่าอยู่ ไม่บูลลี่ในเด็ก” เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน 2562   เพื่อเป็นการสานต่อโครงการ “Shared Kindness คำพูดสร้างสรรค์ สร้างสังคมน่าอยู่” รณรงค์ลดการทำร้ายจิตใจผ่านคำพูด สนับสนุนการส่งต่อคำพูดสร้างสรรค์ในสังคมไทย  ปัญหาการล้อเลียนชื่อพ่อแม่ การเรียกชื่อสมมติหรือปมด้อยของเพื่อน การไม่ให้เข้าร่วมกลุ่มเล่น หรือทำกิจกรรมด้วยกัน และการตบหัวหรือการชกต่อยกัน พฤติกรรมเหล่านี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือครู บางท่านอาจจะมองว่าเป็นเรื่องเล็ก หากเราไม่ไปสนใจเค้า  เราไม่ไปยุ่งกับเพื่อนที่แกล้งเรา เดี๋ยวเค้าก็จะเลิกยุ่งกับเราไปเอง   นายแพทย์กมล แสงทองศรีกมล ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาการเด็ก โรงพยาบาลกรุงเทพ กล่าวว่า “ในมุมของผู้ใหญ่ เรามักจะมองว่าการกลั่นแกล้งกันในเด็ก เป็นเรื่องเด็กเล่นกัน  เป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ในมุมของเด็กที่ถูกกระทำ ถูกกลั่นแกล้งนั้น เป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับเขา เพราะเด็กต้องเจอกับปัญหาเดิมๆ ซ้ำๆ ทุกๆ วัน เราควรจะต้องทำความเข้าใจกันใหม่ว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องเล็ก และสามารถส่งผลกระทบต่อจิตใจของเด็กได้ในระยะยาว ดังนั้น เราในฐานะพ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือครู จึงไม่ควรนิ่งเฉย ควรเฝ้าสังเกตพฤติกรรม อารมณ์ และดูแลเด็กๆ อย่างใกล้ชิดอยู่เสมอ เพื่อป้องกันและแก้ปัญหาได้อย่างทันท่วงที”   9 วิธีรับมือ แก้ปัญหาการบลูลี ก่อนจะสาย นายแพทย์กมล ได้ฝาก “เคล็ดไม่ลับ 9 วิธีรับมือ เมื่อเด็กๆถูกกลั่นแกล้งที่โรงเรียน” เพื่อให้ พ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูนำไปปรับใช้ เพื่อเป็นแนวทางในการดูแลเด็กๆ ได้ต่อไป 1.ทำความเข้าใจว่าการกลั่นแกล้งคืออะไร การทำความใจว่าการกลั่นแกล้งคืออะไร คือสิ่งสำคัญ ที่ทำให้เราเข้าใจปัญหาของผู้กระทำและผู้ถูกกระทำมากขึ้น แท้จริงแล้วการกลั่นแกล้งคือ  นิสัยที่เรียนรู้และเลียนแบบมาจากการเห็นหรือได้ยิน เช่น การพบเจอปัญหาคนในครอบครัวทะเลาะกัน หรือพบเจอคนในชุมชนด่าทอกันด้วยคำพูดหยาบคายทุกวัน จนมองว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ นอกจากนี้ผู้กระทำบางราย อาจจะเป็นบุคคลที่ขาดความมั่นใจในตนเอง  อิจฉาริษยาผู้อื่น  รวมถึงผู้กระทำบางรายอาจจะเคยเป็นผู้ถูกกระทำมาก่อน   2.กล้าที่จะพูดหรือแสดงความไม่พอใจต่อผู้กระทำ หลายครั้งที่ปัญหาการกลั่นแกล้งเกิดขึ้นกับบุคคล บุคคลหนึ่งมาอย่างยาวนาน  ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผู้ถูกกระทำ ไม่กล้าที่จะพูด หรือแสดงความไม่พอใจออกมา ทำให้ผู้กระทำไม่รับรู้ว่าผู้ถูกกระทำนั้นมีความรู้สึกอย่างไร จึงกระทำการกลั่นแกล้งซ้ำๆ เพราะมองว่าเป็นเรื่องที่สามารถทำได้  การแสดงออกหรือการพูดสื่อสารออกมาว่าผู้ถูกกระทำนั้นไม่พอใจ เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ผู้กระทำมีแนวโน้มที่จะกลั่นแกล้งลดน้อยลง หรือหยุดการกระทำนั้นๆ ลงได้  เนื่องจากผู้กระทำได้รับการตระหนักรู้ ถึงความรู้สึกของผู้ถูกกระทำว่า “ไม่พอใจ” และ “เสียใจ” ตลอดจนรับรู้ว่าการกระทำของตนนั้นสร้างผลกระทบต่อผู้ถูกกระทำอย่างไรบ้าง   3.บอกเล่าการโดนกลั่นแกล้งกับพ่อแม่ ผู้ปกครองหรือครู ส่วนใหญ่แล้ว ปัญหาการกลั่นแกล้งในโรงเรียน เกิดจากการที่ผู้ถูกกระทำ ไม่ได้บอกเล่าเรื่องถูกกลั่นแกล้งให้พ่อแม่ ผู้ปกครองและครูทราบ จึงทำให้ปัญหาการกลั่นแกล้งยังคงเกิดขึ้น และไม่ได้รับการแก้ไขอย่างตรงจุด ดังนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก ที่ต้องสอนเด็กและลูกหลานของเรา “ไม่ให้เงียบ” , “เพิกเฉย” หรือ “ทนต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น” และ    จงกล้าที่จะบอกเล่าปัญหาของตนกับพ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือครูที่โรงเรียน  เพราะปัญหาการถูกกลั่นแกล้งที่โรงเรียนต้องได้รับความร่วมมือจากทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือครู ต้องปรึกษาหารือกัน เพื่อหาวิธีการรับมือ และหาวิธีการแก้ไขปัญหานี้ร่วมกัน   4.การกลั่นแกล้งเป็นเรื่องผิดกฎหมาย ทราบหรือไม่ว่า ในบางสถานการณ์ การกลั่นแกล้งเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย หากว่าผู้ถูกกระทำ ถูกกลั่นแกล้งทางร่างกายหรือทางเพศ ไม่ว่าจะเป็นการใช้คำพูดด่าทอเชื้อชาติหรือเพศสภาพ ใช้กำลังและความรุนแรงรังแกผู้อื่น หรือแม้แต่การแชร์เรื่องส่วนตัวของผู้อื่นในอินเทอร์เน็ต ล้วนเป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายทั้งสิ้น หากว่ามีการพบเจอการกลั่นแกล้งที่รุนแรงเช่นนี้ พ่อแม่ ผู้ปกครอง และครูสามารถรายงานเรื่องนี้ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป   5.อย่ามองว่าตัวเองเป็นปัญหา การมีอัตลักษณ์ที่ต่างจากผู้อื่น เช่น เพศสภาพ เชื้อชาติ รูปร่างหน้าตา ที่ต่างจากผู้อื่น ไม่ใช่ปัญหาของผู้ถูกกระทำเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นเพราะทัศนคติของผู้กระทำต่อผู้อื่นต่างหาก สิ่งที่สำคัญคือเราต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติและมุมมองของตนเองก่อนเป็นอันดับแรก หากลูกของคุณเป็นผู้ถูกกระทำ จงสอนเขาว่า เขาไม่ได้ทำอะไรผิด และมันไม่ใช่ปัญหาของเขาเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากตัวผู้กระทำเองทั้งสิ้น 6.มองหาวิธีจัดการกับความเครียด ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การกลั่นแกล้งนั้นสามารถสร้างความเครียดให้แก้ผู้ถูกกระทำเป็นอย่างมาก นอกจากการบอกเล่าปัญหาต่อผู้ที่ไว้ใจ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน พ่อแม่ หรือครูแล้ว ควรลองมองหากิจกรรมหรือสิ่งใหม่ๆ เช่น การออกกำลังกาย ดูหนัง ฟังเพลง หรือออกไปเที่ยว เพื่อจัดการกับความเครียดของตนเอง และทำให้สภาพจิตใจไม่หมกมุ่นต่อสิ่งที่เกิดขึ้น 7.อย่าแยกตัวออกมาอยู่คนเดียว การอยู่คนเดียว ไม่สามารถแก้ปัญหาหรือทำให้เราจัดการกับการกลั่นแกล้งได้ อีกทั้งยังสามารถทำให้สถานการณ์แย่ลงไปเรื่อยๆ การอยู่คนเดียวเงียบๆ จะทำให้ลดความมั่นใจและความภาคภูมิใจของผู้ถูกกระทำได้ ดังนั้น เป็นหน้าที่ของพ่อแม่ ผู้ปกครองและครู ที่จะคอยสอดส่อง ดูแล พฤติกรรม อรมณ์ของเด็กๆ และบุตรหลาน ไม่ให้ตกอยู่ในภาวะเงียบหรือปลีกตัวมาอยู่คนเดียว   8.ดูแลสุขภาพกายและใจของตนเองให้ดี สุขภาพคือสิ่งสำคัญที่เราควรใส่ใจ การกลั่นแกล้งนั้นสามารถสร้างบาดแผลและปมในใจให้กับผู้ถูกกระทำซึ่งสามารถส่งผลต่อสภาพร่างกาย เช่น การอดอาหาร เครียดจนนอนไม่หลับ เป็นต้น หากบุตรหลานของท่านได้รับการกลั่นแกล้งที่กระทบต่อสภาพร่างกายและจิตใจ ควรพาไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและจิตวิทยา เพื่อช่วยให้คำแนะนำในการแก้ปัญหาได้อย่างดีและตรงจุด 9.มองหาบุคคลต้นแบบที่ดี การกลั่นแกล้ง ทำให้ผู้ถูกกระทำสับสนและไม่ชอบในตัวเอง หากว่าผู้ถูกกระทำมีบุคคลต้นแบบที่ดี จะสามารถทำให้เห็นได้ว่า มีอีกหลายคนที่เคยพบเจอกับปัญหาเดียวกัน แต่พวกเขาก็สามารถก้าวข้ามผ่านการโดนกลั่นแกล้งจนสามารถประสบความสำเร็จได้ การมีบุคคลต้นแบบที่ดีนั้น จะทำให้ผู้ถูกกระทำ มองเห็นคุณค่าของตัวเองและรักตัวเองมากขึ้น BDMS เชื่อมั่นว่า การที่จะสร้างแรงผลักดันให้เกิดสังคมน่าอยู่ได้ ต้องเกิดจากความร่วมมือกันในทุกภาคส่วน เริ่มต้นจากความร่วมมือในโรงเรียน ชุมชนเล็กๆ ของเด็กๆ ขยายวงกว้างออกไปสู่ความร่วมมือในสังคมไทย โดยเราคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่า โครงการ “Shared Kindness คำพูดสร้างสรรค์ สร้างสังคมน่าอยู่” จะสามารถสร้างความตระหนักรู้และความเข้าใจต่อคนในสังคม เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ในสังคมไทยอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืน      
เปิดทดลองนั่งฟรี รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน เตาปูน–ท่าพระ

เปิดทดลองนั่งฟรี รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน เตาปูน–ท่าพระ

กระทรวงคมนาคม รฟม. และ BEM พร้อมขยายการให้บริการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงเตาปูน–ท่าพระ 23 ธันวาคมนี้ เพื่อเติมเต็มโครงข่ายรถไฟฟ้าและมอบความสุขในการเดินทางให้ประชาชน นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เป็นประธานในพิธีเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการ โครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงเตาปูน–ท่าพระ โดยมี นายอธิรัฐ รัตนเศรษฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม นายธีรภัทร ประยูรสิทธิ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย นายพิศักดิ์ จิตวิริยะวศิน รองปลัดกระทรวงคมนาคม (หัวหน้ากลุ่มภารกิจการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านทางหลวง) และโฆษกกระทรวงคมนาคม นายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงษ์ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางราง รักษาราชการแทนอธิบดีกรมการขนส่งทางราง นายสราวุธ ทรงศิวิไล ประธานกรรมการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) และนายปลิว ตรีวิศวเวทย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BEM) เข้าร่วมในพิธีฯ ณ สถานีท่าพระ จากนั้น นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม พร้อมด้วยคณะผู้บริหารกระทรวงคมนาคม รฟม. และ BEM ได้โดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินจากสถานีท่าพระไปยังสถานีเตาปูน พร้อมทั้งทักทายประชาชนกลุ่มแรกที่มารอขึ้นรถไฟฟ้า ก่อนจะเปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการท่ามกลางบรรยากาศที่เป็นไปอย่างคึกคัก นั่งฟรี 4 สถานี ทั้งนี้ กระทรวงคมนาคม รฟม. และ BEM ได้เปิดให้ประชาชนทดลองใช้บริการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยาย ช่วงเตาปูน–ท่าพระ จากสถานีบางโพ–สถานีสิรินธร จำนวน 4 สถานี โดยไม่คิดค่าโดยสาร ตั้งแต่วันที่ 4 ธันวาคม 2562 ที่ผ่านมา และได้เร่งรัดดำเนินงานในการขยายการให้บริการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายให้ครบทุกสถานีเต็มโครงข่ายของเส้นทาง เพื่ออำนวยความสะดวกด้านการเดินทางให้กับประชาชน โดยพร้อมจะเปิดให้ประชาชนทดลองใช้ เพิ่มอีก 4 สถานี ได้แก่ สถานีบางยี่ขัน สถานีบางขุนนนท์ สถานีไฟฉาย และสถานีจรัญฯ 13 รวมเป็น 8 สถานี คือ จากสถานี บางโพ–สถานีจรัญฯ 13 ในวันที่ 23 ธันวาคม 2562–29 มีนาคม 2563 ตั้งแต่เวลา 10.00–16.00 น. เฉพาะในวันที่ 23 ธันวาคม 2562 นี้ จะเปิดทดลองให้บริการจากสถานีเตาปูน–สถานีสิรินธร ตั้งแต่เวลา 10.00 น. และจากสถานีเตาปูน–สถานีท่าพระ ตั้งแต่เวลา 14.30–18.00 น. โดยจะให้บริการรถไฟฟ้าแบบวิ่งไป-กลับ จากสถานีเตาปูน–สถานีท่าพระ มีรถไฟฟ้าให้บริการจำนวน 6 ขบวน ระยะห่างระหว่างขบวนประมาณ 8 นาที ซึ่งผู้โดยสารจากสายสีน้ำเงินปัจจุบันหรือสายสีม่วงที่ต้องการเดินทางไปปลายทางระหว่างสถานีจรัญฯ 13–สถานีบางโพ จะต้องเปลี่ยนขบวนรถที่สถานีท่าพระหรือสถานีเตาปูน รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน เปิดเต็มรูปแบบ 30 มีนาคม 2563 นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคม รฟม. และ BEM ได้เตรียมพร้อมที่จะเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินอย่างเป็นทางการเต็มรูปแบบครบทั้งโครงข่ายและจัดเก็บค่าโดยสารตามปกติทั้งเส้นทาง ในวันที่ 30 มีนาคม 2563 เป็นต้นไป โดยจะคิดอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินตามระยะทาง ตั้งแต่สถานีแรกที่อัตรา 16 บาท สูงสุด 42 บาท ในกรณีเดินทางเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าสายสีม่วง จะคิดอัตราค่าโดยสารสูงสุดไม่เกิน 70 บาท โดยเมื่อผู้โดยสารแตะบัตรหรือเหรียญโดยสารที่ประตูอัตโนมัติแล้ว จะสามารถอยู่ในระบบรถไฟฟ้าได้ไม่เกิน 180 นาที สำหรับรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลำโพง–บางแค และช่วงบางซื่อ–ท่าพระ เป็นส่วนหนึ่งของแผนแม่บทระบบรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ที่รัฐบาลและกระทรวงคมนาคม ได้มอบหมายให้ รฟม. ทำหน้าที่กำกับดูแลในการดำเนินงานโครงการ เพื่อขยายเส้นทางรถไฟฟ้าให้ครอบคลุมและรองรับการเดินทางของประชาชน โดยมีแนวเส้นทางเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้ามหานคร สายเฉลิมรัชมงคล ระยะทางรวมทั้งสิ้น 28 กิโลเมตร แบ่งเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงหัวลำโพง–บางแค เชื่อมต่อจากสถานีหัวลำโพงไปยังสถานีหลักสอง มีระยะทางประมาณ 16 กิโลเมตร จำนวน 11 สถานี และช่วงบางซื่อ–ท่าพระ เชื่อมต่อจากสถานีบางซื่อ ผ่านแยกเตาปูนและไปสิ้นสุดที่สถานีท่าพระ บริเวณแยก ท่าพระ มีระยะทางประมาณ 12 กิโลเมตร จำนวน 9 สถานี ภายในสถานีมีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น ลิฟต์ ทางลาดสำหรับคนพิการ บันไดทางขึ้น–ลงสถานี บันไดเลื่อน ห้องจำหน่ายบัตรโดยสาร และเครื่องจำหน่ายบัตรโดยสารอัตโนมัติ เป็นต้น เพื่อรองรับการใช้งานของผู้โดยสารทุกประเภท ทั้งนี้ เมื่อรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินเปิดให้บริการอย่างเต็มโครงข่ายแล้ว จะมีระยะทางรวมทั้งสิ้น 48 กิโลเมตร จำนวน 38 สถานี และมีสถานีท่าพระเป็นสถานีร่วม (Interchange Station) เชื่อมต่อเส้นทางเป็นโครงข่ายวงกลมที่ครอบคลุมพื้นที่ใจกลางกรุงเทพมหานครและเติมเต็มโครงข่ายระบบรถไฟฟ้าให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น นอกจากนี้ เส้นทางของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ยังมีจุดที่เชื่อมต่อกับระบบขนส่งสาธารณะรูปแบบอื่นๆ ทั้งทางราง ทางบก และทางน้ำในเขตเมือง ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกในการเดินทาง บรรเทาปัญหาการจราจรที่ติดขัด อันเป็นการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนและยกระดับการเดินทาง พร้อมทั้งช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบายและมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น  
AWC ปั้นเอเชียทีค สู่ เมกะโปรเจ็กต์ ผุดทาวเวอร์สูงสุดในไทย

AWC ปั้นเอเชียทีค สู่ เมกะโปรเจ็กต์ ผุดทาวเวอร์สูงสุดในไทย

เปิดแผน AWC ปั้นเมกะโปรเจ็กต์ มิกซ์ยูส “เอเชีย ทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์” เนื้อที่กว่า 100 ไร่ ใหญ่สุดริมแม่น้ำเจ้าพระยา มูลค่ามากกว่า 30,000 ล้าน พร้อมจับมือ AS+GG ผู้ออกแบบตึกสูงทั่วโลก สร้าง “เอเชียทีค ทาวน์เวอร์” สูงสุดในไทย คาดใช้เวลาพัฒนาไม่ต่ำกว่า 5 ปี หวังให้เป็น World Destination   นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC บริษัทในเครือทีซีซีกรุ๊ป (TCC Group) ของตระกูลสิริวัฒนภักดี เปิดเผยว่า ตามแผนสร้างการเติบโตของบริษัทในระยะ 5 ปีข้างหน้า จึงพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่องตามแผนธุรกิจ และแนวคิด Building a Better Future หรือ การสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่า AWC  ล่าสุดได้จับมือกับ A49 และ Urban Architectures บริษัทออกแบบชั้นนำของไทย และ AS+GG บริษัทออกแบบสถาปัตยกรรมระดับทั่วโลก  พัฒนาโครงการเมกะโปรเจ็กต์ ในโครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์   “AWC เดินหน้าแผนการพัฒนาโครงการเอเชียทีค  เพื่อยกระดับให้ที่นี่มีความน่าดึงดูดใจยิ่งขึ้นในฐานะจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวและไลฟ์สไตล์ระดับโลก” ปัจจุบันโครการเอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟรอนท์ ตั้งอยู่บนที่ดินแปลงใหญ่ขนาด 60  ไร่ ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา  ซึ่งมีร้านค้าและร้านอาหารเปิดให้บริการ โดยถือว่าเป็นการพัฒนาโครงการในเฟส 1 มีมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท บริษัทมีแผนพัฒนาโครงการเฟส 2 ต่อเนื่อง ซึ่งแบ่งเป็น 3 เฟสย่อย ประกอบด้วย แผนพัฒนาเฟส 2.1 เตรียมพัฒนาเป็นโครงการเมกะโปรเจ็กต์ ในรูปแบบมิกซ์ยูส มูลค่าหลายหมื่นล้านบาท  ประกอบด้วย พื้นที่รีเทล สำนักงาน และอาคารขนาดสูงไม่ต่ำกว่า 100 ชั้น ที่คาดว่าจะสูงสุดในประเทศไทย ภายในอาคารจะประกอบไปด้วย -โรงแรมระดับ 5 ดาว ภายใต้แบรนด์แมริออท จำนวน 800 ห้อง -โรงแรมระดับ 6 ซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาเลือกแบรนด์ -คอนโดมิเนียมพักอาศัย ในรูปแบบ แบรนด์เด็ด เรสซิเดนซ์ โดยโครงการเมกะโปรเจ็กต์ จะพัฒนาบนพื้นที่ลานจอดรถของเอเชีย ทีคในปัจจุบัน  ซึ่งมีแผนปรับปรุงพื้นที่ดังกล่าวเพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการ ทำให้วางแผนย้าย “เอเชียทีค สกาย” ไปไว้ในพื้นที่ด้านใต้ซึ่งอยู่ในพื้นที่เชิงพาณิชย์ (เฟส 2.2.1-ดูแผนที่ประกอบ) แผนพัฒนาเฟส 2.2 แผนพัฒนาพื้นที่ 19 ไร่ เป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ 100,000 ตารางเมตร ซึ่งแบ่งเป็น 2 เฟสย่อย ได้แก่ พื้นที่เฟส 2.2.1 จะประกอบด้วยร้านแฟลกชิพ สโตร์ของร้านกาแฟระดับโลก คาดว่าจะเป็นแบรนด์สตาร์บัค เนื่องจากเป็นธุรกิจที่นายเจริญ สิริวัฒนภักดี ได้ซื้อเข้ามาอยู่ในพอร์ตธุรกิจ คาดว่าจะเป็นรูปแบบใหม่และจะใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ปัจจุบันน่าจะอยู่ระหว่างการบันทึกข้อตกลงร่วมกัน  ซึ่งกลยุทธ์การนำเอาธุรกิจภายในเครือทีซีซีมาซินเนอร์จี้กัน เป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักของ AWC ด้วยเช่นกัน  พื้นที่บริเวณเฟส 2.2.1 ยังจะถูกใช้เป็นพื้นที่ตั้งของเอเชียทีค สกาย  ปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกแบบ พื้นที่เฟส 2.2.2 จะถูกใช้เป็นที่ตั้งพิพิธภัณฑ์พุทธศาสนา และประวัติศาสตร์  ที่ตั้งเจดีย์ทางพุทธศาสนา เพื่อใช้เป็นศูนย์การเรียนรู้ แผนพัฒนาเฟส 2.3 บนเนื้อที่กว่า 30 ไร่ บริเวณฝั่งตรงข้ามโครงการในปัจจุบัน บริษัทมีแผนพัฒนาเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ รวมถึงการพัฒนาให้เป็นเส้นทางเชื่อมต่อกับถนนเจริญลาภ เพื่อให้การเดินทางสะดวกมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่าการออกแบบ นอกจากนี้ บริษัทยังได้เตรียมนำเรือขนาด 50 เมตร ภายใต้ชื่อ “สิริมหรรณพ” มาเปิดให้บริการภายในไตรมาส 2 ของปีหน้า ซึ่งภายในเรือจะเป็นพื้นที่ส่วนภัตรคาร และพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ โดยจอดเรืออยู่บริเวณด้านหน้าริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา โดยหากประเมินมูลค่าโครงการในปัจจุบัน และแผนในอนาคต คาดว่าโครงการจะมีมูลค่ามากกว่า 30,000 ล้านบาท และมีระยะเวลาการพัฒนาโครงการอย่างเร็วที่สุดภายใน 5 ปี จับมือ AS+GG สร้างไอคอนนิคแลนด์มาร์ค AWC ได้ร่วมมือกับ Adrian Smith + Gordon Gill Architecture (AS+GG) บริษัทออกแบบสถาปัตยกรรมระดับโลก เพื่อพัฒนาโครงการเมกะโปรเจ็กต์ริมน้ำเจ้าพระยา โดยหนึ่งในไฮไลต์ คือ “เอเชียทีค ทาวเวอร์” อาคารขนาดสูงสุดในประเทศไทย ที่เป็นผลงานสถาปัตยกรรมชิ้นเอก สะท้อนคุณค่าความเป็นไทยริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา ซึ่งจะเป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คอันโดดเด่นของไทยสู่ชื่อเสียงระดับโลก โดย AS+GG คือ ผู้ออกแบบอาคารสูงระดับโลกในหลายประเทศ อาทิ JEDDAH TOWER ในซาอุดิอาระเบีย ซึ่งอยู่ระหว่างการออกแบบ โดยหากก่อสร้างแล้วเสร็จจะเป็นอาคารสูงที่สุดในโลก ด้วยขนาดควาสูงกว่า 1,000 เมตร AS WASL PLAZA ในดูไบ  BURJ KALIFA ในดูไบ ซึ่งปัจจุบันเป็นอาคารสูงที่สุดในโลก และ JIN MAO TOWER ในเชียงไฮ้ ประเทศจีน   จากผลงานการออกแบบอาคารสูงระดับโลก ทำให้คาดว่า "เอเชียทีค ทาวเวอร์" จะมีขนาดความสูงมากที่สุดในประเทศไทย และอาจจะสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แต่อย่างไรก็ตาม เป้าหมายสำคัญของ AWC ไม่ได้มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการให้มีขนาดความสูงมากที่สุด แต่ต้องการเพิ่มมูคล่าที่ดินให้ได้มากที่สุด และการสร้างคุณค่า รวมถึงความยั่งยืนของธุรกิจอย่างต่อเนื่องยาวนาน   “เนื่องจากเป็นที่ดินฟรีโฮลด์ จึงมุ่งสร้างคุณค่าระยะยาว นอกจากพัฒนาให้โครงการเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวแล้ว ยังต้องการให้เป็น World Destination ดึงดูดให้คนเข้ามาเที่ยว ตึกสูงสุดไม่ใช่จุดที่ตั้งใจให้สูงสุด แต่ทำให้เป็นไอคอนนิคแลนด์มาร์คของกรุงเทพฯ”   โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เป็นอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นแฟลกชิพในรูปแบบสถานที่ท่องเที่ยวแนวไลฟ์สไตล์ ที่เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คของประเทศไทย และเป็นแหล่งชอปปิงริมแม่น้ำที่มีสไตล์เฉพาะตัวเป็นแห่งแรกในกรุงเทพฯ มีชื่อเสียงในเรื่องของบรรยากาศที่มีชีวิตชีวา อาคารสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล และไนท์บาซาร์ที่มีเอกลักษณ์ เป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในหมู่นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงผู้พักอาศัยในพื้นที่ใกล้เคียง โดยมีจำนวนนักท่องเที่ยวเฉลี่ย 50,000 คนในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์   นอกจากนี้ ยังเป็นสถานที่สำหรับการจัดงานสำคัญและการแสดงโชว์ที่มีชื่อเสียง  เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ ได้รับรางวัลมากมาย รวมถึงรางวัล Top 10 Shopping Center ประจำปี 2560 และ Top Choice Shopping Area ประจำปี 2559 จาก People’s Choice Awards โดยกรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และ Best Commercial Development Thailand ประจำปี 2555 จากนิตยสาร Property Report ย่าน  เจริญกรุงซึ่งเป็นที่ตั้งของโครงการ ยังเป็นพื้นที่ที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวในฐานะชุมชนเก่าแก่บนถนนสายแรก  ของกรุงเทพฯ ที่สร้างเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์ของอาคารห้องแถวที่พักอาศัย  และร้านค้าแบบดั้งเดิมเรียงรายสองข้างทาง   “ต่อไปเอเชียทีค จะขยายเวลาให้บริการแบบตลอดทั้งวัน หลังจากพัฒนาโครงการแล้วเสร็จ จากปัจจุบันที่เปิดให้บริการเฉพาะช่วงค่ำ”          
บทสรุปตลาดบ้าน+คอนโดฯ หลังมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ดีสุดตลาดไม่ติดลบ

บทสรุปตลาดบ้าน+คอนโดฯ หลังมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ดีสุดตลาดไม่ติดลบ

REIC ชี้ตลาดอสังหาฯ​ หลังมาตรการรัฐ กระตุ้นธุรกิจ ช่วยพยุงตลาดติดลบน้อยลง มองบวกหากฟื้นตัวทำดีได้เท่าปีที่ผ่านมา ขณะที่แนวโน้มปี 2563 คาดการณ์โตได้ไม่เกิน 5%   ดร.วิชัย  วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIC เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยปีในปี 2562 คาดว่าจะจะทำให้จำนวนยูนิตเปิดใหม่ลดลง 0.6% และมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศน่าจะลดลง 2.2% เทียบกับปี 2561 จากเดิมที่ประเมินสถานการณ์ไว้ก่อนหน้าว่าจะติดลบถึง 7.7% และ 2.7% ตามลำดับ แต่อย่างไรก็ตาม หากมองในแง่บวกภาพรวมในปีนี้อาจจะไม่ติดลบเลยก็ได้   การประเมินสถานการณ์ดังกล่าว ทางศูนย์ข้อมูลฯ ได้นำตัวแปรสำคัญที่ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในไตรมาส 4 ปี 2562 คือ   มาตรการที่รัฐบาลออกมา สนับสนุนการซื้อที่อยู่อาศัยให้ครอบคลุมกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางมากขึ้น โดยลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าธรรมเนียมการจดจำนองเหลือ 0.01% ครอบคลุมถึงบ้านในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ที่ออกมาวันที่ 22 ตุลาคม  2562 และโครงการ “บ้านดีมีดาวน์” ซึ่งให้การสนับสนุนเงินดาวน์ 50,000 บาท แก่ผู้ซื้อที่อยู่อาศัย   โดยตั้งแต่ออกมาตรการมากระตุ้นตลาดอสังหาฯ พบว่าได้ช่วยให้เกิดการดูดซับบ้านและคอนโดมิเนียมในตลาดได้อย่างดี  คาดว่าในครึ่งหลังของปี 2562 จะมีขายบ้านใหม่ได้ประมาณ 71,000 ยูนิต และในปี 2563 จะมีการขายบ้านใหม่ได้ถึงประมาณ 166,000 ยูนิต หรือเพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึงประมาณ 20% ในแต่ละครึ่งปี และส่งผลให้จำนวนที่อยู่อาศัยในตลาดปีหน้าลดลงถึง 10% ในแต่ละครึ่งปี เมื่อเทียบกับการที่ไม่มีมาตรการ   ปี’63 ตลาดขยายตัวไม่เกิน 5%   สำหรับทิศทางตลาด ปี 2563 หลังมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาฯ คาดว่า ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสำคัญ คือ อัตราดอกเบี้ยขาลง และ มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาล  ที่ต่อเนื่องจากปลายปีนี้  แต่อาจจะมีการขยายตัวไม่เกิน 5% และโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ จะมีการเปิดตัวต่อเนื่อง  ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนใกล้เคียงกับยอดการเปิดตัวในปี 2562   “ผู้ประกอบการยังต้องให้ความสำคัญ กับการบริหารสินค้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จรอการขาย เพื่อไม่ให้มีสินค้าค้างอยู่มากเกินไป และยังต้องระมัดระวังการเปิดตัวโครงการใหม่ ที่มากจนตลาดไม่สามารถดูดซับไม่ทัน เพราะแม้ว่ากำลังซื้อจะมี แต่มีอยู่ไม่มากเมื่อเทียบกับ 2 ปีก่อน”     อสังหาฯ กทม.-ปริมณฑล สต็อกลด 6.7%   สำหรับสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ​ และปริมณฑล  ข้อมูลถึงสิ้นปี 2561 พบว่า มีที่อยู่อาศัยเหลือขายสะสมจำนวน 153,895 ยูนิต มูลค่า 651,293 ล้านบาท แบ่งออกเป็น โครงการบ้านจัดสรร 87,263 ยูนิต มูลค่า 393,996 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม  66,632 ยูนิต มูลค่า 257,297 ล้านบาท  จำนวนยูนิตเหลือขายคอนโดฯ ส่วนใหญ่อยู่ในกรุงเทพฯ มากถึง 67.8% ส่วนจังหวัดปริมณฑล 5 จังหวัดมีสัดส่วนรวมกันเพียง 32.2% ของยูนิตเหลือขายทั้งหมด   ศูนย์ข้อมูลฯ ประเมินว่า จำนวนยูนิตเหลือขายในกรุงเทพฯ - ปริมณฑล  ถึงสิ้นปี 2562 มีประมาณ 149,000 ยูนิต และคาดว่าถึงสิ้นปี 2563 จะมีประมาณ 139,000 ยูนิต ลดลงจากปี 2562 ในอัตรา 6.7% การคาดการณ์ดังกล่าวเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ซึ่งคาดว่าจะทำให้มีการเร่งโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยที่สร้างใหม่ และจะช่วยให้จำนวนที่อยู่อาศัยเหลือขายสะสมในตลาดถูกดูดซับออกไป   จนสามารถปรับสมดุลให้ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีที่ 138,720 ยูนิตได้   ต่างจังหวัดเร่งโอนบ้าน+คอนโดฯ สต็อกลด 20%   สำหรับตลาดอสังหาฯ ในภูมิภาคพื้นที่ 20 จังหวัดหลัก ศูนย์ข้อมูลฯ ได้ทำการสำรวจเป็นประจำอย่างต่อเนื่องทุกปี ปีละ 2 รอบ ได้แก่ ประกอบด้วย ภาคตะวันออก มี 3 จังหวัด ได้แก่ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ภาคใต้ มี 4 จังหวัด ได้แก่ ภูเก็ต สงขลา นครศรีธรรมราช และสุราษฎร์ธานี ภาคเหนือ มี 4 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย ตาก และพิษณุโลก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มี 5 จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น นครราชสีมา อุบลราชธานี อุดรธานี และมหาสารคาม  ภาคกลาง มี 2 จังหวัด ได้แก่ พระนครศรีอยุธยา และสระบุรี  ภาคตะวันตก มี 2 จังหวัด ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ และเพชรบุรี โดยประเมินสถานการณ์ว่าถึงสิ้นปี 2562  หลังมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาฯ จะมีจำนวนยูนิตเหลือขายประมาณ 109,000 ยูนิต และถึงสิ้นปี 2563 คาดว่าจะมีประมาณ 87,000 ยูนิต ลดลง 20.1% เมื่อเทียบกับช่วงสิ้นปี 2562 ซึ่งเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ของรัฐบาลเช่นกัน  ซึ่งจะมีการดูดซับที่อยู่อาศัยเหลือขายในตลาดออกไป จนสามารถปรับสมดุลให้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่มีจำนวนเหลือขายเฉลี่ย 106,790 ยูนิตได้            
เปิด 6 ไฮไลท์ “ปอร์โต เดอ ภูเก็ต” ไลฟ์สไตล์ ช้อปปิ้ง มอลล์ 1,500 ล.กลุ่มเซ็นทรัล

เปิด 6 ไฮไลท์ “ปอร์โต เดอ ภูเก็ต” ไลฟ์สไตล์ ช้อปปิ้ง มอลล์ 1,500 ล.กลุ่มเซ็นทรัล

กลุ่มเซ็นทรัล ทุ่มงบ 1,500 ล้าน ปั้นโปรเจ็กต์ “ปอร์โต เดอ ภูเก็ต” ไลฟ์สไตล์ ช้อปปิ้ง มอลล์ แห่งใหม่ในจังหวัดภูเก็ต ตั้งเป้าดึงคนเข้าใช้ปีละกว่า 3 ล้านราย   จังหวัดภูเก็ตถือเป็นจังหวัดยอดนิยมของนักท่องเที่ยวต่างชาติทั่วโลก จากผลสำรวจ พบว่า เป็นเมืองยอดนิยมติดอันดับที่ 14  จาก 200 เมืองยอดนิยมทั่วโลก จากผลสำรวจของ Mastercard Global Destination Cities Index 2019  โดยนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเยือนภูเก็ตมากที่สุด 3 อันดับ คือ จีน รัสเซีย และเยอรมัน จังหวัดภูเก็ตจึงกลายเป็นเมืองเศรษฐกิจสำคัญอันดับต้นๆ ของไทย มีดีเวลลอปเปอร์เข้าไปพัฒนาโครงการจำนวนมากมาย ล่าสุด กลุ่มเซ็นทรัลได้ทุ่มงบกว่า 1,500 ล้านบาท  พัฒนาไลฟ์สไตล์ ช้อปปิ้ง มอลล์ (Lifestyle Shopping Mall) ภายใต้โครงการ “ปอร์โต เดอ ภูเก็ต" (Porto de Phuket) บนพื้นที่โครงการกว่า 40,000 ตารางเมตร ภายใต้คอนเซปต์ “ที่สุดแห่งประสบการณ์การใช้ชีวิต” (The Finest Living Experience)   สำหรับไฮไลต์ของ ปอร์โต เดอ ภูเก็ต มี 6 โซนสำคัญ ได้แก่    1.เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ (Central Food Hall) ในรูปแบบ Stand Alone ด้านนอกศูนย์การค้าแห่งแรกของเซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ สุดยอดฟู้ดสโตร์ที่ดีที่สุดในเอเชีย กับหลากหลายโซนที่พร้อมให้บริการ ทั้งอาหาร เบเกอรี่ และ Cheese Room ที่แรกในจังหวัดภูเก็ต 2.เดอะ เฟม (The Fame – Restaurant and Café Zone) รวบรวมร้านอาหารและคาเฟ่ชื่อดังเอาใจเหล่าฮิปสเตอร์และสายชิล ทั้งร้านสวย (SUAY) อาหารฟิวชั่น ไทย-ตะวันตก โดยเชฟกระทะเหล็ก การันดีด้วยรางวัลมิชลิน ไกด์, ร้านตู้กับข้าว อาหารใต้ชื่อดังของจังหวัดภูเก็ต, จำปา ร้านอาหารออแกนิก ที่แตกไลน์มาจาก PRU ร้านอาหารระดับมิชลินสตาร์ 1 ดาวแห่งเดียวในจังหวัดภูเก็ต   3.มัลติดีไซน์ เฮ้าส์ (Multi Design House) แหล่งรวบรวมสินค้าเพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ที่มีตั้งแต่ของแต่งบ้านจาก Indoor  ถึง Outdoor อาทิ ของแต่งบ้านสุดวินเทจ จากแบรนด์ Soul of Asia และร่วมชมผลงานศิลปะเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร จากศิลปินท้องถิ่นชื่อดัง คุณสุนทร พาพาน แห่ง  Napas Art Gallery, บีทูเอส (B2S) ภายใต้คอนเซ็ปต์ Think Space และ  ซูเปอร์สปอร์ต (Supersports) ฟอร์แมตพิเศษที่มีการทดลองวิ่งกับ Run Lab ที่ท่านสามารถทดลองรองเท้าวิ่งที่เหมาะกับคุณได้ทันที   4.เฮลตี้  เฮเว่น (Healthy Heaven)   ผ่อนคลายกับการนวดและสปาจากธรรมชาติบำบัดที่สปาชั้นนำ เช่น Let’s Relax ที่มีสปาแกลเลอรี่แห่งแรกของโลกและในจังหวัดภูเก็ต, นอกจากนี้ยังมีโซนเสริมความงาน จากร้านชื่อดังของภูเก็ต อาทิ Devadiva   5.เพท เฟรนด์ลี่โซน (Pet Friendly Zone) พื้นที่สำหรับสัตว์เลี้ยงให้ได้วิ่งเล่น พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวก จาก Phuket International Pet Care (PIPC) ทั้งคลินิกรักษาสัตว์, เพ็ทช็อป, กรูมมิ่ง และจุดรับ-ส่งน้องหมาน้องแมว   6.คิด เลิร์นนิ่ง สเปซ (Kid Learning Space) แหล่งพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กๆ ที่จะสนุกสนานกับเครื่องเล่นเสริมสร้างทักษะ   นายพงศ์ ศกุนตนาค กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายพัฒนาธุรกิจ กลุ่มเซ็นทรัล เปิดเผยว่า  โครงการปอร์โต เดอ ภูเก็ต เป็นศูนย์การค้าที่ฉีกกฏของไลฟ์สไตล์ ช้อปปิ้ง มอลล์  ที่ผสมผสานดีไซน์ ไลฟ์สไตล์และพื้นที่ธรรมชาติอย่างลงตัว  ด้วยพื้นที่สีเขียวคิดเป็น 2 ใน 3 ส่วนของโครงการ ตกแต่งด้วยสไตล์ “คอนเทมโพรารี่ แวร์เฮ้าส์” (Contemporary Warehouse) โดยมีจุดประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ผู้ใช้บริการได้ใกล้ชิดกับธรรมชาติมากที่สุด ด้วยการรักษาต้นไม้ในพื้นที่เดิมให้มากที่สุด ตอบสนองทุกรูปแบบการใช้ชีวิตของคนทุกช่วงวัย   “ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย เป็นกลุ่มคนในพื้นที่ที่มีกำลังซื้อสูง และชาวต่างชาติที่ได้รับอนุญาตทำงานในภูเก็ต ที่พักอาศัยบริเวณนี้ รวม 65 % และกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ 35% โดยคาดว่าจะมีผู้ใช้บริการศูนย์ 10,000-13,000 คนต่อวัน ในช่วงไฮซีซั่นนี้ และอย่างน้อย 3 ล้านคนต่อปี”   นอกเหนือจาก 6 ไฮไลท์สำคัญที่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว  ในช่วงต้นปี 2563 จะเปิดอีกหนึ่งโซนไฮไลท์ คือ  เดอะ เมอร์คาโด้ (The Mercado) ฟู้ดเดสติเนชั่น ที่จำลองบรรยากาศเหมืองแร่โบราณผสมผสานกับสถาปัตยกรรมสไตล์ ซิโน-โปรตุกิส (Sino-Portuguese)  และยังจะพัฒนาโครงการในเฟส 2 ช่วงปลายปี 2563 ที่จะเพิ่มการให้บริการต่างๆ  อาทิ อาทิ โรงภาพยนตร์ , ฟิตเนส, Indoor Playground, Edutainment รวมถึง Art Home and Decorative      
แมกโนเลียฯ เพิ่มงบ “เดอะ ฟอเรสเทียส์” ทะลุ 125,000 ล้านบาท มิกซ์ยูสใหญ่สุดในไทย

แมกโนเลียฯ เพิ่มงบ “เดอะ ฟอเรสเทียส์” ทะลุ 125,000 ล้านบาท มิกซ์ยูสใหญ่สุดในไทย

แมกโนเลียฯ เพิ่มงบลงทุน “เดอะ ฟอรสเทียส์” ทะลุ  125,000 ล้าน สร้างโปรเจ็กต์มิกซ์ยูสใหญ่สุดในเมืองไทย พร้อมผืนป่าขนาด 30 ไร่ มูลค่า 1,000 ล้าน หวังสร้างโครงการต้นแบบแห่งใหม่ในการพัฒนาเมือง     โปรเจ็กต์มิกซ์ยูสใหญ่สุดในไทย  นางทิพพาภรณ์ อริยวรารมย์ ประธานกรรมการ บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) เปิดเผยว่า  ได้ประกาศเพิ่มเงินลงทุนโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์  บนที่ดินขนาด 300 ไร่ บนถนนบางนา-ตราด กม. 7 ในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก จากมูลค่าโครงการ 90,000 ล้านบาท เป็นมูลค่า 125,000 ล้านบาท ซึ่งการเพิ่มงบประมาณลงทุนครั้งนี้ ทำให้ โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ กลายเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทย และขนาดพื้นที่โครงการได้เพิ่มขึ้นอีก 98 ไร่ เป็นพื้นที่โครงการ 398 ไร่   โดยหนึ่งในองค์ประกอบที่มีความพิเศษโดดเด่นของ โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ คือ ป่าขนาดใหญ่ พื้นที่ 30 ไร่ ที่เริ่มปลูกมาตั้งแต่เป็นเมล็ดและต้นกล้า ตั้งอยู่บริเวณใจกลางของโครงการ สร้างความหลากหลายและความอุดมสมบูรณ์ให้แก่ระบบนิเวศน์ ซึ่งจะพัฒนาเติบโตและมีวิวัฒนาการความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติต่อไปอีกเรื่อยๆ     “เป็นครั้งแรกในโลก สำหรับโครงการที่มีผืนป่าขนาดใหญ่ รวมเป็นส่วนหนึ่งของโครงการเมือง และอีกหนึ่งองค์ประกอบสำคัญ คือพื้นที่สำหรับการอยู่อาศัยซึ่งถูกออกแบบขึ้นมาโดยเฉพาะ เพื่อให้ผู้สูงวัยสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยและสะดวกสบาย”   โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ประกอบด้วยโครงการที่พักอาศัยหลากหลายรูปแบบ ทั้งบ้านและคอนโดมิเนียม ซึ่งมุ่งตอบสนองความหลากหลายของไลฟ์สไตล์และขนาดของครอบครัวที่แตกต่างกัน อีกทั้งยังมีพื้นที่เชิงธุรกิจสำหรับสำนักงาน สปอร์ตคอมเพล็กซ์ กิจกรรมไลฟ์สไตล์ต่างๆ ร้านค้าปลีก ร้านอาหารและเครื่องดื่ม รวมถึง พื้นที่สำหรับกิจกรรมการเรียนรู้ที่สนุกและสร้างสรรค์ของครอบครัว ใน Family Life Center   นอกจากนั้น เดอะ ฟอเรสเทียส์ ยังมีพื้นที่ Town Center สำหรับจัดกิจกรรมชุมชนและกิจกรรมทางวัฒนธรรมต่างๆ โรงละคร อีเว้นต์ฮอลล์ ตลาด รวมถึงทางเดินยกระดับความยาวกว่า 1.6 กิโลเมตร ซึ่งรวมทางเดินที่เชื่อมโยงไปยังพื้นที่ต่างๆ และองค์ประกอบหลายๆ ส่วนในโครงการ และทางเดินที่ทอดตัวอยู่เหนือผืนป่าซึ่งอยู่บริเวณใจกลางโครงการ มอบเป็นเส้นทางเดินเท้าท่ามกลางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์   ภายในโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ยังมีโรงแรมระดับ 5 ดาว และศูนย์การแพทย์และสุขภาพขนาดใหญ่ที่ครบครันไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและเครื่องมือที่ทันสมัยที่สุด และบุคลากรผู้เชี่ยวชาญที่ประสบความสำเร็จและมีชื่อเสียงที่สุดในประเทศไทยจำนวนหนึ่ง โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ อยู่ในระหว่างการออกแบบและก่อสร้าง  โดยผู้เชี่ยวชาญซึ่งได้รับการยอมรับ และยกย่องมากที่สุดกลุ่มหนึ่งของโลก รวมทั้งสถาบันต่างๆ ที่เป็นสถาบันชั้นนำระดับโลก เพื่อให้มั่นใจว่าทุกองค์ประกอบของโครงการ จะส่งเสริมการมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น   "การออกแบบโครงการได้รับการยอมรับจากอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ใน T.H. Chan School of Public Health ว่าเป็นโครงการที่มีวิสัยทัศน์ดีเยี่ยม” นางทิพพาภรณ์ กล่าว   ทุ่มงบ 1,000 ล้านผุดผืนป่า 30 ไร่ ด้านนายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์  กล่าวว่า ได้ใช้งบประมาณมากกว่า 1,000 ล้านบาท ในการพัฒนาผืนป่าขนาดใหญ่ ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของ โคงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ โดยผืนป่าแห่งนี้ประกอบด้วยพื้นที่ “ป่าลึก”  ซึ่งเป็นป่าลึกที่อุดมสมบูรณ์ของจริง รวมทั้งพื้นที่ป่าที่มนุษย์สามารถเข้าถึงได้อย่างง่ายดายจากทางเดินเท้า และมีพื้นที่สีเขียวเปิดโล่งที่ให้ผู้คนสามารถเข้าไปใช้ชีวิต โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ยังให้ความสำคัญกับการสัญจรไปมาด้วยการเดินเท้า ทั้งเพื่อความสะดวกสบายและเพื่อความสุขสดชื่นจากการได้อยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ตลอดจนเพื่อการมีสุขภาพที่ดีจากการเดินออกกำลังกายเป็นประจำ ซึ่งทางเท้าและถนนได้ถูกวางผังจัดเส้นทางไว้อย่างดี ปกคลุมด้วยแนวกั้นและร่มเงาของพืชพรรณตามธรรมชาติที่ออกแบบอย่างละเอียดรอบคอบ   เดอะ ฟอเรสเทียส์ มีระบบการป้องกันน้ำท่วมโดยเฉพาะ ประกอบด้วยพื้นที่กักเก็บน้ำทิ้งขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถรองรับน้ำได้มากกว่า 10 ล้านลิตร และสามารถป้องกันไม่ให้โครงการเกิดน้ำท่วมแม้ต้องเผชิญกับพายุฝนครั้งใหญ่ก็ตาม   “ในโครงการสามารถช่วยกันลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์  ได้เป็นปริมาณมหาศาล ซึ่งเทียบเท่ากับปริมาณที่พื้นที่ปลูกต้นไม้ขนาด 30,000 ไร่ จะดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้” นายกิตติพันธุ์ กล่าว   โครงสร้าง เดอะ ฟอเรสเทียส์ เสร็จแล้ว 90% ขณะที่นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร MQDC กล่าวว่า  โครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ เป็นการดำเนินโครงการตามปรัชญาของ MQDC ที่มุ่งเป็นองค์กรซึ่งไม่เพียงสร้างสรรค์โครงการที่ยิ่งใหญ่ แต่เป็นองค์กรที่ส่งเสริมความรับผิดชอบต่อสังคมและให้ความสำคัญต่อคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นของทุกคน ผ่านการทำจริงให้เห็นเป็นแบบอย่าง “ประเทศไทยมีศักยภาพที่จะเป็นผู้นำระดับโลกได้ด้วยแนวคิดอันก้าวล้ำนำสมัยในด้านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยและของชุมชนที่อยู่โดยรอบ พร้อมกับส่งเสริมในเรื่องนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน” นายวิสิษฐ์ กล่าว   โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ตั้งอยู่ในพื้นที่ยุทธศาสตร์ของระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเป็นระเบียงเศรษฐกิจที่เติบโตรวดเร็วที่สุดของประเทศไทย สามารถเข้าถึงทางด่วนและการคมนาคมขนส่งมวลชนที่สำคัญได้โดยง่าย ซึ่งการก่อสร้างเส้นทางถนนในโครงการ และการตอกเสาเข็มสำหรับโครงสร้างพื้นฐานของโครงการ ปัจจุบันเสร็จสมบูรณ์แล้ว 90%   สำหรับองค์ประกอบส่วนหนึ่งในโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ได้แก่ คอนโดมิเนียมแบรนด์  วิสซ์ดอม คอนโดมิเนียมแบรนด์ มัลเบอร์รี่ โกรฟ ที่อยู่อาศัยแบรนด์ มัลเบอร์รี โกรฟ วิลล่า  ที่อยู่อาศัยแบรนด์ ดิ แอสเพน ทรี  ที่อยู่อาศัยแบรนด์ ซิกซ์เซนส์  โรงแรมแบรนด์  ซิกซ์เซนส์  และองค์ประกอบอื่นๆ  
รับสร้างบ้านปี 63 ยังทรงตัว 5G จะเข้ามาเปลี่ยนโฉมธุรกิจ

รับสร้างบ้านปี 63 ยังทรงตัว 5G จะเข้ามาเปลี่ยนโฉมธุรกิจ

ภาวะเศรษฐกิจไทยในไตรมาสสุดท้าย อาจฟื้นตัวไม่ได้ดังที่คาดหวัง จากภาวะการส่งออก ท่องเที่ยว การลงทุนภาครัฐและเอกชน ตลอดจนราคาสินค้าเกษตรไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ และน่าจะมีตัวเลขปรับตัวลดลงอย่างน่าเป็นห่วง   ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจสร้างบ้าน ก็มีสถานการณ์ไม่แตกต่างกันมากนัก เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาตรการ LTV มาลดระดับความร้อนแรงของตลาดและกำลังซื้อเทียมเอาไว้ ส่งผลให้ภาพรวมตลาดอสังหาฯ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียม มีตัวเลขการขยายตัวปรับตัวลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน   สำหรับธุรกิจรับสร้างบ้านได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV ไม่มากนัก แต่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งตัวมากกว่า โดยกลุ่มลูกค้าที่อาศัยหรือทำงานอยู่ในต่างประเทศ ซึ่งส่งเงินเข้ามาชำระค่าก่อสร้างตามสัญญาในแต่ละงวด กลับต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นกว่าเดิม หลาย ๆ รายถึงกับขอหยุดการสร้างบ้านเอาไว้ก่อน อันเป็นผลมาจากอัตราแลกเปลี่ยนของเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง โดยภาพรวมตลาดบ้านสร้างในปี 2562 มีการขยายตัวเป็นไปในทิศทางเดียวกับภาวะเศรษฐกิจประเทศ  ซึ่งต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้  แต่กำลังซื้อและความต้องการของผู้บริโภคในธุรกิจรับสร้างบ้านยังขยายตัวเป็นที่น่าพอใจ แม้ว่าตัวเลขการเติบโตในแต่ละไตรมาสจะสวิงไปมาก็ตาม   สำหรับความต้องการของผู้บริโภคในปีนี้ ต้องการสร้างบ้านในกลุ่มระดับราคา 3 ล้านบาทขึ้นไป-5 ล้านบาท มากที่สุด รองลงมาเป็นกลุ่มระดับราคา 5-10 ล้านบาท และกลุ่มระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป โดยผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังคงใช้เงินออม หรือเงินสดชำระค่าก่อสร้างบ้านในสัดส่วน 65% และใช้บริการสินเชื่อธนาคารในสัดส่วน 35% ตลาดรับสร้างบ้านปี 62 ยอดพุ่ง 1.2 แสนล้าน   สมาคมไทยรับสร้างบ้าน (Thai Home Builders Association: THBA) ประเมินมูลค่าตลาดบ้านสร้างเองทั่วประเทศปี 2562 น่าจะมีมูลค่ารวมประมาณ 1.1-1.2 แสนล้านบาท กลุ่มผู้ประกอบการรับสร้างบ้านคาดว่ามีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 16,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 13% ของมูลค่าตลาดรวมบ้านสร้างเองทั่วประเทศ โดยผลการสำรวจและสอบถามความเห็นจากผู้ประกอบการ  กลุ่มตัวอย่างที่แข่งขันอยู่ในธุรกิจนี้ ทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งในต่างจังหวัดพบว่า กำลังซื้อผู้บริโภคในช่วงครึ่งปีหลัง เติบโตแบบชะลอตัว เมื่อเปรียบเทียบกับ 6 เดือนแรก   ขณะเดียวกันก็พบว่า ผู้บริโภคในต่างจังหวัดมีความต้องการสร้างบ้านระดับราคา 1-2 ล้านบาทมากเป็นอันดับ 1 จึงทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เน้นทำการตลาดกับผู้บริโภคกลุ่มนี้มากขึ้น หากเปรียบเทียบกับช่วงครึ่งปีแรกที่ต่างเน้นกลุ่มตลาดบ้านระดับราคา 3 ล้านบาทขึ้นไปมากกว่า     ในส่วนของตลาดรับสร้างบ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งมีบิ๊กเนมรับสร้างบ้านหลายรายเป็นผู้เล่นหลัก  มุ่งจับตลาดกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการสร้างบ้านในระดับราคา 3-10 ล้านบาท และระดับราคา 10-20 ล้านบาทเป็นสำคัญ   อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตว่า ตลาดรับสร้างบ้านในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลปี 2562 แทบไม่มีผู้ประกอบการรายใหม่ ๆ เข้ามาแข่งขันในธุรกิจนี้ ในมุมตรงกันข้ามกลับพบว่าผู้ประกอบการรายเดิมๆ มีการเลิกกิจการ หรือถอนตัวออกไปจากธุรกิจรับสร้างบ้าน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงขีดความสามารถและการปรับตัว ที่ไม่อาจก้าวทันพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป และรับมือกับทิศทางการแข่งขันของธุรกิจรับสร้างบ้านในยุคโซเชียลมีเดีย ที่ผู้บริโภคไม่เชื่อแค่คำเชื่อโฆษณาอีกต่อไป ผู้บริโภคเลือกสร้างบ้านจาก “ราคา” เป็นหลัก เมื่อ 10 กว่าปีก่อน เคยมีผู้กล่าวไว้ว่าธุรกิจรับสร้างบ้าน “เกิดง่าย โตยาก ตายช้า” นั่นก็เพราะว่าธุรกิจนี้ถือเป็นธุรกิจบริการ และเกี่ยวข้องกับนักวิชาชีพโดยตรง การจะทำให้ธุรกิจเติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืนได้นั้น เจ้าของธุรกิจหรือผู้ประกอบการจำเป็นจะต้องมีองค์ความรู้ ทั้งศาสตร์และศิลปะในการบริหารจัดการอย่างรอบด้าน คล้ายๆ กับธุรกิจขนาดใหญ่ อันได้แก่ องค์ความรู้ด้านการตลาด การขาย การเงิน การจัดซื้อจัดจ้าง การบริหารทรัพยากรมนุษย์ การจัดการและความเชี่ยวชาญในงานก่อสร้าง รวมถึงองค์ความรู้ด้านงานสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับพบว่า ผู้ประกอบการที่แข่งขันอยู่ในธุรกิจนี้ ส่วนใหญ่จัดอยู่ในกลุ่มรายเล็กและรายย่อยหรือ SMEs เท่านั้น ซึ่งยังขาดองค์ความรู้ที่จำเป็นและขีดความสามารถไม่เพียงพอ จึงกลายเป็นข้อจำกัดและทำให้เติบโตได้ยากดังที่กล่าวไว้ข้างต้น   อย่างไรก็ตาม มุมมองของผู้บริโภคทั่วไป ที่มีต่อผู้ประกอบการรับสร้างบ้านในปัจจุบัน ยังมีความสับสนและไม่เข้าใจว่าระหว่างการเลือกว่าผู้ประกอบการ “รับสร้างบ้านมืออาชีพหรือที่มีมาตรฐาน” กับ “รับสร้างบ้านทั่วไป” นั้นมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง ทั้งนี้ทั้งนั้นการที่ผู้บริโภคจะเลือกใช้บริการกับผู้ประกอบการรับสร้างบ้านรายใดนั้น เหตุผลหลักๆ ที่สำคัญก็คือ ความไว้วางใจองค์กร ความเชี่ยวชาญของทีมงาน ดีไซน์หรือแบบบ้านที่ตรงใจ คุณภาพผลงาน บริการก่อนและหลังการขาย และราคาสมเหตุสมผล แต่กลุ่มผู้ประกอบการรับสร้างบ้านมืออาชีพที่แข่งขันอยู่ในธุรกิจนี้ กลับไม่สามารถนำเสนอความแตกต่างได้อย่างเป็นรูปธรรม จะมีก็เพียงแค่ “ราคา” ที่แตกต่างกัน ทำให้ผู้บริโภคแยกแยะไม่ออกและจบลงด้วยการตัดสินใจที่ราคาเป็นปัจจัยสำคัญ ก่อนหน้านี้ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญของผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน ในการสร้างการรับรู้และความน่าเชื่อถือของแบรนด์สินค้าและองค์กร แต่ในปัจจุบันเทคโนโลยีการสื่อสารและการเข้าถึงข้อมูลของผู้บริโภคสามารถทำได้ง่ายขึ้น ผู้บริโภคในยุคนี้จึงไม่ค่อยเชื่อโฆษณามากนัก แต่หันมาให้ความสำคัญกับการค้นหาข้อมูล จากประสบการณ์ของผู้ที่เคยใช้บริการทางอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียแทน การโฆษณาจึงถูกลดบทบาทลงอย่างเห็นได้ชัดเจน พฤติกรรมของผู้บริโภคดังกล่าว จึงเป็นความท้าทายอย่างมาก สำหรับผู้ประกอบการที่จะต้องปรับตัวและระวังตัวมากขึ้น โดยเฉพาะบนโลกโซเชียลมีเดียที่อาจทำลายความน่าเชื่อถือได้แบบไฟลามทุ่งอย่างรวดเร็ว ตลาดรับสร้างบ้านปีชวด ยังทรงตัว สำหรับ มูลค่าตลาดรับสร้างบ้านปี 2563 สมาคมฯ คาดว่ามีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยหรือแค่ทรงตัว เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2562 โดยประเมินจากทิศทางเศรษฐกิจประเทศ ที่น่าจะปรับตัวดีขึ้นกว่าปีก่อน ปัจจัยหลักๆ มาจากเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 4 ขา ที่จะเริ่มตั้งหลักได้และส่งผลดี อันได้แก่ การลงทุนภาครัฐ การลงทุนภาคเอกชน ซึ่งในปี 62 สถานการณ์ทางการเมืองไม่เอื้ออำนวยเพราะรัฐบาลมีเสียงปริ่มน้ำในสภา การลงทุนและการเบิกจ่ายงบประมาณหลายๆ โครงการต้องสะดุดและล่าช้าออกไป   ในส่วนของการลงทุนภาคเอกชนปี 63 นั้น โครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอจากภาครัฐ เชื่อว่าจะเริ่มมีการผลิตและการจ้างงาน ซึ่งก็จะส่งผลต่อเนื่องไปยังภาคการส่งออก แม้ว่าโอกาสที่จะขยายตัวอาจเป็นเรื่องที่ยากลำบาก จากภาวะเศรษฐกิจโลกและสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีนที่ยังไม่สามารถเจรจาหาข้อยุติกันได้ สุดท้ายภาคการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากค่าเงินบาทที่แข็งตัว ซึ่งมีผลทำให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาประเทศไทยลดลงพอสมควร อย่างไรก็ตาม สถานการณ์และภาวะเศรษฐกิจมีโอกาสที่จะพลิกผันและมีความไม่แน่นอนสูง ผู้ประกอบการจึงไม่ควรประมาทเป็นอย่างยิ่ง เทคโนโลยี 5G เพิ่มประสิทธิภาพรับสร้างบ้าน ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีสื่อสารในปี 2563 เป็นต้นไป จะมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม  อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงหรือสัญญาณ 5G จะสร้างปรากฎการใหม่หลายด้าน รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงในหลายภาคธุรกิจที่มีทั้งแบบก้าวกระโดดและดิสรัปชั่น โดยเฉพาะภาคธุรกิจการเงินการธนาคาร ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือและอินเทอร์เน็ต ธุรกิจบันเทิง ฯลฯ   สำหรับธุรกิจรับสร้างบ้านอาจจะยังไม่เห็นผลทางตรง แต่ก็เชื่อว่าจะมีผลทางอ้อมพอสมควร ในแง่ของวิชาชีพสถาปัตยกรรมและวิศวกรรมที่เป็นหัวใจของธุรกิจ ซึ่งผู้ประกอบการจำเป็นต้องปรับตัวตามให้ทัน เช่น การใช้เครื่องมือสื่อสารเพื่อนำเสนอผู้บริโภค ได้อย่างสอดคล้องกับเทคโนโลยีสื่อสารในยุค 5G ที่สามารถจะส่งสัญญาณภาพเคลื่อนไหวในรูปแบบของวิดีโอได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งจะช่วยสร้างความสนใจให้กับกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการจะสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น กลยุทธ์ทางการตลาดอาจแตกต่างไปจากรูปแบบเดิมๆ เพื่อจะสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ดีที่สุด นอกจากนี้ปัญหาแรงงานขาดแคลน นับวันจะสะสมและทวีความรุนแรงมากขึ้นๆ การปฎิเสธหรือโจมตีระบบการก่อสร้างกึ่งสำเร็จรูปหรือสำเร็จรูป เพื่อนำมาใช้ในการก่อสร้างบ้านนั้น ดูจะเป็นการถ่มน้ำลายขึ้นฟ้าหรือเป็นคำตอบที่จะฆ่าตัวเองในอนาคต เพราะสุดท้ายเชื่อว่าเกือบทุกรายไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เหมือนเช่นก่อนหน้านี้ที่เคยปฏิเสธและโจมตี  อิฐมวลเบา พื้นไม้ลามิเนต ไม้เทียม และโครงหลังคาเหล็กกันสนิมกึ่งสำเร็จรูปกันมาแล้ว ทั้งนี้การกล้าเรียนรู้และเปิดใจรับเทคโนโลยีก่อสร้างใหม่ๆ ก่อนผู้อื่น อาจจะมีความเสี่ยงก็ตาม แต่ในมุมกลับกันหากประสบความสำเร็จก่อนใครก็จะขึ้นชื่อว่าเป็น “ผู้นำ” และถือเป็นการปรับตัวเอง ก่อนที่จะถูกบังคับให้ต้องเปลี่ยนแปลงตามเทรนด์ผู้บริโภค   สำหรับเทรนด์วัสดุก่อสร้างในปี 63 เชื่อว่ากลุ่มผู้ประกอบการรับสร้างบ้านชั้นนำ จะมีการพัฒนาและนำวัสดุหรือเทคนิคการก่อสร้างใหม่ๆ มาใช้ในการสร้างบ้านให้มีคุณภาพสูงขึ้น ซึ่งอาจมีทั้งลักษณะจับมือร่วมกันหรือว่าจ้างผลิต  ซึ่งถือเป็นการปรับตัวของผู้ประกอบการที่มีศักยภาพและมีความเป็นมืออาชีพ ทั้งนี้เพื่อยกระดับมาตรฐานและคุณภาพบ้านให้เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค แน่นอนว่าการแข่งขันในเชิงคุณภาพผู้บริโภคย่อมจะได้รับประโยชน์โดยตรง เพียงแต่ว่าอาจต้องจ่ายในราคาที่สูงขึ้นหรือไม่ เรื่องนี้คงจะต้องติดตามกัน ข้อมูลเพิ่มเติมที่ สมาคมไทยรับสร้างบ้าน  
“แสนสิริ” ปิดโอน 100% “เดอะ เบส การ์เดน-พระราม 9” เดินหน้าสู่ยอดโอนรวมตามเป้า 32,000 ลบ.

“แสนสิริ” ปิดโอน 100% “เดอะ เบส การ์เดน-พระราม 9” เดินหน้าสู่ยอดโอนรวมตามเป้า 32,000 ลบ.

“แสนสิริ” ปิดการโอน 100% โครงการ “เดอะ เบส การ์เดน-พระราม 9” คอนโดฯ ร่วมทุน บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ รวมมูลค่า 2,280 ลบ. จำนวน 639 ยูนิต พร้อมเดินหน้าทยอยโอนอีก 2 โครงการ ภายในปีนี้ ได้แก่ “เดอะ เบส สุขุมวิท 50” “เดอะ เบส เพชรเกษม” และ “เดอะ เบส เพชรบุรี-ทองหล่อ” ซึ่งสร้างยอดพรีเซลล์สูงถึง 60% ภายใน 2 เดือนหลังจากเปิดขาย   นายปิติ จารุกำจร รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและบริหารกลยุทธ์โครงการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เผยว่า ภาพรวมตลาดคอนโดฯ ในโซนพระราม 9 มีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้น ซึ่งอัตราเฉลี่ยของตลาดคอนโดมิเนียมทำเลนี้อยู่ที่ 110,000 บาทต่อตารางเมตร เนื่องจากเป็นแหล่งสำนักงานออฟฟิศในย่านศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่ (New CBD) จึงทำให้มีแนวโน้มด้านความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น มีสัดส่วนอุปสงค์คอนโดแนวสูงที่ 78% และอุปทานตลาดราว 22% ซึ่งปัจจุบันโครงการเดอะ เบส การ์เดน-พระราม 9 สามารถปิดการโอนได้ 100% แล้ว โดยมีสัดส่วนลูกค้าไทย 62% และต่างชาติ 38% ได้แก่ จีน อังกฤษ แคนาดา มาเลเซีย และสิงคโปร์ ทั้งนี้เดอะ เบส การ์เดน-พระราม 9 มีอัตราการปล่อยเช่าสูงสุดถึง 6% สำหรับแบรนด์ THE BASE เป็นแบรนด์คอนโดมิเนียมที่พัฒนาขึ้นในแนวคิด “You are where you live” ที่มุ่งเน้นตอบสนองชีวิตคนรุ่นใหม่ ทันสมัย มีความเป็นตัวเอง สะท้อนไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัยในแต่ละทำเล ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากทั่วประเทศ จำนวนทั้งสิ้น 16 โครงการ มูลค่ารวม 29,742 ล้านบาท จำนวนรวม 11,165 ยูนิต เดอะ เบส การ์เดน-พระราม 9 (THE BASE Garden-Rama IX) คอนโดมิเนียมสร้างเสร็จพร้อมโอน มูลค่าโครงการ 2,280 ล้านบาท ตั้งอยู่บนถนนเส้นหลักพระราม 9 บนเนื้อที่ 3 ไร่ สูง 36 ชั้น จำนวน 639 ยูนิต โดยพัฒนาขึ้นในคอนเซ็ปต์หลัก “Garden of Creation” ชูจุดเด่นด้วยพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่รวมกันกว่า 3 ไร่ ตั้งอยู่บนโลเคชั่น พระราม 9 ใกล้โซนสำนักงานออฟฟิศซึ่งเป็นย่าน CBD สามารถเดินทางเข้าและออกในและนอกเมืองได้สะดวกสบาย เดอะ เบส เพชรเกษม พร้อมส่งมอบห้องและโอนแก่ลูกค้าแล้ว มูลค่าโครงการ 1,850 ล้านบาท สูง 30 ชั้น จำนวน 640 ยูนิต ใกล้ MRT สถานีเพชรเกษม 48 เพียง 120 เมตร เริ่มต้นที่ 2.79 ล้านบาท ภายใต้คอนเซปต์ “เพื่อทุกโหมดของการใช้ชีวิต” พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันตั้งแต่ Co-working Space, Private Theater, Sky Fitness และ Educational Playground พบกับโปรโมชั่นพิเศษจากโครงการ จองเริ่มเพียง 5,000 บาท ลดสูงสุด 300,000 บาท ฟรี! เครื่องใช้ไฟฟ้ามูลค่ากว่า 40,000 บาท เดอะ เบส สุขุมวิท 50 พร้อมส่งมอบห้องและโอนแก่ลูกค้าแล้ว มูลค่าโครงการ 1,550 ล้านบาท 8 ชั้น จำนวน 415 ยูนิต บนถนนสุขุมวิทใกล้ BTS อ่อนนุช เริ่มต้น 2.49 ล้านบาท โดดเด่นด้วยคอนเซ็ปต์ “Camouflage” ให้ความเป็นส่วนตัวสูงกับคอนโดสไตล์โลว์ไลส์ 2 อาคาร พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกตอบรับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่แตกต่างกัน พบกับโปรโมชั่นพิเศษจากโครงการ เดอะ เบส สุขุมวิท 50 ฟรี! ค่าใช้จ่ายวันโอนลดสูงสุด 100,000 บาท เดอะ เบส เพชรบุรี ทองหล่อ โครงการล่าสุดจากแสนสิริ เป็นอาคารที่พักอาศัย 36 ชั้น 496 ยูนิตบนพื้นที่ประมาณ 2 ไร่  400 เมตร จากทองหล่อ เริ่มต้นเพียง 3.29 ล้านบาท ชูแนวคิด “ค้นพบพื้นที่ที่ใช่ บนทำเลใจกลางเมือง (Yours to Discover)” พร้อมมอบความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนยูนิตในแต่ละชั้นไม่เกิน 17 ยูนิต พบกับโปรโมชั่นพิเศษจากโครงการ เดอะ เบส เพชรบุรี ทองหล่อ ลดสูงสุด 100,000 บาท*   “นอกจากนี้ยังเตรียมทยอยส่งมอบห้องโครงการเดอะเบส เพชรเกษม กับเดอะ เบส สุขุมวิท 50 รวมถึงสร้างยอดขายจากโครงการเดอะ เบส เพชรบุรี ทองหล่อ เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ และส่งผลให้ดันยอดโอนรวมสิ้นปี 2562 เป็นไปตามเป้าที่ 32,000 ล้านบาท” นายปิติ กล่าวสรุป  ข้อมูลโครงการเพิ่มเติม เดอะ เบส การ์เดน-พระราม 9  เดอะเบส เพชรเกษม เดอะ เบส สุขุมวิท 50 เดอะ เบส เพชรบุรี ทองหล่อ
หนาวแล้วได้เวลาตรวจเช็คบ้าน 5 จุดสำคัญ

หนาวแล้วได้เวลาตรวจเช็คบ้าน 5 จุดสำคัญ

ตอนนี้ คนไทยได้สัมผัสอากาศหนาวกันทั่วหน้า ไม่เว้นแต่กรุงเทพฯ โดยเฉพาะในช่วงเช้าๆ ได้สัมผัสกับบรรยากาศของฤดูหนาว แต่ก็ไม่รู้ว่าบรรยากาศแบบนี้จะอยู่คู่คนกรุงเทพฯ ได้นานกี่วัน ได้แต่ลุ้นให้อากาศหนาวไปนานๆ เพื่อให้สมกับได้ขึ้นชื่อว่าเป็นฤดูหนาวกับเขาบ้าง   จะว่าไปข้อดีของฤดูหนาวนอกจากทำให้เราได้สัมผัสกับอากาศเย็นสบายๆ แล้ว ในช่วงเวลานี้ถือว่าเป็นช่วงที่เหมาะกับการตรวจสอบ และปรับปรุงซ่อมแซมบ้านที่ชำรุด หรือจะต่อเติมบ้านมากที่สุด โดยเฉพาะการทาสีบ้านใหม่เพราะความชื้นในอากาศน้อยกว่าช่วงอื่นๆ ทำให้สีแห้งเร็ว   ไม่เพียงแต่เรื่องของการซ่อมแซม หรือต่อเติมบ้านแล้ว สิ่งสำคัญที่เจ้าของบ้านควรทำ คือ การตรวจสอบรายละเอียดเล็กๆ แต่สำคัญ เช่น การตรวจสอบมิเตอร์ไฟ ว่ามีกระแสไฟรั่วหรือไม่ ตรวจสอบท่อประปาว่ามีท่อรั่วต้องรีบซ่อมแซมหรือไม่ ยิ่งเป็นช่วงส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ก็เป็นจังหวะที่เหมาะเพื่อเอาฤกษ์งามยามดี กับการเริ่มต้นอะไรใหม่ๆ แต่ถ้าหากจัดการเองไม่ได้ ควรหาช่างหรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเร่งดำเนินการให้การอยู่อาศัยเป็นได้อย่างราบรื่น เป็นการต้อนรับกับศักราชใหม่ที่กำลังจะมาถึง   วันนี้ ทางยิปซัมตราช้าง มาแนะนำวิธีการตรวจเช็คบ้าน ในช่วงฤดูหนาว ว่าควรจะตรวจสอบอะไรตรงไหนบ้าง ซึ่งจุดสำคัญที่เจ้าของบ้านควรตรวจสอบเบื้องต้นนั้น ก็มีอยู่ด้วยกัน 5 จุดสำคัญ  ดังนี้ 1.เช็คหลังคา แก้ปัญหารั่วซึม บ้านใครที่มีปัญหาเรื่องน้ำรั่ว น้ำซึม ในช่วงฤดูฝนที่ผ่านมา หน้าหนาวนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ในการซ่อมแซมหรือแก้ไขปัญหาน้ำรั่ว น้ำซึมต่างๆ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงฤดูฝนที่ผ่านมา เพราะสามารถทำการซ่อมแซมได้ตลอดเวลา ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดปัญหาฝนตกขณะซ่อมแซม 2.สภาพสีภายในบ้าน ฤดูฝนที่ผ่าน นอกจากปัญหาน้ำรั่ว น้ำซึม บริเวณหลังคาแล้ว อีกปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นมากับบ้านได้ คือ ความเสียหายของผนังบ้าน จากสีลอก สีไม่สม่ำเสมอ โป่งพอง ลอกล่อนในจุดต่างๆ  ฤดูหนาวนี้ก็ถือเป็นช่วงที่เหมาะมากในการซ่อมแซมและทาสีใหม่ทั้งสีผนัง และสีฝ้าเพดานภายในบ้าน เพราะความชื่นในอากาศต่ำ สีแห้งเร็ว ไม่ต้องกังวลใจต่อสภาพอากาศชื้นเหมือนหน้าฝนที่ผ่านมา 3.ต้นไม้ หรือสนามหญ้า แม้ว่าฤดูหนาวอากาศจะเย็น แต่ความชื้นต่ำ แถมช่วงเวลากลางวัน แสงแดดจากดวงอาทิตย์ก็แรง และอากาศแล้งชื้น มีโอกาสทำให้ต้นไม้เหี่ยวเฉาได้ง่าย แถมต้นไม้ ใบไม้ที่แห้ง สามารถเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี อาจก่อให้เกิดเหตุเพลิงไหม้ได้เช่นกัน เจ้าของบ้าน จึงควรหมั่นดูแลรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย และตัดกิ่งไม้ที่แห้งทิ้ง เพราะหากถูกลมพัดหักโค่นอาจทำให้เกิดความเสียหายกับหลังคา ตัวบ้าน สิ่งของ หรือเป็นอันตรายกับคนที่อยู่ภายในบ้านได้ 4.สภาพเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน และถังดับเพลิง อย่างที่รู้ว่าฤดูหนาว อากาศจะแห้ง เพราะความชื้นต่ำ ทำให้เป็นฤดูที่มีโอกาสเกิดอัคคีภัยได้ง่าย ไม่ต่างจากฤดูร้อน เจ้าของบ้านจึงควรทำการตรวจสอบ ว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน อุปกรณ์ต่างๆ และถังดับเพลง ยังอยู่ในสภาพปรกติและพร้อมใช้งานหรือไม่ 5.การจัดระเบียบภายในบ้าน เพราะฤดูหนาวนี้เป็นช่วงที่เสี่ยงต่อการเกิดอัคคีภัยมากที่สุด ดังนั้น อะไรที่จะเป็นบ่อเกิด หรือฉนวนให้เกิดอัคคีภัย เราคงต้องให้ความสำคัญและตรวจตราอย่างละเอียด ไม่ให้เป็นจุดเกิดเพลิงไหม้ได้ รวมถึงการจัดวางสิ่งของเพื่อไม่ให้ขวางทางเดิน และกำจัดวัสดุที่เป็นเชื้อเพลิง เช่น เสื้อผ้าเก่า หนังสือพิมพ์  ไม้ขีดไฟ  ซึ่งล้วนแต่เป็นแหล่งเชื้อเพลิงอย่างดีที่ทำให้ไฟลุกลามอย่างรวดเร็ว ต้องรีบป้องกันไว้ก่อนที่จะสายเกินแก้ ส่วนการต่อเติมบ้าน ไม่ว่าจะเป็นห้องนอน ห้องนั่งเล่น หรือพื้นที่ส่วนต่างๆ ก็ถือได้ว่าเป็นจังหวะโอกาสที่ดี เพราะหมดห่วงเรื่องปัญหาฝนตก ซึ่งมักเป็นอุปสรรคสำคัญของการทำงานก่อสร้าง ยิ่งใช้วัสดุก่อสร้างสำเร็จรูป อย่างการเลือกใช้ระบบผนังยิปซัมตราช้าง มากั้นห้อง ก็ทำให้ระยะเวลาการทำงานเร็วขึ้นด้วย สำหรับผู้สนใจ สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ เว็บไซต์ผลิตภัณฑ์ของยิปซัมตราช้าง  ข่าวอื่นที่เกี่ยวข้อง ยิปซัมตราช้าง
[PR News] NOSTRA MAP จัดทำแผนที่ฟรี  เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชน เข้าร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

[PR News] NOSTRA MAP จัดทำแผนที่ฟรี เพื่ออำนวยความสะดวกประชาชน เข้าร่วมพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

นอสตร้า แมพ (NOSTRA Map) แอพพลิเคชันแผนที่นำทาง โดย บริษัท โกลบเทค จำกัด จัดทำแผนที่พิเศษ อำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่สนใจในการเดินทางไปร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการชื่นชมงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษกการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ในวันที่ 12 ธันวาคมนี้ เพียงเปิดกดแอพ NOSTRA Map ได้ฟรี เรียลไทม์ 24 ชม.   นายวิชัย แสงหิรัญวัฒนา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท โกลบเทค จำกัด เปิดเผยว่า ทาง NOSTRA Map ได้จัดทำแผนที่แสดง จุดเฝ้ารับเสด็จ จุดคัดกรอง จุดพื้นที่แก้มลิง จุดบริการ Shuttle bus จุดบริการจุดจอดรถ และเส้นทางปิดถนน ดูง่ายผ่านแอพฯ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ประชาชนที่มีความประสงค์จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการชื่นชมการเสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ในวันที่ 12 ธันวาคม 2562 โดยริ้วขบวนจะเริ่มจากท่าวาสุกรีไปยังท่าราชวรดิฐ เป็นระยะทาง 3.4 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 15 นาที เพื่อชื่นชมความงดงามของประวัติศาสตร์ของไทยที่มีมายาวนาน   เพื่อให้ประชาชนเตรียมความพร้อม และวางแผนการเดินทางในวันที่ 12 ธันวาคม 2562 สามารถใช้งานแอพฯ แผนที่ NOSTRA Map ได้ง่ายและสะดวก เพียงเลือกชั้นข้อมูล 2 ส่วน ดังนี้  “จุดอำนวยความสะดวกงานพระราชพิธีฯ 12 ธันวา”   หรือกดแผนที่ NOSTRA Map ซึ่งรายละเอียดแผนที่อำนวยความสะดวก ประกอบด้วย 1.จุดเฝ้ารับเสด็จ แสดงพื้นที่ 6 จุดที่ประชาชนสามารถร่วมรับเสด็จในการพระราชดำเนินฯ ครั้งนี้อย่างใกล้ชิด 2.จุดคัดกรอง รอบบริเวณพื้นที่ทั้งฝั่งพระนครและฝั่งธนบุรี จำนวน 19 จุด โดยจุดคัดกรองจะเป็นจุดที่ประชาชนจะสามารถเดินทางเข้าสู่พื้นที่บริเวณจัดงานได้ 3.จุดพื้นที่แก้มลิง จุดให้บริการประชาชนด้านอาหารเครื่องดื่ม ด้านการแพทย์ และพักรอเพื่อเข้าสู่พื้นที่รับเสด็จต่อไป 4.จุดบริการ Shuttle bus รถ Shuttle bus ให้บริการกับประชาชน จำนวน 9 จุดเพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในการเข้าพื้นที่งาน 5.จุดบริการจุดจอดรถ สำหรับประชาชนที่จะเข้าร่วมงานสามารถไปจอดรถตามจุดที่กำหนดไว้ซึ่งสามารถรองรับรถได้ถึง 18,200 คัน 6.แผนที่แสดงการปิดถนน เพื่อหลีกเลี่ยงการเดินทาง พร้อมเส้นทางแนะนำสำหรับประชาชน “แผนที่แสดงข้อมูลการปิดถนน” หรือกดแผนที่ปิดถนนงานพระราชพิธี 12 ธันวาฯ เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ประชาชนในส่วนของการจราจรในบริเวณโดยรอบ   ประชาชนที่สนใจแผนที่ดังกล่าว สามารถดาวน์โหลดแอพพลิเคชันแผนที่ และใช้งานได้ฟรี ตั้งแต่วันนี้ ทั้งบน App Store และ Google Play   นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลการเดินทาง การปฏิบัติตน และร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการชื่นชมงานพระราชพิธี โดยประชาชนสามารถติดตามข้อมูลอื่น ๆ ดังกล่าวเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
สรุปข่าวอสังหาฯ รอบสัปดาห์ วันที่ 1-8 ธันวาคม 2562

สรุปข่าวอสังหาฯ รอบสัปดาห์ วันที่ 1-8 ธันวาคม 2562

หลังจากคณะรัฐมนตรีได้อนุมัติโครงการ “บ้านดีมีดาวน์”  ในวันที่ 26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา  ด้วยการสนับสนุนเงินแคชแบ็ค (Cash Back) เพื่อลดภาระผ่อนดาวน์ จำนวน 50,000 บาท ให้แก่ผู้ซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งผู้สนใจสามารถเข้าร่วมโครงการได้     โดยลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ www.บ้านดีมีดาวน์.com  ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2562 เวลา 8.00 น. จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563  และจะต้องได้รับการอนุมัติสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินและจดจำนองตั้งแต่วันที่27 พฤศจิกายน 2562 จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563   โอกาสดีๆ แบบนี้ บรรดาดีเวลลอปเปอร์ ทั้งค่ายเล็กค่ายน้อย ย่อมไม่พลาดโอกาส ใช้เป็นจังหวะที่ดีในการจัดแคมเปญการตลาด กระตุ้นยอดขาย โดยขนบ้านและคอนโดมิเนียมในสต็อกออกมาร่วมแคมเปญกันแทบทุกราย อาทิ แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ ขน 9 โครงการ 370 ยูนิต มูลค่า 830 ล้านบาท ทั้งบ้านและคอนโดฯ มาจัดแคมเปญร่วมกับโครงการบ้านดีมีดาวน์ และแอล.พี.เอ็น.ฯ ยังเติมเงินให้อีก 50,000 บาท (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   บริษัท มั่นคง เคหะการ จำกัด (มหาชน) ก็ขานรับนโยบาย คัดโครงการทั้งทาวน์โฮม บ้านแฝด บ้านเดี่ยว 10 โครงการ กว่า 300 ยูนิต เข้าร่วม แถมด้วยสิทธิพิเศษต่างๆ อาทิ  ฟรีค่ามิเตอร์น้ำ – มิเตอร์ไฟ, ฟรีค่าส่วนกลาง 3 ปี, เฟอร์นิเจอร์ห้องนอนใหญ่ 1 ชุด, เครื่องปรับอากาศห้องนอนใหญ่ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอีก  5 รายการ เป็นต้น (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   นอกเหนือจากความเคลื่อนไหว การจัดแคมเปญของดีเวลลอปเปอร์ กับโครงการภาครัฐแล้ว ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาวงการอสังหาริมทรัพย์ มีความเคลื่อนไหวอะไรบ้าง มาอัพเดทกันได้เลย   “ซิซซา” ลุยอสังหาฯ เพื่อการลงทุน การันตีผลตอบแทน 6% วินแดม โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จับมือพันธมิตร ซิซซา กรุ๊ป  รุกตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ภายใต้แบรนด์ “วินแดม แกรนด์” (Wyndham Grand) เน้นเจาะตลาดพรีเมียม ด้วยสินค้าระดับลักซูรี่ ตามหัวเมืองท่องเที่ยว พร้อมยกระดับโครงการ “วินแดม แกรนด์ ในหาน บีช ภูเก็ต”     นายอรรถนพ พันธุกำเหนิด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิซซา กรุ๊ป จำกัด  เปิดเผยว่า แม้ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์จะชะลอตัวลง แต่อสังหาริมทรัพย์ในหัวเมืองท่องเที่ยวอย่างภูเก็ตกลับยังมีความต้องการอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ รวมถึงคนไทยที่เข้ามาซื้อในลักษณะเพื่อการลงทุน จนทำให้ตลาดอสังหาฯในรูปแบบการการันตีผลตอบแทน หรือ Investment Property มีความต้องการสูงเห็นได้จากจำนวนโครงการแบบ Investment Property ที่เพิ่มมากขึ้นในจังหวัดภูเก็ต   ในระยะหลายปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการในภูเก็ตจึงหันมาพัฒนาสินค้าในลักษณะ Investment Property จำนวนมาก จนทำให้การแข่งขันสูง และซิซซา กรุ๊ป ได้เล็งเห็นทิศทางของตลาด จึงได้ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับ WYNDHAM Hotels and Resorts ซึ่งเป็นกลุ่มโรงแรมรีสอร์ทที่มีจำนวนสาขาในเครือมากที่สุดของโลก ที่จะพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าในตลาดระดับบน และโครงการล่าสุดของบริษัทก็ได้รับการยกระดับขึ้นเป็น วินแดม แกรนด์ ในหาน บีช ภูเก็ต (WYNDHAM Grand Nai Harn Beach Phuket)  (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   “ฮาบิแทท กรุ๊ป” ปั้นโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส 4,500 ล้าน   “ฮาบิแทท กรุ๊ป” เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่มุ่งเน้นทำตลาด อสังหาฯ เพื่อการลงทุน โดยมองแนวโน้มตลาดในปีหน้าว่ายัง เติบโตแต่ไม่หวือหวา ซึ่งแผนธุรกิจของบริษัทในปีหน้า ยังคงชูกลยุทธ์  "ไลฟ์สไตล์ อินเวสเม้นท์” พร้อมกับเตรียมเปิดโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส 4,500 ล้าน  นอกจากนั้นยังมุ่งหน้าทำตลาดในต่างประเทศ  ด้วยการผนึกพันธมิตร ลีสต์ กรุ๊ป ญี่ปุ่น รุกขยายตลาดใหม่จับลูกค้าต่างชาติเพิ่ม ทั้ง ญี่ปุ่น ไต้หวัน ตะวันออกกลางและยุโรป ทดแทนตลาดจีน และฮ่องกง     นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2563 คาดว่าจะไม่เติบโตจากปีนี้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมน่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2562  ซึ่งไม่เอื้ออำนวยต่อการดำเนินธุรกิจ และค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ทำให้กำลังซื้อได้รับผลกระทบ ขณะที่ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ธนาคารยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากกว่าระดับปกติ และยังมีปัจจัยเรื่องนโยบายการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV)   แม้จะมีปัจจัยบวกอยู่บ้างจากการที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นตลาด ประกาศลดค่าธรรมเนียมการโอน และการจดจำนองให้เหลือเพียง 0.01% ของราคาประเมินไปจนถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2563 และยังมีโครงการบ้านดีมีดาวน์ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ แต่ภาพรวมตลาดอสังหาฯ น่าจะอยู่ในภาวะทรงตัว หรือใกล้เคียงกับปี 2562 (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   เสนาฯ​ เลื่อน9โปรเจ็กต์หมื่นล้านเปิดตัวปี63 ปีนี้สถานการณ์ตลาดอสังหาฯ ไม่เอื้ออำนวยให้ดีเวลลอปเปอร์รุกตลาดมากนัก จากช่วงต้นปีที่ได้ประกาศธุรกิจ พอเอาเข้าจริงกลับไม่เป็นไปตามแผน หลายๆ บริษัทปรับแผนธุรกิจเพื่อให้สอดคล้องกับสภาพตลาดในปัจจุบัน อย่างเสนาฯ เลื่อน 9 โปรเจ็กต์ มูลค่านับหมื่นล้านไปเปิดตัวใหม่ในปีหน้า   แม้ว่า 3 ไตรมาสแรกของปี ยังโกยรายได้และกำไรเติบโต  ซึ่งสาเหตุหลักมาจากการทำการตลาดอย่างต่อเนื่อง ส่วนในไตรมาสสุดท้ายได้เปิดตัว 3 โครงการแนวราบ–แนวสูง เพื่อผลักดันยอดขายให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้     นางสาวอธิกา บุญรอดชู ผู้อำนวยการ สายงานจัดสรรเงินทุนและการลงทุน บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA  เปิดเผยว่า ในไตรมาส 4 บริษัทมีแผนการเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการทั้งโครงการบ้านและคอนโดมิเนียม  รวมมูลค่าโครงการราว 2,977 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการ เสนา แกรนด์ โฮม รามอินทรา กม. 8 ม, โครงการเสนา วิลล์ ลำลูกกา คลอง 6 และล่าสุด เปิดโครงการเสนา- อาศุ พระราม 9  คอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ ซึ่งทั้งหมดได้เปิดขายแล้ว   สำหรับแผนธุรกิจในปีนี้ บริษัทวางแผนเปิดโครงการทั้งหมด 20 โครงการ รวมมูลค่า 18,779 ล้านบาท แต่จากสถานการณ์อสังหาฯ ที่ชะลอตัว และปัจจัยลบต่างๆ ทำให้บริษัทต้องบริษัทได้เลื่อนการเปิดโครงการใหม่ไปในปีหน้า ซึ่งช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ได้เปิดตัวโครงการใหม่แล้ว 8 โครงการมูลค่า 5,411 ล้านบาท และเลื่อนเปิดตัวโครงการใหม่ 9  โครงการในปี 2563 มูลค่า 10,391 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีที่ดินเตรียมพร้อมการพัฒนาไว้ทั้งหมดแล้ว (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   แมกโนเลียฯ จับมือ ททท.-RSTA จัดงานแสดงแสงสีเสียง   เข้าสู่ช่วงโค้งท้ายของปีแล้ว ตอนนี้สถานที่หลายแห่งเริ่มเตรียมพื้นที่เฉลิมฉลอง รับเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่กันแล้ว อย่างแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น หรือ MQDC ได้จับมือกับ ททท. และสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ จัดงาน “Beautiful Bangkok 2020” งานแสดงแสงสีเสียงบริเวณอาคาร โครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ซึ่งเตรียมเปิดแสดงรอบปฐมฤกษ์วันที่ 16 ธันวาคมนี้     นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ (RSTA)  เตรียมประกาศความพร้อมการจัดงาน “Beautiful Bangkok 2020” การแสดงแสงสีเสียง ด้วยการเนรมิตอาคารโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ให้สวยงาม   โดยในปีนี้ใช้ชื่อการแสดงว่า “Beautiful Bangkok 2020: A Blossom of Happiness” ซึ่งมาพร้อมกับกิจกรรมอีกมากมาย บริเวณลานหน้าโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด เพื่อร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปี  โดยจะเปิดการแสดงรอบปฐมฤกษ์วันที่ 16 ธันวาคม 2562 นี้ และจัดต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562 (อ่านข่าวเพิ่มเติม)      
แมกโนเลียฯ จับมือ ททท.-RSTA จัดงานแสดงแสงสีเสียง  ดึงนักท่องเที่ยวทะลุ 9 แสนคน

แมกโนเลียฯ จับมือ ททท.-RSTA จัดงานแสดงแสงสีเสียง ดึงนักท่องเที่ยวทะลุ 9 แสนคน

แมกโนเลียฯ ร่วมกับ ททท. และสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ จัดงาน “Beautiful Bangkok 2020”  เฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปี เตรียมเปิดแสดงรอบปฐมฤกษ์วันที่ 16 ธันวาคม นี้  คาดเป็นตัวช่วยดึงนักท่องเที่ยวเข้าพื้นที่ราชประสงค์ทะลุ 900,000 คน   นายวิสิษฐ์ มาลัยศิริรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ (RSTA)  เตรียมประกาศความพร้อมการจัดงาน “Beautiful Bangkok 2020” การแสดงแสงสีเสียง ด้วยการเนรมิตอาคารโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ให้สวยงาม   โดยในปีนี้ใช้ชื่อการแสดงว่า “Beautiful Bangkok 2020: A Blossom of Happiness” ซึ่งมาพร้อมกับกิจกรรมอีกมากมาย บริเวณลานหน้าโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด เพื่อร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลแห่งความสุขส่งท้ายปี  โดยจะเปิดการแสดงรอบปฐมฤกษ์วันที่ 16 ธันวาคม 2562 นี้ และจัดต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2562 “งาน Beautiful Bangkok 2020 จัดขึ้นภายใต้แนวคิด ที่ต้องการสื่อถึงความสุขและความปรารถนาดี ที่เราต่างมอบให้กันอย่างจริงใจ  เปรียบเสมือนจิตใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความสุขเบ่งบานสดใส เฉกเช่นดอกไม้ที่บานอยู่กลางใจของคนกรุงเทพฯ พร้อมส่งมอบความสุขสดใสให้แก่ นักท่องเที่ยวหรือผู้ที่มาเยือนกรุงเทพฯ ผ่านการมอบช่อดอกไม้ช่อแรกของปีให้เป็นตัวแทนของความสุขและความปรารถนาดีสำหรับทุกคน”   ใช้ AI จากญี่ปุ่นสร้างสรรค์ "แสงสีเสียง" โดยการจัดงานได้แรงบันดาลใจมาจาก รูปทรงอันอ่อนช้อยงดงามของดอกแมกโนเลีย ดอกไม้มงคลของไทย และดอกไม้นานาชาติอีกหลากหลายชนิด ซึ่ง MQDC ได้ทุ่มงบประมาณจัดกิจกรรม Beautiful Bangkok 2020: A Blossom of Happiness ในปีนี้ให้มีความยิ่งใหญ่และพิเศษมากกว่าปีก่อนๆ โดยในปีนี้ใช้เทคโนโลยี AI และการแสดงแสงสีตระการตาจากทีมสร้างสรรค์ชั้นนำจากประเทศญี่ปุ่น บนตึกโครงการ แมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ซึ่งเป็นโครงการที่พักอาศัยความสูง 60 ชั้น ที่ออกแบบอย่างสวยงามอ่อนช้อยจากแรงบันดาลใจของกลีบดอกแมกโนเลีย เป็นหนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญที่มีความโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ของย่านราชประสงค์   งาน Beautiful Bangkok 2020: A Blossom of Happiness มีกำหนดจัดแสดงรอบปฐมฤกษ์ โครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ในวันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม 2562 เวลา 18.00 – 21.00 น. และจะเปิดการแสดงรอบประชาชนทั่วไปในวันที่ 17 – 31 ธันวาคม 2562 เวลา 18.00 – 23.00 น. โดยในวันที่ 31 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ จะจัดการแสดงจนถึงเวลา 24.00 น.   นอกจากนั้น ในปีนี้ MQDC ยังจัดให้มีกิจกรรม The Wonder Flower Land  บริเวณลานหน้าโครงการแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด ซึ่งไฮไลท์อยู่ที่การแสดงแสงสีแบบ Interactive ด้วยเทคโนโลยี AI จากประเทศญี่ปุ่น ที่จะทำให้ทุกคนสนุกสนานไปกับการแสดงแสงสี ที่มีความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองอย่างแท้จริง โดยมาจากจังหวะการเต้นของหัวใจและชีพจรของแต่ละบุคคล ทำให้ผู้ร่วมงานแต่ละคนได้ภาพแห่งความประทับใจของตัวเองโดยเฉพาะและไม่ซ้ำกับใคร     ทั้งนี้ MQDC ได้จัดรถรับส่ง Beautiful Bangkok Free Shuttle เส้นทางราชดำริ - พระราม 4 - สยาม เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับประชาชนและนักท่องเที่ยวในการเดินทางท่องเที่ยวในย่านราชประสงค์ และมาร่วมมีความสุขที่งาน Beautiful Bangkok ได้อย่างสะดวกสบาย   จัดประกวดภาพถ่ายชิงกล้อง Leica นอกจากนั้น ยังได้จัดให้มีกิจกรรมประกวดภาพถ่ายจากงาน Beautiful Bangkok 2020: A Blossom of Happiness โดยเฟ้นหาภาพที่แสดงให้เห็นถึงความสวยงามที่งาน Beautiful Bangkok อาคารแมกโนเลียส์ ราชดำริ บูเลอวาร์ด มอบให้กับกรุงเทพฯ มีองค์ประกอบภาพ และการถ่ายทอดความสวยงามออกมาได้อย่างน่าประทับใจและสร้างสรรค์ที่สุด ตัดสินการประกวดโดย MQDC ร่วมกับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย โดยภาพที่ได้รับการคัดเลือกว่าสวยงามที่สุด 3 อันดับแรก จะมอบให้กับการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย นำไปผลิตเป็นโปสการ์ดโปรโมทการท่องเที่ยวประเทศไทยต่อไป และผู้ชนะเลิศอันดับ 1 จะได้รับกล้อง Leica 1 รางวัล   “MQDC ในฐานะสมาชิก RSTA มีความยินดีและภาคภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างความงดงามให้กับฟากฟ้ากรุงเทพฯ ผ่านการจัดงาน Beautiful Bangkok ซึ่งจัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 แล้ว เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่สร้างสรรค์ความเป็นอยู่ที่ดีอย่างยั่งยืนแก่ผู้อยู่อาศัยและสังคมรอบข้าง (For All Well Being) รวมทั้งกิจกรรมดังกล่าวนี้ยังมีส่วนช่วยส่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของกรุงเทพฯ และประเทศไทย”   คาดนักท่องเที่ยวเยือนราชประสงค์วันละกว่า 9 แสนคน ด้านนายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กรุงเทพมหานครและประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่ครองใจผู้คนทั่วโลก เอาชนะเมืองชั้นนำในหลายประเทศทั่วโลกติดต่อกันมาตลอดหลายปี ด้วยความหลากหลายของแม็กเน็ตด้านการท่องเที่ยวที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และความต้องการของนักเดินทางทุกกลุ่มได้อย่างครอบคลุม   สำหรับงาน Beautiful Bangkok 2020: A Blossom of Happiness จะเป็นอีกหนึ่ง  attraction ที่สำคัญ และน่าตื่นเต้นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติได้เป็นอย่างดี ช่วยกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวในช่วงสุดท้ายก่อนสิ้นปี ซึ่งคาดว่าเฉพาะช่วงเทศกาลเฉลิมฉลองความสุขส่งท้ายปี จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในกรุงเทพฯ เป็นจำนวนมากกว่าทุกปี โดยในปีนี้ภาครัฐมีนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจ ตั้งเป้าเติบโตขึ้นกว่าจากปีก่อน   สมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ เป็นการรวมตัวของผู้ประกอบการเอกชนในย่านราชประสงค์ ก่อตั้งอย่างเป็นทางการในปี 2546   มีวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งสมาคมฯเพื่อผลักดันย่านราชประสงค์ให้เป็นศูนย์กลางทางธุรกิจการค้า แหล่งช้อปปิ้ง และย่านท่องเที่ยวชั้นนำระดับโลก ด้วยพื้นที่รวมกว่า 1,020,000 ตารางเมตร โดยมีทางเดินเชื่อมลอยฟ้า "ราชประสงค์วอล์ค"  ยาวกว่า 1 กิโลเมตร เป็นโครงข่ายเส้นทางเดินเชื่อม 23 อาคาร โดยแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น ได้เข้าร่วมในสมาคมฯ ในปี 2561 โดยนับเป็นสมาชิกรายที่ 9 ที่เข้ามาร่วมพัฒนาย่านราชประสงค์   ส่วนนายชาย ศรีวิกรม์ นายกสมาคมผู้ประกอบวิสาหกิจในย่านราชประสงค์ กล่าวว่า  ย่านราชประสงค์เป็นพื้นที่ท่องเที่ยว เศรษฐกิจ และการค้าที่สำคัญกลางใจเมือง มีผู้คนหมุนเวียนในแต่ละวันกว่า 600,000 คน และคาดว่าจะเพิ่มมากกว่า 50% เป็น 900,000 คน ในช่วงไฮซีซั่น โดยการจัดงาน Beautiful Bangkok ใน 2 ปีที่ผ่านมา เป็นแม็กเน็ตสำคัญที่ช่วยดึงดูดผู้คนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติจำนวนมากให้เข้ามาในย่านราชประสงค์ โดยในปีนี้ ผู้ประกอบการต่างๆ ในย่านราชประสงค์ต่างเตรียมพร้อมในการจัดกิจกรรมมากมาย เพื่อร่วมผนึกกำลังสร้างสรรค์ความสนุกสนานและความน่าดึงดูดใจ ตอกย้ำความแข็งแกร่งของย่านราชประสงค์ในฐานะจุดหมายปลายทางด้านช้อปปิ้งและไลฟ์สไตล์ชั้นนำของภูมิภาค   ติดตามรอบการแสดง “Beautiful Bangkok 2020: A Blossom of Happiness” และกติกาประกวดภาพถ่ายได้ที่ www.mqdc.com หรือ https://www.facebook.com/mqdcforallwellbeing/  
“SENA” ปั๊มรายได้ฝ่าวิกฤติ Q3/62 โต 7.6%  เปิด 3 โครงการโค้งสุดท้าย บิ้วยอดขายเข้าเป้า

“SENA” ปั๊มรายได้ฝ่าวิกฤติ Q3/62 โต 7.6% เปิด 3 โครงการโค้งสุดท้าย บิ้วยอดขายเข้าเป้า

เสนาฯ​ เลื่อน9โปรเจ็กต์หมื่นล้านเปิดตัวปี63 เสนาฯ เลื่อน 9 โปรเจ็กต์ หมื่นล้านเปิดตัวใหม่ในปีหน้า หลังสภาพตลาดอสังหาฯ ไม่เอื้ออำนวย แม้ 3 ไตรมาสแรกของปี ยังโกยรายได้และกำไรเติบโต เหตุปล่อยแคมเปญกระตุ้นตลาด พร้อมโชว์ Backlog ตุนเต็มกระเป๋า 12,860 ล้านบาท ล่าสุด ขน 3 โครงการแนวราบ–แนวสูง เปิดตัวใหม่ส่งท้ายปลายปี 62 หวังดันยอดขายตามเป้า นางสาวอธิกา บุญรอดชู ผู้อำนวยการ สายงานจัดสรรเงินทุนและการลงทุน บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA  เปิดเผยว่า ในไตรมาส 4 บริษัทมีแผนการเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการทั้งโครงการบ้านและคอนโดมิเนียม  รวมมูลค่าโครงการราว 2,977 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการ เสนา แกรนด์ โฮม รามอินทรา กม. 8 ม, โครงการเสนา วิลล์ ลำลูกกา คลอง 6 และล่าสุด เปิดโครงการเสนา- อาศุ พระราม 9  คอนโดมิเนียมแบรนด์ใหม่ ซึ่งทั้งหมดได้เปิดขายแล้ว “ไตรมาส 4 บริษัทต้องการพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น เพื่อให้ลดความเสี่ยงและต้นทุนการพัฒนาถูก จึงเลือกพัฒนาในที่ดินซึ่งบริษัทมีอยู่แล้ว เช่น ที่ดินประมาณ 1 ไร่ บริเวณรามอินทรา กม. 8” สำหรับแผนธุรกิจในปีนี้ บริษัทวางแผนเปิดโครงการทั้งหมด 20 โครงการ รวมมูลค่า 18,779 ล้านบาท แต่จากสถานการณ์อสังหาฯ ที่ชะลอตัว และปัจจัยลบต่างๆ ทำให้บริษัทต้องบริษัทได้เลื่อนการเปิดโครงการใหม่ไปในปีหน้า ซึ่งช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ได้เปิดตัวโครงการใหม่แล้ว 8 โครงการมูลค่า 5,411 ล้านบาท และเลื่อนเปิดตัวโครงการใหม่ 9  โครงการในปี 2563 มูลค่า 10,391 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีที่ดินเตรียมพร้อมการพัฒนาไว้ทั้งหมดแล้ว “โครงการทั้งหมดมีที่ดินล้ว มีสำนักงานขาย และคอนเซ็ปต์โครงการแล้ว แต่จากสถานการณ์ปัจจุบันยังไม่เหมาะสม จึงเลื่อนไปเปิดในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2563 เพื่อบริหารให้ค่าการตลาดและค่าบริหารจัดการมีประสิทธิภาพที่สุด” ทิศทางธุรกิจอสังหาฯ ในปีนี้ ถือว่าต้องเผชิญความไม่แน่นอน รวมถึงปัจจัยภายในประเทศ อย่างมาตรการ LTV และหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้เกิดการหดตัวลงของการอนุมัติสินเชื่อนับตั้งแต่ในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งกระทบกับบ้านหรือคอนโดมิเนียมในทุกระดับราคา คาดว่าในช่วงที่เหลือของปี ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะไม่สามารถเติบโตได้เหมือนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่เป็นโจทย์ยากและท้าทายของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ได้รับผลกระทบจากหลายๆปัจจัยที่เกิดขึ้น ที่ยังคาดว่าจะส่งผลกระทบทำให้ภาคอสังหาฯ ชะลอตัวต่อเนื่องไปถึงปี 2563 นางสาวอธิกา กล่าวอีกว่า ส่วนทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ไตรมาส 3 ปี 2562 ที่ผ่านมาปรับตัวดีขึ้นในกลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัย ที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเป็นบ้านหลังแรกหรือกลุ่มเรียลดีมานด์ จากปัจจัยอัตราดอกเบี้ยการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยปรับตัวลดลง และการจัดแคมเปญของผู้พัฒนาโครงการเริ่มมีการกระตุ้นตลาดมากขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา   สำหรับบริษัท ได้จัดแคมเปญ "Made From Her พาเธอมาเจอดีลดี” ช่วยกระตุ้นการโอนในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ทำให้มีรายได้อยู่ที่ 1,160.6 ล้านบาท เพิ่มสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 7.6% กำไรสุทธิอยู่ที่ 107.3 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวม 9 เดือนแรก อยู่ที่ 3,503 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 381.7 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 35% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน     ทั้งนี้ การปรับตัวลดลงของกำไรสุทธิที่เกิดขึ้น เป็นผลจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ และมาตรการกำกับสินเชื่อที่อยู่อาศัยหรือมาตรการ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการควบคุมการปล่อยสินเชื่อบ้านสัญญาที่ 2,3   อย่างไรก็ตาม ทางบริษัทวางเป้าหมายเปิดโครงการใหม่รวม 11 โครงการรวม 3,315 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 10,172 ล้านบาท โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา ทางบริษัทเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น  8 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 7,195 ล้านบาท ปัจจุบันมียอดขายที่รอรับรู้รายได้จากการโอน (Backlog) คิดเป็นมูลค่า 12,860 ล้านบาท (ณ สิ้นเดือนกันยายน  2562) ซึ่งทยอยรับรู้รายได้จนถึงปี 2565   สำหรับรายได้ที่เกิดขึ้นจากการดำเนินงานของบริษัทในไตรมาส 3 ปี 2562 แบ่งเป็น รายได้จากการขายที่อยู่อาศัย อยู่ที่ 785.5 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 2.8% และเมื่อรวมรายได้ 9 เดือน อยู่ที่ 2,321 .4 ล้านบาท ปรับตัวลดลง 28.7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน   บริษัทยังสามารถรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นแบรนด์ “นิช”  จำนวน 509 ยูนิต มูลค่า 1,151 ล้านบาท แบรนด์ “เดอะคิทท์” จำนวน 335 ยูนิต มูลค่า 558.4 ล้านบาท ประเภทบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม อาคารพาณิชย์ แบรนด์ เสนาพาร์ควิลล์, เสนาพาร์คแกรนด์, เสนาวิลล์ และแพรมาพร จำนวน 52 ยูนิต มูลค่า 306.7 ล้านบาท ช้อปเฮ้าส์ และอเวนิว จำนวน 23 ยูนิต มูลค่า 187.7 ล้านบาท  และมีการรับรู้รายได้การโอนกรรมสิทธิ์ จากโครงการแนวราบในต่างจังหวัด ภายใต้บริษัท เสนา วณิช ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด จำนวน 3 โครงการ 57 ยูนิต มูลค่า 116.1 ล้านบาท   ขณะเดียวกันยังมีการรับรู้รายได้จากค่าเช่าและบริการอยู่ที่ 324.2 ล้าน เพิ่มขึ้น 41.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมาจากรายได้ค่าเช่าและบริการพาร์ทเม้นท์ 3.1 ล้านบาท รายได้การบริหารนิติบุคคล 10.4 ล้านบาท รายธุรกิจเช่าโกดัง 6.3 ล้านบาท รายได้จากธุรกิจคอมมูนิตี้มอลล์เสนาเฟสท์ 17.1 ล้านบาท รายได้จากสนามกอล์ฟ 20.6 ล้านบาท  รายได้รับบริหารโครงการ 259.9 ล้านบาท รายได้จากการเช่าที่ดิน 0.9 ล้านบาท  รายได้ค่านายหน้า - ค่าที่ปรึกษาขายอสังหาฯ 4.2 ล้านบาท และรายได้รับเหมาก่อสร้าง 1.7 ล้านบาท ทั้งนี้ การเพิ่มขึ้นมาจากบริษัทมีรายได้จากการรับบริหารงานโครงการเพิ่มมากขึ้นในปี 2562 ส่งผลให้รายได้เช่าและบริการงวด 9 เดือน เท่ากับ 997.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 489.7 ล้านบาท คิดเป็น 96.5% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ค่าเช่าและการบริการ 507.7 ล้านบาท ส่วนรายได้จากธุรกิจโซลาร์อยู่ที่ 16.1 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 43.5%  เมื่อเทียบกับปีก่อนขณะที่ช่วง 9 เดือนแรก (ม.ค.-ก.ย.62 ) อยู่ที่ 79.2 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 114.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทยังคงรับรู้รายได้ธุรกิจโซลาร์อย่างต่อเนื่องและรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการที่บริษัทลงทุนไว้คิดเป็น 73 ล้านบาท ซึ่งทิศทางของธุรกิจโซลาร์ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจ และอุตสาหกรรมที่ต้องการนำโซลาร์รูฟท็อปไปติดตั้งเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และลดต้นทุนค่าพลังงาน   ข้อมูลเพิ่มเติมจาก เสนา ดีเวลลอปเม้นท์  
รวมโปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เดือนธันวาคม 2562

รวมโปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เดือนธันวาคม 2562

โค้งสุดท้ายปลายปีที่จะมาจัดโปรโมชั่นบ้าน-คอนโด ลดราคากระหน่ำก่อนปิดยอดปลายปี ถือเป็นช่วงกอบโกยของผู้บริโภคไปด้วย เพราะจะสามารถมีอำนาจในการต่อรองได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ยังได้มาตรการรัฐเข้ามาช่วย ก็ยิ่งประหยัดเงินในกระป๋าเราได้มากขึ้นค่ะ   SC Asset Final Sale ลดสูงสุด 2,000,000 บาท* SC Asset จัด Final Sale ช่วงปลายปี พบ 4 โครงการคุณภาพ อาทิ บางกอก บูเลอวาร์ด สาทร-ปิ่นเกล้า 2, บางกอก บูเลอวาร์ด ปิ่นเกล้า-เพชรเกษม, เวนิว เวสต์เกต, ไลฟ์ บางกอก บูเลอวาร์ด ราชพฤกษ์-รัตนาธิเบศร์ ราคาเริ่มต้น 5.99–15 ล้านบาท ตั้งแต่วันที่ 1–15 ธ.ค. นี้ เท่านั้น! “บริทาเนีย” เปิดตัวแคมเปญส่งท้ายปี “ฉลองใหญ่ให้เต็ม” บริทาเนีย (Britania) จัดแคมเปญใหญ่ส่งท้ายปีกับโปร “ฉลองใหญ่ให้เต็ม” กับบ้านราคาเริ่มต้นเพียง 2.59 ล้านบาท* อัดส่วนลดให้เต็มกว่ารัฐมากถึง 3 ต่อ พิเศษ!ส่วนลดสูงสุด 1,000,000 บาท* พร้อมสิทธิ์ ค่าเงินดาวน์คืน สูงสุด 50,000 บาท (จากโครงการ “บ้านดีมีดาวน์”) และ ฟรี! ค่าใช้จ่ายต่างๆ อีกมากมาย กับ 3 ทำเล 3 โครงการพร้อมอยู่ บริทาเนีย วงแหวน หทัยราษฎร์ บริทาเนีย เมกะทาวน์ บางนา บริทาเนีย บางนา กม.12 วันที่ 7-8 ธ.ค. นี้ ณ สำนักงานขายทั้ง 3 โครงการ ลลิล ร่วมแคมเปญ ‘บ้านดีมีดาวน์’ ซื้อปุ๊บ โอนปั๊บ รับ 3 สิทธิพิเศษสุดคุ้ม ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ นำบ้านคุณภาพทุกโครงการทุกทำเลเข้าร่วมแคมเปญ ‘บ้านดีมีดาวน์’ เริ่มวันที่ 11 ธันวาคม 2562 พร้อมรับ 3 สิทธิพิเศษ ทั้งเงินดาวน์ 50,000 บาทที่รัฐออกให้, ลดค่าจดจำนองและค่าโอนเหลือ 0.01% และสามารถเลือกกู้ดอกชิวๆ ‘กู้ล้าน ผ่อน 800 บาท’ กับแบงก์กรุงเทพ พฤกษา ยกขบวนบ้านและคอนโด 101 โครงการ ร่วมโครงการ ‘บ้านในฝัน รับปีใหม่’กับธอส.  พฤกษา ยกขบวนบ้านและคอนโด 101 โครงการ กว่า 1,800 ยูนิต เข้าร่วมแคมเปญกับธอส. ลูกค้าที่ซื้อและโอนบ้านในโครงการที่เข้าร่วมภายใน 31 ธันวาคมนี้ สามารถมีบ้านได้ง่ายขึ้นด้วยสิทธิพิเศษ 3 ต่อจากแคมเปญ ได้แก่ กู้บ้านกับธอส.รับดอกเบี้ยคงที่ 2.5% นาน 3 ปี พร้อมแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้กับลูกค้าในวันโอนกรรมสิทธิ์ด้วย รับฟรีทันที ค่าโอนและค่าจดจำนอง และสิทธิ์ต่อที่ รับโปรโมชั่นพิเศษต่างๆจากทางโครงการอาทิ เช่น เฟอร์นิเจอร์ ค่ามิเตอร์น้ำและไฟ, ค่าบริการสาธารณะ, ส่วนลดเพิ่มเติม (โปรโมชั่นขึ้นอยู่กับรายละเอียดที่แต่ละโครงการกำหนด) “มั่นคงฯ” ส่งโปรโมชั่นท้าลมหนาวร่วมโครงการ “บ้านในฝัน” มั่นคงฯ สนองนโยบายโครงการ “บ้านในฝัน” พิเศษสำหรับลูกค้าเมื่อจอง “บ้าน” ของ “มั่นคงฯ” ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท รับไปเลยต่อที่ 1 ทันที ดอกเบี้ยพิเศษ 2.5% คงที่ 3 ปี (เงื่อนไขต้องกู้สินเชื่อ 5 ปี ไม่สามารถไถ่ถอนได้), ฟรีค่าธรรมเนียมการโอน, ฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง พร้อมข้อเสนอเพิ่มเติมสุดอลังการ!! ได้แก่ ฟรีค่ามิเตอร์น้ำ – มิเตอร์ไฟ, ฟรีค่าส่วนกลาง 3 ปี, เฟอร์นิเจอร์ห้องนอนใหญ่ 1 ชุด, เครื่องปรับอากาศห้องนอนใหญ่ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอีก 5 รายการ รวมมูลค่ากว่า 116,000 ล้านบาท โดยมีให้เลือก 6 โครงการ ได้แก่ ชวนชื่น ทาวน์ รังสิต-คลอง 1,  ชวนชื่น ทาวน์ ราชพฤกษ์ 345, ชวนชื่น ทาวน์ ชัยพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ, ชวนชื่น ทาวน์ บางใหญ่, ชวนชื่น ทาวน์ แก้วอินทร์-บางใหญ่ และ ชวนชื่น ทาวน์ วิลเลจ บางนา กม.29 ตั้งแต่วันนี้–31 ธ.ค. 2562 เดอะคิวบ์ นอร์ท แจ้งวัฒนะ ลดแรงสุดส่งท้ายปี เดอะคิวบ์ นอร์ท แจ้งวัฒนะ 12 คอนโดมิเนียมใหม่สไตล์บูทีค บนทำเลศักยภาพถนนแจ้งวัฒนะ ซอย 12 เยื้องศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา (แจ้งวัฒนะ) 350 เมตร จากรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีแจ้งวัฒนะ 14 จัดโปรโมชั่นพิเศษส่งท้ายปีให้เตรียมความพร้อมเข้าอยู่ได้เดือนมีนาคม 2563 พร้อมเฟอร์นิเจอร์คุณภาพดี (Fully Furnished) ราคาพิเศษเริ่มเพียง 1.79 ล้านบาท* พร้อมส่วนลดสูงสุด 150,000 บาท "เจ เอส พี" จัด โปรดี Free จัดเต็ม เจ เอส พี พร็อพเพอร์ตี้ จัดโปรแรงที่สุดแห่งปี "เจ เอส พี" จัด โปรดี Free จัดเต็ม เพื่อลูกค้าที่สนใจ บ้าน  ทาวน์โฮม คอนโด อาคารพาณิชย์ บนทำเลศักยภาพ รังสิต  แพรกษา เพชรเกษม กัลปพฤกษ์ บางปู รัตนาธิเบศร์ บางประกง และศรีราชา พิเศษ เริ่มต้น เพียง 799,999 บาท พร้อมส่วนลดสูงสุด 1 ล้านบาท วันนี้ถึง 31 ธ.ค. 62 เท่านั้น “แกรนด์ ยูนิตี้” ฉีก ทุกราคาและทุกเงื่อนไข แรงกว่ามาตรการรัฐ แกรนด์ ยูนิตี้ รุกตลาดโค้งสุดท้ายของปี’62 ปล่อยโปรฯ “ฉีก..แรงกว่ามาตรการรัฐ” จ่ายเพียง 0 บาท* ฟรี! เงินจอง, เงินทำสัญญา, ค่าโอน, ค่าจดจำนอง, ค่าส่วนกลาง และค่ากองทุนแรกเข้า* พร้อมรับ Cash Back เพิ่มอีก 20,000 บาท* สำหรับลูกค้าที่ซื้อคอนโดพร้อมอยู่ 6 ทำเลดีใกล้สถานีรถไฟฟ้า อาทิ คอนโด ยู เกษตร – นวมินทร์, ยู ดีไลท์ รัชวิภา, ยู ดีไลท์ รัตนาธิเบศร์, ยู ดีไลท์ เรสซิเดนท์ ริเวอร์ฟร้อนท์ พระราม 3, เซียล่า ศรีปทุม, เดอ ลาพีส จรัญ 81 ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.54 ล้านบาท* ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 25 ธ.ค. 2562 THANA ผุดแคมเปญ “ วันธรรมดา ก็มาได้” รับข้อเสนอพิเศษสุด พร้อมรับเพิ่ม iPhone11 ธนาสิริ กรุ๊ป จัดแคมเปญพิเศษ “วันธรรมดา ก็มาได้” เอาใจสายอาชีพอิสระ หรือฟรีแลนซ์ เลือกชมและช้อปบ้านในวันธรรมดา พร้อมมอบข้อเสนอพิเศษสุด รับ ฟรี โทรศัพท์มือถือ Iphone 11 รุ่น 64 gb. มูลค่า 24,900 บาท (เมื่อจองและทำสัญญา ในแปลงที่กำหนด) พร้อมบัตรกำนัลพิเศษ เมื่อนัดเข้าชมทั้ง 5 โครงการของธนาสิริ อาทิ ธนาฮาบิแทต ปิ่นเกล้า-สิรินธร, ธนาคลัสเตอร์ ราชพฤกษ์, ธนาคลัสเตอร์ เวสต์เกต, ธนาซิโอ รัตนาธิเบศร์ และสิริวิลเลจ อุดรธานี-แอร์พอร์ต ตั้งแต่วันนี้-27 ธ.ค.2562 นี้ property perfect จัดโปรว้าว แซงรัฐ property perfect จัดโปรแรงกว่ามาตรการรัฐ มาพร้อมสิทธิพิเศษในคอนโดใกล้รถไฟฟ้าทั้ง 13 โครงการ ได้แก่  กู้เต็ม 100% จองง่ายเพียง 999 บาท ผ่อนสบายล้านละ 3,000 บาท/เดือน เป็นเวลา 3 ปี ฟรีค่าใช้จ่าย 6 รายการ ลดสูงสุด 1,000,000 บาท รับแพ็คเกจทัวร์ฮอกไกโด พร้อมที่พัก 5 วัน 3 คืน 2 ท่าน และลดเพิ่มตามมาตรการรัฐ ตั้งแต่วันนี้-27 ธ.ค.2562 นี้    
LPN ขน 9 โครงการ บ้าน-คอนโดฯ ร่วม “บ้านดีมีดาวน์”

LPN ขน 9 โครงการ บ้าน-คอนโดฯ ร่วม “บ้านดีมีดาวน์”

LPN ขน 9 โครงการ 370 ยูนิต มูลค่า 830 ล้าน เข้าร่วมมาตรการรัฐ “บ้านดีมีดาวน์” สร้างโอกาสให้ประชาชนเข้าถึงการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ขณะเดียวกันยังจัดโปรโมชั่นเติมให้อีก 50,000 บาท เมื่อซื้อโครงการและโอนกรรมสิทธิ์ภายในสิ้นปีนี้ นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พีเอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า จากการอนุมัติของคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ภายใต้โครงการ “บ้านดีมีดาวน์” รัฐบาลจะสนับสนุนเงินแคชแบ็ค (Cash Back) เพื่อลดภาระผ่อนดาวน์ จำนวน 50,000 บาทแก่ผู้ซื้อที่อยู่อาศัย โดยสามารถเข้าร่วมโครงการ ลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ บ้านดีมีดาวน์ ได้ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2562 เวลา 8.00 น. จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 และจะต้องได้รับการอนุมัติสินเชื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินและจดจำนองตั้งแต่วันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 จนถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 คนละ 1 สิทธิ์ (1 บัตรประชาชนต่อ 1 สิทธิ์)   โดยรัฐบาลมอบสิทธิ์ให้แก่ผู้ที่สนใจที่อยู่ในเกณฑ์รายได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อเดือน ซึ่ง LPN ได้ตอบรับเข้าร่วมมาตรการนี้ โดยคัดสรรสินค้าคุณภาพทั้งบ้านและคอนโดฯ 9 โครงการ จำนวน 370 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 830 ล้านบาท ที่ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “ความพอดี ที่ดีกว่า” ใน 3 องค์ประกอบ ได้แก่ พอดีกับการออกแบบ พอดีกับการใช้ชีวิตที่สะดวกสบายปลอดภัยมากกว่าที่เคย และพอดีกับบริการที่ลงตัวในทุกความใส่ใจภายใต้การบริหารหลังการขายตามกลยุทธ์ “ชุมชนน่าอยู่” เพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า ซึ่งสิทธิประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับมี 3 ต่อ ดังนี้   ต่อที่ 1 ลูกค้าจะได้รับแคชแบ็ค (Cash Back) มูลค่า 50,000 บาทจากรัฐบาลหลังโอนกรรมสิทธ์ ต่อที 2 LPN เติมให้อีก 50,000 บาท เมื่อลูกค้าซื้อสินค้าของ LPN และโอนกรรมสิทธิ์ภายในสิ้นปี 2562 รวมมูลค่าระหว่างรัฐบาลและ LPN มูลค่า 100,000 บาท ต่อที่ 3 ลูกค้าได้รับอานิสงค์จากรัฐบาลในมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์จาก 2% เหลือ 0.01 % และลดค่าจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% โครงการของ LPN ที่เข้าร่วมแคมเปญ ได้แก่ กลุ่มโครงการคอนโดมิเนียม ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า - ริเวอร์วิว ลุมพินี วิลล์ สุขุมวิท 76แบริ่ง – สเตชั่น ลุมพินี สวีท เพชรบุรี – มักกะสัน กลุ่มโครงการบ้านพักอาศัย บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ รังสิต - คลอง ๒ บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ลาดปลาดุก – บางไผ่สเตชั่น บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ เพิ่มสิน – วัชรพล บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ราชพฤกษ์ – ปิ่นเกล้า บ้านลุมพินี ทาวน์พาร์ค ท่าข้าม - พระราม 2 ลุมพินี ทาวน์เพลส พระราม 2 - ท่าข้าม เงื่อนไขของมาตรการ “บ้านดีมีดาวน์” ได้แก่ ผู้เข้าร่วมมาตรการต้องเป็นผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อเดือน หรือไม่เกิน 1,200,000 บาทต่อปี และเป็นผู้ที่อยู่ในระบบฐานภาษีอากรของกรมสรรพากร จำกัดจำนวนสิทธิ์ ผู้ร่วมโครงการ 100,000 รายแรก ที่ผ่านเกณฑ์ตามแนวทางที่กระทรวงการคลังกำหนด ต้องเป็น “บ้านใหม่” เท่านั้น ระยะเวลาโครงการ ตั้งแต่วันที่ 27 พ.ย. 2562 – 31 มี.ค. 2563 โดยสามารถลงทะเบียนรับสิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 62 เป็นต้นไป โดยผู้สนใจร่วมโครงการ สามารถลงทะเบียนได้ที่ บ้านดีมีดาวน์ ขั้นตอนการเข้าร่วม ขั้นตอนที่ 1 ลงทะเบียนผ่านเว็บ บ้านดีมีดาวน์ โดยกรอกข้อมูลที่เกี่ยวข้องและยินยอมให้มีการนำข้อมูลส่วนบุคคลไปตรวจสอบคุณสมบัติกับกรมการปกครอง กรมสรรพากร NCB และ ITMX ขั้นตอนที่ 2 รอรับ SMS แจ้งผลรอบแรก ผู้ผ่านคุณสมบัติจะได้รับ SMS แจ้งผลการตรวจสอบรอบแรก กรมการปกครอง : มีตัวตนตามฐานข้อมูล กรมสรรพากร : อยู่ในระบบฐานภาษีและมีรายได้ปีละไม่เกิน 1.2 ล้านบาท ขั้นตอนที่ 3 พิจารณาคำขอกู้ สถาบันการเงินพิจารณาคำขอกู้ อนุมัติเงินกู้และดำเนินการจดจำนองให้แล้วเสร็จ โดยคำขอกู้ต้องไม่ผิดวัตถุประสงค์ของมาตรการ และผู้ขอกู้ต้องเป็นผู้ได้รับอนุมัติสินเชื่อและจดจำนองหลังจากวันที่ 27 พฤศจิกายน 2562 ซึ่งเป็นกำหนดเริ่มต้นของโครงการ ขั้นตอนที่ 4 ตรวจสอบข้อมูลกับ NCB และ ITMX ระบบตรวจสอบข้อมูลจากสถาบันการเงินของผู้กู้ร่วมมาตรการกับ NCB และ ITMX วัตถุประสงค์การกู้กับสถาบันการเงิน วันจดจำนองกับ NCB ความถูกต้องของเลขที่ PROMT PAY (ID card เท่านั้น) กับ ITMX ขั้นตอนที่ 5 โอนเงิน 50,000 บาท ธนาคารอาคารสงเคราะห์จะโอนเงินเข้าบัญชี PROMT PAY ที่ผูกกับเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก ของผู้กู้หลัก ขั้นตอนที่ 6 ผู้เข้าร่วมโครงการที่ได้รับสิทธิ์จะได้รับเงินโอน สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. LPN Call Center 02-689-6888 หรือ LPN
เปิดทดลองวิ่งแล้ว BTS สถานีห้าแยกลาดพร้าว-สถานี ม.เกษตร ให้บริการฟรีถึง 2 ม.ค.63

เปิดทดลองวิ่งแล้ว BTS สถานีห้าแยกลาดพร้าว-สถานี ม.เกษตร ให้บริการฟรีถึง 2 ม.ค.63

เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.62 เวลา 11.00 น. พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดทดลองให้บริการเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต จำนวน 4 สถานี จากสถานีห้าแยกลาดพร้าว-สถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยมีพล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วยนางศิลปสวย ระวีแสงสูรย์ ปลัดกรุงเทพมหานคร คณะผู้บริหารกรุงเทพมหานคร ผู้บริหารกระทรวงคมนาคม ผู้บริหารการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ผู้บริหารบริษัท กรุงเทพธนาคม จำกัด ผู้บริหารบริษัท ระบบขนส่งมวลชน-กรุงเทพ จำกัด (มหาชน) (BTSC)  และผู้ที่เกี่ยวข้อง ให้การต้อนรับและร่วมในพิธีเปิด โอกาสนี้นายกรัฐมนตรี และคณะผู้บริหารโดยสารรถไฟฟ้าจากสถานีห้าแยกลาดพร้าว ไปยังสถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก่อนเปิดให้ประชาชนใช้บริการอย่างเป็นทางการ   โครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต- สะพานใหม่- คูคต ได้เริ่มก่อสร้างในปี 2558 โดยการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) และกรุงเทพมหานครเป็นผู้ดำเนินงานติดตั้งระบบรถไฟฟ้าและเดินรถไฟฟ้าตามมติของคณะกรรมการจัดการระบบจราจรทางบกเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2558 ซึ่งเป็นโครงการหนึ่งของการดำเนินงานในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านระบบนส่งมวลชนทางรางตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561- พ.ศ.2580) ของรัฐบาล เพื่อเชื่อมต่อการเดินทางระหว่างกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ปัจจุบันโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต- สะพานใหม่-คูคต การก่อสร้างงานโยธาแล้วเสร็จเกือบ 100% อยู่ระหว่างการทดสอบระบบรถไฟฟ้าและเก็บรายละเอียดเพียงเล็กน้อย จึงได้เริ่มเปิดทดลองให้บริการเดินรถไฟฟ้าฟรี ไม่เก็บค่าโดยสาร จนถึงวันที่ 2 ม.ค.63  เพิ่มเติมจำนวน 4 สถานี ได้แก่ สถานีพหลโยธิน 24(N10) สถานีรัชโยธิน(N11) สถานีเสนานิคม(N12) และสถานีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์(N13) โดยกรุงเทพมหานคร เป็นผู้บริหารจัดการเดินรถโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงแบริ่ง-สมุทรปราการและช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต   สำหรับรูปแบบการเดินรถ แบ่งระยะเวลาการให้บริการเป็น 2 ช่วง คือ ช่วงเวลาเร่งด่วน (Peak) เช้าและเย็น ตั้งแต่เวลา 07.00 - 09.00 น. และตั้งแต่เวลา 16.30 -20.00 น. จะให้บริการเดินรถตั้งแต่สถานีเคหะสมุทรปราการ (E23) ไปตามเส้นทางสายสุขุมวิทจนถึงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (N13) แล้วกลับรถวิ่งให้บริการในเส้นทางเดิมไปจนถึงเคหะสมุทรปราการ (E23) ซึ่งจะวิ่งสลับแบบ 1 ต่อ 1 กับขบวนรถไฟฟ้าที่วิ่งให้บริการในเส้นทางสถานีหมอชิต (N8) ถึงสถานีสำโรง (E15)   นอกเวลาเร่งด่วน และวันหยุด (เสาร์-อาทิตย์) จะให้บริการตั้งแต่สถานีเคหะสมุทรปราการ (E23) ไปตามเส้นทางสายสุขุมวิท จนถึงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (N13) แล้วกลับรถวิ่งให้บริการในเส้นทางเดิมไปจนถึงเคหะสมุทรปราการ (E23)   คาดว่ามีผู้ใช้บริการอยู่ที่ 100,000 เที่ยวคนต่อวัน เนื่องจากเป็นเส้นทางที่อยู่ใกล้กับสถานที่ราชการ สถานศึกษา ศูนย์การค้า และย่านที่พักอาศัยหนาแน่น และหากเปิดเดินรถเต็มระบบจากสถานีหมอชิตถึงสถานีปลายทางคูคต ในช่วงปลายปี 2563 คาดการณ์ว่าจะมีผู้โดยสารมากกว่า 200,000 เที่ยวคนต่อวัน ลักษณะโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว ช่วงหมอชิต-สะพานใหม่-คูคต เป็นทางยกระดับตลอดเส้นทาง เริ่มตั้งแต่สถานีหมอชิตในปัจจุบัน ข้ามทางยกระดับดอนเมืองโทลล์เวย์บริเวณห้าแยกลาดพร้าว ผ่านแยกรัชโยธิน แยกมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ไปจนถึงบริเวณแยกหลักสี่และเบี่ยงออกด้านขวาเลียบไปตามขอบอุโมงค์ลอดแยกหลักสี่ และเบี่ยงเข้าสู่เกาะกลางดังเดิม ไปจนถึงบริเวณสะพานใหม่หน้าตลาดยิ่งเจริญ โดยเมื่อถึงประมาณกิโลเมตรที่ 25 ของถนนพหลโยธิน แนวเส้นทางจะเบี่ยงไปทางด้านทิศตะวันออก (ด้านเหนือของพื้นที่ประตูกรุงเทพฯ) ข้ามคลองสอง  ผ่านบริเวณด้านข้างของสถานีตำรวจภูธรคูคต เข้าสู่บริเวณเกาะกลางของถนนลำลูกกา และสิ้นสุดที่บริเวณคลองสอง (บริเวณสถานีคูคต) ระยะทางรวม 19 กิโลเมตร ประกอบด้วย 16 สถานี ได้แก่ สถานีห้าแยกลาดพร้าว, สถานีพหลโยธิน 24, สถานีรัชโยธิน, สถานีเสนานิคม, สถานี ม.เกษตรศาสตร์, สถานีกรมป่าไม้, สถานีบางบัว, สถานีกรมทหารราบที่ 11, สถานีวัดพระศรี-มหาธาตุ, สถานีพหลโยธิน 59, สถานีสายหยุด, สถานีสะพานใหม่, สถานี รพ.ภูมิพลอดุลยเดช, สถานีพิพิธภัณฑ์กองทัพอากาศ, สถานีแยก คปอ. และสถานีคูคต ซึ่งเป็นที่ตั้งของศูนย์ซ่อมบำรุงรถไฟฟ้า (Depot) จำนวน 1 แห่ง  และอาคารจอดแล้วจร (Park&Ride) จำนวน 2 แห่ง ได้แก่สถานีแยก คปอ. บริเวณถนนพหลโยธิน กิโลเมตรที่ 25 ที่สามารถจอดรถได้ถึง 1,042 คัน และสถานีคูคต บริเวณใกล้กับสถานีตำรวจภูธรคูคต ซึ่งสามารถจอดรถได้ประมาณ 713 คัน พร้อมทั้งมีจุดเชื่อมต่อกับระบบขนส่งมวลชนอื่นๆเช่นจุดเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้ามหานครสายเฉลิมรัชมงคล หรือรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงิน ที่สถานีห้าแยกลาดพร้าวและจุดเชื่อมต่อกับโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพู ที่สถานีวัดพระศรีมหาธาตุ เป็นต้น   ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครจะเร่งดำเนินการและประสานความร่วมมือกับ รฟม. ทุกๆด้านต่อไป เพื่อให้สามารถเปิดบริการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวช่วงหมอชิต- สะพานใหม่- คูคต ตลอดทั้งโครงการได้โดยเร็ว เพื่อเชื่อมโยงการเดินทาง รวมทั้งยกระดับคุณภาพการเดินทางและคุณภาพชีวิตของประชาชนต่อไป  
“ฮาบิแทท กรุ๊ป” ปั้นโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส 4,500 ล้าน พร้อมบุกตลาดลูกค้าต่างชาติ

“ฮาบิแทท กรุ๊ป” ปั้นโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส 4,500 ล้าน พร้อมบุกตลาดลูกค้าต่างชาติ

“ฮาบิแทท กรุ๊ป” ชี้ตลาดอสังหาฯเพื่อการลงทุนปี 2563  ยังเติบโตแต่ไม่หวือหวา พร้อมเดินหน้าชูกลยุทธ์ ” ไลฟ์สไตล์ อินเวสเม้นท์” เตรียมเปิดโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส 4,500 ล้าน ผนึกพันธมิตร ลีสต์ กรุ๊ป ญี่ปุ่น รุกขยายตลาดใหม่จับลูกค้าต่างชาติเพิ่ม ทั้ง ญี่ปุ่น ไต้หวัน ตะวันออกกลางและยุโรป ทดแทนตลาดจีน และฮ่องกง นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ปี 2563 คาดว่าจะไม่เติบโตจากปีนี้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมน่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2562  ซึ่งไม่เอื้ออำนวยต่อการดำเนินธุรกิจ และค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ทำให้กำลังซื้อได้รับผลกระทบ ขณะที่ปัญหาหนี้ภาคครัวเรือนที่เพิ่มสูงขึ้น ทำให้ธนาคารยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อมากกว่าระดับปกติ และยังมีปัจจัยเรื่องนโยบายการควบคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV)   แม้จะมีปัจจัยบวกอยู่บ้างจากการที่รัฐบาลออกมาตรการกระตุ้นตลาด ประกาศลดค่าธรรมเนียมการโอน และการจดจำนองให้เหลือเพียง 0.01% ของราคาประเมินไปจนถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2563 และยังมีโครงการบ้านดีมีดาวน์ ขณะที่อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำ แต่ภาพรวมตลาดอสังหาฯ น่าจะอยู่ในภาวะทรงตัว หรือใกล้เคียงกับปี 2562 ปี 63 โอกาสของลูกกค้าเลือกซื้ออสังหาฯ ราคาสุดคุ้ม สำหรับจำนวนโครงการที่อยู่อาศัยเปิดใหม่ คาดว่าจะใกล้เคียงกับปีนี้เช่นกัน โดยโครงการใหม่เปิดที่ออกสู่ตลาดจะเป็นโครงการแนวราบมากกว่าคอนโดมิเนียม ซึ่งโครงการใหม่ที่ดีเวลลอปเปอร์เลือกเปิด เชื่อว่ามีการคัดกรองมาอย่างดีไม่ว่าจะเป็นเรื่องทำเล  ลักษณะโครงการ และราคาที่มีความเหมาะสม เพราะว่ากำลังซื้อในตลาดถึงแม้ยังมีอยู่ แต่มีอยู่ไม่มากนัก เนื่องจากผู้บริโภคยังระมัดระวังในการใช้เงิน เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยซึ่งถือเป็นหนี้ผูกพันธ์ในระยะยาว   “อสังหาฯ ประเภทที่อยู่อาศัยยังถือว่าเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับปัจจัยของแต่ละทำเล ถ้ามีทำเลดีและมีราคาที่เหมาะสม แต่หากในบางทำเลก็ยังมีการชะลอตัว จากซัพพลายมีอยู่จำนวนมากจะยังคงซบเซาต่อไป อย่างไรก็ดี ในปี 2563 นี้จะเป็นปีที่ดีของผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อ และมีความต้องการแท้จริงเรื่องที่อยู่อาศัย ซึ่งจะได้รับประโยชน์ และได้เลือกสินค้าที่ดีมีคุณภาพจากการแข่งที่สูงขึ้นของตลาด” สำหรับแนวโน้มภาพรวมตลาดอสังหาฯ เพื่อการลงทุน ในปี 2563 คาดว่าตลาดยังคงเติบโตไปได้ต่อเนื่อง แม้ว่าจะไม่เติบโตสูงเหมือนในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมาก็ตาม เนื่องจากแนวโน้มการลงทุนอสังหาฯ ยังเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะได้ผลตอบแทนทั้งค่าเช่าระยะยาว อีกทั้งส่วนต่างมูลค่าสินทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น (Capital gain) ซึ่งหากลงทุนในทำเลที่ดี แตกต่างจากการลงทุนในตลาดหุ้น พันธบัตร กองทุนรวมที่มีความผันผวน และสามารถมีผลตอบแทนติดลบได้ นักลงทุนจึงนิยมลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เพราะมีความเสี่ยงต่ำ จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่หลายราย หันมาให้ความสนใจลงทุนโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนเพิ่มมากขึ้น   “คนที่มีเงินสดในมือ ไม่ว่าจะเป็นคนไทยหรือต่างชาติ ก็ยังมีความต้องการลงทุนในอสังหาฯ เมืองไทยอยู่ ถ้าหากมีการนำเสนอโปรดักส์ที่ตอบโจทย์ มีการรันตีผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า ซึ่งในปีหน้าเรียกว่าเป็นช่วงจังหวะที่ดีสำหรับผู้ที่มีกำลังทรัพย์ในการซื้ออสังหาฯเพื่อลงทุน เพราะสามารถต่อรองราคาได้มาก แถมได้รับโปรโมชั่นที่ดี เพราะดีเวลลอปเปอร์เองต้องการผลักดันยอดขาย ในปีหน้าจึงถือเป็นตลาดของผู้ซื้ออยู่เอง และซื้อเพื่อลงทุนจริงๆ” เปิดโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส 4,500 ล้าน สำหรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจของฮาบิแทท กรุ๊ป ในปี 2563 ยังมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการเพื่อการลงทุนในรูปแบบไลฟ์สไตล์ อินเวสเม้นท์ (Lifestyle Investment) มากขึ้น โดยปีหน้าจะหันมาโฟกัสการลงทุนในพื้นที่พัทยาเป็นหลัก  เพื่อรองรับการเป็นศูนย์กลางภาคตะวันออก เนื่องจากพัทยาได้ชื่อว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวเชิงธุรกิจอันดับต้นๆ ของประเทศไทย ประกอบกับมีกำลังซื้อทั้งจากนักท่องเที่ยวคนไทย และชาวต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวในเมืองพัทยา   โดยคาดว่าพัทยามีการเติบโตอีกมากใน 5 ปีข้างหน้า ส่วนหนึ่งเกิดจากโครงการพัฒนาพื้นที่พิเศษภาคตะวันออก หรืออีอีซี ที่ภาครัฐให้การสนับสนุนและลงทุนในโครงการพื้นฐาน อาทิ โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่เชื่อมต่อ 3 สนามบิน  คือ สนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ และสนามบินอู่ตะเภา โครงการขยายสนามบินอู่ตะเภา หรือมอเตอร์เวย์ส่วนต่อขยาย ไประยอง อู่ตะเภา มาบตาพุด ส่งผลให้มีการลงทุนหลั่งไหลเข้ามาในพัทยา ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐ ต่างประเทศ และภาคเอกชน มากขึ้น นายชนินทร์ กล่าวอีกว่า ในปีหน้า ฮาบิแทท กรุ๊ป ยังดำเนินการตามแผนเดิมคือ การเปิดตัวโครงการมิกซ์ยูสอีก 1 โครงการ บนทำเลติดทะเลนาจอมเทียน ประกอบไปด้วย คอนโดฯ ซื้อเพื่อลงทุนและคอนโดฯ ซื้อเพื่ออยู่อาศัย และโรงแรมระดับ 5 ดาว มูลค่ากว่า 4,500 ล้านบาท หลังจากที่บริษัทฯได้ลงทุนพัฒนาโครงการในพัทยาไปแล้วทั้งหมด 7 โครงการ มูลค่ารวมทั้งสิ้นกว่า 5,500 ล้านบาท โดยเป็นโครงการที่ได้เปิดให้บริการในรูปแบบของโรงแรมแล้วจำนวน 3 แห่งคือ เดอะ วิลล์ จอมเทียน, ครอสทู ไวบ์ พัทยา ซีเฟียร์, ครอสทู พัทยา โอเชี่ยนเฟียร์ และเตรียมเปิดบริการเพิ่มอีก 2 แห่งในปี 2563 คือ บลูเฟียร์ บีดับเบิลยู พรีเมียร์ คอลเล็คชั่น บาย เบสท์เวสเทิร์น และเบสท์เวสเทิร์น พรีเมียร์ เบย์เฟียร์ พัทยา   ส่วนในกรุงเทพฯ ฮาบิแทท กรุ๊ป ยังเน้นการลงทุนในทำเลซีบีดีอย่าง อโศก พร้อมพงศ์ และทองหล่อ เพราะ “ทำเล” ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการลงทุน ที่สร้างผลตอบแทนสูงให้กับนักลงทุนทั้งผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า และแคปปิตอลเกน เฉลี่ยที่ 10% ขึ้นไปเมื่อผ่านไป 3-5 ปี  อย่างไรก็ดีปีหน้าตลาดในกรุงเทพฯ ฮาบิแทท กรุ๊ป จะโฟกัสการทำตลาดและการขายใน 2 โครงการที่ได้เปิดตัวล่าสุด คือโครงการ วาลเด้น ทองหล่อ 8 และวาลเด้น ทองหล่อ 13  โดยทั้ง 2 โครงการเป็น คอนโด ลักชัวรี่โลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น ราคาเริ่มต้นที่ 7 ล้านบาท เดินหน้าจับตลาดลูกค้าต่างชาติ นอกจากนี้ในปี 2563 ฮาบิแทท กรุ๊ป ยังมองหาตลาดใหม่ๆ จากเมื่อก่อนที่เน้นเจาะโดยเฉพาะลูกค้าในตลาดจีน และฮ่องกง ซึ่งเป็นตลาดใหญ่มีสัดส่วน 50% ที่เข้ามาซื้ออสังหาฯในไทย แต่ปัจจุบันทั้งสองตลาดมีการชะลอตัวไปมาก จากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจในประเทศ  ซึ่งในปีหน้า ฮาบิแทท กรุ๊ป ที่มีการผนึกกับพันธมิตรอย่าง ลิสต์ กรุ๊ป จากญี่ปุ่น จึงจะเข้าไปขยายตลาดใหม่ เช่น ญี่ปุ่น ไต้หวัน ตะวันออกกลาง และยุโรป เพื่อมาทดแทนตลาดจีน และฮ่องกง พร้อมทั้งมุ่งตอกย้ำรูปแบบพัฒนาโครงการ ไลฟ์สไตล์ อินเวสเม้นท์ มากขึ้น เพื่อสร้างความแตกต่าง ขณะเดียวกัน ก็จะร่วมกับกูรูทางด้านการลงทุน จัดเสวนาให้ความรู้เรื่องการลงทุนให้กับผู้ซื้ออย่างต่อเนื่อง   สามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการต่างๆได้ทางเว็บไซต์ของฮาบิแทท กรุ๊ป หรือโทร. 02-168-8266 เฟสบุ๊ค HabitatGroupProperties และไลน์ @habitatgroup อินสตาแกรม habitatgroup.th    
“มั่นคงฯ” ขน 10 โปรเจ็กต์ ร่วม “บ้านดีมีดาวน์”​

“มั่นคงฯ” ขน 10 โปรเจ็กต์ ร่วม “บ้านดีมีดาวน์”​

มั่นคงฯ ขานรับนโยบาย “บ้านดีมีดาวน์” คัด 10 โครงการ กว่า 300 ยูนิต เข้าร่วม ตอบโจทย์ความต้องการซื้อบ้านและกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ปลายปี มั่นคง เข้าร่วมโครงการ “บ้านดีมีดาวน์” 10 โครงการ นายศักดินา แม้นเลิศ รองกรรมการผู้จัดการสายงานบริหารโครงการ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK เปิดเผยว่า ได้นำโครงการที่อยู่อาศัยของบริษัท. เข้าร่วมโครงการ “บ้านดีมีดาวน์” ทั้งหมด 10 โครงการ จำนวนกว่า 300 ยูนิต เพื่อช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย และกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ให้กลับมาคักคัก  ด้วยการมอบสิทธิพิเศษสำหรับผู้ที่จองที่อยู่อาศัย ในโครงการของบริษัท  ได้แก่ ฟรีค่ามิเตอร์น้ำ – มิเตอร์ไฟ, ฟรีค่าส่วนกลาง 3 ปี, เฟอร์นิเจอร์ห้องนอนใหญ่ 1 ชุด, เครื่องปรับอากาศห้องนอนใหญ่ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอีก  5 รายการ ทาวน์โฮม บ้านแฝด และบ้านเดี่ยว จากมั่นคงฯ  สำหรับโครงการที่เข้าร่วมนโยบาย “บ้านดีมีดาวน์” ได้แก่ ทาวน์โฮม 6 โครงการ ได้แก่ ชวนชื่น ทาวน์ ชัยพฤกษ์ – แจ้งวัฒนะ, ชวนชื่น ทาวน์ รังสิต-คลอง 1, ชวนชื่น ทาวน์ ราชพฤกษ์ - 345, ชวนชื่น ทาวน์ แก้วอินทร์-บางใหญ่, ชวนชื่น ทาวน์ – บางใหญ่, ชวนชื่น ทาวน์ วิลเลจ บางนา บ้านแฝด 1 โครงการ ได้แก่  ชวนชื่น พาร์ค อ่อนนุช-วงแหวน และ บ้านเดี่ยว 3 โครงการ ได้แก่ ชวนชื่น ไพรม์ วิลเลจ บางนา, ชวนชื่น ไพร์มวิลล์ กรุงเทพ-ปทุมธานี และ ชวนชื่น ซิตี้ วัชรพล - รามอินทรา โครงการบ้านดีมีดาวน์  ที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติออกมาตรการ มาช่วยลดภาระการซื้อที่อยู่อาศัย และสนับสนุนให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองนั้น ทางภาครัฐสนับสนุนเงินผ่อนดาวน์รายละ 50,000 บาท สำหรับผู้ที่มีรายได้ไม่เกิน 1,200,000 บาทต่อปี จำนวน 100,000 ราย โดยจะเปิดให้ลงทะเบียนขอรับสิทธิตั้งแต่วันที่ 11 ธันวาคม 2562 จนถึง 31 มีนาคม 2563  และทำนิติกรรม จดจำนองบ้านได้ตั้งแต่ 27 พฤศจิกายน 2562 - วันที่ 31 มีนาคม 2563   นายศักดินา กล่าวอีกว่า โครงการดังกล่าวนับเป็นมาตรการ ที่จะเข้ามามีส่วนช่วยกระตุ้นความต้องการซื้อและหนุนภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ให้กลับมาคึกคัก ซึ่งหากมองในภาพรวมต้องยอมรับว่าธุรกิจอสังหาฯ  สามารถสร้างเม็ดเงินหมุนเวียน อีกทั้งยังเชื่อมโยงกลุ่มธุรกิจอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็น วัสดุก่อสร้าง เหล็ก เฟอร์นิเจอร์ อินทีเรียดีไซน์ เป็นต้น ขณะเดียวกันในแง่ของผู้บริโภค ก็ได้รับประโยชน์เช่นเดียวกัน ข้อมูลเพิ่มเติมโครงการจากมั่นคงฯ ทั้ง 10 โครงการ ชวนชื่น ทาวน์ ชัยพฤกษ์ – แจ้งวัฒนะ ชวนชื่น ทาวน์ รังสิต-คลอง 1 ชวนชื่น ทาวน์ ราชพฤกษ์ - 345 ชวนชื่น ทาวน์ แก้วอินทร์-บางใหญ่ ชวนชื่น ทาวน์ – บางใหญ่ ชวนชื่น ทาวน์ วิลเลจ บางนา ชวนชื่น พาร์ค อ่อนนุช-วงแหวน ชวนชื่น ไพรม์ วิลเลจ บางนา ชวนชื่น ไพร์มวิลล์ กรุงเทพ-ปทุมธานี ชวนชื่น ซิตี้ วัชรพล - รามอินทรา  
“ซิซซา” ลุยอสังหาฯ เพื่อการลงทุน ใช้แบรนด์วินแดม การันตีผลตอบแทน 6%

“ซิซซา” ลุยอสังหาฯ เพื่อการลงทุน ใช้แบรนด์วินแดม การันตีผลตอบแทน 6%

หลังจากบริษัท ซิซซา กรุ๊ป จำกัด ได้ประกาศลงทุนพัฒนาโครงการวินแดม แกรนด์ ในหาน บีซ ภูเก็ต มูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท เมื่อช่วงปี 2561 ปัจจุบันโครงการมีความคืบหน้า ใกล้เปิดตัวในช่วงไตรมาสแรกของปี 2563 แล้ว ซึ่งปัจจุบันสามารถทำยอดขายได้กว่า 80% จากจำนวนห้องทั้งหมด 353 ยูนิต   สำหรับโครงการดังกล่าว เป็นการพัฒนาในรูปแบบอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน หรือ Investment Property ซึ่งร่วมกับกลุ่มโรงแรมชั้นนำอย่างแบรนด์ วินแดม โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (WYNDHAM Hotels and Resorts) เข้ามาบริหารภายใต้สัญญาการบริหาร 15 ปี อสังหาฯ เพื่อการลงทุนได้ผลตอบแทน 8-10% นายอรรถนพ พันธุ์กำเนิด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซิซซา กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า สถานการณ์การท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต แม้ว่าช่วงที่ผ่านมากลุ่มนักท่องเที่ยวหลัก ซึ่งเป็นชาวจีนได้ชะลอตัวลงไปจำนวนมาก แต่มีฐานนักท่องเที่ยวใหม่เข้ามาเพิ่ม อาทิ ชาวอินเดีย รัสเซีย ทำให้ตลาดนักท่องเที่ยวยังคงเติบโตต่อเนื่อง นอกจากนี้ แม้ว่าตลาดอสังหาฯ ในส่วนของที่พักอาศัยจะชะลอตัวลง จากภาวะกำลังซื้อและภาวะเศรษฐกิจ แต่ตลาดอสังหาฯ ในส่วนของการลงทุนยังมีอัตราการเติบโตที่ดี เพราะการลงทุนในตลาดอสังหาฯ ยังได้ผลตอบแทนสูงกว่าการลงทุนประเภทอื่น ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในตลาดทุน หรือตราสารหนี้ ส่วนการลงทุนในตลาดหุ้นถือว่ามีความเสี่ยงสูง “ผลตอบแทนจากการลงทุนในอสังหาฯ เพื่อการลงทุน จะได้รับผลตอบแทน 8-10% สำหรับกลุ่มระดับ 5 ดาวขึ้นไป ขณะที่การลงทุนในตลาดทุนหรือตราสารหนี้ จะได้ผลตอบแทนประมาณ 6-7%” ซัพพลายใหม่เข้าตลาด 10 โปรเจ็กต์ ปัจจุบันตลาดภูเก็ตยังถือว่าไม่มีรูปแบบการพัฒนาโครงการอสังหาฯ เพื่อการลงทุน แต่หลังจากบริษัทเปิดตัวออก ส่งผลให้ผู้ประกอบการหลายราย เข้ามาพัฒนาโครงการในลักษณะดังกล่าว ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาและเตรียมเปิดตัว น่าจะมีประมาณ 10 โครงการ รวมจำนวนกว่า 2,000-3,000 ห้อง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการซื้อสิทธิแฟรนไชส์แบรนด์ต่างๆ เข้ามาบริหารเอง แตกต่างจากบริษัทที่ได้เจ้าของแบรนด์เข้ามาบริหารจัดการ   นายออรถนพ กล่าวว่า หลายปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการในภูเก็ต เริ่มหันมาพัฒนาสินค้าในลักษณะอสังหาฯ เพื่อการลงทุน Investment Property จำนวนมาก จนทำให้การแข่งขันสูง และซิซซา กรุ๊ป ได้เล็งเห็นทิศทางของตลาด จึงได้ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญกับกลุ่มวินแดมฯ ซึ่งเป็นกลุ่มโรงแรมรีสอร์ทที่มีจำนวนสาขาในเครือมากที่สุดของโลก ที่จะพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าในตลาดระดับบน  ​ วินแดม แกรนด์ ในหาน บีช ภูเก็ต การันตีผลตอบแทน 6% ใน 2 ปี สำหรับโครงการ วินแดม แกรนด์ ในหาน บีช ภูเก็ต เป็นอสังหาฯ เพื่อการลงทุน โดยการันตีผลตอบแทนการลงทุน 2 ปีแรกที่ 6% และปีที่ 3-15 เป็นการจ่ายปันผลตามผลประกอบการโรงแรม โดยสัดส่วนรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายนักลงทุนจะได้รับไปเป็นจำนวนเต็ม 100%   ตามคาดการณ์นักลงทุนมีโอกาสได้ผลตอบแทนรวมเฉลี่ย 10% ต่อปี หากอัตราการเข้าพักเฉลี่ยมากกว่า 80% ต่อปี โดยที่นักลงทุนมีสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของและถือโฉนดยูนิตที่ลงทุน ซึ่งนอกจากนักลงทุนจะได้รับผลตอบแทนในการลงทุนจากการบริหารงานของวินแดมแล้ว นักลงทุนยังได้สิทธิ์เข้าพักในโรงแรมฟรี 30 วันต่อปีและสิทธิพิเศษอื่นๆมากมาย   โครงการ วินแดม แกรนด์ ในหาน บีช ภูเก็ต ตั้งอยู่บริเวณชายหาดในหาน ซึ่งเป็นหนึ่งในชายหาดที่มีชื่อเสียงของ จ.ภูเก็ต สร้างเป็นอาคารสูง 4 ชั้น แบ่งเป็นห้อง 2  แบบ ขนาดตั้งแต่ 40 ตารางเมตร ขึ้นไป และ 60 ตารางเมตร จำนวนรวม 353 ยูนิต มีทั้งหมด 12 อาคาร แบ่ง 4 อาคารบริหารเป็นโรงแรมเต็มรูปแบบ และ 8 อาคารแบ่งขายเพื่อการลงทุน   ข้อมูลเพิ่มเติม บริษัท ซิซซา กรุ๊ป จำกัด      
มั่นคงฯ เพิ่มทุน 1,000 ล้าน ตั้งบริษัทย่อยลุยธุรกิจโรงงานให้เช่า  

มั่นคงฯ เพิ่มทุน 1,000 ล้าน ตั้งบริษัทย่อยลุยธุรกิจโรงงานให้เช่า  

มั่นคงฯ เดินหน้าแผนธุรกิจ 5 ปี เพิ่มสัดส่วนธุรกิจเช่าและบริการ 50% เพิ่มทุน 1,000 ล้าน​ ตั้งบริษัทในเครือ “พรอสเพค รีท แมเนจเมนท์” มุ่งขยายธุรกิจโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า ภายใต้ชื่อ “โครงการบางกอก ฟรี เทรด โซน” พร้อมจัดตั้งกองทรัสต์ เพื่อการลงทุนในอสังหาฯ     ตามแผนระยะ 5 ปี บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน)  ต้องการเพิ่มสัดส่วนกำไรในธุรกิจเพื่อเช่าและบริการ ให้ขึ้นมาเท่ากับธุรกิจพัฒนาเพื่อขาย หรือสัดส่วน 50% จากปัจจุบันรายได้และกำไรหลักมาจากธุรกิจพัฒนาเพื่อขาย ทำให้บริษัทมองหาโอกาสและเพิ่มพอร์ตธุรกิจเช่าและบริการให้มากขึ้น ในปีที่ผ่านมาบริษัทจึงได้ลงทุนถือหุ้น 100%  จัดตั้งบริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด หรือ (PD) เพื่อพัฒนาโครงการบางกอก ฟรี เทรด โซน (Bangkok Free Trade Zone : BFTZ) ซึ่งเป็นโรงงานให้เช่าที่ตั้งอยู่บนถนนบางนาตราด กม.23  ถือเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมที่สำคัญ สามารถเชื่อมโยงฐาน การผลิตในการขนส่งสินค้าทั้งทางบกทางอากาศและทางทะเล  เนื่องจากอยู่ใกล้กรุงเทพฯ และนิคมอุตสาหกรรมหลายแห่ง อาทิ นิคมอุตสาหกรรมบางพลี และนิคมอุตสาหกรรมบางปู   ภายในโครงการประกอบด้วยอาคารคลังสินค้าและอาคารโรงงาน บนพื้นที่กว่า 1,000 ไร่ ประกอบด้วย พื้นที่เพื่อการเช่า (Leasable Area) 700 ไร่ และพื้นที่เพื่อการสาธารณูปโภค อาทิ ถนนสาธารณะ โรงบำบัดน้ำเสีย และส่วนการรักษาความปลอดภัยภายในโครงการ ฯลฯ อีก 300 ไร่  โครงการนี้ตั้งอยู่ในพื้นที่สีม่วง (ที่ดินประเภทอุตสาหกรรมและคลังสินค้า) จากปัจจัยต่างๆ ส่งผลให้โครงการ BFTZ ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก อัตราการเช่าพื้นที่อยู่ที่ประมาณกว่า 90% โดยกลุ่มผู้เช่าหลักคือ ญี่ปุ่น มีสัดส่วนอยู่ที่ประมาณ 34% นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK  เปิดเผยว่า โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 อัตรารายได้จากค่าเช่าเติบโตถึง 30% และมีอัตราผู้เช่ากว่า 90% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561 จากพื้นที่เช่ากว่า 150,000 ตารางเมตร ปัจจุบันบริษัทฯ มีการก่อสร้างโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าเพิ่มเติมอีก 70,000 ตารางเมตร  ซึ่งจะแล้วเสร็จในช่วงกลางปี 2563  โดยคาดว่าจะสามารถพัฒนาโครงการเต็มพื้นที่ประมาณ  280,000 ตารางเมตร  ภายในสิ้นปี 2563   จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของ พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท จึงได้มีมติอนุมัติให้ บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด จัดตั้งบริษัทย่อยแห่งใหม่ ภายใต้ชื่อ บริษัท พรอสเพค รีท แมเนจเมนท์ จํากัด ด้วยทุนจดทะเบียน 1,000 ล้านบาท เพื่อดำเนินธุรกิจผู้จัดการกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งการจัดตั้งบริษัทดังกล่าว จะถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มธุรกิจของ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน)     นอกจากการอนุมัติจัดตั้งบริษัทย่อยแล้ว ล่าสุดได้ออกหุ้นกู้มูลค่าทั้งสิ้นไม่เกิน 1,650 ล้านบาท อายุ 3 ปี 11 เดือน 19 วัน ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2566 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.75%  ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุกๆ 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ ซึ่งสามารถจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท โดยพร้อมเสนอขายในวันที่ 2 – 11 ธันวาคม 2562
วิลล่า คุณาลัย น้องใหม่ใน mai เคาะราคาขายหุ้นละ 1.10 บาท พร้อมเทรด 17 ธ.ค. 62 

วิลล่า คุณาลัย น้องใหม่ใน mai เคาะราคาขายหุ้นละ 1.10 บาท พร้อมเทรด 17 ธ.ค. 62 

“วิลล่า คุณาลัย” เคาะราคาขายหุ้น IPO หุ้นละ 1.10 บาท พร้อมแต่งตั้ง บล. เอเชีย เวลท์ เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่าย  และรับประกันการจัดจำหน่าย เตรียมเสนอขาย วันที่ 3-4 และ 6 ธันวาคมนี้ พร้อมลงสนามเทรดใน mai วันแรก 17  ธันวาคม วิลล่า คุณาลัย พร้อมจำหน่ายหุ้นสามัญ นายกอบเกียรติ บุญธีรวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเชีย เวลท์ จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (Lead Underwriter) บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ KUN เปิดเผยว่าได้กำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ของ KUN ระดับราคา 1.10 บาทต่อหุ้น จำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน จำนวน 150 ล้านหุ้น โดยมีมูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็น 25% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด คิดเป็นมูลค่าการระดมทุน 165 ล้านบาท โดยพิจารณาจากอัตราส่วนราคา ต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio)  10.78 เท่า โดยคำนวนกำไรสุทธิต่อหุ้น จากผลการดำเนินงานในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด (ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 61 ถึง ไตรมาส 3 ปี 62) เทียบกับอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio) เฉลี่ยของบริษัทใกล้เคียงที่อยู่ในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน มีค่าเท่ากับ 11.24 เท่า และมีส่วนลดให้กับนักลงทุนเล็กน้อย ซึ่งระดับราคาดังกล่าวถือเป็นราคาที่เหมาะสม เมื่ออิงกับปัจจัยพื้นฐาน ด้านนางประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิลล่าฯ กล่าวว่า  การระดมทุนในครั้งนี้ บริษัทได้เม็ดเงินจากการระดมทุน จำนวน 165 ล้านบาท โดยจะนำไปใช้ในวัตถุประสงค์หลัก ได้แก่ การสร้างการเติบโตในระยะ 3 ปีข้างหน้า ด้วยการจัดซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการต่อเนื่องมูลค่า 30 ล้านบาท การชำระหนี้กับสถาบันการเงิน 60 ล้านบาท รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ วิลล่า คุณาลัย เตรียมบุกตลาดรอบกทม. สำหรับแนวทางการพัฒนาโครงการ บริษัทจะพัฒนาภายใต้แนวคิด “สุขใจอยู่บ้านชานเมือง” ซึ่งปัจจุบันพัฒนาในอำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี และจังหวัดฉะเชิงเทรา ในอนาคตมีแผนพัฒนาและขยายโครงการในทำเลอื่นๆ ตามแผนยุทธ์ศาสตร์ป่าล้อมเมือง ให้ครบ 4 ทิศ รอบกรุงเทพมหานคร (เหนือ, ใต้, ตะวันออก, ตะวันตก) ซึ่งเป็นไปตามนโยบายและวิสัยทัศน์ที่บริษัทวางไว้ เพื่อเพิ่มศักยภาพความแข็งแกร่งของแบรนด์ธุรกิจ สำหรับแผนการเปิดโครงการใหม่ในอนาคตนั้น บริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่ จำนวน 2 โครงการ มูลค่ารวม 2,172 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วย 1.โครงการคุณาลัย จอย 2 ซึ่งเป็นโครงการประเภทบ้านแฝด-บ้านเดี่ยว 2 ชั้น มูลค่าโครงการประมาณ 1,500 ล้านบาท ตั้งอยู่ในจังหวัดนนทบุรี โดยคาดว่าสามารถเปิดการขายได้ ภายในไตรมาส 2 ปี 2563 และ 2.โครงการวิลล่า วาณิช เป็นโครงการประเภทอาคารพาณิชย์ มูลค่าโครงการประมาณ 672 ล้านบาท ตั้งอยู่อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรีเช่นกัน   โครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบ ที่ดำเนินการอยู่ทั้งหมด 7 โครงการ ภายใต้ 4  แบรนด์ ซึ่งประกอบด้วย คุณาลัย บีกินส์ , คุณาลัย ซิมโฟนี, คุณาลัย พอลเลน และคุณาลัย จอย ซึ่งโครงการดังกล่าวตั้งอยู่ที่บางบัวทอง บนพื้นที่ 250 ไร่ ล่าสุด บริษัทได้ขยายพื้นที่เพื่อพัฒนาโครงการใหม่ที่ฉะเชิงเทรา ภายใต้โครงการ “คุณาลัย จอย ออน 314” บนพื้นที่ประมาณ 24 ไร่ โดยมองว่าทำเลดังกล่าวมีศักยภาพ อัตราการเติบโต และมีความต้องการของแหล่งที่อยู่อาศัย เช่นเดียวกับย่านบางบัวทอง ประกอบกับเขตพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นแหล่งพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) สรุปผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรก ของ วิลล่า คุณาลัย ส่วนผลการดำเนินงานช่วง 9 เดือนแรก ของปี 2562 บริษัทมีกำไรสุทธิ 43.15 ล้านบาท และมีอัตรากำไรขั้นต้น 28% ซึ่งสูงกว่ากำไรในปี 2561 ที่ผ่านมา ที่มีกำไรสุทธิ 11.56 ล้านบาท มีอัตรากำไรขั้นต้น 25% ในขณะที่ปี 2560 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 10.80 ล้านบาท และ ปี 2559 บริษัทฯ มีความสามารถในการทำกำไรสุทธิที่ระดับ 5.94 ล้านบาท และส่วนอัตราการเติบโตของรายได้ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ   ทั้งนี้ KUN มีนโยบายการจ่ายปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และทุนสำรองตามกฎหมายในแต่ละปี ข้อมูลโครงการจาก วิลล่า คุณาลัย คุณาลัย บีกินส์  คุณาลัย ซิมโฟนี คุณาลัย พอลเลน  คุณาลัย จอย บางบัวทอง  คุณาลัย จอย ออน 314