Tag : News

2376 ผลลัพธ์
อสังหาฯ 63 ยังน่าห่วง กำลังซื้อมี แต่น้อย แนะบริหารสต็อก-ทำตลาดระมัดระวัง

อสังหาฯ 63 ยังน่าห่วง กำลังซื้อมี แต่น้อย แนะบริหารสต็อก-ทำตลาดระมัดระวัง

ศูนย์ข้อมูลฯ ​ประเมินสถานการณ์ อสังหาฯ หลังรัฐออกมาตรการมากระตุ้นตลาด ประเมินยังติดลบ 2% โดยมีบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้าน รอขาย 84,191 ยูนิต พร้อมส่งสัญญาณเตือนปีหน้า ดำเนินธุรกิจอย่างระมัดระวัง-บริหารสต็อกในมืออย่างพอดี แม้กำลังซื้อมีแต่ปริมาณน้อย ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์  เปิดเผยถึงสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย ไตรมาส 3 ต่อเนื่องไตรมาส 4 ปี 2562 ว่า หลังจากที่รัฐบาลประกาศมาตรการลดภาระให้กับผู้ซื้อที่อยู่อาศัย เพื่อสนับสนุนและบรรเทาภาระให้แก่ประชาชนที่ต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง เหมาะสมกับศักยภาพของประชาชนแต่ละกลุ่ม โดยรัฐบาลจะลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนกรรมสิทธิ์จากเดิม 2% เหลือ 0.01% และลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิม 1% เหลือ 0.01%  เฉพาะการซื้อขายที่อยู่อาศัยที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุด ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อยูนิต และโครงการ “บ้านดีมีดาวน์” ซึ่งให้การสนับสนุนเงินดาวน์ 50,000 บาท แก่ผู้ซื้อที่อยู่อาศัย มาตรการดังกล่าวส่งผลต่อภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยปี 2563   โดยเดิมทางศูนย์ข้อมูลฯ ประเมินว่า ตัวเลขการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย จะติดลบถึง 7.7% แต่เมื่อมีมาตรการมากระตุ้นการซื้อขาย และโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยของรัฐบาล จะส่งผลดีทำให้ภาพรวมติดลบเพียง 2.2% หรือลดลง 0.6% จากปี 2561   สำหรับสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย ในไตรมาส 3 ปี 2562 ยังคงเป็นช่วงเวลาที่ได้รับแรงส่ง หรือแรงสนับสนุนจากมาตรการลดค่าทำเนียมการโอนและค่าธรรมเนียมการจัดจำนอง ซึ่งได้ออกมาตรการมาก่อนหน้านี้ สำหรับบ้านในระดับราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท ซึ่งกลุ่มใหญ่คือโครงการบ้านเอื้ออาทร โครงการที่อยู่อาศัยในภูมิภาค และคอนโดมิเนียมในพื้นที่ปริมณฑล บ้านราคาไม่เกิน 3 ล.รอขาย 84,191 ยูนิต อย่างไรก็ตามสถานการณ์ตลาดในช่วงครึ่งแรกของปี 2562 จำนวนที่อยู่อาศัยเหลือขายภาพรวมทั่วประเทศ ครึ่งแรกปี 2562 มีจำนวนยูนิตเหลือขาย  270,131 ยูนิต ประกอบด้วยโครงการในพื้นที่กรุงเทพฯปริมณฑล 151,993 ยูนิต คิดเป็น 56.3% ของจำนวนที่อยู่อาศัยเหลือขาย และอยู่ในพื้นที่ภูมิภาค 20 จังหวัดหลัก มีจำนวน 118,138 ยูนิต คิดเป็น 43.7%   ขณะที่ที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และก่อสร้างเสร็จรอการขาย ช่วงเวลาเดียวกันทั่วประเทศ มีจำนวนประมาณ 158,895 ยูนิต เป็นกลุ่มระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท จำนวน 84,191 ยูนิต คิดเป็น  53% ของจำนวนที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างเสร็จและรอการขาย  เป็นคอนโดมิเนียมพักอาศัย 43,597 ยูนิต คิดเป็น 51.8%   โดยในจำนวนดังกล่าว แบ่งเป็นโครงการที่อยู่อาศัยในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล 95,462 ยูนิต เป็นกลุ่ม ราคาไม่เกิน 3.0 ล้านบาท จำนวน 48,465 ยูนิต คิดเป็น 50.8%  โดยเป็นคอนโดมิเนียม 30,873 ยูนิต คิดเป็น 63.7% ขณะที่ในภูมิภาค มีจำนวน 63,433 ยูนิต เป็นกลุ่มระดับราคาไม่เกิน 3.0 ล้านบาท 35,726 ยูนิต เป็น 56.3% เป็นคอนโดมิเนียม 12,724 ยูนิต คิดเป็น 35.6%   ส่วนประมาณการที่อยู่อาศัยเหลือขายทั่วประเทศ ครึ่งหลังปี 2562 จะมีจำนวน  257,969 ยูนิต แบ่งเป็นอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล 149,284 ยูนิต หรือคิดเป็น 56.3% ในพื้นที่ภูมิภาคจำนวน 108,685 ยูนิต คิดเป็น 43.7% บ้านราคาไม่เกิน 1 ล. ช่วยพยุงตลาด 9 เดือนแรก สำหรับสถานการณ์ด้านความต้องการที่อยู่อาศัยในช่วงครึ่งหลังปี 2562 ประเมินจากข้อมูลการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย พบว่าภาพรวมทั่วประเทศในช่วงไตรมาส 3 ปี 2562 มียูนิตการโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 101,704 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 11.1% มีมูลค่ารวม 227,793 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 12.4%  ซึ่งเป็นผลส่วนหนึ่งจากการโอนคอนโดมิเนียมราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท ซึ่งมีจำนวนมากถึง 16,179 ยูนิต อยู่ในพื้นที่ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล รวม 13,984 ยูนิต   ขณะที่ภาพโดยรวมมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย ทุกประเภททุกระดับราคาในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล รวม 53,936 ยูนิต หรือคิดเป็น  53.0% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 10.9% เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในภูมิภาค 47,768 ยูนิต คิดเป็น  47.0% หรือเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 13.1%   ด้านมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ภาพรวมทั่วประเทศช่วงไตรมาส 3 ปี 2562 มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ 227,793 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 12.4% เป็นมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล 146,827 ล้านบาท  คิดเป็น 64.5% โดยเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา 9.6% เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในภูมิภาค 80,966 ล้านบาท คิดเป็น 35.5% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีแล้ว 17.8% คาดเปิดตัวใหม่ กว่า 112,000 ยูนิต สำหรับอุปทานใหม่ที่จะเข้ามาในตลาดปี 2562 คาดว่าจะมีการปรับตัวในช่วงครึ่งหลังปี 2562 เมื่อพิจารณาจากไตรมาส 3 ปี 2562 ประมาณการว่าจะมีการเปิดขายโครงการใหม่ประมาณ 20,000 ยูนิต ถ้าเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2561ซึ่งมีการเปิดตัวโครงการใหม่ประมาณ 40,000 ยูนิต จะเห็นถึงการปรับตัวลดลงสอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดที่ชะลอตัว  และเมื่อพิจารณาจากเส้นค่าเฉลี่ยของการเปิดตัวโครงการใหม่แต่ละไตรมาส จะเห็นว่าค่าเฉลี่ยอยู่ประมาณ 20,000 – 30,000 ยูนิต และคาดการณ์ว่าไตรมาส 4 ปี 2562 จะมีโครงการเปิดขายใหม่ไม่น้อยกว่า  44,000 ยูนิต แสดงว่าเอกชนเริ่มกลับเข้ามามีความมั่นใจอีกครั้ง   ทั้งนี้ จากข้อมูลสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ของศูนย์ข้อมูลฯ  พบว่าในช่วงไตรมาส 3 ปี 2562 ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล มีที่อยู่อาศัยทุกประเภทเปิดขายใหม่จำนวนรวม 20,863 ยูนิต เป็นบ้านจัดสรรเปิดตัวใหม่เพียง 8,879 ยูนิต ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีแล้ว 57.3% ซึ่งเป็นการปิดตัวที่ลดลงอย่างต่อเนื่องมา 3 ไตรมาส ขณะที่มีคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ประมาณ 11,984 ยูนิต โดยลดลงจากช่วงเดียวกันของแล้ว 56.5%   โดยประมาณการว่า ปี 2562 ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล จะมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่ทุกประเภทรวม 112,044 ยูนิต เป็นโครงการบ้านจัดสรรเปิดตัวใหม่เพียง 46,010 ยูนิต โดยลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 24.4% เป็นการเปิดตัวน้อยต่ออย่างเนื่องมา 3 ไตรมาส ส่วนคอนโดมิเนียมมีโครงการเปิดตัวใหม่เพียง 66,034 ยูนิต ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 22.4%  คาดตลาดที่อยู่อาศัยปี 2562 ยังติดลบ 2.2% อย่างไรก็ตามศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ประเมินสถานการณ์ไตรมาส 4 ปี 2562 ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล คาดว่าจะมีการเปิดโครงการใหม่ทั้งบ้านจัดสรรและคอนโดมิเนียมเพิ่มขึ้นมากกว่า 3 ไตรมาสที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด โดยคาดว่าโครงการบ้านจัดสรรจะเปิดโครงการใหม่ 14,954 ยูนิต เป็นคอนโดมิเนียม 29,399 ยูนิต โดยคาดว่าจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งปี 2562 จำนวน 112,044 ยูนิต ลดลงจากปีที่แล้ว 23.2%   ทั้งนี้ แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรรจำนวน 46,010 ยูนิต คิดเป็น 41.1% ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว  24.4% เป็นโครงการคอนโดมิเนียม 66,034 ยูนิต คิดเป็น 58.8% ลดลง  22.4% จากช่วงเดียวกันของปี 2561   โดยคาดว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 หลังจากได้รับผลบวกจากมาตรการกระตุ้นจากรัฐบาล จะเหลืออุปทานในตลาด 257,969 ยูนิต ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ดีขึ้นกว่าไม่มีมาตรการรองรับ 2.4% และคาดว่าจะมียอดการโอนกรรมสิทธิ์รวมทั่วประเทศจำนวนประมาณ 361,696 ยูนิต เป็นมูลค่ารวม 820,624 ล้านบาท ซึ่งน่าจะลดลงจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว 2.2% ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัย ปี 2563 ทิศทางตลาด ปี 2563 ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ วิเคราะห์ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยโดยคาว่าจะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากปลายปี 2562 แต่จะมีการขยายตัวไม่มากนักโดยจะขยายตัวไม่เกิน 5% โดยโครงการที่อยู่อาศัยใหม่จะมีการเปิดตัวต่อเนื่อง จากช่วงปลายปีรองรับมาตรการรัฐซึ่งคาดว่าจะมีจำนวนใกล้เคียงกับยอดการเปิดตัวในปี 2562   ด้านความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสำคัญคืออัตราดอกเบี้ยขาลง และ มาตรการกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาล ทั้งการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนอง รวมถึง “โครงการบ้านดีมีดาวน์” ส่งผลให้อุปทานในตลาดจะถูกทยอยดูดซับ โดยในปี 2563 ผู้ประกอบการยังคงต้องให้ความสำคัญ กับการบริหารสินค้าที่อยู่อาศัยที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง และที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จรอการขาย (Inventory) เพื่อให้อุปทานไม่ค้างอยู่มากเกินไป ซึ่งภาพรวมทั่วประเทศครึ่งแรกปี 2563 คาดว่าจะมีที่อยู่อาศัยเหลือขายประมาณ 245,371 ยูนิต “ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากปลายปีนี้ แสดงว่ามาตรการยังมีผลอยู่ในการกระตุ้น และยังคงขยายตัวต่อเนื่อง แต่ว่ามีการขยายตัวไม่มากนัก” คาดว่าสถานการณ์ขณะนี้ตลาดโดยรวมจะขยายตัวไม่เกิน 5% ในส่วนของโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ก็ยังคงเปิดตัวโดยมีจำนวนใกล้เคียงกับปีที่ 2561 และความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยยังคงมีปัจจัยสำคัญคือเรื่องดอกเบี้ยซึ่งอยู่ในสภาวะดอกเบี้ยขาลง ในส่วนของมาตรการกระตุ้นการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยของรัฐบาลก็ส่งผลให้อุปทานมีการถูกดูดซับออกไป   “ในปี 2563 สิ่งที่ควรให้ความระมัดระวังคือผู้ประกอบการเองยังคงต้องให้ความสำคัญกับการบริหารสินค้าคงเหลือ หรือ Inventory ที่มีอยู่ในมือ โดยให้มีเหลือค้างอยู่ไม่มากจนเกินไป ตลาดปี 2563 ยังคงดำเนินต่อไปได้แต่คงต้องระมัดระวังอย่าปล่อย Supply ออกมาเยอะจนตลาดดูดซับไม่ทัน เพราะว่ากำลังซื้อในตลาดถึงแม้ยังมีอยู่ แต่มีอยู่ไม่มากนัก” ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ กล่าวในตอนท้าย   หาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ โครงการบ้านดีมีดาวน์ 
สรุปข่าวอสังหาฯ รอบสัปดาห์ วันที่ 25-30 พฤศจิกายน 2562

สรุปข่าวอสังหาฯ รอบสัปดาห์ วันที่ 25-30 พฤศจิกายน 2562

เข้าสู่เดือนสุดท้ายของปีอย่างเป็นทางการแล้ว สำหรับเดือนธันวาคม ช่วงเวลาที่จะทำผลงานให้ได้ตามที่ประกาศไว้ตั้งแต่ต้นปี ตอนนี้ผู้ประกอบการจึงโหมทำแคมเปญการตลาดออกมากันอย่างหนัก ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ มีแคมเปญออกมามากมายสารพัด ยิ่งที่ผ่านมาภาครัฐออกมาตรการมากระตุ้นด้วย ผู้ประกอบการยิ่งต้องสร้างแรงจูงใจให้มากกว่า   ช่วงเวลานี้ จึงถือเป็นช่วงจังหวะที่ดี สำหรับคนที่ได้วางแผนเอาไว้แล้วว่าจะซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียมสักห้อง  แต่ใครยังไม่ได้วางแผนไว้  ได้แต่เล็งหรือคิดเอาไว้บ้าง ต้องลองพิจารณาแคมเปญต่างๆ ดูว่าน่าสนใจแค่ไหน และสำรวจสภาพทางการเงินของตนเองด้วย ว่าพร้อมไหมกับการต้องแบกรับภาระหนี้ ระยะยาว 10-30 ปี  หากได้คำตอบแล้วก็ลุยเลย   ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดอสังหาฯ  จึงถือว่าคักคักพอสมควร ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไรกันบ้าง ไปอัพเดทกัน   บันยันฯ จับมือ ริชมอนทส์ คริสตี้ส์ฯ ขายโครงการหัวหิน บันยัน ไทยแลนด์ กรุ๊ป ร่วมมือกับ ริชมอนทส์ คริสตี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลเอสเตท เป็นพันธมิตรทำการตลาดและขายโครงการ “บันยัน เรสซิเดนซ์ วิลล่า หัวหิน” วิลล่าระดับไฮเอนด์ ให้ลูกค้าระดับบนที่มองหาบ้านพักตากอากาศหรือที่อยู่อาศัยถาวรสุดเอกซ์คลูซีฟในหัวหิน เมืองท่องเที่ยวที่ยังคงเสน่ห์และศักยภาพการเติบโต โดยความร่วมมือในครั้งนี้ ริชมอนทส์ คริสตี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลเอสเตท จะเป็นผู้ดูแลรับผิดชอบงานขายและทำการตลาดให้กับโครงการบันยัน เรสซิเดนซ์ วิลล่า หัวหิน   นายเชิ๊ท คว้อนท์ ประธานกรรมการบริหาร บันยัน ไทยแลนด์ กรุ๊ป เปิดเผยว่า ความร่วมมือกับริชมอนทส์ คริสตี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลเอสเตท ในการทำการตลาดโครงการบันยัน เรสซิเดนซ์ วิลล่า หัวหิน ในครั้งนี้ จะช่วยทำให้โครงการเป็นที่รู้จักในวงกว้างและเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายในระดับบนมากยิ่งขึ้น  ซึ่งโครงการบันยัน เรสซิเดนซ์ วิลล่า หัวหิน เป็นโครงการวิลล่าระดับไฮเอนด์ของบันยัน ไทยแลนด์ กรุ๊ป ซึ่งประกอบธุรกิจบันยัน กอล์ฟ คลับ ที่มีชื่อเสียงมากว่า 10 ปี ที่หัวหิน ทั้งโครงการมีที่ดินสำหรับสร้างบ้านได้จำนวน 102 หลัง ราคาตั้งแต่ 15-80 ล้านบาท   โดยผู้ซื้อสามารถที่จะเลือกแบบวิลล่าจากแบบมาตรฐาน 4 แบบ ที่ทางโครงการมีให้ หรือปรับเปลี่ยนในรูปแบบที่ตนเองต้องการเพิ่มเติม เพื่อปลูกสร้างบนที่ดินขนาดที่เลือกเองเริ่มต้นประมาณ 100 ตารางวา ซึ่งความพิเศษของโครงการบันยัน เรสซิเดนซ์ วิลล่า หัวหิน คือ ทำเลที่ตั้ง ที่อยู่ใกล้ตัวเมืองหัวหิน และชายหาดหัวหิน มีความเป็นส่วนตัว และไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยที่เข้าถึงการพักผ่อนพร้อมวิวทะเลในด้านหน้าและภูเขาในด้านหลังที่สวยงาม ผู้ซื้อวิลล่ายังได้รับสิทธิ์สมัครเป็นสมาชิกบันยัน กอล์ฟ คลับ ในราคาพิเศษสุด  ทางโครงการมีบริการ Concierge คอยดูแลลูกบ้านตลอด 24 ชั่วโมง และการบริการแบบโรงแรม เช่น แม่บ้าน คนดูแลสวน คนดูแลทำความสะอาดสระว่ายน้ำ และกำจัดปลวก (อ่านข่าวเพิ่มเติม) พราว จับมือ อินเตอร์คอนฯ ปั้นโปรเจ็กตลักชัวรี่ พราว เรียล เอสเตท  เปิดตัวโครงการ “อินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน (InterContinental Residences Hua Hin)” ครั้งแรกของโครงการที่พักอาศัยระดับลักชัวรี่  ภายใต้แบรนด์อินเตอร์คอนติเนนตัลในประเทศไทยบนพื้นที่กว่า 7 ไร่ติดชายหาดผืนสุดท้ายใจกลางเมืองหัวหิน บนถนนเพชรเกษม ช่วงซอยหัวหิน 71 (ตรงข้ามศูนย์การค้า Market Village) ซึ่งถือเป็นสถิติราคาที่ดินสูงสุดของหัวหิน ด้วยราคาที่มากกว่า 150 ล้านบาทต่อไร่ เพื่อมอบประสบการณ์การพักอาศัยที่เหนือระดับพรั่งพร้อมด้วยบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจรแบบโรงแรม ด้วยมาตรฐานระดับโลกในแบบฉบับของอินเตอร์คอนติเนนตัล พร้อมแต่งตั้ง ซีบีอาร์อี บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ระดับสากล ให้เป็นตัวแทนการขายของโครงการอย่างเป็นทางการ   นางสาวพราวพุธ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร  บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การพัฒนาโครงการ “อินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน” เป็นการต่อยอดความร่วมมือกับ อินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเทล กรุ๊ป (ไอเอชจี) และยังเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ในการพัฒนาโครงการที่พักอาศัย ระดับลักชัวรี่ ภายใต้  แบรนด์อินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส ซึ่งเป็นแบรนด์เอ็กซ์คลูซีฟที่มีเพียงไม่กี่แห่งในมหานครชั้นนำของโลกเท่านั้น เช่น บอสตัน ดูไบ ซึ่งความร่วมมือในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่อินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ล กรุ๊ป มีต่อพราว เรียล เอสเตท และสถานะของหัวหินในการเป็นเมืองท่องเที่ยวชั้นนำ  ซึ่งโครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน ถือว่าเป็นต้นแบบของการพัฒนาโครงการที่เป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย ตามแนวคิด “More than just living”   ทายาทตัน ภาสกรนที เปิดตัว T-ONE อาคารสำนักงานเกรด A   "วริษา ภาสกรนที"  ทายาท "ตัน ภาสกรนที" ได้ฤกษ์เปิดอาคาร T-ONE อาคารสำนักงานและพื้นที่ Co Working Space เกรดเอแห่งเดียวในทำเลทองหล่อ-สุขุมวิท หลังมีผู้เช่าครบ 100% ภายใน 3 เดือน   นางสาววริษา ภาสกรนที กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีวัน บิวดิ้ง จำกัด บริษัท ทีวัน บิวดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า ได้เปิดตัว “อาคาร T-One” อาคารสำนักงานเกรด A ขนาด 43,700 ตารางเมตร มูลค่าการลงทุน 3,500 ล้านบาทมีความสูง 47 ชั้น แบ่งเป็นส่วนพื้นที่สำนักงาน   Co-working space  ร้านอาหาร ฟิตเนสเซ็นเตอร์ และพื้นที่ส่วนกลาง  ชูจุดเด่นเป็นอาคารสำนักงานสำหรับธุรกิจด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และธุรกิจคลื่นลูกใหม่ทั้งระดับประเทศ และระดับโลก อาทิ Tencent, Joox, WeWork, Wongnai, Sanook, Etigo, Zelingo, Shiseido รวมทั้งสำนักงานใหญ่ของอิชิตัน กรุ๊ป   โดยอาคารดังกล่าวตั้งอยู่ใจกลางเมืองบริเวณ ทองหล่อ - สุขุมวิท 40 ที่มาพร้อมการคมนาคมสะดวกทุกรูปแบบ เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้า บีทีเอส สถานีทองหล่อ และเข้าออกได้ทั้งถนนสุขุมวิทและถนนพระราม 4 กับสถาปัตยกรรมแบบทวิสต์ที่สวยงามไม่ซ้ำใครจนชนะรางวัลด้านการออกแบบจาก BCI Top 10 Architects 2017 Thailand และ Asia Pacific Property Award Architecture พรั่งพร้อมด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัยในการบริหารจัดการอาคารอย่างเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ตรงความต้องการของนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์แบบ Work Hard, Play Harder (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   บลูฮิลล์ เปิดตัว "อากาศ วิลล่า เขาใหญ่" บลูฮิลล์ เขาใหญ่ ลุยตลาดนิชพรีเมียมรับปีใหม่ เปิดตัว อากาศ วิลล่า เขาใหญ่ คอนโดมิเนียมกึ่งวิลล่าสไตล์ Thai Modern Loft  มูลค่าโครงการกว่า 380 ล้านบาท  เพียง 23 ยูนิต บนทำเลใกล้กรุงเทพฯ ริมถนนผ่านศึก-กุดคล้า เดินทางสะดวกจากกรุงเทพฯ เพียง 2.30 ชั่วโมง คอนโดฯ ตกแต่งพร้อมอยู่ ขนาดเริ่มต้น 130 ตารางเมตร ในราคาเริ่มต้น 13.2 ล้านบาท  หรือประมาณ 92,000 บาทต่อตารางเมตร   นางสุพิณดา แท่นเพ็ชร์รัตน์ กรรมการบริหาร บริษัท บลูฮิลล์ เขาใหญ่ จำกัด เปิดเผยว่า หลังประสบความสำเร็จกับการเปิดตัวคอนโดโลว์ไรส์ ภายใต้แบรนด์ “อากาศ เขาใหญ่” บริษัทพร้อมเปิดโครงการใหม่ล่าสุด “อากาศ วิลล่า เขาใหญ่” มูลค่าโครงการกว่า 380 ล้านบาท ชูไฮไลท์ คอนโดมิเนียมสไตล์วิลล่า 1 และ 2 ชั้น 3 อาคาร สุดเอ็กซ์คลูซีฟเพียง 23 ยูนิต ทุกห้องหันหน้ารับวิวทิวเขาสลับซับซ้อนแบบพาโนราม่า บนพื้นที่กว่า 4 ไร่ ตอบโจทย์ชีวิตที่อยากใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น เปิดรับความสดชื่นของธรรมชาติเข้ามาแทนที่ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าในชีวิตประจำวัน   โครงการ อากาศ วิลล่า เขาใหญ่ วิลล่าสไตล์ Thai Modern Loft   ตกแต่งพร้อมอยู่จำนวน 23 ยูนิต แบ่งเป็น 2 ประเภทได้แก่ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ขนาด  130 - 145 ตารางเมตร จำนวน 12 ยูนิต และ 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ขนาด 145 - 195 ตารางเมตร จำนวน 11 ยูนิต (อ่านข่าวเพิ่มเติม)        
บลูฮิลล์ ปั้นโปรเจ็กต์ “อากาศ วิลล่า เขาใหญ่” 380 ล้าน รับดีมานด์ตลาด 2 ห้องนอน

บลูฮิลล์ ปั้นโปรเจ็กต์ “อากาศ วิลล่า เขาใหญ่” 380 ล้าน รับดีมานด์ตลาด 2 ห้องนอน

บลูฮิลล์ เขาใหญ่ เดินหน้าปั้นโปรเจ็กต์ “อากาศ เขาใหญ่” เฟส 2 หลังได้รับกระแสตอบรับดีในเฟสแรก ยอดขายพุ่ง 99% ขึ้นโครงการ อากาศ วิลล่า เขาใหญ่ 380 ล้าน ตอบสนองความต้องการลูกค้าอยากได้ห้องขนาดใหญ่   บลูฮิลล์ เปิดโปรเจ็กต์ใหม่ “อากาศ วิลล่า เขาใหญ่” นางสุพิณดา แท่นเพ็ชร์รัตน์ กรรมการบริหาร บริษัท บลูฮิลล์ เขาใหญ่ จำกัด เปิดเผยว่า  ได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ภายใต้แบรนด์ อากาศ เขาใหญ่ ต่อเนื่องเป็นเฟสที่ 2 ภายใต้ โครงการใหม่ “อากาศ วิลล่า เขาใหญ่”มูลค่าโครงการกว่า 380 ล้านบาท หลังจากประสบความสำเร็จกับโครงการในเฟสแรก จึงได้พัฒนาโครงการต่อเนื่อง เพราะมีความต้องการห้องชุดพักอาศัยขนาดใหญ่  โดยเฉพาะห้องชุดขนาด 2 ห้องนอน พื้นที่ตั้งแต่ 90 ตารางเมตรขึ้นไป แต่โครงการในเฟสแรกเหลือห้องชุดเฉพาะห้องขนาด 1 ห้องนอน “โครงการเฟสแรก 2 ห้องนอนขายหมดแล้ว แต่ลูกค้ายังมีความต้องการ เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ที่เดินทางมาเขาใหญ่ จะเป็นกลุ่มครอบครัว” สำหรับโครงการแรก คือ "อากาศ เขาใหญ่" เป็นโครงการคอนโดฯ พักอาศัยแบบโลว์ไรส์ 7 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 83 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 800 ล้านบาท มียอดขายแล้ว 99% ปัจจุบันยังเหลือห้องชุดอีก 6 ยูนิต ขนาดพื้นที่ประมาณ 50 ตารางเมตร ราคา 5 ล้านบนาท  ซึ่งถือว่าในเฟสแรกได้รับการตอบรับที่ดี กลุ่มผู้ซื้อส่วนใหญ่จะเป็นนักธุรกิจ และเจ้าของกิจการ โดยซื้อด้วยเงินสดถึง 60%   ส่วนโครงการล่าสุด พัฒนาเป็นคอนโดฯ โลวไรส์ 3 อาคาร ตกแต่งพร้อมอยู่จำนวน 23 ยูนิต บนเนื้อที่กว่า 4 ไร่ แบ่งเป็น 2 ประเภทได้แก่ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ ขนาด  130 - 145 ตารางเมตร จำนวน 12 ยูนิต และ 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ขนาด 145 - 195 ตารางเมตร จำนวน 11 ยูนิต  ราคาเริ่มต้น 13.2 ล้านบาท หรือประมาณ 92,000 บาทต่อตารางเมตร  ซึ่งจะเริ่มก่อสร้างในปี 2563 และคาดว่าสามารถเข้าอยู่ได้ในปี 2564 ซึ่งบริษัทคาดว่าในไตรมาสแรกของปี 2563 จะสามารถทำยอดขายได้  60% “อากาศ วิลล่า เขาใหญ่” ชูจุดเด่นวิวพาโนรามา นางสุพิณดา กล่าวอีกว่า การพัฒนาโครงการ อากาศ วิลล่า เขาใหญ่ ได้มีบริษัท สถาปนิก 49 จำกัด มาเป็นผู้ออกแบบ ในรูปแบบ Thai Modern Loft  ที่คำนึงถึงรายละเอียดของการอยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทิศทางของสายลม และรูปแบบดีไซน์สอดคล้องไปกับภูมิประเทศที่เป็นเขา การออกแบบให้เห็นวิวภูเขาได้แบบพาโนรามา  ส่วนที่ตั้งโครงการอยู่ริมถนน ผ่านศึก-กุดคล้า ใกล้แหล่งท่องเที่ยวของเขาใหญ่ เดินทางไป-กลับกรุงเทพฯ ได้สะดวก โดยเฉพาะมอเตอร์เวย์สายบางปะอิน-โคราชซึ่งจะเปิดให้บริการในปี 2563 นี้​​ “คอนโดฯ ในเขาใหญ่ สไตล์อาคารขนาด 1-2 ชั้น เหมือนกับที่บริษัทพัฒนาไม่มีในท้องตลาด และโลเกชั่นของโครงการที่สามารถเห็นเขาใหญ่แบบพาโนรามาก็แทบจะไม่มีเช่นกัน” คอนโดฯ เขาใหญ่ ต้อง 2 ห้องนอน สำหรับภาพรวมตลาดคอนโดฯ โดยเฉพาะโซนเขาใหญ่ ในช่วงปี 2562 จนถึงปี 2563 คาดว่ายอดขายน่าจะชะลอตัว จากปริมาณคอนโดฯ ที่คงเหลืออยู่ในตลาดพอสมควร โดยเฉพาะอาคารชุดขนาด 1 นอน แต่คาดว่าจะมีแนวโน้มดีขึ้น และจะมีความต้องการเพิ่มขึ้น เมื่อมีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานรถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่ ทางด่วนพิเศษ หรือมอเตอร์เวย์ ที่จะส่งผลทำให้เกิดความต้องการเพิ่มขึ้น ทำให้ราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้น  ส่วนความต้องการคอนโดฯ ขนาด 2 ห้องนอนยังคงมีอยู่ค่อนข้างมาก   โดยที่ผ่านมาทางศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ได้จัดทำรายงานสรุปผลการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยในจังหวัดนครราชสีมา ที่อยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งหลังปี 2561 ครอบคลุมพื้นที่อำเภอเมืองนครราชสีมา และอำเภอปากช่องมีจำนวน 139  โครงการ มียูนิตในผังของทุกโครงการรวมกัน 16,882 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 77,338 ล้านบาท มียูนิตเหลือขายหรือเป็นอุปทานในตลาด 6,939 ยูนิต หรือ  41.1% ของยูนิตในผังโครงการบ้านจัดสรรทั้งหมด คิดเป็นมูลค่ายูนิตเหลือขาย 32,840 ล้านบาท ซึ่งหนึ่งในทำเลขายดีของคอนโดฯ ในจังหวัดนครราชสีมา คือ  ทำเลเขาใหญ่ ขายได้ 73.9% มูลค่าที่ขายได้ 7,100 ล้านบาท  แสดงให้เห็นว่าตลาดอสังหาฯ เขาใหญ่ก็ยังคงเติบโตไปได้อย่างต่อเนื่อง (อ่านรายละเอียดข่าวเพิ่มเติม)    
[PR News] เมเจอร์ฯ ขนคอนโดฯ 13 โครงการ จัดแคมเปญให้มากกว่ามาตรการรัฐ

[PR News] เมเจอร์ฯ ขนคอนโดฯ 13 โครงการ จัดแคมเปญให้มากกว่ามาตรการรัฐ

“เมเจอร์” ขนคอนโดฯ 13 โครงการ 5 โซน จัดแคมเปญ “เมเจอร์ฯ ฉีกกฎ ลดสูงสุด 5 ล้าน ฟรี 5 รายการ” กระตุ้นตลาดเรียลดีมานด์ ให้คนไทยมีที่อยู่อาศัย หนุนมาตรการภาครัฐ   นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์ กรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการที่รัฐบาลได้ออกมาตรการต่างๆ เพื่อกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทจึงได้ร่วมสนับสนุนมาตรการดังกล่าว ด้วยการจัดแคมเปญเพื่อให้กลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ ได้ซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ด้วยการจัดแคมเปญการตลาด “เมเจอร์ฯ ฉีกกฎ ลดสูงสุด 5 ล้าน ฟรี 5 รายการ” ด้วยการนำโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ 13 โครงการ ใน 5 โซน ในราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 2.75 – 18.5 ล้านบาท จนถึงเดือนธันวาคมนี้ “แคมเปญดังกล่าวถือว่าบริษัทได้ให้สิทธิพิเศษมากกว่ามาตรการรัฐ จะเป็นโอกาสที่ดีที่ให้ผู้บริโภคได้มีโอกาสเลือกซื้อคอนโดมิเนียมที่มีคุณภาพ บนทำเลดีใจกลางเมืองใกล้รถไฟฟ้าและศูนย์การค้าชั้นนำ ในราคาที่ดีที่สุด” สำหรับ 5 โซนของโครงการคอนโดฯ​ ที่ได้นำมาร่วมรายการครั้งนี้  ได้แก่ โซน CBD, New CBD, ราชเทวี-อนุสาวรีย์ชัยฯ, จตุจักร และพัทยา ส่วนโปรโมชั่นที่บริษัทได้มอบให้ลูกค้าโดยไม่ต้องจ่ายเพิ่ม ได้แก่ ค่าจดจำนอง ค่าโอนกรรมสิทธิ์ ค่าส่วนกลาง กองทุนและประกันมิเตอร์ไฟฟ้า นอกจากนี้ ยังมอบส่วนลดสูงสุดถึง 5 ล้านบาท โดย 13 โครงการ  5 โซน ที่ร่วมจัดแคมเปญในครั้งนี้ ประกอบด้วย โซน CBD ได้แก่ โครงการมาเอสโตร 01 สาทร – เย็นอากาศ เพียง 5 นาทีสู่ย่านธุรกิจ ใกล้ BTS ศาลาแดง และ MRT ลุมพินี ราคาเริ่มต้น 4.79 ล้านบาท, มาเอสโตร 02 ร่วมฤดี คอนโดใจกลางร่วมฤดี 2 ห้องนอน ราคาเริ่มต้น 8.5 ล้านบาท, มาเอสโตร 39 สุขุมวิท 39  เพียง 4 นาที สู่ BTS พร้อมพงษ์ 2 ห้องนอน ราคาเริ่มต้น 7.8 ล้านบาท, เอ็ม สีลม ยูนิตน้อยเป็นส่วนตัว ใกล้ BTS ช่องนนทรี ราคาเริ่มต้น 16 ล้านบาท, เอ็ม ทองหล่อ ใช้ชีวิตใจกลางเมือง ใกล้ BTS ทองหล่อ เอกมัย ราคาเริ่มต้น 4.79 ล้านบาท                                                                                                                                โซน New CBD ได้แก่ โครงการมาเอสโตร 03 เพียง 5 นาทีสู่เซ็นทรัลพลาซา แกรนด์ พระราม 9 ใกล้ MRT พระราม 9 ราคาเริ่มต้นที่ 3.3 ล้านบาท, มาเอสโตร 19 ใกล้ MRT รัชดา สะดวกเชื่อมต่อ 3 เส้นทาง รัชดาฯ วิภาฯ ลาดพร้าว ราคาเริ่มต้นที่ 2.75 ล้านบาท, เมทริส พระราม9 – รามคำแหง คอนโดใหม่ พร้อมเข้าอยู่ธ.ค. 62 ติดทั้งถนนรามคำแหงและพระราม 9 ราคาเริ่มต้น 2.9 ล้านบาท โซนราชเทวี – อนุสาวรีย์ชัยฯ ได้แก่ โครงการมาเอสโตร 07 อนุสาวรีย์ชัยฯ เพียง 80 ม. BTS Skywalk อนุเสาวรีย์ฯ 3 นาที สู่ BTS อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ 2 ห้องนอน ราคาเริ่มต้น 9.2 ล้านบาท, มาเอสโตร 12 ราชเทวี ติดถนนเพชรบุรี ใกล้ BTS ราชเทวี 2 ห้องนอน ราคาเริ่มต้น 9.9 ล้านบาท, มาเอสโตร 14 สยาม –ราชเทวี เพียง 4 นาที สู่สยามฯ 300 ม. สู่ BTS ราชเทวี ราคาเริ่มต้น 3.99 ล้านบาท   โซนจตุจักร ได้แก่ โครงการเอ็ม จตุจักร คอนโดที่ให้ส่วนกลางกว่า 2 ไร่ ใกล้ BTS สะพานควาย ราคาเริ่มต้น 3.69 ล้านบาท และสุดท้ายโซนพัทยา กับ รีเฟล็คชั่น จอมเทียน บีช พัทยา คอนโดหรู วิวทะเล 180 องศา ทุกห้อง ราคาเริ่มต้น 18.5 ล้านบาท เป็นต้น   รายละเอียดเพิ่มเติมทุกโครงการจาก เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์  
พร็อพเพอร์ตี้ กูรู ดึงนักคิดทั่วโลก ต่อยอด “พร็อพเทค-ฟินเทค” อสังหาฯ ไทย

พร็อพเพอร์ตี้ กูรู ดึงนักคิดทั่วโลก ต่อยอด “พร็อพเทค-ฟินเทค” อสังหาฯ ไทย

พร็อพเพอร์ตี้ กูรู ดึงผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายวงการทั่วโลก ทั้ง Tim Kobe ผู้สร้างสรรค์ต้นแบบของ Apple Store, Chales Reed Anderson ผู้ก่อตั้ง CRA & Associates ผู้นำด้านนวัตกรรม Proptech Andrew Staples นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำระดับโลก ร่วมชี้แนะพร้อมผลักดันนวัตกรรม Prop Tech พัฒนาวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย หวังพาไทยสู่ผู้นำเมืองอัจฉริยะ เมืองนวัตกรรมแห่งภูมิภาคอาเซียน พร็อพเพอร์ตี้ กูรู จัดงานเอเชีย เรียลเอสเตท ซัมมิท 2019 นายจูลส์ เคย์ กรรมการผู้จัดการ PropertyGuru Asia property Awards และ Asia Real Estate Summit เปิดเผยว่า การจัดงานเอเชีย เรียลเอสเตท ซัมมิท 2019 ครั้งนี้ ถือเป็นการรวมตัวของผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรม Proptech จากหลากหลายสาขาที่มาร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์ทั่วโลก ซึ่งสถานการณ์ของโลกในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมาก ส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจในทุกภาคส่วน รวมถึงภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ รวมไปถึงเทคโนโลยีต่างๆ ที่จะเข้ามามีอิทธิพลต่อการดำรงชีวิตประจำวัน ไม่ใช่แค่สมาร์ทโฮม หรือแค่ระบบความปลอดภัยภายในบ้านเท่านั้น สำหรับผู้ประกอบการไทย หรือนักลงทุนจะต้องรู้เท่าทันเพื่อที่จะสามารถวางแผนรับมือ ต่อสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นในโลกปัจจุบันและอนาคตอันใกล้ รวมไปถึงการลงทุนเพื่อรองรับกับโลกยุคใหม่ยุค 5G ความก้าวหน้าของ Internet of Things (IoT) ทุกอย่างจะถูกปรับเปลี่ยนเป็น 3 มิติ เช่น บ้านหรือห้องตัวอย่างจะต้องเป็นรูปแบบ 3 มิติ ลูกค้าสามารถดูห้องตัวอย่างได้ทุกซอกมุมโดยไม่จำเป็นต้องมีห้องตัวอย่างจริง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เกิดขึ้นในต่างประเทศแล้ว และเทคโนโลยีอื่นๆ มีโอกาสที่ถูกนำเข้ามาใช้ประเทศไทย เช่น ฟินเทค ระบบการประเมินคุณสมบัติผู้กู้ซื้ออสังหาฯ ผ่านช่องทางออนไลน์ หรือ Home Loan Pre Approval Online เป็นต้น   รวมถึงการพัฒนานวัตกรรม AI ผ่านรูปแบบของหุ่นยนต์อัจฉริยะที่สามารถกลายเป็นผู้ช่วยของมนุษย์ได้จริง เพื่อรองรับการสร้างเมืองอัจฉริยะและสังคมยุค Smart Cities ในอนาคต และการนำ Blockchain เทคโนโลยีแห่งอนาคตทางด้านการเงิน ที่ช่วยปรับปรุงความโปร่งใสและความเป็นส่วนตัวจากการใช้จ่ายในรูปแบบเดิม   นอกจากนี้ ยังคงมุ่งเน้นเรื่อง สมาร์ทซิตี้ การสร้างเมืองอัจฉริยะและเมืองแห่งนวัตกรรม ต้องอาศัยองค์ประกอบหลายปัจจัย ทั้งการวางผังเมือง การออกแบบสิ่งปลูกสร้างที่สามารถตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยในยุคปัจจุบันอย่างชาญฉลาด รวมถึงการหยิบเทคโนโลยีและนวัตกรรมเข้ามาปรับใช้ให้เกิดประโยชน์ สร้างความสะดวก สบาย และปลอดภัยให้กับประชาชน โดยเมืองอัจฉริยะและเมืองนวัตกรรมจะเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญให้ประเทศไทยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารและจัดการเมือง ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี ทั้งด้านที่อยู่อาศัยที่สะดวกสบาย สร้างเศรษฐกิจที่ก้าวหน้า รวมถึงมีสังคมและมีความสุขอย่างยั่งยืน tēmi หุ่นยนต์อัจฉริยะ ภายงานนี้ได้มีการโชว์นวัตกรรมหุ่นยนต์ tēmi เป็นหุ่นยนต์ในบ้านรูปแบบใหม่ที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ทำทุกอย่างที่อุปกรณ์อัจฉริยะต่างๆ สามารถทำได้ หนึ่งในหุ่นยนต์อัจฉริยะตัวแรกของโลก ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นหนึ่งใน "สิ่งประดิษฐ์ที่ดีที่สุดของปี 2019" จาก นิตยสาร TIME โดยมี Mr. Lim Wee Chiang ผู้จัดการประจำประเทศไทยของ VOV International Co., Ltd หุ้นส่วนสำคัญของ tēmi ในประเทศไทยขึ้นแนะนำหุ่นยนต์ด้วยปัญญาประดิษฐ์ ระบบสั่งการด้วยเสียง (Voice Assistant) เทคโนโลยีพื้นฐานที่ใช้ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ในการพัฒนาระบบการจดจำเสียง ซึ่งถือว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ที่จะมาเข้ามาเปลี่ยนโฉมอสังหาริมทรัพย์อย่างสิ้นเชิง   สำหรับวิทยากรและผู้เชี่ยวชาญระดับโลก อาทิ Tim Kobe ผู้สร้างสรรค์ต้นแบบของ Apple Store ได้มาแชร์ประสบการณ์ด้านการออกแบบที่เป็นสากลพร้อมแนวคิดด้านวิวัฒนาการของเทคโนโลยีที่สามารถตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของมนุษย์ ส่วน Chales Reed Anderson ผู้นำนวัตกรรม Proptech ได้นำเสนอการพัฒนาเทคโนโลยีที่สามารถเข้าถึงเพื่อการสร้างสมาร์ทซิตี้ การให้ความสำคัญของ Internet of Things (IoT) ที่จะเข้ามาช่วยพัฒนาอสังหาฯ ของไทย และ Andrew Staples นักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำระดับโลก ได้เผยถึงข้อมูลอัพเดทเกี่ยวกับผลกระทบของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯกับจีน รวมถึงความแตกต่างทางเศรษฐกิจและสังคมของ “Digital Iron Curtain” การจัดงาน PropertyGuru Asia Real Estate Summit 2019 ครั้งนี้ เต็มไปด้วยข้อมูลและมุมมองใหม่ๆ จากผู้เชี่ยวชาญจากหลายแวดลงที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเวทีที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดความคึกคักในตลาดอสังหาริมทรัพย์ เพิ่มช่องทางในการเข้าถึงของนักลงทุนและผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ได้มองเห็นโอกาสในการนำเอาเทคโนโลยีและนวัตกรรมสมัยใหม่เข้ามาผสมผสานกับธุรกิจเกิดเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อนำเสนอไปยังกลุ่มเป้าหมายทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดจนให้สอดรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัลต่อไป   ข้อมูลเพิ่มเติมจาก Asia Real Estate Summit ติดตามความเคลื่อนไหวของ PropertyGuru Asia property Awards  ข้อมูลเกี่ยวกับหุ่นยนต์ tēmi  
THG ได้ 2 โรงพยาบาลใหม่ ทำรายได้-กำไรสุทธิโตกว่าเป้าหมาย

THG ได้ 2 โรงพยาบาลใหม่ ทำรายได้-กำไรสุทธิโตกว่าเป้าหมาย

“ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป” โชว์ผลงาน 9 เดือน ทำรายได้ 6,116 ล้านบาท เติบโต 17% พร้อมกำไรสุทธิ 380 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากศักยภาพของ 2 โรงพยาบาลใหม่ “รพ.ธนบุรี บำรุงเมือง-Ar Yu International Hospital” ในเมียนมา ทำผลประกอบการดีกว่าเป้าหหมายที่วางไว้   ​นายแพทย์ธนาธิป ศุภประดิษฐ์ รองประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THG เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทได้เปิดดำเนินการโรงพยาบาลใหม่ทั้ง 2 แห่ง อย่างเป็นทางการเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา ได้แก่ โรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง และโรงพยาบาล Ar Yu International Hospital ในเมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา ส่งผลให้ผลการดำเนินงานของบริษัทในช่วงไตรมาสที่ 3 ถึงจุดค้มทุนและมีกำไรสุทธิ จากเดิมคาดว่าจะมีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าใช้จ่ายตัดจ่าย หรือ EBITDA     ​รพ.ธนบุรี บำรุงเมือง คนใช้บริการเพิ่มขึ้น สำหรับโรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง เป็นศูนย์สุขภาพระดับ 6 ดาว ให้บริการตรวจรักษาแบบเฉพาะทาง มีการดูแลสุขภาพระดับพรีเมียมใจกลางกรุงเทพฯ เพื่อรองรับชาวต่างชาติ และกลุ่ม Medical Tourism (ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ) เป็นหลัก โดยนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางการแพทย์ที่ทันสมัยมาให้บริการ ส่งผลให้ปริมาณคนไข้ที่เข้าใช้บริการเพิ่มขึ้น “คนไข้เข้าใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ  ที่มาจากการทำตลาดและการบอกต่อ โดยศูนย์เวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ (IVF) ส่วนใหญ่เป็นคนไข้ชาวจีน ศูนย์รักษาแผลเบาหวานส่วนใหญ่เป็นคนไข้จากตะวันออกกลาง ส่วนศูนย์ทันตกรรมดิจิทัล และศูนย์ทางการแพทย์อื่นๆ  เช่น ศูนย์นวัตกรรม ศัลยกรรมความงาม, ศูนย์ตรวจสุขภาพ ก็มีปริมาณคนไข้เพิ่มขึ้นเป็นที่น่าพอใจ” ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป กางแผนเปิด จิณณ์ เวลเนส คลินิค เพิ่ม นอกจากนี้ บริษัทมีแผนงานเปิด จิณณ์ เวลเนส คลินิค ซึ่งเป็นหนึ่งในบริการของโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ภายในโรงพยาบาลธนบุรี บำรุงเมือง เพื่อให้บริการส่งเสริม ดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน และชะลอความเสื่อมจากโรคภัยโดยเฉพาะทางด้านสมอง รวมถึงบริการสร้างสมดุลการรักษาจากภายในสู่ภายนอก ด้วยนวัตกรรมทางการแพทย์สมัยใหม่ และการแพทย์ทางเลือก เพื่อให้เกิดความสมดุลทั้งด้านร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณให้กับลูกค้า ​Ar Yu International Hospital ผลตอบรับดีเกินคาด รองประธานกรรมการ THG กล่าวว่า ส่วนโรงพยาบาล Ar Yu International Hospital ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาด 200 เตียง ครอบคลุมการรักษาโรคที่มีความซับซ้อน และได้มาตรฐานระดับสากล ที่เปิดบริการเป็นทางการเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โดย THG ถือหุ้น 40% มีผลการดำเนินงานดี รายได้เพิ่มจากจำนวนคนไข้ที่ให้ความเชื่อถือในมาตรฐานของเรา ล่าสุดถึงจุดคุ้มทุนในระดับกำไร EBITDA แล้ว ซึ่งค่อนข้างเร็วกว่าเป้าหมายที่วางไว้ตอนแรก   ​ทั้งนี้ คาดว่าจากปัจจัยดังกล่าว จะส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2562 เติบโตดีกว่าครึ่งปีแรก ขณะที่ผลการดำเนินงาน 9 เดือนแรกของปี 2562 มีการเติบโตในทิศทางเดียวกัน โดยมีรายได้รวม 6,116 ล้านบาท เติบโต 17% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 5,211 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 380 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 337 ล้านบาท   ข้อมูลเพิ่มเติม ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป อ่านข่าวอื่นๆ ของ ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป เพิ่มเติมได้ที่ Reviewyourliving  
จับตาทำเลสาทร-จันทน์-เย็นอากาศ แหล่งรวมออฟฟิศ คอนโดไฮเอนด์

จับตาทำเลสาทร-จันทน์-เย็นอากาศ แหล่งรวมออฟฟิศ คอนโดไฮเอนด์

ทำเล CBD ของกรุงเทพฯ อย่างย่านสาทร ยังคงเป็นแหล่งรวมอาคารสำนักงาน ซึ่งเป็นที่ตั้งของบริษัทชั้นนำ รวมถึงคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ และสถานที่สำคัญอีกจำนวนมาก แม้ว่าปัจจุบันทำเล New CBD ขยายออกไปหลายพื้นที่ แต่ย่านสาทรยังคงมีอัตราการดูดซับไม่เคยลดลง และสูงกว่าภาพรวมของตลาดอย่างมีนัยสำคัญ ภาพรวมตลาดอาคารสำนักงานย่านสาทร นายธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส เรียลเอสเตท แอ็ดไวเซอรี่ จำกัด เผยว่า ทำเลย่านสาทร ถือเป็นศูนย์รวมของอาคารสำนักงานที่มีทั้งบริษัทสัญชาติไทยจากทั่วประเทศ และบริษัทชั้นนำระดับโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ธนาคารและบริษัทการเงินจากหลากหลายประเทศ ทำให้สาทรยังคงเป็นย่านที่มีอัตราการเช่าสูงถึง 97% ส่งผลถึงราคาค่าเช่าสูงขึ้นทุกปีเฉลี่ย 4-5% ต่อปี โดยต่อเดือนอาคารสำนักงานเกรดเอมีค่าเช่าเฉลี่ย 920 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน ในบางอาคารพุ่งสูงสุดต่อเดือนกว่า 1,000 บาทต่อตารางเมตร  ตลาดอาคารสำนักงานยังคงมีความต้องการเช่าเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอาคารสำนักงานเกรดเอ อุปทานในปัจจุบันมีอยู่อย่างจำกัด ทำให้มีการพัฒนาโครงการอาคารสำนักงานใหม่ รวมถึงโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ออกมารองรับ ซึ่งขยายออกไปในทำเลรอบๆ อย่างย่านสีลม พระราม 4 อาทิ โครงการโครนอส บนถนนสาทร โครงการดุสิต เซ็นทรัล ปาร์ค บนที่ดินโรงแรมดุสิตธานีเดิม โครงการสีลม สแควร์ ในบริเวณอาคารสีบุญเรืองเดิม โครงการวัน แบงค็อก บริเวณหัวมุมถนนพระรามที่ 4 และโครงการสถานีแม่น้ำของร.ฟ.ท. ริมแม่น้ำเจ้าพระยาล้อมรอบด้วยถนนพระราม 3 เป็นต้น อีกทั้งยังมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีเทาผ่านถนนสาทร ถนนนราธิวาส ถนนพระราม 3 ซึ่งขณะนี้กำลังศึกษาความเป็นไปได้ และจัดทำรายงานการวิเคราะห์ทำเลดังกล่าวผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โดยจะสามารถก่อสร้าง ได้ประมาณปี 2564 เหล่านี้ยิ่งส่งผลให้ทำเลในย่านนี้ได้รับอานิสงส์ไปด้วย และทำให้ตลาดอาคารสำนักงานยิ่งมีความคึกคัก และเป็นการขยายแหล่งงานไปด้วย           ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมใจกลางเมือง-สาทร ด้านนางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด เผยว่า ภาพรวมของตลาดคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ทำเลใจกลางเมืองในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมานี้ มีอุปทานสะสมทั้งหมด 93,122 ยูนิต เป็นอุปทานที่เกิดขึ้นใหม่จำนวน 3,262 ยูนิต โดยมีราคาเฉลี่ยประมาณ 233,200 บาทต่อตารางเมตร ถือว่าจำนวนลดลงเมื่อเทียบกับหลายปีที่ผ่านมา เหตุเพราะผู้พัฒนาโครงการมีความระมัดระวังในการเปิดโครงการใหม่มากขึ้น ประกอบกับมุ่งเน้นกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงเป็นหลัก ส่งผลให้สินค้าที่ออกมาใหม่ในตลาดมีคุณภาพดี อยู่ในทำเลที่น่าสนใจยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นผลดีต่อตลาด เพราะทำให้ห้องชุดที่เปิดใหม่สามารถขายได้เร็วขึ้น สำหรับภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมเฉพาะย่านสาทรมีจำนวนทั้งสิ้น 22,255 ยูนิต จากทั้งหมด 48 โครงการ มีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 214,400 บาทต่อตารางเมตร มียอดขายรวม 84% สูงกว่ายอดขายรวมของตลาดถึง 2% โดยยอดขายเฉลี่ยรวมของตลาดอยู่ที่ 82%   สาเหตุที่ทำให้ สาทร-จันทน์-เย็นอากาศ ยังคงมีเสน่ห์ และความน่าสนใจนั้น เนื่องจากเป็นทำเลที่ถือเป็นย่านชุมชนเก่า แต่ยังอยู่ท่ามกลางความสะดวกสบายทั้งในเรื่องของสิ่งอำนวยความสะดวก ไม่ว่าจะเป็นแหล่งธุรกิจใจกลางเมือง โรงเรียน โรงพยาบาล ศูนย์การค้า ร้านอาหาร รวมถึงการเดินทางที่ใกล้ทางด่วน และรถไฟฟ้า   ข้อมูลเพิ่มเติมของบริษัท Nexus อ่านข่าวอื่นๆ ของ Nexus เพิ่มเติมได้ที่ Reviewyourliving  
พฤกษา ยกขบวนบ้านและคอนโด 101 โครงการ  ร่วมโครงการ ‘บ้านในฝัน รับปีใหม่’ กับธอส.

พฤกษา ยกขบวนบ้านและคอนโด 101 โครงการ ร่วมโครงการ ‘บ้านในฝัน รับปีใหม่’ กับธอส.

พฤกษา เรียลเอสเตท ยกทัพบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียมคุณภาพ 101 โครงการ กว่า 1,800 ยูนิต ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัด เข้าร่วมโครงการ ‘บ้านในฝัน รับปีใหม่’ กับธอส. สานฝันให้คนไทยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง พร้อมดันยอดโอนก่อนปิดปี นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตามที่ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ออกแคมเปญสินเชื่อโปรโมชั่น    ส่งท้ายปี 2562 ด้วยวงเงินกู้ 50,000 ล้านบาท โดยใช้สโลแกน "ซื้อปุ๊บ โอนปั๊บ รับทันที 3 สิทธิพิเศษ" เพื่อสานฝันให้คนไทยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองนั้น ซึ่งพฤกษามีพันธกิจในการส่งเสริมให้คนไทยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง เพราะเป็นปัจจัยพื้นฐานของชีวิต จึงร่วมสนับสนุน      เจตนารมย์ดีๆ กับธอส. พฤกษา มอบสิทธิพิเศษ 3 ต่อ อีกทั้งยังเป็นโอกาสในการกระตุ้นยอดโอนในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนปิดปีนี้ พฤกษาจึงยกขบวนบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และคอนโดมิเนียม ทั้งในกรุงเทพ และต่างจังหวัด จำนวน 101 โครงการ กว่า 1,800 ยูนิต มูลค่ากว่า 3,900 ล้านบาท เข้าร่วมแคมเปญกับธอส.ในครั้งนี้ โดยลูกค้าที่ซื้อและโอนบ้านในโครงการที่เข้าร่วมภายใน 31 ธันวาคมนี้ จะได้รับสิทธิพิเศษ 3 ต่อจากแคมเปญ ได้แก่   สิทธิ์ที่ 1. กู้บ้านกับธอส.รับดอกเบี้ยคงที่ 2.5% นาน 3 ปี พร้อมแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้กับลูกค้าในวันโอนกรรมสิทธิ์ด้วย สิทธิ์ที่ 2. คือ รับฟรีทันที ค่าโอนและค่าจดจำนอง สิทธิ์ที่ 3. รับโปรโมชั่นพิเศษต่างๆ จากทางโครงการ อาทิ เช่น เฟอร์นิเจอร์ ค่ามิเตอร์น้ำและไฟ, ค่าบริการสาธารณะ, ส่วนลดเพิ่มเติม (โปรโมชั่นขึ้นอยู่กับรายละเอียดที่แต่ละโครงการกำหนด) พฤกษาร่วมแคมเปญธอส. หวังดันยอด สำหรับการเข้าร่วมแคมเปญกับธอส.ในครั้งนี้ คาดว่าจะช่วยกระตุ้นยอดโอนก่อนปิดปี และจะช่วยให้ประชาชนผู้ที่มีรายได้น้อยถึงปานกลางมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองด้วยภาระการผ่อนชำระที่น้อย เพราะวงเงินที่ได้รับอนุมัติจากธนาคารที่ร่วมโครงการมีจำนวนจำกัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรัฐบาลออกมาตรการเพื่อลดภาระผู้ซื้อที่อยู่อาศัยล่าสุดได้แก่ โครงการ “บ้านดีมีดาวน์” ที่จะช่วยผ่อนดาวน์ (Cash Back) จำนวน 50,000 บาทต่อราย สำหรับผู้ซื้อบ้านใหม่สำหรับผู้มีรายได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อเดือน หรือ 1,200,000 บาทต่อปี โดยจำกัดจำนวนผู้ได้รับสิทธิ์ มาก่อนได้ก่อน จำนวน 100,000 รายเท่านั้น   โดยผู้ที่สนใจซื้อที่พักอาศัยที่เข้าร่วมโครงการสามารถสอบถามรายละเอียด ได้ที่สำนักงานขายโครงการที่เข้าร่วม โดยมีรายละเอียดเงื่อนไขต่างๆ เป็นไปตามที่บริษัทฯกำหนด หรือ สามารถ   ชมรายละเอียดโครงการได้ที่เว็บไซต์ของ พฤกษา เรียลเอสเตท หรือ โทร 1739”   ติดตามข่าวสารอื่นๆ จากพฤกษาเพิ่มเติมได้ที่ Reviewyourliving
“ลลิล” รวมบ้าน 3 โปรเจ็กต์ 1,300 ล้าน บุกพระราม 2 เตรียมรับทำเลทองในอนาคต

“ลลิล” รวมบ้าน 3 โปรเจ็กต์ 1,300 ล้าน บุกพระราม 2 เตรียมรับทำเลทองในอนาคต

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ แนะจับตาพื้นที่ ‘พระราม 2’ หลังภาครัฐดันสู่ศูนย์กลางชุมชนชานเมือง เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างแหล่งงานและที่อยู่อาศัยในเขตชานเมือง ล่าสุดพัฒนาโปรเจค ‘ลลิล อเวนิว’ รวมบ้าน 3 โครงการมูลค่ากว่า 1,300 ลบ. พร้อมรับกำลังซื้อเพิ่มในอนาคต   ​นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ LALIN เปิดเผยว่า ย่านพระราม 2 หนึ่งในทำเลอยู่อาศัยที่ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคมาอย่างยาวนาน เนื่องจากเป็นทำเลที่มีความพร้อมสมบูรณ์ทั้งด้านการเดินทาง และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ที่มีอย่างครบครัน ประกอบกับเป็นทำเลที่มีที่อยู่อาศัยให้เลือกมากมายหลายระดับราคา พระราม 2 จึงเป็นทำเลอยู่อาศัยใกล้ๆ เมืองที่เป็นตัวเลือกลำดับต้นๆ ของผู้ที่ต้องการหาซื้อที่อยู่อาศัย ลลิล เชื่อมั่นศักยภาพทำเลพระราม 2 ถนนพระราม 2 ถือเป็นทำเลที่สามารถเดินทางเข้าสู่ศูนย์กลางธุรกิจของเมือง ไม่ว่าจะเป็น สีลม สาทร สุขุมวิท เพลินจิต ชิดลม พระราม 9 ได้อย่างสะดวกรวดเร็วด้วย ด้วยทางด่วนเฉลิมมหานคร ทางด่วนศรีรัช และในอนาคตจะมีทางยกระดับพระราม 3 บางขุนเทียน-มหาชัย เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเดินทางเข้าและออกเมือง นอกจากนี้ยังมีถนนวงแหวนกาญจนาภิเษก และวงแหวนอุตสาหกรรมที่สามารถใช้เป็น bypass ไปยังพื้นที่ส่วนต่างๆ ของกรุงเทพฯ ปริมณฑล และยังเชื่อมโยงกับถนนสายรอง อย่างเช่น ถนนบางขุนเทียน-ชายทะเล ถนนเอกชัย-บางบอน ถนนพุทธบูชา และถนนท่าข้าม  เป็นต้น ทำให้การเดินทางคล่องตัวยิ่งขึ้น   ​ปัจจุบัน แม้ว่าถนนพระราม 2 จะไม่มีรถไฟฟ้าเข้ามาในพื้นที่โดยตรง แต่ก็ยังเป็นพื้นที่ให้บริการของรถไฟฟ้าด้วยกันหลายเส้นทาง เช่น รถไฟฟ้าสายสีม่วงด้านใต้ เตาปูน-ราษฎร์บูรณะ ที่อยู่ระหว่างการเสนอให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติการก่อสร้าง รถไฟฟ้าสายสีแดง ช่วงหัวลำโพง-บางบอน-มหาชัย ของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ซึ่งเป็นส่วนต่อขยายที่จะเกิดขึ้นในอนาคต รวมถึงรถไฟฟ้าที่เปิดให้บริการแล้ว ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หัวลำโพง-บางแค และสายสีเขียวอ่อน สนามกีฬาแห่งชาติ-บางหว้า หนึ่งในทำเลที่ถูกผลักดันจากภาครัฐ ขณะเดียวกัน ผังเมืองกรุงเทพมหานคร ที่กำลังกำลังปรับปรุงอยู่ในขณะนี้ ส่งผลให้ทำเลพระราม 2 ได้ถูกกำหนดบทบาทของศูนย์ให้เป็นชุมชนชานเมือง (Sub Center) เพื่อสร้างความสมดุลระหว่างแหล่งงานและที่อยู่อาศัย (Job-Housing Balance) ในเขตชานเมือง โดยจะส่งเสริมให้มีการค้าและการบริการ รวมถึงอาคารสำนักงาน กระจายตัวอยู่ในเขตชั้นกลางและเขตชั้นนอกของกรุงเทพมหานคร ประชาชนบางส่วนสามารถที่จะใช้บริการโดยไม่ต้องเข้ามาในเขตชั้นใน จะทำให้ในพื้นที่พระราม 2 และบริเวณใกล้เคียง  มีศักยภาพในการพัฒนาได้มากยิ่งขึ้น   นอกจากนี้ พระราม 2 ถือเป็นพื้นที่พาณิชยกรรมทางฝั่งใต้ของกรุงเทพฯ เชื่อมต่อไปถึง สมุทรสาคร และสมุทรสงคราม ตามแนวถนนพระราม 2  ซึ่งมีทั้งโรงงานอุตสาหกรรม ร้านค้าปลีก และศูนย์การค้าขนาดใหญ่ อยู่มากมาย มีการขยายตัวของเมืองจากด้านในสู่ด้านนอกอย่างต่อเนื่อง เนื่องมาจากการขยายตัวของแหล่งงาน จำนวนประชากรในพื้นที่ รวมถึงการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ ที่มีอยู่หลายระดับราคารองรับประชากรได้ในทุกๆ กลุ่ม ลลิล อเวนิว 3 โครงการคุณภาพ นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กล่าวว่า บริษัทได้วางแผนรองรับกำลังซื้อที่คาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้น จากศักยภาพของทำเลพระราม 2 จึงได้กำหนดนโยบายในการรวม 3 โครงการบ้านเดี่ยว 3 สไตล์ เนื้อที่ 50 – 100 ตารางวา เสนอขายในราคาที่คุ้มค่าตั้งแต่  4.2-10 ล้านบาท และพัฒนาแบบบ้านรุ่นใหม่ เพื่อเตรียมพร้อมรองรับกำลังซื้อภายใต้โปรเจค ‘ลลิล อเวนิว (Lalin Avenue)’ ซึ่งประกอบด้วย บ้านบุรีรมย์ พระราม 2 – เอกชัย เนื้อที่ 80 ยูนิต, บ้านลลิล อินเดอะพาร์ค พระราม 2 – เอกชัย เนื้อที่ 40 ยูนิต และลลิล กรีนวิลล์ พระราม 2 – เอกชัย เนื้อที่ 110 ยูนิต รวมทั้งหมด 230 ยูนิต บนเนื้อที่กว่า 48 ไร่ มูลค่ารวมกว่า 1,300 ล้านบาท   “ปัจจุบัน ถนนพระราม 2 มีโครงการที่อยู่อาศัยเกิดขึ้นมากมาย ตั้งแต่ต้นถนนไปจนเลยเขตกรุงเทพฯ เข้าสู่จังหวัดสมุทรสาคร โดยเฉพาะในย่านสำคัญๆ อย่างเช่น ท่าข้าม แสมดำ พันท้ายนรสิงห์ บางบอน เอกชัย ถือเป็นแหล่งรวมโครงการบ้านจัดสรรขนาดใหญ่ที่มีให้เลือกมากมายหลายรูปแบบ โดยส่วนใหญ่ถ้าเป็นบ้านเดี่ยวราคาจะเริ่มตั้งแต่ 4-5 ล้านบาทขึ้นไปจนถึงบ้านหรู ส่วนทาวน์เฮาส์ระดับราคาจะอยู่ที่ 2-3 ล้านบาท ขณะที่คอนโดมิเนียมเริ่มมีการพัฒนามากขึ้นในช่วงต้นถนนพระราม 2 ไม่เกินวงแหวนกาญจนาภิเษก นอกจากนี้ ยังมี ศูนย์การค้าขนาดใหญ่  สถานพยาบาลชั้นนำ และสถานศึกษาที่มีชื่อเสียง” “การพัฒนาโปรเจค ‘ลลิล อเวนิว’ ที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ จะสร้างทางเลือกใหม่ในรูปแบบที่แตกต่างเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้หลากหลายยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นการรวมตัวเพื่อสร้างความแข็งแกร่ง ตลอดจนสามารถสร้างการรับรู้เกี่ยวกับโครงการของบริษัทฯ ในย่านพระราม 2 ได้เต็มที่ยิ่งขึ้นเช่นกัน” โดยการเปิดตัวโปรเจค “ลลิล อเวนิว” ในครั้งนี้ บริษัทจัดโปรโมชั่นพิเศษ จองเพียง 20,000 บาท ฟรีโอนฯ, ฟรีมิเตอร์น้ำไฟ, ฟรีค่าส่วนกลาง, จัดสวน พร้อมรับส่วนลดสูงถึง 250,000 แสนบาท, ผ่อนล้านละ 800 บาท, Give Voucher สูงสุด 300,000 บาท และหากลงทะเบียนออนไลน์ จะได้รับส่วนลดเพิ่มอีก 20,000 -100,000 บาท เมื่อจองบ้านในโซนพระราม 2 ทั้ง 3 โครงการคุณภาพ ภายใต้เงื่อนไขที่บริษัทกำหนด   ​รายละเอียดเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ อ่านข่าวจากลลิลเพิ่มเติมได้ที่ Reviewyourliving   
“ทีวัน บิวดิ้ง” เปิดตัวออฟฟิศให้เช่าแพงสุดในสุขุมวิท แค่ 3 เดือนผู้เช่าเต็ม 100%

“ทีวัน บิวดิ้ง” เปิดตัวออฟฟิศให้เช่าแพงสุดในสุขุมวิท แค่ 3 เดือนผู้เช่าเต็ม 100%

“ทีวัน บิวดิ้ง” เปิดตัวอาคารสำนักงานเกรด A มูลค่า 3,500 ล้าน ชูจุดเด่น The New Tech & Innovative Hub ดึงองค์กรด้านไอทีและเทคโนโลยีเข้าเช่าพื้นที่ แค่ 3 เดือนผู้เช่าเต็ม 100% แม้ราคาเช่าสูงที่สุดถึง 1,300 บาทต่อตารางเมตรในย่านสุขุมวิท ทีวัน บิวดิ้ง อาคารสำนักงานใจกลางทองหล่อ นางสาววริษา ภาสกรนที กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทีวัน บิวดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า ได้ลงทุน 3,500 ล้านบาท พัฒนาโครงการอาคารสำนักงาน “ทีวัน บิวดิ้ง” (T-One) ขนาดความสูง 47 ชั้น แบ่งเป็นส่วนพื้นที่สำนักงาน Co-working space ร้านอาหาร ฟิตเนสเซ็นเตอร์ และพื้นที่ส่วนกลาง ชูจุดเด่นเป็นอาคารสำนักงานสำหรับธุรกิจ ด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม สำหรับธุรกิจคลื่นลูกใหม่ทั้งระดับประเทศ และระดับโลก อาทิ Tencent, Joox, WeWork, Wongnai, Sanook, Etigo, Zelingo, Shiseido รวมทั้งสำนักงานใหญ่ของอิชิตัน กรุ๊ป ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองบริเวณ ทองหล่อ - สุขุมวิท 40 “จุดเด่นของอาคาร T-One ตัวโครงสร้างเป็นดีไซน์แบบทวิสต์ ใช้กระจกสีฟ้าและทอง อาคารตั้งอยู่บนทำเล CBD เดินทางสะดวกทั้งทางรถไฟฟ้าบีทีเอสและทางรถยนต์ ที่สามารถทะลุออกได้ทั้งถนนสุขุมวิทและถนนพระราม 4 ใช้นวัตกรรมการก่อสร้าง และการบริหารพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ด้วยเทคโนโลยี จากเยอรมัน มีระบบจอดรถแบบ Automate Car Parking System  เหมาะสำหรับบริษัทรุ่นใหม่ที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์ การเป็นบริษัทระดับนานาชาติโดยใช้ทำเลนี้เป็นฮับด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรม ที่จะขยายธุรกิจต่อไปยังประเทศ AEC ปัจจุบันมีผู้เช่า 100% หลังเปิดจองเพียง 3 เดือน” ทีวัน ค่าเช่าสูงถึง 1,300 บาทต่อตารางเมตร ด้านนางสาวทัตยากรณ์ เบญจภัทรเศรษฐ์ ผู้อำนวยการแผนกอาคารและสำนักงาน บ.โจนส์ แลง  ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ ยังมีปริมาณพื้นที่ไม่เพียงพอต่อความต้องการของบริษัทผู้เช่า โดยเฉพาะอาคารสำนักงานเกรดเอ ปัจจุบันอาคารสำนักงานทั่วกรุงเทพฯ มีพื้นที่รวมกันทั้งสิ้น 9 ล้านตารางเมตร ซึ่งในจำนวนนี้ มีอัตราการว่างเหลือเช่าเฉลี่ย 8.7%   ในขณะที่กลุ่มอาคารสำนักงานเกรดเอมีพื้นที่ว่างเหลือเพียง 5% จึงทำให้อาคารสำนักงานเกรดเอ มีแนวโน้มปรับตัวค่าเช่าสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีราคาค่าเช่าตั้งแต่ 900-1,000 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน ปัจจุบันอาคารเกสรทาวน์เวอร์มีอัตราค่าเช่าแพงที่สุด 1,350 บาทต่อเดือน สำหรับอาคาร T-One  มีราคาค่าเช่า 900-1,300 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน ส่วนนายกฤตธี มโนลีหกุล กรรมการผุ้จัดการ จาก บ.Tencent ประเทศไทย ในฐานะผู้เช่าพื้นที่อาคารสำนักงาน T-One กล่าวว่า Tencent เป็นบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกจากประเทศจีน เข้ามาลงทุนในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2553 โดยในปัจจุบันมีธุรกิจที่อยู่ภายใต้การดูแลในประเทศไทย เช่น Sanook, WeChat, JOOX, WeTV และ PUBG โดยมองว่าประเทศไทยเป็นตลาดที่มีความสำคัญ และบริษัทวางยุทธศาสตร์ให้เป็นฮับในเอเชีย ในการสร้างเอ็นเตอร์เทนเมนต์แพลตฟอร์ม โดยบริษัทเช่าพื้นที่ T-One จำนวน 4,000 ตารางเมตร    
ทีเอ็มบี จับมือ ไวซ์ไซท์ ล้วงพฤติกรรมการเงิน GEN Y อะไรคือของที่พวกเขาต้องมีก่อน 40

ทีเอ็มบี จับมือ ไวซ์ไซท์ ล้วงพฤติกรรมการเงิน GEN Y อะไรคือของที่พวกเขาต้องมีก่อน 40

ทีเอ็มบี จับมือ ไวซ์ไซท์ เผยข้อมูลพฤติกรรมเชิงลึกทางการเงินในโซเชียลมีเดียของกลุ่มคน “GEN Y” ผ่านแคมเปญ #ของมันต้องมีก่อน40   พบส่วนใหญ่มีความฝันสร้างอนาคตที่ดีและมั่นคง อยากมีบ้าน รถ และเงินออม  ชี้พฤติกรรมการเงินที่ส่งผลให้ GEN Y ไปไม่ถึงเป้าหมายทางการเงิน พร้อมแนะทางแก้ปัญหาเพื่อให้ GEN Y มีพฤติกรรมทางการเงินที่ดีขึ้น ทีเอ็มบีจัดแคมเปญ #ของมันต้องมีก่อน40 นางกาญจนา  โรจวทัญญู หัวหน้าเจ้าหน้าที่บริหาร สื่อสารและภาพลักษณ์องค์กร ทีเอ็มบี เปิดเผยว่า ได้ร่วมมือกับไวซ์ไซท์ (WISESIGHT) ผู้นำด้าน Social Monitoring Tool รายใหญ่ของไทย ในการจัดทำแคมเปญ #ของมันต้องมีก่อน40 ซึ่งมุ่งเน้นไปที่กลุ่มคน GEN Y  ที่มีการเปิดรับข้อมูล อัพเดทข่าวสารทางช่องทางดิจิทัลเป็นหลัก ติดตาม Influencers ที่มีแนวคิดคล้ายกัน ผ่านทางช่องทางโซเชียล โดยเฉพาะ Twitter และ เฟซบุ๊ก (Facebook) เพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิต   ทั้งนี้ ทีเอ็มบี มีวิสัยทัศน์ของการเป็นธนาคารแบบยั่งยืน (Sustainable Banking) ที่มุ่งมั่นให้ความรู้ทางด้านการเงิน พร้อม ทั้งมีการใช้เครื่องมือกระตุ้นให้คนมีพฤติกรรมทางการเงินที่ถูกต้อง รวมไปถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์ หรือปล่อยสินเชื่ออย่างรับผิดชอบ โดยได้เน้นถึงกลุ่มคนเป้าหมายที่เป็น GEN Y ช่วงต้นอายุระหว่าง 23 – 30 ปี ซึ่งถือเป็นกลุ่มกำลังแรงงานสำคัญของประเทศ เริ่มทำงาน มีรายได้ แต่ไม่มีการวางแผนทางด้านการเงิน ไม่สามารถจัดการบริหารการเงินได้อย่างเหมาะสม แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นกลุ่มที่พร้อมเปิดรับคำแนะนำ และความรู้ทางด้านการบริหารจัดการเงิน “จะเห็นได้ว่าในเฟสแรกเราได้จุดกระแสด้วย Influencer อย่าง กอล์ฟ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ กันต์ กันตถาวร และกาละแมร์ พัชรศรี ที่เป็นดาราเซเลบ มีแง่มุมในด้านการใช้ชีวิต ตั้งเป้าหมายด้านหน้าที่การงาน การเงินอย่างชัดเจน รวมไปถึง มิ้นท์  บล็อกเกอร์สายท่องเที่ยวจากเพจ I Roam Alone และ ช่า เจ้าของเพจบันทึกของตุ๊ด ที่เป็นไอดอลสร้างแรงบันดาลใจ มาร่วมแชร์เป้าหมายชีวิตให้คนที่ติดตามได้ฟังกัน ซึ่งได้รับกระแสตอบรับที่ดีเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะแฮชแท็กแคมเปญ #ของมันต้องมีก่อน40 ที่สามารถติดเทรนด์ Twitter อันดับหนึ่ง มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น แชร์เป้าหมายชีวิตรวมแล้วกว่าหมื่นความคิดเห็น” เนื่องจากทีเอ็มบีเชื่อว่าหาก GEN Y ได้ตระหนักถึงเป้าหมายในชีวิตแล้ว จะเป็นจุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนพฤติกรรมตรงตามความเชื่อของทีเอ็มบี  Make THE Difference ที่ว่าคนเราสามารถเปลี่ยนเพื่อชีวิตที่ดีขึ้น และนำไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้จนสำเร็จ นอกจากนี้กิจกรรมต่อไปที่จะเกิดขึ้นในกลางเดือนธันวาคมนี้ จะมีขึ้นเพื่อชักชวนให้ GEN Y ได้ลุกขึ้นเปลี่ยนพฤติกรรม ทางการใช้จ่าย ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่หลายคนตั้งเป้าหมายที่จะได้เริ่มต้นสิ่งดี ๆ ในปีถัดไป เผยข้อมูลลึก Gen Y ของมันต้องมีก่อน40 ด้านนายกล้า ตั้งสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ได้นำข้อมูลบนโซเชียล มาวิเคราะห์และปลดล็อคศักยภาพของข้อมูลดิบจนกลายเป็นอินไซท์เพื่อส่งต่อให้แบรนด์ และเอเจนซี่นำไปใช้เป็นส่วนหนึ่งในการวางกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจ โดยข้อมูลโซเชียลที่ไวซ์ไซท์นำมาวิเคราะห์นั้นมาจาก Facebook, Twitter, Instagram, YouTube, Pantip และเว็บไซต์ข่าวต่างๆ ปัจจุบันมีข้อมูลดิบที่เก็บเอาไว้ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท จำนวนมหาศาล ที่ถูกเก็บรวบรวมไว้ในถัง Big Data และไม่เคยลบทิ้งเลยทำให้ในปัจจุบันบริษัทมีจำนวนข้อมูลดิบมากที่สุดในประเทศไทย   ส่วนนายพุทธศักดิ์ ตันติสุทธิเวท ผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์ข้อมูล บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยถึงข้อมูลที่ได้จากวิเคราะห์เก็บข้อมูลดังนี้  คนไทยใช้สื่อสังคมออนไลน์ (โซเชียล) 74% ของประชากรทั้งหมด ซึ่งคิดเป็น อันดับ 8 ของโลก สำหรับจำนวนผู้ใช้โซเชียลในประเทศไทย พบว่าสื่อสังคมออนไลน์ยอดนิยมที่ครองใจคนไทยในยุคนี้ และมีผู้ใช้งานบน Facebook 56 ล้านบัญชี Instagram 13 ล้านบัญชี และ Twitter 9.5 ล้านบัญชี และระยะเวลาที่ใช้คิดเป็น  3 ชั่วโมง 11 นาที เวลาเฉลี่ยใน 1 วัน และยังพบว่า 80% ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย เคยซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ และกว่า 50% เป็นคน GEN Y (อายุ 28-38 ปี) “ดังนั้นในการทำแคมเปญ #ของมันต้องมีก่อน40 ในครั้งนี้ สามารถวิเคราะห์ข้อมูลถึงพฤติกรรมเชิงลึกของกลุ่มคน GEN Y ที่ได้จุดกระแสผ่านบรรดา Influencer จะเห็นได้ว่าการแสดงความคิดเห็น แชร์ มีความคิดเห็นที่คล้ายคลึงกับ Influencer ที่กดติดตามกันดังนี้ คนที่ติดตาม กอล์ฟ ฟักกลิ้ง ฮีโร่ กันต์ กันตถาวร และกาละแมร์ พัชรศรี ก็จะเป็นเป้าหมายเรื่องการเก็บเงิน มีบ้าน สร้างความมั่นคงในชีวิต ด้านกลุ่มคนที่ติดตามบล็อกเกอร์สายเที่ยว ก็จะมีเป้าหมายเรื่องเที่ยว เรื่องการใช้ชีวิตอิสระเสรี” หากลงลึกในด้านความคิดเห็นของในแต่ละแพลตฟอร์มนั้น ก็จะเห็นว่ามีความแตกต่างกันไปอีกเช่นกัน อย่างเช่นใน Facebook จะเป็นไปในทิศทางที่แสดงออกถึงความจริงจังในชีวิต แสดงออกถึงตัวตนด้านที่อยากให้คนอื่นเห็น #ของมันต้องมีก่อน 40 ของชาว Facebook ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องความมั่นคง เช่น อยากมีเงินเก็บ บ้าน รถยนต์ ธุรกิจส่วนตัว เป็นต้น ส่วนทางด้าน Twitter นั้น จะเป็นไปในแนวทางที่มีความอิสระเสรี เป็นตัวของตัวเอง มีไลฟ์สไตล์ที่แตกต่างกับความเห็นใน Facebook ไม่ว่าจะเป็นการเก็บเงินเพื่อซื้อบัตรคอนเสิร์ต อยากเจอศิลปินที่ตัวเองชื่นชอบ และอยากเลี้ยงแมว เป็นต้น     จากการวิเคราะห์ Data ของแคมเปญในครั้งนี้ จะเห็นได้ว่า Influencer มีอิทธิพลทางความคิดให้ผู้ติดตามได้คล้อยตามง่าย ดังนั้นเมื่อเหล่า Influencer ลุกขึ้นมาทำอะไร จะเกิดกระแส เกิด Social Voice ในการทำตาม ซึ่งแน่นอนว่าในการทำแคมเปญครั้งนี้ เมื่อได้จุดกระแสออกไปแล้ว เกิดการตั้งคำถามให้กับกลุ่ม GEN Y ให้เกิดการฉุกคิดเกี่ยวกับเป้าหมายทางการเงิน เพื่อนำไปสู่แนวทางในการวางแผนชีวิตให้ดียิ่งขึ้น GEN Y อยากมี "บ้าน" เพราะของมันต้องมีก่อน40 นอกจากนี้ ยังพบว่าความหวัง “ของมันต้องมี” ก่อนอายุ 40 คือ  อยากมีบ้าน (48%) รถยนต์ (22%) ขณะที่อยากมีเงินออมและสินทรัพย์อื่นๆ มีไม่มาก (13%) แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงกับ GEN Y เมื่อวิเคราะห์โดยใช้ข้อมูลจากการศึกษา พบว่ามียอดใช้จ่ายในกลุ่มสินค้า “ของมันต้องมี” ถึง 69% ขณะที่รายการซื้อบ้าน ซื้อรถที่เป็นความฝันมีสัดส่วนที่ลดลงมาก รวมทั้งสัดส่วนเงินออมมีไม่ถึง 10%   โดยเฉลี่ย GEN Y หมดเงินไปกับ “ของมันต้องมี” ปีละเกือบแสนหรือ 1 ใน 4 ของรายได้ต่อปี ส่วนใหญ่เป็นการซื้อโทรศัพท์ เสื้อผ้า เครื่องสำอาง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ กระเป๋า และนาฬิกา/เครื่องประดับ และถ้าขยายภาพให้ชัดเจนในแต่ละกลุ่ม GEN Y ใช้เงินไปกับ“ของมันต้องมี” ถึงปีละ 1.37 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าสูงเทียบได้กับ 13% ของรายได้ประเทศ (GDP) หรือ 8 เท่าของมูลค่าโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน หรือ 91% ของมูลค่าการลงทุนในโครงการ EEC 5 ปี     สาเหตุที่ GEN Y อยากได้ “ของมันต้องมี” เป็นเพราะซื้อตามเทรนด์กลัวเอ้าท์ (42%) มากกว่ามองเป็นของจำเป็น (37%) แถมเงินที่ใช้ซื้อนั้น คนส่วนใหญ่ (70%) บอกมีเงินไม่พอ แต่ใช้การกู้จากธนาคารและใช้บัตรเครดิตกับบัตรกดเงินสดในการใช้จ่าย ซึ่งเมื่อลงรายละเอียดพบว่ามากกว่า 70% ของ GEN Y มีการผ่อนชำระที่ต้องเสียดอกเบี้ย นอกจากนี้ GEN Y มีลักษณะเข้าทำนองฝันไกลแต่ไปไม่ถึง สะท้อนจาก GEN Y ที่เริ่มต้นทำงานเฉลี่ยตั้งเป้าอยากมีเงินเก็บ 6 ล้านบาท แต่บอกจะออมเงินแค่เฉลี่ยเดือนละ 5,500 บาท ซึ่งถ้าเก็บด้วยอัตรานี้ต้องใช้เวลาถึง 90 ปี จึงจะถึงเป้าหมาย   GEN Y จะต้องทำอย่างไรหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างไรเพื่อนำไปสู่การมีพฤติกรรมทางการเงินที่ดีหรือมีวินัยทางการเงิน สิ่งแรกที่แนะนำคือ ลดเงินที่ใช้กับ “ของมันต้องมี” ง่ายๆ โดยลดลงแค่ 50% (เชื่อว่าลดหมด 100% เป็นไปได้ยาก) ควบคู่กับวางแผนการบริหารเงินให้ดีโดยเพิ่มการออมการลงทุนให้ถูกที่ แค่นี้ GEN Y จะมีเงินสะสมเพิ่มขึ้น 43,000 บาทต่อปี เมื่อเวลาผ่านไป 10 ปี 20 ปี หรือยาวไป 30 ปีก็จะสามารถซื้อทรัพย์สินตามที่เคยตั้งความหวังไว้ได้ไม่ยาก คุณนริศกล่าวปิดท้าย ด้วยข้อเสนอแนะสำหรับ GEN Y เพื่อให้สามารถวางแผนทางการเงิน และประสบผลสำเร็จในเป้าหมายที่วางไว้ได้ดียิ่งขึ้น   ข้อมูลเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ ทีเอ็มบี และ ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย)     
บันยัน ไทยแลนด์ กรุ๊ป ปั้นโปรเจ็กต์มิกซ์ยูสพื้นที่ 600 ไร่ที่หัวหิน

บันยัน ไทยแลนด์ กรุ๊ป ปั้นโปรเจ็กต์มิกซ์ยูสพื้นที่ 600 ไร่ที่หัวหิน

บันยัน ไทยแลนด์ กรุ๊ป เตรียมที่ดิน 600 ไร่ ปั้นโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส ขณะที่โปรเจ็กต์ “บันยัน เรสซิเดนซ์ วิลล่า หัวหิน” ดึง ริชมอนทส์ คริสตี้ส์ฯ ทำตลาดและการขาย วิลล่าอีก 51 ยูนิต หวังปิดโครงการใน 3-4 ปี    นายเชิ๊ท คว้อนท์ ประธานกรรมการบริหาร บันยัน ไทยแลนด์ กรุ๊ป เปิดเผยว่า ได้เตรียมวางแผนนำที่ดิน 600 ไร่ ซึ่งอยู่ติดสนามกอล์ฟบันยัน กอล์ฟ คลับ พัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูส มูลค่าหลายพันล้านบาท ซึ่งภายในโครงการประกอบด้วยศูนย์สุขภาพ เวลเนสเซ็นเตอร์ กีฬาทางน้ำ โรงเรียนสอนกอล์ฟ สนามฟุตบอล โรงแรม รีสอร์ท วิลล่า และโครงการคอนโดมิเนียมเพื่อขาย ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการวางแผนพัฒนาโครงการ และออกแบบมาสเตอร์แปลน ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาพัฒนาโครงการประมาณ 5-7 ปี บันยันจับมือริช-มอนทส์ เจาะตลาดต่างชาติ ส่วนโครงการบันยัน เรสซิเดนซ์ วิลล่า หัวหิน บนพื้นที่ 93.75 ไร่ ที่ได้เริ่มพัฒนาโครงการมาตั้งแต่ปี 2553 เป็นรูปแบบวิลล่า จำนวน 102 ยูนิต มูลค่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทขายวิลล่าได้แล้ว 51 ยูนิต ล่าสุดได้จับมือกับ "ริช-มอนทส์ คริสตี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลเอสเตท" เพื่อให้เข้ามาช่วยทำการตลาดและการขาย โครงการบันยัน เรสซิเดนซ์ วิลล่า หัวหิน ที่เหลืออยู่ 51 ยูนิต มูลค่า 1,800 ล้านบาท เพื่อเจาะตลาดกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ โดยริชมอนทส์ คริสตี้ส์ฯ คาดว่าจะสามารถปิดโครงการได้ภายในระยะเวลา 3-4 ปีนับจากนี้ นายเชิ้ท กล่าวอีกว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่หัวหิน-ปราณบุรี ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาในระยะ 5-7 ปีที่ผ่านมา จากภาวะเศรษฐกิจของไทยซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้ภาพรวมของตลาดอสังหาฯ  ชะลอตัวลง ส่วนบริษัทไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายอยู่ในตลาดระดับบน  ซึ่งมีกำลังซื้อสูง ประกอบกับบริษัทลงทุนโดยไม่ได้กู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน   สำหรับบริษัทมีพื้นที่ในการพัฒนาโครงการอสังหาฯ รวมทั้งหมด 1,400 ไร่ แบ่งเป็นการพัฒนาสนามกอล์ฟ โครงการบันยัน กอล์ฟ คลับ ขนาด 18 หลุม บนเนื้อที่ 400 ไร่  โครงการบันยัน เรสซิเดนซ์ วิลล่า หัวหิน บนเนื้อที่ 93.75 ไร่  สร้างบ้านได้จำนวน 102 หลัง ราคาตั้งแต่ 15  ถึง 80 ล้านบาท โดยผู้ซื้อสามารถที่จะเลือกแบบวิลล่าจากแบบมาตรฐาน 4 แบบ ที่ทางโครงการมีให้ หรือปรับเปลี่ยนในรูปแบบที่ตนเองต้องการเพิ่มเติม เพื่อปลูกสร้างบนที่ดินขนาดที่เลือกเองเริ่มต้นประมาณ 100 ตารางวา และเตรียมใช้พื้นที่อีก 600 ไร่พัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูส นอกจากนี้ ยังได้เตรียมใช้พื้นที่ 1.5 ไร่ พัฒนาเป็นศูนย์สุขภาพภายในโครงการ มั่นใจบันยัน เรสซิเดนซ์ วิลล่า หัวหิน ลูกค้าตอบรับดี ด้านนายทิมโมธี สเคพวิงตัน กรรมการผู้จัดการ บริษัท ริชมอนทส์ คริสตี้ส์ อินเตอร์เนชั่น เรียลเอสเตท กล่าวว่า หัวหิน ยังคงเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีศักยภาพการเติบโตสูง มีสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวก ด้วยโครงการพัฒนาการท่องเที่ยวชายฝั่งทะเลด้านตะวันตก - ไทยแลนด์ ริเวียร่า (Thailand Riviera) จึงทำให้เมืองมีการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นที่สนใจของทั้งคนไทยและชาวต่างชาติที่ต้องการที่อยู่อาศัยเพื่อเป็นบ้านพักตากอากาศหรืออยู่อาศัยหลังเกษียณ โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โครงการวิลล่าระดับไฮเอนด์ในหัวหินมีการพัฒนาออกสู่ตลาดน้อยมาก จึงมั่นใจว่า โครงการบันยัน เรสซิเดนซ์ วิลล่า หัวหิน จะได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เตรียมจัดงานเปิดตัวบันยัน เรสซิเดนซ์ วิลล่า หัวหิน ทั้งนี้ บันยัน ไทยแลนด์ กรุ๊ป และริชมอนทส์ คริสตี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลเอสเตท เตรียมจัดงานเอ็กซ์คูลซีฟเปิดตัวบันยัน เรสซิเดนซ์ วิลล่า หัวหิน (Exclusive Launch of Banyan Residences Villa Hua Hin) ระหว่างวันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน – วันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2562 โรงแรมสยาม เคมปินสกี้ เวลา 10:00-17:00 น.   ข้อมูลเพิ่มเติม และดูแบบแบบวิลล่าได้ที่เว็บไซต์โครงการบันยัน เรสซิเนซ์ วิลล่า หัวหิน     
สรุปข่าวอสังหาฯ รอบสัปดาห์ วันที่ 18-24 พฤศจิกายน 2562

สรุปข่าวอสังหาฯ รอบสัปดาห์ วันที่ 18-24 พฤศจิกายน 2562

อาทิตย์สุดท้ายของเดือนพฤศจิกายน  กำลังจะผ่านพ้นไปแล้ว  และเรากำลังก้าวเข้าสู่เดือนสุดท้ายของปี  2562 ช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองและการเตรียมตัวเริ่มต้นปีใหม่  ที่เชื่อว่าหลายคนคงอยากจะเริ่มต้นกับวันใหม่  ปีใหม่  เพราะปีที่ผ่านมาอาจทำอะไรไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้   สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ปีนี้ก็ถือว่าเป็นปีที่ยากลำบากปีหนึ่ง เพราะเจอกับปัจจัยลบหลายเรื่อง เหลือเวลาอีกเดือนเดียวจะทำผลงานได้ตามเป้าหมายหรือไม่  คงลุ้นกันน่าดู เดือนธันวาคมคงเป็นช่วงเวลาสุดท้าย  ที่จะโหมแรงทำการตลาดกันสุดฤทธิ์ ได้ตามตามเป้าหมายหรือไม่ค่อนมาว่ากันอีกที   ส่วนรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาวงการอสังหาฯ ใคร ทำอะไร ที่ไหน  อย่างไร  มาหาคำตอบกัน   พฤกษา รุกหนักคอนโด เปิด 3 โปรเจ็กต์ “The Tree"  นายปิยะ ประยงค์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท – แวลู  บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในครึ่งปีหลัง 2562 บริษัทมีการปรับกลุทธ์การเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียม โดยเน้นโครงการที่เป็น Best in Class เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางที่มีกำลังซื้อและมีศักยภาพในท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ในทำเลใกล้รถไฟฟ้าและมีดีมานด์รองรับ  โดยในไตรมาส 4 จะเปิดคอนโดมิเนียมอีก 3 โครงการ ได้แก่ The Tree พัฒนาการ-เอกมัย, The Tree Victory Monument และ The Tree พระราม 4-สุขุมวิท มูลค่ารวม 5,100 ล้านบาท   โดยโครงการ “The Tree Victory Monument”  ถือเป็นโครงการ Highlight ของแบรนด์ The Tree โครงการแรกในระดับลักชัวรี่ มีการปรับโฉมที่ทำห้องฝ้าเพดานสูง 4.4 เมตร และ ห้อง Duplex ฝ้าเพดานสูง 4.9 เมตร ในราคาที่แข่งขันได้ (อ่านข่าวเพิ่มเติม) ชาญอิสสระ เปิดตัว "ดิ อิสสระ สาทร" นายสงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึง ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในปัจจุบันนี้ว่า คอนโดมิเนียมที่มีทำเลอยู่ในย่านกลางเมืองและชานเมืองยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับตลาดกลุ่มลูกค้าระดับบน ซึ่งถือเป็นกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ยังมีความต้องการหาสินค้าที่มีคุณภาพมาตอบโจทย์การอยู่อาศัย ทั้งนี้เพื่อเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของคนเมืองที่มองหาคอนโดมิเนียมในย่านกลางเมือง พร้อมต้องการหลีกหนีความวุ่นวาย   ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวลักชัวรี่คอนโด “ดิ อิสสระ สาทร” (The Issara Sathorn) ย่านถนนจันทน์-สาทร เป็นโครงการคอนโดมิเนียมสูง 37 ชั้น จำนวน 270 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 2,400 ล้านบาท เริ่มก่อสร้างในปีหน้า และคาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จประมาณปี 2565 ราคาเริ่มต้น 4.88 ล้านบาท ตั้งอยู่บนพื้นที่ประมาณ 1-2-60 ไร่ บริเวณถนนจันทน์-สาทร มีขนาดพื้นที่ห้องเริ่มต้น 32.75-188 ตารางเมตร  มีห้องให้เลือกถึง 4 รูปแบบ ได้แก่ ห้องแบบ 1 ห้องนอน, ห้องแบบ 2 ห้องนอน, ห้องแบบ 3 ห้องนอน และเพนท์เฮ้าส์ 3-4 ห้องนอน   “มั่นคงฯ” เปิดตัวสำนักงานใหม่บนถนนสุรวงศ์ นายวรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK  เปิดเผยว่า ได้ย้ายสำนักงานใหม่มาที่ถนนสุรวงค์  เนื่องกจากสถานที่เดิมได้ครบสัญญาเช่า 30 ปี  จึงได้ย้ายสำนักงานใหม่ด้วยการลงทุน 250 ล้านบาท เช่าที่ดินย่านสุรวงศ์ ก่อสร้างอาคารขนาด 8 ชั้น ชูแนวคิด Wellbeing ภายใต้คอนเซปต์ Workplace Wellbeing   โดยภายในอาคาร บริเวณชั้น G เป็นพื้นที่ Co-Wellnest  ซึ่งพนักงานสามารถใช้พื้นที่ในการ Sharing ความรู้ต่างๆ นอกจากนี้ยังเปิดให้บุคคลภายนอกเข้ามาใช้บริการได้, ชั้น P1 - P2ชั้นจอดรถ, ชั้น 5 ชั้นฟิตเนสให้พนักงานได้ออกกำลังกาย มีทั้งห้องโยคะและห้องกายภาพ, ชั้น 6, 7, 8 คือส่วนของสำนักงาน โดยที่ชั้น 8 จะมีในส่วนของห้องอาหาร (Canteen) สำหรับพนักงานด้วย และชั้นดาดฟ้า ที่จัดให้เป็น “Rooftop Organic Farm” ให้ผู้บริหารและพนักงานได้ร่วมกันปลูกผัก-ผลไม้ออร์แกนิค สำหรับไว้รับประทานอีกทั้งเพื่อให้พนักงาน ได้เรียนรู้ถึงความสำคัญของที่มาที่ไปของอาหาร   “แสนสิริ” เผยโฉม “KHUN by YOO inspired by Starck”   นายปิติ จารุกำจร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการอาวุโสฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและบริหารกลยุทธ์ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดตัวโครงการ “KHUN by YOO inspired by Starck” (คุณ บาย ยู อินสไปร์ บาย สตาร์ค)” ภายใต้บริษัทร่วมทุนกับ บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ซึ่งได้ก่อสร้างแล้วเสร็จ 100% มูลค่ารวม 4,400 ล้านบาท ซึ่งเป็น 1st Design Branded Residence ระดับลักซ์ชัวรี่ใน Sansiri Luxury Collection ภายใต้ความร่วมมือกับ YOO Studio แบรนด์ดีไซน์สตูดิโอระดับโลกอย่างเต็มรูปแบบแห่งแรกในประเทศไทย  ปัจจุบันมียอดขายแล้วเกือบ 70% หรือคิดเป็นมูลค่า 2,800 ล้านบาท   นายปิติ กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการนี้เป็น 1 ในเพียงแค่ 36 โปรเจ็กต์ทั่วโลกที่ฟิลิปป์ สตาร์ค ร่วมรังสรรค์ ด้วยจำนวนจำกัดเพียง 148 ยูนิต   มาตรฐานทั่วไปที่มีในตลาด จึงถือเป็นอสังหาฯ ที่มีศักยภาพสูงมากในการลงทุนแบบ Passion Investment  ซึ่งโครงการ KHUN by YOO inspired by Starck ก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ 100% พร้อมโอนกรรมสิทธ์แล้วตั้งแต่วันนี้ ราคาเริ่มต้นที่ 18.9 ล้านบาท  ปัจจุบัน Sansiri Luxury collection คอลเลคชั่น สร้างยอดขายรวมแล้วกว่า 17,700 ล้านบาท ได้แก่ 98 Wireless ซึ่งปัจจุบันเหลือเพียงจำนวน 3 ยูนิต, บ้านแสนสิริ พัฒนาการเหลือเพียงจำนวน 3 หลัง ตลอดจน THE MONUMENT Thong Lo ที่มียอดขายแล้วถึง 60% จากทั้งหมดของโครงการ   "ลลิล" ส่ง 7 โครงการรับกำลังซื้อ ย่านรังสิต-ปทุม-ลำลูกกา นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN)  เปิดเผยถึงศักยภาพของทำเลรังสิตว่า พื้นที่ในทำเลรังสิตตั้งแต่ลำลูกกา รังสิต-องครักษ์ และคลองหลวง ถือเป็นพื้นที่ของการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรมาอย่างยาวนาน เนื่องจากเป็นทำเลที่มีความสะดวกในด้านการเดินทางจากโครงข่ายคมนาคมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ถนนวิภาวดีรังสิต ทางด่วนดอนเมืองโทลล์เวย์ ถนนวงแหวนฝั่งตะวันออก เป็นต้น   ขณะที่ในปัจจุบันรถไฟฟ้าทั้งสายสีแดงธรรมศาสตร์ รังสิต-บางซื่อ และรถไฟฟ้าสายสีเขียว หมอชิต-คูคต ที่จะเปิดให้บริการในอนาคต และมีแผนจะขยายเส้นทางไปถึงถนนวงแหวน จะทำให้การเดินทางเข้า-ออกเมืองมีความสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ประกอบกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกด้านต่างๆ เช่น การขยายสนามบินดอนเมือง รวมถึงห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เกิดขึ้นในอนาคต และห้างเดิมที่มีให้บริการอยู่แล้วจะทำให้สิ่งอำนวยความสะดวกในพื้นที่มีความพร้อมและสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้ทำเลรังสิตกลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่ง   ทั้งนี้ โครงการที่อยู่อาศัยในทำเล ลำลูกกา-รังสิต ถือเป็นทางเลือกให้กับผู้บริโภคในเมือง ซึ่งโครงการทาวน์โฮมของบริษัทฯ ในทำเลรังสิต ราคาเริ่มต้นประมาณ 2 ล้านบาท ได้ห้องนอน 3 ห้องนอน และที่จอดรถ 2 คัน ส่วนบ้านราคาเริ่มต้นจะอยู่ที่ 2 ล้านกว่า - 6 ล้านบาท  บริษัทจึงได้เปิด 7 โครงการมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท ในทำเลดังกล่าว ได้แก่   1.โครงการไลโอ บลิสซ์ รังสิต-คลองหลวง   2. โครงการไลโอ บลิสซ์ ลำลูกกา-คลอง 2  3.โครงการบุรีรมย์ รังสิต-ลำลูกกา คลอง 4  4. โครงการลลิล ทาวน์ ลำลูกกา คลอง 4-5  5. โครงการลลิล ทาวน์ วงแหวน-ลำลูกกา คลอง 6   6. โครงการลลิล ทาวน์ รังสิต-คลอง  2 และ 7. โครงการไลโอ บลิสซ์ รังสิต-คลอง 4  รวมมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท   BAM เดินหน้าขายหุ้น IPO   นางทองอุไร ลิ้มปิติ ประธานกรรมการ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เปิดเผยว่า ได้เปิดให้ประชาชนจองหุ้น IPO ได้ในวันที่ 25 - 29 พฤศจิกายนนี้  ผ่านธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ ทุกสาขา ในช่วงราคาเสนอขาย 15.50-17.50 บาทต่อหุ้น โดยบริษัทจะเสนอขายหุ้น IPO ด้วยจำนวนรวมกันไม่เกิน 1,535 ล้านหุ้น ประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 280 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมจำนวนไม่เกิน 1,255 ล้านหุ้น   นอกจากนี้ อาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Greenshoe) จำนวนไม่เกิน 230 ล้านหุ้น รวมทั้งสิ้นจำนวนไม่เกิน 1,765 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 5 บาท เพื่อนำเงินจากการระดมทุนไปขยายธุรกิจโดยซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขายในอนาคต ชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงิน และ/หรือชำระหุ้นกู้ที่ถึงกำหนดที่ออกโดยบริษัทฯ และ/หรือตั๋วเงินจ่าย และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน (อ่านข่าวเพิ่มเติม)          
[PR News] SC Asset จับมือ 6 พันธมิตร เพิ่มบริการผ่านแอป “บ้านรู้ใจ”

[PR News] SC Asset จับมือ 6 พันธมิตร เพิ่มบริการผ่านแอป “บ้านรู้ใจ”

SC Asset จับมือ 6 พันธมิตร ปล่อยบริการใหม่ ที่ไม่ได้จำกัดแค่เรื่องที่อยู่อาศัย ทั้งการรีไฟแนนซ์ ประกันภัย และส่งแก๊ซ ผ่านแอปพลิเคชัน “บ้านรู้ใจ” ตอบโจทย์ human-centric สู่การเป็น “Living Solutions Provider”   แอปพลิเคชัน "บ้านรู้ใจ" ของ SC Asset  ได้ถูกออกแบบและพัฒนาไว้บนแพลตฟอร์มหนึ่งเดียว โดยรวบรวมทุกสิ่งอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าทั้งบ้านและคอนโด ด้วยฟีเจอร์ใหม่ Rue Jai Subscription “ช่วยเรื่องบ้าน จัดการเรื่องชีวิต” โดยรูปแบบ คือ บริการแพ็กเกจดูแลที่อยู่อาศัยแบบรายเดือน ครอบคลุมตั้งแต่การทำความสะอาดบ้าน ดูแลสวน ซัก-รีด ฯลฯ    SC Asset จับมือพันธมิตร เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ในแอปพลิเคชั่น นายดิเรก ตยาคี Head of Living Solutions บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC Asset เปิดเผยว่า ได้จับมือกับ 6 พันธมิตรทั้งกลุ่มธนาคาร ประกันภัย และ บริษัทแก๊สชั้นนำ เปิดบริการใหม่ในแอปพลิเคชัน "บ้านรู้ใจ"  ของ SC Asset  ได้แก่ บริการรีไฟแนนซ์ ซึ่งได้ร่วมกับ 4 องค์กรพันธมิตร ได้แก่  ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารยูโอบี  ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ และ Refinn  “ปัจจุบันผลตอบรับบริการรีไฟแนนซ์ดีมาก มีลูกบ้านยื่นเรื่องรีไฟแนนซ์ผ่านแอปพลิเคชั่นกว่า 400 ล้านบาท และดำเนินการยื่นเรื่องจดจำนองเรียบร้อยคิดเป็นมูลค่า 100 ล้านบาท สำหรับอนาคตจะมีการขยายการให้บริการด้านการเงินต่างๆ เพิ่มมากขึ้น อาทิ เปลี่ยนบ้านให้เป็นเงิน การกู้เงินเพื่อตกแต่งบ้าน และการดูแลในเรื่อง Wealth Management ด้วย” ประกันเดินทางร่วมกับการประกันบ้าน นอกจากนี้ ยังมีบริการ “ประกันภัย” จากบริษัท ชับบ์สามัคคีประกันภัย จำกัด ที่ร่วมนำเสนอแพ็คเก็จประกันเดินทางแบบใหม่ร่วมกับการประกันบ้านในระยะเวลาที่ต้องการ ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของวงการประกันภัย และเป็นบริการพิเศษเฉพาะสำหรับลูกบ้านของ SC เท่านั้น เพื่อให้ลูกบ้านรู้สึกสบายใจ ไร้กังวล เวลาเดินทางไปท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นทริปสั้นๆ หรือทริปยาว และในอนาคตก็จะมีบริการด้านประกันภัยอื่นๆ เช่น พรบ.รถยนต์ เป็นต้น บริการส่งแก๊สถังใหม่ทุกเดือน นายดิเรก กล่าวอีกว่า แอปพลิเคชั่น บ้านรู้ใจ ยังมีบริการจัดส่งแก๊ส โดยความร่วมมือกับบริษัท ดับบลิวพี เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) ผู้นำในการจัดจำหน่ายแก๊ส LPG ที่ร่วม co-creation สร้างสรรค์บริการใหม่ๆ โดยจัดบริการส่งแก๊สถังใหม่ให้เป็นประจำทุกเดือน หมดปัญหาความยุ่งยากที่อาจเกิดขึ้นเมื่อแก๊สหมดระหว่างทำกับข้าว โดยแผนในอนาคต คือการร่วมกับ SC จะนำต้นแบบจากประเทศญี่ปุ่นมาพัฒนาให้เป็นมาตรฐานเดียวกันให้เกิดความปลอดภัยและอำนวยความสะดวกในการเปลี่ยนถังแก๊สเพิ่มขึ้น “จุดเด่นที่สำคัญของแอปพลิเคชัน บ้านรู้ใจ นอกจาก Conversation การสนทนาผ่านเจ้าหน้าที่รู้ใจ ด้วยบริการตลอด 24 ชั่วโมง คือ การมีฟีเจอร์ “Rue Jai Subscription” ช่วยเรื่องบ้าน จัดการเรื่องชีวิตรวมไปถึงการร่วมมือกับพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญมอบบริการที่พิเศษหลากหลายไว้บนฟีเจอร์ โดยไม่ได้จำกัดแค่เรื่องที่อยู่อาศัยเท่านั้น ยังตอบโจทย์ human-centric สำหรับชีวิตประจำวันอีกด้วย” ลูกบ้านสามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน "บ้านรู้ใจ" ผ่าน IOS และ Google Play ได้ฟรี    
BAM เดินหน้าขายหุ้น IPO พร้อมซื้อขายในตลาดเดือนธันวาคมนี้

BAM เดินหน้าขายหุ้น IPO พร้อมซื้อขายในตลาดเดือนธันวาคมนี้

BAM เดินหน้าแผนเสนอขายหุ้น IPO ผ่าน 3 แบงก์ วันที่ 25-29 พฤศจิกายนนี้ กำหนดช่วงราคา 15.50-17.50 บาทต่อหุ้น คาดเข้าซื้อขายในตลาดได้ในเดือนธันวาคม   การเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้ นับเป็นโอกาสสำคัญสำหรับนักลงทุน ที่จะได้ร่วมต่อยอดความสำเร็จไปกับผู้นำในธุรกิจบริหารสินทรัพย์ที่มุ่งมั่นแก้ไขปัญหาสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ (NPLs) และทรัพย์สินรอการขาย (NPAs) ในระบบสถาบันการเงินของประเทศ พร้อมสร้างการเติบโตในอนาคตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนผ่านจุดแข็ง 6 ประการ โดยบริษัทจะเสนอขายหุ้น IPO ด้วยจำนวนรวมกันไม่เกิน 1,535 ล้านหุ้น ประกอบด้วยหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 280 ล้านหุ้น และหุ้นสามัญเดิมจำนวนไม่เกิน 1,255 ล้านหุ้น   นอกจากนี้ อาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Greenshoe) จำนวนไม่เกิน 230 ล้านหุ้น รวมทั้งสิ้นจำนวนไม่เกิน 1,765 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 5 บาท เพื่อนำเงินจากการระดมทุนไปขยายธุรกิจโดยซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขายในอนาคต ชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงิน และ/หรือชำระหุ้นกู้ที่ถึงกำหนดที่ออกโดยบริษัทฯ และ/หรือตั๋วเงินจ่าย และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน นางทองอุไร ลิ้มปิติ ประธานกรรมการ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เปิดเผยว่า มีความมั่นใจในแผนการระดมทุนครั้งนี้ เพราะเชื่อมั่นศักยภาพในการดำเนินธุรกิจของ BAM ในระยะยาวและมีความยินดีที่จะเปิดโอกาสให้ประชาชนทั่วไปได้มาร่วมเป็นเจ้าของ และเติบโตไปกับธุรกิจบริหารสินทรัพย์  โดย BAM ความพร้อมด้วยจุดแข็ง 6 ประการ ประกอบด้วย   1.BAM คือบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ โดยพิจารณาจากสินทรัพย์รวม (ตามข้อมูลในรายงานภาวะอุตสาหกรรมซึ่งจัดทำโดยบริษัท อิปซอสส์ จำกัด) และ มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญมากว่า 20 ปี   2.มีเครือข่ายสาขามากที่สุด โดยมีสำนักงานใหญ่และสาขารวม 26 แห่งทั่วประเทศ มีพนักงานกว่า 1,200 คน ช่วยให้บริษัทสามารถติดตาม และบริหารจัดการ NPLs และ NPAs ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถประเมินราคาทรัพย์สินได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งยังช่วยให้บริษัทมีช่องทางและฐานลูกค้าที่กว้างขวางทั่วทุกภูมิภาค สามารถสร้างความมั่นใจให้กับผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัย และนักลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ได้เป็นอย่างดี 3.มีผลการดำเนินงานในการจัดหา บริหารจัดการ และสร้างกระแสเงินสดจาก NPLs และ NPAs ที่แข็งแกร่ง   4.มีความสามารถในการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม   5.มีแหล่งเงินทุนที่หลากหลายและยั่งยืนเพื่อขยายธุรกิจให้เติบโต   6.กรรมการและทีมผู้บริหารระดับสูงของ BAM ล้วนมีประสบการณ์และผลงานเป็นที่ยอมรับ   สำหรับผลการดําเนินงานและฐานะทางการเงินของ BAM ระหว่างปี 2559-2561 นั้น มีรายได้เติบโตเฉลี่ย 5.5% ต่อปีมีกําไรสุทธิเติบโตเฉลี่ย 3.0% ต่อปี สำหรับงวด 9 เดือน ปี 2562 BAM มีรายได้รวม 9,206 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 4,882 ล้านบาท อีกทั้ง BAM ยังมีศักยภาพในการเติบโตจาก NPLs และ NPAs ในระบบธนาคารที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง   โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2562 ราคาประเมินของหลักทรัพย์คํ้าประกันมีมูลค่าสูงกว่ามูลค่าทางบัญชีของลูกหนี้ NPLs ของ BAM กว่า 2.4 เท่า (ราคาประเมินของหลักทรัพย์คํ้าประกัน = 195,554 ล้านบาท / มูลค่าทางบัญชี = 79,136   ล้านบาท)  และราคาประเมินของ NPAs ของ BAM มีมูลค่าสูงกว่า มูลค่าทางบัญชีกว่า 2.3 เท่า  (ราคาประเมิน = 54,467 ล้านบาท / มูลค่าทางบัญชี = 23,245 ล้านบาท) BAM มีการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ โดยมีนโยบายการจ่ายเงินปันผลในอัตราไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้ของงบการเงินเฉพาะกิจการของบริษัทฯ และภายหลังการจัดสรรทุนสำรองตามกฎหมาย สําหรับผลประกอบการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา BAM มีอัตราการจ่ายเงินปันผล ที่ 80%, 97% และ 60% ตามลำดับ   “เราขอย้ำว่า การเสนอขายหุ้นครั้งนี้ ประชาชนทั่วไปทุกคนสามารถจองซื้อได้ การกระจายหุ้นให้บุคคลทั่วไปจะจัดสรรผ่านกระบวนการสุ่มเลือก (Random) โดยระบบคอมพิวเตอร์ของบริษัท เซ็ทเทรด ดอท คอม จํากัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย” ทั้งนี้ ภายหลังจาก BAM เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยแล้ว นอกจากนำเงินไปชำระหนี้เพื่อลดภาระดอกเบี้ย ยังจะมีเงินทุนส่วนหนึ่งในการร่วมประมูลสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ช่วยทำให้ราคาซื้อขายดีขึ้น ลดภาระลูกหนี้ในการผ่อนชำระต่อ หรือมีความสามารถในการซื้อทรัพย์สินกลับมาเป็นเจ้าของบ้าน บริษัทเน้นการบริหารมุ่งสู่ความยั่งยืน  ซึ่งมีส่วนร่วมในการช่วยพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมไทยในระยะยาว ประชาชนทั่วไปสามารถจองซื้อหุ้นไอพีโอของ BAM ระหว่างวันที่ 25 – 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562 ที่ช่วงราคาเสนอขาย 15.50-17.50 บาทต่อหุ้น (ประชาชนทั่วไปจะต้องจ่ายเงินจองซื้อ 17.50 บาทต่อหุ้น โดยบริษัทจะคืนเงินส่วนต่างในกรณีที่ไม่ได้รับการจัดสรรหรือราคาเสนอขายสุดท้ายต่ำกว่าราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขาย) ที่ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ ทุกสาขาทั่วประเทศ โดยผู้จองซื้อที่เป็นประชาชนทั่วแต่ละรายจะได้รับการจัดสรรสูงสุดไม่เกิน 1 ล้านหุ้นต่อหนึ่งราย   ทั้งนี้ ผู้จัดการการจัดจำหน่าย (Lead Underwriters หรือ “UWs”) ได้แก่ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ (จำกัด) และ ตัวแทนจำหน่ายหุ้นขอสงวนสิทธิในการปิดรับจองซื้อหุ้นก่อนครบกำหนดระยะเวลาการจองซื้อ หากพบว่าจำนวนหุ้นที่รับจองซื้อผ่านตัวแทนจำหน่ายหุ้นทุกรายรวมกันมีจำนวนเท่ากับหรือสูงกว่า 1,765 ล้านหุ้น   ทั้งนี้ คาดว่าหุ้นสามัญของบริษัทจะสามารถเข้าจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ได้ในช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้โดยผู้สนใจลงทุนสามารถติดตามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)   ข่าวอื่นเกี่ยวกับ BAM เตรียมขายหุ้น IPO
ทำความรู้จักกับ “แอมไชน่าทาวน์” มิกซ์ยูส 3,000 ล้าน ใจกลางเยาวราช

ทำความรู้จักกับ “แอมไชน่าทาวน์” มิกซ์ยูส 3,000 ล้าน ใจกลางเยาวราช

โครงการ แอมไชน่าทาวน์ (I’m Chinatown) โปรเจ็กต์มิกซ์ยูส มูลค่า 3,000 ล้านบาท ของบริษัท ไอแอมไชน่าทาวน์ จำกัด ได้เปิดให้บริการในเฟสแรกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเป็นพื้นที่ในส่วนของศูนย์การค้าตั้งแต่วันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งอาจจะไม่ใช่เรื่องง่ายนักสำหรับพื้นที่ย่านเยาวราช ในการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ เนื่องจากข้อจำกัดของพื้นที่ ซึ่งอาจจะหาได้ยาก นายสุวรรณ เลิศปัญญาโรจน์ กรรมการ บริษัท ไอแอมไชน่าทาวน์ จำกัด เปิดเผยว่า โครงการ I’m Chinatown เป็นโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ที่สุด โครงการแรกที่มีการก่อสร้างในย่านเยาวราชภายในรอบ 30 ปี ด้วยขนาดพื้นที่ 40,000 ตารางเมตร เนื่องจากย่านเยาวราชมีข้อจำกัดในเรื่องที่ดิน ไม่สามารถก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ ทำได้แค่เพียงการปรับปรุงซ่อมแซมอาคารเดิมเท่านั้น “ย่านเยาวราช หรือ ไชน่าทาวน์ เป็นย่านเศรษฐกิจที่สำคัญลำดับต้นๆ ของประเทศไทย ไม่เพียงแต่จะเป็นศูนย์รวมการค้าขายของชาวไทยเชื้อสายจีน ในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน แต่ยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกด้วย” สำหรับที่ตั้งโครงการอยู่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT วัดมังกร เพียงแค่ 1 นาที มีกลุ่มเป้าหมายทั้งชาวไทยและต่างประเทศ ซึ่งคาดว่าจะเข้ามาใช้บริการไม่ต่ำกว่าวันละกว่า 8,000 คน ปัจจุบันมีร้านค้าทยอยเปิดให้บริการแล้วประมาณ  70% และจะเปิดบริการเต็มรูปแบบอย่างเป็นทางการในวันที่ 16 มกราคม 2563 ซึ่งหลังเปิดให้บริการเต็มรูปแบบ บริษัทน่าจะมีรายได้จากการปล่อยเช่าพื้นที่ของศูนย์การค้า ปีละ 100 ล้านบาท และคืนทุนได้ภายใน 5-7 ปี เปิด 4 พื้นที่ในโครงการ I’m Chinatown 1.โรงแรม ซึ่งเป็นโครงการร่วมมือกันระหว่างโรงแรม “อาศัย” (ASAI) เครือดุสิต ซึ่งเป็นโรงแรมเจาะกลุ่มไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะสำหรับนักเดินทางที่มองหาประสบการณ์ที่แตกต่างไป โดยเน้นการเข้าถึงวิถีชุมชน หรือ ‘Live Local’ มีจำนวนห้องทั้งสิ้น 224 ห้อง ให้บริการตั้งแต่ชั้น 4-8 ของศูนย์การค้า จะเปิดรองรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก โดยคาดว่า 40% จะเป็นนักท่องเที่ยวชาวจีน รองลงมาจะเป็นญี่ปุ่น เกาหลี และยุโรป และคาดว่าจะมีอัตราการเข้าพักมากกว่า 90% ตลอดทั้งปี   2.อาคารจอดรถ ที่อำนวยความสะดวกกับผู้มาใช้บริการและประชาชนที่จะเดินทางมาไชน่าทาวน์ โครงการฯ เปิดให้บริการที่จอดรถ 300 คัน ซึ่งเป็นอาคารจอดรถขนาดใหญ่และทันสมัยที่สุดในย่านไชน่าทาวน์   3.I’m Chinatown Residence พื้นที่พักอาศัยในส่วนคอนโดมิเนียม ซึ่งตกแต่งเสร็จพร้อมอยู่ 8 ชั้น จำนวน 43 ยูนิต ซึ่งตอบสนองประชาชนที่พักอาศัยในย่านนี้ ที่ไม่ต้องเดินทางออกไปชานเมืองและกลับมาตอนเช้า รวมถึงเจ้าของกิจการและผู้ประกอบการที่มีธุรกิจในย่านเยาวราช  พื้นที่คอนโดมิเนียมจะใช้ระบบลิฟต์แยกตามชั้น เพื่อความเป็นส่วนตัว มีระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง เข้า-ออก โครงการด้วยระบบคีย์การ์ด ปัจจุบันโครงการปิดการขายทั้งหมดเป็นที่เรียบร้อยแล้ว   4.พื้นที่ศูนย์การค้า ซึ่งจะเป็นศูนย์รวมของฝากและร้านอาหาร เป็นจุดนัดพบของนักท่องเที่ยว ผู้มาจับจ่ายใช้สอย แหล่งรับประทานอาหารของประชาชนทั่วไป สำรวจพื้นที่รีเทลหมื่นตารางเมตร สำหรับพื้นที่เชิงพาณิชย์ หรือรีเทล มีทั้งหมดด้วยกัน 4 ชั้น ซึ่งมีร้านค้าจำนวนทั้งสิ้นกว่า 80 ร้าน คิดเป็นพื้นที่พาณิชย์กว่า 10,000 ตารางเมตร   -ชั้น B1 เป็นพื้นที่ร้านค้าสะดวกซื้อและร้านบริการ เช่น 7 - Eleven, Kerry Express, ร้านขายยา, CleanMate, Kamu, Nara Gem, B’me by Wacoal, Beauty Maker, Vision and Café, ร้านอาหารบุฟเฟ่ต์ ชื่อดังอย่าง King Kong บุฟเฟ่ต์ปิ้งย่างสไตล์ยากินิคุ และ King Kong Sweets ร้านขนมหวานยอดนิยมต้นตำรับจากประเทศญี่ปุ่น   นอกจากนี้ยังมี Gourmet Thai ซึ่งเป็นสแตนอโลนช็อปแห่งแรกที่เปิดทำการนอกพื้นที่อสังหาริมทรัพย์ภายในเครือเดอะมอลล์ กรุ๊ป โดยได้คัดสรรรายการสินค้าคุณภาพจาก Gourmet Market สาขาต่างๆ มาจำหน่ายที่ร้านค้าแห่งนี้  เพื่อให้บริการสำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติโดยเฉพาะ -ชั้น G และชั้น 2 เป็นแหล่งรวมร้านอาหาร ร้านไลฟ์สไตล์ และของหวานชั้นนำ ทั้ง KFC, Starbucks, Krispy Kreme, Wacoal, แว่นท็อปเจริญ, Beauty Station, Jamba Juice, Dairy Queen, ชานมไข่มุก CoCo, Olino Crepe & Tea, Stickhouse, ชาผลไม้อันดับหนึ่งของประเทศไต้หวันอย่าง Yi Fang ซึ่งเป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย, New York 5th Ave. Deli ร้านแซนด์วิชสไตล์อเมริกันระดับพรีเมี่ยมสาขาแรกในกรุงเทพฯ, ร้านสุกี้ MK, Yayoi, Hachiban Ramen, Ryo Shi ซูชิบาร์, Swensen, Daiso, ตำมั่ว และ Munchy Bar and Restaurant รวมถึงยังมีศูนย์อาหาร ซึ่งรวบรวมสตรีทฟูดชื่อดังจากทั่วกรุงเทพฯ มาให้ได้ลิ้มรสกันอีกด้วย   -ชั้น 3 ประกอบไปด้วยร้านค้าที่เปิดให้บริการด้านสุขภาพและความงาม อย่าง Together Clinic, ร้านทำเล็บ, Jetts Fitness ฟิตเนสเต็มรูปแบบแห่งแรกของย่านเยาวราช เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง และ Let’s Relax Spa สปาระดับพรีเมี่ยมแห่งแรกและใหญ่ที่สุดในย่านเยาวราช ซึ่งจะเปิดให้บริการตั้งแต่ 10.00 น. ถึงเที่ยงคืน “การพัฒนาของยุคสมัยที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เยาวราชในปัจจุบันกลายเป็นศูนย์รวมธุรกิจการค้าที่มีส่วนในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทย เพราะเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ที่มีความโดดเด่นเฉพาะตัว” ข้อมูลเพิ่มเติม "แอมไชน่าทาวน์"  
ถอดกลยุทธ์ “พฤกษา” เติบโต 5% ได้อย่างไรในภาวะตลาดอสังหาฯ ติดลบ

ถอดกลยุทธ์ “พฤกษา” เติบโต 5% ได้อย่างไรในภาวะตลาดอสังหาฯ ติดลบ

ตลาดอสังหาฯ 9 เดือนหดตัว 22% ส่อแววตลาดชะลอตัวต่อเนื่องถึงปีหน้า “พฤกษา” ชู 4 กลยุทธ์ปรับตัวรับมือและรักษาการเติบโต หั่นโปรเจ็กต์เล็กลง จับตลาดเรียลดีมานด์ และมีกำลังซื้อสูง ปักหมุดในทำเลศักยภาพ ปี 63 เตรียมอีก 15 โปรเจ็กต์ใหม่สร้างการเติบโต 5%   ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ในช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมา ดูเหมือนจะเติบโตลดลงทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ หรือคอนโดมิเนียม เป็นการลดลงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา โดยลดลง 22% จากมูลค่า 385,926 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา เหลือ 299,789 ล้านบาท เฉพาะไตรมาส 3 ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ลดลงไปถึง 35% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีมูลค่าประมาณ 100,629 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 3 ปี 2561 มีมูลค่าสูงถึง 154,415 ล้านบาท   แนวโน้มตลาดอสังหาฯ ที่ลดลงมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการหลายราย ต้องปรับตัวเพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ ส่วนใหญ่จะเปิดโครงการเมื่อมั่นใจในทำเลที่ตั้ง และการทำตลาดสำหรับโครงการนั้น แต่หากยังไม่มั่นใจ หรือพิจารณาดูแล้วโครงการที่จะเปิดยังมีความต้องการไม่มากพอ ผู้ประกอบการมักจะเลื่อนไปเปิดตัวโครงการไปในปีหน้าแทน หรือไม่ก็ปรับลดขนาดให้โครงการเหมาะสมกับสภาพแต่ละทำเล   ทั้ง 2 เรื่อง เป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการหยิบมาใช้ เป็นวิธีการสร้างความมั่นคงให้กับธุรกิจ และไม่ทำให้ธุรกิจมี “ความเสี่ยง” มากเกินไป ไม่เว้นแม้แต่ผู้นำตลาดอย่างกลุ่ม “พฤกษา” ที่เลือกเปิดเฉพาะโครงการในทำเลที่มั่นใจจริงๆ เท่านั้น อย่างเช่นในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาก็เลื่อนเปิดตัวโครงการใหม่ 4 โครงการ โดยเลื่อนมาเปิดในไตรมาสสุดท้าย และไปเปิดในปี 2563 แทน   นายปิยะ ประยงค์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท – แวลู  บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แนวโน้มสถานการณ์อสังหาฯ ในปี 2563 เชื่อว่าคงจะไม่เติบโต และอาจจะลดลงต่อเนื่องในอัตรา 10-20% ทำให้กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท – แวลู จะเปิดตัวโครงการใหม่ประมาณ 15 โครงการ มีมูลค่าเฉลี่ยโครงการละ 1,000 ล้านบาท  แบ่งเป็น โครงการแนวราบ 50% และคอนโดฯ  50% ซึ่งใกล้เคียงกับปีนี้ที่เปิดตัว 16 โครงการ   “โครงการใหม่ในปี 2563 จำนวน 30% เป็นโครงการที่เลื่อนเปิดจากปีนี้” ถอด 4 กลยุทธ์การเติบโตกลุ่มพฤกษา สำหรับกลยุทธ์สำคัญในการดำเนินธุรกิจปีหน้ากลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท-แวลู คือ 1.โครงการเปิดใหม่จะไม่เน้นโครงการขนาดใหญ่ จะมีจำนวนยูนิตเฉลี่ย 200-300 ยูนิตต่อโครงการ พื้นที่โครงการแนวราบจะลดขนาดลงและกระจายเข้ามาใกล้ใจกลางเมืองมากขึ้น เช่น บ้านเดี่ยวเคยพัฒนาบนเนื้อที่ 80 ไร่ จะลดเหลือ 20-30 ไร่ เป็นต้น   2.จับตลาดกลุ่มเป้าหมายคนเมือง มีรายได้ 50,000-150,000 บาทต่อเดือน เนื่องจากมองว่าเป็นกลุ่มกำลังซื้อสูง ไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ และมีความต้องการที่อยู่อาศัยอย่างแท้จริง   3.ขยายกลุ่มลูกค้าไปสู่ตลาดระดับบนมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าบ้านเดี่ยวราคามากกว่า 5 ล้านบาท ขึ้นไป และกลุ่มลูกค้าคอนโดฯ ระดับราคา 3-5 ล้านบาท   4.เลือกเปิดตัวโครงการในทำเลที่มีศักยภาพ และมีช่องว่างทางการตลาด การแข่งขันไม่รุนแรง ทั้งในพื้นที่กลางเมืองกรุงเทพฯ​ และปริมณฑล รวมถึง พื้นที่ต่างจังหวัดไม่ว่าจะเป็นเขตอีอีซี เชียงใหม่ และภูเก็ต     “ในครึ่งปีหลัง 2562 บริษัทมีการปรับกลุทธ์การเปิดขายโครงการคอนโดฯ โดยเน้นโครงการที่เป็น  Best in Class เจาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางที่มีกำลังซื้อและมีศักยภาพในท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ในทำเลใกล้รถไฟฟ้าและมีดีมานด์รองรับ” โดยล่าสุด เปิดตัวโครงการ “The Tree Victory Monument”  ถือเป็นโครงการสูงของแบรนด์เดอะทรี (The Tree) โครงการแรกในระดับลักชัวรี่ มีการปรับโฉมทำห้องฝ้าเพดานสูง 4.4 เมตร และ ห้อง Duplex ฝ้าเพดานสูง 4.9 เมตร  ในทำเลย่านอนุสาวรีย์ชัยฯ  ราคาเริ่มต้น 3.59 ล้านบาท ซึ่งตัวอาคารมีขนาดความสูง 31 ชั้น  1 อาคาร มีชั้นจอดรถใต้ดิน 3  ชั้น มีห้องพักจำนวน 253  ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท   โครงการ “The Tree Victory Monument” ถือเป็น 1 ใน 3 โครงการที่จะเปิดตัวในไตรมาส 4 นี้ มูลค่ารวม 5,100 ล้านบาท  โดยจะเปิดตัวอีก 2 โครงการ จะเปิดคอนโดมิเนียมอีก 3 โครงการ ได้แก่ The Tree พัฒนาการ-เอกมัย และ The Tree พระราม 4-สุขุมวิท     นายปิยะ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาพรวมธุรกิจอสังหาฯ ในไตรมาสสุดท้าย น่าจะได้รับอานิสงค์จากมาตรการภาครัฐ ทำให้ตลาดฟื้นตัวดีขึ้นแต่ยังคงติดลบจากปีที่ผ่านมา แต่คงติดลบน้อยลงจากเดิม 22% น่าจะเหลือติดลบประมาณ 15-20%  ซึ่งพฤกษา เรียลเอสเตท-แวลู  เตรียมนำสต๊อกโครงการสร้างเสร็จในกลุ่มบ้านเดียว มูลค่า 3,000 ล้านบาท และคอนโดฯ มูลค่า 3,000 ล้านบาท มาจัดแคมเปญโปรโมชั่นฟรีทุกค่าใช้จ่าย และลดราคาขาย 5-10%   “ในปีนี้ กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท – แวลู  คาดว่าจะมีรายได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ 20,000 ล้าน และมีเป้าหมายยอดขาย 17,000 ล้านบาท ปัจจุบันทำยอดขายได้แล้ว 15,000 ล้านบาท ส่วนปีหน้าคงวางเป้าหมายการเติบโตไว้ 5%”  
3 ปัจจัยผลกระทบแผ่นดินไหวระยะไกลต่ออาคารสูงในกรุงเทพฯ

3 ปัจจัยผลกระทบแผ่นดินไหวระยะไกลต่ออาคารสูงในกรุงเทพฯ

เมื่อเช้าวันที่ 21 พ.ย. 62 อาคารสูงหลายแห่งในกรุงเทพฯ ได้รับแรงสั่นสะเทือนจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาด 5.9 ริกเตอร์ ที่ประเทศลาว ศ.ดร.อมร พิมานมาศ นายกสมาคมวิศวกรโครงสร้างไทย เปิดเผยว่า เหตุการณ์นี้ถือเป็นแผ่นดินไหวระดับกลางและเป็นแผ่นดินไหวระยะไกลประมาณ 600-700 กม. ซึ่งทำให้อาคารสูงหลายแห่งในกรุงเทพฯ ได้รับผลกระทบการสั่นไหวที่รุนแรงกว่าปกติ โดยมี 3 ปัจจัยที่ต้องระวังจากแผ่นดินไหว ดังนี้ 1.สภาพชั้นดินของกรุงเทพฯ เป็นชั้นดินเหนียวอ่อน ดังนั้นแม้ว่าแผ่นดินไหวจะเกิดขึ้นจากระยะไกล แต่ด้วยสภาพชั้นดินของ กทม. จะขยายคลื่นแผ่นดินไหวให้แรงขึ้นได้อีก 3-4 เท่า จึงทำให้อาคารได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวดังกล่าว 2.อาคารสูง เช่น คอนโดมีเนียม อาคารสำนักงาน ที่มีความสูง 10 ชั้นมีค่าความถี่ธรรมชาติต่ำ ซึ่งเป็นค่าความถี่การสั่นของอาคารที่ใกล้เคียงกับการสั่นไหวของพื้นดิน ทำให้เกิดการสั่นเข้าจังหวะกันระหว่างพื้นดินและอาคาร ทำให้อาคารสูงมีการสั่นสะเทือนที่แรงกว่าอาคารทั่วไป 3.อาคารสูงหลายแห่งใน กทม. หากก่อสร้างก่อนปี 2550 มีแนวโน้มที่จะไม่ได้ออกแบบให้รองรับแผ่นดินไหว เนื่องจาก กฎกระทรวงกำหนดการรับน้ำหนักความต้านทานความคงทนของอาคารและพื้นดินที่รองรับรับอาคารในการต้านทานแรงสั่นสะเทือนของแผ่นดินไหว เริ่มประกาศใช้บังคับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา สำหรับแผ่นดินไหวที่อาจส่งผลกระทบต่ออาคารสูงใน กทม. อาจมาจาก 3 แหล่งได้แก่ 1. บริเวณรอยต่อของแผ่นเปลือกโลกในมหาสมุทรอินเดียมีระยะห่างจาก กทม.ประมาณ 1200 กม. 2. แผ่นดินไหวทางภาคเหนือและจากประเทศลาว มีระยะห่างจาก กทม. ประมาณ 600-700 กม. 3. แผ่นดินไหวที่มาจากทางภาคตะวันตก ได้แก่ จ. กาญจนบุรี และจากประเทศพม่า มีระยะห่างจาก กทม. ประมาณ 300-400 กม.   ศ.ดร.อมร พิมานมาศ เผยต่อว่า เราควรให้ความใส่ใจกับแผ่นดินไหวที่มาจากทิศตะวันตกและประเทศพม่าด้วย เนื่องจากมีรอยเลื่อนที่มีพลังคือ รอยเลื่อนศรีสวัสดิ์ และ รอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ นอกจากนี้ยังมีรอยเลื่อนสะแกงในประเทศพม่า ซึ่งอยู่ห่างในระยะประมาณ 400 กม. และอาจเกิดแผ่นดินไหวได้รุนแรงถึง 8.5 ริกเตอร์ หากเกิดขึ้นอาจส่งผลกระทบให้อาคารในกรุงเทพฯ ได้รับความเสียหายได้ ซึ่งการสั่นไหวของอาคารในกรุงเทพฯ เนื่องจากแผ่นดินไหวเคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งในอดีตเช่น ในปี พ.ศ. 2547 เกิดแผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดียขนาด 9.3 ริกเตอร์ และในปี 2554 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.8 ริกเตอร์ในประเทศลาว   สำหรับผลกระทบของแผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นในประเทศลาวในครั้งนี้ เป็นเพียงแผ่นดินไหวระดับปานกลางและเกิดขึ้นค่อนข้างไกลจากกรุงเทพฯ จึงทำให้มีผลกระทบให้อาคารสั่นไหว แต่คงไม่กระทบต่อโครงสร้างมากนัก อย่างไรก็ตามแนะนำให้เจ้าของอาคารตรวจสอบอาคารของตนว่ามีรอยร้าวที่บริเวณใดบ้าง เช่น เสา คาน ผนังอาคาร เป็นเบื้องต้น และหากตรวจพบรอยร้าวก็ควรแจ้งวิศวกรเข้าตรวจสอบเหตุการณ์ด้วย    
เปิด 4 แผนธุรกิจ “มั่นคง” ปี 63 ลุยเพิ่มธุรกิจพื้นที่เช่าโรงงาน-คลังสินค้า และสถานพยาบาล

เปิด 4 แผนธุรกิจ “มั่นคง” ปี 63 ลุยเพิ่มธุรกิจพื้นที่เช่าโรงงาน-คลังสินค้า และสถานพยาบาล

เปิด 4 แผนธุรกิจ “มั่นคง เคหะการ” ปี 2563 พัฒนาโปรเจ็กต์ใหม่ และขยายธุรกิจเดิมต่อเนื่อง หวังสร้างยอดขายปีละ 2,800 ล้าน พร้อมเดินหน้าเติมพอร์ตรายได้จากธุรกิจเช่า ล่าสุด ทุ่มเงิน 250 ล้าน สร้างออฟฟิศแห่งใหม่   นายวรสิทธิ์  โภคาชัยพัฒน์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2563 ว่า ได้เตรียมพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักให้แต่ละปีบริษัทมียอดขายต่อปีไม่ต่ำกว่า 2,800 ล้านบาท ซึ่งบริษัทจะต้องมีโครงการอยู่ระหว่างการขาย เฉลี่ยประมาณปีละ 10,000 ล้านบาท  โดยยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการในกรุงเทพฯ​ และปริมณฑล ในระดับราคาเฉลี่ย 4 ล้านบาท ต่อยูนิต   โดยในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่อย่างน้อย 2 โครงการ ซึ่งแผนในปีนี้บริษัทได้พัฒนาโครงการแนวราบทั้งหมด 13 โครงการ แบ่งเป็น ทาวน์โฮม 6 โครงการ บ้านแฝด 2 โครงการ บ้านเดี่ยว 5 โครงการ และโครงการเพื่อเช่าและเพื่อการบริการ ได้แก่ โครงการ พาร์ค คอร์ท สุขุมวิท77, โครงการสนามกอล์ฟ ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรี คลับ, โครงการบางกอกฟรีเทรดโซนโรงงานและคลังสินค้าเพื่อเช่า   โดย 9 เดือนแรกของปี 2562 บริษัทสามารถสร้างรายได้รวมทั้งสิ้น 3,742 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย มีรายได้อยู่ที่ 3,237 ล้านบาท และธุรกิจเพื่อเช่าและเพื่อการบริการ 242  ล้านบาท และมีกำไรอยู่ที่ 232.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก 172.3 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา เปิด 4 แผนธุรกิจ “มั่นคง” ปี 63 เพื่อผลักดันให้ธุรกิจเติบโตและสร้างรายได้ โดยเฉพาะอัตรากำไรขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 30% บริษัทจึงได้เตรียมแผนธุรกิจเบื้องต้นสำหรับปีหน้า ดังนี้   1.พัฒนาโครงการใหม่อย่างน้อย 2 โครงการ มูลค่า 2,000 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบระดับราคาเฉลี่ยไม่เกิน 3 ล้านบาท บนที่ดินซึ่งซื้อเตรียมพัฒนาไว้แล้ว 2 แปลง   2.เตรียมนำที่ดิน 200 ไร่ ใกล้สนามกอล์ฟ ฟลอร่า วิลล์ กอล์ฟ แอนด์ คันทรีคลับ ในจังหวัดปทุมธานี มาพัฒนาโครงการ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ และวางแผนงบประมาณ​ รวมถึงการยื่นขอใบอนุญาตจัดสรร   3.พัฒนาธุรกิจโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า Bangkok Free Trade Zone ย่านบางนา-ตราด กม.23 อย่างต่อเนื่อง ภายใต้การบริหารงานของ บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด บริษัทในเครือมั่นคงฯ โดยมีพื้นที่สามารถขยายโรงงานหรือคลังสินค้าได้เพิ่มอีก 50,000 ตารางเมตร หากลูกค้ามีความต้องการ จากปัจจุบันที่ให้บริการแล้ว 150,000 ตารางเมตร มีลูกค้าเช่าพื้นที่ 95% และอยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 80,000 ตารางเมตร โดยจะเปิดให้บริการในกลางปีหน้า ปัจจุบันมีผู้เช่าแล้ว 65% โครงการ Bangkok Free Trade Zone เป็นพื้นที่โรงงานและคลังสินค้าที่มีการขออนุญาตให้เป็น Free Zone สามารถรองรับความต้องการของลูกค้าที่เข้ามาเช่าพื้นที่ โดยสามารถเลือกได้ทั้งส่วนที่เป็น Free Zone หรือ ส่วนที่เป็น General Zone  ซึ่งภายใน Bangkok Free Trade Zone นี้ เรามีอาคารให้เช่าแบ่งเป็น 2 ประเภท คือ 1.อาคารคลังสินค้า และ 2. อาคารโรงงาน   บริเวณที่ตั้งโครงการเป็นพื้นที่สีม่วง ทำให้ผู้ประกอบการสามารถสร้างโรงงานในพื้นที่นี้ได้โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการขออนุญาต สำหรับ Bangkok Free Trade Zone พื้นที่ทั้งหมดในโครงการมีทั้งสิ้น 1,000 ไร่ ซึ่ง 700 ไร่ เป็นพื้นที่เพื่อการเช่า หรือ  Leasable Area  โดยอีก 300 ไร่ คือ พื้นที่เพื่อการสาธารณูปโภค อาทิ ถนนสาธารณะ โรงบำบัดน้ำเสีย และส่วนการรักษาความปลอดภัยภายในโครงการ “ลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทข้ามชาติ ในกลุ่มยุโรป จีน และบริษัทคนไทย แต่ละรายจะเช่าพื้นที่ 1,500-2,000 ตารางเมตร ซึ่งบริษัทมีรายได้จากธุรกิจนี้ประมาณปีละ 200 ล้านบาท” 4.เตรียมเปิดให้บริการ “สถานพยาบาลเวชศาสตร์ชะลอวัยและฟื้นฟูสุขภาพแบบครบวงจร” บริเวณพื้นที่บางกระเจ้า ที่ได้ร่วมกับโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ บนเนื้อที่ 200 ไร่ ในช่วงกลางปีหน้า เป็นสถานพยาบาลที่มีห้องพักจำนวน 60 ห้อง จับกลุ่มผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพ และฟื้นฟูร่างกาย ทั้งกลุ่มคนไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาชื่อของสถานพยาบาล แต่น่าจะเปิดตัวได้ในช่วงกลางปีหน้า ควักเงิน 250 ล้านเปิดอาคารสำนักงานแห่งใหม่ โดยตามแผนธุรกิจระยะ 5 ปี คือ ตั้งแต่ปี 2559-2563 บริษัทวางเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้ จากธุรกิจที่ไม่ได้พัฒนาเพื่อขาย เช่น อพาร์ทเม้น โรงงาน คลังสินค้า และธุรกิจสุขภาพ ให้มีสัดส่วนเพิ่มมากขึ้น เพื่อรักษาสมดุลของธุรกิจ  ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนหลักเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์พัฒนาเพื่อขาย  ที่พบว่ามีความเสี่ยงสูง การแข่งขันรุนแรง และยังได้ผลตอบแทนจากอัตรากำไรขั้นต้นประมาณ​ 30% แต่ธุรกิจอื่นๆ โดยเฉพาะธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ เพื่อเช่า มีอัตรากำไรสูงถึง 70% บริษัทจึงมุ่งเน้นเพิ่มธุรกิจอื่นมากขึ้น “หลังจากแผนธุรกิจ 5 ปีไปแล้ว น่าจะเห็นภาพชัดเจน ว่าธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่การพัฒนาเพื่อขาย มีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นเป็น 50%” ล่าสุด ได้เปิดตัวสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ บริเวณถนนสุรวงศ์  ที่ใช้เงินลงทุน 250 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นสำนักงาน และแบ่งพื้นที่บางส่วนให้เช่า โดยอาคารมีพื้นที่รวม 10,000 ตารางเมตร มีพื้นที่ใช้สอย 5,000 ตารางเมตร บริษัทใช้เอง 3,000 ตารางเมตร และปัจจุบันมีผู้เช่า 2 รายเป็นธุรกิจขนมและบริษัทด้านก่อสร้าง ใช้พื้นที่รวม 600 ตารางเมตร  เป็นพื้นที่สำหรับกิจกรรมสำหรับพนักงาน 500 ตารางเมตร  ยังเหลืออีก 900 ตารางเมตร สำหรับปล่อยเช่าหรือบริษัทอาจจะนำมาใช้เป็นพื้นที่สำหรับธุรกิจใหม่ในอนาคต   ข้อมูลเพิ่มเติม “มั่นคง เคหะการ”
เปิด 5 ไฮไลท์ “เฮอริเทจ เชียงราย” โรงแรมแห่งแรกของผู้บริหาร “ซี.พี.แลนด์” ลงทุนเอง

เปิด 5 ไฮไลท์ “เฮอริเทจ เชียงราย” โรงแรมแห่งแรกของผู้บริหาร “ซี.พี.แลนด์” ลงทุนเอง

จังหวัดด้านการท่องเที่ยวสำคัญในภาคเหนือ นอกจากจังหวัดเชียงใหม่ ที่คนส่วนใหญ่นึกถึงเป็นอันดับแรกๆ แล้ว จังหวัดเชียงรายก็ถือว่ามีบทบาทสำคัญ ไม่แพ้หลายจังหวัดในภาคเหนือ หลายคนอาจจะยกให้เป็นจังหวัดด้านการท่องเที่ยวหลัก เมื่อยามเดินทางท่องเที่ยวในภาคเหนือด้วยซ้ำ เพราะถือว่าเป็นจังหวัดที่มีองค์ประกอบสำคัญ สำหรับการท่องเที่ยวต่างๆ มากมาย ทั้งแหล่งท่องเที่ยว ที่พัก หรือระบบการคมนาคมขนส่ง   ที่สำคัญเป็นจังหวัดที่มีพรมแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งสปป.ลาวและเมียนมา ทำให้ถือเป็นประตูการค้าระหว่างประเทศไทยกับปเพื่อนบ้านด้วย จังหวัดเชียงรายจึงเป็นเมืองที่มีความสำคัญ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวของประเทศ จากปัจจัยดังกล่าว จังหวัดเชียงรายจึงกลายเป็นหนึ่งในด้านการลงทุนสำคัญของธุรกิจโรงแรม ไม่แพ้จังหวัดใหญ่ๆ ในภาคเหนือหลายจังหวัด โดยเฉพาะการพัฒนาโรงแรม เพื่อจับตลาดกลุ่มนักเดินทางเพื่อธุรกิจ หรือตลาด MICE เพราะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวที่มีศักยภาพและการใช้จ่ายต่อคนสูง ล่าสุด ตระกูล “อรุณานนท์ชัย” ได้ทำการเปิดตัวโรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย หลังจากได้ซื้อกิจการโรงแรมลิตเติ้ลดั๊กเดิม มาทำการปรับปรุงแปลงโฉมใหม่ และเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายน 2562 ที่ผ่านมา   นางอารยา อรุณานนท์ชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็ส แอนด์ เอ เอ็นเทอร์ไพรส์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้วางเป้าหมายให้โรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย  เป็นไฮไลท์ของจังหวัดเชียงราย และเป็นสถานที่ในการดึงให้หน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐ หรือเอกชน ให้เข้ามาจัดประชุม สัมมนาในระดับประเทศ เนื่องจากเป็นสถานที่มีความพร้อม และมีห้องประชุมขนาดใหญ่ ซึ่งบริษัทได้ลงทุนรีโนเวตโรงแรมด้วยเม็ดเงินจำนวนมาก “ทุกวันนี้มีคนนำโรงแรมมาเสนอขายจำนวนมาก แต่การลงทุนโรงแรมต้องใช้ระยะเวลานานกว่าจะคืนทุน และต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก เฉพาะโรงแรมเฮอริเทจ เชียงรายคาดว่าจะใช้ระยะเวลาการคืนทุนประมาณ 10 ปี ซึ่งนโยบายของบริษัทจะระมัดระวังในด้านการลงทุน” 5 เรื่องไฮไลท์ของ “โรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย” หลังจากบริษัทได้ซื้อกิจการของโรงแรมมา และทำการปรับปรุงด้วยภาพลักษณ์ใหม่ ซึ่งนี่คือ 5 เรื่องไฮไลท์ของ โรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย หลังจากเปลี่ยนมือมาสู่ตระกูล “อรุณานนท์ชัย”   1.โรงแรมแห่งแรกของตระกูล “อรุณานนท์ชัย” ของนายสุนทร อรุณานนท์ชัย ผู้บริหารของกลุ่มซีพี หรือเครือเจริญโภคภัณฑ์  ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองปรานอาวุโส แถมด้วยตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ซี.พี.แลนด์ จำกัด (มหาชน) 1 ใน 8 กลุ่มธุรกิจหลักของเครือซีพี และนางอารยา อรุณานนท์ชัย ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท น้ำตาลราชบุรี จำกัด ซึ่งเป็นการลงทุนภายใต้บริษัท เอ็ส แอนด์ เอ เอ็นเทอร์ไพรส์ จำกัด เป็นธุรกิจของตระกูล “อรุณานนท์ชัย” ซึ่งได้ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2514 เพื่อใช้ในการเข้าไปลงทุนในกิจการต่างๆ และโรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย เป็นธุรกิจโรงแรมแห่งแรกที่ได้เข้ามาพัฒนา   2.เป็นโรงแรมที่ใช้ระยะเวลารีโนเวตนานถึง 3 ปี เดิมเป็นโรงแรมชื่อ “ลิตเติ้ลดั๊ก” ซึ่งเริ่มทำการพัฒนาและปรับปรุงตั้งแต่ช่วงปี 2559 จนถึงปลายปี 2561 จึงสามารถเปิดให้บริการได้ โดยไม่มีการเปิดเผยงบประมาณการซื้อกิจการในครั้งนี้ รวมถึงงบประมาณในการรีโนเวต แต่คาดว่าน่าจะมีมูลค่ารวมไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท  สาเหตุประการหนึ่งที่ ตระกูล “อรุณานนท์ชัย” ซื้อโรงแรมแห่งนี้ เป็นเพราะทำเลที่ตั้งและการมีใบอนุญาตให้ดำเนินกิจการได้ทันที เนื่องจากปัจจุบันทำเลดังกล่าว มีการเปลี่ยนแปลงเรื่องของผังเมือง ทำให้ไม่สามารถก่อสร้างอาคารสูงเช่นปัจจุบันได้แล้ว 3.มีห้องประชุมขนาดใหญ่ที่สุดในจังหวัดเชียงราย สามารถรองรับผู้เข้าร่วมประชุมได้กว่า 1,500 คน มีห้องประชุมขนาดกลาง และขนาดเล็ก อีก 6 ห้อง ที่ปรับใช้จัดงาน กิจกรรม และอีเวนต์ได้หลากหลาย อาทิ งานประชุมสัมมนา งานแสดงสินค้า จัดเลี้ยง ปาร์ตี้ งานวิวาห์ รวมถึงงานคอนเสิร์ต จึงเป็นโรงแรมที่เหมาะสำหรับตลาด MICE (Meeting Incentive Travel Conventions and Exhibitions) มีการลงทุนระบบเครื่องเสียงมูลค่ากว่า 100 ล้านบาท และลงทุนระบบอินเทอเน็ตอีกกว่า 100 ล้านบาทด้วย   4.เป็นโรงแรมขนาดใหญ่สุดในจังหวัดเชียงราย บนเนื้องที่ กว่า 22 ไร่ มีพื้นที่กว่า 40,000 ตารางเมตร  และมีจำนวนห้องพักมากที่สุด  ด้วยจำนวนห้องพัก 321 ห้อง ได้แก่ Deluxe Room จำนวน 132 ห้อง Executive Deluxe จำนวน 154 ห้อง Special Deluxe Room จำนวน 6 ห้อง Executive จำนวน 7 ห้อง Heritage Suite 1 Bedroom จำวน 16 ห้อง และ Heritage Suite 2 Bedroom 6 ห้อง   5.ออกแบบด้วยคอนเซ็ปต์ Where art meets luxury ในรูปแบบ “ล้านนาร่วมสมัย” (Contemporary Lanna Style) โดยได้นายคงศักดิ์ ยุกตะเสวี ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (สถาปัตยกรรม) ประจำปี 2561 จากบริษัท ลีโอ อินเตอร์เนชั่นแนล ดีไซน์ กรุ๊ป จำกัด มาตกแต่งโรงแรม ซึ่งสะท้อนศิลปะล้านนา พร้อมกับการออกแบบผนังด้วยภาพวาดสี ภายในห้องเดอะ ไลบรารี่  ซึ่งนายคงศักดิ์ เป็นหนึ่งศิลปินที่มีงานศิลปะตกแต่งอยู่ในไอคอนสยามด้วย   แม้ว่าปัจจุบันตลาดท่องเที่ยวในจังหวัดเชียงราย  ยังไม่ฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติ หรือเติบโตดีเหมือนหลายปีที่ผ่านมา ประกอบกับโรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย เพิ่งจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ อัตราการเข้าพักจึงยังไม่ถึง 40% แต่คาดว่าในปีหน้าผลการดำเนินการจะเติบโตแบบก้าวกระโดด   ข้อมูลโรงแรมเฮอริเทจ เชียงราย  
“อินเด็กซ์” ออกสินค้าใหม่ 1.4 หมื่นรายการ เพิ่มยอดปลายปี

“อินเด็กซ์” ออกสินค้าใหม่ 1.4 หมื่นรายการ เพิ่มยอดปลายปี

“อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์” เพิ่มสินค้าใหม่กว่า 14,000 รายการ รับเทรนด์การอยู่อาศัยคนยุคปัจจุบันในพื้นที่จำกัด พร้อมออกแคมเปญกระตุ้นตลาดปลายปี หวังมาตรการภาครัฐดันตลาดเฟอร์นิเจอร์ 50,000 ล้านปีหน้าโตต่อเนื่อง   นางสาวกฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ILM เปิดเผยว่า  ช่วงปลายปีเป็นช่วงทีสู่ช่วงไฮซีซั่น (ฤดูการขาย) ที่ผู้บริโภคจะมีการจับจ่ายใช้สอยเลือกซื้อสินค้าของใช้ ถือว่าส่งผลดีต่อภาพรวมธุรกิจเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน  เพราะมีการซื้อของใช้และของตกแต่งบ้าน  เพื่อทำการปรับปรุงซ่อมแซมที่อยู่อาศัยให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น หรือนำไปตกแต่งที่อยู่อาศัยเพื่อให้พร้อมเข้าพักอาศัย จากโอกาสทางการตลาดดังกล่าว บริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม ‘สินค้าของใช้ในบ้านและของตกแต่งบ้าน’ เพิ่มมากขึ้น โดยออกแบบและพัฒนาภายใต้แนวคิด ‘Home Living Solutions’ เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตในบ้าน ด้วยหลักการเพิ่มพื้นที่จัดเก็บและใช้สอยผ่านฟังก์ชั่นที่ชาญฉลาด (Smart Storage) และจัดสรรคุ้มทุกพื้นที่ในบ้าน กับดีไซน์ที่สวยงาม (Creative Space)   เนื่องจากเทรนด์ของการอยู่อาศัยและตกแต่งในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไป  ผู้บริโภคต้องการสินค้าที่ปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้งานได้อย่างหลากหลาย มีขนาดกะทัดรัด สามารถตอบโจทย์การจัดวางเพื่อใช้สอยในพื้นที่จำกัด อาทิ คอนโดมิเนียม, ทาวน์เฮาส์, บ้านแฝดฯลฯ บริษัทฯ จึงได้พัฒนาและออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่สามารถตอบโจทย์อินไซด์การใช้ชีวิตคนในยุคปัจจุบัน เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อสินค้าในช่วงไฮซีซั่น สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เปิดตัวครั้งนี้ มีจำนวนทั้งสิ้นมากกว่า 14,000 รายการ  โดยแบ่งเป็น  4 กลุ่ม ได้แก่ 1.สินค้าอุปกรณ์จัดเก็บของใช้ในบ้าน (Home Organization) 2.กลุ่มสินค้าตกแต่งบ้าน (Living & Décor)3.กลุ่มสินค้าเครื่องนอนและอุปกรณ์ของใช้สำหรับห้องน้ำ  (Bed & Bath) 4.กลุ่มสินค้าเครื่องครัวและเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร (Kitchen & Dining) โดยมีสินค้าไฮไลท์ อาทิ ชั้นวางของอเนกประสงค์ 4 ชั้น สามารถปรับระดับความสูงระหว่างชั้นได้ตามต้องการ สินค้าทั้งหมดจะวางจำหน่ายภายในอินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ที่เปิดบริการแล้ว 31 สาขาทั่วประเทศ และวินเนอร์ สโตร์ สาขาใหม่ที่จังหวัดราชบุรี ที่เพิ่งเปิดให้บริการเมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา  “แม้ว่าภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ชะลอความร้อนแรงลงไปบ้าง แต่เชื่อว่าความต้องการบ้านและคอนโดมิเนียมยังคงมีอยู่ เนื่องจากเป็นสินค้าที่เป็นปัจจัย 4 ของทุกคน” บริษัท มั่นใจว่า การเปิดตัวสินค้าใหม่ในกลุ่มของใช้ในบ้านและของตกแต่งบ้าน จะได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าที่เป็นเจ้าของบ้านและคอนโดฯ ที่ต้องการเลือกซื้อสินค้าเพื่อนำไปตกแต่งในที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่จำกัด เพราะได้ออกแบบและพัฒนาสินค้า ให้สอดคล้องกับเทรนด์การใช้ชีวิตในยุคปัจจุบัน และจำหน่ายในราคาเริ่มต้น 19 – 4,990 บาทต่อชิ้นเท่านั้น   นอกจากนี้  ได้จัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายผ่านบัตร Joy Card เมื่อซื้อสินค้ากลุ่มของใช้ตกแต่งบ้านแบรนด์ต่างๆ ได้แก่ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ (Index Living Mall), อินเด็กซ์โฮม (Index Home), คูซิโน (Cusino), และแคทเธอรีน บรู๊ค (Catherine Brooks) ครบ 2,000 บาทขึ้นไป รับสิทธิพิเศษเป็นส่วนลด 200 บาท นางสาวกฤษชนก กล่าวต่อว่า ปัจจุบันตลาดเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน คาดว่าจะมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 50,000 ล้านบาท โดยปัจจุบัน อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์มีส่วนแบ่งการตลาดสูงสุดอยู่ที่ 20%  ขณะที่แนวโน้มตลาดในปีหน้า คาดว่าจะมีความคึกคักเพิ่มขึ้น หลังจากมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนจาก 2% เหลือ 0.01% และลดหย่อนค่าธรรมเนียมการจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ที่จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 พฤศจิกายน 2562 ถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2563   รวมถึงมาตรการสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) สนับสนุนสินเชื่อที่อยู่อาศัยให้แก่ประชาชนทั่วไปที่มีความต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในราคาซื้อขายไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อหน่วย โดยการให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ราคาพิเศษและเงื่อนไขผ่อนปรนสำหรับมาตรการสินเชื่อ จะเริ่มตั้งแต่วันที่ 22 ตุลาคม 2562 ถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2563 โดยมีวงเงินสินเชื่อทั้งหมด 50,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.5% ในช่วง 3 ปีแรก ซึ่งเป็นปัจจัยที่จะส่งผลดีทางอ้อมต่อความต้องการของใช้ในบ้านและของตกแต่งบ้านที่เพิ่มขึ้น   เลือกช้อปสินค้าทางออนไลน์ได้ที่ อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์  
เปิด 5 ไฮไลท์ “MITRTOWN OFFICE TOWER” ออฟฟิศให้เช่า พระราม 4

เปิด 5 ไฮไลท์ “MITRTOWN OFFICE TOWER” ออฟฟิศให้เช่า พระราม 4

ดูเหมือนว่าแนวทางการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ปัจจุบัน  ดีเวลลอปเปอร์ให้ความสำคัญกับรูปแบบโครงการมิกซ์ยูส ซึ่งมีการผสมผสานรูปแบบอสังหาฯ หลากหลายประเภทเข้าไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น พื้นที่สำนักงาน พื้นที่รีเทล คอนโดมิเนียม หรือโรงแรม ซึ่งตอนนี้ดูเหมือนเป็นเทรนด์ของดีเวลลอปเปอร์ชั้นนำ ที่หันมาพัฒนาโครงการในรูปแบบนี้ จริงๆ สาเหตุสำคัญคงเป็นเพราะ ต้องการใช้พื้นที่ในการพัฒนาให้คุ้มค่า และเป็นการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่ ซึ่งต้องการโครงการในลักษณะดังกล่าว ในระยะเวลาไม่อีกกี่ปีข้างหน้า เราจะได้เห็นโครงการมิกซ์ยูสเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะบนถนนพระราม 4   ปัจจุบันโครงการบนถนนพระราม 4 ที่ได้เปิดตัว ให้บริการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คือ โครงการสามย่านมิตรทาวน์ ซึ่งเป็นโปรเจ็กต์มิกซ์ยูสของ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ ซึ่งภายในโครงการประกอบด้วยพื้นที่รีเทล ที่พักอาศัย โรงแรม และสำนักงานให้เช่า ถือว่าเปิดตัวชิงตลาดบนถนนพระราม 4 ก่อนเพื่อนร่วมวงการ ที่จะทยอดเปิดให้บริการออกมาอีกหลายโปรเจ็กต์ อีก 3 ปี ออฟฟิศให้เช่า พระราม 4 เพิ่มอีกล้านตร.ม. สำหรับตลาดพื้นที่สำนักงานให้เช่าปัจจุบัน ถือว่าเป็นหนึ่งธุรกิจของดีเวลลอปเปอร์ให้ความสนใจเข้ามาพัฒนา โดยมีรูปแบบหลากหลาย มีขนาดโครงการทั้งเล็กและใหญ่ เพื่อรองรับกับการเกิดขึ้นของธุรกิจใหม่ๆ ซึ่งตลาดสำนักงานให้เช่าถือว่ามีความต้องการอย่างต่อเนื่อง และหากเปรียบเทียบปริมาณพื้นที่ในปัจจุบัน กับปริมาณความต้องการใช้ ยังถือว่ามีดีมานด์มากกว่าซัพพลาย โดยเฉพาะพื้นที่ในย่านใจกลางเมือง   หากดูในเรื่องของดีมานด์และซัพพลาย ปัจจุบันยังพบว่า  ความต้องการใช้พื้นที่มีประมาณ 8.31 ล้านตารางเมตร และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง  ขณะที่พื้นที่สำนักงานให้เช่าทั้งตลาดมีอยู่ประมาณ 8.93 ล้านตารางเมตร ในปีนี้มีซัพพลายใหม่เพิ่ม 5 อาคารรวมพื้นที่ 153,000 ตารางเมตร ขณะที่ ปี 2563-2565 จะมีอาคารสำนักงานใหม่เกิดขึ้นอีก 1 ล้านตารางเมตร  อัตราค่าเช่าของพื้นที่สำนักงานเกรด A มีราคาประมาณตารางเมตรละ 1,055 บาทต่อเดือน นายวิทวัส คุตตะเทพ รองกรรมการผู้จัดการ สายงานโครงการเชิงพาณิชยกรรม ของโกลเด้นแลนด์ เปิดเผยว่า ความต้องการใช้พื้นที่สำนักงานยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง  ซึ่งปัจจุบันพื้นที่อาคารสำนักงานเกรด A ในย่านใจกลางธุรกิจ  ที่โกลเด้นแลนด์ดูแล มีพื้นที่รวม 210,000 ตารางเมตร ยังคงมีดีมานด์การเช่าพื้นที่มากกว่า 95% ทุกอาคาร ทั้งปาร์คเวนเชอร์ อีโคเพล็กซ์ สาทรสแควร์ และเอฟวายไอ เซ็นเตอร์ เมื่อพิจารณาเฉพาะอาคารสำนักงาน ที่อยู่บนถนนพระราม 4 ของบริษัทฯ มีอัตราการเช่าพื้นที่เติบโตจากปีที่แล้ว 15 – 20%   ส่วนโครงการสามย่านมิตรทาวน์ มูลค่ากว่า 9,000 ล้านบาท โครงการมิกซ์ยูส ซึ่งมีโซนอาคารสำนักงาน “มิตรทาวน์ ออฟฟิศ ทาวเวอร์” (MITRTOWN OFFICE TOWER) ขนาดพื้นที่ 48,000 ตารางเมตร ปัจจุบันได้เปิดให้บริการแก่ลูกค้าแล้ว โดยมีบริษัทต่างๆ เข้าเช่าพื้นที่แล้ว 70% ในอัตราค่าเช่า 1,200 บาทต่อตารางเมตร  คาดว่าพื้นที่ส่วนที่เหลือจะมีผู้เช่าเต็มภายในปีหน้า  ซึ่งจะทำให้บริษัทมีรายได้ประมาณปีละ 500 ล้านบาท เปิด 5 ไฮไลท์ ออฟฟิศให้เช่า พระราม 4 ของสามย่านมิตรทาวน์ โจทย์ไลฟ์สไตล์การทำงานของคนออฟฟิศสมัยใหม่ที่มองหาสถานที่ทำงานผสมผสาน work & play อาทิ 1.Intelligence Office Facilities Supporting Digital Transformation Generation ในโครงการนี้ นอกเหนือจากสิ่งอำนวยความสะดวก ตามคุณสมบัติอาคารสำนักงานเกรด A ยังได้เพิ่มเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด สำหรับให้บริการในอาคารสำนักงาน อาทิ   ตู้จัดการผู้ติดต่ออาคารแบบอัตโนมัติ (automated visitor management kiosk) ที่จะอำนวยความสะดวก ช่วยลดขั้นตอนและระยะเวลาการแลกบัตรประชาชนหรือถ่ายหนังสือเดินทางเพื่อยืนยันตัวตนผู้มาติดต่อบริษัทผู้เช่าในอาคาร   ระบบ Face Recognition Turnstile Access ซึ่งเป็นระบบรักษาความปลอดภัยการเข้า-ออกอาคารด้วยการจดจำใบหน้าสำหรับพนักงานบริษัทที่เช่าพื้นที่กับโครงการ   การวางระบบการสื่อสารผ่านไฟเบอร์ออฟติก fiber optic ทั้งอาคาร เพื่อให้ผู้เช่าสามารถเชื่อมต่อการสื่อสารแบบสายหรือไร้สายความเร็วสูง wired or wireless high speed telecommunication   การพัฒนาจอ LED ร่วมกับทีมงานจากประเทศสหรัฐอเมริกา สร้างบรรยากาศและประสบการณ์ในรูป digital experience ในโถง lobby ส่วนกลางของอาคาร โดยจอส่วนกลางนี้นำเสนอภาพกราฟฟิกและข้อมูลแบบ real time แสดงเวลา อุณหภูมิ สภาพอากาศ และแสดงค่าฝุ่นละอองภายนอกอาคาร รวมถึงข้อมูลตลาดหุ้นจากตลาดหลักทรัพย์ไทยและต่างประเทศ   2.Flexible Workspace for Businesses of All Shapes and Sizes ด้วยความร่วมมือระหว่างมิตรทาวน์ ออฟฟิศ ทาวเวอร์ และจัสโค (JustCo) หนึ่งในผู้นำให้บริการพื้นที่ทำงานแบบยืดหยุ่นในเอเชีย และเป็นหนึ่งในผู้เช่าหลักที่ให้บริการพื้นที่ทำงาน co-working space และ serviced office จำนวน 6 ชั้นครอบคลุมพื้นที่กว่า 12,000 ตารางเมตร ถือเป็นพันธมิตรที่จะช่วยให้ทั้งโครงการให้บริการพื้นที่ทำงานที่หลากหลายขึ้น ตอบโจทย์ลูกค้าทุกขนาดธุรกิจ ตั้งแต่สตาร์ทอัพ ไปจนถึงบริษัทขนาดใหญ่ (Enterprise) ที่มาตั้งสาขาในประเทศไทย 3.Integrated Mixed-use Complex for Work & Play เนื่องจากเป็นโครงการมิกซ์ยูส ทำให้มีพื้นที่ส่วนอื่นๆ เข้ามาเติมความสมบูรณ์ของสถานที่ทำงาน ไม่ว่าจะเป็นส่วนโรงแรม คอนโดมิเนียม และศูนย์การค้า ช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้เช่าสำนักงาน สามารถจัดสรรเวลาและลดการเดินทาง สามารถทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพ เลือกซื้อคอนโดฯ พักอาศัยใกล้ที่ทำงาน จับจ่ายซื้อของ จัดงานสัมมนา จัดกิจกรรมอีเว้นท์บริษัทที่พื้นที่ฮอลล์ หรือจะใช้บริการโรงแรมหากต้องการรับรองลูกค้าจากต่างประเทศสามารถพักได้ที่โรงแรม มีร้านอาหารและสถานออกกำลังกายให้บริการในศูนย์การค้าตลอด 24 ชั่วโมง 4.Direct Link to MRT มิตรทาวน์ ออฟฟิศ ทาวเวอร์ เชื่อมต่อการคมนาคมขนส่งที่สะดวก ติดกับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสามย่าน  โดยสามย่านมิตรทาวน์ทุ่มงบประมาณกว่า 300 ล้านบาท สร้างอุโมงค์ทางเดินเชื่อมต่อระหว่างตัวสถานีสามย่าน (MITR DIRECT LINK) กับโครงการ ซึ่งเพิ่มความสะดวกสบายให้กับพนักงานออฟฟิศ และเป็นการเปิดทำเลใหม่เชื่อมการเดินทางคนทำงานจากฝั่งธนบุรีมาฝั่งสามย่านได้สะดวกมากยิ่งขึ้น 5.24hrs Retail Support Zone จุดเด่นของโครงการสามย่านมิตรทาวน์ คือการมีพื้นที่ให้บริการในโซน 24 ชั่วโมง โดยมี 4 ส่วนหลัก คือ ร้านอาหาร (Dinning) ร้านค้า (Shopping) ธุรกิจบริการ (Service) และพื้นที่รองรับไลฟสไตล์ (Space Service) เช่น ฟิตเนส ซูเปอร์มาร์เก็ต พื้นที่การเรียนรู้ co-learning space ร้านอาหาร คาเฟ่ สถาบันทางการเงิน บริการจัดส่งพัสดุ 4 เทรนด์ความต้องการ “ออฟฟิศให้เช่า” ยุคปัจจุบัน การเลือกออฟฟิศให้เช่า เพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจ ปัจจัยพื้นฐานที่เป็นองค์ประกอบที่ดีของพื้นที่สำนักงาน ยังคงเป็นปัจจัยแรกที่บริษัทเลือกจะเช่า แต่ปัจจุบันปัจจัยต่างๆ เหล่านั้นอาจจะไม่เพียงพอ เพราะการเลือกออฟฟิศให้เช่าปัจจุบัน คงต้องคำนึงถึงสถานที่ บรรยากาศ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เพื่อให้พนักงานในองค์กรทำงานอย่างมีความสุขด้วย ซึ่งสิ่งที่กำลังเป็นเทรนด์ความต้องการ ออฟฟิศให้เช่าในปัจจุบันมีอยู่ด้วยกัน 4 องค์ประกอบสำคัญ คือ   1.พื้นที่มีความยืดหยุ่น สามารถปรับฟังก์ชั่นการใช้งานได้ตามสะดวก และตามความต้องการ   2.มีพื้นที่ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ บางองค์กรมีพื้นที่ออกกำลังกาย พื้นที่นั่งเล่น สามารถใช้พื้นที่ส่วนไหนทำงานก็ได้   3.มีพื้นที่อำนวยความสะดวกต่างๆ อาทิ พื้นที่ประกอบอาหาร หรือรับประทานอาหาร   4.มีสิ่งอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิต เช่น การเดินทางสะดวก มีพื้นที่รีเทล การออกกำลังกาย เป็นต้น   นี่คงเป็นหนึ่งอาคารของ ออฟฟิศให้เช่า บนถนนพระราม 4 ที่ประเดิมเปิดตัวก่อนใคร จับตลาดในย่านพระราม 4 ก่อนที่ในอนาคตจะมีพื้นที่สำนักงานอีกมากมายมาเติมเต็มตลาด และความต้องการขององค์กรต่างๆ  ตอนเมื่อถึงตอนนั้นการแข่งขันคงจะรุนแรงน่าดู ซึ่งคงต้องดูกันต่อไปว่าออฟฟิศให้เช่าแต่ละแห่งจะมีอะไรน่าสนใจมากน้อยแค่ไหน   ข้อมูลเพิ่มเติม MITRTOWN OFFICE TOWER ข้อมูลร้านอาหารในส่วนของรีเทล SAMYAN MITRTOWN 19 ร้านคอนเซ็ปต์ “ใหม่” ในสามย่านมิตรทาวน์ ข้อมูลในส่วนคอนโด Triple Y Residence  
“ยู ซิตี้”ทุ่มงบ 890 ล้านซื้อ 19 โรงแรมในเยอรมัน

“ยู ซิตี้”ทุ่มงบ 890 ล้านซื้อ 19 โรงแรมในเยอรมัน

“ยู ซิตี้” ส่งเวียนนา เฮ้าส์ บริษัทในเครือทุ่มงบ 890 ล้าน ซื้อ 19 โรงแรมเติมพอร์ตในยุโรป ก่อนเดินหน้าขยายตลาดในเอเชียเพิ่มอีก 1-2 แห่ง   นางสาวปิยพร พรรณเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัท เวียนนา เฮ้าส์ ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ “ยู ซิตี้” ในประเทศเยอรมนี ได้เข้าซื้อโรงแรมจำนวน 19 แห่ง มูลค่ากว่า 890 ล้านบาท แบ่งเป็นโรงแรม 17 แห่งที่เปิดดำเนินการอยู่ใจกลางเมือง และอีก 2 แห่งเป็นโครงการที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการก่อสร้าง   โรงแรมทั้ง 17 แห่ง ประกอบไปด้วย โรงแรมแบบบูทีคโฮเต็ลรวมทั้งสิ้น 12 แห่งที่เดิมเป็นแบรนด์อาร์โคน่า และอีก 5 แห่งเป็นโรงแรมที่ปัจจุบันยังดำเนินการอยู่ภายใต้แบรนด์ “สไตเกนเบอร์เกอร์” (Steigenberger) โดยตั้งอยู่ในใจกลางเมืองที่ได้รับการรับรองจากยูเนสโก้ และโรงแรมทั้งหมดนี้จะถูกดำเนินการในลักษณะเช่าบริหารภายใต้แบรนด์ของเวียนนา เฮ้าส์ การซื้อโรงแรมดังกล่าว ส่งผลให้ “ยู ซิตี้” เป็นเจ้าของโรมแรมจำนวน 57 แห่ง มีห้องพักรวม 9,210 ห้อง ซึ่ง “ยู ซิตี้” ยังมีธุรกิจบริหารโรงแรม อีก 4 แบรนด์ได้แก่ “เวียนนา เฮ้าส์” “ยู” “อีสติน” และ “เทรฟลอดจ์” โดยมีโรงแรมในเครือรวมทั้งสิ้น 117 โรงแรม หรือ มากกว่า 30,000 ห้อง ซึ่งในจำนวนนี้มีจำนวนโรงแรมที่เปิดดำเนินการทั้งหมด 78 โรงแรม หรือ 11,720 ห้อง   สำหรับการขยายธุรกิจในประเทศเยอรมันนีในครั้งนี้ “เวียนนา เฮ้าส์” มองเห็นโอกาสทางการตลาด ในกลุ่มนักเดินทางเพื่อธุรกิจ ถือเป็นตลาดกลุ่มใหญ่ที่สุดของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวในภูมิภาคยุโรป และยังเน้นการลงทุนในโรงแรม ในแบรนด์ที่มีลักษณะเฉพาะตัว เป็นเสน่ห์ไม่เหมือนใคร  โครงสร้างภายนอก ไปจนถึงการออกแบบห้องพักที่มีรูปแบบไม่ซ้ำกัน และที่ตั้งซึ่งอยู่ใจกลางเมือง   นายรูเพิร์ท ซิมอนเนอร์ ประธานคณะผู้บริหารของเวียนนา เฮ้าส์ กล่าวว่า โรงแรมในเครืออาร์โคน่ามีการดูแลให้อยู่ในสภาพที่ดี และมีผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะได้เห็นการเติบโตในอัตรา 3% ในช่วง 18 เดือนแรก ที่เข้าไปบริหาร เนื่องจากเป็นโรงแรมที่ตอบโจทย์ความต้องการ ของนักท่องเที่ยวเดินทางเพื่อธุรกิจ และกลุ่มการท่องเที่ยว  ซึ่งมุ่งเน้นจับตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) ที่เป็นแนวบูทีคไลฟ์สไตล์   “ตลาดท่องเที่ยวเยอรมันทั้งที่เป็นอินบาวด์ และเอาท์บาวด์ นับว่าเป็นตลาดที่สำคัญมากสำหรับเรา โดยตัวของโรงแรมเองรวมไปถึงดีไซน์นั้นก็สามารถเข้ากันกับแบรนด์ของเวียนนาเฮ้าส์ ได้อย่างดี และบุคลากรมีหัวใจการให้บริการ ในแบบอย่างที่เราต้องการด้วยเช่นกัน”  ในปี 2563 แบรนด์เวียนนา เฮ้าส์ จะขยายเข้าไปในหลายเมืองของประเทศออสเตรีย เยอรมันนี และสวิตเซอร์แลนด์ ได้แก่ สตุทการ์ท, เว็ตสลาร์, ออสนาบรุค, มิวนิค, เบรเมน, ชาฟเฮาเซ่น, ไลป์ซิก, บาเดน-บาเดน, พ็อตส์ดัม, เบอร์ลิน, สตราลซุนด์, โรสต็อค, บราวน์ชวิค, วิสมาร์ และไอเซอนัค โดยโรงแรมเหล่านี้จะถูกรีแบรนด์ใหม่ภายใต้ 3 แบรนด์ของเวียนนา เฮ้าส์ ได้แก่ “เวียนนา เฮ้าส์” “เวียนนา เฮ้าส์ อีซี่” และ “เวียนนา ทาวน์เฮ้าส์”   สำหรับแผนขยายธุรกิจของเวียนนา เฮ้าส์ โดยปกติจะมีโรงแรมเพิ่มเข้ามาประมาณ  7-9% ต่อปี หรือจะมีการซื้อโรงแรมใหม่เข้ามาปีละ 5 โรงแรม  ซึ่งในภูมิภาคเอเชียเป็นตลาดที่มีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว บริษัทมีแผนขยายโรงแรม 1-2 แห่ง ด้วยเช่นกัน   ข้อมูลเพิ่มเติม บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน)  
แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น จับมือแมริออท  อินเตอร์เนชั่นแนล ปั้นโครงการมิกซ์ยูสใหม่ปักหมุดภูเก็ต พัทยา ดึงดูดนักเดินทางทั่วโลก

แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น จับมือแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล ปั้นโครงการมิกซ์ยูสใหม่ปักหมุดภูเก็ต พัทยา ดึงดูดนักเดินทางทั่วโลก

การท่องเที่ยวพักผ่อนในไทย ยังคงเป็นจุดหมายปลายทางในอันดับต้นๆ ของนักเดินทางทั่วโลก รวมถึงการท่องเที่ยวเพื่อธุรกิจ ซึ่งความต้องการของนักท่องเที่ยวเหล่านั้นมักจะต้องการพักในโรงแรมระดับเวิลด์คลาส และมีบริการครบวงจรในที่เดียว   ล่าสุดแอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น (AWC) ได้ลงนามสัญญากับ แมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อนำ 3 แบรนด์โรงแรมระดับโลกมาสู่พัทยาและภูเก็ต สองเมืองท่องเที่ยวชายทะเลที่ทั่วโลกรู้จักดี และยังเป็นก้าวสำคัญในการขยายอาณาจักรพอร์ตโครงการโรงแรมและสถานที่ท่องเที่ยวของ AWC ในครั้งนี้ด้วย   นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยว่า บริษัทมีความเชื่อมั่นในศักยภาพและแนวโน้มการเติบโตที่แข็งแกร่ง ของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและอุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศไทย ซึ่งมีข้อพิสูจน์ได้จากอัตราการเติบโตโดยเฉลี่ยที่ 47.6% ตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ขณะที่การพัฒนาโครงการสาธารณูปโภคพื้นฐานสำคัญของรัฐบาล อย่างรถไฟความเร็วสูงเชื่อมสนามบินดอนเมือง สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ก็มีส่วนสำคัญในการส่งเสริมการเดินทางและธุรกิจท่องเที่ยว   “พัทยาและภูเก็ต ถือเป็นเมืองสำคัญที่มีความพร้อมด้วยปัจจัยต่างๆ ที่ดึงดูดนักเดินทางทั้งสองกลุ่มได้อย่างต่อเนื่อง โครงการใหม่ระดับไอคอนของเราที่พัทยาสามารถตอบสนองความต้องการของนักเดินทางด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการต่างๆ ที่พร้อมสำหรับกิจกรรมทางธุรกิจ การพักผ่อนหย่อนใจ เอนเตอร์เทนเมนต์ ตลอดจนไลฟ์สไตล์ต่างๆ ส่วนโรงแรมใหม่ที่ภูเก็ตจะช่วยพลิกโฉมหน้าใหม่ให้กับการท่องเที่ยวในเขตตัวเมืองภูเก็ตที่พร้อมด้วยบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ สำหรับนักเดินทาง” ทางด้านนายเครก เอส สมิธ  ประธานบริหารกลุ่มแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก กล่าวเพิ่มเติมว่า การลงนามในสัญญาครั้งสำคัญนี้สำหรับการบริหารสามโรงแรมใหม่ในพัทยาและภูเก็ต ทั้ง AWC และแมริออทต่างยึดมั่นต่อการสร้างสรรค์มาตรฐานระดับสูงสุดในธุรกิจโรงแรม ซึ่งจะช่วยเพิ่มโรงแรมและโครงการสถานที่ท่องเที่ยวแนวไลฟ์สไตล์ในประเทศไทยให้มีความหลากหลายยิ่งขึ้น โครงการมิกซ์ยูสใหม่ระดับเมกะโปรเจคใจกลางพัทยา AWC CENTER PATTAYA  โครงการมิกซ์ยูสระดับเมกะโปรเจคใหม่ในพัทยาที่จำลองแนวคิดและรูปแบบมาจากเอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ ในกรุงเทพฯ ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงมาแล้ว ประกอบด้วยพื้นที่ค้าปลีกและพื้นที่พักผ่อนหย่อนใจทั้งในร่มและกลางแจ้งเพื่อกลุ่มลูกค้าในทุกช่วงวัย พร้อมโรงแรมระดับหรูสองแห่งภายใต้แบรนด์แมริออทประกอบด้วยโรงแรม เจดับบลิว แมริออท เดอะ พัทยา บีช รีสอร์ท แอนด์ สปา และโรงแรม พัทยา แมริออท มาร์คีส์    โรงแรมที่ตั้งอยู่ภายในโครงการมิกซ์ยูสใหม่บนทำเลพัทยากลาง ประกอบด้วยห้องพักรวมกัน 1,298 ห้อง ภัตตาคารและร้านอาหาร 11 แห่ง พร้อมด้วยพื้นที่สำหรับการจัดเลี้ยง ประชุม สัมมนากว่า 10,000 ตารางเมตร กลุ่มลูกค้าเป้าหมายของ โรงแรม เจดับบลิว แมริออท เดอะ พัทยา บีช รีสอร์ท แอนด์ สปา คือนักเดินทางยุคใหม่ที่ต้องการที่พักระดับหรู ซึ่งมอบบรรยากาศของการพักผ่อนด้วยหลากหลายบริการภายในโรงแรม ขณะที่โรงแรมพัทยา แมริออท มาร์คีส์ จะสะท้อนถึงแนวคิด “Let Your Mind Travel” ของแบรนด์แมริออท ที่มีการผสมผสานนวัตกรรมดีไซน์อันทันสมัยในห้องพักเพื่อมอบความสะดวกสบายสูงสุดแก่ผู้พัก รวมถึงภัตตาคารและร้านอาหารที่ตอบสนองทุกความต้องการของนักเดินทางจากทั่วโลก    โรงแรม คอร์ทยาร์ด แมริออท ภูเก็ต ทาวน์ ตั้งอยู่ในทำเลใจกลางตัวเมืองภูเก็ต รายล้อมด้วยอาคารเก่าสถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีส ซึ่งเป็นการปรับโฉมจากโรงแรมเมโทรโพล ภูเก็ต ที่มีชื่อเสียงมายาวนาน ประกอบด้วยห้องพัก 248 ห้อง ภัตตาคารและร้านอาหาร 2 แห่ง และพื้นที่จัดประชุมสัมมนากว่า 2,000 ตารางเมตร สามารถรองรับทั้งนักธุรกิจและนักท่องเที่ยว ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ล้ำสมัย ครบครัน   ข้อมูลเพิ่มเติม บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน)