Tag : News

2400 ผลลัพธ์
รพ.ลาดพร้าว เดินแผนปั้นรายได้ บุกตลาดคนไข้อาหรับ-CLMV

รพ.ลาดพร้าว เดินแผนปั้นรายได้ บุกตลาดคนไข้อาหรับ-CLMV

LPH ประกาศงบปี 62 ทำรายได้ 1,596.83 ล้าน มีกำไรสุทธิ 110.49 ล้าน พร้อมเปิดแผนปี 63 ตั้งธงรายได้โต 20-25%  เตรียมรุกคนไข้ชาวอาหรับ-CLMV  เดินหน้าตลาด Check-Up และประกันสังคมจากเพิ่มเงินเหมาจ่าย เสริมรายได้   ดร.อังกูร ฉันทนาวานิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลลาดพร้าว  จำกัด (มหาชน) หรือ LPH  เปิดเผยถึงผลประกอบการปี 2562 ว่า มีรายได้รวม 1,596.83 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.51% จากปี 2561 โดยมีรายได้จากการรักษาคนไข้ทั่วไปเติบโตขึ้น 11.55%  ขณะที่รายได้จากการรักษาพยาบาลโครงการประกันสังคมลดลง 13.28%  จากการบันทึกรายการผลกระทบคลาดเคลื่อน ในการคำนวณค่าน้ำหนักสัมพัทธ์ที่ปรับค่าตามวันนอนในอดีต ตามที่ได้รับแจ้งสำนักงานประกันสังคม   ส่งผลให้บริษัทต้องปรับปรุงรายการได้รับค่าบริการทางการแพทย์กรณีผู้ป่วยในด้วยโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง (DRG) สุทธิสำหรับปี 2556 และ 2558 จำนวน 14.92 ล้านบาท และ 18.81 ล้านบาท ตามลำดับ รวมถึงรายได้ภาระเสี่ยงงวดปี 2561 จำนวน 8.46 ล้านบาท และการลดลงของรายได้อื่นจำนวนรวม  47.79 ล้านบาท ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากความแตกต่างของรายการผลกระทบจากกำไรจากรายการจำหน่ายทรัพย์สินอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน ซึ่งเกิดขึ้นเฉพาะในปี 2561 นอกจากนี้ ยังส่งผลให้บริษัท และบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของผู้ถือหุ้นใหญ่ จำนวน 110.49 ล้านบาท ลดลง 46.46 ล้านบาท หรือลดลง 29.60% จากงวดปีก่อนหน้าที่มีกำไร 156.95 ล้านบาท โดยมีปัจจัยหลักจากผลกระทบในการบันทึกบัญชีรายการปรับลดค่าบริการทางการแพทย์ และความคลาดเคลื่อนในการคำนวณค่า ในอดีตตามที่ได้รับแจ้งจากสำนักงานประกันสังคม   อย่างไรก็ตาม เพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้น และสะท้อนความเชื่อมั่นการเติบโตของธุรกิจในอนาคต  ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท  มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นของบริษัท ในอัตรา 92.47% จากผลประกอบการกำไรสุทธิประจำปี 2562 ในอัตราหุ้นละ 0.125 บาท  โดยบริษัท ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.075 บาท คงเหลือการจ่ายเงินปันผลอีกในอัตราหุ้นละ 0.050 บาท กำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 30 เมษายน  2563 วันที่จ่ายปันผล 22 พฤษภาคม 2563   สำหรับแผนธุรกิจปี 2563 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโต 25-30% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากประกันสังคมที่ได้รับเงินเหมาจ่ายและอื่น ๆ เพิ่มขึ้นประมาณ 10% และจากผู้ป่วยเงินสดที่คาดว่าจะเติบโตได้กว่า 30% นอกจากนี้ศูนย์ความเป็นเลิศทางการแพทย์  (Excellent Center)  ได้เปิดให้บริการครบทั้ง 10 ศูนย์ คาดว่าจะมีผู้ป่วยทั่วไปเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สนับสนุนให้รายได้ในส่วนนี้จะเติบโตราว 20-30%   บริษัทยังมองโอกาสขยายสัดส่วนฐานคนไข้ต่างชาติ อาทิ คนไข้ชาวอาหรับ กลุ่ม CLMV ซึ่งโรงพยาบาลได้รับผู้อำนวยการโรงพยาบาลที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้มาดูแลโดยเฉพาะ จึงเชื่อว่าจะมีโอกาสเพิ่มคนไข้กลุ่มดังกล่าวได้ จากปัจจุบัน  มีสัดส่วนคนไข้ต่างชาติเพียงเล็กน้อย รวมถึงปีนี้ จะปรับระบบการรักษาพยาบาลและการดูแลคนไข้ที่เป็นคนไทยให้เสมือนคนไข้ต่างชาติ โดยจัดทำโครงการ “โรงพยาบาลคุณภาพ คู่คุณธรรม” ทำให้คุณภาพการรักษาพยาบาลและระบบการให้บริการทางการแพทย์ตามมาตรฐานสากล โดยสัดส่วนรายได้ปีนี้ยังคงเดิมแบ่งเป็น ผู้ป่วยประเภทเงินสด 60% และรายได้จากผู้ป่วยประกันสังคม 40%   อีกทั้งยังอยู่ระหว่างพิจารณาการลงทุนก่อสร้างอาคารใหม่ จำนวน 3 อาคาร ในพื้นที่โรงพยาบาลลาดพร้าวเดิม โดยอาคารแรกจะเป็นอาคารจอดรถอัจฉริยะ 400 คัน อาคารที่ 2 เป็นโรงพยาบาลด้านตา และอาคารที่ 3 เป็นศูนย์ความเป็นเลิศทางด้านหัวใจ ปอด และไต ซึ่งขณะนี้ บริษัทฯ อยู่ระหว่างเตรียมผู้เชี่ยวชาญเพื่อมาดูแลในส่วนนี้ คาดว่าจะเริ่มการก่อสร้างในช่วงครึ่งปีหลัง 2563 งบลงประมาณ 1,000 ล้านบาท ส่วนแผนการลงทุนโรงพยาบาลลาดพร้าวลำลูกกา อาจจะชะลอการลงทุนไปก่อน เพื่อพิจารณาปัจจัยภายนอกรอบด้าน ทั้งความสามารถในการใช้บริการ ภาพรวมเศรษฐกิจ และปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง   ส่วนการเข้าลงทุนในโรงพยาบาลเอกชน 2 แห่งอยู่ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นโรงพยาบาลตรวจสุขภาพ คือโรงพยาบาลเอเชีย บริษัทถือหุ้น 50% เปิดดำเนินการแล้ว โดยมีเป้าหมายรายได้ประมาณ 100 ล้านบาทในปี 2563 นี้และโรงพยาบาลเอเชีย อินเตอร์เนชั่นแนล ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาด 100 เตียง อยู่ในระหว่างก่อสร้างคาดว่าจะเปิดดำเนินการก่อน 60 เตียง ภายในปี 2563   สำหรับแผนการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ของบริษัทในเครือ คือ บริษัท ศูนย์ห้องปฏิบัติการและวิจัยทางการแพทย์และการเกษตรแห่งเอเซีย จำกัด (AMARC) ยังคงเดินหน้าตามแผน โดยงบปี 2562 มีกำไรที่ดี และในปี 2563 ตั้งเป้ากำไรเติบโตต่อเนื่องจากปีก่อน จากงานที่เราสามารถรับได้ และยังมีงานเกษตรอาหาร ในส่วนมาตรฐานที่เราขออยู่อีกเป็นจำนวนมาก ดังนั้นในปีหน้าก็จะเป็นปีที่ทำให้รายได้ส่วนนี้เพิ่มขึ้น  และในส่วนของภาครัฐมีการส่งงานมาให้บริษัท ตรวจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลดำเนินงานบริษัท AMARC ในปี 2562  มีรายได้ 197.75 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นจากปีก่อน 21.02% มีผลกำไรสูงประมาณ 15% ของรายได้   อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีพันธมิตรต่างชาติระดับโลกเข้ามาเจรจาขอเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ  หากมีการตกลงข้อเสนอกันได้  จะเป็นผลดีทำให้ AMARC ขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว ก่อนเตรียมตัวขยายการลงทุน โดยมีแผนนำหุ้นเข้าตลาด mai ปลายปี 2563 และ AMARC วางเป้าหมายจะเป็น “Excellence Lab”
มั่นคงฯ ปิดปี 62 โชว์ผลงานธุรกิจ “เช่า-บริการ” โต 27%

มั่นคงฯ ปิดปี 62 โชว์ผลงานธุรกิจ “เช่า-บริการ” โต 27%

มั่นคงฯ แจงผลการดำเนินงานปี 2562  สร้างรายได้ธุรกิจเพื่อเช่าและบริการ โต 27%  ขณะที่ธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ ชะลอตัว หลังโดนผลกระทบจาก LTV ทำรายได้ลดลง 5.2% แต่ยังคง ทำรายได้รวม 4,438.11 ล้าน มีกำไรสุทธิกว่า 177 ล้าน   นายสุเทพ วงศ์วรเศรษฐ ประธานกรรมการ บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK เปิดเผยถึงผลประกอบการปี 2562 ว่า บริษัทและบริษัทย่อยสามารถทำรายได้รวมจากการขายและบริการได้ถึง 4,438.11 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายจำนวน 3,936.77 ล้านบาท รายได้จากธุรกิจเพื่อเช่าและบริการ  จำนวน 501.34 ล้านบาท เติบโต 27% จากปีที่ 2561 บริษัทสามารถทำกำไรสุทธิ 177.45 ล้านบาท คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 0.16 บาท ซึ่งตลอดช่วงระยะ 4 ปีที่ผ่านมากลุ่มบริษัทสามารถดำเนินธุรกิจเป็นไปตามแผนการปรับโครงสร้างรายได้ระยะยาว โดยสามารถเพิ่มสัดส่วนกำไรขั้นต้นจากธุรกิจเพื่อเช่าและการบริการ ต่อรายได้จากการดำเนินการในทุกธุรกิจเป็น 25.8% ในปี 2562 จากสัดส่วน 4.5% เมื่อสิ้นปี 2558   ในปี 2562  บริษัทมีรายได้จากธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ เป็นจำนวน 3,936.77 ล้านบาท ลดลงเพียงเล็กน้อยจากปี 2561 จำนวน 216.16 ล้านบาท หรือ 5.2%  ปัจจัยมาจากผลกระทบของธุรกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ ไม่ว่า จะเป็นความเข้มงวดของ LTV ซึ่งผลกระทบดังกล่าวส่งผลต่อความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค อย่างไรก็ดี บริษัทมีมาตรการช่วยเหลือลูกค้า เพื่อผ่อนคลายผลกระทบจากมาตรการดังกล่าว เช่น ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับการจัดเตรียมข้อมูลทางการเงินอย่างรัดกุม การยื่นขออนุมัติเครดิตเบื้องต้น (Pre Approve) และให้ลูกค้าเช็คเครดิตบูโรกับธนาคารพาณิชย์ก่อนทำการเปิด  ใบจอง   นอกจากนี้ ในช่วงปลายปีได้มีมาตรการกระตุ้นของภาครัฐเรื่องการลดค่าธรรมเนียม จดทะเบียนการโอน และค่าจดทะเบียนการจำนองสำหรับบ้านราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีสินค้าที่อยู่ในระดับราคานี้  หลายโครงการ อีกทั้งลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทกว่า 70% เป็นลูกค้าที่ไม่ติดภาระสัญญากู้เงินที่อยู่อาศัย จึงทำให้บริษัทยังคงสามารถรักษาระดับรายได้จากการขายโครงการอสังหาริมทรัพย์ได้ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา   ในส่วนของรายได้จากธุรกิจให้เช่าและบริการ ในปี 2562 มีรายได้ถึง 501.34 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2561 ถึง 107.4 ล้านบาท หรือคิดเป็น 27% โดยรายได้หลักมาจากโครงการบางกอกฟรีเทรดโซน ของ บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด จำนวน 291.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 78.53 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 36.81% ซึ่งโครงการบางกอกฟรีเทรดโซนสามารถขยายสัดส่วนพื้นที่ให้เช่าเพิ่มขึ้นเป็น 193,872 ตารางเมตร ส่วนธุรกิจสนามกอล์ฟและบริหารอสังหาริมทรัพย์ มีรายได้ 119.77 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.52 ล้านบาท คิดเป็น 9.63% นอกจากนี้ยังมีรายได้มาจาก โครงการพาร์คคอร์ท สุขุมวิท 77 และ บริษัท ยัวร์ส พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ จำกัด   นายสุเทพ กล่าวว่า จากผลการดำเนินงานในแต่ละธุรกิจของกลุ่มบริษัท ถึงแม้ว่ารายได้หลักจากธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ จะชะลอตัวลดลง เนื่องจากผลกระทบในหลายปัจจัยในปีที่ผ่านมา แต่บริษัทก็ยังสามารถควบคุมต้นทุนการดำเนินงานทำให้สามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นได้มากกว่า 30% ใกล้เคียงกับปีก่อนหน้า รวมถึงได้เพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการที่เป็นระบบและมีมาตรฐานมากยิ่งขึ้น
บทสรุป AWC ปี 62 กำไรพุ่ง109% ชู 5 กลยุทธ์ไปต่อในปี 2020

บทสรุป AWC ปี 62 กำไรพุ่ง109% ชู 5 กลยุทธ์ไปต่อในปี 2020

แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น หรือ AWC ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทยที่มุ่งเน้นตอบสนอง ไลฟ์สไตล์แบบครบวงจร เปิดผลประกอบการประจำปี 2562 มีกำไรสุทธิ 1,040 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 109% และในไตรมาส 4 ปี 2562 มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 482 ล้านบาท เติบโต 140% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน พร้อมเดินหน้าธุรกิจในปี 2563 ด้วย 5 กลยุทธ์หลัก มุ่งมั่นสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าให้กับ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย พร้อมยกระดับเศรษฐกิจของประเทศแบบองค์รวม บทสรุปผลงาน AWC ปี 2562 นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยว่า ในปี  2562 ที่ผ่านมาเป็นปีที่สำคัญของบริษัท นอกจากความสำเร็จจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้ว ผลการดำเนินงานของทุกกลุ่มธุรกิจก็มีอัตรา   การเติบโตที่แข็งแกร่งเป็นที่น่าพอใจ   บริษัทมีกำไรสุทธิ 1,040 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 109% โดยมีกำไรจากการดำเนินงานของสินทรัพย์ดำเนินงาน  เติบโต 8.4% ซึ่งกำไรจากการดำเนินงานของสินทรัพย์ดำเนินงาน  แบ่งสัดส่วนเป็นโรงแรมและการบริการ (Hospitality) 45% ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการประกอบกิจการการค้า (Retail) 22% และธุรกิจอาคารสำนักงาน (Office)  33% รายได้จากพอร์ทโฟลิโอสินทรัพย์ดำเนินงาน  เติบโต 3.4% (อ่านเพิ่มเติม...แผนพัฒนาอสังหาฯ​ เพื่อการพาณิชย์)   ผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา เกิดจากกลยุทธ์ของบริษัท ที่มุ่งเน้นการเติบโต การปรับปรุงตำแหน่งทางธุรกิจของสินทรัพย์ที่มีอยู่ การพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินงานด้านต่าง ๆ และการปรับกลยุทธ์พอร์ทการลงทุนเพื่อเน้นผลตอบแทนให้ได้ตามเป้าหมาย   สำหรับผลการดำเนินงาน ของกลุ่มธุรกิจต่างๆ ในปี 2562 กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) มีรายได้จากสินทรัพย์ดำเนินงาน เพิ่มขึ้น 1.3% โดยรายได้หลักเพิ่มขึ้นจากโรงแรม กลุ่มไมซ์ที่เพิ่มขึ้น 6.8% โดยโรงแรมแบงค็อก แมริออท มาร์คีส์ ควีนส์ปาร์ค ที่อยู่ในช่วงการดำเนินงานเริ่มต้น (Ramp up) มีรายได้เติบโต 13.9% และมีกำไรจากการดำเนินงานเติบโต 26% ทั้งนี้บริษัท มีรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) สูงกว่าอุตสาหกรรมโรงแรมโดยรวม โดยมีดัชนีชี้วัด (RGI Index) เท่ากับ 108   กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail & Commercial) มีรายได้จากสินทรัพย์ดำเนินงาน  เพิ่มขึ้น 7.7% จากความสำเร็จในการเปิดตัว 2 โครงการใหม่ ได้แก่ เกทเวย์ แอท บางซื่อ ที่มีรายได้เติบโต 1,037% และกำไรจากการดำเนินงานสูงขึ้น 225%  และ ลาซาล อเวนิว ที่มีรายได้เติบโต 175% และกำไรจากการดำเนินงานสูงขึ้นถึง 9,245% ประกอบกับธุรกิจอาคารสำนักงานมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การให้เช่าพื้นที่ให้รองรับความต้องการของลูกค้าและธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้มีรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องในอัตรา 6% (ไม่รวมผลการดำเนินงานของสินทรัพย์ที่บริษัทจำหน่ายออกจากกลุ่มในระหว่างปี 2561) และด้วยกลยุทธ์ของบริษัทที่เน้นประสิทธิภาพในการบริหารค่าใช้จ่ายต่าง ๆ รวมทั้งการจัดซื้อจำนวนมากส่งผลให้การเติบโตของอัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานต่อรายได้สำหรับพอร์ตทรัพย์สินดำเนินงาน สูงขึ้นจาก 48 % เป็น 51%   ขณะที่สินทรัพย์รวมของบริษัทเติบโต 17.3% หนี้สินรวมของบริษัทลดลงร้อยละ 50.7% จากการนำเงินจากการเพิ่มทุนบางส่วนมาใช้ในการบริหารสภาพคล่องและจ่ายชำระคืนเงินกู้และเตรียมการลงทุนในทรัพย์สินกลุ่ม 3 (บริษัทได้เข้าซื้อสินทรัพย์กลุ่ม 3 ณ วันที่ 1 มกราคม 2563 ด้วยมูลค่าลงทุนรวม 26,229.5 ล้านบาท) ทำให้บริษัทมีโครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่งโดยพิจารณาได้จากอัตราหนี้สินรวมต่อส่วนของผู้ถือหุ้นลดลงเหลือ 0.4 เท่า 5 กลยุทธ์ “BUILDING A BETTER FUTURE 2020” ด้วยความมุ่งมั่นเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนของ AWC บริษัทได้กำหนดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ ได้แก่ การสร้างตอบแทนต่อส่วนทุนที่คุ้มค่า การสร้างความแข็งแกร่งและเติบโตอย่างต่อเนื่องยั่งยืน และการเป็นองค์กรที่น่าชื่นชมและเชื่อถือ โดยดำเนินงานผ่านกลยุทธ์หลัก 5 ข้อ  ของ AWC สำหรับปี 2563 คือ 1.เติบโตก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง (Growth-Led Strategy) มุ่งเน้นให้โครงการใหม่ ๆ ที่จะเกิดขึ้นตามแผนการเติบโตของบริษัทมีศักยภาพที่จะสร้างการเติบโตที่ชัดเจนให้บริษัท โดยมีแผนจัดสรรเงินทุนมากกว่า 30,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาทั้งโครงการโรงแรม และสถานที่ท่องเที่ยวแนวไลฟ์สไตล์มากกว่า 12 โครงการ ซึ่งจะเพิ่มจำนวนห้องพักในโรงแรมเป็น 8,506 ห้อง และเพิ่มพื้นที่เช่าของอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้าเป็น 415,481 ตารางเมตร ภายในปี 2024 ในช่วงต้นปีที่ผ่านมาบริษัท ยังได้ซื้อโรงแรมเข้าในพอร์ตเพิ่มอีก 4 แห่ง ด้วยมูลค่า 26,000 ล้านบาท ทำให้ภายในสิ้นปีนี้AWC มีโรงแรมภายใต้การบริหารงานทั้งสิ้น 17 แห่ง (อ่านข่าว...แผนซื้ออสังหา 12 แห่งเข้าเติมพอร์ต) 2.มุ่งเน้นลูกค้ากลุ่มรายได้ระดับกลางถึงสูง (Middle to High Income Customer Segment) บริษัทมีกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ชัดเจน อันได้แก่ ลูกค้าและนักท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ระดับกลาง ถึงสูง และนักท่องเที่ยวกลุ่มไมซ์ ที่มีอัตราการเติบโตและอัตราส่วนกำไรต่อรายได้สูง 3.สร้างความแข็งแกร่งร่วมกับพันธมิตรระดับโลก (Global and Unique Partners) เพื่อสร้างและขยายเครือข่ายพันธมิตรผู้เชี่ยวชาญในสายงานต่างๆ ในการแบ่งปันความชำนาญและมาตรฐานการดำเนินงานให้อยู่ในระดับสากล อีกทั้งยังสามารถเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ จากระบบจัดจำหน่ายทั่วโลก (Global Distribution Channel) โปรแกรมสมาชิก (Loyalty Program) กว่า 300 ล้านสมาชิกของผู้บริหารโรงแรม และเพิ่มตัวเลือกแบรนด์ที่หลากหลายให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้ามากขึ้น 4.เป็นผู้นำตลาด สร้างประสบการณ์ใหม่ให้วงการ (New Benchmark) ด้วยการสร้างสรรค์โครงการขนาดใหญ่และมีจุดดึงดูดเพื่อสร้างขีดการแข่งขันและเสริมอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้กับประเทศ โดยโครงการของบริษัทมีจุดเด่นที่เป็นบรรทัดฐานใหม่ให้กับวงการหรือจุดหมาย การท่องเที่ยวนั้น ๆ อาทิ การส่งเสริมความแข็งแกร่งและยกระดับอุตสากรรมไมซ์ให้กับ ประเทศไทย การดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติผ่านเครือข่ายระดับโลกที่แข็งแกร่ง และการสร้างประสบการณ์ใหม่ให้จุดหมายปลายทางที่โครงการของ AWC เปิดดำเนินการ 5.พัฒนาและดำเนินธุรกิจเพื่อเติบโตอย่างยั่งยืนโดยคำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อม และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง เพื่อคุณค่าองค์รวม (Synergy & Sustainability) การสร้างความยั่งยืนทางธุรกิจ ด้วยการจัดทำแผนงานเพื่อความยั่งยืนในมิติต่างๆ ทั้งในด้านการรับรองมาตรฐานความยั่งยืนจากหน่วยงานต่างๆ การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตลอดจนตอบสนองนโยบาย “การบริหารจัดการเพื่อความยั่งยืน” ของบริษัทผ่านการดำเนินงานของมูลนิธิแอสเสท เวิรด์  เพื่อการกุศล (Asset World Foundation for Charity) และ The Gallery วิสาหกิจเพื่อสังคม ซึ่งทั้งหมดนี้คือการเดินหน้าสร้างสรรค์อนาคตที่ดีกว่าให้กับบริษัท นักลงทุน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง พร้อมยกระดับเศรษฐกิจ และสังคมไทยแบบองค์รวม ปรับโฉม 7 รีเทลสู่ “F&B Destination”   กลุ่มธุรกิจรีเทลของ AWC ในปีนี้ ได้วางแผนปรับปรุง และรีแบรนด์ใหม่ เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมายในแต่ละพื้นที่ ซึ่งมีด้วยกัน 7 แห่ง ที่จะถูกรีโพสิชั่นนิ่งใหม่  ได้แก่ ศูนย์การค้าพันธุ์ทิพย์พลาซ่า 3 แห่ง ได้ก่ สาขางามวงศ์วาน ประตูน้ำ และเชียงใหม่ ศูนย์การค้าเกทเวย์ เอกมัย เกทเวย์ แอท บางซื่อ โครงการตะวันนา บางกะปิ และโครงการที่อยู่ด้านข้างอีก 1 แห่ง   สำหรับโครงการทั้งหมด จะมุ่งเน้นในเรื่องความเป็นไลฟ์สไตล์เพิ่มมากขึ้น ด้วยการเพิ่มพื้นที่อาหารและเครื่องดื่ม (Food and Beverage) ขณะที่จะลดสัดส่วนร้านค้าอื่นลง อย่างเช่น ศูนย์การค้าพันธุ์พลาซ่า ที่มีความโดดเด่นในเรื่องของสินค้าไอที จะกลายเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งในศูนย์การค้าเท่านั้น เช่น สาขางามวงศ์วาน จะเพิ่มพื้นที่ส่วนของอาหารมากขึ้น โดยวางคอนเซ็ปต์เป็นศูนย์รวมอาหารที่มีชื่อเสียง และร้านสตรีทฟู้ดที่ได้รับความนิยม เป็นต้น   ขณะที่ศูนย์การค้าเกทเวย์ เอกมัย จะทำการปรับโฉมใหม่ เป็นศูนย์กลางสินค้าจากต่างประเทศทั่วโลก ภายใต้แนวคิด “Gate way to the world” เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการเลือกซื้อสินค้าของต่างชาติ และยังคงเน้นเรื่องอาหาร เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนในยุคปัจจุบัน ส่วนตะวันนาจะเพิ่มความเป็นไลฟ์สไตล์ และไลฟ์สไตล์เข้าไปเช่นกัน ส่วนที่ดินใกล้กับโครงการตะวันนา จะทำเป็นศูนย์จำหน่ายอาหารสด และมีบริการมี Chief Table ไว้คอยบริการ ลดค่าเช่า 25% ช่วยร้านค้าเอเชียทีค รับมือไวรัสโควิด-19 ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวทั่วโลก รวมถึงในประเทศไทย AWC มีความห่วงใย และได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และได้ออกมาตรการอย่างต่อเนื่องเพื่อดูแลความปลอดภัย เรื่องสุขอนามัยภายในโครงการ โดยได้ร่วมมือกับพันธมิตรโรงแรมชั้นนำต่าง ๆ ในการออกนโยบายยกเว้นค่าธรรมเนียมในการยกเลิกเข้าพักในโรงแรมและการยกเลิกหรือเลื่อนการจัดประชุม โดยพิจารณาความเหมาะสมในช่วงเวลาที่เดินทางและประเทศต้นทาง   ส่วนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้า บริษัทจะมอบส่วนลดค่าเช่าตามสถานการณ์ผลกระทบด้านจำนวนลูกค้าและเศรษฐกิจของแต่ละโครงการเดือนต่อเดือน และพิจารณามอบความช่วยเหลือเพิ่มตามความเหมาะสมของสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป และจะร่วมยืนหยัดรับมือทุกปัญหาเพื่อให้ผ่านพ้นสถานการณ์ยากลำบากนี้ไปด้วยกันอย่างดีที่สุด   โดยบริษัทพิจารณาลดค่าเช่าให้กับผู้เช่าที่ศูนย์การค้าเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ (อ่านเพิ่มเติม...แผนพัฒนาเอเชียทีค สู่เมกะโปรเจ็กต์) ในอัตรา 25% โดยมีผลในเดือนมีนาคมนี้ ส่วนผู้เช่าในศูนย์การค้าอื่นๆ จะพิจารณาตามผลกระทบที่ได้รับ ซึ่งประเมินว่าสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 จะได้รับการแก้ไขโดยเร็ว  
ถอดกลยุทธ์ “เอสซี แอสเสท” ใช้ความยืดหยุ่น สร้างพอร์ตธุรกิจให้เติบโต พร้อมเพิ่มรายได้ประจำ

ถอดกลยุทธ์ “เอสซี แอสเสท” ใช้ความยืดหยุ่น สร้างพอร์ตธุรกิจให้เติบโต พร้อมเพิ่มรายได้ประจำ

ปีที่ผ่านมาภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ ต้องเผชิญกับปัจจัยลบมากมาย ส่งผลให้ภาพรวมของการเปิดโคงการใหม่ลดลง 20% ยอดขายลดลง 23% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่วนปีนี้ปัจจัยลบต่างๆ ยังมีต่อเนื่อง แถมยังมีปัญหาใหม่เพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณภาครัฐที่ล่าช้า ไวรัสโคโรนา ตัวเลขจีดีพีซึ่งมีโอกาสต่ำกว่า 2 ทำให้ไม่สามารถประเมินสถานการณ์ตลาดได้ว่าจะเป็นอย่างไร   สำหรับบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) แม้ว่าปีที่ผ่านมาสามารถสร้างการเติบโต และทำนิวไฮด์ได้หลายตัวเลข  ไม่ว่าจะเป็นรายได้ และกำไรโดยมีรายได้รวม 17,787 ล้านบาท เติบโต 15%  มีกำไรสุทธิ 2,026 ล้านบาท  เติบโต 13% ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่ “เอสซี แอสเสท” สามารถทำกำไรได้มากกว่า   2,000 ล้านบาท แต่การดำเนินธุรกิจต่อไปนับจากนี้ อาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย และมีความท้าทายหลายเรื่อง ซึ่งกลยุทธ์ที่ถูกนำมาใช้เพื่อสร้างการเติบโตต่อไป คือ “ความยืดหยุ่น” หรือ Resilient ชูกลยุทธ์ “ความยืดหยุ่น” สู้ความยุ่งเหยิง เพื่อความยั่งยืน นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า กลยุทธ์ในการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจที่มีความผันผวนและไม่แน่นอน “เอสซี แอสเสท” ใช้กลยุทธ์ความยืดหยุ่น หรือ  Resilient เพื่อความยั่งยืน พร้อมปรับตัว และมองโอกาสหา S-curve ให้บริษัทสำหรับการเติบโตระยะยาว โดยขับเคลื่อนใน  2 เรื่องหลัก  คือ “Resilient Portfolio” กับ “Resilient People” แนวทาง Resilient Portfolio ที่จะสร้างการเติบโต แบ่งเป็น 3 เรื่องสำคัญ ได้แก่ 1.For Sale เน้นโปรเจ็กต์แนวราบ ในปี 2562 ที่ผ่านมาบริษัทมีการเติบโตของบ้านเดี่ยวทุกระดับราคา  และยังสามารถสร้างส่วนแบ่งตลาดได้เป็น อันดับ 1 กลุ่มบ้านราคา 20-50 ล้านบาท และ อันดับ 3 ของบ้านเดี่ยวทุกระดับราคา แผนธุรกิจในปีนี้ จึงเน้นการเพิ่มการเติบโตของแนวราบ โดยเพิ่มสัดส่วนของแนวราบราคาน้อยกว่า 10 ล้านบาท จาก 40%  เป็น 50% ในปี 3 ปีนี้ 2.For Rent เสริมพอร์ตรายได้ประจำ “เอสซี แอสเสท” จะกระจายความเสี่ยงและเพิ่มพอร์ตรายได้ประจำ (recurring income) ให้มากขึ้น โดยวางสัดส่วนให้มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นในอนาคตมากกว่า 20% ผ่านธุรกิจโรงแรม ออฟฟิศ และอพาร์ทเม้นท์ ในต่างประเทศโดยได้จัดตั้งบริษัท เอสซี เอ็กซ์เพดิชั่น จำกัด (SC Expedition) เพื่อพัฒนาธุรกิจโรงแรมกลุ่มตลาดระดับ 3-4 ดาว (mid-to-upscale) รองรับนักท่องเที่ยวทั้งต่างประเทศและในไทย โดยเฉพาะกลุ่มนักท่องเที่ยวเดินทางด้วยตนเอง หรือ FIT (Free Individual Travelers) ที่ชอบท่องเที่ยวด้วยตนเองและกำลังเติบโต   บริษัทวางแผนลงทุนโรงแรมภายในปี 2566 จะมีโรงแรม 5 แห่ง รวม 1,000 ห้อง โดยปีนี้จะเปิดแห่งแรกที่ย่านราชวัตร ขนาด 70-80 ห้อง ใช้เงินลงทุนประมาณ​ 100 ล้านบาท ส่วนปีหน้าจะลงทุนเปิดที่ทำเลรัชดา  ส่วนปีต่อไปจะเปิดที่ทำเลสุขุมวิท วิภาวดี และพัทยา ซึ่งบริษัทจะใช้แบรนด์ของตนเอง ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา   นอกจากนี้ ยังจัดตั้ง บริษัท เอสซี อัลฟ่า อินคอร์ปอเรชั่น (SC Alpha Inc.) เพื่อลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในประเทศสหรัฐอเมริกา  ซึ่งจากปัจจัยและโอกาสของตลาด อพาร์ทเม้นท์ในบอสตันที่มีศักยภาพพร้อมเติบโต จึงได้ทำสัญญาซื้อและบริหารอาคาร ที่ 244 Hanover Street & 20 Parmenter Street ในเมืองบอสตัน รัฐ แมสซาชูเซตส์  มูลค่า 24.5 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อดำเนินธุรกิจอพาร์ทเม้นท์ ซึ่งจะมีการลงทุนพัฒนาอพาร์ทเม้นท์อย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทวางงบลงทุนแต่ละปี 30 ล้านเหรียญ หรือประมาณ 900 ล้านบาท 3.หา S-curve ใหม่สร้างรายได้จาก Living Solutions  นอกจาก รายได้จากการขายและรายได้ประจำแล้ว “เอสซี แอสเสท” ยังมองหาโอกาสในการสร้างรายได้จากธุรกิจที่เป็น S-curve ใหม่ๆ ซึ่งเป็นการต่อยอดจากโมเดลธุรกิจ Living Solutions บนการพัฒนา platform  โดยได้เตรียมเปิดตัว  RueJai Club ไว้ดูแลลูกค้า ซึ่งเป็นวิถีของโลกยุคใหม่ ที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อส่งมอบ solutions ให้กับลูกค้าทุกๆ บ้าน ด้วยโมเดลช่วยเรื่องบ้าน จัดการเรื่องชีวิต  ประกอบด้วยแพ็กเกจบริการรายครั้งหรือรายเดือน  สำหรับอำนวยความสะดวกทุกสิ่งที่เกี่ยวกับบ้าน ได้แก่ แม่บ้าน, ทำสวน , ล้างแอร์ เป็นต้น พร้อม solutions ที่มากกว่า  ได้แก่ บริการส่งน้ำ ,ส่งแก็ส , ตัดผม, ซักรีด , ประกันภัย, อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า และอื่นๆ  อีกมากมายที่จะร่วมกับบริษัทพาร์ทเนอร์ชั้นนำในอนาคต   นายณัฐพงศ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนแนวทาง “Resilient People” การให้ความสำคัญกับบุคลากร ที่เป็นหัวใจของความสำเร็จขององค์กร  บริษัทได้นำวัฒนธรรมองค์กรชื่อ #SKYDIVE ภายใต้ค่านิยม (core values) 4 ประการคือ care, courage, collaboration, continuous improvement  โดยทั้งหมดเป็นส่วนผสมที่ลงตัว เปิดโอกาสให้กล้าคิดและทำอย่างมีประสิทธิภาพ  เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการขับเคลื่อนองค์กรให้สอดคล้องต่อการเป็น Living Solutions Provider แผน "เอสซี แอสเสท" เปิด 13 โปรเจ็กต์ 16,000 ล้าน สำหรับแผนธุรกิจในปี 2563 บริษัทตั้งเป้ารายได้ที่ 17,800 ล้านบาท และ ยอดขาย 18,000 ล้านบาท  โดยการเติบโตของรายได้และยอดขาย มาจากโครงการเปิดขายทั้งหมด 64 โครงการมูลค่ารวมกว่า 58,300 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการต่อเนื่อง 51 โครงการ มูลค่ารวม 42,300 ล้านบาท พร้อมกับการเปิด 13 โครงการใหม่ มูลค่า 16,000 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 12 โครงการใหม่ มูลค่า 12,500 ล้านบาท มีทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮมซีรีย์ใหม่ทุกระดับราคา  เริ่มต้น 2-50 ล้านบาท ทำเลวิภาวดี พระราม 5 , แจ้งวัฒนะ, พระราม 9, พัฒนาการ , บางนา-อ่อนนุช   โดยเตรียมเปิดโครงการแรก วี คอมพาวด์  ติวานนท์-รังสิต ในเดือนมี.ค.นี้ ส่วนโครงการคอนโดมิเนียม ปีนี้เปิดเพียง 1 โครงการ ได้แก่ โครงการ The Crest Park Residences คอนโดฯระดับลัชัวรี่ พัฒนาภายใต้บริษัท เอสซี เอ็นเอ็นอาร์ วัน  จำกัด(SC NNR1 Co.,Ltd.) ที่บริษัทร่วมทุนกับ Nishitetsu Group ยักษ์ใหญ่และผู้นำในภูมิภาคคิวชูของประเทศญี่ปุ่น  บนทำเลห้าแยกลาดพร้าว เพียง 75 เมตร ถึง MRT พหลโยธิน ขนาดพื้นที่ประมาณ 2 ไร่ จำนวน 429 ยูนิต มูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท กำหนดเปิดขายในไตรมาส 2 ของปีนี้ หรือประมาณเดือนพฤษภาคมนี้ มีราคาเฉลี่ยกว่า 200,000-250,000 บาทต่อตารางเมตร หรือราคาเริ่มต้น 5.9 ล้านบาท
“ซีคอน” รีแบรนด์ครั้งที่ 4  จับตลาดคนรุ่นใหม่ สร้างยอดขาย 1,480 ล้าน

“ซีคอน” รีแบรนด์ครั้งที่ 4 จับตลาดคนรุ่นใหม่ สร้างยอดขาย 1,480 ล้าน

ซีคอน รีแบรนด์ครั้งที่ 4 รอบ 59 ปี หวังเข้าถึงฐานกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ วาง 2 กลยุทธ์สร้างยอดขาย 1,480 ล้าน เท่ากับปี 62 หลังภาพรวมตลาดเจอปัจจัยลบต่อเนื่อง มั่นใจได้ยอดตามเป้าหมาย แค่ 2 เดือนโกยยอดขายแล้ว 140 ล้าน   นายมนู ตระกูลวัฒนะกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน จำกัด เปิดถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2563 ว่า ได้รีแบรนด์บริษัทหม่อีกครั้ง เพื่อปรับภาพลักษณ์ให้ทันสมัย และเข้าถึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ พร้อมกับปรับรูปแบบของโลโก้ใหม่ ให้เหลือแค่คำว่า ซีคอน (SEACON) จากเดิมที่ใช้ชื่อแบรนด์ ซีคอน โฮม (SEACON Home) ซึ่งถือว่าเป็นการรีแบรนด์ครั้งที่ 4 ในรอบ 59 ปีที่ผ่านมา จากปี 2562 ได้ยกเลิก 2 แบรนด์ที่อยู่ในเครือออกไป คือ คอมแพค (Compact) และบัดเจ็ท (Budget) เนื่องจากลูกค้าส่วนใหญ่รู้จักแบรนด์ซีคอนมากกว่า และเป็นการบริหารงานให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด เดิมบริษัทใช้แบรนด์ เอสซี คอนสตัคชั่น ย่อมาจาก เซาท์อีสเอเชีย คอนสตรัคชั่น  ต่อมาเป็นแบรนด์ซีคอน แล้วมาเป็นแบรนด์ซีคอนโฮม พร้อมกับมีอีก 2 แบรนด์ลูก ส่วนปีที่ผ่านมาได้ยกเลิก 2 แบรนด์ เหลือแค่ซีคอน โฮม เพราะคนรู้จักมากกว่า แม้จะสร้างบ้านในแบรนด์บัดเจ็ท นอกจากการปรับภาพลักษณ์แบรนด์ในปีนี้ บริษัทยังวาง 2 แนวทางเพื่อทำตลาดสร้างการเติบโตในปีนี้ คือ 1.การใช้สื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์และทำตลาดแบบครบวงจร หรือ Above the line    2.การจัดกิจกรรมการตลาด ด้วยการออกงานอีเวนต์ หรือ Below the line จำนวน 6 ครั้งแต่ปี ซึ่งสามารถช่ววยสร้างยอดขายกลับมาได้ 500-600 ล้านบาท อาทิ งานรับสร้างบ้าน งานบ้นและสวน และงานสถาปนิก เป็นต้น นายมนู กล่าวว่า จากแนวทางการทำตลาดในปีนี้ บริษัทคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ 1,480 ล้านบาท เท่ากับปีที่ผ่านมา ซึ่งมียอดขาย 1,480 ล้านบาท เติบโตจากปี 2561 ในอัตรา 14% เนื่องจาก ปีนี้มีปัจจัยลบที่ส่งผลต่อการเติบโตของสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อ ซึ่งยอดขายปีที่ผ่านมา แบ่งเป็นการรับสร้างบ้านกลุ่มราคา 3-6 ล้านบาท สัดส่วน 61.25% กลุ่มราคา 6-10 ล้านบาท สัดส่วน  13.75%  และกลุ่มราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปสัดส่วน  25%   ปีนี้เดิมจะตั้งเป้ายอดขาย 1,600 ล้านบาท แต่เจอสถานการณ์ไขหวัด เลยตั้งเป้าเท่ากับปีที่ผ่านมา สำหรับภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านในปี 2562 ที่ผ่านมามีมูลค่า 12,500 ล้านบาท  เติบโต 5% จากปีก่อนหน้าที่มีมูลค่า 12,000 ล้านบาท ตลาดบ้านที่ได้รับความนิยมในการสร้างมากที่สุดจะเป็นกลุ่มระดับรา 2-5 ล้านบาท ส่วนในปีนี้ภาพรวมตลาดสร้างบ้านยังประเมินตลาดได้ยาก เนื่องจากมีปัจจัยลบมาก โดยเฉพาะไวรัสโคโรนาซึ่งยังไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาได้เมื่อไร ปีที่ผ่านมาบริษัทตั้งเป้ายอดขาย 1,600 ล้านบาท แต่ทำได้ 1,480 ล้านบาท แม้ว่าจะพลาดเป้าหมายแต่ยังเติบโต 14% และมีส่วนแบ่งตลาด 12% ส่วนแผนการลงทุนในปีนี้ บริษัทลงทุน 20 ล้านบาท ในการย้ายสาขาแจ้งวัฒนะเข้ามายังพื้นที่แถวงามวงศ์วาน พร้อมกับสร้างบ้านตัวอย่าง โดยปัจจุบันบริษัทมีสาขารวม 4 แห่ง ซึ่งแผนการขยายสาขาในปีนี้ จะดูสภาพตลาดและความเหมาะสม ปัจจุบันมีลูกค้าต่างจังหวัดใช้บริการรับสร้างบ้านของบริษัท คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% โดยฐานลูกค้าหลักเป็นคนที่อยู่ในพื้นที่ภาคตะวันออก เช่น ชลบุรี ระยอง เป็นต้น นายมนู กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทยังได้จัดทำหมายเลขโทรศัพท์ 4 ตัว เพื่อให้ลูกค้าจดจำและเข้าถึงบริษัทได้ง่ายขณะเดียวกันยังได้จัดทำกิจกรรมลูกค้าสัมพันธ์ หรือ CRM ด้วยการจัดทำ SEACON Privileges เพื่อให้สิทธิประโยชน์กับลูกค้าของบริษัทซึ่งมีอยู่กว่า 10,000 ราย ในการซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือเฟอร์นิเจอร์ในราคาพิเศษ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีพันธมิตรเข้าร่วมแล้วกว่า 10 ราย อาทิ เอสบี เฟอร์นิเจอร์ บุญถาวร แกรนด์โฮม เป็นต้น   แม้ปีนี้จะมีปัจจัยลบ แต่ช่วง 2 เดือนแรก มียอดสั่งรับสร้างบ้าน 140 ล้านบาทแล้ว มากกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว จึงเชื่อว่าน่าจะทำยอดขายได้ตามเป้าหมาย และยังมียอดขายรอรับรู้รายได้อีก 700 ล้านบาท     
คนไทยแห่จองสิทธิเช่าบ้านราคาพิเศษ “บ้านดีทั่วไทย” กว่า 17,000  ราย

คนไทยแห่จองสิทธิเช่าบ้านราคาพิเศษ “บ้านดีทั่วไทย” กว่า 17,000  ราย

การเคหะ เดินหน้ามอบสัญญาเช่า “บ้านถูกทั่วไทย” ราคาเริ่มต้น 999 บาท จำนวน 10,000 ยูนิต หลังเปิดจองผ่านออนไลน์ คนไทยแห่จองกว่า 17,000 ราย  พร้อมจัดงาน “บ้านของเรา ก้าวไปด้วยกัน” อัดโปรชั่นหนุนคนรายได้น้อย ให้มีที่อยู่   นับตั้งแต่การเคหะแห่งชาติ ได้เปิดโครงการ “เช่าทั่วไทย” ด้วยการให้ประชาชนได้สิทธิเช่าบ้านราคาพิเศษ เริ่มต้น 999 บาท ซึ่งให้ประชาชนได้เริ่มจองสิทธิผ่านระบบออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 9 มกราคม – 30 มิถุนายน 2563 โดยนับตั้งเปิดให้จองจนถึงวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2563 ที่ผ่านมา พบว่ามีประชาชนสนใจจองสิทธิเช่าดังกล่าวกว่า 17,000 ราย   ต่อมาวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2563 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานมอบสัญญาเช่าบ้านราคาพิเศษ ชุดแรก จำนวน 50 ราย จากโครงการร่มเกล้า 2 และโครงการลาดกระบัง 2 ให้กับประชาชนที่สนใจจองไปแล้ว  และในวันที่ 23-25 กุมภาพันธ์ 2563 ตั้งแต่เวลา 08.30-18.00 น. สำนักงานใหญ่ การเคหะแห่งชาติ สำนักงานเคหะนครหลวง และสำนักงานเคหะจังหวัดทุกแห่งทั่วประเทศที่มีโครงการเปิดให้เช่า ได้เดินหน้ามอบสัญญาเช่าบ้านราคาพิเศษ พร้อมกันทั่วประเทศ ในงาน “บ้านของเรา ก้าวไปด้วยกัน”   โดยมีจำนวนบ้านเข้าร่วมในโครงการจำนวน 10,000 หน่วยทั่วประเทศ แบ่งเป็น โครงการที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล จำนวน 6,500 หน่วย ประกอบด้วย กรุงเทพฯ นนทบุรี นครปฐม ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร และโครงการในเขตภูมิภาค จำนวน 3,500 หน่วย อาทิ เชียงใหม่ ลำปาง ภูเก็ต หาดใหญ่ ชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา นครราชสีมา บุรีรัมย์ หนองคาย อยุธยา สระบุรี เป็นต้น   ดร.ธัชพล กาญจนกูล ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ (กคช.) เปิดเผยว่า การเคหะแห่งชาติ (กคช.) มีภารกิจหลักในการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลางควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ทั้งด้านกายภาพ เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมมากว่า 47 ปี และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายภารกิจที่ตั้งไว้ ในปี 2563 ทาง การเคหะแห่งชาติ จึงได้ร่วมกับ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มอบของขวัญปีใหม่ให้กับประชาชนภายใต้แคมเปญ “บ้านถูกทั่วไทย”   สำหรับโครงการ “เช่าทั่วไทย” มีกรอบระยะเวลาการทำสัญญาเช่ากับการเคหะแห่งชาติเป็นระยะเวลา 1 ปี และต่อสัญญาเช่าทุกปี โดยผู้ลงทะเบียนจองสิทธิ "บ้านเช่า" จะต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ 1.เป็นผู้มีสัญชาติไทย และบรรลุนิติภาวะแล้ว 2.มีรายได้ครัวเรือนไม่เกิน 40,000 บาทต่อเดือน 3.ไม่เป็นคู่สัญญาเช่ากับการเคหะแห่งชาติ และไม่มีหนี้ค้างชำระ ทั้งนี้หากผู้เช่ามีความประสงค์จะซื้อในภายหลัง สามารถเปลี่ยนมาเป็นซื้อได้ตามเงื่อนไขที่              การเคหะแห่งชาติกำหนด ในงานยังมีโปรโมชั่นสุดพิเศษ “Shock Price” ลดราคาบ้านจำนวน 35 โครงการ ให้กับผู้ที่สนใจซื้อเป็นของตนเอง โดยราคาเริ่มต้นแค่เพียง 250,000 บาท สูงสุดที่ราคา 420,000 บาท โดยผู้สนใจวางเงินจองเพียง 1,000 บาท กู้ได้สูงสุด 100% หรือผ่อนบ้านกับการเคหะแห่งชาติในอัตราดอกเบี้ยพิเศษ ฟรีค่าธรรมเนียมโอนกรรมสิทธิ์ และ ฟรีมุ้งลวด-เหล็กดัด (เฉพาะโครงการอาคารชุดชั้น 4 – 5) สำหรับประชาชนที่โอนกรรมสิทธิ์และจดจำนองบ้านการเคหะฯ ตามมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนฯ ของรัฐบาล ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2563 มีสิทธิ์ลุ้นรับของรางวัลต่างๆ มากมาย ทั้งนี้ ภายในงานยังได้มีการทำพิธีมอบสัญญาเช่าโครงการบ้านเช่าราคาพิเศษให้แก่ผู้ได้สิทธิ์ จำนวน 10 ราย โดยมี นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ มาเป็นประธานเปิดงาน พร้อมทั้งมอบสัญญาเช่าดังกล่าว เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่ต้องการช่วยเหลือประชาชนอย่างแท้จริง ด้วยการลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงที่อยู่อาศัยของประชาชนผู้มีรายได้น้อย การเคหะแห่งชาติ (กคช.) ในฐานะรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)  มีภารกิจหลักในการพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อยและรายได้ปานกลางควบคู่ไปกับการยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ทั้งด้านกายภาพ เศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันดำเนินงานภายใต้วิสัยทัศน์ เป็นองค์กรหลักด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัย ชุมชนและเมือง เพื่อความมั่นคงและยั่งยืนของสังคมไทย ซึ่งได้พัฒนาที่อยู่อาศัยทั่วประเทศแล้วกว่า 7 แสนหน่วย พร้อมทั้งขับเคลื่อนภารกิจการพัฒนาที่อยู่อาศัยในโครงการเร่งด่วนตามนโยบายของรัฐบาล ภายใต้แผนแม่บทการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560 – 2579) โดยมีเป้าหมายที่จะดูแลประชาชนที่ไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัยประมาณ 2.27 ล้านครัวเรือน พร้อมดำเนินการควบคู่ไปกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัย 10 ปี (พ.ศ.2559-2568)        
พฤกษาวาง 5 กลยุทธ์ ลุยปัจจัยลบ สร้างยอดขาย 38,000 ล้าน

พฤกษาวาง 5 กลยุทธ์ ลุยปัจจัยลบ สร้างยอดขาย 38,000 ล้าน

พฤกษา ชู 5 กลยุทธ์ ฝ่าวิกฤตปัจจัยลบรักษาผู้นำตลาด เดินหน้าเปิดโครงการใหม่ 30 โครงการ มูลค่า 36,000 ล้าน สร้างยอดขาย 38,000 ล้าน และรายได้ 40,000 ล้าน พร้อมรุกรายได้การขายแผ่นพรีคาสท์ให้ผู้รับเหมาและดีเวลลอปเปอร์รายอื่น อีก 3 ปีหวังทำยอดเสริมรายได้ 500 ล้าน ขณะที่เลื่อนเปิดโรงพยาบาลวิมุตไปปี 2564    ปี 2562 ที่ผ่านมา ตลาดดอสังหาริมทรัพย์ ต่างเผชิญกับปัจจัยลบมากมาย ไม่ว่าจะเป็นภาวะการค้าโลก ค่าเงินบาทแข็งค่า กำลังซื้อ หนี้ครัวเรือน และมาตรการ LTV ส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาฯ  ซึ่งติดลบไปถึง 24% ในด้านมูลค่าที่เหลือ 387,300 ล้านบาท จำนวนยูนิตลดลง 20% เหลือ 96,893 ยูนิต มูลค่าการโอนเหลือ 409,191 ล้านบาท ซึ่งติดลบไป ปัจจุบันมีสินค้าคงเหลือในตลาด 209,107 ยูนิต หรือเพิ่มขึ้น 10% จากปี 2561   ภาพรวมตลาดในปีนี้ ยังต้องเผชิญกับปัจจัยลบต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา  แถมด้วยปัญหาไวรัสโคโรน่า ที่ส่งผลต่อภาวะตลาดของกลุ่มลูกค้าชาวจีน ซึ่งชะลอตัวลงและอาจจะไม่โอนกรรมสิทธิ์ จากการซื้อสินค้าก่อนหน้านี้แล้ว ทำให้ผู้ประกอบการต่างเป็นกังวล และพยายามปรับตัว รวมถึงหากลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโตในปี 2563 พฤกษา เปิด 30 โครงการ 36,000 ล้าน นางสุพัตรา เป้าเปี่ยมทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี  2563 ว่า เตรียมเปิดโครงการใหม่รวม 30 โครงการ มูลค่า 36,000 ล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์เฮาส์ 18 โครงการ บ้านเดี่ยว 6 โครงการ คอนโดมิเนียมกลุ่มแวลู 4 โครงการ และคอนโดมิเนียมกลุ่มพรีเมียม 2 โครงการ ซึ่งจะเน้นทำเลที่มีศักยภาพ  และมีความต้องการซื้อจริง โดยจะเปิดขายในช่วงจังหวะที่เหมาะสม   โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขาย 38,000 ล้านบาท เติบโต 6% จากปีที่ผ่านมา และรายได้รวม 40,000  ล้านบาท ใกล้เคียงกับผลงานดำเนินงานปีที่แล้ว  ซึ่งมียอดขาย 35,601 ล้านบาท รายได้ 39,885 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 5,359 ล้านบาท  จากปีที่ผ่านมาเปิดตัวโครงการทั้งสิ้น 36 โครงการ มูลค่า  41,170 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นการเปิดตัวไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากมีการเลื่อนบางโครงการมาเปิดในปีนี้  แต่ถือว่าผลการดำเนินงานยังเป็นที่น่าพึงพอใจ  เนื่องจากปีที่ผ่านมามีปัจจัยลบมากมาย โดยรวมถือว่ายังเป็นที่น่าพึงพอใจ เนื่องจากปีที่ผ่านมามีปัจจัยที่เหนือการควบคุมไม่ว่าจะเป็นสภาพเศรษฐกิจที่ไม่เอื้ออำนวย รวมถึงมาตรการ LTV ที่ทำให้ตลาดหดตัวลง ไม่ห่วงจีนหาย-พร้อมเปิดโปรเจ็กต์เพิ่ม ที่ผ่านมาพฤกษา มีกลุ่มลูกค้าจีนที่ซื้อโครงการต่างๆ ของพฤกษา มูลค่า 1,800 ล้านบาท ซึ่งมั่นใจว่าลูกค้าจีนจะกลับมาโอนกรรมสิทธิ์  แต่อาจจะต้องภายหลังจากไวรัสหยุดการระบาดแล้ว อาจจะเป็นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยบริษัทไม่ได้มีความกังวลกับกลุ่มลูกค้าชาวจีน เนื่องจากเป็นกลุ่มที่วางเงินดาวน์ 20-30%   นางสุพัตรา กล่าวเพิ่มว่า หากสถานการณ์ตลาดฟื้นตัวเป็นปกติ หรือมีสัญญาณที่ดีขึ้น บริษัทพร้อมเปิดโครงการเพิ่ม เนื่องจากมีการเตรียมความพร้อมไว้แล้ว ทั้งโครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดฯ  ส่วนปีนี้ได้เตรียมใช้งบซื้อที่ดิน 2,000 ล้านบาท เพื่อซื้อที่ดินจำนวน 5-6 แปลง เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาใช้งบซื้อที่ดิน 1,700 ล้านบาท ในการซื้อที่ดิน 8 แปลง วาง 5 กลยุทธ์พฤกษา ฝ่าวิกฤตอสังหา สำหรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ ท่ามกลางปัจจัยลบในปีนี้  บริษัทมุ่งเน้นสร้างประสิทธิภาพในการดำเนินธุรกิจ ท่ามกลางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวให้เติบโตอย่างมั่นคง ภายใต้ 5 กลยุทธ์หลัก เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ได้แก่   1.Strengthen Core Business รักษาฐานกลุ่มธุรกิจหลักของพฤกษา ออกแบบสินค้า ฟังก์ชั่นและ IOT รองรับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในแต่ละเซ็กเมนต์ และพร้อมขยายเซ็กเมนต์ไปกลุ่มบนมากขึ้น ที่ผ่านมาพฤกษาประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในการเปิดขายโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่   โดยมีอัตราการขาย (Take up rate) มากกว่า 50% ในปีนี้จึงมีแผนเปิดโครงการ “เดอะ ปาล์ม” อีก 2 โครงการบนทำเลศักยภาพ เพื่อเจาะกลุ่มที่มีกำลังซื้อมากขึ้น รวมถึงทาวน์เฮาส์ที่จะขยายไปยังเซ็กเมนต์ 3-5 ล้านมากขึ้นภายใต้แบรนด์พฤกษาวิลล์และเดอะคอนเนค พร้อมใช้แบรนด์พาทิโอ ขยายตลาดเจาะกลุ่มทาวน์เฮาส์ระดับลักชัวรี่   นอกจากนี้ บริษัทมีการเพิ่มทีมขายและทีมตรวจสอบเครดิตลูกค้า หรือ “Credit smile”  เพื่อให้สามารถขอสินเชื่อกับสถาบันการเงินได้ เนื่องจากปีที่ผ่านมาลูกค้าพฤกษา มีอัตราการปฎิเสธสินเชื่อสูงถึง 12% เฉพาะไตรมาสสุดท้ายสูงถึง 39%   ในปีนี้จะขยายฐานตลาดไปยังกลุ่มบนเพิ่มมากขึ้น เช่น ทาวน์เฮ้าส์ระดับราคา 3-5 ล้าน บ้านเดียวราคา 5-10 ล้าน2.Innovation and Data Tech เพิ่มช่องทางการขายในรูปแบบใหม่ ตอบโจทย์ลูกค้าให้ครบในทุกมิติ และพัฒนา Data Science ในการวิเคราะห์ฐานข้อมูลลูกค้าพร้อมทั้งนำเสนอ Solution ที่ตอบโจทย์ รวมไปถึงการเพิ่มขีดความสามารถของ Digital Marketing ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 3.Asset Management เน้นขายโครงการในสต็อก (inventory) โดยเฉพาะโครงการคอนโดมิเนียม และเลือกเปิดขายโครงการใหม่เฉพาะทำเลที่มีศักยภาพในช่วงเวลาเหมาะสมกับสภาพตลาด ควบคุมการก่อสร้างและวัสดุเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพสูงสุด รวมถึงกลยุทธ์ในการเลือกซื้อที่ดิน 4.Recurring Income สร้างรายได้ประจำอย่างต่อเนื่อง ด้วยการผลิตแผ่นคอนกรีตเสริมเหล็กสำเร็จรูปเพื่อขายให้กับหน่วยงานภายนอก พฤกษามีโรงงานที่มีกำลังการผลิตสูงที่สุดและใช้เครื่องจักรที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ให้กับพฤกษาอย่างต่อเนื่องโดยจะเริ่มดำเนินการในปีนี้  ซึ่งเบื้องต้นจะขายชิ้นส่วนพรีคาสท์ให้กับกลุ่มผู้รับเหมา ดีเวลลอปเปอร์ต่างๆ ที่อยู่ระหว่างเจรจา 4-5 ราย คาดว่าจะทำรายได้ปีแรกไม่เกิน 100 ล้านบาท และภายใน 3 ปีจะทำรายได้ 500 ล้านบาท   ในขณะที่ธุรกิจโรงพยาบาลวิมุต การก่อสร้างยังเป็นไปตามแผนคาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในเดือนพฤษภาคม 2564  ซึ่งปีนี้ใช้เงินลงทุน 3,000 ล้านบาท จากมูลค่าโครงการ 4,900 ล้านบาท ปัจจุบันการก่อสร้างคืบหน้าไปแล้ว 90% 5.Bottom Line การบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ได้กำไรสูงขึ้น ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ มีการ Optimize ดีไซน์ของตัวบ้านให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าในแต่ละเซ็กต์เมนต์ รวมถึงเพิ่มการใช้ Digital Marketing ให้มากขึ้น สัดส่วน 40% จากปีที่ผ่านมาใช้ 20% เพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุด  ในด้านการขายและเข้าถึงกลุ่มลูกค้า ปัจจุบันบริษัทมียอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่าสูงถึง 29,000  ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้ 10,900 ล้านบาท ที่เหลือจะทยอยรับรู้ใน 2-3 ปีข้างหน้า ในปีนี้บริษัทมีมติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2562 ในอัตราหุ้นละ 1.55 บาท โดยจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.60 บาท เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2562 จึงคงเหลือจ่ายเงินปันผลในรอบนี้ในอัตราหุ้นละ 0.95 บาท โดยจะนำเสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในที่ 29 เมษายน 2563 และกำหนดจะจ่ายเงินปันผลในวันที่ 22 พฤษภาคม 2563  
สัมมากร สวนกระแสตลาด ทำรายได้ปี’62 สูงสุดในรอบ 50 ปี

สัมมากร สวนกระแสตลาด ทำรายได้ปี’62 สูงสุดในรอบ 50 ปี

สัมมากร เผยผลการดำเนินงานปี 2562 สามารถทำรายได้สูงสุดในรอบ 50 ปี กวาดรายได้รวมกว่า 2,300 ล้านบาท เติบโตถึง 65% ทั้งกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจอื่น ขณะที่แผนปี 2563 พร้อมเปิดตัวอีก 5 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 3,700 ล้านบาท   นายณพน เจนธรรมนุกูล รักษาการกรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) หรือ SAMCO เปิดเผยถึงผลการดำเนินธุรกิจในปี 2562 ว่า บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 2,302.45 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 908.15 ล้านบาท หรือคิดเป็น 65.13% เมื่อเทียบกับปี 2561 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,394.30 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  696.99 ล้านบาท โตขึ้นจากปีก่อน 63.03% และรายได้จากการให้เช่า รายได้ค่าบริการ และรายได้อื่น 211.16 ล้านบาท หรือคิดเป็น 73.21% โดยปีที่ผ่านมานับเป็นปีที่มีความท้าทายเป็นอย่างมากสำหรับ บริษัท สัมมากรฯ เนื่องด้วยเศรษฐกิจโลกที่ค่อนข้างชะลอตัว อันเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจประเทศไทย อีกทั้งมาตรการภาครัฐที่คุมเข้มอสังหาฯ มากยิ่งขึ้น แต่บริษัทฯ ก็ยังสามารถดำเนินธุรกิจเป็นไปตามแผนที่วางไว้ ปีที่ผ่านมาบริษัทมีผลประกอบการโดดเด่นที่สุดในรอบ 50 ปีที่ผ่านมา เนื่องมาจากแผนการพัฒนาองค์กรที่วางแผนไว้ตั้งแต่ปีก่อนหน้า ทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพขึ้น  ประกอบกับความทุ่มเทของทีมงานและการใส่ใจในการพัฒนาสินค้าที่มีคุณภาพตรงใจลูกค้า สำหรับในปี 2563 บริษัทมีเป้าหมายที่จะโตต่อเนื่องในแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยตั้งเป้าเปิดตัวโครงการใหม่ 5 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 3,700 ล้านบาท และจะพยายามรักษาเป้ารายได้ของปี 2563 ให้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง นายณพน กล่าวว่า  ในปีนี้บริษัทมุ่งเน้นการเติบโตของธุรกิจ ควบคู่ไปกับการพัฒนาองค์กรและพนักงาน เนื่องจากบริษัทกำลังอยู่ในช่วงที่กำลังจะเติบโต (Growth Stage) สิ่งที่จำเป็น คือ การสร้างทีม ที่แข็งแรงและมี Platform ต่างๆ เข้ามารองรับ เพื่อพร้อมที่จะช่วยส่งเสริมการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และยังช่วยให้ชีวิตการทำงานของพนักงานดีขึ้นด้วย
เอสซี แอสเสท ทำนิวไฮรายได้และกำไรปี 2562

เอสซี แอสเสท ทำนิวไฮรายได้และกำไรปี 2562

เอสซี ประกาศความสำเร็จปี 62  ผลการดำเนินงานทำนิวไฮทั้งรายได้และกำไรสุทธิ  มีรายได้รวม  17,787 ล้าน เติบโต 15%  จากสถิติใหม่ของรายได้โครงการแนวราบ  หนุนกำไรสุทธิ  2,026 ล้าน เตรียมเสนอปันผลหุ้นละ 0.19 บาท   นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านสนับสนุนองค์กร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในปี 2562 ที่ผ่านมา ว่า บริษัทมีรายได้รวม 17,787 ล้านบาท เติบโต 15% จากปี 2561 แบ่งเป็น รายได้จากการดำเนินงาน 17,637 ล้านบาท เติบโต 14%  เป็นรายได้จากการขายสัดส่วน 95% และรายได้จากค่าเช่าและบริการสัดส่วน 5% ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 2,026 ล้านบาท เติบโต 13% นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการขาย 16,771 ล้านบาท เติบโต 15% มาจากรายได้จากโครงการแนวราบ 11,260 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 67% ซึ่งเป็นสถิติใหม่ด้วยจุดแข็งของบ้านโครงการของเอสซีที่ มีครอบคลุมทุกระดับราคาและมีการตอบรับที่ดี  ส่วนอีก 33% ที่เหลือมาจากโครงการแนวสูง 5,511 ล้านบาท เติบโต 45% จากปีก่อนหน้า   โดยในปี 2562 บริษัทมียอดขายรวมเท่ากับ 14,425 ล้านบาท จากโครงการที่เปิดขายรวมทั้งสิ้น 55 โครงการ มูลค่ารวม 56,200 ล้านบาท มียอดขายรอโอน หรือ Backlog รวม 7,388 ล้านบาทที่พร้อมโอนในปีนี้ 65% และอีก 35% จะโอนในปี 2564-2565   ปี 2562 บริษัทมีผลการดำเนินงานเติบโต สามารถทำสถิติใหม่ทั้งรายได้ และกำไรสุทธิ นายอรรถพล  กล่าวอีกว่า ณ วันที่ 31 ธันวาคม 62 บริษัทและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์ 45,083 ล้านบาท และหนี้สินรวม 27,526 ล้านบาท โดยมีส่วนของผู้ถือหุ้น 17,557 ล้านบาท คิดเป็นราคาตามบัญชีต่อหุ้น เท่ากับ 4.20 บาท และมีกำไรต่อหุ้น เท่ากับ 0.4848 บาท ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทได้มีมติเห็นชอบให้บริษัทจ่ายเงินปันผลประจำปี 2562 ในอัตรา 0.19 บาทต่อหุ้น โดยจะนำเสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 23 เมษายน 2563 ต่อไป            
5 เหตุผลที่ทำให้ “สามย่าน มิตรทาวน์” ซัคเซส แค่ 4 เดือนคนเข้ากว่าแสนคนต่อวัน

5 เหตุผลที่ทำให้ “สามย่าน มิตรทาวน์” ซัคเซส แค่ 4 เดือนคนเข้ากว่าแสนคนต่อวัน

โกลเด้นแลนด์เผย 5 ปัจจัยความสำเร็จ ส่งให้ “สามย่านมิตรทาวน์” โปรเจ็กต์มิกซ์ยูส 9,000 ล้าน คนเข้าใช้บริการนับแสนคนต่อวัน แม้เปิดให้บริการแค่ 5 เดือน  พร้อมเดินหน้าทุ่ม 200 ล้านบาท ทำการตลาดในปี 63 สร้างความสำเร็จต่อเนื่อง “สามย่านมิตรทาวน์” โครงการมิกซ์ยูส ของ โกลเด้นแลนด์ มูลค่า 9,000 ล้านบาท ซึ่งประกอบด้วยสำนักงาน โรงแรม คอนโดมิเนียม และศูนย์การค้า ที่เปิดให้บริการเต็มรูปแบบ ตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายน 2562 ที่ผ่านมา รวมระยะเวลาที่เปิดให้บริการกว่า 5 เดือน  แต่ต้องถือว่าโครงการสามย่านมิตรทาวน์  โดยเฉพาะศูนย์การค้าเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จเกินกว่าที่คาดหมายเอาไว้   ความสำเร็จที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือ ปัจจุบันสามย่านมิตรทาวน์มีผู้เช่าพื้นที่ เพื่อเปิดให้บริการร้านค้าต่างๆ กว่า 95% ขณะที่ผู้ใช้บริการภายในศูนย์การค้า ในช่วง 4 เดือนแรกก็มีมากกว่า 70,000 คนในวันธรรมดา และมากกว่า 80,000 คนในวันเสาร์-อาทิตย์ และหากเป็นช่วงที่มีการกิจกรรมพิเศษ จะมีผู้เข้ามาใช้บริการมากกว่า 100,000 คนต่อวัน​เลยทีเดียว นางธีรนันท์ กรศรีทิพา รองกรรมการผู้จัดการสายงานพัฒนาธุรกิจรีเทล บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเดนแลนด์  เปิดเผยว่า ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวยังคงท้าทายการดำเนินธุรกิจของสามย่านมิตรทาวน์ แต่ด้วยการจัดสรรร้านค้าของศูนย์ฯ ที่ตั้งเป้าหมายจะเป็น ศูนย์การค้าที่ใช้บริการได้ทุกวัน กลยุทธ์การตลาดผ่านซิกเนเจอร์อีเว้นท์ ร้านค้าแม่เหล็กที่มีที่นี่ที่เดียว และพันธมิตรที่แข็งแกร่ง จะเป็นส่วนช่วยให้สามย่านมิตรทาวน์สามารถดำเนินธุรกิจได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ปัจจัยลบจากการท่องเที่ยวกระทบต่อธุรกิจรีเทล โดยตลาดนักท่องเที่ยวจีน-เกาหลี-ญี่ปุ่น-ฮ่องกง ยังคงเป็นตลาดใหญ่ที่สุดที่มาใช้บริการรีเทลในประเทศไทย สำหรับปัจจัยลบด้านปัญหาสุขภาพในจีน เชื่อว่าจะส่งผลเพียงระยะสั้น เนื่องจากทางการจีนได้ควบคุมขอบเขตการระบาดของโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับสามย่านมิตรทาวน์ยอดผู้ใช้บริการ ที่มาใช้บริการในศูนย์ฯ และเข้าพักที่โรงแรมทริปเปิ้ลวายโฮเทล ยังคงเป็นผู้ใช้บริการสัญชาติไทยป็นอันดับ 1 ขณะที่สัดส่วนผู้ใช้บริการที่เป็นสัญชาติจีนเมื่อเทียบกับสัญชาติไทย คิดเป็นเพียง 2% เท่านั้น ปัจจัยลบดังกล่าวนี้จึงแทบไม่กระทบกับยอดลูกค้าของสามย่านมิตรทาวน์   โครงการสามย่านมิตรทาวน์อยู่บนทำเลหัวมุมถนนพญาไท-พระราม 4 เนื้อที่กว่า 14 ไร่ พื้นที่ใช้สอยรวม 222,000 ตารางเมตร แบ่งเป็นโซนที่อยู่อาศัย  โซนอาคารสำนักงาน และโซนรีเทลหรือ Urban Life Library สูง 6 ชั้น พื้นที่ให้เช่ารวม 36,000 ตารางเมตร  พัฒนาจากแนวคิดเรื่อง “การเรียนรู้ จะเกิดขึ้นได้ ถ้าทุกอย่างถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นมิตร”   โดยออกแบบให้พื้นที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้ใช้งาน (Smart) และ เป็นมิตรกับผู้ใช้งาน (Friendly) ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Urban Life Library” หรือ “คลังแห่งอาหารและการเรียนรู้”  รีเมคตำนานสามย่านบทใหม่ ถือเป็นหนึ่งในไฮไลต์ที่จะเติมเต็ม Urban Life Library ของทุก ๆ คน คีย์ความสำเร็จของ “สามย่านมิตรทาวน์” 1.พันธมิตรร้านค้าเปิดให้บริการที่นี่ที่เดียว (One and Only) สามย่านมิตรทาวน์ ถือได้ว่าเป็นโครงการค้าปลีกน้องใหม่ ที่เข้ามาในตลาด จึงต้องสร้างความแตกต่าง และจุดขายเพื่อดึงดูดกลุ่มลูกค้าให้เข้ามาใช้บริการ ร้านค้าพันธมิตรที่เข้ามาเปิดบริการจำนวนมาก เป็นร้านค้าที่ไม่เคยเปิดให้บริการในศูนย์การที่ไหนมาก่อน อาทิ -ทิม ฮอร์ตัน (Tim Hortons) เชนร้านกาแฟแบรนด์ดังจากแคนาดา -ดินส์ (Din’s) ร้านอาหารนีโอไต้หวัน -เม่ย เว้ย หว่าน (Mei Wei Wan) ต้นตำรับก๋วยเตี๋ยวเนื้อไต้หวัน -สไปซี่ เฮ้าส์ (Spicy House) ร้านอาหารรัสเซียสูตรต้นตำหรับ -โคกิดา (Gogida) ต้นตำรับปิ้งย่างส่งตรงจากเกาหลี -มีเค สตรีท (K-StrEAT) ศูนย์รวมอาหารเปิดประสบการณ์และวัฒนธรรมเกาหลี (เตรียมเปิดบริการเมษายน 2563) -แองกริซ (Angkriz) โรงเรียนสอนภาษาอังกฤษโดยครูลูกกอล์ฟ -โรงเรียนแซฮุน (Zaehoon Korean Language School) โรงเรียนสอนภาษาเกาหลีด้วยหลักสูตรเอาใจวัยรุ่นให้ได้เรียนกับเจ้าของภาษาอย่างใกล้ชิด -โรงภาพยนตร์เฮ้าส์สามย่าน (House Samyan) โรงภาพยนตร์สำหรับกลุ่ม Moviegoers ที่ใหญ่ที่สุดของกรุงเทพฯ รวมถึงการอัพเดทร้านค้าที่ศูนย์ดำเนินการเองอย่างเช่น -มีเดียม แอนด์ มอร์ (Medium and More) ศูนย์รวมงานอาร์ตแอนด์คราฟท์ และเวิร์คช็อป -แอพรอน วอล์ค (Apron walk) ศูนย์รวมวัตถุดิบ และสินค้าที่เกี่ยวข้องกับการทำอาหารครบวงจร ซึ่งการปรับเปลี่ยนสินค้าและบริการให้มีความทันสมัย เป็นทางเลือกในการช้อปปิ้งที่เหมาะสมกับผู้บริโภคยุคใหม่อยู่เสมอ สามย่านมิตรทาวน์ ปัจจุบันมีพื้นที่เช่าแล้ว 95% หรือ 85 ร้านค้า ซึ่งพื้นที่ที่เหลืออีก 5% เป็นพื้นที่ขนาดเล็ก ที่จะเต็มพื้นที่ในช่วงเดือนกันยายนปีนี้2.การเปิดพื้นที่ 24 ชั่วโมง ไม่เพียงแต่พันธมิตรร้านค้าที่มาเปิด จะเป็นร้านค้าที่ไม่เคยเปิดในห้างค้าปลีกที่ไหนมาก่อนแล้ว ส่วนหนึ่งที่เป็นจุดขายแตกต่างจาก ศูนย์การค้าอื่นๆ คือ การเปิดพื้นที่โซน 24 ชั่วโมง ที่มีร้านค้าต่างๆ ถึง 25 ร้านค้า เป็นการสร้างจุดแตกต่างและดึงให้คนเข้ามาใช้บริการจำนวนมาก จำนวน 5,000-15,000 คน โดยมีช่วงเวลาพีค คือ 24.00-01.00 น. กลุ่มผู้ที่มาใช้บริการมากสุด ต้องยอมรับว่าเป็นกลุ่มนักเรียน นักศึกษา สัดส่วน 65% รองลงมาเป็นกลุ่มคนวัยทำงาน สัดส่วน 34%   ร้านค้าต่างๆ ที่เปิดให้บริการในพื้นที่โซน 24 ชั่วโมง ส่วนใหญ่จะประสบความสำเร็จ กลายเป็นร้านที่สร้างยอดขายติดอันดับต้นๆ หลายร้านติดอันดับ Top 3 ของจำนวนสาขาทั้งหมดที่มีด้วย สาเหตุเป็นเพราะการมีชั่วโมงการขายที่นานขึ้น อาทิ KFC, ชาบูชิ, ก๋วยเตียวเรือพระนคร และสเวนเซ่น ซึ่งมีหลายร้านเตรียมพร้อมนำเอาโมเดลการเปิดให้บริการ 24 ชั่วโมงไปเปิดเพิ่มในพื้นที่อื่นๆ อีกด้วย 3.การจัดอีเว้นต์รูปแบบเฉพาะ “สามย่าน” การทำให้คนเข้ามาใช้บริการในศูนย์การค้าอย่างต่อเนื่อง เรื่องของกิจกรรมการตลาดเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ แต่ถ้าเป็นกิจกรรมในรูปแบบทั่วไปที่ไหนก็มี คนอาจจะสนใจแต่อาจจะไม่สร้างกระแสมากพอ สามย่านมิตรทาวน์ จึงปั้นอีกเว้นท์ซึ่งมีรูปแบบเฉพาะตัวไม่เหมือนใคร เป็นซิกเนเจอร์อีเว้นท์ (Signature Event) แบบฉบับของตนเอง อาทิ   -ลานนมสามย่าน การร่วมกับเครื่องดื่มไมโล เปิดบริการในรูปแบบลานนม ซึ่งต้นแบบเคยเกิดขึ้นมาแล้วที่ประเทศสิงคโปร์ เกิดเป็นกระแสพูดถึงในออนไลน์จนโด่งดังเป็น Talk of the Town ด้วยจุดเด่นที่เป็นกิจกรรมเฉลิมฉลองปราศจากแอลกอฮอล์ โดยมีอาหารคาวหวานที่มีส่วนผสมของนมเป็นซิกเนเจอร์   -Happy New Me การเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ด้วยการเป็นคนที่ดีขึ้นให้กับตัวเอง ในปี 2020   -สามย่านมิตรทาวน์ ไชนีส นิวเยียร์ 2020 เทศการตรุษจีน ล่าสุดที่เพิ่งจัดไป โดยนำเอาเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากงานตรุษจีนของศูนย์อื่นมาไว้ในงาน อย่างเช่นการจัดแสดงงิ้วโบราณ “งิ้วเปลี่ยนหน้า” เป็น และได้นำการแสดงงิ้วโบราณมาแสดงกลางศูนย์ฯ   -Happy Single Me 2020 เทศกาลที่เกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ เพื่อฉลองเดือนแห่งความรัก กับเทศกาลฉลองวาเลนไทน์ที่ไม่เหมือนใคร ด้วยการจัดงานฉลองให้กับคนโสด ไม่ต้องเหงาและเปล่าเปลี่ยวในเทศกาลแห่งความรัก 4.ผนึกพาร์ทเนอร์ (Mitr Partnership) จัดกิจกรรม ในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมาสามย่านมิตรทาวน์ได้ผนึกพาร์ทเนอร์ชั้นนำ ในการจัดกิจกรรมต่างๆ มากมาย อาทิ -สามย่านมิตรทาวน์-เอไอเอส ขนทัพ 5G ให้คนไทยได้สัมผัส กิจกรรมประกาศความพร้อมของการให้บริการ 5G พร้อมทัพพรีเซนเตอร์และกิจกรรมส่งเสริมการขายอัดแน่นตลอดกิจกรรม   -สามย่านมิตรทาวน์-อมรินทร์ กับการร่วมมือจัดมหกรรมนิยายนานาชาติ ครั้งที่ 1 งานบุ๊คแฟร์ที่รวบรวมหนังสือนิยายเอาไว้มากที่สุด   -สามย่านมิตรทาวน์-การีน่า Free Fire Pro League การแข่งขันลีกสำหรับมืออาชีพครั้งแรกของเกม Free Fire ที่จะเฟ้นหาสุดยอดฝีมือของประเทศไทย   ในปี  2563 นี้ทางศูนย์การค้ายังคงเปิดรับพาร์ทเนอร์ต่างๆ ที่สนใจจัดกิจกรรมที่จะเป็นผู้สร้างตำนานใหม่ให้กับสามย่านได้กลับมารุ่งเรืองอีกครั้งไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มมีการพูดคุยกับพาร์ทเนอร์แล้วหลายราย โดยแผนการตลาดของสามย่านมิตรทาวน์ในปีนี้ ได้วางแผนใช้งบ 200 ล้านบาท เพื่อปั้นซิกเนเจอร์อีเว้นท์อย่างต่อเนื่อง  อย่างน้อยไตรมาสละ 1 ครั้ง 5.ลงทุน 300 ล้านบาท สร้างอุโมงค์ทางเชื่อมรถไฟฟ้าใต้ดิน การสร้างอุโมงค์ทางเชื่อมระหว่างโครงการ กับการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าใต้ดิน เป็นอีกหนึ่งปัจจัยช่วยทำให้ ศูนย์การค้ามีผู้ใช้บริการจำนวนมาก เพราะทำให้บรรดาผู้อยู่อาศัยในระแวกใกล้เคียง โดยเฉพาะบุคลากร อาจารย์ นิสิต นักเรียน และพนักงานของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เดินทางได้สะดวก ขณะที่ลูกค้าทั่วไปก็เดินทางสะดวกรถไฟฟ้าใต้ดิน สถานีสามย่าน  แต่ผลการตอบรับจากการใช้บริการอุโมงค์ในปัจจุบัน เป็นอะไรที่มากกว่าเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างสถานีรถไฟฟ้า กับตัวโครงการ เพราะอุโมงค์ได้กลายเป็นสถานที่เช็คอิน และถ่ายรูปของคนทั่วไปในทุกเพศทุกวัย แถมทางสามย่านมิตรทาวน์ ยังตกแต่งอุโมงค์ตามเทศกาล และโอกาสสำคัญด้วย ยิ่งทำให้อุโมงค์แห่งนี้ กลายเป็นอีกหนึ่งกิมมิคของโครงการสามย่านมิตรทาวน์ไปแล้ว  
อสังหาฯ ปี 63 เจอสารพัดปัจจัย ศขอ.ประเมินขยายตัว -0.2% ถึง 7.3%

อสังหาฯ ปี 63 เจอสารพัดปัจจัย ศขอ.ประเมินขยายตัว -0.2% ถึง 7.3%

อสังหาฯ ปี 63 เจอสารพัดปัจจัย ฉุดตลาดให้ชะลอตัว ศขอ.ประเมินตลาดดีสุดจะเติบโต 7.3% แต่ถ้าแย่สุดมีโอกาสติดลบ 0.2% ชี้ปัญหาไขหวัดโคโรนา ส่งผลให้ลูกค้าจีนไม่โอนกรรมสิทธิ์ 25% จากสัดส่วนลูกค้าจีนทั้งระบบ   นายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (ศขอ.) เปิดเผยถึงแนวโน้มตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2563 ว่า  ยังคงต้องเผชิญกับปัจจัยต่างๆ ที่มากระทบตลาดมากมาย ได้แก่ ปัจจัยบวกอัตราดอกเบี้ยต่ำและเป็นขาลง มาตรการกระตุ้นอสังหาฯของรัฐบาล การผ่อนปรนเกณฑ์ LTV ของ ธปท. และปัจจัยลบ  ภาวะเศรษฐกิจอยู่ในช่วงชะลอตัวในหลายกิจกรรมเศรษฐกิจที่สำคัญ การระบาดของไวรัสโคโรนา สงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และ จีน อสังหาฯ ดีสุดโต 7.3% แย่สุดติดลบ 0.2% ในภาพรวมของตลาดอสังหาฯ ปีนี้ น่าส่งผลให้การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย ทุกประเภททั่วประเทศจะอยู่ที่ประมาณ 372,500 –400,660 ยูนิต ขยายตัวระหว่าง -0.2% ถึง 7.3% และมีมูลค่าถึง 853,100 – 917,100 ล้านบาท  ขยายตัวระหว่าง -2.5% ถึง 4.8%  และเกิดการปรับตัวในภาคธุรกิจที่อยู่อาศัย เพื่อรองรับกับปัจจัยต่างๆ ที่เกิดขึ้น ส่วนการโอนกรรมสิทธิ์   ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลคาดว่าจะมีประมาณ 197,500 – 214,300 ยูนิต ขยายตัวระหว่าง -0.2% ถึง 8.3% และมีมูลค่าถึง 571,200 – 614,000 ล้านบาท  ขยายตัวระหว่าง -0.2% ถึง 7.3%   สำหรับการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดทั่วประเทศ จะอยู่ที่ประมาณ 117,400 – 126,780 ยูนิต เป็นมูลค่าถึงประมาณ 284,360 –305,700 ล้านบาท โดยกรุงเทพฯและปริมณฑล จะมีหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์ คิดเป็นสัดส่วน 73.6% และมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์มีสัดส่วน 78.1% ของการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดทั่วประเทศ   ขณะที่ปัญหาการระบาดไวรัสโคโรนา จะส่งผลกระทบให้ลูกค้าชาวจีน ชะลอการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยลงไปบ้าง โดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกนี้ น่าจะทำให้ลูกค้าชาวจีนชะลอการโอนกรรมสิทธิ์ ประมาณ 25% ของจำนวนชาวจีนทั้งหมด  ซึ่งสัดส่วนลูกค้าชาวจีนที่โอนกรรมสิทธิ์มีประมาณ 6% ของผู้ซื้อทั้งหมดเท่านั้น เปิดตัวโครงการใหม่ 114,400- 122,600 ยูนิต ในปี 2563 มีการประมาณการณ์ จำนวนที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีประมาณ 114,400- 122,600 ยูนิต โดยเป็นคอนโดฯ ประมาณ 55% หรือประมาณ 62,900-67,400 ยูนิต โดยการขอใบอนุญาตจัดสรรทั่วประเทศจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2562 ประมาณ 97,500-100,400 ยูนิต และจะอยู่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลประมาณ 58.4% การออกใบอนุญาตก่อสร้างอาคารทั่วประเทศประมาณการว่าจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2562 ประมาณ 292,100-300,900 ยูนิต โดยมีใบอนุญาตก่อสร้างอาคารชุดประมาณ 27.4% หรือประมาณ 80,000-82,400 ยูนิต และใบอนุญาตก่อสร้างอาคารในกรุงเทพฯ และปริมณฑลก็จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2562 แต่อาจมากกว่าเล็กน้อยประมาณ 129,000-132,900 ยูนิต โดยมีใบอนุญาตก่อสร้างคอนโดฯ มีสัดส่วน 51.1% หรือประมาณ 65,900-67,900 ยูนิต ซึ่งหมายความว่า 82% ของคอนโดฯ ที่ได้รับใบอนุญาตก่อสร้างอาคารทั่วประเทศจะกระจายตัวอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล   จากการคาดการณ์ตัวเลขในเครื่องชี้หลักต่างๆ ที่ได้กล่าวมาแล้ว อาจสรุปได้ว่า ตลาดอสังหาฯ ในปี 2563 น่าจะมีภาวะที่ค่อนข้างทรงตัวต่อเนื่องจากปี 2562 แต่มีโอกาสที่จะขยายตัวได้สูงถึง 5-7% หากเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศมีการขยายตัวดีขึ้น ซึ่งจะทำให้เกิดการจ้างงานและความมั่นใจของผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในการตัดสินใจที่จะซื้อที่อยู่อาศัยมากขึ้น มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ดึงตลาดโต 2.7% สำหรับสถานการณ์ในปี 2562 ที่รัฐบาลได้ออก 3 มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ประกอบด้วยมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้จากการซื้อบ้านและห้องชุด (บ้านหลังแรก) ไม่เกิน 200,000 บาท มาตรการ ลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนและลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์เหลือประเภทละ 0.01% สำหรับการซื้อบ้านจัดสรรและห้องชุดราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท (รวมบ้านสร้างใหม่ และบ้านมือสอง) และมาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอน และลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาริมทรัพย์เหลือประเภทละ 0.01% สำหรับการซื้อบ้านจัดสรรและห้องชุดราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทที่ซื้อจากผู้ประกอบการ   โดยมาตรการต่างๆ ดังกล่าวได้ส่งผลให้สถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศในปี 2562 ปรับตัวดีขึ้นจากปี 2561 ได้ โดยมียอดจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ถึง 373,365 ยูนิต และมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ถึง 875,189 ล้านบาท ซึ่งมีจำนวนยูนิตขยายตัวจากปี 2561 ถึง 2.7%   และมีมูลค่าขยายตัว 4.3% ทั้งที่คาดการณ์ว่าจะต้องติดลบถึง 8.4% และ 8.2%   จำนวนยูนิตที่ได้รับในอนุญาตจัดสรรทั่วประเทศ มีการขยายตัวในไตรมาส 2 และ 3 และในไตรมาส 4 ปี 2562 มีจำนวนยูนิตการขออนุญาตจัดสรรใกล้เคียงกับปี 2561 ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ผู้ประกอบการฯ ได้ปรับแนวการผลิตที่อยู่อาศัยมาสู่แนวราบมากยิ่งขึ้น   สำหรับผู้ประกอบการฯในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เห็นได้ว่า เริ่มมีการปรับตัวมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2559 และ 2560 แล้ว โดยจำนวนยูนิตที่ได้รับใบอนุญาตก่อสร้างทั่วประเทศปี 2562 มีจำนวนลดลงถึง 9.0% โดยจำนวนยูนิตที่ได้รับใบอนุญาตก่อสร้างคอนโดฯ ลดลง 24.0% และหากพิจารณาจำนวนและสัดส่วนของใบอนุญาตก่อสร้างคอนโดฯ ได้ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2559 – 2562 ซึ่งเป็นสัญญาณว่า ปริมาณของคอนโดฯ เกิดใหม่ในช่วง 1 – 2 ปีข้างหน้านี้น่าจะมีปริมาณลดลง ในส่วนของจำนวนยูนิตที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ในกรุงเทพฯและปริมณฑลปี 2562 มีจำนวนลดลงถึงประมาณ 32.1% โดยจำนวนหน่วยเปิดตัวใหม่ของอาคารชุดลดลง 34.3% และ บ้านจัดสรรลดลง 29.0% ซึ่งทำให้ภาวะที่มีหน่วยเหลือขายมากจากการเพิ่มขึ้นอย่างมากของที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ในปี 2561 จะทยอยถูกดูดซับไป   ที่ผ่านมา ศขอ. ได้นำข้อมูลที่ใช้เพื่อสนับสนุนภาคอสังหาฯ อย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากรัฐบาลได้ออกมาตรการในการกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ในปีที่ผ่านมา ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น มูลค่าการโอนที่คาดว่าจะติดลบ 8.4% กลับมาเป็น บวกถึง 2.7%   ส่วนในปี 2561ที่ ศขอ. ได้นำเสนอข้อมูลสู่สังคมและสาธารณชน รวมถึงผู้ประกอบการอสังหาฯ ให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ว่ายังไม่มีสถานการณ์ของฟองสบู่อสังหาฯ ในประเทศไทยในขณะนั้นแต่อย่างไร และทิศทางในปี 2562 ก็จะไม่มีภาวะฟองสบู่เช่นกัน  
โกลเด้นแลนด์ ชู Classic Model ฝ่าวิกฤตอสังหาฯ ปั้นรายได้ 19,000 ล้าน

โกลเด้นแลนด์ ชู Classic Model ฝ่าวิกฤตอสังหาฯ ปั้นรายได้ 19,000 ล้าน

โกลเด้นแลนด์ ชู 2 กลยุทธ์ ฝ่าปัจจัยลบตลาดอสังหาฯ หันกลับมาจับตลาดเรียลดีมานด์ เน้นบ้านคุ้มค่า คุ้มราคา ในทำเลที่ดี หวังสร้างรายได้โตต่อเนื่อง ตั้งเป้ารายได้รวม 19,000 ล้านบาท พร้อมเปิด 19 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 25,000 ล้านบาท  เล็งขยายตลาดต่างจังหวัดเพิ่มอีก 4 แห่ง พร้อมหาซื้อคอนโดฯ มาพัฒนาต่อ   ทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้ ต้องยอมรับว่ายังคงชะลอตัวต่อเนื่อง จากปัจจัยลบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหนี้ครัวเรือนที่ยังคงสูง ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ค่าเงินบาทแข็งค่า ส่งผลต่อภาคการท่องเที่ยวและการส่งออก สงครามการค้า และปัญหา LTV ทำให้ผู้ประกอบการต้องเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และต้องหากลยุทธ์มาสร้างการเติบโต   นายแสนผิน สุขี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โกลเด้นแลนด์เรสซิเดนซ์ จำกัด  ในเครือบริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือโกลเด้นแลนด์ เปิดเผยว่า ปีนี้ปัจจัยต่างๆ อาจยังไม่เอื้อต่อการเติบโตของตลาดอสังหาฯ จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังทรงตัว และผลกระทบจากมาตรการ LTV ที่ยังส่งผลต่อลูกค้าที่ซื้อบ้านหลังที่ 2 และ 3 มาตรการเข้มงวดเรื่อง DSR (Debt Service Ratio) หรือ อัตราส่วนหนี้สินต่อรายได้ เป็นอัตราส่วนที่แสดงถึง สัดส่วนรายจ่ายในการชำระหนี้ต่อรายได้ของครัวเรือน  ซึ่งทำให้ลูกค้ากู้ได้ยากขึ้น ขณะที่หนี้สินครัวเรือนยังสูงอยู่ และค่าเงินบาทแข็ง ทำให้ลูกค้าต่างชาติชะลอการตัดสินใจซื้อ เป็นต้น แต่ก็ยังมีปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมโอกาสทางธุรกิจ อาทิ อัตราดอกเบี้ยที่ลดลง ราคาวัสดุก่อสร้างที่มีแนวโน้มคงตัวและลดลง และแรงงานทางธุรกิจก็มีมาก คาดว่าตลาดอสังหาฯ ปีนี้ไม่ดี เพราะแย่มาตั้งแต่ปี 2562   เปิด 19 โครงการใหม่ มูลค่า 25,000 ล้าน แม้ว่าปีนี้จะมีปัจจัยลบมากมาย แต่โกลเด้นแลนด์ ยังวางเป้าหมายในการสร้างการเติบโตกับกลุ่มธุรกิจที่อยู่อาศัย ซึ่งปีนี้วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 19 โครงการใหม่ เป็นโครงการแนวราบทั้งหมด ได้แก่  ทาวน์โฮม 9 โครงการ มูลค่า 11,000 ล้านบาท โครงการ นีโอ โฮม 6 โครงการ มูลค่า 8,500 ล้านบาท ต่างจังหวัด 2 โครงการ มูลค่า 3,500 ล้านบาท และ Big Home บ้านเดี่ยว 1 โครงการ มูลค่า 2,000 ล้านบาท เพื่อสร้างรายได้ที่อยู่อาศัยแนวราบมูลค่า 17,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 11% จากปีที่ผ่านมา มีรายได้รวม 17,168 ล้านบาท   รายได้ในปีนี้ จะมาจาก โครงการทาวน์โฮม 8,800 ล้านบาท สัดส่วน 52%  Big Home บ้านเดี่ยว 3,000 ล้านบาท สัดส่วน 18% นีโอ โฮม บ้านแฝด 3,000 ล้านบาท สัดส่วน 17% และต่างจังหวัด 2,200 ล้านบาท สัดส่วน 13% ซึ่งวางแผนจัดซื้อที่ดินไว้ที่ 17 แปลงมูลค่ารวม 8,000 ล้านบาท   ชู 2 กลยุทธ์ฝ่าอสังหาฯ 2020 จากแนวโน้มและทิศทางตลาดอสังหาฯ ในปีนี้ ที่ยังคงมีปัจจัยลบรอบด้าน ทั้งภาวะเศรษฐกิจโดยรวม กำลังซื้อ หนี้สินครัวเรือน ค่าเงินบาท สงครามการค้าโลก และมาตรการ LTV การสร้างการเติบโต จึงมุ่งเน้นการจับตลาดกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ โดยเน้นความคุ้มค่า คุ้มราคาของสินค้า ซึ่งสำหรับโกลเด้นแลนด์ได้วาง 2 กลยุทธ์ เพื่อสร้างความสำเร็จ คือ 1.กลยุทธ์ Classic Model สำหรับองค์กร ได้ใช้กลยุทธ์ในรูปแบบที่เรียกว่า Classic Model คือ การจับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นเรียลดีมานด์  ที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจริง โดยวางระดับราคาสินค้าแต่ละประเภทให้เหมาะกับกำลังซื้อ กลุ่มทาวน์โฮม 2-5 ล้านบาท นีโอ โฮม 5-8 ล้านบาท BIG HOME บ้านเดี่ยว ระดับราคาที่ 8-15 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังต้องบริหารงานก่อสร้างให้สอดคล้องกับสถานะขายและโอน ควบคุมค่าใช้จ่ายการขายและการบริหารให้ลดลง 3% เลือกใช้วัสดุ ที่ควบคุมต้นทุนได้ หรือสินค้าที่มีแนวโน้มราคาที่ลดลง เช่นสุขภัณฑ์ หรือค่าถมดิน เป็นต้น 2.กลยุทธ์สินค้า ที่ผ่านมาบ้านโกลเด้นแลนด์ นับได้ว่าเป็นต้นแบบนวัตกรรม ที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี  ในปีนี้บริษัทยังคงเน้นจุดแข็งในเรื่องฟังก์ชั่น เช่น นวัตกรรมครัวไทย ห้องพระในทาวน์โฮม บริเวณหลังบ้านที่สามารถปรับพื้นที่ได้ เป็นทั้งห้องซักรีด หรือห้องครัว และยังเพิ่มเรื่องของการออกแบบทั้งตัวบ้านและส่วนกลาง เพื่อเพิ่มบรรยากาศเพื่อการอยู่อาศัยที่ดีให้มากขึ้นอีกด้วย   นอกจากเรื่องสินค้า ยังคงเน้นเรื่องทำเลที่ตั้ง ซึ่งมุ่งเน้นทำเลติดถนนใหญ่ มีสิ่งอำนวยความสะดวก และกระจายไปในทุกพื้นที่ แต่ต้องคำนึงถึงราคาที่สอดคล้องและทำให้ลูกค้าจับต้องได้ด้วย ซึ่งจะเน้นไปยังทำเลเส้นทางรถไฟฟ้า ตามแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียว โซนตะวันออกและใต้ จับทำเลที่ซัพพลายเหลือน้อย แต่ยังมีความต้องการสูง สานต่อความสำเร็จ “นีโอ โฮม” สำหรับปีนี้ โกลเด้นแลนด์ กลุ่มสินค้าที่เน้นให้ความสำคัญต่อเนื่อง คือ บ้านแฝด “นีโอ โฮม” (NEO HOME) ซึ่งพัฒนาภายใต้แนวคิด  “สวย ครบ คุ้ม และใกล้เมือง” จับกลุ่มลูกค้าระดับกลางถึงกลางบน ที่ต้องการทำเลใกล้เมือง เดินทางสะดวก ได้ฟังก์ชั่นครบคุ้มค่าเหมือนบ้านเดี่ยว ตลาดนีโอ โฮม มีแนวโน้มการเติบโตเพิ่มขึ้นทุกปี ในปีที่ผ่านมามียอดรับรู้รายได้จาก นีโอ โฮม 3,114 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจาก ปี 2561 ถึง 92% นีโอ​โฮมของโกลเด้นแลนด์ มีกระแสตอบรับที่ดีมาโดยตลอดทุกโครงการ จากจุดเด่นสินค้าในเรื่องความสวย ด้วยแบบบ้านในสไตล์อิตาลีและอังกฤษ พร้อมแบบบ้านใหม่ อีกหลายแบบในปีนี้ ฟังก์ชั่นเพื่อการอยู่อาศัยเทียบเท่าบ้านเดี่ยว พร้อมฟังก์ชั่นพิเศษ อาทิ ห้องพระ   ห้องซัก ตาก รีด ที่ตากผ้าได้ ไม่ต้องกลัวฝนหรือฝุ่น ห้องพักผ่อนชั้นบน ห้องนอนผู้สูงอายุ เป็นต้น   นอกจากนี้ ยังมีความคุ้มค่าของโครงการ  ด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางที่หรูหรา  คลับเฮ้าส์ สวนพักผ่อน ซุ้มประตูทางเข้า ระบบรักษาความปลอดภัย เทียบเท่าโครงการบ้านระดับ 10-20 ล้านบาท ทำใกล้เมืองเดินทางสะดวก ใกล้สิ่งอำนวยความสะดวก เช่น บิ๊กซีซูปเปอร์เซ็นเตอร์ ขยาย 4 ตลาดต่างจังหวัดเพิ่ม นอกจากการพัฒนาโครงการในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลแล้ว โกลเด้นแลนด์ ยังขยายตลาดออกไปยังพื้นที่ต่างจังหวัด อาทิ จังหวัดเชียงราย อยุธยา และพัทยา ซึ่งถือได้ว่าประสบความสำเร็จด้วยดี จากการนำเอาโมเดลธุรกิจ และรูปแบบบ้านมาพัฒนาและทำตลาดเช่นเดียวกับการทำตลาดในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ส่งผลให้ได้รับการตอบรับที่ดี   ปีนี้ โกลเด้นแลนด์เตรียมขยายตลาดต่างจังหวัดต่อเนื่อง โดยจะเปิดโครงการเพิ่มอีก 2 แห่ง ที่เชียงใหม่-กาดรวมโชค เป็นทาวน์โฮมในทำเลคอนโด และ อ่างศิลา เพื่อรองรับการขยายตัวของจังหวัดชลบุรี พร้อมกับขยายตลาดเพิ่ม อย่างน้อยอีก 4 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดอุดรธานี ขอนแก่น ภูเก็ต และหาดใหญ่ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดหาที่ดินเพื่อการพัฒนาโครงการ ส่วนพื้นที่ซึ่งมีที่ดินรองรับสำหรับการพัฒนาแล้ว คือ จังหวัดเชียงรายและชลบุรี  ซึ่งการพัฒนาโครงการในพื้นที่ต่างจังหวัด จะเลือกทำเลที่ตั้งในโลเกชั่นที่ดี เช่น การเดินทางสะดวก ใกล้แหล่งชุมชน หรือสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ไม่เน้นการซื้อที่ดินราคาถูกในทำเลห่างไกลเมือง เพราะจะทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับ ผู้ประกอบการในท้องถิ่นได้ เตรียม 2,000 ล้านซื้อคอนโดฯ ปั้นโครงการต่อ ส่วนตลาดคอนโดมิเนียม แม้ว่าจะไม่ใช่ตลาดหลักของ “โกลเด้นแลนด์” แถมปีนี้ยังมีสินค้าเหลือขายในตลาดจำนวนมาก เพราะกำลังซื้อที่ลดลง กลุ่มนักเก็งกำไรที่หายจากตลาด รวมถึงตลาดคนจีนที่หายไป แต่ปีนี้ โกลเด้นแลนด์ มองเห็นว่าเป็นโอกาสทางการตลาด ในการเข้ามาทำตลาดคอนโดฯ ซึ่งแนวทางคือ เตรียมเงินทุน 2,000 ล้านบาท ในการซื้อโครงการหรือเข้าร่วมหุ้น เพื่อนำโครงการมาพัฒนาต่อ เพื่อรับรู้รายได้ทันที โดยมุ่งเน้นจับกลุ่มเรียลดีมานด์   เป็นกลุ่มคนทำงานในเมืองที่ต้องการหลีกเลี่ยงปัญหารถติด โดยบริษัทมีแผนจะลงทุนในโครงการพร้อมขายแล้วนำมาพัฒนาต่อ ขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจา ซึ่งคาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในครึ่งปีหลังนี้  และคาดสัดส่วนรายได้จากโครงการคอนโดฯ  10-20% ภายในปี 2565-2566    
ศขอ. ก้าวสู่ปีที่ 16 ระดม Big Data เดินหน้าสู่ “ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติ”  

ศขอ. ก้าวสู่ปีที่ 16 ระดม Big Data เดินหน้าสู่ “ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติ”  

ศูนย์ข้อมูลฯ เดินหน้าสู่ปีที่ 16 พร้อมยกระดับ สู่การเป็น “ศูนย์อสังหาริมทรัพย์แห่งชาติ” คาดเห็นความชัดเจนปี 64 เพื่อเป็นหน่วยงานด้านข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ระดับประเทศ เตรียมรวบรวมข้อมูล Big Data เป็นศูนย์กลางพยากรณ์ และชี้เทรนด์อสังหาฯ   นายปริญญา พัฒนภักดี ประธานกรรมการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (ศขอ.) เปิดเผยว่า  ศขอ.ได้ดำเนินงานมาจะมีอายุครบ 15 ปี และก้าวสู่ปีที่ 16  ซึ่งในช่วง 12 ปีแรก ศขอ.มุ่งในเรื่องการรวบรวมและสร้างฐานข้อมูลทั้งด้านสถิติและการสำรวจโครงการที่อยู่อาศัย เพื่อใช้รายงานสถานการณ์ในแต่ละด้าน และในช่วง 3 ปีหลัง ตั้งแต่ปี 2560 – 2562 ศขอ. ได้มุ่งเน้นการพัฒนาด้านการวิเคราะห์อย่างบูรณาการ จากชุดข้อมูลต่างๆ และได้พัฒนาแบบจำลอง  เพื่อการคาดการณ์ทิศทางของอสังหาริมทรัพย์ด้านที่อยู่อาศัย   เพื่อให้ ศขอ.ทำหน้าที่จัดทำ และเผยแพร่ข้อมูลและบทวิเคราะห์  ที่เป็นประโยชน์มากขึ้น จึงเห็นว่าจำเป็นต้องยกระดับบทบาทของ ศขอ. ให้เป็น “ศูนย์อสังหาริมทรัพย์แห่งชาติ”  ซึ่งการที่จะมีบทบาทการเป็น “แห่งชาติ” นั้น ศขอ. จำเป็นต้องพัฒนาเพิ่มเติมในด้าน การสร้างความเชื่อมโยงข้อมูลให้เป็น Big Data ซึ่งจะเป็นข้อมูลที่สามารถนำมาใช้วิเคราะห์ได้หลากหลายมิติ และต้องทำหน้าที่เป็นหน่วยงานที่เป็น Benefits Center โดยต้องเอื้อประโยชน์ต่อทุกหน่วยงาน และประชาชนทั่วไปให้ได้รับประโยชน์จากข้อมูลและการวิเคราะห์ของ ศขอ. 5 นโยบายสู่การเป็น “ศูนย์อสังหาริมทรัพย์แห่งชาติ โดยประธานฯ​ ศขอ. ได้มอบหมาย 5 นโยบายสำคัญ เพื่อผลักดันการไปเป็น “ศูนย์อสังหาริมทรัพย์แห่งชาติ” 1.การผลักดันให้ศขอ. ก้าวขึ้นเป็นศูนย์อสังหาริมทรัพย์แห่งชาติ ซึ่งจะเห็นความชัดเจนได้ในปี 2564 2.การจัดทำข้อมูลระดับ Big Data จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งประเทศเข้ามาไว้ด้วยกัน 3.การวิเคราะห์ข้อมูลให้ทันสถานการณ์ปัจจุบัน ทั้งด้านดีมานด์และซัพพลาย 4.การคาดการณ์ และแนวโน้มของสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ได้ในทุกภาคส่วน 5.การนำเสนอข้อมูลและข้อเสนอแนะ ช่วยป้องกันปัญหาที่จะเกิดดขึ้นในภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อสร้างความมั่นคงและยั่งยืนในทุกมิติ   การสร้างรายได้ไม่ใช่สิ่งสำคัญเท่ากับการทำให้ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเห็นถึงความสำคัญของข้อมูลที่ ศขอ. พัฒนาขึ้นมาโดยข้อมูลที่พัฒนาต้องพร้อมใช้งาน และเป็นที่ต้องการของหน่วยงานต่างๆ เช่น  สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ  สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย ธนาคารแห่งประเทศไทย หน่วยงานอื่นๆ และบริษัทอสังหาริมทรัพย์ เป้าหมายคือการให้หน่วยงานที่กล่าวมานี้ เข้ามาใช้ข้อมูลของ ศขอ.เป็นหลักในการดำเนินงานของหน่วยงานแต่ละแห่ง และสามารถนำเสนอข้อมูลและงานวิเคราะห์ที่เป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานได้แบบ Beyond Expectation หรือเหนือความคาดหวัง อีกด้วย   ศูนย์ฯ แห่งชาติ มุ่งเน้นทำงาน 3 ระดับ ประธานฯ กล่าวอีกว่า การแสดงบทบาทของ “ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติ” เพื่อสร้างความยั่งยืนให้แก่ภาคอสังหาริมทรัพย์ ศขอ.ต้องมีกระบวนการทำงานที่ Pro-active และ Beyond Expectation พร้อมที่จะสนับสนุนข้อมูลใน 3 ระดับ ประกอบด้วย 1.ระดับการวางแผนและการตัดสินใจเชิงนโยบาย โดย ศขอ. จะต้องนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์สำหรับใช้ในการวางแผนและการตัดสินใจในเชิงนโยบายสนับสนุนและส่งเสริมให้คนไทยทุกคนได้มีที่อยู่อาศัยที่มั่นคงและยั่งยืน 2.สนับสนุนการออกมาตรการและนโยบายทางการเงินและการคลังในการสนับสนุนและส่งเสริมให้เกิดการสร้างที่อยู่อาศัยที่สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะบ้านผู้มีรายได้น้อย 3.สนับสนุนให้เกิดการกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในทุกระดับ ซึ่งจะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจภาคอสังหาฯและภาพรวมของประเทศให้มีการขยายตัวได้อย่างเหมาะสม   “ในระดับภาคอสังหาริมทรัพย์ ศขอ.จะต้องนำเสนอข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทั้งรายเล็ก รายกลาง รายใหญ่ อย่างเท่าเทียม เพื่อประโยชน์ในการวางแผนการลงทุนได้อย่างเหมาะสม และไม่เกิดการลงทุนที่ผิดพลาดจนภาวะ Over-supply” ศขอ. ส่งสัญญาณเตือน ช่วยกระตุ้นตลาดบวก 2.7% ในช่วงที่ผ่านมา ศขอ. ได้นำข้อมูลที่ได้จัดทำขึ้นใช้เพื่อสนับสนุนใน 3 ระดับอย่างต่อเนื่อง ดังจะเห็นจากที่มาตรการต่าง ๆ ของรัฐบาลที่ได้ออกมาตรการในการกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ในปี 2562 และให้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ดังเช่นยอดมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ ในปี 2562 สามารถปรับตัวจากการติดลบถึง 8.4% กลับมาเป็น บวกถึง 2.7%   ส่วนในปี 2561ที่ ศขอ. ได้นำเสนอข้อมูลสู่สังคมและสาธารณชน รวมถึงผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์  ให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้องว่ายังไม่มีสถานการณ์ของฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยในขณะนั้นแต่อย่างไร และทิศทางในปี 2562 ก็จะไม่มีภาวะฟองสบู่เช่นกัน   สำหรับปี 2563 นี้ ศขอ. จะยังทำหน้าที่ในการให้ข้อมูลทั้ง 3 ระดับ คือระดับนโยบาย/ภาคอสังหาฯ และสังคม อย่างต่อเนื่อง และการให้ข้อมูลและผลการวิเคราะห์จะตรงกับความต้องการของผู้ใช้ข้อมูลยิ่งขึ้น ในฐานะประธานกรรมการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ขอเรียนยืนยันว่า ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์จะเป็นหน่วยงานกลาง สำคัญหลักด้านข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ของประเทศ และจะช่วยสร้างความมั่นคง และยั่งยืนของภาคอสังหาริมทรัพย์ตลอดจนอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องส่วนอื่นต่อไป   ด้านนายวิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลฯ   กล่าวว่า กรอบการทำงานเพื่อการผลักดันไปสู่การเป็น ศูนย์อสังหาริมทรัพย์แห่งชาตินั้น ในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ จะนำเสนอโครงสร้างของศูนย์อสังหาฯ กับที่ประชุมคณะกรรมการบริหาร หลังจากนั้นช่วงเดือนกันยายน จะจัดทำแผนยุทธศาสตร์ระยะ 5 ปี (ปี 2564-2568) และช่วงเดือนธันวาคมจะนำเสอนผู้กับผู้มีอำนาจในลำดับต่อไป เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนของศูนย์อสังหาฯ ในช่วงปี 2564
7 ไฮไลท์แผนธุรกิจ PF-GRAND สู่เป้าหมายรายได้ 22,000 ล้าน

7 ไฮไลท์แผนธุรกิจ PF-GRAND สู่เป้าหมายรายได้ 22,000 ล้าน

กลุ่มบริษัทพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค แถลงแผนธุรกิจปี 63 เดินหน้าสร้างรายได้และยอดขายกว่า  20,000 ล้าน พร้อมใช้กลยุทธ์ “Product Strategy” ผลักดันสู่เป้าหมาย  ทั้งการเปิดโปรเจ็กต์แนวราบ 12 โครงการ  การออกบ้านแบบใหม่ พัฒนาบ้านป้องกันฝุ่น PM 2.5 และเดินหน้าหั่นหนี้ 10,000 ล้าน หวังลด D/E เหลือ 1.2   นายชายนิด อรรถญาณสกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ และ นางสาวศิริรัตน์ วงศ์วัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มการเงิน บริษัท พร็อพเพอร์ตี้  เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF​ ร่วมด้วย นายวิทวัส วิภากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ นางสาววิลาวัณย์ เหลืองนาคทองดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการเงิน บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ GRAND ร่วมกันแถลงถึงแผนธุรกิจของกลุ่มบริษัท ประจำปี 2563 โดยแผนธุรกิจในปี 2563 มี 7 ประเด็นไฮไลท์ สำคัญ คือ 1.วางเป้าหมายรายได้รวมของกลุ่มบริษัท มูลค่า 22,000 ล้านบาท เติบโต 6.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน  แบ่งเป็น ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 16,400 ล้านบาท แบ่งเป็น -พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค มูลค่า 15,400 ล้านบาท รวมโครงการในประเทศญี่ปุ่น -แกรนด์ แอสเสทฯ มูลค่า 1,000 ล้านบาท ธุรกิจโรงแรม มูลค่า 3,300 ล้านบาท -โรงแรมในประเทศ 2,000 ล้านบาท -โรงแรมในญี่ปุ่น 1,300 ล้านบาท การขายที่ดินและการลงทุน 2,000 ล้านบาท ธุรกิจให้เช่า 300 ล้านบาท 2.พร็อพเพอร์ตี้ เฟอร์เฟค วางเป้าหมายยอดขาย 18,000 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการแนวราบ 10,000 ล้านบาท โครงการร่วมทุน 1,500 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียม 6,500 ล้านบาท ในประเทศ 4,500 ล้านบาท และประเทศญี่ปุ่น 2,000 ล้านบาท 3.พร็อพเพอร์ตี้ เฟอร์เฟค  สร้างการเติบโตด้วย Product strategy มี 4 แนวทางสำคัญ  ได้แก่ -การเปิด 12 โครงการแนวราบ มูลค่ารวม 18,560 ล้านบาท แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว 10 โครงการ มูลค่า 17,110 ล้านบาท ทาวน์เฮ้าส์ 2 โครงการ มูลค่า 1,450 ล้านบาท -การเพิ่มแบบบ้านใหม่ 26 โมเดล -การเปิดตัวบ้านคอนเซ็ปต์ใหม่ Pure Air Technology หรือ “บ้านป้องกันฝุ่น PM 2.5” -การเป็นองค์สร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี ด้วยการการปลูกต้นไม้ใหญ่ 5,000 ต้นในโครงการต่างๆ  การติดตั้งแผงโซล่าร์ผลิตไฟฟ้าเพื่อใช้พลังงานสะอาดในสำนักงานและคลับเฮ้าส์ 4.แกรนด์ แอสเสทฯ วางเป้าหมายยอดขาย 3,000 ล้านบาท แบ่งเป็น -โครงการคอนโดฯ 2,500 ล้านบาท -โครงการวิลล่า ในจ.ระยอง 500 ล้านบาท 5.วางเป้าหมายลดหนี้ 10,000 ล้านบาท เพื่อลดอัตราหนี้สินต่อทุน หรือ D/E ให้ต่ำกว่า 1.5 เท่า จากปัจจุบันมี D/E ที่ 1.7 เท่า ซึ่งหากทำได้ตามแผนที่วางไว้จะมี D/E เหลือ 1.2 เท่า โดยวางแผน -ขายหุ้นโรงแรมรอยัล ออร์คิด เชอราตัน ขั้นต่ำ 40% คิดเป็นมูลค่า  2,500 ล้านบาท จากมูลค่า 6,000 ล้านบาท -การโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียม ยู คิโรโระ ในประเทศญี่ปุ่น สามารถมาลดหนี้ได้ มูลค่า 1,500 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาโอนกรรมสิทธิ์ไปแล้ว 1,700 ล้านบาท -ขายหอพักยูนิลอฟท์ และที่ดินใน จ.เชียงใหม่ มูลค่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งวางแผนขายให้กับโรงเรียนนานาชาติ -ขายที่ดินย่านรามอินทรา มูลค่า 2,500 ล้านบาท -ขายที่ดินย่านรัชดาภิเษก มูลค่า 2,500 ล้านบาท 6.พร็อพเพอร์ตี้ เฟอร์เฟค ไม่มีแผนเปิดโครงการคอนโดฯ โดยจะขายสต็อกเก่าที่มีอยู่ 6,800 ล้านบาทที่สร้างเสร็จแล้ว จะรับรู้รายได้ปีนี้ 4,200 ล้านบนาท โดยมียอดขายรอรับรู้รายได้ หรือ Backlog  ช่วงสิ้นปี 2562 มูลค่า  2,845 ล้านบาท  แบ่งเป็น Backlog จากโครงการคอนโดฯ  1,427 ล้านบาท ซึ่งในปี 2563 จะมีรายได้จากโครงการคอนโดฯ  2 โครงการ ได้แก่ โครงการ ไอ คอนโด กรีนสเปซ พัฒนาการ-ศรีนครินทร์ และโครงการ เมโทร สกาย วุฒากาศ และมี Backlog จากโครงการแนวราบ 1,118 ล้านบาท และเป็น Backlog จากโครงการคอนโดฯ  ยู คิโรโระ 300 ล้านบาท 7.เดินหน้าแผนพัฒนาโครงการร่วมทุนกับ 3 พันธมิตร  -ร่วมทุนกับฮ่องกงแลนด์ เพื่อพัฒนาโครงการ “เลค เลเจ้นด์” บ้านเดี่ยวระดับไฮเอนด์  2 โครงการ มูลค่ารวม 13,500 ล้านบาท -ร่วมมือกับ  ซูมิโตโม ฟอเรสทรี พัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวในทำเลราชพฤกษ์ตัดใหม่ 2 โครงการ มูลค่า 3,900 ล้านบาท จากนอกเหนือจากคอนโดมิเนียม ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ มูลค่าโครงการ 6,000 ล้านบาทแล้ว ในปีนี้ยังจะร่วมกัน -ร่วมทุนกับ เซกิซุย เคมิคอล พัฒนาโครงการในเพิ่มอีก 1 ทำเล  มูลค่ารวม 3,100 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมามีการร่วมมือกันใน 4 ทำเล   ภาพรวมการร่วมทุนของกลุ่มบริษัทขณะนี้มีมูลค่าทั้งสิ้น 26,500 ล้านบาท เป็นแนวทางหนึ่งที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มบริษัท ปีที่ผ่านมาบริษัทยังประสบความสำเร็จจากโครงการ “ยู คิโรโระ” คอนโดมิเนียมในประเทศญี่ปุ่น ทำให้มีรายได้เข้ามา 1,700 ล้านบาท ปัจจุบันโครงการมียอดขายแล้ว 2,600 ล้านบาท หรือ 70% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด  และคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีต่อเนื่อง สามารถโอนกรรมสิทธิ์ปิดโครงการได้ภายในปีนี้  
NCH ลุยตลาดบ้านแนวราบ เปิด 5 โปรเจ็กต์สร้างยอด 2,700 ล้าน

NCH ลุยตลาดบ้านแนวราบ เปิด 5 โปรเจ็กต์สร้างยอด 2,700 ล้าน

เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง เปิดแผนธุรกิจปี 63 เดินหน้าพัฒนา 5 โปรเจ็กต์แนวราบมูลค่า 3,600 ล้าน  พร้อมใช้ 3 กลยุทธ์  ผลักดันเป้าหมายยอดขาย 2,700 ล้าน   นายสมนึก ตันฑทอดธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ NCH เปิดเผยถึงแผนธุรกิจในปี 2563 เตรียมพัฒนาโครงการแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮ้าส์ จำนวน 5 โครงการ มูลค่า 3,600 ล้านบาท บนที่ดินซึ่งเป็นแลนด์แบงก์ของบริษัท ประมาณ 200 ไร่ ทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ​ ตอนเหนือ จังหวัดนครปฐม และพัทยา   โดยได้วางเป้าหมายในปีนี้ จะทำยอดขาย 2,700 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา และรับรู้รายได้ 1,600 ล้านบาท ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและการขายรวม 9 โครงการ มูลค่า 4,000-5,000 ล้านบาท และมียอดขายรอรับรู้รายได้หรือแบ็กล็อก ในช่วงไตรมาส 3 ปี 2562 มูลค่า 300 ล้านบาท 3 กลยุทธ์สร้างยอดขาย 2,700 ล้าน สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจ เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ ได้เตรียม 3 กลยุทธ์ สำคัญ ได้แก่ 1.กลยุทธ์โปรดักส์ มุ่งพัฒนาสินค้าที่ตรงความต้องการของผู้บริโภค ในระดับราคา 2-5 ล้านบาท เป็นสินค้าที่มีความคุ้มค่า และใช้ประโยชน์สูงสุด รองรับกับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการอยู่อาศัยได้ทุกช่วงวัย หรือ “alllgen” 2.กลยุทธ์ Customer Centric   ให้ความสำคัญกับลูกค้าเป็นอันดับแรก  เพิ่มการบริการที่ยกระดับการอยู่อาศัยในสังคมชุมชนสอดคล้องกับแนวคิด “รู้จักบ้าน รู้ใจคุณ” ซึ่งปีนี้จะร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ ในการเพิ่มบริการที่หลากหลายมากขึ้น 3.กลยุทธ์ Home Innovation เอ็น.ซี.นำนวัตกรรม และเทคโนโลยีเพื่อที่อยู่อาศัยมาพัฒนาโครงการ โดยผนึกพันธมิตร เพื่อการอยู่อาศัยที่ดีขึ้น มีความทันสมัย สะดวก สบาย  เอื้อต่อการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมีความสุข โดยในปีนี้ยังเตรียมเปิดให้บริการธุรกิจเฮลท์แคร์ ที่ร่วมกับพันธมิตร เพื่อให้บริการลูกบ้านของบริษัทด้วย ส่วนแนวทางการทำตลาดในช่วงไตรมาสแรกของปี บริษัทเตรียมแคมเปญ  NC 5G แรง ด้วยการมอบโปรโมชั่น (ตามเงื่อนไข) ได้แก่  G1 : GOLD  ซื้อบ้านได้ทอง  สูงสุด 20  บาท  G2 : GIFT  ซื้อบ้านรับของแถม Apple Series ครบคุ้ม อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า  G3 : GIFT VOUCHER  ตกแต่งบ้าน มูลค่าสูง ถึง 100,000 บาท G4 : GIVE AWAY  เอ็น.ซี ร่วมสมทบเงินมอบส่วนหนึ่ง เพื่อโครงการรักษ์โลก ทุกยอดโอน  ล้านละ 1,000 บาท ร่วมบริจาคสนับสนุน ด้านการคัดแยกขยะลดปัญหาสิ่งแวดล้อม G5 : GET MORE  รับส่วนลดสูงสุด 2 ล้านบาท ฟรีทุกค่าใช้จ่ายวันโอนกรรมสิทธ์ทุกรายการ ซึ่งบริษัทคาดว่าจะทำยอดขายได้ประมาณ​ 400-500 ล้านบาท      
“ดับบลิวแอนด์ดับบลิว”เปิดแผนปีหนู ผุด 3 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 4,000 ล้าน

“ดับบลิวแอนด์ดับบลิว”เปิดแผนปีหนู ผุด 3 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 4,000 ล้าน

ดับบลิวแอนด์ดับบลิว พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ฯ เผยภาพรวมตลาดอสังหาฯปี 63 ตลาดแนวสูงฝั่งกทม. ชั้นนอกไม่คึกคัก รายเล็กและรายใหญ่ เร่งวางแผนให้รัดกุม เปิดแผนปีหนูจ่อผุด 3 โครงการใหม่ รวมมูลค่า 4,000 ล้านบาท ประเดิมโครงการ “Matier Rama9” โฮมออฟฟิศ ย่านพระราม 9 – รามคำแหง พร้อมเปิดพรีเซล ก.พ.นี้ ด้าน“โพลิส คอนโด สุขสวัสดิ์ 64” กวาดยอดขายแล้ว 90% คาดปีนี้รับรู้รายได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท   นายวิทยา พรหมชนก กรรมการผู้จัดการบริษัท ดับบลิวแอนด์ดับบลิว พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯปี 2562 ที่ผ่านมาว่า  เป็นปีที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ ทั้งรายเล็กและรายใหญ่ต่างเห็นพ้องตรงกันว่าเป็นปีที่ยากลำบากในการดำเนินธุรกิจมากที่สุด และเป็นปีแห่งความท้าทาย  ส่วนในปี 2563 มองว่าตลาดแนวสูงฝั่งกทม.ชั้นนอกยังไม่คึกคักเท่าที่ควร  ผู้ประกอบการรายใหญ่-รายเล็กต้องมีการวางแผนอย่างรัดกุม ในส่วนของบริษัทฯเองก็มีแนวคิดและวางกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจใหม่ๆ เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัท สามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับทิศทางของตลาดอสังหาฯ ที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและคล่องตัว     โดยในปีนี้บริษัทฯตั้งเป้าที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ประมาณ 3 โครงการ รวมมูลค่าไม่ต่ำกว่า 4,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ “Metier Rama9” ตั้งอยู่บนถนนพระราม9 ตัดกับถนนรามคำแหง พัฒนาในรูปแบบของโฮมออฟฟิศ เพื่อหวังเจาะกลุ่มเป้าหมายระดับ Super Luxury ซึ่งคาดว่าจะสามารถเปิดตัวอย่างเป็นทางการได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2563 นี้ ส่วนอีก 2 โครงการจะเป็นคอนโดมิเนียมขนาดกลาง ใกล้แนวรถไฟฟ้า 1 โครงการ และโครงการแนวราบ ในจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยวภาคใต้ 1 โครงการ  ที่คาดว่าจะสามารถเปิดตัวได้ในช่วงปลายปี 2563 แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ในขณะนี้ ด้านความคืบหน้าโครงการ “โพลิส คอนโด สุขสวัสดิ์ 64” (Polis Condo Suksawat 64) ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 5 ไร่ ในซอยสุขสวัสดิ์ พัฒนาในรูปแบบคอนโดมิเนียมแบบโลว์ไรซ์ 8 ชั้น 2 อาคาร จำนวน 459 ยูนิต มูลค่าโครงการรวมกว่า 700 ล้านบาท ถูกออกแบบภายใต้แนวคิด “เปิดโล่งให้กับชีวิต ต่อติดทุกการเดินทาง” โดยมีจุดเด่นของโครงการ คือ ความสะดวกสบายด้วยทำเลที่ดีเยี่ยมเข้าออกได้หลายเส้นทาง พื้นที่เปิดโล่งโปร่งสบายด้วยการจัดผังโครงการให้มีพื้นที่ใช้งานอย่างลงตัว พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกแบบครบครัน อาทิ โถงล็อบบี้ส่วนกลาง เพื่อรับแขกและพักผ่อน , สระว่ายน้ำขนาดใหญ่ 2 สระ เพื่อรองรับการพักผ่อนและการออกกำลังกาย, ฟิตเนสครบวงจร, ห้องซ้อมมวย, ลานโยคะ, ห้องสำหรับชมภาพยนต์, พื้นที่ขนาดใหญ่สำหรับร่วมกันสังสรรค์ทำงานและห้องประชุมส่วนตัวบนพื้นที่ส่วนกลาง, สนามเด็กเล่น, สวนหย่อม และสวนขนาดใหญ่รอบโครงการ และดึงดูดใจกลุ่มลูกค้าระดับกลางในราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่ายๆ  ซึ่งโครงการดังกล่าวได้เปิดพรีเซลไปเมื่อปลายปี 2561 ที่ผ่านมา โดยแบ่งออกเป็น 3 Type ได้แก่ Type A 1Bedroom 28 ตร.ม. , Type B 1 Bedroom Plus 34.5 ตร.ม. และ Type C 2 Bedroom 45 ตร.ม. ราคาเริ่มต้นที่ 1.49 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 90 % โดยได้นัดลูกค้าเพื่อตรวจรับห้องไปแล้วบางส่วน และคาดว่าจะสามารถทำการตรวจรับห้องได้ครบทั้งหมด และเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ได้ภายในไตรมาสแรกของปี 2563 นี้และคาดว่าจะปิดการขายได้ภายในไตรมาสที่ 3 ของปี 2563 นอกจากนี้ บริษัทได้ให้ความสำคัญกับกิจกรรมเพื่อดูแลหลังการขาย และดูแลความสุขของลูกบ้านอย่างเต็มที่ โดยที่ผ่านมาทุกโครงการของบริษัท ได้มีการปฏิสัมพันธ์กับลูกบ้านมาโดยตลอด เพื่อที่จะรับรู้ทั้งสิ่งที่ดี และสิ่งที่อยากให้ปรับปรุงเพิ่มเติม โดยในหลายๆครั้ง เมื่อมีนวัตกรรมหรือ ฟีเจอร์ใหม่ๆสำหรับที่อยู่อาศัยออกสู่ท้องตลาด ทางโครงการได้มีการนำสิ่งเหล่านี้กลับไปเพิ่มเติมและปรับใช้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นด้านของทัศนียภาพหรือประโยชน์ใช้สอยก็ตาม เพราะว่าโครงการได้ตั้งใจสร้างที่อยู่อาศัย ที่อยู่ได้จริง ไม่ว่าจะเป็นแนวราบหรือแนวสูง และเป็นที่ๆลูกบ้านค้นพบความสุขได้จากการพักผ่อนในบ้านของตนเอง ทางโครงการจึงได้จัดงาน “Polis Open house” ขึ้น เพื่อเป็นการตอบแทนคำขอบคุณลูกค้าจากโครงการ และยังถือเป็นกิจกรรมเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีร่วมกัน ภายในงานประกอบด้วยกิจกรรมจับฉลากแจกของรางวัลและเกมส์สนุกๆมากมาย ซึ่งบรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความสนุกและความอบอุ่น  ตอกย้ำวิสัยทัศน์ในการดำเนินงานของโครงการที่ว่า “เหนือกว่าราคาคือความคุ้มค่าและตรงใจ” ซึ่งนั่นถือเป็นหัวใจสำคัญในการทำงานของบริษัทได้เป็นอย่างดี   “ในปีนี้ยอดรับรู้รายได้ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท  ซึ่งเป็นปีที่บริษัทเตรียมจะเปิดตัวโครงการเพิ่มอีกในทำเลที่มีศักยภาพที่ดี และประเภทโครงการที่หลากหลายเซกเมนต์ รวมถึงจำนวนโครงการที่อยู่ในแผนพัฒนา ซึ่งเป้าหมายในระยะยาวนั้น คือการได้เป็นองค์กรที่พัฒนาที่อยู่อาศัยและสถานที่พักผ่อนได้ตรงใจผู้อยู่อาศัยมากที่สุด การขยายโครงการนี้จึงถือเป็นจังหวะที่จะได้พิสูจน์ความตั้งใจในวิเคราะห์ข้อมูล พฤติกรรมของกลุ่มลูกค้า เพื่อนำมาเป็นปัจจัยในการพัฒนาโครงการที่หลากหลายมากขึ้น เราตั้งใจ และที่สำคัญคือการได้รับรู้เสียงตอบรับของลูกบ้านทุกท่านของบริษัทในปีนี้ เพื่อนำทั้งความคิดเห็นและคำติชม ไปปรับปรุงพัฒนาโครงการต่อๆไป” นายวิทยา กล่าวในที่สุด รายละเอียดโครงการจากดับบลิวแอนด์ดับบลิว พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเม้นท์ W&W Property And Development เกี่ยวกับ W&W Property And Development Polis Condo Suksawat 64
บิ๊กอสังหาฯ มาเลเซียประกาศร่วมลงทุนโครงการ “ณ รีวา” คอนโดฯ พรีเมียม ถนนเจริญนคร มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท

บิ๊กอสังหาฯ มาเลเซียประกาศร่วมลงทุนโครงการ “ณ รีวา” คอนโดฯ พรีเมียม ถนนเจริญนคร มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท

กลุ่มทุนยักษ์ใหญ่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จากประเทศมาเลเซีย Paramount Corporation Berhad ร่วมลงทุนโครงการอสังริมทรัพย์ไทย โดยเข้าถือหุ้น 49% ในบริษัท ณวรางค์ เจริญนคร จำกัด เจ้าของโครงการ “ณ รีวา” ถนนเจริญนคร โครงการที่พักอาศัยแนวสูงระดับพรีเมียม มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท ที่กำลังเตรียมเปิดตัวโครงการภายในเดือนกุมภาพันธ์ ศกนี้   การพัฒนาโครงการ ณ รีวา อยู่ภายใต้การดำเนินงานของบริษัท ณวรางค์ เจริญนคร จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด ถือหุ้น 51% และ Paramount Corporation Berhad ถือหุ้น 49% โดยเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2563 ได้มีพิธีฉลองความร่วมมืออย่างเป็นทางการในการลงทุนร่วมโครงการ ณ รีวา เจริญนคร ระหว่าง บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด โดย นายอภิภู  พรหมโยธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และ Paramount Corporation Berhad โดยนายเจฟเฟรย์  จิว  (Mr.Jeffrey Chew) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มพาราเมาท์ คอร์ปอเรชัน  เบอร์ฮาด ประเทศมาเลเซีย โดยระบุว่าดีลนี้เป็นข้อบ่งชี้สำคัญสำหรับทั้งสองฝ่ายที่ต่างให้ความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในประเภทที่พักอาศัยแนวสูงระดับพรีเมียมถึงไฮเอนด์ รายละเอียดโครงการ ณ รีวา เพิ่มเติม Na Reva Charoennakhon ข่าวอื่นๆ จาก NAVARANG ASSET “ณ วีรา พหลฯ-อารีย์” แอคทีฟแบบชีวิตติดเมือง “ณวรางค์ แอสเซท” กางแผน 3 ปี ผุดโปรเจ็คต์ใหม่กว่า 5,000 ล้าน จับตาราคาที่ดิน “อารีย์-พหลโยธิน” พุ่ง รับ New CBD
Booking.com เปิดตัวรถบัสพักได้สไตล์ไทยแลนด์ หนึ่งเดียวของโลก

Booking.com เปิดตัวรถบัสพักได้สไตล์ไทยแลนด์ หนึ่งเดียวของโลก

Booking.com เปิดตัว Bangkok Booking Bus รถบัสพักได้ ที่พักแปลกใหม่โดดเด่นด้วยดีไซน์แบบไทย เตรียมเปิดให้พักคืนเดียวเท่านั้น ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ นี้ ที่ เอเชียทีค ริเวอร์ฟอร์น      นางสาวมิเชล เกา ผู้จัดการประจำภูมิภาคของ Booking.com  เปิดเผยว่า จากความนิยมเข้าพักในที่พักแปลกใหม่ต่างๆ ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และรายงานล่าสุดของ Booking.com ที่ชี้ว่า นักเดินทางจำนวนมากขึ้นกำลังมองหาที่พักแปลกใหม่ เพื่อตอบสนองความต้องการที่อยากจะลองประสบการณ์การเข้าพักในที่พักรูปแบบต่างๆ     โดยนักเดินทางชาวไทยมากกว่า 2 ใน 5 (42%) วางแผนจะเข้าพักในที่พักที่มีเอกลักษณ์อย่างน้อยสักครั้งหนึ่ง ซึ่งนอกจากจะเป็นการหาแรงบันดาลใจให้ตัวเองแล้ว ผู้เดินทางยังต้องการทำให้คนรอบตัวรู้สึกประทับใจไปกับตัวเลือกของที่พักในรูปแบบแปลกใหม่ ที่สามารถแสดงออกถึงความเป็นตัวของตัวเองของผู้เข้าพักได้   Bangkok Booking Bus จะเปิดให้จองบน Booking.com ที่เดียวเท่านั้น และเข้าพักได้เพียง 1 คืน สำหรับผู้เข้าพัก 2 ท่าน นับเป็นประสบการณ์สุดพิเศษครั้งหนึ่งในชีวิต ที่บริเวณลานจอดรถ โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ แหล่งรวมไลฟ์สไตล์และความบันเทิงยามค่ำคืนที่หลากหลาย ทำให้การเข้าพักครั้งนี้น่าประทับใจไม่มีวันลืม     โดย Bangkok Booking Bus จะเปิดให้เข้าพักได้ในวันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์นี้ สำหรับการเข้าพัก 1 คืน ต่อผู้เข้าพัก 2 ท่าน โดยสามารถทำการสำรองที่พักได้ในวันพฤหัสบดีที่ 20 กุมภาพันธ์ ตั้งแต่เวลา 20.00 น. เป็นต้นไป โดยจะให้สิทธิ์ในการเข้าพักตามลำดับของผู้ที่จองเข้าพักก่อน สามารถจองที่พักบนรถบัสพักได้ที่เว็บไซต์ของ www.Booking.com ที่เดียวเท่านั้น   ด้วยพันธกิจที่ต้องการให้ทุกคนได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่พักที่หลากหลายทั่วโลกได้ง่ายดายขึ้น เราภูมิใจที่จะนำเสนอ Bangkok Booking Bus รถบัสพักได้ ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากความเป็นไทย ใจกลางกรุงเทพฯ   หลังจากที่แขกผู้โชคดีได้เข้าพักที่รถบัสพักได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว Booking.com จะส่งมอบรถบัสพักได้ดังกล่าวให้กับ Local Alike ซึ่งเป็นกิจการเพื่อสังคมสัญชาติไทยด้านการท่องเที่ยวเพื่อพัฒนาชุมชน และยังเป็นสตาร์ทอัพในโครงการ  Booking Booster ปี 2560 ซึ่ง Local Alike จะนำรถบัสพักได้ไปใช้งานเพื่อสานต่อความยั่งยืนต่อไป   วิธีการสำรองที่พัก Bangkok Booking Bus รถบัสพักได้คันแรกที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากความเป็นไทยเข้าไปที่ Booking.com ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ เวลา 20.00 น. เป็นต้นไป เพื่อลุ้นเข้าพักใน Bangkok Booking Bus ซึ่งราคาพักของ Bangkok Booking Bus ต่อคืนราคา 2,020 บาท (รับเงินคืนหลังจากเช็ค-เอาท์)
โกลเด้นแลนด์ กวาดรายได้และกำไร โตสวนกระแสตลาดชะลอตัว

โกลเด้นแลนด์ กวาดรายได้และกำไร โตสวนกระแสตลาดชะลอตัว

โกลเด้นแลนด์ เผยผลประกอบการปี 2562 ทำรายได้รวม 17,168 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.6% พร้อมทำกำไร  2,085 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.3%  เหตุทุกธุรกิจเติบโตถ้วนหน้า ทั้งที่พักอาศัย อาคารสำนักงาน และศูนย์การค้า ส่วนปี 2563 เดินธุรกิจด้วยความระมัดระวัง ฝ่าวิกฤตตลาดชะลอตัว   นายธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ เปิดเผยว่า บริษัทมีรายได้หลักจากการขายอสังหาริมทรัพย์รวม 15,305 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,268 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 9% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยประสบความสำเร็จทั้งโครงการใหม่ที่เริ่มเปิดขายและโอนในระหว่างปี 2562 รวมถึง โครงการเดิมที่ยังขาย และโอนได้อย่างต่อเนื่อง โดยยอดขายบ้านนีโอโฮม ราคา 5-8 ล้านบาท มีสัดส่วนสูงขึ้นอย่างชัดเจน รวมถึงยอดขายจากการขยายโครงการไปต่างจังหวัด     ในขณะที่รายได้ค่าเช่าและรายได้อื่นๆ งวด 12 เดือน (1 มกราคม 2562  – 31 ธันวาคม 2562) มีรายได้รวม 1,863 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 89 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน เป็นผลมาจากการรับรู้รายได้จากการให้เช่าในอาคารสำนักงาน  ที่บริษัทบริหารพื้นที่ มีอัตราการเช่าสูงกว่า 95% ทุกอาคาร และมีรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากธุรกิจโรงแรม   ส่วนโครงการสามย่านมิตรทาวน์ที่แล้วเสร็จในปีที่ผ่านมา  ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ มีอัตราการเช่าแล้ว 95% ส่วนพื้นที่อาคารสำนักงาน มิตรทาวน์ ออฟฟิศ ทาวเวอร์ มีอัตราการเช่าแล้ว 75% มีผู้เช่าทยอยเข้าตกแต่ง  และส่วนที่พักอาศัย ทริปเปิ้ล วาย เรสซิเด้นซ์ มีอัตราการขายสิทธิการเช่า 75% และทริปเปิ้ล วาย โฮเทล ที่มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ย 45%   “จากผลประกอบการรอบ 12 เดือน ปี 2562 ที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่า เรายังทำได้ดีตามเป้าหมาย ซึ่งเป็นผลจากการเลือกพัฒนาโครงการบนทำเลที่มีความต้องการต่อเนื่อง และราคาสินค้าตอบโจทย์กำลังซื้อของกลุ่มลูกค้า แม้ว่าจะเผชิญความท้าทายจากหลายปัจจัยภายนอกที่กระทบกับตลาดที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะ 6 เดือนสุดท้ายของปี 2562 ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการคุมเข้มสินเชื่อ LTV”     ขณะที่ทิศทางของโครงการเชิงพาณิชย์ ตลาดอาคารสำนักงานยังไปได้ดี สะท้อนจากอัตราการเช่าพื้นที่ทุกอาคารของโกลเด้นแลนด์ และอาคารสำนักงานให้เช่าแห่งใหม่ล่าสุดในโครงการสามย่านมิตรทาวน์ มิตรทาวน์ ออฟฟิศ ทาวเวอร์ ที่มียอดผู้เช่าในสัดส่วนที่สูง แม้ว่าอาคารจะเพิ่งก่อสร้างแล้วเสร็จเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เช่นเดียวกับศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ที่ยังคงมีผู้ใช้บริการสูงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เปิดให้บริการในเดือนกันยายน 2562 ที่ผ่านมา และมีอัตราผู้เช่าสูงตามเป้าหมาย   สำหรับภาพรวมธุรกิจในปี 2563 ในส่วนของธุรกิจที่อยู่อาศัย โกลเด้นแลนด์ได้มีการปรับกลยุทธ์ให้เติบโตอย่างระมัดระวัง ในการฝ่าภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ชะลอตัว เช่น การบริหารค่าใช้จ่ายในการขาย รวมทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานและใช้ทรัพยากร บริษัทฯ คาดการณ์การแข่งขันในปีนี้จะยังรุนแรงเช่นเดิมโดยเฉพาะตลาดบ้านแนวราบ จากการที่ผู้ประกอบการรายใหญ่หลายรายหันมาให้ความสำคัญกับตลาดนี้แทนที่ตลาดคอนโดมิเนียม   ส่วนธุรกิจเชิงพาณิชย์ อาคารสำนักงานที่อยู่ใจกลางเมือง เดินทางสะดวก ติดรถไฟฟ้าจะยังได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้เช่าภาคธุรกิจต่างๆ ส่วนธุรกิจศูนย์การค้าใจกลางเมือง นอกจากร้านค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้ใช้บริการแล้ว การจัดอีเวนท์อย่างต่อเนื่องก็จะดึงกลุ่มลูกค้าได้ดี   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง “สามย่านมิตรทาวน์” เปิดพื้นที่ 24 ชั่วโมง ให้คนกรุงใช้ชีวิตทั้งวันทั้งคืน “กิน ดื่ม ทำงาน และออกกำลังกาย” 19 ร้านคอนเซ็ปต์ “ใหม่” ในสามย่านมิตรทาวน์ [PR News] โกลเด้นแลนด์ เปิดอาณาจักร GOLDEN EMPIRE แจ้งวัฒนะขายหมดภายใน 2 วัน เปิด 5 ไฮไลท์ “MITRTOWN OFFICE TOWER” ออฟฟิศให้เช่า พระราม 4 5 เหตุผล “โกลเด้นแลนด์” ปักหมุดเชียงรายปั้น โกลเด้น เอ็มไพร์ 2,600 ล้าน
“แลนดี้ โฮม” ชู 4  กลยุทธ์บุกตลาดรับสร้างบ้าน สู่เป้าหมายยอดขาย 2,000 ล้าน

“แลนดี้ โฮม” ชู 4 กลยุทธ์บุกตลาดรับสร้างบ้าน สู่เป้าหมายยอดขาย 2,000 ล้าน

แลนดี้ โฮม บริษัทรับสร้างบ้านที่อยู่ในตลาดมากว่า 30 ปี ในปีนี้ได้เตรียมวางแผนเพื่อสร้างการเติบโตของธุรกิจอย่างต่อเนื่อง หลังจากปีที่ผ่านมา สามารถทำยอดขายได้ 1,800 ล้านบาท เติบโตจากปี 2561 ที่ทำยอดขายได้ 1,550 ล้านบาท   ส่วนในปีนี้วางเป้าหมายการเติบโต 15% หรือมียอดขาย 2,000 ล้านบาท ถือเป็นการทำธุรกิจท่ามกลางการแข่งขัน และภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว รวมถึงสภาพตลาดรับสร้างบ้าน ซึ่งมีมูลค่า 12,000 ล้านบาท  ที่ปีนี้คาดว่าจะอยู่ในภาวะทรงตัวด้วยเช่นกัน โดยมีทีมผู้บริหารที่จะเข้ามาขับเคลื่อนองค์กร เป็น 3 พี่น้องตระกูล "มณีรัตนะพร" บุตรของนายพิเชษฐ์ มณีรัตนะพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท แลนดี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด ได้แก่ นางสาวพรรัตน์ มณีรัตนะพร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและผู้อำนวยการฝ่ายขาย นางสาวภัทรา มณีรัตนะพร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์​ และนายพานิช มณีรัตนะพร ผู้อำนวยการฝ่ายก่อสร้างและบริหารสำนักงาน สำหรับแนวทางสร้างการเติบโตของ “แลนดี้ โฮม” ในปี 2563 เพื่อสร้างยอดขายให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ มีกลยุทธ์ที่สำคัญ คือ 1.ขยายตลาดกลุ่มบ้านระดับราคาต่ำกว่า 4 ล้านบาทและราคา 15-40 ล้านบาท ปัจจุบัน “แลนดี้ โฮม” มีการทำตลาดบ้าน 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มระดับราคาต่ำกว่า 4 ล้านบาท สัดส่วน 40% ของยอดขาย กลุ่มราคา 5-15 ล้านบาท สัดส่วน 20% และกลุ่มระดับราคา 15 ล้านบาทขึ้นไป สัดส่วน 40% ซึ่งปีนี้บริษัทจะเน้นการทำตลาดใน 2 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มระดับราคาต่ำกว่า 4 ล้านบาท เนื่องจากมีอัตราการเติบโตที่ดี มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 40% จากปี 2561 ที่มีสัดส่วน 30% และกลุ่มระดับราคา 15 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มบ้านลักชัวรี่ ที่พบว่ามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สามารถทำยอดขายในปีที่ผ่านมา 200 ล้านบาท ในปีนี้วางเป้าหมายเพิ่มยอดขายเป็น 400 ล้านบาท 2.เพิ่มบ้านไซส์เล็ก พร้อมปรับราคากลุ่ม Trendy Home  โดยในปีนี้ได้เพิ่มแบบบ้านในกลุ่ม Trendy Home ระดับราคา 2 ล้านบาทต้นๆ พื้นที่ 100 ตารางเมตรมากขึ้น จากเดิมเป็นบ้านระดับราคา 2 ล้านปลายๆ ในขนาดพื้นที่ 150 ตารางเมตร เพื่อรองรับกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น โดยเฉพาะตลาดต่างจังหวัด 3.เสริมเทคโนโลยีช่วยงานขาย-การก่อนสร้าง ที่ผ่านมาบริษัทใช้แอปพลิเคชั่น เข้ามาช่วยในด้านการขายสินค้า ทำให้ลูกค้าเห็นแบบบ้านที่มีกว่า 300 แบบ ในปีนี้ได้เตรียมเพิ่มระบบ VR (Virtual Reality) เพื่อใช้ในสาขาทั้ง 8 แห่งที่มีอยู่ในปัจจุบัน ให้ลูกค้าได้เห็นภาพจำลองของบ้านเสมือนจริง และยังสามารถปรับแต่งบ้านในแบบที่ตนเองต้องการได้ด้วย ขณะที่งานด้านการก่อสร้าง ได้พัฒนาระบบ Workflow โปรแกรมการติดตามงานแบบอัจฉริยะ เพื่อใช้สำหรับให้ลูกค้าติดตามงานก่อสร้าง และบริษัทสามารถบริหารจัดการด้านงานก่อสร้างได้ตลอดเวลา และทุกไซส์งานก่อสร้าง ซึ่งจะทำให้ลดปัญหาด้านความล่าช้า และสามารถแก้ไขปัญหาความผิดพลาดได้เร็วขึ้น 4.สร้างแบรนด์และเพิ่มการทำตลาดมากขึ้น ในปีนี้บริษัทเพิ่มงบการตลาดเป็น 50 ล้านบาท ซึ่งจะทำการตลาดและการสื่อสารการตลาดครบวงจร ผ่านสื่อต่างๆ ทั้งสื่อออนไลน์  และสื่อออฟไลน์ เป็นการสร้างการรับรู้ในแบรนด์แลนดี้โฮม เพื่อให้ผู้บริโภครู้จักในฐานะบริษัทรับสร้างบ้านที่ทันสมัย จากก่อนหน้านี้บริษัทพบว่า แบรนด์แลนดี้โฮม ผู้บริโภครู้จักว่าเป็นบริษัทรับสร้างบ้านมากถึง 80%  ในปีนี้จึงวางแผนสร้างแบรนด์ เพื่อเป้าหมาย Top of mind เพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังเพิ่มทีมงาน งานมากขึ้น เพื่อรองรับกับการบริการลูกค้า นางสาวพรรัตน์ มณีรัตนะพร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท แลนดี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้บริษัทตั้งเป้าเดินหน้ารุกตลาดรับสร้างบ้านให้ครบทุกเซ็กเมนต์ ผ่านการทำ Digital Transformation คาดว่าจะสามารถสร้างการเติบโตได้ไม่น้อยกว่า 10% จากปีที่ผ่านมา
ตลาดอสังหาฯ จะไปต่ออย่างไร หลังปลดล็อค LTV หนุนตลาดโตเพิ่มแค่ 0.8%

ตลาดอสังหาฯ จะไปต่ออย่างไร หลังปลดล็อค LTV หนุนตลาดโตเพิ่มแค่ 0.8%

ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงการณ์ปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำกับ ดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ที่แม้จะครอบคลุมถึง การกู้ซื้อ ที่อยู่อาศัยในทุกระดับราคา แต่ ธปท. ได้มุ่งผ่อนปรนให้กับการกู้ซื้อที่เป็นสัญญาที่ 1 และ 2 เป็นหลัก   สำหรับการกู้ที่อยู่อาศัยมูลค่าไม่ เกิน 10 ล้านบาท ผู้กู้ซื้อบ้านในสัญญาที่ 1 สามารถกู้เงินเพิ่ม 10% เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายที่จาเป็นต่อการอยู่ อาศัย เช่น ค่าตกแต่งที่อยู่อาศัยได้ ขณะที่ผู้กู้ในสัญญาที่ 2 ที่ผ่อนหลังแรกเกิน 2 ปี (จากเดิมกาหนด ไว้ที่ 3 ปี) สามารถใช้เงินดาวน์เพียง 10% ส่วนการกู้ที่อยู่อาศัยมูลค่าตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไปในสัญญาที่ 1 ธปท. ผ่อนปรนใช้สัดส่วนเงินดาวน์ลดลงจาก 20% เหลือ 10% ทั้งนี้ การปรับปรุงหลักเกณฑ์ LTV ดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2663 เป็นต้นไป ธปท.ผ่อนปรน LTV เพราะตลาดอสังหาฯ หดตัว 4.5% Krungthai COMPASS มองว่าการหดตัวของตลาดที่อยู่อาศัย และผลประกอบการ ของผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่แย่ลง คือแรงกดดันสำคัญให้ ธปท. ต้องผ่อนปรนเกณฑ์ LTV หลังจากที่ ธปท. ได้บังคับใช้เกณฑ์ LTV ใหม่ในวันที่ 1 เมษายน 2562 ที่ระบุให้ผู้กู้ ตั้งแต่สัญญาที่ 2 ขึ้นไปต้องเตรียมเงินดาวน์มากขึ้น ได้ส่งผลกระทบให้ตลาดที่อยู่ อาศัยปรับตัวลงอย่างเห็นได้ชัด   โดยมูลค่าตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และ ปริมณฑล หลังจาก LTV มีผลบังคับใช้ (เมษายน - ตุลาคม 2562) หดตัว 4.5% จากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 แบ่งเป็นบ้านจัดสรรที่ยังเติบโตได้ 2% ขณะที่ คอนโดมิเนียมติดลบมากถึง 12% ทั้งนี้ หากพิจารณาข้อมูลบัญชีสินเช่ือที่อยู่อาศัย ปล่อยใหม่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี2562 จาก ธปท. จะพบว่าการหดตัวของตลาด คอนโดมิเนียมเป็นผลมาจากการกู้ยืมในสัญญาที่ 2 และ 3 ที่ติดลบสูงถึง 26% และ 41% ตามลาดับ ดีเวลลอปเปอร์กำไรวูบ 36% สภาพตลาดที่หดตัวลงก็เป็นภาพใหญ่ที่สะท้อนให้เห็นถึงผลประกอบการของ ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่หดตัวลงเช่นกันโดยหากนับผลประกอบการในช่วงไตรมาส ที่ 2-3 ของผู้พัฒนาอสังหาฯ รายใหญ่ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ พบว่าผู้ประกอบการมี รายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์และกำไรสุทธิในช่วงไตรมาสที่ 2-3 ของปี 2562 เท่ากับ 65,017 ล้านบาท และ 10,560 ล้านบาท หดตัว 24% และ 36% จากปีก่อน โดยเป็นการหดตัวที่ครอบคลุมทั้ง 8 ราย ด้วยผลประกอบการที่ออกมา จึงไม่น่าแปลกที่ตัวแทนของสมาคมผู้ประกอบการอสังหาฯ ในกลุ่มต่างๆ ได้เข้าไปหารือกับ กระทรวงการคลัง และส่งสัญญาณให้ธปท. ผ่อนปรนเกณฑ์ LTV อยู่บ่อยครั้ง 3 ผลกระทบจากมาตรการ LTV  Krungthai COMPASS ประเมินเป็นการเบื้องต้น (Initial Assessment) ว่าการผ่อนปรนเกณฑ์ LTV ของธปท. มีโอกาสที่จะส่งผลให้เกิดผลกระทบใน 3 ประเด็น ด้วยกัน คือ ประเด็นที่ 1 Sentiment ของตลาดที่อยู่อาศัยจะปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น เพราะหากนับตั้งแต่ปลายปี 2562 ถึง ต้นปี 2563 ตลาดที่อยู่อาศัยของไทยล้วน เผชิญหน้ากับปัจจัยบวกใหญ่ๆ ถึง 3 ข่าว ตั้งแต่ 1.การออกมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ ของรัฐบาล เช่น มาตรการลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนอง และ มาตรการบ้านดีมีดาวน์ ในช่วงเดือน พฤศจิกายน -ธันวาคม 2562 ต่อด้วย 2.ปลายเดือน ธันวาคม​ 2562 รัฐบาลให้ความชัดเจนเกี่ยวกับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยระบุให้ที่อยู่อาศัย นั้นเสียภาษีในอัตรา 0.02% 3.การผ่อนเกณฑ์ LTV ของธปท. ในกลางเดือน มกราคม 2563 แสดงให้เห็นว่าภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรับรู้ถึงปัญหาที่เกิด ขึ้นกับตลาดที่อยู่อาศัยในปีที่ผ่านมา ประเด็นที่ 2 การผ่อนเกณฑ์ให้ผู้กู้สินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยมูลค่าต่ำกว่า 10 ล้านบาท เป็นสัญญาที่ 2 ที่ผ่อนชำระสัญญา 1 มาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ปี สามารถใช้เงิน ดาวน์ 10% ได้ อาจทำให้ความต้องการซื้อคอนโดมิเนียมในปี 2563 กลับมาราว 4,500 ล้านบาท จากตลาดคอนโดมิเนียมในปี 2562 ที่มีโอกาสติดลบ -11% (คิดเป็น มูลค่า 31,480 ล้านบาท) แบ่งเป็นการหดตัวของผู้กู้ในสัญญา 1 ที่ -1% (1,805 ล้าน บาท) สัญญา 2 ที่ -26% (13,466 ล้านบาท) และสัญญา 3 ขึ้นไปที่ -41% (15,700 ล้านบาท) Krungthai COMPASS ประเมินว่าเหตุผลที่ทำให้การกู้ในสัญญาที่ 2 ติด ลบมาจากข้อกำหนดของเกณฑ์LTVเดิมที่ระบุให้ผู้กู้ต้องผ่อนชำระสัญญาที่1มาก่อน เป็นระยะเวลา 3 ปี ถึงจะสามารถใช้เงินดาวน์ 10% ในการกู้ซื้อสัญญาที่ 2 ได้ เกณฑ์ ดังกล่าวส่งผลผู้กู้สัญญาที่ 1 ในช่วงปี 2559-2561 มีความต้องการกู้สัญญาที่ 2 ในปี 2562 ลดลง จากข้อสรุปดังกล่าว Krungthai COMPASS ประเมินว่าการผ่อนปรนเกณฑ์ LTV จาก 3 ปี ลงมาเหลือ 2 ปี นั้นอาจช่วยให้ความต้องการกู้ซื้อที่อยู่อาศัยในสัญญา ที่ 2 กลับมาได้ประมาณ 1 ใน 3 จากขนาดของการหดตัวทั้งหมดในปี 2562 คิดเป็น มูลค่าเกือบ 4,500 ล้านบาท ซึ่งสามารถเป็น Upside ให้กับตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2563 ได้ราว 0.8% ประเด็นที่ 3 เงื่อนไขที่ผ่อนปรนขึ้น อาจทำให้การลงทุนระยะยาวในคอนโดมิเนียมมีความน่าสนใจมากขึ้นและอาจช่วยทดแทน Demand จากต่างประเทศ ที่ลดลงจากการแข็งค่าของเงินบาท ในปี 2562 ที่ผ่านมา Krungthai COMPASS พบว่าสัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมของผู้ซื้อชาวจีนซึ่งคิดเป็นครึ่งหนึ่ง ชาวต่างชาติทั้งหมดที่ซื้อคอนโดมิเนียมในไทยหดตัวลงอย่างเห็นได้ชัดจาก11%ของ มูลค่าโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมของไทยใน มกราคม 2562 เหลือ 8% ในธันวาคม 2562 โดยมีสาเหตุหลักมาจากการแข็งค่าเงินบาทเมื่อเปรียบเทียบกับเงินหยวนในช่วงเวลา เดียวกัน    ได้ส่งผลต่อเนื่องให้ราคาที่อยู่อาศัยในไทยปรับตัวสูงขึ้นจากวันทำ สัญญาจองโดยเฉลี่ยถึง 9% บทสรุปผลกระทบมาตรการ LTV อย่างไรก็ดี Krungthai COMPASS มองว่าการผ่อนปรนเกณฑ์ LTV ในครั้งนี้ อาจช่วยให้กลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการลงทุนคอนโดมิเนียมระยะยาวกลับมาให้ความสนใจ มากขึ้นเนื่องจากการลงทุนคอนโดมิเนียมในไทยที่ให้ผลตอบแทนราว 2.7-6.6%  ก็ ยังเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกของการลงทุนในยุคดอกเบี้ยต่ำของคนไทย ประเด็นนี้อาจ ช่วยทดแทน demand จากต่างประเทศโดย จีนที่ลดลง Krungthai COMPASS มองว่าตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2563 จะได้รับประโยชน์จากมาตรการต่างๆ ของภาครัฐ โดยเฉพาะ มาตรการลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนอง ซึ่งทำให้มีโอกาสที่ตลาดจะกลับมาฟื้นตัวได้ 5.5% จากปีก่อนหน้า โดยมีการผ่อนปรนเกณฑ์ LTV ของธปท. เป็น Upside สำคัญที่อาจทำให้อัตราการเติบโตของตลาดเร่งขึ้นไปได้อีก 0.8%        
สิงห์ เอสเตท ลงทุนกว่า 73,000 ล้าน เดินหน้า 4 ธุรกิจหลัก สร้างรายได้ 30,000 ล้านในปี 2567

สิงห์ เอสเตท ลงทุนกว่า 73,000 ล้าน เดินหน้า 4 ธุรกิจหลัก สร้างรายได้ 30,000 ล้านในปี 2567

"สิงห์ เอสเตท" ดำเนินธุรกิจมาถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลา 5 ปีแล้ว นับตั้งแต่เปลี่ยนชื่อมาจาก บริษัท รสา พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ในช่วงปี 2557     โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัทมีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง แม้ว่าในช่วงปีที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานในธุรกิจที่อยู่อาศัย อาจจะไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เนื่องจากผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยพลาดจากเป้าหมายไปประมาณ 30% คาดว่าจะทำรายได้ประมาณ 7,500 ล้านบาท ซึ่งภาพรวมในปี 2562 บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้รวมน่าจะทำได้ 16,000 ล้านบาท   สิงห์เอสเตท ตั้งเป้าทำรายได้ 20,000 ล้าน อย่างไรก็ตาม ในปี 2563 สิงห์ เอสเตท คาดว่าจะกลับสร้างการเติบโต พร้อมกับเป้าหมายการทำรายได้ 20,000 ล้านบาท ซึ่งมีแผนการดำเนินธุรกิจในกลุ่ม คือ   1.แผนการเปิดโครงการใหม่ 6 โครงการ มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท ซึ่งโครงการคอนโดมิเนียมจะมีแบรนด์ใหม่ 2 โครงการ และโครงการแนวราบจะมีแบรนด์ใหม่ 3 โครงการ และมีเป้าหมายยอดขาย 8,000 ล้านบาท พร้อมกับรับรู้รายได้จากการโอนโครงการเอส 36 จากแบ็กล็อกที่มีมูลค่า 6,000 ล้านบาท   2.ธุรกิจคอมเมอร์เชียล หรืออาคารสำนักงาน จะเน้นการพัฒนาโครงการในทำเลที่เหมาะสม โดยไม่เน้นทำเลใจกลางเมืองเป็นหลัก ส่วนธุรกิจโรงแรมยังคงขยายอย่างต่อเนื่อง โดยมีแผนใช้เงินลงทุนปีนี้ 5,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนาและซื้อกิจการในส่วนอาคารสำนักงานและโรงแรม   3.การรับรู้รายได้จากโครงการในมัลดีฟส์มูลค่า 2,000 ล้านบาท เนื่องจากโรงแรมในโครงการคอรสโร้ดส์ เฟสแรก ได้เปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบ   4.การขยายธุรกิจใหม่ ที่สร้างความยั่งยืนและช่วยเหลือสังคม ได้แก่ ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Business)   นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้จะเป็นปีที่สำคัญในการบรรลุเป้าหมายรายได้ 20,000 ล้านบาท หลังจากทำตามเป้าหมาย การพัฒนาบริษัทเป็นโกลบอลคอมปานี ได้สำเร็จมา 3 ปีแล้ว ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีขนาดใหญ่ขึ้นมากมีมูลค่าสินทรัพย์ถึง 67,000 ล้านบาท และตามแผนในระยะ 5 ปีข้างหน้า หรือภายในปี 2567 สินทรัพย์น่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 100,000 ล้านบาท   ส่วนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ มีปัจจัยที่ถือว่าเป็นความเสี่ยงที่จะกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ มี 2 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1.ปัญหาไข้หวัดโคโรน่า ซึ่งผลกระทบจะมากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับระยะเวลาของการแพร่ระบาด แต่คาดว่าจะมีระยะเวลาการแพร่ระบาดไม่นาน และ 2.ปัญหาการเมืองภายในประเทศ โดยเฉพาะการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี จะดำเนินการได้ตามแผนหรือไม่ ส่วนปัจจัยบวกสถานการณ์ปัจจุบันอยู่ในภาวะ ค่าเงินบาทหากอ่อนค่ากกว่านี้ ในระดับ 35 บาทต่อดอลล่าห์  จะส่งผลบวกต่อตลาดนักท่องเที่ยว ซึ่งจะเข้ามาเพิ่มมากขึ้น แผน 5 ปี “สิงห์เอสเตท” ลงทุนกว่า 73,000 ล้าน 5 ปีข้างหน้า จะมุ่งขยายใน 3 แกนหลัก ได้แก่ ธุรกิจที่อยู่อาศัย ธุรกิจโรงแรม และธุรกิจคอมเมอร์เชียล ด้วยงบลงทุนรวม 68,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันจะขยายธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่ธุรกิจอสังหาฯ ด้วย โดยเป็นธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ซึ่งคาดว่าจะใช้งบประมาณการลงทุนประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท รวมงบประมาณการลงทุนทั้ง 4 กลุ่มประมาณ 73,000-74,000 ล้านบาท แบ่งเป็น   1.ธุรกิจที่อยู่อาศัย เตรียมลงทุน 37,500 ล้าบาท เพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย 30 โครงการ   2.ธุรกิจคอมเมอร์เชียล ซึ่งเป็นพื้นที่สำนักงานให้เช่า เตรียมลงทุน 8,500 ล้านบาท เพื่อพัฒนา 4 โครงการ ซึ่งอาจจะซื้อหรือพัฒนาขึ้นใหม่ แต่บริษัทต้องการซื้อโครงการมาพัฒนาต่ำ เนื่องจากได้รับกระแสเงินสดเข้ามาทันที แต่หากพัฒนาขึ้นใหม่ จะมีผลดีในด้านผลตอบแทนที่สูง จากปัจจุบันมีอาคารสำนักงานให้เช่า 3 อาคาร รวม 140,000 ตารางเมตร คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 300,000 ตารางเมตรในอีก 5 ปีข้างหน้า   3.ธุรกิจโรงแรม เตรียมงบประมาณการลงทุน 22,000 ล้านบาท  เพื่อพัฒนาและซื้อโรงแรมมาพัฒนาต่อ 41 แห่ง ในพื้นที่ด้านการท่องเที่ยว  ตามเป้าหมายจะมีโรงแรมรวม 80 แห่ง มีจำนวนห้อง 8,000 ห้อง ภายในปี 2568 จากปัจจุบันมีโรงแรม 39 แห่ง จำนวน 4,647 ห้อง   4.ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน เตรียมงบประมาณ 5,000-6,000 ล้านบาท โดยจะร่วมลงทุนกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจพลังงาน โดยร่วมกันพัฒนาธุรกิจและสร้างการเติบโต เช่น ธุรกิจพลังงานจากการกำจัดขยะ  ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาและพัฒนา “สิงห์ เอสเตท” วางเป้าหมายรายได้ 30,000 ล้าน ตามแผนในระยะ 5 ปี บริษัทวางเป้าหมายรายได้ 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจที่อยู่อาศัย 15,000 ล้านบาท ทั้งโครงการแนวราบและคอนโดฯ  ส่วนธุรกิจคอมเมอร์เชียลและโรงแรม วางเป้าหมายรายได้ 15,000 ล้านบาท ส่วนธุรกิจพลังงานหมุนเวียน อาจจะมีรายได้ไม่มากนัก เพราะบริษัทมุ่งเน้นการสร้างความยั่งยืนในการดำเนินธุรกิจ และช่วยเหลือสังคม โดยจะร่วมกับพันธมิตรในการพัฒนา และสร้างการเติบโต
5 แนวคิดเสนาฯ​ กลยุทธ์ฝ่าวิกฤตอสังหาฯ  สู้เป้าหมายยอดขาย 11,500 ล้าน

5 แนวคิดเสนาฯ​ กลยุทธ์ฝ่าวิกฤตอสังหาฯ สู้เป้าหมายยอดขาย 11,500 ล้าน

“SENA” วางแผนธุรกิจปี 2020  ด้วยกลยุทธ์ “HOW TO THINK” 5 แนวคิดพิชิตตลาดอสังหาฯ  เตรียมเปิดเบื้องต้น 10 โครงการ มูลค่ารวม 7,500 ล้านบาท  พร้อมโครงการร่วมทุน กับ “ฮันคิว ฮันชิน” ต่อเนื่อง สู่พอร์ตโครงการแนบราบ​ บุกตลาดครั้งแรก ตั้งเป้ายอดขาย 11,500 ล้านบาท และยอดโอน 10,600 ล้านบาท   ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนธุรกิจปี 2020 ว่า ได้เตรียมเปิดโครงการใหม่ ทั้งหมด 10 โครงการ รวมมูลค่า 7,500 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวสูง 6 โครงการและแนวราบ 4 โครงการ ตั้งเป้ายอดขาย 11,500 ล้านบาทและเป้ารายได้ 10,600 ล้านบาท โดยวาง 5 แนวคิดหลักในการรุกธุรกิจอสังหาฯปี 2020 เพื่อให้ได้ตามเป้าหมายและการเติบโตของบริษัท ภายใต้วิสัยทัศน์  “HOW TO THINK”  ได้แก่ 1.Think of Real Demand เจาะตลาดกลุ่มเรียลดีมานด์ บริษัทจะเน้นกลุ่มเป้าหมายหลัก เป็นกลุ่มเรียลดีมานด์ (Real Demand) คนซื้ออยู่จริง โดยใช้ฐานข้อมูลหลายส่วนมาค้นหาทำเลที่เหมาะสม ทั้งโครงข่ายรถไฟฟ้าที่เกิดขึ้นมากมาย แต่ต้องเลือกสถานีที่เหมาะสม โดยต้องเป็นเขตที่มีแหล่งงาน มีคนอพยพเข้ามาอยู่อาศัย ผังเมืองเหมาะสมและซัพพลายยังไม่มากเกินไป โดยเฉพาะตลาดแนวราบ กลุ่มระดับราคา 3-5 ล้านบาท และแนวสูง ระดับราคา 1- 3 ล้านบาท ยังเป็นระดับราคาที่มีความนิยมและมีกำลังซื้อที่ดี 2.Re Think SENA CORE COMPETENCY IN THE PAST ONTO THE PRESENT การนำเอาพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ โซลาร์เซลล์ เข้ามาช่วยสร้างบ้านประหยัดพลังงาน การพัฒนาโครงการของเสนา ไม่ได้ตอบสนองกลุ่มลูกค้าในแบบเดิม แต่เพื่อให้เป็นไปตาทเทรนด์ของโลกในยุคปัจจุบัน ที่มุ่งเน้นการประหยัดพลังงาน การหาพลังงานทดแทน บริษัทจึงได้ได้พัฒนา “หมู่บ้านเสนาโซลาร์” เพราะต้องการตอบสนองความต้องการของลูกค้า มากกว่าแค่การเป็นแค่บ้านประหยัดพลังงานเท่านั้น 3.Think of SENA INNOVATION  “นวัตกรรมและเทคโนโลยี เสนาฯ ได้นำเอานวัตกรรมและเทคโนโลยี เข้ามาผสมผสานกับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในหลากหลายรูปแบบ  โดยเฉพาะเรื่องของธุรกิจโซลาร์  จึงทำการติดโซลาร์ให้กับทุกโครงการของเสนา เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตควบคู่กับการเปลี่ยนโลกให้น่าอยู่ ปัจจุบันมีการติดตั้งให้กับบ้านทุกหลังรวม 400 หลัง ประมาณ 1,000 กิโลวัตต์ 4.Think of SENA Experience “การสร้างประสบการณ์ที่ชัดเจนและแตกต่าง ในภาวการณ์แข่งขันปัจจุบัน จะต้องแข่งขันกันด้วนความแตกต่าง เพราะต้องยอมรับว่าท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน การแข่งขันเรื่องราคาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้  ตัวแปรที่จะช่วยขับเคลื่อนภาพลักษณ์ของเสนาให้มีความชัดเจน และมีจุดต่างมากยิ่งขึ้น เสนามี “MADE FROM HER” แนวคิดหลักที่นำความคิดละเอียดหลายชั้นของผู้หญิงมาพัฒนาสินค้าและบริการ ในปีนี้สิ่งที่จะทำเพิ่มเติมคือ การแข่งขันด้านราคาหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะตลาดบ้านเรียลดีมานด์ แต่การแข่งขันด้านราคา ไม่มีความแตกต่างก็ตาย ความต่าง คือประสบการณ์ที่ลูกค้าได้รับจากสินค้าเรา โดยราคายังแข่งขันได้   -ให้ความสำคัญกับ Customer Journey ที่มีความแตกต่างของแต่ละเซกเม้นท์ -ปรับแบรนด์พอร์ตโฟลิโอ (Brand Portfolio) สร้างแบรนด์คอนโดใหม่ “SLASH” “SENA KITH” และแบรนด์บ้านใหม่ “SENA VILLE” “SENA VILLAGE” “SENA VELA” “SENA VIVA” เพื่อให้สอดรับกับกลุ่มเป้าหมายแต่ละเซ็กเมนต์ เน้นกลุ่มลูกค้า GEN Y – First Jobber -ดีไซน์เว็บไซต์และแอพพลิเคชั่น 360 องศาให้ทันสมัยและง่ายต่อเข้าถึงข้อมูล 5.Think of Business Model “โมเดลธุรกิจและพันธมิตรที่แข็งแกร่ง” ปัจจัยสนับสนุนหลักทุกสเต็ปต์ของการเติบโตของเสนาฯ นั้น ส่วนหนึ่งมาจากการที่มีพันธมิตรที่แข็งแกร่ง บริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ คอร์ป ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา ในช่วงเวลา 3 ปี ทั้งหมด 9 โครงการ และปีนี้ เสนา ฮันคิว ฮันชิน เตรียมรุกตลาด “ทาวน์โฮม” ร่วมกันเป็นครั้งแรก รวมถึงคอนโดฯ ต่ำกว่าล้านบาท และคอนโดฯ ราคา 1- 1.5 ล้านบาท พร้อมนำแนวคิด Geo fit+ จากญี่ปุ่นมาปรับใช้กับสินค้าและการบริการ นอกจากนี้มีการ จัดตั้งบริษัท ทีเค นวกิจ จำกัด บริษัทรับเหมาก่อสร้างพัฒนาคอนโดฯ โลว์ไรส์ของบริษัท เพื่อควบคุมต้นทุน และระยะเวลาก่อสร้างได้อย่างมีประสิทธิภาพ   เสนาฯ ร่วมกับฮันคิวฯ ทำโครงการร่วมกันมา 13 โครงการ มูลค่า 37,000 ล้านลาท วันนี้โครงการจะไม่อยู่แค่คอนโดฯ แล้ว ต้องไปสู่เรียลดีมาน์ในประเภทอื่นด้วย   อย่างไรก็ตาม ทางเสนาฯ เตรียมความพร้อมรับมือกับการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เป็นทั้งโอกาสและวิกฤตต้องปรับตัวให้ทัน Digital Disruption ซึ่งแม้ภาพรวมตลาดอสังหาฯจะเต็มไปด้วย Perfect Storm (พายุที่สมบูรณ์แบบมากลูกหนึ่ง) แต่ด้วยกลยุทธ์ของบริษัทที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดทุกเรื่อง ศึกษาเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆตลอดเวลาเพื่อนำมาพัฒนาสินค้าและบริการให้มีคุณภาพออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับพันธมิตรชั้นนำที่เข้ามามีส่วนช่วยผลักดันให้บริษัทเติบโต จึงทำให้มั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอนในปี 2020  
วิเคราะห์ LTV หลักเกณฑ์ใหม่ ดีต่อตลาดอสังหาฯ แค่ไหน-ใครได้ประโยชน์

วิเคราะห์ LTV หลักเกณฑ์ใหม่ ดีต่อตลาดอสังหาฯ แค่ไหน-ใครได้ประโยชน์

นับตั้งแต่วันที่ 20 มกราคม 2563 เป็นต้นไป การปรับหลักเกณฑ์ LTV ใหม่ ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้มีผลบังคับใช้  การเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ในครั้งนี้ ธปท. ต้องการสนับสนุนให้ประชาชาชน สามารถกู้ซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยจริงได้ง่ายขึ้น   เพราะดูเหมือนว่าหลังจากการบังคับมาตรการ LTV อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2562 เป็นต้นมา ตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็ชะลอตัวลง  แม้ภาครัฐจะออกมาตรการมาช่วยกระตุ้น  แต่ก็ไม่ได้ส่งผลให้ภาพรวมตลาดดีขึ้น   สำหรับหลักเกณฑ์ใหม่ ของมาตรการ LTV ที่ธปท. ปรับและบังคับใช้นั้น ทางนางสาวนพมาศ ฮวบเจริญ นักวิเคราะห์อาวุโส Evonomiv Intelligenct Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ได้จัดทำบทวิเคราะห์เรื่อง การผ่อนปรน LTV ช่วยกระตุ้นตลาดที่อยู่อาศัยอย่างจำกัด โดยแนวราบจะได้ประโยชน์มากกว่าคอนโดมิเนียม รายละเอียดหลักเกณฑ์ LTV ใหม่    1.กลุ่มผู้กู้ซื้อบ้านสัญญาแรกราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท สามารถกู้เพิ่มได้อีก 10% ของมูลค่าหลักประกัน เพื่อใช้ซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน หรือสิ่งจำเป็นในการเข้าอยู่อาศัย โดยที่เพดาน LTV ยังคงไว้ที่ 100% ซึ่งผ่อนปรนขึ้นจากเกณฑ์ LTV เดิมที่เริ่มใช้ในเดือนเมษายน 2562  ที่วงเงินกู้สินเชื่อบ้านรวมสินเชื่อ Top-up (สินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือ สินเชื่อ Top-up  หมายถึง สินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือจากเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งมีที่อยู่อาศัยนั้นเป็นหลักประกัน เช่น เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น) ต้องไม่เกิน 100% ของมูลค่าหลักประกัน   นอกจากนี้ ธปท. ยังได้มีการผ่อนปรนเกณฑ์การคำนวณความเสี่ยงเพื่อคำนวณเงินกองทุนให้กับสินเชื่อบ้านสัญญาแรกด้วย ในกรณีให้สินเชื่อที่วงเงิน 100% ของมูลค่าบ้าน สถาบันการเงินจะคำนวณน้ำหนักสินทรัพย์เสี่ยงด้านเครดิตที่ 35% สำหรับวงเงินสินเชื่อบ้านสัญญาแรกที่ 100% ของมูลค่าบ้าน และหากมีการให้วงเงิน 10% เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ก็จะใช้น้ำหนักที่ 75% เฉพาะส่วนวงเงิน 10%  แต่หากเป็นเกณฑ์เดิม สถาบันการเงินต้องมีการคำนวณน้ำหนักสินทรัพย์เสี่ยงฯ ในวงเงินสินเชื่อทั้งหมดที่ 75%  หากสถาบันการเงิน ให้สินเชื่อในวงเงินมากกว่า 95% ของมูลค่าบ้านแนวราบ หรือ 90% ของมูลค่าคอนโดมิเนียม   รูปเกณฑ์ LTV สำหรับการกู้ซื้อบ้านเพื่ออยู่อาศัยจริง ถูกผ่อนปรนให้ใกล้เคียงกับเกณฑ์ LTV เดิม ในช่วงก่อนหน้าเดือนเมษายน 2562 2.กลุ่มผู้กู้ซื้อบ้านสัญญาแรกราคาเกิน 10 ล้านบาท สามารถกู้ได้ที่วงเงินสินเชื่อสูงสุดที่ 90% ของมูลค่าที่อยู่อาศัย หรือวางเงินดาวน์ขั้นต่ำเพียง 10% จากเกณฑ์เดิมที่ต้องวางเงินดาวน์ 20%   3.กลุ่มผู้กู้ซื้อบ้านสัญญาสองราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท ยังคงวงเงินสินเชื่อสูงสุดที่ 80-90% เหมือนเดิม แต่ปรับลดเกณฑ์การเข้าข่ายที่ได้รับ LTV ที่ 90% สำหรับการกู้ซื้อบ้านสัญญาที่ 2 จากเดิมต้องผ่อนชำระสัญญาแรกมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี เป็น 2 ปี รูป ธปท.ผ่อนปรนเกณฑ์การคำนวณความเสี่ยง เพื่อคำนวณเงินกองทุนให้กับสินเชื่อบ้านสัญญาแรกราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท  บ้านแนวราบสัญญาแรก ได้ประโยชน์มากสุด บทวิเคราะห์ได้รายงานว่า ที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบ ได้รับประโยชน์จากมาตรการ  มากกว่าที่อยู่อาศัยแบบคอนโดฯ เพราะจากจำนวนบัญชีสินเชื่อปล่อยใหม่ ของธนาคารพาณิชย์ (ธพ.) พบว่า ผู้ที่ซื้อบ้านซึ่งเป็นสัญญาแรก หรือบ้านหลังแรกนั้น เป็นประเภทโครงการแนวราบสัดส่วน 70% เป็นคอนโดฯ สัดส่วน 30% หากถ้าพิจารณากลุ่มที่ซื้อโครงการแนวราบ ก็ยังพบว่าเป็นสัญญาแรกเกือบ 90% คนซื้อบ้านแนวราบสัญญา 2 หรือบ้านหลังที่ 2 เพียง 10%  แต่ถ้าพิจารณากลุ่มคนที่ซื้อโครงการคอนโดฯ จะพบว่าเป็นกลุ่มซื้อบ้านสัญญาแรกสัดส่วนน้อยกว่า คือ ประมาณ 75% ที่เหลืออีก 25% เป็นคนซื้อสัญญาที่สอง หรือซื้อเป็นบ้านหลังที่สองนั้นเอง อีกกลุ่มหนึ่งที่ได้รับประโยชน์จากการปรับหลักเกณฑ์ LTV ใหม่ คือ กลุ่มที่อยู่อาศัยในตลาดราคากลาง-ล่าง เนื่องจากเพดานของวงเงินสินเชื่อของกลุ่มซื้อบ้านราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท ถูกผ่อนปรน ให้มีระดับใกล้เคียง ก่อนที่มาตรการ LTV จะบังคับใช้ในวันที่ 1 เมษายน 2562 ทำให้การซื้อบ้าน ผู้กู้ไม่ต้องเตรียมเงินมากนัก เพราะกลุ่มคนกลุ่มระดับล่าง รวมถึงกลาง-ล่าง มักจะมีเงินออมในระดับต่ำ 2 เหตุผลคนซื้อบ้านสัญญาแรกได้ประโยชน์ 1.เพดานวงเงินสินเชื่อที่มากขึ้น ของการกู้ซื้อบ้านสัญญาแรก เปิดโอกาสให้ผู้กู้ในสัญญาแรก มีโอกาสได้รับเงินสินเชื่อที่มากขึ้น ซึ่งครอบคลุมไปถึงสินเชื่อที่ใช้ซื้อเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน 2.ธปท. ไม่ใช่แค่ผ่อนปรนเกณฑ์ LTV เท่านั้น แต่ยังผ่อนปรนเกณฑ์การคำนวณความเสี่ยง เพื่อคำนวณเงินกองทุนให้กับสินเชื่อบ้านสัญญาแรก ของธนาคาพาณิชย์ จึงช่วยลดต้นทุนการสำรองเงินกองทุน  ของธนาคารพาณิชย์ลงได้บ้าง ซึ่งต้นทุนที่ลดลง มีโอกาสส่งผ่านไปสู่ผู้กู้ซื้อบ้านในสัญญาแรกได้ โดยเฉพาะกลุ่มผู้กู้ที่มีความเสี่ยงต่ำ แต่กลุ่มผู้ซื้อมีความเสี่ยงสูง อาจจะไม่ได้รับประโยชน์นี้มากนัก ปรับเกณฑ์ LTV ใหม่ช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ น้อย หากพิจารณาภาพรวมของตลาดอสังหาฯ หลังจากการปรับเกณฑ์ LTV ใหม่นั้น บทวิเคราะห์ ระบุว่า มีโอกาสค่อนข้างน้อย ที่ความต้องการที่อยู่อาศัย จะกลับไปเติบโตเหมือนก่อนที่มาตรการ LTV จะบังคับใช้เมื่อต้นเดือนเมษายน 2562 นั่นหมายความว่า การปรับเกณฑ์ LTV ใหม่ช่วงกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ซึ่งสาเหตุมาจาก 4 ประเด็นสำคัญ ได้แก่ 1.การปรับเพดาน LTV ครั้งนี้ไม่ได้มีผลต่อกลุ่มที่อยู่อาศัยสัญญากู้ที่สองขึ้นไป ช่วงก่อนที่เกณฑ์ LTV จะมีผลบังคับใช้ในเดือนเมษายน 2562 ในช่วงปี 2560-2561 ตลาดที่อยู่อาศัยขยายตัวดี  ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการขยายตัวสูงของที่อยู่อาศัยสัญญากู้ที่สองขึ้นไป ซึ่งธปท. มองว่าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่กู้ซื้อเพื่อการเก็งกำไรหรือการลงทุนมากกว่าเพื่ออยู่จริง เนื่องจากข้อมูลของ ธปท. พบว่ามากกว่าครึ่งของผู้กู้ซื้ออาคารชุดสองสัญญาพร้อมกันมีระยะห่างระหว่างสัญญาแรกและสองไม่ถึง 1 ปี ทำให้ ธปท. ยังคงเพดาน LTV สำหรับการกู้ซื้อที่อยู่อาศัยสัญญาสองเช่นเดิม (โดยผ่อนปรนเฉพาะเกณฑ์การเข้าข่ายได้ LTV 90% สำหรับการกู้ซื้อบ้านสัญญาสอง ซึ่งระยะห่างระหว่างสัญญาแรกและสองลดลงเป็น 2 ปี จาก 3 ปี) 2.กำลังซื้อจากกลุ่มที่ซื้อเพื่อลงทุนและเก็งกำไรลดลง จากที่ผ่านมา กลุ่มที่ซื้อเพื่อลงทุนเป็นกลุ่มหลัก ที่ผลักดันการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัย แต่หลังจาก LTV บังคับใช้ตั้งแต่เดือนเมษายน 2562 เป็นต้นมา แนวโน้มราคาของที่อยู่อาศัยที่ชะลอตัวลง โดยเฉพาะคอนโดฯ  ที่ปรับตัวลดลง  ทำให้ความน่าสนใจของตลาดที่อยู่อาศัยในด้านการลงทุนมีน้อยลง ซึ่งอีไอซีประเมินว่าการผ่อนปรนในครั้งนี้ น่าจะไม่มากพอผลักดันให้ราคาของคอนโดฯ ขยับขึ้นได้ ส่วนหนึ่งมาจากผู้ที่ได้ประโยชน์ส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มแนวราบมากกว่าคอนโดฯ 3.กำลังซื้อของผู้ซื้อที่อยู่อาศัยทั้งคนไทยและต่างชาติที่อ่อนแอ จากภาวะเศรษฐกิจทั้งไทยและเทศที่ชะลอตัวลง  ความเชื่อมั่นที่ยังอยู่ในระดับต่ำ (โดยในเดือนธันวาคม 2562  ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค เกี่ยวกับการซื้อบ้านหลังใหม่ ที่ปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำสุดนับตั้งแต่จัดเก็บข้อมูลในปี 2546) และภาระหนี้ของครัวเรือนที่ยังสูง รวมถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่า 4.สถาบันการเงินยังมีแนวโน้มระมัดระวังการให้สินเชื่อของผู้กู้รายย่อย เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัว จะส่งผลกระทบต่อการเพิ่มขึ้นของหนี้เสียของภาคครัวเรือน โดยเฉพาะกลุ่มที่มีความอ่อนไหวต่อปัจจัยเสี่ยง ที่มีผลต่อรายได้และการจ้างงาน ซึ่งสะท้อนได้จากข้อมูลของ ธปท. เกี่ยวกับผลทดสอบภาวะวิกฤต  (Stress Test) ของภาคครัวเรือนไทย  ซึ่งพบว่าในปี 2560  สัดส่วนของครัวเรือนมีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้ (จากเดิมที่ไม่มีความเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้) มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นจากในอดีต หากรายได้ของครัวเรือนปรับลดลง 20% โดยสัดส่วนของครัวเรือนที่มีความเสี่ยงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มรายได้   นอกจากนี้ ธนาคารพาณิชย์ยังต้องมุ่งเน้นการให้สินเชื่อสำหรับครัวเรือนอย่างมีความรับผิดชอบตามแนวทางปฏิบัติที่ ธปท.ได้ให้คำแนะนำ โดยเฉพาะการพิจารณารายได้คงเหลือของผู้กู้หลังจ่ายค่าผ่อนชำระหนี้ทุกประเภทกับสถาบันการเงินของตนเอง และผู้ให้บริการอื่น (Residual Income) ซึ่งอาจมีผลต่อการพิจารณาการให้สินเชื่อ โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้ต่ำ   รูปสินเชื่อบ้านของสถาบันการเงินเฉพาะกิจขยายตัวสูงในปีที่ผ่านมา ขณะที่ธพ.ระมัดระวัง   อย่างไรก็ตาม ตลาดที่อยู่อาศัยจะยังได้รับแรงสนับสนุนจากสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFI) ที่จะเข้ามามีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในตลาดสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยต่อเนื่องจากปีที่แล้ว เนื่องจากแนวนโยบายของภาครัฐที่ต้องการให้ SFI เข้ามาช่วยผลักดันตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงที่เศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะลอตัว เช่น มาตรการสินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำ เป็นต้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -มาตรการ LTV ผลกระทบตกที่ใคร? -อสังหาฯ ปีหน้ายังเหนื่อย เพราะ LTV มาผิดเวลา?   -เปิดข้อมูลอินไซต์ ตลาดคอนโดฯ หลังใช้มาตรการ LTV