Tag : News

2376 ผลลัพธ์
เปิดราคาบ้าน-คอนโดฯ ไตรมาส 3 ปรับเพิ่มทั่วหน้า บิ๊กอสังหาฯ อัดของแถมเรียกยอดขาย

เปิดราคาบ้าน-คอนโดฯ ไตรมาส 3 ปรับเพิ่มทั่วหน้า บิ๊กอสังหาฯ อัดของแถมเรียกยอดขาย

แม้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ปีนี้ จะลดระดับความร้อนแรง จากมาตรการ LTV ความกังวลใจต่อภาวะเศรษฐกิจ และกำลังซื้อชะลอตัว  ทำให้ผู้ประกอบการต้องปรับแผนเปิดตัวโครงการใหม่ ทั้งชะลอ ทั้งเลื่อนกำหนดการเปิด จากเดิมที่ตั้งใจเอาไว้  เป็นปรากฎการณ์ที่เห็นได้ชัด ว่าผู้ประกอบการทั้งหลายไม่มั่นใจตลาด หากปล่อยของออกมามากๆ แล้วจะขายได้หมด   แต่แม้โครงการใหม่ที่ออกมาทำตลาด ไม่ได้เป็นไปตามที่บอกไว้เมื่อต้นปี แต่สิ่งหนึ่งที่ยังไม่เปลี่ยนแปลง คือ การเพิ่มขึ้นของราคาที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะเป็นบ้านหรือคอนโดมิเนียม ขยับขึ้นทุกๆ โครงการ เหตุผลสำคัญ คงเป็นเพราะราคาที่ดินไม่ได้ถูกลง แถมจะปรับเพิ่มขึ้นมากเสียด้วย เพราะที่ดินมีจำกัดยิ่งในทำเลดีๆ เจ้าของมีสิทธิ์กำหนดราคาขายได้ตามความพอใจ โดยเฉพาะเจ้าของที่ดินที่ไม่ได้เดือดร้อนเรื่องการเงิน ที่ดินแพงก็เลยสะท้อนกลับมาที่ราคาของบ้านหรือคอนโดฯ   แม้ตลาดอสังหาฯ ปีนี้ไม่ค่อยดี แต่ต้นทุนผู้ประกอบการขยับขึ้น ราคาขายจำเป็นต้องปรับสูง ซึ่งอาจจะส่งผลต่อยอดขายที่จะชะลอตัว  สิ่งที่เป็นทางออกของผู้ประกอบการเลือกจะทำ คือ การใช้กลยุทธ์โปรโมชั่น ไม่ว่าจะเป็นของแถม ส่วนลด สิทธิพิเศษต่างๆ เพื่อมาทำให้ลูกค้าเห็นว่า ได้ความคุ้มค่าคุ้มราคา โดยเฉพาะโปรโมชั่นในส่วนของราคา ตอนนี้อาจจะเห็นกันเยอะหน่อย บางโครงการหั่นราคาขายต่ำกว่าช่วงพรีเซลล์ด้วยซ้ำ แต่บางโครงการก็ยังไม่ปรับขึ้นราคาขาย รอให้สภาวะตลาดฟื้นตัวดีกว่านี้ก่อน   คอนโดฯ ใหม่ราคาปรับเพิ่ม 7%   ​​​​​​​​​​​ ข้อมูลล่าสุดจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) โดย ดร. วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร กล่าวในฐานะรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ รายงานว่า ราคาห้องชุดคอนโดฯ ใหม่ ที่อยู่ระหว่างการขาย ในพื้นที่กรุงเทพฯ - จังหวัดนนทบุรี และสมุทรปราการ ปรับเพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  และปรับเพิ่มขึ้น 1.7% เมื่อเทียบกับราคาในไตรมาสก่อนหน้า แม้ว่าราคาที่เพิ่มขึ้นจะเป็นอัตราที่ชะลอตัวลงมาต่อเนื่อง 2 ไตรมาสแล้วก็ตาม     การชะลอตัวของราคาอาจเป็นผลจากการชะลอตัวของภาวะตลาด ซึ่งสอดคล้องกับการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดในไตรมาส 2 ซึ่งลดลง  9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน  และลดลง 27.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  ส่งผลให้ผู้ประกอบการชะลอการปรับขึ้นราคาขาย และใช้วิธีการส่งเสริมการขายในการแข่งขันกันมากขึ้น   ถ้าดูเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ  จะพบว่าราคาคอนโดฯ ใหม่มีการปรับเพิ่มขึ้น 7.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่วนพื้นที่ปริมณฑลทั้ง 2 จังหวัด มีราคาเพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1.3% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาสก่อนหน้า ราคาบ้านจัดสรรปรับเพิ่ม 3.2%    มาดูราคาบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขายกันบ้าง ในช่วงไตรมาสที่ 3 มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นแค่ไหน จากข้อมูล พบว่ามีการปรับราคาเพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า  เมื่อดูตามพื้นที่แล้ว พบว่า ในเขตกรุงเทพฯ มีราคาปรับเพิ่มขึ้น 2.9% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  และเพิ่มขึ้น 0.9% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า   ส่วนในพื้นที่ปริมณฑล 3 จังหวัดที่ทำการสำรวจ ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ มีราคาเพิ่มขึ้น 2.8% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน(YoY) และเพิ่มขึ้น 0.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า      โดยหากแยกเป็นบ้านจัดสรรประเภทบ้านเดี่ยว พบว่า ราคาบ้านเดี่ยว ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 3 ปี 2562 เพิ่มขึ้น 3.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 1.1% เมื่อเทียบกับ ไตรมาสก่อนหน้า เฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ มีราคาเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น  1.3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่วนในพื้นที่ปริมณฑล  ราคาเพิ่มขึ้น 2.5% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  และเพิ่มขึ้น 1.1% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า     ส่วนราคาทาวน์เฮ้าส์ ในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ปรับเพิ่มขึ้น  3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งในพื้นที่กรุงเทพฯ ราคาเพิ่มขึ้น 2.7% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 0.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่พื้นที่ปริมณฑล  ราคาเพิ่มขึ้น 3.2% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน  และเพิ่มขึ้น  0.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า อัดโปรฯ ของแถมกระตุ้นยอดขาย   วิธีการพื้นฐานตามหลักการตลาด 4P กลยุทธ์ P-Promotion มักจะถูกนำมาใช้เพื่อกระตุ้นยอดขาย ให้กับสินค้าและบริการเสมอ ในช่วงที่ตลาดชะลอตัว สำหรับตลาดอสังหาฯ  ก็ไม่หนีหนทางนี้  สำหรับตลาดคอนโดฯ รายการส่งเสริมการขายในไตรมาสนี้ ส่วนใหญ่ 57.4% จะเร่งรัดการตัดสินใจของผู้ซื้อด้วยของแถม เช่น เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า รองลงมา 31.2% เป็นส่วนลดเงินสด และ 11.4% จะช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์ สอดคล้องกับรายการส่งเสริมการขายในไตรมาสก่อน ขณะที่ตลาดบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย  รายการส่งเสริมการขาย ส่วนใหญ่ 45.4% จะจูงใจผู้ซื้อโดยการเสนอด้วยของแถม เช่น เครื่องปรับอากาศ เฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน ปั๊มน้ำ แท้งก์น้ำ  รองลงมา 37.1%จะช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์ และ/หรือ ฟรีค่าส่วนกลาง และ 17.5% จะให้เป็นส่วนลดเงินสด ในขณะที่ไตรมาส 2 ปี 2562 รายการส่งเสริมการขาย ส่วนใหญ่ 59.7% เป็นของแถม เช่น เครื่องปรับอากาศ เฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน ปั๊มน้ำ แท้งก์น้ำ ฯลฯ รองลงมา 27.0% จะให้เป็นส่วนลดเงินสดและ 13.3% จะช่วยผู้ซื้อจ่ายค่าธรรมเนียมในการโอนกรรมสิทธิ์ และ/หรือ ฟรีค่าส่วนกลาง        
LPN ขนอสังหาฯ พร้อมโอน หั่นราคาต่ำกว่าพรีเซลล์ รับสงครามราคา Q4

LPN ขนอสังหาฯ พร้อมโอน หั่นราคาต่ำกว่าพรีเซลล์ รับสงครามราคา Q4

แอล.พี.เอ็น. ทุ่ม 150  ล้าน เปิดแคมเปญ “ความพอดี ที่ดีกว่า” พร้อมโฆษณาแบรนด์ดิ้งครั้งแรกในรอบ 10 ปี  เตรียมขนที่อยู่อาศัยพร้อมโอน 1,000 ล้าน จัดลดราคาพิเศษต่ำกว่าพรีเซลล์  ขณะที่ไตรมาสสุดท้ายยังเดินหน้าเปิดตัวโปรเจ็กต์ใหม่ 4,000-5,000 ล้าน ดันเป้ายอดขายอสังหาฯ ทั้งปี 10,000 ล้าน     นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน)(LPN) เปิดเผยว่า ได้ใช้งบประมาณ 150 ล้านบาท  จัดทำแคมเปญ “ความพอดี ที่ดีกว่า” ผ่านหนังสั้น “Dream Home”  เพื่อสื่อสารการตลาดไปยังกลุ่มผู้บริโภคในปัจจุบัน  ซึ่งถือว่าเป็นการออกแคมเปญโฆษณาแบรนด์ดิ้งครั้งแรกในรอบ 10 ปี เป็นการถ่ายทอดปรัชญาการสร้างบ้านในแบบของบริษัท ที่ต้องการสร้างบ้านที่พอดีกับการใช้ชีวิตจริง  จากปัจจุบันที่ผู้ประกอบการสร้างบ้านและสร้างแบรนด์ที่อยู่อาศัยจนเกินความพอดี  สะท้อนออกมาทำให้ราคาที่อยู่อาศัยสูงเกินไป โดยเฉพาะการปรับขึ้นของราคาที่ดิน  ซึ่งบางทำเลสูงขึ้นมากกว่า 5 เท่าตัว   นอกจากการจัดทำแคมเปญดังกล่าว  บริษัทยังวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในรูปแบบบ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียม รวม 10 โครงการ  มูลค่ารวมประมาณ  15,000-16,000  ล้านบาท ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 ปีนี้ ต่อเนื่องไปจนถึงช่วงต้นปีหน้าด้วย  ซึ่งในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้  จะเปิดตัว 5 โครงการ  รวมมูลค่าประมาณ 4,000-5,000 ล้านบาท  ได้แก่  1. คอนโด High Rise ย่านเตาปูน จำนวน 800 ยูนิต มูลค่า 1,900 ล้านบาท 2. คอนโด Low Rise แจ้งวัฒนะ ซอย 10  จำนวน 476 ยูนิต มูลค่า 600 ล้านบาท 3.โครงการบ้านพักอาศัย ย่านลาดกระบัง ห่างจากสนามบินสุวรรณภูมิ 4 กม. จำนวน 400 แปลง มูลค่า 1,250 ล้านบาท  4.โครงการบ้านแฝด 2 ชั้น และบ้านทาวน์โฮมจำนวน 133 แปลง มูลค่า 750 ล้านบาท ย่านสุขุมวิท 113 และ 5.โครงการย่านพหลโยธิน 54/1 ห่าง BTS สะพานใหม่ (ในอนาคต) ระยะทาง 3 กม. จำนวน 253 แปลง มูลค่า 880 ล้านบาท   ส่วนโครงการที่เปิดตัวในปี 2563 ได้แก่ 1.คอนโด High Rise อาคารด้านหน้าจำนวน 719 ยูนิต  มูลค่า 1,600 ล้านบาท และอาคารด้านหลังจำนวน 788 ยูนิต มูลค่า 1,450 ล้านบาท บริเวณถนนแจ้งวัฒนะ ซอย 17  2. คอนโด Low Rise จำนวน 2,293 ยูนิต มูลค่าประมาณ 2,500 ล้านบาท ย่านเอกชัย แถวเซ็นทรัลพระราม 2  3.โครงการลุมพินี มิกซ์ นราธิวาส-รัชดา คอนโด High Rise มูลค่าประมาณ 3,000 ล้านบาท 4.โครงการ Baan 365 ย่านเมืองทองธานี จำนวน 182 แปลง มูลค่า 1,890 ล้านบาท  และ 5.โครงการบ้านแฝด 2 ชั้น 108 แปลง มูลค่า 650 ล้านบาท ย่านท่าข้าม-พระราม 2 นายโอภาส กล่าวอีกว่า  ในไตรมาสสุดท้ายบริษัทตั้งเป้าหมายยอดขาย 5,000 ล้านบาท  ซึ่งปัจจุบันมีโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ พร้อมโอนกรรมสิทธิ์รวมมูลค่า 8,000 ล้านบาท และกำลังจะก่อสร้างแล้วเสร็จอีก 6,000 ล้านบาท  โดยมียอดขายรอรับรู้รายได้กว่า 4,000 ล้านบาท  ซึ่งเชื่อว่าในปีนี้จะสามารถทำยอดขายโดยรวมทั้งปี 11,000 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 10,000 ล้านบาท เป็นยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม 7,000-7,500 ล้านบาท และยอดขายจากธุรกิจบริการและเช่ามูลค่า 1,000 ล้านบาท   “ตลาดอสังหาฯ  ในไตรมาสสุดท้าย ยังคงแข่งขันรุนแรง โดยเฉพาะการแข่งขันด้านราคา ตอนนี้ทุกคนเอาของที่มีอยู่ออกมาขาย บางโครงการลดราคาต่ำกว่าราคาพรีเซลล์ถึง 15% ก็มี”   โดยในช่วงวันที่ 30 ตุลาคมนี้ บริษัทยังเตรียมจัดแคมเปญการตลาด  โดยใช้กลยุทธ์ราคาพิเศษเพื่อมากระตุ้นยอดขาย ซึ่งจะมีราคาต่ำกว่าราคาพรีเซลล์  โดยเตรียมโครงการที่อยู่อาศัยในทำเลต่างๆ มาจัดแคมเปญ  คิดเป็นมูลค่ายอดขายประมาณ​ 1,000 ล้านบาท  จากโครงการพร้อมโอนกรรมสิทธิ์มูลค่า 8,000 ล้านบาท   แผนธุรกิจในปีนี้ของบริษัท จึงมุ่งเน้นการกระจายฐานรายได้ออกหลายๆ ส่วนเพื่อลดความเสี่ยง โดยยังคงรักษารายได้จากการสร้างและขายอาคารชุดพักอาศัยปีละหมื่นล้านบาท รวมถึงขยายการเติบโตของโครงการบ้านพักอาศัยอย่างน้อย 50% ของอาคารชุดพักอาศัย เมื่อรวมกับรายได้จากธุรกิจบริการอื่นๆ ก็เชื่อว่าจะสร้างรายได้และการเติบโตอย่างต่อเนื่อง    
5 เรื่องน่ารู้ของ AWC บิ๊กอสังหาฯ ตระกูล “สิริวัฒนภักดี” น้องใหม่ในตลาดหุ้นไทย

5 เรื่องน่ารู้ของ AWC บิ๊กอสังหาฯ ตระกูล “สิริวัฒนภักดี” น้องใหม่ในตลาดหุ้นไทย

ในวันที่ 10 ตุลาคม 2562 หุ้นของ  AWC  หรือ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด(มหาชน) จะเริ่มเปิดการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เป็นวันแรก ซึ่ง AWC ถือได้ว่าเป็นหุ้นไอพีโอมีมูลค่าสูงสุด หากคิดจากมูลค่าหลักทรัพย์ หรือ มาร์เก็ตแคป ตามราคาตลาด จากราคาไอพีโอ เท่ากับว่า AWC จะมีมูลค่ามาร์เก็ตแคปถึง 192,000 ล้านบาท    โดยการระดมทุนของ AWC ครั้งนี้ มีหุ้นจำนวน 8,000 ล้านหุ้น สัดส่วนไม่เกิน 25% ราคาหุ้นละ 6.00 บาท จึงเท่ากับว่ามีการระดมทุนรวมมูลค่า 48,000 ล้านบาท ซึ่งวัตถุประสงค์หลักของการระดมทุน จะนำเอาเงินไปในใช้เป็นเงินทุนในการเข้าซื้อกิจการ ใช้ในการลงทุนพัฒนา ปรับปรุงทรัพย์สินของบริษัท และนำเงินไปชำระหนี้เงินกู้ธนาคาร   AWC หลายคนอาจจะรู้จักว่าเป็นบริษัทในเครือทีซีซี (TCC Group) ของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี เจ้าพ่อเบียร์ช้างและธุรกิจในมืออีกสารพัด  ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีทั่วประเทศ  สำหรับ AWC บริหารงานโดยลูกสาวของเสี่ยเจริญ คือ นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ ซึ่ง AWC ถือเป็นหนึ่งบริษัทของกลุ่มทีซีซี ที่มีความน่าสนใจ จากธุรกิจในมือและการเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง  และนี่ คือ 5 ข้อมูลที่น่าสนใจและทำความรู้จักกับบริษัท ก่อนจะเทรดหุ้นตัวนี้เข้าพอร์ต     1.จุดเริ่มต้นของบริษัท เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2519 ที่นายเจริญ และคุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี ได้ก่อตั้งกลุ่มบริษัททีซีซีขึ้น ก่อนจะจัดตั้งบริษัท เฟิร์สท์ เดสทิเนชั่น จำกัด ในปี 2552 ซึ่งเป็นหนึ่งบริษัทสำคัญของกลุ่มทีซีซี ก่อนจะเปลี่ยนชื่อบริษัทมาเป็น บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด ในช่วงเดือนตุลาคม 2559 หลังจากก่อนหน้าได้สะสมอสังหาริมทรัพย์เข้ามาไว้ในมือหลายโครงการ ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม อาคารสำนักงาน และอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์   2.AWC ถือเป็นหนึ่งใน 4 กลุ่มบริษัทขนาดใหญ่ ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในเครือทีซีซี ที่มุ่งเน้นการพัฒนาและบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์ ประเภทโรงแรม อาคารสำนักงาน และพื้นที่เชิงพาณิชย์ โดยจะไม่พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัย ซึ่งนอกจากการพัฒนาโครงการต่างๆ บนที่ดินทำเลศักยภาพแล้ว ยังมีแผนนำเอาอสังหาริมทรัพย์ในเครือทีซีซีเข้ามาเติมพอร์ตด้วย ปัจจุบันมีโครงการอสังหาริมทรัพย์มากกว่า 20 แห่งที่สามารถนำเอามาเข้ามาบริหารได้   3.AWC เป็นเจ้าของอาคารสำนักงานรายใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ โดยมีพื้นที่เช่าสุทธิที่บริษัทเป็นเจ้าของรวมมากที่สุดถึง 270,594 ตารางเมตร (ข้อมูล ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2561) จากอาคาสำนักงานรวม 4 อาคาร ได้แก่ อาคาร 208 วายเลสโร้ด อาคารแอทธินี ทาวเวอร์ อาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอน์​  และอาคารอินเตอร์ลิงค์ทาวเวอร์ รองลงมาเป็นกลุ่มเฟรเซอร์ ยูวี และโกลเด้นแลนด์ ที่มีรวมกัน 217,189 ตารางเมตร และอันดับ 3 เป็นของกลุ่มเซ็นทรัลที่มีพื้นที่รวม 211,999 ตารางเมตร   4.ปัจจุบัน AWC มีแบรนด์โรงแรมชั้นนำ อาทิ แมริออท,  อะ ลักซ์ชูรี คอลเล็คชั่น โฮเทล, โอกุระ, บันยันทรี, ฮิลตัน และเชอราตัน รวม 15 แห่ง โดยมีจำนวนห้องพัก 4,960 ห้อง แบ่งเป็นโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้วจำนวน 10 แห่ง มีจำนวนห้องพัก 3,432 ห้อง และโรงแรมที่อยู่ระหว่างการพัฒนาหรือมีแผนการในการพัฒนาจำนวน 5 แห่ง มีจำนวนห้องพัก 1,528 ห้อง ตามแผนธุรกิจในระยะ 5 ปีข้างหน้า จะซื้อและพัฒนาโรงแรมเข้ามาเติมพอร์ต ทำให้บริษัทมีห้องพักรวม 8,506 ห้อง ทำให้กลายเป็นกลุ่มธุรกิจที่มีจำนวนห้องพักโรงแรมในประเทศสูงสุด   โดยอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ ที่ทำสัญญาซื้อขายกับกลุ่มทีซีซีแล้ว และจะนำเข้ามาในอีก  6 เดือนข้างหน้า จำนวน  12 โครงการ เป็นโรงแรมที่เปิดดำเนินการในกรุงเทพฯ จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ โรงแรม ฮอลิเดย์ อินน์ เอ็กซ์เพรส กรุงเทพ สาทร และ Bangkok Marriott Hotel The Surawongse  โรงแรมที่เปิดดำเนินการนอกกรุงเทพฯ จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ Phuket Marriott Resort & Spa, Naiyang Beach และ Hua Hin Marriott Resort & Spa และโรงแรมที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงหรือพัฒนา จำนวน 6 แห่ง นอกจากนี้ยังอสังหาริมทรัพย์มิกซ์ยูส (Mixed-Use Properties) ที่อยู่ระหว่างการปรับปรุงหรือพัฒนา จำนวน 2 แห่งด้วย     5.สำหรับกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์  บริษัทมีพื้นที่ให้เช่าสุทธิ 198,781 ตารางเมตรในเดือนมีนาคม 2562 ที่ผ่านมา จากโครงการที่เปิดดำเนินการแล้ว 9 แห่ง ได้แก่  1.เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ 2.เกทเวย์ แอท บางซื่อ 3.พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า ประตูน้ำ 4.พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า งามวงศ์วาน 5.พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า เชียงใหม่ 6.โอ.พี.เพลส แบงค็อก 7.ลาซาล อเวนิว 8.ตะวันนา บางกะปิ และ 9.เกทเวย์ เอกมัย ซึ่งเป็นโครงการภายใต้สัญญาบริหารโครงการ และบันทึกข้อตกลงปี 2562 เพื่อการข้าลงทุนในโครงการดังกล่าว (โดยมีพื้นที่เช่าสุทธิ 33,153 ตารางเมตร) และมีโครงการที่กำลังพัฒนาอยู่อีก 2 แห่ง   สำหรับผลประกอบการโดยรวมของ AWC ถือว่ามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2559 มีรายได้รวม 9,411 ล้านบาท ปี 2560 มีรายได้รวม 11,208 ล้านบาท ปี 2561 มีรายได้รวม 12,416 ล้านบาท ส่วนช่วง 6 เดือนแรกของปี 2562 มีรายได้รวม 5,840.12 ล้านบาท   ถือเป็นหุ้นที่เข้ามาสร้างความคึกคักใหักับตลาดหุ้นไทยไม่น้อย แต่ในผลสุดท้ายราคาหุ้นจะเคลื่อนไหวไปในทิศทางใด  คงต้องติดตามดู แต่ที่แน่ๆ AWC จะเป็นอีกหนึ่งบิ๊กดีเวลลอปเปอร์ของไทย ที่พัฒนาโครงการออกมามากมาย เพราะทรัพย์สินของตระกูล "สิริวัฒนภักดี" มีอยู่ทั่วทุกมุมเมืองประเทศไทย   อ่านข่าวเกี่ยวข้องเพิ่มเติม -“เสี่ยเจริญ” จัดพอร์ตธุรกิจอสังหาฯ ส่ง AWC เข้าตลาด ลบภาพธุรกิจครอบครัวสู่มาตรฐานมืออาชีพ -AWC ไปต่ออย่างไร กับพอร์ต อสังหาฯ​ เพื่อการพาณิชย์ในมือ? -เคาะราคา IPO หุ้น AWC ของลูกสาวเสี่ยเจริญ เปิดขาย 6 บาท ทุบสถิติระดมทุนสูงสุด    
“ศุภาลัย” ประเมินตลาดอสังหาฯ ปกติ แย่สุดยังขายได้ 80,000 ยูนิต

“ศุภาลัย” ประเมินตลาดอสังหาฯ ปกติ แย่สุดยังขายได้ 80,000 ยูนิต

ฝ่ายวิจัย “ศุภาลัย” ประเมินยอดขายอสังหาฯ ปิดปี 62 แย่สุดยังขายได้ 80,000 ยูนิต แต่อาจจะไต่ระดับเท่าค่าเฉลี่ย 100,000 ยูนิต มองบวกตลาดอยู่ในภาวะปกติ แม้มีมาตรการ LTV เป็นผลกระทบระยะสั้น ดีเวลลอปเปอร์ยังคงโกยกำไรไม่ต่ำกว่า 20%    ดร.ประศาสน์ ตั้งมติธรรม กรรมการที่ปรึกษา บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า แนวโน้มการขายอสังหาริมทรัพย์โดยรวมของปีนี้  คาดว่าจะอยู่ในระดับ 100,000 ยูนิต ซึ่งเท่ากับค่าเฉลี่ยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่หากสถานการณ์ไม่ดีหรือผลกระทบจากปัจจัยลบมากขึ้น ยอดขายอสังหาฯ คาดว่าจะอยู่ในระดับ 80,000 ยูนิต  ซึ่งยอดขายดังกล่าวถือว่าเป็นภาวะตลาดปกติ  เพราะหากเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยยอดขายอสังหาฯ  ตั้งแต่ปี 2554-2561 จะอยู่ในระดับ 94,000-100,000 ยูนิต   โดยการประมาณการณ์ตลาดอสังหาฯ มีหลายตัวแปรที่เข้ามาเป็นปัจจัยในการพิจารณา ซึ่งหากนำปัจจัยเรื่องการเปิดตัวโครงการใหม่ของผู้ประกอบการ ที่ประกาศเปิดตัวในแต่ละเดือน จะพบว่ายอดขายอสังหาฯ ปีนี้ต่ำสุดจะอยู่ที่ 91,252 ยูนิต และอาจจะสูงสุดที่ 105,903 ยูนิต แต่หากนำเอาปัจจัยเรื่องการเติบโตทางเศรษฐกิจมาเป็นตัวแปรในการประเมิน จะพบว่ายอดขายอสังหาฯ ปีนี้ อาจจะทำได้ดีที่สุด ด้วยยอดขายถึง 116,000 ยูนิต หรือหากสถานการณ์เลวร้าย ตัวเลขยออขายจะทำได้เพียง 75,000 ยูนิตเท่านั้น     แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าหากประเมินตัวเลขยอดขายของปีนี้  ถ้าทำได้เพียง 75,000 ยูนิต สถานการณ์ตลาดอสังหาฯ​ ก็ถือว่ายังอยู่ในภาวะปกติ เพราะหากคิดสัดส่วนยอดขายต่อจำนวนอสังหาฯ ที่มีในตลาด ออกมาเป็นเปอร์เซ็นต์การขายได้ ก็ถือว่ายังอยู่ในระดับปกติด้วยอัตรา 25% เพราะผู้ประกอบการยังสามารถทำกำไรขั้นต้นได้มากกว่า 20% ซึ่งเป็นเปอร์เซ็นต์การขายได้ตั้งแต่ช่วงปี 2554-2561 ยังไม่เคยต่ำกว่า 20%   ดร.ประศาสน์ กล่าวว่า แม้ในปีนี้จะมีมาตรการ LTV ออกมาบังคับใช้ แต่มองว่าส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาฯ ในระยะสั้นเท่านั้น เชื่อว่าในอนาคตสภาพตลาดจะปรับตัว รับกับมาตรการที่เกิดขึ้นได้ เพราะปัจจุบันความต้องการที่อยู่อาศัยยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง จากการเคลื่อนย้ายแรงงานเข้ามาทำงานในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทำให้ต้องการที่พักอาศัยจากแรงงานเหล่านั้น   “ปีนี้ถือว่าตลาดอยู่ในภาวะปกติ ไม่ได้ดีหรือไม่ดี ถ้าอัตราการขายต่ำกว่า 20% จะถือว่าตลาดไม่ดี  ซึ่งตั้งแต่ปี 2554 อัตราการขายยังไม่ต่ำกว่า 20% รวมถึงปีนี้ด้วย”​   ทั้งนี้ จากการศึกษาถึงพฤติกรรมของความต้องการที่อยู่อาศัยรวม  ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลด้วยข้อมูลย้อนหลังตลอด 10 ปีที่ผ่านมา พบว่าอัตราการขายที่อยู่อาศัยเมื่อเทียบกับปริมาณหน่วยที่ออกขายโดยรวมในตลาดนั้นอยู่ที่ระดับประมาณ 30% ต่อปี และมีลักษณะเช่นนี้มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน จึงสามารถสรุปได้ว่าภาวะความต้องการที่อยู่อาศัยรวมยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าอาจจะไม่ร้อนแรงเท่าปี 2561 ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่มีกำลังซื้อจากต่างชาติเข้ามา และส่งผลให้ปีที่ผ่านมายอดขายที่อยู่อาศัยรวมทำลายสถิติสูงสุดตลอดกาลที่ประมาณ 120,000 หน่วย
ทำความรู้จัก “BC” ดีเวลลอปเปอร์ ที่พัฒนาโครงการขายทั้งโปรเจ็กต์สร้างกำไร

ทำความรู้จัก “BC” ดีเวลลอปเปอร์ ที่พัฒนาโครงการขายทั้งโปรเจ็กต์สร้างกำไร

ในบรรดาดีเวลลอปเปอร์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย การพัฒนาโครงการส่วนใหญ่จะเป็นรูปแบบที่อยู่อาศัย ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม ซึ่งเป็นการพัฒนาเพื่อขาย  ให้กับผู้ที่ต้องการอยู่อาศัย หรือนักลงทุนในรูปแบบการปล่อยเช่าหรือเอาไปขายต่อเมื่อมีกำไร รองลงมาจะเป็นการพัฒนาโครงการประเภทโรงแรม ศูนย์การค้า สำนักงาน และนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งสร้างรายได้ให้กับดีเวลลอปเปอร์แบบระยะยาว หรือ Recurring Income จากอัตราค่าเช่า หรือค่าห้องพัก   แต่ในระยะเวลาอีกไม่นาน นับจากนี้จะมีดีเวลลอปเปอร์น้องใหม่ คือ บริษัท บูทิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BC ที่มีรูปแบบการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ในลักษณะ  “สร้าง -ดำเนินงาน-ขาย” หรือ BOS (Build-Operate-Sell) ซึ่งเป็นหนึ่งกลยุทธ์สำคัญในการดำเนินธุรกิจ เข้ามาจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เพื่อระดมทุนไปต่อยอดพัฒนาธุรกิจในอนาคต  ซึ่งรูปแบบการดำเนินธุรกิจในลักษณะ BOS ถือว่าไม่ค่อยเห็นดีเวลลอปเปอร์ทำกันบ่อยหนัก     ทำความรู้จัก BOS Model  ปั้นโปรเจ็กต์เพื่อขาย ลักษณะการดำเนินธุรกิจของ  บูทิค คอร์ปอเรชั่น ประกอบด้วย 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.กลุ่มธุรกิจโรงแรม เป็นการพัฒนาและบริหารโรงแรมภายใต้แบรนด์ซิทาดีนส์ ที่ปัจจุบันมี 4 แห่ง ได้แก่ ซิทาดีนส์ สุขุมวิท 8 ซิทาดีนส์ สุขุมวิท 11 ซิทาดีนส์ สุขุมวิท 16 และ ซิทาดีนส์ สุขุมวิท 23 2.การพัฒนาโครงการ ดำเนินงาน และขาย หรือ BOS และ 3.กลุ่มธุรกิจบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งให้บริการในทุกขั้นตอนตั้งแต่เริ่มต้นจนขายโครการ และการเรียกเก็บค่าบริการต่างๆ   สำหรับกลยุทธ์การพัฒนาโครงการอสังหาฯ  ในรูปแบบสร้าง-ดำเนินงาน-ขาย หรือ BOS  (Build-Operate-Sell) มีทั้งประเภทโรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ ศูนย์การค้า และอาคารสำนักงานให้เช่า ในพื้นที่ที่มีศักยภาพทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ ชั้นใน ย่านสุขุมวิทตอนต้น และเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่ โดยรูปแบบการพัฒนาดังกล่าวทำให้ BC สามารถเพิ่มผลตอบแทนจากการนำเงินกำไรที่ได้รับจากการขายโครงการไปลงทุนในโครงการที่มีศักยภาพใหม่ๆ ในอนาคต ได้ทันที ขั้นตอนของการสร้าง-ดำเนินงาน-ขาย มีดังนี้   การสร้าง (Build)   เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนก่อนการพัฒนาโครงการ (Pre-Development Phase)  ได้แก่  การเลือกทำเลและจัดหาที่ดิน ซึ่งจะซื้อที่ดินตามแผนงานลงทุนเท่านั้น   ไม่มีนโยบายซื้อที่ดินเก็บไว้ และจะจัดหาที่ดินในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ที่มีประชากรและนักท่องเที่ยวจำนวนมากเช่น จ.ภูเก็ต จ.เชียงใหม่ จ.ชลบุรี จ.ระยอง จ.กระบี่ เกาะสมุย และจังหวัดที่มีการขยายสนามบิน หรือเพิ่มจำนวนเที่ยวบิน   การศึกษาความเป็นได้ของโครงการ (Feasibility Study)  ทั้งทางกายภาพของโครงการ (Physical Feasibility Study)  ด้านกฎหมาย (Legal Due Diligence)  ทางการตลาด (Market Feasibility Study)  ทางการเงิน (Financial Feasibility Study) จัดซื้อที่ดิน  การจัดหาเงินลงทุนและผู้ร่วมทุน  หลังจากนั้นจะเป็น ขั้นตอนการพัฒนาโครงการ (Development Phase) ตั้งแต่การออกแบบและวางแผนก่อสร้าง  การขอใบอนุญาตต่างๆ  จนก่อสร้างแล้วเสร็จ   การดำเนินงาน (Operate) เมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ บริษัทจะทำหน้าที่บริหารจัดการโครงการ เพื่อให้ได้ผลการดำเนินงานเป็นไปตามแผนที่วางเอาไว้  โดยปัจจุบันโครงการที่เปิดดำเนินการแล้วมีทั้งหมด 9 โครงการ เป็นโรงแรมภายใต้แบรนด์ซิทาดีนส์​4 แห่ง และโรงแรมโอ๊ควู้ด เรสซิเดนส์ สุขุมวิท 24 กรุงเทพฯ​โรงแรมโอ๊ควู้ด โฮเทล เจอร์นีย์ฮับ ภูเก็ต ป่าตอง สาย 3 ภูเก็ต วิลล่า 1 หนังบริเวณหาดป่าตองภูเก็ต โครงการโรงแรมโอ๊ควู้ด โฮเทล เจอร์นีย์ฮับ พัทยา จ.ชลบุรี และโรงแรมโนโวเทล เชียงใหม่ นิมมาน เจอร์นีย์ฮับ จ.เชียงใหม่ การขาย (Sell) เมื่อบริษัทดำเนินโครงการได้ระยะหนึ่ง จะพิจารณาขายโครงการให้แก่ผู้สนใจ โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ประกอบ ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทขายโครงการให้กับนักลงทุน และผู้สนใจโครงการไปแล้ว 6 โครงการ รวมมูลค่า 3,525 ล้านบาท  สามารถทำกำไรได้แล้วกว่า 1,626 ล้านบาท ซึ่งอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่อโครงการ (IRR) ที่ได้รับมาไม่ต่ำกว่า 15% ซึ่งโครงการที่ขายแล้ว ได้แก่ 1.โรงแรมโอ๊ควู๊ด อพาร์ทเม้นท์ ทริลเลี่ยนท์ สุขุมวิท 18 กรุงเทพฯ 2.โรงแรมโอโซ พัทยา 3.ศูนย์การค้าเรนฮิลล์ สุขุมวิท 47 4.โรงแรมไฮแอท เพลส ป่าตอง 5.ศูนย์การค้าซัมเมอร์ ฮิลล์ พระโขนง และ 6.โครงการอาคารสำนักงานให้เช่าซัมเมอร์ ฮับ พระโขนง   แต่สำหรับโรงแรมภายใต้แบรนด์ซิทาดีนส์ บริษัทจะพัฒนาและบริหารเพื่อสร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่มีแผนขายโครงการดังกล่าวให้กับนักธุรกิจ หรือกลุ่มนักลงทุน   นายปรับชะรันซิงห์ ทักราล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บูทิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BC เปิดเผยว่า การใช้กลยุทธ์ BOS เพื่อต้องการหาผลตอบแทนจากการลงทุนสูงสุดให้กับนักลงทุน ซึ่งการพัฒนาโครงการสามารถใช้พื้นที่ขนาดเล็กตั้งแต่ 300 ตารางวา ในทำเลศักยภาพก็สามารถพัฒนาโครงการได้ โดยมีการลงทุนทั้งร่วมกับพันธมิตรที่บริษัทจะลงทุนไม่ต่ำกว่า 26% หรือพัฒนาโครงการเอง   สำหรับแผนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ นั้น บริษัทต้องการนำเงินไปใช้  ใน 3 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.เพื่อใช้สำหรับการลงทุนในโครงการเชียงใหม่ Nimman 2-3 โครงการ Summer Point โครงการโรงแรมแรมบนถนนสุขุมวิท 16 โครงการเซอร์วิสอพาร์ทเมนท์บนถนนสุขุวิท 36 และโครงการกมลา 1-2  2.เพื่อจ่ายคืนหนี้สิน และ 3.เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบกิจการ   สำหรับผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปี 2562 รายได้รวมอยู่ที่ 675.9 ล้านบาท เติบโต 56.7% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 431.3 ล้านบาท มีสาเหตุหลักมาจากการขายโครงการ Summer Hill และ Summer Hub Office สนับสนุนให้กำไรสุทธิอยู่ที่ 348.5 ล้านบาท เติบโตขึ้น 122.4% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 156.7 ล้านบาท      
Hostel ต้องปรับตัวอย่างไร ให้ชนะใจนักท่องเที่ยว

Hostel ต้องปรับตัวอย่างไร ให้ชนะใจนักท่องเที่ยว

ต้องยอมรับว่า ตลาดท่องเที่ยวของไทย เป็นหนึ่งในตัวทำรายได้หลักให้กับประเทศ เพราะเมืองไทยเรียกได้ว่ามีความพร้อมด้านการท่องเที่ยวในทุกรูปแบบ แถมการเที่ยวเมืองไทยยังมีต้นทุนไม่สูง หากจะเทียบกับหลายๆ ประเทศ ทำให้นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดสาย   ช่วงที่ผ่านมาธุรกิจโรงแรม คือ หนึ่งในธุรกิจที่เติบโตตามการเติบโตของตลาดท่องเที่ยว แต่รูปแบบการพักอาสัยในปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนไปตามไลฟ์สไตล์ของนักท่องเที่ยวยุคใหม่ อย่างกลุ่มมิลเลนเนียล หรือคนรุ่นใหม่ ผู้ที่เกิดช่วงปี 2524-2539  ที่ไม่ได้ต้องการสถานที่พักแบบหรูหรา แต่สร้างประสบการณ์การท่องเที่ยว ในงบประมาณที่จำกัด รูปแบบที่พักอาศัยอย่างโฮลเทล จึงเกิดขึ้นมารองรับกับกลุ่มนักเดินทางเหล่านั้น   ปัจจุบันมีที่พักในรูปแบบโฮสเทลเกิดขึ้นมากมาย เรียกได้ว่าแทบจะทุกมุมถนน โดยเฉพาะทำเลที่ใกล้กับระบบคมนาคมที่เดินทางสะดวก ถือได้ว่าเป็นยุคการเติบโตของธุรกิจโฮสเทลเลยก็ว่าได้ แต่ อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการโฮสเทล ยังต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาวะการแข่งขันที่สูง  ช่วงราคาห้องพักต่อคืนที่ต่ำ และจำนวนเตียงที่ขายได้น้อย  จึงทำให้ยากแก่การปรับตัว ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ ทาง Economic Intelligence Center (EIC)  ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) มีบทวิเคราะห์ที่น่าสนใจมานำเสนอ   มิลเลนเนียลปัจจัยหลักกระตุ้นธุรกิจ     หากกล่าวถึงที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวในอดีตอาจนึกถึงแค่โรงแรม ที่เพียบพร้อมไปด้วยการบริการ สิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน และราคาที่ค่อนข้างสูง แต่ภายใน 10 ปีผ่านมาที่พักประเภทโฮสเทล  ได้ก้าวเข้ามามีบทบาทที่สำคัญของการท่องเที่ยวไทยมากขึ้น เพื่อรองรับโครงสร้างนักท่องเที่ยวที่เปลี่ยนไป   ในปี 2561 ประเทศไทยรองรับนักท่องเที่ยวต่างชาติราว 38.3 ล้านคน หนึ่งในปัจจัยสนับสนุนหลักมาจากนักท่องเที่ยวในช่วงอายุ 25 ถึง 34 ปี จากทั่วโลกหลั่งไหลเข้ามายังประเทศไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คิดเป็นกว่า 28% ของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติทั้งหมดที่เข้ามายังประเทศไทย มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมอยู่ที่ 12.5% ตั้งแต่ปี 2555 ถึง 2560 ขณะที่กลุ่มอายุอื่นอยู่ที่ 9% มิลเลนเนียล กำลังกลายเป็นผู้บริโภคหลักในหลากหลายอุตสาหกรรม โดยเฉพาะอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมสำคัญของไทย พฤติกรรมสำคัญของกลุ่ม มิลเลนเนียล คือการนำ “การท่องเที่ยว” มาเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักในการใช้ชีวิต   ทั้งยังให้ความสำคัญกับการสร้างความสมดุลระหว่างการทำงานและการพักผ่อน รวมถึงมีพฤติกรรมการเลือกเข้าพักโฮสเทล มากกว่ากลุ่มอื่น จากการสำรวจโดย Hostelworld group ผู้ให้บริการจองโฮสเทลออนไลน์อันดับ 1 ระบุว่า ผู้เข้าพักโฮสเทลมากกว่า 70% เป็นชาวมิลเลนเนียล   สำหรับคุณลักษณะสำคัญ 3 ประการ ของชาวมิลเลนเนียล ที่ถือว่าเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวสำคัญในการเข้ามาสนับสนุนให้ธุรกิจอย่างโฮสเทล คือ   1.นิยมท่องเที่ยวตามชุมชน เพื่อมองหาประสบการณ์ที่แปลกใหม่ แสวงหาความท้าทาย จากการศึกษาโดย Amadeus ซึ่งเป็นผู้นำการให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเดินทางและการท่องเที่ยวระดับโลก ทำการวิจัยนักท่องเที่ยวในเอเชียแปซิฟิกกว่า 7,000 คนใน 14 ประเทศ   ผลวิจัยระบุว่า ชาวมิลเลนเนียล ให้ความสำคัญกับคำแนะนำเกี่ยวกับประสบการณ์ที่แปลกใหม่ตามชุมชน  มากกว่าคำแนะนำเรื่องการประหยัดค่าใช้จ่ายในการท่องเที่ยว ทั้งนี้โรงแรมส่วนใหญ่มักตั้งอยู่ตามไพร์มโลเกชั่น มากกว่าตามพื้นที่ตามชุมชน แตกต่างจากโฮสเทล ที่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เป็นคนในพื้นที่ ที่นำที่พัก บ้าน หรือตึกแถวมาปรับปรุงเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวตามชุมชนได้เป็นอย่างดี   2.ไม่ชอบเที่ยวกับคนหมู่มาก นักท่องเที่ยวชาวมิลเลนเนียล ชอบท่องเที่ยวคนเดียว (Solo traveler) มากกว่าการท่องเที่ยวกับกรุ๊ปทัวร์ จากการวิจัยโดย Princeton Survey Research Association พบว่า 58% ของนักท่องเที่ยวชาวมิลเลนเนียล ทั่วโลกชอบที่จะท่องเที่ยวคนเดียว ขณะที่นักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นอยู่ที่ราว 47% อย่างไรก็ตาม ชาวมิลเลนเนียล ยังคงเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัย ความสะดวกสบายในการเดินทาง จึงทำให้ยังมีการจับกลุ่มท่องเที่ยวกับ Solo traveler คนอื่น ๆ ตามโฮสเทล   3.ชาวมิลเลนเนียลชอบเที่ยวบ่อย จากการสำรวจโดย Expedia Media Solution พบว่าคนรุ่นมิลเลนเนียล เดินทางไปเที่ยวบ่อยที่สุดอยู่ที่ประมาณ 6 ครั้งต่อปี ขณะที่ชาวเบบี้บูมเมอร์เดินทางท่องเที่ยวประมาณ 4 ครั้งต่อปี ด้วยความที่ชาวมิลเลนเนียล  ชื่นชอบการท่องเที่ยวบ่อย ๆ เพื่อต้องการเติมเต็มให้กับชีวิต ผ่อนคลายความเครียดจากการทำงาน   จากการศึกษาโดย TripAdvisor พบว่าชาวมิลเลนเนียล ใช้จ่ายในค่าที่พัก น้อยกว่าครึ่งของชาวเบบี้บูมเมอร์    จากการเลือกสรรที่พักให้อยู่ในงบที่จำกัดโฮสเทล  จึงนับเป็นตัวเลือกสำคัญของที่พักราคาถูก ตอบสนองความต้องการของชาวมิลเลนเนียล เดินทางท่องเที่ยวบ่อย แต่มีงบจำกัด ทั้งนี้ช่วงราคาที่พักต่อเตียง หรือต่อห้องของโฮสเทลนั้นต่ำกว่าช่วงราคาที่พักประเภทอื่นส่วนใหญ่   จากปัจจัยดังกล่าวชาวมิลเลนเนียล จึงมีส่วนสำคัญในการช่วยกระตุ้นให้ธุรกิจโฮสเทลเติบโต และได้รับความสนใจจากนักลงทุนจำนวนมาก ทั้งนี้ EIC ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลบน TripAdvisor พบว่า 9 จังหวัดที่มีจำนวนโฮสเทลมากที่สุดประกอบด้วย กรุงเทพฯ สุราษฎร์ธานี เชียงใหม่ กระบี่ ภูเก็ต ชลบุรี เชียงราย ประจวบคีรีขันธ์ (หัวหิน) และแม่ฮ่องสอน ตามลำดับ   โดยจังหวัดที่มีสัดส่วนโฮสเทลต่อจำนวนที่พักทั้งหมดมากที่สุดคือ กรุงเทพฯ คิดเป็นอย่างน้อย 17% จากที่พักทั้งหมดกว่า 3,000 แห่ง รองลงมาคือ เชียงใหม่ สัดส่วน 12%​ และสุราษฎร์ธานี สัดส่วน 9% ตามลำดับ ซึ่งการเข้ามาลงทุนทำธุรกิจโฮสเทลตามหัวเมืองท่องเที่ยวต่าง ๆ ส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการเดิมที่ถูกผู้ประกอบการใหม่เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาด นอกจากการเข้ามาในรูปแบบโฮสเทลอิสระ (Independent Hostel) แล้วยังมีเชนโฮสเทล ต่าง ๆ เข้ามาด้วย อาทิ Mad Monkey hostel และ Slumber Party Hostels   โฮสเทลควรทำอย่างไรเพื่ออยู่รอด การปรับตัวของธุรกิจโฮสเทล อาจไม่แตกต่างกันมากนักกับธุรกิจโรงแรม แต่ด้วยขนาดของโฮสเทล ที่มีจำนวนเตียงค่อนข้างน้อยเหมาะสำหรับลูกค้าประเภท F.I.T (Free Independent Travelers : นักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าพักลำพัง หรือนักท่องเที่ยวกลุ่มเล็กๆ) และรับลูกค้าประเภทกรุ๊ปทัวร์ได้ยาก   นอกจากนี้ผู้เข้าพักค่อนข้างอ่อนไหวต่อราคา การปรับตัวจึงเป็นไปอย่างจำกัด ทั้งทางด้านงบประมาณในการดำเนินกิจการและการทำตลาด ดังนั้นสิ่งที่ EIC มองว่าผู้ประกอบการโฮสเทล สามารถทำได้คือ   -ต้องมีกลุ่มลูกค้าที่ชัดเจน สำหรับโฮสเทล ที่มีจำนวนห้องและงบประมาณในการดำเนินกิจการที่จำกัด จึงทำให้การทำการตลาดของโฮสเทลนั้นทำได้ในวงแคบ การมีกลุ่มลูกค้าที่ชัดเจนจะสามารถทำให้โฮสเทล สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจได้ กลุ่มลูกค้ามักมีความต้องการที่ต่างกัน เช่น นักท่องเที่ยวเชิงธุรกิจมักมองหาที่พักที่สงบ เหมาะแก่การพักผ่อน มีโต๊ะทำงาน มีที่จอดรถและ Wi-Fi ขณะที่นักท่องเที่ยว Backpacker ต้องการพื้นที่พูดคุยกับผู้เข้าพักอื่น เช่น มี Mini bar สำหรับการแบ่งปันเรื่องราวการเดินทาง บางกลุ่มชอบ Party ชอบการทำกิจกรรม บางกลุ่มชอบห้องพักที่ได้รับการตกแต่งที่สวยงาม ทันสมัย เป็นต้น เมื่อโฮสเทลสามารถหาจุดยืนที่ชัดเจนและเข้าใจความต้องการของลูกค้าเฉพาะกลุ่มแล้ว ผู้ประกอบการจะสามารถวางแผนการตลาด และเจาะกลุ่มลูกค้าได้อย่างตรงจุดในงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด   -ประสบการณ์การเข้าพักของนักท่องเที่ยว คือ ปัจจัยหลักของธุรกิจโฮสเทล  ผู้เข้าพักโฮสเทลมักไม่ได้ให้ความสำคัญกับข้าวของเครื่องใช้ที่ครบครันเท่ากับผู้เข้าพักโรงแรม แต่มักมองหาประสบการณ์การเข้าพักมากกว่า ดังนั้นการสื่อสารกับผู้เข้าพักจึงนับเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญที่สุด การสื่อสารสามารถทำได้ผ่านพนักงาน ซึ่งต้องสามารถพูดคุยแลกเปลี่ยนแนวความคิด วัฒนธรรม พื้นฐานสังคมได้อย่างดี รวมถึงการบริการที่เป็นกันเอง ความเอาใจใส่ และความเข้าใจถึงความต้องการของผู้เข้าพัก นอกจากนี้การสร้างประสบการณ์เกี่ยวกับชุมชน โดยสื่อสารผ่าน การตกแต่ง การบอกเล่า หรือการทำให้สิ่งแวดล้อมมีความเป็นชุมชน เช่น การจัดกิจกรรม หรือ Workshop ต่าง ๆ ร่วมกับชุมชน เป็นต้น   -เมื่อผู้เข้าพักพึงพอใจ ทำยังไงให้บอกต่อ ผู้ประกอบการโฮสเทลควรกระตุ้นให้ผู้เข้าพักบอกต่อความรู้สึกดีๆ และประสบการณ์ระหว่างเข้าพัก จากการรวบรวมข้อมูลและวิจัยโดย SiteMinder ผู้ให้บริการ Cloud platform และระบบการจัดการแก่ที่พัก พบว่าเมื่อที่พักขอร้องให้ช่วยแสดงความคิดเห็น ผู้เข้าพักกว่า 80% ยินดีที่จะเขียนรีวิวให้กับที่พัก หากที่พักไม่ขอร้องจะมีเพียง 22% เท่านั้นที่จะแสดงความคิดเห็นหลังการเข้าพักด้วยตนเอง   การบอกต่อประสบการณ์นั้นสามารถทำได้หลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น การบอกเล่ากับนักท่องเที่ยวอื่น การเขียนรีวิวบน เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ของนักท่องเที่ยวเอง ซึ่งค่อนข้างแตกต่างจากธุรกิจโรงแรมที่มุ่งเน้นการรีวิวบนแพลตฟอร์ม OTAs (Online Travel Agents) เนื่องจากกลุ่มลูกค้าค่อนข้างกระจาย ไม่เฉพาะกลุ่ม กลับกันธรรมชาติของผู้เข้าพักโฮสเทล มักสอบถามจากผู้มีประสบการณ์การเดินทาง การพูดคุยหรืออ่านรีวิวในกลุ่มที่มีความชื่นชอบคล้าย ๆ กันมากกว่า     ดังนั้น โฮสเทลควรขอร้องผู้เข้าพักให้ช่วยแสดงความคิดเห็นบน เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม และช่องทาง อื่น ๆ บนแพลตฟอร์มของนักท่องเที่ยวเอง เพื่อช่วยกระจายประสบการณ์ระหว่างการเข้าพัก เป็นการทำการตลาดแบบปากต่อปาก หรือที่เรียกว่า “Word of Mouth” แก่โฮสเทลของตน   นอกจากนี้ การเพิ่มยอดจอง Direct booking หรือการจองโดยตรงกับทางโฮสเทล ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อผ่านทางไลน์ เฟซบุ๊กแชท โทรศัพท์ อีเมล เว็บไซต์ของโรงแรม และอื่น ๆ นับเป็นช่องทางการจองโดยไม่ผ่านตัวกลาง ทำให้ที่พักไม่ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายด้านคอมมิชชั่นที่ค่อนข้างสูงให้กับ OTAs เป็นวิธีที่ทำได้ง่ายมีค่าใช้จ่ายไม่มากนัก เพียงทำให้การจองนั้นสามารถจ่ายเงินได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ทั้งนี้ผู้ประกอบการอาจต้องเผชิญกับความท้าทายทางด้านการเพิ่มยอดจองจาก Direct booking ที่ต้องอาศัยความรู้และความเข้าใจในการทำตลาดบน Social media ซึ่งแตกต่างจากการทำการตลาดจากการจองผ่าน OTAs ที่อาศัยเพียงค่าใช้จ่ายในการทำการตลาดและการจ่ายค่าคอมมิชชั่นที่สูงขึ้น   อาจสรุปได้ว่า ธุรกิจโฮสเทลนั้นจำเป็นต้องอาศัยความรู้ความชำนาญทั้งทางด้านการตลาด ด้านการท่องเที่ยว การเดินทาง สภาวะทางสังคมและความแตกต่างทางวัฒนธรรม ซึ่งอาศัยประสบการณ์ในการสะสมความรู้เพื่อให้เข้าใจธุรกิจโฮสเทลได้อย่างลึกซึ้ง
รวมโปรโมชั่นเฟอร์นิเจอร์-ของตกแต่งบ้าน เดือนตุลาคม 2562  

รวมโปรโมชั่นเฟอร์นิเจอร์-ของตกแต่งบ้าน เดือนตุลาคม 2562  

เริ่มเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นของการลดราคากันกระหน่ำ จากเดือนตุลาคมยาวไปจนถึงสิ้นปี สำหรับสินค้าเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน รวมไปถึงวัสดุอุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ ก็เริ่มออกโปรโมชั่นมาให้ได้เลือกชม เลือกช้อปกันแล้วนะคะ และอย่าลืมติดตาม Reviewyourliving ไว้ รับรองว่าจะนำโปรโมชั่นดีๆ มาฝากกันทุกสัปดาห์ค่ะ     Index Living Mall จัดโปรฯ “BUY 1 GET 1” ว้าว!! ของฟรี มีอยู่จริง ที่คนรักบ้านต้องไม่พลาด อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ (Index Living Mall) ชวนคุณว้าว!! กับของฟรี มีอยู่จริงด้วยโปรโมชั่น “BUY 1 GET 1” สินค้า ซื้อ 1 แถม 1 พบกับทัพเฟอร์นิเจอร์ของแต่งบ้าน และของใช้ภายในบ้าน ยกขบวนมาลดราคานับร้อยรายการ อาทิ   สินค้าซื้อ 1 ฟรี 1 ช้อปชุดห้องนอน (ตู้เสื้อผ้า 4 บาน+เตียง) รุ่น ออแกโน่ 16,990 บาท รับฟรี ตู้วางทีวี มูลค่า 5,990 บาท สินค้า ซื้อ 1 แถม 1 อาทิ เก้าอี้ทานอาหาร, เก้าอี้สำนักงาน, หมอนหนุน, ชุดเครื่องนอน, ผ้าม่าน, ชุดจาน, แก้วมัค, ชุดเครื่องครัว, กล่องอเนกประสงค์ ฯลฯ สินค้าสุดคุ้ม เลือกซื้อคู่กันสินค้าในราคาพิเศษ 25,990 บาท อาทิ เลือกที่นอน 6 ฟุต โซฟา, ชั้นวางของ 5 ชั้น, อาร์มแชร์,   ลุ้นรับรถยนต์ สมาชิก Joy Card รับสิทธิ์ลุ้นรถยนต์ The All-New NISSAN NOTE มูลค่า 640,000.- เพียง ช้อปที่อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ และเดอะ วอล์ค สาขาเกษตร-นวมินทร์ และสาขาราชพฤกษ์ ครบทุก 1,000 บาท ตั้งแต่วันนี้-8 ม.ค. 2563 พร้อมรับ สิทธิ์ผ่อนสบายๆ 0% นานสูงสุด 6 เดือน   สนุกช้อปได้แล้วตั้งแต่วันนี้ - 13 พ.ย. 62 ที่อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ทุกสาขา (สินค้าหมดแล้วหมดเลย)   หนาวนี้ไม่มีสะท้าน กับเสื้อยืด 5 สี โปรดีๆ “หนาวนี้มีฟิน” หนาวนี้ “ยิปซัมตราช้าง” ให้คุณเตรียมความพร้อมเพิ่มความอบอุ่นแก่ร่างกายไปกับโปรโมชั่น “หนาวนี้มีฟิน” ด้วยเสื้อยืดแขนยาวคอลเลคชั่นใหม่ล่าสุด เมื่อซื้อแผ่นยิปซัมตราช้าง ขนาด 1200X2400 มม. ครบ 30 แผ่น หรือแผ่นฝ้าพิมพ์ลายทีบาร์ เปเปอร์ทัช ตราช้าง ขนาด 600x600 มม. ครบ 24 กล่อง รับไปเลยทันทีเสื้อยืดคอกลมแขนยาวใส่คูลๆ 1 ตัว มี 5 สีให้สะสมใส่เพิ่มความฟิน  ดำ เหลือง ชมพู เขียว และฟ้า  ทั้งนี้ลูกค้ามั่นใจได้เมื่อเลือกใช้แผ่นยิปซัมตราช้าง ด้วยคุณสมบัติเด่น แกร่งทน ไม่แอ่นตัว โมเลกุลหนาแน่น สม่ำเสมอ  เรียบเนียนสวย และทนทานใช้งานได้นาน   โปรโมชั่นเริ่มตั้งแต่วันนี้ถึง 15 พฤศจิกายน 2562 หรือจนกว่าของแถมจะหมด ณ ร้านยิปซัมเอ็กซ์เพรส ผู้แทนจำหน่ายเอสซีจี และร้านขายวัสดุก่อสร้างชั้นนำทั่วประเทศ   All About Bedroom Sale ชุดห้องนอนครบเซ็ต ราคาเริ่มต้นที่ 9,900 บาท แต่งห้องนอนให้สวยจัดเต็ม ไปกับชุดห้องนอนและที่นอนราคาพิเศษสุด ช้อปง่ายผ่อนสบาย 0 % ทั้งร้าน   เซ็ตสุดคุ้ม ชุดห้องนอน ราคาเริ่มต้น 9,900 บาท ชุดห้องนอนเลือกมิกซ์แอนด์แมตช์ ให้คุณเลือกจับคู่เตียงนอนและตู้เสื้อผ้า ได้ในราคา 25,900 บาท ซื้อชุดห้องนอนครบเซ็ตวันนี้ ลดเพิ่ม 15% ชุดห้องนอน New Arrival ลดสูงสุด 40% สินค้ากลุ่ม Bedroom Best Time ชุดห้องนอนพร้อมส่งใน 4 วัน ช้อปครบตามเงื่อนไข รับทันทีบัตรกำนัลเงินคืน สูงสุด 10% รับสิทธิ์ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน กับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ พิเศษสุดๆ สำหรับลูกค้าบัตรเครดิต SCB รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 80,000 บาท และสำหรับคนรักการแต่งบ้าน ที่ยอดช้อปสูงสุด 10 ท่านแรก รับบัตรกำนัลที่พักสุดหรู 5 ดาว ที่หัวหินมูลค่ารวม 85,000 บาท   ที่ SB Design Square ทุกสาขา 1 ต.ค. 62 - 31 ต.ค. 62 เท่านั้น   ฉลองเปิดสาขา!! โฮมโปรเอส สามย่าน มิตรทาวน์ เติมเต็มความสุข สะดวกสบาย ใกล้คุณ รวบรวมสินค้าเรื่องบ้านอัพเดทใหม่ รวมถึงสินค้าเก๋ๆ พร้อมฟังก์ชั่นใช้งานที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งานมากกว่าเดิมในราคาที่เอื้อมถึง ภายใต้ 3 คอนเซ็ปต์   SMART : สะดวกทุกการจับจ่าย ด้วยหลากหลายช่องทางการช้อปทำให้ชีวิตของคุณง่ายขึ้น SELECT : เลือกสรรสินค้า ตอบสนองไลฟ์สไตล์คนเมือง SERVICE : บริการ ติดตั้ง ซ่อมแซม ปรับปรุงบ้านด้วยทีมช่างมืออาชีพ   ฉลองสาขาใหม่ โปรโมชั่นคุ้มเกินคุ้ม เครื่องใช้ไฟฟ้าผ่อนสบาย 0%* นานสูงสุด 24 เดือน และ  สินค้าจัดรายการพิเศษ 1 แถม 1 หมดแล้วหมดเลย ที่โฮมโปรเอส สามย่าน มิตรทาวน์ (ชั้น 2 Zone B) 20 ก.ย. 2562-30 ต.ค. 62   Power Mall Clearance Sale! ลดสูงสุด 70% POWER MALL CLEARANCE SALE!! จัดให้! ลดล้างสต็อคถล่มเมือง!  โปรโมชั่นลดสูงสุดถึง 70%* ผ่อน 0%* นาน 10 เดือน* M Card ลดเพิ่มสูงสุดถึง 12.5%* กับสินค้าคุณภาพ ในราคาเร้าใจสุดๆ ไม่ว่าจะเป็น ทีวี ตู้เย็น เครื่องปรับอากาศnเครื่องใช้ไฟฟ้าในครัว หรืออุปกรณ์ไอทีต่างๆ สมาร์ทโฟน โน๊ตบุ๊ค ก็มีครบ! ที่ MCC HALL ชั้น 4 เดอะมอลล์ สาขางามวงศ์วาน วันนี้-13 ต.ค. 62              
[PR News] “ออริจิ้น” ปิดงบไตรมาส 3 สร้างยอดขายกว่า 10,188 ล้าน

[PR News] “ออริจิ้น” ปิดงบไตรมาส 3 สร้างยอดขายกว่า 10,188 ล้าน

“ออริจิ้น" กวาดยอดขายไตรมาส 3 กว่า 10,188 ล้าน ได้แบรนด์ “ดิ ออริจิ้น” ช่วยดันยอด หลัง 3 โครงการปิดการขาย 100%  สะสมยอด 9 เดือน 23,148 ล้าน เตรียมเปิดโปรเจ็กต์ต่อในไตรมาสสุดท้าย มั่นใจทะลุเป้าปีนี้ 28,000 ล้านบาท   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า บริษัทสามารถสร้างยอดขายในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ได้มูลค่ากว่า 10,188 ล้านบาท  เนื่องจากโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ ดิ ออริจิ้น (The Origin) ที่เปิดตัว 4 โครงการ ตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาส 2  มี  3 โครงการที่สามารถปิดการขายได้ 100% ได้แก่ 1. ดิ ออริจิ้น รามคำแหง 209 อินเตอร์เชนจ์ 2. ดิ ออริจิ้น รัชดา-ลาดพร้าว 3. ดิ ออริจิ้น ลาดพร้าว 15   "ขณะเดียวกัน ดิ ออริจิ้น สุขุมวิท 105 ที่เพิ่งเปิดพรีเซลเมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา ก็ได้รับการตอบรับที่ดี ส่งผลให้ภาพรวมอัตรายอดขาย หรือ Take up rate ของแบรนด์ดิ ออริจิ้นที่เปิดตัวไป 4 โครงการ สูงถึงกว่า 85%"   นอกจากนี้ โครงการคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่แบรนด์พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) 2 โครงการที่ทยอยเปิดตัวในช่วงไตรมาส 2-3 มูลค่าโครงการรวมกว่า 7,500 ล้านบาท ก็สร้างยอดขายอย่างต่อเนื่อง โดยโครงการพาร์ค ออริจิ้น จุฬา-สามย่าน และโครงการพาร์ค ออริจิ้น ราชเทวี ต่างมียอดขายแล้วกว่า 80%   ขณะเดียวกัน โครงการเคนซิงตัน ระยอง คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ภายใต้โครงการออริจิ้น สมาร์ท ซิตี้ ระยอง ล่าสุดมี ยอดขาย 90% ของจำนวนยูนิตที่เปิดขาย  จากกระแสตอบรับที่ดีตลอดทั้งไตรมาส 3 ส่งผลให้บริษัทมียอดขายสะสม 9 เดือนแรกของปี 2562 อยู่ที่ 23,148 ล้านบาท หรือคิดเป็น 83% ของเป้าหมายยอดขายของทั้งปี 2562   นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้าย บริษัทยังมีโครงการที่จะทยอยเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ได้แก่ คอนโดฯ แบรนด์ดิ ออริจิ้น 2 โครงการ  บ้านจัดสรรแบรนด์บริทาเนีย (Britania) อีก 4-5 โครงการ โครงการนอตติ้ง ฮิลล์ ระยอง โครงการเดอะ แฮมป์ตัน ศรีราชา บาย ออริจิ้น แอนด์ ดุสิต ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนระหว่างบริษัทกับกลุ่มดุสิตธานี (DTC) คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมไม่น้อยกว่า 14,000 ล้านบาท     “ด้วยจุดแกร่งเรื่องความเข้าใจลูกค้าหรือ Empathy ภาพรวมปีนี้ เราจึงคัดสรรทำเลศักยภาพ โครงการคุณภาพ ในเซ็กเมนท์ที่เหมาะสม มาเปิดตัวเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ขณะเดียวกัน เรายังมีโครงการพร้อมอยู่  แนวรถไฟฟ้าในอีกหลากหลายทำเลที่ยังคงมีผู้บริโภคทยอยเข้ามาจับจองกันอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าปีนี้เราจะสามารถสร้างยอดขายได้ถึง 28,000 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้”  
เปิดข้อมูลอินไซต์ ตลาดคอนโดฯ หลังใช้มาตรการ LTV

เปิดข้อมูลอินไซต์ ตลาดคอนโดฯ หลังใช้มาตรการ LTV

เป็นระยะเวลานานถึง 6 เดือน หรือ 2 ไตรมาสแล้ว  หลังจากมีการประกาศใช้มาตรการ LTV  อย่างเป็นทางการ ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 เป็นต้นมา  ซึ่งดูเหมือนว่ามาตรการที่ออกมาบังคับใช้  ได้ผลเป็นอย่างดี เพราะช่วยลดระดับความร้อนแรงในการซื้อคอนโดมิเนียมอย่างเห็นได้ชัด จากตัวเลขยอดขาย และการเปิดตัวใหม่ของคอนโดฯ ที่ลดลง ทำให้บรรดาผู้ประกอบการชะลอแผนการเปิดโครงการใหม่ และเร่งระบายสต็อกเก่าที่มีอยู่  ออกให้ได้มากที่สุด   แต่หากจะค้นหาคำตอบอย่างชัดเจน ว่าภายหลังจากมาตรการ LTV ถูกใช้มาเป็นระยะเวลาถึง 6 เดือนแล้ว ส่งผลต่อตลาดคอนโดฯ  อย่างไรบ้างนั้น  คงต้องมาดูข้อมูลจากแผนกวิจัย บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ที่ได้ทำการรายงานถึงภาพรวมตลาดคอนโดฯ ในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมา   เปิดโครงการใหม่ลดลง 51%   ในช่วงไตรมาสที่ 3 พบว่า จำนวนการเปิดตัวใหม่ของคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ ได้ปรับจำนวนลดลงกว่า 10,399 ยูนิตหรือคิดเป็น 33.4% จากจำนวนที่เคยเปิดขายใหม่ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว  ซึ่งถือว่าปีที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาแห่งความร้อนแรงของการเปิดตัวคอนโดฯ เลยทีเดียว  ส่วนปีนี้มีการเปิดตัวโครงการใหม่  เพียง 24 โครงการ รวม 11,059  ยูนิต มีมูลค่าการพัฒนาประมาณ 46,660 ล้านบาท แบ่งเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ประมาณ 66.4% หรือประมาณ 7,342 ยูนิต และผู้ผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กประมาณ  3,717  ยูนิตหรือคิดเป็น 33.6 % แม้ว่าจำนวนการเปิดใหม่จะเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ก่อนหน้าจะมีประมาณ 1,424 ยูนิต หรือประมาณ 14.78%  แต่พบว่าลดลงกว่าในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2561 ถึง 51%  ผู้ประกอบการหลายรายมีการปรับลดแผนการพัฒนาโครงการสำหรับปีนี้ลง และเลื่อนการเปิดตัวบางโครงการออกไป และยังคงเน้นระบายสต็อกที่ยังคงเหลือขายในตลาด  โดยเฉพาะจำนวนห้องชุดในส่วนที่ก่อสร้างเสร็จและเหลือขาย  ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการกังวลใจเป็นอย่างมากในปัจจุบัน   สำหรับในช่วงไตรมาสสุดของปีนี้คอลลิเออร์สฯ คาดว่า จะมีจำนวนห้องชุดคอนโดฯ เปิดขายใหม่อีกว่า 15,000 ยูนิตเข้ามาในตลาด เนื่องจากเป็นโครงการที่เลื่อนการเปิดตัวมาในช่วงก่อนหน้า และผู้ประกอบการมีความจำเป็นที่จะต้องเปิดตัวให้ทันภายในปีนี้ เพื่อไม่ให้กระทบกับแผนพัฒนาโครงการในปีต่อไปมากเกินไป   ยอดขายไตรมาส 3 เพิ่มขึ้น 5% แม้จำนวนการเปิดโครงการใหม่ลดลง  แต่พบว่า  อัตราการขายโครงการคอนโดฯ  ที่เปิดตัวใหม่ในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ 5% จากในช่วงไตรมาสก่อนหน้า แต่ก็ยังเป็นจำนวนที่ลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า  ในอัตราถึง 19%  โดยมีอัตราการขายเฉลี่ยอยู่ที่ 45% หรือประมาณ 4,978 ยูนิต  ซึ่งผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ยังขายได้มากที่สุดในสัดส่วน 68%   แม้ว่า การซื้อขายโครงการคอนโดฯ ที่เปิดขายใหม่จะไม่ร้อนแรงเหมือนในอดีต แต่ก็ยังเห็นบางโครงการสามารถเปิดการขายได้อย่างรวดเร็ว  ซึ่งสาเหตุสำคัญมาจากราคาขายที่ค่อนข้างต่ำกว่าราคาตลาด และเน้นขายความแตกต่างของรูปแบบโครงการ ซึ่งตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ ทำให้ได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ซื้อเป็นจำนวนมาก ถึงกับมีการต่อคิวจองกันก่อนโครงการเปิดขายกว่า 5 ชั่วโมง  ขณะเดียวกันก็มีบางโครงการ  ที่ผู้ประกอบการได้นำโครงการเก่าที่สร้างแล้วเสร็จ  มาจัดโปรโมชั่นพิเศษลดราคาเพื่อระบายสต็อกคงค้างด้วยเหมือนกัน   ลักษณะของโครงการที่เปิดขายในไตรมาสที่ 3 หลายโครงการเป็นโครงการขนาดใหญ่  มีจำนวนยูนิตขายมากกว่า 1,000 ยูนิต  ตั้งอยู่ในพื้นที่แนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง  โดยเฉพาะเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงพระราม 9 รามคำแหง มีผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์เข้าไปพัฒนาจำนวนมาก และยังมีผู้ประกอบการอีกหลายราย กำลังอยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบโครงการ   เพื่อเข้าไปพัฒนาโครงการใหม่บนทำเลดังกล่าวในอนาคตด้วย   คอนโดฯ หลุดดาวน์-กู้ไม่ผ่าน 15-20% โครงการคอนโดฯ หลายโครงการ ที่เคยปิดการขายตั้งแต่ช่วงพรีเซลล์ แต่เมื่อโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จ และจดทะเบียนอาคารชุด  กลับพบว่ามียูนิตหลุดดาวน์ที่ผู้ประกอบการ ต้องนำยูนิตเหล่านั้นกลับมาขายใหม่อีกกว่า 15 -20% ซึ่งยูนิตเหล่านั้นเกิดจากการทิ้งดาวน์ หรือแม้กระทั้งมีลูกค้าหลายรายที่ธนาคารไม่ปล่อยสินเชื่อ  ส่งผลให้กลุ่มลูกค้าดังกล่าวต้องคืนห้องให้กับทางโครงการ  เพื่อนำกลับมาขายใหม่อีกครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นอีกปัญหาที่ผู้ประกอบการหลายรายต่างกังวลใจในขณะนี้   จำนวนที่ยังคงเหลือขายในตลาด ตอนนี้มีอยู่ประมาณ 55,000  ยูนิต  และกลายเป็นเรื่องที่ผู้ประกอบการทุกรายกังวลมากพอสมควร เพราะว่าผู้ประกอบการทุกรายจำเป็นต้องขยายตัวทุกๆ ไตรมาส พวกเขาไม่สามารถชะลอการเปิดขายโครงการใหม่ และเร่งปิดการขายยูนิตเหลือขายก่อน ผู้ประกอบการจึงจำเป็นต้องสร้างความแตกต่างให้กับโครงการตัวเอง  ทั้งเรื่องการออกแบบ รูปแบบโครงการ รูปแบบห้อง รวมไปถึงพื้นที่ส่วนกลางชั้นบนสุด เป็นต้น เพื่อดึงดูดผู้ซื้อ   นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังพยายามหาช่องทางในการขาย  ให้กับผู้ซื้อและนักลงทุนชาวต่างชาติ ก่อนเปิดขายคนไทย แม้ว่าโครงการคอนโดฯ หลายโครงการที่เปิดขาย มีราคาขายสูงกว่าราคาขายเฉลี่ยของโครงการอื่นๆ ในทำเลนั้น   บิ๊กอสังหาฯ ยังขายดีกว่ารายเล็ก   การขายโครงการคอนโดฯ ที่เปิดขายใหม่ ในช่วงไตรมาส 3 ที่ผ่านมามีประมาณ 4,978 ยูนิต จากจำนวนโครงการเปิดใหม่ทั้งหมด แต่ถ้าเปรียบเทียบกัน ระหว่างผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์  พบว่า สามารถขายได้ดีกว่าผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กเป็นอย่างมาก  โดยขายได้สัดส่วน 68% หรือประมาณ 3,383 ยูนิต  ส่วนผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก ขายได้ประมาณ 22% หรือ 1,595 ยูนิต   สิ่งที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นว่า ผู้ประกอบการรายใหญ่ มีกลยุทธ์การตลาด การจัดกิจกรรมเพื่อประชาสัมพันธ์โครงการที่ดี และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากกว่า  นอกจากนี้ ผู้ประกอบการรายใหญ่บางรายยังมีการเปิดการขายรอบ VVIP สำหรับนักลงทุนหรือลูกค้ากลุ่ม VIP ในราคาพิเศษก่อนที่จะเปิดขายอย่างเป็นทางการด้วย   คอนโดฯ เปิดขายใหม่ในเขตกรุงเทพฯ ณ ไตรมาสที่ 3 ปี 2562 มีอัตราการขายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 45% จาก 11,059 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้าประมาณ 5% แต่ปรับลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 19%  สำหรับราคาคอนโดฯ ที่ขายดี จะเป็นห้องชุดในระดับราคา 100,000 – 200,000 บาท ต่อตารางเมตร มีอัตราขายเฉลี่ยมากที่สุดถึง 47% จากยูนิตที่ขายได้ทั้งหมด  รองลงมา คือ คอนโดฯ ที่มีราคาเฉลี่ยต่ำกว่า 100,000 บาทต่อตารางเมตรมีอัตราขายประมาณ 40% สะท้อนให้เห็นว่าตลาดในช่วงระดับกลาง ถึงกลาง – บน ในทำเลแนวเส้นทางรถไฟฟ้ายังคงเป็นช่วงระดับราคาที่ลูกค้าให้สนใจ  ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงระดับราคาที่ผู้ประกอบการมีการพัฒนาออกมาเป็นจำนวนมากก็ตาม   โดยราคาขายเฉลี่ยของคอนโดฯ เปิดใหม่ในไตรมาสที่ 3 พบว่า อยู่ที่ประมาณ 126,530 บาทต่อตารางเมตร ราคาเฉลี่ยลดลงประมาณ 14.7% จากไตรมาสก่อนหน้า​ เนื่องจากโครงการที่เปิดขายส่วนใหญ่ หรือระมาณ 61% ตั้งอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นนอก และพบว่ามากกว่า 40% หรือประมาณ 4,509 ยูนิตที่เปิดขายใหม่ มีระดับราคา 50,000 – 100,000 บาทต่อตารางเมตร ขณะที่คอนโดฯ ระดับราคา 100,000 – 150,000 บาทต่อตารางเมตร มีจำนวนเปิดใหม่สัดส่วน 47% หรือประมาณ 5,241 ยูนิต และพบว่ากว่า 430 ยูนิตของโครงการคอนโดฯ เปิดใหม่ มีราคาขายสูงกว่า 250,000 บาทต่อตารางเมตร ซึ่งมีบางโครงการในทำเลย่านหลังสวน มีระดับราคาขายเฉลี่ยมากกว่า 457,000 บาทต่อตารางเมตร  ซึ่งได้รับความสนใจจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี   สำหรับคอนโดฯ ในพื้นที่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า BTS มีราคาขายมากว่า 250,000 บาทต่อตารางเมตรไปแล้ว มีแนวโน้มพัฒนาออกมาอย่างต่อเนื่องทุกไตรมาส เนื่องจากราคาที่ดินในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน มีการปรับตัวค่อนข้างสูง และมีค่อนข้างมีจำกัด ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนการพัฒนาที่ค่อนข้างสูงสะท้อนกลับมาสู่ราคาขาย ที่จำเป็นต้องมีการปรับเพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกัน   บิ๊กดีเวลลอปเปอร์ เพิ่มพอร์ตลูกค้าต่างชาติ   ช่วงที่ผ่านมา จะพบว่า ผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ สามารถสร้างยอดขายได้ดีกว่าผู้ประกอบการรายเล็ก เนื่องจากมีกลยุทธ์การตลาดและเข้าถึงได้ดีกว่า และยังมีปัจจัยที่ทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่สร้างผลงานได้ดี  คือ การมองหากลุ่มเป้าหมายใหม่ที่มีกำลังซื้อ​ ในภาวะที่กำลังซื้อคนไทยชะลอลง โดยเฉพาะกำลังซื้อชาวต่างชาติในเอเซีย  มีผู้ประกอบการหลายรายนำโครงการไปขายในต่างประเทศ มีการร่วมมือกับบริษัทนายหน้าต่างชาติ ทำตลาดและขายโครงการโควต้าของชาวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าความร้อนแรงของกลุ่มซื้อต่างชาติ เริ่มชะลอตัวลงในช่วงที่ผ่านมาก็ตาม   โครงการที่ขายดี พบว่าเป็นโครงการที่อยู่ตามแนวถนนสุขุมวิทและรัชดาภิเษก เพราะเป็นพื้นที่ศูนย์กลางเขตธุรกิจ ขณะเดียวกัน ยังมีผู้ประกอบการหลายราย สามารถขายโครงการ ที่อยู่ในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า ที่กำลังก่อสร้างให้กับผู้ซื้อชาวต่างชาติได้ด้วย แสดงให้เห็นว่า ยังมีหลายโครงการที่ลูกค้าชาวต่างชาติให้ความสนใจ   แนวรถไฟฟ้า ยังเป็นทำเลฮอต !! เปิดคอนโดฯ   ทำเลที่มีการพัฒนาคอนโดฯ มากที่สุดในช่วงไตรมาส 3 คือ พื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นนอก ซึ่งมีจำนวน 6,477 ยูนิต หรือสัดส่วน 61% ของจำนวนที่เปิดขายใหม่ มีคอนโดฯ158 ยูนิตเท่านั้น ที่เปิดตัวในพื้นที่เมืองชั้นใน ในพื้นที่สาทร, สีลม, สุขุมวิทตอนต้น  สำหรับพื้นที่นอกเมืองด้านทิศตะวันตก ได้แก่  ย่านกรุงธนบุรี – กัลปพฤกษ์  ก็เป็นอีกทำเล  ได้รับความนิยมจากผู้ประกอบการ  สนใจเข้าไปพัฒนากันเป็นจำนวนมาก  โดยเฉพาะในพื้นที่บริเวณรอบๆ สถานีบีทีเอสตลาดพลู พบว่า ทั้งผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์  และผู้ประกอบการรายใหม่  ให้ความสนใจเข้าไปพัฒนาโครงการเป็นจำนวนมาก และอีกหลายโครงการอยู่ระหว่างการพัฒนา และเตรียมเปิดขายในอนาคตอีกกว่า 5,000 ยูนิตด้วย   สำหรับแนวรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน เป็นแนวเส้นทางรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ที่ถือว่ามีผู้ประกอบการพัฒนาคอนโดฯ มากที่สุดในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ซึ่งพัฒนาแล้วกว่า 37,197 ยูนิต คิดเป็น  25.7% แผนกวิจัย คอลลิเออร์สฯ เห็นว่า ตลาดคอนโดฯ แนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีส้ม โดยเฉพาะช่วงพระราม 9 รามคำแหง ลำสาลี  สายสีเหลือง และสายสีชมพู เป็นแนวเส้นทางที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีโครงการคอนโดฯ อีกเป็นจำนวนมาก   มาตรการ LTV เชื่อว่าจะยังคงส่งผล ทำให้ความร้อนแรงในตลาดคอนโดฯ ลดลงอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อถึงจุดหนึ่งที่สภาวะตลาดปรับตัวได้  การซื้อขายคอนโดฯ คงเกิดขึ้นจากความต้องการจริงๆ แต่จะถึงช่วงเวลานั้นเมื่อไร คงไม่มีใครบอกได้ แต่ถ้าตลาดแย่เอามากๆ ภาครัฐคงจะต้องมีมาตรการอะไรบางอย่างมาช่วยเหลือผู้ประกอบการ แต่ทั้งนี้คงยังไม่มีใครบอกได้ว่าจะเปิดอะไรขึ้นบ้าง เราคงได้แต่ต้องติดตามข่าวสารกันต่อไป  
พฤกษา ลุยตลาดบ้านเดี่ยวหรู ส่งแบรนด์ “เดอะปาล์ม” หวังครองตลาดทุกเซ็กเมนต์  

พฤกษา ลุยตลาดบ้านเดี่ยวหรู ส่งแบรนด์ “เดอะปาล์ม” หวังครองตลาดทุกเซ็กเมนต์  

พฤกษาเดินหน้าลุยตลาดบ้านเดี่ยวระดับบน หวังกระจาย Portfolio ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ เพื่อติด Top 3 ของกลุ่มบ้านเดี่ยวระดับบน ปั้นแบรนด์ “เดอะปาล์ม” ในกลุ่มบ้านเดี่ยวหรูลักซ์ชัวรี่ระดับราคา 10-20 ล้านบาท ในทำเลศักยภาพสูง ติดวงแหวนกาญจนาฝั่งตะวันออก ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ   นายปิยะ ประยงค์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท-แวลู บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจและปัจจัยที่เข้ามาผลกระทบ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้ภาวะตลาดเกิดการชะลอตัว โดยเฉพาะตลาดบ้านเดี่ยวปีนี้ติดลบ 10% ส่วนใหญ่จะติดลบมาจากบ้านเดี่ยวในกลุ่มราคาต่ำกว่า 5 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็นกลุ่มระดับราคาที่พฤกษา เป็นเจ้าตลาดบ้านเดี่ยวกลุ่มนี้อยู่ ทำให้ในปีนี้พฤกษาปรับลดการเปิดโครงการแนวราบจาก แผนที่วางไว้เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา จะเปิดโครงการจำนวน  20 โครงการ ลดลงเหลือ 15 โครงการ   นอกจากนี้ บริษัทยังได้ขยายฐานลูกค้าไปยังตลาดระดับบนมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นการเสริม Portfolio ของกลุ่มบ้านเดี่ยวให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น  จึงหันกลับมาลุยตลาดบ้านเดี่ยวหรูระดับลักซ์ชัวรี่ ในกลุ่มระดับราคา 10-20 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ “เดอะปาล์ม” ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยผลักดันให้พฤกษาครองตลาดบ้านเดี่ยวได้อย่างต่อเนื่อง โดยเน้นทำเลที่มีศักยภาพสูง อย่างย่านวงแหวนกาญจนาฝั่งตะวันออก สำหรับโครงการล่าสุด ได้เปิดตัว “เดอะปาล์ม กรุงเทพกรีฑา-วงแหวน” บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ มูลค่า  1,400 ล้านบาท ถือเป็นโครงการที่ 3 สำหรับแบรนด์เดอะปาล์ม โดยก่อนหน้านี้เปิดโครงการ เดอะปาล์ม กระทู้-ป่าตอง และ เดอะปาล์ม พัฒนาการ 38 ซึ่งได้รับกระแสตอบรับดีเยี่ยม สามารถปิดการขายได้ 100%  แล้ว   นายปิยะ  กล่าวอีกว่า  บริษัทยังมีแผนเปิดโครงการ  ภายใต้แบรนด์เดอะปาล์มเพิ่มอีก 2 โครงการ คือ  เดอะปาล์ม ชัยพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ มูลค่า 1,680 ล้านบาท และ เดอะปาล์ม บางนา-วงแหวน มูลค่าโครงการ 1,370 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายในอนาคตต้องการผู้นำตลาด 1 ใน 3 หรือ  Top 3 ของผู้พัฒนาบ้านเดี่ยวในกลุ่มระดับบน สำหรับโครงการ “เดอะปาล์ม กรุงเทพกรีฑา-วงแหวน” ว่า เป็นโครงการบ้านเดี่ยวหรูระดับลักซ์ชัวรี่ มีมูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท ออกแบบภายใต้แนวคิด “A Refined Living in Perfection” ตอบสนองการใช้ชีวิตแบบลักซ์ซัวรี่ ด้วยสังคมคุณภาพเพียง 91 ยูนิต มีแบบบ้านให้เลือกทั้งหมด 3 Type ได้แก่   ARECA 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 222 ตารางเมตร บนที่ดินเริ่มต้น 66 ตารางวา LIVISTONA 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 253 ตารางเมตร  บนที่ดินเริ่มต้น 72 ตารางวา LATANIA 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 2-3 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 292 ตารางเมตร บนที่ดินเริ่มต้น 80 ตารางวา
รวมอีเว้นท์ประจำเดือนตุลาคม 2562

รวมอีเว้นท์ประจำเดือนตุลาคม 2562

เข้าสู่ช่วงปลายปีที่มักจะมีวันหยุดมากเป็นพิเศษ ถ้าว่างๆ ก็ลองออกไปหาแรงบันดาลใจด้วยการหาอีเว้นท์เดินเล่นชิวๆ ดูค่ะ   งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 24 กลับมาอีกครั้งกับงานที่หลายคนรอคอยที่จะหอบหิ้วหนังสือกลับบ้านไปเป็นกองอีกเช่นเคยกับงาน งานมหกรรมหนังสือระดับชาติครั้งที่ 24 และ เทศกาลหนังสือเด็กและเยาวชนครั้งที่ 13 กับธีมงาน "หนังสือดีมีชีวิต" มีทั้งหนังสือดีทรงคุณค่า หนังสือลดราคาสูงสุดถึง 90% นวัตกรรมสื่อการศึกษารูปแบบใหม่ๆ พร้อมทั้งกิจกรรมสาระและบันเทิงอีกคับคั่ง   วัน เวลา : 2-13 ตุลาคม 2562 สถานที่ : ชาเลนเจอร์ 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี   Concert Theatre การกุศล “ภาพสุดท้าย, Everlasting” คอนเสิร์ตเพื่อระดมทุนมอบให้กับศูนย์บริรักษ์ (ศูนย์ดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย) รพ.ศิริราช โดยจะมีงานนิทรรศการ Hall of Death ส่วนการแสดงนำโดยศิลปินหัวใจจิตอาสาคับคั่ง  อาทิ  “สุเมธ องอาจ” , ซาร่า-นลินธารา โฮเลอร์ (ซาร่า เอเอฟ 3) , ลูกหว้า-พิจิกา จิตตะปุตะ ,โดม-จารุวัฒน์ เชี่ยวอร่าม (โดม เดอะสตาร์ 8) ฯลฯ โดยจะเริ่มเวลา 17:00 น. ซื้อบัตรได้ที่ Thaiticketmajor รายได้จากการขายบัตรทั้งหมดไม่หักค่าใช้จ่าย และนอกจากกิจกรรมซื้อบัตรชมคอนเสิร์ตการกุศลในครั้งแล้ว ยังสามารถร่วมบริจาคได้ที่ ศิริราชมูลนิธิ ตึกมหิดลบำเพ็ญ ชั้น 1 รพ.ศิริราช หรือบริจาคผ่านธนาคารเข้าบัญชี “ศิริราชมูลนิธิ” กองทุนศูนย์บริรักษ์ (D002918)   วัน เวลา : 6 ต.ค. 2562 เวลา 15.30 น. สถานที่ : โรงละคร เคแบงก์ สยามพิฆเนศ   Thailand Mobile Expo 2019 มหกรรมโทรศัพท์มือถือที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ อัพเดทเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดบนสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต แก็ดเจ็ท และอุปกรณ์เสริมต่างๆ ยิ่งช่วงปลายปีแบบนี้หลายค่ายก็ขนเอารุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวมาจัดโปรโมชั่นพิเศษสุดคุ้ม ทั้งผ่อน 0% ได้ Cash Back และของแถมจัดเต็มที่หาไม่ได้จากที่ไหนอีกแล้ว   วัน เวลา :  3-6 ตุลาคม 2562 สถานที่ : ฮอลล์ 98-99 ไบเทค บางนา   Baan&Beyond EXPO 2019 ที่สุดของมหกรรมสินค้าบ้านที่รวมสินค้าเอาไว้มากมาย เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ห้องน้ำ ห้องนอน ห้องครัว ต้นไม้ของแต่งสวน อุปกรณ์กีฬา สินค้าแฟชั่น และบริการ ด้วยสินค้ากว่า 500 แบรนด์ดัง พร้อมโปรโมชั่นเด็ด ส่วนลดสูงสุดถึง 80% ลุ้นสิทธิ์แลกซื้อสินค้า 1 บาท สินค้า HOT PRICE ราคาพิเศษเฉพาะในงาน 10 วัน หมดแล้วหมดเลย ร่วมกับโปรโมชั่นแรงช้อป 10,000 ลด 10,000 ช้อปครบรับเพิ่มทองคำสูงสุด 5 บาทหรือคูปองเงินสด 100,000 ลด+รับเพิ่ม สูงสุด 47% กับบัตรเครดิต เซ็นทรัล เดอะวัน และลุ้นบินลัดฟ้าเที่ยวญี่ปุ่นฟรี     วัน เวลา : 4-13 ตุลาคม 2562 10.00 - 22.00 น. (วันเสาร์-อาทิตย์ สุดท้ายเปิดถึงเที่ยงคืน) สถานที่ : Hall 101-104 ไบเทค บางนา   SmartHeart presents Thailand International Pet Variety Exhibition ครั้งที่ 9 งานสำหรับคนรักสัตว์โดยเฉพาะ ภายในงานพบสินค้าลดราคา End of Season Sale ทั้งขนม แชมพู เวชภัณฑ์สำหรับสัตว์ และหลากหลายเครื่องประดับที่มีสไตล์ เครื่องแต่งกายที่แสนน่ารัก รวมไปถึงสินค้าที่จะดูแลสุขภาพสัตว์เลี้ยง กับร้านค้ามากกว่า 200 ร้านค้า และเพลิดเพลินไปกับการประกวดและกิจกรรมสุดพิเศษที่จะโชว์ความสามารถมากมาย เช่น สุนัข นก ปลา กระต่าย และเหล่าสัตว์พิเศษอย่าง Exotic Pet   วัน เวลา : 3-6 ตุลาคม 2562 10.00-20.00 น. สถานที่ : Hall 7-8 อิมแพ็ค เมืองทองธานี   MUJI Poster Archive Exhibition MUJI ได้ก่อตั้งขึ้นมาครั้งแรกในประเทศญี่ปุ่นในฐานะฝ่ายต่อต้านความบริโภคนิยม นับเป็นช่วงที่แนวคิดแบบทุนนิยมกลายเป็นหัวหอกของระบบสังคมในญี่ปุ่น จึงได้พยายามที่จะแก้ไขรูปแบบความคิดเช่นนี้ ผ่านแนวคิดของการรวมตัวกันระหว่าง “ไร้ซึ่งอัตลักษณ์” และ “สินค้าคุณภาพ” จวบจนปัจจุบัน สำหรับงาน MUJI Poster Archive Exhibition เป็นการจัดแสดงสื่อโฆษณาตั้งแต่ช่วงปี 1980 ต้นกำเนิด MUJI ไปจนถึงปลายปี 1990   วัน เวลา : 1-11ตุลาคม 2562 10.00-22.00 น. สถานที่ : Samyan Mitrtown   Irish Film Festival 2019 ใครที่ชื่นชอบหนังนอกกระแสหาชมยาก ลองเข้ามาชมภายในงาน Irish Film Festival 2019 ที่ทางสถานทูตไอร์แลนด์แห่งประเทศไทยจัดขึ้น โดยนำเอา 3 ภาพยนตร์หลากหลายอารมณ์ ในราคาเพียงเรื่องละ 120 บาท   วัน เวลา : 4-6 ตุลาคม 2562 20.30-21.30 น. สถานที่ : BKKSR ชั้น 2 ซ.ศาลาแดง 1      
รวมโปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เดือนตุลาคม 2562

รวมโปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เดือนตุลาคม 2562

เข้าสู่ช่วงไตรมาสสุดท้าย ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาที่เหล่า Developer ต่างก็ขนสินค้าที่มีในสต็อก ทั้งบ้าน ทาวน์โฮม คอนโด ออกมาจัดโปรโมชั่นกระหน่ำกัน เริ่มกันตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป จับตาดูให้ดีค่ะ! เผื่อจะได้โปรโมชั่นคุ้มราคาที่เหมาะสมกับเรา     Ananda x Shopee “10.10 Hot Deal” กลับมาอีกครั้ง!! กับแคมเปญ Ananda x Shopee “10.10 Hot Deal” พบกับ 10 โครงการในทำเลเมือง ทั้งคอนโดใกล้รถไฟฟ้าและทาวน์โฮม คุ้มค่าด้วยราคาสุดพิเศษ ห้ามพลาด!! ภายใต้แบรนด์คุณภาพ อาทิ ไอดีโอ โมบิ/ ยูนิโอ และ ยูนิโอ ทาวน์ ราคาเริ่มต้น 1.19 -4.99 ลบ* พร้อมกับโปรโมชั่นพิเศษสุด อาทิ จอง 1,010 บาท ลดเพิ่มสูงสุด 1,000,000 บาท** จ่ายเพียง 10 บาท รับ Voucher ส่วนลด 50,000 บาท** พิเศษสุด!!ทุกยูนิตรับฟรี! iPad 7th GEN* (ตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนด) ราคานี้เฉพาะ Shopee เท่านั้น!!! พบกับดีลที่ดีที่สุด จำนวนจำกัด ตั้งแต่วันที่ 1–31 ตุลาคม นี้   “เรซิโอ-โฮม  (วงแหวน-รามอินทรา)” 10 หลังสุดท้าย จองด่วน!! ทาวน์โฮม 2 ชั้น พร้อมเฟอร์บิ้วอิน กว่า 4 แสนบาท ในราคาเริ่มต้น 2.9 ล้านบาท*   เรซิโอ-โฮม (วงแหวน-รามอินทรา) ทาวน์โฮม 2 ชั้น ฟังก์ชันบ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน บนทำเลศักยภาพ ติดทางด่วนกาญจนาภิเษก (ทางด่วนหมายเลข 9) ฝั่งขาเข้า ใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีคู้บอนเพียง 89 ยูนิต ของดีมีน้อย เหลือเพียง 10 ยูนิตสุดท้ายเท่านั้น จัดแคมเปญไฟนอลคอลล์ (Final Call) ในราคาเริ่มต้นเพียง 2.9 ล้านบาท*  เฉพาะลูกค้าลงทะเบียนออนไลน์ รับข้อเสนอพิเศษ เฟอร์นิเจอร์บิลท์อินพร้อมส่วนลด มูลค่ารวม 400,000.-* ทันที!   ศุภาลัย ใส่เต็มแม็กซ์ แจกคูณ 3 %* ศุภาลัยจัดโปรโมชั่นสำหรับทุกโครงการ ทุกช่วงราคาของศุภาลัย สำหรับการจอง+สัญญา ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2562 และ โอนฯภายในวันที่ 20 ธันวาคม 2562 ได้แก่   สำหรับบ้านหรือคอนโดฯ ที่มีมูลค่าต่ำกว่าหรือเท่ากับ 2,500,000 บาท/แปลง จอง 30 บาท +สัญญา 9,970 บาท ฟรี! Gift Voucher Central มูลค่า 3% คำนวณจากราคาสุทธิ ฟรี! ค่าธรรมเนียมโอนกรรมสิทธิ์ กู้ไม่ผ่านยินดีคืนเงิน สำหรับบ้านหรือคอนโดฯ ที่มีมูลค่าต่ำกว่าหรือเท่ากับ 2,500,001-5,000,000 บาท/แปลง จอง 30 บาท +สัญญา 19,970 บาท ฟรี! Gift Voucher Central มูลค่า 3% คำนวณจากราคาสุทธิ ฟรี! ค่าธรรมเนียมโอนกรรมสิทธิ์ กู้ไม่ผ่านยินดีคืนเงิน สำหรับบ้านหรือคอนโดฯ ที่มีมูลค่าต่ำกว่าหรือเท่ากับ 5,000,001-7,500,000 บาท/แปลง จอง 30 บาท +สัญญา 29,970 บาท ฟรี! Gift Voucher Central มูลค่า 3% คำนวณจากราคาสุทธิ ฟรี! ค่าธรรมเนียมโอนกรรมสิทธิ์ กู้ไม่ผ่านยินดีคืนเงิน   สำหรับบ้านหรือคอนโดฯ ที่มีมูลค่า 7,500,001 บาท ขึ้นไป/แปลง จอง 30 บาท +สัญญา 49,970 บาท ฟรี! Gift Voucher Central มูลค่า 3% คำนวณจากราคาสุทธิ ฟรี! ค่าธรรมเนียมโอนกรรมสิทธิ์ กู้ไม่ผ่านยินดีคืนเงิน   Made from HER EXPO พาเธอมาเจอดีลดี จอง 999 บาท* กู้เต็ม ฟรีโอน พร้อมอยู่ รับเลย Samsung Galaxy Note 10* เมื่อจองตั้งแต่ 26 ก.ย.-20 ต.ค. 62 ที่ Sale Gallery โครงการนิช ไพรด์ เตาปูน-อินเตอร์เชนจ์, นิช ไพรด์ ทองหล่อ-เพชรบุรี, นิช โมโน สุขุมวิท-แบริ่ง, นิช โมโน สุขุมวิท-ปู่เจ้า, นิช โมโน รัชวิภา, นิช ไอดี แอท ปากเกร็ด สเตชั่น, นิช ไอดี พระราม2, นิช ไอดี พระราม 2-ดาวคะนอง, นิช ไอดี เพชรเกษม-บางแค, นิช ไอดี สุขุมวิท 113, นิช ไอดี เสรีไทย-วงแหวน, เดอะคิทท์ ติวานนท์, เดอะคิทท์ ไลท์ บางกะดี–ติวานนท์, เดอะคิทท์ พลัส พหลโยธิน-คูคต, เดอะคิทท์ รังสิต-ติวานนท์, เสนาพาร์ค แกรนด์ รามอินทรา, เสนาพาร์ค วิลล์ รามอินทรา-วงแหวน, เสนา วิลล์ บรมราชชนนี-สาย 5, เสนาทาวน์ นวมินทร์, เสนาทาวน์ รามอินทรา, เสนา ช็อปเฮ้าส์ บางแค-เทิดไท, เสนา ช็อปเฮ้าส์ พหลโยธิน-คูคต และเสนา อเวนิว บางกะดี-ติวานนท์   XT EXTEND YOUR LEISURE เลือกรับข้อเสนอพิเศษ Special Lifestyle Packages จาก XT คอนโดมิเนียม ทั้ง 3 ทำเล เอกมัย ห้วยขวาง และพญาไท ที่ให้คุณเลือกได้ทั้งรับส่วนลดเงินจอง หรือจะออกไปสัมผัสไลฟ์สไตล์แบบเต็มๆ กับแพ็กเกจ กิน เที่ยว หลากหลายสไตล์ วันนี้-31 ต.ค. 62   Chapter One Shine Bangpo จัดโปรโมชั่น Pay Less Get More จองวันนี้ อยู่ฟรี 1 ปี Chapter One Shine Bangpo คอนโดวิวแม่น้ำ แต่งครบ ใกล้ MRT บางโพ เริ่ม 1.89 ล้านบาท* จัดโปร Pay Less Get More จองวันนี้ อยู่ฟรี 1 ปี ฟรี!! ค่าใช้จ่ายวันโอน 7 รายการ รับเพิ่ม 3 ต่อ รวมมูลค่ากว่า 1,000,000 บาท* ส่วนลดสูงสุด 600,000 บาท* ฟรี!! เฟอร์นิเจอร์ครบเซ็ต* ผ่อนถูกกว่าเช่า ผ่อนแบงค์เพียงล้านละ 1,000 บาท/เดือน* เพียง 20 ยูนิตเท่านั้น วันนี้-6 ต.ค. นี้   “คาซ่า ซิตี้ รามคำแหง-มิสทีน” ทาวน์โฮมหรู เปิดเฟสใหม่ จองในงาน! รับโปร+ส่วนลดสูงสุด 3 แสนบาท* “คาซ่า ซิตี้ รามคำแหง-มิสทีน” ทาวน์โฮมหรูจาก Q House ใกล้รถไฟฟ้าสายสีส้ม สถานีราษฎร์พัฒนา(อนาคต) ประมาน 1.1 กม.* และรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีมีนบุรี (อนาคต) ประมาณ 4.7 กม.* มาพร้อมนวัตกรรมบ้านประหยัดพลังงาน Sustainable Living Innovation ครบครันด้วย สวนส่วนกลาง คลับเฮ้าส์ สระว่ายน้ำ เตรียมเปิดเฟสใหม่ 5-6 ตุลาคม 62 จองในงาน! รับโปร+ส่วนลดสูงสุด 3 แสนบาท*      
“ชนินทร์” ทุ่ม 180 ล้าน เปิด 2 โชว์รูมรับตลาดเฟอร์นิเจอร์ไฮเอนด์ 

“ชนินทร์” ทุ่ม 180 ล้าน เปิด 2 โชว์รูมรับตลาดเฟอร์นิเจอร์ไฮเอนด์ 

“ชนินทร์” เดินหน้าขยายธุรกิจเฟอร์นิเจอร์  เตรียม 180 ล้าบาท เปิด 2 โชว์รูมใหม่ รับการเติบโตตลาดเฟอร์นิเจอร์หรู พร้อมเพิ่มแบรนด์สินค้าใหม่อีก 5 แบรนด์บุกตลาดไฮเอนด์ ​ เล็งจับมือดีเวลลอปเปอร์สร้างบ้านพร้อมตกแต่งขาย   นายชนินทร์ สิริสันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชนินทร์ ลิฟวิ่ง จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางตลาดค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์ว่า มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมามีการเติบโตในอัตราเฉลี่ย 10-15%  ปัจจุบันตลาดค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์ชนิดใช้ในครัวเรือนมีมูลค่าประมาณ 40,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นมูลค่าตลาดจากผู้เล่นหลักรายใหญ่ 4 ราย ได้แก่ แบรนด์อินเด็กซ์ อิเกีย เอสบีเฟอร์นิเจอร์ และชนินทร์ ซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 50% ของตลาดหรือมีมูลค่า 20,000 ล้านบาท ส่วนที่เหลือเป็นผู้ประกอบการค้าปลีกทั่วไป  สำหรับทิศทางตลาดเฟอร์นิเจอร์ในปีนี้ ยังเชื่อว่าจะเติบโตในอัตราดังกล่าว  เนื่องจากยังมีความต้องการใช้เฟอร์นิเจอร์ และการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์   โดยตลาดค้าปลีกเฟอร์นิเจอร์ปัจจุบัน  เป็นกลุ่มสินค้าระดับไฮเอ็นด์คิดเป็นมูลค่า 4,300 ล้านบาท บริษัทถือว่าเป็นผู้เล่นหลักในกลุ่มสินค้าไฮเอ็นด์  มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 28% คิดเป็นมูลค่ารายได้ในปีที่ผ่านมา 1,208 ล้านบาท เติบโตประมาณ​ 20% จากปีก่อนหน้าที่มีรายได้ 1,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีผลประกอบการเติบโตมาอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 15-20% เช่นกัน  แต่บางปีสามารถทำผลประกอบการเติบโตได้ถึง 20% เนื่องจากกลุ่มผู้บริโภคให้ความสำคัญกับงานดีไซน์มากขึ้น รวมถึงผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ได้พัฒนาโครงการระดับไฮเอนด์เพิ่มมากขึ้น จึงต้องตกแต่งห้องให้แตกต่าง และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการ นายชนินทร์  กล่าวอีกว่า ทิศทางการดำเนินธุรกิจ บริษัทได้เพิ่มสินค้ากลุ่มสุขภัณฑ์ ภายใต้แบรนด์วอเตอร์เวิร์คส์ (Waterworks) จากประเทศสหรัฐอเมริกาเข้ามาทำตลาด เป็นแห่งแรกในเอเชีย รวมถึงการนำเข้าเฟอร์นิเจอร์ต่างๆ เฟอร์เพิ่มมากขึ้น  ซึ่งคาดว่าปีนี้จะทำรายได้ประมาณ 1,350 ล้านบาท และในปีหน้าตั้งเป้าหมายรายได้เพิ่มเป็น 1,500 ล้านบาท โดยวางแผนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ธุรกิจบริการการออกแบบ  ธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่ม และการนำเข้าแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ใหม่อีก 5 แบรนด์   ในปีหน้าบริษัทเตรียมเปิดโชว์รูมใหม่  2 แห่ง ได้แก่ 1.CHANINTR HOME (ชนินทร์ โฮม) ในซอยทองหล่อ เพื่อจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ ของแต่งบ้าน สินค้าไลฟ์สไตล์ และโชว์รูมของ Waterworks  รวมถึงร้านกาแฟ CHANINTR CAFE (ชนินทร์ คาเฟ่) และ 2.CHANINTR OFFICE (ชนินทร์ ออฟฟิศ) ในซอยสุขุมวิท 26  เพื่อจำหน่ายสินค้าเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งสำนักงาน จากแบรนชั้นนำต่างๆ และคอฟฟี่บาร์  เพื่อรองรับกับทิศทางการเติบโตของพื้นที่สำนักงาน และ Co-Working Space  ​ซึ่งบริษัทใช้งบลงทุนรวม 180 ล้านบาทในการเปิดโชว์รูมใหม่   นอกจากนี้ บริษัทยังวางแผนขยายธุรกิจให้บริการด้านการออกแบบ โดยจะร่วมกับดีเวลลอปเปอร์อสังหาฯ นำห้องชุดคอนโดมิเนียม หรือวิลล่า มาตกแต่งบ้านเพื่อจำหน่าย  รวมถึงบริษัทจะพิจารณาเลือกซื้ออสังหาฯ มาออกแบบตกแต่งเพื่อขาย หรืออาจจะเลือกซื้อที่ดินเพื่อก่อสร้างบ้าน และตกแต่งพร้อมเข้าอยู่ เพื่อสร้างการเติบโตต่อเนื่อง   ปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจนำเข้า และเป็นตัวแทนจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ระดับไฮเอนด์มากกว่า 30 แบรนด์มานาน 25 ปี มีโชว์รูมสินค้า 11 แห่ง ใน 4 ทำเล ได้แก่  สยามพารากอน, โนเบิล โซโล ทองหล่อ, อาคารจีพีเอฟ วิทยุ และสุขุมวิท 61 ดำเนิน 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1.ธุรกิจกลุ่มเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้าน และเฟอร์นิเจอร์สำนักงาน 2. ธุรกิจการบริการออกแบบ  และ 3.ธุรกิจกลุ่มร้านอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นร้านอาหารแนวคอมฟอร์ตฟู้ด และแพนเค้กชื่อดัง จากนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา ชื่อว่าร้านคลินตัน สตรีท เบคกิ้ง คอมพานี (Clinton St. Baking Company)      
[PR News] “พีดีเฮ้าส์” ออกแบบบ้านหนี้น้ำท่วม กระตุ้นยอดโค้งท้าย

[PR News] “พีดีเฮ้าส์” ออกแบบบ้านหนี้น้ำท่วม กระตุ้นยอดโค้งท้าย

ปัญหาน้ำท่วมกระทบลูกค้าชะลอการตัดสินใจสร้างบ้าน พีดีเฮ้าส์ เตรียมรับมือปลุกกำลังซื้อหลังน้ำลด  ชูแบบบ้านคอนเซปต์ “บ้านปกป้องน้ำท่วม”  ตอบโจทย์ลูกค้า  มั่นใจสิ้นปียอดขายทะลุ 1,200 ล้านบาท   นายพิศาล ธรรมวิเศษ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป จำกัด  ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ เปิดเผยว่า จากปัญหาฝนตกหนักติดต่อกันในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น จังหวัดขอนแก่น กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด ยโสธร และอุบลราชธานี ส่งผลให้บ้านเรือนประชาชนถูกน้ำท่วมขัง และประชาชนได้รับความเดือดร้อน ถนนหลายแห่งถูกตัดขาด ทำให้การขนส่งและเดินทางลำบากขึ้น ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจอยู่พอสมควรโดยเฉพาะในพื้นที่ที่ประสบภัย     สำหรับธุรกิจรับสร้างบ้านนั้นได้รับผลกระทบอยู่พอสมควร ทั้งจากกำลังซื้อผู้บริโภคชะลอตัว และการขนส่งวัสดุเกิดความล่าช้ากว่าปกติ ผู้ประกอบการต้องปรับตัวและมีแผนรองรับ เนื่องจากเส้นทางการจราจรบางเส้นทางถูกตัดขาดจากกระแสน้ำ รวมถึงผู้ประกอบการบางราย ต้องเผชิญปัญหาน้ำท่วมพื้นที่งานก่อสร้างจนได้รับความเสียหาย   ในส่วนของพีดีเฮ้าส์เองได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่มากนัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะใช้ระบบก่อสร้างเสา-คานสำเร็จรูปที่เรียกว่า “มัลติจอยท์ล็อคซิสเต็ม” (Multi-joint Lock System) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการผลิตและควบคุมคุณภาพมาจากโรงงาน จากนั้นจึงนำมาประกอบและติดตั้งที่พื้นที่ก่อสร้าง แม้ว่าจะมีฝนตกก็เป็นอุปสรรคไม่มาก  แต่มีอุปสรรคบ้างในเรื่องการขนส่งวัสดุ  เฉพาะในพื้นที่ที่เกิดปัญหาน้ำท่วม รวมถึง ลูกค้าตัดสินใจปลูกสร้างบ้านล่าช้าออกไป ซึ่งจะต้องรอให้สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ จึงจะประเมินผลกระทบที่ได้รับอีกครั้ง   ด้านนางสาวถิรพร สุวรรณสุต กรรมการบริหาร สายงานการตลาด บริษัท พีดี เฮ้าส์ อินเตอร์ เนชั่นแนล จำกัด ในฐานะผู้บริหารสิทธิ์แฟรนไชส์ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์น้ำท่วมในหลายพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อาจส่งผลให้ผู้บริโภคมีความกังวลต่อการตัดสินใจสร้างบ้านหลังใหม่อยู่บ้าง  ในช่วงไตรมาส 4  พีดีเฮ้าส์ ได้เตรียมนำเสนอแบบบ้าน ที่เหมาะสำหรับปลูกสร้างในเขตพื้นที่ที่มีโอกาสเผชิญกับปัญหาน้ำท่วมบ่อย เพื่อช่วยแก้ปัญหาและสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภค ที่ต้องการสร้างบ้านในพื้นที่ลักษณะดังกล่าว ภายใต้แนวคิด “Protex Home” หรือ “บ้านปกป้องน้ำท่วม”     โดยลักษณะบ้านเป็นการยกพื้นสูง โดยนำภูมิปัญญาของคนรุ่นก่อน มาประยุกต์กับงานออกแบบหรือดีไซน์สมัยใหม่ เน้นประโยชน์ใช้สอยสูงสุดในงบประมาณที่คุ้มค่า ทั้งนี้จะมีแบบบ้านให้เลือกปลูกสร้างจำนวน 8 แบบ ระดับราคา 3-4 ล้านบาทเศษ พื้นที่ใช้สอยขนาด 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ และที่จอดรถ 2-3 คัน โดยจะเน้นสื่อสารกับผู้บริโภคในแต่ละพื้นที่ พร้อม ๆ กับสร้างคอนเทนท์ให้ตรงใจกลุ่มเป้าหมายผ่านสื่อออนไลน์ (Online Marketing) ควบคู่กับการใช้ช่องทางสื่อสารแบบ 2 ทางบนโซเชียลมีเดีย เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงข้อมูลได้อย่างสะดวกและรวดเร็วมากที่สุด   “ไตรมาส 3 ที่ผ่านมา แม้ตลาดบ้านสร้างเองจะไม่เติบโต รวมทั้งในหลายพื้นที่ของประเทศยังประสบปัญหาน้ำท่วม จนทำให้กำลังซื้อผู้บริโภคชะลอตัวลงไปบ้าง แต่ตัวเลขยอดขายของศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ทั่วประเทศยังคงเติบโตต่อเนื่อง และคาดว่าสิ้นปี 2562 นี้จะสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้คือ 1,200 ล้านบาท อย่างแน่นอน” นางสาวถิรพร กล่าวสรุป  
บีซี พร็อพเพอร์ตี้ ชู 3 กลยุทธ์ เดินหน้าสู่ “Digital Property Agent Ecosystem”

บีซี พร็อพเพอร์ตี้ ชู 3 กลยุทธ์ เดินหน้าสู่ “Digital Property Agent Ecosystem”

“เอพี ไทยแลนด์” หนึ่งในผู้ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของเมืองไทย ที่มีรายได้มากกว่า 38,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นผู้เล่นรายใหญ่ระดับ Top 10 ซึ่งนอกจากมีการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพื่อขายแล้ว ยังมีธุรกิจที่เกี่ยวข้อง   ทั้ง บริษัท บางกอกซิตี้สมาร์ท จำกัด  ดำเนินธุรกิจเอเจนท์ พร็อพเพอร์ตี้ บริการด้านการซื้อ-ขาย-เช่า อสังหาฯ และ บริษัท สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมเนจเม้นท์ จำกัด  ซึ่งดำเนินธุรกิจพร็อพเพอร์ตี้ แมนเนจเมนท์  2 จิ๊กซอร์  สำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งและเติบโตให้กับ “เอพี ไทยแลนด์” ด้วย   เพื่อให้เครือเอพี ไทยแลนด์ เติบโตและมีศักยภาพทางด้านการแข่งขัน ในยุคที่ธุรกิจอสังหาฯ​ ต้องเผชิญกับความท้าทายหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีดิจิทัลที่เข้ามาดิสรับ มาตรการภาครัฐที่ออกกฎควบคุมระดับความร้อนแรงของธุรกิจ ภาวะเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอก เป็นตัวกดดันและส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อ การปรับตัวเพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อ และยังสร้างการเติบโตด้วย จึงเป็นสิ่งที่ทุกองค์กรต้องทำ ซึ่งบริษัท บางกอกซิตี้สมาร์ท จำกัด หรือ BC บริษัทในเครือเอพี ไทยแลนด์  ได้ปรับตัวเข้าสู่การเป็น “พร็อพเพอร์ตี้เอเจนท์” ที่ให้บริการแบบครบวงจร ผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มแบบเรียลไทม์   ปัจจุบัน บีซี ดำเนินธุรกิจใน 3 กลุ่มสำคัญ ได้แก่ 1.Resale Business ธุรกิจรีเซลล์ บริการรับฝากขายอสังหาริมทรัพย์ มีสินค้าขาย 20,000 ยูนิต มูลค่า 140,000 ล้านบาท  ในจำนวนดังกล่าวเป็นสินค้าในเครือเอพี ไทยแลนด์ 25% 2.Rental Business ธุรกิจรับฝากเช่าและสรรหาผู้เช่าอสังหาริมทรัพย์ มีสินค้าฝากเช่า 10,000 ยูนิต มูลค่า 3,960 ล้านบาท และ 3.Exclusive Sole Agent ธุรกิจการเป็นตัวแทนขายอสังหาฯ ใหม่ ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ  ในปีนี้มีโครงการใหม่ที่บริหารงานขาย  11 โครงการใหม่ ทำตลาดทั้งในประเทศจีน ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกงและสิงค์โปร์ ส่วนในปี 2560-2561 มีโครงการบริหารงานขาย 20 โครงการ     ชู 3 กลยุทธ์ สู่ผู้ให้บริการครบวงจร   เมื่อบีซี มีโจทย์สำคัญ คือการมุ่งสู่ผู้ให้บริการผ่านดิจิทัลแพลตฟอร์มแบบครบวงจร โดยมีเป้าหมายทางธุรกิจที่สำคัญ คือ ตัวเลขการเติบโตอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 20% นับจากนี้  ทิศทางการดำเนินธุรกิจจึงวาง 3 กลยุทธ์สำคัญ เพื่อใช้เป็นแนวทางไปสู่เป้าหมายดังกล่าว ได้แก่   1.ONLINE CENTRALIZATION การเป็นเป็นศูนย์กลางฐานข้อมูลอสังหาฯ ที่เชื่อมต่อผู้ซื้อ-ผู้ขาย-ผู้เช่า เข้ากับระบบสินทรัพย์ที่ BC บริหารจัดการอยู่ทุกรูปแบบ ทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม ซึ่งปัจจุบัน บีซี พร็อพเพอร์ตี้ มีมูลค่าสินทรัพย์ในพอร์ตรวมกว่า 144,000 ล้านบาท   ผ่าน BC Intelligent Platform ที่แสดงผลอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดในรูปแบบ 7 ทำเลเด่นทั่วกรุงเทพฯ เพื่อง่ายต่อการค้นหาที่อยู่อาศัยในทำเลที่ต้องการ รวมถึงฟังก์ชั่น BC Membership Dashboard ที่เอื้อให้ผู้ฝากขาย-ฝากเช่า สามารถบริหารจัดการพอร์ตสินทรัพย์ด้วยตนเองได้แบบ real time   2.THE POWER OF ONLINE NETWORKING การจับมือกับ 10 พันธมิตรทางธุรกิจ ที่ให้บริการดิจิทัลแพลตฟอร์มอสังหาฯ ทั้งในและต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเอเชีย และยุโรป ให้บริการข้อมูลอสังหาฯ และบริการการซื้อขาย ซึ่งบริษัทตั้งเป้าหมายภายในสิ้นปี  จะ​มีผู้สนใจเข้ามายังแพลตฟอร์มของบริษัท ไม่ต่ำกว่า 96 ล้านวิวต่อเดือน และมีการคลิกเพื่อเข้าดูข้อมูลต่างๆ ไม่ต่ำกว่า 4.8 ล้านคลิกต่อเดือน   3.PROPERTY CONSULTANT ON CLOUD การให้บริการเครื่องมือดิจิทัล ที่รวบรวมข้อมูลต้องรู้ก่อนตัดสินใจซื้อ-ขาย-ปล่อยเช่า หรือลงทุนไว้ในที่เดียว และคอยนำเสนอ ชี้เทรนด์ตลาดอสังหาฯ ในกลุ่มที่ลูกค้าสนใจอย่างละเอียด ซึ่งบนแพลทฟอร์มมีฟีเจอร์ในการช่วยให้ลูกค้าเข้าถึงข้อมูลที่เข้าถึงได้ทุกที่ทุกเวลากับ 6 ฟีเจอร์ล่าสุดที่จะช่วยแก้ไข pain point ได้อย่างตรงจุด อาทิ –Trending Search เครื่องมือที่ช่วยในการค้นหาได้อย่างอัจฉริยะตามเทรนด์ตลาด เหมาะสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความรวดเร็วในการค้นหาข้อมูล โดยเฉพาะลูกค้ามือใหม่ ที่ไม่แน่ใจว่าจะค้นหาด้วยคีย์เวิร์ดใด สามารถคลิกได้เลยโดยไม่ต้องพิมพ์ เพื่อให้ได้คำแนะนำที่ตรงตามแต่ละความต้องการ – BKK 7 Zones เครื่องมือที่จะช่วย scope ข้อมูลให้แคบลง ด้วยการแนะนำโครงการใน 7 โซนศักยภาพใจกลางเมือง พร้อมวิเคราะห์เทรนด์ ราคาเฉลี่ย และไลฟ์สไตล์ลูกค้าเป้าหมายในแต่ละโซน – GURU Review แนะนำเทรนด์การลงทุนที่น่าสนใจแบบ 360 องศาโดยผู้เชี่ยวชาญในด้านการลงทุนจากหลากสาขา อาทิ Rabbit Finance และ DDproperty – Innovative Map ยกระดับมุมมองในการค้นหาอสังหาฯ ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ด้วยการนำเสนอรูปแบบใหม่ แผนที่ที่แสดงที่ตั้งของโครงการ พร้อมสภาพแวดล้อมโดยรอบโครงการ และราคาขาย เช่า เริ่มต้นเพื่อเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจซื้อ ที่สร้างความแม่นยำ – Forecast Rate การวิเคราะห์แนวโน้มราคาตลาดที่แม่นยำด้วยการอ้างอิงข้อมูลจากบิ๊กดาต้าที่รวบรวมข้อมูลการซื้อขายจากราคาที่ปิดการขายได้จริงในตลาดผ่าน BC Research Intelligence – Mortgage Calculator อำนวยความสะดวกแก่ผู้ใช้บริการ ด้วยการคำนวน และเปรียบเทียบการให้สินเชื่อของธนาคาร พร้อมมูลค่าการผ่อนจ่าย เพื่อเฟ้นหาโครงการบนทำเลที่คุ้มค่า และสอดคล้องกับความสามารถในการผ่อนจ่าย   ดิจิทัลแพลตฟอร์ม สร้างการเติบโต 20% ต่อเนื่อง   ในปีนี้จะเป็นปีแรกที่บริษัทเริ่มเปิดให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ซึ่งคาดหวังว่าจะมีส่วนให้บริษัทสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องไม่ต่ำกว่า 20% แม้ว่าในภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมจะได้รับผลกระทบจามาตรการ LTV  ส่งผลให้การเปิดโครงการใหม่ลดน้อยลง กลุ่มนักลงทุนซื้อคอนโดฯ ลดลงไป แต่สำหรับบริษัทยังคงเติบโตได้ตามเป้าหมาย  ซึ่งช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาสามารถสร้างยอดขายได้แล้ว ​9,000 ล้านบาท จึงเชื่อว่าภายในสิ้นปีนี้จะทำยอดขายได้ตามเป้าหมาย  15,000 ล้านบาท เติบโต 20% จากปีที่ผ่านมมียอดขาย 12,000 ล้านบาท   “ย้อนหลังไปประมาณ 5 ปีบริษัทเติบโตเฉลี่ย 25% แม้ว่าจะไม่ได้ใช้แพลตฟอร์มดิจิทัล เป็นเพราะได้มีการนำเอาคอนโดฯ ไปขายในตลาดต่างประเทศ ซึ่งเมื่อเริ่มใช้แพลตฟอร์มดิจิทัลตั้งแต่ปีนี้ น่าจะทำให้บริษัทเติบโตไม่ต่ำกว่า 20% ต่อเนื่องด้วย”   สำหรับทิศทางเติบโตในปีหน้า บริษัทคาดว่าจะมียอดขายเติบโต 20% ต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันได้ทำบันทึกข้อตกลงกับดีเวลลอปเปอร์ที่ไม่ใช่เครือเอพี ไทยแลนด์​ เพื่อจะขายโครงการคอนโดฯ ใหม่ในปีหน้าแล้วอย่างน้อย 5 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 15,000 ล้านบาท ซึ่งในช่วงเปิดตัวโครงการ บริษัทจะได้รับโควตาเพื่อนำห้องชุดมาขายประมาณ 5-10%
สรุปข่าวอสังหาฯ วันที่ 21-29 กันยายน 2562

สรุปข่าวอสังหาฯ วันที่ 21-29 กันยายน 2562

ไตรมาสที่ 4 กำลังมาถึงแล้ว นี่คือโค้งสุดท้ายที่บรรดาดีเวลลอปเปอร์จะทำตลาด เรียกยอดขายให้ได้ตามเป้าหมายที่ประกาศไว้ตั้งแต่ต้นปี  ไม่รู้ว่างานนี้จะทำได้กันหรือไม่ คงต้องรอลุ้น และคงต้องลุ้นกันอีกต่อว่า รัฐบาลจะมีมาตรการอะไรมากระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในช่วงปลายปีนี้อีกหรือเปล่า   แต่เชื่อว่าไม่ว่าจะมีมาตรการอะไรหรือไม่ ผู้ประกอบการก็คงต้องช่วยเหลือตัวเองกันอย่างเต็มที่  ส่วนรอบสัปดาห์ที่ผ่านมามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในแวดวงธุรกิจอสังหาฯ  ไปสำรวจกันได้เลย   เสนาเดินหน้าแคมเปญ MADE FROM HER     เพราะมีความเป็น “ผู้หญิง” และต้องบริหารงาน ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  ที่โดยปกติแล้วน่าจะเป็นผู้ชาย ในการดูแล ทำให้  ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA ต้องสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งร่วมอุตสาหกรรม ขณะเดียวกันก็ต้องตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าด้วย คอร์ปอเรตแคมเปญ “MADE FROM HER” จึงถูกนำมาใช้ต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา เพราะด้วยความเป็นผู้หญิง ก็ต้องเข้าใจกลุ่มลูกค้าที่เป็นผู้หญิงได้ดี ที่สำคัญการตัดสินใจส่วนใหญ่ในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ผู้หญิงก็มักจะมีบทบาทสำคัญมากกว่าผู้ชายด้วย โดยเฉพาะในกลุ่มคู่รัก     ในปี 2562  ทางเสนาจึงสานต่อแคมเปญ MADE FROM HER ที่มีการเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ “The Real Developer”  พร้อมกับดีลสุดพิเศษแห่งปีในงาน “MADE FROM HER DAY พาเธอมาเจอดีลดี” จองเพียง 999 บาท กู้เต็ม ฟรีโอน พร้อมรับ Samsung Galaxy Note 10 กับกว่า 20 โครงการพร้อมอยู่ ตั้งแต่วันที่ 26 กันยายน - 20 ตุลาคมนี้ สำนักงานโครงการด้วย   สิงห์ เอสเตท ได้เวลาเก็บเกี่ยวรายได้     หลังบริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) นำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันบริษัทก็เติบโตมาอย่างต่อเนื่อง จนปีนี้ถือเป็นปีที่เริ่มเก็บเกี่ยวรายได้ จากธุรกิจต่างๆ พร้อมกับการจ่ายเงินปันผลในอัตราหุ้นละ 0.04 บาท นับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นปีที่ดีของสิงห์ เอสเตท ซึ่งปีหน้ายังคงวางเป้าหมายการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะสร้างรายได้ 20,000 ล้านบาท   นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้เป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวรายได้ของ สิงห์ เอสเตท ทุกกลุ่มธุรกิจหลักมีการเติบโตและขยายตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มธุรกิจโรงแรมซึ่งมีรายได้ประจำจากการลงทุนในกิจการโรงแรม โดยการเข้าซื้อโรงแรม Outrigger 6 โรงแรมใน 4 ประเทศ และการเปิดตัว CROSSROADS นับเป็นโครงการลงทุนต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท ส่วนธุรกิจอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก ก็มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีความมั่นคงของรายได้ โดยเฉพาะโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ บริเวณแยกอโศก-เพชรบุรี ได้รับการตอบรับจากผู้เช่าเกินความคาดหมายด้วยอัตราการเช่าพื้นที่กว่า 92%   บริษัทจึงมีแผนการพัฒนาโครงการมิกส์ยูสโครงการใหม่ ภายใต้ชื่อ “เอส โอเอสซิส” บนถนนวิภาวดี-รังสิต มูลค่า 3,695 ล้านบาท  ความสูง 36 ชั้น มีพื้นที่ให้เช่า (NLA) ประมาณ 53,000 ตารางเมตร แบ่งออกเป็นพื้นที่สำนักงาน และ พื้นที่ค้าปลีกบางส่วน ซึ่งจะใช้เวลาในการพัฒนาโครงการประมาณ 3 ปี โดยได้เริ่มการก่อสร้างในปีนี้ สำหรับแผนงานระยะยาวบริษัท คาดการณ์งบลงทุนในการขยายธุรกิจคอมเมอร์เชียลไว้ประมาณ 15,000 ล้านบาทสำหรับ 4 ปี (ระหว่างปี 2562-2566) ส่วนกลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย มียอดขายที่รอรับรู้รายได้จากการโอน (Backlog) ของคอนโดมิเนียมมูลค่า 4,400 ล้านบาท จากโครงการ The ESSE Asoke และ The ESSE at SINGHA COMPLEX  (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)   รถไฟฟ้าปัจจัยบวกกระตุ้นตลาดอสังหาฯ       ต้องยอมรับว่า การพัฒนาระบบคมนาคม โดยเฉพาะเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ ทำให้ตลาดอสังหาฯ ขยายตัวไปตลอดสองข้างทางรถไฟฟ้า ซึ่งบริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด  ได้เปิดบทวิเคราะห์ตลาดอสังหาฯ ไทย ว่า รถไฟฟ้าเปิดใช้หลายสถานี ส่งผลให้ที่ดินในย่านนั้นๆ มี Value และเกิดธุรกิจใหม่ๆ เพิ่มขึ้น แม้ว่าตลาดที่อยู่อาศัยในปีนี้  ยังอยู่ในภาวะทรงตัว  มาตรการ LTV ยังคงออกฤทธิ์ ส่งผลผู้ประกอบการเร่งปรับตัวครึ่งปีหลัง หลายค่ายปรับชะลอการเปิดตัวโครงการ และหันมาสนใจโครงการแนวราบมากยิ่งขึ้น    นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด   เปิดเผยว่า จากการวิเคราะห์ข้อมูลตลาดอสังหาฯ ตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมาคาดว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2562 ตลาดยังคงอยู่ในภาวะทรงตัว  จากผลการวิจัยตลาดคอนโดฯ  ในกรุงเทพฯ  พบว่าในไตรมาสที่ 3 มีโครงการคอนโดฯ  เปิดใหม่ประมาณ 10,500 หน่วย และคาดว่าในช่วงที่เหลือของปีจะมีโครงการใหม่เปิดตัวอีกไม่เกิน 10,000 หน่วย   โดยพบว่ามีหลายโครงการที่เตรียมความพร้อมจะเปิดตัว แต่ยังชะลอดูว่าภาพรวมตลาดจะดีขึ้นหรือไม่ ในกรณีที่ภาพรวมตลาดยังดูทรง ๆ ก็มีแนวโน้มที่จะขยับแผนการเปิดไปเป็นปีหน้าแทน ส่งผลให้ยูนิตใหม่ทั้งปีมีไม่เกิน 45,000 ยูนิต ตั้งแต่ต้นปีที่บริษัทอสังหาฯ ริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์บอกว่า จะเปิดตัวโครงการอีก 290 โครงการ ทั้งคอนโดฯ และแนวราบ แต่ในความเป็นจริงพบว่า ขณะนี้การเปิดตัวโครงการใหม่ลดลง 30% แล้ว (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)   ศุภาลัย ปักหมุดโปรเจ็กต์ใหม่ทำเลท่าพระ-วงเวียนใหญ่     แม้ว่าตลาดคอนโดฯ ปีนี้จะชะลอตัว มีผู้ประกอบการบางราย เลื่อนการเปิดตัวโครงการไปในปีหน้าแทน  แต่จากปัจจัยการเปิดให้บริการสถานีรถไฟฟ้าส่วนต่อขยาย ในย่านฝั่งธน ก็กลายเป็นปัจจัยบวก ทำให้ผู้ประกอบการเดินหน้าเปิดตัว และพัฒนาโครงการคอนโดฯ​ ออกมาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง ในทำเลที่มีศักยภพา อย่างเช่นทำเลย่านท่าพระ  ซึ่งบริษัท​ ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เลือกจะเปิดตัวโครงการใหม่ “ศุภาลัย ไลท์ ท่าพระ - วงเวียนใหญ่”    นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ย่านฝั่งธนบุรี ยังถือว่าเป็นตลาดที่มีผู้ประกอบการรายใหญ่เข้ามาลงทุนพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปัจจัยสนับสนุนจากแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของรัฐบาล และการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยาย ช่วงหัวลำโพง - หลักสอง ที่เปิดให้บริการเต็มรูปแบบครบทุกสถานี  ทำให้การเดินทางเข้าสู่ศูนย์กลางธุรกิจได้อย่างสะดวกสบาย    (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)   ศูนย์ข้อมูลฯ เปิดเว็บรวมอสังหาฯ มือสอง     ตลาดบ้านมือสอง ถือว่าเป็นตลาดอสังหาฯ ที่มีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจไทย และประชาชนคนไทย ที่จะได้มีที่อยู่อาศัยในราคาที่ถูกลง เพราะปัจจุบันราคาอสังหาฯ ใหม่นับวันมีแต่แพงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากที่ดินหายากแถมมีราคาแพง แต่ปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานใด มาจัดเก็บข้อมูลของตลาดบ้านมือสองไว้ที่เดียวกัน โดยเฉพาะ  ทำให้ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์  ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ที่มีบทบาทสำคัญในการจัดทำข้อมูลอสังหาฯ ได้รับมอบหมายหน้าที่ในการเป็นตัวกลางรวบรวมข้อมูลบ้านมือสอง จากสถาบันการเงินเฉพาะกิจต่างๆ มาไว้ด้วยกัน ซึ่งได้เปิดเว็บไซต์ตลาดนัดบ้านมือสอง ให้ประชาชนได้ค้นหาบ้านมือสองจากหลายสถาบันการเงินภายในเว็บไซด์เดียว  โดยเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2562 เป็นต้นไป   ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการ  ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ศูนย์ข้อมูลฯ ได้รับมอบหมายจากธอส. ให้พัฒนาระบบฐานข้อมูลอสังหาฯ มือสอง เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลให้กับประชาชนทั่วไปที่ต้องการที่อยู่อาศัยมือสอง และเพื่อเป็นสื่อกลางให้กับสถาบันการเงิน ผู้ประกอบการอสังหาฯ  และประชาชนทั่วไป  ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดสภาพคล่องของตลาดอสังหาฯ แล้ว ยังเป็นการสนับสนุนสินเชื่อ Reverse Mortgage ตามนโยบายภาครัฐ ในการยกระดับความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุ และส่งผลต่อความต้องการอสังหาฯ ใหม่อีกด้วย (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)   ชนินทร์ ลิฟวิ่ง เดินหน้าขยายธุรกิจรีเทล     แม้ในภาพรวมตลาดอสังหาฯ  ปีนีอาจจะไม่เติบโตหวือหวา แต่สภาพตลาดยังถือว่าไปได้ ทำให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง อย่างตลาดเฟอร์นิเจอร์ ยังคงเติบโตต่อเนื่องเช่นกัน ผู้ประกอบการแต่ละรายก็เดินหน้าทำตลาดสร้างการเติบโตให้กับบริษัทของตนเอง อย่างบริษัท ชนินทร์ ลิฟวิ่ง จำกัด ที่ดำเนินธุรกิจนำเข้าเฟอร์นิเจอร์ลักชัวรี่จากต่างประเทศ มานาน 25 ปี ก็วางแผนขยายธุรกิจ ด้วยการขยายพื้นที่รีเทล โดยเตรียมเปิดโชว์รูมขนาดใหญ่กว่า 1,000 ตารางเมตรถึง 2 แห่ง ได้แก่ CHANINTR HOME (ชนินทร์ โฮม) ในซอยทองหล่อ นำเสนอเฟอร์นิเจอร์ ของแต่งบ้าน และสินค้าไลฟ์สไตล์ ซึ่งคัดสรรมาเป็นพิเศษ รวมถึงเป็นที่ตั้งของโชว์รูม Waterworks (วอเตอร์เวิร์คส์) แบรนด์สุขภัณฑ์นำเข้าจากสหรัฐอเมริกา แห่งแรกในเอเชีย และ CHANINTR CAFE (ชนินทร์ คาเฟ่) สาขาแรก   นายชนินทร์ สิริสันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชนินทร์ ลิฟวิ่ง จำกัด  กล่าวว่า บริษัทยังเปิดโชว์รูม CHANINTR OFFICE (ชนินทร์ ออฟฟิศ) ตั้งอยู่ที่โครงการ Warehouse 26 ในซอยสุขุมวิท 26 นำเสนอไอเดียและเฟอร์นิเจอร์สำนักงาน จากแบรนชั้นนำต่างๆ อาทิ Herman Miller, Emeco, Ethnicraft และ Walter Knoll ซึ่งจะมีคอฟฟี่บาร์แห่งแรกของชนินทร์อยู่ด้วย นอกจากนี้บริษัทฯขยายพอร์ตแบรนด์เฟอร์นิเจอร์ ในกลุ่มธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ที่มีอยู่เดิม พร้อมทั้งต่อยอดธุรกิจด้านการบริการให้ครอบคลุม มากยิ่งขึ้น บริษัทเชื่อว่าโปรเจคใหม่ๆเหล่านี้จะช่วยส่งเสริมการเติบโตของบริษัททั้งในด้าน ผลประกอบการและสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Living Well” หรือปรัชญาที่มุ่งเน้น “การใช้ชีวิตอย่างสมบูรณ์” ให้แก่ลูกค้า โดยการให้ความสำคัญกับชิ้นงานคุณภาพและการให้บริการอย่างมืออาชีพ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ และเป็นความโดดเด่นของชนินทร์ ที่ต่างจากคู่แข่งในการดำเนินธุรกิจมาอย่างต่อเนื่อง   เอสเทลล่าฯ​จับมือแอสโฟร์ ลุยตลาดโคมไฟ คริสตัล     นอกจากผู้ประกอบธุรกิจเฟอร์นิเจอร์จะขยายตลาดอย่างต่อเนื่องแล้ว  ธุรกิจโคมไฟก็ยังคงขยายตลาดเช่นกัน โดย เอสเทลล่า เพรสทิจ   จับมือ แอสโฟร์ จากอียิปต์ นำเข้าโคมไฟคริสตัล บุกตลาดไทย โดยเตรียมงบ 10 ล้านบาท เพื่อเปิดร้านสาขาแรก ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลอีสวิลล์ ภายใต้ชื่อแบรนด์แอสโฟร์   นายมานพ เหลืองกังวานกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเทลล่า เพรสทิจ จำกัด เปิดเผยว่า  ตลาดโคมไฟ คริสตัล ในประเทศไทย เป็นตลาดค่อนข้างเล็ก แต่มีแนวโน้มการเติบโตเพิ่มมากขึ้นเพราะกลุ่มลูกค้าหลัก  เป็นกลุ่มที่มีบ้านใหม่ระดับราคา 30-50 ล้านบาท สัดส่วนมากถึง 80%  และอีก 20% เป็นกลุ่มลูกค้าโครงการอสังหาริมทรัพย์  ซึ่งมียอดขายปีละ 100 ล้านบาท  ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะเติบโตขึ้นอีก 20-30% แม้จะได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจบ้างก็ตาม แต่กลุ่มลูกค้าระดับบนยังมีกำลังซื้อ (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม)  
ศูนย์ข้อมูลฯ ธอส. เปิดเว็บ “ตลาดนัดบ้านมือ 2” ซื้อ-ขายง่ายแค่ปลายนิ้ว

ศูนย์ข้อมูลฯ ธอส. เปิดเว็บ “ตลาดนัดบ้านมือ 2” ซื้อ-ขายง่ายแค่ปลายนิ้ว

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ก่อตั้งมาถึงปัจจุบันมีอายุ 15 ปีแล้ว วัตถุประสงค์สำคัญของการถือกำเนิดของศูนย์ข้อมูล คือ  การทำหน้าที่รวบรวบข้อมูลด้านอสังหาริมทรัพย์  ซึ่งกระจัดกระจายอยู่ในงานต่างๆ เข้ามาไว้ด้วยกัน หลังจากประเทศไทยต้องเผชิญภาวะวิกฤติฟองสบู่อสังหาฯ จนทำให้สถาบันการเงินหลายแห่งต้องปิดกิจการ บริษัทหลายแห่งต้องล้มละลาย เกิดหนี้เสียมหาศาล เพราะขาดข้อมูลที่มาช่วยในการวิเคราะห์สถานการณ์  และคาดการณ์ปัญหาในอนาคตจะเกิดขึ้น   ที่ผ่านมาศูนย์ข้อมูลฯ​ ได้จัดเก็บข้อมูลของบ้านมือหนึ่งเป็นหลัก แต่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ โดยศูนย์ข้อมูลฯ ต้องการพัฒนาระบบฐานข้อมูลของอสังหาฯ มือสอง โดยเป็นแหล่งรวบรวมข้อมูลอสังหาฯ​ มือสอง และอสังหาฯ รอการขาย (NPA) ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทุกแห่ง ให้อยู่ในระบบฐานข้อมูลที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน โดยถูกจัดเก็บภายใต้แพลตฟอร์มดิจิทัล   แต่ปัจจุบันยังไม่มีหน่วยงานใด  รวบรวมข้อมูลดังกล่าวได้อย่างครบถ้วน ศูนย์ข้อมูลฯ จึงได้เข้ามามีบทบาทสำคัญ เพราะทำหน้าที่ในการรวบรวมและจัดเก็บข้อมูลอสังหาฯ อยู่แล้ว ประโยชน์ที่ได้ นอกจากจะเป็นการช่วยลดค่าใช้จ่ายในการประชาสัมพันธ์ขายทรัพย์ NPA ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจแต่ละแห่งแล้ว ยังสามารถใช้ข้อมูลมาวิเคราะห์ตลาดอสังหาฯ ในภาพรวมได้อีกด้วย รวมถึงใช้ในการวางแผนการลงทุน และการพัฒนาที่อยู่อาศัยของภาครัฐและเอกชนได้ ส่งผลต่อการพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจและส่งเสริมการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในอนาคต   หลังจากมติคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติ ตั้งแต่วันที่ 4 กันยายน 2561 ให้โครงการดังกล่าวใช้เงินของกองทุนพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจเพื่อการพัฒนาระบบสถาบันการเงินเฉพาะกิจได้ ในจำนวน 31.1 ล้านบาท  ศูนย์ข้อมูลฯ​ ก็ได้ดำเนินงานพัฒนาระบบฐานข้อมูลอสังหาฯ มือสอง  จนถึงปัจจุบันก็พร้อมแล้วที่จะเปิดให้บริการฐานข้อมูลดังกล่าว     โดยตั้งแต่วันที่ 30 กันยายน 2562 เป็นต้นไป ศูนย์ข้อมูลฯ จะเปิดให้บริการเว็บไซต์ตลาดนัดบ้านมือสอง www.taladnudbaan.com ซึ่งรวบรวมอสังหาฯ มือสองจำนวนกว่า  30,000 รายการ ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 12 แห่งมาไว้ด้วยกัน อาทิ กรมบังคับคดี ธนาคารกรุงไทย บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด     ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ศูนย์ข้อมูลฯ  ได้รับมอบหมายจากธอส. ให้พัฒนาระบบฐานข้อมูลอสังหาฯ มือสอง เพื่อเป็นแหล่งข้อมูลให้กับประชาชนทั่วไป ที่ต้องการที่อยู่อาศัยมือสอง และเป็นสื่อกลางให้กับสถาบันการเงิน ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ และประชาชนทั่วไปสามารถแสดงอสังหาฯ ที่ต้องการขายได้   โดยนอกจากจะทำให้เกิดสภาพคล่องของตลาดอสังหาฯ มือสองแล้ว ยังเป็นการสนับสนุนสินเชื่อ Reverse Mortgage ตามนโยบายภาครัฐ ในการยกระดับความเป็นอยู่ของผู้สูงอายุ และส่งผลต่อความต้องการอสังหาฯ ใหม่อีกด้วย “เว็บไซต์ตลาดนัดบ้านมือสอง จุดเด่น คือ เอาทรัพย์ NPA ของแบงก์เฉพาะกิจมารวมไว้ด้วยกัน เบื้องต้นน่าจะมีมูลค่ารวมไม่น้อยกว่า 30,000 ล้านบาท  อนาคตจะเจรจากับแบงก์พาณิชย์ เพื่อเอาทรัพย์ NPA เข้ามาไว้ด้วย และต่อไปแบงก์เฉพาะกิจอาจไม่ต้องทำเว็บไซต์ของตัวเองเพื่อขายทรัพย์​ NPA” ความสำคัญของตลาดบ้านมือสอง ยังมีส่วนทำให้คนไทยเข้าถึงการมีที่อยู่อาศัย เพราะราคาถูกกว่าบ้านมือหนึ่ง ทำให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยสามารถมีโอกาสมีบ้านได้ ปัจจุบันบ้านมือสองยังมีสัดส่วนมากถึง  30-40% ของจำนวนการโอนกรรมสิทธิ์ ซึ่งหากผู้ประกอบการไม่นำข้อมูลของตลาดบ้านมือสอง มาใช้ในการวิเคราะห์ตลาด ในบางทำเลบ้านมือสองก็จะเป็นคู่แข่งของบ้านมือหนึ่งได้เช่นกัน เพราะมีราคาถูกกว่า 30-40%     ฟังก์ชั่นเด่นของเว็บไซต์ตลาดนัดบ้านมือสอง   ค้นหาทรัพย์โดยละเอียดตามเงื่อนไข ตะกร้าเก็บทรัพย์ที่สนใจสมาชิกประเภทผู้ซื้อสามารถจัดเก็บรายการทรัพย์โปรดที่สนใจไว้ใน “บัญชีของฉัน”ได้ และสามารถบันทึกทรัพย์สูงสุดได้ 10 รายการ โดยระบบจะแสดงรายการจัดเก็บทรัพย์โปรดที่สมาชิกประเภทผู้ซื้อเลือกเก็บไว้ เปรียบเทียบผู้ใช้งานเว็บไซต์ทั่วไปสามารถเปรียบเทียบทรัพย์ที่ต้องการได้ สามารถเลือกทรัพย์สูงสุดได้ 2-5 รายการ เครื่องมือช่วยในการตัดสินใจผู้ใช้งานเว็บไซต์ทั่วไปสามารถเปรียบเทียบรายการทรัพย์ที่เลือกไว้ด้วยระบบการให้คะแนนเพื่อช่วยในการตัดสินใจได้ สามารถเลือกเปรียบเทียบทรัพย์ด้วยระบบสูงสุดได้ 2-5 รายการ บันทึกการค้นหาสมาชิกประเภทผู้ซื้อสามารถบันทึกการค้นหา โดยระบบจะคอยแจ้งเตือนทางอีเมล เมื่อมีทรัพย์ใหม่ที่ตรงกับเงื่อนไขที่บันทึกการค้นหาไว้ของคุณเข้ามา สามารถบันทึกค้นหาสูงสุด 5 การค้นหา บันทึกการค้นหาระบบจับคู่ทรัพย์ระบบจะแสดงรายการที่สมาชิกประเภทผู้ซื้อบันทึกการค้นหาไว้ระบบจะคอยแจ้งเตือนทางอีเมล เมื่อมีทรัพย์ใหม่ที่ตรงกับเงื่อนไขที่บันทึกการค้นหาไว้ของคุณเข้ามา โดยบันทึกค้นหาสูงสุด 5 การค้นหาสามารถแก้ไขและลบรายการที่บันทึกไว้ได้ แจ้งความสนใจทรัพย์สมาชิกประเภทผู้ซื้อสามารถแจ้งความสนใจทรัพย์ไปยังธนาคารเจ้าของทรัพย์ สามารถแจ้งสนใจทรัพย์สูงสุด 5 ทรัพย์ แจ้งความสนใจทรัพย์ระบบจะแสดงรายการทรัพย์ที่สมาชิกประเภทผู้ซื้อแจ้งความสนใจไว้แจ้งสนใจทรัพย์สูงสุด 5 ทรัพย์สามารถแก้ไขและลบรายการที่บันทึกไว้ได้ การปรับปรุงรายการทรัพย์เจ้าของทรัพย์รายการนี้สามารถยืนยันการเป็นเจ้าของทรัพย์ เพื่อแก้ไขเพิ่มเติม ปรับปรุงรายการข้อมูลทรัพย์ได้ แผนที่ทรัพย์แต่ละรายการสามารถแสดงแผนที่และดูสถานที่ใกล้เคียงได้ คำนวณค่าผ่อนบ้านทรัพย์แต่ละรายการสามารถ คำนวณค่าผ่อนบ้านได้ สนใจสินเชื่อทรัพย์แต่ละรายการแสดงทางเลือกเพื่อขอสินเชื่อบ้านได้ และสามารถติดต่อผู้ให้บริการสินเชื่อได้เพื่อขอคำแนะนำได้  
สิงห์ เอสเตท เริ่มเก็บเกี่ยวรายได้-จ่ายปันผล  ปีหน้ามั่นใจกวาด 20,000 ล้าน

สิงห์ เอสเตท เริ่มเก็บเกี่ยวรายได้-จ่ายปันผล ปีหน้ามั่นใจกวาด 20,000 ล้าน

สิงห์​ เอสเตท ได้เวลาเก็บเกี่ยวรายได้ หลังจาก 5 ปีที่ผ่านมาสร้างธุรกิจให้เติบโตต่อเนื่อง คาดปีหน้าทำรายได้ตามแผน 20,000 ล้าน ขณะที่ปีนี้ควัก 15,000 ล้านลงทุนต่อเนื่องสร้างการเติบโต พร้อมจ่ายปันผล 0.04 บาท   นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปีนี้เป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวรายได้ของสิงห์ เอสเตท เพราะในช่วงหลายปีที่ผ่านมา บริษัทมีการเติบโตทางธุรกิจอย่างก้าวกระโดด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มธุรกิจโรงแรม  ซึ่งมีรายได้ประจำจากการลงทุนในกิจการโรงแรม โดยการเข้าซื้อโรงแรม Outrigger 6 โรงแรมใน 4 ประเทศ และการเปิดตัว CROSSROADS นับเป็นโครงการลงทุนต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท  ในปีนี้จึงทำให้สามารถจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้หุ้นละ 0.04 บาท   บริษัทได้มีการเปิดตัวโครงการ CROSSROADS ประเทศมัลดีฟส์ เมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา ซึ่งประกอบไปด้วย ท่าเรือยอร์ชมารีนาพร้อมร้านค้าและร้านอาหารชื่อดัง พร้อมทั้งเปิดตัวโรงแรมชั้นนำถึง 2 แห่ง ได้แก่ SAii Lagoon Maldives, Curio Collection by Hilton และ Hard Rock Hotel Maldives เพื่อรองรับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถือว่ามีความสำคัญอย่างมากกับการเติบโตของบริษัท   ในปลายปีนี้ สิงห์ เอสเตท มีแผนที่จะนำบริษัทในเครือที่พัฒนาและบริหารธุรกิจโรงแรม คือ บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) SHR เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เพื่อขยายกลุ่มธุรกิจโรงแรมมุ่งสู่การเป็นผู้ลงทุนและบริหารจัดการโรงแรมชั้นนำในระดับนานาชาติ (Premier Hotel Investment & Resort Management Company)     การเปิดตัวโครงการนี้เป็นก้าวสำคัญของการเติบโตของ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท (SHR) ในฐานะที่เป็นผู้ลงทุนและบริหารจัดการโรงแรมชั้นนำในระดับนานาชาติ (Premier Hotel Investment & Resort Management Company) ซึ่งโครงการนี้เป็นหนึ่งในแผนกลยุทธ์การลงทุนอย่างยั่งยืนของสิงห์ เอสเตท ในฐานะ premier lifestyle developer และเพื่อตอกย้ำความเป็นโกลบอล โฮลดิ้ง คัมปานี โดยมีแผนที่จะนำ เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ช่วงปลายปีนี้   ภายในปี 2568 บริษัทตั้งเป้าที่จะขยายจำนวนโรงแรมและห้องพัก อย่างน้อยอีกเท่าตัว จากที่มีอยู่ในปัจจุบัน 39 โรงแรม เป็น 80 โรงแรม ผ่านแพลตฟอร์มธุรกิจ 4 แบบ คือ 1.โรงแรมที่เป็นเจ้าของและบริหารเอง 2.โรงแรมที่บริหารผ่าน Franchise Agreement กับแบรนด์ระดับโลก 3.โรงแรมที่บริหารผ่านสัญญาบริหารจัดการโรงแรม และ 4.โรงแรมที่บริหารผ่านแบรนด์ที่ SHR สร้างขึ้นมาเอง   “การเปิดตัว SAii Lagoon Maldives, Curio Collection by Hilton ในโครงการ CROSSROADS เฟส 1 เป็นการแสดงให้เห็นถึงกลยุทธ์ของบริษัทในการสร้างแบรนด์ระดับบนของตัวเอง ภายใต้แบรนด์ SAii”   ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา รายได้ของ SHR เติบโตอย่างต่อเนื่องเฉลี่ย 63.1% โดยในปี 2559 ปี 2560 และปี 2561 รายได้จากการดำเนินงานตามงบการเงินรวมของ SHR เท่ากับ 968.0 ล้านบาท 1,074.0 ล้านบาท และ 2,575.7 ล้านบาท ตามลำดับ สำหรับงวดสิ้นสุด 6 เดือนปี 2562 รายได้จากดำเนินงานตามงบการเงินรวมของ SHR เท่ากับ 1,751.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 144.8% จาก 715.6 ล้านบาท ของช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน สาเหตุสำคัญของการเติบโตของรายได้ของ SHR ได้แก่ การลงทุนใน Outrigger Resorts เมื่อเดือนมิถุนายน 2561 และผลประกอบการที่ดีขึ้นของโรงแรมที่บริษัทฯ บริหารจัดการเอง     นายนริศ กล่าวอีกว่า ธุรกิจอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีก เป็นธุรกิจที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและมีความมั่นคงของรายได้  โดยเฉพาะโครงการสิงห์ คอมเพล็กซ์ บริเวณแยกอโศก-เพชรบุรี ได้รับการตอบรับจากผู้เช่าเกินความคาดหมายด้วยอัตราการเช่าพื้นที่กว่า 92%  บริษัทจึงมีแผนการพัฒนาโครงการมิกส์ยูสโครงการใหม่ ภายใต้ชื่อ “เอส โอเอสซิส” บนถนนวิภาวดี-รังสิต มูลค่า 3,695 ล้านบาท  ความสูง 36 ชั้น มีพื้นที่ให้เช่า (NLA) ประมาณ 53,000 ตารางเมตร แบ่งออกเป็นพื้นที่สำนักงาน และ พื้นที่ค้าปลีกบางส่วน ซึ่งจะใช้เวลาในการพัฒนาโครงการประมาณ 3 ปี โดยได้เริ่มการก่อสร้างในปีนี้   สำหรับแผนงานระยะยาวบริษัทฯ คาดการณ์งบลงทุนในการขยายธุรกิจคอมเมอร์เชียลไว้ประมาณ 15,000 ล้านบาทสำหรับ 4 ปี (ระหว่างปี 2562-2566) ส่วนกลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย บริษัทมียอดขายที่รอรับรู้รายได้จากการโอน (Backlog) ของคอนโดมิเนียมมูลค่า 4,400 ล้านบาท จากโครงการ The ESSE Asoke และ The ESSE at SINGHA COMPLEX   โดยคาดว่าในปี 2563 จะส่งผลให้บริษัทมีรายได้ถึง 20,000 ล้านบาท
รวมอีเว้นท์ประจำเดือนกันยายน-ตุลาคม 2562 

รวมอีเว้นท์ประจำเดือนกันยายน-ตุลาคม 2562 

สัปดาห์นี้มีหลากหลายอีเว้นท์ที่น่าสนใจทีเดียวค่ะ โดยเฉพาะสายกิน สายช้อป ห้ามพลาดเลยทีเดียว เพราะในบางงานก็จัดขึ้นเพียงปีละครั้งเท่านั้น มาวางแผนออกไปเที่ยวกันค่ะ   เทศกาลประเพณีกินเจเยาวราช ประจำปี 2562 เทศกาลงานประจำปี 10 วัน 10 คืน สุดยิ่งใหญ่บนถนนเยาวราช มีการออกร้านจำหน่ายอาหารเจจากร้านอาหารชื่อดังทั่วทั้งกรุงเทพฯ รวมมากกว่า 100 ร้านค้า และร่วมพิธีสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาลทั้ง 7 พระองค์ และพระโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์ พร้อมอัญเชิญกระถางธูปผงจาก 22 ศาลเจ้า 7 โรงเจในเยาวราชทั้งหมด ซึ่งทุก ๆ วันจะมีการสวดมนต์ถวายกิ้วอ๊วงฮุกโจ้ว และขอพรจากเทพเจ้า   วัน เวลา : 29 ก.ย.-7 ต.ค. 62 สถานที่ : ถนนเยาวราช ซุ้มประตูเฉลิมพระเกียรติ 6 ไปจนถึงแยกเฉลิมบุรี   Fair of the Year @Bitec งานสำหรับคนรักบ้านโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นเฟอร์นิเจอร์ ของตกแต่งบ้านมากมาย อาทิ โซฟา เตียง เก้าอี้ ตู้เสื้อผ้า ม่าน กันสาด ฯลฯ คุณภาพระดับส่งออก ส่งตรงจากโรงงาน ครบทุกสิ่งในบ้าน ยกกันมาลดราคาพิเศษ ร่วมกับโปรโมชั่นเด็ด ของแถมอีกเพียบ นอกจากนี้ยังมี Electronics Fair of the Year รวมเครื่องใช้ไฟฟ้า มาให้ผ่อนยาว 0% กันอีกด้วย   วัน เวลา : 25-29 ก.ย. 62 11.00-21.00 น. สถานที่ : ไบเทค บางนา EH106   ร้านเด็ดแฟร์ครั้งที่ 3 รวมร้านเด็ด ร้านดังจากทั่วประเทศ ยกมาไว้ที่อิมแพค สำหรับที่คิดว่ากินเก่ง กินไว ก็ลองสมัครแข่งขันกิน เช่น แข่งกินก๋วยเตี๋ยวเรือ By โกฮับ, แข่งกินบิงซู By Malee, แข่งกินเกี๊ยวซ่า By KINZA GYOZA ฯลฯ และไม่ได้มีแค่ของอร่อยเท่านั้น แต่ยังรวมสินค้าแฟชั่น ของตกแต่งบ้านมาให้เลือกช้อปกันเต็มฮอลล์ พร้อมพบปะศิลปินดังมากมายภายในงานได้ทุกวัน รับรองมางานเดียวครบ!   วัน เวลา : 26-29 ก.ย. 62 10.00-21.00 น. สถานที่ : IMPACT เมืองทองธานี Hall 11-12 TFIC Furniture 2019 (Outlet) งานแสดงสินค้าเฟอร์นิเจอร์ส่งออก 2019 โดยสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยได้นำบริษัทผู้ส่งออกและผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์มาจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์คุณภาพส่งออก ในราคาสุดพิเศษ ลดราคาสูงสุด 80% จัดขึ้นปีละครั้งเท่านั้น   วัน เวลา : 25-29 ก.ย. 62 10.30-21.00 น. สถานที่ : IMPACT เมืองทองธานี Hall 6-8   The Sound of Silence นิทรรศการภาพถ่ายสัตว์เลี้ยงแสนรัก จาก ดารา ศิลปิน และ เหล่าผู้รักสัตว์ทั้งหลาย ณ มุมสามเหลี่ยม ชั้น 1 โดยมีช่างภาพชั้นแนวหน้าของเมืองไทย อาทิ ธนากร เตลาน ช่างภาพผู้สร้างสรรค์ศิลปะด้านไฟน์อาร์ต, สุทธิศักดิ์ สุจริตตานนท์ นักสร้างสรรค์โฆษณาชาวไทย มือหนึ่งแห่งเอเชีย ฯลฯ   วัน เวลา : 26-29 ก.ย. 62 10.00-21.00 น. สถานที่ : หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC) มุมสามเหลี่ยม ชั้น 1   ZAAP ON SALE ครั้งที่ 18 Ready, Sale, Go! ZAAP On Sale สินค้าแฟชั่นสุดชิค กว่า 500 แบรนด์ ที่ลดสูงสุด 50% ทั้งงาน ยกมาไว้ที่นี่ที่เดียว   วัน เวลา : 28-29 ก.ย. 62  11.00 - 22.00 น. สถานที่ : รอยัล พารากอน ฮอลล์ 1-3   IMMORTALS DAY การรวมตัวของเหล่าไบค์เกอร์รุ่นใหญ่ ฮาร์ลีย์-เดวิดสัน (HARLEY-DAVIDSON) และไทรอัมพ์ (TRIUMPH) พบกับ Harley Davidson Show Case จากสำนักแต่งรถชื่อดัง, คอนเสิร์ตสุดมันส์จากศิลปินชาวร๊อค Silly Fools, Dak Rock Raider, DJ Ka-Toy, Harley Band และสินค้าแบรนด์ชั้นนำมากมาย   วัน เวลา : 27-29 ก.ย. 62  18.00 น. เป็นต้นไป สถานที่ : Crystal Arena และ Oval Plaza ซีดีซี คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์      
รวมโปรโมชั่นเฟอร์นิเจอร์-ของแต่งบ้าน เดือนกันยายน-ตุลาคม

รวมโปรโมชั่นเฟอร์นิเจอร์-ของแต่งบ้าน เดือนกันยายน-ตุลาคม

รวมโปรโมชั่นเฟอร์นิเจอร์-ของแต่งบ้าน เดือนกันยายน-ตุลาคม มาแล้วค่ะ ช่วงโค้งสุดท้ายของเดือนกันยายนนี้ก็มีโปรโมชั่นดีๆ ไม่น้อยเลย ทั้งที่โชว์รูมเองและช้อปออนไลน์ด้วย โปรไหนจะโดนใจบ้างลองมาดูกันค่ะ   โฮมโปรทุบราคาช่วยน้ำท่วม มอบส่วนลดสูงสุดกว่า 50% โฮมโปร ขนทัพสินค้าเรื่องบ้าน เพื่อรองรับความต้องการการฟื้นฟู และซ่อมแซมที่อยู่อาศัยที่ได้รับผลกระทบจากอุทกภัย โดยมีสินค้ากลุ่ม Home Improvement กลุ่มเครื่องฉีดน้ำ ปืนฉีดน้ำ สีและเคมีภัณฑ์ อุปกรณ์กันน้ำ ผ้าใบ ผ้าพลาสติก ลดสูงสุด 50%, สินค้าอุปกรณ์เครื่องมือช่าง ลดสูงสุด 45%, สินค้าปั๊มจุ่ม สายส่งน้ำ สายยาง เครื่องกำเนิดไฟฟ้า และถังน้ำมัน ลดสูงสุด 30% และสินค้าอุปกรณ์อื่นๆ อีกมากมาย   รวมถึงสินค้าประเภท Cleaning คุณภาพสูง อาทิ ไม้ถูพื้น, ไม้ม็อบ, ถังปั่น, ฟองน้ำ, ใยขัดพื้น, น้ำยาทำความสะอาดพื้น, น้ำยาอเนกประสงค์, น้ำยาขจัดคราบไขมัน, น้ำยาขจัดกลิ่น ฯลฯ  และเมื่อซื้อสินค้าชุดครัว หน้าบาน ตู้ตั้ง ตู้แขวน เครื่องใช้ไฟฟ้าในครัวชนิด Built-In อ่างล้างจาน เตาแก๊ส (เฉพาะรุ่นและแบรนด์ที่ร่วมรายการ) รับส่วนลดเพิ่มสูงสุดถึง 7% เมื่อชำระด้วยบัตรเครดิต โฮมโปรวีซ่าแพลทินัม ช้อปสินค้าได้แล้ววันนี้ที่ โฮมโปรและเมกาโฮม ทั่วประเทศตั้งแต่วันนี้ - 30 กันยายน 2562    SB DESIGN SQUARE ลดราคาหลากหลายแบรนด์คุณภาพ สูงสุด 80% SB DESIGN SQUARE ทุกสาขา ขนเฟอร์นิเจอร์จากหลากหลายแบรนด์คุณภาพที่ร่วมรายการมาลดราคาจนถึงวันที่ 30 กันยายน นี้ อาทิ ที่นอนเพื่อสุขภาพ ราคาเริ่มต้น 6,990 บาท ลดสูงสุด 80% สมาชิก SB Family ลดเพิ่มให้อีก 10% รับ Cash Reward สูงสุด 10,000 และผ่อน 0% กับบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ Habitat Dining & Tableware save up to 30% โต๊ะอาหารและเก้าอี้ พร้อมของใช้และของตกแต่งบนโต๊ะอาหารจากแบรนด์ฮาบิแทท ลดสูงสุด 30%   ตู้เสื้อผ้า WARDROBE PRIME ลดเพิ่ม 10%   Pay Day Party ลดทันทีไม่มีขั้นต่ำ สูงสุด 12% koncept furniture จัดโปรเฉพาะช้อปออนไลน์ 25-30 กันยายน นี้ 20 ท่านแรกเท่านั้น รับส่วนลดทันทีไม่มีราคาขั้นต่ำ สูงสุด 12% เพียงแค่ใส่ CODE : PD912 พร้อมบริการส่งและติดตั้งให้ฟรีทั่วไทย (เมื่อซื้อสินค้าตั้งแต่ 6,000 บาท)   ชุดเครื่องนอน Lotus ลดสูงสุด 73% ชุดเครื่องนอน Lotus ชุดผ้าปูที่นอน 6 ฟุต 5 ชิ้น พร้อมผ้านวม ลด 73% พิเศษ 1,790 บาท ปกติ 6,300 บาท ตั้งแต่วันที่ 12 ก.ย. 62 - 30 ก.ย. 62 เฉพาะการสั่งซื้อออนไลน์ที่ CentralOnline   SYS จัดโปรสุดคุ้ม “SYS Reward 2019” รับแต้มคูณ 2 บริษัท เหล็กสยามยามาโตะ จำกัด หรือ SYS ผู้ผลิตเหล็กเอชบีม ไวด์แฟลงก์ จัดโปรโมชั่นสุดคุ้ม “SYS Reward 2019” ใช้เหล็ก ได้แต้ม แลกทอง รับคะแนนสะสมคูณ 2 เพื่อตอบแทนลูกค้าที่ซื้อเหล็ก SYS ที่ร่วมรายการ และเหล็กแปรรูปจาก Steel Solution by SYS โดยลูกค้าสามารถรับคะแนนสะสมคูณ 2 ได้ตั้งแต่วันนี้ – 30 กันยายน 2562 และสามารถนำคะแนนสะสมไปแลกของกำนัลได้ทาง www.syssteel.com ภายในวันที่ 31 ตุลาคม 2562            
“เอสเทลล่า” จับมือ “แอสโฟร์” บุกตลาดโคมไฟคริสตัล

“เอสเทลล่า” จับมือ “แอสโฟร์” บุกตลาดโคมไฟคริสตัล

เอสเทลล่าฯ  จับมือ แอสโฟร์ จากอียิปต์ นำเข้าโคมไฟคริสตัล บุกตลาดไทย ช่วยกระตุ้นยอดขายให้เติบโต 20-30% ปีหน้าเตรียมงบ 10 ล้าน เปิดร้านสาขาแรก   นายมานพ เหลืองกังวานกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสเทลล่า เพรสทิจ จำกัด เปิดเผยว่า  ตลาดโคมไฟ คริสตัล ในประเทศไทย เป็นตลาดค่อนข้างเล็ก แต่มีแนวโน้มการเติบโตเพิ่มมากขึ้นเพราะกลุ่มลูกค้าหลัก  เป็นกลุ่มที่มีบ้านใหม่ระดับราคา 30-50 ล้านบาท สัดส่วนมากถึง 80%  และอีก 20% เป็นกลุ่มลูกค้าโครงการอสังหาริมทรัพย์  ซึ่งมียอดขายปีละ 100 ล้านบาท  ซึ่งคาดว่าในปีนี้จะเติบโตขึ้นอีก 20-30% แม้จะได้รับผลกระทบจากปัญหาเศรษฐกิจบ้างก็ตาม แต่กลุ่มลูกค้าระดับบนยังมีกำลังซื้อ   สำหรับสินค้าแบรนด์เอสเทล่า มีสินค้าราคาตั้งแต่ 10,000 บาทไปจนถึง 800,000 บาท  ซึ่งสินค้าขายดีที่สุดจะเป็น รุ่นขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 80 เซนติเมตรถึง 1.2 เมตร ในราคาไม่เกิน 120,000 บาท   โดยในช่วงปลายปีหน้า บริษัทได้เตรียมงบประมาณ​ 10 ล้านบาท  เพื่อขยายร้านที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลอีสวิลล์ ภายใต้ชื่อแบรนด์แอสโฟร์   สำหรับแบรนด์แอสโฟร์  เป็นกลุ่มสินค้คริสตัลของแอสโฟร์ มีจุดเด่นตรงที่ผลิตจากทรายคุณภาพดีจากประเทศอียิปต์ มีส่วนผสมของเหล็กน้อย  ใช้ตะกั่วออกไซด์เป็นส่วนผสมมากกว่า 30% จากคริสตัลทั่วไปที่ใช้เพียง 24% ตามมาตรฐานกำหนดให้เป็นคริสตัลแท้ จึงทำให้ส่องประกายแวววาวมากกว่า และมีเอกลักษณ์ตรงที่มีสัญลักษณ์รูปนกอินทรีย์ที่ตัวเม็ดเกือบทุกชิ้น ซึ่งแอสโฟร์ถือเป็นคริสตัลที่อุตสาหกรรม Chandelier แบรนด์ยุโรปเลือกใช้เป็นอันดับ 1   นายอับเดลรามัน วาริด แอสโฟร์ กรรมการบริหาร บริษัท แอสโฟร์ คริสตัล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า  บริษัทเป็นผู้ผลิตผู้ผลิตคริสตัลแท้รายใหญ่ของโลก ซึ่งตั้งอยู่ที่ประเทศอียิปต์ มีกำลังการผลิตวันละ 120 ตัน และส่งออกไปยัง 80 ประเทศทั่วโลก โดยแอสโฟร์ตั้งเป้าจะทำการขยายตลาด มายังภูมิภาคเซาท์อีสเอเชีย โดยเริ่มต้นในประเทศเวียดนามเป็นประเทศแรก ซึ่งเปิดตัวในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา  แต่ได้ตั้งเป้าหมายที่จะให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของธุรกิจในภูมิภาคนี้ภายใน 2 ปีข้างหน้า  เนื่องจากเชื่อว่าเศรษฐกิจของไทยยังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง  เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ในปีหน้าบริษัทจะขยายตลาดต่อเนื่อง  ไปในประเทศฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย    
“เน็กซัสฯ” สรุปตลาดคอนโดฯ ปี 62 เปิดใหม่ 4.5 หมื่นยูนิต ราคาขยับไม่เกิน 6%

“เน็กซัสฯ” สรุปตลาดคอนโดฯ ปี 62 เปิดใหม่ 4.5 หมื่นยูนิต ราคาขยับไม่เกิน 6%

ภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์  นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ถือว่าไม่ได้ผิดไปจากที่หลายฝ่ายประเมินสถานการณ์เอาไว้  โดยเฉพาะกับตลาดคอนโดมิเนียม ที่มองกันว่าปีนี้ชะลอตัวลงแน่ๆ ผู้ประกอบการเปิดตัวลดลง และหันไปเปิดโครงกาแนวราบแทน เพราะมองเห็นผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากมาตรการ LTV นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่มากระทบอีกหลายอย่างด้วย   ในบทสรุปสุดท้ายของปีนี้ ตลาดอสังหาฯ  โดยเฉพาะคอนโดฯ จะไปในทิศทางอย่างไร เพราะนับเวบาตอนนี้ก็เหลือเวลาให้ผู้ประกอบการทำตลาดกันได้เพียง 3 เดือนเท่านั้น ภาพรวมของธุรกิจในไตรมาสสุดท้าย จะเป็นอย่างไร ทางบริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด  ได้ฉายภาพรวมของธุรกิจอสังหาฯ ให้เห็นทั้งช่วงที่ผ่านมา และคาดการณ์กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้   โค้งท้ายปี คอนโดฯ เปิดใหม่หมื่นยูนิต     นางนลินรัตน์ เจริญสุพงษ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส พรอพเพอร์ตี้ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด  เปิดเผยว่า จากการวิเคราะห์ข้อมูลตลาดอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมาคาดว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2562 ตลาดยังคงอยู่ในภาวะทรงตัว คาดว่าจะมีโครงการเปิดตัวใหม่ไม่เกิน 10,000 ยูนิต  ซึ่งไตรมาส 3 ที่ผ่านมามีโครงการคอนโดฯ เปิดใหม่ประมาณ 10,500 ยูนิต จำนวนการเปิดตัวที่จะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้าย จึงทำให้ประเมินได้ว่าตลอดทั้งปีนี้ จะมีคอนโดฯ เปิดตัวใหม่ไม่เกิน 45,000 ยูนิต ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่น้อยกว่าจำนวนเปิดใหม่ในปี 2561 ประมาณ 25% ที่มีจำนวนเปิดใหม่ 60,000 ยูนิต แต่จะว่าไปแล้วอัตราเฉลี่ยของช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา การเปิดตัวโครงการคอนโดฯ ใหม่ก็อยู่ในอัตรา 55,000-60,000 ยูนิต   สาเหตุสำคัญเป็นผลจากการชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่ ของดีเวลลอปเปอร์ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์  ซึ่งตั้งแต่ต้นปีประกาศว่า ปีนี้จะเปิดตัวโครงการ 290 โครงการ ทั้งคอนโดฯ และแนวราบ แต่พอเอาเข้าจริง กลับเปิดตัวโครงการใหม่ 250 โครงการ ลดลงประมาณ 30% เนื่องจากประเมินสภาพตลาดแล้วยังไม่เหมาะที่จะเปิดตัว  แม้พบว่ามีหลายโครงการที่เตรียมความพร้อมไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ยังชะลอดูว่าภาพรวมตลาดว่าจะดีขึ้นหรือไม่  ในกรณีที่ภาพรวมตลาดยังดูทรง ๆ ก็มีแนวโน้มที่จะขยับแผนการเปิดไปเป็นปีหน้าแทน   แต่แม้ว่าโครการคอนโดฯ จะเปิดใหม่ไม่มากนักเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา แต่หากนับปริมาณคอนโดฯ ที่มีสะสมอยู่ในตลาดตอนนี้ ก็มีประมาณ 70,000-80,000 ยูนิต ซึ่งจำนวนนี้ต้องใช้ระยะเวลาขายประมาณ 2 ปีจึงจะขายหมด โดยจะต้องไม่มีสินค้าใหม่เข้ามาเพิ่ม ซึ่งจำนวนโครงการคอนโดฯ ที่เปิดตัวในปีนี้ถือว่าเป็นตัวเลขที่เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบัน   สำหรับทิศทางอสังหาฯ โค้งสุดท้ายของปี ยังไม่เห็นปัจจัยบวกชัดเจน จากนโยบายกระตุ้นภาคอสังหาฯ  ของรัฐบาล นอกจากการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลง ทำให้ต้นทุนการกู้เงิน และพัฒนาโครงการถูกลง หาก แต่จะเห็นชัดในแง่ของสาธารณูปโภค ได้แก่ การเปิดให้บริการเต็มรูปแบบของรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายหัวลำโพง-หลักสอง ที่อำนวยความสะดวกให้ประชาชนจากฝั่งธนบุรีสามารถเดินทางเข้าเมืองได้ง่าย   เมื่อเมืองขยายตัวออกไป เป็นการเปิดโอกาสให้มีการขยายตัวของพัฒนาอสังหาฯ ไปในทำเลใหม่ๆ ได้เป็นอย่างดี ทำให้เกิดทำเลในการทำธุรกิจการค้า และการอยู่อาศัยเกิดใหม่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของใจกลางเมืองเก่า ชุมชนเก่า อาทิ เยาวราช วังบูรพา สนามไชย ที่สามารถเชื่อมต่อกับเขตธุรกิจใจกลางเมือง ทำให้ศักยภาพของทำเลที่ดีอยู่แล้วมีมากขึ้นไปอีก ผู้ประกอบการมีการปรับปรุงร้านค้าห้องแถวในบริเวณนั้นใหม่ ทำให้เกิดแหล่งท่องเที่ยว ร้านอาหารและโรงแรม แนวใหม่ขึ้นมากมาย   ราคาคอนโดฯ​ ขยับ 5-6% ต่ำกว่าคาด     สำหรับราคาขายของคอนโดฯ ยังพบว่า มีราคาปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น โดยราคาเฉลี่ยคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ ช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ มีราคาขายเฉลี่ย 143,800 บาทต่อตารางเมตร เพิ่มขึ้น 2.3% จากช่วงปลายปีที่ผ่านมา ซึ่งถือว่าต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้  ว่าราคาจะปรับเพิ่มขึ้นถึง 7%  โดยตลาดใจกลางเมืองปรับตัวขึ้น 3% อยู่ที่ 238,000 บาทต่อตารางเมตร ตลาดรอบใจกลางเมืองปรับตัวขึ้น 1%  หรือ 114,800 บาทต่อตารางเมตร และตลาดรอบนอกเมืองปรับขึ้นอีก 2% อยู่ที่ 75,000 บาทต่อตารางเมตร   ในภาพรวมของปีนี้ คาดว่าราคาคอนโดฯ​ จะปรับตัวเพิ่มขึ้นไม่เกิน 5-6% จากปีที่ผ่านมา  ในขณะที่ความต้องการยังคงมาจากผู้ต้องการซื้ออยู่อาศัยจริงที่มีกำลังซื้อเป็นส่วนใหญ่ ส่วนคอนโดฯ ที่ขายดี และสามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ จะอยู่ที่ช่วงราคา 2-5 ล้านบาท  สำหรับคอนโดมิเนียมที่ราคาต่ำกว่า 1.8 ล้านบาท กลุ่มนี้ถึงแม้จะมีความต้องการมากแต่หนี้สินครัวเรือนและเครดิตของผู้กู้เอง ทำให้ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้  สำหรับตลาดลักชัวรี่และไฮเอนด์ การขายเป็นไปอย่างช้า ๆ โดยกลุ่มผู้ซื้อคือคนต้องการอยู่จริงเป็นหลัก การโอนกรรมสิทธิ์ไม่มีปัญหามากนักเนื่องจากเป็นกลุ่มคนที่มีกำลังซื้ออยู่แล้ว   เปิด 8 ทำเลทองพัฒนาอสังหาฯ     แน่นอนว่าทำเลทองในการพัฒนาโครงการคอนโดฯ ยังคงเป็นเส้นทางตามแนวรถไฟฟ้า  โดยเฉพาะกับเส้นทางรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายที่เริ่มเปิดให้บริการแล้ว ส่งผลให้หลายพื้นที่รอบๆ สถานีรถไฟฟ้า กลายเป็นทำเลทองเกิดขึ้นใหม่ สำหรับการพัฒนาโครงการคอนโดฯ แต่ในบางสถานีที่มีข้อจำกัดด้วยเรื่องที่ดิน ซึ่งหายาก  มีราคาสูง และข้อจำกัดเรื่องผังเมือง ทำให้รูปแบบการพัฒนาก็ถูกปรับเปลี่ยนไปในรูปแบบอื่นๆ เช่น พื้นที่เชิงพาณิชย์เพิ่มมากขึ้น   โดยยังพบอีกว่าบริเวณสถานีซึ่งเป็นจุดตัดของรถไฟฟ้าตั้งแต่ 2 สาย กลายเป็นทำเลน่าสนใจ ซึ่งจะเกิดการพัฒนาโครงการอสังหาฯ​ อย่างต่อเนื่องมากขึ้น ซึ่งมี 8 สถานีที่น่าสนใจ ได้แก่ 1.รัชดา-ลาดพร้าว 2.เตาปูน 3.มีนบุรี 4.วังบูรพา/วัดมังกร 5.อิสรภาพ 6.เจริญนคร 7.สามย่าน และ 8.ศรีนครินทร์  เพราะเมื่อเมืองขยายออก การเดินทางสะดวกมากขึ้น การเดินทางของคนก็สะดวกยิ่งขึ้น   กรณีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีอิสรภาพ เป็นตัวอย่างของการเกิดเป็นทำเลใหม่  ที่มีโอกาสในการพัฒนาสูง เพราะเป็นทำเลที่เชื่อมต่อไปยังทำเลอื่น ที่รถไฟฟ้าขยายไปก่อนหน้านี้ ไม่ว่าจะเป็น โซนปิ่นเกล้า วงเวียนใหญ่ หรือเจริญนคร ซึ่งในช่วงก่อนหน้านี้ย่านถนนอิสรภาพ เป็นทำเลที่ไม่ใกล้กับสถานที่สำคัญมากนัก คนที่อยู่บริเวณดังกล่าวมีแต่คนที่อยู่ในชุมชนดั้งเดิม  แต่ในอีกไม่ช้าทำเลนี้จะเป็นทำเลที่มีโครงการคอนโดฯ พัฒนาใหม่ขึ้นอีกจำนวนมาก เพราะที่ดินยังพอหามาพัฒนาได้ เหมือนกับทำเลย่านเจริญนคร เป็นทำเลใหม่ที่ผู้ประกอบการให้ความสนใจเข้ามาพัฒนาโครงการมากขึ้น  ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา เพราะกำลังจะมีรถไฟฟ้า เชื่อมต่อไปถึงห้างสรรพสินค้าไอคอนสยาม   ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัด คือ ทำเลปลายรถไฟฟ้าที่เป็นแหล่งชุมชน ไม่ว่าจะเป็นรามคำแหง มีนบุรี บางแค ก็ล้วนแต่เป็นทำเลที่น่าสนใจทั้งสิ้น เนื่องจากย่านเหล่านั้นยังไม่มีคอนโดฯ ออกมารองรับมากนัก แต่พบว่ามีคนอยู่อาศัยประเภทอพาร์ตเมนท์มาก ซึ่งในที่สุดจะต้องมองหาที่อยู่เพื่ออาศัยถาวรมากขึ้น และนั่นคือโอกาสของนักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์นั่นเอง   สุดท้ายทำเลที่ดีอีกที่หนึ่งก็น่าจะเป็น บริเวณรัชดา ลาดพร้าว ที่มีรถไฟฟ้าเชื่อมต่อสายสีเขียวที่เพิ่งเปิดใหม่ทำให้การเดินทางสะดวกสบาย และเป็นทำเลรอบใจกลางเมือง ที่มีแหล่งช้อปปิ้งและสถานศึกษา สวนสาธารณะ อย่างไรก็ตามราคาที่ดิน และคอนโดฯ บริเวณนี้ได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเช่นกัน  
“ศุภาลัย” ปักหมุดโปรเจ็กต์ใหม่ย่านท่าพระ รับอนาคตศูนย์กลางคมนาคม-การค้าย่านฝั่งธน

“ศุภาลัย” ปักหมุดโปรเจ็กต์ใหม่ย่านท่าพระ รับอนาคตศูนย์กลางคมนาคม-การค้าย่านฝั่งธน

อสัหาฯ ฝั่งธนยังเติบโต ดีเวลลอปเปอร์ลุยพัฒนาต่อเนื่อง รับการเปิดใช้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ส่วนต่อขยายเปิดครบทุกสถานี  แต่ราคาที่ดินยังไม่สูง  "ศุภาลัย" ปักหมุดทำเลท่าพระ เปิดตัวโปรเจ็กต์ใหม่ "ศุภาลัย ไลท์ ท่าพระ-วงเวียนใหญ่" หวังดันเป้ายอดขายทั้งปี  28,000 ล้าน   นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในโซนฝั่งธนบุรีว่า  ยังมีผู้ประกอบการรายใหญ่เข้ามาลงทุนพัฒนาอย่างต่อเนื่อง  สาเหตุสำคัญเป็นเพราะในปีนี้  รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายเปิดให้บริการแล้ว  โดยเฉพาะรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง - หลักสอง ที่เปิดให้บริการเต็มรูปแบบครบทุกสถานี  ทำให้การเดินทางเข้าสู่ศูนย์กลางธุรกิจได้อย่างสะดวกสบาย   ปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้บริเวณแยกท่าพระ เป็นอีกหนึ่งทำเลที่น่าจับตามองในด้านมูลค่าที่ดินและการเติบโตของราคาอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากมีปัจจัยการอยู่อาศัยครบ และในอนาคตจะกลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยว การค้า การคมนาคม ที่สามารถเชื่อมต่อไปยังพื้นที่ต่างๆ ของกรุงเทพฯ ด้วยถนนสายหลักและโครงข่ายรถไฟฟ้าหลากหลายสีอย่างสมบูรณ์  แต่ราคาที่ดินยังถือว่าไม่สูงมากนักเมื่อเทียบกับโซนกรุงเทพฯ  ทำให้ราคาของคอนโดมิเนียมที่พัฒนาออกมาขาย  มีระดับราคาประมาณ 80,000-120,000 บาทต่อตารางเมตรเท่านั้น       จากแนวโน้มดังกล่าวทำให้บริษัทมีแผนการพัฒนาโครงการในย่านฝั่งธนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ได้เปิดตัวโครงการวคอนโดมิเนียม “ศุภาลัย ไลท์ ท่าพระ - วงเวียนใหญ่” (SUPALAI LITE THAPHRA - WONGWIAN YAI) มูลค่าโครงการประมาณ 1,240 ล้านบาท บนถนนเพชรเกษม อยู่ห่างจากรถไฟฟ้า MRT สถานทีท่าพระ  570 เมตร บนพื้นที่กว่า 2 ไร่ จำนวน 421 ยูนิต มีขนาดห้องตั้งแต่  28-99.5 ตารางเมตร ในรูปแบบห้องสูตดิโอจนถึงห้องแบบ 3 ห้องนอน ราคาจำหน่ายเริ่มต้น 1.98 ล้านบาท โดยมีกำหนดเปิดพรีเซลล์ใน วันที่ 19 - 20 ตุลาคม 2562        นายไตรเตชะ กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายทั้งปีมูลค่า 28,000 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาสามารถทำยอดขายได้มูลค่า  13,307 ล้านบาท  แบ่งเป็นยอดขายคอนโดฯ สัดส่วน  44% และโครงการแนวราบสัดส่วน  56% ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทวางแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ 21 โครงการ มูลค่ารวม 20,240 ล้านบาท ซึ่งในไตรมาสสุดท้ายจะเปิดตัว  7 โครงการ รวมมูลค่า  6,000-7,000 ล้านบาท      
สรุปข่าวรอบสัปดาห์ วันที่ 14-22 กันยายน 2562

สรุปข่าวรอบสัปดาห์ วันที่ 14-22 กันยายน 2562

เหลือเวลาไม่อีกกี่วันเดือนกันยายนก็จะผ่านพ้นไป และเป็นการก้าวเข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้แล้ว วันเวลาผ่านไปเร็วมาก ฤดูกาลสุดท้ายในการทำธุรกิจและเร่งยอดขาย คงเหลือเวลาอีกแค่ 3 เดือน เพื่อพิชิตเป้าหมายให้ได้ตามที่ได้ประกาศไว้ตั้งแต่ต้นปี บรรยากาศธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็น่าจะคึกคักมากขึ้นกว่าที่ผ่านมา ช่วงรอบสัปดาห์ของวันที่ 14-22 กันยายน 2562 ที่ผ่านมา กิจกรรมของดีเวลลอปเปอร์ก็มีออกมาอย่างต่อเนื่อง ใครทำอะไร ที่ไหน อย่างไร ติดตามกันได้... พฤกษา เปิดคอนโดใหม่ ไลฟ์สไตล์สุขุมวิท The Privacy S101   “พฤกษา” ถือเป็นเจ้าตลาดบ้านและคอนโดมิเนียม ที่เปิดตัวโครงการใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ The Privacy S101 (เดอะไพรเวซี่ สุขุมวิท 101) มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท  เป็นคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ 8 ชั้น จำนวน 2 อาคารที่เชื่อมต่อถึงกัน บนพื้นที่ประมาณ 3 ไร่ จำนวน 394 ยูนิต  เป็นแบบตกแต่งครบ (Fully Furnished) มีให้เลือก 3 รูปแบบคือ แบบ 1 Bedroom ขนาด 26-29 ตารางเมตร แบบ 1 Bedroom Plus ขนาด 35 ตารางเมตร และ Combined Unit ขนาด 55 ตารางเมตร   นายปิยะ ประยงค์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจพฤกษา เรียลเอสเตท - แวลู บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โครงการดังกล่าวพัฒนา ภายใต้แนวคิด “Live SUKhumvit Moment” ซึ่งมาจากที่ตั้งโครงการ ที่อยู่ในซอยสุขุมวิท 101 เพียง 450 เมตรถึงรถไฟฟ้าสถานีปุณณวิถี เชื่อมต่อ Skywalk ถึง ทรูดิจิทัลพาร์ค โครงการเป็นห้องชุดตกแต่งครบราคาเริ่มต้นเพียง 2.49 ล้านบาท หรือราคาเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 100,000 บาทต่อตารางเมตร   ดีแลนด์ฯ จับมือ “วราภรณ์ ซาลาเปา-ชาตรามือ” เปิดไดร์ฟทรูแห่งแรก   หลังจากบริษัท ดี-แลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ได้เปิดตัวคอมมูนิตี้มอลภายใต้แบรนด์ “พอร์โต้ โก” (Porto Go) ไปเมื่อ 7 ปีที่แล้ว กับทำเลบางปะอิน ตั้งอยู่บนถนนสายเอเชีย กิโลเมตรที่ 4 ฝั่งขาออกจากกรุงเทพฯ ที่อำเภอบางปะอิน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ในชื่อ “พอร์โต้ โก บางปะอิน” และประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี จึงเดินพัฒนาโครงการที่ 2   นายสุเทพ ปัญญาสาคร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดี-แลนด์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยว่า ได้ทุ่มงบประมาณ 400 ล้านบาท พัฒนาโครงการ “พอร์โต้ โก ท่าจีน” บนพื้นที่  23 ไร่  ตำบลบางโทรัด อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรสาคร ก่อนถึงวัดเกตุมวดีศรีวราราม  เจาะกลุ่มนักเดินทางบนถนนพระราม 2 ซึ่งมีปริมาณการจราจร เฉลี่ยสูงถึงวันละ 120,000 คัน เพื่อสร้างประสบการณ์และความสะดวกสบาย  ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำติดแอร์พร้อมระบบสุขภัณฑ์แบบไร้การสัมผัส สถานีบริการน้ำมัน ร้านค้า ร้านอาหารมากถึง 30 ร้าน บริการชาร์จไฟฟ้ารถยนต์ และที่จอดรถมากกว่า 200 คัน พร้อมที่จอดรถทัวร์  คาดว่าจะสร้างเสร็จสมบูรณ์และเปิดให้บริการได้เต็ม รูปแบบภายในต้นปี 2563   บริษัทยังได้ดึงพันธมิตรทางธุรกิจที่พร้อมจะขยายธุรกิจในรูปแบบไดร์ฟทรูและรูปแบบใหม่ๆ ที่จะ เกิดขึ้นในอนาคตเข้าร่วม ซึ่งปัจจุบันโครงการ “พอร์โต้ โก ท่าจีน” มีพันธมิตร ทั้ง Starbucks และ KFC เปิดให้ บริการไดร์ฟทรู จนถึง 4 ทุ่มทุกวันแล้ว อีกทั้ง วราภรณ์ ซาลาเปา และ ชาตรามือ สองแบรนด์ดังสัญชาติไทย ได้เตรียมเปิดไดร์ฟทรูเป็นสาขาแรกในประเทศไทยในวันที่ 27 กันยายน และ 10 ตุลาคมนี้ ในส่วนสถานีบริการน้ำมัน ได้จับมือกับบริษัท เชฟรอน (ไทย) จำกัด ในการเปิดสถานีบริการน้ำมันคาลเท็กซ์ ซึ่งจะเป็นสาขาที่ 3 บนถนนพระราม 2 เปิดให้บริการในเดือนพฤศจิกายนนี้ (อ่านข่าวเพิ่มเติม) ฮาบิแทท กรุ๊ป ชู 4 จุดแข็ง ไลฟ์สไตล์อินเวสเม้นท์ ธุรกิจอสังหาฯ แม้ว่าตลาดโดยรวมจะชะลอตัว โดยเฉพาะมาตรการ LTV ที่ออกมา ส่งผลกระทบให้กำลังซื้อของกลุ่มลูกค้าบางส่วนหายไป  แต่สำหรับกลุ่มนักลงทุนที่ยังมีกำลังซื้อก็ยังคงมีอยู่ในตลาด ถ้าสินค้าใช่ ทำกำไรตอบโจทย์พวกเขาได้ กลุ่มฮาบิแทท จึงยังคงเดินหน้าจับตลาดกลุ่มนักลงทุนที่มองหาโอกาสทางการตลาดและผลตอบแทนจากธุรกิจอสังหาฯ อย่างต่อเนื่อง   นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังคงมีอัตราการเติบโตที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอสังหาฯ เพื่อการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนอย่างคุ้มค่า ตอบโจทย์วิถีชีวิตของคนรุ่นใหม่ หรือ “ไลฟ์สไตล์ อินเวสเม้นท์” (Lifestyle Investment) ซึ่งเป็นแนวทางที่บริษัท มุ่งมั่นดำเนินธุรกิจเป็นผู้นำทางการตลาด และวันนี้พร้อมก้าวไปอีกขั้นด้วยการประกาศวิสัยทัศน์เพื่อก้าวสู่ “THE CREATOR OF LIFESTYLE INVESTMENT” ซึ่งเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ในตลาดอสังหาฯเพื่อการลงทุน ที่ไม่ใช่แค่พัฒนาโปรดักส์และการให้บริการเท่านั้น แต่ยังเป็นการมอบความคุ้มค่าในการลงทุน ภายใต้แนวคิด Invest Remarkably, Live Extraordinary   ทั้งนี้ ฮาบิแทท กรุ๊ป มีความมุ่งมั่นที่จะก้าวสู่ “THE CREATOR of LIFESTYLE INVESTMENT” เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนในรูปแบบไลฟ์สไตล์ อินเวสเม้นท์ ผ่านจุดเด่นที่แตกต่าง 4 ด้านสู่ความสำเร็จ ได้แก่ 1.UNBREAKABLE CHALLENGER ทีมงานที่มีความมุ่งมั่น และไม่หยุดแสวงหาสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อลูกค้า มองไปข้างหน้าเพื่อพัฒนาสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตและการลงทุนที่คุ้มค่าในอนาคต 2.REALISTIC OPTIMIST เตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายในอนาคต ด้วยการยึดถือความเป็นจริงเป็นหลัก และสร้างโอกาสความเป็นไปได้อยู่เสมอ โดยไม่หวั่นไหวกับปัญาหาและอุปสรรคใดๆ 3.SERVICE INNOVATOR มุ่งสร้างสรรค์นวัตกรรมบริการ สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีอย่างรวดเร็ว เพื่อยกระดับสู่การเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ล้ำหน้าอยู่เสมอ 4.ZENITH OF VISIONARIES มุ่งศึกษาค้นคว้าและเรียนรู้ถึงพฤิตกรรมของลูกค้าในประเทศและต่างประเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด สอดรับกับการขยายตัวของตลาดโลก   เอสบี ปรับลุคสาขา CDC ใหม่ เป็น Flagship Store ครบวงจร ไม่เพียงแต่ธุรกิจอสังหาฯ  ต้องปรับตัวเพื่อสร้างการเติบโตให้ได้ตามเป้าหมายเท่านั้น แต่ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์เองก็ต้องปรับตัวเช่นกัน เพราะคู่แข่งในตลาดเยอะมาก แถมการแข่งขันก็สูงจากสงครามราคา แต่ละแบรนด์จึงต้องสร้างความแตกต่าง และเพิ่มความหลากหลายในสินค้าเพื่อเป็นทางเลือกกับลูกค้ามากที่สุด   นางธัญญรักข์ ชวาลดิฐ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท เอสบี เฟอร์นิเจอร์ เปิดเผยว่า ได้ทุ่มงบประมาณกว่า 200 ล้านบาท ขยายพื้นที่ เอสบี ดีไซน์สแควร์ สาขา คริสตัล ดีไซน์เซ็นเตอร์ (CDC) เพิ่มจาก 10,000 ตาราเมตร เป็น 15,000 ตารางเมตร พร้อมปรับโฉมใหม่ให้เป็น Flagship Store  ครบวงจร ภายใต้คอนเซ็ปต์ “The New Era of Luxe Design Home Decorations” เนื่องจากเป็นสาขาที่เปิดให้บริการมานานนับ 10 ปี  ซึ่งมีสินค้าตกแต่งบ้านใหม่ๆ แบรนด์ชั้นนำจากต่างประเทศเข้ามาจำหน่ายมาเพิ่มมากขึ้น  แต่พื้นที่มีจำกัดจึงจำเป็นต้องขยายพื้นที่รองรับ นอกจากการขยายพื้นที่ให้บริการแล้ว  ยังมีการเปิดตัว Zelection Built-in ซึ่งเป็นแบรนด์ของกลุ่มสินค้าบิลท์อิน และได้เปิดตัว SB Designer Club Workspace ซึ่งจะเป็น Hub แห่งแรกของเหล่าอินทีเรียดีไซเนอร์เฉพาะที่เป็นสมาชิก “SB Designer Club” เท่านั้น โดยการจัดเตรียมสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ มากมายไม่ว่าจะเป็น Meeting Rooms, Smart TV, Free WIFI, Pointer, Bluetooth Speaker, F&B Special Pack (อ่านข่าวเพิ่มเติม) “ออริจิ้น” ร่วมทุน “กลุ่มดุสิตธานี” ปั้นคอนโดไฮเอนด์ การทำธุรกิจในยุคนี้ บางครั้งก็ต้องมีเพื่อนทางธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตร่วมกัน แบบว่าใช้จุดเด่นของแต่ละบริษัทมาทำให้เกิดความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ดีกว่าจะมาแข่งขันกันเอง ลุ่ดกลุ่มออริจิ้นจึงจับมือกับกลุ่มดุสิตธานี พัฒนาโครงการร่วมกัน   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า ได้จับมือกับบริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) หรือ DTC ร่วมกันครั้งแรกในสัดส่วน 51% ต่อ 49% เพื่อพัฒนาโครงการร่วมทุน (Joint Venture Project) ภายใต้ชื่อ “เดอะ แฮมป์ตัน ศรีราชา บาย ออริจิ้น แอนด์ ดุสิต” (The Hampton Sriracha by Origin and Dusit) เป็นโครงการคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ 26 ชั้น 1 อาคาร แบ่งเป็นยูนิตพักอาศัย 468 ยูนิต และยูนิตเพื่อการพาณิชย์ 3 ยูนิต บริเวณตรงข้ามตึกคอม ใจกลาง ศรีราชา มูลค่าโครงการประมาณ 1,400 ล้านบาท   เนื่องจากมองว่าพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC มีศักยภาพการเติบโต เนื่องจากมีทั้งเมกะโปรเจ็คท์และเม็ดเงินลงทุนสะพัดมหาศาล มีนักลงทุนเข้ามาในพื้นที่จำนวนมาก รวมถึงมีการคาดการณ์ว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในพื้นที่ปีละไม่ต่ำกว่า 10 ล้านคน  ประกอบกับอำเภอศรีราชา ถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพที่สุดอีกแห่งหนึ่งใน EEC เนื่องจากมีทั้งนิคมอุตสาหกรรมดั้งเดิม เช่น นิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบัง และนิคมอุตสาหกรรมที่กำลังจะพัฒนาขึ้นใหม่อีกจำนวนมาก อยู่ใกล้แหล่งโลจิสติกส์ระหว่างประเทศที่กำลังจะพัฒนาขึ้นอย่างท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 รวมถึงยังเป็นที่ตั้งของโครงการเขตส่งเสริมอุตสาหกรรมและนวัตกรรมดิจิทัล หรือ ดิจิทัล พาร์ค ไทยแลนด์ ซึ่งเป็นเมกะโปรเจ็คท์และแลนด์มาร์คใหม่ของบริษัทด้านเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพในไทยและภูมิภาคบนพื้นที่กว่า 700 ไร่   เอพี ไทยแลนด์ จับมือพันธมิตร ผนึกม.สแตนด์ฟอร์ด เปิดทำวิจัยระดับโลก การทำธุรกิจหัวใจหลักของความสำเร็จ คือ “คน” เพราะ คือ ผู้ที่จะขับเคลื่อนองค์กรให้ไปในทิศทางที่วางเอาไว้  การพัฒนาบุคลากรจึงเป็นความสำคัญอันดับแรกๆ ขององค์กร  เอพี ไทยแลนด์ จึงได้ร่วมกับเอไอเอส และธนากคารกสิกรไทย จับมือร่วมกันพร้อมด้วยมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เปิด The Stanford Thailand Research Consortium การทำวิจัยระดับโลก ภายใต้การดูแลของ SEAC   ครั้งแรกของโลก ที่รวมศาสตราจารย์และผู้เชี่ยวชาญระดับสูงของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด 20 คน จากกว่า 9 สาขาวิชาเพื่อดำเนินการศึกษา ค้นคว้า และวิจัยเจาะลึกเต็มรูปแบบ ครอบคลุม 4 มิติองค์ความรู้เพื่ออนาคต ได้แก่ 1. ยกระดับความสามารถคนไทยให้เท่าทันโลก 2. นำเทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์มาพัฒนาธุรกิจและเศรษฐกิจไทย  3. เสริมสร้างมาตรฐานคุณภาพชีวิตของคนไทยให้สูงขึ้น  อย่างยั่งยืน และ 4. ส่งเสริมการพัฒนาสังคมเมืองที่คิดถึงสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนดำเนินการศึกษา ค้นคว้า และวิจัยผ่านหลากหลายโครงการวิจัยและพัฒนาในระยะเวลา 5 ปี  ภายใต้การดูแลและสนับสนุนจาก เอสอีเอซี (SEAC) ศูนย์พัฒนาและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิตแห่งภูมิภาคอาเซียน   นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า การก่อตั้ง “The Stanford Thailand Research Consortium” ซึ่งเป็นการทำวิจัยระดับโลกครั้งแรกของไทย ในการนำความรู้ ความสามารถ ตลอดจนทรัพยากรต่างๆ ที่มีมาช่วยพัฒนาศักยภาพประเทศไทยของเราในหลากหลายมิติ  ท่ามกลางความท้าทายที่เกิดขึ้นมากมาย ‘คุณภาพของคน’ คือ ประเด็นสำคัญที่โลกธุรกิจกำลังเผชิญอยู่ ดังนั้น ประเด็นเรื่อง การยกระดับความสามารถของคนไทยให้เท่าทันโลกนี้เองจะเป็นหัวข้อหนึ่งในงานวิจัยที่ทาง The Stanford Thailand Research Consortium จะหยิบขึ้นมาทำการศึกษา ค้นคว้า และวิจัยเจาะลึกอย่างเต็มรูปแบบ เพื่อสร้างการพัฒนาอย่างมีประสิทธิภาพ และยั่งยืน   เครือบีทีเอสกรุ๊ป ทุ่มงบ 5 พันล้าน เปิดตัวโรงเรียนนานาชาติ กลุ่มบีทีเอส เองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องของการศึกษา เพราะเห็นไปในทิศทางเดียวกับหลายองค์กรว่า การจะเติบโตอย่างยั่งยืนได้ “คน” ที่มีคุณภาพคือปัจจัยความสำเร็จนั้น  จึงได้จับมือ พันธมิตร บริษัท ฟอร์จูน แฮนด์ เวนเจอร์ ลิมิเต็ด จากฮ่องกง ประกาศร่วมลงทุน  5,000 ล้านบาท  เพื่อก่อตั้ง “โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ”   นายคีรี กาญจนพาสน์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัท ยู ซิตี้ จำกัด (มหาชน) ในเครือของบริษัท  ได้จับมือกับบริษัท ฟอร์จูน แฮนด์ เวนเจอร์ ลิมิเต็ด จากฮ่องกง ประกาศร่วมลงทุน 5,000 ล้านบาทเพื่อก่อตั้งโรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ ตั้งอยู่บนพื้นที่ 168 ไร่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับโรงเรียนนานาชาติแห่งอื่นๆ ในเขตกรุงเทพฯ  ติดกับโครงการธนาซิตี้ ย่านบางนา สามารถรองรับจำนวนนักเรียนได้ถึง 1,800 คน ตั้งแต่ชั้นเตรียมอนุบาลจนถึงเกรด 12 และจะเริ่มเปิดสอนตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2563 เป็นต้นไป   “การลงทุนในครั้งนี้ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งในยุทธศาสตร์ของ ยู ซิตี้ ที่จะพัฒนาที่ดินในบริเวณใกล้กับโครงการธนาซิตี้ให้กลายเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าอย่างยั่งยืนในอนาคต ทั้งนี้ โรงเรียนนานาชาติเวอร์โซมีพื้นที่รวมทั้งหมด 168 ไร่ หรือ 66 เอเคอร์ จึงถือเป็นโรงเรียนนานาชาติที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเขตกรุงเทพฯ ตลอดจนมีพื้นที่สีเขียวรวมมากถึงประมาณ 60% ของพื้นที่ทั้งหมด เพื่อให้นักเรียนได้รับทั้งความผ่อนคลาย ใกล้ชิดกับธรรมชาติ และช่วยส่งเสริมสติปัญญาและแรงบันดาลใจด้านศิลปะ”   การร่วมลงทุนของบริษัท ฟอร์จูน แฮนด์ เวนเจอร์ จำกัด ในโรงเรียนนานาชาติเวอร์โซ ถือเป็นการลงทุนจากต่างประเทศที่มีมูลค่าสูงสุดในภาคการศึกษาระบบโรงเรียนนานาชาติในประเทศไทย โดยเงินลงทุนดังกล่าวจะถูกนำไปใช้ในการพัฒนาทั้งในด้านการก่อสร้างอาคารเรียนและสถานที่ ตลอดจนการคิดค้นรูปแบบการเรียนการสอนแบบใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์และมีประสิทธิภาพ   ​   “บริทาเนีย” เปิด 5 โครงการใหม่ เพราะตลาดคอนโดฯ ปีนี้ได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV ทำให้หลายดีเวลลอปเปอร์ เบนเข็มพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น  ค่ายออริจิ้นก็มาในทิศทางเดียวกัน เพิ่มสัดส่วนพอร์ตบ้านแนวราบมากกว่าที่ผ่านมา โดยล่าสุด บริษัทลูกอย่างบริษัท บริทาเนีย จำกัด ก็เดินหน้าเปิดโครงการใหม่ถึง 5 โครงการ   นางศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด ในเครือ บริษัท  ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า หลังจากโครงการบริทาเนีย ศรีนครินทร์ โครงการแรกของบริษัทที่เปิดตัวเมื่อปลายปี 2560 สามารถปิดการขายได้ในเวลาเพียง 1 ปีเศษ และ 2 โครงการที่เปิดตัวเมื่อปลายปี 2561 คือบริทาเนีย บางนา กม.12 และบริทาเนีย เมกะทาวน์ บางนา ได้รับการตอบรับที่ดี บริษัทจึงเตรียมเปิดตัวโครงการบ้านจัดสรรใหม่เพิ่มอีก 5 โครงการ  ทั้งโครงการบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม เมื่อรวมกับโครงการบริทาเนีย วงแหวน-หทัยราษฎร์ ที่เปิดตัวไปแล้วในช่วงไตรมาส 1/2562 จะทำให้มีการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องมูลค่าโครงการรวมประมาณ 10,000 ล้านบาท   แผนการพัฒนาโครงการใหม่ 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 10,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.บริทาเนีย บางนา-สุวรรณภูมิ เป็นโครงการบ้านเดี่ยว และบ้านแฝด จำนวน รวม 485 ยูนิต 2.บริทาเนีย บางนา กม.42 ครอบคลุมทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม จำนวนรวม 492 ยูนิต 3.บริทาเนีย คูคต สเตชั่น เป็นโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด จำนวน 138 ยูนิต 4.บริทาเนีย วงแหวน-รามอินทรา เป็นโครงการบ้านเดี่ยว จำนวน 278 ยูนิต และ 5.บริทาเนีย สายไหม เป็นโครงการบ้านแฝดและทาวน์โฮม จำนวน 294 ยูนิต โดยจะเริ่มทยอยเปิดพรีเซลอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงไตรมาส 4/2562 (อ่านข่าวเพิ่มเติม) โกลเด้นแลนด์ เปิดบริการ “สามย่านมิตรทาวน์” ปิดท้ายของสัปดาห์ กับการเปิดให้บริการโปรเจ็กต์มิกซ์ยูสแรก บนถนนพระราม 4 กับโครงการสามย่านมิตรทาวน์ เมื่อวันศุกร์ที่ 20 กันยายนที่ผ่านมา ซึ่งได้รับกระแสการตอบรับที่ดี จากทั้งชาวสามย่าน จุฬาฯ และผู้อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง เพราะที่นี่มีโซนเปิดให้บริการแบบ 24 ชั่วโมงด้วย     นายธนพล ศิริธนชัย ประธานอำนวยการ บริษัท แผ่นดินทอง พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ โกลเด้นแลนด์ เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทใช้งบประมาณกว่า 9,000 ล้านบาท พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบผสมผสานหรือมิกซ์ยูส ภายใต้ชื่อ “สามย่านมิตรทาวน์” ขณะนี้พร้อมแล้วในการเปิดให้บริการแก่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายเพื่อเติมเต็มไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัย การทำงาน การพักผ่อนหย่อนใจ ตลอดจนการช้อปปิ้ง ให้ครบวงจรในที่เดียว สำหรับจุดเด่นของโครงการสามย่านมิตรทาวน์ ถือเป็นมิกซ์ยูสแห่งแรกบนหัวมุมถนนพญาไท - พระราม 4 ที่มีความสมบูรณ์แบบ รวมพื้นที่ใช้สอย 222,000 ตารางเมตร เนื่องจากภายในโครงการประกอบด้วย ที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม “ทริปเปิ้ล วาย เรสซิเด้นซ์” โรงแรม “ทริปเปิ้ล วาย โฮเทล” อาคารสำนักงาน “มิตรทาวน์ ออฟฟิศ ทาวเวอร์” และพื้นที่ค้าปลีก “ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์” (อ่านข่าวเพิ่มเติม)