Tag : News

2376 ผลลัพธ์
“ออเนอร์ กรุ๊ป”  ทุ่ม 2,000 ล้าน ปั้นโปรเจ็กต์ ONCE PATTAYA มั่นใจทำเลพัทยาไปได้อีกไกล 

“ออเนอร์ กรุ๊ป” ทุ่ม 2,000 ล้าน ปั้นโปรเจ็กต์ ONCE PATTAYA มั่นใจทำเลพัทยาไปได้อีกไกล 

ออเนอร์ กรุ๊ป ทุ่มงบ 2,000 ล้าน ปั้นโปรเจ็กต์ "วันส์ พัทยา" ก่อนปลายปีผุดโคงการมิกซ์ยูส ทั้งโรงแรมและพื้นที่รีเทลต่อเนื่อง  พร้อมเตรียมแบรนด์คอนโดฯ ใหม่ "MOTION" ออกทำตลาดจับกลุ่มคนรุ่นใหม่ในปีหน้า   นางสาวธิดา เชิดสุริยา ประธานคณะกรรมการบริหารบริษัท ออเนอร์ เอสเตท จำกัด เปิดเผยว่า ได้ทุ่มงบประมาณ 2,000 ล้านบาท พัฒนาโครงการวันส์ พัทยา (ONCE PATTAYA) ภายใต้ คอนเซ็ปต์ “Lifestyle Mixed Use” เป็นคอนโดมิเนียม ขนาดความสูง 32 ชั้น  จำนวน 427 ยูนิต มีห้อง 4 แบบ ได้แก่ แบบ Studio  แบบ 1 ห้องนอน  1 ห้องน้ำ ห้องแบบ 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ  และห้องแบบ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ มีขนาดพื้นที่ตั้งแต่ 28.00-59.80 ตารางเมาตร ราคาขายตั้งแต่ 2.85-22 ล้านบาท หรือราคาขายเฉลี่ย 130,000 บาทต่อตารางเมตร   ปัจจุบันโครงการมียอดขายแล้ว 43%  แบ่งเป็นคนไทยกว่า 70% และที่เหลือเป็นชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวรัสเซียที่เริ่มกลับเข้ามาซื้ออสังหาริมทรัพย​​์ของไทยมากขึ้น จากก่อนหน้านี้ทางโครงการ ได้เริ่มเปิดขายพรีเซลล์ครั้งแรก  เมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา  ซึ่งคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จ่าจะทำยอดขายได้ถึง 80% และในช่วง ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ จะเริ่มการก่อสร้างโครงการ และคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 2 ปี 2565     นางสาวธิดา กล่าวว่า  โครงการคอนโดฯ ​ ในโซนพัทยาเหนือ  ถือว่ามีซัพพลายไม่มากมีเพียง 2-3 โครงการ  ในราคาระดับเฉลี่ยกว่า 100,000 บาทต่อตารางเมตร  เนื่องจากที่ดินส่วนใหญ่เป็นที่ดินให้เช่าระยะยาว ถ้าที่ดินติดหาดจะเหลือเพียงโซนหาดวงศ์อมาตย์ แต่รูปแบบที่ดินส่วนใหญ่เป็นที่ดินหน้าแคบและมีราคาสูง  ปัจจุบันราคาที่ดินในเมืองพัทยารพุ่งสูงสุดประมาณตารางวาละ  1 ล้านบาท   สำหรับ ที่ดินของโครงการวันส์ พัทยา เป็นที่ดินที่ซื้อไว้เมื่อ 2 ปีที่แล้ว เป็นที่ดินหน้ากว้าง อยู่บนถนนพัทยาสาย 3 ที่ในอนาคตเขตทางจะขยายความกว้างเป็น 30 เมตรจากปัจจุบันกว้าง 20 เมตร เป็นเส้นทางในข่ายพิจารณาการพัฒนาระบบรถไฟรางเบาชลบุรี-พัทยา ที่จะเชื่อมรถไฟความเร็วสูง  ที่ตั้งโครงการยังอยู่ใกล้กับสถานีของโครงการรถไฟความเร็วสูง และใกล้กับมอเตอร์เวย์   นางสาวธิดา กล่าวอีกว่า แผนธุรกิจในอนาคต บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการมิกซ์ยูส (Mixed-use) บนที่ดินกว่า 2 ไร่ ติดกันกับโครงการวันส์ พัทยา มูลค่า 1,000 ล้านบาท เป็นอาคารสูง 25 ชั้น แบ่งเป็นพื้นที่รีเทลชั้น 1-7 และชั้น 8 ขึ้นไปจะเป็นโรงแรมประมาณ 300 ห้อง เพื่อจับตลาดกลุ่มสัมมนา และนักท่องเที่ยวทั่วไป คาดว่าจะมีอัตราห้องพักตั้งแต่ 1,800 บาทขึ้นไป คาดว่าโครงการมิกซ์ยูสจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 2566 หรือหลังจากการก่อสร้างโครงการคอนโดมิเนียมไปแล้ว 1 ปี    "แผนต่อไปบริษัทจะเปิดตัวโครงการคอนโดฯ แบรนด์ใหม่ ภายใต้แบรนด์ MOTION ใน 2 ทำเลด้วยกัน ซึ่งมีจุดเด่นที่ทำเลอยู่ในโซนสีแดงของผังเมืองใหม่พัทยา ใกล้โครงการรถไฟฟ้ารางเบาเมืองพัทยา โดยจับกลุ่มเป้าหมายเป็นคนรุ่นใหม่ ซึ่งจะมีราคาจะต่ำกว่าแบรนด์ วันส์ เล็กน้อย"     สำหรับ “ออเนอร์​ กรุ๊ป” (Honour Group)  เริ่มธุรกิจแรก ด้วยการเปิดร้านจำหน่ายทอง ภายใต้ชื่อ "ร้านทองแม่ทองสุก เยาวราช พัทยา" ตั้งแต่ปี 2528 ก่อนจะหันมาทำธุรกิจโรงแรมในปี 2547  ซึ่งปัจจุบันเป็นเจ้าของโรงแรมเดอะไซมีส พัทยา (The Siamese Hotel ) โรงแรม ที พัทยา (T Pattaya Hotel) โรงแรม เอ็กซ์คิว พัทยา (XQ Pattaya Hotel) และโรงแรม สวีท เซนส์ จอมเทียน (Sweet Sense Jomtien Hotel) จนล่าสุด ได้เข้ามาทำธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ ในรูปแบบคอนโดฯ ภายใต้โครงการวันส์ พัทยาเป็นโครงการแรก ​ 
รวมโปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เดือนกันยายน 2562

รวมโปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เดือนกันยายน 2562

ตั้งแต่เริ่มต้นปี 62 มานี้ หลายโครงการที่อยู่อาศัย ไม่ว่าจะแนวราบ แนวดิ่ง เป็นโครงการที่เพิ่งเปิดตัวหรือพร้อมอยู่แล้วก็ตาม ต่างก็พร้อมใจขยันออกโปรโมชั่นกันออกมาช่วงชิงตลาดกันท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ โดยช่วงปลายไตรมาส 3 นี้ จะมีโปรโมชั่นอะไรเด็ดๆ บ้าง ตามมาดูกันค่ะ   อนันดา ส่ง 7 คอนโดใหม่ จัดโปร อนันดาส่ง 7 คอนโดใหม่ติดรถไฟฟ้า จองก่อน ได้ก่อน ไม่ต้องรอใคร เริ่ม 1.59 - 5.99 ล้าน* ไอดีโอ คิว ทองหล่อ สเตชั่น 230 เมตร จาก BTS ทองหล่อ* เริ่ม 5.99 ลบ. คิว ประสานมิตร 120 เมตร จาก มศว* เริ่ม 5.99 ลบ. ไอดีโอ สุขุมวิท-พระราม 4 350 เมตร จาก BTS พระโขนง* เริ่ม 3.59 ลบ. ไอดีโอ จุฬา-สามย่าน 400 เมตร จาก MRT สามย่าน* เริ่ม 3.59 ลบ. ไอดีโอ พหล-สะพานควาย 0 เมตร จาก BTS สะพานควาย* ไอดีโอ รามคำแหง-ลำสาลี สเตชั่น 50 เมตร จาก MRT ลำสาลี* เริ่ม 2.19 ลบ. ไอดีโอ จรัญ 70-ริเวอร์วิว 295 เมตร จาก MRT บางพลัด* เริ่ม 1.59 ลบ.   "พฤกษา"จัดแคมเปญ “GOLD ON TOP รับทองกว่าแสน ทุกหลัง”     พฤกษาจัดโปรโมชั่นสำหรับบ้านเดี่ยวแบรนด์ภัสสรและเดอะแพลนท์ กว่า 47 โครงการทั่วประเทศ เพียงจองและโอนภายใน 30 กันยายน 62 ฟรีทุกค่าใช้จ่าย พิเศษสุด 500 ยูนิตแรก รับฟรีทองคำหนัก 5 บาททุกยูนิตทันทีไม่ต้องลุ้นใดๆ   ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม–30 กันยายน 2562 รับโปรโมชั่นพิเศษมากมาย อาทิ  ฟรีค่าธรรมเนียมการโอน (สูงสุดไม่เกิน 300,000 บาท) และพิเศษสุด!! สำหรับลูกค้าที่จองบ้าน 500 ท่านแรกและโอนภายในวันที่ 30 กันยายน 2562 ทุกยูนิตรับฟรีทันทีทองคำหนัก 5 บาท ไม่ต้องลุ้น รวมมูลค่าของรางวัลและส่วนลดกว่า 50 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีโปรโมชั่นพิเศษจากธนาคารพันธมิตร อาทิ กู้ได้ 100% หรือผ่อนเพียงล้านละ 1,000 บาทในปีแรก   LIFE Sathorn Sierra เตรียมจัด OPEN HOUSE 7-8 ก.ย. นี้   คอนโดมิเนียมจาก AP Thailand บนทำเลศักยภาพ ห่างจาก BTS ตลาดพลู 150 เมตร และ 100 เมตรจาก BRT ราชพฤกษ์ ราคาเริ่มต้น 2.49 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 87,000 บาท/ตร.ม. จัดงาน OPEN HOUSE 7-8 ก.ย.นี้ พร้อมเปิดคาเฟ่ใหม่ LIFE SATHORN SIERRA X NESCAFE HUB พบเมนูสุด EXCLUSIVE เฉพาะที่นี่ที่เดียว ลงทะเบียนออนไลน์รับส่วนลดสูงสุด 300,000 บาท* ฟรี Samsung Note 10+* เริ่ม 2.49 ล้าน*     ศุภาลัย ซิตี้ รีสอร์ท สุขุมวิท 107 เตรียม Per Sale 7-8 ก.ย. นี้ คอนโดที่เสมือนการใช้ชีวิตอยู่บนรีสอร์ทส่วนตัว รายล้อมด้วยสวนสีเขียวสไตล์ Tropical และสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อความคล่องตัวของการใช้ชีวิต บนพื้นที่กว่า 13 ไร่ 6 อาคาร 1,022 ยูนิต 4 ร้านค้า ขนาด 28.5-69.5 ตร.ม. (Studio-2 ห้องนอน) ราคาเริ่ม 1.78 ล้านบาท Per Sale 7-8 ก.ย. นี้ ณ Sales Gallery รับเฟอร์นิเจอร์ครบชุด และรับส่วนลดเพิ่มสูงสุด 300,000 บาท   ดิ เอ็กเซล ลาซาล 17 เริ่มเปิดขาย 21 - 22 ก.ย. นี้ คอนโดใกล้รถไฟฟ้าสายสุขุมวิทแต่งครบจบทั้งห้อง พร้อมสระขนาดโอลิมปิกยาวกว่า 50 ม. เป็น Low Rise 8 ชั้น 4 อาคาร 581 ยูนิต ขนาด 25-44 ตร.ม. (1-2 ห้องนอน) กับราคาที่หาไม่ได้อีกแล้วบนเส้นสุขุมวิท เริ่ม 1.19 ลบ.* ผ่อนสบายเริ่ม 4,900 บ./ด.* เริ่มเปิดขาย 21 - 22 ก.ย.นี้ ภายในงานมีจับฉลากห้องโปรโมชั่นราคาพิเศษ ห้องมีจำนวนจำกัด!   เอ็ม จตุจักร โปรเด็ด 20 ยูนิต ราคาดีที่สุด     คอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ จัดโปรโมชั่นราคาเดียว 1 ห้องนอน 28 ตร.ม. 3.5 ล้านบาท* 2 ห้องนอน 55 ตร.ม. 6.9 ล้านบาท* จัดให้ครบ ฟรี เฟอร์นิเจอร์ครบชุด* พร้อมเครื่องใช้ไฟฟ้า* และกู้เต็ม 100% วันที่ 7-8 ก.ย.นี้ ที่ Sales Gallery โครงการ BAAN 365 RAMA III By LPN มอบเอกสิทธิ์พิเศษในงาน EXCLUSIVE EVENT     บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เตรียมมอบเอกสิทธิ์พิเศษในงาน EXCLUSIVE EVENT  BAAN 365 RAMA III กับโครงการแรกภายใต้แบรนด์ “BAAN 365 By LPN” ในรูปแบบบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮมหรู  มูลค่า 3,200 ล้านบาท ขนาดเนื้อที่ 22 ไร่ ใน วันที่ 14-15 ก.ย. นี้ BAAN 365 RAMA III By LPN มอบเอกสิทธิ์พิเศษ  โดยเปิดจอง “บ้านหรู พร้อมอยู่” โซนส่วนตัวใหม่ เพียงจองภายในวันงาน รับข้อเสนอพิเศษ Exclusive Living Packages เฟอร์นิเจอร์ ค่าตกแต่งภายใน เครื่องปรับอากาศ และส่วนลด มูลค่ารวมกว่า 3 ล้านบาท* (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด*) ซึ่งผู้สนใจสามารถเข้าชมบ้านตัวอย่าง และบ้านจริงได้แล้ววันนี้ ณ Sales Gallery เจ.เอส.พี. ขนกว่า 20 โครงการผนึกแคมเปญพิเศษ ‘สุขพร้อมเสิร์ฟ’  บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เตรียมจัดโปรโมชั่นพิเศษโครงการ BAAN 365 RAMA III By LPN ในวันที่ 14-15 ก.ย. นี้  ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการแรกภายใต้แบรนด์ “BAAN 365 By LPN” ในรูปแบบบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮมหรู มูลค่า 3,200 ล้านบาท ขนาดเนื้อที่ 22 ไร่ ซึ่งเตรียมมอบเอกสิทธิ์พิเศษในงาน EXCLUSIVE EVENT โดยเปิดจอง “บ้านหรู พร้อมอยู่” โซนส่วนตัวใหม่ เพียงจองภายในวันงาน รับข้อเสนอพิเศษ Exclusive Living Packages เฟอร์นิเจอร์ ค่าตกแต่งภายใน เครื่องปรับอากาศ และส่วนลด มูลค่ารวมกว่า 3 ล้านบาท* (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทกำหนด*) ซึ่งผู้สนใจสามารถเข้าชมบ้านตัวอย่าง และบ้านจริงได้แล้ววันนี้ ณ Sales Gallery ได้ทุกวัน   บริษัท  เจ.เอส.พี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เตรียมขนโครงการบ้านและคอนโดฯ กว่า 20 โครงการ ร่วมออกบูธในงานมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งที่  41   อาทิ  โครงการคอนโด 2 ทำเล คือ สาทร - กัลปพฤกษ์ และบางปู, โครงการทาวน์โฮม 7 ทำเล อาทิ สุขุมวิท - แพรกษา, รังสิต - คลอง 1 และ สาทร-กัลปพฤกษ์  อาคารพาณิชย์ 7 ทำเล อาทิ สุขุมวิท - แพรกษา, ทิวลิป สแควร์ และ รังสิต - คลอง 1 บ้านแฝดมี 4 ทำเล ไม่ว่าจะเป็น สุขุมวิท - แพรกษา, รังสิต - คลอง 1 และแหวน - บางใหญ่  และโครงการบ้านเดี่ยวทำเลเด็ด 1 วงแหวน - บางใหญ่ ทุกทำเลแลทุกโครงการยกขบวนมาพร้อมกับโปรโมชั่นพิเศษ ‘เจ เอส พี สุขพร้อมเสิร์ฟ’ โดยเปิดให้ลูกค้าที่เข้าร่วมงานมีสิทธิ์จองเพียง 1,000 บาท เท่านั้น อีกทั้งมอบโอกาสผ่อนสบายเริ่มเพียง 1,500 บาท ต่อเดือน พร้อมส่วนลดอีกมากมาย  ในงานมหกรรมบ้านและคอนโดฯ ครั้งที่ 41 ระหว่างวันที่   12 - 15 กันยายนนี้   กาลิเลโอ รัชดา 32 จัดงาน Pre-Sale ครั้งแรก!! วันที่ 28-29 ก.ย. นี้   บริษัท พรีโม เรียลเตอร์ จำกัด เตรียมจัดงาน Pre-Sale โครงการคอนโดมิเนียม กาลิเลโอ รัชดา 32 ระหว่างวันที่ 28-29 กันยายน 2562 ครั้งแรก!! เปิดชมห้องตัวอย่างใหม่ ยูนิตพิเศษราคา 1.69 ล้านบาท ผ่อนเพียง 4,900 บาทต่อเดือน จำนวนจำกัด ด้วยจำนวนเพียง 64 ยูนิต ที่โครงการกาลิเลโอ รัชดา 32  คอนโดหรู แต่งครบ จัดเต็ม!! พร้อมส่วนกลางลอยฟ้า สระว่าย  กล้องดูดาว สวนลอยฟ้า บ้านไม้ สำหรับเด็กๆ  Co-Working Space 24 ชม. พร้อมลิฟท์ล๊อคชั้น  ความปลอดภัย และเทคโนโลยีครบครัน  อาทิ Home Automation, Digital Door Lock, Smart Mirror, Port USB พร้อมมีบริการรถ รับ-ส่ง รัชดา 32 – MRT ลาดพร้าว* และฟรีบริการนู๋เมด ทำความสะอาด 2 ปี โปรโมชั่นพิเศษ!! เหล่านี้เฉพาะภายในงานเท่านั้น ลงทะเบียนออนไลน์รับส่วนลดพิเศษ 200,000 บาท* RICHYจัดโปรฯแรง! งานมหกรรมบ้านและคอนโดฯ ครั้งที่ 41   บริษัท ริชี่ เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) (RICHY) เตรียมนำโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมด 9 โครงการ ทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม 2 โครงการ ประกอบด้วย เดอะริชวิลล์ ราชพฤกษ์, เดอะริช บิชโฮม สุขุมวิท 105 ส่วนคอนโดมิเนียม 7 โครงการ ประกอบด้วย เดอะ ริช เอกมัย, ริช พอยท์ @บีทีเอสวุฒากาศ,  ริชพาร์ค @เตาปูน อินเตอร์เชนจ์, ริชพาร์ค @ เจ้าพระยา, ริชพาร์ค เทอมินอล @ พหลโยธิน 59, เดอะริช @สาทร-ตากสิน, ดิเอท คอลเลคชั่น พร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษเฉพาะในงานนี้เท่านั้น เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงครึ่งปีหลัง
SC เดินหน้าเปิดโปรเจ็กต์โค้งท้ายปี รักษาเป้าหมายสร้างรายได้ 19,000 ล้าน

SC เดินหน้าเปิดโปรเจ็กต์โค้งท้ายปี รักษาเป้าหมายสร้างรายได้ 19,000 ล้าน

"เอสซี แอสเสท" เดินหน้าเปิดโปรเจ็กต์โค้งท้ายปี รักษาเป้ารายได้ 19,000 ล้าน  มุ่งจับตลาดระดับบน กำลังซื้อสูง ล่าสุดเตรียมโอนโปรเจ็กต์ "ทเวนตี้เอท ชิดลม"  บนที่ดินเคยแพงสุดของถนนชิดลม หลังกวาดยอดขายกว่า 5,000 ล้าน  นายประยงค์ยุทธ อิทธิรัตน์ชัย รองหัวหน้าคณะผู้บริหารด้านพัฒนาทรัพย์สินแนวสูง บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยถึงแผนเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมช่วงครึ่งปีหลังว่า ได้วางแผนเปิดตัว 2 โครงการ มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ THE CREST PARK RESIDENCES  คอนโดฯ ใกล้ BTS สถานีห้าแยกลาดพร้าว มูลค่าโครงการ 3,500 ล้านบาท พัฒนาโดยบริษัท เอสซี เอ็นเอ็นอาร์ วัน จำกัด (SC NNR1 Co.,Ltd.) บริษัทร่วมทุนกับ Nishitetsu Group ยักษ์ใหญ่ด้านอสังหาฯและคมนาคมจากภูมิภาคคิวชู ประเทศญี่ปุ่น   โครงการที่ 2 คือ โครงการ SCOPE THONGLOR  คอนโดฯ ติด BTS สถานีทองหล่อ มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท พัฒนาโดยบริษัท สโคป ทาวเวอร์ จำกัด (Scope Tower Co., Ltd.) ส่วนช่วงปลายปีจะเปิดขายโครงการ แชมเบอร์ส อ่อนนุช สเตชั่น เฟส 2 มูลค่า 1,400 ล้านบาท ผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อซอฟท์ลอนซ์  ก่อนเปิดตัวเป็นทางการในช่วงต้นปีหน้าอีกครั้งหนึ่ง   สำหรับการเปิดตัวโครงการคอนโดฯ​ บริษัทมุ่งเน้นจับตลาดระดับบน หรือคอนโดฯ ราคาขายตั้งแต่ 120,000-250,000 บาตรต่อตารางเมตรขึ้นไป  ซึ่งแผนในระยะ 3-5 ปี บริษัทจะพัฒนาโครงการคอนโดฯ ภายใต้แบรนด์เดอะเครสท์ และแชมเบอร์ส เพื่อบริหารพอร์ตรายได้ของบริษัท ให้มีสัดส่วนรายได้จากโครงการคอนโดฯ 1 ใน 3 ของรายได้รวม รายได้จากโครงการแนวราบมีสัดส่วน 2 ใน 3 ของรายได้รวม และมีรายได้ประจำจากการปล่อยเช่าและการธุรกิจโรงแรม สัดส่วนไม่เกิน 10% ของรายได้รวมด้วย   ด้านความคืบหน้าโครงการในกลุ่มลักชัวรี ลิมิเต็ด คอลเลคชั่น ของบริษัท ซึ่งมีด้วยกัน 3 โครงการ  ได้แก่ 1.โครงการศาลาแดงวัน มูลค่า 4,000ล้านบาท ปัจจุบันเหลือขายมูลค่า 1,400 ล้านบาท  2.โครงการบีทนิค สุขุมวิท มูลค่า 3,000 ล้านบาท ปัจจุบันเหลือขาย  2,000 ล้านบาท และ 3.โครงการทเวนตี้เอท ชิดลม (28 ชิดลม) มูลค่า 8,000 ล้านบาท ปัจจุบันเหลือขายประมาณ 3,000 ล้านบาท   ส่วนความคืบหน้าโครงการทเวนตี้เอท ชิดลม บริษัทก่อสร้างแล้วเสร็จ พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้าได้ในวันที่ 6 กันยายนนี้ ซึ่งที่ผ่านมาสามารถขายห้องชุดได้กว่า 60% หรือประมาณ 5,000 ล้านบาท  จากมูลค่าโครงการรวม 8,000 ล้านบาท ส่วนห้องที่เหลืออีก 40% จะจัดงาน Open House ในวันที่ 7-8 กันยายน 2562 พร้อมเปิดให้ชมโครงการอย่างเป็นทางการ     โดยโครงการทเวนตี้เอท ชิดลม เป็นคอนโดซุปเปอร์ลักชัวรี่ ฟรีโฮลด์ บนถนนชิดลม พื้นที่กว่า 3 ไร่  มีจำนวน 2 อาคาร แบ่งเป็น  The Tower ขนาด 47 ชั้น จำนวน 243 ยูนิต รูปแบบห้องมีให้เลือกทั้งแบบ ห้องขนาด 1-3 ห้องนอน และแบบเพนท์เฮ้าส์ ขนาดพื้นที่เริ่มต้นที่ 40-200 ตารางเมตร  กับอาคาร The Villa ขนาด 20 ชั้น จำนวน 182 ยูนิต รูปแบบห้องมีให้เลือกขนาด 1-3 ห้องนอน ขนาดพื้นที่เริ่มต้นที่ 37-132 ตารางเมตร   สำหรับเป้าหมายรายได้ในปีนี้บริษัทคาดว่าจะทำได้ 19,000 ล้านบาท เติบโตมากกว่า 20%  ในช่วงครึ่งปีหลังวางแผนเปิดโครงการใหม่ทุกกลุ่ม 10 โครงการ มูลค่ารวม 13,300 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 8 โครงการ มูลค่า 7,300 ล้านบาท  ได้แก่ กลุ่มบ้านเดี่ยว ภายใต้แบรนด์ เพฟ, เวนิว โฟลว์, บางกอก บูเลอวาร์ด และ บางกอก บูเลอวาร์ด ซิกเนเจอร์ ราคาตั้งแต่ 4-30 ล้านบาท กลุ่มบ้านแฝดและทาวน์โฮม ภายใต้แบรนด์ วี-คอมพาวด์ และ เวิร์ฟ ราคา 2-6 ล้านบาท โดยทั้ง 8 โครงการ ตั้งอยู่ในหลากหลายทำเล เช่น พระราม 5, รังสิต, เสรีไทย, และบางนา ส่วนโครงการแนวสูง 2 โครงการ มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท   ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน หรือ backlog มูลค่า 10,600  ล้านบาท 57% จะรับรู้รายได้ในปีนี้ จากทั้งโครงการแนวราบและแนวสูง โดยมีคอนโดฯ 2 โครงการที่จะสร้างเสร็จและเริ่มโอนในครึ่งปีหลัง คือ โโครงการทเวนตี้เอท ชิดลม และโครงการเซ็นทริค รัชโยธินเริ่มโอนปลายไตรมาส 4   ส่วนผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรกของ บริษัทมีรายได้รวม 6,698  ล้านบาท สัดส่วนคือ 93% จากอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย และสัดส่วน 6% จากอสังหาฯ เพื่อเช่าและบริการ รายได้จากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย 6,236  ล้านบาท มาจากโครงการแนวราบ 5,202 ล้านบาท เติบโต 16% (yoy) และโครงการแนวสูง 1,034 ล้านบาท กำไรสุทธิ 598 ล้านบาท และมียอดขายรวม 7,023 ล้านบาท
4 เหตุผลสำคัญ ทำไมคอนโดฯ ไฮเอนด์ยังน่าลงทุน ในภาวะตลาดชะลอตัว-คุมเข้ม LTV

4 เหตุผลสำคัญ ทำไมคอนโดฯ ไฮเอนด์ยังน่าลงทุน ในภาวะตลาดชะลอตัว-คุมเข้ม LTV

ท่ามกลางภาวะตลาดคอนโดมิเนียม ที่ปีนี้ถือว่าลดระดับความร้อนแรงลงอย่างเห็นได้ชัด จากผลของมาตรการ LTV ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาสกัดกั้นกลุ่มนักลงทุน และเก็งกำไร ซึ่งต้องถือว่าได้ผลอย่างชัดเจน เพราะช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา การเปิดตัวโครงการใหม่ลดลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่ เร่งระบายสต็อกสินค้าเก่าออก   ครึ่งปีแรกคอนโดฯ เปิดตัวใหม่ลด 30% นายภัทรชัย ทวีวงศ์ รองผู้อำนวยการ ฝ่ายวิจัย บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย)จำกัด รายงานว่า ช่วงครึ่งปีแรกผู้ปะกอบการเปิดตัวโครงการคอนโดฯ​ ใหม่ออกมาประมาณ​ 18,075 ยูนิต ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนในอัตรา 19.9% ที่มีการเปิดตัวอยู่ประมาณ​ 22,000 ยูนิต ทำให้คาดการณ์กันว่ายูนิตของคอนโดฯ  เปิดใหม่ในปีนี้เหลือเพียง 40,000-45,000 ยูนิต ลดลง 30% จากเดิมที่คาดว่าปีนี้จะเปิดตัวใหม่กัน 50,000-55,000 ยูนิต หากดูจำนวนโครงการเปิดใหม่ ในช่วงไตรมาส 2 ที่มีประมาณ 26 โครงการ จำนวน 9,632 ยูนิต มูลค่า  74,870 ล้านบาท  จะพบว่าผู้ประกอบการเลือกที่จะเปิดตัวในย่านทำเลใจกลางเมืองเป็นหลักจำนวนถึง 6,911 ยูนิต หรือคิดเป็นสัดส่วน 71.8% โดยมีอัตราการขายได้เฉลี่ย 38% การเปิดตัวในทำเลย่านใจกลางเมือง นั่นแสดงให้เห็นว่า เป็นการพัฒนาโครงการจับกลุ่มตลาดบนเป็นหลัก หรือตลาดคอนโดฯ ไฮเอนด์  ซึ่งจากข้อมูลสะท้อนให้เห็นว่า ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพของลูกค้าระดับบนในพื้นที่ใจกลางเมือง ที่ยังคงมีความต้องการคอนโดฯ ในพื้นที่ใจกลางเมืองอีกเป็นจำนวนมาก และเป็นฐานลูกค้าที่ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบที่เข้ามากระทบตลาดในช่วงที่ผ่านมา     ยอดขายคอนโดฯ ไฮเอนด์ยังเติบโต ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ ยังพบว่า ภาพรวมของอัตราการขายคอนโดฯ ไฮเอนด์  มีอัตราเฉลี่ยประมาณ 71%  โดยพื้นที่ขายดีจะเป็นย่านลุมพินี คือ บริเวณ หลังสวน ชิดลม และวิทยุ  มีอัตราการขายสูงสุด 76% แต่ยังมีอุปทานเหลือขายเพียงแค่ 343 ยูนิตเท่านั้น เนื่องจากพื้นที่ ย่านลุมพินี เป็น Prime Area แห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร แวดล้อมไปด้วยอาคารสำนักงานเกรด A รวมพื้นที่กว่า 279,986 ตารางเมตร พื้นที่ค้าปลีกพื้นที่ค้าปลีก A อีกกว่า 110,000  ตารางเมตร  รวมถึง Serviced Apartment เกรด A และโรงแมระดับ 5 ดาวอีกเป็นจำนวนมาก รองลงมาคือ ในพื้นที่ สีลม – สาทร มีอัตราการขายประมาณ 73% และในพื้นที่สุขุมวิทซอย 1-61 ที่มีอัตราการขายที่ประมาณ 70% ของอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายทั้งหมด   เมื่อตลาดคอนโดฯ​ ไฮเอนด์ ยังถือว่าเป็นตลาดเติบโตดี อัตราการขายได้ยังสูง แสดงให้เห็นถึงความต้องการสินค้าชนิดนี้ว่ายังมีมากอยู่ แต่ปริมาณของเหลือขายหรือที่จะออกมาขายมีน้อย จึงเป็นเหตุผลสำคัญ ที่นักลงทุนสนใจเข้ามาซื้อคอนโดฯ ไฮเอนด์เพื่อการลงทุนอย่างต่อเนื่อง แต่ก็น่าจะยังคงมีคำถามว่า ปัจจุบันตลาดคอนโดฯ ไฮเอนด์ ยังน่าลงทุนหรือไม่ และนี่คงเป็น 4 เหตุผลสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่า ตลาดคอนโดฯ ไฮเอนด์ ยังน่าลงทุนอยู่ไม่น้อย 1.ลูกค้าเชื่อมั่นดีเวลลอปเปอร์ จากจำนวนคอนโดฯ ที่เปิดขายใหม่ในกรุงเทพฯ ในช่วงไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา  พบว่า อัตราการขายได้เฉลี่ยของโครงการคอนโดฯ อยู่ที่ประมาณ 38%  แต่ถ้าเจาะลึกไปในข้อมูล จะพบว่า ดีเวลลอปเปอร์ซึ่งเป็นบริษัทมหาชน มีอัตราการขายได้ถึง 42% สูงกว่าบริษัททั่วไป ซึ่งขายได้ 26.2% เท่านั้น สะท้อนให้เห็นว่า กลุ่มผู้ซื้อและนักลงทุนยังคงเชื่อมั่นในชื่อเสียง ประสบการณ์ และคุณภาพของของโครงการของผู้ประกอบการขนาดใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์มากกว่า ที่สำคัญกลุ่มคอนโดฯ ไฮเอนด์ส่วนใหญ่จะถูกพัฒนาโดยบริษัทมหาชนเป็นหลัก 2.คอนโดฯ ราคาแพง ขายได้สูงสุด สำหรับคอนโดฯ​ ที่ขายดี จะพบว่าเป็นกลุ่มคอนโดฯ ราคาแพงมากที่สุด เพราะถือว่าฐานลูกค้ากลุ่มระดับบนไม่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจ  มีกำลังซื้อสูง ทำให้ไม่มีปัญหาหรือได้รับผลกระทบจากมาตรการ LTV เท่ากับลูกค้ากลุ่มตลาดกลางและล่าง ซึ่งคอนโดฯ กลุ่มราคาที่ขายดีที่สุด คือ 150,001 - 200,000 บาทต่อตารางเมตร ขายได้  59.7% รองลงมาคือ ราคา 200,001 - 250,000 บาทต่อตารางเมตร  ขายได้ 31.3% และราคา  250,000 บาทต่อตารางเมตรขึ้นไป สามารถขายได้ประมาณ 28.3%   “หากโครงการที่พัฒนาใหม่ตั้งอยู่บนทำเลดีที่ดี ราคาเหมาะสม มีความโดดเด่นทั้งในเรื่องของดีไซด์ คุณภาพ และความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบการแล้ว กลุ่มลูกค้ากลุ่มนี่ก็จะไม่ค่อยลังเลในการตัดสินใจเลือกซื้อโครงการคอนโดฯ เหล่านั้น”   จะเห็นได้ว่า คอนโดฯ ระดับราคาทั้ง 3 กลุ่มนั้น ยังคงเป็นกลุ่มลูกค้าระดับบน  ที่สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่า กลุ่มลูกค้าระดับนี้ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบต่างๆที่เกิดขึ้น ทั้งในเรื่องของมาตรการ LTV ของทางธนาคารแห่งประเทศไทย ภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังไม่เติบโตเท่าที่ควร รวมถึงเรื่องความเชื่อมั่นทางการเมืองและความมั่นคงของรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาบริหารประเทศ   3.ให้ผลตอบแทนการลงทุนถึง 10% อีกปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้กลุ่มสินค้าระดับบน ยังคงขายดีต่อเนื่อง คือ การได้รับผลตอบแทนจากการลงทุนที่สูง เพราะต้องยอมรับว่ากลุ่มที่มาซื้อคอนโดฯ​ ราคาแพงนั้น มีทั้งที่อยู่จริงและกลุ่มนักธุรกิจนักลงทุน ซึ่งมองหาโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนด้วย  โดยจะพบว่า คอนโดฯ ไฮเอนด์ในช่วงที่ผ่านมามีผลตอบแทนจากส่วนต่างของมูลค่าสินทรัพย์ (Capital Gain) และผลตอบแทนจากอัตราค่าเช่า (Rental Yield)  ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง   โดยพบว่า Capital Gain ของคอนโดฯ ไฮเอนด์อยู่ที่ประมาณ 5 - 6.5% ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างสูง คุ้มค่า และน่าลงทุนเป็นอย่างมาก ซึ่งกลุ่มลูกค้าคอนโดฯ ไฮเอนด์ส่วนใหญ่ ซื้อเพื่อการอยู่อาศัย ซึ่งแน่นอนว่าได้ผลตอบแทนจาก Capital Gain ที่ค่อนข้างสูง และสำหรับนักลงทุนที่ซื้อเพื่อการลงทุนปล่อยเช่า พบว่า ได้รับผลตอบแทน Rental Yield ประมาณ 4.5 – 5.5 % ซึ่งถือว่าเป็นตัวเลขที่น่าสนใจเป็นอย่างมากของเหล่านั้นลงทุน ซึ่งหากรวม Capital Gain และ Rental Yield   เฉลี่ยต่อปี เกือบ 10%   4.ที่ดินพัฒนาโครงการมีจำกัด ปัจจัยที่ทำให้ผลตอบแทนจากการลงทุนกลุ่มคอนโดฯ ไฮเอ็นด์ดีอย่างนี้ เป็นเพราะส่วนใหญ่จะตั้งอยู่ใน Prime Area ของกรุงเทพฯ  ซึ่งทราบกันดีว่า ในปัจจุบันที่ดินใน CBD และ Prime Location ในกรุงเทพฯ มีจำกัด และหายากเป็นอย่างมาก บวกกับราคาที่ดินในช่วงที่มามีการปรับตัวในเรื่องของราคาที่ค่อนข้างสูง  ที่ดินบางแปลงในพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน มีการซื้อขายกันสูงกว่า ตารางวาละ 3.1 ล้านบาท ซึ่งจากที่ดินที่ค่อนข้างมีอยู่อย่างจำกัด เชื่อในในอนาคต ในอาจเห็นการซื้อขายที่ดินในกรุงเทพฯ ที่สูงกว่า ตารางวาละ 3.5 ล้านก็เป็นไปได้   เมื่อราคาที่ดินมีการปรับเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการที่พัฒนาโครงการก็ย่อมต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงขึ้น ก็สะท้อนกลับในสู่ราคาขายของโครงการที่มีการปรับเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน ซึ่งจะเห็นได้ว่า ในช่วงที่ผ่านมาราคาขายคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ มีการปรับเพิ่มขึ้นกว่าปีละ 8-12% นั้นหมายความว่าราคาคอนโดฯ  ที่เราถือครองกันนั้นมีการปรับเพิ่มขึ้นราคาตลอดและต่อเนื่อง จึงสะท้อนให้เห็นว่าคอนโดไฮเอนด์ในกรุงเทพฯ ยังคงเป็นสินค้าที่น่าในใจ และยังคงน่าลงทุนอย่างต่อเนื่อง  ที่สำคัญโอกาสในการครอบครองคอนโดฯ กลางเมือง นับวันมีแต่น้องลง จากที่ดินซึ่งหามาพัฒนาได้ยาก  เรียกได้ว่า ดีมานด์มีมากแต่ซัพพลายเหลือน้อยแล้วนั่นเอง   แต่แม้ว่าคอนโดฯ ไฮเอนด์ ยังเป็นตลาดน่าลงทุน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ทุกโครงการหรือห้องทุกยูนิตจะให้ผลตอบแทนที่ดีเสมอไป การเลือกโครงการ ทำเลที่ตั้ง รูปแบบห้อง และปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ยังมีส่วนสำคัญและผู้ลงทุนคงจะต้องศึกษารายละเอียดต่างๆ อย่างรอบครอบ เพราะทุกการลงทุนมีความเสี่ยง!!!     
เมเจอร์ฯ ปั้นฐานลูกค้า Pet Lovers โต 30% รับไลฟ์สไตล์ “คนโสด-ไม่มีลูก”

เมเจอร์ฯ ปั้นฐานลูกค้า Pet Lovers โต 30% รับไลฟ์สไตล์ “คนโสด-ไม่มีลูก”

ไลฟ์ไสตล์ของคนยุคปัจจุบัน ที่อยู่เป็นโสดกันมากขึ้น หรือแม้แต่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร คู่รักส่วนใหญ่ไม่นิยมมีลูก หรือการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุที่คู่รักมักอยู่กันลำพัง  ปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ ส่งผลต่อการพัฒนาที่อยู่อาศัยของคนในยุคปัจจุบัน  ซึ่งต้องปรับให้สอดคล้องกับพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของคนเหล่านั้น    ไม่เพียงเท่านั้น  พฤติกรรมการอยู่เป็นโสด หรืออยู่ตามลำพังโดยไม่มีบุตรหลาน ทำให้คนเหล่านั้นต่างมองหาสิ่งที่จะมาช่วยบรรเทาความเหงา หรือสร้างความสุขให้กับการใช้ชีวิต ทางเลือกแรกๆ คือ การเลี้ยงสัตว์  เพื่อเลี้ยงเอาไว้เป็นเพื่อน บางคนรักเสมือนกับลูกคนหนึ่งเลยก็มี   แต่วิถีชีวิตคนเมือง ที่ส่วนใหญ่พักอาศัยอยู่ในโครงการคอนโดมิเนียม ปัญหาการเลี้ยงสัตว์ คือ อุปสรรคสำคัญ เพราะโครงการคอนโดฯ ส่วนใหญ่ไม่อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ไว้ภายในห้องพักได้ หลายคนจึงเลือกวิธีการ “แอบเลี้ยง” ต้องคอยหลบๆ ซ่อนๆ กลัวเพื่อนบ้านจะรู้ เพราะไม่ใช่ทุกคนจะชอบสัตว์เลี้ยง แต่ต้องยอมรับว่ากลุ่ม ​Pet Lovers นั้น มีจำนวนมากและเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ   ตัวชี้วัดสำคัญที่บ่งบอกให้เห็นถึงความนิยมในการเลี้ยงสัตว์ ซึ่งมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นนั้น คงวัดได้จากมูลค่าตลาดสัตว์เลี้ยงและสินค้าที่เกี่ยวข้อง  ซึ่งประเมินว่าปีนี้มีมูลค่ากว่า 35,000 ล้านบาท และจะเติบโตถึง 10% ด้วย​   เมื่อความต้องการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงมีจำนวนมาก  และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ปัญหาการพักอาศัยในคอนโดฯ ไม่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ ทั้งๆ ที่มีคนจำนวนมากต้องการ ทำให้ดีเวลลอปเปอร์บางรายมองเห็นเป็นช่องว่างทางการตลาด ในการพัฒนาโครงการคอนโดฯ และให้ลูกบ้านสามารถเลี้ยงสัตว์ได้ ถือเป็นจุดขายสำคัญของโครงการ และเป็นการสร้างความต่างจากผู้ประกอบการรายอื่น   หนึ่งในผู้ประกอบการที่พัฒนาโครงการคอนโดฯ​ และอนุญาตให้ลูกบ้านสามารถเลี้ยงสัตว์ภายในห้องพักได้ คือ บริษัท เมเจอร์ดีเวลลอปเม้นท์​ จำกัด (มหาชน)  นับตั้งแต่การพัฒนาโครงการแฮมป์ตัน ทองหล่อ 10 ​จนถึงปัจจุบัน  แม้ว่าจุดเริ่มต้นของการให้ลูกบ้านสามารถเลี้ยงสัตว์ได้นั้น จะไม่ใช่เพื่อเป็นจุดขายของโครงการ แต่เกิดจากความรักในการเลี้ยงสัตว์ ซึ่งก็คือ สุนัข ของ นางสาวเพชรลดา พูลวรลักษณ์  กรรมการบริหาร ผู้บริหารของเมเจอร์ฯ ที่เลี้ยงสัตว์ไว้เป็นเพื่อนรักคู่กาย   นางสาวเพชรลดา เปิดเผยว่า ในช่วงแรกที่พัฒนาโครงการและให้เลี้ยงสัตว์ได้นั้น ไม่ได้มองเป็นเรื่องของจุดขายทางการตลาด แต่เกิดจากความรักสัตว์  และเชื่อว่ามีคนจำนวนมากที่รักสัตว์อยากเลี้ยงสัตว์  จึงพัฒนาโครงการคอนโดฯ ในคอนเซ็ปต์ Pet-Friendly Residences  ถือเป็นดีเวลลอปเปอร์อสังหาฯ รายแรกของประเทศไทยที่พัฒนาคอนโดฯ  อนุญาตให้เลี้ยงสัตว์ได้ทุกยูนิต การพัฒนาโครงการต่อมาของบริษัททุกโครงการ จึงให้ลูกบ้านสามารถเลี้ยงสัตว์ได้ แต่จะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขและระเบียบข้อบังคับของนิติบุคคลของโครงการ   “สัตว์เลี้ยงเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตคน เป็นเพื่อน เป็นอะไรหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะเป็นความรักที่ไม่มีเงื่อนไข” สำหรับช่วงแรกของการอนุญาตให้ลูกบ้านเลี้ยงสัตว์ได้ ยังไม่ได้กำหนดระเบียบมากนัก แต่ปัจจุบันกำหนดให้เลี้ยสัตว์ได้ในจำนวนจำกัด ตามขนาดพื้นที่ของห้องชุด  ให้เลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่มีน้ำหนักไม่เกิน 15 กิโลกรัม และมีข้อห้ามในการนำสัตว์ไปยังพื้นที่ส่วนกลางบางแห่ง เช่น ห้องสมุด โคเวิร์กกิ้งสเปซ หรือฟิตเนส เป็นต้น     แม้ว่าการอนุญาตให้ลูกบ้านเลี้ยงสัตว์ได้ จะไม่ใช่จุดขายหลักของโครงการ แต่ลูกค้าส่วนใหญ่ก็รับรู้และมีภาพจดจำว่าโครงการของบริษัท สามารถเลี้ยงสัตว์ได้ และปัจจุบันบริษัทได้ตอบสนองความต้องการของลูกบ้าน ซึ่งเป็นกลุ่มผู้เลี้ยงสัตว์ของลูกบ้าน ด้วยการเพิ่มพื้นที่จำเป็นสำหรับสัตว์เลี้ยง เช่น พื้นที่สำหรับเดินออกกำลังกาย สวนสำหรับสัตว์เลี้ยง นอกจากนี้ ยังได้เพิ่มพื้นที่พิเศษสำหรับสัตว์เลี้ยงอย่างต่อเนื่องด้วย  อาทิ พื้นที่อาบน้ำสำหรับสุนัข ภายในโครงการ เอ็มจตุจักร   “ความต้องการของคนในยุคปัจจุบันในการเลี้ยงสัตว์มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และถือเป็นหนึ่งในการเลือกอยู่อาศัยในโครงการคอนโดฯ  ปัจจุบันด้วย จากการสำรวจความเห็นของกลุ่มตัวอย่าง ที่บริษัททำการสำรวจความเห็น พบว่ากลุ่มตัวอย่าถึง 40% ต้องการคอนโดฯ ที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้”   จากการที่เมเจอร์ฯ มุ่งมั่นในการพัฒนาคอนโดฯ Pet-Friendly Residences อย่างจริงจังมาโดยตลอด จึงทำให้ปัจจุบันมีลูกบ้านกลุ่ม Pet Lovers เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเมเจอร์ฯ ยังคงเดินหน้ามุ่งขยายฐานลูกค้ากลุ่ม Pet Lovers ด้วยการสร้าง Pet Friendly Community ขึ้น และจัด “MEET & MINGLE” งานสำหรับคนรักสัตว์เลี้ยง โดยมีความตั้งใจที่จะสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ตอบสนองไลฟ์สไตล์ในทุกๆ ด้าน     สำหรับงาน MEET & MINGLE ได้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 แล้ว โดยครั้งแรกจัดที่โครงการ “อกัสตัน สุขุมวิท 22” ครั้งที่ 2 ที่ “เอ็ม จตุจักร” และครั้งล่าสุดที่โครงการมาเอสโตร 03 รัชดา – พระราม 9 มี ลูกบ้านและคนรักสัตว์มาร่วมงานกันเป็นจำนวนมาก โดยภายในงานมีกิจกรรมที่น่าสนใจ ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Major PETSCAPE” อาทิ  Pet Health Check-up บริการตรวจสุขภาพสัตว์เลี้ยง ฟรี! จากโรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ จากกระแสตอบรับที่ดีของลูกบ้าน Pet Lovers งาน MEET & MINGLE คาดว่าในปีนี้เมเจอร์ฯ จะสามารถขยายฐานกลุ่มลูกบ้านคนรักสัตว์เลี้ยงได้เพิ่มขึ้นกว่า 30%    
The Metropolis Samrong Interchange กวาดยอดขาย 70% มั่นใจอุปทานสุขุมวิทตอนปลายยังไม่ล้น

The Metropolis Samrong Interchange กวาดยอดขาย 70% มั่นใจอุปทานสุขุมวิทตอนปลายยังไม่ล้น

อีกหนึ่งทำเลคอนโคมิเนียมติดรถไฟฟ้าที่น่าสนใจนั่นคือสุขุมวิทช่วงปลาย ซึ่งโครงการ The Metropolis Samrong Interchange ก็คือหนึ่งในคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ ติด Interchange สำโรง ของสายสีเขียวกับสายสีเหลือง เป็นจุดที่ทั้งน่าลงทุนและการเลือกซื้อเพื่ออยู่อาศัยที่น่าสนใจไม่น้อย   นาย เฉลิมชัย ว่องไววิทย์ กรรมการบริหาร บริษัท ว่องไววิทย์ อุตสาหกรรมจักรกล จำกัด กล่าวถึงภาพรวมของตลาดอสังหาริมทรัพย์ว่า ช่วงไตรมาสแรกเราจะเห็นตัวเลขของแต่ละ Developer ยังคงดีอยู่ เพราะจากการเร่งขาย เร่งโอนก่อนมาตรการ LTV ที่บังคับใช้เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่พอมาในช่วงไตรมาสที่ 2 เราจะเห็นได้ชัดเจนว่ามีการชะลอการเปิดตัวโครงการลงกันไปพอสมควร ทำให้ยอดการเปิดตัวโครงการใหม่ลดลงในครึ่งปีแรกถึง 25% และคาดว่าครึ่งปีหลังอาจลดลงถึง 30-40% ซึ่งจุดนี้ก็มีข้อดีตรงที่ Supply เกิดขึ้นใหม่น้อยลง   ส่วนช่วงครึ่งปีแรกมี Supply คอนโดมิเนียมในช่วงสถานีแบริ่ง-สำโรง ทั้งสิ้น 19,312 ยูนิต โดยเป็นคอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่เพียง 639 ยูนิต ซึ่งกลุ่มลูกค้าของโซนนี้เป็นคนไทยที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง มีบางส่วนที่เก็บไว้ลงทุน เนื่องจากราคาขายยังคงจับต้องได้อยู่ที่ช่วงราคา 67,000-110,000 บาท/ตร.ม. อัตราเติบโตเฉลี่ยต่อปีในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา อยู่ในอัตราร้อยละ 6.4   "การที่เมืองเริ่มขยายตัวตามโปรเจ็กต์โครงการรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ หรือกำลังก่อสร้างเป็นรูปเป็นร่างมีสถานี ที่เป็นจุดตัดหรือจุดเชื่อมจะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการเดินทาง หมายความว่าเราสามารถเลือกการเดินทางได้หลากหลายเส้นทางมากขึ้น ในขณะเดียวกันจะนำมาซึ่งความเจริญ เกิดการค้า การลงทุน ส่งผลให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยในบริเวณนั้นๆ มากขึ้น เมื่อผู้คนได้หลั่งไหลเข้ามาใช้บริการสถานีเพื่อเดินทางไปยังจุดเป้าหมายอื่น"   สำหรับโครงการ The Metropolis Samrong Interchange (เดอะ เมโทรโพลิส สำโรง อินเตอร์เชนจ์) ตั้งอยู่บนพื้นที่โครงการทั้งหมดกว่า 8 ไร่ พัฒนาเป็น High Rise Condominium จำนวน 2 อาคาร คือ อาคาร A , B และเป็น Low Rise Condominium จำนวน 1 อาคาร คือ อาคาร C และอาคารจอดรถ ขนาด 29–67 ตร.ม. ราคาเริ่ม 2.6 ล้านบาท ล่าสุดได้สร้างเสร็จสมบูรณ์และทยอยส่งมอบและโอนกรรมสิทธิ์ให้กับลูกค้าแล้ว ซึ่งปัจจุบันมียอดขาย 70%   เราต้องทำให้เหนือกว่าที่ลูกค้าคาดหวังไว้ อย่างส่วนกลางของเราก็มาจากลูกค้าเรียกร้องเข้ามา เพราะเราสามารถควบคุมต้นทุนการก่อสร้างได้ แต่จะไม่ลดสเปก โครงสร้างที่นี่จึงแข็งแรงมาก   นาย เฉลิมชัย เน้นย้ำว่า คนซื้อที่นี่ต้องได้ “กำไร” ไม่ว่าจะเป็นกำไรชีวิตระหว่างการอยู่อาศัย หรือกำไรจากมูลค่าเพิ่มของทรัพย์สินเมื่อเวลาผ่านไป    
ไม่ต้องรอเสาร์-อาทิตย์ ก็ซื้อของที่จตุจักรได้แล้ว !!! ในศูนย์การค้าแห่งใหม่ “มิกซ์ จตุจักร” ช้อปปิ้งได้ไม่มีวันหยุด

ไม่ต้องรอเสาร์-อาทิตย์ ก็ซื้อของที่จตุจักรได้แล้ว !!! ในศูนย์การค้าแห่งใหม่ “มิกซ์ จตุจักร” ช้อปปิ้งได้ไม่มีวันหยุด

ขาช้อปทั้งหลาย ที่ชื่นชอบการช้อปปิ้งที่ตลาดสวนจตุจักร  ตอนนี้ไม่ต้องรอวันหยุด เฉพาะวันเสาร์และอาทิตย์แล้ว วันไหนๆ ก็ไปช้อปกันได้เพลินๆ กับศูนย์การค้าแห่งใหม่ "มิกซ์ จตุจักร" ในย่านใจกลางจตุจักร ที่ขนร้านค้าในตลาดนัดจตุจักรขึ้นมาไว้บนห้างกว่า 500 ร้านค้า หลังเริ่มต้นก่อสร้างและพัฒนาโครงการมาตั้งแต่ปี 2560 ตอนนี้ศูนย์การค้า มิกซ์ จตุจักร (Mixt Chatuchak) ก็พร้อมให้บริการกับลูกค้า ได้เข้าไปช้อปปิ้ง จับจ่ายซื้อสินค้า หรือใช้บริการร้านค้าต่างๆ ภายในโครงการได้แล้ว ศูนย์การค้า “มิกซ์ จตุจักร” ภายใต้การบริหารงานโดยบริษัท สยาม พิริยา ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 10 ไร่  ใจกลางจตุจักร ติดกับตลาดนัดจตุจักร ด้วยงบลงทุนกว่า 900 ล้านบาท เป็นอาคารสูง 5 ชั้น มีความยาวถึง 350 เมตร  มีพื้นที่ขายกว่า 60,000 ตารางเมตร   เปิดพื้นที่โครงการ “มิกซ์ จตุจักร” ภายในโครงการแบ่งออกเป็น 8 โซน ได้แก่ เสื้อผ้าแฟชั่น (Fashion Zone)  เครื่องประดับ (Accessories Zone) ร้านอาหารและเครื่องดื่ม (Food & Beverage Zone) ศูนย์อาหารขนาดใหญ่สไตล์สตรีทฟู้ด (Food Court) สินค้าตกแต่งบ้าน (Home & Décor) เครื่องสำอางและสินค้าทรีตเม้นท์-สปา (Spa & Beauty) ของที่ระลึก (Souvenirs) และธุรกิจบริการ (Service)   ชั้น 1 เป็นพื้นที่ร้านค้ากว่า 140 ยูนิต ในโซนแฟชั่น มีทั้งสินค้าแฟชั่นผู้หญิง ผู้ชาย และเด็ก   โดยเฉพาะสินค้าสไตล์วินเทจ สำหรับคนที่ชื่นชอบความคลาสสิก นอกจากนี้ ยังมีโซนร้านอาหาร และคาเฟ่ชื่อดัง รวมถึงโซนบริการต่าง ๆ ที่จะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเหล่านักช้อป อาทิ บริการด้านการจัดส่งสินค้า และบริการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ อีกทั้งยังมีลานกิจกรรมหมุนเวียน (Event Galleria) บนพื้นที่กว่า 800 ตารางเมตร ที่จะมีกิจกรรมพิเศษในแต่ละเดือน   ชั้น 2​ เป็นพื้นที่ต่อเนื่องของโซนแฟชั่นในสไตล์ฟิวชั่นบนพื้นที่ร้านค้ากว่า 240 ยูนิต รวมแฟชั่นสุดแนวไปจนถึงสตรีทแวร์ เครื่องสำอางสำหรับคนรักสวยรักงาม เครื่องหนังดีไซน์สวยทั้งรองเท้า กระเป๋า และโซนรวมเครื่องประดับ จิวเวลรี่ รวมทั้งสินค้างานคราฟต์เก๋ไก๋ดีไซน์ไม่ซ้ำใคร และสินค้าไอทีให้ได้อัพเดตเทรนด์กันอย่างไม่มีเอ้าท์   ชั้น 3  เป็นพื้นี่รวมร้านค้ากว่า 120 ยูนิต พบกับโซนสินค้าตกแต่งบ้าน งานศิลปะ หัตถกรรมกับงานแฮนด์เมด ของที่ระลึกต่าง ๆ  แล้วมาผ่อนคลายที่โซนสปาและความงาม แวะเติมพลังที่ มิกซ์ จตุจักร ฟู้ดคอร์ท ศูนย์อาหารสไตล์สตรีทฟู้ด บนพื้นที่กว่า 2,000 ตารางเมตร  มีร้านอาหารไห้เลือกกว่า 45 ร้านเด็ด ราคาเริ่มต้นเพียง 30 บาทเท่านั้น   ชั้นที่ 4 – 5 และชั้นดาดฟ้า  เป็นพื้นที่ลานจอดรถที่รองรับได้กว่า 700 คัน       นายมีพร ไชยูปถัมภ์ กรรมการบริหาร บริษัท สยาม พิริยา ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด เปิดเผยว่า จตุจักรถือเป็นทำเลทองแห่งใหม่ของกรุงเทพฯ  เพราะมีความในทุกด้าน เป็นย่านธุรกิจการค้าที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องทั้งศูนย์การค้า ออฟฟิศ แลสถานศึกษา ขณะที่การเดินทางถือว่าสะดวกสบาย  เป็นจุดศูนย์รวมการคมนาคม มีรถประจำทางมากมาย รวมถึงรถไฟฟ้า BTS และ MRT ซึ่งในปี 2563 มีโครงการ "บางซื่อแกรนด์สเตชัน" สถานีรถไฟที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ซึ่งนับว่าเป็นศูนย์กลางด้านการคมนาคมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย “ศูนย์การค้า “มิกซ์ จตุจักร” มาเติมเต็มศักยภาพของย่านจตุจักรให้เป็น Shopping Destination รองรับความต้องการของชาวไทยและนักท่องเที่ยวจากทุกมุมโลก”   โดยต่อไปธุรกิจการค้าในย่านจตุจักรจะไม่จำกัดการขาย  เฉพาะในช่วงวันหยุดวันเสาร์และอาทิตย์เท่านั้น  แต่จะสามารถขายได้ทุกวัน  ถือเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับธุรกิจในการสร้างยอดขาย ขณะที่บริษัทมีแผนสนับสนุนธุรกิจต่างๆ โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี ด้วยการช่วยโปรโมทร้านค้าผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อสร้างการรับรู้ให้มากขึ้น พร้อมเปิดให้บริการต้อนรับนักช้อปชาวไทยและต่างประเทศแล้ววันนี้ ดึงจุดเด่นเสน่ห์ของตลาดนัดจตุจักรที่โดนใจนักช้อปมาอย่างยาวนาน ให้จุใจยิ่งขึ้น ช้อปได้ทุกวัน ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก พร้อม นอกจากนี้ ทางโครงการยังมุ่งเน้นสนับสนุน SMEs ไทยอย่างแท้จริง กับคอนเซ็ปต์ ‘Mixt Chatuchak Selected’ ด้วยการเลือกสรรร้านค้าที่มีเอกลักษณ์ ทั้งสินค้าแฮนด์เมดสุดครีเอทีฟกว่า 700 ร้านค้า และศูนย์อาหารสไตล์สตรีทฟู้ด ด้วยกลยุทธ์เจาะร้านค้าด้วยราคาค่าเช่าที่ดีกว่าใครในย่านนี้ เริ่มต้นเพียง 1,000 บาท ต่อ ตารางเมตรต่อเดือน ซึ่งคาดว่าจะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการ 1.2 ล้านคนต่อเดือน และบริษัทจะมีรายได้ทะลุ 300 - 500 ล้านบาท ภายใน 2 ปี     ปัจจุบันโครงการได้เปิดให้บริการจำหน่ายสินค้าแล้ว แต่จะมีการจัด Grand Opening ขึ้นอีกครั้งในวันที่ 6 กันยายนนี้ ตั้งแต่เวลา 18.00 น. เป็นต้นไป  โดยจะมีการจัดแฟชั่นโชว์ กิจกรรมมินิคอนเสิร์ตจากศิลปิน  และมีโปรโมชั่นพิเศษ  เพียงดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่น Mixt Chatuchak Reward รับฟรีบัตร Cash Card มูลค่า 200 บาท สำหรับรับประทานอาหารที่ มิกซ์ จตุจักร ฟู้ดคอร์ท  สำหรับลูกค้า 1,000 ท่านแรกเท่านั้น ตั้งแต่ 30 สิงหาคม ถึง 30 กันยายน 2562 และโปรโมชั่นสุดพิเศษจากแบรนด์ชั้นนำต่างๆ
All Inspire โชว์ผลงานครึ่งปีแรกตามเป้า มั่นใจลุยตลาดอินเตอร์หวังคว้าตลาดแชร์อินเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดใน 5 ปี

All Inspire โชว์ผลงานครึ่งปีแรกตามเป้า มั่นใจลุยตลาดอินเตอร์หวังคว้าตลาดแชร์อินเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดใน 5 ปี

แม้หลาย Developer จะได้รับผลกระทบจากภาวะทางเศรษฐกิจทั้งจากปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ แต่สำหรับ All Inspire กลับทำตัวเลขในครึ่งปีแรกออกมาได้ดี เพราะสามารถกวาดรายได้รวม 1,692 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% โดยมีกำไรสุทธิ 213 ล้านบาท ทำให้มีความมั่นใจในการเปิดโครงการในครึ่งปีหลัง พร้อมเปิดตัวทีมบริหารต่างชาติ 4 สัญชาติภายใต้ บริษัท ไทย ดี เรียลเอสเตท จำกัด หวังขยายพอร์ตลูกค้าต่างชาติเพิ่ม ตั้งเป้าเป็นตลาดแชร์อินเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยภายใน 5 ปี   นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL Inspire ได้เปิดเผยถึงผลงานในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาว่า รายได้ครึ่งปีแรกที่ผ่านมา อยู่ที่ 628 ล้านบาท โตขึ้น 44% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกเมื่อปี 61 ขณะที่มีกำไร 213 ล้านบาท โตขึ้น 29% เมื่อเเปรียบเทียบกันกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว มียอด Backlog ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2562 มีมูลค่าประมาณ 8,000 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ในช่วง 3 - 4 ปีข้างหน้า แบ่งเป็นของโครงการคอนโดมิเนียมประเภท โลว์ไรส์ 5,520 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียมประเภท ไฮไรส์ 2,240 ล้านบาท และโครงการทาวน์โฮม 240 ล้านบาท ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทฯ มีสินค้าสร้างแล้วเสร็จที่พร้อมขายและโอนกรรมสิทธิ์ (Inventory) มูลค่ารวมประมาณ 201 ล้านบาท จากโครงการ The Excel Khukot และ Rise Rama 9 ซึ่งการเติบโตของผลการดำเนินงานในครั้งนี้เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการบริหารงานของบริษัทฯ ที่มีความมุ่งเน้นการดำเนินธุรกิจที่ให้ความสำคัญในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมในแนวรถไฟฟ้าและบนทำเลที่มีศักยภาพ   Business Plan ครึ่งปีหลัง 62 เตรียมเปิดโครงการ the vision ลาดพร้าว-นวมินทร์ เฟส 2 หลังจากเฟสแรกได้รับกระแสอย่างล้มหลาม 100 ยูนิต Sold Out ภายใน 1 วัน คาดเปิดขายวันที่ 31 สิงหาคมนี้ นอกจากนี้ยังเตรียมเปิดโครงการทั้งทั้งแบบคอนโดมิเนียม โลว์ไรส์, ไฮไรส์, ทาวน์โฮม และยังเตรียมบุกตลาดต่างจังหวัด โดยจะเปิด Sale Gallery โครงการ Impression ภูเก็ต โดยโครงการใหม่ที่ในครึ่งปีหลังนี้รวมมูลค่ากว่า 12,500 ล้านบาท นอกจากนี้ยังวางธุรกิจหลักของ All Inspire ภายใน 3 ปีนี้วางการซื้อที่ดินเพื่อนำมาพัฒนาโครงการ 70% Recurring Income 20% และ Service Brokerage 10%   นอกจากนี้ยังมีความคืบหน้าของลงทุนสิทธิการเช่าช่วงอาคารศูนย์การค้า The New Forum Plaza จังหวัดชลบุรี บนพื้นที่ 11-3-74 ไร่ ซึ่งมีพื้นที่ Gross Building Area รวม 34,952 ตารางเมตร และพื้นที่ให้เช่า (Gross Leasable Area) 11,593 ตารางเมตร โดยมีอายุสัญญาเช่า 29 ปี มูลค่ารวมประมาณ 600 ล้านบาท ซึ่งจะกลายมาเป็น Recurring Income ให้กับ All Inspire ซึ่งคาดกว่าจะแล้วเสร็จกลางปี 2563 และจะเปิดให้บริการในเชิงพาณิชย์ในช่วงครึ่งปีหลัง 2563 โดยคาดว่าจะมีรายได้รวมเดือนละกว่า 10 ล้านบาท และหลังจากเปิดบริการเต็มปีในปี 2564 จะส่งผลให้มีรายได้เฉลี่ย 200 ล้านบาทต่อปี   พร้อมกันนี้ยังได้มีกาเปิดตัวทีมบริหารการตลาดและงานขายในต่างประเทศ ซึ่งดำเนินการผ่าน บริษัท ไทย ดี เรียลเอสเตท จำกัด (Thai D) ประกอบธุรกิจเป็นตัวแทนและนายหน้าขายอสังหาริมทรัพย์สำหรับตลาดต่างประเทศ ซึ่งการเปิดตัวทีมบริหาร 4 สัญชาติอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ ซึ่งทีมงานเจาะจงให้เป็นคนชาตินั้นๆ โดยเฉพาะ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นและได้รับความไว้วางใจให้แก่ลูกค้าชาวต่างชาติแต่ละประเทศทั้ง ญี่ปุ่น-ไต้หวัน-สิงคโปร์-จีน ซึ่งผลงานที่ผ่านมาของทีมนี้ สร้างยอดขายกว่า 5,000 ห้อง ภายใน 3 ปี รวมมูลค่า 18 ล้านบาท ดูแลมาแล้วกว่า 58 โครงการในประเทศไทย ซึ่งสามารถทำยอด Sold Out ไปแล้ว 34 โครงการ และ All Inspire ก็มีออฟฟิศประจำอยู่ในเมืองไทเป กับเซี่ยงไฮ้ เพื่อสร้างจุดแข็งอย่างต่อเนื่องทั้งการจัดสัมมนา ทำกิจกรรมสื่อสารไปยังลูกค้าชาวต่างชาติ โดยเฉพาะเรื่องบริการหลังการขายที่สร้างความสัมพันธ์กับลูกค้ารวมถึงเอเจ้นท์ชาวต่างชาติเหมือนกับลูกบ้านในประเทศไทย   ลูกค้าต่างชาติไม่ได้ลดลง เพียงแต่มี Devrloper หลายแห่งเปิดขายตลาดต่างชาติมากขึ้นจึงเกิดการแชร์ตลาดกัน แต่เรายังเติบโตได้ เพราะเราลงในรายละเอียดเชิงลึก จึงเชื่อมั่นว่าตลาดต่างชาติยังคงเติบโต สำหรับตลาดต่างประเทศ All Inspire ตั้งเป้าเป็นตลาดแชร์อินเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยภายใน 5 ปี หรือ คิดเป็น 30% ของตลาดต่างประเทศจากทั้งหมดประมาณ 7-8 หมื่นล้านบาท      
ช้อปเลย รออะไร? เซ็นทรัล วิลเลจ เปิดวันแรก ลูกค้ารอเปิดประตูกว่า 2,000 คน

ช้อปเลย รออะไร? เซ็นทรัล วิลเลจ เปิดวันแรก ลูกค้ารอเปิดประตูกว่า 2,000 คน

เปิดวันแรกคึกคัก ‘เซ็นทรัล วิลเลจ’ ลักชูรี่ เอาท์เล็ตแห่งแรกของไทย ลูกค้ารอเปิดประตูแน่นกว่า 2,000 คน เตรียมช้อปร้านค้าแบรนด์เนมที่นำเสนอสินค้ามาลดราคา 35-70% ให้ช้อปทุกวัน ไม่ต้องรอเทศกาลเซล   บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN เปิดให้บริการวันแรกคึกคัก ลูกค้ารอเปิดประตูแน่นกว่า 2,000 คน เซ็นทรัล วิลเลจ ลักชูรี่เอาท์เล็ตแห่งแรกของประเทศไทย ขอขอบคุณทุกกำลังใจที่สนับสนุนโครงการที่ซีพีเอ็นตั้งใจและปรารถนาที่จะทำให้ดีที่สุดด้วยมาตรฐานและความเป็นมืออาชีพ โดยจะอำนวยความสะดวกให้กับทุกคนอย่างสุดความสามารถ และอยากให้ทุกคนมาช้อปเอาท์เล็ตที่เป็นความภาคภูมิใจของคนไทย ชูร้านค้าแบรนด์ดังนำสินค้าคอลเลคชั่นก่อนๆ ลดราคา 35-70% ทุกวัน เปิดให้บริการทุกวัน 10.00-22.00 น.     ทั้งนี้ลูกค้าสามารถเดินทางมาได้สะดวกด้วยเส้นทางต่างๆ ดังนี้ : บริการฟรีรถรับส่ง (Free Shuttle Bus) จากเซ็นทรัลเวิลด์ ออกวันละ 3 รอบ คือ 00, 15.00  และ 19.00 น. และจากป้ายรถประจำทาง สถานีบีทีเอสอุดมสุข หมุนเวียน วันละ 5 รอบ คือ  10.00, 12.30,15.00, 18.00 และ 20.30 และช่วงแรกของการเปิดศูนย์ฯ (31 ส.ค.-8 ก.ย. 62)  เพิ่มรถจากเซ็นทรัลพลาซา บางนา (ประตู KFC) มีรถออกทุกชั่วโมงตั้งแต่ 10.00-20.00 น. ขนส่งสาธารณะ (รถไฟฟ้าบีทีเอส-แอร์พอร์ต เรล ลิงก์-รถประจำทาง) เดินทางได้สะดวกด้วยรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีอุดมสุข ใช้ทางออก 1,3 หรือ 5 แล้วต่อ Shuttle Bus มายังโครงการ หรือ เดินทางด้วย แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ลงที่สถานีสุวรรณภูมิ แล้วเรียก Taxi หรือ หากเดินทางด้วยรถประจำทาง สาย 558 (สนามบินสุวรรณภูมิ-เซ็นทรัล พระราม 2) ลงป้าย วิทยาลัยเกริกแล้วเดินต่อ 450 เมตร รถยนต์ส่วนตัว เดินทางมุ่งหน้ายังสนามบินสุวรรณภูมิ จากนั้นใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 โดยมีที่จอดรถที่โครงการ 1,500 คัน และวันที่ 31 ส.ค.-8 ก.ย. 62 จอดรถฟรีที่เซ็นทรัลพลาซา บางนา 600 คัน บริการ GRAB ด้วยโปรโมชั่นพิเศษ ตั้งแต่ 31 ส.ค. ถึง 30 ก.ย. 2562 ใช้ GrabCar Premium and SUV เดินทางไป-กลับ เซ็นทรัลเวิลด์ หรือ เซ็นทรัล วิลเลจ ราคาเดียว 450 บาท ต่อเที่ยว เมื่อใส่โค้ด “SVB450”  หรือใช้ GrabCar Luxe เดินทางไป-กลับ เซ็นทรัลเวิลด์ หรือ เซ็นทรัลวิลเลจ ลดทันที 300 บาท ต่อเที่ยว เมื่อใส่โค้ด “SVB300”  *ส่วนลดต่อวันมีจำนวนจำกัด     ภายใต้คอนเซปต์ “Bangkok Luxury Outlet” ที่รวบรวมร้านค้า พร้อมสินค้าแบรนด์เนมในราคาย่อมเยาที่ใครๆ ก็เข้าถึงได้ ด้วยส่วนลดราคาพิเศษ 35-70% ทุกวัน โดยมีแบรนด์ดังระดับโลกกว่า 150 ร้านค้า ซึ่งส่วนใหญ่ถือเป็น First Time Outlet Shop ในประเทศไทย และอีกกว่า 60 แบรนด์ ได้เลือกเปิด Exclusive Outlet Store เฉพาะเซ็นทรัล วิลเลจที่เดียว นอกจากนี้ ยังมีแบรนด์ไฮไลท์ต่างๆ อาทิ Club 21 (Outlet by Club 21), Calvin Klein, Carnival, Ducati, Etro, Kloset Etcetera, Victoria’s Secret, Ermenegildo Zegna, Lacoste, Max & Co., Michael Kors, Kenneth Cole, Keds, L’Oreal Luxe, Adidas, Under Armour, Puma, Skechers, Superdry, Samsonite, Toys R Us, Home & Living เป็นต้น โดยจะมีแบรนด์ดังๆ อาทิ Chloé, Salvatore Ferragamo, COACH, Polo Ralph Lauren, Tommy Hilfiger และ Kate Spade ทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง   นอกจากนี้ ยังมีแบรนด์ไทยที่นักท่องเที่ยวชื่นชอบ อย่าง Jim Thompson, Naraya และโซนไทย พาวิลเลี่ยน และวิลเลจ สแควร์ ที่รวบรวมสุดยอดผลิตภัณฑ์เอกลักษณ์ไทยพื้นบ้านร่วมสมัย ที่สลับสับเปลี่ยนให้เลือก  ช้อปเลือกชมกันตลอดทั้งปี นับเป็นการยกระดับคุณภาพสินค้าไทยให้เป็นที่ประจักษ์ในระดับโลก ในบรรยากาศช้อปปิ้งแบบไทยโมเดิร์น (Thai Modern) ที่ตกแต่งด้วยเส้นลายหลังคาทรงจั่วของไทย แบ่งโซนเป็นหมู่บ้านต่างๆ ผสานพื้นที่สีเขียว สร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กรุงเทพฯ เป็นหนึ่งใน World-Class Shopping Destination     เซ็นทรัล วิลเลจ ยังแตกต่างจากเอาท์เล็ตอื่นๆ ในโลก ด้วย Beyond Experience ที่มากกว่า ด้วยความเชี่ยวชาญของซีพีเอ็น เพราะนอกจากจะมีดีไซน์ในสไตล์หมู่บ้านไทยแบบ Thai Modern ที่มีเพียงแห่งเดียวในโลกแล้ว ยังมีมนต์เสน่ห์แสดงวิถีชีวิตของความเป็นไทยในสไตล์ Outdoor Experience ผ่านความร่มรื่นของต้นไม้ พื้นที่สีเขียว น้ำพุ ฟีเจอร์โมเดิร์นอาร์ตและจุดถ่ายรูปต่างๆ รวมถึงมีการจัดกิจกรรมแฟชั่น ศิลปะ และวัฒนธรรมร่วมสมัย หมุนเวียนตลอดทั้งปี เชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งจุดเช็คอินใน Travel Checklist ของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกและเป็นโปรเจ็คที่มัดใจลูกค้าชาวไทยที่ชื่นชอบสินค้าแบรนด์เนมในราคาย่อมเยาได้อย่างแน่นอน   เซ็นทรัล วิลเลจ ยังมุ่งมั่นที่จะเป็น “ศูนย์กลางการใช้ชีวิตแห่งใหม่” ที่รองรับคนกรุงเทพฯ ในย่านสุขุมวิทตอนปลาย บางนา ลาดกระบัง รวมถึงสมุทรปราการ ด้วยร้านอาหารยอดนิยม เช่น Fuji, แหลมเจิรญ, Café Amazon, MK Restaurant, Starbucks, ชาตรามือ, Swensen’s, ลาวญวน, Sushi Hiro, Bonchon และ Krispy Kreme รวมถึงที่จอดรถจำนวนมากและห้องน้ำที่มีมาตรฐาน เราจึงมั่นใจว่าจะสามารถมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจให้กับคนไทย รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติ       (อ่านข่าวเกี่ยวข้อง ก่อนจะเปิดให้บริการวันนี้)
[PR News] 3 สมาคมอสังหาฯ ลุยจัดงานใหญ่ “มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 41” เพิ่มโอกาสผู้บริโภคซื้อบ้าน-คอนโดฯ ระหว่าง 12-15 ก.ย.นี้ ชั้น 5 สยามพารากอน

[PR News] 3 สมาคมอสังหาฯ ลุยจัดงานใหญ่ “มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 41” เพิ่มโอกาสผู้บริโภคซื้อบ้าน-คอนโดฯ ระหว่าง 12-15 ก.ย.นี้ ชั้น 5 สยามพารากอน

3 สมาคมอสังหาฯ ทุ่มงบกว่า 20 ล้านบาท เปิดพื้นที่ชั้น 5 สยามพารากอน จัดยิ่งใหญ่ มหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 41 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Amazing Deals” ระดมกว่า 1,000 โครงการจัดข้อเสนอสุดพิเศษ! ทั้ง “ทำเล-โปรโมชั่น - ไฟแนนซ์เชียล” เพิ่มโอกาสผู้บริโภคเลือกช็อปบ้าน–คอนโดฯ ก่อนเข้าโค้งสุดท้ายปีระหว่างวันที่ 12-15 กันยายน 2562 นี้   นายชูรัชฏ์ ชาครกุล ประธานจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งที่ 41 เปิดเผยว่า การจัดงานในครั้งนี้เป็นหนึ่งในกิจกรรมที่ “3 สมาคมอสังหา” ประกอบด้วย สมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร, สมาคมอาคารชุดไทย และสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทยร่วมกันจัดขึ้น เพื่อส่งเสริมกิจกรรมการตลาดและการขายให้กับสมาชิกของทั้งสามสมาคมฯ ที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ ในขณะที่ผู้บริโภคก็จะได้ “ประโยชน์” ในการเลือกจองซื้อบ้านและคอนโดมิเนียมด้วยเช่นกัน โดยในปีนี้ได้ใช้งบการจัดงานกว่า 20 ล้านบาท จัดขึ้นมาภายใต้คอนเซ็ปต์ “Amazing Deals” สุดยอดข้อเสนอสำหรับคนอยากมีบ้านและคอนโดฯ ระหว่างวันที่ 12-15 กันยายนนี้ ณ ห้องรอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน นับว่าเป็นโอกาสสุดท้ายของปีที่จะเลือกซื้อบ้านและคอนโด ทำเลดี ราคาพิเศษและข้อเสนอด้านสินเชื่อที่คุ้มค่า   ภายในงานจะเป็นการรวบรวมโครงการที่อยู่อาศัย “ ครบทุกที–ทุกทำเล-ทุกราคา” รวมกว่า 1,000 โครงการ พร้อมด้วย “BEST PROMOTION” โปรโมชั่นสุดพิเศษ!! ที่แต่ละโครงการต่างพร้อมกันมานำมาเสนอเฉพาะในงานเท่านั้น นอกจากนั้นคณะผู้จัดงานยังได้จัดโปรโมชั่น และแคมเปญ Amazing Deals ลุ้นรับบัตรกำนัลส่วนลดเงินสด และ เครื่องใช้ไฟฟ้าจากพานาโซนิค รวมมูลค่ากว่า 1.1 ล้านบาท และเฉพาะในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 41 เท่านั้น ที่ผู้เข้าชมงานจะได้อัพเดทโปรโมชั่น ราคาและข้อเสนอพิเศษของแต่ละโครงการจากทุกบริษัทที่มาร่วมแสดงงาน ในรูปแบบ Real Time ณ บริเวณเวทีกลางภายในงานอีกด้วย   ถือเป็นโอกาสที่ดีที่สุดของผู้ที่ต้องการที่อยู่อาศัยระดับคุณภาพ ที่มีโอกาสเลือกจองซื้อบ้านและคอนโดฯ ในทำเลที่ดีที่สุด หรือ “BEST LOCATION” นอกจากนี้ยังมีสถาบันการเงินชั้นนำที่เข้ามาร่วมแสดงงานในครั้งนี้ที่พร้อมข้อเสนอ “BEST  FINANCIAL” ให้สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษ!! พร้อมตรวจสอบวงเงินสินเชื่อ รู้ผลเบื้องต้นทันทีก่อนเลือกจองบ้านอีกด้วย   พร้อมกันนี้ นายชูรัชฏ์ ยังกล่าวด้วยว่า ทางสมาคมผู้จัดงานยังได้จับมือกับทางธนาคารให้บริการผู้เข้าชมงานสามารถตรวจสอบวงเงินสินเชื่อเบื้องต้นก่อนตัดสินใจจองบ้านและคอนโดฯ ภายในงาน ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเลือกที่อยู่อาศัยที่ตรงกับความต้องการและงบประมาณที่มี หรือหากต้องการที่จะซื้อบ้านในอนาคตนั้นควรจะวางแผนการออมเงินอย่างไร   พิเศษ! ทั้งนี้ “งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 41” มีกำหนดจัดขึ้นระหว่างวันที่ 12-15 กันยายนนี้ ณ ห้องรอยัล พารากอน ฮอลล์ ชั้น 5 ศูนย์การค้าสยามพารากอน ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าชมงานล่วงหน้าผ่าน www.housecondoshow.com    
[PR News] ปลูกสร้างบ้านระดับคุณภาพ-ราคาพิเศษ ! ภายในงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ Expo 2019”

[PR News] ปลูกสร้างบ้านระดับคุณภาพ-ราคาพิเศษ ! ภายในงาน “รับสร้างบ้านและวัสดุ Expo 2019”

นายจำเริญ โพธิยอด ผู้ตรวจราชการกระทรวงการคลัง เป็นประธานในพิธีเปิดงาน “งานรับสร้างบ้านและวัสดุ Expo 2019” จัดโดยสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ซึ่งงานนี้มีขึ้นระหว่างวันที่ 29 สิงหาคม-1 กันยายน 2562 ณ อาคาร 6 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี  โดยนางศิริพร สิงหรัญ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน พร้อมด้วย ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ ,กรรมการกิตติมศักดิ์ และกรรมการบริหาร เข้าร่วมงานในพิธีเปิดด้วย พร้อมกันนี้ยังมีการเปิดงานมหกรรมบ้านมือสองและสินเชื่อแห่งปี หรือ NPA Grandsale and Home Loan 2019 จัดโดยสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย นางศิริพร สิงหรัญ นายกสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน (HBA : Home Builder Association) เปิดเผยว่า การจัด “งานรับสร้างบ้านและวัสดุ Expo 2019” เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีเพื่อช่วยกระตุ้นการตลาดและการขายให้กับสมาชิกของสมาคมฯ ในปีนี้จัดขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ “ที่เดี่ยวจบ ครบเรื่องสร้างบ้าน” มีไฮไลท์ภายในงานผู้บริโภคที่เข้ามาชมหรือต้องการที่จะปลูกสร้างบ้านบนที่ดินจะได้พบกับ ดังนี้คือ ·     มีบ้านครบทุกระดับราคา 1-100 ล้านบาท ·     มีบริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำมาที่สุด กว่า 30 บริษัท ·     มีแบบบ้านให้เลือกกว่า 1,000 แบบ ·     บริษัทผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างชั้นนำที่เป็นนวัตกรรมใหม่ และที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ·     สินเชื่อสุดพิเศษจากสถาบันการเงินชั้นนำ ·     มุมหนังสือแบบบ้านสวยๆ  “งานนี้ถือเป็นโอกาสที่ดีของผู้บริโภคที่จะได้บ้านระดับคุณภาพในราคาพิเศษ” นางศิริพร กล่าว พร้อมกับกล่าวด้วยว่า หากผู้บริโภคจองปลูกสร้างบ้านภายในงาน ยังมีสิทธิ์ลุ้นรับทองคำแท่งมูลค่ารวมกว่า 400,000 บาท โดยงานรับสร้างบ้าน และวัสดุ Expo 2019 นั้น ทางสมาคมฯ คาดว่าจะมียอดขายในงานกว่า 3,000 ล้านบาท                                                              การจัดงานในครั้งนี้ ทางสมาคมฯ จัดพร้อมกับงาน NPA Grand Sale and Home Loan 2019 ซึ่งเป็นงานที่รวมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยไว้มากที่สุดจากธนาคารพาณิชย์ชั้นนำ พร้อมด้วยสินทรัพย์รอการขาย หรือ NPA ซึ่งผู้ที่สนใจปลูกสร้างบ้านสามารถที่จะขอสินเชื่อภายใต้เงื่อนไขสุดพิเศษได้อีกด้วย หรือ ผู้ที่สนใจหาที่ดินเปล่าเพื่อปลูกสร้างบ้านก็สามารถเดินชมงานได้ด้วยเช่นกัน      
[PR News] สตีเบล เอลทรอน ขยายการผลิตนำไทยสู่ศูนย์กลางการผลิตและส่งออกของภูมิภาคเอเซียแปซิฟิกภายในปี 2563

[PR News] สตีเบล เอลทรอน ขยายการผลิตนำไทยสู่ศูนย์กลางการผลิตและส่งออกของภูมิภาคเอเซียแปซิฟิกภายในปี 2563

สตีเบล เอลทรอน ผู้การผลิตเครื่องทำน้ำอุ่น เครื่องกรองน้ำ เครื่องเป่ามือ ปั๊มความร้อนและปั๊มน้ำในประเทศไทย เปิดเผยข้อมูลภาพรวมบริษัทหลังผลประกอบการโดยรวมเติบโตเพิ่มขึ้น 17% ในปี 2561 ใช้ประเทศไทยในการก้าวขึ้นมาเป็นฐานการผลิตและส่งออกหลักของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และประเทศอื่น ๆ นอกภูมิภาค ภายในปี 2563 พร้อมประกาศประกาศเป็นพันธมิตรให้การสนับสนุนสโมสรฟุตบอลโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ (Borussia Dortmund) เป็นเวลาต่อเนื่อง 2 ปี   สตีเบล เอลทรอน ลงนามเซ็นสัญญาร่วมมือครั้งสำคัญระดับภูมิภาค เพื่อให้การสนับสนุนโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ สโมสรฟุตบอลชื่อดังจากประเทศเยอรมนี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างการรับรู้ของแบรนด์ให้เพิ่มมากขึ้นแก่ทั้งสององค์กร โดยสัญญานี้จะมีผลในประเทศไทยและสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวต่อเนื่องเป็นเวลาสองปี  พร้อมยังสนับสนุนสโมสรฟุตบอลในไทยอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ สโมสรฟุตบอลเชียงใหม่ สโมสรฟุตบอลบางกอกกล๊าส และสโมสรฟุตบอลไทยฮอนด้า ลาดกระบังนอกจากนี้สตีเบล เอลทรอน ยังจัดทำเครื่องทำน้ำอุ่นรุ่นพิเศษร่วมกับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ อย่างรุ่น  XG Dortmund Limited Edition และมีจำนวนจำกัดสำหรับสาวกลูกหนังตัวจริง   สตีเบล เอลทรอน ประเทศไทยมีการเติบโตของยอดขาย ด้วยตัวเลขการเติบโตที่ 17% เมื่อปี พ.ศ. 2561 ซึ่งการเติบโตของสตีเบล เอลทรอนในปีนี้ ส่วนหนึ่งมีผลมาจากการทุ่มเงินลงทุนขยายโรงงานที่สองของสตีเบล เอลทรอนในประเทศไทยด้วยเงินลงทุนกว่า 200 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันสร้างเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้วตามกำหนดการที่วางไว้ และพร้อมจะเดินการผลิตปลายปีนี้ โดยโรงงานที่สองเป็นส่วนขยายของโรงงานเดิมที่ตั้งอยู่ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เพื่อรองรับการผลิตที่เพิ่มมากยิ่งขึ้น พร้อมปรับขบวนการการผลิตที่ส่งเสริมความยั่งยืน นอกจากนี้ยังรองรับการผลิตเครื่องทำน้ำอุ่นน้ำร้อนแบบหม้อต้ม และปั๊มความร้อน เพื่อส่งออกไปยังประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งการขยายกำลังการผลิต ร่วมกับการส่งเสริมการตลาด และการขยายช่องทางการขายได้ต่อไป  
[PR News] “โฮมโปร” ทุ่มกว่า 400 ล้าน เปิด “HOMEPRO Max มุกดาหาร” สาขาที่ 84  ขยายกลุ่มสินค้าวัสดุก่อสร้าง

[PR News] “โฮมโปร” ทุ่มกว่า 400 ล้าน เปิด “HOMEPRO Max มุกดาหาร” สาขาที่ 84 ขยายกลุ่มสินค้าวัสดุก่อสร้าง

“โฮมโปร” ทุ่มกว่า 400 ล้านบาท ตะลุยภาคอีสานผุดสาขา “HOMEPRO Max มุกดาหาร” สาขาที่ 84 ซึ่งเป็นสาขาต่างจังหวัดแห่งแรก และแห่งเดียวที่เปิดในปี 62  ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าทุก Segment  โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าวัสดุก่อสร้าง     นางสาวศิริวรรณ เปี่ยมเศรษฐสิน  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ กลุ่มการตลาด บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน)  หรือ“โฮมโปร” เผยว่า ได้ลงทุน 400 ล้านบาท เปิดสาขาในรูปแบสแตนด์อโลน “HOMEPRO Max มุกดาหาร”  ซึ่งถือเป็นสโตร์ใหญ่สแตนด์อโลนสาขาที่ 2 ที่เปิดในปี 2562 นี้ บนพื้นที่กว่า 18,000 ตารางเมตร      ความพิเศษของสโตร์แห่งนี้ คือ มีการนำแบรนด์สินค้าชั้นนำด้านวัสดุก่อสร้างมาจำหน่ายเพื่อตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าได้ทุกรูปแบบ ทั้งกลุ่มผู้ใช้สินค้าเรื่องบ้านทั่วไป และกลุ่มที่เน้นไปในด้านวัสดุก่อสร้าง หรือกลุ่มงานช่าง ซึ่งสาขาแห่งนี้จะแสดงถึงศักยภาพ และความพร้อมของโฮมโปร ในการใช้จุดแข็งที่มีมาต่อยอดเพื่อเดินหน้าสู่ตลาดวัสดุก่อสร้างอย่างเต็มตัว ทั้งยังเป็นการลงทุนเพื่อตอบสนองความต้องการกำลังซื้อลูกค้าแถบภาคอีสาน และลูกค้าจากฝั่ง สปป.ลาว ให้ช้อปเรื่องบ้านแบบครบ จบในที่เดียว   HOMEPRO Max มุกดาหาร เป็นโฮมโปรสาขาที่ 84 ตั้งอยู่ที่ถนนชยางกูร อำเภอเมืองมุกดาหาร ซึ่งนอกเหนือจากมีสินค้าเรื่องบ้าน อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ เครื่องครัว สุขภัณฑ์ ที่นอน แล้ว ยังเพิ่มโซนสินค้าวัสดุก่อสร้าง ทั้งวัสดุก่อสร้างอิฐ, หิน, ปูน, ทราย, เหล็กเส้น, โครงสร้างหลังคา, กลุ่มสินค้าระบบ งานประปา, แท้งค์น้ำ     พร้อมเพิ่มพื้นที่ช้อป Open Air เป็นการสั่งซื้อสินค้าได้ที่ห้อง Board Material จ่ายเงินแยกต่างหาก, เปิดระบบ Cashier Multi-Function มีบริการครอบคลุมทั้งการออกใบกำกับภาษี, การสั่งซื้อ, แสดงคิวจัดส่ง อย่างครบวงจร คาดว่าHOMEPRO Max มุกดาหาร จะกลายเป็นแลนมาร์คใหม่ของจังหวัดมุกดาหารได้อย่างลงตัว   นางสาวศิริวรรณ กล่าวเพิ่มเติมว่า “HOMEPRO Max มุกดาหาร” จะเป็นทางเลือกใหม่ของลูกค้าทุกกลุ่ม โดยเฉพาะกลุ่มผู้รับเหมา ที่สามารถเลือกซื้อสินค้าสำหรับบ้าน ตั้งแต่เริ่มลงเสาเข็มไปจนถึงการตกแต่งภายในได้เลย อีกทั้งโฮมโปรยังได้จัดงาน Grand Opening ฉลองเปิด “HOMEPRO Max มุกดาหาร” เสิร์ฟโปรโมชั่น และสินค้าราคาพิเศษมากมาย เพื่อเป็นการรองรับแนวโน้มความต้องการซื้อสินค้าเรื่องบ้าน ที่เป็นไปในทิศทางบวก ซึ่งคาดหวังว่าโฮมโปร สาขาที่ 84 แห่งนี้ จะทำยอดขายได้ 35 ล้านบาทต่อเดือน  
เปิดพรุ่งนี้ (วันที่ 31 สิงหาคม 2562) แน่นอน !!!  หลังศาลปกครองสั่งคุ้มครอง “เซ็นทรัล วิลเลจ”

เปิดพรุ่งนี้ (วันที่ 31 สิงหาคม 2562) แน่นอน !!!  หลังศาลปกครองสั่งคุ้มครอง “เซ็นทรัล วิลเลจ”

เซ็นทรัล วิลเลจ เปิดพรุ่งนี้! หลังศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครอง ให้เปิดทางเชื่อมเซ็นทรัล วิลเลจ  ให้ลูกค้าได้ช้อปปิ้งกว่า  150 ร้าน ตั้งแต่ 10:39 – 22:00 น. ซีพีเอ็น เตรียมบริการรถรับ-ส่งฟรี  เซ็นทรัลเวิลด์ และ BTS อุดมสุข   นายปรีชา เอกคุณากูล กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จํากัด (มหาชน) หรือ CPN เปิดเผยว่า  โครงการเซ็นทรัล วิลเลจ ลักชูรี่ เอาท์เล็ตระดับโลกแห่งแรกของไทย สามารถเปิดให้บริการได้ตามกำหนดวันพรุ่งนี้ (31 ส.ค.) ตั้งแต่เวลา 10:39 – 22:00 น. ตามที่ได้ตั้งใจไว้ หลังศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครอง ให้เปิดทางเชื่อมเซ็นทรัล วิลเลจ   “ซีพีเอ็น พันธมิตรร้านค้า กว่า 150 ร้าน และพนักงานกว่า 1,000 คน ขอขอบคุณภาครัฐ ศาลปกครอง ประชาชน สื่อมวลชน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกภาคส่วน ที่มีความจริงใจ ช่วยสนับสนุนให้เกิดความเป็นธรรม และช่วยคลี่คลายสถานการณ์ต่างๆ”   โดยทางซีพีเอ็นได้เตรียมพร้อมอำนวยความสะดวกให้กับลูกค้ากลุ่มแรกของเซ็นทรัล วิลเลจอย่างเต็มที่ ด้วยที่จอดรถที่รองรับรถยนต์ได้กว่า 1,500 คัน และบริการรถ Shuttle Bus รับ-ส่งฟรี 2 จุดจากในเมือง เซ็นทรัลเวิลด์ และ BTS อุดมสุขพร้อม   นายปรีชา กล่าวว่า ทางโครงการได้เสริมมาตรการในการบรรเทาการจราจร โดยโครงการยังยืนยันได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายผังเมือง มีความปลอดภัยต่อการบิน ทั้งความสูง และไม่มีกิจกรรมใด ๆ ที่จะกระทบ หรือรบกวนการบิน เป็นไปตามมาตรฐานองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) ทุกประการ   สำหรับ ลูกค้าสามารถเดินทางมาได้สะดวกด้วยเส้นทางต่างๆ ดังนี้ : -บริการฟรีรถรับส่ง  (Free Shuttle Bus) จากเซ็นทรัลเวิลด์ ออกวันละ 3 รอบ คือ 11.00, 15.00  และ 19.00 น. และ จากป้ายรถประจำทาง สถานีบีทีเอสอุดมสุข หมุนเวียน วันละ 5 รอบ คือ  10.00, 12.30,15.00, 18.00 และ 20.30 -ขนส่งสาธารณะ (รถไฟฟ้าบีทีเอส-แอร์พอร์ต เรล ลิงก์-รถประจำทาง) เดินทางได้สะดวกด้วยรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีอุดมสุข ใช้ทางออก 1,3 หรือ 5 แล้วต่อ Shuttle Bus มายังโครงการ หรือ เดินทางด้วย แอร์พอร์ต เรล ลิงก์ ลงที่สถานีสุวรรณภูมิ แล้วเรียก Taxi หรือ หากเดินทางด้วยรถประจำทาง สาย 558 (สนามบินสุวรรณภูมิ-เซ็นทรัล พระราม 2) ลงป้าย วิทยาลัยเกริกแล้วเดินต่อ 450 เมตร     -รถยนต์ส่วนตัว เดินทางมุ่งหน้ายังสนามบินสุวรรณภูมิ จากนั้นใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 -บริการ GRAB  ด้วยโปรโมชั่นพิเศษ ตั้งแต่ 31 ส.ค. ถึง 30 ก.ย. 2562 ใช้ GrabCar Premium and SUV เดินทางไป-กลับ เซ็นทรัลเวิลด์ หรือ เซ็นทรัล วิลเลจ ราคาเดียว 450 บาท ใส่โค้ด “SVB450”  หรือใช้ GrabCar Luxe เดินทางไป-กลับ เซ็นทรัลเวิลด์ หรือ เซ็นทรัลวิลเลจ ลดทันที 300 บาท ใส่โค้ด “SVB300”  *ส่วนลดต่อวันมีจำนวนจำกัด   ทั้งนี้ ซีพีเอ็น ยึดหลักความถูกต้องและเป็นไปตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดต่อไป เพื่อให้โครงการเซ็นทรัล วิลเลจ เป็นโครงการแห่งความภาคภูมิใจของคนไทย สมกับเป็นโครงการที่เชิดชูอัตลักษณ์ไทยและเป็นจุดหมายปลายทางแห่งการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้อย่างสมภาคภูมิในเวทีสากล และ เป็นให้คนไทยช้อปในประเทศมากขึ้นและมีโอกาสในการเข้าถึงสินค้าแบรนด์เนมในราคาย่อมเยาว์ ลดราคา 35-70% ทุกวัน”    
[PR] โบ๊ทลากูนยอช์ตติ้ง จับมือ เบอร์เจส รุกตลาดซูเปอร์ยอช์ตของไทย

[PR] โบ๊ทลากูนยอช์ตติ้ง จับมือ เบอร์เจส รุกตลาดซูเปอร์ยอช์ตของไทย

โบ๊ทลากูนยอช์ตติ้ง จับมือ เบอร์เจส รุกตลาดซูเปอร์ยอช์ตของไทย บริษัท โบ๊ทลากูนยอช์ตติ้ง จำกัด ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่ายเรือยอช์ตระดับลักชัวรีที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยและในภูมิภาค ด้วยประสบการณ์กว่า 25 ปี ประกาศจับมือเป็นพันธมิตรกับ Burgess (เบอร์เจส) จากอังกฤษซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งของโลกด้านซูเปอร์ยอช์ตและเมกะยอช์ต เพื่อขยายฐานธุรกิจของโบ๊ทลากูนยอช์ตติ้งให้ครบวงจร เพิ่มขีดความสามารถในตลาดซูเปอร์ยอช์ตในไทยและภูมิภาค ทั้งการซื้อขาย หรือสร้างเรือใหม่ขนาดยักษ์มูลค่า 1,000 ล้านบาทขึ้นไป พร้อมบริการให้เช่าซูเปอร์ยอช์ตเพื่อท่องเที่ยวทั่วโลก และช่วยกระตุ้นให้ไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการนักท่องเที่ยว ระดับ Top End   นายวริศ ยงสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท โบ๊ทลากูนยอช์ตติ้ง จำกัด เล็งเห็นโอกาสของการขยายตลาดเรือยอช์ตขนาดยักษ์ในไทยและภูมิภาค ที่กำลังเป็นที่ต้องการของลูกค้ากลุ่มไฮเอ็น รวมถึงมีจำนวนที่เพิ่มขึ้น ความร่วมมือกับ Burgess ครั้งนี้จะทำให้ โบ๊ทลากูนยอช์ตติ้งเป็นผู้ประกอบการด้านเรือยอช์ตรายใหญ่ของไทยที่ให้บริการอย่างครบวงจร ทั้งการซื้อขาย การเช่าซูเปอร์ยอร์ต เมกะยอช์ตเพื่อการท่องเที่ยวในที่ต่างๆ ของโลก โดยงานแรกจะมีเรือซูเปอร์ยอช์ต และเมกะยอช์ต จำนวน 4 ลำ ราคาลำละ 1,500-2,500 ล้านบาท เดินทางมาเอเชียเพื่อการท่องเที่ยว เพื่อเปิดโอกาสให้กลุ่มลูกค้าสามารถใช้บริการเช่าได้     มร. ฌอง-มาร์ค พูเลท์ ประธานประจำภาคพื้นเอเชีย และหุ้นส่วนอาวุโสของ Burgess (เบอร์เจส) กล่าวว่า “Burgess เป็นบริษัทที่มีประสบการณ์มายาวนานถึง 40 ปี มีการให้บริการ 4 ด้านประกอบด้วย บริการซื้อขายเรือซูเปอร์ยอช์ต, บริการให้เช่าซูเปอร์ยอช์ต, บริการรับต่อเรือใหม่ และบริการด้านการบริหารจัดการเรือซูเปอร์ยอช์ต การจับมือเป็นพันธมิตรกันครั้งนี้ เชื่อว่ากลุ่มลูกค้าที่สนใจ มีความต้องการเรือซูเปอร์ยอช์ต และเมกะยอช์ต จะได้รับความสะดวกจากบริการด้วยทีมงานมืออาชีพระดับโลก ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายเรือซูเปอร์ยอช์ตที่มีระดับราคาตั้งแต่ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป โดยทีมที่ปรึกษาของ Burgess และโบ๊ทลากูนยอช์ตติ้ง จะทำหน้าที่เป็นตัวแทนตั้งแต่เริ่มต้นจนส่งมอบการหาผู้ผลิตเรือที่ถูกต้อง การคัดสรรวัสดุอุปกรณ์ การตกแต่งภายใน งานระบบ และงานบริการทุกอย่างตามที่ลูกค้าต้องการ รวมถึงการบริหารจัดการทางการเงินด้วย"     จากข้อมูลของ The Superyacht Migration Report ระบุว่า ซูเปอร์ยอช์ตที่เดินทางมาภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะนิยมมาเที่ยวประเทศไทยและสิงคโปร์มากที่สุด และในระหว่างปี 2558-2561 มีซูเปอร์ยอช์ตเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวประเทศไทยเพิ่มขึ้นกว่า 50% (จาก 27 ลำในปี 2558 เป็น 41 ลำในปี 2561) “การเป็นพันธมิตรกับ Burgess (เบอร์เจส) ไม่เพียงจะช่วยขยายศักยภาพของ โบ๊ทลากูนยอช์ตติ้งในตลาดซูเปอร์ยอช์ตเติมเต็มความต้องการให้กับลูกค้าแล้ว Burgess ยังช่วยอำนวยความสะดวกให้กับกลุ่มลูกค้าระดับบนสุดที่ต้องการเช่าเรือซูเปอร์ยอช์ต เมกะยอช์ตเพื่อท่องเที่ยวตามที่ต่างๆทั่วโลก โดยBurgess ก็มีซูเปอร์ยอช์ตที่เข้าไปดูแลด้านการให้เช่ากว่า 100 ลำ นอกจากนั้น Burgess ยังจะยกระดับให้ประเทศไทยเป็นอีกจุดหมายปลายทางหนึ่งที่นักท่องเที่ยวทางซูเปอร์ยอช์ตจะต้องเดินทางมา ซึ่งจะสร้างรายได้ให้กับคนในท้องถิ่นทั้งโรงแรม ร้านอาหารการท่องเที่ยวและอื่นๆ โดยมีการประมาณการว่าซูเปอร์ยอช์ต 1 ลำที่เดินทางมาแวะพักที่ประเทศไทยจะใช้จ่ายประมาณ 35-70 ล้านบาทต่อทริป” นายวริศ กล่าว    
CPN ยืนยัน “เซ็นทรัล วิลเลจ” เปิดแน่ 31 สิงหาคมนี้ มั่นใจได้รับอนุญาตและก่อสร้างถูกต้อง

CPN ยืนยัน “เซ็นทรัล วิลเลจ” เปิดแน่ 31 สิงหาคมนี้ มั่นใจได้รับอนุญาตและก่อสร้างถูกต้อง

ซีพีเอ็น  ประกาศยืนยันว่า บริษัทได้ดำเนินการทุกอย่างตามขั้นตอนอย่างถูกต้อง และได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมายจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และมีอำนาจรับผิดชอบโดยตรง มีความโปร่งใสพร้อมให้ตรวจสอบ วอนให้ความเป็นธรรมช่วยกันเดินหน้าประเทศไทยทั้งภาพลักษณ์ที่ดีและเศรษฐกิจของประเทศให้โครงการที่มีร้านค้ากว่า 150 ร้าน และพนักงานมากกว่า 1,000 คน พร้อมเปิด 31 สิงหาคมนี้ตามกำหนดการเดิม   นายปรีชา เอกคุณากูล กรรมการผู้จัดการใหญ่ และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  บริษัทมุ่งสร้างประโยชน์กับประเทศชาติ ประโยชน์ต่อชุมชนโดยรอบอย่างยั่งยืนโดยในทุกที่ที่โครงการของบริษัทไปตั้งอยู่ บริษัทล้วนนำพาความเจริญ สร้างเศรษฐกิจ มีการจ้างงาน กระจายรายได้สู่ชุมชน และยกระดับคุณภาพชีวิตมาอย่างยาวนาน ถึง 34 ศูนย์การค้า ใน 18 จังหวัดทั่วประเทศ   โดยบริษัทมุ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ส่งเสริมเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว การลงทุนในประเทศไทย โดยลักชูรี่ เอาท์เล็ตแห่งนี้  จะช่วยสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน (Competitive Advantage) กับประเทศต่างๆ ทั่วโลก บริษัทสามารถดึงนักลงทุน Global Brands ใหญ่ๆ ระดับโลก ซึ่งทุกคนพร้อมและเชื่อมั่นมาลงทุนในประเทศไทย   บริษัทได้ใช้เวลาเตรียมการมากว่า 5 ปี และ Luxury Outlet แห่งนี้ จะเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยว ที่มีความครบถ้วน และทำให้คนไทยมาช้อปในประเทศ ทำให้ภาษียังหมุนเวียนอยู่ในประเทศ โดยเป็นการเปิดกว้างให้คนทุกกลุ่มเข้าถึงสินค้าแบรนด์เนมได้ง่ายขึ้นในราคาย่อมเยาว์”   “โครงการเซ็นทรัล วิลเลจ ขอวิงวอนให้ภาครัฐให้ความเป็นธรรม และช่วยคลี่คลายสถานการณ์ปัญหาต่างๆ โดยโครงการมีมูลค่าร่วมลงทุนของซีพีเอ็น และร้านค้ากว่า 150 ร้านค้า รวมกว่า 5,000 ล้านบาท โดยหลังจากเปิดให้บริการคาดว่า จะมีการจ้างงานพนักงานร้านค้าที่เช่าพื้นที่ กว่า 1,000 คน และคาดว่า จะสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการในประเทศกว่า 30,000 ล้านบาท” นายปรีชา กล่าว   แจง 3 ประเด็นชัดๆ พัฒนาโครงการถูกต้อง   ประเด็นที่ 1: พื้นที่โครงการมีการเชื่อมทางเข้าออกอย่างถูกต้อง ไม่มีการรุกล้ำที่ดินของภาครัฐ       (ที่ราชพัสดุ ลำรางสาธารณะ) และไม่ได้เป็นที่ดินตาบอด   -ที่ดินโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ ตั้งอยู่บนที่ดินที่ติดกับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 ซึ่งไม่ได้อยู่ภายใต้การดูแลของ ทอท.   -ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 เดิมเป็นที่ราชพัสดุ ต่อมากรมทางหลวงได้พัฒนาเป็นทางหลวงแผ่นดิน โดยได้ขึ้นทะเบียนเป็นทางหลวงแผ่นดินแล้ว จึงมีสถานภาพเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน ทำให้ไม่มีสถานะเป็นที่ราชพัสดุตามมาตรา 7 (2) พ.ร.บ. ที่ราชพัสดุ พ.ศ. 2562 และเป็นพื้นที่คนละบริเวณกันกับที่ภาครัฐเวนคืนมาเพื่อสร้างสนามบินที่ ทอท. ดูแล   -โครงการได้รับอนุญาตเชื่อมทางอย่างถูกต้องจากกรมทางหลวง ซึ่งเป็นผู้ซึ่งมีอำนาจเต็มในการอนุมัติการเชื่อมทางแต่เพียงผู้เดียว   -ทั้งนี้ พื้นที่ทางหลวงหมายเลข 370 หมายรวมถึง เขตทาง และไหล่ทาง ซึ่งติดกับที่ดินของเอกชน 2 ข้างถนน ซึ่งที่ดินของโครงการมีแนวเขตแนบสนิทต่อเนื่องกับเขตทางของ ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 ดังนั้น ที่ดินของโครงการจึงไม่ใช่ที่ดินตาบอด   ดังนั้น รายละเอียดในส่วนของการโต้แย้งสิทธิในที่ดินหน้าโครงการ ระหว่าง กรมทางหลวง ทอท. และกรมธนารักษ์ ขอชี้แจงเพิ่มเติม ดังนี้   ที่ดินนี้อยู่บนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 และมีป้ายเริ่มต้นและสิ้นสุดอย่างชัดเจน   โดยทางหลวงแผ่นดิน 370 ซึ่งเคยเป็นที่ราชพัสดุ และมอบให้กรมทางหลวงสร้างและเป็นผู้ดูแล ซึ่งเป็นพื้นที่คนละส่วนกับพื้นที่ดินเวนคืนของสนามบินสุวรรณภูมิที่ ทอท ดูแล อีกทั้ง ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 ถือเป็นทางหลวงสาธารณะ ที่ใช้เงินภาษีอากรของประชาชน ไม่ใช่ขององค์กรเอกชนใดที่จะมากล่าวอ้างเป็นเจ้าของได้   -โดยในปี 2511-2513 ภาครัฐได้จัดซื้อที่ดินเพื่อสร้างถนน -ปี 2544 ครม. มีคำสั่งให้กรมทางหลวงสร้างทางเข้าออกด้านใต้ของสนามบิน ซึ่งคือทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370   -ปี 2550 กรมขนส่งทางอากาศทำบันทึกมอบพื้นที่ให้กรมทางหลวงดูแลรักษาทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 ซึ่งประกาศใช้เป็นถนนสาธารณะและให้กรมทางหลวงรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว   -กรมทางหลวงจึงเป็นผู้มีสิทธิครอบครองและมีสิทธิอนุญาตในการให้ใช้ประโยชน์จากทางหลวงแผ่นดิน 370 ได้มีการขึ้นทะเบียนเป็นทางหลวงแผ่นดินเมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2554 โดยมีป้ายแสดงจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดทาง   -ทำให้ชี้ได้ว่า สิทธินี้เป็นของกรมทางหลวง ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้ประโยชน์เข้าออกได้ต่อเนื่องมาโดยตลอดแล้วจำนวน 88 ราย โดยแบ่งเป็น +ผู้ที่ยื่นขออนุญาตเชื่อมทางกับกรมทางหลวงจำนวน 37 ราย +ทอท. เองก็ได้ขออนุญาตจากกรมทางหลวงในการใช้ประโยชน์ เช่น จากหลักฐานล่าสุดเมื่อ 14 พ.ค. 2562 ได้มีหนังสือจากกรมทางหลวงอนุญาตให้ ทอท. เดินท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดินและบ่อพัก ทั้งนี้ ไม่มีผู้ใช้ประโยชน์รายใด เคยยื่นขออนุญาตเชื่อมทางจาก ทอท. เลย สำหรับพื้นที่อีกส่วนหนึ่งที่เกิดจากการจัดหาที่ดินตาม พ.ร.บ. เวนคืน เพื่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ -ในปี 2516 ได้มีประกาศ พ.ร.บ. เวนคืนที่ดินจำนวน 19,251 ไร่ เพื่อสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ โดยเป็นที่ดินคนละแปลงกับที่ดินทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 -เพื่อชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่ ทอท. กล่าวอ้างสิทธิการดูแลและครอบครองที่ดินไหล่ทางหน้าโครงการ ไม่น่าจะเป็นกล่าวอ้างที่ถูกต้องนัก เพราะ -เป็นทางหลวงที่เปิดใช้เป็นเส้นทางสัญจรมาตั้งแต่ปี 2548 และกรมทางหลวงได้รับมอบจาก ทย. แล้วเมื่อวันที่ 5 ม.ค. 2550 โดยได้ขึ้นทะเบียนเป็นทางหลวงแล้ว จึงมีสถานภาพเป็นสาธารณะสมบัติของแผ่นดิน -อีกทั้งล่าสุดเมื่อ 14 พ.ค. 2562 ได้มีหนังสือจากกรมทางหลวงอนุญาตให้ ทอท. เดินท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดินและบ่อพัก   ประเด็นที่ 2: บริษัทฯ ได้ปฏิบัติตามกฎหมายผังเมืองอย่างเคร่งครัด   -โครงการนี้ได้ปฏิบัติตามกฎหมายผังเมืองและได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องในการก่อสร้างในพื้นที่สีเขียว บริเวณ ก1-10 ไม่เกินร้อยละ 10 ของที่ดินพื้นที่สีเขียวบริเวณดังกล่าว โดยโครงการได้รับอนุญาตจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตามกฎหมายผังเมือง   -และไม่ได้มีการขอปรับผังเมืองแต่อย่างใด   ประเด็นที่ 3 คือ บริษัทฯ ได้ขออนุญาตก่อสร้างในบริเวณพื้นที่เขตปลอดภัยในการเดินอากาศ จากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย อย่างถูกต้อง   -โครงการมีความปลอดภัยต่อการบิน ไม่ได้ละเมิดกฏใดๆ ทั้งด้านความสูง และไม่มีกิจกรรมใดๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานสนามบิน หรือรบกวนการบินแต่อย่างใด โดยแบบมีความสูงที่ถือว่าต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนด ซึ่งเป็นไปตามมาตรฐานองค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (ICAO) จึงไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับการติดธงแดงตามที่มีการกล่าวอ้าง   -และเราจะปฏิบัติตามกฎระเบียบอย่างเคร่งครัดต่อไป   เปิดไทม์ไลน์ 5 ปี กว่าจะมีวันนี้   โดย 5 ปีที่ผ่านมา นับแต่เริ่มพัฒนาโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ บริษัทฯ ทำงานด้วยความเป็นมืออาชีพ และยึดหลักธรรมาภิบาลในการทำงานถูกต้องทุกขั้นตอน มีความโปร่งใส สามารถตรวจสอบได้มาโดยตลอด และขอยืนยันว่าโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ ดำเนินการทุกอย่างถูกต้อง และได้รับอนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมายจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องและมีอำนาจรับผิดชอบโดยตรง ตามไทม์ไลน์ที่เกิดขึ้นดังนี้   1.ปี 2558 บริษัทฯ ได้ทำการตรวจสอบที่ดินว่า ที่ดินดังกล่าวนั้นสามารถพัฒนาโครงการเซ็นทรัล วิลเลจได้ตาม พ.ร.บ. ผังเมือง และติดถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 370 ไม่ใช่ที่ดินตาบอดแต่อย่างใด   2.วันที่ 22 ธ.ค. 2559 บริษัทฯ ได้รับหนังสือรับรองการใช้ประโยชน์ที่ดินตาม พ.ร.บ. ผังเมือง ว่า พื้นที่สีเขียวบริเวณ ก1-10 ของผังเมืองสมุทรปราการ ยังมีพื้นที่เพียงพอให้บริษัทฯ สร้างโครงการนี้ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย   3.วันที่ 30 ม.ค. 2560 และ 25 ก.ค. 2562 บริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตก่อสร้างและแบบปรับปรุงภายในเขตปลอดภัยในการเดินอากาศ จากสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.)   4.วันที่ 24 เม.ย. 2561 ได้ใบอนุญาตการก่อสร้างอาคาร (อ1) จาก อบต. บางโฉลง   5.วันที่ 24 เม.ย. 2561 บริษัทฯ ได้แถลงข่าวเปิดตัวโครงการต่อสาธารณชนเป็นครั้งแรก   6.วันที่ 10 เม.ย. 2562 กรมทางหลวงได้อนุญาตให้การประปา ใช้พื้นที่ไหล่ทางในการดำเนินการวางท่อเข้าโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ   7.วันที่ 24 ก.ค. 2562 กรมทางหลวงได้อนุญาตให้ทำทางเชื่อมเข้าออก ขยายผิวจราจร และปรับปรุงทางเท้า ซึ่งรวมไปถึงไหล่ทางด้วย เช่นเดียวกับที่เคยได้อนุมัติเชื่อมทางให้กับผู้ร้องขอรายอื่นบนถนนสายนี้ทั้งสิ้น 37 ราย รวมถึง ทอท. ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เคยขออนุญาตจากกรมทางหลวงมาโดยตลอด และล่าสุดเมื่อ 14 พ.ค. 2562 ได้มีหนังสือจากกรมทางหลวงอนุญาตให้ ทอท. เดินท่อร้อยสายไฟฟ้าใต้ดินและบ่อพัก   8.ในวันที่ 14 ส.ค.  2562 บริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเปิดใช้อาคาร (อ6) จาก อบต. บางโฉลง   9.ในวันที่ 22 ส.ค. 2562 ทอท. มาปิดกั้นทางเข้าออก หน้าโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ   10.ในวันที่ 31 ส.ค. 2562 มีกำหนดเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ
เปิดตัว “Ken Attitude รัตนาธิเบศร์” ติด MRT พระนั่งเกล้า วิวแม่น้ำเจ้าพระยา

เปิดตัว “Ken Attitude รัตนาธิเบศร์” ติด MRT พระนั่งเกล้า วิวแม่น้ำเจ้าพระยา

อีกหนึ่งโครงการที่ยังเชื่อมั่นในศักยภาพของรถไฟฟ้าสายสีม่วง โดยความร่วมมือระหว่าง บริษัท เดอะวัน เอสเตท ดีเวลลอปเม้นท์ จํากัด ร่วมกับ บริษัท พรีโม เรียลเตอร์ จำกัด (บริษัทในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้) เปิดตัวคอนโดมิเนียมติด MRT สถานีพระนั่งเกล้า เพียง 100 เมตร ได้วิวแม่น้ำเจ้าพระยาทุกทิศ กับโครงการ "Ken Attitude รัตนาธิเบศร์" ราคาเริ่มต้นที่ 2.29 ล้านบาท   นายเฉิน ซื่อ ปิง ประธานกรรมการ บริษัท เดอะ วัน เอสเตท ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ได้เล่าถึงเรื่องราวก่อนที่จะจัดตั้งเป็นบริษัทว่า แรกเริ่มเมื่อปี 2547 บริษัท เท็น ไทย ดีเวลลอปเม้น จำกัด ประกอบธุรกิจทำอพาร์ทเม้นท์ให้เช่า ต่อมาปี 2554 จึงได้ทำคอนโดมิเนียม Low Rise ภายใต้ชื่อ The Unique (ดิ ยูนีค) และ Totnes (โททเนส) ยึดทำเลโซนรัชดา ลาดพร้าว เลียบด่วนเอกมัย รามอินทรา และสุขุมวิท จนถึงปัจจุบันก็ได้จัดตั้ง The One Estate Development ขึ้นด้วยทุนจดทะเบียน 200 บาท (ชำระเต็ม) ประเดิมโครงการแรกด้วยคอนโดมิเนียมสุดหรู ติด MRT สถานีพระนั่งเกล้า เพียง 100 เมตร วิวแม่น้ำเจ้าพระยา "Ken Attitude รัตนาธิเบศร์" ดีไซน์ตัวอาคารให้คล้ายกับอยู่ในมหานครระดับโลก เป็น High Rise 31 ชั้น ภายในยูนิต Type Duplex มีความสูงเพดาน 4.9 เมตร จำนวน 588 ยูนิต (21 ยูนิต/ชั้น) Auto Parking 53% Facilities หลักบน Roof Top  ที่ดิน 3-0-30 ไร่ มาพร้อมราคาดีที่สุดในย่านนนทบุรีเริ่มต้นที่ 2.29 ล้านบาท และยังได้ร่วมมือกับ บริษัท พรีโม เรียลเตอร์ จำกัด บริษัทในเครือ บมจ. ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ที่ทำการดูแลให้กับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ภายนอก มีมูลค่าโครงการกว่า 2,000 ล้านบาท             ด้านคุณพิมพ์ชญา ธนาวัชรวิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรีโม เรียลเตอร์ จำกัด ได้กล่าวว่า บริษัทเป็นผู้ดูแลด้านการบริหารงานให้กับโครงการ "Ken Attitude รัตนาธิเบศร์" โดยมีการวางแผนการตลาดทั้งใช้สื่อออฟไลน์และออนไลน์ไปยังกลุ่มเป้าหมาย อย่างผู้ปกครองนักศึกษา ข้าราชการ พนักงานเอกชนที่มีทั้งที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัยเอง และเพื่อการลงทุนในระยะยาว เนื่องจากโครงการตั้งอยู่ในทำเลศักายภาพ ตรงข้ามมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลสุวรรณภูมิ ห่างจากรถไฟฟ้าเพียง 100 เมตร เป็นคอนโดวิวแม่น้ำที่กำลังนิยม รวมถึงในแง่ของการทำห้องที่โดดเด่น แตกต่างจากคู่แข่งในย่านเดียวกัน โดยเฉพาะยูนิตแบบ DUO Space เพดานสูงถึง 4.9 เมตร ซึ่งจะเริ่มเปิดขายในเดือนตุลาคม 2562 ตั้งเป้าปิดการขายภายใน 18 เดือน      ทั้งนี้ The One Estate Development ยังเปิดเผยถึงโครงการที่วางแผนเปิดตัวในอนาคตว่า จะมีการเปิดโครงการแนวราบอีก 2 โครงการ คือ BIBURY VILLACE บ้านเดี่ยวระดับ Super Luxury ย่านศรีนครินทร์ และอีกหนึ่งทำเลย่านอารีย์           
[PR] ลงทุน+บริหารเอง นักเลงพอ อินเด็กซ์  ปั้นร้านเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ “วินเนอร์” โมเดลใหม่

[PR] ลงทุน+บริหารเอง นักเลงพอ อินเด็กซ์ ปั้นร้านเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ “วินเนอร์” โมเดลใหม่

“อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์”  เปิดร้านโมเดลใหม่   “วินเนอร์ เฟอร์นิเจอร์ เซ็นเตอร์” ลงทุนและบริหารเอง ประเดิมสาขาแรกที่จังหวัดราชบุรี 1 ใน 12 เมืองต้องห้ามพลาด  ก่อนเดินหน้าขยายเพิ่มปีหน้าทุกรูปแบบ   นางสาวกฤษชนก ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้มีแผนขยายร้านค้าเฟอร์นิเจอร์วินเนอร์ (Winner Furniture) ด้วยรูปแบบโมเดลใหม่ ที่บริษัทเป็นผู้ลงทุนและบริหารร้านเอง (Company Owned Company Operated)  หรือ COCOในรูปแบบสแตนด์อโลน ( Standalone) ภายใต้ชื่อ “วินเนอร์ เฟอร์นิเจอร์ เซ็นเตอร์” (Winner Furniture Center)   โดยร้านดังกล่าวจะจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ “วินเนอร์ เฟอร์นิเจอร์”  ซึ่งเป็นสินค้าเน้นกลุ่มลูกค้าระดับ Mass เป็นหลัก  มีรูปแบบร้านค้าทั้งหมด 3 รูปแบบ ได้แก่ 1.รูปแบบคอมแพ็ก (Compact) พื้นที่ประมาณ 1,050 ตารางเมตร 2.รูปแบบสแตนดาร์ด (Standard) พื้นที่ประมาณ 1,411 ตารางเมตร และ 3.รูปแบบเอ็กซ์ตร้า (Extra) พื้นที่ประมาณ 1,700 ตารางเมตร     ล่าสุด ได้เปิดสาขาแรกที่จังหวัดราชบุรี ในรูปแบบสแตนดาร์ด (Standard) ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 1,500 ตารางเมตร เพื่อขยายตลาดให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น จากเดิมที่แบรนด์วินเนอร์  มีจำหน่ายที่ “อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์” (Index Living Mall) และ “อินเด็กซ์ เฟอร์นิเจอร์ เซ็นเตอร์”  (Index Furniture center) รวมทั้งหมด 37 สาขา  ครอบคลุมกว่า 22 จังหวัดทั่วประเทศไทย   สาเหตุที่เลือกเปิดสาขาในจังหวัดราชบุรีนั้น เป็นเพราะบริษัทเล็งเห็นถึงศักยภาพและการเติบโตทุกภาคส่วนของจังหวัดราชบุรี ซึ่งถือเป็น 1 ใน 12 เมืองต้องห้ามพลาด ที่ได้รับการคัดเลือกจากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)  และมีแผนพัฒนาเมืองรอบด้านอย่างต่อเนื่อง     รวมถึงมีการแนวโน้มที่ปรับตัวดีขึ้นของภาคเกษตรกรรม  การขยายตัวเพิ่มขึ้นทั้งภาคบริการ ธุรกิจค้าส่ง-ค้าปลีก การท่องเที่ยว และภาคอุตสาหกรรม ส่งผลต่อภาพรวมการขยายตัวของเศรษฐกิจในจังหวัด  และในอนาคตหากมีรถไฟไฮสปีดเทรนเข้ามา จะทำให้ราชบุรีเป็นอีกหนึ่งจังหวัดทางเลือกที่จะพัฒนาสู่การเป็นเมืองที่น่าอยู่อาศัย   โดยภายในปีหน้า บริษัทมีแผนเปิดร้านค้า  “วินเนอร์ เฟอร์นิเจอร์ เซ็นเตอร์” ครบทั้ง 3 รูปแบบ  
สรุปข่าวอสังหาฯ รอบสัปดาห์ 17-25 สิงหาคม 2562

สรุปข่าวอสังหาฯ รอบสัปดาห์ 17-25 สิงหาคม 2562

ตลาดอสังหาฯ ผ่านพ้นไตรมาส 2 มา ยอดขายก็ลดลงไปตามๆ กัน เพราะผลกระทบจากมาตรการ LTV แต่ เดินหน้าลุยกันต่อในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะบรรยากาศโดยรวมน่าจะดีขึ้น ล่าสุดแบงก์ชาติก็ผ่อนเกณฑ์ LTV ในส่วนของผู้กู้ร่วมแล้ว ต่อไปก็น่าจะมีอะไรดีๆ ออกมาอีก ผู้ประกอบการแอบหวังไว้เช่นนั้น   ++ดิ ออริจิ้น รัชดา-ลาดพร้าว กวาดยอดจอง 100% สำหรับค่าย “ออริจิ้น” ดูจะทำผลงานในแบรนด์ใหม่ The Origin ได้โดดเด่นเกินหน้าเพื่อนฝูงร่วมวงการ เพราะเมื่อวันที่ 17-18 สิงหาคมที่ผ่านมา จัดอีเวนท์ First Exclusive สำหรับ โครงการดิ ออริจิ้น รัชดา-ลาดพร้าว (The Origin Ratchada-Ladprao) และดิ ออริจิ้น ลาดพร้าว 15 (The Origin Ladprao 15) ให้แก่ลูกค้าทั้ง VIP และลูกค้าทั่วไป ก็มีคนสนใจล้นหลาม โดยโครงการที่รัชดา-ลาดพร้าว สามารถ Sold Outกวาดยอดจองไป 100% ขณะที่ลาดพร้าว 15 ก็กวาดยอดจอง 80% และจะพรีเซลอย่างทางการในวันที่ 31 สิงหาคมนี้  ++SENA รุกตลาดแนวราบ     ส่วนบริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ที่มีผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ดูแลอยู่ก็เดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ โดยเตรียมเปิดตัวโครงการ “เสนาแกรนด์โฮม รามอินทรา ก.ม.8” พัฒนาเป็นบ้านเดี่ยว 2 ชั้น  จำนวนเพียง 7 หลัง ในราคาเริ่ม 7-10 ล้านบาท  จุดเด่นของโครงการแวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ใกล้รถไฟฟ้าสายสีชมพู (สถานีคู้บอน) ใกล้ห้างแฟชั่นไอส์แลนด์ เดอะพรอมานาด  เดอะคริสตัล และเซ็นทรัล เฟสติวัล อีสต์วิลล์ เป็นต้น   ++พราว กรุ๊ป ทุ่ม 7,000 ล้าน บุกตลาดท่องเที่ยวภูเก็ต ตลาดอสังหาฯ  ไม่ได้มีแต่ตลาดบ้านและคอนโดฯ​ เท่านั้น ยังมีการพัฒนาโครงการในรูปแบบอื่นๆ อีกหลายอย่าง เช่น โรงแรม ศูนย์การค้า เป็นต้น  ซึ่ง “พราว กรุ๊ป” เป็นหนึ่งในดีเวลลอปเปอร์ที่ วางนโยบายเอาไว้ว่าจะเป็นผู้พัฒนาโครงการซึ่งไม่ใช่ที่อยู่อาศัย  โดยเลือกประเภทโรงแรม และสถานที่ท่องเที่ยว ที่สร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้า ซึ่งเลือกพัฒนา “สวนน้ำ” อย่างโครงการวานา นาวา วอเตอร์ จังเกิ้ล หัวหิน ซึ่งกลายเป็นสถานที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเที่ยวหัวหินไปแล้ว   ล่าสุด ได้ทุ่มงบลงทุนกว่า 7,000 ล้านบาท เพื่อพัฒนา 2 โปรเจ็กต์ ในจังหวัดภูเก็ต คือ ‘อันดามันดา’ แหล่งพักผ่อน สวนน้ำ และความบันเทิงบนเนื้อที่ 58 ไร่ ตั้งเป้าเป็น Integrated Entertainment and Resort Destination ซึ่งจะเปิดบริการให้บริการในช่วงต้นปี 2564 และ ‘โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ภูเก็ต รีสอร์ท’ ที่พร้อมเปิดให้บริการเต็มรูปแบบไตรมาส  3 ปีนี้ (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   ++AWC ชู 3  กลยุทธ์ลุยธุรกิจอสังหาฯ   ความยิ่งใหญ่ของตระกูล “สิริวัฒนภักดี” คนไทยทั้งประเทศรู้ดี เพราะมีธุรกิจในมือหลากหลาย แต่และธุรกิจก็ยิ่งใหญ่ระดับประเทศทั้งน้านนนน แม้แต่ธุรกิจอสังหาฯ แต่ละโปรเจ็กต์ก็ระดับบิ๊กๆ ทั้งนั้น  อย่างเช่น ธุรกิจอสังหาฯ ในกลุ่มแอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น ที่เป็นเจ้าของโครงการหลากหลาย อาทิ  เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ อาคารสำนักงานเอ็มไพร์  ทาวเวอร์ ฯลฯ ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ประกาศแผนธุรกิจในส่วนโรงแรมไปแล้ว ล่าสุดออกมาขับเคลื่อนธุรกิจในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ กับ 3 กลยุทธ์สำคัญ   นางวัลลภา ไตรโสรัส  ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) (AWC) เปิดเผยว่า กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์(Retail & Commercial Building) มี 2 กลุ่มใหญ่ คือ อสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้า (Retail and Wholesale) และอาคารสำนักงาน (Office) ซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ ที่มีศักยภาพและมีแนวโน้มเติบโต โดยเตรียม 3 กลยุทธ์เพื่อสร้างการเติบโตต่อเนื่อง ได้แก่ 1.การตอบรับความต้องการทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติและผู้คนในบริเวณโดยรอบโครงการ ภายใต้ Barbell Strategy ซึ่งเป็นการสร้างสมดุลระหว่างโครงการหลากหลายประเภท 2. การวางคอนเซ็ปต์โครงการที่ไม่เหมือนใคร ทำให้ AWC สามารถเปิดโครงการใหม่ เพื่อสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ยังไม่มีโครงการในตลาดที่ตอบโจทย์  และกลยุทธ์ที่ 3 คือ การบริหารจัดการโครงการและผู้เช่าอย่างมีประสิทธิภาพ (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   ++อนันดา เปิดแคมเปญ “คิด..เพื่อชีวิตคนเมือง” เจ้าพ่อคอนโดฯ ติดรถไฟฟ้าต้องยกให้เขาเลย “อนันดา” เพราะแต่ละโปรเก็จต์อยู่ใกล้ชิดติดสถานีของรถไฟฟ้า แม้จะไกลแต่ก็ยังเดินถึงสถานีได้ไม่ลำบาก  นี่คือ คีย์ความสำเร็จตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา  แต่ไม่ใช่แค่นี้  ความสำเร็จของอนันดายังมาจากหลายปัจจัย หนึ่งในนั้น คือการสร้างแบรนด์ ผ่านแคมเปญต่างๆ ล่าสุด เปิดตัว ตัวแคมเปญ “คิด...เพื่อชีวิตคนเมือง” ตอกย้ำแนวคิด Urban Living Solutions  คอร์ปอเรทแคมเปญที่ทำต่อเนื่องมาหลายปี   นอกจากนี้ ยังจัดงาน URBAN EXPO ด้วยการขน 32 โครงการ  พร้อมอยู่ ทั้ง คอนโดฯ ติดรถไฟฟ้า บ้านเดี่ยว และทาวน์เฮาส์ มาจัดโปรโมชั่นพิเศษ และยังจะมีโปรโมชั่นออกมากระตุ้นตลาดเป็นระยะๆ  โดยช่วง 2-3 เดือนนับจากนี้ อนันดา คาดหวังจะทำยอดขายได้ 5,000 ล้านบาท ส่วนช่วงเวลาที่เหลือของปีก็เตรียมเปิดโครงการใหม่อีก 7 โครงการด้วย      ++แสนสิริ เปิดเกมส์รุกแนวราบ   จากภาวะตลาดคอนโดฯ​ ที่อออกอากาศจะไม่สดใส และชะลอตัวลง สิ่งหนึ่งที่ดีเวลลอปเปอร์ทำเพื่อรับมือกับยอดขายซึ่งอาจจะหดหายไป คือ การขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้ากลุ่มใหม่  เทรนด์ส่วนใหญ่ที่ทำกันในปีนี้ จึงเห็นการขยายตลาดไปพัฒนาโครงการแนวราบ  เพราะเป็นกลุ่มเรียลดีมานด์ ไม่มีกลุ่มนักเก็งกำไร ซึ่งเทรนด์นี้ “แสนสิริ” ก็เอากับเขาด้วย โดยครึ่งหลังปีเตรียมตัวเปิด 16 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 24,000 ล้านบาท โดยจำนวน 10 โครงการใหม่ มูลค่า 13,000 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบ   “ในวันนี้แสนสิริพร้อมสร้างความแตกต่าง เพื่อก้าวสู่เป้าหมายในการเป็นผู้นำในตลาดบ้านเดี่ยว และ Top 3 ในตลาดทาวน์เฮาส์ภายใน3 ปี ทั้งนี้กลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนกลุ่มธุรกิจแนวราบมาจากการพัฒนาโครงการที่ครอบคลุมแบรนด์แนวราบ ตอบโจทย์ลูกค้าทุกเซ็กเมนต์ พร้อมสร้างความแข็งแกร่ง และจุดเด่นในแต่ละแบรนด์ที่ชัดเจน แตกต่างเหนือคู่แข่ง” นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)  เล่าถึงเป้าหมายของการรุกตลาดแนวราบ (อ่านข่าวเพิ่มเติม) ​   ++พร็อพเพอร์ตี้  โชว์ผลงานครึ่งปีแรก   ขณะที่ “พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค” ดูเหมือนว่าช่วงครึ่งปีแรก สามารถรับมือกับผลกระทบจาก LTV  และภาวะตลาดชะลอตัวได้ดี สามารถสร้างผลงานได้ดีกว่าหลายๆ ปีที่ผ่านมา  โดยมีรายได้จากธุรกิจโรงแรมเพิ่มขึ้น  มีรายได้และกำไรพิเศษจากการขายที่ดิน โดยบริษัทมีรายได้รวม 10,004 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน  และยังทำกำไรสุทธิได้สูงถึง 1,132 ล้านบาท เติบโตขึ้น 225% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน   ส่วนแนวโน้มครึ่งปีหลังน่าจะดียิ่งกว่าครึ่งปีแรก  นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน)  เล่าว่า บริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ 4,700 ล้านบาท ทั้งบ้าน คอนโดในประเทศ และคอนโดประเทศญี่ปุ่น มีขายที่ดินและการลงทุนอีก 3,000 ล้านบาท  จึงมีโอกาสทำกำไรต่อเนื่องพร้อมลดภาระหนี้ลงได้กว่า 4,000 ล้านบาท ปลายปีนี้เตรียมเปิดตัวโครงการร่วมทุนกับต่างประเทศ ทั้งบ้านนวัตกรรมร่วมกับเซกิซุยฯ และจับมือฮ่องกงแลนด์ เปิดตัวบ้านหรูริมทะเลสาบ “เลค เลเจนด์ แจ้งวัฒนะ” อีกด้วย   ++เอพี ออกแบรนด์ใหม่กระตุ้นยอดขาย ในภาวะตลาดที่ยอดขายทรงตัว กลยุทธ์หนึ่งที่นักการตลาดมักจะนำมาใช้ คือ การออกสินค้าใหม่ หรือไม่ก็แบรนด์ใหม่ เพื่อสร้างสีสันและกระตุ้นดีมานด์ใหม่ๆ เพื่อสร้างยอดขาย ค่าย “เอพี ไทยแลนด์” ก็มาในเวย์นี้เหมือนกัน ล่าสุด  เปิดตัวแบรนด์ใหม่ ‘THE SONNE’ ในรูปแบบ Luxury Duplex Home เพื่อรุกตลาดช่วงครึ่งปีหลัง ประเดิมกับโปรเจ็กต์แฟล็กชิพแรกย่านศรีนครินทร์-บางนา  มูลค่าโครงการ 630 ล้านบาท จำนวน 56 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 12-15 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดขายอย่างเป็นทางการ 7-8 กันยายนนี้ ที่ ส่วน 7 เดือนยอดขายก็ทำได้กว่า 24,060 ล้านบาท เป็นยอดขายจากสินค้าแนวราบมูลค่า 14,000 ล้านบาท เฉลี่ยยอดขายต่อสัปดาห์ประมาณ 451 ล้านบาท ซึ่งถือว่าโตเกินจากเป้าหมายที่วางไว้อย่างมาก (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   ++ลลิล เปิด 5 โครงการครึ่งปีหลัง   อย่างที่บอก ครึ่งปีหลังนี้ เป็นช่วงเวลาสุดท้ายของปี ที่ต้องเร่งทำตลาดและสร้างยอด ในช่วงเวลาที่เหลือ เพราะแต่ละบริษัทมี “เป้าหมาย” ต้องพุ่งชน “ลลิล พร็อพเพอร์ตี้” ก็เช่นกัน ประกาศแผนรุกตลาดครึ่งปีหลัง เตรียมเปิด 5 โครงการใหม่ มูลค่า 3,500 ล้านบาท พร้อมปักธงรุกตลาดในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ที่ครอบคลุม 3 จังหวัดคือ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และระยอ เพื่อตอบสนองวิสัยทัศน์เชิงนโยบาย Thailand 4.0 เพิ่มอีกด้วย   ซึ่งนายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (LALIN)  มองว่า   ภาพรวมธุรกิจอสังหาฯ  ครึ่งปีหลังยังมีทิศทางที่เป็นบวก  แต่อัตราการปรับตัวอาจอยู่ในกรอบที่ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา จากตลาดที่อยู่อาศัยที่ยังคงมีอุปทานคงเหลือในหลายพื้นที่  (อ่านข่าวเพิ่มเติม)    
เปิดออฟฟิส “GET” เยี่ยมชมดีไซน์ดีไซน์แนว Street Smart จุดเด่นบนท้องถนนกทม.

เปิดออฟฟิส “GET” เยี่ยมชมดีไซน์ดีไซน์แนว Street Smart จุดเด่นบนท้องถนนกทม.

รู้จัก GET (เก็ท) กันไหม? หรือเคยใช้บริการของเขากันบ้างหรือเปล่า   ถ้ายังไม่รู้จัก เราขอแนะนำ GET ให้รู้จักกันคร่าวๆ ก่อน....   GET แอพพลิเคชั่นไลฟสไตล์ออนดีมานด์ ที่ให้บริการเรียกมอเตอร์ไซค์วิน สั่งอาหาร ส่งของ และอีวอลเลต เป็นออนดีมานด์  ซึ่งถือว่ามีความหลากหลายงานด้านการบริการ  ก่อตั้งขึ้นโดยทีมงานคนไทย พร้อมด้วยเทคโนโลยีและความเชี่ยวชาญชั้นนำระดับโลก  นอกจากนี้ ยังมีเงินลงทุนจาก “โกเจ็ก” (GO-JEK) เข้ามาร่วมด้วย     สำหรับรายละเอียดการใช้บริการเป็นอย่างไร ผู้ที่สนใจก็คงต้องไปศึกษาและสอบถามกันกับทาง GET ส่วนเรื่องราวที่ Reviewyourlivng อยากจะมา “รีวิว” คือ การพาไปเยี่ยมชมบ้านหลังใหญ่ของเหล่ามนุษย์ GET ซึ่งก็คือที่ทำงานของพนักงานและผู้บริหาร GET นั่นเอง โดยสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ชั้น 19-21 ของอาคารชาร์เตอร์สแควร์  ย่านสาทร  ชั้น 19  ใช้เป็นสำนักงานมีพื้นที่กว่า 1,400 ตารางเมตร  ส่วนชั้น 20-21 เป็นพื้นที่สำหรับการฝึกอบรมคนขับ   ชูดีไซน์แนว Street Smart  ออฟฟิศของ GET ถูกออกแบบในดีไซน์แนว Street Smart โดยนำจุดเด่นของท้องถนนในกรุงเทพฯ ที่เป็นหัวใจหลักของธุรกิจ เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการออกแบบ ไม่ว่าจะเป็นการจำลองลวดลายบนพื้นที่ถนน อย่างทางม้าลาย เส้นห้ามหยุดรถ เส้นแบ่งช่องทางเดินรถ หมวกกันน็อค เสื้อวิน และมอเตอร์ไซค์ เข้ามาเป็นจุดเด่นในการตกแต่ง เพราะเป็นธุรกิจบริการซึ่งมีมอเตอร์ไซต์ เป็นเครื่องมือหลัก   โดยโทนสีหลักที่ใช้คือหลักของแบรนด์ ได้แก่ สีเหลือง Safety Yellow และสีเทา Street Grey ที่ทั้งสองสีได้รับแรงบันดาลใจมาจากการเดินทาง โดยสีเหลืองเป็นสีที่สามารถสะท้อนได้ดีเวลากลางคืนเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการขับขี่ให้คนขับของ GET และสีเทามาจากสีของพื้นถนนคอนกรีต ซึ่ง GET จับจุดเด่นนี้มาวางไว้ในออฟฟิศได้อย่างลงตัว ช่วยให้บรรยากาศการทำงานดูสดใส     ออฟฟิศของ GET ถือเป็น Flexible Workspace ที่เป็นมิตรกับคนทำงานในทุกเจนเนอเรชั่น ไม่ว่าจะเป็น Gen X, Millennial และ Gen Z เพื่อให้พนักงานทุกคนสามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และไม่มีกฎตายตัวว่าการทำงานจะต้องนั่งอยู่ที่โต๊ะของตัวเองเท่านั้น เอื้อให้พนักงานสามารถใช้ประโยชน์จากทุกมุมของออฟฟิศได้อย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเพื่อการทำงานหรือการผ่อนคลาย “เราได้แรงบันดาลใจในการออกแบบ ตกแต่งออฟฟิศมาจากงานที่เราทำ และเราให้ความสำคัญกับทั้ง Flexibility และ Work-Life Balance เพราะที่ GET เราทำงานกันหนัก แต่พอเราว่าง เราก็พักผ่อนกันเต็มที่" คุณก่อลาภ สุวัชรังกูร ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด หรือซีเอ็มโอ ของ GET เล่าให้ฟังถึงแรงบันดาลใจในการออกแบบออฟฟิศ     ออฟฟิศของ GET จึงถูกออกแบบออฟฟิศให้ยกคอมไปนั่งทำงานตรงไหนก็ได้ จะอยู่ที่โต๊ะตัวเอง จะไปนั่งดูวิวแม่น้ำ หรือจะไปนั่งในห้องเงียบๆ หรือถ้าคุณทำงานเสร็จ คุณจะตีปิงปองตอนบ่าย 3 ก็ได้ เพราะ GET เชื่อว่าพื้นที่ออฟฟิศและบรรยากาศที่ผ่อนคลายทำให้พนักงานทำงานอย่างแฮปปี้ และโฟกัสกับงานได้ดีขึ้น Flexible Workspace เสริมการทำงาน 4 ด้าน สำหรับ Flexible Workspace ของ GET ถูกดีไซน์ออกมา เพื่อช่วยส่งเสริมการทำงานสำหรับพนักงานและผู้บริหารใน 4 ด้านหลัก ได้แก่     Collaboration: การทำงานในรูปแบบสตาร์ทอัพ การทำงานร่วมกันหรือ Collaboration ระหว่างทีมต่างๆ ถือเป็นหัวใจสำคัญ โดยในออฟฟิศมีห้องประชุมจัดไว้ 8 ห้อง แต่ถ้าใครที่ต้องการคุยกันในบรรยากาศที่เป็นกันเองมากขึ้น ก็สามารถใช้พื้นที่ส่วนกลาง และมุมโซฟาต่างๆ ที่จัดไว้หลากหลายมุมเพื่อการประชุม พูดคุย หรือ Brainstorm กันได้ เพื่อให้การทำงานร่วมกันมีประสิทธิภาพมากขึ้น    Concentration: แน่นอนว่าพนักงานจำนวนมากยังเคยชินและต้องการมีโต๊ะทำงานของตัวอยู่ ดังนั้น GET จึงมีพื้นที่ทำงานส่วนตัวให้กับพนักงานทุกคน และเพิ่มพื้นที่เงียบ หรือ Quiet Corner สำหรับคนที่ต้องการทำงานที่ใช้สมาธิมาก และจัดห้องสำหรับคุยโทรศัพท์แยกต่างหาก ไว้เพื่อให้คนที่ต้องประชุมทางโทรศัพท์และไม่อยากรบกวนคนอื่นๆ    Community: เพื่อให้พนักงานได้สามารถผ่อนคลายในระหว่างการทำงานหรือหลังเลิกงาน ที่ GET จึงมีทั้งโต๊ะปิงปอง ห้องเกม และห้องนอน โดยทุกคนสามารถเข้ามาใช้เมื่อไรก็ได้ที่ต้องการ เพราะบริษัทฯ เข้าใจดีว่าการ Work & Play โดยไม่เครียดมากเกินไป จะช่วยผลักดันความคิดสร้างสรรค์และแรงบันดาลใจในการทำงานได้ดีกว่า      Mobility & Freedom: ที่ GET พนักงานทุกคนสามารถนั่งทำงานที่ไหนก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นมุมโซฟา นั่งดูวิวเมือง หรือนั่งทำงานที่ canteen โดยสามารถยกคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊คของตัวเองไปอยู่ในที่ที่ต้องการได้ นอกจากนี้ ห้องประชุมยังเป็นการต่อจอแบบไร้สาย ด้วยระบบ Zoom ที่คอมพิวเตอร์ของพนักงานสามารถ cast content ขึ้นจอได้ทันที     ไม่ใช่แค่ออฟฟิสสวย แต่ต้องสร้างความสุข  “ผมกับ Co-founder ทุกคนลงความเห็นตรงกันตั้งแต่วันแรก ว่าเราต้องทำให้คนที่ทำงานกับเรามีความสุขมากที่สุด" คุณภิญญา นิตยาเกษตรวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ GET บอกเล่าถึงแนวคิดในการบริหารองค์กร   สำหรับความสุขที่ทางฝ่ายบริหาร ให้คำจำกัดความไว้นั้น นอกจากเรื่องสถานที่สะดวกสบาย น่าทำงาน และเพิ่มประสิทธิภาพงานแล้ว องค์กรยังจะต้องมีสวัสดิการที่ดี  รวมถึงต้องเป็น Culture First Company หรือการให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมองค์กรมากกว่าตัวเลข ดังนั้นเวลาเลือกคนเข้ามาร่วมทีม GET จะใช้เวลานานมากในการพิจารณาคัดเลือก   พนักงานนอกจากจะต้องเป็นคนเก่งแล้ว ยังต้องอยากทำสิ่งดีๆ ให้กับสังคมด้วย พนักงานของ GET  มีความหลากหลายมาก  มีทุกเพศทุกวัยด้วย และโครงสร้างการทำงานของ GET ถูกวางให้มีลักษณะ Flat คือ  ทุกคนสามารถเดินเข้ามาคุยกับฝ่ายบริหารได้ แถมยังใช้ห้องผู้บริหารเป็นห้องประชุมได้   “สวัสดิการที่นี่ต้องดี ไม่ใช่แค่ออฟฟิศสวยแต่เพียงอย่างเดียว เราอยากให้พนักงานของเราทุกคนมีความมั่นคง เพราะผมรู้ดีว่าทุกคนทำงานนหนักและทุ่มเท”     สำหรับหลักการทำงานของ GET ยึดหลัก Core Values 3 ข้อ 1.It’s not About You งานที่เราทำอยู่เป็นสิ่งที่สามารถสร้างความแตกต่างให้กับชีวิตของคนหลายๆ คนได้ ดังนั้นเราจึงอยากให้พนักงานของเรามองในมุมกว้าง และคิดถึงคนอื่นๆ ที่เขาทำงานด้วย 2.Collaborate with Compassion คือการเป็นเพื่อนร่วมงานที่น่ารักของกันและกัน 3.Shoot for Greatness หรือการมุ่งพัฒนาตัวเองตลอดเวลา ทำให้เราทำงานด้วยกันได้อย่างมีประสิทธิภาพในบรรยากาศที่ไดนามิค   ปัจจุบัน GET เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยมีพนักงานเพิ่มจากปีที่แล้วเพียง 40 กว่าคน ในปีนี้ GET มีพนักงานประจำและคอนแทรคเตอร์กว่า 200 คน ที่มุ่งสร้าง Ecosystem ที่ช่วยยกระดับชีวิตของทั้งผู้ใช้ คนขับ และร้านค้าด้วยเทคโนโลยีแบบออนดีมานด์หลากหลาย รวมถึงบริการทางการเงินที่สะดวกและครบวงจรยิ่งขึ้น    
แสนสิริ รุกแนวราบทุกเซ็กเมนต์ ตั้งเป้า No.1 บ้านเดี่ยว และ Top 3 ทาวน์เฮาส์ใน 3 ปี

แสนสิริ รุกแนวราบทุกเซ็กเมนต์ ตั้งเป้า No.1 บ้านเดี่ยว และ Top 3 ทาวน์เฮาส์ใน 3 ปี

เป็นอีกหนึ่ง Developer ที่ออกมาประกาศเปิดเกมส์รุกตลาดแนวราบอย่างเป็นทางการ โดยการสร้างทีมบริหาร พัฒนาสินค้าควบคู่ไปกับการบริการ เพื่อการขึ้นเป็นอันดับ 1 ของตลาดบ้านเดี่ยว และเป็น Top 3 ของตลาดทาวน์เฮาส์ ตั้งเป้าภายในระยะเวลา 3 ปี   นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังนี้ว่า ครึ่งปีแรกที่ผ่านในของปีนี้ เราทำยอดขายโครงการแนวราบได้ค่อนข้างดี จึงเชื่อว่าครึ่งปีหลังตลาดแนวราบจะเติบโตไปได้ดี โดย 6 เดือนแรกทำยอดขายได้ 10,924 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับยอดของปีที่แล้วในช่วงเวลาเดียวกัน มีกำไรอยู่ที่ 689 ล้านบาท มียอด Backlog อยู่ที่ 55,000 ล้านบาท และมีโครงการที่เตรียมโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงครึ่งปีหลังอยู่ 10 โครงการ คาดว่าจะมียอดรับรู้รายได้กว่าหมื่นล้านบาท   "เทรนด์อสังหาฯ ในครึ่งปีหลัง เชื่อว่าจะมีการปรับดอกเบี้ยลดลงอีกจากหลายปัจจัย และเชื่อว่าจะมีมาตรการต่างๆ จากภาครัฐออกมา เพื่อดันให้มีตัวเลขที่โตขึ้นได้" แสนสิริเตรียมเปิดอีกทั้งหมด 16 โครงการ โดยแบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 4 โครงการ ทาวน์เฮ้าส์ 6 โครงการ และคอนโดมิเนียม 6 โครงการ รวมมูลค่า 24,000 ล้านบาท ซึ่งเฉพาะแนวราบ 10 โครงการ จะมีมูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท ซึ่งกุญแจสำคัญที่จะทำให้ก้าวไปสู่เป้าหมายในการเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดบ้านเดี่ยว และ Top 3 ในตลาดทาวน์เฮาส์ภายใน 3 ปี คือการวางกลยุทธ์สำคัญในการขับเคลื่อนกลุ่มธุรกิจแนวราบมาจากการพัฒนาโครงการที่ครอบคลุมแบรนด์แนวราบ ตอบโจทย์ลูกค้าทุกเซ็กเมนต์ สร้างจุดเด่นในแต่ละแบรนด์ที่ชัดเจน และโดดเด่นด้าน Service แตกต่างเหนือคู่แข่ง ส่วนคอนโดมิเนียมนั้นมีการปรับแผนหันมาเปิดโครงการที่จับกลุ่มระดับกลาง พร้อมปรับไปตามความต้องการของกลุ่มลูกค้า โดยมีแบรนด์หลักที่จะนำมาเปิดตัวช่วงปีหลังนี้ อาทิ   บุราสิริ “บ้านบรรยากาศรีสอร์ท บ้านเพื่อการพักผ่อนที่แท้จริง” บ้านเดี่ยวบรรยากาศรีสอร์ท ตั้งแต่ทางเข้าโครงการ คลับเฮาส์ ตัวบ้านที่ออกแบบมาให้มีโอกาสได้สัมผัส กับธรรมชาติได้มากกว่า สวนส่วนกลางที่เน้นการปลูกด้วยต้นไม้ใหญ่ เพิ่มพื้นที่ Strip Park เชื่อมต่อระหว่างบ้าน ตัวซอย เพิ่มพื้นที่สีเขียว ให้ความเขียวชอุ่ม ทำให้ร่มรื่น สบายตาและเลือกใช้วัสดุที่คำนึงถึงรูปแบบ สีสันที่ให้ความกลมกลืนกับธรรมชาติ ในระดับราคา 8-20   “สราญสิริ” เตรียมเปิดตัว Double Volume ลักซ์ชัวรี่สเปซในบ้านเดี่ยว บ้านเดี่ยวภายใต้แนวคิด Built for Love พร้อมเพิ่มพื้นที่ความสุขด้วย Double Volume เพื่อให้สมาชิกครอบครัวทุกรุ่นทุกวัยได้ใช้ชีวิต และเวลาดีๆ ร่วมกัน โดยจะเปิดตัวครั้งแรกที่บ้านเดี่ยวสราญสิริโครงการใหม่ ในชื่อ “สราญสิริ ศรีวารี” ในช่วงเดือนตุลาคมนี้ ระดับราคา 5–7 ล้านบาท   Garden Connect ฟังก์ชั่นบ้านแนวคิดใหม่ ในแบรนด์เศรษฐสิริและบุราสิริ  ครั้งแรกกับแนวคิดใหม่ในการใช้พื้นที่ภายในบ้าน บนแปลนบ้านแบบใหม่ สร้างพื้นที่พิเศษ ให้ความเป็นส่วนตัว เชื่อมต่อพื้นที่ใช้สอยภายนอกบ้านสู่ภายในบ้าน สามารถจัดสรรพื้นที่เป็นสระว่ายน้ำ หรือสวนขนาดใหญ่ได้ โดยจะเริ่มพัฒนาในรูปแบบของเอ็กซ์คลูซีฟยูนิตใน 5 โครงการ ภายใต้แบรนด์เศรษฐสิริ และบุราสิริ นำร่องด้วยโครงการบุราสิริ วงแหวนอ่อนนุชในช่วงปลายปีนี้และเศรษฐสิริ ทวีวัฒนาในช่วงต้นปีหน้า   สิริเพลส ทาวน์เฮาส์สไตล์ Modern Loft ครองใจกลุ่ม Young Gen ทาวน์เฮาส์คุณภาพในระดับ Best in Class ในปีนี้แสนสิริจะนำเสนอทาวน์เฮาส์รูปแบบล่าสุดในสีสันและดีไซน์ที่สนุกสนาน โดยยังคงคอนเซ็ปต์ "Modern Loft" ที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ พร้อมนำเสนอฟังก์ชั่นการอยู่อาศัยที่มีห้องน้ำในตัว รวมถึงเพดานสูงใน Master Bedroom และห้องเอนกประสงค์ชั้นล่างที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามไลฟ์สไตล์และความชื่นชอบ ซึ่งจะเปิดตัว 4 โครงการใน 4 ทำเลใหม่ในเดือพฤศจิกายนนี้   สำหรับแผนการเปิดตัว 10 โครงการแนวราบที่จะเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2562 ได้แก่ โครงการไทเกอร์ เลน (Tiger Lane) มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท โครงการคณาสิริ ราชพฤกษ์ 346 มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท โครงการสราญสิริ ศรีวารี มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท โครงการอณาสิริ บางใหญ่ มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท โครงการเศรษฐสิริ จรัญฯ ปิ่นเกล้า 2 มูลค่าโครงการ 3,300 ล้านบาท โครงการบุราสิริ พระราม 2 มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท สิริเพลส 4 โครงการใน 4 ทำเลใหม่ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 3,500 ล้านบาท ในทำเล เพชรเกษม ราชพฤกษ์ตัดใหม่ และบางใหญ่อีก 2 โครงการ นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ Sansiri Service ที่แสนสิริเป็นผู้นำด้านการบริการลูกบ้านของวงการอสังหาริมทรัพย์ ที่จะช่วยสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าเรียลดีมานด์ในด้านบริการและความปลอดภัย เพื่อมอบประสบการณ์ด้านบริการทั้งก่อนและหลังการอยู่อาศัยที่ดีที่สุดในทุกด้านให้กับลูกบ้าน ตั้งแต่การซื้อที่อยู่อาศัย การย้ายเข้าอยู่อาศัย และตลอดระยะเวลาในการอยู่อาศัย พร้อมตั้งเป้าหมายเป็น Top of Mind ด้านความปลอดภัยในโครงการอสังหาริมทรัพย์ในไทย ด้วยความโดดเด่นของระบบรักษาความปลอดภัย Sansiri Security System และศูนย์ควบคุมสังเกตการณ์จากส่วนกลาง พร้อมนำเสนอครั้งแรกของการเปิดตัว Sansiri Home Care Card แพ็กเกจต่อประกันบ้านหลังหมดระยะประกันแบบรายปีที่ลูกบ้านสามารถเลือกดูแลบ้านได้เองตามความต้องการ ซึ่งในขณะนี้เรากำลังพัฒนาแพ็กเกจที่พัฒนาให้เหมาะกับโครงการทาวน์เฮาส์แบรนด์สิริเพลสโดยเฉพาะ        
เพราะ 3 เหตุผลหลักที่ “พราว กรุ๊ป” ยอมทุ่ม 7,000 ล้าน  ปักหมุด 2  โปรเจ็กต์ในจังหวัดภูเก็ต

เพราะ 3 เหตุผลหลักที่ “พราว กรุ๊ป” ยอมทุ่ม 7,000 ล้าน ปักหมุด 2 โปรเจ็กต์ในจังหวัดภูเก็ต

พราว กรุ๊ป เตรียมรุกภูเก็ต ทุ่มงบกว่า 7,000 ล้านบาท ผุด 2 โปรเจ็กต์ ‘อันดามันดา’ แหล่งพักผ่อน สวนน้ำ และความบันเทิงบนเนื้อที่ 58 ไร่ ตั้งเป้าเป็น Integrated Entertainment and Resort Destination ใหญ่ที่สุดในไทย เปิดบริการต้นปี 64 และ ‘โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ภูเก็ต รีสอร์ท’  มั่นใจตลาดภูเก็ตยังมีดีมานด์   หลังจากพัฒนาโครงการสวนน้ำ วานา นาวา วอเตอร์ จังเกิ้ล หัวหิน โรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ วานา นาวา หัวหิน และโรงแรม อินเตอร์คอนติเนนตัล หัวหิน รีสอร์ท จนประสบความสำเร็จ  พราว กรุ๊ป เจ้าของโครงการ จึงได้เดินหน้าพัฒนาโปรเจ็กต์ต่อเนื่องในเมืองท่องเที่ยวสำคัญอย่างจังหวัดภูเก็ต โดยครั้งนี้ได้ประกาศแผนการลงทุนมากถึง 7,000 ล้านบาทกับ 2 โปรเจ็กต์สำคัญ  ทั้งโรงแรมและสวนน้ำ     นางสาวพราวพุธ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร พราว กรุ๊ป เปิดเผยว่า จากประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญของ พราว กรุ๊ป ที่มีการทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เชิงท่องเที่ยวที่หัวหิน  ทำให้บริษัทลงทุนต่อเนื่องมูลค่า 7,000 ล้านบาท พัฒนา 2 โครงการในจังหวัดภูเก็ต ได้แก่ 1.โรงแรม อินเตอร์คอนติเนนตัล ภูเก็ต รีสอร์ท มูลค่าโครงการ 2,500 ล้านบาท และ 2.โครงการอันดามันดา (ANDAMANDA) โครงการมิกซ์ยูส มูลค่า 4,500 ล้านบาท   สำหรับโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ภูเก็ต รีสอร์ท โรงแรมระดับ 5 ดาว ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของหาดป่าตอง ริมหาดกมลา บนเนื้อที่ 23 ไร่ มีห้องพักจำนวน 221 ห้อง โดยเริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่ต้นเดือนสิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา กลุ่มเป้าหมายสำคัญของโรงแรมจะมีทั้งกลุ่มนักท่องเที่ยวเดินทางโดยตนเอง และกลุ่มอบรมสัมมนา หรือตลาด MICE   ส่วนโครงการ อันดามันดา ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 58 ไร่ ว่าประกอบด้วย 3 ส่วนสำคัญ ได้แก่ 1.สวนน้ำที่ใหญ่ที่สุดในภูเก็ต มี 37 สไลด์เดอร์  มีเครื่องเล่น 19 เครื่อง ทะเลเทียมขนาดใหญ่ (Wave Pool) บนเนื้อที่กว่า 16,000 ตารางเมตร และชายหาดยาวกว่า 300 เมตร เขาตะปูจำลอง  ซึ่งมีความสูงกว่า  23 เมตร  2.โรงแรมฮอลลิเดย์ อินน์ อันดามันดา ภูเก็ต ขนาด300 ห้อง  และ  3.แหล่ง “hangout” ใหม่ ประกอบด้วยร้านอาหาร ร้านเครื่องดื่ม โชว์น้ำพุ  มูลค่ากว่า 200 ล้านบาท โดยทีม Wet Design เจ้าของผลงานน้ำพุชื่อดังระดับโลก     โดยโครงการยังมีพื้นที่เหลืออีก 5 ไร่ ซึ่งสามารถพัฒนาโครงการที่เหมาะสมได้ในอนาคต คาดว่าโครงการจะเปิดให้บริการได้ในช่วงต้นปี 2564 ส่วนราคาค่าใช้บริการอยู่ระหว่างการศึกษา คาดว่าจะมีระดับราคาเริ่มต้น 1,500 บาท  และคาดว่าในปีแรกที่เปิดให้บริการจะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการ 700,000 คน   3 เหตุผลทำไมต้อง “ภูเก็ต”   1.จังหวัดภูเก็ต เป็นจังหวัดเมืองท่องเที่ยวติดอันดับโลก ปีที่ผ่านมามีนักท่องเที่ยวเกือบ 20 ล้านคน แม้ว่าช่วงปีนี้กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนจะลดจำนวนลงบ้าง 19% แต่ยังมีกลุ่มนักท่องเที่ยวจากประเทศอื่นๆ เช่น นักท่องเที่ยวชาวมาเลเซีย ซึ่งเติบโตถึง 42% ช่วยทำให้ตลาดการท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ตยังเติบโตได้ดีทั้งปัจจุบันและอนาคต   2.รัฐบาลมีนโยบายการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ไม่ว่าจะเป็นโปรเจ็กต์ระบบรถไฟฟ้าขนส่งรางเบา โครงการทางพิเศษกระทู้ป่าตอง และแผนสร้างสนามบินภูเก็ตแห่งที่ 2 เป็นต้น ซึ่งจะมีส่วนผลักดันให้เกิดการเจริญเติบโตของธุรกิจท่องเที่ยว และธุรกิจที่เกี่ยวข้องมากยิ่งขึ้น   3.นโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัท มุ่งสร้างประสบการณ์ที่แตกต่าง โดยเป็นโครงการที่ยังไม่เคยมีใครทำมาก่อน หรือการสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งที่อยู่ในตลาด ซึ่งในตลาดภูเก็ตยังไม่มีแหล่งท่องเที่ยวสำหรับครอบครัว หรือ แหล่งท่องเที่ยวซึ่งเป็น Attraction ประกอบกับการได้กลุ่ม InterContinental Hotel Group เข้ามาเป็นพันธมิตร ทำให้มั่นใจในการขยายธุรกิจ   แผนการลงทุนและการดำเนินธุรกิจครั้งนี้ พราว กรุ๊ป ตั้งเป้าว่าจะขึ้นเป็นผู้นำในการบริการ Integrated Entertainment and Resort Destination ภายในปี 2565 ด้วยผู้ใช้บริการของทั้งสองสวนน้ำ วานา นาวา และอันดามันดา ที่จะมีจำนวนรวมมากกว่า 1 ล้านคน และมีห้องพักให้บริการกว่า 1,000 ห้อง จากทั้งหมด 4 โรงแรมที่อยู่ในมือ    
[PR News] ใช้ชีวิตให้ว้าว ลงทุนให้ win กับ The Blu X Bangsaen โครงการคอนโดฯ ริมหาดบางแสนจาก “บางแสนบุรี”

[PR News] ใช้ชีวิตให้ว้าว ลงทุนให้ win กับ The Blu X Bangsaen โครงการคอนโดฯ ริมหาดบางแสนจาก “บางแสนบุรี”

“ชลบุรี” เป็น 1ใน 3 จังหวัดที่มีการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากสุดในพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) และทำเล “บางแสน” คือหนึ่งในทำเลที่น่าจับตามองไม่แพ้ทำเลอื่นๆ และที่นี่ “บางแสน” ก็เป็นฐานที่มั่นสำคัญของ บริษัท บางแสนบุรี จำกัด ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในจังหวัดชลบุรี และมี “แลนด์แบงก์” ในย่านทำเลทองที่มีมูลค่ามหาศาลกระจายอยู่ในเขตศรีราชา พัทยา และบางแสน   โครงการ The Blu X Bangsaen หนึ่งในโครงการคอนโดมิเนียมจากบริษัทบางแสนบุรี ที่โครงการตั้งอยู่บนถนนบางแสนสายล่าง ใกล้กับชายหาดวอนนภา หาดบางแสน และมหาวิทยาลัยบูรพา ตัวโครงการเป็นคอนโด Low Rise 7 ชั้น ที่ตอนนี้เป็นโครงการสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่แล้ว โดย นางสาวฐิติรัตน์ วิภวานี ผู้จัดการโครงการ The Blu X Bangsaen กล่าวว่า โครงการดังกล่าว ตั้งอยู่บนใจกลางเมืองบางแสน บนพื้นที่กว่า 1 ไร่ 3 งาน 59 ตารางวา  มีจำนวน  2 อาคารรวมจำนวน 153 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 369,707,070 ล้านบาท โดยอาคาร A จำนวน 76 ยูนิต และอาคาร B จำนวน 77 ยูนิต  ทั้งอาคาร A และ B จะมีการแยกที่จอดรถ แยก Lobby และแยก Facilities กัน ดังนั้นตัวอาคารจึงมีความหนาแน่นน้อยและเพิ่มความเป็นส่วนตัวในการพักผ่อนและอยู่อาศัย โครงการส่งมอบแล้วจำนวน 106 ยูนิต  โครงการมีขนาดห้องให้เลือก 4 แบบ ดังนี้  ห้องแบบ Type A ขนาด 27 ตารางเมตร(ตร.ม.), ห้องแบบ Type B ขนาด 32 ตร.ม. , ห้องแบบ Type C ขนาด 41 ตร.ม.  และ ห้องแบบ Type D ขนาด 50 ตร.ม.ราคาขายเริ่ม 2.4 ล้านบาท   โครงการมุ่งเน้นการใช้วัสดุชั้นดีและการตกแต่งที่หรูหรา  ระบบความปลอดภัยและสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน  จุดเด่นของโครงการที่ไม่เหมือนใครในบางแสน  สัมผัสกับบรรยากาศพักผ่อนวิวทะเลอย่างแท้จริง  กับสระว่ายน้ำชั้นดาดฟ้าที่ให้บรรยากาศแห่งการพักผ่อนที่เหนือกว่า  สูดกลิ่นไอทะเลแบบใกล้ชิด  ออกกำลังกายในห้องฟิตเนสในบรรยากาศวิวทะเล  และได้พักผ่อนภายในห้องที่ตกแต่งไว้แล้วอย่างครบครันด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่ออกแบบให้มีความหรูหรา  และให้พื้นที่การใช้สอยที่ลงตัว ระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง   “ ทุกวันนี้ภาพลักษณ์ของบางแสนไม่ใช่แค่เป็นเมืองท่องเที่ยวหากแต่เป็นเมืองที่น่าอยู่อาศัยรองรับกับแผนการพัฒนาอีอีซี ” ผู้จัดการโครงการ The Blu X Bangsaen  กล่าว พร้อมกับกล่าวว่า ด้วยศักยภาพของทำเลที่ตั้งของโครงการเป็นทำเลที่อยู่ใจกลางบางแสน อยู่กึ่งกลางระหว่างชายหาดวอนนภา-หาดบางแสน และ มหาวิทยาบูรพา จึงมีทั้งความอุดมสมบูรณ์ของกินของขาย มีร้านอาหาร ร้าน Hang out หลากหลายช่วงเย็นๆค่อนข้างคึกคัก และรอบชายหาดให้ไปนั่งพักผ่อนใช้ชีวิตชิวๆได้ ซึ่งผ่านมาโครงการ The Blu X Bangsaen  ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายทั้งที่ซื้ออยู่อาศัยเองซึ่งก็มีทั้งบุคคลากรที่ทำงานในย่านดังกล่าว และกลุ่มผู้ปกครอง พ่อ แม่ ที่ซื้อเพื่อให้เป็นที่พักของบุตรหลานที่มาเรียนที่มหาวิทยาลัยบูรพา รวมถึงกลุ่มนักลงทุนที่ซื้อเพื่อปล่อยเช่า ปัจจุบันมียอดขายไปแล้วกว่า 80% ทั้งนี้ โครงการตั้งอยู่ใกล้สถานที่สำคัญต่างๆ เช่น ชายหาดวอนนภา ,ชายหาดบางแสน,โรงเรียนสาธิตพิบูลบำเพ็ญ ,มหาวิทยาลัยบูรพา,สำนักงานเทศบาลเมืองแสนสุข ,Public Park สวนสาธารณะริมชายหาด,ตลาดหนองมน รวมถึงห้างสรรพสินค้าใหญ่ๆทั้งเซ็นทรัล,  เทสโก้โลตัส, BigC, Homepro และ Makro เป็นต้น   บริษัท บางแสนบุรี  ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่และมี “แลนด์แบงก์” สะสมหลายพันไร่ในจังหวัดชลบุรี พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งประเภท คอนโดฯ ทาวน์โฮม บ้านเดี่ยว  อาคารพาณิชย์ ในฐานะที่เป็นแลนด์ลอร์ดรายใหญ่ ในเขตศรีราชา พัทยา และบางแสน จึงมีแผนที่จะนำเอาที่ดินที่มีอยู่ในพอร์ตออกมาพัฒนาอย่างต่อเนื่อง สร้างรายได้รองรับการเติบโตของธุรกิจ และสนองตอบความต้องการของผู้บริโภคทั้งที่เป็นกลุ่มลูกค้าคนไทยและชาวต่างชาติ ซึ่งผู้บริหารของบางแสนบุรี มั่นใจว่าการพัฒนาเมืองในจังหวัดชลบุรีจะมีการเติบโตขึ้นทั้งจากศักยภาพของพื้นที่ชลบุรีซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัย อุตสาหกรรม  สะดวกในการเดินทางใช้เวลาเพียง 1-2 ชั่วโมงจากกรุงเทพฯ รวมถึงโครงการลงทุนขนาดใหญ่จากรัฐบาลมีนโยบายพัฒนาพื้นที่ EEC มีโครงการถนน รถไฟความเร็วสูง และโครงการการขยายท่าเรือ เป็นต้น      
AWC ไปต่ออย่างไร กับพอร์ต อสังหาฯ​ เพื่อการพาณิชย์ในมือ?

AWC ไปต่ออย่างไร กับพอร์ต อสังหาฯ​ เพื่อการพาณิชย์ในมือ?

นับตั้งแต่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ  AWC ได้ยื่นแบบไฟลิ่งแก่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ตั้งแต่วันที่ 11 มิถุนายน 2562 ที่ผ่านมา เพื่อนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เนื่องจากต้องการระดมทุน นำเงินมาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการขยายธุรกิจ สร้างการเติบโตให้กับบริษัท  ชำระหนี้ การสร้างคุณค่าให้กับองค์กรและชุมชน   “วัลลภา ไตรโสรัส”  ลูกสาวคนที่ 2 ของ “เสี่ยเจริญ สิริวัฒนภักดี” ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ แม่ทัพคนสำคัญของบริษัทได้เดินหน้าประกาศความชัดเจนของแผนธุรกิจที่อยู่ในมือ  ซึ่งมี 2 ขาสำคัญ  คือ 1.กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) และ 2.กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail and Commercial Building) ซึ่งประกอบด้วยกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้า (Retail and Wholesale) และกลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงาน (Office)   ก่อนหน้านี้ AWC ได้ประกาศความชัดเจนกับแผนการดำเนินธุรกิจ กลุ่มโรงแรมและการบริการไปแล้ว (อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม) มาคราวนี้ได้ประกาศแผนธุรกิจกลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์บ้าง กับ 9 ธุรกิจรีเทล ได้แก่  กลุ่มคอมมูนิตี้มอลล์ ประกอบด้วย เกทเวย์ แอท บางซื่อ เกทเวย์ เอกมัย  พันธุ์ทิพย์ พลาซ่า 3 แห่ง ที่ประตูน้ำ งามวงศ์วาน และเชียงใหม่ กลุ่มคอมมูนิตี้ มาร์เก็ต ลาซาล อเวนิว ตะวันนา บางกะปิ โอ.พี.เพลส แบงค็อก และกลุ่มทัวลิสท์ไลฟ์สไตล์ ได้แก่ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์   นอกจากนี้ AWC ยังมีอีก 4 อาคารสำนักงานให้เช่า ได้แก่ อาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอร์  อาคารแอทธินี ทาวเวอร์  อาคาร 208 วายเลสโร้ด ทาวเวอร์ และอาคารอินเตอร์ลิ้งค์ ทาวเวอร์     เพิ่มพื้นที่ F&B and Attractions รับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค   จากพฤติกรรมผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ซึ่งเดินห้างหรือศูนย์การค้าน้อยลง การซื้อสินค้าเปลี่ยนไปช้อปปิ้งผ่านโลกออนไลน์แทน การใช้ชีวิตยึดติดอยู่กับหน้าจอโทรศัพท์ ส่งผลต่อธุรกิจจำหน่ายสินค้าแฟชั่นและธุรกิจรีเทลหลายอย่าง แต่สิ่งหนึ่งที่ยังทำให้คนยังออกมาเดินห้าง และใช้ชีวิตในห้างอยู่นั้น คือ การกิน-ดื่ม และหาประสบการณ์แปลกใหม่  นี่เป็นเทรนด์และโจทย์หลักสำคัญ ซึ่ง AWC รู้ดีและต้องปรับตัวรองรับไปให้ทันกับกลุ่มผู้บริโภคยุคปัจจุบันเหล่านั้น   แผนธุรกิจรีเทล AWC จึงมุ่งไปตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ดังกล่าว ด้วยการวางแผนเพิ่มพื้นที่ Food & Beverage and Attractions ในศูนย์การค้าและคอมมูนิตี้มอลล์ทุกแบรนด์ในมือ ให้มีสัดส่วนมากกว่า 50% ของพื้นที่รีเทลของโครงการ เนื่องจากปัจจุบันไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคนิยมกินข้าวนอกบ้าน  และมาศูนย์การค้าเพื่อใช้ชีวิตและมีประสบการณ์ต่างๆ มากกว่าการซื้อสินค้า เช่น การออกกำลังกาย การพาลูกหลานมาพื้นที่ของเด็ก เป็นต้น ภายใต้แนวคิด Food Jun Family โดบกลุ่มเป้าหมายหลักๆ ก็จะเป็นกลุ่มครอบครัว นักศึกษา และคนวัยทำงาน   ไม่เพียงแต่พื้นที่รีเทลเท่านั้น แต่อาคารสำนักงานให้เช่า AWC ก็ต้องเติมเต็มพื้นที่ Food & Beverage and Attractions เข้าไปด้วย เพราะแม้ว่าจะเป็นพื้นที่อาคารสำนักงาน แต่คนทำงานยังมีความต้องการทั้งในเรื่องของการกินอาหารและการใช้ชีวิต อย่างเช่นอาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ ที่ถูกเติมเต็มด้วยร้านอาหารและเครื่องดื่มจำนวนมาก ฟิตเนสเซ็นเตอร์ และซุปเปอร์มาร์เก็ต เป็นต้น   ลงทุนกว่า 20,000 ล้านขยายพอร์ตเพิ่ม   หากดูพอร์ตธุรกิจอสังหาฯ​ เพื่อการพาณิชย์ในมือของ AWC ตอนนี้ กลุ่ม Retail and Wholesale มีพื้นที่ให้เช่าสุทธิ (NLA) เพิ่มขึ้นอย่างมาก จาก 122,130 ตารางเมตรในปี 2560 เป็น 198,781 ตารางเมตรในเดือนมีนาคม 2562 จากโครงการที่เปิดดำเนินการแล้ว 9 แห่ง   ส่วนกลุ่มอาคารสำนักงานมีทั้งสิ้น 4 โครงการรวมพื้นที่เช่า (NLA) 270,594 ตารางเมตร  โดยภาพรวมแล้วอาคารสำนักงานทั้ง 4 โครงการของ AWC มีอัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy Rate) ในระดับสูง เช่น อาคาร 208 วายเลสโร้ด มีอัตราการเช่าพื้นที่อยู่ที่ 92%  และแอทธินี ทาวเวอร์มีอัตราการเช่าพื้นที่สูงถึง 94%     แต่พอร์ตธุรกิจแค่นี้ อาจจะน้อยไปสำหรับ AWC ทำให้บริษัทวางแผนพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง อีก  2 แห่ง ได้แก่ 1.โครงการเอเชีย ทีค เฟส 2 พื้นที่ 90,000 ตารางเมตร  ซึ่งประกอบด้วยโรงแรม และพื้นที่รีเทล และ 2.โครงการมิกซ์ยูส ขนาดใหญ่ ที่พัทยา มูลค่าการลงทุนกว่า 20,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะใช้ระยะเวลาการพัฒนา 4-5 ปี ปัจจุบันอยู่ระหว่างการออกแบบโครงการ ซึ่งคาดว่าจะเริ่มก่อสร้างได้ในปี 2564   Barbell Strategy สร้างสมดุลพอร์ตธุรกิจ   จากโอกาสการเติบโตของตลาดท่องเที่ยว การขยายตัวของเมืองที่มีต่อเนื่อง รวมถึงธุรกิจโดยรวม ถือเป็นโอกาสสำคัญของ AWC ในการได้อานิสงค์จากการเติบโตดังกล่าว จึงได้วางกลยุทธ์สำคัญ คือ กลยุทธ์บาร์เบล (Barbell Strategy)  ซึ่งเป็นการสร้างสมดุลระหว่างโครงการหลากหลายประเภท เหมือนกับบาร์เบลที่มีลูกเหล็กอยู่ทั้งสองข้าง เพื่อรองรับกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน อาทิ โครงการ เอเชียทีค เดอะริเวอร์ฟร้อนท์ เน้นกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ   โครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อประกอบกิจการการค้าที่เจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายในชุมชนหรือบริเวณที่มีความหนาแน่นของโครงการที่อยู่อาศัยสูง รวมถึงอยู่ใกล้ศูนย์กลางการขนส่ง เช่น โครงการเกทเวย์ แอท บางซื่อ ซึ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้พักอาศัยที่อยู่ในรัศมี 5 กิโลเมตร ซึ่งมีคอนเซ็ปต์ในการตอบโจทย์การสร้างประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ ด้วยพื้นที่ F&B and Attractions     เสริมบริการ+Cross Marketing กลุ่ม TCC   ด้านการบริหารจัดการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารธุรกิจ และสร้างการเติบโต เรื่องการบริการก็เป็นสิ่งที่ AWC มองว่าเป็นกุญแจสำคัญเรื่องหนึ่ง เพื่อทำให้ลูกค้าและพันธมิตรยังคงใช้บริการธุรกิจของบริษัท อย่างเช่น ลูกค้าของพื้นที่สำนักงานให้เช่า AWC เตรียมพัฒนา AWC Application เพื่อใช้อำนวยความสะดวกแก่ผู้เช่า ไม่ว่าจะเป็นการเข้าออกอาคาร การตรวจสอบพื้นที่จอดรถ การสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ และเชื่อมโยงไปถึงการได้รับส่วนลดพิเศษ กับบรรดาร้านค้าที่เข้ามาเปิดให้บริการในอาคาร   ไม่เพียงเท่านั้น AWC Application ยังจะเป็นเครื่องมือในด้านการทำตลาดร่วมกันระหว่างบริษัทต่างในเครือ TCC และกลุ่มไทยเบฟอีกด้วย ในเรื่องของสิทธิพิเศษ และส่วนลดต่างๆ ส่วนภาพใหญ่ AWC จะใช้กลยุทธ์ Cross Marketing ร่วมกับบริษัทในกลุ่มของตระกูล “สิริวัฒนภักดี” เช่น การดึงเอาแบรนด์สินค้าหรือแบรนด์ร้านอาหารและเครื่องดื่ม เข้ามาเปิดบริการในศูนย์การค้าหรือพื้นที่รีเทลของ AWC   “จุดแข็งที่ทำให้กลุ่มธุรกิจอสังหาฯ เพื่อการพาณิชย์ของเรามีการเติบโตอย่างต่อเนื่องที่สำคัญ คือ การมีโครงการที่หลากหลาย และกว่า 90% เป็นโครงการที่เราเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ที่ดินเอง การมีทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ความสามารถในการใช้ประโยชน์จากบริษัทในเครือ และการพัฒนาให้แต่ละโครงการมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว”