Tag : News

2376 ผลลัพธ์
“คอตโต้”แจงงบ Q3 รายได้ลดแต่ทำกำไรเพิ่ม

“คอตโต้”แจงงบ Q3 รายได้ลดแต่ทำกำไรเพิ่ม

“คอตโต้” แจงผลประกอบการไตรมาส 3 รายได้ลด 2% เหตุยอดขายชะลอตัวลง แต่ทำกำไรเพิ่ม หลังหันมาลดต้นทุนภายใน-ปรับปรุงประสิทธิภาพการบริหาร พร้อมเดินหน้าขยายสาขา “คอตโต้ ไลฟ์” แห่งที่ 2 ในจ.เชียงใหม่ เจาะกลุ่มสถาปนิกและลูกค้าไฮเอนด์   นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO  ผู้ผลิตและจำหน่ายกระเบื้องภายใต้แบรนด์คอตโต้ (COTTO) โสสุโก้ (SOSUCO) และคัมพานา (CAMPANA) เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3 ของปี ​2562 ว่า มีรายได้จากการขาย 2,728 ล้านบาท ลดลง 2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลง 2% จากไตรมาสก่อน เป็นผลมาจากยอดขายโดยรวมลดลง โดยเฉพาะในส่วนของสินค้าระดับกลางลงมา ในขณะที่สินค้าระดับบนและสินค้านำเข้ามีราคาขายเฉลี่ยลดลง   อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมีกำไร 87  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 180% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ เพิ่มขึ้น 312% จากไตรมาสก่อน เนื่องจากในไตรมาสนี้ บริษัท สามารถลดต้นทุนจากการดำเนินงาน  ตามแผนการปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตได้ตามเป้าหมาย ประกอบกับมีค่าใช้จ่ายลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนและไตรมาสที่ผ่านมา เนื่องจากได้มีการรับรู้ค่าใช้จ่าย รายการค่าใช้จ่ายที่ไม่เกิดขึ้นเป็นประจำ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านแรงงานไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว นายนำพล กล่าวว่า ตลาดเซรามิกในไตรมาสที่ 3 ถือว่ายังไม่มีปัจจัยบวก และเติบโตเป็นศูนย์ เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ 2 ซึ่งเติบโตประมาณ 1% เมื่อเทียบกับปีก่อน ซึ่งสอดคล้องกับการอัตราขยายตัวด้านเศรษฐกิจ (GDP) ตามที่คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้ปรับลดประมาณการอัตราขยายตัว  GDP  ปีนี้ลงเหลือเติบโตที่ 2.8% ต่อปี จากเมื่อเดือน มิถุนายน 2562 ที่คาดการณ์ว่าจะเติบโตได้ 3.3%  ส่งผลกระทบต่อยอดขายสินค้า ในส่วนของตลาดระดับกลางลงมา ในขณะที่ตลาดระดับบนยังมีแนวโน้มที่ดี   “ในไตรมาส 3 บริษัทมีค่าใช้จ่ายลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และไตรมาสที่ 2  ประกอบกับยังคงรักษาวินัยด้านต้นทุนด้านการผลิตได้ตามเป้าหมาย จึงทำให้สามารถแข่งขันและทำกำไรได้” สำหรับกลยุทธ์การตลาดที่สำคัญ บริษัท ยังคงมุ่งเน้นเรื่องการสร้างแบรนด์  COTTO ให้แข็งแกร่ง  และเป็นแบรนด์ที่อยู่ในใจผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย โดยได้ดำเนินการเรื่องนี้มาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ไตรมาสแรกของปีนี้ ด้วยการปรับปรุงและเปิดดำเนินการ “COTTO Life”  แห่งแรกที่ เอสซีจี เอ็กซ์พีเรียนซ์ คริสตัล ดีไซน์เซ็นเตอร์ ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย  โดยเฉพาะกลุ่มเจ้าของบ้านและผู้ที่กำลังจะสร้างบ้านในระดับราคาสูงกว่า 5 ล้านบาทขึ้นไป เห็นได้จากช่วงต้นปีที่ผ่านมา  มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการเฉลี่ยประมาณ 500 รายต่อเดือน มียอดขายเฉลี่ยประมาณ 26,000 บาทต่อราย และมีแนวโน้มยอดขายเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง     ในไตรมาสนี้ บริษัทจึงได้ขยายสาขา COTTO Life แห่งที่ 2 ซึ่งตั้งอยู่ที่ โครงการ CHOC ถนนมหิดล ใกล้กับท่าอากาศยานนานาชาติ จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพและมีกำลังซื้อสูง จากการที่เป็นศูนย์กลางของภาคเหนือในหลายๆ ด้าน ที่สำคัญ คือ เป็นพื้นที่ศูนย์รวมสถาปนิก ทั้งบริษัทออกแบบ สถาปนิกอิสระ และบุคลากรทางการศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จาก 3 สถาบันชั้นนำ คือ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มหาวิทยาลัยราชมงคลล้านนา วิทยาเขตพายัพ และมหาวิทยาลัยแม่โจ้   “จากประสบการณ์ของเรา ลูกค้ากลุ่มลูกค้าสถาปนิก นักออกแบบและบุคคลากรในวงการนี้ ส่วนใหญ่มักจะชื่นชอบความพิเศษและความแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร เราเข้าใจความต้องการของเขา ดังนั้นสินค้าที่นำมาจัดแสดงที่นี่จะเป็นสินค้าคอลเล็กชั่นพิเศษซึ่งจะมีจำหน่ายเฉพาะที่ COTTO Life เท่านั้น  นอกจากนี้ ยังได้เตรียมพื้นที่ Co-working Space เพื่อให้สถาปนิกหรือเจ้าของโครงการได้เข้ามาใช้พื้นที่ในการพบปะสังสรรค์ ประชุมหรือเสนองานกับลูกค้าด้วย”    
SC ลุยเปิด 5 โปรเจ็กต์ใหม่ กระตุ้นตลาดโค้งท้ายปี ’62

SC ลุยเปิด 5 โปรเจ็กต์ใหม่ กระตุ้นตลาดโค้งท้ายปี ’62

SC ลุยตลาดโค้งท้าย 2 เดือนสุดท้าย เปิดโครงการใหม่ 4โครงการ มูลค่ารวม 5,560  ล้าน พร้อมขน  34 โครงการ จัดแคมเปญใหญ่แห่งปี    นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านสนับสนุนองค์กร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้ ได้เตรียมเปิดโครงการใหม่ 5 โครงการ รวมมูลค่า 5,560  ล้านบาท โดยเป็นโครงการแนวราบ 1 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียมโลว์ไรส์อีก 1 โครงการ หลังจากช่วง 9 เดือนแรกที่ผ่านมา สามารถทำยอดขายกลุ่มบ้านเดี่ยวเติบโต 50% โดยเฉพาะบ้านระดับราคา  8-20 ล้านบาท   สำหรับโครงการแนวราบ ที่จะเปิดตัวประกอบด้วยบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม  มูลค่ารวม 3,860 ล้านบาท  ได้แก่ 1.โครงการเวนิวโฟลว์ พระราม 5 ใกล้รถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีแยกติวานนท์ และใกล้ทางด่วนศรีรัช – วงแหวนรอบนอก บนพื้นที่กว่า 18 ไร่ จำนวน 70 ยูนิต  ราคาเริ่มต้น 6.79 ล้านบาท   2.โครงการบางกอกบูเลอวาร์ด รามอินทรา-เสรีไทย 2  บนทำเลติดถนนใหญ่ เข้าออกได้ 2 ทาง คือ ถนนเสรีไทย และ เลียบวงแหวน-กาญจนา บนพื้นที่กว่า 24 ไร่ จำนวน 77 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 12 ล้านบาท   3.โครงการบางกอกบูเลอวาร์ด ซิกเนเจอร์ ลาดพร้าว-เสรีไทย  บนถนนเสรีไทยใกล้กับนิด้า บนพื้นที่กว่า 30  ไร่ จำนวน 77 ยูนิต ราคาเริ่มต้น  ล้านบาท   4.โครงการเวิร์ฟเพชรเกษม ทาวน์โฮม 2 ชั้น หน้ากว้างเริ่ม 5.45 เมตร พร้อมกับรุ่นใหม่ดีไซน์หน้ากว้าง 7.9 เมตร ขนาด 4 ห้องนอน 3 ที่จอดรถ ทำเลเชื่อมต่อถนนสายหลักหลายสาย  ได้แก่ ถนน เพชรเกษม,ถนนเอกชัย ,พุทธมณฑล บนพื้นที่กว่า 16 ไร่ จำนวน 176 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.99  ล้านบาท   ส่วนโครงการคอนโดฯ ได้เตรียมเปิดโครงการแชมเบอร์ส อ่อนนุช สเตชั่น (Chambers On Nut Station)  มูลค่า 1,700 ล้านบาท ที่ตั้งโครงการอยู่ห่างจาก BTS สถานีอ่อนนุช  เพียง 230 เมตร มีกำหนด เปิด Presale ให้ชมห้องและบรรยากาศพื้นที่ส่วนกลาง วันที่ 9-10 พฤศจิกายนนี้   นายอรรถพล  กล่าวอีกว่า เพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายช่วงโค้งท้ายปีนี้  บริษัทยังได้จัดแคมเปญใหญ่แห่งปี  ภายใต้แคมเปญ “SC DAY OMG ZERO DEAL” ระหว่าง วันที่ 9-10 พฤศจิกายนนี้ กับโปรโมชั่นในโครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม โฮมออฟฟิศ และคอนโดฯ รวม 34 โครงการ มีราคาเริ่มต้น 2-50 ล้านบาท  
[PR News] ESRI จับมือ ม.ธรรมศาสตร์ ผลิตบุคลากรด้าน GIS ป้อนตลาดอสังหาฯ

[PR News] ESRI จับมือ ม.ธรรมศาสตร์ ผลิตบุคลากรด้าน GIS ป้อนตลาดอสังหาฯ

อีเอสอาร์ไอ จับมือ คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ม.ธรรมศาสตร์ นำความรู้ด้าน GIS บรรจุในหลักสูตรปริญญาโท เพิ่มทักษะนักศึกษา ป้อนสู่ตลาดแรงงานในธุรกิจอสังหาฯ หลังพบเป็นทักษะที่ตลาดแรงงานต้องการมากที่สุด ตั้งเป้าผลิตบุคลากรปีละกว่า 100 คน   นางสาวธนพร ฐิติสวัสดิ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ ESRI เปิดเผยว่า ปัจจุบันเทคโนโลยีได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ ซึ่งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ติดอันดับ 1 ที่มีความต้องการบุคลากรที่มีทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) สูงสุดในตลาดแรงงาน อาทิ เว็บไซต์ Indeed.com มีความต้องการบุคลากรด้าน GIS มากถึง 11,000 ตำแหน่ง ซึ่งแนวโน้มความต้องการแรงงานดังกล่าวในประเทศไทยก็มีเพิ่มสูงมากเช่นกัน จากแนวโน้มความต้องการแรงงานดังกล่าว บริษัทจึงร่วมมือกับคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี  มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นำความรู้ด้าน GIS บรรจุในหลักสูตรปริญญาโท ภาควิชาอสังหาริมทรัพย์ ในวิชาเทคโนโลยีกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยจะเน้นการเรียนการสอนไปที่การทำความรู้จักกับเทคโนโลยี GIS ArcGIS Pro การวิเคราะห์ด้วย ArcGIS Pro, Site Selection การวิเคราะห์ทำเลที่เหมาะสมสำหรับด้านอสังหาริมทรัพย์ เป็นต้น เพื่อมุ่งสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน  และขีดความสามารถในการผลิตบุคลากรที่มีศักยภาพสู่อุตสาหกรรมอสังหาฯ   นางสาวธนพร กล่าวว่า หลักสูตรดังกล่าวได้เริ่มเปิดสอนแล้ว โดยเป็นการบรรยายเกี่ยวกับ GIS นับเป็น 6 คลาสเรียน ต่อ 1 คอร์ส จากทั้งหมด 14 คลาสเรียน โดยมีเนื้อหาการบรรยาย คือ แนะนำระบบภูมิสารสนเทศ การใช้งานซอฟต์แวร์ ArcGIS การนำเข้าข้อมูล การสร้างข้อมูลเชิงพื้นที่ การสร้างเว็บแอปพลิเคชันสำหรับการติดตาม แก้ไขข้อมูลแปลงที่ดิน การประยุกต์ใช้เครื่องมือเพื่อวางแผน จัดการโครงการอสังหาริมทรัพย์ การวิเคราะห์เชิงพื้นที่เพื่อหาความเหมาะสมกับข้อมูลประชากร (Suitability Analysis) การวิเคราะห์เชิงพื้นที่เพื่อหาความเหมาะสมของที่ตั้งของอสังหาริมทรัพย์ การใช้เครื่องมือภูมิสารสนเทศ  เพื่อสร้างแผนที่ และจัดทำระวางแผนที่ และส่งออกข้อมูลในรูปแบบตาราง การสร้าง Operations Dashboard เพื่อสรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูลในรูปแบบของกราฟต่างๆ โดยหลังเปิดหลักสูตรมีบุคลากรสายงานอสังหาฯ สนใจสมัครเรียนแล้วถึง 79% นักศึกษาทั่วไป 11% และคนที่ทำงานสาขาอื่น 10% ซึ่งทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตั้งเป้าผลิตบุคลากรด้าน GIS สู่แวดวงอสังหาฯ เพิ่มปีละกว่า 100 คน   ด้าน รองศาสตราจารย์ ดร. พิภพ อุดร คณบดี คณะพาณิชย ศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า เทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทอย่างมากกับวงการอสังหาฯ ตลอดจนหน่วยงานต่างๆ ระดับประเทศ ก็ใช้เทคโนโลยีมาขับเคลื่อน ด้านการศึกษา การนำเทคโนโลยี GIS มาปรับเข้ากับการเรียนการสอน เป็นโอกาสที่ให้ผู้เรียนได้มีโอกาสลงมือจริง ได้ใช้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมาใช้งานจริง ไม่จำเป็นต้องออกไปข้างนอกหรือลงเห็นสถานที่จริง เป็นการลดต้นทุนในเรื่องของเวลา เพิ่มศักยภาพในการใช้เทคโนโลยี หรือเครื่องมือ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นการเพิ่มมูลค่าของผู้เรียนในสภาพการแข่งขันของธุรกิจและแรงงานคน ซึ่งนำไปต่อยอดสำหรับการทำงานในอนาคตได้จริง   ภาควิชาเทคโนโลยีกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  เปิดการเรียนการสอนมาแล้ว 30 ปี ซึ่งทางมหาวิทยาลัยได้ปรับปรุงคุณภาพการเรียนการสอนอยู่เสมอ และการตัดสินใจนำเทคโนโลยี GIS เข้ามาใช้ในการเรียนการสอนในครั้งนี้ เพื่อปูทางสู่การเรียนการสอนแบบลงมือปฏิบัติจริง practical learning มากยิ่งขึ้น โดยมองเห็น 3 สิ่งสำคัญคือ Innovative, Practical, Connected.   สำหรับความร่วมมือในครั้งนี้ จะช่วยให้นักศึกษาได้เรียนรู้จากข้อมูลเรียลไทม์ ในแบบจำลองที่เสมือนจริง เสมือนได้ทำงานจริง เห็นปัญหาและการแก้ไขปัญหาที่แท้จริง นำมาสู่ความคิดที่เป็น Innovative กล้าคิด กล้าทำ ลงมือทำจริง เกิดเป็น Practical Knowledge และส่งผลให้เค้าเหล่านี้เป็นตัวเชื่อมระหว่างภาคการศึกษา ภาคธุรกิจ และสังคม ในภาพกว้าง คือการสร้างสรรค์ผลงานจากความรู้ ที่มีประสิทธิภาพต่อการดำเนินงาน และส่งผลให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาสังคมต่อไป
เปิดบทวิเคราะห์ EIC มาตรการอสังหาฯ ไม่ทำให้ตลาดฟื้นตัว

เปิดบทวิเคราะห์ EIC มาตรการอสังหาฯ ไม่ทำให้ตลาดฟื้นตัว

สัปดาห์ที่ผ่านมา (วันที่ 22 ตุลาคม 2562) คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาคอสังหาริมทรัพย์  ด้วยการออกมาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนโอน และจดจำนองให้กับผู้ซื้อที่อยู่อาศัยใหม่ ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทออกมามีผลบังคับใช้ ซึ่งระยะเวลาไปสิ้นสุดในวันที่ 24 ธันวาคม 2563   นอกจากนี้ ครม. ยังมีมติเห็นชอบ  มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ยที่ 2.5% ในช่วง 3 ปีแรกสำหรับผู้กู้ซื้อบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ด้วยวงเงินสินเชื่อรวม 50,000 ล้านบาทด้วย   ถือได้ว่าเป็นมาตรการที่ออกมาช่วยกระตุ้นให้ภาคอสังหาฯ ฟื้นตัวดีขึ้น  จากแรงกดดันของมาตรการกำหนดสินเชื่อต่อวงเงินหลักประกัน หรือ LTV ที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ออกมาบังคับใช้ก่อนหน้านี้ ซึ่งส่งผลทำให้ตลาดอสังหาฯ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมชะลอตัวลงอย่างเห็นได้ชัดเจน นี่ยังไม่นับรวมปัจจัยเรื่องของภาวะเศรษฐกิจ กำลังซื้อ ปัญหาค่าเงิน และสงครามการค้าโลก ที่แม้ไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรง แต่ก็ทำให้ตลาดลูกค้าต่างชาติ ซึ่งเป็นหนึ่งกลุ่มลูกค้าที่เข้ามาเติมตลาดให้เติบโต ได้ชะลอตัวลดลงตามไปด้วย   จะว่าไปแล้วมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอน และค่าจดจำนองในครั้งนี้ ก็เป็นมาตรการต่อเนื่อง จากก่อนหน้าที่รัฐบาลได้ออกมาตรการภาษีเพื่อส่งเสริมการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง กับการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับการซื้อบ้านพร้อมที่ดิน หรือคอนโดฯ มูลค่าไม่เกิน 5 ล้านบาท ตามจำนวนที่จ่ายภาษีจริง แต่จ่ายภาษีไม่เกิน 200,000 บาท กำหนดระยะเวลาของมาตรการสำหรับผู้ซื้ออสังหาฯ  ตั้งแต่วันที่ 30 เมษายน ถึง 31 ธันวาคม 2562  นอกจากนี้ ยังมีมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนองเหลือ 0.01% จากปกติต้องชำระในอัตรา 2% สำหรับบ้านและคอนโดฯ ที่มีราคาไม่เกิน 1 ล้านบาทด้วย   แต่ดูเหมือนว่ามาตรการที่กำหนดกรอบราคาบ้านเพียงแค่ 1 ล้านบาท จะไม่ได้ตอบโจทย์สภาพตลาดและความเป็นจริงในปัจจุบัน เพราะที่อยู่อาศัยที่ขายเป็นส่วนใหญ่ จะมีระดับราคาเฉลี่ยในราคา 2-3 ล้านบาท หากจะหาซื้อที่อยู่อาศัยในราคา 1 ล้านบาทได้นั้น  คงต้องออกไปชานเมืองที่ไกล หรือไม่ก็เป็นตลาดต่างจังหวัด มาตรการที่ออกมาก่อนหน้าจึงแทบจะเรียกได้ว่า ไม่ได้ช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ สักเท่าไร EIC ประเมินคอนโดฯ+ทาวน์เฮ้าส์ ได้ประโยชน์ ล่าสุด นางสาวนพมาศ ฮวบเจริญ นักวิเคราะห์อาวุโส  Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ได้จัดทำบทวิเคราะห์  มาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอน และจดจำนองว่ามีผลต่อตลาดอสังหาฯ อย่างไรบ้าง   โดยทาง EIC มองว่า กลุ่มที่อยู่อาศัยใหม่สร้างเสร็จพร้อมโอนระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท  จะได้รับประโยชน์จากมาตราการ ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ของตลาด  และเป็นประเภทคอนโดฯ และทาวน์เฮาส์ โดยเฉพาะในพื้นที่รอบนอกของกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด   จากข้อมูลยูนิตที่อยู่อาศัยเหลือขาย (ทั้งที่สร้างเสร็จและกำลังก่อสร้าง) ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ณ กลางปี 2019 ที่จัดเก็บโดย AREA พบว่า มียูนิตเหลือขายราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทอยู่ทั้งสิ้น 107,646 ยูนิต คิดเป็น 53% ของจำนวนเหลือขายทั้งหมด ซึ่งจำนวนเหลือขายราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นคอนโดฯ ถึง 52% ของจำนวนเหลือขายราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาททั้งหมด รองลงมาคือทาวน์เฮาส์มีสัดส่วน 43%  หากพิจารณาเป็นรายพื้นที่จะพบว่า  ที่อยู่อาศัยกลุ่มที่ได้ประโยชน์จะกระจุกตัวในพื้นที่รอบนอกกรุงเทพฯ เช่น รังสิตคลอง 1-16 บางบัวทอง บางนา กม.10-30 วงแหวนรอบนอก-เพชรเกษม และรัตนาธิเบศร์   มาตรการในครั้งนี้ มีเงื่อนไขครอบคลุมเฉพาะกลุ่มที่อยู่อาศัยใหม่ที่ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท แตกต่างจากมาตรการลดค่าโอนและจดจำนองในปี 2558 ที่ครอบคลุมที่อยู่อาศัยทุกระดับราคา แม้ว่ามาตรการในครั้งนี้จะครอบคลุมกลุ่มที่อยู่อาศัยกลุ่มใหญ่  และเป็นมาตรการที่ออกมาต่อเนื่องจากมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ ในช่วงไตรมาสสองของปีนี้ แต่เงื่อนไขที่จำกัดเฉพาะที่อยู่อาศัยบางระดับราคาทำให้ผลบวกที่มีต่อตลาดโดยรวมจะมีไม่มากดังเช่นที่เคยเกิดขึ้นในปี 2551 และ 2558 ที่มีการใช้มาตรการแบบเดียวกัน ต่างกันที่ครอบคลุมที่อยู่อาศัยทุกระดับราคา โดยเฉพาะในปี 2558 ที่ครอบคลุมทั้งบ้านจัดสรรและไม่จัดสรร รวมถึงที่ดินจัดสรรด้วย   นอกจากนี้  มาตรการยังไม่ได้ระบุชัดเจนถึงวันที่มีผลบังคับใช้ ทำให้ธุรกรรมการโอนและจดจำนองของที่อยู่อาศัยราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทอาจหยุดชะงักในระยะสั้นจนกว่ามาตรการจะมีผลบังคับใช้ จากการที่ภาครัฐอนุมัติมาตรการลดค่าโอนและจดจำนองโดยที่ยังไม่ได้ระบุวันที่มีผลบังคับใช้ ทำให้ผู้ซื้อบ้านที่เข้าข่ายได้ประโยชน์จากมาตรการชะลอ/เลื่อนการโอนและจดจำนองออกไปก่อน เพื่อให้ตนเองสามารถได้รับประโยชน์จากมาตรการ   หากภาครัฐประกาศวันที่มีผลบังคับใช้ล่าช้า ก็อาจส่งผลระยะสั้นให้ธุรกรรมการซื้อขายบ้านบางส่วนหยุดชะงักลง  และอาจกระทบต่อยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในไตรมาส 4 ปีนี้ อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับมาตรการนี้ในเบื้องต้น หน่วยดังกล่าวแจ้งว่าอาจใช้เวลาประมาณ 1 เดือนในการเตรียมรายละเอียดของประกาศกระทรวงมหาดไทย โดยมีโอกาสที่มาตรการอาจเริ่มบังคับใช้ปลายเดือนพฤศจิกายน หรือ ต้นเดือนธันวาคม 2562 EIC ชี้มาตรการยังเป็นยาเบา ไม่กระตุ้นตลาดฟื้นตัว EIC ประเมินว่า มาตรการลดค่าโอนและจดจำนองในครั้งนี้ จะแค่บรรเทาผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจ และเกณฑ์ LTV ในระยะสั้น แต่ยังไม่สามารถผลักดันให้ตลาดที่อยู่อาศัยกลับมาขยายตัวได้สูงดังที่เคยเกิดขึ้นจากการใช้มาตรการในครั้งก่อน ๆ เนื่องจาก 1.มาตรการในปีนี้ส่งผลกระทบในวงแคบกว่าเมื่อเทียบกับปี 2551 และ 2558 ที่ได้ประโยชน์กับที่อยู่อาศัยในทุกระดับราคาตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้น 2.เศรษฐกิจโลกและไทยที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง  กดดันกำลังซื้อของชาวต่างชาติและชาวไทย โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย-ปานกลางที่มีความเปราะบางต่อเศรษฐกิจที่ผันผวน 3.หนี้สินของภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ดังพิจารณาได้จากข้อมูลหนี้ครัวเรือนต่อ Disposable income ที่รายงานโดยธปท. ซึ่งอยู่ในระดับเกือบ 150% เทียบกับปี 2551 ที่อยู่ในระดับต่ำกว่า 100% ขณะที่อัตราส่วนหนี้ต่อรายได้ของผู้กู้ซื้อบ้านยังคงอยู่ในระดับสูง แม้ว่าจะลดลงมาบ้างหลังจากเกณฑ์ LTV มีผลบังคับใช้ ทำให้ความสามารถในการก่อหนี้ของครัวเรือนยังมีข้อจำกัดค่อนข้างมาก 4.สถาบันการเงินเข้มงวดในการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น สะท้อนจากอัตราการอนุมัติสินเชื่อบ้านที่ลดลงและมาตรฐานการให้สินเชื่อบ้านที่เข้มงวดขึ้นผ่านการสำรวจของ ธปท. ที่มีประจำทุกไตรมาส 5.เกณฑ์ LTV ที่เข้มงวดมากขึ้น ทำให้ความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคลดลง ทั้งการที่ไม่สามารถกู้ยืมเพื่อซื้อบ้านในวงเงินที่สูงดังเช่นในอดีตและการหาผู้กู้ร่วมที่ยากมากขึ้นกว่าในอดีตก่อนมีมาตรการ LTV ใหม่ (แม้ว่า ธปท. จะผ่อนปรนเกณฑ์ LTV ในกรณีกู้ร่วม แต่การผ่อนปรนเฉพาะกรณีกู้ร่วมไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย ซึ่งอาจมีสัดส่วนไม่มาก) ขณะที่มาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยพิเศษของ ธอส. อาจไม่มากพอที่จะช่วยผลักดันให้ตลาดบ้านกลับมาขยายตัวได้ เนื่องจากวงเงินในมาตรการที่ค่อนข้างน้อย คิดเป็นประมาณ 5-7% ของยอดสินเชื่อใหม่เพื่อซื้อบ้านในแต่ละปีเท่านั้น เร่งการโอน ลดค่าใช้จ่าย 90,000 บาท แม้ว่าผลต่อการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยโดยรวมอาจมีไม่มาก แต่กลุ่มผู้ซื้อบ้าน Low-end และผู้ประกอบการที่เน้นบ้านกลุ่ม Low-end จะเป็นผู้ที่ได้รับผลประโยชน์จากมาตรการครั้งนี้ โดยผู้ซื้อบ้านใหม่ในราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท  จะสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการโอนและจดจำนองสูงสุดเกือบ 90,000 บาท ซึ่งอาจทำให้ผู้ซื้อบางส่วนเร่งเข้ามาโอนที่อยู่อาศัยเร็วขึ้นเพื่อให้ได้รับประโยชน์จากมาตรการ   ขณะที่ผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยหรือมี Backlog ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทในสัดส่วนสูง  จะได้รับประโยชน์ เนื่องจากผู้ประกอบการสามารถประหยัดต้นทุนการออกโปรโมชัน  ลดค่าโอนและจดจำนอง  ซึ่งเป็นหนึ่งในโปรโมชันที่ผู้ประกอบการนิยมทำ โดยผู้ประกอบการอาจจะใช้โอกาสนี้ในการออกโปรโมชันอื่น ๆ เพิ่มเติมเพื่อกระตุ้นยอดขายและเร่งระบายที่อยู่อาศัยเหลือขายได้มากขึ้น   ตลาดที่อยู่อาศัยยังต้องใช้เวลาปรับตัวกับเกณฑ์ LTV ใหม่ประมาณ 1-2 ปี ซึ่งต้องอาศัยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอย่างชัดเจนร่วมด้วย นอกเหนือจากการสนับสนุนจากมาตรการทางภาษี แม้รัฐบาลทยอยออกมาตรการทางภาษีหลายอย่างเพื่อช่วยพยุงตลาดที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่อง แต่การปรับตัวของผู้บริโภคต่อเกณฑ์การให้สินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือเกณฑ์ LTV ยังต้องใช้ระยะเวลา โดยอาศัยแรงขับเคลื่อนสำคัญจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคอย่างชัดเจน เพื่อผลักดันกำลังซื้อให้มีได้มากขึ้นเพื่อทดแทนความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัยที่ลดลงจากเกณฑ์ LTV   อย่างไรก็ตาม มาตรการดังกล่าวอาจยังไม่สามารถส่งผลให้  ตลาดที่อยู่อาศัยกลับมาฟื้นตัวได้สูงเหมือนดังที่เคยเกิดขึ้น จากมาตรการแบบเดียวกันในอดีต เนื่องจากข้อจำกัด 3 ประการ ได้แก่ 1.ข้อจำกัดของมาตรการที่ครอบคุลมที่อยู่อาศัยเฉพาะกลุ่ม ซึ่งแตกต่างจากมาตรการในอดีตที่ครอบคุลมทุกระดับราคา 2.ข้อจำกัดด้านเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชะลอตัวไม่เอื้อต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค 3.ข้อจำกัดด้านการกู้ยืมของผู้ซื้อบ้าน จากภาระหนี้สินของภาคครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ท่ามกลางความเข้มงวดของสถาบันการเงินและเกณฑ์ LTV ที่เข้มงวดมากในอดีต   ในบทสรุปสุดท้าย คงต้องติดตามกันต่อไปว่า มาตรการที่อออกมา จะส่งผลทำให้เกิดการซื้อขาย และโอนกรรมสิทธิ์กันได้มากน้อยแค่ไหน แต่สำหรับปีนี้จากระยะเวลาที่เหลืออยู่เพียง 2 เดือน  ภาพรวมของตลาดอสังหาฯ  คงเป็นไปตามที่หลายฝ่ายประเมิน ว่าตลาดคงไม่เติบโตเท่ากับปีที่ผ่านมา และคงต้องลุ้นกันใหม่ในปีหน้า ว่าสถานการณ์จะฟื้นตัวได้ดีขึ้นมากน้อยแค่ไหน  
สรุปข่าวอสังหาฯ รอบสัปดาห์ วันที่ 21-27 ตุลาคม 2562

สรุปข่าวอสังหาฯ รอบสัปดาห์ วันที่ 21-27 ตุลาคม 2562

เข้าสู่ช่วงท้ายปลายเดือนตุลาคมแล้ว นับช่วงเวลาของปี 2562 ก็คงเหลือเพียง 2 เดือนเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นช่วงเวลานับถอยหลังของปีนี้แล้ว วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่สถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  กลับไม่ได้ฟื้นตัวเร็วอย่างที่คาดคิดไว้เลย แต่ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาเรียกได้ว่า มีข่าวดีกับวงการธุรกิจอสังหาฯ  พอให้เป็นกำลังใจที่จะมาช่วยกระตุ้นตลาดให้ฟื้นตัวดีขึ้น ครม.ลดค่าโอน-จดจำนองเหลือ 0.01% ช่วงวันที่ 22 ตุลาคม 2562 คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติออกมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  ด้วยมาตรการลดภาระภาษีเพื่อที่อยู่อาศัย ให้กับประชาชนทั่วไปที่มีความต้องการมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองในราคาซื้อขายไม่เกิน 3 ล้านบาท สำหรับซื้อที่อยู่อาศัยตั้งแต่วันที่ประกาศกระทรวงหาดไทยมีผลบังคับใช้  ยาวไปจนถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2563   โดยมีการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนการโอนจากเดิม 2% เหลือ 0.01% และลดค่าจดทะเบียนการจำนองจากเดิม 1% เหลือ 0.01% เฉพาะการซื้อขายที่อยู่อาศัยที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุด ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท และการจดทะเบียนการโอน และการจดจำนองอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัย ต้องดำเนินการในคราวเดียวกัน "คิวบ์”เตรียมตัวเข้าตลาด การระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ถือเป็นการหาแหล่งเงินทุนได้ในต้นทุนที่ต่ำ หากเปรียบเทียบกับการระดมทุนในหลายแหล่งเงิน แถมยังทำให้ภาพลักษณ์ของบริษัทดูดีมากขึ้น หลายบริษัทจึงอยากเข้าไปจดทะเบียนแปลงสภาพกลายเป็นบริษัทมหาชน  บริษัท คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด  ถือเป็นหนึ่งในหลายบริษัทที่มีเป้าหมายเดินหน้าไปสู่ความเป็น “มหาชน” นังตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจมาตั้งแต่ช่วงปี 2533   นายวิชิต  อำนวยรักษ์สกุล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด  เปิดเผยว่า ได้วางแผนนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เพื่อนำเงินมาต่อยอดธุรกิจและพัฒนาโครงการ โดยจะเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 300 ล้านบาท  จากปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 165 ล้านบาท   ซึ่งได้วางแนวทางการพัฒนาโครงการในแต่ละปีนั้น บริษัทกำหนดกรอบการพัฒนาไว้ 4-6 โครงการมูลค่าประมาณ​2,000-2,500 ล้านบาท แต่ละโครงการจะมีจำนวนยูนิตเฉลี่ย 300 ยูนิต มีมูลค่าโครงการประมาณ 600-700 ล้านบาท บริษัทไม่เน้นการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่หลัก 1,000-2,000 ล้านบาท เนื่องจากเน้นกระจายความเสี่ยง และไม่ให้ธุรกิจมีความเสี่ยงมากเกินไป  โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการคอนโดฯ เป็นหลักด้วยสัดส่วน 80-85% (อ่านข่าวเพิ่มเติม) “สิงห์ เอสเตท” ส่ง SHR เข้าตลาด  แต่สำหรับบริษัท สิงห์ เอสเตท  จำกัด (มหาชน) ได้ส่งบริษัทในเครืออย่าง “เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท” เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และพร้อมที่จะนำเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก  (IPO) จำนวนไม่เกิน 1,473.456 ล้านหุ้น  กำหนดราคาขาย 5.10-5.50 บาทต่อหุ้น  โดยจะขายให้แก้ผู้ถือหุ้นของบริษัทเฉพาะกลุ่มที่มีสิทธิได้รับจัดสรรหุ้น ระหว่างวันที่ 28-30 ตุลาคม  และประชาชนทั่วไปในวันที่ 1-5 พฤศจิกายนนี้     นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้นำบริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR ซึ่งดำเนินธุรกิจกลุ่มโรงแรมเตรียมขายหุ้น IPO ซึ่งนำเงินมาต่อยอดธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการซื้อกิจการ การพัฒนาโครงการเอง หรือการรับบริหาร เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพเติบโตสูง  แต่บริษัทมีงบลงทุนค่อนข้างจำกัด   ปัจจุบัน SHR มีโรงแรมทั้งหมด 39 แห่ง ใน 5 ประเทศ ภายใต้ 7 แบรนด์ รวมจำนวนห้องพัก 4,647 ห้อง เป้าหมายภายในระยะ 5 ปี หรือปี 2568 จะเพิ่มจำนวนห้องเติบโตปีละ 15% หรืออย่างน้อย 2 เท่า นั่นหมายว่าจะมีจำนวนโรงแรมรวมอย่างน้อย 80 แห่ง หรือคิดเป็นจำนวนกว่า 9,000 ห้องเลย (อ่านข่าวเพิ่มเติม) BAM ได้ฤกษ์นับหนึ่ง IPO           บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เป็นอีกหนึ่งบริษัทหลังจากที่บริษัทได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชน (IPO) ปัจจุบันสำนักงาน ก.ล.ต. ได้นับหนึ่งแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบไฟลิ่งแล้วเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา     นายสมพร มูลศรีแก้ว กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เปิดเผยว่า เชื่อมั่นว่า BAM มีศักยภาพ และจุดแข็งของบริษัท ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ  มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 20 ปี มีแหล่งเงินทุนที่หลากหลาย ผลประกอบการที่แข็งแกร่ง โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีกำไรสุทธิต่อเนื่องปีละกว่า 4,500 ล้านบาท มีสินทรัพย์เติบโตเฉลี่ย 7% ต่อปี มีเครือข่ายทั่วประเทศมากที่สุดรวม 26 แห่ง บริษัทจึงน่าจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง (อ่านข่าวเพิ่มเติม) ศูนย์ข้อมูลฯ รายงานตลาดอสังหาฯ​ภาคเหนือ-ตะวันออก ปิดท้ายกับการจัดงานสัมมนาของศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) รายงานตลาดที่อยู่อาศัยอยู่ระหว่างการขายในช่วงครึ่งแรกปี 2562 ในพื้นที่ภาคเหนือ ได้แก่จังหวัดเชียงใหม่  เชียงรายตาก และพิษณุโลก โดยนับเฉพาะโครงการที่มีหน่วยเหลือขายไม่ต่ำกว่า 6 หน่วย พบว่า มีจำนวนโครงการที่ยังอยู่ระหว่างขาย 360 โครงการ มีจำนวนเหลือขาย 14,019 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าเหลือขาย 49,997 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 4.3%  11.1% และ 10.1% ตามลำดับ (ครึ่งแรกปี 2561 มี 345 โครงการ มีจำนวนยูนิตเหลือขาย12,616 ยูนิต มีมูลค่าเหลือขาย 45,402 ล้านบาท)   ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ส่วนรายงานสรุปผลการสำรวจตลาดอสังหาฯ ในพื้นที่ภาคตะวันออก ได้แก่จังหวัดชลบุรี  ระยองตาก และฉะเชิงเทรา มีจำนวนโครงการที่ยังอยู่ระหว่างขาย 1,062 โครงการ มีจำนวนเหลือขาย 62,060 ยูนิต  คิดเป็นมูลค่าเหลือขาย 200,136 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 11.6% 12.2% และ 13.6% ตามลำดับ (ครึ่งแรกปี 2561 มี 952 โครงการ มีจำนวนหน่วยเหลือขาย 55,327 ยูนิต มีมูลค่าเหลือขาย 176,108 ล้านบาท)    
เปิดพฤติกรรมคนไทย กับเรื่อง “กิน” ทั้งบ่อย ชอบรสหวาน-เค็ม

เปิดพฤติกรรมคนไทย กับเรื่อง “กิน” ทั้งบ่อย ชอบรสหวาน-เค็ม

เรื่องอาหารการกิน คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก เพราะประเทศไทยมีอาการให้กินสารพัดชนิด และกินกันได้แบบตลอด 24 ชั่วโมง หลากหลายรูปแบบ ประเภท และระดับราคา เรื่องอาหารจึงกลายเป็นหนึ่ง แม่เหล็กดึงดูดให้คนทั่วโลกหลั่งไหลเข้ามาท่องเที่ยว เพื่อหาประสบการณ์ด้านการกิน และสร้างชื่อเสียงให้ประเทศเป็นที่รู้จักของโลก   แล้วคนไทยในยุคปัจจุบันมีการกินอะไรกันบ้าง จากปัจจุบันที่ตลาดอาหารมีหลากหลายประเภท และสารพัดรูปแบบ โดยทาง Economic Intelligence Center (EIC) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมการบริโภคอาหารของประชากรอายุ 6 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการสำรวจอนามัยและสวัสดิการของสำนักงานสถิติแห่งชาติในปี 2556 และปี 2560 ซึ่งมีกลุ่มตัวอย่างประมาณ 28,000 ครัวเรือน ข้อมูลดังกล่าวได้แสดงถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงในเชิงพฤติกรรมการกินของคนไทยที่น่าสนใจ ดังต่อไปนี้   คนไทยเลือกซื้ออาหารจากความชอบเป็นหลัก  ในปี 2560 ปัจจัยที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญเมื่อเลือกซื้ออาหารเป็นอันดับหนึ่ง คือ ความชอบ มีผู้ตอบ 22.1% ของกลุ่มตัวอย่างจากการสำรวจ  ตามมาด้วย รสชาติ สัดส่วน 18.5%  ความอยากทาน สัดส่วน 18.2%  ความสะอาด สัดส่วน  17.8% คุ ณค่า  สัดส่วน 12.9%  ความสะดวก สัดส่วน 6.5% โดยราคาเป็นปัจจัยที่มีผู้ตอบน้อยที่สุดที่ สัดส่วน 4.0%   จากผลการสำรวจดังกล่าวอาจมองได้ว่าคนไทยให้ความสำคัญกับความสุขจากการกิน สะท้อนจากการเลือกปัจจัย ความชอบ-ความอยากทาน-รสชาติ มากกว่าคุณภาพของอาหาร ซึ่งสะท้อนจากการเลือกปัจจัย ความสะอาด-คุณค่า    โดยปัจจัยในกลุ่มที่สะท้อนเรื่องความสุขจากการกินมีผู้ตอบรวมกันอยู่ที่ 57.1% ในปี 2556 และเพิ่มมาเป็น 58.8% ในปี 2560 ขณะที่คุณภาพของอาหารกลับมีสัดส่วนลดลงจาก 32.2% ในปี 2556 เหลือเพียง 30.7% ในปี 2560 นอกจากนี้ ปัจจัย ความชอบ เพิ่มความสำคัญขึ้นมาอย่างมากจากสัดส่วนเพียง 17.7% หรือเป็นปัจจัยอันดับ 3 ในปี 2556 ขึ้นมาเป็นปัจจัยอันดับหนึ่งในการเลือกซื้ออาหารของคนไทยในปัจจุบัน แซงปัจจัย รสชาติ ซึ่งเป็นปัจจัยอันดับหนึ่งในปี 2556   สะท้อนว่าสำหรับผู้บริโภคในปัจจุบัน อาหารอร่อยอย่างเดียวอาจไม่พอ ควรมีสิ่งอื่นควบคู่ไปด้วย เช่น รูปแบบการนำเสนอ ประสบการณ์ หรือการบริการ เป็นต้น ทั้งนี้ ราคา ยังคงเป็นปัจจัยรั้งท้ายจาก 7 ปัจจัยดังกล่าวสำหรับคนไทยมาตั้งแต่ปี 2556   คนไทยกินบ่อยขึ้น กินรสหวาน-เค็มมากขึ้น และกินผักผลไม้ลดลง -คนไทยกินบ่อยขึ้น   ในปี 2560 คนไทยส่วนใหญ่กว่า 89.4% กินอาหาร 3 มื้อต่อวัน สัดส่วนดังกล่าวเพิ่มขึ้นจาก 88.0% ในปี 2556 นอกจากนี้ สัดส่วนของคนที่กินอาหารมากกว่า 3 มื้อก็เพิ่มขึ้นจาก 3.8% ในปี 2556 มาเป็น 4.1% ในปี 2560 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นทั้งในเพศหญิงและชาย และเพิ่มในหลายช่วงอายุ ได้แก่ เด็ก อายุ 6-14 ปี วัยรุ่น  อายุ 15-24 ปี  และคนวัยทำงาน อายุ 25-59 ปี  ยกเว้นผู้สูงอายุ อายุ 60 ปีขึ้นไป  ที่กลับมีสัดส่วนการกินมากกว่า 3 มื้อที่ลดลง     -คนไทยกินรสหวาน เค็ม มากขึ้น    โดยสัดส่วนของคนที่กินรสหวานเป็นอาหารมื้อหลักเพิ่มจาก 11.2% ในปี 2556 มาเป็น 14.2% ในปี 2560 ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในกลุ่มอายุน้อยกว่า 25 ปีเป็นสำคัญ และยังพบการเพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาค ขณะที่รสเค็มเพิ่มจาก 13.0% มาเป็น 13.8% โดยเป็นการเพิ่มขึ้นของการบริโภคในกลุ่มอายุ 15 ปีขึ้นไปเป็นหลัก อย่างไรก็ตาม รสชาติอาหารมื้อหลักของคนไทยส่วนใหญ่จากข้อมูลการสำรวจในปี 2560 คือ รสจืด 38.3% รองลงมาเป็น รสเผ็ด สัดส่วน 26.2% หวาน สัดส่วน 14.2%  เค็ม สัดส่วน 13.8% และเปรี้ยว สัดส่วน 4.8%  ตามลำดับ   ทั้งนี้รสชาติอาหารมื้อหลักของคนไทยมีลักษณะของการกินตามช่วงอายุ เช่น การกินรสหวานจะมีสัดส่วนสูงที่สุดในวัยเด็กที่ 32.5% โดยมีสัดส่วนลดหลั่นลงไปตามช่วงอายุ และน้อยที่สุดในกลุ่มผู้สูงอายุที่กินรสหวานเป็นหลักเพียง 6.6% เท่านั้น ขณะที่รสชาติอื่น ๆ ได้แก่ เผ็ด เค็ม และเปรี้ยว จะมีสัดส่วนน้อยที่สุดในวัยเด็ก โดยจะเพิ่มขึ้นในวัยรุ่นและวัยทำงาน ตามลำดับ แล้วจะลดน้อยลงอีกครั้งในกลุ่มผู้สูงอายุ   -คนไทยบริโภคผักและผลไม้สดลดลง  ถึงแม้ว่าคนไทยส่วนใหญ่กว่า 98.8% จะมีการบริโภคผักและผลไม้อย่างน้อย 1 วันในแต่ละสัปดาห์โดยสัดส่วนดังกล่าวไม่เปลี่ยนแปลงจากปี 2556 แต่สัดส่วนของคนที่กินผักและผลไม้ทุกวันกลับลดลง จาก 54.5% เป็น 41.1% โดยเป็นการลดลงในทุกกลุ่มอายุ เพศ และภูมิภาค   คนไทยอดอาหารเพื่อลดน้ำหนักกันมากขึ้น และเพิ่มการกินอาหารเสริม  สะท้อนถึงความพยายามในการดูแลตัวเองที่มากขึ้น แม้พฤติกรรมการกินในหลายด้านของคนไทยไม่ได้เปลี่ยนไปในทางที่ให้ความสำคัญต่อสุขภาพมากนักตามที่ข้อมูลข้างต้นบ่งชี้   -กลุ่มคนอดอาหารเพื่อลดน้ำหนักมีมากขึ้น  กลุ่มคนที่งดอาหารมื้อหลักเพื่อลดน้ำหนักมีสัดส่วนมากขึ้น จาก 9.4% ของคนที่กินอาหารน้อยกว่า 3 มื้อเป็นประจำ  ในปี 2556 มาเป็น 12.4% ในปี 2560 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นในทั้งเพศหญิงและชาย แต่จะเพิ่มขึ้นชัดเจนกว่าในกลุ่มผู้หญิงซึ่งเพิ่มจาก 14.1% เป็น 19.2% และเมื่อพิจารณารายกลุ่มอายุ พบว่า สัดส่วนคนงดอาหารมื้อหลักเพื่อลดน้ำหนักมีเพิ่มขึ้นในทุกกลุ่มอายุ แต่กลุ่มวัยทำงานและกลุ่มผู้สูงอายุมีการเพิ่มขึ้นชัดเจนกว่ากลุ่มเด็กและวัยรุ่น อย่างไรก็ดี แม้จะมีทิศทางเพิ่มขึ้น แต่คนที่อดอาหารเพื่อลดน้ำหนักก็ยังถือว่าเป็นคนส่วนน้อย โดยในปี 2560 มีสัดส่วนต่อประชากรอายุ 6 ปีขึ้นไปทั้งสิ้นเพียง 0.8% เท่านั้น ประมาณ 500,000 คน   -คนไทยบริโภคอาหารกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและกลุ่มแร่ธาตุ วิตามินมากขึ้น โดยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจาก 19.1% ในปี 2556 เป็น 21.6% ในปี 2560 เป็นการบริโภคเพิ่มขึ้นของคนต่างจังหวัด ขณะที่คนกรุงเทพฯ บริโภคน้อยลง แต่ยังคงเป็นภูมิภาคที่มีสัดส่วนผู้บริโภคอาหารเสริมมากที่สุด  1 ใน 3 ของคนกรุงเทพฯ บริโภคอาหารเสริม/วิตามิน  
ดีเวลลอปเปอร์แห่งปิดพื้นที่สำนักงานเกรด A คาดอีก 5 ปีเพิ่มล้านตร.ม.

ดีเวลลอปเปอร์แห่งปิดพื้นที่สำนักงานเกรด A คาดอีก 5 ปีเพิ่มล้านตร.ม.

เน็กซัส เผยผลสำรวจ พื้นที่อาคารสำนักงานเกรด A ในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้น 200,000 ตารางเมตร จาก 5 อาคารใหญ่เปิดให้บริการ ขณะที่อีก 5 ปี มีอีก 10-13 อาคารเตรียมเปิด ส่งผลมีซัพพลายเพิ่มเข้าระบบอีก 1 ล้านตารางเมตร    นายธีระวิทย์ ลิ้มทองสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เน็กซัส เรียลเอสเตท แอทไวซอรี่ จำกัด เปิดเผยว่า ปริมาณพื้นที่สำนักงานเกรด A บริเวณกรุงเทพฯ ชั้นในและชั้นกลาง ตั้งแต่อดีตจนถึงไตรมาส 3 ของปี 2561 มีพื้นที่รวม 2.34 ล้านตารางเมตร และมีพื้นที่เพิ่มเข้ามาอีก 10% หรือประมาณ 200,000 ตารางเมตร  นับตั้งแต่ไตรมาส 3 ของปี 2561 จนถึงปัจจุบัน  จากพื้นที่ของ 5 อาคาร ซึ่งในระยะ 2 ปีข้างหน้าจะมีพื้นที่เปิดเพิ่มเข้ามาอีก 350,000 ตารางเมตร จากอาคารที่จะก่อสร้างแล้วเสร็จและเปิดให้บริการ ​      สำหรับอาคารสำนักงานเกรด A ที่เปิดตัวไปในช่วงเดือนตุลาคม 2561-กันยายน 2562 ที่ผ่านมา มีทั้งสิ้น 5 อาคาร ได้แก่ สิงห์ คอมเพล็กซ์ (Singha Complex), 101 แอท ทรู ดิจิทัล พาร์ค (101@True Digital Park), ที-วัน (T-ONE), เอ็มเอส สยาม (MS Siam) และสามย่านมิตรทาวน์ (Samyan Mitrtown) การเปิดตัวของทั้ง 5 โครงการ นับเป็นอาคารสำนักงานที่เข้ามาเติมเต็มความต้องการของผู้เช่า ทั้งเรื่องการเดินทาง และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตในปัจจุบัน เนื่องจากทุกโครงการล้วนตั้งอยู่บนทำเลที่เป็นไข่แดง และศูนย์กลางแหล่งธุรกิจของกรุงเทพฯ และหลายอาคารยังมีทางเชื่อมต่อไปยังสถานีรถไฟฟ้าทั้ง BTS หรือ MRT ด้วย   การเพิ่มขึ้นของพื้นที่เช่าอาคารสำนักงานใหม่ ไม่ส่งผลต่ออัตราการเช่าของตลาดมากนัก โดยอัตราการเช่าลดลงเพียง 1% จาก 96% ในปีที่แล้ว เหลืออยู่ที่ 95% ในไตรมาสนี้  แสดงให้เห็นว่าความต้องการอาคารสำนักงานเกรด A ยังคงมีอยู่มาก ส่วนของราคาค่าเช่าเฉลี่ย พบว่า มีอัตราปรับเพิ่มขึ้นขึ้นถึง 7% มาอยู่ที่ 1,025 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน จากเดิมอยู่ที่ 960 บาทบาทตารางเมตรต่อเดือน เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว     ในอีก 2 ปีข้างหน้า คาดว่าจะมีอาคารสำนักเกรด A สร้างเสร็จและพร้อมเปิดใช้งานได้อีก 10 - 13 อาคาร อาทิ  เดอะ พาร์ค (The PARQ), สีลม เซ็นเตอร์ (Silom Center), สยาม สเคป (Siam Scape) และ โอ-เนส ทาวเวอร์ (O-NES Tower) ซึ่งอาคารเหล่านี้จะทำให้มีพื้นที่เช่าเข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้นอีกเกือบ 350,000 ตารางเมตร  โดยคาดว่าพื้นที่เช่าอาคารสำนักงานเกรด  A จะเพิ่มมากขึ้นถึง 1 ล้านตารางเมตร ในอีก 5 ปีข้างหน้า     “จากข้อมูลทั้งหมดที่ทำการสำรวจมาสรุปได้ว่า ตลาดอาคารสำนักงานให้เช่าเกรด A ในกรุงเทพฯ ยังมีความต้องการอีกมาก การเข้ามาของซัพพลายใหม่ๆ ทำให้ตลาดมีสีสันมากยิ่งขึ้น หลังจากที่ตลาดอาคารสำนักงานให้เช่าเกรด A มีอยู่อย่างจำกัดมากว่า 20 ปีแล้ว นายธีระวิทย์ กล่าวเพิ่มว่า การพัฒนาโครงการเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์  และความต้องการของผู้บริโภค ถือเป็นความท้าทายอย่างมาก เนื่องจากการพัฒนาโครงการนั้น คือการคิดสร้างวันนี้เพื่อขายพื้นที่วันหน้า โดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปีในการพัฒนา จึงต้องอาศัยการมองตลาดที่เฉียบขาด  และทำเลทองของโครงการ     “การเปิดอาคารสำนักงานเพิ่มมากขึ้น ทำให้ผู้เช่ามีทางเลือกมากยิ่งขึ้น ทั้งทางเลือกด้านทำเล สิ่งอำนวยความสะดวก รวมไปถึงการให้บริการภายในอาคาร และยิ่งส่งผลดีอย่างมากกับกลุ่มผู้เช่าที่เป็นต่างชาติ (Multi-National Corporation หรือ MNC) เนื่องจากลูกค้ากลุ่มนี้ เป็นบริษัทข้ามชาติที่เข้ามาในไทย ซึ่งต้องคำนึงถึงภาพลักษณ์ที่ดีขององค์กร การเช่าอาคารสำนักงานเกรด A ใหม่ๆ ที่สวยงาม อยู่บนทำเลทอง จะเป็นการเสริมภาพลักษณ์ที่ดีให้กับลูกค้าหรือคู่ค้าของบริษัทนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี  การเพิ่มขึ้นของซัพพลายใหม่อย่างรวดเร็วนี้ ส่งผลให้ตลาดตื่นตัวมากขึ้นและทำให้เจ้าของอาคารเดิม ต้องหันมาใส่ใจกับอาคารของตนเองให้มาก ซึ่งก็ถือเป็นกำไรของผู้บริโภคนั่นเอง”  
BAM เตรียมขาย IPO 1,535 ล้านหุ้น  หลังก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง

BAM เตรียมขาย IPO 1,535 ล้านหุ้น หลังก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง

BAM และกองทุนฟื้นฟูฯ เตรียมเสนอขาย IPO 1,535 ล้านหุ้น หลัง ก.ล.ต. นับหนึ่งไฟลิ่ง ชูจุดเด่นบริษัทบริหารสินทรัพย์ใหญ่ที่สุดของประเทศ พร้อมสร้างโอกาสทางธุรกิจในทุกภาวะเศรษฐกิจ  นายสมพร มูลศรีแก้ว กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชน (IPO) ปัจจุบันสำนักงาน ก.ล.ต. ได้นับหนึ่งแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบไฟลิ่งแล้วเมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2562 ที่ผ่านมา   BAM เชื่อมั่นในศักยภาพ และจุดแข็งของบริษัท  ซึ่งเป็นบริษัทบริหารสินทรัพย์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศ  มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 20 ปี มีแหล่งเงินทุนที่หลากหลาย ผลประกอบการที่แข็งแกร่ง โดยในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีกำไรสุทธิต่อเนื่องปีละกว่า 4,500 ล้านบาท มีสินทรัพย์เติบโตเฉลี่ย 7% ต่อปี มีเครือข่ายทั่วประเทศมากที่สุดรวม 26 แห่ง ปัจจัยที่สำคัญคือ ธุรกิจบริหารสินทรัพย์สามารถสร้างโอกาสในทุกภาวะเศรษฐกิจกล่าวคือในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัว สถาบันการเงินส่วนใหญ่จะมีหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs)  มากขึ้น ส่งผลให้บริษัทสามารถเลือกซื้อ NPLs ได้ในราคาที่สร้างผลตอบแทนที่ดีมากขึ้น ในช่วงภาวะเศรษฐกิจแข็งแกร่ง ลูกหนี้ของบริษัทมีศักยภาพในการชำระหนี้ ลูกค้ามีกำลังซื้อทรัพย์สินรอการขาย (NPAs)   นายพงศ์ศักดิ์ พฤกษ์ไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมา ผู้บริหาร BAM ได้เดินสายโรดโชว์ กับนักลงทุนสถาบันทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น ฮ่องกง สิงคโปร์ อังกฤษ สหรัฐอเมริกา และเบื้องต้นได้รับการตอบรับที่ดี ซึ่งสะท้อนถึงความมั่นใจในพื้นฐานทางธุรกิจของ BAM รูปแบบทางธุรกิจที่สร้างโอกาสทางธุรกิจในทุกภาวะเศรษฐกิจ และมีการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่องสำหรับผลประกอบการในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา นางสาวสุธางค์ คนศิลป กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด กล่าวว่า หุ้นที่เสนอขายประกอบด้วย หุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 280 ล้านหุ้น หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (กองทุนฟื้นฟูฯ) จำนวนไม่เกิน 1,255 ล้านหุ้น และอาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน (Greenshoe) จำนวนไม่เกิน 230 ล้านหุ้น รวมทั้งสิ้นจำนวนไม่เกิน 1,765 ล้านหุ้น คิดเป็น 54.4% ของจำนวนหุ้นที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัท ภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ (หากมีการใช้สิทธิซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนจากบริษัทฯ ทั้งจำนวน) โดย BAM จะนำเงินจากการระดมทุนไปขยายธุรกิจโดยซื้อสินทรัพย์ด้อยคุณภาพและทรัพย์สินรอการขายในอนาคต ชำระคืนเงินกู้จาก   สถาบันการเงิน และ/หรือชำระหุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัทฯ และ/หรือตั๋วเงินจ่ายที่ถึงกำหนด และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน ทั้งนี้ การออกและเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้มีบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายในประเทศไทย   ปัจจุบัน BAM มีทุนจดทะเบียน 16,225 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ 3,245 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 5 บาท และมีทุนที่ออกและชำระแล้ว 13,675 ล้านบาท  โดยมีกองทุนฟื้นฟูฯ ถือหุ้น 99.99%  
รวมโปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2562

รวมโปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2562

"รวมโปรโมชั่นบ้าน-คอนโด เดือนตุลาคม-พฤศจิกายน 2562"  ยิ่งปลายปีอย่างนี้ก็ยิ่งมีโปรโมชั่นออกมาให้ผู้บริโภคเลือกกันมากมาย โดยเฉพาะโครงการที่พร้อมอยู่แล้ว เราก็สามารถไปชมถึงสถานที่จริงกันได้เลย ใครที่ยังลังเลอยู่ อย่ารอช้าค่ะ     Origin Freedom Deal เอาใจผู้บริโภค ผ่อนคุ้มล้านละ 3,000 บาท นาน 2 ปี ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จัดแคมเปญ “Origin Freedom Deal” ให้ลูกค้าผ่อนคุ้มกว่าเช่า เพียงล้านละ 3,000 บาทต่อเดือน ต่อวงเงินสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติจำนวน 1 ล้านบาท นาน 2 ปี* โดยมีคอนโดแนวรถไฟฟ้าเข้าร่วมแคมเปญถึง 6 โครงการ ได้แก่ ไนท์บริดจ์ พหลโยธิน อินเตอร์เชนจ์, เคนซิงตัน สุขุมวิท–เทพารักษ์, นอตติ้ง ฮิลล์ สุขุมวิท-แพรกษา, นอตติ้ง ฮิลล์ สุขุมวิท 105, บีลอฟท์ สุขุมวิท 107, บี ลอฟท์ ไลท์ สุขุมวิท 115 พร้อมรับสิทธิ์ฟรีทุกค่าใช้จ่าย* อาทิ ค่าส่วนกลางฟรี 1 ปี ฟรีค่าโอนกรรมสิทธิ์ หากยื่นขอสินเชื่อผ่านและโอนกรรมสิทธิ์ในระยะเวลาที่กำหนด พร้อมค่าตกแต่งอีก 100,000บาท มาแต่ตัว เข้าอยู่ได้เลย! พิเศษ!!! รับ ส่วนลดสูงสุดถึง 300,000 บาท ตั้งแต่วันนี้จนถึง 15 พฤศจิกายน 2562 นี้   บ้านเดี่ยวเอพี จัดแคมเปญพิเศษ ‘ไฮบริด บ้านนวัตกรรมที่คุณเลือกได้’ ครั้งแรกกับแพ็คเกจนวัตกรรมล้ำสมัย มูลค่าสูงสุด 5 ล้านบาท  เอพี (ไทยแลนด์) จัดแคมเปญ ‘Hybrid Living–ไฮบริด บ้านนวัตกรรมที่คุณเลือกได้’ นับเป็นแคมเปญพิเศษ ที่เอพีได้จัดขึ้นสำหรับลูกค้าครอบครัวคนเมืองรุ่นใหม่ ที่กำลังมองหาบ้านเดี่ยวทั้งโครงการใหม่ และบ้านเดี่ยวพร้อมอยู่ โดยเราได้รวบรวมโครงการบ้านเดี่ยวในเครือเอพี ภายใต้แบรนด์ CENTRO, THE CITY, MIND และ THE PALAZZO รวมทั้งสิ้น 8 โครงการใหม่ และบ้านเดี่ยวพร้อมอยู่กว่า 25 โครงการในสุดยอดทำเลศักยภาพ โดยนอกจากไฮไลท์พิเศษ แพ็คเกจนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัยที่ดีที่สุด รวมมูลค่าสูงสุดกว่า 5 ล้านบาท เรายังเตรียมมอบที่สุดแห่งข้อเสนอ อาทิ คัดสรรบ้านแปลงพิเศษที่ดีที่สุด แพ็คเกจราคาพิเศษที่สุด ราคาเริ่มต้น 4.99–60 ล้านบาท และ ส่วนลดเพิ่มเติมอื่นๆ อีกมากมาย สำหรับลูกค้าที่ทำการจองซื้อและโอนกรรมสิทธิ์ภายในวันที่ 27 ธันวาคม 2562 เท่านั้น   แสนสิริ เร่งเครื่องอสังหาฯไตรมาส 4 เปิดตัวแคมเปญ “รับมโหฬาร 20 เท่า” ซื้อตอนนี้รับคืน 20 เท่าของมูลค่าเงินจอง สูงสุด 5 ล้านบาท ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และดีคอนโดพร้อมอยู่รวม 43 โครงการทั่วประเทศ ในราคาเริ่มต้น 1.79–30 ล้านบาท พบโปรโมชั่นสุดคุ้มที่คัดมาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่มด้วยโปรโมชั่นเงินสดเพื่อการย้ายเข้าอยู่บ้านหลังใหม่ พร้อมโปรโมชั่น ฟรี! ค่าใช้จ่ายวันโอนกรรมสิทธิ์  ฟรี! เครื่องใช้ไฟฟ้า ฟรี! เฟอร์นิเจอร์ และฟรี! แอร์ทั้งหลัง ตอบรับเรียลดีมานด์ ผนึกสถาบันการเงินมอบอัตราดอกเบี้ย อาทิ ผ่อนต่ำล้านละ 1,000 บาท อัตราดอกเบี้ยเพียง 0.75% นาน 1 ปี หรือ ผ่อนต่ำล้านละ 2,800 บาท อัตราดอกเบี้ยเพียง  1.88% คงที่นาน 2 ปี พิเศษเฉพาะลูกบ้านแสนสิริที่โอนกรรมสิทธิ์ภายในปี 2562 นี้เท่านั้น   จอง 5,000 ฟรี 5 อย่าง* ยกขบวน 7 คอนโดฯ จัดเต็ม! สูงสุดเกือบ 500,000 บาท 7 คอนโดฯคุณภาพพร้อมอยู่ใน 7 ทำเลเด่นกรุงเทพฯและหัวหิน เริ่มต้น 2.19 ลบ. รับเต็มๆเครื่องใช้ไฟฟ้า 5 อย่าง ฟรี! ค่าส่วนกลางสูงสุด 5 ปี ฟรี! ค่าโอนและทำสัญญา ฟรี! Moving Package พร้อมข้อเสนอมากมาย รวมมูลค่าสูงสุดเกือบ 500,000 บาท พร้อมรับเพิ่มอีกต่อกับโปรโมชั่นจากแต่ละโครงการสูงสุด 600,000 บาท ตั้งแต่วันนี้ -15 ธ.ค.2562 ได้แก่ เดอะ ไลน์ วงศ์สว่าง, เดอะ ไลน์ สุขุมวิท 101, เดอะ ไลน์ พหลฯ-ประดิพัทธิ์, เดอะ เบส สุขุมวิท 50, เดอะ เบส เพชรเกษม, ทากะ เฮาส์ และ ลา กาซิต้า คอนโดตากอากาศสไตล์สแปนิชใจกลางหัวหิน   ANANDA BigDeal โปรโมชั่นผ่อนล้านละ 1,000 บาท/เดือน เฉพาะลูกค้าที่ขอสินเชื่อบ้านกับธนาคารกรุงไทย ฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน (โปรโมชั่นอื่นๆ แตกต่างกันไปแล้วแต่โครงการ) ตั้งแต่วันที่ 4 ตุลาคม–20 ธันวาคม 2562   ไอดีโอ โมบิ อโศก ไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท 66 ไอดีโอ ท่าพระ อินเตอร์เชนจ์ ไอดีโอ พหลโยธิน-จตุจักร ไอดีโอ สุขุมวิท 93 ไอดีโอ โมบิ วงศ์สว่าง-อินเตอร์เชนจ์ ไอดีโอ โมบิ บางซื่อ แกรนด์ อินเตอร์เชนจ์ ไอดีโอ โอทู ไอดีโอ พระรามเก้าตัดใหม่ เอลลิโอ เดล มอสส์  พหลโยธิน 34   Assetwise ลดจริงไม่มีหลอก ลดสูงสุด 1,000,000 บาท Assetwise จัดโปรลดจริงถึง 11 โครงการ ลดสูงสุด 1,000,000 บาท ราคาเริ่มต้น 1.39 ล้านบาท ตั้งวันที่ 1-31 ตุลาคม 2562 นี้เท่านั้น   H2 Condo รามอินทรา 21 Modiz Condo Sation พหลโยธิน Brown Condo พหลโยธิน 67 Wynn Condo พหลโยธิน 52 Episode Condo พหลฯ-สะพานใหม่ Modiz Condo รัชดา 32 Wynn Condo ลาดพร้าว-โชคชัย 4 Brown Condo รัชดา 32 Brown รัชดา-ห้วยขวาง Kave Town Condo ม.กรุงเทพ รังสิต     ถูกที่ ถูกเวลา ในราคาที่ถูกกว่า LPN จัดโปรโมชั่นคอนโดลุมพินี 10 โครงการ และ บ้านลุมพินี 7 โครงการ ในราคาเริ่มต้นเพียง 999,000 บาท*   ลุมพินี วิลล์ พระนั่งเกล้า-ริเวอร์วิว ราคาเริ่ม 999,000 บาท* ลุมพินี วิลล์ ราษฎร์บูรณะ-ริเวอร์วิว 2 ราคาเริ่ม 1.23 ล้าน* ลุมพินี วิลล์ สุขุมวิท 76-แบริ่ง สเตชั่น ราคาเริ่ม 1.36 ล้าน* ลุมพินี วิลล์ ราชพฤกษ์-บางแวก ราคาเริ่ม 1.24 ล้าน* ลุมพินี พาร์ค เพชรเกษม 98 (2) ราคาเริ่ม 1.29 ล้าน* ลุมพินี วิลล์ นาเกลือ-วงศ์อมาตย์ ราคาเริ่ม 1.90 ล้าน* ลุมพินี ซีวิว ชะอำ (B) ราคาเริ่ม 1.02 ล้าน* ลุมพินี พาร์คบีช จอมทียน ราคาเริ่ม 2.83 ล้าน* ลุมพินี สวีท เพชรบุรี-มักกะสัน ราคาเริ่ม 2.99 ล้าน* ลุมพินี สวีท ดินแดง-ราชปรารภ ราคาเริ่ม 2.99 ล้าน*   บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ลาดปลาดุก–บางไผ่สเตชั่น ราคาเริ่ม 1.74 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ รังสิต-คลอง 2 เฟส 1 ราคาเริ่ม 1.79 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ รังสิต-คลอง 2 เฟส 2 ราคาเริ่ม 1.20 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ เพิ่มสิน–วัชรพล ราคาเริ่ม 2.75 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า เฟส 2.1 ราคาเริ่ม 2.69 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์วิลล์ ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า เฟส 2.2 ราคาเริ่ม 4.79 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์เพลส พระราม 2–ท่าข้าม ราคาเริ่ม 5.89 ล้าน* บ้านลุมพินี ทาวน์พาร์ค ท่าข้าม-พระราม 2 ราคาเริ่ม 3.70 ล้าน* บ้านลุมพินี สวนหลวง ร.๙ ราคาเริ่ม 10.70 ล้าน*   จองคอนโด Go JAPAN ยกขบวน 13 คอนโดฯ ทำเลใกล้รถไฟฟ้า มาจักแคมเปญ จองคอนโด Go JAPAN บินฟรี พักฟรี ไม่ต้องลุ้น รับแพคเกจทัวร์กรุงเทพฯ-ฮอกไกโด พร้อมที่พัก 5 วัน 3 คืน ฟรี 2 ท่าน   จอง 999 บาท ทุกห้อง ทุกขนาด กู้เต็ม 100%* ผ่อนต่ำล้านละ 3,000 บาท นาน 3 ปี* ฟรีค่าใช้จ่าย 6 รายการ* และลดสูงสุด 1 ล้านบาท*  ในราคาเริ่มต้น 1.69 ล้านบาท วันนี้-20 พ.ย. 62        
6 วิธีเลี่ยงปัญหาฝุ่น อันตรายที่แฝงตัวอยู่ภายในบ้าน

6 วิธีเลี่ยงปัญหาฝุ่น อันตรายที่แฝงตัวอยู่ภายในบ้าน

ปัญหาฝุ่น PM2.5 กลับมากวนใจและสร้างปัญหาสุขภาพให้คนไทยอีกครั้งแล้ว จากการรายงานของกรมควบคุมมลพิษล่าสุด  เมื่อเวลา 12.00 น. ของวันที่ 23 ตุลาคม 2562 ดังนี้   ปริมาณฝุ่นละออง PM2.5 ตรวจวัดได้ระหว่าง 27-57 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เกินเกณฑ์มาตรฐาน 8 สถานี (ค่ามาตรฐานไม่เกิน 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร) ได้แก่   -บริเวณริมถนนกาญจนาภิเษก -ริมถนนลาดพร้าว -ริมถนนพระราม3-เจริญกรุง -ริมถนนเพชรเกษม -ริมถนนจรัญสนิทวงศ์ -เขตบางซื่อ -เขตหลักสี่ -บริเวณตำบลปากน้ำ อำเภอเมือง จังหวัดสมุทรปราการ   บริเวณต่างๆ ดังกล่าว มีคุณภาพอากาศอยู่ในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ  ซึ่งปริมาณฝุ่นละอองในภาพรวมมีแนวโน้มลดลงจากช่วงเวลาก่อนหน้าเกือบทุกพื้นที่ เนื่องจากสภาพอากาศวันนี้ใน พื้นที่ กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีเมฆบางส่วน ประกอบกับมีฝนฟ้าคะนอง 10% ของพื้นที่ ซึ่งเป็นส่วนช่วยให้ฝุ่นละอองเจือจางลง   คำแนะนำสำหรับประชาชนกลุ่มเสี่ยงในพื้นที่ฝุ่นละอองเกินมาตรฐาน ควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้ง หากจำเป็นต้องออกนอกบ้านเป็นเวลานาน ควรสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันฝุ่นละออง   อันตรายของ PM 2.5 นั้น สามารถทำให้เสียชีวิตได้ก่อนวัยอันควร และยังมีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเรื้อรัง เช่น โรคหลอดเลือดในสมอง โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคมะเร็งปอด โรคหัวใจขาดเลือด  และโรคติดเชื้อเฉียบพลันในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง   แต่แม้ว่าเราจะอยู่ภายในบ้าน ปัญหาฝุ่นอาจจะเข้ามาสร้างปัญหากับสุขภาพเราได้เช่นกัน ดังนั้นจึงควร ต้องเตรียมตัวตั้งรับ ด้วยการดูแลตัวเราเอง  และทำให้สิ่งแวดล้อมภายในบ้านและรอบๆ ตัวดีขึ้นด้วย แต่ถ้าต้องไปปฏิบัติงานหรือทำกิจกรรมกลางแจ้ง ควรสวมหน้ากากที่สามารถป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “หน้ากาก N95” สำหรับการพักอาศัยอยู่ในบ้าน หรือห้องพัก เรามีคำแนะนำและวิธีสำหรับป้องกันอันตรายจากฝุ่น PM2.5 มาเป็นแนวทางการปฏิบัติ กับ 6 วิธี เลี่ยงปัญหาฝุ่นในบ้าน 1.หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดฝุ่นหรือควัน ประเภทจุดธูปจุดเทียน  หรือจุดอโรมาทั้งหลาย ถ้าไม่จำเป็นควรงดไปก่อน 2.หมั่นทำความสะอาดบ้าน เช็คล้างอุปกรณ์ข้าวของเครื่องใช้ ไม่ให้ฝุ่นจับตัว ควรทำอย่างสม่ำเสมอ 3.ปิดประตูหน้าต่างให้สนิท ช่วยลดปริมาณฝุ่นละอองเข้ามาภายในบ้าน  เลือกเปิดแอร์โดยใช้ระบบอากาศหมุนเวียนอากาศจากภายในบ้านแทนการดึงอากาศมาจากภายนอก  และตรวจทำความสะดวกระบบกรองอากาศอย่างสม่ำเสมอ 4.เปิดเครื่องฟอกอากาศที่ตอนนี้มีออกมารองรับปัญหานี้มากมาย 5.ปลูกต้นไม้ภายในบ้านก็ช่วยได้ เพราะการรดน้ำต้นไม้เป็นการช่วยลดฝุ่นได้อีกทางหนึ่ง 6.การปรับปรุงต่อเติมบ้าน เจ้าของบ้านควรเลือกใช้วัสดุที่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ การเลือกผนังและฝ้าเพดานที่มีคุณภาพจะช่วยลดปัญหาฝุ่นละอองภายในบ้านได้ นอกจากการป้องกันตัวเองจากปัญหา ฝุ่นที่จะเกิดขึ้นแล้ว  ทุกคนคงต้องร่วมมือกัน ไม่สร้างปัญหาหรือทำให้เกิดปัญหาฝุ่นขึ้นเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าปัญหาการเกิดฝุ่นส่วนใหญ่จะเกิดจากภาคอุตสาหกรรม หรือการคมนาคมขนส่งก็ตาม    
เปิด 8 กลยุทธ์ ปั้น “เซ็นจูรี่” จับตลาด Gen Z

เปิด 8 กลยุทธ์ ปั้น “เซ็นจูรี่” จับตลาด Gen Z

เดี๋ยวนี้ศูนย์การค้า หรือคอมมูนิตี้มอลล์ จะพัฒนาออกมาโดยขาดคอนเซ็ปต์ หรือจุดขาย คงยากจะประสบความสำเร็จ ในการดึงคนให้เข้าไปใช้บริการ   เพราะไปตรงไหนก็มีพื้นที่ให้คนได้เข้าไปสร้างประสบการณ์อยู่ทุกมุมเมือง ยิ่งกลุ่มเป้าหมายเป็นคนรุ่นใหม่ พวก Gen Z ด้วยแล้ว เขาต้องการอะไรที่แปลกใหม่ และดึงดูดใจพวกเขาพอสมควร ดีเวลลอปเปอร์ต้อง “คิด” และ “ทำการบ้าน” แก้โจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าออกมาให้ได้ และตอบสนองพวกเข้าอย่างเต็มที่   สำหรับคอมมูนิตี้มอลล์ อย่างแบรนด์ “เซ็นจูรี่” ซึ่งแม้จะไม่ใช่ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ และมีจำนวนสาขามากมายเมื่อเทียบกับดีเวลลอปเปอร์เจ้าตลาด แต่ก็ถือว่าเป็นศูนย์การค้าที่บรรดากลุ่มคน Gen Z ให้ความนิยมไปเดินเล่น ใช้ชีวิตประจำวัน และใช้บริการต่างๆ ภายในศูนย์การค้า เฉลี่ยต่อวันมากกว่า 30,000 คน หรือเดือนละกว่า 1 ล้านคนเลยทีเดียว ในเซ็นจูรี่ เดอะมูฟวี่ พลาซ่า สุขุมวิท ซึ่งเปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2561  ที่ถือเป็น 1 ใน 2 สาขาของเครือเซ็นจูรี่      “เซ็นจูรี่ เดอะมูฟวี่ พลาซ่า สุขุมวิท” เป็นโครงการมิกซ์ยูสที่มีสินค้าและบริการ  ตอบทุกความต้องการและไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี  บนพื้นที่กว่า 6 ไร่ มีขนาดพื้นที่ของโครงการกว่า 70,000 ตารางเมตร พื้นที่พลาซ่า 42,000 ตารางเมตร และมีพื้นที่ให้เช่า10,000 ตารางเมตร เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 2561 เป็นโครงการที่ 2 ต่อยอดความสำเร็จจากโครงการแรก ที่ “เซ็นจูรี่ เดอะมูฟวี่  อนุสาวรีย์”  ซึ่งเปิดบริการมาตั้งแต่ปี 2548   นางชาลินี เจริญสุข ประธานฝ่ายบริหาร ศูนย์การค้าและโรงภาพยนตร์ เซ็นจูรี่ เดอะมูฟวี่ พลาซ่า  เล่าว่า ได้กำหนดให้แบรนด์เซ็นจูรี่  เป็น “ไลฟ์ไตล์ มอลล์”  ที่มีโรงภาพยนตร์เป็นของตัวเอง เพื่อตอบโจทย์คนยุคใหม่ Gen Z  ที่ต้องการความรวดเร็ว การไม่ได้พูดเกินความจริง  ปัจจุบันมีผู้เข้ามาใช้บริการภายในศูนย์การค้าวันละ 30,000 คน ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มเป้าหมาย ทั้งกลุ่มคนรุ่นใหม่และผู้เริ่มต้นทำงาน     ความสำเร็จของแบรนด์เซ็นจูรี่ เกิดจากปัจจัยความสำเร็จต่างๆ ที่เป็น 8 กลยุทธ์สำคัญ  ได้แก่ 1.ทำเลติดรถไฟฟ้า “เซ็นจูรี่” ทั้ง 2 สาขา ตั้งอยู่ใกล้รถไฟฟ้า ซึ่งลูกค้าสามารถเดินทางเข้าศูนย์การค้าได้โดยสะดวก มีทางเชื่อมต่อเข้าไปยังศูนย์การค้า ถือเป็นหัวใจสำคัญ ของความสำเร็จเบื้องต้น เพราะหากการเดินทางมายังศูนย์การค้าได้สะดวก ก็จะทำให้คนนิยมเดินทางมาใช้บริการ 2.เข้าใจไลฟ์สไตล์กลุ่มเป้าหมาย   กลุ่มเป้าหมายหลักของ “เซ็นจูรี่” คือ กลุ่มเริ่มต้นวัยทำงาน และกลุ่ม Gen Z ซึ่งมีพฤติกรรมที่เปิดกว้างทางความคิดและวัฒนธรรมที่แตกต่าง  มีแนวโน้มที่จะปรับทัศนคติได้ดี  มีความกล้าแสดงออก ชอบโชว์ มีความมั่นใจสูง ชอบทำงานหลายอย่างพร้อมกัน     ดังนั้นการสื่อสารการตลาด จึงใช้สื่อออนไลน์เป็นหลัก ทั้งเว็บไซต์ และโซเชี่ยลมีเดีย ไม่เพียงแต่ใช้ด้านการสื่อสารการตลาด แต่ยังจัดเก็บข้อมูล เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าด้วย 3.ราคา สบายกระเป๋า ปัจจุบัน “ไลฟ์สไตล์ มอลล์” หรือผู้ให้บริการโรงภาพยนตร์ มีอยู่จำนวนมากและตั้งอยู่ในทุกโลเกชั่น การสร้างความแตกต่างของ “เซ็นจูรี่” คือ การใช้กลยุทธ์ ความคุ้มค่า  อาทิ  Member Card บัตรสำหรับคนรักหนัง ที่มีส่วนลดและสิทธิพิเศษต่างๆ  และ Century Student Card สำหรับกลุ่มนักเรียน นักศึกษา อายุไม่เกิน 25 ปี 4.ปรับรูปแบบการขายให้โดนใจ เนื่องจากกลุ่ม Gen Z ชอบรวมกลุ่มจัดกิจกรรม แต่มักจะเลือกสถานที่จัดงานที่มีความแตกต่าง โรงภาพยนตร์ก็เป็นหนึ่งในทางเลือกของพวกเขาเหล่านั้น  ซึ่งทางเซ็นจูรี่จึงเปิดให้บริการเช่าโรงภาพยนตร์แบบเหมารอบได้ พร้อมด้วยการบริการอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ ด้วย  ปัจจุบันบริษัทมีรายได้จากการเช่าเหมาโรง สัดส่วน 20% 5.จัดโปรฯ ต่อเนื่อง อีกกลยุทธ์หนึ่งที่ต่อยอดเรื่องความคุ้มค่า คือ การจัดโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการในราคาที่คุ้มค่า และกระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง อาทิ โปรฯ ใจบุญ  ทุกวันพระ ซื้อตั๋ว 2 ใบได้รับแถม 1 ใบ หรือโปรฯ หลบฝน หากเกิดฝนตก จะลดค่าตั๋วให้ 50%  เป็นต้น 6.กิจกรรมเอาใจ Gen Z   เพื่อให้ผู้ใช้บริการในศูนย์การค้าได้รับประสบการณ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้มีการกิจกรรมเกิดขึ้นภายในศูนย์การค้าอย่างต่อเนื่อง  ซึ่งเซ็นจูรี่จะกิจกรรมออนไลน์  ด้วยการไลฟ์สดทุกวันพุธ และยังจัดกิจกรรมอื่นๆ ด้วย อย่างล่าสุดการแข่งขัน Century Cover Dance 2019 ครั้งที่ 2  เพื่อเปิดเวทีและโอกาสให้น้องๆ เยาวชน ได้มีเวทีแสดงความสามารถ ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ และเพื่อให้เยาวชนหันมาสนใจด้านการแสดงออก 7.เพิ่มพื้นที่ตลาดไนท์มาร์เก็ต สร้างสีสัน แม้ว่าปัจจุบันการขายสินค้า เทรนด์จะเปลี่ยนไปสู่ตลาดออนไลน์ แต่ก็ต้องยอมรับว่าลูกค้าส่วนใหญ่ ยังต้องการการเห็นสินค้าของจริง การมีหน้าร้านจึงยังเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพ่อค้าแม่ค้าในยุคปัจจุบัน เซ็นจูรี่จึงเชื่อมโลกทั้งสองเข้าไว้ด้วยกัน ผ่านกลยุทธ์ O2O (Online to Offline)  โดยเปิดพื้นที่ “ไนท์มาร์เก็ต” ให้บริการตั้งแต่เวลา 17.00 เป็นต้นไป  ให้เป็นแหล่งช้อปปิ้งย่านสุขุมวิท ที่รวบรวบสินค้าต่างๆ ไว้มากมาย 8.บริการครบ จบในที่เดียว ไลฟ์สไตล์ของคนยุคปัจจุบัน นอกจากต้องการได้รับบริการที่สะดวกและรวดเร็วแล้ว  การได้รับบริการที่ครบ จบในที่เดียว ก็เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการ  ทำให้เซ็นจูรี่มีให้บริการมากกว่าโรงภาพยนตร์  โดยมีทั้งท็อปซุปเปอร์มาร์เก็ต เพาเวอร์บาย  ฟู้ดคอร์ท ธนาคาร  โรงเรียนกวดวิชา ซาลอน  และอื่นๆ เพราะต้องการให้ลูกค้ามาใช้บริการได้ทุกวัน “ยุคนี้คนส่วนใหญ่ทำอะไรด้วยความรวดเร็ว และต้องเข้าถึงง่าย การไปศูนย์การค้า ยกตัวอย่าง มาที่นี่ ไม่เกินสิบนาที ต้องทำทุกอย่างได้เสร็จ  ซื้อกาแฟ  ของใช้ส่วนตัว แล้วไปต่อ  หรือระหว่างวัน จะมาทานอาหาร ทำเล็บ ทำผม หรือออกกำลังกาย ทำได้ครบหมด”   และนี่คงคือ 8 ปัจจัยความสำเร็จ ที่ได้ถูกวางเอาไว้เพื่อให้ “เซ็นจูรี่” สามารถยืนหยัดต่อสู้กับสมรภูมิค้าปลีก ซึ่งปัจจุบันมีพื้นที่ค้าปลีกกระจายอยู่ทั่วทุกมุมเมือง เพราะการเดินทางโดยรถไฟฟ้าที่สะดวก และขยายออกไปทุกพื้นที่ของกรุงเทพฯ​ และปริมณฑล  แต่การบริหารศูนย์การค้ายุคปัจจุบันจะยั่งยืนแค่ไหน  คงต้องมีปัจจัยความสำเร็จอื่นๆ มาเพิ่ม รวมถึงการทำตลาดและพัฒนาศูนย์การค้าอย่างไม่หยุดยั้งด้วย
เปิดแผนธุรกิจ “คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้” ก่อนสู่มหาชน

เปิดแผนธุรกิจ “คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้” ก่อนสู่มหาชน

เปิดแผยธุรกิจ "คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้" เดินหน้าปั้นโปรเจ็กต์คอนโดฯ ปีละ 2,000-2,500 ล้าน ก่อนนำบริษัทสู่ตลาดหลักทรัพย์  ระดมทุนพัฒนาโครงการทั้งแนวราบ-แนวสูง   บริษัท คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เริ่มต้นธุรกิจมาตั้งแต่ช่วงปี 2533 เดิมใช้ชื่อบริษัท ธันยธร จำกัด  โดย 2 นักธุรกิจ อย่างนายภูมินทร์ ปิยะวานิชย์ และนายวิชิต อำนวยรักษ์สกุล ที่มองเห็นการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัย สำหรับคนเมือง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมซึ่งมีความต้องการสูงอย่างต่อเนื่อง  ประกอบกับมีที่ดินถืออยู่ในมือหลายแปลง และแต่ละแปลงก็มีศักยภาพในการพัฒนาโครงการ   แต่ในช่วงปี 2540 ได้หยุดดำเนินธุรกิจไประยะหนึ่ง เนื่องจากเกิดปัญหาวิกฤษเศรษฐกิจทำ จนกระทั่งปี 2554 ได้กลับมาพัฒนาโครงการใหม่อีกครั้ง ภายใต้ชื่อ The Cube Condominium (เดอะ คิวบ์ คอนโดมิเนียม) ซึ่งจดทะเบียนบริษัทใหม่เป็น “คิวป์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้” จนปัจจุบันมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว 11 โครงการและยังมีอีกหลายโครงการ ที่กำลังจะเปิดตัวอีกในอนาคตอันใกล้     ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 165 ล้านบาท ต้นปี 2563 มีแผนเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 225 ล้านบาท หลังจากนั้น จะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แปลงสภาพจากบริษัทจำกัด สู่การเป็นบริษัทมหาชน  โดยวางแผนเพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 300 ล้านบาท เป้าหมายสำคัญในการระดมทุน คือ การนำเงินมาต่อยอดและพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง   The Cube ปั้นโปรเจ็กต์ปีละ2,500ล้าน   นายวิชิต  อำนวยรักษ์สกุล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท คิวบ์ เรียล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด  แนวทางการพัฒนาโครงการในแต่ละปีนั้น บริษัทกำหนดกรอบการพัฒนาไว้ 4-6 โครงการมูลค่าประมาณ​2,000-2,500 ล้านบาท แต่ละโครงการจะมีจำนวนยูนิตเฉลี่ย 300 ยูนิต มีมูลค่าโครงการประมาณ 600-700 ล้านบาท บริษัทไม่เน้นการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่หลัก 1,000-2,000 ล้านบาท เนื่องจากเน้นกระจายความเสี่ยง และไม่ให้ธุรกิจมีความเสี่ยงมากเกินไป  โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการคอนโดฯ เป็นหลักด้วยสัดส่วน 80-85%   สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปีนี้ ได้เปิดตัวโครงการคอนโดฯ 4 โครงการรวมมูลค่า 2,500 ล้านบาท ได้แก่ โครงการ The Cube North แจ้งวัฒนะ 12 The Cube South แจ้งวัฒนะ 15/1  โครงการล่าสุดThe Cube Loft ศรีนครินทร์-เทพารักษ์ บนเนื้อที่กว่า 2 ไร่ มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท  ส่วนโครงการสุดท้ายของปีนี้ จะเปิดโครงการรูปแบบโฮมออฟฟิศ  ภายใต้แบรด์ “เดย์ส รามอินทรา-วัชรพล” ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 9 ไร่  จำนวน 76 ยูนิต ราคา 7-9 ล้านบาท  มูลค่าโครงการ  700 ล้านบาท   The Cube เตรียมปั้นโครงการไฮไลท์   สำหรับแผนธุรกิจในปี 2563 บริษัทเตรียมนำเอาที่ดินซึ่งมีอยู่ 3 แปลง  ซึ่งเป็นทำเลตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า มาพัฒนาโครงการคอนโดฯ​ อย่างต่อเนื่อง เป็นโครงการโลว์ไรซ์ ประมาณ 300 ยูนิต มูลค่าโครงการละ 600-700 ล้านบาท  ขณะเดียวกันยังมองหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการแนวราบด้วย  ซึ่งจะพัฒนาโครงการทาวน์โฮมระดับราคาประมาณ 3 ล้านบาท     ในปีหน้าบริษัทคาดว่าจะมียอดรับรู้รายได้ 1,600-1,700 ล้านบาท มียอดขาย ซึ่งมีโครงการอยู่ระหว่างการก่อสร้างและกำหนดแล้วเสร็จในปีหน้า ได้แก่ The Cube Loft นวลจันทร์ The Cube Loft ลาดพร้าว 107 The Cube North แจ้งวัฒนะ 12 และ The Cube  สาทร-จันทร์ 56   ส่วนในปี 2562 บริษัทน่าจะทำยอดขายได้ 1,800 ล้านบาท ต่ำกว่าที่วางป้าหมายว่าจะทำยอดขายได้ 2,000 ล้านบาท เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวม และภาวะตลาดคอนโดฯ ที่ชะลอตัว ปัจจุบันรับรู้รายได้แล้ว 1,200 ล้านบาท   โดยในปีหน้าหากสามารถนำบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์  ได้ตามแผนที่วางไว้ บริษัทจะพัฒนาโครงการแนวสูง หรือไฮไลท์เข้ามาในพอร์ต จากที่ผ่านมาไม่เคยพัฒนามาก่อน เพื่อขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ และเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้มากขึ้น
สิงห์ เอสเตท ส่ง SHR ระดมทุน หาเงินเพิ่มโรงแรม 2 เท่าตัว

สิงห์ เอสเตท ส่ง SHR ระดมทุน หาเงินเพิ่มโรงแรม 2 เท่าตัว

สิงห์ เอสเตท ส่งบริษัทในเครือ “เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท” ขายหุ้น IPO ราคาประมาณ 5.1-5.5 บาทต่อหุ้น เตรียมหาเงินมาต่อยอดธุรกิจโรงแรม เดินหน้า 5 ปีเพิ่นขึ้นเป็น​ 2 เท่า   นายนริศ เชยกลิ่น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้นำบริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ ซึ่งดำเนินธุรกิจโรงแรม  เตรียมเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวนไม่เกิน 1,473.456 ล้านหุ้น  กำหนดราคาขาย 5.10-5.50 บาทต่อหุ้น  โดยจะขายให้แก้ผู้ถือหุ้นของบริษัทเฉพาะกลุ่มที่มีสิทธิได้รับจัดสรรหุ้น ระหว่างวันที่ 28-30 ตุลาคม  และประชาชนทั่วไปในวันที่ 1-5 พฤศจิกายนนี้   “กลุ่มโรงแรมมีศักยภาพเติบโตสูง จากการนำเอาโรงแรมที่ดีเข้ามา ตอนนี้ก็ดูอยู่หลายโรงแรม แต่เงินของเรามีค่อนข้างจำกัด ไม่อยากให้ผู้ถือหุ้นเพิ่มทุนอีก จึงเอา SHR มาจดทะเบียนบริษัท แต่สิงห์​ เอสเตทยังถือหุ้น 60%”   เพิ่มรายได้และจำนวนโรงแรมปีกว่า 15%    ปัจจุบัน SHR มีโรงแรมทั้งหมด 39 แห่ง ใน 5 ประเทศ ภายใต้ 7 แบรนด์ รวมจำนวนห้องพัก 4,647 ห้อง เป้าหมายภายในระยะ 5 ปี หรือปี 2568 จะเพิ่มจำนวนห้องเติบโตปีละ 15% หรืออย่างน้อย 2 เท่า นั่นหมายว่าจะมีจำนวนโรงแรมรวมอย่างน้อย 80 แห่ง หรือคิดเป็นจำนวนกว่า 9,000 ห้องเลยทีเดียว     โดยยังตั้งเป้าหมายว่ารายได้จากการดำเนินธุรกิจจะต้องเพิ่มขึ้นเฉลี่ยต่อปีมากกว่า 15% ด้วย  ซึ่งช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562  SHR  มีรายได้ 1,751.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 715.6 ล้านบาท ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา มีรายได้เติบโตเฉลี่ย 63.1% เฉพาะในปี 2561 มีรายได้รวมกว่า 2,575.1 ล้านบาท   3 กลยุทธ์สร้างการเติบโต   แนวทางในการสร้างการเติบโตของ SHR เพื่อไปสู่การเพิ่มจำนวนโรงแรมอย่างน้อย 2 เท่าตัวนั้น มี 3 กลยุทธ์ที่สำคัญ ได้แก่   1.การเข้าซื้อและบริหารจัดการสินทรัพย์ใหม่ เป็นแนวทางในการเพิ่มจำนวนโรงแรม ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาขึ้นมาใหม่ หรือการเข้าซื้อกิจการโรงแรมที่มีอยู่แล้ว โดยเตรียมเงินเพื่อใช้ในการลงทุนปีละ 5,000-8,000 ล้านบาท   2.การบริหารจัดการสินทรัพย์เชิงรุก ด้วยการเพิ่มกระแสเงินสด และการทำกำไรให้เพิ่มขึ้น จากการดำเนินการ ซึ่งจะเน้นการบริหารพอร์ตกลุ่มโรงแรมที่มีทั้งรูปแบบ การบริหารจัดการเองผ่านระบบแฟรนไชส์ ภายใต้แบรนด์ซายน์ (Saii) ให้มีสัดส่วน 40% การบริหารจัดการโดยบุคคลภายนอก สัดส่วน 10%  การจัดทำสัญญาบริหารจัดการโรงแรม สัดส่วน 20% และกลุ่มโรงแรมในประเทศอังกฤษอีก 30%   3.พัฒนาธุรกิจการให้บริการบริหารโรงแรมให้บุคคลอื่น  เพื่อเพิ่มความสามารถในการทำรายได้และกำไร โดยไม่เป็นภาระการบริหารการเงิน เช่น การนำเอาทรัพย์เข้ากองทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) เป็นแหล่งรายได้ที่มีวามสม่ำเสมอ การเพิ่มช่องทางในการระดมทุน ผ่านการเข้าซื้อทรัพย์  นอกจากนี้ ยังมีโอกาสในการออกหุ้นกู้ เพื่อได้รับประโยชน์จากต้นทุนทางการเงินที่ต่ำ รวมถึงการสร้างฐานนักลงทุนเพิ่มมากขึ้น ภายหลังจากการปรับโครงสร้างเงินทุน และหลังจาก IPO แล้วจะทำเรทติ้งบริษัทด้วย     นายนริศ กล่าวอีกว่า ธุรกิจโรงแรและการท่องเที่ยวมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง จากข้อมูลของ UNWTO พบว่าในปีที่ผ่านมา มีจำนวนนักท่องเที่ยว 1,400 ล้านคน เติบโตจากปี 2560 ประมาณ​ 6% โดยภูมิภาคเอเชีย ยังคงเป็นภูมิภาคที่มีการเติบโตดีอย่างต่อเนื่อง มีจำนวนนักท่องเที่ยว 343 ล้านคน ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เติบโต 7%  โดยคาดว่าในปีนี้ การท่องเที่ยวจะเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตลาดเอเชียจะเติบโต 5-6%
[PR News] พฤกษา ผนึก 4 พันธมิตร  สร้างการใช้ชีวิตที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ  

[PR News] พฤกษา ผนึก 4 พันธมิตร สร้างการใช้ชีวิตที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ  

ปัญหาภาวะโลกร้อนที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ทุกวันนี้ เราทุกคนต่างทราบกันดีว่าสาเหตุหลักมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นน้ำมัน ถ่านหิน รวมไปถึงการคมนาคมขนส่ง และการผลิตสินค้าในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ ซึ่งล้วนแล้วแต่ส่งผลให้อุณหภูมิโลกของเราสูงขึ้น ได้ยินกันแบบนี้แล้วทุกภาคส่วนคงต้องเริ่มปรับตัวและลงมือทำกันอย่างจริงจังเพื่อช่วยให้โลกของเราให้น่าอยู่ไปนานๆ    พฤกษา เรียลเอสเตท ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย ได้ใส่ใจถึงปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมมาโดยตลอด และพร้อมร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทยในการช่วยลดปัญหาภาวะโลกร้อนผ่านเทคโนโลยีการอยู่อาศัยเพื่อสังคมสิ่งแวดล้อมในด้าน Green หนึ่งในแกนหลักของ Pruksa Livng Tech ที่นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาผสมผสานกับความเป็นธรรมชาติเอามารวมกันไว้ด้วยกันอย่างลงตัว มาใช้ในการพัฒนาโครงการต่างๆ เพื่อให้คนรุ่นหลังมีคุณภาพชีวิตที่ดีภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ดีต่อไป     ล่าสุด พฤกษาได้จับมือร่วมกับ 4 บริษัทพันธมิตรใหญ่ เพื่อร่วมกันพัฒนาและผลิตเรือพลังงานไฟฟ้าระบบ BEV (BATTERY ELECTRIC VEHICLE) เพื่อให้บริการ SHUTTLE BOAT รับ - ส่งลูกบ้านในคอนโด “แชปเตอร์ เจริญนคร – ริเวอร์ไซด์” ได้แก่ บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน), ห้างหุ้นส่วนจำกัด นาวาเลียน คอมโพสิท, มหาวิทยาลัยมหิดล และสำนักนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) NIA   นอกจากลูกบ้านจะได้รับความสะดวกสบายในการเดินทางเรือบนแม่น้ำเจ้าพระยาแล้ว ในด้านสิ่งแวดล้อมยังช่วยลดปัญหามลพิษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหา PM 2.5 ที่ยังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน เนื่องจากเรือพลังงานไฟฟ้าระบบ BEV จะไม่มีไอเสียหรือเขม่าควันที่ถูกปล่อยออกมา มีเสียงเบา และก่อให้เกิดคลื่นน้อย แถมยังช่วยลดการใช้พลังงานโลกอีกด้วย   ปัจจุบันพบว่ามีแนวโน้มการใช้รถยนต์ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้าสูงขึ้นเกือบ 50% ต่อปี เพื่อเป็นการตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ รวมถึงเพื่อเป็นการช่วยสนับสนุนและส่งเสริมให้คนไทยหันมาใช้พลังงานสะอาดกันมากขึ้น พฤกษาจึงได้มีการติดตั้งสถานีชาร์จไฟรถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด หรือ EV STATION ไว้ภายในโครงการ “แชปเตอร์ เจริญนคร – ริเวอร์ไซด์”   โดยเปิดให้ลูกค้าและบุคคลทั่วไปที่ใช้รถยนต์ไฟฟ้าสามารถเข้ามาใช้บริการฟรีได้ตั้งแต่วันนี้ – 31 มี.ค. 2563 ที่สำนักงานขาย และในอนาคตจะมีการขยายการติดตั้ง EV Station ไปยังโครงการอื่นๆ เริ่มจากโครงการ “เดอะรีเซิร์ฟ พหลฯ – ประดิพัทธ์” ที่เตรียมจะโอนปลายปี 2562 นี้ และโครงการ แชปเตอร์วัน โฟลว์ บางโพ ในอนาคต     นอกจากนี้ ในส่วนของโครงการทาวน์เฮาส์ของพฤกษายังมีระบบ Pruksa Fresh Air ช่วยเรื่องการหมุนเวียนอากาศ ทำให้อุณหภูมิภายในบ้านเย็นกว่าข้างนอก การติดตั้งระบบ Solar Cell System เพื่อนำมาในพื้นที่ส่วนกลาง เช่น บ่อบำบัดน้ำเสีย คลับเฮาส์ รวมไปถึงการติดตั้ง SKYLIGHT ฝ้าเพดานโปร่งแสง เพื่อนำแสงสว่างเข้ามาสู่ตัวบ้านในเวลากลางวัน ทั้งหมดนี้เป็นความใส่ใจที่พฤกษาได้นำเอาเทคการอยู่อาศัยเพื่อสังคมสิ่งแวดล้อมในด้าน Green หนึ่งในแกนหลักของ Pruksa Livng Tech มาช่วยตอบโจทย์เทรนด์การอยู่อาศัยภายใต้สิ่งแวดล้อมที่ดี            
สรุปข่าวรอบสัปดาห์ วันที่ 14 -20 ตุลาคม 2562

สรุปข่าวรอบสัปดาห์ วันที่ 14 -20 ตุลาคม 2562

นอกจาก ดีเวลลอปเปอร์จะเร่งสร้างยอดขาย จากแคมเปญการตลาดต่างๆ ในช่วงปลายปีแล้ว  การเปิดโครงการใหม่ก็ยังคงมีออกมาอย่างต่อเนื่อง และดูเหมือนว่าจะเพิ่มมากขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมาด้วย  เพราะตอนนี้ต้องเร่งสปีดธุรกิจกันให้มากขึ้นแล้ว เดี๋ยวไม่ได้เป้าหมายตามที่หวังกันไว้   อนันดาเปิด 4 โครงการใหม่   บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ได้เปิดตัว 4 โครงการใหม่ ภายใต้แบรนด์ไอดีโอ ในทำเล พร้อมพงษ์, พระโขนง, จุฬา-สามย่าน และจรัญสนิทวงศ์ มูลค่ารวมกว่า 13,000 ล้านบาท มาคราวนี้มุ่งเน้นการเปิดตัวในคอนโดมิเนียมที่เน้นความคุ้มค่า ทำราคาให้สอดคล้องกับสภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน และกลุ่มเป้าหมายลูกค้า Gen Z     นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า   สำหรับทั้ง 4 โครงการ มั่นใจว่าสามารถจะสร้างยอดขายรวมในช่วงเปิดตัวโครงการ ได้กว่า 5,200 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขายประมาณ 40% ภายในปีนี้  จากปัจจุบันบริษัทฯ มียอด Backlog ประมาณ 33,200 ล้านบาท โดยในปีนี้จะรับรู้ยอดโอนราว 12,240 ล้านบาท แม้ในเดือนพฤศจิกายนนี้จะมีการลดเป้ายอดขาย  และยอดรับรู้รายได้ใหม่อีกครั้ง ตามภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งแม้จะมีความผันผวน   ขณะเดียวกันได้ปรับแผนเลื่อนเปิด 4 โครงการไปช่วงต้นปีหน้า ได้แก่ ไอดีโอ คิว พหลฯสะพานควาย มูลค่าโครงการ 10,000 ล้านบาท ที่ได้ยกเลิกการขายไปเมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เนื่องจากราคาขายต่อตารางเมตรสูงกว่าตลาด ส่งผลให้ยอดขายถูกผลกระทบตามไปด้วย จึงจะมีการปรับโครงการใหม่ให้สอดรับกับผู้บริโภคมากขึ้น และยังมีโครงการในทำเล สุขุมวิท 59, ลำสาลี และทองหล่อ มูลค่ารวมทั้ง 4 โครงการนี้ 22,000 ล้านบาท ทั้งนี้ในปี 2562 เมื่อได้มีการปรับยอดขายลงจาก 10 โครงการ มูลค่ารวม 38,000 ล้านบาท เหลือ 6 โครงการ มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท   เดอะเนสท์ เปิดโปรเจ็กต์ "จุฬาฯ-สามย่าน"   สำหรับกลุ่ม พี.เอ็ม. กรุ๊ป ได้เปิดตัวโครงการ  “เดอะเนสท์ จุฬาฯ – สามย่าน” คอนโดมิเนียม 8 ชั้น 2 อาคาร รวม 332 ยูนิต ในซอยจินดาถวิล ถนนพระราม 4 บนที่ดินกว่า 2 ไร่ ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 21.14-49.39 ตารางเมตร มีพื้นที่จอดรถ 40 % ห่างจาก MRT สถานีสามย่าน 600 เมตร มูลค่าโครงการประมาน 1,500 ล้านบาท เริ่มก่อสร้าง ไตรมาส 1 ปี2563 คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 4 ปี 2564 โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 50% ในวันพรีเซล 26-27 ตุลาคม 2562     นางสาวอุษณา มหากิจศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่ม บริษัท พี.เอ็ม. กรุ๊ป เปิดเผยว่าจากสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน เชื่อว่าไม่ได้ส่งผลให้ราคาคอนโดมิเนียมลดลง แต่อยู่ในภาวะทรงตัว ซึ่งมองว่าเป็นวัฏจักรปกติของธุกิจ  เพียงแต่ผู้ประกอบการต้องมีความระมัดระวังมากยิ่งขึ้นในการ พัฒนาโครงการออกมาให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า ในราคาที่เหมาะสม ในแง่ของผู้บริโภคเองก็ถือเป็นโอกาสที่จะสามารถได้สินค้าราคาดีเอาไว้ (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   ทุนจีน เดินหน้าปั้น 4 โปรเจ็กต์ 22,500 ล้าน     ไม่เพียงแต่ดีเวลลอปเปอร์คนไทยเท่านั้น ที่ยังคงมั่นใจตลาดอสังหาฯ และเปิดตัวโครงการใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่สำหรับกลุ่มดีเวลลอปเปอร์จากจีน ก็เห็นไปในทิศทางเดียวกัน  ซึ่งเชื่อว่าตลาดเมืองไทย ยังมีดีมานด์อีกจำนวนมาก จากคนย้ายเข้ามาหางานในเมือง เศรษฐกิจมีแนวโน้มขาขึ้น  จึงได้ลงทุนกว่า 22,500 ล้าน พัฒนาโครงการคอนโดฯ ออกมาทำตลาดถึง 4 โปรเจ็กต์  ในอนาคตยังเตรียมที่ดินอีก 100 ไร่ เพื่อพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสออกมาอีกด้วย   นายเฉิน ซู่เฟิง ประธานกรรมการประจำภูมิภาค บริษัท ไฮไชน์ ดีเวลลอปเม้นท์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า  ได้ร่วมทุนกับนักธุรกิจคนไทยพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย เนื่องจากมองเห็นศักยภาพตลาดอสังหาฯ ที่เชื่อว่ายังมีความต้องการอยู่เป็นจำนวนมาก จากการขยายตัวของเมือง ซึ่งทำให้มีแรงงานจากต่างจังหวัดเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ และปริมณฑล  ที่ถือว่าเป็นความต้องการที่แท้จริง ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโต (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   CPN ลุยปั้นโปรเจ็กต์ใหม่ พร้อมปรับโฉม-รีโนเวต 14 ศูนย์     การพัฒนาโครงการอสังหาฯ​ ไม่ได้มีแต่โครงการที่อยู่อาศัยเท่านั้น แต่รูปแบบโครงการประเภทศูนย์การค้า  ดีเวลลอปเปอร์ก็เตรียมพัฒนาออกมาอย่างต่อเนื่อง อย่าง CPN หรือ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน)  ได้ประกาศแผนธุรกิจออกมาเตรียม พัฒนาโครงการใหม่ออกมาอีก 3 โปรเจ็กต์ พร้อมกับปรับโฉมโปรเจ็กต์เดิมอีก 2  และยังรีโนเวตศูนย์การค้าเดิมอีก 12 แห่ง ซี่งเตรียมเงินลงทุนสำหรับแผนธุรกิจภายในปี 2565 นี้ไว้ถึง 22,000 ล้านบาท (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   คนไทยแห่ซื้ออสังหาฯ อังกฤษ   นอกจาก ตลาดอสังหาฯ ในเมืองไทย ที่ยังคงเป็นที่ต้องการของลูกค้า ทั้งชาวไทยและต่างชาติแล้ว อสังหาฯ ในต่างแดนก็ยังได้รับความสนใจ เกิดการเข้าไปจับจอง ไม่ว่าจะอยู่เองหรือจะลงทุนก็ตาม อย่างประเทศอังกฤษที่ถือว่าเป็นหนึ่งในตลาดที่มีชาวไทยเข้าไปจับจอง  แม้ว่าที่ผ่านมาจะมีปัญหาเบร็กซิท แต่ดูเหมือนว่าไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่อตลาดอสังหาฯ ในอังกฤษซักเท่าไร ปัจจุบันยังมีความต้องการที่อยู่อาศัยมากถึง 70,000 ยูนิต แต่มีการพัฒนาออกมาเพียง 40,000 ยูนิตเท่านั้น     นายแฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหาร หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านที่พักอาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า อสังหาริมทรัพย์ในประเทศอังกฤษ  เริ่มกลับมาฟื้นตัวซึ่งเกิดจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะความต้องการที่อยู่อาศัยมีสูง ทั้งจากคนในประเทศและชาวต่างชาติ ที่เข้าไปเรียนและทำงานจำนวนมาก แต่ปัจจุบันจำนวนที่อยู่อาศัยที่พัฒนาออกมาน้อย   โดยในปีนี้บริษัทได้เป็นตัวแทนขายอสังหาฯ ในประเทศอังกฤษ ให้กับกลุ่มคนไทยได้แล้ว 8 ราย มูลค่า 14.6 ล้านปอนด์ หรือประมาณ​569.4 ล้านบาท  ซึ่ง 7 รายเป็นบุคคลทั่วไป ที่ซื้อคอนโดฯ ยูนิตในราคา 900,000 -1.6 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 35-62.4 ล้านบาท และมี 1 รายเป็นบริษัทที่ซื้อเพื่อการลงทุนจำนวน 16 ยูนิต  และบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาอีก 10 รายที่จะซื้ออสังหาฯ​ ในอังกฤษด้วย มีระดับราคาตั้งแต่ 600,000-2 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 23.4-78 ล้านบาท ซึ่งมีหนึ่งรายต้องการซื้ออสังหาฯ มูลค่ามากถึง 36 ล้านปอนด์ หรือกว่า 1,404 ล้านบาท (อ่านข่าวเพิ่มเติม)
เดอะเนสท์  เปิดโปรเจ็กต์ “จุฬาฯ-สามย่าน” ชูจุดขาย ผลตอบแทนการเช่า 6%

เดอะเนสท์ เปิดโปรเจ็กต์ “จุฬาฯ-สามย่าน” ชูจุดขาย ผลตอบแทนการเช่า 6%

เดอะเนสท์ เปิดโครงการ “เดอะเนสท์ จุฬาฯ – สามย่าน” มูลค่า 1,500 ล้านบาท ชูจุดขายความคุ้มค่าและผลตอบแทน 6% จากการปล่อยเช่า   นางสาวอุษณา มหากิจศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในกลุ่ม บริษัท พี.เอ็ม. กรุ๊ป เปิดเผยว่า จากสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบัน เชื่อว่าไม่ได้ส่งผลให้ราคาคอนโดมิเนียมลดลง แต่อยู่ในภาวะทรงตัว ซึ่งมองว่าเป็นวัฏจักรปกติของธุกิจ  เพียงแต่ผู้ประกอบการต้องมีความระมัดระวังมากยิ่งขึ้นในการ พัฒนาโครงการออกมาให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า ในราคาที่เหมาะสม ในแง่ของผู้บริโภคเองก็ถือเป็นโอกาสที่จะสามารถได้สินค้าราคาดีเอาไว้   ทั้งนี้บริษัทได้เปิดตัวโครงการล่าสุด “เดอะเนสท์ จุฬาฯ–สามย่าน” คอนโดมิเนียม 8 ชั้น 2 อาคาร รวม 332 ยูนิต ในซอยจินดาถวิล ถนนพระราม 4 บนที่ดินกว่า 2 ไร่ ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 21.14-49.39 ตารางเมตร มีพื้นที่จอดรถ 40 % ห่างจาก MRT สถานีสามย่าน 600 เมตร มูลค่าโครงการประมาน 1,500 ล้านบาท เริ่มก่อสร้าง ไตรมาส 1 ปี2563 คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 4 ปี 2564 โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 50% ในวันพรีเซล 26-27 ตุลาคม 2562   ทำเลจุฬาฯ–สามย่าน เป็นชุมชนเก่าแก่ที่มีดีมานท์อยู่เสมอ ไม่ว่าจะผู้ที่อาศัยอยู่เดิม นักเรียน นักศึกษา บุคคลากร กลุ่มคนทำงาน และชาวต่างชาติ ที่ดินส่วนใหญ่มักจะเป็นที่ดินเช่าระยะยาว (ลีสโฮลด์) โดยปัจจุบันมีผู้ประกอบการรายใหญ่ที่เข้ามาลงทุนโครงการบิ๊กโปรเจ็กต์ในย่านนี้มากมาย แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของทำเลนี้ ไม่ว่าจะเป็น โครงการมิกซ์ยูส หรือคอนโดมิเนียม แต่สำหรับ “เดอะเนสท์ จุฬาฯ–สามย่าน” นั้นเป็นที่ดินฟรีโฮลด์ มีความคุ้มค่าในระยะยาวทั้งในแง่ของผู้อยู่อาศัยเอง และนักลงทุนที่สามารถปล่อยเช่าได้ประมาณ 18,000  บาท/เดือน คิดเป็น 6% ต่อปี   สำหรับราคาที่ดินในบริเวณดังกล่าวหากอยู่ในซอยจะมีราคาประมาณ 500,000 บาทต่อตารางวา แต่หากเป็นที่ดินแปลงติดถนนใหญ่ ราคาพุ่งสูงแตะที่ 1 ล้านบาทต่อตารางวาขึ้นไป ขึ้นอยู่กับทำเลของที่ดิน   บริษัทยังมองหาที่ดินในทำเลใจกลางเมือง เพื่อพัฒนาโครงการคอนโดฯ ปีละ 1-2 โครงการ และขณะนี้อยู่ในช่วงเจรจากับพันธมิตรต่างชาติ เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการ แต่ยังไม่สามารถเผยรายละเอียดได้” นางสาวอุษณา กล่าว   นอกจากนี้ยังมีที่ดินของครอบครัวในย่านพระราม 4 ช่วงต้น พื้นที่ประมาณเกือบ 6 ไร่ สำหรับใช้ในการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ในอนาคต ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาข้อมูล คาดว่าจะสรุปได้ในปี 2563  
[PR News] “คุณาลัย” ดีเวลลอปเปอร์ย่านบางบัวทอง ยื่นไฟลิ่ง เตรียมระดมทุนใน mai

[PR News] “คุณาลัย” ดีเวลลอปเปอร์ย่านบางบัวทอง ยื่นไฟลิ่ง เตรียมระดมทุนใน mai

ก.ล.ต. อนุมัตินับ 1 ไฟลิ่ง  “วิลล่า คุณาลัย” หรือ KUN  ดีเวลลอปเปอร์เจ้าตลาดนนทบุรี เตรียมระดมทุน 150 ล้านหุ้นในตลาดเอ็ม.เอ.ไอ. หาเงินขยายธุรกิจครอบคลุม 4 ทิศรอบกรุงเทพฯ   นางปิยะภา จงเสถียร กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอส 14 แอดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ KUN ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบเพื่อขาย โดยเน้นพื้นที่ในเขตปริมณฑลโดยเฉพาะอำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี เปิดเผยว่า ภายหลังที่ บมจ.วิลล่า คุณาลัย (KUN) ได้ทำการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวน (Filing) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อขออนุญาตเสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไป (IPO) จำนวน 150 ล้านหุ้น และมูลค่าที่ตราไว้ 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วน ​25% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดของบริษัทฯ   ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ และได้ยื่นคำขอให้รับหุ้นสามัญเป็นหลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)  ล่าสุดทางสำนักงาน ก.ล.ต.ได้นับหนึ่งแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบไฟลิ่ง บมจ.วิลล่า คุณาลัย เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และคาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ได้ในเร็วๆนี้   ทั้งนี้ในระหว่างที่มีการยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบไฟลิ่ง นั้น ทาง บมจ.วิลล่า คุณาลัย ได้ดำเนินการจดทะเบียนเปลี่ยนแปลงมูลค่าที่ตราไว้ใหม่เป็น 0.50 บาท จากเดิม 1.00 บาท จึงทำให้จำนวนหุ้นในการเสนอขายให้กับประชาชนทั่วไป (IPO) เพิ่มเป็น 150 ล้านหุ้น จากเดิม 75 ล้านหุ้น ปัจจุบันบริษัทฯ มีทุนจดทะเบียน 300 ล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 600 ล้านหุ้น  และมีทุนที่เรียกชำระแล้ว 225 ล้านบาท   ภายหลังจากการเสนอขายหุ้น IPO บริษัทจะมีทุนชำระแล้วเพิ่มขึ้นเป็น 300 ล้านบาท สำหรับวัตถุประสงค์ในการระดมทุนในครั้งนี้ เพื่อนำเงินไปใช้เพื่อขยายธุรกิจของบริษัท โดยใช้ในการซื้อที่ดินเพิ่มเติมสำหรับพัฒนาโครงการ  เพื่อใช้เป็นเงินทุนในการพัฒนาโครงการ เพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ รวมทั้งใช้เพื่อการชำระหนี้ในบางส่วน   ด้านนางประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ KUN  กล่าวว่า  บริษัทดำเนินธุรกิจการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบเพื่อขาย ภายใต้แบรนด์ “คุณาลัย”  โดยยึดหลักการในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ 4 ด้าน คือ ทำเลศักยภาพ (COMFORTABLE) บ้านสวยในโครงการที่อบอุ่น (APPEARANCE) ทีมงานมืออาชีพ (RELIABLE) คุณภาพสมราคา (ECONOMY) ด้วยแนวคิด “คุณาลัย สร้างพื้นที่ สร้างความสุข”     โดยโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่กลุ่มบริษัทฯ ดำเนินการพัฒนาจะเน้นอยู่ในพื้นที่อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี ในปัจจุบันบริษัทฯ สามารถปิดโครงการได้แล้ว 4 โครงการ และมีโครงการที่อยู่ในระหว่างการพัฒนา 7 โครงการ และโครงการในอนาคต จำนวน 2 โครงการ   “บริษัทมีนโยบายและวิสัยทัศน์ ในการพัฒนาและขยายโครงการในทำเลอื่นๆให้ครบ 4 ทิศ รอบกรุงเทพฯ ทั้งทางเหนือ ใต้​ ตะวันออก และตะวันตก”   กลุ่มบริษัทฯ ได้เริ่มเปิดขายโครงการใหม่ ได้แก่โครงการ จอย ออน 314 ซึ่งเป็นโครงการประเภทบ้านแฝด-บ้านเดี่ยว มูลค่าโครงการรวม ประมาณ 504 ล้านบาท  ในจังหวัดฉะเชิงเทรา นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทฯ อยู่ระหว่างพัฒนาโครงการในอนาคต จำนวน 2 โครงการ ในอำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรี มูลค่าโครงการรวมประมาณ 2,172 ล้านบาท ได้แก่  โครงการคุณาลัย จอย 2 เป็นโครงการประเภทบ้านแฝด-บ้านเดี่ยว 2 ชั้น มูลค่าโครงการประมาณ 1,500 ล้านบาท  เริ่มก่อสร้างในไตรมาส 3 ปี 2563 และสามารถเปิดขายได้ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2563 และ 2. โครงการวิลล่า วาณิช เป็นโครงการประเภทอาคารพาณิชย์ มูลค่าโครงการประมาณ 672 ล้านบาท  คาดว่าจะเริ่มก่อสร้าง และเปิดขายได้ในปี 2564-2565   สำหรับผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2559-2561) และงวด 6 เดือนแรกปี 2562 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้รวม เท่ากับ 297.50 ล้านบาท 450.38 ล้านบาท 447.09 ล้านบาท และ 303.84 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ เท่ากับ 5.94 ล้านบาท 10.80 ล้านบาท 11.56 ล้านบาท และ 27.96 ล้านบาท ตามลำดับ ซึ่งรายได้รวมเติบโตขึ้นจากรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์   โดยในปี 2559 กลุ่มบริษัทฯ มีการโอนกรรมสิทธิ์บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดจาก 3 โครงการ ได้แก่ โครงการคุณาลัย พราว โครงการคุณาลัย คอร์ทยาร์ด และโครงการคุณาลัย ซิมโฟนี และในปี 2560 กลุ่มบริษัทฯ มีการทยอยโอนกรรมสิทธิ์บ้านเพิ่มเติมจาก 3 โครงการเดิมในปี 2559 คือ โครงการทาวน์โฮม คุณาลัย บีกินส์ ที่เป็นโครงการทาวน์โฮมโครงการแรกของกลุ่มบริษัทฯ   สำหรับปี 2561 กลุ่มบริษัทฯ ยังคงทยอยรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์บ้านในโครงการต่อเนื่องทั้ง 4 โครงการต่อเนื่องจากปี 2560 และโครงการใหม่ที่เพิ่งเปิดตัว คือ โครงการคุณาลัย พอลเลน สำหรับงวด 6 เดือน 2562 กลุ่มบริษัทฯ มีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น มาจากยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่เพิ่มขึ้นจากจำนวน 64 ยูนิต ในงวด 6 เดือน ปี 2561 เป็น 88 ยูนิต ในงวด 6 เดือน ปี 2562 จากการที่กลุ่มบริษัทฯ ได้ทำการเปิดขายและโอนบ้านของโครงการคุณาลัย จอย ดังนั้น จากแนวโน้มการเติบโตของบริษัทฯ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งทางธุรกิจ ที่จะนำพาไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต  
คนไทยนิยมซื้ออสังหาฯ อังกฤษ ไนท์แฟรงค์เตรียมปิดดีลกว่า 1,404 ล้าน

คนไทยนิยมซื้ออสังหาฯ อังกฤษ ไนท์แฟรงค์เตรียมปิดดีลกว่า 1,404 ล้าน

ตลาดอสังหาฯ อังกฤษ เริ่มฟื้นตัว หลังดีมานด์มีสูง ทั้งคนท้องถิ่นและต่างชาติ แต่ดีเวลลอปเปอร์พัฒนาโครงการออกมาน้อย  คาดปีนี้มีดีมานด์กว่า 70,000 ยูนิต แต่ซัพพลายในตลาดมีแค่ 40,000 เท่านั้น “ไนท์แฟรงค์” เห็นสัญญาณจากการขายเพิ่มเฉลี่ยเดือนละ 4-8 รายจากก่อนหน้าขายได้แค่ 1-2 รายต่อเดือน  พร้อมปิดดีลไปแล้วมูลค่ากว่า 569.4 ล้านบาท รอปิดอีก 10 ดีล   นายแฟรงค์ ข่าน กรรมการบริหาร หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านที่พักอาศัย บริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า อสังหาริมทรัพย์ในประเทศอังกฤษ  เริ่มกลับมาฟื้นตัวหลังจากได้รับผลกระทบ จากนโยบายภาษีที่รัฐบาลประกาศใช้ ในการจัดเก็บภาษีที่อยู่อาศัยหลังที่ 2 อัตรา 3% และภาษีจากอัตรากำไรการขายอสังหาฯ (Capital gain) ในอัตรา 20-28% ซึ่งได้ประกาศใช้กับชาวต่างชาติ ที่ได้เข้าไปซื้ออสังหาฯ  ในประเทศอังกฤษ ตั้งแต่ปี 2557 ส่งผลให้ช่วง 5 ปีที่ผ่านมาตลาดอสังหาฯ​ มีอัตราลดลงเฉลี่ย 15%     การฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ ในประเทศอังกฤษนั้น  เกิดจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะความต้องการที่อยู่อาศัยมีสูง ทั้งจากคนในประเทศและชาวต่างชาติ ที่เข้าไปเรียนและทำงานจำนวนมาก แต่ปัจจุบันจำนวนที่อยู่อาศัยที่พัฒนาออกมาน้อย โดยเฉพาะในปีนี้คาดว่าความต้องการที่อยู่อาศัยจะมีมากกว่า 70,000 ยูนิต แต่มีที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะคอนโดมิเนียม ถูกพัฒนาออกไม่ประมาณ​ 40,000 ยูนิตเท่านั้น สาเหตุสำคัญที่ทำให้ดีเวลลอปเปอร์พัฒนาโครงการออกมาน้อย ทั้งที่มีความต้องการสูง เป็นเพราะยังมีปัญหาเศรษฐกิจโดยภายรวม ต้นทุนการพัฒนาโครงการสูง ไม่ว่าจะเป็นราคาที่ดิน  และราคาวัสดุก่อสร้าง ขณะที่ปัญหาเบร็กซิทถือว่ามีผลกระทบเล็กน้อย   สำหรับภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในประเทศอังกฤษช่วง 6 เดือนแรกเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น โดยเห็นได้จากการติดต่อจากกลุ่มลูกค้ามายังบริษัทเพิ่มมากขึ้นในการซื้ออสังหาฯ และมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มมากขึ้น เมื่อเทียบกับช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งสามารถปิดการขายได้เดือนละ 1-2 ราย แต่ปัจจุบันสามารถปิดการขายได้ 4-8 รายต่อเดือน ขณะที่ช่วงก่อนหน้านี้ อสังหาฯ จะมีการลดราคาลงอย่างมากเพื่อจูงใจผู้ซื้อ บางโครงการลดราคาถึง 25% แต่ปัจจุบันลดราคาเพียง 11-12% เท่านั้น  ซึ่งความต้องการที่อยู่อาศัยในประเทศอังกฤษ  เริ่มฟื้นตัวทั้งจากตลาดภายในประเทศ และกลุ่มชาวต่างชาติที่เข้าไปซื้ออสังหาฯ ด้วย   ปัจจุบันสัดส่วนชาวต่างชาติที่เข้าไปซื้ออสังหาฯ มีประมาณ 40% กลุ่มลูกค้าหลักเป็นชาวจีน ฮ่องกง และสิงคโปร์ โดยวัตถุประสงค์หลักของการเข้าไปซื้ออสังหาฯ ส่วนใหญ่จะเป็นการซื้อเพื่อให้บุตรหลานได้พักอาศัย ในระหว่างการเรียน ซึ่งนักศึกษาต่างชาติในประเทศอังกฤษมีมากกว่า 100,000 คน บริษัทต่างชาติซื้ออสังหาฯ เพื่อให้พนักงานพักอาศัย และการซื้อเพื่อลงทุนของกลุ่มนักลงทุนเพื่อปล่อยเช่า  ซึ่งผลตอบแทนจากการเช่าจะอยู่ที่ 1-2% สำหรับย่านใจกลางลอนดอน และ 4-6% สำหรับเมืองรอบนอกที่มีระบบการคมนาคมขนส่งสะดวก  สามารถเดินทางเข้ามาใจกลางเมืองได้ภายในเวลา 5-10 นาที     ขณะที่คนไทยก็เริ่มให้ความนิยมในการเข้าไปซื้ออสังหาฯ ในประเทศอังกฤษเพิ่มมากขึ้น โดยในปีนี้บริษัทได้เป็นตัวแทนขายอสังหาฯ ในประเทศอังกฤษ ให้กับกลุ่มคนไทยได้แล้ว 8 ราย มูลค่า 14.6 ล้านปอนด์ หรือประมาณ​569.4 ล้านบาท  ซึ่ง 7 รายเป็นบุคคลทั่วไป ที่ซื้อคอนโดฯ ยูนิตในราคา 900,000 -1.6 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 35-62.4 ล้านบาท และมี 1 รายเป็นบริษัทที่ซื้อเพื่อการลงทุนจำนวน 16 ยูนิต  และบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาอีก 10 รายที่จะซื้ออสังหาฯ​ ในอังกฤษด้วย มีระดับราคาตั้งแต่ 600,000-2 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 23.4-78 ล้านบาท ซึ่งมีหนึ่งรายต้องการซื้ออสังหาฯ มูลค่ามากถึง 36 ล้านปอนด์ หรือกว่า 1,404 ล้านบาท   ส่วนในปี 2563 บริษัทตั้งเป้าหมายการเป็นตัวแทนขายอสังหาฯ ในประเทศอังกฤษ 15-20 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 1-2 ล้านปอนด์ หรือประมาณ 39-78 ล้านบาทต่อยูนิต ซึ่งแนวทางการทำตลาด บริษัทได้มีกิจกรรมจัดสัมมนา และนิทรรศการให้ความรู้ และข้อมูลเกี่ยวกับตลาดอสังหาฯ ในประเทศอังกฤษ รวมถึงการพาชมโครงการที่ประเทศอังกฤษ เพื่อให้ผู้ซื้อได้เห็นโครงการจริงด้วย   สำหรับกลุ่มคนที่เลือกซื้ออสังหาฯ ในประเทศอังกฤษ ไม่ว่าจะอยู่อาศัย หรือการลงทุน ยังคงใช้ 3 หลักเกณฑ์ในการตัดสินใจซื้อ ได้แก่ 1.ทำเลที่ตั้ง ใกล้สถานีรถใต้ดิน ระยะห่างสามารถเดินทางได้ไม่เกิน 5-10 นาที 2. สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ อาทิ สวน พื้นที่ส่วนกลางสำหรับทำกิจกรรม และ 3.สภาพอาคาร หากเป็นอาคารใหม่จะได้รับความนิยมมากกว่าอาคารเก่า
รู้ทัน! ภัยร้ายใกล้ตัวจากวัสดุก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน และเทคนิคเลือกซื้อ

รู้ทัน! ภัยร้ายใกล้ตัวจากวัสดุก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน และเทคนิคเลือกซื้อ

การอยู่อาศัยในปัจจุบัน เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพสังคม  และไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนยุค 4.0  จนกลายเป็นเทรนด์ที่อยู่อาศัยยุคใหม่ เช่น บ้านเพื่อผู้สูงอายุ บ้านที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและผู้อยู่อาศัย บ้านนวัตกรรม หรือบ้านอัจฉริยะ เป็นต้น   ทุกเทรนด์ล้วนเป็นที่อยู่อาศัยเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นทั้งสิ้น แต่รู้หรือไม่ว่า...สิ่งหนึ่งที่ต้องใส่ใจเป็นพิเศษไม่ว่าคุณจะเลือกเทรนด์ที่อยู่อาศัยแบบใดก็ตาม คือ วัสดุก่อสร้างที่ใช้ในการก่อสร้างและตกแต่งบ้านต้องปราศจากสารพิษ หรือสารเคมี เพราะวัสดุก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐานอาจมาพร้อมกับสารพิษร้ายแรง เช่น แร่ใยหิน (Asbestos) ตะกั่ว (Lead) เป็นต้น   สารพิษเหล่านี้จะแพร่กระจายอยู่ภายในบ้าน เมื่อสูดดม หรือสัมผัสเป็นเวลานานๆ จะส่งต่อสุขภาพผู้อยู่อาศัย โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กเล็กและผู้สูงอายุ อาจทำให้เกิดภูมิแพ้ ปวดศรีษะ ไอจาม ไม่สบายโดยไม่ทราบสาเหตุ หรืออาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคร้ายเรื้องรังอย่าง มะเร็ง   “เอสซีจี” ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุก่อสร้าง จึงอยากให้เจ้าของบ้าน ประชาชนทั่วไป และผู้รับเหมาก่อสร้าง รู้ทันภัยร้ายใกล้ตัว หันมาใส่ใจกับการเลือกใช้วัสดุก่อสร้าง และวัสดุตกแต่งกันมากขึ้น เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างแท้จริงของสมาชิกทุกคนในบ้าน   นายเจือ คุปติทัฬหิ Consult and Design Solution Business Lead  จาก “เอสซีจี” เล่าว่า ในชีวิตประจำวันเราใช้เวลาส่วนใหญ่ในการทำกิจกรรมและพักผ่อนภายในบ้าน จึงเป็นเรื่องยากที่จะหลีกเลี่ยงการสัมผัส และสูดดมสารพิษจากวัสดุก่อสร้างภายในบ้าน ดังนั้น เจ้าของบ้าน สมาชิกภายในบ้าน และผู้ประกอบการรับเหมาก่อสร้างควรรู้เท่าทันภัยร้ายใกล้ตัวเหล่านี้ เพื่อจะได้หลีกเลี่ยง และหาแนวทางปกป้องสมาชิกภายในบ้านให้ปลอดภัยจากสารพิษต่างๆ     ทำความรู้จักกับ 2 สารพิษตัวร้าย ที่มักเจือปนอยู่ในวัสดุก่อสร้าง    1. แร่ใยหิน หรือแอสเบสตอส (Asbestos) เป็นแร่ธรรมชาติมีลักษณะเป็นเส้นใยที่ปนอยู่ในเนื้อหิน ถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมของวัสดุก่อสร้างหลายชนิด เช่น กระเบื้องหลังคา ฝ้าเพดาน ท่อน้ำซีเมนต์ ฉนวนกันความร้อน และแผ่นไม้สังเคราะห์ โดยหากสูดดมเข้าไปบ่อยๆ เป็นเวลานาน จะก่อให้เกิดโรคร้ายเรื้อรัง อาทิ โรคปอดอักเสบ มะเร็งปอด มะเร็งเยื่อหุ้มปอด รวมถึงยังเป็นอันตรายต่อระบบสืบพันธุ์อีกด้วย   2. ตะกั่ว (Lead) เป็นโลหะหนักที่มีลักษณะอ่อนทำให้หลอมเหลวได้ง่าย และสามารถพิมพ์แบบออกมาเป็นรูปร่างต่างๆ ได้ดี จึงนิยมนำไปใช้ผลิตก๊อกน้ำ และฝักบัว ซึ่งหากการผลิตไม่ได้มาตรฐานจะทำให้มีสารตะกั่วปนเปื้อนมากับน้ำ เมื่อดื่ม หรือสัมผัส อาจส่งผลให้เกิดอาการตะกั่วเป็นพิษ เช่น อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ หงุดหงิดง่าย เบื่ออาหาร คลื่นไส้อาเจียน มึนชาอวัยวะแขนขา หรืออาจมีอาการความจำถดถอย ไม่มีสมาธิ หากรุนแรงอาจส่งผลให้ชัก ซึม หมดสติ และเสียชีวิต   ทั้งนี้ เอสซีจี ในฐานะองค์กรที่มุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์และส่งมอบโซลูชั่นที่ครบวงจร มีความปลอดภัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จึงขอแนะนำเทคนิคเบื้องต้นในการเลือกซื้อวัสดุก่อสร้างอย่างปลอดภัย คือ เลือกแบรนด์ที่เชื่อถือได้ และต้องมีมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) หรือมาตรฐานรับรองจากสถาบันที่มีความน่าเชื่อถือ ขณะเดียวกันผู้ใช้ควรหาข้อมูล หรือตรวจสอบเพิ่มเติมเกี่ยวกับกระบวนการผลิต และวัสดุที่ใช้ในการผลิตของแต่ละแบรนด์ด้วย     3 เทคนิคดีๆ ในการเลือกวัสดุก่อสร้าง   กระเบื้องหลังคา ฝ้าเพดาน และไม้สังเคราะห์ แนะนำให้เลือกผู้ผลิตที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตโดยไม่มีส่วนผสมของใยหิน ซึ่งจะใช้เส้นใยธรรมชาติ หรือเส้นใยสังเคราะห์พิเศษ เช่น ไฟเบอร์ซีเมนต์ ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการผลิตที่ปลอดภัยทดแทน แร่ใยหิน และใช้กระบวนการผลิตและเทคโนโลยีที่ทันสมัย ด้วยวัตถุดิบและกระบวนการผลิตข้างต้นจะทำให้ผลิตภัณฑ์มีคุณสมบัติที่ดีกว่าวัสดุที่มีส่วนผสมของใยหิน คือ แข็งแรง ทนทาน ไร้สารพิษ และเนื้อเหนียวมากขึ้น  ทั้งยังทนทานต่อจุลินทรีย์ เชื้อรา แบคทีเรีย และสารเคมี ซึ่งเอสซีจี ถือเป็นผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างรายแรกของไทยที่ใช้นวัตกรรมการผลิตแบบไม่มีใยหิน   ฉนวนกันความร้อน เป็นวัสดุที่มักเกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นวัสดุอันตรายเช่นเดียวกับใยหิน แต่ความจริงแล้ว ฉนวนใย แก้วจะมีลักษณะโครงสร้างเป็นท่อนทรงกระบอกที่มีขนาดใหญ่เกินกว่าจะเข้าปอดได้ สำหรับเทคนิคในการเลือกฉนวนใยแก้วให้สังเกตมาตรฐานรับรองเพิ่มเติมจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ อย่างฉนวนกันความร้อน เอสซีจี รุ่น STAY COOL ซึ่งได้รับการรับรองจากสถาบันวิจัยมะเร็งนานาชาติ (IARC) ขององค์การอนามัยโลก นอกจากนี้ฉนวนใยแก้วยังมีข้อดีด้านความปลอดภัยอีกเรื่อง คือ เป็นวัสดุที่ไม่ลามไฟจึงมีความปลอดภัยต่อผู้ใช้อย่างแท้จริง   ก๊อกน้ำ และฝักบัว ควรผลิตจากโลหะคุณภาพสูงที่ไม่ทำให้น้ำที่ไหลผ่านปนเปื้อนอนุภาคโลหะหนักที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ  อาทิ ทองเหลือง ทองแดงเจือ ทองบร๊อนซ์ หรือเหล็กกล้าไร้สนิม และหากมีตะกั่วผสมจะต้องมีส่วนผสมไม่เกินค่ามาตรฐานตามที่ มอก. กำหนดไว้ โดยเมื่อทดสอบกับน้ำจะต้องมีปริมาณตะกั่วไม่เกิน 0.007 มิลลิกรัมต่อลิตร นอกจากนี้ควรพิจารณาผิวภายนอก โดยเลือกที่ผิวเคลือบสี ไม่บุ๋ม ไม่พอง ไม่เป็นคลื่น ไม่แตก ไม่นูน ไม่ร้าว ไม่มีสิ่งสกปรกที่เป็นตำหนิ หรือรูเข็ม  
ถอดรหัส CPN กับตัวเลข “3-2-12-22” ตามแผนธุรกิจภายในปี 2565

ถอดรหัส CPN กับตัวเลข “3-2-12-22” ตามแผนธุรกิจภายในปี 2565

ในบรรดาดีเวลลอปเปอร์พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์  ประเภทศูนย์การค้าซึ่งมีจำนวนพื้นที่บริหารมากสุด คงต้องยกให้กับ CPN หรือ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ที่ปัจจุบันมีพื้นที่บริหารอยู่กว่า 1.8 ล้านตารางเมตร จากจำนวนพื้นที่ศูนย์การค้าทั้งหมดในปีนี้ ซึ่งคาดว่ามีประมาณ 20.9 ล้านตารางเมตร    ความเคลื่อนไหวของตลาดศูนย์การค้าในปีนี้ มีจำนวนผู้เล่นหน้าใหม่เข้ามาเติมตลาดอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น ศูนย์การค้าของกลุ่ม CPN เอง อย่างโครงการเซ็นทรัล วิลเลจ (รายละเอียดโครงการ) หรือโครงการของดีเวลลอปเปอร์รายอื่น อย่าง โครงการสามย่านมิตรทาวน์ (รายละเอียดโครงการ) โครงการวิสซ์ดอม 101 (รายละเอียดโครงการ) เป็นต้น ซึ่งประเมินกันว่า เฉพาะปีนี้พื้นที่ศูนย์การค้า จะมีเข้ามาเติมตลาดอีกกว่า 9 ล้านตารางเมตร   แม้จะมีคู่แข่งหน้าใหม่หรือหน้าเก่าเข้ามาในตลาด แต่ดูเหมือนว่า CPN ยังคงรักษาความเป็นผู้นำตลาดไว้ได้อย่างเหนียวแน่น แถมยังลงทุนต่อเนื่อง ไม่ว่าสภาพเศรษฐกิจหรือบ้านเมืองจะเป็นเช่นไร  โดยลงทุนทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ  ต่างจังหวัด และออกไปไกลในต่างประเทศ อย่างล่าสุด กับการเปิดตัวศูนย์การค้าเซ็นทรัลไอ-ซิตี้ (Central i-City) โครงการร่วมทุนระหว่าง CPN และไอ-เบอร์ฮาด เจ้าของโครงการ ไอ-ซิตี้ ด้วยงบลงทุนกว่า 8,500 ล้านบาท บนพื้นที่ 28 ไร่ พื้นที่โครงการ 278,000 ตารางเมตร   ส่วนภายในประเทศ CPN ได้ประกาศแผนธุรกิจ ภายในปี 2565 เตรียมพัฒนาและเปิดให้บริการ โครงการใหม่ รวมถึงการรีโนเวตโครงการเดิม ให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับความต้องการ ของกลุ่มลูกค้าในปัจจุบัน กับตัวเลขทางธุรกิจ “3-2-12-22” ซึ่งเป็นแผนธุรกิจที่จะดำเนินให้แล้วเสร็จ ภายในปี 2565     ถอดรหัสตัวเลข “3-2-12-22” ตามแผนธุรกิจภายในปี 2565   “3” = โปรเจ็กต์ใหม่ใน 3  ทำเล    CPN เตรียมยึดหัวหาดเมืองเศรษฐกิจใหม่ 3 แห่ง ได้แก่ จังหวัดอยุธยา  อำเภอศรีราชา และจันทบุรี สร้าง ‘Golden District’ ของจังหวัด ด้วย ‘โครงการมิกซ์ยูสรูปแบบใหม่’ ได้แก่   1.โครงการมิกซ์ยูส ‘เซ็นทรัลพลาซา อยุธยา’ พัฒนาภายใต้แนวคิด ความเรืองรองแห่งพระนครศรีอยุธยา เมืองอยุธยาถือเป็น strategic location เป็น ‘Hub ของภาคกลางตอนบน’ ครอบคลุมจังหวัดอ่างทอง สิงห์บุรี ชัยนาท สุพรรณบุรี ประชากรเกือบ 2.5 ล้านคน และยังเป็นเมืองอุตสาหกรรมสำคัญที่ต่อขยายจากกรุงเทพฯ   โครงการประกอบด้วย ศูนย์การค้า Tourist Attraction โรงแรม ที่พักอาศัย และคอนเวนชั่นฮอลล์ โครงการจะเปิดให้บริการไตรมาสที่ 2 ปี 2564   2.โครงการมิกซ์ยูส ‘เซ็นทรัลพลาซา ศรีราชา’ พัฒนาภายใต้แนวคิด Living Green in Smart City of EEC Center  โครงการที่ซีพีเอ็นลงทุนเสริมแผนภาครัฐในเมืองหลักภาคตะวันออก ผลักดันศรีราชาเป็นเมืองเศรษฐกิจใหม่ที่จะมีมูลค่าการลงทุนสูงที่สุดใน EEC ซึ่งจะเป็นการลงทุนที่คู่ขนานไปกับภาครัฐ เพื่อเชื่อมโยง กรุงเทพฯ - ชลบุรี – เพิ่มจิ๊กซอว์ ศรีราชา – บรรจบ ระยอง ให้ครบ โดยศรีราชาเป็นเมืองอุตสาหกรรม New S-Curve เมืองอุตสาหกรรมแห่งอนาคต และจะเป็น MICE Hub ของ EEC Center จึงต้องตอบโจทย์ด้วยศูนย์กลางการใช้ชีวิต   โครงการประกอบด้วย ศูนย์การค้า คอนเวนชั่นฮอลล์ เซอร์วิส อพาร์ทเมนต์ ออฟฟิศ และโรงแรมในอนาคต โดยเป็นครั้งแรกที่มีศูนย์การค้าแบบ Semi-Outdoor โมเดลเดียวกับเซ็นทรัลเฟสติวัล อีสต์วิลล์ นอกพื้นที่กรุงเทพฯ ในคอนเซ็ปต์ ‘Living Green in Smart City of EEC Center’ สร้าง Third Place ให้คนศรีราชาได้มาพักผ่อน   โดยที่นี่เป็นศูนย์การค้าฟอร์แมตใหม่แบบ Lifestyle Thematic Mall ที่แบ่งโซนร้านค้าตามไลฟ์สไตล์ของลูกค้า ตกแต่งเป็นธีมห้องต่างๆ ให้บรรยากาศเป็นกันเองเหมือนอยู่บ้าน พร้อมมี Outdoor walking street ที่ตกแต่งโดย integrate ธรรมชาติ บนพื้นที่ indoor และ outdoor ไว้ที่นี่ที่เดียว คาดว่าจะเปิดให้บริการในไตรมาสที่ 2 ปี 2564     3.โครงการมิกซ์ยูส ‘เซ็นทรัลพลาซา จันทบุรี’   เป็นการสร้างฟอร์แมทใหม่ ภายใต้แนวคิด The Shining Gem of EEC Plus 2  เป็นการเชื่อมต่อการพัฒนาตั้งแต่จังหวัดชลบุรีมาต่อเนื่องถึงจังหวัดจันทบุรี ซึ่งถือเป็นจังหวัดที่มีเศรษฐกิจเติบโตสูง เห็นได้จากยอดขายของห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ซึ่งเป็นอันดับ 1 ในสาขานอกจังหวัดกรุงเทพฯ​ ส่วนรูปแบบโครงการอยู่ระหว่างการออกแบบ คาดว่าจะเปิดให้บริการในปี 2565   “2” = การปรับโฉมสาขาเดิมให้ทันสมัย เป็นการปลุกปั้น 2 ทำเลใหม่ -New Urbanised District ของกรุงเทพฯ ได้แก่ พระราม 2 และรามอินทรา   1.เซ็นทรัลพลาซา พระราม 2 ปรับสู่คอนเซ็ปต์ The Largest Regional mall - Gateway of South Bangkok  โดยเซ็นทรัลพลาซา พระราม 2 จะถูกพลิกโฉมยกเครื่องศูนย์ใหม่ทั้งหมด ทั้งด้านดีไซน์ การเพิ่มร้านค้าใหม่ๆ ปรับปรุงร้านค้าที่มีอยู่เดิม โดยธุรกิจต่างๆ ของกลุ่มเซ็นทรัล อาทิ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล,TOPs, B2S ก็เตรียมปรับโฉมให้สอดคล้องกับศูนย์การค้าด้วย   ที่โดดเด่นที่สุดคือ จะมีการ re-create พื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ ชื่อว่า สวน Central Plearn Park ที่มีขนาดใหญ่ถึง 37 ไร่ ให้เป็นเหมือน The Oasis of South Bangkok ที่จะเป็นพื้นที่สำหรับครอบครัว  ซึ่งประกอบไปด้วย Food Garden &  Fashion Park, Kids Gym, Multi-sport recreation (ลู่วิ่ง, bike lane, ร้านค้าขายสินค้าแนวสปอร์ต) และเป็น Pet Community ที่มีทั้ง โรงพยาบาลสัตว์ Pet playground, Pet pool และ Pet Shop คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 1 ปี 2565   2.เซ็นทรัลพลาซา รามอินทรา ภายใต้แนวคิด Living Lab of Ramindra กับการพลิกโฉมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบ 26 ปี เพื่อรองรับกลุ่มประชากรและชุมชนที่ขยายตัวจากโครงการที่อยู่อาศัยต่างๆ เข้าไปพัฒนา รวมถึงการพัฒนาเส้นทางรถไฟฟ้าสายสี   โดยโครงการนี้จะเป็นคอมมูนิตี้มอลล์ใหม่ ที่เป็นเหมือน Third Place เช่นเดียวกับเซ็นทรัลพลาซา พระราม 3 เคยทำจนประสบความสำเร็จมาแล้ว โดยจะเป็นเดสติเนชั่นทั้งด้านอาหาร กีฬา Co-living Space รองรับทุกความต้องการ คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 4 ปี 2564     “12” = โปรเจ็กต์เดิมเตรียมรีโนเวตเพื่อความทันสมัย   โดยในปี 2563 บริษัทฯ จะทำการปรับปรุงและขยายพื้นที่ศูนย์การค้าอีก 12 สาขาทุกภูมิภาคทั่วประเทศ ได้แก่ เซ็นทรัลพลาซา พระราม 9, เซ็นทรัลเฟสติวัล อีสต์วิลล์, เซ็นทรัลพลาซา บางนา, เซ็นทรัลพลาซา แจ้งวัฒนะ, เซ็นทรัลพลาซา ขอนแก่น, เซ็นทรัลพลาซา อุดรธานี, เซ็นทรัลเฟสติวัล เชียงใหม่ และเซ็นทรัลพลาซา เชียงใหม่แอร์พอร์ต, เซ็นทรัลเฟสติวัล พัทยา บีช, เซ็นทรัล มารีนา พัทยา, เซ็นทรัลเฟสติวัล สมุย และเซ็นทรัลเฟสติวัล หาดใหญ่ ภายใต้งบประมาณ 5,000 ล้านบาท   “22” = เม็ดเงินลงทุงตามแผนธุรกิจมูลค่า 22,000 ล้าน   ตามแผนธุรกิจดังกล่าว บริษัทได้เตรียมงบประมาณไว้ทั้งสิ้น 22,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น   โครงการมิกซ์ยูส ‘เซ็นทรัลพลาซา อยุธยา’ มูลค่า 6,200 ล้านบาท โครงการมิกซ์ยูส ‘เซ็นทรัลพลาซา ศรีราชา’  มูลค่า 4,200 ล้านบาท โครงการมิกซ์ยูส ‘เซ็นทรัลพลาซา จันทบุรี’  มูลค่า 3,500 ล้านบาท โครงการเซ็นทรัลพลาซา พระราม 2 มูลค่า 1,500 ล้านบาท โครงการเซ็นทรัลพลาซา รามอินทรา  มูลค่า 1.600 ล้านบาท การปรับปรุงโครงการเดิม 12 แห่ง มูลค่า 5,000 ล้านบาท   “ไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร เราลงทุนต่อเนื่อง และลงทุนระยะยาวมาตลอด 39 ปี โดยพัฒนาสอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศ” นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN กล่าว  
ฮาบิแทท ผนึกทุนญี่ปุ่น เปิด 2 โปรเจ็กต์ มูลค่า 2.8 พันล้าน   

ฮาบิแทท ผนึกทุนญี่ปุ่น เปิด 2 โปรเจ็กต์ มูลค่า 2.8 พันล้าน   

ฮาบิแทท จับมือ ลิสต์ กรุ๊ป บิ๊กอสังหาฯ จากญี่ปุ่น ลุยตลาดคอนโดฯ กลางทองหล่อ ผุด 2 โปรเจ็กต์ มูลค่า 2,800 ล้าน   นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ฮาบิแททได้ร่วมทุนกับ “ลิสต์ กรุ๊ป” (List Group) ซึ่งดำเนินธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์ในประเทศญี่ปุ่น และเป็นตัวแทนซื้อขายอสังหาฯ ที่มีเครือข่ายกระจายอยู่ทั่วโลก จัดตั้งบริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป ลิสต์ จำกัด  พัฒนาโครงการ “วาลเด้น ทองหล่อ 8” และบริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป ลิสต์ 2 จำกัด พัฒนาโครงการ “วาลเด้น ทองหล่อ 13” โดยฮาบิแททถือหุ้น 62% และลิสต์ กรุ๊ป ถือหุ้น 38%   การพัฒนา 2 โครงการดังกล่าว เนื่องจากบริษัทฯ มองเห็นถึงศักยภาพการเติบโตของทำเลทองหล่อ ที่ยังมีอนาคต ปัจจุบันมีซัพพลายเหลือเพียง 30% โดยแบ่งเป็นคอนโดฯ High Rise 80% และ Low Rise 20% รวมถึงการปล่อยเช่าในกลุ่มชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย (Expat) โดยเฉพาะชาวญี่ปุ่นที่มักเลือกเช่าคอนโดฯ อยู่ในย่านนี้ ซึ่งได้ผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า (Rental Yield) ถึง 6% ต่อปี   การมีพาร์ทเนอร์เช่นนี้เป็นเหมือนการนำเอาจิ๊กซอว์มาต่อกันจนสมบูรณ์แบบ เกิดเป็นคุณค่ามากที่สุด สำหรับโครงการ วาลเด้น ทองหล่อ 8 (Walden Thonglor 8) มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท  เป็นอาคารสูง 8 ชั้น จำนวน 117 ยูนิต ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 1 ไร่ ในซอยทองหล่อ 8 ห่างจากถนนเส้นหลักเพียง 100 เมตร  มีขนาดห้องแบบ 1 ห้องนอน-2 ห้องนอนดีลักซ์ พื้นที่ 32.5-71 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 7.9 ล้านบาท   ส่วนโครงการวาลเด้น ทองหล่อ 13 (Walden Thonglor 13)  มีมูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท เป็นอาคารสูง 8 ชั้น จำนวน 122 ยูนิต พื้นที่กว่า 1 ไร่ มีห้องขนาด 1-2 ห้องนอน พื้นที่ 35-66 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 6.9 ล้านบาท  ทั้งสองโครงการจะเปิดรอบ VVIP Days ระหว่างวันที่ 26 - 27 ตุลาคมนี้  โดยตั้งเป้าปิดการขายภายใน 12 ​เดือน ซึ่งมีการแบ่งโควต้าแยกออกแต่ละชั้นชัดเจน  เป็นกลุ่มลูกค้าคนไทย  50%  ซึ่งบริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้รับผิดชอบการขาย  และอีก 50% วางเป้าหมายชาวต่างชาติ  โดยมีบริษัทในเครือของ ลิสต์ กรุ๊ป เป็นตัวแทนจำหน่าย  และมีบริษัทลูกของ JALUX มาบริหารจัดการโครงการอีกด้วย   ด้านนายยาสุชิ ยามาดะ ผู้อํานวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ลิสต์ โฮลดิ้งส์ สิงคโปร์ จำกัด และผู้อํานวยการฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท ลิสต์ ซอเธอบี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลตี้ ไทยแลนด์ กล่าวว่า จะใช้ประสบการณ์ด้านการเป็นตัวแทนอสังหาริมทรัพย์  ผู้พัฒนาโครงการ และบริหารอสังหาริมทรัพย์ในญี่ปุ่นอย่างยาวนาน กว่า 30 ปี รวมถึงเครือข่ายการตลาดในต่างประเทศของ ลิสต์ ซอเธอบี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลตี้ ที่มีสำนักงานอยู่ถึง 1,000 แห่ง ใน 71 ประเทศทั่วโลก มาช่วยในการทำตลาดและการขาย  ในกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ   “ตลาดคอนโดฯ ลักชัวรี่ในประเทศไทย นั้นยังคงแข็งแกร่งและน่าจับตามอง ซึ่งคาดว่าจะได้รับความสนใจ จากนักลงทุนชาวต่างชาติ โดยเฉพาะจากชาวญี่ปุ่น ฮ่องกง และสิงคโปร์ เพราะประเทศไทยเริ่มมี ธุรกิจใหม่ เข้ามาในโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC”   ขณะที่นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แม้ว่าภาพรวมตลาดคอนโดฯ ในประเทศไทยจะชะลอตัวลง แต่ยังคงมีกำลังซื้ออยู่ เพียงแค่อาจมีการตัดสินใจซื้อช้าลง มีการเปรียบเทียบราคาและความคุ้มค่ากันมากขึ้น ซึ่งในทำเลทองหล่อยังคงได้รับความนิยมในการอยู่อาศัย เนื่องจากเป็นย่านใจกลางเมืองที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย   จากการสำรวจในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมาพบว่า ชาวต่างชาติที่เข้ามาทำงานในประเทศไทยประมาณกว่า 200,000 คน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นชาวญี่ปุ่นมากที่สุดกว่า 90,000 คน คิดเป็น 19% รองลงมาเป็นจีน ฟิลิปปินส์ อินเดีย อังกฤษ สหรัฐฯ เกาหลีใต้ และอื่นๆ ซึ่งพฤติกรรมของชาวญี่ปุ่นมักนิยมเช่าคอนโดฯ 1 ห้องนอน ที่มีขนาดตั้งแต่ 40 ตารางเมตร​ ขึ้นไป ในช่วงราคา 35,000-40,000 บาทต่อเดือน   “ในส่วนของ CBRE ที่ดูแลการขายลูกค้าคนไทย ได้ตั้งเป้าไว้ว่าช่วงวัน VVIP Days จะสามารถทำยอดขายได้ 25% จาก 50% ของโควตาลูกค้าคนไทย”   ส่วนนายมาซาชิ ฮิกุจิ ประธานบริหาร บริษัท เจอาร์อี ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด บริษัทลูกของ JALUX ผู้เชี่ยวชาญด้านบริหารโครงการที่พักอาศัยจากญี่ปุ่น เผยว่า บริษัทฯ มีการบริหารจัดการโครงการที่พักอาศัยในญี่ปุ่นกว่า 3,500 ยูนิต มีอัตราการเข้าพักเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 95% ในปัจจุบันเป็นเจ้าของและบริหารจัดการเซอร์วิส อพาร์ทเม้นท์ ชื่อ L’axe Sriracha JALUX Serviced Residence ในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งเป็นศูนย์กลางของชุมชนชาวญี่ปุ่นที่ใหญ่ที่สุด        
อสังหาฯ ไทยยังเนื้อหอม ทุนจีนไม่หวั่นตลาดขาลง-LTV คุมเข้ม

อสังหาฯ ไทยยังเนื้อหอม ทุนจีนไม่หวั่นตลาดขาลง-LTV คุมเข้ม

นักธุรกิจจีนมั่นใจศักยภาพตลาดอสังหาฯ เมืองไทย ยังมีดีมานด์อีกจำนวนมาก จากคนย้ายเข้ามาหางานในเมือง เศรษฐกิจมีแนวโน้มขาขึ้น  พร้อมลงทุนกว่า 22,500 ล้าน ผุดคอนโดฯ 4 โปรเจ็กต์  เตรียมที่ดินอีก 100 ไร่ ปั้นมิกซ์ยูส   นายเฉิน ซู่เฟิง ประธานกรรมการประจำภูมิภาค บริษัท ไฮไชน์ ดีเวลลอปเม้นท์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า  ได้ร่วมทุนกับนักธุรกิจคนไทยพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย เนื่องจากมองเห็นศักยภาพตลาดอสังหาฯ ที่เชื่อว่ายังมีความต้องการอยู่เป็นจำนวนมาก จากการขยายตัวของเมือง ซึ่งทำให้มีแรงงานจากต่างจังหวัดเข้ามาหางานทำในกรุงเทพฯ และปริมณฑล  ที่ถือว่าเป็นความต้องการที่แท้จริง ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจมีแนวโน้มเติบโต   แม้ว่าปัจจุบันตลาดอสังหาฯ จะอยู่ในช่วงขาลง จากปริมาณห้องชุดคอนโดฯ ที่มีออกมาจำนวนมาก จนส่งผลให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (แบงก์ชาติ) ต้องออกมาตรการ LTV มาควบคุมการปล่อยสินเชื่อ ธนาคารเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อ ตลาดอสังหาฯ ยังแข่งขันกันรุนแรงด้วย  แต่เชื่อว่าในระยะเวลาประมาณ 2 ปี ภาวะตลาดจะกลับมาฟื้นตัว ภาวะเศรษฐกิจก็จะเติบโตเพิ่มมากขึ้น จึงเชื่อว่าในอนาคตตลาดอสังหาฯ จะกลับมาเติบโตเป็นปกติ   “แม้ว่าการกู้เงินซื้อคอนโดฯ จะมีมาตรการควบคุมเข้มงวด แต่เชื่อว่าอสังหาฯ ไทยยังเติบโตต่อไปได้ เพราะไทยมีประชากรเยอะกว่า 70 ล้านคน เป็นตลาดที่มีความต้องการสูง ตลาดกรุงเทพฯ เหมือนกับประเทศจีนเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ประชากรที่อยู่ในปริมณฑลแล้วย้ายเข้ามาอยู่ในเมือง”    สำหรับกลุ่มไฮไชน์ได้ศึกษาตลาดในประเทศไทยมาตั้งแต่ 2 ปีที่ผ่านมา และได้ลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดฯ 4 โครงการ รวมมูลค่า 22,500 ล้านบาท ได้แก่ โครงการรีเกิล สาทร-นราธิวาส ปัจจุบันมียอดขายแล้ว 40% โครงการรีเกิล บางนา มียอดขายแล้ว 20%   โดยในเดือนพฤศจิกายน บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวโครงการรีเกิล ศรีนครินทร์ 40 คอนโดฯ ขนาดความสูง  8 ชั้น มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท ตั้งอยู่ในซอยศรีนครินทร์ 40 และใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ห่างจากจากซีคอนสแควร์ 400 เมตร และห้างสรรพสินค้าพาราไดซ์ พาร์ค 700 เมตร   ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวโครงการรีเกิล สุขุมวิท 76 เป็นโครงการมิกซ์ยูส ประกอบด้วย อาคารที่พักอาศัย 8 อาคาร จำนวน 4,931 ยูนิตราคาเริ่มต้นที่ 1.79-10  ล้านบาท และพื้นที่ศูนย์การค้า 15,000 ตารางเมตร  มูลค่าโครงการกว่า 16,000 ล้านบาท  ใกล้รถไฟฟ้าบีทีเอส ซึ่งอยู่ระหว่างสถานีแบริ่งและสถานีสำโรง   นายเฉิน กล่าวว่า บริษัทวางแผนการลงทุนอย่างต่อเนื่องในประเทศไทย  โดยนอกจาก 4 โครงการดังกล่าวแล้ว ยังเตรียมพัฒนาที่ดิน 100 ไร่ ใกล้สนาบินสุวรรณภูมิ เป็นโครงการมิกซ์ยูส ซึ่งประกอบด้วยโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ พื้นที่เชิงพาณิชย์ อาทิ ห้างสรรพสินค้า โดยจะแบ่งการพัฒนาออกเป็นเฟส  ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาและวางแผนโครงการ คาดว่าจะเปิดตัวได้ในช่วงปลายปีนี้     “กลยุทธ์การแข่งขันในตลาดประเทศไทย บริษัทจะชู 3 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.การออกแบบให้ตรงความต้องการของกลุ่มลูกค้าคนไทย 2.เลือกพัฒนาโครงการในทำเลศักยภาพ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสหรือเอ็มอาร์ที และ 3.วางกลยุทธ์ราคาให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายสามารถซื้อได้ โดยปีนี้ตั้งเป้ายอดขาย 3,000 ล้านบาท และจะเพิ่มขึ้นเป็น 4,500 ล้านบาทในปี 2563”   สำหรับ กลุ่มบริษัท ไฮไชน์ กรุ๊ป เป็นกลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์จากฮ่องกงและจีน ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนากว่า 138 โครงการ ในหลายประเทศ ทั้งจีน ฮ่องกง เป็นต้น เฉพาะตลาดในประเทศจีนมียอดขายกว่า 100,000 ล้านบาท  ปัจจุบันบริษัทได้เข้าไปลงทุนในหลายประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  ทั้งประเทศมาเลเซีย ไทย  และอยู่ระหว่างการศึกษา เพื่อเข้าลงทุนในเวียดนามและเมียนมา ขณะที่ประเทศมาเลเซีย ยังมีแผนพัฒนาต่อเนื่อง เป็นโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่มูลค่ากว่า 100,000 ล้านบาทด้วย
เจาะอินไซต์ 8 เทรนด์ท่องเที่ยวปี 2020 นักท่องเที่ยวไทยใส่ใจสิ่งแวดล้อม-เที่ยวเมืองรองมากขึ้น

เจาะอินไซต์ 8 เทรนด์ท่องเที่ยวปี 2020 นักท่องเที่ยวไทยใส่ใจสิ่งแวดล้อม-เที่ยวเมืองรองมากขึ้น

เข้าสู่ช่วงไตรมาสสุดท้าย ถือว่าเป็นฤดูกาลของเฉลิมฉลอง การจับจ่ายใช้สอย รวมถึงการเดินทางท่องเที่ยว หลังจากเหน็ดเหนื่อยจากการทำงาน มาตลอดเวลาเกือบปี คนส่วนใหญ่จึงให้รางวัลชีวิต กับวิธีการต่างๆ โดยเฉพาะการเดินทางท่องเที่ยว ซึ่งคนยุคนี้ถือว่าเป็นช่วงเวลาเติมพลังให้กับชีวิต   แต่รูปแบบการเดินทางท่องเที่ยวของคนยุคปัจจุบัน เปลี่ยนแปลงไปจากอดีต เพราะไลฟ์สไตล์และความต้องการหาประสบการณ์ท่องเที่ยวไม่เหมือนเดิม จากรูปแบบการท่องเที่ยวได้พัฒนาไปอย่างไม่หยุด รวมถึงเกิดแหล่งท่องเที่ยวใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมาตลอดเวลา ซึ่งรูปแบบการท่องเที่ยวในอนาคต จะเป็นอย่างไรบ้างนั้น  ลองมาดูรายงานจาก Booking.com ที่มองแนวโน้มการท่องเที่ยวในปี 2020 ว่าจะเป็นอย่างไรกันบ้าง   ปี 2020 ทาง Booking.com คาดว่า จะเป็นปีแห่งการท่องเที่ยวเชิงสำรวจ อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ด้วยแรงขับเคลื่อนของเทคโนโลยี รวมถึงความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น ตลอดจนความผูกพันที่ลึกซึ้งขึ้นต่อผู้คน และสถานที่ที่นักท่องเที่ยวไปเยือน  จากผลสำรวจจากกลุ่มนักเดินทางมากกว่า 22,000 คนจาก 29 ประเทศ อีกทั้งข้อมูลเชิงลึก จากรีวิวของผู้เข้าพักกว่า 180 ล้านรายการที่ได้รับการตรวจสอบแล้ว ทั้งหมดนี้นำมาสู่บทสรุปเทรนด์ท่องเที่ยวซึ่งเราคาดไว้ว่าจะกลายเป็นจริงในปีหน้าและปีต่อๆ ไป   1.กระแสเที่ยว “เมืองรอง” จะมาแรงขึ้น     การเที่ยวเมืองรอง หมายถึง การไปสำรวจจุดหมายที่เป็นที่รู้จักน้อยกว่า เพื่อพยายามลดปัญหานักท่องเที่ยวล้นเมืองและช่วยปกป้องสิ่งแวดล้อม โดยเทรนด์ท่องเที่ยวนี้ จะเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปีที่จะมาถึง ผู้เดินทางชาวไทยจำนวนมากกว่าครึ่ง หรือสัดส่วน 68% อยากมีส่วนร่วมในการลดปัญหานักท่องเที่ยวล้นเมือง   ส่วนผลสำรวจสัดส่วน 65% ต้องการเปลี่ยนแผน ไปเที่ยวจุดหมายอื่นที่เป็นที่รู้จักน้อยกว่า แต่คล้ายกับของเดิม หากพบว่าจะช่วยลดผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อม และเพื่อกระตุ้นความสนใจนี้ยิ่งขึ้น ผู้เดินทางชาวไทยมากกว่าสามในสี่ หรือสัดส่วน 79% อยากให้มีบริการ ทางด้านแอปพลิเคชันหรือเว็บไซต์ แนะนำจุดหมายที่หากมีผู้ไปเที่ยวเพิ่มขึ้นแล้วจะช่วยสร้างผลเชิงบวกให้กับชุมชนท้องถิ่นนั้นๆ ซึ่งคาดการณ์ได้เลยว่าบริษัทต่างๆ จะตอบสนองต่อความต้องการนี้ โดยเสนอฟังก์ชั่นที่ทำให้ผู้เดินทางสามารถระบุเมืองรอง  ละแวกจุดหมายได้ง่ายขึ้น   โดยฟังก์ชั่นนี้จะทำความเข้าใจกับสไตล์ของผู้เดินทาง แล้วนำไปจับคู่กับจุดหมายทางเลือก หรือจุดหมายที่เป็นที่รู้จักน้อยกว่าในประเทศหรือภูมิภาคที่ผู้เดินทางต้องการไป นอกจากนี้ความร่วมมือที่เพิ่มขึ้นในแวดวงการเดินทาง จะทำให้แคมเปญสร้างความตระหนักให้เกิดขึ้นจำนวนมาก อีกทั้งช่วยขับเคลื่อนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ไปสู่การกระตุ้นให้ผู้เดินทางเลือกใช้เส้นทางที่มีการเดินทางไปน้อยกว่าได้สะดวกยิ่งขึ้น   2.ให้เทคโนโลยีคาดการณ์สิ่งที่ไม่คาดคิด   ในปี 2020 ผู้เดินทางจะใช้เทคโนโลยีมากยิ่งขึ้น ในกระบวนการตัดสินใจหลักๆ อย่างการเลือกว่าจะไปเยือนมุมใดของโลกที่แสนน่าทึ่งนี้ ซึ่งอาจมีตัวเลือกมากมายจนตัดสินใจไม่ถูก ทว่าในปีที่ใกล้เข้ามานี้จะมีการใช้เทคโนโลยีสุดสร้างสรรค์ เพื่อสร้างแรงบันดาลใจและช่วยให้เราก้าวข้ามเรื่องยุ่งยากนี้ได้อย่างง่ายดาย ด้วยคำแนะนำที่ชาญฉลาดและเทคโนโลยีประมวลผลที่เชื่อถือได้ จะเชื่อมโยงเรากับประสบการณ์ใหม่ๆ จำนวนมหาศาล ซึ่งถ้าไม่ใช่เพราะเทคโนโลยีแล้วเราก็อาจไม่ได้มีโอกาสสัมผัส นอกจากนี้ยังช่วยประหยัดเวลา รวมถึงเวลาที่ใช้นั่งหน้าจอดิจิทัล และช่วยให้เราใช้ทุกนาทีของ “ตอนนี้” ได้อย่างเต็มที่ระหว่างออกเดินทาง   นี่เรียกได้ว่าเป็นข่าวดีสำหรับผู้เดินทางชาวไทยมากกว่า 4 ใน 5 หรือสัดส่วน 82%  ซึ่งกล่าวว่าต้องการให้ผู้ประกอบการเทคโนโลยีเสนอ “ไพ่เด็ด” และตัวเลือกสุดเซอร์ไพรส์ ซึ่งจะพาไปพบกับประสบการณ์แปลกใหม่อย่างแท้จริง สำหรับทริปในปีที่จะมาถึง นอกจากนี้ ผู้เดินทางไทยมากกว่าครึ่ง สัดส่วน 64% เน้นว่าระหว่างเดินทางจะใช้แอปพลิเคชันที่ทำให้เลือกดูและจองกิจกรรมแบบเรียลไทม์ได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย   ในขณะที่ผู้คนสัดส่วน ​61% มีแผนที่จะใช้แอปพลิเคชั่น  ซึ่งสามารถวางแผนกิจกรรมต่างๆ ล่วงหน้า เพื่อให้มีคำตอบรวมอยู่ในที่เดียว และเพื่อตอบสนองความต้องการนี้ ในปี 2020 จะมีแอปพลิเคชันจำนวนมากยิ่งขึ้นมาพร้อมกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่คอยเสนอคำแนะนำ  สำหรับผู้ใช้รายนั้นๆ โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นจุดหมาย ที่พัก และกิจกรรมน่าสนใจ โดยอิงตามความชอบในปัจจุบัน ทริปก่อนหน้า และองค์ประกอบหลักที่อาจส่งผลกระทบได้ เช่น สภาพอากาศและความนิยม   3.เที่ยวแบบสโลว์ๆ จะมาแทน #FOMO     แทนที่จะต้องคอยกลัวตกกระแส (Fear of Missing Out หรือ FOMO) และต้องเร่งรีบทำทุกอย่างให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ การเดินทางในปี 2020 นั้นจะพลิกโฉมไปเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยผู้เดินทางชาวไทยมากกว่าครึ่ง สัดส่วน 61% วางแผนที่จะใช้รูปแแบบการเดินทางที่ช้าลง เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และ 3 ใน 4  สัดส่วน  78% อยากเลือกเส้นทางที่ใช้เวลาเพิ่มขึ้น เพื่อสัมผัสประสบการณ์จากการเดินทางให้มากขึ้น   รูปแบบการเดินทางซึ่งช่วยสนับสนุนความต้องการที่เปลี่ยนไป ก็จะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขี่จักรยาน รถราง เลื่อนลาก เรือ รวมถึงเดินด้วยสองเท้าของนักเดินทางเอง ตามจริงแล้วผู้เดินทางชาวไทย 75% ไม่เกี่ยงว่าจะต้องใช้เวลาเดินทางไปจุดหมายนานขึ้น หากได้ใช้วิธีเดินทางแบบแปลกใหม่  นอกจากนี้ ผู้เดินทาง 73% อยากสัมผัสถึงความรู้สึกราวกับได้ย้อนเวลา ด้วยการนั่งรถไฟสายประวัติศาสตร์ เช่น Flying Scotsman หรือ Orient Express เฝ้ารอปีแห่งการเดินทางสุดพิเศษแบบค่อยเป็นค่อยไปได้เลย   4.ค้นพบการท่องเที่ยวที่สัมผัสความสนุกได้แบบครบครัน   โลกที่หมุนไปอย่างรวดเร็วทำให้ผู้คนส่วนใหญ่มักไม่มีเวลาว่างพอ เป็นเหตุให้ไม่ได้เริ่มทริปหรือหยุดพักผ่อน ผู้เดินทางต่างต้องการใช้เวลาให้มีประสิทธิภาพที่สุดระหว่างพักผ่อน ดังนั้น แทนที่จะเที่ยวแค่แบบเดียวตลอดทริป ในปี 2020 จะมีผู้เดินทางที่ต้องการทริปแบบ “ความสนุกครบครัน” เพิ่มขึ้น โดยไปเยือนจุดหมายที่มอบประสบการณ์หลากหลายและมีสิ่งน่าสนใจ โดย 7 ใน 10 ของผู้เดินทางชาวไทย หรือสัดส่วน 71%  กล่าวว่าต้องการออกทริปยาว ๆ สักครั้งเพื่อไปยังสถานที่ที่มีกิจกรรมและสิ่งที่น่าสนใจสุดโปรดทั้งหมดอยู่ใกล้กัน   นักท่องเที่ยวอีก 77% ยอมรับว่าจะเลือกจุดหมายที่มีกิจกรรมและสิ่งที่น่าสนใจสุดโปรดทั้งหมดอยู่ใกล้กันเพื่อจะได้ประหยัดเวลาเดินทาง จากเทรนด์นี้จึงทำให้คาดได้ว่า แวดวงการเดินทางจะพัฒนาอย่างต่อเนื่องให้ผู้เดินทางสะดวกยิ่งขึ้น โดยสร้างแผนเดินทางที่อัดแน่นด้วยความสนุกและสิ่งที่น่าสนใจหลากหลาย ข้อเสนอ และเส้นทางที่จะทำให้ผู้เดินทางได้เที่ยวจุดหมายสนุกครบครันเหล่านี้อย่างเต็มที่   เมื่อพูดถึงจุดหมายที่มีครบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นทิวทัศน์ธรรมชาติโดดเด่น ซึ่งสามารถดื่มด่ำได้จากระเบียงห้องพักไปจนถึงสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ สวนสุดตื่นตา และชายหาดสำหรับเล่นน้ำคลายร้อน เพื่อผ่อนคลายหลังออกสำรวจมากทั้งวัน ปิดท้ายด้วยมื้อเย็นที่ร้านอาหารท้องถิ่นรสดั้งเดิม จากการสำรวจความคิดเห็นของผู้เดินทางที่ใช้บริการ Booking.com ต่างกล่าวว่าจุดหมายอันดับต้น ๆ ที่สามารถมอบประสบการณ์ความสนุกแบบครบครันให้กับนักท่องเที่ยวได้ คือ มอนเตวิเดโอ (อุรุกวัย) อิลญาเบลา (บราซิล) และนาฮะ (ญี่ปุ่น) เมื่อเทียบกับจุดหมายอื่น ๆ   5.สัตว์เลี้ยงต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง   เจ้าของสัตว์เลี้ยงทั่วโลกเกินครึ่ง สัดส่วน 55%  ให้ความสำคัญกับสัตว์เลี้ยงเหมือนเป็นลูก  รวมถึงเจ้าของสัตว์เลี้ยงชาวไทยในสัดส่วน 53% ด้วยเช่นกันที่ให้ความสำคัญ จึงไม่น่าแปลกใจที่เทรนด์การเดินทางปี 2020 นี้จะถือเป็นจุดเริ่มต้นยุคใหม่ของการพักผ่อน  โดยสถานที่พัก หรือกิจกรรมต่า่งๆ ต้องให้การต้อนรับสัตว์เลี้ยงด้วย   เจ้าของสัตว์เลี้ยงชาวไทย 52% ยอมรับว่าในปีหน้าจะเลือกจุดหมายพักร้อนโดยอิงจาก ความเป็นไปได้ในการพาสัตว์เลี้ยงไปด้วย และเจ้าของสัตว์เลี้ยงจำนวน 52% ก็ยินดีที่จะจ่ายเพิ่ม  เพื่อพักที่พักซึ่งเป็นมิตรกับสัตว์เลี้ยง เทรนด์นี้เห็นได้ชัดจากจำนวนที่พักซึ่งยินดีต้อนรับสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องบน Booking.com   ผู้ประกอบการที่พักทั่วโลกยังคงมองหาวิธีใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับการบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับสัตว์เลี้ยงโดยเฉพาะ เช่น ที่นอนสุนัข สปาสัตว์เลี้ยง เมนูรูมเซอร์วิส หรือแม้แต่ห้องอาหารที่ออกแบบเป็นพิเศษเพื่อสัตว์เลี้ยง เรียกได้ว่าสัตว์เลี้ยงที่เดินทางพักร้อนพร้อมเจ้าของ สามารถตั้งตารอประสบการณ์ระดับ 5 ดาวได้อย่างแน่นอน   6.สร้างความทรงจำดี ๆ ด้วย “ทริปสองวัย”   ปี 2020 เป็นปีแห่ง “ทริปสองวัย” ลืมคำว่าช่องว่างระหว่างวัยไปได้เลย เพราะจะมีปู่ย่าตายายจำนวนมากขึ้น ที่พร้อมไปพักร้อนอย่างยิ่งใหญ่กับหลานๆ โดยไม่ได้พาคนเป็นพ่อแม่ไปด้วย ชาวไทยในรุ่นปู่ย่าตายายเกือบ 3 ใน 4  สัดส่วน 74% ยอมรับว่าการใช้เวลากับหลานๆ ทำให้ตนเองได้รู้สึกย้อนวัย โดยอีก 56% เชื่อว่าเหล่าพ่อแม่ก็อยากมีเวลาเป็นส่วนตัวบ้างโดยไม่มีเด็กๆ มารบกวน   เมื่อจับคู่กับความจริงที่ว่าผู้สูงวัยทุกวันนี้แข็งแรงกว่า ชอบผจญภัยมากกว่า และกระตือรือร้นที่จะได้รู้สึกเหมือนกลับไปเป็นเด็ก อีกทั้งกระฉับกระเฉงกว่าเมื่อก่อน เราก็จะได้เห็นว่า “ทริปสองวัย” ซึ่งมีกิจกรรมสุดแอคทีฟมากมายให้คนสองวัยได้เข้าร่วมนั้น จะได้รับความนิยมมากขึ้นไปอีกในปีหน้า   7.แข่งกันไปจองร้านอาหาร     เมื่อต้องตัดสินใจเรื่องท่องเที่ยวในปีหน้า จะเห็นว่าผู้เดินทางต่างให้ความสำคัญกับเรื่องอาหารเป็นอันดับแรกๆ โดยต่างแย่งกันจองร้านอาหารดังๆ สำหรับหลายคนแล้ว การเลือกจุดหมายและช่วงที่จะเดินทางนั้นเริ่มต้นจาก  สามารถจองร้านเพื่ออิ่มอร่อยกับอาหารที่อยากทานมากๆ ได้หรือไม่   นอกจากนี้ ความหิวก็ยังถูกกระตุ้นด้วยเนื้อหาและคำแนะนำมหาศาลบนโซเชียลมีเดีย จึงไม่ได้มีเพียงร้านอาหารชื่อดังเท่านั้น ที่ผู้เดินทางต่างพยายามอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อจองโต๊ะ “ร้านลับ” ซึ่งเป็นสถานที่โปรดของคนท้องถิ่นมาอย่างยาวนาน เสิร์ฟเมนูที่ทำจากวัตถุดิบท้องถิ่นที่ผู้คนมากมายอยากลิ้มลอง โดยหลายครั้งอยู่ในเส้นทางซึ่งคนไม่ค่อยรู้จักกัน ได้กลายมาเป็นร้านซึ่งมีแนวโน้มชวนให้ผู้เดินทางซึ่งต้องการลิ้มรสอาหารท้องถิ่นน้ำลายสอ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้เดินทางชาวไทยส่วนใหญ่ จำนวนถึง 85% กล่าวว่าการได้ทานอาหารที่ใช้วัตถุดิบในท้องถิ่นนั้นเป็นเรื่องสำคัญเมื่อไปทริปวันหยุด   ดังนั้น เตรียมกาปฏิทินหาวันหยุดได้เลย เพราะในปีหน้าผู้เดินทางจะเปลี่ยนแผนท่องเที่ยวโดยอิงจุดหมายที่เหมาะกับการไปทานอาหารเป็นหลัก โดยอยากไปดื่มด่ำรสชาติก่อนใคร และต้องการไปเยือนร้านเป็นรายแรก ๆ หรือก่อนที่จะกลายเป็นร้านดังออกสื่อต้องจองโต๊ะไปอีกร้าน   8.ทางลัดที่จะได้ออกเดินทางระยะยาว   เนื่องจากการเกษียณมีแนวโน้มมากขึ้นเรื่อยๆ ที่จะไม่ได้มีเป้าหมายเพียงเพื่อมีอายุถึงจุดหนึ่ง และไม่ต้องทำงานแล้ว แต่วางแผนอย่างแข็งขันที่จะเกษียณเร็วขึ้น ในปี 2020 เราจึงจะได้เห็นการวางแผนการเกษียณเป็นเหมือนกับ “การวางแผนเดินทางเพื่อออกผจญภัย”   ชาวไทยในช่วงอายุ 18-25 ปี จำนวนมากกว่าหนึ่งในสี่ หรือสัดส่วน 28% กำลังวางแผนที่จะเกษียณก่อนอายุ 55 ปี โดยเรื่องที่วางแผนว่าจะทำก็เปลี่ยนไปเช่นกัน สำหรับปี 2020 ผู้เดินทางจะเปลี่ยนแนวคิดและเริ่มวางแผนครั้งใหญ่หลังเกษียณในอนาคต โดยผู้เดินทางชาวไทย 7 ใน 10 หรือสัดส่วน 72%​ เห็นว่าการออกเดินทาง หรือท่องเที่ยว เป็นวิธีสุดสมบูรณ์แบบที่จะใช้เวลาว่างจากการเกษียณ   ส่วนผู้เดินทางชาวไทยสามในสี่ หรือสัดส่วน 73% วางแผนที่จะทำให้ทริปโลดโผนขึ้นเมื่อเกษียณแล้ว และมากกว่าหนึ่งในสี่ หรือสัดส่วน 28% ของคนที่เกษียณแล้วก็กำลังวางแผน Gap Year คือเอาเวลาไปเที่ยวนานหลายเดือนโดยไม่ให้มีเรื่องอะไรมาขัดจังหวะ ซึ่งเป็นการเดินทางที่ผู้เดินทางชาวไทยเกือบ 3 ใน 4 หรือสัดส่วน 73% เห็นพ้องว่าสามารถทำตอนอายุเท่าไรก็ได้  และเนื่องจากการเกษียณและการเดินทางการเป็นเรื่องที่ควบคู่ไปด้วยกันสำหรับกลุ่มคนในหลายช่วงอายุ จึงคาดว่าจะได้เห็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้ผู้เดินทางสามารถเริ่มกระบวนการวางแผนผ่านเงินเก็บสำหรับ “ทริปหลังเกษียณ” โดยเป็นไปในลักษณะที่เปิดโอกาสให้ผู้เดินทาง ปันเงินไว้สำหรับทริปพักร้อนที่ยาวที่สุดในชีวิต   นี่คือ 8 เทรนด์การท่องเที่ยวที่จะเกิดขึ้นในปีหน้า สำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางท่องเที่ยว ตอนนี้ ก็เตรียมเงินและวางแผนหาวันหยุด แล้วแพ็คกระเป๋า ออกไปท่องโลกกว้าง เพื่อเติมพลังชีวิตกันได้เลย
สรุปข่าวอสังหาริมทรัพย์รอบสัปดาห์ วันที่  7 – 13 ตุลาคม 2562

สรุปข่าวอสังหาริมทรัพย์รอบสัปดาห์ วันที่ 7 – 13 ตุลาคม 2562

ถึงตอนนี้ ถือว่าเข้าเราได้เดินทางมาสู่ไตรมาสสุดท้ายอย่างเต็มตัวแล้ว บรรยากาศช่วงไฮซีซั่นกำลังเริ่มต้นขึ้น เห็นได้จากแคมเปญการตลาดออกมากันแบบแรงๆ เพื่อเรียกยอดขาย  เพราะโค้งสุดท้ายแล้ว  หากหมดไตรมาสนี้ คงไม่มีเวลาสร้างผลงาน ให้ได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ตั้งแต่ต้นปีแล้ว แม้จะมีผู้ประกอบการหลายราย ได้ปรับเป้าหมายทางธุรกิจไปกันบ้างแล้วก็ตาม   ส่วนในรอบสัปดาห์วันที่ 7-13 ตุลาคมที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์อะไรบ้างในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ลองมาดูกัน   ฮาบิแทท 2 โครงการใหม่ย่านทองหล่อ      การเปิดตัวโครงการใหม่ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่อง ล่าสุด ฮาบิแทท กรุ๊ป เปิดตัว 2 โครงการใหม่  มูลค่ากว่า 2,800 ล้านบาท ได้แก่  โครงการ วาลเด้น ทองหล่อ 8 (Walden Thonglor 8) และ โครงการ วาลเด้น ทองหล่อ 13 (Walden Thonglor 13) พร้อมดึง เจอาร์อี ดีเวลลอปเม้นท์ (JRE Development) บริษัท  ลูกของ “แจลุกซ์” (JALUX Inc.) จากประเทศญี่ปุ่น มาช่วยบริหารที่พักอาศัย นายชนินทร์ วานิชวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ฮาบิแทท กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยว่า ได้ร่วมทุนกับลิสต์ กรุ๊ป (List Group) ผู้เชี่ยวชาญด้านอสังหาริมทรัพย์จากประเทศญี่ปุ่น พัฒนาคอนโดมิเนียมลักชัวรี่โลว์ไรซ์ 2 โครงการดังกล่าว โดยอาศัยความสามารถในการทำตลาดระดับนานาชาติ เข้ามาเสริมจุดแข็งผ่านเครือข่ายของ ลิสต์ ซอเธอบี้ส์ อินเตอร์เนชั่นแนล เรียลตี้  โดยทั้งสองโครงการคาดว่าจะเริ่มการก่อสร้างในช่วงไตรมาสแรก ปี 2563 และคาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสแรก ปี 2565  นอกจากนี้ ยังได้เจอาร์อี ดีเวลลอปเม้นท์ (JRE Development) บริษัทลูกของ JALUX มาเป็นผู้บริหารจัดการโครงการทั้ง 2 แห่งด้วย   “แสนสิริ” ผนึก “พลัส ” ทุ่ม 60 ล้านปั้้นระบบความปลอดภัย      เรื่องของความปลอดภัย ถือเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญที่ผู้ประกอบการ ต้องให้ความสำคัญที่ทุกโครงการต้องทำให้ผู้อยู่อาศัยปลอดภัย เพราะหากบ้านไม่ปลอดภัย คงไม่มีใครอยากอยู่ คนจะซื้อที่อยู่อาศัยสักแห่ง ก็ต้องเลือกโครงการอยู่แล้วปลอดภัยมากที่สุด แสนสิริ ซึ่งมองเห็นว่าเรื่องความปลอดภัย เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ลูกค้าใช้เป็นเกณฑ์การตัดสินใจซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียม จึงนำเอาระบบ Smart Command Centre ศูนย์ควบคุมความปลอดภัยจากส่วนกลางแบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง มาใช้ในโครงการของแสนสิริ อาทิ โครงการเดอะ ไลน์ อโศก-รัชดา   ล่าสุด แสนสิริ จับมือ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ ลงทุน 60 ล้านบาท ตั้งหน่วยธุรกิจใหม่ LIV-24 บุกเบิกแวดวงอสังหา ฯ กับสุดยอดบริการดูแลความปลอดภัยจากศูนย์ควบคุมแบบเรียลไทม์ 24 ชั่วโมง อย่างเต็มรูปแบบแห่งแรกและหนึ่งเดียวของวงการอสังหาฯ ไทย ซึ่งเป็นเวอร์ชั่นอัปเกรดสุดล้ำ ต่อยอดจากความสำเร็จของ Smart Command Centre ที่ยกระดับความความปลอดภัยจากส่วนกลางเข้าสู่ที่พักอาศัย ด้วยการเชื่อมต่อสัญญาณ Intrusion Alarm แจ้งเตือนเมื่อมีการบุกรุกเข้าสู่ตัวบ้าน และระบบ Smart Meter โซลูชั่นตรวจสอบและแจ้งเตือน เมื่อมีการใช้น้ำประปาและไฟฟ้าที่ผิดปกติในที่พักอาศัย ปี 2020 จ่อขยายการให้บริการครอบคลุม 47 โครงการของแสนสิริ มุ่งเดินหน้าเสริมความปลอดภัย พร้อมสร้างความพึงพอใจระดับสูงสุดให้กับลูกบ้านแสนสิริ   ดร.ทวิชา ตระกูลยิ่งยง ประธานผู้บริหารสายงานเทคโนโลยี บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้จับมือกับ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ เพื่อทรานส์ฟอร์มสู่ ‘LIV-24’ ซึ่งเป็นหน่วยธุรกิจใหม่ของพลัส พร็อพเพอร์ตี้  เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีความปลอดภัยให้เพิ่มมากขึ้น กับเทคโนโลยีที่ทันสมัยจากส่วนกลางเข้าสู่ที่พักอาศัย ด้วยการเชื่อมต่อสัญญาณ Intrusion Alarm แจ้งเตือนเมื่อมีการบุกรุกเข้าสู่ตัวบ้าน และระบบ Smart Meter โซลูชั่นตรวจสอบและแจ้งเตือน เมื่อมีการใช้น้ำประปาและไฟฟ้าที่ผิดปกติในที่พักอาศัย  ซึ่งวางเป้าหมายติดตั้งกับโครงการของแสนสิริให้ครอบคลุม 47 โครงการ ภายในปีหน้า   “ORI” กวาดยอดขายสะสม 9 เดือน ทะยานสู่ 23,148 ล้าน     ช่วงนี้บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เริ่มทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 3 ออกมากันบ้างแล้ว ล่าสุด บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI  แจ้งว่า สามารถสร้างยอดขายในช่วงไตรมาส 3/2562 ได้ถึงกว่า 10,188 ล้านบาท  ส่งผลให้บริษัทมียอดขายสะสม 9 เดือนแรกของปี 2562 อยู่ที่ 23,148 ล้านบาท หรือคิดเป็น 83% ของเป้าหมายยอดขายของทั้งปี 2562   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออริจิ้น  เปิดเผยว่า  ผลประกอบการในไตรมาส 3 ที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง  เป็นเพราะการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ ดิ ออริจิ้น (The Origin) จำนวน 4 โครงการ ตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาส 2 ประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมเหนือความคาดหมาย โดยมีถึง 3 โครงการที่สามารถปิดการขายได้แล้ว 100% (Sold Out) ได้แก่ 1. ดิ ออริจิ้น รามคำแหง 209 อินเตอร์เชนจ์ 2. ดิ ออริจิ้น รัชดา-ลาดพร้าว 3. ดิ ออริจิ้น ลาดพร้าว 15   ขณะเดียวกัน ดิ ออริจิ้น สุขุมวิท 105 ที่เพิ่งเปิดพรีเซลเมื่อกลางเดือนกันยายนที่ผ่านมา ก็ได้รับการตอบรับที่ดี ส่งผลให้ภาพรวมอัตรายอดขาย  ของแบรนด์ดิ ออริจิ้นที่เปิดตัวไป 4 โครงการ สูงถึงกว่า 85%  นอกจากนี้ โครงการคอนโดฯ แบรนด์พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) 2 โครงการที่ทยอยเปิดตัวในช่วงไตรมาส 2-3 มูลค่าโครงการรวมกว่า 7,500 ล้านบาท ก็สร้างยอดขายกลับมายังบริษัทได้อย่างต่อเนื่อง โดยโครงการพาร์ค ออริจิ้น จุฬา-สามย่าน และโครงการพาร์ค ออริจิ้น ราชเทวี ต่างมียอดขายแล้วกว่า 80% ขณะเดียวกัน โครงการเคนซิงตัน ระยอง คอนโดมิเนียมโลว์ไรส์ภายใต้โครงการออริจิ้น สมาร์ท ซิตี้ ระยอง ก็ได้รับการตอบรับที่น่าพึงพอใจ ล่าสุดคิดเป็นยอดขาย 90% ของจำนวนยูนิตที่เปิดขาย (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   BC โรดโชว์พบนักลงทุนกรุงเทพฯ     ความเคลื่อนไหวของบริษัทอสังหาฯ ในแวดวงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย นอกจากเรื่องประกาศผลประกอบการแล้ว บริษัทที่เตรียมเข้าเทรดหุ้นตอนนี้ อย่าง “บูทิค คอร์ปอเรชั่น” หรือ BC ได้เดินสายจัดงานโรดโชว์พบนักลงทุน เพื่อสรุปข้อมูลการเสนอขายหุ้นไอพีโอ 167 ล้านหุ้น และโชว์ความแข็งแกร่งในธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ รูปแบบสร้าง - ดำเนินงาน - ขาย หรือ BOS Model  เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ก่อนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ภายในปลายปีนี้   นายปรับชะรันซิงห์ ทักราล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บูทิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (BC)  เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้จัดงานสรุปข้อมูลการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่นักลงทุนและประชาชนทั่วไป (โรดโชว์)​ ที่จังหวัดกรุงเทพมหานคร เพื่อแนะนำธุรกิจ และสร้างความเชื่อมั่น ก่อนเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (ไอพีโอ) จำนวนไม่เกิน 167 ล้านหุ้น ตามแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในปลายปี 2562   โดยโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบ BOS Model วางเป้าหมายอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ไม่ต่ำกว่า 15%  ซึ่งความสำเร็จของโครงการที่กลุ่มบริษัทฯ ก่อสร้าง ดำเนินงาน และจำหน่ายออกไปแล้ว (BOS Model) มีจำนวน 6 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 3,525 ล้านบาท และได้กำไรจากการขายโครงการรวมมูลค่าประมาณ 1,626 ล้านบาท พร้อมทั้ง เดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่ในพื้นที่ที่มีศักยภาพทั่วประเทศ ได้แก่ กรุงเทพฯ ชั้นใน ย่านสุขุมวิทตอนต้น และเมืองท่องเที่ยวที่สำคัญ เช่น พัทยา ภูเก็ต และเชียงใหม่  สำหรับผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปี 2562 รายได้รวมอยู่ที่ 675.9 ล้านบาท เติบโต 56.7% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 431.3 ล้านบาท (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   AWC เทรดวันแรกปิดบวก 0.05 บาท   ส่วนบริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC บริษัทพัฒนาอสังหาฯ ในตระกูล “สิริวัฒนะภักดี” ของเสี่ยเจริญ เจ้าพ่ออาณาจักรเบียร์ช้าง ที่ได้เริ่มทำการซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เป็นวันแรกในวันที่ 10 ตุลาคมที่ผ่านมา ​ ซึ่งหุ้นของ AWC  ทำราคาปิดวันแรกบวกเพิ่ม 0.05 บาท หรือ +0.83%  จากราคาขาย IPO 6.00 บาท มีมูลค่าการซื้อขาย 8,130.18 ล้านบาท สำมารถทำราคาขึ้นไปได้สูงสุด 6.10 บาท และราคาลงต่ำสุด 6.00 บาท (อ่านข่าวเพิ่มเติม)   ไทยเตรียมจัดงานประชุมสภาประเมินราคาแห่งอาเซียน     ปิดท้ายกับข่าวของสมาคมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย เตรียมจัดงานประชุมสภานักประเมินราคาแห่งอาเซียน ครั้งที่ 22  ในประเทศไทยเนื่องจากเป็นประเทศเจ้าภาพ  ระหว่างวันที่ 20-22 ตุลาคม 2562 ที่โรงแรมดุสิตธานี พัทยา ซึ่งมีนายกิตติ พัฒนพงศ์พิบูล ดำรงตำแหน่งประธานสมาคมผู้ประเมินราคาแห่งอาเซียนระหว่างปี 2562-2563 โดยสมาคมผู้ประเมินราคาแห่งอาเซียน The ASEAN Valuers Association (AVA) ก่อตั้งในปี 2524 ปัจจุบันมีประเทศสมาชิก 8 ประเทศในอาเซียน ลาว และเมียนมา   สำหรับการประชุมในครั้งนี้จะเป็นโอกาสสำคัญต่อการผลักดันให้ไทยได้ยกระดับวิชาชีพการประเมินราคาทรัพย์สิน เนื่องจากที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายควบคุมวิชาชีพการประเมินราคาทรัพย์สินและไม่มีหน่วยงานตามกฎหมายที่จะกำกับดูแลมาตราฐานการประเมินราคา ประเทศไทยจึงได้เกิดปัญหาจากการประเมินราคาอยู่บ่อยครั้งตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยทางสมาคมได้เชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับมาร่วมประชุม เพื่อให้เห็นถึงความสำคัญในการมีกฎหมายควบคุมมาตรฐาน และพัฒนาการด้านต่างๆ ของการประเมินราคาทรัพย์สินในแต่ละประเทศสมาชิก AVA