Tag : News

2400 ผลลัพธ์
[PR News] LPN เปิดตัวโครงการใหม่ 1,200 ล้าน   “ลุมพินี เพลส แจ้งวัฒนะ – ปากเกร็ด สเตชั่น”

[PR News] LPN เปิดตัวโครงการใหม่ 1,200 ล้าน “ลุมพินี เพลส แจ้งวัฒนะ – ปากเกร็ด สเตชั่น”

ลุมพินี เพลส แจ้งวัฒนะ LPN เดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ มูลค่า 1,200 ล้านบาท “ลุมพินี เพลส แจ้งวัฒนะ - ปากเกร็ด สเตชั่น” คอนโดมิเนียม High-Rise แห่งใหม่ บนถนนแจ้งวัฒนะ           นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า LPN ได้เริ่มเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่บนถนนแจ้งวัฒนะ ในชื่อ “ลุมพินี เพลส แจ้งวัฒนะ - ปากเกร็ด สเตชั่น”  มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท เป็นโครงการแบบ High-Rise สูง 26 ชั้น จำนวนรวม  536 ยูนิต ตั้งอยู่บนทำเลใกล้ห้างเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ และสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 28 เพียง 300 เมตร โดยห้องชุดออกแบบสไตล์ Modern Luxury ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ด้วยห้องพักอาศัย 3 แบบ แบบสตูดิโอ ขนาด 23.50-24 ตร.ม. แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 28-28.50 ตร.ม. และแบบ 1 ห้องนอน พลัส ขนาด 34-35 ตร.ม. ในราคาเริ่มต้นที่ 2 ล้านบาท โดยจะเริ่มก่อสร้างในเดือน มิถุนายนนี้ และคาดว่าแล้วเสร็จในเดือน กุมภาพันธ์​ 2567 จากข้อมูลของ LPN พบว่า คอนโดบนทำเลแจ้งวัฒนะที่เปิดขายมาตั้งแต่ปี 2560-2565 เหลืออยู่ประมาณ 2,375 ยูนิตเท่านั้น     ทั้งนี้ LPN ได้วางกระบวนการพัฒนาที่อยู่อาศัยภายใต้แนวคิด “น่าอยู่” (LIVABLE) โดยตั้งเป้าการพัฒนาให้แบรนด์ “เพลส” คือ คอนโด ที่น่าอยู่ ผ่านการคิด ออกแบบและพัฒนาโครงการ ให้น่าอยู่ในทุกมิติ สามารถปรับพื้นที่การอยู่อาศัย การทำงาน และการใช้ชีวิตส่วนตัวให้น่าอยู่ภายใต้ข้อจำกัดของการใช้ชีวิตยุคใหม่ เพื่อตอบสนองกลุ่มเป้าหมายรุ่นใหม่ ภายใต้จุดยืน 3 องค์ประกอบดังนี้ LIVABLE DESIGN การออกแบบที่น่าอยู่ ในการนำเสนอการออกแบบห้องที่เน้นฟังก์ชันที่ปรับเปลี่ยนได้ เพิ่มความเป็นสัดส่วนแต่คงความเป็นส่วนตัว ตอบรูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้าได้มากขึ้น   LIVABLE PLACE การออกแบบส่วนกลางที่ตอบทุกมิติการใช้ชีวิต ทั้งไลฟ์สไตล์และการทำงาน ที่ลงตัวกับการพักผ่อนและมุมแอคทีฟไปพร้อมๆ กัน   LIVABLE LIFE พร้อมส่งมอบชีวิตน่าอยู่ บนทำเลที่น่าอยู่ พร้อมบริการครบครัน เพื่อที่คุณลูกค้าจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกด้าน
ศุภาลัย  กวาดยอดขายไตรมาสแรก 8,852 ล้าน โตสวนกระแสสร้างพรีเซลแนวราบนิวไฮด์  

ศุภาลัย กวาดยอดขายไตรมาสแรก 8,852 ล้าน โตสวนกระแสสร้างพรีเซลแนวราบนิวไฮด์  

ศุภาลัย ศุภาลัย กวาดยอดขายไตรมาสแรก 8,852 ล้าน โตสวนกระแส สร้างพรีเซลแนวราบนิวไฮด์ สูงกว่า 39% พร้อมเดินหน้าเปิด 7 โครงการ มูลค่า​ 9,700 ล้าน ดัน​ยอดขายทะลุเป้า 28,000 ล้าน และเป้ารายได้ 29,000   นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 ที่ผ่านมาศุภาลัยมียอดขายรวม​ 8,852 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับยอดขายรวม Q1/2564 อยู่ที่ 7,229 ล้านบาท โดยสามารถทำยอดขายสินค้าแนวราบในกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัดมากถึง 6,328 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ที่ผ่านมา   สำหรับทำเลยอดนิยมที่สร้างยอดขายในกลุ่มสินค้าแนวราบได้มากเป็นอับดับต้น ๆ คือ พื้นที่จังหวัดกรุงเทพฯ โซนเหนือและตะวันออก รวมถึงในจังหวัดชลบุรี ระยอง และภูเก็ต  ขณะที่สินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียม บริษัทสามารถทำยอดขายในโครงการที่เปิดใหม่และสร้างเสร็จพร้อมอยู่ได้มูลค่าที่ 2,524 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 และเพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ที่ผ่านมา   นายไตรเตชะ กล่าวว่า ไตรมาสแรก ที่ผ่านมาศุภาลัยได้สร้างยอดขายที่มีตัวเลขเติบโตอย่างแข็งแกร่ง  ด้วยปัจจัยบวกจากการพัฒนาด้านกลยุทธ์การขาย เพิ่มสินค้าใหม่และสร้างความแตกต่าง การบริหารจัดการให้มีสินค้าพร้อมขาย รวมถึงการโอนกรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีปัจจัยเรื่องความต้องการที่อยู่อาศัยในทุกระดับราคาของลูกค้าที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะตลาดระดับกลาง ราคา 4 - 6 ล้านบาท และตลาดระดับบนขึ้นไปยังคงได้รับการตอบรับที่ดี สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของลูกค้าเริ่มฟื้นตัว ตั้งแต่ครึ่งปีหลัง 2564 ต่อเนื่องมาถึงไตรมาสแรก ปี 2565 นับเป็นการเติบโตที่ยอดเยี่ยมในทุกกลุ่มที่อยู่อาศัย  ช่วง 3 เดือนแรก บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่แล้ว ทั้งหมด 6 โครงการ ในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งเป็นโครงการแนวราบ 5 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 11,010 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2565 ศุภาลัยยังเตรียมเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งจังหวัดกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัดรวม 7 โครงการ มูลค่า 9,700 ล้านบาท ซึ่งจากยอดขายสินค้าแนวราบที่ดีในช่วงไตรมาสแรก จึงมีแผนโฟกัสเปิดตัวโครงการแนวราบมากขึ้นถึง 6 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 8,700 ล้านบาท พร้อมไฮไลท์ที่น่าสนใจเปิดตัวโครงการแนวราบแบรนด์ใหม่ระดับ Luxury และโครงการคอนโดมิเนียม ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า Gen Y ในทำเลย่านฝั่งธนฯ จำนวน 1 โครงการ มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ศุภาลัยยังมีโครงการคอนโดสร้างเสร็จใหม่ 7 โครงการ จะสามารถทยอยโอนกรรมสิทธิ์ได้ตามแผน  ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ปีนี้สามารถทำยอดขายได้ 28,000 ล้านบาท และรายได้ 29,000 ล้านบาทได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ​และอาจจะสูงเกินจากเป้าหมายที่วางไว้ด้วย   สำหรับภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 2 และช่วงครึ่งปีหลัง 2565 มองว่าเศรษฐกิจโดยรวมน่าจะเติบโตและมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ทั้งในด้านดีมานด์กลุ่มลูกค้ายังคงมีความต้องการที่อยู่อาศัยต่อเนื่อง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ของภาครัฐ อัตราดอกเบี้ยสินเชื่ออยู่ในระดับต่ำ รวมถึงซัพพลายการเปิดตัวของสินค้าใหม่แนวราบยังคงเป็นตลาดที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก ส่วนคอนโดพร้อมอยู่ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยวในต่างจังหวัด ยังเป็นสินค้าที่ตอบโจทย์ลูกค้าตลาดระดับกลางถึงบน พร้อมอัดแคมเปญและโปรโมชันที่น่าสนใจให้เข้าถึงลูกค้าที่มีกำลังซื้อที่อยู่อาศัยกันอย่างคึกคัก   ปี 2565 ยังเป็นปีที่ท้าทายและเป็นปีที่ดีต่อเนื่อง ศุภาลัยยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ตามแผนงานที่วางไว้ พร้อมปรับตัวก้าวผ่านทุกสถานการณ์ รวมทั้งสร้างสรรค์สินค้าและนวัตกรรมต่างๆ การบริการอย่างครบวงจร เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าต่อไป   ข่าวที่เกี่ยวข้อง -ศุภาลัย ทุบสถิติปี 64 New High Record ทำรายได้ – กำไร สูงสุดในรอบ 3 ทศวรรษ
[PR News] แอสเซทไวส์ กวาดยอดขาย Q1 กว่า 3,250 ล้าน เดินหน้าไตรมาส 2 เปิดอีก 3 โปรเจ็กต์ใหม่

[PR News] แอสเซทไวส์ กวาดยอดขาย Q1 กว่า 3,250 ล้าน เดินหน้าไตรมาส 2 เปิดอีก 3 โปรเจ็กต์ใหม่

แอสเซทไวส์ แอสเซทไวส์ ประเดิมยอดขายพรีเซลไตรมาสแรก 3,250 ล้านบาท  คิดเป็น 33% จากเป้าหมายทั้งปีที่ 10,000 ล้าน พร้อมดินหน้าไตรมาส 2 เปิด 3 โครงการใหม่ ทั้งแนวราบและคอนโด  หวังสร้างสถิติใหม่ยอดขายทะลุหมื่นล้าน​   นายกรมเชษฐ์  วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) (ASW)  เปิดเผยว่า ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทสามารถทำยอดขายได้ 3,250 ล้านบาท เติบโต 79% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และคิดเป็นสัดส่วน 33% ของเป้าหมายยอดขายในปีนี้ ที่คาดว่าจะทำได้ 10,000 ล้านบาท   สำหรับยอดขายไตรมาสแรกมูลค่า 3,250 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากกลุ่มคอนโดมิเนียมสัดส่วน 96% และกลุ่มบ้านจัดสรร 4%  โดยคิดเป็นสัดส่วนยอดขายจากโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) 46% และกลุ่มโครงการที่เพิ่งเปิดขายหรืออยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง (On Construction) 54% โดยในปีนี้ แอสเซทไวส์ วางแผนเปิดโครงการใหม่ 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 12,400 ล้านบาท โดยในไตรมาส 2 แอสเซสไวส์ วางแผนเปิดตัวใหม่ 3 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการแนวราบ Esta Rangsit Khlong 2 จำนวน 153 ยูนิต มูลค่า 680 ล้านบาท   2.โครงการคอนโดมิเนียม Atmoz Flow Minburi จำนวน 739 ยูนิต มูลค่า 1,350 ล้านบาท และ 3.โครงการคอนโดมิเนียม Atmoz Portrait Srisaman จำนวน 678 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,150 ล้านบาท   ปัจจุบันแอสเซทไวส์ได้พัฒนาโครงการคอนโดและบ้านจัดสรรมาแล้วกว่า 39 โครงการ ภายใต้แบรนด์ เคฟ (KAVE), แบรนด์ แอทโมซ (ATMOZ), แบรนด์ โมดิซ (MODIZ), แบรนด์ เอสต้า (ESTA) และ แบรนด์ ดิ ออเนอร์ (THE HONOR) รวมมูลค่าโครงการกว่า 38,500 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและโครงการพร้อมอยู่ จำนวน 31 โครงการ   ส่วนโครงการที่แอสเซสไวส์กำลังเปิดขายและอยู่ระหว่างการพัฒนา มีจำนวน 8 โครงการ โดยปัจจุบันมียอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ารวมกว่า 7,338 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง แอสเซทไวส์   เพิ่มทางเลือกแลกเงินดิจิทัล จับมือ​ “Bitkub” ขยายฐานลูกค้า  New Gen  
อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนเมษายน 2565

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนเมษายน 2565

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน เข้าสู่เดือนเมษายน 2565 เดือนที่ร้อนที่สุดแห่งปี แต่พิเศษสำหรับปีนี้ อากาศเย็นกว่าปกติมาตั้งแต่ต้นเดือน เป็นความเปลี่ยนแปลงที่ไม่พบเจอบ่อยครั้งนัก สำหรับเดือนเมษายนก็ถือเป็นเดือนแรกของไตรมาส 2 ของปี 2565 ซึ่งเวลาผ่านไปเร็วมาก เชื่อว่าเผลออีกแป๊ปเดียวเราคงก้าวเข้าสู่ครึ่งปีหลังแน่นอน และตอนนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ยังคงอยู่กับเราไม่ได้ไปไหน ทำให้เรายังคงต้องระมัดระวังตัวเอง ภายใต้มาตรการด้านการสาธารณสุขอยู่เสมอ   ส่วนบรรยากาศของสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อ ก็ดูเหมือนจะมีทิศทางที่ดีขึ้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจหลายอย่างเริ่มกลับมาฟื้นตัวขึ้นแล้ว รวมถึงทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่ดูเหมือนมีสัญญาณการฟื้นตัวปรับไปในทิศทางที่ดี เห็นได้จากความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ ที่ออกมาเปิดตัวโครงการใหม่กันต่อเนื่อง ​ประกอบกับมาตรการภาครัฐที่กระตุ้นตลาดอสังหาฯ ก็ขยายระยะเวลาออกไปจนถึงสิ้นปี จึงนับเป็นโอกาสดีสำหรับคนที่มีความพร้อม และต้องการซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียมเพื่อการอยู่อาศัย   เมื่อคิดจะซื้อบ้าน แน่นอนคนส่วนใหญ่เลือกจะขอสินเชื่อกับทางธนาคาร ซึ่ง​ตอนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด​ ของธนาคารต่าง ๆ ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ เป็นโอกาสของคนที่มีความพร้อมและมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย ในการรับอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว   ส่วนธนาคารไหนให้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เท่าไรบ้างนั้น Reviewyourliving ได้อัพเดทสถานการณ์ ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ของเดือนเมษายน 2565 รวบรวมไว้ให้แล้ว ซึ่งภาพรวมทั้งหมดยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป  โดยอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ประจำเดือนเมษายน 2565 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ  วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1   ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น 5.2%  (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.2% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น  5.45% (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.45%  (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.9% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.7%(MRR-1.25%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.075%(MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2%(MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58%   -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก 4.75% หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า ​500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า ​คิดอัตราดอกเบี้ย​ MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย ​MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา   หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค.- 31 มี.ค. 65 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ​และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา ​ -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ​ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ​ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ​​-ข้อมูลในเว็บไซต์ ณ วันที่ 4 เมษายน 2565 ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง 2.ธนาคารกรุงไทย อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด สำหรับธนาคารกรุงไทย  ในเดือนนี้ธนาคารมีแคมเปญใหม่ เป็นสินเชื่อในโอกาสครบรอบ 56 ปีธนาคารกรุงไทย ​ซึ่งเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  มีเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ​​ดังนี้ แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.56% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 4.22% (MRR-2.0%) เพิ่มขึ้น 0.4% จากที่เดือนที่ผ่านมาคิด 3.82% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.0% เพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 2.80% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.27% เพิ่มขึ้น 0.07% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 4.20% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ยเฉลี่ย 0.81% (เดือนที่ 1-9 คิด 0.56% เดือนที่ 10-12 คิดดอกเบี้ย 1.56%) ลดลง 0.19% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 1.0% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.0% ลดลง 0.82% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 3.82% (MRR-2.4%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.08% ลดลง 0.79% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 3.87% (MRR-2.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 4.30% เพิ่มขึ้น 1.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 2.90% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.24%   หมายเหตุ : 1.การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ *ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลากู้ -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี (การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ เป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการอนุมัติสินเชื่อ) 2.อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR)**คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,600 บาท/เดือน MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.สามารถขอสินเชื่อ Home For Cash แบบมีกำหนดระยะเวลา (Term Loan) เพิ่มเติม สำหรับวัตถุประสงค์ : เพื่ออุปโภคบริโภค / ปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย /ชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย MRR ต่อปี ตลอดอายุสัญญา 4.เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 เมษายน 2565 และทำนิติกรรมจำนองภายใน 30 วัน 5.การผ่อนชำระ : สามารถเลือกผ่อนชำระในอัตราล้านละ 3,000 บาท ต่อเดือน ในช่วงปีที่ 1 ได้   ทั้งนี้ ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขรายการส่งเสริมการขาย โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมินอัตราดอกเบี้ยยังคงเท่าเดิมจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.9% ( MRR-3.15%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.00%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.39% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.50% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย MRR-1.60% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.55%  (MRR-3.50%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.3%  (MRR-2.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.02% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.25% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.1% (MRR-1.95%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.3% (MRR-1.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.7%  (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.23%   หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ​ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พ.ค. 63 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 30 เม.ย. 65 โดยจดจำนองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 31 พ.ค. 65 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ   4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป โดยพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ ซึ่งเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 7.72% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 7.72% สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 8.22% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 8.22% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% (ประกาศ ณ วันที่ 22 พ.ค. 2563) ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ย MRR ให้อ้างอิงอัตราดอกเบี้ยตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ลูกค้ายื่นใบสมัครสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม 2565 โดยสามารถยื่นกู้ได้สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภท ยกเว้นการกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม 0.25% ในปีแรก หากทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อบ้านตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -กรณียื่นกู้บ้านในโครงการจัดสรรที่ธนาคารสนับสนุน ธนาคารฯมีอัตราดอกเบี้ยพิเศษ สอบถามรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ K-Contact Center 02-8888888 ต่อ 887 -​​-ข้อมูลในเว็บไซต์ ณ วันที่ 4 เมษายน 2565 ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง   5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (KKP Home Loan เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย) กรณี บ้านใหม่ : ซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราเดิมเท่ากับเดือนที่ผ่านมา โดยธนาคารเกียรตินาคินมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  2.45%-2.75% ปีต่อไป ดอกเบี้ย  4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.65%-2.95% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.60%-2.99% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.80%-3.19% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%)   หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ​เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่​ 18 สิงหาคม 2563 เท่กับ​ 6.525% ต่อปี 3.เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา​​​​​​ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า​ Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.​กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง ​​หากลูกค้า Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท  ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคี ​เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด ​โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ ​ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน​ 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด ​30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก 4.05% ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เท่ากับเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารซีไอเอ็มบี มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.1%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-2.8%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.15% หมายเหตุ -สำหรับซื้อบ้านและคอนโดจากโครงการทั่วไป -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2564) -ธนาคารยังมีอัตราดอกเบี้ยสำหรับพนักงานประจำรายได้ 30,000-50,000 หรือเจ้าของกิจการรายได้ 50,000 บาทขึ้นไปไว้พิจารณาด้วย รวมถึงสินเชื่อสำหรับโครงการที่ธนาคารเป็นผู้สนับสนุน 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป ภายใต้แคมเปญดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้นเฉลี่ย 3 ปีแรก 4.05% ต่อปี จะได้รับฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าจดทะเบียนจำนอง และค่าประเมินหลักทรัพย์ ซึ่งอัพเดทอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ของเดือนมีนาคม ยังคงใช้ในอัตราเท่ากับเดือนที่ผ่านมา  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.23%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.4% (MRR-1.88%) หลังจากนั้น 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.4% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือก 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา ดอกเบี้ย 4.65% รายละเอียดเงื่อนไข สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส ​ 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท​ -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 3 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของธนาคาร -ธนาคารขอสงวนสิทธิเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แจ้งไว้ในเอกสารฉบับนี้ โดยไม่ ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ในกรณีที่ธนาคารเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนจำนองหลักประกันแทนผู้กู้หากผู้กู้มีความประสงค์จะไถ่ถอนหลักประกันและชำระหนี้คืนทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันเบิกใช้เงินกู้ ครั้งแรก ผู้กู้ตกลงคืนเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองหลักประกันตามจำนวนเงินที่ธนาคารได้ช าระไปให้แก่ธนาคาร ในวันที่ผู้กู้ได้ชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้น (ค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท) -กค้าต้องสำรอง จ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ลูกค้าใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 30 วันทำการนับจากวันที่ลูกค้าจดจำนอง -MRR = 6.28% ตามประกาศธนาคาร https://www.ttbbank.com/th/rates/loan-interest-rates -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึง 30 มิถุนายน 2565 และจดจำนอง ภายใน 31 กรกฎาคม 2565 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา  คิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.95% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยะเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด ​​-ข้อมูลในเว็บไซต์ ณ วันที่ 4 เมษายน 2565 ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง   9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2565 ​มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากแคมเปญสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2565  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.15% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.9% (MRR-2.25%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.4%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญา  5.4% หมายเหตุ -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.-30 ธ.ค.65   (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติมวงเงินของโครงการแล้ว) -อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินกู้และทุกบัญชีเงินกู้ภายใต้หลักประกันเดียวกัน 10.ธนาคารยูโอบี ธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโครงการหมู่บ้านทั่วไป  โดยอัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ด้วยการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับเดือนที่ผ่าน  ซึ่งธนาคารยูโอบีมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.35% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.35% (MRR-4.0%) อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.79% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.55% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.80%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.8% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75%  (MRR-2.60%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.45% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.8% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.95%  (MRR-2.24%) ปีที่ 4 อัตราดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.96% หมายเหตุ -ขอสินเชื่อตั้งแต่ 1 เม.ย.- 30 มิ.ย. 65 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายใน 27 ก.ค.​ 65 -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาคารยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.35% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ​(Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น)​ -การอนุมัติสินเชื่อ​เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ  7.35% ต่อปี ​(ตามประกาศธนาคารณ วันที่ 1 เม.ย. 64) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย​ MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้​ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ​เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร​ -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย ​(ใบอนุญาตประกันชีวิต​เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศภัย​ เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ​จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย คือ โฮมโลน โดนใจ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 1.9% (สำหรับผู้มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป) โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยสำหรับผู้กู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.0% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.00% (MRR-5.35%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.80% (MRR-3.55%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10%  (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 2 ปีแรก) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.20% (MRR-3.15%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.55% (MRR-4.80%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 4 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.75% (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 3 ปีแรก) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ล้านละ 3,500 บาท  กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่** -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 4.60% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.10% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.35% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่าง ๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่วันนี้- 31 เม.ย. 65 -สำหรับอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.9% สำหรับผู้กู้ที่มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป ผ่อนต่ำเดือนละ 3,500 บาท ฟรีค่าจดจำนองสินเชื่อเมื่อซื้อประกันผ่านธนาคาร ฟรีค่าประเมินหลักประกัน 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีสินเชื่อเคหะ สำหรับให้บริการผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไปซื้อบ้านหรือคอนโด ภายใต้แคมเปญ ผ่อนต่ำปีแรก ล้านละ 2,500 บาทต่อเดือน สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยยื่นกู้ภายในวันที่ 30 เมษายน 2565 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน 31 พฤษภาคม 2565 โดยมีรายละเอียด ​ดังนี้​ กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.0% เพิ่มขึ้น 1.25% จากเดือนที่ผ่านมา เพราะมีแคมเปญดอกเบี้ย 0% ใน 6 เดือนแรก ทำให้เดือนที่ผ่านมามีดอกเบี้ยเฉลี่ยปีแรก 0.75% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.9% (MRR-3.345%) ลดลง 0.425% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 3.525% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.6% ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.126% เพิ่มขึ้น 0.025% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 4.101% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.25% เพิ่มขึ้น 1.25% จากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ย​ 1.0% จากแคมเปญเดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 2.0% ​ ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.525% (MRR-2.72%) ลดลง 0.625% จากเดือนที่ผ่านมา คิดอัตราดอกเบี้ย  4.15% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.995% (MRR-1.25%) เพิ่มขึ้น 1.895% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 3.1% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.31% เพิ่มขึ้น 0.024% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 4.286%   เงื่อนไขการผ่อนชำระ -ปีที่ 1 ผ่อนชำระ 2,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 2 ผ่อนชำระ 4,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 3 ผ่อนชำระ 5,500 บาทต่อเดือน หมายเหตุ -ยื่นกู้ภายในวันที่ 30 เมษายน 2565 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2565 -อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR=6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระ 20 ปี ผ่อนเท่ากันทุกงวด -ทำประกัน หมายถึง การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ โดยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข เป็นไปตามธนาคารกำหนด -เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเคหะตามโปรโมชั่น สมัครบริการ MyMo และผลิตภัณฑ์ / บริการอื่น ของธนาคารอย่างน้อย 2 ประเภท ได้แก่ บัตรอิเล็กทรอนิกส์ / บัตรเครดิต หรือสินเชื่อบัตรเงินสด / ชำระสินเชื่อหักผ่านบัญชี / ประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ ทั้งนี้ หากลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นตามที่กำหนดอยู่แล้ว สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้ และกรณีไม่มี Smartphone ให้สมัครผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นของธนาคารตามที่กำหนดทดแทนได้ -*กรณี ฟรี ค่าธรรมเนียมจดจำนอง ให้ตามที่จ่ายจริง (รวมทุกสัญญาที่กู้ในคราวเดียวกัน) และลูกค้าต้องสำรองจ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินไปก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินหลังหักภาษี ณ ที่จ่าย 1% ของเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองคืนภายใน 30 วัน -กรณีผู้กู้ชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น หรือไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด (Prepayment) ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามที่ธนาคารกำหนด (ปัจจุบันร้อยละ 3.00 ของยอดเงินต้นคงเหลือ) ทั้งนี้ กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยกรณีไถ่ถอนจำนองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินอื่น (Re-Finance) และฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง ผู้กู้จะต้องชำระค่าจดจำนองคืนแก่ธนาคารเต็มจำนวน -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่น ๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า   หมายเหตุ Reviewyourliving รวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ธนาคาร ณ​ วันที่ 4 เมษายน 2565   บทความที่เกี่ยวข้อง ธปท. ออกเกณฑ์​​คิด ดอกเบี้ย-ค่าบริการ-เบี้ยปรับ ผลิตภัณฑ์-บริการทางการเงิน ฉบับใหม่เพื่อความเหมาะสม-เป็นธรรม อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนมีนาคม 2565 แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยถูกสุด อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนมีนาคม 2565
บ้านและคอนโดราคาไม่เกิน 3 ล้าน มีโครงการเปิดใหม่ที่ไหนบ้าง?

บ้านและคอนโดราคาไม่เกิน 3 ล้าน มีโครงการเปิดใหม่ที่ไหนบ้าง?

บ้านและคอนโดราคาไม่เกิน 3 ล้าน  ปัจจัยส่งผลดีต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2565 ที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุด คงเป็นการขยายระยะเวลาของมาตรการลดค่าจดทะเบียนการโอน และค่าจดทะเบียนจำนอง สำหรับผู้ซื้อบ้านและคอนโดมิเนียมราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ทั้งบ้านใหม่และบ้านมือสอง  ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม 2565 ถึง 31 ธันวาคม 2565 นี้ ตามที่ได้มีประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปก่อนหน้านี้แล้ว ​ สำหรับอัตราค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจำนอง บ้านและคอนโดไม่เกิน 3 ล้านบาท มีรายละเอียดและเงื่อนไขของอัตราที่ปรับลดดังนี้ -ค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ จากอัตราปกติ 2.00% ลดเหลือ 0.01% -ค่าธรรมเนียมการจำนอง จากอัตราปกติ 1.00 % ลดเหลือ 0.01% -มาตรการสำหรับการซื้อที่อยู่อาศัยประเภท บ้านเดี่ยว บ้านแฝดและบ้านแถว อาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคาร และห้องชุด ที่จดทะเบียนอาคารชุด(คอนโด) ตามกฎหมาย -ราคาซื้อขาย และราคาประเมินกรมที่ดิน และวงเงินจำนองไม่เกิน 3 ล้านบาท ต้องมีการโอนซื้อขายและจดจำนองในคราวเดียวกัน จึงจะได้ลดค่าธรรมเนียม ได้รับลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอน และจำนองอสังหาริมทรัพย์ ที่เป็นอาคารที่อยู่อาศัย หรืออาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคารที่อยู่อาศัย หรืออาคารพาณิชย์ หรือห้องชุด ทั้งมือหนึ่งและมือสอง -ผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ต้องเป็นบุคคลธรรมดาที่มีสัญชาติไทย   สำหรับโครงการที่เข้าเกณฑ์  ก็คงเป็นโครงการสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ ที่ได้เปิดตัวไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม โครงการที่เปิดตัวใหม่ในปีนี้ หากก่อสร้างแล้วเสร็จและสามารถส่งมอบลูกค้าได้ทัน ก็จะได้รับอานิสงค์ของมาตรการนี้ไปด้วย โดยเฉพาะบ้านแนวราบที่ก่อสร้างได้เร็ว และคอนโดที่เป็นโลว์ไรซ์   แล้วโครงการที่เปิดตัวใหม่ในปีนี้ มีโครงการไหนบ้างที่เข้าหลักเกณฑ์ คือ เป็นโครงการระดับไม่เกิน 3 ล้านบาท ที่จะเข้ามาเป็นตัวเลือกใหม่ ๆ ให้กับลูกค้าได้บ้าง วันนี้ Reviewyourliving ได้สำรวจรวบรวมมาไว้เป็นตัวอย่าง ให้ผู้ที่อยากซื้อบ้านและคอนโดราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ได้เลือกหาและจับจอง   แต่แม้ว่าจะซื้อหรือโอนบ้านและคอนโดราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทไม่ทันภายในปีนี้  ตลาดบ้านและคอนโดกลุ่มนี้ ก็นับว่าเป็นตลาดสำคัญที่มีดีมานด์สูง เพราะฐานรายได้ของคนไทยส่วนใหญ่ มีกำลังซื้อบ้านและคอนโดในระดับราคาเท่านี้เป็นหลัก  ซึ่งนับวันดีเวลลอปเปอร์ก็พัฒนาบ้านและคอนโดราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ออกมาได้น้อยลง ทั้ง ๆ พราะต้องยอมรับว่าราคาที่ดินพุ่งสูงมากขึ้น ไม่นับรวมกับต้นทุนอื่น ๆ ที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย  แม้จะมีความต้องการสูงในตลาดบ้านและคอนโดในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทก็ตาม รวม บ้านและคอนโดราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เสนา ส่ง 3 แบรนด์ต่ำ 3 ล้าน ในบรรดาดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ในตลาดอสังหาฯ  บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ถือเป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญของตลาดบ้านและคอนโดราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท เพราะมีการพัฒนาโครงการในกลุ่มสินค้าดังกล่าวออกมาค่อนข้างมาก โดยเฉพาะบ้านและคอนโด ระดับราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท ถือว่าเป็นเจ้าตลาดเลยก็ว่าได้   สำหรับปี 2565 บริษัทมีแผนขยายธุรกิจที่อยู่อาศัยด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่รวม 49 โครงการ 27,480 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม  21 โครงการและแนวราบ 28 โครงการ ในจำนวน 49 โครงการ เป็นโครงการภายใต้​การควบรวมกิจการบริษัท เจ.เอส.พี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JSP จำนวน 25 โครงการ มูลค่า 8,980 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้ “เสนา” วางเป้าหมายยอดขายไว้​​ 13,979 ล้านบาท และ​เป้าหมายยอดโอน 12,186 ล้านบาท   ส่วนใครที่ต้องการซื้อบ้านและคอนโด ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ในปีนี้ “เสนา” ก็เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ ที่มีบ้านระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ออกมารองรับความต้องการถึง 17 โครงการ นอกจากนี้ ยังมีโครงการภายใต้การพัฒนาของแบรนด์ เจ.เอส.พี. อีกถึง 20 โครงการด้วย   โครงการของ “เสนา” ที่มีบ้านระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ในปีนี้มี 3 แบรนด์หลัก​ ได้แก่ 1.แบรนด์ Flexi เป็นคอนโด ระดับราคา 1.39 - 2 ล้านบาทต้น ๆ ซึ่งเปิด 7 โครงการ ใน 7 ทำเลสำคัญ ได้แก่ รัตนาธิเบศร์ สาทร เตาปูน สุขสวัสดิ์ 13 บางนา เจริญนคร 70 และสาทร-กัลปพฤกษ์  2.แบรนด์เสนาคิทท์ (SENA Kith) คอนโดระดับราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท ซึ่งมีแผนเปิดใหม่จำนวน 9 โครงการ ในทำเลต่าง ๆ ดังนี้ เวสต์เกต รังสิต คลอง 4 บางกระดี รัจนาธิเบศร์ บางนา 29 เทพารักษ์ 2 นวนคร และอ้อมน้อย และ 3.แบรนด์เสนา วีว่า (SENA Viva) กับโครงการเสนาวีว่า เทพารักษ์ บางบ่อ ราคาเริ่มต้น 2.29 ล้านบาท ขณะที่โครงการในส่วนของ เจ.เอส.พี. ภายใต้แบรนด์ซีรี่ส์ เจ เช่น เจ บิซ (J Biz) เจ ซิตี้ (J City) เจ คอนโด (J Condo) เป็นต้น​ มีจำนวน 16 โครงการ ซึ่งมีระดับราคาเริ่มต้น 1.89-4.29 ล้านบาท  และโครงการภายใต้แบรนด์ไมอามี่ อีก 4 โครงการ ในทำเลบางปู มีระดับราคาเริ่มต้นเพียง 899,000-1.4 ล้านบาท ​ พฤกษา ประเดิม 4 โปรเจ็กต์ สำหรับบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) มีแผนการเปิดโครงการใหม่ ที่เน้นตลาดแนวราบ โดยรุกกลุ่มเรียลดีมานด์เซ็กเม้นต์รายได้ระดับกลางถึงสูงมากขึ้น วางแผนเปิดโครงการใหม่ 31 โครงการ มูลค่า 16,300 ล้านบาท แบ่งเป็น ทาวน์เฮาส์ 22 โครงการ บ้านเดี่ยว 6 โครงการ และคอนโด 3 โครงการ ตั้งเป้ายอดขายปี 2565 อยู่ที่ 31,000 ล้านบาท และยอดโอน 33,000  ล้านบาท   ส่วนโครงการระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท  มี 4 โครงการ มาแนะนำ ดังนี้ 1.โครงการพฤกษาวิลล์ พหลโยธิน-คลองหลวง (2)   มูลค่า 873 ล้านบาท จำนวน 372 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.95 ล้านบาท พรีเซลล์วันที่ 28-29 พฤษภาคม ทำเลที่ตั้งติดถนนคลองหลวง-พหลโยธิน ใกล้รถไฟฟ้าสายสีแดง   2.โครงการบ้านพฤกษา บางนา-ศรีวารี  มูลค่าโครงการ 1,013 ล้านบาท จำนวน 443 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.73 ล้านบาท พรีเซลล์วันที่ 28-29 พฤษภาคม ทำเล 3.โครงการบ้านพฤกษา รังสิต-คลองสี่ (2)  มูลค่าโครงการ 544 ล้านบาท จำนวน 393 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.25 ล้านบาท พรีเซลล์วันที่ 21-22 พฤษภาคม 4.โครงการบ้านพฤกษา บางนา-ศรีนครินทร์  มูลค่าโครงการ 1,198 ล้านบาท จำนวน 496 ยูนิต ทาวน์เฮ้าส์เริ่มต้น 1.99 ล้านบาท บ้านแฝดราคาเริ่มต้น 3.7 ล้านบาท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิด 1 โปรเจ็กต์ สำหรับบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน)  มีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ปีนี้ จำนวน 12 โครงการ รวมจำนวน  1,670 ยูนิต มูลค่าโครงการ 14,775 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นบ้านเดี่ยว ซึ่งมีราคาสูง แต่ก็มีโครงการที่จับตลาดระดับกลางลงล่างด้วยเช่นกัน  ซึ่งโครงการสำหรับผู้ที่มีงบไม่เกิน 3 ล้านบาท สามารถเลือกซื้อได้นั้น มีโครงการเดียวเท่านั้น คือ โครงการ โมดิ วิลล่า บางใหญ่ (2) ทาวน์เฮ้าส์ มูลค่าโครงการ 880 ล้านบาท จำนวน 331 ยูนิต ซึ่งจะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4 เอสซี แอสเสท ส่ง V compound  ลุยตลาด​ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ปีนี้วางแผน​เปิดโครงการใหม่สูงสุดเป็นสถิติใหม่ ด้วยจำนวน 27 โครงการ รวมมูลค่า  40,000 ล้านบาท  เป็นโครงการแนวราบ 25 โครงการ มูลค่า 33,500 ล้านบาท ซึ่งมากกว่า 70% เป็นบ้านเดี่ยวราคามากกว่า 10 ล้านบาท  และเปิดคอนโด​ 2 โครงการ​ มูลค่า 6,500 ล้านบาท บนทำเล รถไฟฟ้า BTS 2 สถานี คือ วงเวียนใหญ่ และ  ทองหล่อ เพื่อสร้างรายได้ ตามเป้าหมาย 22,000 ล้านบาท  และยอดขายให้ได้ตามเป้าหมายมูลค่า  22,000  ล้านบาท   ส่วนโครงการของเอสซี สำหรับคนที่มีงบไม่เกิน 3 ล้านบาท ซื้อบ้านและคอนโด โครงการไหนได้บ้างนั้น มี 2  โครงการมาแนะนำ ดังนี้ คือ  1.โครงการ  V compound บางนา-ศรีนครินทร์ โครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม จำนวน 95 ยูนิต ราคาเริ่ม 3 ล้านบาท  และ 2.โครงการ V compound รังสิต ซึ่งเตรียมเปิดตัวในช่วงเดือนตุลาคมนี้ ​ เฟรเซอร์ ส่ง โกลเด้นทาวน์จับตลาดต่ำ 3 ล้าน สำหรับ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด   มีแผนเปิดโครงการใหม่ 25 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 29,500 ล้านบาท  ตั้งเป้ารายได้ 13,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13%  โดยแบรนด์โกลเด้นทาวน์ เป็นโครงการระดับราคา 2-5 ล้านบาท ถือเป็นระดับราคาต่ำสุดของเฟรเซอร์ พร็อพเพอร์ตี้ โฮม ส่วนที่เหลือจะเป็นบ้านระดับราคาตั้งแต่ 6 ล้านบาทขึ้นไปจนถึง 120 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้บริษัทมุ่งเน้นไปจับตลาดระดับบน กลุ่มบ้านแพงมากขึ้น เพราะมองว่า เป็นตลาดที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจน้อยที่สุด และยังเป็นมีกำลังซื้อสูง ส่วนแผนเปิดโครงการโกลเด้นทาวน์ในปีนี้วางไว้ทั้งหมด 10 โครงการ (ม.ค. - ธ.ค. 2565) โดยเปิดไปแล้ว 1โครงการเป็นแบบ VIP คือ โกลเด้น  ทาวน์  ฟิวเจอร์ - รังสิต  มูลค่าโครงการ 736 ล้านบาท จำนวน 269 ยูนิต ส่วนโครงการอื่น ๆ ยังไม่ได้ประกาศออกมาว่าจะเปิดในทำเลใดบ้าง ออริจิ้นเปิด 9 โปรเจ็กต์รับตลาดต่ำ 3 ล้าน สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน  31 โครงการ  มูลค่า 42,000 ล้านบาท เพื่อสร้างยอดขายให้ได้ตามเป้าหมายหมายปีนี้​ 35,000 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ (โอนกรรมสิทธิ์ ) มูลค่า 17,500 ล้านบาท   ส่วนผู้ที่มีงบไม่เกิน 3 ล้านบาท สามารถซื้อบ้านและคอนโด ของออริจิ้น ในโครงการใหม่ที่เปิดตัวในปีนี้ มีที่ไหนบ้าง จากจำนวน 31 โครงการ  โดยจากการสำรวจพบว่ามีจำนวนทั้งหมด 9 โครงการ ดังนี้ 1.โครงการโซ ออริจิ้น พหล 69 สเตชั่น (So Origin Phahol 69 Station) ราคาเริ่มต้น 2.79 ลบ. 2.โครงการออริจิ้น เพลส บางนา (Origin Place Bangna) ราคาเริ่มต้น อยู่เอง 2.19 ลบ. // IP 2.99 ลบ. 3.โครงการออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ สิรินธร สเตชั่น (Origin Plug & Play Sirindhorn Station) ราคาเริ่มต้น 1.89 ลบ. 4.โครงการออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ ศรีนครินทร์ (Origin Plug & Play Srinakarin) (ยังทำราคาไม่เสร็จ) 5.โครงการออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ นนทบุรี สเตชั่น (Origin Plug & Play Nonthaburi Station) ราคาเริ่มต้น 1.69 ลบ. 6.โครงการออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ อี22 สเตชั่น (Origin Plug & Play E22 Station) ราคาเริ่มต้น 1.59 ลบ. 7.โครงการบริกซ์ตัน เพ็ท แอนด์ เพลย์ พหลโยธิน 50 สเตชั่น (Brixton Pet & Play Phahol 50 Station) ราคาเริ่มต้น 1.99 ลบ. 8.โครงการบริกซ์ตัน ระยอง (Brixton Rayong) ราคาเริ่มต้น 1.39 ลบ. 9.โครงการบริกซ์ตัน แคมปัส บางแสน (Brixton Campus Bangsaen) ราคาเริ่มต้น 1.69 ลบ. เอพี เปิดพลีโน่ ทาวน์-แอสปาย สำหรับบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ​มีแผนพัฒนาโครงการใหม่ รวมจำนวน 65 โครงการ มูลค่าประมาณ 78,000 ล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์โฮม 29 โครงการ มูลค่า 25,200 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 26 โครงการ มูลค่า 35,600 ล้านบาท คอนโด 5 โครงการ มูลค่าประมาณ 13,000 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 5 โครงการ มูลค่า 4,200 ล้านบาท ส่วนโครงการบ้านและคอนโด หากมีงบประมาณไม่เกิน 3 ล้านบาท สามารถเลือกซื้อได้ในแบรด์พลีโน่ ทวน์ ซึ่งเบื้องต้นเปิดตัว โครงการพลีโน่ ทาวน์ บางนา ทาวน์โฮม 2 ชั้นและบ้านแฝด จำนวน 351 ยูนิต ราคา 1.99-4.99 ล้านบาท  แบรนด์คอนโด แอสปาย ซึ่งเปิดตัวแล้ว​ 1 โครงการ คือ ASPIRE ปิ่นเกล้า–อรุณอมรินทร์ จำนวน 395 ยูนิต เริ่ม 2.89 ล้านบาท (เริ่ม 94,000 บาท/ตร.ม.) โนเบิล ส่งแบรนด์ นิว รับกำลังซื้อต่ำกว่า 3 ล้าน สำหรับบริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)  มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ปีนี้  จำนวน 18 โครงการ มูลค่า​ 47,700 ล้านบาท เพื่อสร้างเป้าหมายยอดรายได้ 29,000 ล้านบาท และมีเป้าหมายยอดขาย  28,000  ล้านบาท ซึ่งแผนปีนี้ได้เพิ่มสัดส่วนของการพัฒนาโครงการแนวราบ โครงการคอนโดแบบ Low Rise ในพอร์ตให้มากขึ้น เพื่อขยายพอร์ตให้มีสินค้ากระจายและรองรับกลุ่มลูกค้าได้หลากหลาย ซึ่งมีโครงการประเภทแนวราบ และคอนโดแบบ Low Rise จำนวน 12 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 18,800 ล้านบาท  โครงการประเภทแนวสูงจำนวน 6 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 28,900 ล้านบาท   โดยลูกค้าที่มีงบไม่เกิน 3 ล้านบาท สามารถเลือกซื้อโครงการคอนโด ภายใต้แบรนด์นิว (Nue) ของโนเบิลได้ ซึ่งได้เปิดตัวแล้ว 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 15,000 ล้านบาท แต่โครงการที่อยู่ภายใต้งบประมาณไม่เกิน 3 ล้านบาท มี 4 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการ นิว โนเบิล ดิสทริค อาร์ 9 (Nue Noble District R9) มูลค่าโครงการประมาณ 6,200 ล้านบาท   ราคาเริ่มต้นเพียง 2.9 ล้านบาท 2.โครงการ นิว โนเบิล เมกา พลัส บางนา (Nue Noble Mega Plus Bangna) มูลค่าโครงการประมาณ 3,000 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นเพียง 1.89 ล้านบาท 3.โครงการ นิว โนเบิล ซี-สแควร์ สวนหลวง สเตชั่น (Nue Noble Z-Square Suan Luang Station) มูลค่าโครงการประมาณ 700 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นเพียง 1.79 ล้านบาท 4.โครงการ นิว โนเบิล คอนเน็กซ์ คอนโด ดอนเมือง (Nue Noble Connex Condo Donmueang) มูลค่าโครงการประมาณ 2,200 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นเพียง 1.09 ล้านบาท ศุภาลัย เปิด 9 โปรเจ็กต์ ส่วนบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ปีนี้วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 34 โครงการ แบ่งเป็น โครงการแนวราบ 31 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการ ​มูลค่า  40,000 ล้านบาท เพื่อสร้างรายได้ตามเป้าหมาย  29,000 ล้านบาท และยอดขายตามเป้าหมาย​ 28,000  ล้านบาท   โครงการเปิดใหม่ปี 2565 สำหรับรองรับผู้ที่มีงบไม่เกิน 3 ล้านบาท รวม 9 โครงการ มูลค่า 7,200 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ จำนวน 2 โครงการ มูลค่า 4,200 ล้านบาท ​โครงการแนวราบในกรุงเหพฯ จำนวน 3 โครงการ มูลค่า 1,000 ล้านบาท และ โครงการแนวราบในต่างจังหวัด จำนวน 4 โครงการ มูลค่า 2,000 ล้านบาท   ทั้งหมดก็เป็นตัวอย่างบ้านและคอนโด ในระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ที่สามารถเลือกซื้อเลือกจับจองได้ ตามความต้องการ มีหลากหลายทำเล รูปแบบบ้าน และหลายแบรนด์ ใครชอบโครงการของใคร ก็ไปเลือกดูกันตามต้องการ ที่สำคัญมากกว่าราคา คือ คุณภาพ เลือกให้ดี อย่าเลือกเพราะราคาและโปรโมชั่นเท่านั้น เพราะบ้านอยู่กับเราไปอีก 20-30 ปี หรือตลอดอายุเรา ถ้าไม่อยากมีปัญหาตามมาปวดหัวภายหลัง   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง เสนา ดีเวลลอปเมนท์  กับ 3 กลยุทธ์สู่เป้ารายได้กว่า 12,000 ล้าน ก้าวต่อไป เปิด 2 แบรด์ใหม่ จับตลาดต่ำล้าน เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม ปรับแผนธุรกิจปี 65 เพิ่มพอร์ต บ้านหรู ปูทางโตอย่างยั่งยืน เล็งรายได้คอนโด 20% พฤกษา เตรียมงบลงทุน 10,000 ล้านปี 65 พร้อมขยายธุรกิจ “พร็อพเทค-เฮลท์เทค” ​ เอพี ไทยแลนด์ เดินแผนพัฒนาสูงสุดในตลาด ประเดิม Q1 เปิดแนวราบ 11 โครงการ มูลค่า 9,590 ล้าน
ธปท. ออกเกณฑ์​​คิด ดอกเบี้ย-ค่าบริการ-เบี้ยปรับ ผลิตภัณฑ์-บริการทางการเงิน ฉบับใหม่เพื่อความเหมาะสม-เป็นธรรม

ธปท. ออกเกณฑ์​​คิด ดอกเบี้ย-ค่าบริการ-เบี้ยปรับ ผลิตภัณฑ์-บริการทางการเงิน ฉบับใหม่เพื่อความเหมาะสม-เป็นธรรม

ดอกเบี้ย ธปท. ออกหลักเกณฑ์การปฏิบัติและการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ ดอกเบี้ย ค่าบริการ และเบี้ยปรับ สำหรับผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน เพื่อควบคุมการคิดค่าธรรมเนียมอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม เริ่มบังคับใช้ 1 เมษายนนี้ นางธัญญนิตย์ นิยมการ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ให้ความสำคัญกับการดูแลประชาชนให้ได้รับบริการทางการเงินที่เป็นธรรมมาอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินด้วยราคาที่เหมาะสม ได้รับข้อมูลที่เปิดเผยอย่างโปร่งใสและเพียงพอต่อการตัดสินใจ รวมถึงส่งเสริมผู้ให้บริการทางการเงิน (ผู้ให้บริการ) แข่งขันการให้บริการภายใต้หลักเกณฑ์ที่กำหนด   ในครั้งนี้ ธปท. ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำกับดูแล โดยออกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การปฏิบัติและการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับดอกเบี้ย ค่าบริการ และเบี้ยปรับ สำหรับผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน ซึ่งได้กำหนดกรอบหลักการสำคัญ 6 ประการ พร้อมยกตัวอย่างประกอบ เพื่อใช้เป็นแนวนโยบายในการกำหนดราคาผลิตภัณฑ์และบริการ   สำหรับประกาศนี้ให้บังคับใช้กับผู้ให้บริการภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท.1 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 เป็นต้นไป โดยครอบคลุมสัญญาที่เกิดขึ้นก่อนแต่ยังมีผลผูกพันอยู่ และสัญญาตั้งแต่วันที่ประกาศมีผลบังคับใช้   สาระสำคัญของกรอบหลักการ 6 ประการ มีดังนี้ 1.ต้องสะท้อนต้นทุนจริงจากการให้บริการ และไม่เรียกเก็บซ้ำซ้อน โดยต้องกำหนดอัตราดอกเบี้ย ค่าบริการ และเบี้ยปรับ อย่างเหมาะสม เป็นธรรม ไม่เอาเปรียบ ไม่เรียกเก็บซ้ำซ้อน คำนึงถึงต้นทุนในด้านต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริง รวมทั้งไม่นำดอกเบี้ย ค่าบริการ เบี้ยปรับ และค่าใช้จ่ายตามที่ผู้ให้บริการได้สำรองจ่ายไป มารวมกับจำนวนหนี้ที่ค้างชำระเพื่อคิดดอกเบี้ยและเบี้ยปรับอีก   2.ต้องใช้ฐานในการคำนวณค่าบริการและเบี้ยปรับที่เหมาะสม โดยสมเหตุสมผลและสอดคล้องกับปัจจัยที่ทำให้เกิดต้นทุน เช่น ค่าประเมินราคาหลักประกัน ต้องไม่กำหนดเป็นสัดส่วนร้อยละของวงเงินสินเชื่อ เนื่องจากปัจจัยหลักที่มีผลต่อต้นทุนมักขึ้นอยู่กับความยากง่ายในการประเมินราคา ซึ่งอาจแตกต่างกันไปตามประเภท สถานที่ตั้ง และขนาดของหลักประกัน สำหรับเบี้ยปรับจากการไถ่ถอนสินเชื่อก่อนกำหนด ต้องคำนวณจากยอดเงินต้นคงเหลือ ณ วันที่ไถ่ถอนสินเชื่อ ไม่คำนวณจากจำนวนวงเงินตามสัญญา   3.ต้องคืนค่าบริการในส่วนที่ลูกค้าไม่ได้ใช้ ตามสัดส่วนของระยะเวลาที่ยังไม่ได้ใช้บริการ รวมถึงแจ้งเงื่อนไขและช่องทางการคืนค่าบริการให้ลูกค้าทราบอย่างชัดเจน   4.ต้องไม่ผลักภาระให้กับลูกค้าหรือไม่สร้างภาระจนเกินสมควร และคำนึงถึงความสามารถในการชำระของลูกค้า ผู้ให้บริการต้องไม่เรียกเก็บค่าบริการที่เกิดจากการดำเนินการตามปกติ และไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์เพิ่มเติมแก่ลูกค้า เช่น ไม่เรียกเก็บค่าประเมินราคาหลักประกันในกรณีทบทวนราคาหลักประกันเพื่อการจัดชั้น การกันสำรอง และ/หรือการบริหารความเสี่ยงของผู้ให้บริการเอง   5.ต้องเปิดเผยข้อมูลดอกเบี้ย ค่าบริการ และเบี้ยปรับ อย่างชัดเจนโปร่งใส และเป็นปัจจุบัน เพื่อให้ลูกค้าใช้ประกอบการตัดสินใจการเลือกใช้บริการได้อย่างถูกต้อง   6.ต้องควบคุมดูแลและสื่อสารกับพันธมิตรทางธุรกิจที่ดำเนินการแทน ให้ทราบถึงเจตนารมณ์ของกรอบหลักการข้างต้น โดยผู้ให้บริการภายนอก (outsourcer) หรือตัวแทนทางการเงิน (agent) ต้องกำหนดอัตราค่าบริการที่จะเรียกเก็บกับลูกค้าอย่างเป็นธรรม ไม่เอาเปรียบ ไม่ทำให้คุณภาพการให้บริการที่ลูกค้าได้รับด้อยลงหรือผลักภาระไปให้ลูกค้า และดูแลให้เปิดเผยข้อมูลค่าบริการต่าง ๆ ให้ลูกค้าทราบอย่างถูกต้อง ครบถ้วน และชัดเจน   สำหรับผู้ให้บริการที่เป็นสถาบันการเงิน และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ยังต้องถือปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรับฝากเงิน การเรียกเก็บค่ารักษาบัญชีเงินฝาก รวมถึงการให้สินเชื่อหรือการให้กู้ยืมเงินเพื่อการอุปโภคบริโภค (consumer loan) และเพื่อการประกอบธุรกิจ (commercial loan) ด้วย ที่ผ่านมา ธปท. ได้สื่อสารกรอบหลักการกับผู้ให้บริการมาเป็นระยะ ๆ แล้ว   อย่างไรก็ดี ธปท. จะดูแลผู้ให้บริการถือปฏิบัติตามประกาศดังกล่าวอย่างเคร่งครัด เพื่อร่วมกันช่วยประชาชนให้เข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินด้วยเงื่อนไขที่เหมาะสมและเป็นธรรม หากประชาชนท่านใดได้รับบริการที่ไม่เป็นธรรม สามารถแจ้งมาที่ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงินของ ธปท. โทร.1213 ได้ตั้งแต่วันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 8.30 - 16.30 น. หรือส่งเรื่องร้องเรียนมาที่ www.1213.or.th ตลอด 24 ชั่วโมง   ข่าวที่เกี่ยวข้อง อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนมีนาคม 2565
อีสเทอร์น สตาร์  เปิด 4 โครงการ 3,000 ล้าน  ลุยตลาดอสังหาฯ ท่ามกลางปัจจัยลบ

อีสเทอร์น สตาร์ เปิด 4 โครงการ 3,000 ล้าน ลุยตลาดอสังหาฯ ท่ามกลางปัจจัยลบ

อีสเทอร์น สตาร์ อีสเทอร์น สตาร์  เปิดแผนธุรกิจปีเสือ ผุด 4 โครงการใหม่ มูลค่า 3,000 ล้าน พร้อมวางเป้ารายได้-ยอดขาย 1,700 ล้าน ชี้ตลาดอสังหาฯ ยังเผชิญปัจจัยลบ ทั้งโควิด-19 ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ หนี้ครัวเรือนสูง แต่ยังมีปัจจัยบวกจากมาตรการรัฐ   ดร.ต่อศักดิ์ เลิศศรีสกุลรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ESTAR เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา  บริษัทได้ปรับกลยุทธ์ด้านการขายและการตลาดหันมาใช้ช่องทางสื่อออนไลน์ทุกรูปแบบ พร้อมเร่งสร้างการรับรู้รายได้จากการขายและโอนโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ​   นอกจากนี้ บริษัทได้รุกตลาดแนวราบมากขึ้น ด้วยการเปิดโครงการใหม่ คือเวลาน่า อะโมด้า อู่ตะเภา-บ้านฉาง ใน จ.ระยอง โครงการบ้านเดี่ยว ราคา 4.5-6.5 ล้านบาท บนพื้นที่ 27 ไร่ จำนวน 104 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 540 ล้านบาท ส่งผลให้ผลประกอบการบริษัทในปี 2564 มียอดขาย 1,334 ล้านบาท และยอดรายได้อยู่ที่ 1,326 ล้านบาท  มีผลกำไรสุทธิ 19 ล้านบาท   ดร.ต่อศักดิ์ กล่าวต่อว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2565 ยังต้องเผชิญปัจจัยลบ คือการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ และผลกระทบจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัวส่งผลต่อรายได้และกำลังซื้อของลูกค้า ภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง การเพิ่มขึ้นของหนี้เสีย (NPL) ทำให้การปล่อยสินเชื่อยังคุมเข้ม ราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้น ตลอดจนกำลังซื้อจากนักลงทุนต่างชาติยังไม่กลับมา แต่ยังมีปัจจัยบวก จากนโยบายภาครัฐที่ช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ เช่น การผ่อนคลายมาตรการ LTV การลดค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง ปริมาณบ้านคงค้างที่ลดลงจากการชะลอตัวในการเปิดการขายโครงการใหม่ในปีที่ผ่านมา แต่เชื่อมั่นว่ากำลังซื้อที่อยู่อาศัยอย่างแท้จริงยังคงมีอยู่ในตลาดสำหรับบ้านแนว ราบและคอนโดมิเนียมในระดับราคากลาง-ล่าง   โดยแผนธุรกิจในปี 2565  บริษัทวางเป้าหมายยอดขาย และเป้าหมายยอดรายได้ที่ราว 1,700 ล้านบาท  ซึ่งมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ จำนวน 4 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 2 โครงการ ภายใต้แบรนด์ “Quintara  Lite” เป็นคอนโดมิเนียมซีรีย์ใหม่ในราคาเริ่มต้นไม่ถึง 2 ล้านบาท  ตั้งอยู่ในพื้นที่ใจกลางเมืองย่านรัชดาและสุขุมวิท  ส่วนที่จังหวัดระยองมีจะเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยว 2 โครงการ ราคาเริ่มต้นต่ำกว่า 3 ล้านบาท ในพื้นที่โครงการอีสเทอร์น สตาร์ ฟอร์เรสโต้ อ.บ้านฉาง จ.ระยอง  
รวมวิธีประหยัดไฟ รับมือค่าไฟฟ้าขึ้นราคา 4 บาท กับสารพัดวิธีเซฟเงินในกระเป๋า

รวมวิธีประหยัดไฟ รับมือค่าไฟฟ้าขึ้นราคา 4 บาท กับสารพัดวิธีเซฟเงินในกระเป๋า

วิธีประหยัดไฟ หลายคนคงได้ยินข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ออกมาแล้วว่า จะมีการปรับขึ้นค่าไฟฟ้า โดยจะเรียกเก็บค่าไฟฟ้ารอบเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม ในอัตรา 24.77 สตางค์ต่อหน่วย เป็นผลมาจากการคำนวณเอฟทีงวดนี้เพิ่มขึ้น 23.38 สตางค์ต่อหน่วย รวมกับการเก็บค่าเอฟทีรอบก่อนหน้าในช่วงเดือนกันยายน-ธันวาคม 2564  อัตรา 1.39 สตางค์ต่อหน่วย และเมื่อรวมกับค่าไฟฐาน 3.76 บาทต่อหน่วย ทำให้ประชาชนต้องจ่ายจริง 4.00 บาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้น 5.82% ถือเป็นตัวเลขสูงสุดจากอดีตมา     วิธี​ประหยัดไฟ น่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด สำหรับประชาชนที่จะรับมือกับค่าไฟฟ้าที่เพิ่มสูงขึ้น เพราะเราสามารถทำได้เอง และเห็นผลได้อย่างรวดเร็ว คำว่าการประหยัดไฟ ไม่ได้หมายถึงการเลิกใช้ไฟฟ้า แต่เป็นวิธีการใช้ไฟฟ้าให้เกิดประโยชน์สูงสุด และมีประสิทธิภาพสูงสุด เรียกว่าต้องใช้ไฟฟ้าให้คุ้มค่า อะไรลดได้ต้องลด อะไรประหยัดได้ต้องประหยัดนั่นเอง   วิธีประหยัดไฟ มีหลากหลายวิธีด้วยกัน ไม่ใช่มีแค่วิธีการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าประหยัดไฟเบอร์ 5 เท่านั้น แต่ยังมีอีกมากมายสารพัดวิธี รวมถึงเรื่องบางเรื่องที่เราอาจจะมองข้ามไป ไม่คิดว่าจะส่งผลต่อการประหยัดค่าไฟฟ้าได้ อย่างเช่น การปลูกต้นไม้ให้ร่มเงากับตัวบ้าน หรือการเลือกใช้สีทาบ้านสะท้อนความร้อน ซึ่งวิธีการเหล่านี้อาจจะไม่ได้ช่วยลดค่าไฟฟ้าได้โดยตรง แต่เป็นการช่วยทำให้บ้านเย็นขึ้น ทำให้เราไม่ต้องเปิดเครื่องปรับอากาศ อาจจะเปิดแค่พัดลมซึ่งกินไฟน้อยกว่าก็ได้ หรืออาจจะเปิดเครื่องปรับอากาศ แต่เมื่อบ้านเย็นแอร์ก็ไม่ต้องทำงานหนัก ใช้ไฟฟ้าก็น้อยลง เป็นต้น   สำหรับวิธีประหยัดไฟ Reviewyourliving นำเสนอบทความ สาระ ความรู้ต่าง ๆ มาโดยตลอดและมีมาต่อเนื่อง วันนี้จึงจะรวบรวมเอาบทความทั้งหมด มาไว้ในที่เดียว เพื่อให้ผู้อ่านได้ใช้เทคนิค และวิธีประหยัดไฟ เอาไปปรับใช้กันในหน้าร้อนนี้ จะได้รับมือกับค่าไฟฟ้าขึ้นราคา 4 บาทต่อหน่วย ให้ไม่ต้องควักเงินในกระเป๋ามากนัก เช็คอุปกรณ์ไฟฟ้า อะไรกินไฟสูงสุด เริ่มต้นเราคงต้องมาดูก่อนว่า อุปกรณ์ไฟฟ้าชนิดไหน ที่ใช้ไฟฟ้าเยอะ เปลืองค่าไฟมากกว่าเพื่อน กับบทความต่าง ๆ ดังนี้ -บทความ “Top 5 เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ดูดเงินในกระเป๋าคุณ แบบร้องไห้หนักมาก” 1.เครื่องใช้ไฟฟ้ากินไฟ อันดับ 1 “เครื่องปรับอากาศ” 2.เครื่องใช้ไฟฟ้าตัวเล็กกินไฟ “เครื่องทำน้ำอุ่น” 3.ตู้เย็น เครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีกันทุกบ้าน 4.เครื่องซักผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ต้องใช้ให้ดี 5.เครื่องใช้ไฟฟ้าที่เลี่ยงไม่ได้ “เตารีด”   อ่านรายละเอียดของบทความเพิ่มเติมได้ที่ Top 5 เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ดูดเงินในกระเป๋าคุณ แบบร้องไห้หนักมาก -บทความ “เปิดทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง เสียค่าไฟเท่าไหร่” แล้วเครื่องไฟฟ้าแต่ละชนิดกินไฟฟ้ามากแค่ไหน โดยเราคำนวณให้ดูแล้วหากเปิดใช้ 1 ชั่วโมง เรามาตรวจสอบกัน เปิดทิ้งไว้ 1 ชม. เสียค่าไฟเท่าไหร่ พัดลมตั้งพื้น 12-18 นิ้วค่าไฟ 0.15-0.25 บาท พัดลมตั้งพื้น  70-104 วัตต์ ค่าไฟ 0.50-0.75 บาท ตู้เย็น 2 ประตู 5.5 -12.2 คิว ค่าไฟ 0.30-0.40 บาท โทรทัศน์ LED 43-65 นิ้ว ค่าไฟ 0.40- 1 บาท เตารีดไฟฟ้าขนาด 1000-2800 วัตต์ค่าไฟ 3.5-10 บาท เครื่องปิ้งขนมปัง 760-900 วัตต์ค่าไฟ 3-3.5 บาท เตาปิ้ง 1-2 หัว ขนาดเตา 2000-3500 วัตต์ ค่าไฟ 8-14 บาท เครื่องซักผ้า 10 KG ค่าไฟ 2-8 บาท เครื่องอบผ้า 650-2,500 วัตต์ ค่าไฟ 3-10 บาท หม้อหุงข้าว 1.0-1.8 ลิตร ค่าไฟ 3-6 บาท ไมโครเวฟ 20-30 ลิตร ค่าไฟ 3-4 บาท เครื่องปรับอากาศ 9,000-22,000 BTU ค่าไฟ 2.5-6 บาท ไดร์เป่าผม  1,600-2,300 วัตต์ค่าไฟ 6-9 บาท เครื่องทำน้ำอุ่น 3,500-6,000 วัตต์ค่าไฟ 13.5-23.5 บาท เครื่องดูดฝุ่น 1,400-2,000 วัตต์ค่าไฟ 6-8 บาท   อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม เปิดทิ้งไว้ 1 ชั่วโมง เสียค่าไฟเท่าไหร่ รวมวิธีประหยัดค่าไฟ แบบสบายกระเป๋า พอเราเช็คแล้วว่า ต้นเหตุค่าไฟพุ่งสูง คือ เหล่าบรรดาเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟเราแต่ละเดือนจำนวนมาก เราต้องเสียค่าไฟไปไม่น้อย คราวนี้ก็มาดูกันว่า จะมีวิธีประหยัดค่าไฟฟ้าได้อย่างไร กับบทความต่าง ๆ ดังนี้ -บทความ “How to #save ประหยัดค่าไฟช่วงหน้าร้อน” ในบทความนี้ เรามี วิธีประหยัดค่าไฟฟ้าในบ้าน และประหยัดเงินในกระเป๋าคุณด้วย 8 เครื่องใช้ไฟฟ้า กับ วิธีประหยัดค่าไฟในบ้านมาให้ได้ลองทำตามกันดู ​ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม How to #save ประหยัดค่าไฟช่วงหน้าร้อน -บทความ “6 วิธีประหยัดค่าไฟในช่วงหน้าร้อน” บทความนี้มี 6 วิธีประหยัดค่าไฟ ในช่วงหน้าร้อน มานำเสนอ ​ได้แก่ 1.ปรับอุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 25 องศาเซลเซียสเสมอ 2.เครื่องใช้ไฟฟ้าเก่า เลิกใช้ซะ 3.ทำความสะอาดตู้เย็นให้หมดจด 4.ถอดปลั๊กทุกครั้งเมื่อไม่ใช้งาน 5.มาใช้หลอดไฟ LED กันเถอะ 6.ใช้ไฟฟ้าในช่วงเวลาที่ปริมาณการใช้ไฟน้อย   ส่วนรายละเอียดเพิ่มเติม อ่านต่อได้ที่ 6 วิธีประหยัดค่าไฟในช่วงหน้าร้อน   -บทความ “9 วิธีแต่งบ้านคลายร้อน ช่วยให้บ้านเย็นน่าอยู่ อากาศสบายไม่อบอ้าว” การแต่งบ้าน ก็เป็นวิธีที่ช่วยทำให้บ้านเย็น และมีประโยชน์ทำให้ประหยัดค่าไฟได้ทางอ้อมด้วยนะ 1.ติดกันสาดกันแดด 2.ใช้หลังคาป้องกันความร้อน 3.ปลูกต้นไม้ให้ร่มเงา 4.เปิดหน้าต่างระบายอากาศ 5.ติดพัดลมเพดาน 6.เลี่ยงการปูพรม 7.เลือกใช้หลอด LED 8.ทาผนังด้วยสีโทนเย็น 9.ติดพัดลมอากาศในห้องน้ำ   อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม 9 วิธีแต่งบ้านคลายร้อน ช่วยให้บ้านเย็นน่าอยู่ อากาศสบายไม่อบอ้าว -บทความ “ทางลัดลดค่าไฟ 15 วิธีจัดห้องนอนให้เย็นสบายโดยไม่เปิดแอร์” บางครั้ง วิธีประหยัดไฟ อาจจะทำเรื่องอื่น ๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวกับเครื่องใช้ไฟฟ้าโดยตรงก็ได้ ก็เป็นการประหยัดค่าไฟฟ้าได้เหมือนกัน ซึ่งบทความนี้มี 15 วิธีมาบอกเล่าเช่นกัน ดังนี้ 1.เปลี่ยนชุดเครื่องนอนให้เป็นผ้าคอตตอน 2.ดื่มน้ำก่อนเข้านอน 3.เปลี่ยนหมอนใหม่ 4.จัดทิศพัดลมให้ถูก เพื่อดูดความร้อนออกนอกบ้าน 5.แขวนผ้าเปียกที่หน้าต่างช่วยปรับอากาศให้เย็นลง 6.วางก้อนน้ำแข็งไว้หน้าพัดลม 7.นอนคนเดียวบ้าง ก็ทำให้อุณหภูมิลดลง 8.เปลี่ยนเตียงนอนบ้างเพื่อให้อากาศหมุนรอบตัวเรา 9.เลือกซื้อชุดนอนแบบผ้าคอตตอนมาสวมใส่ 10.อาบน้ำก่อนนอนช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย 11.ปิดไฟก่อนนอนช่วยลดปริมาณความร้อนได้ 12.วางถังน้ำไว้แช่เท้าไว้ที่ปลายเตียง 13.นอนชั้นล่างอากาศจะเย็นที่สุด 14.ดึงปลั๊กไฟที่ไม่ใช้งานออกให้หมด 15.ทำแอร์ใช้เอง   อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ทางลัดลดค่าไฟ 15 วิธีจัดห้องนอนให้เย็นสบายโดยไม่เปิดแอร์ -บทความ “5 วิธีลดร้อนให้บ้าน” นอกจากนี้ เรายังมีการนำเสนอเทคนิคและวิธีการอีก 5 วิธีที่ไม่น่าเชื่อว่าจะช่วยลดความร้อนให้บ้านได้ แถมยังมีผลกับการช่วยลดค่าไฟฟ้าได้อีกด้วย ดังนี้ 1.Façade ช่วยได้ 2.ติดฟิลม์กรองแสงลดความร้อนสิ! 3.เปลี่ยนผ้าม่าน ชีวิตก็เปลี่ยน… 4.ต้นไม้ก็ช่วยได้นะ 5.ติดฉนวนกันความร้อน   อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม 5 วิธีลดร้อนให้บ้าน -บทความ “ลดความร้อนที่ผนังก่ออิฐฉาบปูนได้อย่างไรบ้าง” ส่วนบทความนี้ เป็นวิธีที่ใช้ได้ผลจริง แต่อาจจะต้องลงทุนเพิ่ม และต้องพึ่งพาช่างผู้ชำนาญการเข้ามาช่วย เป็นงานที่เราอาจจะทำเองไม่ได้ แต่ก็ช่วยทำให้บ้านเย็น และประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้ด้วย อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้​ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม ลดความร้อนที่ผนังก่ออิฐฉาบปูนได้อย่างไรบ้าง ทั้งหมดนี้ ก็เป็นบทความ สาระ ความรู้ ที่เราเคยนำเสนอไว้แล้ว แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปแค่ไหน ก็ยังมีประโยชน์ และช่วยให้ประหยัดค่าไฟได้จริง ไม่เชื่อต้องลองทำตามและพิสูจน์ด้วยตัวคุณเอง
7 ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ของคนยุคดิจิทัล

7 ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ของคนยุคดิจิทัล

ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย นับตั้งแต่มีการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 วิถีชีวิตของคนในยุคปัจจุบัน ก็เปลี่ยนไปมากมาย ไม่ใช่แค่ไลฟ์สไตล์เวลาอยู่นอกบ้าน ที่จะต้องสวมหน้ากากอนามัย ล้างมือให้สะอาดบ่อย ๆ เข้าสถานที่ต่าง ๆ ต้องตรวจวัดอุณหภูมิ และการเว้นระยะห่างทางสังคม แต่การอยู่อาศัยในบ้านก็เปลี่ยนแปลงไป ในลักษณะเช่นเดียวกัน เมื่อพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนยุคโควิด-19 เปลี่ยนไปเช่นนี้ ย่อมส่งผลถึงการเลือกที่อยู่อาศัย ซึ่งให้ความสำคัญกับบ้านที่เข้ามาตอบสนองวิถีชีวิต ภายใต้สถานการณ์โรคระบาดเช่นนี้ ซึ่งมีแนวทางการเลือกอยู่อาศัยในบ้านที่ไม่ได้เหมือนในอดีตแล้ว  จึงถือเป็นหน้าที่สำคัญที่บรรดาดีเวลลอปเปอร์ จะต้องพัฒนาที่อยู่อาศัยออกมา ให้ตรงกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไป   จากแบบสอบถาม DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study ล่าสุด ที่เผยให้เห็นทัศนคติและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปจากผลกระทบของโควิด-19 โดย 2 ใน 3 ของผู้บริโภค หรือ สัดส่วน 66% เห็นว่า ต้องหลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่แออัด  ขณะที่ความเห็นเกือบครึ่ง หรือสัดส่วน 42%  เลือกที่จะหลีกเลี่ยงการไปรับประทานอาหารนอกบ้านบ่อย ๆ โดยเกือบ 1 ใน 3 ของผู้บริโภค หรือสัดส่วน 31% ยังคงกังวลใจเกี่ยวกับการแพร่ระบาด เนื่องจากผู้ใกล้ชิดจะได้รับผลกระทบ และมีเพียง 1% เท่านั้นที่ผู้บริโภคมองว่าโควิด-19 ไม่ได้มีผลต่อการดำเนินชีวิตของพวกเขาเลย   สำหรับผลกระทบต่อการอยู่อาศัย ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาด ที่ส่งผลในเรื่องการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย จาก​ แบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด  ระบุว่า ผลกระทบของโควิด-19 ที่กลายมาเป็นปัจจัยเร่งให้ผู้บริโภคเปลี่ยนมุมมองและพฤติกรรมการเลือกที่อยู่อาศัยไปจากก่อนยุค New Normal โดยมองหาบ้านที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคใหม่ด้วยเช่นกัน  ซึ่งสรุปออกมาเป็น 7 ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย หรือก็คือ ปัจจัยที่ผู้บริโภคใช้เป็นเกณฑ์ตัดสินใจในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยนั่นเอง 7 ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ของคนยุคดิจิทัล 1.Work from Home กับการลาออกครั้งใหญ่ ในช่วงมีการแพร่ระบาดหนัก ๆ มาตรการทำงานจากที่บ้าน หรือ Work from Home เป็นวิธีหลักที่แทบทุกองค์กรนำมาใช้ เพื่อให้ธุรกิจยังเดินหน้าขณะที่พนักงานก็ปลอดภัย ไม่เสี่ยงต่อการได้รับเชื้อโรค มีหลายองค์กรที่ใช้มาตรการ Work from Home นานนับปี ทำให้ปัจจุบันพนักงานจำนวนมาก คุ้นชินกับวิถีชีวิตแบบนี้ และยังมองว่าเป็นแนวทางการทำงานที่ปลอดภัย ทั้งต่อตัวเองและบุคคลในครอบครัวด้วย   การสำรวจพบว่า ผู้บริโภคมากกว่าครึ่ง (59%) ตั้งใจหางานที่อนุญาตให้ Work from Home ได้มากขึ้น เนื่องจากเห็นความสำคัญของการได้ใช้ชีวิตกับครอบครัวและต้องการรักษาระยะห่างในสังคม นอกจากนี้ในช่วง Work from Home ที่ผ่านมา ผู้บริโภคต่างได้ปรับปรุงพื้นที่ใช้สอยเพื่อสร้างบรรยากาศที่บ้านให้รองรับการทำงานออนไลน์ไปแล้ว จึงอาจยังไม่เห็นความจำเป็นในการกลับไปทำงานที่ออฟฟิศ ในสหรัฐอเมริกา พบว่า เกิดกระแสการลาออกระลอกใหญ่ของมนุษย์เงินเดือน (The Great Resignation) หลังจากสถานการณ์โรคระบาดคลี่คลาย และมีการกลับมาทำงานที่ออฟฟิศเหมือนเดิม ในประเทศไทยก็มีโอกาสจะเกิดขึ้นแบบนี้ได้เช่นกัน​ หากองค์กรให้พนักงานกลับมาทำงานที่ออฟฟิศเหมือนเดิม ขณะที่ยังมีการแพร่ระบาดของโรคจำนวนมาก 2.คนเลือกซื้ออสังหาฯ ผ่านโลกออนไลน์ มากขึ้น ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19  เครื่องมือทางการตลาดสำคัญอย่างหนึ่ง ที่ทุกองค์กรหยิบมาใช้ คือ การตลาดออนไลน์ ซึ่งเป็นเครื่องมือเข้าถึงคนได้ง่ายและปลอดภัย บริษัทอสังหาริมทรัพย์แทบจะทุกบริษัทก็ได้เอาการลาดออนไลน์ มาใช้เป็นช่องทางการซื้อขายที่อยู่อาศัย หรือบริหารการตลาด  ทำให้ออนไลน์ที่เดิมเป็นเพียงแหล่งค้นหาข้อมูลโครงการที่อยู่อาศัย กลายมาเป็นเครื่องมือในการซื้อขายสำคัญ ​ โดยมากกว่าครึ่งของผู้บริโภคเลือกใช้ช่องทางออนไลน์ในการคัดเลือกโครงการที่อยู่อาศัยที่สนใจ (54%) และเยี่ยมชมโครงการเสมือนจริง (52%) นอกจากนี้ยังพบว่า 1 ใน 5 ของผู้บริโภค (20%) มีการเซ็นสัญญาซื้อขายผ่านออนไลน์ สะท้อนให้เห็นการปรับตัวและใช้ประโยชน์จากโลกออนไลน์ทั้งในฝั่งผู้ซื้อและผู้ขายได้เป็นอย่างดี แน่นอนว่า หากโครงการไหนไม่มีช่องทางออนไลน์  คงไม่ไดอยู่ในลิสต์ที่ผู้บริโภคจะเลือกซื้อแน่นอน 3.Cryptocurrency เพิ่มโอกาสให้คนรุ่นใหม่ซื้อบ้าน   การเข้ามามีบทบาทของสกุลเงินดิจิทัล หรือ Cryptocurrency ที่นอกจากจะเป็นการลงทุนที่เห็นผลตอบแทนเร็วแล้ว ผลตอบแทนจากการลงทุนในสกุลเงินนี้ยังถือเป็นช่องทางที่สร้างโอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยที่มีราคาสูงได้ง่ายขึ้นอีกด้วย จากแบบสอบถามฯ พบว่า มากกว่าครึ่งของผู้บริโภค (57%) สนใจที่จะใช้สกุลเงินดิจิทัลในการซื้อบ้าน/คอนโดฯ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ซึ่งเปิดรับเทคโนโลยีและเรียนรู้สิ่งใหม่ได้เร็วนั้น มีแนวโน้มสนใจซื้อบ้านด้วยสกุลเงินดิจิทัลสูงตามไปด้วย โดยกลุ่มช่วงอายุ 22-29 ปี ให้ความสนใจถึง 71% ในขณะที่ช่วงอายุ 30-39 ปี สนใจถึง 61% 4.“มาตรการภาครัฐ” ปัจจัยบวกกระตุ้นซื้อบ้าน   มาตรการภาครัฐ ถือเป็นปัจจัยบวกกระตุ้นความต้องการซื้อบ้าน และปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย จากสภาพเศรษฐกิจยังคงไม่ฟื้นตัว ผู้บริโภคจึงเลือกที่จะวางแผนการเงินอย่างรัดกุมและชะลอการใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออกไปก่อน เพราะต้องการรักษากระแสเงินสดเอาไว้ มาตรการจากภาครัฐที่ออกมา อาทิ การลดค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองทั้งบ้านใหม่และบ้านมือสอง การผ่อนคลายมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ชั่วคราวของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้กลายเป็นปัจจัยบวกที่มีแนวโน้มจะส่งผลให้ความต้องการซื้อของผู้บริโภคเติบโต   โดย 7 ใน 10 ของผู้บริโภคเผยว่าตั้งใจจะซื้อที่อยู่อาศัยในอนาคต หลังจากที่ผู้บริโภคได้มีการปรับตัวและเรียนรู้ที่จะอยู่กับโควิด-19 ได้ดีขึ้น ประกอบกับช่วงที่ผ่านมาต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างที่อยู่อาศัยเริ่มปรับตัวสูงขึ้น และผู้พัฒนาอสังหาฯ มีแนวโน้มปรับราคาขายเพิ่มขึ้นเช่นกัน รวมไปถึงผลกระทบจากปัญหาความขัดแย้งนอกประเทศที่อาจส่งผลให้แนวโน้มราคาสินค้าและภาวะเงินเฟ้อในไทยปรับตัวสูงขึ้น ได้กลายเป็นอีกปัจจัยเร่งให้เกิดการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย เห็นได้จากการที่ผู้บริโภควางแผนซื้อที่อยู่อาศัยภายใน 2 ปีมีถึง 45% ซึ่งเพิ่มขึ้นจากผลสำรวจรอบที่แล้ว (39%) สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการซื้อบ้านที่มีแนวโน้มสูงขึ้น 5.วางแผนรองรับแผนเกษียณ   คนวางแผนซื้อบ้านเพื่อรองรับแผนเกษียณ เป็นอีกปัจจัยที่มาช่วยตัดสินใจการเลือกซื้อที่อยู่อาศัยของคนยุคปัจจุบัน เพราะจากการสอบถาม  พบผู้บริโภคมากกว่า 3 ใน 4 (78%) ที่เป็นเจ้าของบ้านอยู่แล้วยังคงต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่ม โดยมองว่าการซื้ออสังหาฯ เพิ่มนั้นไม่ได้ตอบโจทย์การอยู่อาศัยเท่านั้น แต่วางแผนต่อยอดการใช้ชีวิตเพื่อความมั่นคงในอนาคตด้วย โดยเป้าหมายยอดนิยมของการซื้อบ้านเพิ่มอันดับต้น ๆ ของผู้บริโภค คือ ซื้อไว้รองรับแผนเกษียณอายุในอนาคต (31%) ตามมาด้วยการซื้อให้ญาติหรือพี่น้อง (28%) และซื้อปล่อยเช่าสร้างรายได้ระยะยาว (26%) นอกจากนี้ ยังพบว่า 46% ของผู้บริโภคที่เป็นเจ้าของบ้านปัจจุบันนั้นยังมีแผนที่จะซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มภายในช่วง 1 ปีข้างหน้านี้ สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อและมีความพร้อมทางการเงินกลับมามีความมั่นใจที่จะจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น 6.บ้านต้องส่งเสริม “สุขภาพ” ปัจจัยเรื่องของสุขภาพ เป็นเทรนด์ที่มีมาก่อนหน้าจะเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แล้ว เมื่อเกิดสถานการณ์โรคระบาดขึ้น ยิ่งเข้ามาตอกย้ำเพิ่มน้ำหนักในเรื่องนี้มากขึ้น คนส่วนใหญ่​เกือบ 2 ใน 3 ของผู้บริโภคปัจจุบัน (63%) หันมาให้ความสำคัญกับไลฟ์สไตล์ที่ส่งเสริมการสร้างสุขภาพที่ดีอย่างต่อเนื่อง โดยมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นในกลุ่มผู้สูงอายุ เนื่องจากมองว่าการมีร่างกายที่แข็งแรงและพฤติกรรมสุขภาพที่ดีจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย และช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัส นอกจากการดูแลสุขภาพแล้ว ผู้บริโภคส่วนใหญ่ยังตระหนักถึงความสำคัญของการมีสถานบริการสุขภาพอยู่ใกล้ที่อยู่อาศัยแม้ว่าการแพร่ระบาดฯ จะหมดไปก็ตาม โดยแผนการดูแลสุขภาพในอนาคตของผู้บริโภคถึง 88% เผยว่าต้องการเช่าหรือซื้อที่อยู่อาศัยที่อยู่ใกล้โรงพยาบาลมากที่สุด ตามมาด้วย 45% มองหาที่อยู่อาศัยใกล้ร้านขายยา และ 37% มองหาที่อยู่อาศัยใกล้ศูนย์บริการด้านสุขภาพเฉพาะทาง เพื่อวางแผนรองรับการใช้ชีวิตระยะยาวที่ต้องการความสะดวกสบายในการเดินทางไปพบแพทย์หรือตรวจเช็กสุขภาพ 7.รถยนต์ไฟฟ้าตัวแปรสำคัญเมื่อคิดซื้อบ้าน   รถยนต์ไฟฟ้าเป็นเทรนด์ที่ยังมาแรงไม่มีตก ยิ่งช่วงที่ผ่านมาราคาเชื้อเพลิงปรับตัวขึ้นสูง และภาครัฐมีการกำหนดทิศทางการพัฒนาและขับเคลื่อนมาตรการสนับสนุนฯ รถยนต์ไฟฟ้าที่ชัดเจนมากขึ้น ทำให้คนสนใจการใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น และนับจากนี้จะเป็นปัจจัยสำคัญที่คนจะเลือกซื้อบ้าน ด้วยการดูว่าโครงการมีการเตรียมอุปกรณ์รองรับกับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าหรือไม่  ตัวแปรสำคัญเมื่อคิดซื้อบ้าน เมื่อน ส่งผลให้กระแสความสนใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้าในไทยกลับมาอีกครั้ง จากผลสำรวจ พบว่า โดย 2 ใน 3 ของคนหาบ้าน (67%) เผยว่ายินดีที่จะจ่ายเงินเพิ่มขึ้นเพื่อซื้อบ้าน/คอนโดฯ ที่มีจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ารองรับ เนื่องจากผู้บริโภคคำนึงถึงความยั่งยืนของการใช้ชีวิตในอนาคต การซื้อที่อยู่อาศัยแต่ละครั้งถือเป็นเรื่องใหญ่ จึงต้องคิดอย่างรอบคอบ มองไปถึงฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในระยะยาวให้ได้มากที่สุด นอกจากนี้ รถยนต์ไฟฟ้ายังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมันที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายได้อีกทางหนึ่ง ถือเป็น ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย สำคัญในสถานการณ์เช่นนี้   ทั้งหมดนี้ ก็คงกล่าวได้ว่า เป็น 7 ปัจจัยเลือกซื้อที่อยู่อาศัย ที่สำคัญซึ่งผู้บริโภคยุคการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะใช้เป็นเกณฑ์ในการเลือกซื้อที่อยู่อาศัย หรือใช้ตัดสินใจว่าจะเลือกซื้อโครงการไหนดี ในขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการก็เอาปัจจัยทั้งหมด มาเป็นแนวทางการพัฒนาโครงการในอนาคตด้วย เพราะต้องตอบสนองความต้องการของลูกค้า เพื่อสร้างยอดขายและกำไรอย่างต่อเนื่องนั่นเอง   CR: DDproperty   บทความที่เกี่ยวข้อง 7 วิธีปรับปรุงบ้านเพื่อผู้สูงอายุ ด้วยตัวเอง
ไนท์แฟรงค์  มองตลาดอสังหาฯ 65 บ้าน 10 ล้านมาแรง  ​คอนโด จ่อเปิดตัวใหม่ 10,000 ยูนิต

ไนท์แฟรงค์ มองตลาดอสังหาฯ 65 บ้าน 10 ล้านมาแรง ​คอนโด จ่อเปิดตัวใหม่ 10,000 ยูนิต

ไนท์แฟรงค์ มองตลาดอสังหาฯ 65 ส่งสัญญาณบวก บ้าน 10 ล้านอัพดาวรุ่ง เหตุกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง ซัพพลายน้อย ขณที่ตลาดคอนโด จ่อเปิดตัว 10,000 ยูนิต แต่ยังห่วงปัญหาเงินเฟ้อ ราคาต้นทุนพุ่ง กดดันภาวะตลาดและกำลังซื้อ แม้รัฐกระตุ้นตลาดยืดระยะเวลา มาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนถึงสิ้นปี   หลังจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย ได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เกิดขึ้นในช่วง 1-2 ปีแรก จนถึงปี 2565 ในปัจจุบัน ตลาดอสังหาฯ ก็ปรับตัวได้ดีขึ้น สภาพตลาดเริ่มมีทิศทางฟื้นตัว เห็นได้จากการที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ ประกาศแผนธุรกิจที่จะรุกตลาดกันอย่างหนัก และแผนการเปิดตัวโครงการจำนวนมาก จากช่วง 2 ปีที่ผ่านมาได้หยุดและชะลอแผนการเปิดตัวโครงการใหม่   นายสัญชัย คูเอกชัย ผู้อำนวยการและหัวหน้าส่วนงานวิจัยและที่ปรึกษา บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด ได้ฉายภาพตลาดอสังหาฯ ในปี 2565 ว่า ตลาดอสังหาฯ ที่มีแนวโน้มเติบโตดีและส่งสัญญาณเป็นบวก คือกลุ่มบ้านระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ​ส่วนตลาดคอนโดมิเนียมก็มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น หลังจากที่ผู้ประกอบการหยุดพัฒนาโครงการ และปีนี้ได้ประกาศแผนการเปิดตัวโครงการมากขึ้น   แต่อย่างไรก็ตาม ปัจจัยน่าจับตายังคงมีให้เห็น โดยเฉพาะเรื่องของต้นทุนด้านต่าง ๆ ที่แนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นจากปัจจัยเรื่องสภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งจะส่งผลให้ราคาขายของอสังหาฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามมาด้วย แม้ว่าปัจจัยบวกที่จะช่วยกระตุ้นตลาดยังมีอีกหลายประการ เช่น มาตรการของภาครัฐ การผ่อนปรนมาตรการ LTV ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ตลาดบ้าน 10 ล้านขึ้น โตต่อเนื่อง แนวโน้มตลาดบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ในปี 2565 ส่งสัญญาณบวก และเป็นตลาดที่แข็งแกร่งจากศักยภาพของกลุ่มผู้มีกำลังซื้อสูง แม้ปี 2564 ที่ผ่านมาดีเวลลอปเปอร์ พัฒนาโครงการแนวรามมากขึ้น  แต่บ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ยังมีการพัฒนาออกมาไม่มากนัก ​แต่ความต้องการบ้านระดับราคา 10 ล้านบาท ยังมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ถือว่าเป็นกลุ่มสำคัญที่สามารถทำรายได้ให้กับดีเวลลอปเปอร์​ที่พัฒนาโครงการบ้านแนวราบกลุ่มนี้ในระยะที่ผ่านมา แม้ความต้องการของบ้านกลุ่มนี้จะมีค่อนข้างจำกัด   สาเหตุสำคัญที่ทำให้บ้านยังคงได้รับการตอบรับที่ดี เป็นผลจากการระบาดของโควิด-19 ที่ทำให้พฤติกรรมการอยู่อาศัยและการใช้ชีวิตแบบ New Normal  คนมีความต้องการพื้นที่อยู่อาศัยจากเดิมมากขึ้น และยังคงสอดคล้องกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน  รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีที่นำมาใช้กับบ้าน รวมไปถึงทำเลโครงการอยู่ในโซนที่เดินทางง่าย บทสรุปตลาดบ้านราคา 10 ล้านอัพ ช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้ความต้องที่การอยู่อาศัย เปลี่ยนแปลงไป ผู้คนต้องอยู่อาศัยในบ้านกันมากขึ้น และอยู่ด้วยกันหลายคน มาตรการหนึ่งของการลดความเสี่ยงในการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 คือ การเว้นระยะห่างทางสังคม ส่งผลให้ความต้องการพื้นที่อยู่อาศัยที่มากขึ้น ประกอบกับการต้องทำกิจกรรมต่าง ๆ ภายในบ้าน ดังนั้น ตลาดบ้านแนวราบจึงกลายเป็นพระเอกสำคัญของตลาดอสังหาฯ ที่ยังสามารถสร้างการเติบโตได้   ในปี 2565 ทิศทางตลาดก็ยังไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงไปจากที่ผ่านมา ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงต้องอยู่อาศัยในบ้าน และต้องการพื้นที่การทำกิจกรรมต่าง ๆ มากขึ้น ซึ่งในบรรดาตลาดบ้านแนวราบ ที่น่าจับตามองและมีทิศทางการเติบโตอย่างน่าสนใจ คือ กลุ่มบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป เพราะฐานลูกค้าสำคัญเป็นกลุ่มคนกำลังซื้อสูง ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว หรือภาวะเงินเฟ้อ เมื่อเทียบกับฐานลูกค้ากลุ่มอื่น โดยบทสรุปของตลาดบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปที่น่าสนใจในปี 2564 และแนวโน้มภาวะตลาดในปี 2565 มีดังนี้   1.จำนวนใบอนุญาตบ้านในระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ที่ได้รับการอนุญาตให้ทำการจัดสรรที่ดิน (ทั้งโครงการ) พบว่า ตั้งแต่ปี 2560 ถึง ปี 2564 มีการอนุญาตจัดสรรที่ดิน สำหรับกลุ่มบ้านที่มีระดับราคาขาย 10 ล้านบาทขึ้นไป จำนวนทั้งสิ้น 10,087 ยูนิต   2.ปี 2564 พบว่ามีใบอนุญาตจัดสรรที่ดินในกลุ่มบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป​ อยู่ที่ 1,785 ยูนิต   3.สิ้นปี 2564 บ้านระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาท ขึ้นไป มีเหลือขายประมาณ 197 โครงการ มีจำนวนสะสมทั้งสิ้น 20,434 ยูนิต   4.อัตราการขายช่วงสิ้นปี 2564 มีอัตราการขายเพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบจากปีก่อนหน้าที่ 61% โดยมีจำนวนยูนิตขายได้ทั้งสิ้น 14,766 ยูนิต คิดเป็นอัตราการขาย 72%   5.ตลอดทั้งปี 2564 มีจำนวนยูนิตขายได้ใหม่ 3,100 ยูนิต ซึ่งเป็นจำนวนค่อนข้างสูง เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2563 สะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตของตลาดที่ดีมาอย่างต่อเนื่อง เป็นโอกาสอันดีของดีเวลลอปเปอร์ที่จะพัฒนาบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปออกมาทำตลาด   6.ความต้องการบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป -บ้านที่มีระดับราคาขายระหว่าง 10-20 ล้านบาท มีดีมานด์สูงสุดเพิ่มมาอยู่ที่ 8,043 ยูนิต -บ้านที่มีระดับราคาขายระหว่าง 21-30 ล้านบาท มีดีมานด์อยู่ที่ 2,816 ยูนิต -บ้านที่มีระดับราคาขายระหว่าง 31-40 ล้านบาท มีดีมานด์อยู่ที่ 2,102 ยูนิต   7.อัตราการขายของกลุ่มบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป -บ้านที่มีราคาสูงกว่า 100 ล้านบาท อัตราการขายสูงสุดอยู่ที่ 90% เพราะจำนวนบ้านในระดับราคานี้มีอยู่จำกัด ทำให้อัตราการขายสูงที่สุด -บ้านราคา 51-60 ล้านบาท มีอัตราการขายอยู่ในอัตรา 83% -บ้านราคา 31-40 ล้านบาท มีอัตราการขายอยู่ในอัตรา 82% -บ้านราคา 61-70 ล้านบาท อัตราการขายต่ำที่สุด และมีความต้องการต่ำที่สุด 8.แนวโน้มตลาดบ้านราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ในปี 2565  ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากฐานกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้สูง ยังมีความต้องการ และพฤติกรรมการใช้ชีวิตตามวิถี New Normal   9.กลุ่มผู้ซื้อ Gen Y คือกลุ่มอายุ 22-38 ปี จะเข้ามาหนุนตลาดบ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ให้เติบโต เป็นกลุ่มผู้ที่จะเข้ามาซื้อบ้านในระดับราคาดังกล่าวเพิ่มมากขึ้น ​เนื่องจากช่วงวัยของกลุ่มผู้ซื้อกำลังเปลี่ยนไป เป็นช่วงอายุที่อยู่ในระหว่างการเปลี่ยนแปลง เช่น ต้องการขยายครอบครัวหรือสร้างครอบครัว รวมไปถึงการทำเป็นออฟฟิศในบ้านพร้อมอยู่อาศัยไปด้วย ซึ่งรูปแบบบ้านประเภทดังกล่าวมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตรงไลฟ์สไตล์กลุ่มผู้ซื้อได้อย่างดี   นอกจากนี้ กลุ่ม Gen Y ยังเป็นกลุ่มที่เน้นประกอบอาชีพธุรกิจส่วนตัวส่วนมากกว่าการเป็นพนักงานเงินเดือน หรือแม้แต่การรับช่วงกิจการต่อการครอบครัว จากผลวิจัยพบว่าโครงการบ้านในรูปแบบทาวน์โฮมและบ้านแฝดเริ่มที่จะได้รับการตอบรับจากคนในช่วงกลุ่มวัยดังกล่าวขึ้นมาบ้าง   10.ตลาดน่าจะมีการแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้น จากจำนวนโครงการที่จะพัฒนาออกมาขาย เนื่องมาจากรัฐบาลออกประกาศกำหนดอัตราภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างโดยไม่มีการลดหย่อนภาษี ส่งผลให้ดีเวลลอปเปอร์ต้องวางแผนงาน พัฒนาที่ดินที่เก็บไว้ในมือออกมา เพื่อทยอยพัฒนาที่ดินที่เก็บไว้ในมือออกมา   11.บ้านระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ยังมีความท้าทายในการพัฒนา จากภาวะต้นทุนที่สูงขึ้น ​​ไม่ว่าจะเป็นราคาค่าวัสดุก่อสร้าง ค่าแรงพนักงาน ค่าใช้จ่ายของมาตราการโรคระบาดให้แก่พนักงาน รวมถึงต้นทุนของค่าภาษีที่ดินที่ต้องจ่าย 100%   นอกจากนี้ สิ่งสำคัญในการออกแบบบ้านรองรับกับอนาคต ควรมีการออกแบบให้สอดรับกับเทคโนโลยีให้สะดวกต่อการใช้ชีวิตรวมถึงเทคโนโลยีที่จะช่วยในเรื่องของการประหยัดพลังงานภายในบ้าน ซึ่งจะเห็นว่าในบางโครงการได้มีการนำมาใช้บ้างแล้ว หรือการออกแบบที่ผสมผสานกับธรรมชาติเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมส่งผลที่ดีต่อคุณภาพชีวิต การออกแบบที่รองรับอนาคตหรือที่เรียกว่า Sustainable นั้นจะเป็นสิ่งที่กลุ่มผู้ซื้อให้ความสำคัญมากขึ้นเพราะคุ้มค่าแก่การลงทุนในการซื้ออยู่อาศัย อย่างไรก็ตามผู้ประกอบการควรศึกษาพฤติกรรมของกลุ่มผู้บริโภคเพื่อโฟกัสกลุ่มเป้าหมายในแต่ละช่วงวัยเพื่อให้สามารถตอบรับกับการใช้ชีวิตได้อย่างเหมาะสมและครอบคลุม ส่องตลาดคอนโด 65 จ่อเปิด 10,000 ยูนิต ส่วนตลาดคอนโดมิเนียมในปี 2565 นี้ เชื่อว่ามีแนวโน้มทยอยกลับมาฟื้นตัวและมีความคึกคักมากขึ้น เนื่องจากดีเวอลอปเปอร์รายใหญ่มีแผนเปิดตัวโครงการมากขึ้น โดยคาดว่าจะมีโครงการเปิดใหม่ประมาณ 10,000 ยูนิต ในไตรมาสแรกของปี 2565   แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีปัจจัยที่น่ากังวล ที่ต้องเฝ้าจับตามอง เพราะจะเป็นปัจจัยลบที่มาฉุดการเติบโตของตลาดได้ คือ -การระบาดของโควิค 19 สายพันธุ์ “โอมิครอน” หากมีการแพร่ระบาดที่รุนแรงและส่งผลให้จำนวนผู้เสียชีวิตและผู้ป่วยหนักมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ อาจส่งผลให้รัฐบาลต้องออกคำสั่งให้กลับเข้าสู่การล็อคดาวน์อีกครั้ง -ภาวะเงินเฟ้อที่จะส่งผลต่อราคาสินค้าอุปโภคและบริโภค รวมถึงราคาวัสดุก่อสร้างให้เพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจยังชะลอตัว -แนวโน้มของราคาขายคอนโดจึงมีโอกาสที่ปรับตัวสูงขึ้นในปี 2565 และหากโครงการอยู่ในทำเลที่ดี โอกาสในการต่อราคาของผู้ซื้อจะทำได้ยากขึ้น จึงอาจจะส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคลดลงได้   ส่วนปัจจัยบวกสนับสนุนตลาดคอนโดในปี 2565 คือ มาตราการช่วยเหลือและกระตุ้นกำลังซื้อของรัฐบาล อาทิ การลดค่าโอน-จำนองที่ยืดระยะเวลาออกไป เป็นมาตรการที่กระตุ้นกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ซึ่งคนกลุ่มนี้ยังเป็นกำลังซื้อหลักในช่วงเวลานี้ โดยระดับราคาคอนโดที่กลุ่มเรียลดีมานด์ให้ความสนใจอยู่ในช่วงราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีของผู้ประกอบการ ที่จะทำโปรโมชั่นราคา เพื่อให้สอดรับกับมาตราการลดค่าโอน-จำนองของรัฐบาล เป็นการระบายสต็อกที่ยังคงเหลืออยู่ออกไป บทสรุปคอนโด​ Q4/64 เพิ่ม 62.7% สำหรับสถานการณ์คอนโดในช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 ที่ผ่านมา พบว่า มีซัพพลายทั้ง 11,252 ยูนิต เพิ่มขึ้น 62.7% จากช่วงเดียวกันของปี 2563 และเพิ่มขึ้น 79.5% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2564 โดยคอนโดที่มีสะสมในช่วงไตรมาส 4 ดังกล่าวมีจำนวนมากคิดเป็นสัดส่วนถึง​เกือบ 56% ของจำนวนทั้งปี 2564  ที่มีจำนวนทั้งสิ้น 20,015 ยูนิต ​   สาเหตุสำคัญที่ผู้ประกอบการ เปิดตัวคอนโดมจำนวนมากขึ้นในไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 จากเดิมที่ไตรมาส 1-3 มีการชะลอตัวการเปิดโครงการใหม่ เป็นเพราะ -รัฐบาลผ่อนคลายและยกเลิกมาตราการล็อคดาวน์ พร้อมทั้งเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะในรูปแบบ Test & Go -ธนาคารแห่งประเทศไทยมีผ่อนปรนมาตราการ LTV เป็นการชั่วคราวจนถึงสิ้นปี 2565   2 ปัจจัยสำคัญดังกล่าว ส่งผลให้ดีเวลลอปเปอร์ มองว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเปิดโครงการใหม่ โดยเป็นการเปิดที่เน้นจับกลุ่มเรียลดีมานด์ ที่เป็นกำลังซื้อหลักในเวลานี้เท่านั้น ซึ่งเน้นทำตลาดคอนโดระดับราคา 3 ล้านบาท   -ชานเมืองเปิดตัวโครงการใหม่สูงสุดคิดเป็น 76% หรือ 7,117 ยูนิต  ส่วนบริเวณรอบเขตศูนย์กลางธุรกิจ (City Fringe) เปิดตัวคิดเป็น 13% และบริเวณศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) เปิดตัวใหม่คิดเป็นสัดส่วน 11%   -จำนวนคอนโดที่เปิดขายใหม่ ยังเป็นกลุ่มดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่สูงถึง 70% จากจำนวนที่เปิดขายทั้งหมด โดยคอนโดที่เปิดขายในไตรมาสนี้อยู่ในระดับราคาตั้งแต่ 900,000  – 3.5 ล้านบาท หากแยกตามเกรดจะแบ่งเป็นคอนโดเกรด C สัดส่วน 63% แสดงให้เห็นว่านักพัฒนาเลือกที่จะเปิดขายคอนโดในระดับราคาเฉลี่ยที่ประมาณ 80,000 – 100,000 บาท/ตร.ม. เพราะเป็นสินค้นที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มที่เป็นกำลังซื้อหลัก และคอนโดเกรด B สัดส่วน 37%   -ส่วนของจำนวนคอนโดที่ขายได้ใหม่ในไตรมาส 4 ปี 2564 อยู่ที่ 2,835 ยูนิต คิดเป็นอัตราการขายอยู่ที่ 25.2% ซึ่งอัตราการขายลดลง 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกับในปีก่อนหน้า และลดลง 12.8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3 ปี 2564   สาเหตุอัตราการขายใหม่ลดลง เนื่องมาจากจำนวนยูนิตเปิดขายใหม่นั้นมีค่อนข้างมาก ในขณะที่ยูนิตขายได้กลับมีน้อย เพราะเป็นโครงการที่ขายเพียงใบจองเท่านั้น แม้ว่าจะมียูนิตขายที่น้อยแต่ก็มั่นใจได้ว่าห้องที่ถูกขายไปนั้นจะไม่ได้รับการยกเลิก เนื่องจากโครงการมีการประเมินศักยภาพลูกค้ามากขึ้นเพื่อให้สามารถปิดการขายได้จริง ส่งผลให้ในอนาคตยอดปฏิเสธสินเชื่ออาจจะลดลง -กลุ่มผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นกลุ่มกำลังซื้อระดับกลาง ที่ยังมีรายได้แน่นอนและมีมากกว่ากลุ่มนักลงทุน เนื่องจากโครงการที่เปิดขายจะอยู่ในโซนชานเมืองซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยเป็นหลัก ทำให้กลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัย (Real Demand) ที่มีความพร้อมในการซื้อให้ความสนใจโครงการ โดยเฉพาะห้องที่มีระดับราคาไม่เกิน 3 ล้าน   -ระดับราคาขายคอนโดในกรุงเทพฯ ณ ไตรมาส 4 ปี 2564 ปรับตัวลดลงในทุกพื้นที่  โดยบริเวณศูนย์กลางธุรกิจราคาปรับลดลง 4.6% ปีต่อปีอยู่ที่ 239,689 บาท/ตร.ม.  ในบริเวณรอบเขตศูนย์กลางธุรกิจลดลง 6.3% ปีต่อปีอยู่ที่ 115,659 บาท/ตร.ม. และย่านชานเมืองลดลง 8.2% ปีต่อปี อยู่ที่ 63,258 บาท/ตร.ม.   ทั้งนี้ สาเหตุมาจากบางโครงการที่เปิดขายมานานและยังไม่สามารถปิดการขายได้ ทำการลดราคาขายลงหรือบางโครงการก็ลดราคาลง เพื่อให้สอดคล้องกับมาตราการลดค่าโอน-จำนอง ในราคาไม่เกิน 3 ล้าน ซึ่งเป็นกลุ่มราคาที่ยังคงมีตลาดรองรับ ส่งผลให้ยูนิตเหลือขายในตลาดได้มีการระบายสต็อกออกไปบ้างบางส่วน ราคาขายคอนโดอาจเริ่มขึ้นจากสภาวะเงินเฟ้อ  
เอพี ไทยแลนด์  เดินแผนพัฒนาสูงสุดในตลาด  ประเดิม Q1 เปิดแนวราบ 11 โครงการ มูลค่า 9,590 ล้าน

เอพี ไทยแลนด์ เดินแผนพัฒนาสูงสุดในตลาด ประเดิม Q1 เปิดแนวราบ 11 โครงการ มูลค่า 9,590 ล้าน

เอพี ไทยแลนด์ เดินหน้าตามแผนปั้นโปรเจ็กต์สูงสุดในอุตสาหกรรม ประเดิมไตรมาสแรกเปิดตัว 11 แนวราบใหม่ มูลค่า 9,590 ล้านบาท  พร้อมทาวน์โฮมโมเดลใหม่ใน 7 ทำเล​กับ 4 แบรนด์คุณภาพจาก บ้านกลางเมือง – แกรนด์ พลีโน่ -  พลีโน่ – พลีโน่ ทาวน์  พร้อมเดินเครื่องสินค้าบ้านเดี่ยวเติบโตต่อเนื่อง เตรียมเปิดตัว CENTRO 4 โครงการ​ พรีเซลพร้อมกันในวันที่ 26 - 27 มีนาคมนี้   นายเมธา รักธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจ กลุ่มสินค้าทาวน์โฮม บริษัท​เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในไตรมาสแรกของปีนี้  กลุ่มสินค้าแนวราบวางแผนเปิดโครงการใหม่ รวมทั้งสิ้น 11 โครงการ มูลค่า 9,590 ล้านบาท  โดยเปิดตัวภายใต้แบรนด์ “เซนโทร” (CENTRO) 4 โครงการใหม่ และพร้อมเปิดตัว 7 ทาวน์โฮมใหม่ที่มาพร้อมกับ 7 แบบบ้านใหม่  ซึ่งจะเปิดพรีเซลทั้ง 11 โครงการนี้ในวันที่ 26 -27 มีนาคมนี้ โดยแผนธุรกิจในภาพใหญ่ของปี 2565 นี้กลุ่มธุรกิจสินค้าทาวน์โฮม ได้ตั้ง เป้าเปิดตัว 20 แบบบ้านใหม่ ใน 6 แบรนด์ทาวน์โฮม  ซึ่งใน ไตรมาส 1 นี้ นำร่องด้วยการเปิดตัว 7 แบบบ้านใหม่ใน 7 โครงการใหม่ มูลค่าโครงการรวม  4,470 ล้านบาท ที่ปรับโฉมใหม่ทั้งหมด ทั้งมิติงานสถาปัตยกรรมและพื้นที่ภายใน ได้แก่ ทาวน์โฮมแบรนด์บ้านกลางเมืองกับแบบบ้าน LAPIZ   ทาวน์โฮม 3 ชั้น หน้ากว้าง 5 เมตร ขนาดที่ดิน 17.5 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 136 ตร.ม. ในโครงการ 1.บ้านกลางเมือง สาทร-กัลปพฤกษ์ จำนวน  70 ยูนิต ราคา 4.99 - 9 ล้านบาท   2.บ้านกลางเมือง สุขสวัสดิ์-พระราม 3 จำนวน 46 ยูนิต  ราคาเริ่ม 4.79 ล้านบาท  ทาวน์โฮมแบรนด์พลีโน่ กับแบบบ้าน DAVIN ทาวน์โฮม 2 ชั้น หน้ากว้าง 5.7 เมตร ขนาดที่ดิน 17.5 ตร.วา ขึ้นไป พื้นที่ใช้สอย 104 ตร.ม. ในโครงการ   3.พลีโน่ ราชพฤกษ์-สาทร จำนวน 158 ยูนิต ราคาเริ่ม   2.99 ล้านบาท แบบบ้าน VIVID ทาวน์โฮม 2ชั้น หน้ากว้าง 5.5 เมตร  ขนาดที่ดิน 17.5 ตร.วา ขึ้นไป พื้นที่ใช้สอย 106.45 ตร.ม. ในโครงการ   4.พลีโน่ วิภาวดี-ดอนเมือง จำนวน 235  ยูนิต ราคา 2.99-5.59 ล้านบาท แบบบ้าน BEAMING ทาวน์โฮม 2 ชั้น หน้ากว้าง 7 เมตร  ขนาดที่ดิน 25 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 132 ตร.ม. ในโครงการ   5.พลีโน่  เพชรเกษม-สาย 4 จำนวน 227  ยูนิต และบ้านแฝดแบรนด์แกรนด์ พลีโน่ กับแบบบ้าน JANETTE หน้ากว้าง 9.4 เมตร ขนาดที่ดิน 35.35 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 145  ตร.ม. ในโครงการ   6.แกรนด์ พลีโน่ ศาลายา-บรมฯ จำนวน 212 ยูนิต สุดท้ายกับแบรนด์น้องใหม่   7.พลีโน่ ทาวน์ บางนา จำนวน 351 ยูนิต ราคา 1.99-4.99 ล้านบาท กับแบบบ้าน 2 ดีไซน์ใหม่ GROSSO ทาวน์โฮม 2 ชั้น หน้ากว้าง 5 เมตร ขนาดที่ดิน 16.5 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 91 ตร.ม. และ SHAWN บ้านแฝดโมเดลใหม่ หน้ากว้าง 11.4 เมตร ขนาดที่ดิน 35.35 ตร.วา พื้นที่ใช้สอย 145ตร.ม.   ด้านนายรัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว  กล่าวว่า กลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว ในไตรมาส 1 นี้ ได้เปิดตัวแบบบ้านดีไซน์ใหม่ ภายใต้แบรนด์ “เซนโทร” (CENTRO)  โดยในวันที่ 26-27 มีนาคมนี้ เตรียมเปิดให้ชมบ้านตัวอย่างใน 4 ทำเล ได้แก่ 1.CENTRO ปิ่นเกล้า บ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ พร้อมเรือนรับรอง พื้นที่ใช้สอย 389 ตร.ม. ราคา 9.5-15 ล้านบาท   2.CENTRO ดอนเมือง-แจ้งวัฒนะ บ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ พื้นที่ ใช้สอย 289ตร.ม. พร้อมห้องแม่บ้าน ราคา 7.99-12 ล้านบาท   3.CENTRO บางนา-ศรีนครินทร์ บ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ พื้นที่ใช้สอย 252ตร.ม. ราคา 7.79-15 ล้านบาท   4.CENTRO รามอินทรา จตุโชติ 2 บ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ พร้อมห้องแม่บ้าน พื้นที่ใช้สอย 289 ตร.ม. พร้อมห้องแม่บ้าน ราคา 6.99-12 ล้านบาท   สำหรับแผนธุรกิจของเอพีในปี 2565 มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่สูงที่สุดในอุตสาหกรรม โดยมีแผนพัฒนาโครงการใหม่ รวมทั้งสิ้นจำนวน 65 โครงการ มูลค่าประมาณ 78,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นทาวน์โฮม จำนวน 29 โครงการ มูลค่า 25,200 ล้านบาท บ้านเดี่ยว จำนวน 26 โครงการ มูลค่า 35,600 ล้านบาท คอนโดมิเนียมจำนวน 5 โครงการ มูลค่าประมาณ 13,000 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด จำนวน   5 โครงการ มูลค่า 4,200 ล้านบาท   โดยตั้งเป้ายอดขาย 50,000 ล้านบาท เป้ารายได้รวม 100% JV ที่  47,000 ล้านบาท ซึ่ง ณ สิ้นเดือนกุมภาพันธ์ 2565 บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายได้แล้วกว่า 9,100 ล้านบาท  
[PR News] LET จับมือ Dahua เสริมแกร่ง “โมเดิร์น ซิเคียวริตี้” รุกตลาดเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัย

[PR News] LET จับมือ Dahua เสริมแกร่ง “โมเดิร์น ซิเคียวริตี้” รุกตลาดเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัย

โมเดิร์น ซิเคียวริตี้ ล็อกซเล่ย์ อีโวลูชั่น เทคโนโลยี หรือ LET เดินหน้าแนวคิด "โมเดิร์น ซิเคียวริตี้" ต่อเนื่อง ล่าสุดจับมือ ด้าหัว เทคโนโลยี ยักษ์ใหญ่ผู้เชี่ยวชาญระบบรักษาความปลอดภัยชั้นนำของจีน เสริมศักยภาพเทคโนโลยีดิจิทัลรักษาความปลอดภัยตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างของลูกค้าแบบครบวงจร   นายยุทธพร จิตตเกษม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท​ ล็อกซเล่ย์ อีโวลูชั่น เทคโนโลยี จำกัด หรือ LET  เปิดเผยว่า​ บริษัทได้ลงนามความร่วมมือกับ ด้าหัว เทคโนโลยี เป็นพันธมิตรเพิ่มขีดความสามารถดำเนินธุรกิจเทคโนโลยีด้านรักษาความปลอดภัยเหนือระดับ “โมเดิร์น ซิเคียวริตี้” ภายใต้กลยุทธ์ The New Society Market  ซึ่งการจับมือเป็นพันธมิตรกับด้าหัวฯ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเจ้าแห่งระบบรักษาความปลอดภัยชั้นนำจากประเทศจีน ครั้งนี้เป็นการผนึกความเชี่ยวชาญและเสริมจุดแข็งทางด้านเทคโนโลยีความปลอดภัย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการในแข่งขันทางธุรกิจ ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรด้วยการผสานอุปกรณ์ แพลตฟอร์มและโซลูชั่นทั้งของ LET และ Dahua เข้าด้วยกันเพื่อตอบโจทย์ และรองรับความต้องการของลูกค้าด้านงานรักษาความปลอดภัยที่แตกต่างกัน สำหรับกลยุทธ์ The New Society Market จะเป็นการทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดระหว่างทีมงานของ LET และ Dahua เพื่อการตัดสินใจที่รวดเร็ว และเข้าถึงกลุ่มลูกค้าหลักได้แก่ องค์กรภาครัฐ องค์กรภาคธุรกิจ รัฐวิสาหกิจ อาทิ หน่วยงานราชการ โรงพยาบาล ธนาคาร บริษัทประกันภัย และหมู่บ้านจัดสรร เป็นต้น อีกทั้งยังเฟ้นหาลูกค้าใหม่ๆ โดยทีมจะมุ่งเน้นแผนการศึกษา พัฒนา ออกแบบระบบ และเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมผสานเข้ากับ บียอน แพลทฟอร์ม (Beyond Platform) แพลทฟอร์มอัจฉริยะด้านรักษาความปลอดภัย ผ่านบิ๊กดาต้าและการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ทำงานร่วมกับกล้องโทรทัศน์วงจรปิด และระบบเซ็นเซอร์ตรวจจับต่างๆ   พร้อมการบริหารจัดการแบบศูนย์รวมผ่านห้องปฏิบัติการ Single Command Control Center เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกันทั้งด้านระดับความปลอดภัย และข้อกำหนดในโครงการของลูกค้าให้ตรงใจกับผู้ใช้งานมากที่สุด นอกจากตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลายแล้ว บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญเรื่องการจัดฝึกอบรมให้กับลูกค้าโดยทีมวิศวกรผู้เชี่ยวชาญที่พัฒนาระบบ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้ามากยิ่งขึ้น โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 15% จากปีก่อน นายโจว ชิง คันทรี่เมเนเจอร์ บริษัท ด้าหัว เทคโนโลยี เชื่อมั่นว่า การผนึกกำลังกันในครั้งนี้จะช่วยให้ด้าหัวฯ สามารถขยายตลาดในประเทศไทยได้เพิ่มมากขึ้น ด้วยความพร้อมด้านอุปกรณ์ ฮาร์ดแวร์และซอฟท์แวร์ของด้าหัวฯ ผนวกรวมกับประสบการณ์ความเชี่ยวชาญ และบียอน แพลทฟอร์ม (Beyond Platform) ที่ทันสมัยของ LET จะทำให้ลูกค้าได้รับประโยชน์จากการพัฒนาและออกแบบระบบรักษาความปลอดภัยที่ดีขึ้น มีประสิทธิภาพสูงสุด และตรงความต้องการของลูกค้ามากที่สุด
[PR News] ASW จ่ายปันผลปี 64 รวม 0.54706 บาทต่อหุ้น  พร้อมแจกวอร์แรนต์ ASW-W1 กำหนดราคาใช้สิทธิ 12 บาท

[PR News] ASW จ่ายปันผลปี 64 รวม 0.54706 บาทต่อหุ้น พร้อมแจกวอร์แรนต์ ASW-W1 กำหนดราคาใช้สิทธิ 12 บาท

แอสเซทไวส์  ประกาศจ่ายปันผลปี 2564 อัตรารวม 0.54706 บาทต่อหุ้น เตรียมกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปีที่ผ่านมา อัตรา 0.40 บาทต่อหุ้นในวันที่ 11 มี.ค.นี้ พร้อมแจกวอร์แรนต์ ASW-W1 แก่ผู้ถือหุ้นเดิม อัตรา 3 หุ้นเดิม ต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิครั้งที่ 1 กำหนดราคาใช้สิทธิ 12 บาทต่อหุ้น เตรียมเปิดตัว 7 โครงการใหม่ วางเป้าหมายรายได้รวมปีนี้ 6,000 ล้านบาท เติบโตสูงสุดเป็นประวัติการณ์             นายกรมเชษฐ์  วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW  เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในปีที่ผ่านมา ได้มุ่งขยายธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ผลักดันการเติบโตอย่างยั่งยืนควบคู่กับการเป็นหุ้นปันผลที่สร้างผลตอบแทนที่ดีแก่นักลงทุน ซึ่งความสำเร็จจากผลการดำเนินงานในปี 2564 สามารถเอาชนะความท้าทายจากปัจจัยลบโควิด-19 ทำรายได้รวม 5,034 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% และมีกำไรสุทธิ 951 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 9% จากปีก่อน ดังนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ จึงมีมติให้เสนอที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ที่กำหนดจัดในวันที่ 20 เมษายน 2565 อนุมัติการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 ในอัตรารวมหุ้นละ 0.54706 บาท ซึ่งเป็นการจ่ายเงินปันผลงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2564 ไปแล้ว คิดเป็น 0.14706 บาทต่อหุ้นในรูปแบบของหุ้นปันผลและเงินสด คงเหลือจ่ายปันผลจากงวดผลการดำเนินงานครึ่งปีหลังของปี 2564 เป็นเงินสดอีกจำนวน 0.40 บาทต่อหุ้น ซึ่งจะกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 11 มีนาคม 2565 และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 5 พฤษภาคม 2565   ทั้งนี้ บอร์ดบริษัทฯ ยังมีมติอนุมัติการจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิหรือวอแรนท์ ครั้งที่ 1 (ASW-W1) จำนวนไม่เกิน 285,373,707 หน่วย ให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นในอัตรา 3 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ โดยมีอายุ 2 ปีนับจากวันที่ได้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ ที่กำหนดอัตราใช้สิทธิตามใบแสดงสิทธิ ASW-W1 ในอัตรา 1 หน่วยต่อ 1 หุ้นสามัญ ในราคาใช้สิทธิ 12 บาทต่อหุ้น นอกจากนี้ จะขออนุมัติผู้ถือหุ้นเพื่อเพิ่มทุนจดทะเบียนบริษัทฯ อีกจำนวน 506,985,818.00 บาท จากทุนจดทะเบียนเดิม 856,121,119.00 บาท เป็นทุนจดทะเบียน 1,363,106,937.00 บาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 506,985,818 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท รองรับการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนแบบมอบอำนาจทั่วไปให้แก่บุคคลในวงจำกัดจำนวน 85,612,111 หุ้น การออกและเสนอขาย ASW-W1 จำนวน 285,373,707 หุ้น เพื่อนำเงินที่ได้มาใช้ลงทุนในโครงการที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบันจำนวน 6 โครงการ ได้แก่ โครงการแอทโมซ โอเอซิส อ่อนนุช, แอทโมซ โฟลว์ มีนบุรี และดิ ออเนอร์ โยธินพัฒนา เป็นต้น   รวมถึงพัฒนาโครงการใหม่อีก 7 โครงการทั้งโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการบ้านแนวราบ มูลค่าโครงการรวม 12,400 ล้านบาท โดยในปี 2565 วางเป้าหมายยอดขาย (พรีเซล)  10,000 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ (รายได้รวม) 6,000 ล้านบาท เติบโตประมาณ 19% พร้อมก้าวสู่ความเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศ  
วิลล่า คุณาลัย  ชู 3 กลยุทธ์ ลุยตลาดอสังหาฯ แนวราบ  ปั้นยอดขาย 1,800 ล้าน รายได้โต 15-20%

วิลล่า คุณาลัย ชู 3 กลยุทธ์ ลุยตลาดอสังหาฯ แนวราบ ปั้นยอดขาย 1,800 ล้าน รายได้โต 15-20%

วิลล่า คุณาลัย ชู 3 กลยุทธ์ ลุยตลาดอสังหาฯ แนวราบ ปั้นยอดขายแตะ 1,800 ล้าน พร้อมรายได้โต 15-20% เดินหน้าขยายพื้นที่พัฒนาโซนใหม่ “พระราม 2-บางขุนเทียน” ขึ้นโครงการ  3,000 ล้านบาท   นางประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ KUN เปิดเผยว่า ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะแนวราบ ในปี2565 จะเป็นปีที่ท้าทาย แต่ก็จะเป็นปีที่ดีต่อเนื่อง แม้จะอยู่ภายใต้แรงกดดันเรื่องหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้น และความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ เพราะบ้านยังเป็นสินค้าที่ตลาดมีความต้องการอยู่สูง และเป็นความต้องการที่แท้จริง​ โดยเฉพาะการปรับตัวตามสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น เช่น การทำงานจากบ้าน​ การเรียนออนไลน์ หรือการทำกิจกรรมในบ้านมากขึ้น ส่งผลต่อพฤติกรรมการใช้ชีวิต รวมไปถึง ภาพรวมของประเทศที่มีการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางด้านการสื่อสาร ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่ ทำให้บ้านกลายเป็นสิ่งสำคัญ จากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้ผู้บริโภคมองหาที่อยู่อาศัยแนวราบมากขึ้น อีกทั้งยังมีการส่งเสริมของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ออกมาตรการผ่อนปรนเกณฑ์ LTV และรัฐบาลต่อมาตรการลดค่าธรรมเนียมโอนของบ้านราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท จึงเป็นการส่งเสริมให้ตลาดอสังหาฯ ​เติบโตได้ต่อเนื่อง เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลมีการกระตุ้นตลาดอย่างเป็นรูปธรรม และสนับสนุนนโยบายให้คนมีบ้านอย่างต่อเนื่อง   ขณะเดียวกัน ยังมองว่า ตลาดอสังหาฯ ประเภทแนวราบในปี 2565 จะมีการแข่งขันที่สูง จากการที่ผู้ประกอบการหันมาพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น  เพื่อรองรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ซึ่งบริษัทจะมุ่งเน้นการทำตลาด เพื่อรักษากลุ่มลูกค้าเดิม พร้อมทั้งปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละทำเล พร้อมกับเดินหน้าตอกย้ำศักยภาพ ด้วยการสร้างแบรนด์ให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ตั้งเป้ารายได้โต 15-20% ในปี 2565 บริษัทยังคงมุ่งมั่นที่จะสร้างผลประกอบการ​ New High ต่อไป โดยได้ตั้งเป้าหมายอัตราการเติบโตของรายได้เพิ่มขึ้น 15-20% จากปี 2564 ที่ผ่านมา และตั้งเป้ายอดขาย​ 1,800 ล้านบาท เติบโตจากปี2564 ที่ 1,510 ล้านบาท  และในปีนี้จะเป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวผลกำไรของบริษัทอย่างชัดเจน หลังจากที่ได้ลงทุนมาต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา  โดย ณ สิ้นปี 2564 บริษัทฯมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่า 300 ล้านบาท และจะทยอยรับรู้รายได้เข้ามาภายในไตรมาสที่ 1 ปี 2565 นี้   โดยแนวทางการทำตลาด บริษัทจะใช้ 2 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ 1.Market Penetration การขยายสินค้าในเซ็กเมนต์ใหม่ ๆ เพิ่มเติม เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดให้มากขึ้น ​และ 2. Market Development ในโซนที่บริษัทได้เริ่มต้นเข้าไปพัฒนา ซึ่งในในปีนี้ได้ขยายไปในโซนบางขุนเทียน เพื่อสร้างฐานรายรับในอนาคตให้เติบโตยิ่งขึ้น   นอกจากนี้ บริษัทยังเตรียมแผนการพัฒนาธุรกิจ ตามแผนระยะกลางที่ภายในระย  5 ปี (2566 – 2570) ที่เตรียมพร้อมเพื่อการพัฒนาโครงการรวมมูลค่าเกือบ 10,000  ล้านบาท บนที่ดินเปล่าที่บริษัทได้วางมัดจำไว้แล้ว รวมถึงการเปิดโครงการใหม่ในอนาคตเพิ่มเติม ทำให้​บริษัทมีความสามารถในการรับรู้รายได้จากปัจจุบันจนถึงปี 2570 โดยจะเน้นการขยายจับตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบระดับราคา 2-8 ล้านบาท ซึ่งตลาดดังกล่าวมีการขยายตัวเติบโตอย่างต่อเนื่อง 3 กลยุทธ์ลุยตลาดอสังหาฯ ในปีนี้“คุณาลัย” ยังมุ่งเน้นทำการปรับโครงสร้างภายใน (Re-engineer) องค์กรทั้งหมด  เพื่อผลักดันเป้าหมายรายรับที่ 1,500 ล้าน และ 2,000 ล้านในอนาคตอันใกล้นี้ ทั้งนี้ บริษัทยังคงเน้นการขับเคลื่อนธุรกิจ โดยให้ความสำคัญกับ 3 เรื่องสำคัญ ได้แก่ 1.Product Redefined การปรับปรุงสินค้า ให้บ้านสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตในปัจจุบัน และอนาคตได้อย่างราบรื่น ทั้งในส่วนของรูปแบบการแบ่งพื้นที่ใช้สอยภายในและภายนอกบ้าน การให้ความสำคัญกับการสื่อสาร เช่น อุปกรณ์ต่าง ๆ ที่มีจำนวนมากขึ้น การใช้พลังงาน และค่าใช้จ่าย เช่น การติด solar cell เพื่อประหยัดพลังงานในช่วงกลางวัน   บริษัทมีแผนพัฒนาบ้านในรูปแบบ Eco Smart โดยการนำพลังงานทางเลือกมาใช้กับบ้านของ บริษัทโดยนำร่องที่โครงการ คุณาลัย พรีม บางส่วน ด้วยการติดตั้งแผนโซล่าเซลล์ให้กับบ้านในโซนนำร่อง เพื่อลดการใช้พลังงานไฟฟ้าลง และนำหลักการเรื่องการจัดการพื้นที่ใช้สอยภายในและภายนอกบ้าน หรือ space management มาปรับปรุงสินค้า    2.Project Redesigned สภาพโครงการในรูปแบบใหม่ ที่เน้นความเป็นส่วนตัวของแต่ละครอบครัว โดยการออกแบบอาศัยหลักทางวิทยาศาสตร์และสถาปัตยกรรม มาออกแบบให้เหมาะสมกับแต่ละพื้นที่ การมีกิจกรรมนอกบ้านและในบ้าน ที่สามารถทำได้โดยไม่ต้องกังวลถึงโรคภัย 3.Organization Re-Engineered อัพเกรดองค์กรทั้งส่วนของ soft and hard skills สู่ความเป็นเลิศในสิ่งที่บริษัทถนัด เพื่อต่อยอดผ่านกระบวนการเรียนรู้ที่เหมาะสมสำหรับเป้าหมายขององค์กร ลงทุน 1,000 ล้านเปิด 2 โปรเจ็กต์ใหม่ ในปีนี้บริษัทได้วางงบการลงทุนไว้ประมาณ 1,000 ล้านบาท โดยเป็นงบประมาณสำหรับซื้อที่ดิน 450 ล้านบาท ส่วนวงเงินที่เหลือจะนำไปลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ ซึ่งวางแผนเปิด 2 โครงการ คือ 1. โครงการคุณาลัย เดซี่ (Kunalai Daisy) โครงการบ้านแฝด และบ้านเดี่ยว ระดับราคา 3-5 ล้านบาท โซนบางบัวทอง มูลค่าโครงการ ประมาณ 800 ล้านบาท   2.โครงการ คุณาลัย นาวาร่า (Kunalai Navara) เป็นโครงการ ในทิศที่ 3 ของบริษัท​ ซึ่งตั้งอยู่ทางทิศใต้ของกรุงเทพฯ โซนพระราม 2-บางขุนเทียน มีมูลค่าโครงการประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยมองว่าทำเลดังกล่าวจะเป็น Blue Ocean ที่ยังคงมีความต้องการ จึงเป็นโอกาสทางธุรกิจที่บริษัทจะเข้าไปพัฒนาโครงการ คาดจะเปิดขายได้ภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ อ่านข่าวเพิ่มเติม วิลล่า คุณาลัย เปิดโปรเจ็กต์โซนใหม่​ จับตลาดเรียลดีมานด์ หนุนรายได้โต10-15 %
บ้านมือสอง  ยอดประกาศขายพุ่ง ทั้งจำนวนและมูลค่า  หลังได้อานิสงค์มาตรการรัฐหนุน

บ้านมือสอง ยอดประกาศขายพุ่ง ทั้งจำนวนและมูลค่า หลังได้อานิสงค์มาตรการรัฐหนุน

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ เปิดเผยข้อมูล​การประกาศขายผ่านเว็บไซต์ตลาดนัดบ้านมือสอง (www.taladnudbaan.com) บริษัทภาคเอกชนที่มีปริมาณการประกาศขายเป็นจำนวนมาก และข้อมูลที่อยู่อาศัยมือสองของสถาบันการเงินของรัฐและเอกชน บริษัทบริหารสินทรัพย์ภาครัฐและเอกชน และกรมบังคับคดี ช่วงไตรมาส 4 ปี 64 พบมีการขยายตัวทั้งจำนวนและมูลค่า จากไตรมาสก่อนหน้า   ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคาร และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า ตลาดที่อยู่อาศัยมือสอง ในไตรมาส 4 ปี 2564 ที่ผ่านมา มีการขยายตัวเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ทั้งในด้านจำนวนและมูลค่า โดยประเภทที่มีการประกาศขายมากที่สุด ได้แก่ “บ้านเดี่ยว” ในด้านระดับราคา พบว่า ระดับราคา 5.00 – 7.50 ล้านบาท เป็นระดับราคาที่มีทั้งจำนวนยูนิตและมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือนเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 (QoQ) มากที่สุด โดยกรุงเทพฯ เป็นจังหวัดที่มีการประกาศขายของที่อยู่อาศัยมือสองมากที่สุด​ 62% ในด้านมูลค่า และ 41% ในด้านจำนวนยูนิตประกาศขายเฉลี่ยต่อเดือนในไตรมาสนี้   ปัจจัยที่ทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยมือสองขยายตัวดังกล่าว เนื่องจากได้​อานิสงส์ที่ภาครัฐได้มีการต่ออายุมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และการจดจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยที่ไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยเพิ่มเติมการให้สิทธิครอบคลุมมาถึงที่อยู่อาศัยมือสองจากเดิมที่มีผลเฉพาะที่อยู่อาศัยสร้างใหม่ โดยมีระยะเวลาสิ้นสุดมาตรการดังกล่าวไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565  นอกจากนั้น ยังได้รับผลดีจากการประกาศผ่อนปรนมาตรการ LTV เป็นการชั่วคราว จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งคาดว่ามาตรการดังกล่าวข้างต้น จะส่งผลให้ตลาดที่อยู่อาศัยมือสองในปี 2565 ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง พ.ย.64 ประกาศขายกว่า 1.49 แสนยูนิต ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 พบว่า มีจำนวนประกาศขายเฉลี่ยต่อเดือน 145,753 ยูนิต ปรับตัวเพิ่มขึ้น 12.3% และมีมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือน 990,224 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มขึ้น 14.8% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 3 ปี 2564 ซึ่งมีจำนวนยูนิต​เฉลี่ยต่อเดือน 129,732 ยูนิต​​และมีมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือน 862,455 ล้านบาท โดยในไตรมาส 4 ปี 2564 พบว่า เดือนที่มีจำนวนและมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายมากที่สุด ได้แก่ เดือนพฤศจิกายน ซึ่งมีจำนวน 149,529 ยูนิต มูลค่า 1,061,435 ล้านบาท      เมื่อพิจารณาภาพรวมทั้งปี 2564 พบว่า มีจำนวนประกาศขายเฉลี่ยต่อเดือน 126,237 ยูนิต และมีมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือน 855,317 ล้านบาท โดยมีจำนวนและมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายสะสมมากที่สุดในเดือนพฤศจิกายน 2564 (ดูตารางที่ 1 และ แผนภูมิที่ 1 - 2) ตารางที่ 1 จำนวนหน่วยและมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือนของที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย ทั่วประเทศ หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   แผนภูมิที่ 1 จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศ หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   แผนภูมิที่ 2 มูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศ (หน่วย : ล้านบาท) หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ บ้านเดี่ยวประกาศขายมากสุด14.4% เมื่อพิจารณาการขยายตัวของจำนวนที่อยู่อาศัยมือสอง ที่ประกาศขายในแต่ละประเภท พบว่า ในไตรมาส 4 ปี 2564  ที่อยู่อาศัยมือสองทุกประเภทมีจำนวนเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ปี 2564 โดยบ้านเดี่ยวประกาศขายเพิ่มขึ้นมากที่สุด 14.4% รองลงมาเป็นทาวน์เฮ้าส์ เพิ่มขึ้น 12.5% ห้องชุด เพิ่มขึ้น 11.0% บ้านแฝด เพิ่มขึ้น 5.1% และอาคารพาณิชย์ เพิ่มขึ้น 4.0%   ในด้านมูลค่าเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า พบว่า ทาวน์เฮ้าส์มีมูลค่าประกาศขายเพิ่มขึ้นมากที่สุด 18.1% รองลงมาเป็นบ้านเดี่ยว มีมูลค่าเพิ่มขึ้น 16.8% บ้านแฝด เพิ่มขึ้น 16.1% ห้องชุด เพิ่มขึ้น 12.0% แต่อาคารพาณิชย์กลับมีมูลค่าลดลง -3.0% (ดูตารางที่ 2 – 3 และแผนภูมิที่ 3 – 4) ตารางที่ 2 จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศ แยกตามประเภทที่อยู่อาศัย หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   ตารางที่ 3 มูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศ แยกตามประเภทที่อยู่อาศัย หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ แผนภูมิที่ 3 จำนวนหน่วยและมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศแยกตามประเภทที่อยู่อาศัย หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   แผนภูมิที่ 4 อัตราขยายตัว (QoQ) จำนวนหน่วยและมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศแยกตามประเภทที่อยู่อาศัย หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   ที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขายในช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 จำนวนยูนิตเฉลี่ย 145,753 ยูนิตต่อเดือน พบว่า บ้านเดี่ยว มีสัดส่วนจำนวนที่ประกาศขายมากที่สุด 38.5% รองลงมาเป็น ห้องชุด 32.1% ทาวน์เฮ้าส์ 25.2% อาคารพาณิชย์  2.7% และเป็นบ้านแฝด 1.6%   หากพิจารณาจากมูลค่าเฉลี่ย 990,224 ล้านบาทต่อเดือน จะเห็นได้ว่าบ้านเดี่ยวเป็นประเภทที่มีสัดส่วนมูลค่าประกาศขายมากที่สุด 52.1% รองลงมาเป็น ห้องชุด 33.5% ทาวน์เฮ้าส์ 11.5% อาคารพาณิชย์ 2.0% ส่วนบ้านแฝด เป็นประเภทที่มีมูลค่าประกาศขายน้อยที่สุดเพียง 0.8% (ดูตารางที่ 4 และแผนภูมิที่ 5)   ตารางที่ 4 สัดส่วนจำนวนหน่วยและมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศแยกตามประเภทที่อยู่อาศัย หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   แผนภูมิที่ 5 สัดส่วนจำนวนหน่วยและมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขายเฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศแยกตามประเภทที่อยู่อาศัย หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ บ้าน 3-5 ล้านประกาศขายมากสุด จำนวนยูนิตเฉลี่ยต่อเดือน ของที่อยู่อาศัยมือสอง ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 พบว่า 3 อันดับแรกที่ประกาศขายเพิ่มขึ้น ได้แก่ ระดับราคา 5.01 – 7.50 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ปี 2564 (QoQ) 32.9% รองลงมาอันดับสอง ระดับราคา 7.51 – 10.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.0% และอันดับสาม ระดับราคาไม่เกิน 1.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.9%   สอดคล้องกับมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือน ที่เพิ่มขึ้น 3 ลำดับแรก ได้แก่ ระดับราคา 5.01 – 7.50 ล้านบาท มีจำนวนมูลค่าเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3 ปี 2564 32.9% รองลงมาอันดับสอง ระดับราคา 7.51 – 10.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.8% และอันดับสาม ระดับราคาไม่เกิน 1.00 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.1% (ดูตารางที่ 5 – 6 และแผนภูมิที่ 6 - 7)   ตารางที่ 5 จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศ แยกตามระดับราคา หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   ตารางที่ 6 มูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศ แยกตามระดับราคา หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   แผนภูมิที่ 6 อัตราขยายตัว (QoQ) จำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศแยกตามระดับราคา หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   แผนภูมิที่ 7 อัตราขยายตัว (QoQ) มูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศแยกตามระดับราคา หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   สำหรับสัดส่วนระดับราคาบ้านมือสองที่ประกาศขายในช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 สูงสุด 3 อันดับแรก ในด้านจำนวนหน่วย พบว่า อันดับแรก ระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท มีสัดส่วนมากที่สุด 17.3% อันดับสอง ระดับราคาไม่เกิน 1.00 ล้านบาท มีสัดส่วน 15.9% และอันดับสาม ระดับราคา 2.01 – 3.00 ล้านบาท มีสัดส่วน 15.7% ซึ่งสัดส่วนจำนวนหน่วยทั้ง 3 ระดับราคาดังกล่าวรวมกันมีสัดส่วนรวม 48.9%   แต่สำหรับสัดส่วนมูลค่านั้น พบว่า 3 อันดับแรกที่มีสัดส่วนมากที่สุด ได้แก่ ระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาท มีสัดส่วนมากถึง  61.4% อันดับสอง ระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท มีสัดส่วน  10.1 และอันดับสาม ระดับราคา 5.01 – 7.50 ล้านบาท มีสัดส่วน  9.5% ซึ่งสัดส่วนมูลค่าทั้ง 3 ระดับราคาดังกล่าวรวมกันมากถึง  81.0% (ดูตารางที่ 7 และแผนภูมิที่ 8)   ตารางที่ 7 สัดส่วนจำนวนหน่วยและมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขาย เฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศแยกตามระดับราคา หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   แผนภูมิที่ 8 สัดส่วนจำนวนหน่วยและมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองที่ประกาศขายเฉลี่ยต่อเดือน ทั่วประเทศแยกตามระดับราคา หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ กรุงเทพฯขายเฉลี่ยเดือนละ 6 แสนล้าน หากจัดอันดับตามมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือนของที่อยู่อาศัยมือสองที่มีการประกาศขายในไตรมาส 4 ปี 2564 พบว่า 10 จังหวัดที่มีมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือนสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพฯ  ภูเก็ต นนทบุรี สมุทรปราการ ชลบุรี เชียงใหม่ ปทุมธานี สุราษฎร์ธานี ประจวบคีรีขันธ์ และสมุทรสาคร อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ ​จังหวัดเดียว มีมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือนถึง 616,614 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนมากถึง 62.3% เมื่อเทียบกับมูลค่าทั้งประเทศ และมีหน่วยประกาศขายเฉลี่ยต่อเดือน 60,269 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน  41.3%   ส่วนอันดับที่ 2 – 10 มีสัดส่วนมูลค่าและจำนวนหน่วยไม่ถึงร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับมูลค่าและจำนวนหน่วยทั่วประเทศ แต่ 10 จังหวัดนี้ มีมูลค่ารวมกันมากถึง 90.9% ส่วนจังหวัดที่เหลืออีก 67 จังหวัด มีสัดส่วนมูลค่ารวมกันเพียง 9.1% (มีสัดส่วนจำนวนหน่วยรวมกัน 23.8%) (ดูตารางที่ 8 – 10 และแผนภูมิที่ 9) ตารางที่ 8 จังหวัดที่มูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายเฉลี่ยต่อเดือนสูงสุด 10 อันดับแรกในไตรมาส 4 ปี 2564 หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   ตารางที่ 9 อัตราขยายตัว (QoQ) 10 จังหวัดที่มีมูลค่าที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายเฉลี่ยต่อเดือนสูงสุดในไตรมาส 4 ปี 2564 หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   แผนภูมิที่ 9 อัตราขยายตัว (QoQ) ของมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือน หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์   ตารางที่ 10 สัดส่วนจำนวนหน่วยและมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือนของ 10 จังหวัดแรกที่มีมูลค่าสูงสุดในไตรมาส 4 ปี 2564 หมายเหตุ : เป็นข้อมูลเบื้องต้น รวบรวมและประมวลผลโดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์  
อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนมีนาคม 2565

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนมีนาคม 2565

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน  เข้าสู่เดือนสุดท้ายของไตรมาสแรกปี 2565 แล้ว บรรยากาศบ้านเมือง มีทิศทางที่ดีขึ้น คนทั่วไปออกมาใช้ชีวิตเป็นปกติ กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มขยับเพิ่มมากขึ้น แม้ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะยังคงมีอยู่ อัตราการติดเชื้อก็มีตัวเลขสูงพอควร แต่ความรุนแรงไม่มากเท่าอดีต อัตราการเสียชีวิตเริ่มคงที่ ถือเป็นสัญญาณที่ดี ว่าตอนนี้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่มากพอสมควร จากอัตราการได้รับวัคซีนครบ 2 เข็มของคนไทยที่มากพอสมควร   ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2565 สัญญาณการฟื้นตัวปรับไปในทิศทางที่ดี เห็นได้จากความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ ที่ออกมาประกาศแผนธุรกิจของปี 2565 ซึ่งแต่ละรายไม่ได้ลดระดับความร้อนแรงลงเลย ในทางตรงกันข้ามกลับบุกตลาดหนักมากขึ้น หลังจาก 2 ปีที่ชะลอแผนไป สาเหตุหนึ่งคงเป็นเพราะมองว่าอะไร ๆ ก็น่าจะดีขึ้น และมีปัจจัยบวกสนับสนุนตลาดอยู่หลายประเด็น   หนึ่งในประเด็นที่ช่วยผลักดันตลาด ก็คือ อัตราดอกเบี้ยการให้สินเชื่อกู้ซื้อบ้านและคอนโดมิเนียม ของสถาบันการเงินยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ ทำให้เป็นโอกาสของคนที่มีความพร้อมและมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย ในการรับอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว ส่วนธนาคารไหนให้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เท่าไรบ้างนั้น Reviewyourliving ได้อัพเดทสถานการณ์ ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ของเดือนมีนาคม 2565 รวบรวมไว้ให้แล้ว ซึ่งภาพรวมทั้งหมดยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป  โดยอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ประจำเดือนมีนาคม 2565 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ  วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1   ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น 5.2%  (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.2% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น  5.45% (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.45%  (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.9% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.7%(MRR-1.25%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.075%(MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2%(MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58%   -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก 4.75% หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า ​500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า ​คิดอัตราดอกเบี้ย​ MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย ​MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา   หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค.- 31 มี.ค. 65 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ​และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา ​ -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ​ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ​ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ​​ 2.ธนาคารกรุงไทย อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด สำหรับธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อสำหรับบ้านใหม่ กรุงไทย SURE  โดยไม่คิดค่า  ธรรมเนียมยื่นกู้  โดยเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  ไม่เปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ​​ดังนี้ แบบคงที่ 1 ปี ฟรีค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.80% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.20% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.87% (MRR-2.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.90% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.24% แบบลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.77%  (MRR-3.45%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.77% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.22% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.87% (MRR-3.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.87% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.26%   สินเชื่อสำหรับการกู้ซื้อบ้านที่ธนาคารออกค่าจดจำนองให้** และ ฟรี ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบคงที่ แบบทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.13% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.32% แบบไม่ทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.23% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา = 4.35% แบบลอยตัว แบบทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.12% (MRR-3.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.12% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.35% แบบไม่ทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.22% (MRR-3.0%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.22% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 3.38%   การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ 1.ทำ MRTA/GLT SP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี 2.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ 3.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ **ธนาคารออกค่าจดจำนองให้ 1% สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท หากลูกค้าปิดบัญชีก่อน 5 ปี ธนาคารจะเรียกเก็บค่าจดจำนองคืน ***อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 มี.ค.65 MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมินอัตราดอกเบี้ยยังคงเท่าเดิมจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.9% ( MRR-3.15%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.00%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.39% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.50% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย MRR-1.60% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.55%  (MRR-3.50%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.3%  (MRR-2.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.02% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.25% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.1% (MRR-1.95%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.3% (MRR-1.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.7%  (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.23%   หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ​ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พ.ค. 63 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 30 เม.ย. 65 โดยจดจำนองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 31 พ.ค. 65 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป โดยพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ ซึ่งเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 7.72% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 7.72% สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 8.22% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 8.22% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% (ประกาศ ณ วันที่ 22 พ.ค. 2563) ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ย MRR ให้อ้างอิงอัตราดอกเบี้ยตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ลูกค้ายื่นใบสมัครสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม 2565 โดยสามารถยื่นกู้ได้สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภท ยกเว้นการกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม 0.25% ในปีแรก หากทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อบ้านตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -กรณียื่นกู้บ้านในโครงการจัดสรรที่ธนาคารสนับสนุน ธนาคารฯมีอัตราดอกเบี้ยพิเศษ สอบถามรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ K-Contact Center 02-8888888 ต่อ 887 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (KKP Home Loan เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย) กรณี บ้านใหม่ : ซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราเดิมเท่ากับเดือนที่ผ่านมา โดยธนาคารเกียรตินาคินมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  2.45%-2.75% ปีต่อไป ดอกเบี้ย  4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.65%-2.95% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.60%-2.99% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.80%-3.19% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%)   หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ​เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่​ 18 สิงหาคม 2563 เท่กับ​ 6.525% ต่อปี 3.เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา​​​​​​ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า​ Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.​กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง ​​หากลูกค้า Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท  ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคี ​เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด ​โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ ​ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน​ 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด ​30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เท่ากับเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารซีไอเอ็มบี มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.1%) ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย 5.35% (MRR-2.0%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-2.8%) หลังจากนั้น 5.35% (MRR-2.0%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.15% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2564) -ธนาคารยังมีอัตราดอกเบี้ยสำหรับพนักงานประจำรายได้ 30,000-50,000 หรือเจ้าของกิจการรายได้ 50,000 บาทขึ้นไปไว้พิจารณาด้วย รวมถึงสินเชื่อสำหรับโครงการที่ธนาคารเป็นผู้สนับสนุน 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป ภายใต้แคมเปญดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้นเฉลี่ย 3 ปีแรก 4.05% ต่อปี จะได้รับฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าจดทะเบียนจำนอง และค่าประเมินหลักทรัพย์ ซึ่งอัพเดทอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ของเดือนมีนาคม ยังคงใช้ในอัตราเท่ากับเดือนที่ผ่านมา  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.23%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.4% (MRR-1.88%) หลังจากนั้น 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.4% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือก 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา ดอกเบี้ย 4.65% รายละเอียดเงื่อนไข สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส ​ 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท​ -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 3 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของธนาคาร -ธนาคารขอสงวนสิทธิเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แจ้งไว้ในเอกสารฉบับนี้ โดยไม่ ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ในกรณีที่ธนาคารเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนจำนองหลักประกันแทนผู้กู้หากผู้กู้มีความประสงค์จะไถ่ถอนหลักประกันและชำระหนี้คืนทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันเบิกใช้เงินกู้ ครั้งแรก ผู้กู้ตกลงคืนเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองหลักประกันตามจำนวนเงินที่ธนาคารได้ช าระไปให้แก่ธนาคาร ในวันที่ผู้กู้ได้ชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้น (ค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท) -กค้าต้องสำรอง จ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ลูกค้าใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 30 วันทำการนับจากวันที่ลูกค้าจดจำนอง -MRR = 6.28% ตามประกาศธนาคาร https://www.ttbbank.com/th/rates/loan-interest-rates -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึง 30 มิถุนายน 2565 และจดจำนอง ภายใน 31 กรกฎาคม 2565 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา  คิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.95% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยะเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2565 ​มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากแคมเปญสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2565  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.15% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.9% (MRR-2.25%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.4%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญา  5.4% หมายเหตุ -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.-30 ธ.ค.65   (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติมวงเงินของโครงการแล้ว) -อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินกู้และทุกบัญชีเงินกู้ภายใต้หลักประกันเดียวกัน 10.ธนาคารยูโอบี ธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโครงการหมู่บ้านทั่วไป  โดยอัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ด้วยการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับเดือนที่ผ่าน  ซึ่งธนาคารยูโอบีมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.35% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.35% (MRR-4.0%) อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.79% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.55% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.80%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.8% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75%  (MRR-2.60%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.45% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.8% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.95%  (MRR-2.24%) ปีที่ 4 อัตราดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.96% หมายเหตุ -ขอสินเชื่อตั้งแต่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค. 65 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายใน 29 เม.ย.​ 65 -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาคารยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.35% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ​(Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น)​ -การอนุมัติสินเชื่อ​เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ  7.35% ต่อปี ​(ตามประกาศธนาคารณ วันที่ 1 เม.ย. 64) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย​ MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้​ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ​เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร​ -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย ​(ใบอนุญาตประกันชีวิต​เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศภัย​ เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ​จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย คือ โฮมโลน โดนใจ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 1.9% (สำหรับผู้มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป) โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยสำหรับผู้กู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.0% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.00% (MRR-5.35%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.80% (MRR-3.55%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10%  (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 2 ปีแรก) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.20% (MRR-3.15%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.55% (MRR-4.80%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 4 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.75% (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 3 ปีแรก) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ล้านละ 3,500 บาท  กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่** -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 4.60% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.10% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.35% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่าง ๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค. 65 -สำหรับอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.9% สำหรับผู้กู้ที่มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป ผ่อนต่ำเดือนละ 3,500 บาท ฟรีค่าจดจำนองสินเชื่อเมื่อซื้อประกันผ่านธนาคาร ฟรีค่าประเมินหลักประกัน 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีสินเชื่อเคหะ สำหรับให้บริการผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไปซื้อบ้านหรือคอนโด ภายใต้แคมเปญ ผ่อนต่ำปีแรก ล้านละ 2,500 บาทต่อเดือน สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยยื่นกู้ภายในวันที่ 30 เมษายน 2565 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน 31 พฤษภาคม 2565 โดยมีรายละเอียด ​ดังนี้​ กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.0% เพิ่มขึ้น 1.25% จากเดือนที่ผ่านมา เพราะมีแคมเปญดอกเบี้ย 0% ใน 6 เดือนแรก ทำให้เดือนที่ผ่านมามีดอกเบี้ยเฉลี่ยปีแรก 0.75% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.9% (MRR-3.345%) ลดลง 0.425% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 3.525% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.6% ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.126% เพิ่มขึ้น 0.025% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 4.101% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.25% เพิ่มขึ้น 1.25% จากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ย​ 1.0% จากแคมเปญเดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 2.0% ​ ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.525% (MRR-2.72%) ลดลง 0.625% จากเดือนที่ผ่านมา คิดอัตราดอกเบี้ย  4.15% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.995% (MRR-1.25%) เพิ่มขึ้น 1.895% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 3.1% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.31% เพิ่มขึ้น 0.024% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 4.286%   เงื่อนไขการผ่อนชำระ -ปีที่ 1 ผ่อนชำระ 2,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 2 ผ่อนชำระ 4,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 3 ผ่อนชำระ 5,500 บาทต่อเดือน หมายเหตุ -ยื่นกู้ภายในวันที่ 30 เมษายน 2565 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2565 -อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR=6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระ 20 ปี ผ่อนเท่ากันทุกงวด -ทำประกัน หมายถึง การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ โดยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข เป็นไปตามธนาคารกำหนด -เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเคหะตามโปรโมชั่น สมัครบริการ MyMo และผลิตภัณฑ์ / บริการอื่น ของธนาคารอย่างน้อย 2 ประเภท ได้แก่ บัตรอิเล็กทรอนิกส์ / บัตรเครดิต หรือสินเชื่อบัตรเงินสด / ชำระสินเชื่อหักผ่านบัญชี / ประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ ทั้งนี้ หากลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นตามที่กำหนดอยู่แล้ว สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้ และกรณีไม่มี Smartphone ให้สมัครผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นของธนาคารตามที่กำหนดทดแทนได้ -*กรณี ฟรี ค่าธรรมเนียมจดจำนอง ให้ตามที่จ่ายจริง (รวมทุกสัญญาที่กู้ในคราวเดียวกัน) และลูกค้าต้องสำรองจ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินไปก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินหลังหักภาษี ณ ที่จ่าย 1% ของเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองคืนภายใน 30 วัน -กรณีผู้กู้ชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น หรือไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด (Prepayment) ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามที่ธนาคารกำหนด (ปัจจุบันร้อยละ 3.00 ของยอดเงินต้นคงเหลือ) ทั้งนี้ กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยกรณีไถ่ถอนจำนองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินอื่น (Re-Finance) และฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง ผู้กู้จะต้องชำระค่าจดจำนองคืนแก่ธนาคารเต็มจำนวน -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่น ๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า   ที่มา Reviewyourliving รวบรวมจากเว็บไซต์ธนาคาร ข้อมูล ณ วันที่ 2 มี.ค.65 บทความที่เกี่ยวข้อง อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกุมภาพันธ์ 2565 อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนกุมภาพันธ์ 2565 แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยถูกสุด
แสนสิริ  เปิด 18 คอนโด มูลค่า 11,000 ล้าน  จับตลาดเรียลดีมานด์กลุ่ม Affordable

แสนสิริ เปิด 18 คอนโด มูลค่า 11,000 ล้าน จับตลาดเรียลดีมานด์กลุ่ม Affordable

แสนสิริ ลุยตลาดคอนโด ปี 65 เปิด 18 โครงการใหม่  รวม 11,000 ล้าน หวังยอดขาย 14,000 โต 26%  มั่นใจตลาดส่งสัญญาณฟื้นตัว จากปัจจัยหนุนรอบด้าน และอสังหาฯ ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว รอเวลาเศรษฐกิจ-การท่องเที่ยวฟื้นตัวในปี 66   นายองอาจ สุวรรณกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนธุรกิจกลุ่มคอนโดมิเนียมว่า ในปี 2564 ที่ผ่านมาแสนสิริสามารถสร้างยอดขายและยอดโอนคอนโด สูงกว่าเป้าหมายที่วางเอาไว้ ซึ่งเป็นผลจากกลยุทธ์ในเรื่องของการรุกตลาดกลุ่มราคาที่เข้าถึงได้ง่าย (Affordable Segment) การเจาะตลาดกลุ่มคนรุ่นใหม่ และการพัฒนาโครงการคอนโดสไตล์รีสอร์ทกลางเมือง ซึ่งทั้งหมดเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ทำให้ปี 2565 บริษัทวางแผนการพัฒนาโครงการคอนโดอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ แสนสิริ มองว่าอสังหาฯ ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว จากปัจจัยสนับสนุน ไม่ว่าจะเป็นอัตราการฉีดวัคซีน 2 โดส มากกว่า 85% แสดงให้เห็นว่าการติดเชื้อปัจจุบันไม่รุนแรง มีการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ ผ่านเมกะโปรเจ็กต์ การท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัว ภาวะเศรษฐกิจน่าจะกลับมาเหมือนก่อนโควิด-19 ได้ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2566 ซึ่งต่อจากนี้การโอนคอนโดน่าจะกลับมาปีละ 3 แสนยูนิต จากปีที่ผ่านมาโอนได้แค่ 2 แสนกว่ายูนิต แสนสิริ เตรียมเปิดคอนโด 18 โปรเจ็กต์ สำหรับปี 2565 แสนสิริ เปิดตัวคอนโดมิเนียมใหม่จำนวน 18 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 11,000 ล้านบาท ครอบคลุมในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด แบ่งเป็นกรุงเทพฯ 14 โครงการ และต่างจังหวัดอีก 4 โครงการ  การเปิดตัวคอนโดในปีนี้จะจับตลาด 3 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่ม Affordable จำนวน 12 โครงการสัดส่วน 60% กลุ่ม Medium จำนวน 4 โครงการ สัดส่วน 20% และกลุ่ม Premium จำนวน 2 โครงการ สัดส่วน 20%   ไฮไลท์การพัฒนาคอนโดในปีนี้ เน้นการทำตลาดคอนโดในระดับราคาเข้าถึงได้ ในกลุ่ม Affordable ภายใต้ 3 แบรนด์ หลักได้แก่ 1.Condo ME (คอนโด มี) โครงการใหม่ 5 ทำเลในปีนี้  2. เดอะ มูฟ อีก 2 โครงการใหม่ และ 3.ดีคอนโด เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ต้องการซื้ออยู่อาศัยจริง ในราคาที่เข้าถึงได้ง่าย   กลุ่ม Medium พัฒนาภายใต้แบรนด์เดอะ เบส ซึ่งจะเปิดตัวด้วยกัน 5 โครงการ รวมมูลค่า 7,230 ล้านบาท อาทิ เดอะ เบส ริเวอร์วิว, เดอะ เบส สุขุมวิท 71 โดยจะเปิดตัว “เดอะ เบส ไฮท์ - เชียงใหม่” และเดอะ ไลน์ ส่วนกลุ่ม Premium เปิดตัวในกลุ่ม​Holiday Home ซึ่งโครงการแรกเตรียมเปิดตัวโครงการ HAY Hua Hin  หลังจากนั้นจะขยายไปยังเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น และหาดใหญ่ ส่วนโครงการลักชัวรี่ อยู่ระหว่างการศึกษาว่าจะใช้แบรนด์อะไรในการพัฒนา วางเป้ายอดขายปี 65 โต 26% แสนสิริ วางแผนระยะยาวในช่วง 3 ปี แสนสิริวางแผนเปิดตัวคอนโดรวมมูลค่า 70,000 ล้านบาท พร้อมเป้าหมายยอดขายรวม 58,000 ล้านบาท  วางเป้าหมายยอดขายคอนโดในปีนี้วางไว้ที่ 14,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26%% จากปีที่ผ่านมา ทำยอดขายได้ 11,100 ล้านบาท ซึ่งปี 2564 สามารถทำยอดขายได้สูงกว่าเป้าหมายเดิมที่วางไว้ 1% โดยมียอดขายที่ 11,100 ล้านบาท   ขณะที่ยอดโอนคอนโดในปีนี้วางเป้าไว้ที่ 13,000 ล้านบาท ต่ำกว่าปีที่ผ่านมาซึ่งทำได้ 14,200 ล้านบาท โดยยอดโอนในปี 2564 ทำได้สูงกว่าเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ว่าจะทำได้ 13,000 ล้านบาท หรือสูงกว่าเป้าหมายเดิม 10% รายได้จากโอนแบ่งเป็นโครงการจากการพัฒนาของแสนสิริมูลค่า 8,500 ล้านบาท และโครงการร่วมทุน มูลค่า 4,500 ล้านบาท   โดยการโอนในปีนี้จะมาจากแผนการเปิดตัวคอนโดใหม่ และโครงการที่จะโอนปีนี้ 6 โครงการ มูลค่ารวม 11,300 ล้านบาท ได้แก่ คอนโด มี นวนคร ที่ปิดการขายและมียอดโอนแล้วกว่า 90% คอนโดมี สมุทรสาคร  คอนโด มี บางพลี คอนโด มี อ่อนนุช และ XT พญาไท ที่มียอดขายแล้ว 50%                
โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จ่ายปันผลเพิ่มหุ้นละ 0.08 บาท พร้อมแผนปี 65 เปิดโครงการใหม่ 47,700 ล้าน

โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จ่ายปันผลเพิ่มหุ้นละ 0.08 บาท พร้อมแผนปี 65 เปิดโครงการใหม่ 47,700 ล้าน

โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ ประกาศจ่ายปันผลงวดครึ่งปีหลังปี 64  หุ้นละ 0.08 บาท รวมทั้งปีจ่าย 0.43 บาทต่อหุ้น จ่อขึ้น XD 9 พ.ค.65 แม้ปี 64 ทำรายได้ลด 32% เหลือ 7,430 ล้าน แต่ยังทำกำไรกว่า 932 ล้าน​ หลังเจอล็อกดาวน์ประเทศ ปี 65 ยังเดินหน้าเปิดโปรเจ็กต์ใหม่ 18 โครงการ  มูลค่ารวม 47,700 ล้าน     นายธงชัย บุศราพันธ์ รองประธานกรรมการ และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท  โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE  เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2565 มีมติอนุมัติการจัดสรรกำไรสุทธิงวดปี 2564 เพื่อจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการครึ่งปีหลังของปี 2564 ให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตรา 0.08 บาทต่อหุ้น หรือคิดเป็นผลประกอบการทั้งปี 2564 ที่อัตรารวม 0.43 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนปันผล (Dividend Yield) ที่ประมาณ 7%   โดยจะนำเสนอเข้าที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 28 เมษายน 2565 เพื่อทำการอนุมัติและกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 10 พฤษภาคม 2565  และกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2565 เพื่อกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 26 พฤษภาคม 2565 เจอพิษล็อกดาวน์ รายได้ปี 64 ลด 32% สำหรับผลการดำเนินงานปี 2564  บริษัทมีรายได้รวม 7,430 ล้านบาท ลดลง 32%  และกำไรสุทธิอยู่ที่ 932 ล้านบาท ลดลง 50% เมื่อเทียบจากปีก่อน  ส่วนอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ลดลงอยู่ที่ระดับกว่า 12.5% และอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) อยู่ที่ระดับ 33.0% ลดลงจากปีก่อน เนื่องจากมีการทำแคมเปญสำหรับโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่   รวมถึงภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 จนส่งผลให้เศรษฐกิจในประเทศหยุดชะงักจากมาตรการคุ้มเข้มเพื่อป้องกันการแพร่เชื้อ จนนำไปสู่การออกมาตรการล็อกดาวน์ รวมถึงการปิดแคมป์คนงาน ซึ่งปัจจัยดังกล่าวนอกจากส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของผู้บริโภคแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อภาคการดำเนินธุรกิจด้วยเช่นเดียวกัน ในช่วงเดือนเมษายน 2564 ภาครัฐได้คุมเข้มมาตรการล็อกดาวน์ และการปิดแคมป์คนงาน ส่งผลต่อ Sentiment ของกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาฯ รวมถึงกลุ่มผู้บริโภคและฉุดให้กำลังผู้บริโภคลดลง ขณะที่ภาคธุรกิจโดยเฉพาะกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ รวมทั้ง NOBLE ต้องเลื่อนแผนเปิดตัวโครงการใหม่ออกไป และปรับกลยุทธ์มุ่งเน้นทยอยการขายโครงการเดิมที่มีในพอร์ต เพื่อระบายโครงการเดิมเพื่อเป็นการลดความเสี่ยงทางการเงิน   อย่างไรก็ตามภาคอสังหาฯเริ่มกลับมาฟื้นตัวในช่วงไตรมาส 4/2564 จากนโยบายกระตุ้นมาตรการของภาครัฐ ทั้งการผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ รวมถึงมาตรการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (มาตรการ LTV) เป็นการชั่วคราว โดยกำหนดให้เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV ratio) เป็น 100 % (จากเดิม 70% - 90%)  ซึ่งส่งผลเชิงบวกต่อภาคธุรกิจอสังหาฯ​​ ขณะที่ยอดขาย ในปี 2564 อยู่ที่ระดับ 8,035 ล้านบาท เติบโตขึ้นกว่า 22% จากปี 2563 จากการขายโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่  5,700 ล้านบาท และมาจากการขายโครงการเปิดใหม่และโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีกประมาณ 2,335 ล้านบาท แบ่งเป็นลูกค้าภายในประเทศ 71% และลูกค้าต่างชาติ 29%   สำหรับยอดขายกลุ่มลูกค้าต่างชาติ บริษัทมีส่วนแบ่งตลาด​​ 52% ของยอดขายรวมทุกผู้ประกอบการในการขายคอนโดมิเนียมในกรุงเทพฯและปริมณฑล ส่วนปี 2564 บริษัทเปิดตัวโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่า 6,900 ล้านบาท ได้แก่ โครงการโนเบิล ฟอร์ม ทองหล่อ โครงการนิว โนเบิล เซ็นเตอร์ บางนา และโครงการนิว โนเบิล คอนเนค เฮ้าส์ ดอนเมือง แผนธุรกิจปี 65  เปิด 18 โปรเจ็กต์ สำหรับทิศทางธุรกิจในปี 2565  บริษัทวางเป้ายอดขาย  28,000 ล้านบาท และรายได้  11,000 ล้านบาท พร้อมทั้งเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 18 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 47,700 ล้านบาท โดยบางโครงการเป็นโครงการที่เลื่อนเปิดมาจากปี 2564   ทั้งนี้บริษัทได้วางเป้าหมาย เพื่อขยายพอร์ตสัดส่วนของการพัฒนาโครงการแนวราบ และโครงการคอนโดแบบ Low Rise มากขึ้น เพื่อเป็นการกระจายความเสี่ยงและกระจายสินค้าให้หลากหลาย ครอบคลุมทุกทิศของกรุงเทพฯ อาทิ โซนราชพฤกษ์ เอกมัย บางนา และกรุงเทพกรีฑา เป็นต้น   โดยช่วงต้นปี 2565 บริษัท ได้เปิดตัวโครงการพร้อมกัน 5 โครงการ  ได้แก่ โครงการนิว โนเบิล ดิสทริค อาร์ 9 โครงการนิว โนเบิล เมกา พลัส บางนา และโครงการนิว โนเบิล ซี-สแควร์ สวนหลวง สเตชั่น ซึ่งทั้ง 3 โครงการเป็นโครงการติดห้างสรรพสินค้า นอกจากนี้ ยังมีโครงการนิว โนเบิล อีโว อารีย์ และโครงการนิว โนเบิล คอนเน็กซ์ คอนโด ดอนเมือง ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี สะท้อนจากยอดขายสองเดือนแรกสำหรับ 5 โครงการรวมมูลค่ากว่า 4,000 ล้านบาท และรวมยอดขายจากทุกโครงการเป็นมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท ขณะเดียวกันบริษัทฯยังมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง   ในปี 2565  บริษัทยังวางแผนลงทุนในสหราชอาณาจักร ด้วยการการลงทุนซื้อสินทรัพย์อย่างต่อเนื่อง โดยกลยุทธ์จะเปลี่ยนการลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ทั้งอาคาร มาเป็นการซื้อแบบ Bulk ยูนิต หรือการซื้อเป็นจำนวนหลาย ๆ ห้อง (Bulk Deal) แทน เนื่องจากการซื้อเป็นจำนวนยูนิตจะมีการแข่งขั้นที่น้อยกว่าการซื้อทั้งอาคาร   โดยได้วางเป้าหมายจะซื้อสินทรัพย์อสังหาฯ ในประเทศอังกฤษ จำนวน 550 ยูนิต ภายใต้วงเงินลงทุน 100 ล้านปอนด์สเตอร์ลิง ( NOBLE จะลงทุน 45% ตามสัดส่วน) ในเบื้องต้นคาดว่าภายในไตรมาสแรกของปีนี้จะมีการซื้อสินทรัพย์จำนวน 70 ยูนิต   อ่านข่าวเพิ่มเติม 5 ไฮไลท์แผนธุรกิจปี 64 “โนเบิล” กับแนวทางสู่ Top5 ผู้นำอสังหาฯ ไทย
[PR News] GLAND จับมือหัวเว่ย  ร่วมพัฒนา Smart Digital Township & Intelligent Connectivity

[PR News] GLAND จับมือหัวเว่ย ร่วมพัฒนา Smart Digital Township & Intelligent Connectivity

GLAND จับมือหัวเว่ย ยกระดับอสังหาฯไทย ก้าวสู่ยุคดิจิทัลอย่างสมบูรณ์แบบ ร่วมพัฒนา Smart Digital Township & Intelligent Connectivity ด้วยเทคโนโลยีระดับโลก เดินหน้านโยบายไทยแลนด์ 4.0   นางสาวนภารัตน์ ศรีวรรณวิทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แกรนด์ คาแนล แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLAND เปิดเผยว่า บริษัทได้ลงนามบันทึกข้อตกลงการเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์  กับบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัดเพื่อเดินหน้าพัฒนาออฟฟิศอัจฉริยะและดิจิทัลสเปซ ตอกย้ำพื้นที่แห่งการใช้ชีวิตและการทำงานในอนาคต ผสานโลก Physical และ Digital เชื่อมโยง ICT และ IOT สู่วงการอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มรูปแบบ   การได้ร่วมมือกับหัวเว่ยในครั้งนี้ ถือเป็นการช่วยเติมเต็ม และนำเอาความรู้ความเชี่ยวชาญของหัวเว่ย มาช่วยเพิ่มศักยภาพความแข็งแกร่งและสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับมิกซ์ยูสโปรเจ็ค ต่าง ๆ อาทิ อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า ที่อยู่อาศัย และ โรงแรม ในอนาคต ของ GLAND รวมถึงบริษัทในเครือในอนาคต เพื่อสร้างเมืองแห่งการอยู่อาศัยอัจฉริยะ เป็น Smart Digital Township ที่ทันสมัย สร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดดให้ธุรกิจ และ ยกระดับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยให้ทันต่อโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ประเทศไทย กำลังมุ่งสู่การก้าวสู่ยุคสังคมดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ โดยประเทศไทยจะกลายเป็น ดิจิทัลฮับที่สำคัญของภูมิภาคอาเซียน ภายใต้นโยบาย Thailand 4.0 ของภาครัฐ รวมถึงเป็น ตลาดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในด้านการค้าการลงทุนจากต่างประเทศ GLAND ซึ่งถือหุ้นใหญ่โดยบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เป็นผู้พัฒนาและบริหารอสังหาริมทรัพย์ โดยมีสินทรัพย์หลักอยู่ในโครงการ เดอะ แกรนด์ พระราม 9 (The Grand Rama 9) พื้นที่ใจกลางเมืองบนพื้นที่ประมาณ 73 ไร่ ตั้งอยู่บนถนนพระราม 9 ติดถนนรัชดาภิเษก ซึ่งเป็นทำเลศักยภาพสูงในย่านธุรกิจแห่งใหม่ (The New CBD) ของกรุงเทพฯ โดยโครงการมีองค์ประกอบหลักอยู่ 3 ธุรกิจ ได้แก่ อาคารสำนักงานให้เช่าที่อยู่ภายใต้การบริหาร 3 แห่ง ได้แก่ 1. จี ทาวเวอร์ 2.เดอะไนน์ ทาวเวอร์ และ 3.ยูนิลีเวอร์ เฮ้าส์ ด้วยพื้นที่เช่าสุทธิในทุกโครงการรวมกันกว่า 145,000 ตารางเมตร  โครงการคอนโดมิเนียมเพื่อขาย เบ็ล แกรนด์ พระราม 9 ซึ่งได้ทำการขายและโอนเสร็จสิ้นทั้งโครงการแล้ว และพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าสุทธิในอาคารสำนักงานและคอนโดมิเนียมรวมกันกว่า 20,000 ตารางเมตร   นอกจากนี้ GLAND มีที่ดินที่รอการพัฒนาอยู่อีก 4 แห่ง รวมกันกว่า 190 ไร่ ซึ่งตั้งอยู่บนทำเลที่ศักยภาพสูงในกรุงเทพฯ เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว โดยที่ดินดังกล่าวประกอบด้วย 1.ที่ดินเปล่าในโครงการ เดอะ แกรนด์ พระราม 9 2. ที่ดินบริเวณพหลโยธิน ซึ่งที่ดินทั้งสองแห่งอยู่ระหว่างการสรุปแผนการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส นอกจากนี้ยังมี 3. ที่ดินบริเวณดอนเมือง โดยได้นำที่ดินบางส่วนไปพัฒนาโครงการนิรติ ดอนเมือง ซึ่งเริ่มเปิดขายและโอนในปี 2564 และ 4.ที่ดินบริเวณกำแพงเพชร ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางการพัฒนาโครงการในอนาคต ดร.ชวพล จริยาวิโรจน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า  หัวเว่ยและทาง GLAND เป็นพันธมิตรที่ทำงานร่วมกันมาอย่างใกล้ชิดและยาวนาน นับตั้งแต่เราเริ่มธุรกิจในไทยอย่างเป็นทางการเมื่อปี 2542 โดยสำนักงานใหญ่ของหัวเว่ย เทคโนโลยี่ ประเทศไทย ตั้งอยู่ในอาคารจีทาวเวอร์ แกรนด์ ซึ่งเป็นอาคารในเครือของ GLAND   นอกจากนี้ หัวเว่ยยังได้นำร่องเปิดตัวศูนย์ Huawei Open Lab Bangkok ในปี 2560 ที่อาคารเดียวกัน เพื่อช่วยพัฒนาทักษะดิจิทัลในประเทศไทย สร้างสรรค์นวัตกรรม และรองรับเป้าหมายของประเทศในการขึ้นเป็นศูนย์กลางดิจิทัลระดับอาเซียน เราหวังว่าความร่วมมือระหว่างหัวเว่ยและ GLAND ครั้งนี้  จะช่วยเสริมความอัจฉริยะให้แก่ภาคอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย ซึ่งถือเป็นการตอบโจทย์พันธกิจของหัวเว่ยในการเป็นผู้สนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล รวมทั้งนำเทคโนโลยีดิจิทัลไปสู่ทุกคน บ้านทุกหลัง และองค์กรทุกแห่ง เพื่อสร้างประเทศไทยอัจฉริยะที่เชื่อมโยงกันอย่างเต็มรูปแบบ ความร่วมมือระหว่าง  GLAND และ หัวเว่ย ที่จะพัฒนา ecosystem ที่ครบวงจร ผ่านทาง 5 องค์ประกอบสำคัญ ในการสร้าง Smart Digital Township ผ่านอสังหาฯต่างๆ ของ GLAND ได้แก่ 1.Smart Building พัฒนาอาคารอัจฉริยะด้วยเทคโนโลยีระดับโลก ซึ่งช่วยอำนวยความสะดวกสบายด้านการใช้งานต่อผู้ใช้อาคาร และ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม   2.Smart Asset Management การบริหารจัดการสินทรัพย์ด้วย เทคโนโลยี 5G, เทคโนโลยีแอคเซสพอยท์ Wi-Fi 6 ความเร็วระดับอัลตร้าไฮสปีด, โมดูล IoT และ กล้องตรวจจับอัจฉริยะ   3.Smart Hospitality and Retail เชื่อมโยงระบบ Fiber Backbone สู่การเป็นโรงแรมและศูนย์การค้าอัจฉริยะแห่งโลกอนาคต   4.Smart Campus and Living ระบบอาคารและพื้นที่อยู่อาศัย ที่มุ่งเน้นด้านความปลอดภัย รวมถึงระบบที่จอดรถอัจฉริยะ   5.Intelligent Connectivity การเชื่อมต่ออัจฉริยะด้วยระบบ AI หรือปัญญาประดิษฐ์, VDO & Imaging Technology และ ไฟเบอร์ออพติก รวมถึง พื้นที่เก็บข้อมูลในคลาวด์  
เอพี ไทยแลนด์  ลุย​ตลาดคอนโดแมส ส่ง แอสปาย โฉมใหม่  ประเดิมครึ่งปีแรกเปิด​ 3 โครงการ  6,800 ล้าน

เอพี ไทยแลนด์ ลุย​ตลาดคอนโดแมส ส่ง แอสปาย โฉมใหม่ ประเดิมครึ่งปีแรกเปิด​ 3 โครงการ 6,800 ล้าน

เอพี ไทยแลนด์ เดินหน้าตลาดคอนโดปี 65 ส่ง 5 โครงการใหม่ มูลค่า  13,000 ล้าน พร้อมกับเป้ารายได้ ​12,300 ล้าน  ประเดิมครึ่งปีแรก 3 โปรแจ็กต์แบรนด์แอสปาย มูลค่า 6,800 ล้าน หลังปรับโฉมใหม่ หวังครองแชมป์ตลาดแมส กับการมาของ 3 จุดขายที่มั่นใจ ในภาวะกำลังซื้อและเศรษฐกิจชะลอตัว   เอพี ไทยแลนด์ นับเป็นดีเวลอปเปอร์อสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ที่ในปีนี้เตรียมรุกตลาดอย่างหนัก เพื่อสร้างการเติบโตทั้งด้านยอดขายและรายได้ จากการประกาศแผนธุรกิจในปี 2565 ก่อนหน้านี้ บริษัทได้วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุดถึง 65 โครงการ มูลค่า 78,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 50,000 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ 47,000 ล้านบาท   โครงการส่วนใหญ่ที่เปิดยังเป็นโครงการแนวราบ ไม่ว่าจะเป็นบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด แต่ที่สำคัญ คือ เอพี ไทยแลนด์ ยังมีแผนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ออกมาทำตลาด มากถึง  5 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 65% ตั้งเป้ายอดขายคอนโดทั้งปีที่ 12,000 ล้านบาท และตั้งเป้ารายได้กลุ่มสินค้าคอนโดรวม (100% JV) ที่ 12,300 ล้านบาท   ในแผนการเปิดตัวคอนโดทั้ง 5 โครงการปีนี้ เอพี ไทยแลนด์ได้วางแผนช่วงครึ่งปีแรกนี้ จะเปิดตัว​ 3 โครงการ มูลค่ารวม 6,800 ล้านบาท ประเด็นสำคัญ คือ การเปิดตัวแบรนด์แอสปาย (ASPIRE) ที่มีการปรับโฉมใหม่ทั้งหมด เป็นแบรนด์ที่จับตลาดแมส มีราคาขายต่อยูนิต 1.99-2.89 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ของตลาดอสังหาฯ  ที่มีความอ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจ และกำลังซื้อที่ชะลอตัวลงพอสมควร  คำถามสำคัญก็คือ อะไรคือปัจจัยที่ทำให้ เอพี ไทยแลนด์ มั่นใจต่อการเปิดตัวโครงการแอสปายครั้งนี้ ว่ากลุ่มเป้าหมายดังกล่าวจะยังมีกำลังซื้อที่ดี  สามารถสร้างยอดขายและรายได้ให้กับเอพี ไทยแลนด์ได้ เอพี มองตลาดคอนโดฟื้นตัว นางสาวกมลทิพย์ บำรุงชาติอุดม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานธุรกิจคอนโดมิเนียม บริษัท​ เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) มองสถานการณ์ตลาดคอนโดในปีนี้น่าจะปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น หากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทรงตัวหรือไม่รุนแรงไปกว่าปัจจุบัน เพราะปีนี้ตลาดคอนโดเริ่มเข้าใกล้ภาวะสมดุลของดีมานด์และซัพพลาย จากช่วง 2 ปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการมีการระบายสต็อกออกไปค่อนข้างมาก  ปีนี้​เป็นปีต่อเนื่องที่ ตลาดคอนโดขับเคลื่อนด้วยเรียลดีมานด์ในประเทศ ทำให้ผู้ซื้อได้ในราคาที่คุ้มค่า ถ้าเศรษฐกิจดี คอนโดจะปรับราคาเพิ่มขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ ปีนี้ยังมีมาตรการของรัฐบาลที่ออกมาช่วยกระตุ้นตลาดคอนโด อาทิ การลดค่าธรรมเนียมการโอน ค่าจดจำนอง และการผ่อนคลายมาตรการ LTV ส่งผลต่อ เซ็นติเมนท์ที่ดีขึ้น ขณะเดียวกัน ยังมองเห็นว่าตลาดคอนโดยังมีกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ในประเทศ ที่มีความต้องการซื้อคอนโดเพื่ออยู่จริงยังคงมีอยู่ เห็นได้จากยอดขายตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึง 15 ก.พ. 65 สามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า1,080 ล้านบาท เติบโตกว่า 250% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยเป็นยอดขายจากโครงการเดิมที่เปิดตัวมาก่อนหน้า เนื่องจากเอพี ไทยแลนด์ยังไม่มีการเปิดโครงการใหม่ ปรับโฉมแอสปายใหม่ พร้อม 3 จุดขาย เอพี ไทยแลนด์ ได้มีการปรับแบรนด์โพสิชั่นนิ่ง  แอสปาย ใหม่ ภายใต้จุดยืน “LIVE AS YOU ASPIRE อิสระในทุกมิติของชีวิต”  โดยตั้งเป้าการพัฒนาให้แอสปาย คือคอนโดในกลุ่มแมสเซกเมนต์ที่ดีที่สุด จากกระบวนการทำงาน ที่เรียกว่า AP Empathy Design ซึ่งเป็นการหาความต้องการจริงของกลุ่มลูกค้าในแต่ละทำเล เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้จริง ๆ และตอบสนองความต้องการนั้นไปในแต่ละทำเล ​ซึ่งทำให้แบรนด์แอสปาย มี 3 จุดขายใหม่ ได้แก่ 1.Modular Layout การออกแบบห้องที่มีดีไซน์ใหม่กว่า ​ 40 รูปแบบ โดยเน้นความยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการ ตามรูปแบบการใช้ชีวิตไฮบริดของคนปัจจุบัน ที่ไม่ได้ทำอาชีพเดียว หรือมีกิจกรรมเพียงอย่างเดียว คนหนึ่งคนอาจจะมีหลายหน้าที่และบทบาทแต่กต่างกันไป ทำให้มีความต้องการใช้พื้นที่แตกต่างกัน​ และในแต่ละทำเล รูปแบบดีไซน์ฟังก์ชั่นห้องก็จะแตกต่างกันไปด้วย เพื่อให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของกลุ่มเป้าหมายแต่ละทำเล 2.The Best of ‘ME’ Space   มีการออกแบบให้แต่ละโครงการในแต่ละทำเล มีพื้นที่ส่วนกลาง ที่เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์และพฤติกรรมของลูกค้าในแต่ละทำเล ที่ผ่านมาบางโครงการมีพื้นที่ส่วนกลางให้กับลูกบ้าน แต่ไม่ตรงกับความต้องการที่จะใช้งาน ทำให้ลูกบ้านไม่ได้ใช้พื้นที่ส่วนกลางนั้น เช่น แอสปาย ปิ่นเกล้า-อรุณอัมรินทร์ กลุ่มเป้าหมายเป็นบุคลากรทางการแพทย์  จึงจัดทำพื้นที่ส่วนกลางที่เน้นความรีแลกซ์ และเน้นความเป็นส่วนตัว 3.Entry - Level Price การกำหนดราคาของแต่ละทำเล จะเน้นการขายในราคาที่คุ้มค้า โดยโครงการแอสปาย ปิ่นเกล้า-อรุณอัมรินทร์ มีราคาขายเริ่มต้นตารางเมตรละ 94,000 บาท แอสปาย รัชโยธิน  ราคาขายเริ่มต้นตารางเมตรละ 79,600 บาทและสุขุมวิท - พระราม 4 ราคาขายเริ่มต้นตารางเมตรละ 99,000 บาท 3 จุดขายใหม่จะเป็น wining point ที่จะทำให้แอสปายโฉมใหม่ในปีนี้ เหนือกว่าคู่แข่ง ในเซ็กเมนต์เดียวกัน หรือเหนือกว่าคู่แข่งในตลาดที่มีอยู่ อัตราผลตอบแทนเช่า 5% นอกเหนือจากการวิเคราะห์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าแล้ว เอพี ไทยแลนด์ มองว่า อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนในคอนโดยังสูง โดยเฉพาะผลตอบแทนการปล่อยเช่า (Rental Yield) ถึง 4.5 – 5% ในทำเลที่ได้เข้าไปพัฒนาโครงการ ทำเล MRT สถานีบางยี่ขัน - บางขุนนนท์ – แยกไฟฉาย ผลตอบแทน 4.5 – 5% ทำเลในโซนอรุณอมรินทร์ ถือเป็นทำเลศูนย์กลางการแพทย์และสถาบันการศึกษาชั้นนำทำเลหนึ่ง ซึ่งที่ดินหามาพัฒนาได้ยาก เนื่องจากที่ดินติดถนนอรุณอมรินทร์ ที่มีขนาดเหมาะสมกับการพัฒนาคอนโดมีจำกัด โครงการแอสปาย ปิ่นเกล้า - อรุณอมรินทร์  เป็นโครงการใหม่เพียงโครงการเดียวบนช่วงถนนเส้นดังกล่าว  ซึ่งในย่านนั้นมีความต้องการสูง เห็นได้จากยอดขายรวมถึง 75% จากทั้งหมด 11 โครงการที่เปิดขายในแนวโครงข่าย MRT สถานีบางยี่ขัน - บางขุนนนท์ - แยกไฟฉาย และยังเป็นโอกาสของตลาดปล่อยเช่าในลูกค้ากลุ่มนักศึกษา-บุคคลากรทางการแพทย์ที่น่าจับตามอง โดยอัตราการปล่อยเช่าปีล่าสุดที่ 8,000 - 15,000 บาทต่อเดือน ด้วยผลตอบแทนการปล่อยเช่า  ถึง 4.5 – 5% ตลาดคอนโดรัศมี 1.5 กม.จาก BTS รัชโยธิน ทำให้ย่านรัชโยธินเป็นทำเลศักยภาพในการลงทุน ทั้งเพื่ออยู่อาศัยเองและการปล่อยเช่าในอนาคต ซึ่งได้ผลบวกจากรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียว (หมอชิต - สะพานใหม่ - คูคต) เปิดทำการ  จากการสำรวจซัพพลายพบ 15 โครงการ จำนวน 9,024 ยูนิต มียอดขายแล้วกว่า 87% ในขณะที่ 3 ปีที่ผ่านมาพบการเปิดโครงการใหม่ลดลงต่อเนื่อง และสินค้าคงเหลือขายปัจจุบัน พบราคาขายเฉลี่ย 125,000 - 150,000 บาท/ตารางเมตร   โดยอัตราผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า (Rental Yield) ในย่านนี้ที่มีอัตราที่ดีเช่นกันที่ประมาณ 5% และพบภาพรวมอัตราการปล่อยเช่าปีล่าสุดที่ 9,000 - 20,000 บาทต่อเดือน  และ ตลาดคอนโดโซนพระราม 4 - สุขุมวิท ในรัศมี 1.5 กิโลเมตรจาก BTS พระโขนง ตลาดคอนโดในย่านพระราม 4-สุขุมวิท ​พบยอดขายรวมที่เกิดขึ้น 76% จากทั้งสิ้น 21 โครงการ  โดยภาพรวมอัตราการปล่อยเช่าปีล่าสุด อยู่ที่ 9,500 - 20,000 บาทต่อเดือน  หรือผลตอบแทนการปล่อยเช่า (Rental Yield) ถึง 5% ทำให้ภาพรวมตลาดของคอนโดในทำเลนี้ เป็นที่สนใจของลูกค้าอย่างต่อเนื่อง​​​​ เอพี ไทยแลนด์วางเป้ารายได้คอนโด 12,300 ล. ณ  วันที่ 15 ก.พ. 65 บริษัทฯ มีสินค้าคอนโดมิเนียมอยู่ระหว่างการขายจำนวน 15 โครงการ มูลค่าคงเหลือขาย 27,530 ล้านบาท และมีสินค้าคอนโดรอรับรู้รายได้รวมโครงการร่วมทุน (Backlog) มูลค่ามากถึง 18,300 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดเอพี มูลค่า 1,500 ล้านบาท และเป็นโครงการร่วมทุน มูลค่า 16,800 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ภายในปีนี้ มูลค่า 9,790 ล้านบาท ที่เหลือจะทยอยรับรู้ไปจนถึงปี 2567   ในปีนี้เอพี ไทยแลนด์ ยังเตรียมรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ 3 คอนโดใหม่ ได้แก่ แอสปาย เอราวัณ ไพร์ม LIFE สาทร เซียร์รา และ RHYTHM เอกมัย เอสเตท มูลค่ารวม 12,800 ล้านบาท  รวมถึงยังมีสินค้าสร้างเสร็จพร้อมขาย 6,550 ล้าบาท แบ่งเป็นโคงการของเอพี ไทยแลนด์พัฒนามูลค่า 400 ล้านบาท และโครงการร่วมทุนมูลค่าประมาณ 6,100 ล้านบาท ซึ่งจะรองรับยอดขายได้ถึงปี 2566 ปีนี้กลุ่มคอนโดวางเป้ายอดขาย 12,000 ล้านบาท  และรายได้ 12,300 ล้านบาท  สำหรับปี2564 ที่ผ่านมา เอพี ไทยแลนด์  มีรายได้รวมจากสินค้าแนวราบและกลุ่มคอนโดฯ (100% JV) มากถึง 40,015 ล้านบาท และด้านกำไรสุทธิปี 64 (Net Profit) สูงถึง 4,543 ล้านบาท โตกว่า 7.5% และสำหรับความท้าทายของตลาดคอนโดในปีนี้ คือ ทิศทางของตลาดยังคงปรับเปลี่ยนตามพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว  กลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ในเซกเมนต์กลางถึงกลางล่างที่มองหาคอนโดใหม่ในทำเลซิตี้โซนได้ทยอยปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ และหลายดีเวลลอปเปอร์ต่างกระโดดลงมาแข่งขันในตลาดมากขึ้น ปีนี้ผู้ประกอบการยังมองว่าเป็นปีที่ท้าทาย นอกเหนือจากการคาดการณ์ที่แม่นยำ การเลือกที่ดินที่ใช่ การพัฒนาตอบโจทย์อินไซต์ลูกค้าในแต่ละโลเกชั่นจริง ๆ จะทำให้คอนโดตอบโจทย์​ ชนะคู่แข่ง และมีตลาดรองรับอยู่ได้   อ่านข่าวเพิ่มเติม เอพี ไทยแลนด์ เดินแผนธุรกิจปี 65 ที่สุดตลาด เปิดตัว 65 โครงการ มูลค่า 78,000 ล้าน
ศุภาลัย  ทุบสถิติปี 64 New High Record  ทำรายได้ – กำไร สูงสุดในรอบ 3 ทศวรรษ

ศุภาลัย ทุบสถิติปี 64 New High Record ทำรายได้ – กำไร สูงสุดในรอบ 3 ทศวรรษ

ศุภาลัย โชว์ผลงานปี 64 สร้าง New High Record ทุบสถิติกวาดรายได้ – กำไร เกินเป้าที่ตั้งไว้ สูงสุดรอบ 30 ปี  โกยกำไร 7,070 ล้าน โตกว่า 66 % และรายได้รวมสูงถึง 29,647 ล้าน เพิ่มขึ้น 41%  ชี้เป็นผลสำเร็จจากการเงินแข็งแกร่งและแผนกลยุทธ์ปรับตัวรับมือที่รวดเร็วให้ทันต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง พัฒนาผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ลูกค้า ปี 65 พร้อมเดินหน้าสร้างยอดขาย 28,000 ล้าน และรายได้ 29,000 ล้าน  จากการเปิดตัว 34 โครงการใหม่   นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานรอบปี 2564 ศุภาลัยทุบสถิติกำไรสุทธิสูงสุด สร้าง New High New Record สูงสุดในรอบ 3 ทศวรรษ สามารถสร้างผลกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 66% หรือ 7,070 ล้านบาท รวมถึงรายได้รวมเติบโตแบบก้าวกระโดดสูงสุดเช่นกัน 29,647 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เกินเป้าหมายที่วางไว้ 28,000 ล้านบาท ซึ่งนับเป็นตัวเลขสูงสุดเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท โดยแบ่งเป็นรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาฯ  28,938 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% จากปี 2563 โดยแบ่งเป็นรายได้จากบ้านและทาวน์เฮาส์ 51% และอาคารชุด 49% โดยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 ศุภาลัยมีรายได้รวม 11,126 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% และกำไร 2,879  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 54% สวนกระแสอย่างก้าวกระโดดสูงสุด เติบโตจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า มาจากยอดรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด และโครงการแนวราบที่ก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่ และการรักษาเสถียรภาพทางการเงิน (Cash Flow Management) ส่งผลให้อัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ระดับ 43% ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 ลดลงจากระดับ 55% ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 ปัจจัยสร้างความสำเร็จ สำหรับปัจจัยสำคัญที่มีส่วนผลักดันศุภาลัย สามารถสร้างการเติบโตอย่างผู้นำและยั่งยืน ทั้งด้านรายได้และกำไร  มาจาก -ทีมงานที่มีศักยภาพและแข็งแกร่ง นำหลักการทำงานแบบ Agile มาปรับใช้ภายในองค์กร เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการขององค์กรได้อย่างรวดเร็ว -การพัฒนาผลิตภัณฑ์ สร้างสรรค์รูปแบบผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมใหม่ๆ ที่ตรงตามความต้องการของลูกค้า -การบริการอย่างครบวงจรบนแพลตฟอร์มออนไลน์ สร้างประสบการณ์ใหม่ๆ ผ่านการขายแบบออนไลน์ให้แก่ลูกค้า ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว เช่น Supalai Online Booking , Supalai Private Tours และพัฒนา Living Solution Platform ผ่านแอปพลิเคชัน Supalai Sabai จัดการทุกเรื่องบ้านยกระดับการอยู่อาศัยแบบครบวงจร -การบริหารต้นทุนและ Cash Flow อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ความสามารถในการทำกำไรแข็งแกร่ง -ส่งเสริม Waste management ในกระบวนการก่อสร้าง กำหนดแนวทางการทำงานเพื่อลดปริมาณความสูญเสียของวัสดุก่อสร้างได้อย่างเหมาะสม และสามารถจัดการกับเศษวัสดุก่อสร้างให้เกิดมูลค่าสูงสุด รวมทั้งลดผลกระทบที่มีต่อสิ่งแวดล้อม ผลงานในปี 2564 ที่ปรากฏออกมานั้นคุ้มค่ากับการวางแผนกลยุทธ์และความทุ่มเท เพราะศุภลายประสบความสำเร็จเกินเป้าจากแผนการดำเนินงานที่ตั้งไว้ ท่ามกลางวิกฤตการณ์ที่เกิดขึ้น โดยสามารถสร้างสถิติครั้งใหม่ New High ตั้งแต่เปิดบริษัท เติบโตทางด้านรายได้และกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งยอดขายและโอนกรรมสิทธิ์โครงการสร้างเสร็จ พร้อมเข้าอยู่ โดยปีที่ผ่านมาศุภาล้ยตั้งเป้าหมายยอดขาย 27,000 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ 28,000 ล้านบาท ซึ่งปี 2564 ถือเป็นปีที่ท้าทายเป็นอย่างมากในการบริหารจัดการธุรกิจ เพื่อให้เป็นไปตามกลยุทธ์ธุรกิจที่วางไว้ว่า ก้าวไปข้างหน้า..เติบโตอย่างผู้นำ และยั่งยืน ทั้งด้านรายได้ และกำไร  จากแผนการเปิดตัวโครงการแนวราบและคอนโดมิเนียม รวม 23 โครงการใหม่ ที่สามารถเจาะกลุ่มลูกค้าทุก  เซ็กเมนต์ ครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยทำเลยอดนิยมที่สร้างยอดขายได้ทะยานสูงเป็นลำดับต้นๆ คือ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ชลบุรี และระยอง ที่กำลังซื้อยังคงมีอยู่อย่างเหนียวแน่น โดยสินค้าแนวราบเป็นสินค้าเบอร์หนึ่งที่ได้รับความนิยมมากขึ้นต่อเนื่องในปัจจุบัน   อีกทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เปิดตัวแบรนด์ใหม่ พร้อมแบบบ้านใหม่ ฟังก์ชันใหม่ ให้ตอบโจทย์ลูกค้า มากที่สุด อาทิ โครงการศุภาลัย เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี 121 และโครงการคอนโดมิเนียม ศุภาลัย พรีเมียร์ สามเสน - ราชวัตร ควบคู่ไปกับแผนการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ ในช่วงไตรมาส 2 และ 3 ของปี 2564 รวมทั้งสิ้น 3 โครงการด้วยกัน ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า คือ ศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร ศุภาลัย ริวา แกรนด์ และศุภาลัย เวอเรนด้า สถานีภาษีเจริญ   ทั้งนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการงวดปี 2564 ให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 1.25 บาท โดยกำหนดวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) 27 เม.ย. 65 และจ่ายปันผล วันที่ 12 พ.ค. 65   นายไตรเตชะ กล่าวอีกว่า ในปี 2565 ศุภาลัยเร่งเสริมศักยภาพการบริหารจัดการมุ่งมั่นพัฒนากลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ เพื่อผลักดันยอดขายให้สู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ โดยตั้งเป้าหมายยอดขาย 28,000 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ 29,000 ล้านบาท จากการเปิดตัวโครงการใหม่ 34 โครงการ แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 31 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการ คิดเป็นมูลค่ารวม 40,000 ล้านบาท พร้อมรุกเปิดตลาดอสังหาฯ ในจังหวัดใหม่ๆ เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภค พร้อมด้วยทำเลศักยภาพ อาทิ ฉะเชิงเทรา ลำพูน นครสวรรค์ นครปฐม และ ประจวบคีรีขันธ์ เพื่อครอบคลุมความต้องการของผู้บริโภคทั่วทุกภูมิภาค สำหรับที่อยู่อาศัยแนวราบยังมีโอกาสเติบโตในทิศทางที่ดี เนื่องจากยังเป็นกลุ่ม Real Demand ที่มีความต้องการของที่อยู่อาศัยสูง พร้อมมุ่งพัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ที่ตรงกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่มากขึ้น รวมไปถึงการพัฒนารูปแบบการซื้อที่ดินสำหรับพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคตของบริษัท ความสำเร็จของปี 2564 เป็นแรงผลักดันสำคัญให้ศุภาลัยมุ่งมั่นการดำเนินธุรกิจอสังหาฯ ตามหลักธรรมภิบาลและเน้นการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์พร้อมการให้บริการลูกค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ลูกค้าทุกกลุ่มทุกวัย   New Record ที่สุดใน 3 ทศวรรษนี้ อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง ศุภาลัย วาง 4 กลยุทธ์ ทำรายได้ New High 28,000 ล้านบาท
AWC  ปี 64 ทำกำไรกว่า 861 ล้าน หลังคลายล็อกดาวน์-เปิดการท่องเที่ยว

AWC ปี 64 ทำกำไรกว่า 861 ล้าน หลังคลายล็อกดาวน์-เปิดการท่องเที่ยว

AWC ประกาศงบ ไตรมาส 4/2564 มีกำไรสุทธิ  967 ล้านบาท ดันผลประกอบการทั้งปี 64 มีกำไรสุทธิรวม 861 ล้าน  หลังได้อานิสงค์การเปิดประเทศ นักท่องเที่ยวเดินทาง พร้อมเดินหน้าต่อปี 65 พัฒนาโครงการคุณภาพ เสริมศักยภาพให้อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทย   นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2564 มีรายได้รวมตามงบการเงิน 3,086 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.6% จากไตรมาสก่อนหน้านี้ มีกำไรสุทธิตามงบการเงิน 967 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมากกว่า 100% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน   โดยในช่วงไตรมาสที่ 4/2564 ที่ผ่านมา  บริษัทได้รับผลดีจากนโยบายผ่อนคลายล็อกดาวน์ และการเปิดประเทศในเดือนพฤศจิกายน ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศเริ่มพื้นตัว และการดำเนินธุรกิจของบริษัท เริ่มกลับเข้าสู่สภาพใกล้เคียงปกติ และมีสัญญาณดีจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่มีแนวโน้มคลี่คลายขึ้น   awc ได้อานิสงค์คลายล็อกดาวน์ นอกจากนี้ AWC ยังได้รับกำไรจากการรวมมูลค่ายุติธรรม ของมูลค่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุนที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย ส่งผลให้ผลการดำเนินงานไตรมาส 4/2564 บริษัทมีกำไรสุทธิตามงบการเงินเพิ่มขึ้นมากกว่า 100% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า  และหากเทียบกับไตรมาส 3/2564 (QoQ)  กำไรสุทธิของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้น 40.7%  แสดงให้เห็นถึงแนวโน้มการพื้นตัวของธุรกิจ และความพร้อมในการกลับมาเติบโตอย่างก้าวกระโดดของบริษัท ไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมาเป็นไตรมาสที่ผลประกอบการของเราดีที่สุดในรอบปี ถือเป็นสัญญาณบวกของการเริ่มฟื้นตัวกลับมาของเศรษฐกิจในภาพรวม เราจึงมีความมั่นใจอย่างมากว่า หากสถานการณ์ทุกอย่างคลี่คลายในปี 2565 นี้ ทุกกลุ่มธุรกิจของ AWC จะกลับมาฟื้นตัวและเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด ดังนั้น ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา AWC  จึงมุ่งมั่นพัฒนากระบวนการดำเนินงานในทุกส่วน เพื่อให้บริษัทมีความแข็งแกร่งและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นพร้อมทั้งลงทุนพัฒนาโครงการคุณภาพใหม่ๆ และร่วมมือกับพันธมิตร เพื่อเตรียมพร้อมรองรับการกลับมาของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวของประเทศไทย   ทั้งนี้ หากรวมผลการดำเนินงานรวมทั้งปี 2564 บริษัทกำไรสุทธิตามงบการเงินจำนวน 861 ล้านบาท เพิ่มขึ้น  192.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยในช่วงปี 2563-2564 ที่ผ่านมา  บริษัทได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์โควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทอย่างมีนัยสำคัญ   อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงมุ่งพัฒนาโครงการคุณภาพเพื่อให้ตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้า และเป็นทรัพย์สินที่สามารถสร้างกระแสเงินสดเป็นบวก สะท้อนถึงการเพิ่มมูลค่าสินทรัพย์ของบริษัท ​ให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน โดยได้แรงเสริมจากการร่วมมือกับเครือข่ายพันธมิตรระดับโลกที่แข็งแกร่ง ที่สามารถดึงฐานลูกค้าศักยภาพสูง ให้กลับมาเดินทางท่องเที่ยวได้ทันทีหลังจากสถานการณ์มีแนวโน้มที่ดีขึ้น   บริษัทยังมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าเสริมอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ด้วยการเปิดโรงแรมคอร์ทยาร์ด แมริออท ภูเก็ต ทาวน์ ภูเก็ตให้เป็นจุดหมายปลายทางของโลก เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวทั่วโลกสู่จังหวัดภูเก็ต และเปิดให้บริการโรงแรมเลอ เมอริเดียน กรุงเทพ รูปโฉมใหม่หลังการปรับปรุง พร้อมเปิดตัวห้องอาหารไฮไลท์แห่งใหม่ “โรลลิงริบส์ บริว บาร์แอนด์บาร์บีคิว” ใจกลางย่านสุรวงศ์-สีลม เพื่อสร้างประสบการณ์ไลฟ์สไตล์ใหม่ให้ผู้บริโภค ตอกย้ำจุดยืนกรุงเทพมหานคร จุดหมายปลายทางแห่งการทำงานและพักผ่อนระดับโลก ซึ่งได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี   นอกจากนี้ บริษัทยังมีโครงการคุณภาพ ที่พร้อมให้บริการนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ในปี 2565 ได้แก่ โครงการเดอะ ล้ง 1919  ริเวอร์ไซด์ เฮอริเทจ เดสติเนชั่น, โรงแรมมีเลีย เชียงใหม่ และโรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล เชียงใหม่ แม่ปิง ขณะเดียวกัน AWC ยังเสริมโอกาสการเติบโต ด้วยแผนการจัดตั้งองค์กรการร่วมทุน (Investment Vehicle) เพื่อเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจโรงแรมในแหล่งท่องเที่ยวของประเทศไทย มีมูลค่าเงินลงทุนรวมสูงสุดประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 16,500 ล้านบาท โดยบริษัทจะเข้าร่วมลงทุนประมาณ 15 – 60% ของมูลค่าเงินลงทุนทั้งหมด และส่วนเงินลงทุนที่เหลือจะเป็นการร่วมลงทุนจากผู้ลงทุนสถาบันชั้นนำทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งอยู่ในช่วงศึกษาโครงสร้างและสัดส่วนการเข้าลงทุนเพื่อผลประโยชน์สูงสุดแก่ผู้ถือหุ้น   บริษัทเห็นว่าการจัดดำเนินการครั้งนี้จะเป็นการวางรากฐานในการสร้างแหล่งรายได้ใหม่ โดยมาจากค่าธรรมเนียมในการพัฒนาและบริหารโครงการที่จะได้รับจากองค์กรการร่วมทุน (Investment Vehicle) นี้ ด้วยศักยภาพของกลุ่ม AWC และความมุ่งมั่นที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนการท่องเที่ยวไทย พัฒนาชุมชุมโดยรอบ และขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไทยต่อไป บริษัทมีความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจเพื่อสร้างคุณค่าในระยะยาวร่วมกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกฝ่าย ด้วยการพัฒนาคุณภาพโครงการอย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งการสร้างโครงการคุณภาพเสริมพอร์ตทรัพย์สินให้เติบโตเพื่อสร้างกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง ควบคู่กับการพัฒนาประสิทธิภาพของการดำเนินงานเพื่อเพิ่มศักยภาพของการดำเนินธุรกิจ บริษัทยังมีการปรับรูปแบบธุรกิจให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมลูกค้า รวมถึงพัฒนากลยุทธ์และกระบวนการดำเนินงานขององค์กรให้พร้อมรับกับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดด้วยความมั่นคงและยั่งยืน บริษัทเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยจะกลับมาเติบโตต่อเนื่อง โดยบริษัทจะเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างอนาคตที่ดีกว่า ด้วยการเสริมศักยภาพการท่องเที่ยวของประเทศไทย เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันด้วยโครงการคุณภาพของกลุ่ม AWC เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวทั่วโลกให้เดินทางมาชื่นชมความสวยงามของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางระดับโลก
[PR News] เสนา ส่ง “เสนาคิทท์”บุก 4 โลเคชั่นจับตลาดลูกค้าเรียลดีมานด์

[PR News] เสนา ส่ง “เสนาคิทท์”บุก 4 โลเคชั่นจับตลาดลูกค้าเรียลดีมานด์

เสนา นำร่อง 4 โครงการ แบรนด์เสนาคิทท์ รวมมูลค่ากว่า 2,000 ล้าน จับกลุ่มลูกค้าจริง รายได้ไม่เกินเดือนละ 20,000 บาท ชูจุดเด่นตั้งในทำเลใกล้แหล่งงาน นิคมอุตสาหกรรม ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้เปิดตัวโครงการภายใต้แบรนด์​ “เสนาคิทท์” นำร่องด้วยกัน 4 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาทใน 4 ทำเล ได้แก่​ โครงการร่วมทุนเสนา ฮันคิว ฮันชิน จำนวน 2 โครงการ เสนาคิทท์ รังสิต – ติวานนท์  ,เสนาคิทท์ ศรีนครินทร์ - ศรีด่าน และภายใต้การพัฒนาของเสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำนวน 2 โครงการ เสนาคิทท์ เอ็มอาร์ที – บางแค (เฟส 2) และ เสนาคิทท์ รังสิต - คลอง 4   โดยปีที่ผ่านมาแบรนด์ เสนาคิทท์ เป็นภาพสะท้อนความสำเร็จของเสนามาอย่างต่อเนื่อง กลยุทธ์หนึ่งที่สำคัญของแบรนด์ เสนาคิทท์ คือ  ตั้งอยู่ในทำเลใกล้แหล่งงาน ย่านนิคมอุตสาหกรรม เดินทางสะดวก  จับกลุ่มเป้าหมายลูกค้าที่มีฐานรายได้ไม่ถึง 20,000 บาทต่อเดือน  ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่เดิมอาจจะเช่าหอพัก อพาร์ตเม้นท์เพื่ออยู่อาศัยใกล้แหล่งงาน คอนซูมเมอร์ เพนพอย์ของลูกค้าที่มีรายได้จำกัด การตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยยุคนี้อาจเป็นเรื่องยากในการก่อจะก่อภาระค่าใช้จ่ายต่อเดือนเพิ่มขึ้น แบรนด์ “เสนาคิทท์” จึงเป็นการพัฒนาโปรดักส์ เพื่อให้เข้าถึงและเติมเต็มชีวิตของลูกค้าในกลุ่มนี้ให้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น ตามพฤติกรรมของลูกค้าแต่ละโลเคชัน สำหรับรายละเอียดของทั้ง 4  โครงการ มีดังนี้ 1.เสนาคิทท์ รังสิต – ติวานนท์   โครงการพัฒนาอยู่ติดถนนติวานนท์ เป็นคอนโดโลว์ไรซ์สูง 8 ชั้น บนเนื้อที่ 6 ไร่เศษ  จำนวน 3 อาคาร ทั้งหมด 735 ยูนิต มูลค่าโครงการ 661 ล้านบาท มีแบบห้องให้เลือก 3 แบบ คือ แบบ 1 ห้องนอน 26 ตาราเมตร มี Walk-in Closet ในห้องนอน ส่วนอีกแบบ 1 ห้องนอน 26 ตารางเมตร ราคาเริ่ม 899,000 บาท  เน้นห้องครัวกว้างติดระเบียง และแบบ 2 ห้องนอน 38 ตารางเมตร ทุกยูนิตถูกดีไซน์กั้นเป็นสัดส่วนทั้งฟังก์ชันและพื้นที่ส่วนกลางลงตัว ทั้งคลับเฮ้าส์ ฟิตเนส สระว่ายน้ำ  Co-working space  และสวนส่วนกลาง ระบบ CCTV เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมระบบควบคุมรถเข้า-ออก ,Key card Access และระบบลิฟต์ล็อคชั้น 2.เสนาคิทท์ ศรีนครินทร์ - ศรีด่าน โครงการอยู่ในซอยด่านสำโรง 9 ถนนสุขุมวิท 113 ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว – สำโรง) สถานีศรีด่าน เพียง 500 เมตร คอนโดโลว์ไรซ์สูง 8 ชั้น บนเนื้อที่ 3 ไร่เศษ จำนวน 3 อาคาร ทั้งหมด 645 ยูนิต มูลค่าโครงการ 708 ล้านบาท มีแบบห้องให้เลือก 4 แบบ คือ แบบ 1 ห้องนอน 22 ตารางเมตร  แบบ 1 ห้องนอน 26 ตารางเมตร แบบ 1 ห้องนอนพลัส 33 ตารางเมตร และแบบ 2 ห้องนอน 43 ตารางเมตร ราคาเริ่ม 999,000 บาท  เฟอร์นิเจอร์ครบ และพื้นที่สวนกลาง ทั้งคลับเฮ้าส์ ฟิตเนส สระว่ายน้ำ  Co-working space  และสวนส่วนกลาง  ระบบ CCTV เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมระบบควบคุมรถเข้า-ออก ,Key card Access และระบบลิฟต์ล็อคชั้น 3.เสนาคิทท์ เอ็มอาร์ที – บางแค (เฟส 2) โครงการอยู่ในซอยถนนเทิดไท ใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน สถานีบางแค พัฒนาเป็นคอนโดโลว์ไรซ์สูง 8 ชั้น จำนวน 2 อาคาร รวม 378 ยูนิต บนเนื้อที่ 3 ไร่เศษ มูลค่าโครงการ 393 ล้านบาท มีแบบห้องให้เลือก 5 แบบ คือ แบบ A 1 ห้องนอน 26 ตารางเมตร แบบ B 1 ห้องนอน 26 ตารางเมตร แบบ C 1 ห้องนอน 28 ตารางเมตร  แบบ D 2 ห้องนอน 34.5 ตารางเมตร และแบบ E 2 ห้องนอน 35 ตารางเมตร ราคาเริ่ม 1.05 ล้านบาท   กั้นห้องเป็นสัดส่วน  พร้อม Walk-in Closet  พื้นที่ส่วนกลางมีคลับเฮ้ส์ ฟิตเนส สระว่ายน้ำ 4.เสนาคิทท์ รังสิต - คลอง 4 โครงการติดถนนใหญ่ลำลูกกาคลอง 4 ใกล้ Market Village คอนโด สูง 5 ชั้น จำนวน 8 อาคาร รวม 343 ยูนิต เนื้อที่โครงการ 4ไร่เศษ มูลค่าโครงการ 315 ล้านบาท ขนาดเริ่มต้น 26 ตรม. 1 ห้องนอน ราคาเริ่ม 899,000 บาท  กั้นห้องเป็นสัดส่วน มีพื้นที่แต่งตัวด้วยฟังก์ชั่นใหม่ "Walk- In Closet" ระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม. พร้อมบริการหลังการขายบนแพลตฟอร์ม "SENA 360 Application"  
พฤกษา เตรียมงบลงทุน 10,000 ล้านปี 65 พร้อมขยายธุรกิจ “พร็อพเทค-เฮลท์เทค” ​

พฤกษา เตรียมงบลงทุน 10,000 ล้านปี 65 พร้อมขยายธุรกิจ “พร็อพเทค-เฮลท์เทค” ​

พฤกษา เดินหน้าลุยธุรกิจอสังหาฯ -เทคโนโลยี เตรียมงบ 10,000 ล้าน ปั้นโปรเจ็กต์ที่อยู่อาศัย พร้อมแสวงหาโอกาสในธุรกิจตามเทรนด์โลก เปิดรับทุกรูปแบบพันธมิตรร่วมทุน ลุยพร็อพเทคและเฮลท์เทค วางเป้ายอดขายอสังหาฯ 31,000 ล้าน  โต 23% และยอดโอน ­33,000 ล้าน โต​ 18%   พฤกษา วาง 4 กลยุทธ์ลุยธุรกิจปี 65 นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง (มหาชน) เปิดเผยถึงทิศทางในการดำเนินธุรกิจปี 2565 ว่า ได้วางงบลงทุนไว้ 10,000 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจเฮลท์แคร์ 6,500 ล้านบาท และการลงทุนใน Corporate Venture Fund เป็นการมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ที่นอกเหนือจากธุรกิจอสังหาฯ  ตามเทรนด์โลกอนาคต ในรูปแบบต่าง ๆ ทั้งการลงทุน การร่วมเป็นพันธมิตร (Partnership) และการทำ Outside-in Innovation ด้วยงบประมาณการลงทุนอีก 3,500 ล้านบาท ระยะเวลาการใช้งบประมาณภายใน 3 ปี   โดยการดำเนินธุรกิจของพฤกษาในปีนี้ ได้วาง 4 กลยุทธ์สำคัญ ได้แก่ 1.ปรับ Portfolio   มุ่งลดสินค้าคงค้าง และเพิ่มสัดส่วนกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์บ้านระดับพรีเมียม 2.เสริมแกร่งธุรกิจหลัก ด้วยการจัดสรรที่ดินในมือ 157 ผืน มูลค่า 15,400 ล้านบาท  โดยปีนี้ยังวางแผนซื้อที่ดินเพิ่มเติมอีก 3,000-5,000 ล้านบาท และการบริหารโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา 145 โครงการ และมียูนิตพร้อมอยู่ที่พร้อมขายสร้างรายได้ 2,300 ยูนิต 3.ความร่วมมือ (Synergy) ทั้งกับธุรกิจอสังหาฯ และโรงพยาบาลวิมุต ในเครือเองที่จะเปิดให้บริการศูนย์ดูแลผู้ป่วยและผู้สูงวัยในโครงการต่าง ๆ 4.การสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการนำนวัตกรรมมาใช้ในการดำเนินธุรกิจ คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และบรรษัทภิบาล ตามหลัก ESG และการลงทุนใน Corporate Venture Fund เพื่อมองหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ ตามเทรนด์โลกอนาคต ในรูปแบบต่าง ๆ ที่มุ่งเน้นใน 2 ด้านที่จะมาสนับสนุนธุรกิจหลัก   ได้แก่ -PropTech เช่น โซลูชั่นที่มุ่งส่งเสริมการสร้างประสบการณ์ที่ดีของลูกค้า การขายและการตลาดดิจิทัล Smart Home IOT Senior Living / Nursing Home เป็นต้น -Health Tech มุ่งเน้นแพลตฟอร์ม เกี่ยวกับบริการทางการแพทย์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต การบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานธุรกิจสุขภาพ (Healthcare Supply Chain) อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดต้องคำนึงถึงการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน (Sustainability)  โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ได้ลงทุนในบริษัทชั้นนำด้านธุรกิจ Clinical Laboratories, Digital Heath และ Genomic Labs ที่สิงคโปร์ อีกทั้งยังมีการจัด Bootcamp เพื่อคัดเลือกทีม External Venture Building จากทีมที่สมัครเข้ามามากกว่าร้อยทีม และขณะนี้อยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้เกี่ยวกับการลงทุนสตาร์ทอัพในต่างประเทศ  คาดว่าจะเริ่มลงทุนในเดือนมีนาคมนี้ และทั้งหมดนี้จะเป็นการต่อห่วงโซ่ธุรกิจของพฤกษา โฮลดิ้ง ให้แข็งแกร่งขึ้นจากความร่วมมือกันระหว่างองค์กรและ Innovation Technology ของบริษัท Startup ได้เป็นอย่างดี  พฤกษา โฮลดิ้ง มีความแข็งแกร่งในด้านการเงิน ปัจจุบันมีกระแสเงินสดจากการดำเนินงานกว่า 11,900 ล้านบาท  ปัจจุบัน พฤกษา โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุน ( Net Gearing) อยู่ที่ 0.36x ได้รับอันดับเครดิตองค์กร หรือ ทริสเรทติ้งที่ระดับ A ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต Stable หรือ คงที่ และด้วยผลประกอบการในปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทฯ มีมติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2564 ในอัตราหุ้นละ 0.96  บาท โดยจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.31 บาท   จึงคงเหลือจ่ายเงินปันผลในรอบนี้ในอัตราหุ้นละ 0.65  บาท โดยจะนำเสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในเดือนเมษายน 2565 พฤกษา เปิด 31 โปรเจ็กต์ปั้นรายได้ 3.3 หมื่นล้าน นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ในปี 2565 ได้วางแผนเปิดโครงการใหม่ 31 โครงการ มูลค่าประมาณ 16,300 ล้านบาท ประกอบด้วย ทาวน์เฮาส์ 22 โครงการ บ้านเดี่ยว 6 โครงการ และคอนโดมิเนียม 3 โครงการ ตั้งเป้ายอดขายปี 2565 อยู่ที่ 31,000 ล้านบาท เติบโต 23% และยอดโอน 33,000 ล้านบาท เติบโต 18%  โดยจะมีคอนโดอีก 7 โครงการที่จะโอนกรรมสิทธิ์เป็นรายได้ในปีนี้มูลค่า 2,900 ล้านบาท พฤกษาเน้นตลาดแนวราบ โดยใช้บิสิเนสโมเดลใหม่ที่เน้นตอบโจทย์ความต้องการลูกค้าและเลือกเปิดโครงการที่มีศักยภาพสูง โดยรุกกลุ่มเรียลดีมานด์เซ็กเม้นต์รายได้ระดับกลางถึงสูงมากขึ้น สำหรับผลประกอบการปี 2564 ที่ผ่านมา​ สามารถทำยอดขายได้ 25.4 พันล้านบาท เติบโต 16% ซึ่งกลุ่มบ้านเดี่ยวเติบโตสูงถึง 23% เมื่อเทียบกับปี 2563 และทำรายได้ 28 พันล้านบาท  เปิดโครงการใหม่ตามแผนทั้งสิ้นรวม 31 โครงการ มูลค่า 21.1 พันล้านบาท   นอกจากนี้ ในช่วง 8 ไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทสามารถลดสินค้าคงค้างไปได้ จาก 23,300 ล้านบาท เหลือเพียง 7,500 ล้านบาท จากการใช้กลยุทธ์ราคาและโปรโมชั่น  ซึ่งในไตรมาสแรกของปีนี้  พฤกษา เรียลเอสเตทยังคงจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่อเนื่องด้วย แคมเปญ “มั่งมีศรีสุข” มอบอั่งเปาและข้อเสนอพิเศษ อาทิ อยู่ฟรี สูงสุดนาน 24 เดือน สิทธิส่วนกลางฟรี สูงสุดนาน 36 เดือน หรือ ฟรีทุกค่าใช้จ่ายวันโอน รวมมูลค่าสูงสุด 4 ล้านบาท  ระหว่างวันนี้ – 31 มี.ค. 2565 บริษัทสร้างยอดขายอสังหาฯ เพิ่มขึ้นในทุกประเภท ทั้ง ทาวน์เฮาส์ บ้านเดี่ยว และคอนโด  จากการปรับบิซิเนสโมเดลใหม่ ใช้กลยุทธ์ยึดความต้องการลูกค้าเป็นศูนย์กลาง    พฤกษา วางเป้าธุรกิจเฮลท์แคร์ 700 ล้าน นายแพทย์กฤตวิทย์ เลิศอุตสาหกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลวิมุต โฮลดิ้ง จำกัด  กล่าวว่า ​“โรงพยาบาลวิมุต เปิดให้บริการตั้งแต่ พฤษภาคม 2564 มีความพร้อมในการให้บริการในทุกศูนย์สุขภาพ มีทีมแพทย์เฉพาะทางที่ชำนาญการ เปิดบริการเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทางระดับตติยภูมิ  นอกจากนี้ ยังเป็นศูนย์ฉีดวัคซีนที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ในปีนี้วิมุตมุ่งเน้นการพัฒนานวัตกรรม ด้าน Digital Healthtech เช่น Application, Telemedicine และการบริการที่ตอบรับการดูแลผู้ป่วยกลุ่ม NCDs เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง และเทรนด์การใช้ชีวิตของผู้สูงอายุ ล่าสุดได้ออกโปรแกรม Total Senior Solution เพื่อดูแลผู้สูงอายุแบบครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นบริการดูแลผู้สูงอายุถึงบ้าน โดยแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว การร่วมกับพฤกษาปรับฟังก์ชั่นบ้านให้เหมาะกับผู้สูงวัย การออกแบบให้มีทางลาดสำหรับรถเข็น การติดตั้งราวจับภายในบ้าน ที่นั่งอาบน้ำ พื้นกันกระแทก โดยเริ่มทำแล้วในโครงการของพฤกษา สำหรับความคืบหน้าโครงการ ViMUT Health Center ซึ่งเป็นโรงพยาบาลขนาด 50 เตียง ได้เริ่มดำเนินการแห่งแรกแล้ว ที่โครงการพฤกษา อเวนิว บางนา-วงแหวน จะเปิดให้บริการในเดือนสิงหาคม 2565 นอกจากนี้ ยังมีแผนที่พัฒนาศูนย์ดูแลผู้สูงอายุในโครงการคอนโดมิเนียมของพฤกษาทำเลในเมืองที่มีศักยภาพในอนาคตอีกด้วย สำหรับรายได้ของธุรกิจสุขภาพของพฤกษาปีนี้น่าจะมีรายได้ 700 ล้านบาท เติบโต 2-3 เท่าจากปีที่ผ่านมา