Tag : News

2400 ผลลัพธ์
ธนาสิริ  วางเป้า 3 ปี สร้างรายได้ 5,000 ล้าน  พร้อมเปิด 3 โปรเจ็กต์ใหม่

ธนาสิริ วางเป้า 3 ปี สร้างรายได้ 5,000 ล้าน พร้อมเปิด 3 โปรเจ็กต์ใหม่

ธนาสิริ กรุ๊ป วางเป้าหมาย 3 ปี สร้างรายได้รวม 5,000 ล้าน ปั้นโปรเจ็กต์ปีละ 2,000-3,000 ล้าน หลังปรับโครงสร้างธุรกิจ ดึงทีมบริหารเสริมทัพ จับมือกลุ่ม “อนาบูกิ  โคซัน” จากญี่ปุ่น พร้อมไปต่อกับวิสัยทัศน์สร้างความยั่งยืนควบคู่รายได้     แม้ว่าจะดำเนินธุรกิจมานานกว่า 35 ปี แต่ชื่อของ “ธนาสิริ” อาจจะไม่ได้รู้จักกันในวงกว้างมากนัก เพราะโฟกัสและทำตลาดหลักในจังหวัดนนทบุรีเป็นส่วนใหญ่ ที่สำคัญตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจ พัฒนาโครงการออกมาไม่มากนัก มีแค่ 28 โครงการ รวมมูลค่ามากกว่า 10,000 ล้านบาทเท่านั้น  หากเทียบกับเพื่อนร่วมธุรกิจ บางบริษัทมีการพัฒนาโครงการมากกว่าถึง 2 เท่าตัวภายในระยะเวลาแค่ปีเดียว     แต่ขนาดความใหญ่ ไม่ใช่โจทย์สำคัญของ “ธนาสิริ” ตั้งเป้าหมายว่าจะต้องมีการพัฒนาโครงการปีละหมื่นล้านบาท หรือการสร้างรายได้ระดับหมื่นล้านบาท  แต่โจทย์สำคัญคือการสร้างความยั่งยืนของธุรกิจ พร้อมกับการสร้างความพึงพอใจและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับลูกบ้าน ควบคู่ไปกับกลุ่มผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย สังคม และสิ่งแวดล้อมควบคู่กันไป     อย่างไรก็ตาม ในเชิงธุรกิจบริษัทจำเป็นต้องมีการเติบโต เพื่อสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น จึงวางแผนภายในระยะ 3 ปี (ปี 2565-2567) ในการสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีด้านรายได้รวม 5,000 ล้านบาท และมียอดขาย 6,000 ล้านบาท ​     นายสุทธิรักษ์ เสถียรภาพอยุทธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ THANA เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในรอบปี 2564 ของบริษัท สามารถกลับมาเติบโตแบบก้าวกระโดด (Turn Around) ในเชิงตัวเลขทั้งด้านยอดขาย ยอดรับรู้รายได้ และกำไรสุทธิ เนื่องจากบริษัทกลับมาเปิดโครงการใหม่     นอกจากนี้ ยังมีการปรับโครงสร้างการบริหารงาน ด้วยการเพิ่มทีมงานระดับบริหารที่มีประสบการณ์ในธุรกิจอสังหาฯ เข้ามาเพิ่ม  อาทิ นายจรัญ เกสร มาดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานปฏิบัติการ เพื่อดูแลบริหารจัดการชุมชน ทั้งโครงการเดิมและโครงการใหม่  เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจให้เป็นไปตามเป้าหมาย และวิสัยทัศน์ขององค์กร​​ ภายใต้พันธกิจ THANASIRI "LifetimeTotal Living Solution"     โดยแผนการพัฒนาโครงการในปี 2565 นี้ บริษัทยังคงเปิดตัวโครงการใหม่ในทุกไตรมาส โดยไม่เน้นในด้านปริมาณหรือจำนวนหน่วยเปิดตัวใหม่ แต่ให้ความสำคัญกับการส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดีของลูกค้า รวมถึงการพัฒนาบริการในด้านต่าง ๆ โดยมี "อนาบูกิ โคซัน" ซึ่งเป็นพันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่น ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการพัฒนาคุณภาพชีวิต หรือ Health & Well - Being มาพัฒนาโครงการด้วยกัน ​หลังจากที่บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดฯ เอ็ม เอ ไอ ไม่กี่ปีก็ประสบปัญหาน้ำท่วมใหญ่ในกรุงเทพฯ  ซึ่งโครงการของบริษัทอยู่ในพื้นที่จังหวัดนนทบุรี ส่งผลให้ 8 โครงการที่พัฒนาจาก 10 โครงการน้ำท่วมแม้จะไม่สูง แต่ส่งผลให้ทุกอย่างหยุดชะงัก ลูกค้าที่จองไว้ก็ไม่อยากโอน ต่อมาก็ยังมีปัญหาการเมือง  และล่าสุดปัญหาโควิด-19   แม้ว่าบริษัทจะต้องเผชิญกับวิกฤตครั้งใหญ่ที่สำคัญ แต่บริษัทสามารถแก้ปัญหาและผ่านพ้นมาได้ ช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีนายชัยวัฒน์ อุทัยวรรณ์ ที่มีประสบการณ์บริหารองค์กรขนาดใหญ่ และบริหารธุรกิจการเงินมานาน เข้ามาดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ   นอกจากนี้ ยังได้กลุ่มอณาบูกิ โคซัน (Anabuki Group) พันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่มีขนาดธุรกิจใหญ่ เป็นอันดับที่ 7 ของญี่ปุ่นเข้ามาร่วมทุนเป็นพันธมิตรพัฒนาโครงการแห่งแรก ได้แก่ โครงการอนาบูกิ ธนาฮาบิแทต สะพานเจษฎาบดินทร์-ราชพฤกษ์ เป็นบ้านแฝดและทาวน์โฮมขนาด 2 ชั้น จำนวน 88 ยูนิต ราคาขายเฉลี่ย 6.2 ล้านบาท บนพื้นที่โครงการกว่า 13 ไร่ รวมมูลค่า 545 ล้านบาท   ด้านนายจรัญ เกษร ประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฏิบัติการ ได้กล่าวถึงแผนการพัฒนาโครงการใหม่ในปีนี้ จะดำเนินการในแนวทางการพัฒนาอย่างยั่งยืน ในความสำคัญของทุกกระบวนการ ภายใต้ Model Total Green ดังนี้​   แนวคิดการพัฒนารูปแบบ “Green” ที่เริ่มคิด ดำเนินการ และกำกับดูแล ผลักดัน ให้บรรลุผล การจัดหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ ที่โปร่งใสและลดผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของชุมชนดั้งเดิม            การออกแบบ ตามหลัก Green & Universal Design และการใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การทำการตลาดและงานขาย ที่เป็นธรรม ทั้งต่อลูกค้าและคู่แข่งขัน การก่อสร้าง ที่ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะเพื่อนบ้านข้างเคียง และการใช้วัสดุให้ไม่เหลือเศษ ตามหลัก “Circular Economy” การส่งมอบให้แก่ลูกค้าตามพันธะสัญญาที่ได้ให้ไว้ และ                   การบริหารจัดการชุมชน ซึ่งเป็นกระบวนการที่สำคัญที่สุด ในแนวทาง “ธนาสิริ...เราดูแล” เพื่อสร้างสังคมน่าอยู่ คุณภาพชีวิตและการอยู่อาศัยร่วมกันอย่างมีความสุข อบอุ่น ปลอดภัย ไว้ใจได้ เชื่อมโยงแนวคิดความยั่งยืนในการอยู่อาศัย Green Clean Lean   ต่อไปนี้ ธนาสิริ​ จะมุ่งสร้างประสบการณ์ที่ดีเยี่ยมให้กับลูกค้า เพื่อบรรลุเป้าหมาย “THANASIRI WELL - BEING” คือ การสร้างคุณภาพชีวิตครอบครัวที่ดี การใส่ใจสิ่งแวดล้อม และการสร้างสังคมแห่งการแบ่งปัน ให้เกิดขึ้นในประชาคมธนาสิริ และขยายวงกว้างไปยังสังคมรอบๆ บ้านเราต่อไป   9 บทสรุป 35 ปี ธนาสิริ กับ 3 วิกฤตและเป้าหมาย 5,000 ล้าน 1.ธนาสิริ กรุ๊ป ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ ประเภทบ้านจัดสรรพร้อมที่ดิน ทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์เพื่อขายโดยจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ภายใต้ซื่อ THANA เมื่อปลายปี 2552     2.ตั้งแต่เริ่มต้นดำเนินธุรกิจมาถึงปัจจุบัน มีระยะเวลามากกว่า 35 ปี พัฒนาโครงการมาแล้ว 28 โครงการ มากกว่า 2,800 ครอบครัว รวมมูลค่ามากกว่า 10,000 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่จังหวัดนนทบุรี ภูเก็ต อุดรธานี และสกลนคร ภายใต้แบรนด์ต่าง ๆ อาทิ ธนาฮาบิแทต ธนาวิลเลจ ธนาคลัสเตอร์ ธนาซิโอ สิริวิลเลจ ธนาสิริ คลัสเตอร์วิลล์ และ ไพร์มเพลส เป็นต้น   3.นายสุทธิรักษ์ พร้อมพี่น้องได้เข้ามารับช่วงต่อการบริหารงานจากนายประสิทธิ์ เสถียรภาพอยุทธ์  บิดาซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท ซึ่งตลอดรยะเวลาที่เข้ามารับช่วงต่อ ก็บริษัทต้องเผชิญวิกฤตครั้งใหญ่ถึง 3 เหตุการณ์ ที่สำคัญ คือ ปัญหาน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ปัญหาการเมืองปี 2557 และปัญหาโควิด-19 ปี 2563   ปัจจุบันมีโครงการอยู่ระหว่างการขาย 6 โครงการ มูลค่ารวม 1,200 ล้านบาท จำนวน 255 ยูนิตโดยมียอดขายไป ทำให้บริษัทประสบปัญหาต้องชะลอแผนการพัฒนาโครงการใหม่     แต่แม้ว่าจะมีวิกฤตครั้งสำคัญ บริษัทก็สามารถผ่านพ้นมาได้ โดยดูว่าปัญหานั้นกระทบกับเรื่องใด เช่น หากกระทบกับภาวะการเงิน ก็จะใช้กลยุทธ์การบริหารการเงิน โดยเฉพาะการรักษากระแสเงินสดให้ยังมีสภาพคล่องเพื่อดำเนินธุรกิจต่อไปได้   4.ผลประกอบการ ปี 2564 กลุ่มบริษัทมียอดขายรวมทั้งสิ้น 843 ล้านบาท เติบโต 148% ยอดรับรู้รายได้ 581 ล้านบาทเติบโต​57% ​ มีกำไรขั้นต้น 29.5% โดยมีกำไรสุทธิ 23 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 44.5 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ​   5.ส่วนไตรมาสแรกของปีนี้ ​มียอดขาย 150.3 ล้านบาท และทำกำไรเติบโดเกือบ 30% มียอดรับรู้รายได้ 581 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 6.ปัจจุบัน บริษัทมีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการขายทั้งหมด  6 โครงการ มูลค่า 1,200 ล้านบาท หรือ 255 ยูนิต โดยมียอดขายไปแล้วเฉลี่ย 60% และมียอด Backlog 350 ล้านบาท โดยรอโอนในไตรมาส 1 ของปีนี้ ประมาณ 50% เป็นโครงการอยู่ใน จังหวัดนนทบุรี 5 โครงการ และ จังหวัดอุดรธานี 1 โครงการ ได้แก่   1. ธนาฮาบิแแทต กรู๊ฟ ปิ่นเกล้า-สิรินธร โครงการบ้านเดี่ยว-บ้านแฝด จำนวน 125 ยูนิต บนพื้นที่ 23 ไร่เศษ มูลค่าโครงการ 720 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ย 5.8 ล้านบาท   2.อนาบูกิ ธนาฮาบิแทต สะพานมหาเจษฎาบดินทร์ฯ-ราชพฤกษ์ บ้านแฝดและทาวน์โฮม สไตล์ L-Home ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับกลุ่มอนาบูกิ   3. ธนาฮาบิแทต ปิ่นเกล้า-สิรินธร บ้านเดี่ยวหรู 4 นอน   4. ธนาคลัสเตอร์ ราชพฤกษ์ ทาวน์โฮม 3 ชั้น ราคาเริ่ม 3.49 ล้านบาท   5. ธนาคลัสเตอร์ เวสต์เกต บ้านแฝดและทาวน์โฮม 3 ชั้น ราคาเริ่มต้น 3.39 ล้านบาท   6. สิริวิลเลจ อุดรธานี-แอร์พอร์ต บ้านเดี่ยว ชั้นเดียว และ 2 ชั้น ราคาเริ่มต้น 2.49 ล้านบาท     7.ในปี 2565 นี้บริษัทมีแผนการพัฒนาโครงการใหม่ อย่างน้อย 3 โครงการ  ทั้งบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮาส์ รวมมูลค่ากว่า 2,300 ล้านบาทได้แก่   1. "อนาบูกิ ธนาฮาบิแทต ราชพฤกษ์" โครงการร่วมทุนกับ อนาบูกิ โคซัน พันธมิตรจากประเทศญี่ปุ่น พัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด จำนวน 167 ยูนิต บนพื้นที่ 30 ไร่เศษ มูลค่า1,070 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ย 6.4 ล้าน เปิดขายในไตรมาส 2     2. "ธนาเรสซิเดนท์ บรมราชชนนี-ปิ่นเกล้า" บ้านเตี่ยวหรู 47 ยูนิต บนพื้นที่ 21 ไร่เศษ มูลค่า 800 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ย 17 ล้านบาท เปิดขายในไตรมาส ​3   3. "ธนาวิลเลจ" บ้านแฝด จำนวน 115 ยูนิต บนพื้นที่ 19 ไร่ มูลค่า 500 ล้านบาท ราคาขายเฉลี่ย 4.3 ล้าน เปิดขายในไตรมาสที่ 4     8.ในปีนี้ได้เพิ่มบริการ Home Smile สำหรับการดูแลตรวจบ้านโครงการเก่าอายุ 5-10 ปีขึ้นไป รวมกว่า 30 โครงการ 3,000 ยูนิต และพัฒนาพื้นที่ส่วนกลาง และสร้างความสัมพันธ์ให้กับชุมชนได้มีกิจกรรมร่วมกัน สร้างคุณภาพการอยู่อาศัยที่ดี ในบางโครงการมีการปรับปรุงพื้นที่ส่วนกลางให้เข้ากับการอยู่อาศัยในยุคปัจจุบันทั้งวัยเด็ก วัยทำงาน และผู้สูงวัย ซึ่งการแก้ไขในแต่ละจุดอาจจะเกิดจากความผิดพลาดในการก่อสร้างในอดีต หรือจากการเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน   9.แผนในระยะ 3 ปี ภายในปี 2567 จะทำยอดรับรู้รายได้รวม 3 ปี มูลค่า 5,000 ล้านบาท และมียอดขาย 6,000 ล้านบาท เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน บริษัทวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ปีละ 2,000-3,000 ล้านบาท เพื่อให้เกิดยอดขายในอัตราดังกล่าว ซึ่งขนาดโครงการจะมีประมาณ ​500 ยูนิต มูลค่าโครงการ 500-1,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสมกับศักยภาพและความสามารถ โดยนอกจากพัฒนาโครงการในพื้นที่หลักจังหวัดนนทบุรีแล้ว อนาคตจะมองหาทำเลอื่น ๆ ในโซนอื่นเพื่อการพัฒนาโครงการด้วย เช่น โซนบางนา   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ธนาฮาบิแทต ปิ่นเกล้า-สิรินธร ปลื้ม กระแสตอบรับดี  
[PR News] พฤกษา ปล่อยกิจกรรม PRUKSA Tomorrow Verse ตอกย้ำจุดยืน “ลีฟวิ่ง โซลูชั่น”

[PR News] พฤกษา ปล่อยกิจกรรม PRUKSA Tomorrow Verse ตอกย้ำจุดยืน “ลีฟวิ่ง โซลูชั่น”

ลีฟวิ่ง โซลูชั่น “พฤกษา” ตอกย้ำ “ลีฟวิ่ง โซลูชั่น” พร้อมปล่อยกิจกรรม PRUKSA Tomorrow Verse ในแบบ Virtual Gamification สะสมไอเทมแลกรางวัล สร้างประสบการณ์ใหม่ในการเยี่ยมชมโครงการ   นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า แผนการสื่อสารของบริษัทในปีนี้  ผ่านคอร์ปอเรทแคมเปญชุดใหญ่ “ PRUKSA Living Solution” ด้วยการใช้กลยุทธ์การตลาดดิจิทัล ​เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างชัดเจน เพื่อตอกย้ำความเชื่อมั่นในแบรนด์ว่า พฤกษาให้ความใส่ใจลูกค้าทั้งในระดับกว้างและลึก จากแนวคิดของการดีไซน์บ้านแนวใหม่ของพฤกษา ที่ตอบรับ 3 เทรนด์สำคัญ คือ 1. เทรนด์ไลฟ์สไตล์ (Lifestyle Disruption)  2. เทรนด์สุขภาพ (Health & Wellness)  และ 3. เทรนด์เพื่อความยั่งยืน (Sustainable Development)   สำหรับ “พฤกษา ลีฟวิ่ง โซลูชั่น” เป็นการออกแบบบ้านเพื่อสุขภาพที่ดีของทุกคนในครอบครัว บ้านที่ตอบโจทย์ความต้องการการใช้ชีวิตในวันนี้ที่แต่ละคนก็มีความต้องการที่แตกต่างกัน พร้อมกับรองรับการใช้ชีวิตและความต้องการในอนาคตที่อาจเปลี่ยนแปลงไป และสุดท้ายคือ การเลือกบ้านที่ช่วยให้ลดค่าใช้จ่ายทางด้านพลังงาน และการดูแลรักษาต่าง ๆ ซึ่งมาจากการใส่ใจเรื่องการประหยัดพลังงาน ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม ใส่ใจในคุณภาพ การมีบ้านสักหลังคือความตั้งใจที่จะอยู่อาศัยไปตลอดชีวิต เรามองเห็นบริบทสังคมและไลฟ์สไตล์ในอนาคตที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ลีฟวิ่งโซลูชั่น สามารถปรับเปลี่ยนบ้านให้รองรับการอยู่อาศัยในทุกมิติทุกช่วงเวลาของชีวิตที่เปลี่ยนไปได้ตลอด การดีไซน์บ้านแนวใหม่ของพฤกษาจะตอบรับ 3 เทรนด์สำคัญ คือ 1.เทรนด์ไลฟ์สไตล์ (Lifestyle Disruption) เพราะผู้คนเปลี่ยนมาใช้ชีวิตอยู่ที่บ้านมากขึ้น การออกแบบพื้นที่ใช้สอยต้องยืดหยุ่นปรับเปลี่ยนได้อย่างอิสระ ผนวกด้วยเทคโนโลยีสมาร์ทโฮมเพื่อความสะดวกสบายและปลอดภัย พื้นที่ส่วนกลางยังออกแบบให้มีความหลากหลายตอบรับการใช้งานทุกไลฟ์สไตล์ 2.เทรนด์สุขภาพ (Health & Wellness) ตอบโจทย์สุขภาพดีเริ่มต้นได้ที่บ้าน โดยร่วมกับทีมโรงพยาบาลวิมุตทำให้ดีไซน์บ้านมีส่วนช่วยส่งเสริมสุขภาพให้ทุกช่วงวัย ด้วยความใส่ใจในทุกรายละเอียด เช่น การใช้ประตูหน้าต่างป้องกันฝุ่นมลพิษด้วยระบบ Air Tightness System ใช้สีทาภายในปลอดสารพิษ พื้นภายในบ้านเป็นทางเรียบ ใช้วัสดุพื้นลดแรงกระแทก เป็นต้น พร้อมบริการ Health to Home ด้วยเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้อยู่อาศัยอุ่นใจเสมือนมีโรงพยาบาลอยู่ใกล้แค่เอื้อม ทั้งนี้ยังมีแผนการจัด Virtual Run เป็นกิจกรรมพิเศษช่วยส่งเสริมสุขภาพสำหรับลูกค้า ผู้ที่สนใจ รวมถึงพนักงานพฤกษาทุกคน 3.เทรนด์เพื่อความยั่งยืน (Sustainable Development) พฤกษาใช้นวัตกรรมลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยีด้านพลังงานทดแทนและพลังงานสะอาดตอบโจทย์การอยู่อาศัยอย่างยั่งยืน อาทิ หลอดไฟประหยัดพลังงาน นวัตกรรมพื้นแบบ SPC (Stone Plastic Composite Flooring) การติดตั้งเครื่องกำจัดย่อยสลายเศษอาหารเหลือทิ้ง การใช้โซล่าเซลล์ในพื้นที่ส่วนกลางและคลับเฮ้าส์ รวมไปถึงการติดตั้ง EV Charger ในพื้นที่คอนโดและดีไซน์พื้นที่เพื่อรองรับการติดตั้ง EV Charger ภายในบ้าน เป็นต้น นางสาวอังคณา ลิขิตจรรยากุล  รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาดองค์กรกลุ่ม  ให้ข้อมูลแคมเปญการตลาด พฤกษา ลิฟวิ่ง โซลูชั่น (PRUKSA Living Solution) บ้านที่ใส่ใจทุกรายละเอียดการใช้ชีวิต” ว่า เป็นการต่อยอด Brand Purpose พฤกษา..ใส่ใจเพื่อทั้งชีวิต ภายใต้แนวความคิด Tomorrow. Reimagined.   ที่คิดมาจากความเข้าใจในความต้องการของลูกค้า (Customer Centric) เพื่อประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ดี ไม่เฉพาะแต่ในวันนี้ แต่ยังคิดเผื่อไปถึงความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคตด้วย   โดยใช้กลยุทธ์สื่อสารแบบดิจิทัลเต็มรูปแบบ 100% มุ่งเน้นสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่พฤกษามุ่งมั่นทำมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อส่งมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ดีให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้น ซึ่งในการออกแบบ  Campaign Journey ได้นำข้อมูลผู้บริโภคเชิงลึกมาวิเคราะห์ ทำให้เราเห็นภาพ เข้าใจถึงความต้องการที่แตกต่างกันในแต่ละกลุ่มเป้าหมาย  มาใช้ในการออกแบบการสื่อสารการตลาด ( Customer Data Driven Marketing)  ทำให้แคมเปญนี้มีทั้งการสื่อสารในภาพรวม และมีการสื่อสารที่เจาะเน้นความต้องการของแต่ละกลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน (Adaptive Insight) โดยสื่อถึงสิ่งที่พฤกษาออกแบบมารองรับการใช้ชีวิตที่แตกต่างมากขึ้น  เช่น  การออกแบบบ้านที่คำนึงถึงการใช้งานของผู้สูงอายุ  สนามเด็กเล่นที่ออกแบบมาเพื่อพัฒนาการของเด็ก การออกแบบบ้านรวมถึงบริการต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์สุขภาพของแต่ละคนในครอบครัว   นอกจากนี้  พฤกษายังใช้การตลาดแบบ  Holistic Marketing Campaign ตั้งแต่สร้างการรับรู้ไปจนถึงเปิดให้ลูกค้าได้สัมผัสประสบการณ์ Virtual Experience ที่จำลองบรรยากาศการใช้ชีวิตในโครงการของพฤกษา 3 โครงการ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม คอนโดมิเนียม พร้อมกับ Pruksa Living Solution ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองการใช้ชีวิตทั้งวันนี้และอนาคต ผ่าน Virtual 360 ในกิจกรรม “PRUKSA Tomorrow Verse” โดยนำเสนอผ่านทาง Virtual gamification และมีการจำลอง Avatar ของผู้เล่นแต่ละคน เป็นตัวตนเสมือนจริง ซึ่งนอกจากจะได้ในเรื่องของความสนุกในเกมส์ ยังช่วยให้ผู้สนใจเลือกซื้อบ้านได้ลองสัมผัสและเยี่ยมชมโครงการผ่านประสบการณ์ในโลกเสมือนจริง สนุกไปกับการเล่นเกมทำภารกิจที่จัดเตรียมไว้ในแต่ละโครงการให้สำเร็จลุล่วง   งานนี้มีรางวัลให้ผู้ชนะสะสมไอเทมเพื่อนำมาแลกรับของรางวัลได้จริง อาทิ วอยเชอร์ส่วนลดเงินสดสำหรับซื้อบ้านมูลค่า 1 ล้านบาท โครงการตามเงื่อนไขของบริษัทฯ และของรางวัลพิเศษอื่น ๆ อีกมากมาย  ผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรมได้ที่  www.pruksa.com/tomorrowverse  ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป (ของรางวัลมีจำนวนจำกัด)   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -พฤกษา เตรียมงบลงทุน 10,000 ล้านปี 65 พร้อมขยายธุรกิจ “พร็อพเทค-เฮลท์เทค” ​ -9 บทสรุป ผลประกอบการพฤกษา Q1/65 และทิศทางไปต่อ
พรีโม เตรียม IPO ในปลายปีนี้  วางเป้าขึ้น Top3 ด้านบริการอสังหาฯ ​ครบวงจร

พรีโม เตรียม IPO ในปลายปีนี้ วางเป้าขึ้น Top3 ด้านบริการอสังหาฯ ​ครบวงจร

“พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น” ในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ กางแผนธุรกิจปี 2565 เตรียม IPO ช่วงปลายปีนี้ หวังเติบโตตามบริษัทแม่ ตั้งเป้ารายได้โต 2-3 เท่าภายใน 3 ปี พร้อมขึ้นผู้นำ Top3 ในด้านธุรกิจบริการอสังหาฯ ครบวงจร ​   นางสาวจตุพร วิไลแก้ว ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด ในเครือบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร เปิดเผยว่า ได้วางแผนนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (IPO) ในช่วงปลายไตรมาส 4/2565  โดยจะเริ่มยื่นไฟลิ่งในช่วงไตรมาส 3 นี้   ในปีนี้ตั้งเป้าหมายสร้างรายได้เติบโต 25-30% จากปีที่ผ่านมามีรายได้กว่า 489 ล้านบาท  ซึ่งจะเป็นรายได้ในกลุ่มบริษัทออริจิ้น สัดส่วน 30% และนอกกลุ่มบริษัทออริจิ้น สัดส่วน 70% โดยบริษัทวางแผนลงทุนต่อเนื่อง ซึ่งจะนำเอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในการพัฒนาการบริการให้ดีขึ้น เช่น การพัฒนาแอปพลิเคชั่นช่วยการฝึกอบรมบุคลากร และการบริการ พร้อมตั้งเป้าภายในปี 2566 จะขึ้นเป็นผู้นำตลาดติดอันดับ Top 3 ด้านการให้บริการในธุรกิจอสังหาฯ ครบวงจรในประเทศไทย   นางสาวจตุพร กล่าวอีกว่า  ภายใน 3 ปีข้างหน้า หรือในปี 2568 คาดว่ารายได้จะเติบโต 2-3 เท่า ด้วยจุดแข็งของบริษัทที่ให้บริการธุรกิจต่าง ๆ แบบครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ซึ่ง​บริษัทวางแผนขยายงานบริการต่าง ๆ แบบครบวงจร ทั้งฝั่ง B2B และ B2C ครอบคลุมตั้งแต่ก่อนสร้างบ้าน ไปจนถึงการลงทุนบ้านหลังที่ 2  ขณะเดียวกันบริษัทคาดว่าจะสามารถเดินหน้าเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้ตามแผนงานที่วางเอาไว้   ในปี 2565 นี้ บริษัทเร่งขับเคลื่อนองค์กรตามแผนการเติบโตแบบพหุจักรวาล หรือ Origin Multiverse ให้บริษัทสามารถแยกและเติบโตแบบคู่ขนานกับบริษัทแม่ เดินหน้าธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับอสังหาฯ อย่างเต็มกำลัง ภายใต้แนวคิด “At Your Service Every Moment”  ด้วยการจัดทัพงานบริการของ 8 บริษัทย่อย ขยายสู่การบริการแบบครบวงจรใน 3 กลุ่มหลัก เป็น One-Stop Service ที่พร้อมให้บริการในทุกช่วงจังหวะของการใช้ชีวิต ให้บริการแก่ทั้งผู้บริโภค ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และผู้ที่เกี่ยวข้องในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ 3 กลุ่มธุรกิจบริการด้านอสังหาฯ 1.กลุ่ม Pre-Living Services ให้บริการตั้งแต่ก่อนเริ่มอยู่อาศัย ประกอบด้วย -ธุรกิจที่ปรึกษาและตัวแทนขายอสังหาริมทรัพย์ ดำเนินการโดย บริษัท แพสชั่น เรียลเตอร์ จำกัด (Passion Realtor) การให้คำปรึกษาด้านการพัฒนาโครงการ บริการทำการตลาด บริการซื้อ-ขายที่ดิน เป็นตัวแทนขายโครงการที่อยู่อาศัย ให้แก่ผู้พัฒนาอสังหาฯ พร้อมทั้งเป็นผู้ช่วยดูแลให้ผู้บริโภคได้มีบ้านและคอนโดที่ดีตั้งแต่ตอนซื้อ   -ธุรกิจออกแบบอาคาร โดย บริษัท ยูพีเอ็ม ดีไซน์ สตูดิโอ จำกัด (UPM Design Studio) ให้บริการออกแบบสถาปัตยกรรมทั้งภายนอกและภายในอาคารแก่ผู้พัฒนาอสังหา   -ธุรกิจบริหารงานโครงการและบริหารงานก่อสร้าง โดย บริษัท ยูไนเต็ด โปรเจคต์ แมเนจเมนท์ จำกัด (United Project Management หรือ UPM) ให้บริการบริหารงานโครงการและบริหารงานก่อสร้าง ให้บริการแก่ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และโครงการก่อสร้างภาครัฐ   -ธุรกิจที่ปรึกษางานออกแบบ ตกแต่งและขนย้าย โดย บริษัท วายด์ อินทีเรีย จำกัด (Wyde Interior) ให้บริการตกแต่งภายในพร้อมทั้งมีบริการขนย้ายแก่ผู้บริโภคที่ต้องการย้ายจากบ้านเดิมไปยังบ้านใหม่ 2.กลุ่ม Living Services ให้บริการเมื่อผู้บริโภคเข้าพักอาศัยแล้ว ประกอบด้วย -ธุรกิจบริหารจัดการอาคาร ดำเนินการโดย บริษัท พรีโม แมเนจเม้นท์ จำกัด (Primo Management) และบริษัท คราวน์ เรสซิเดนซ์ จำกัด (Crown Residence) รับบริหารจัดการนิติบุคคลอาคารชุด บ้านจัดสรร อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า ดูแลคุณภาพชีวิตของลูกบ้านระหว่างการพักอาศัยทั้งในระดับโครงการทั่วไปจนถึงระดับลักชัวรี   -ธุรกิจบริการความสะอาดครบวงจร โดย บริษัท อูโน่ เซอร์วิส จำกัด บริการทำความสะอาดครบวงจร ให้บริการแก่ทั้งลูกค้าองค์กรและผู้บริโภคทั่วไป 3.กลุ่ม Living & Earning Services ให้บริการแก่ผู้อยู่อาศัยที่ต้องการได้รับประโยชน์จากอสังหาริมทรัพย์เพิ่มเติม เช่น ผลตอบแทนจากการลงทุนคอนโดมิเนียม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ความรู้ด้านการตลาดอสังหาฯ ​ประกอบด้วย   -ธุรกิจรับจ้างบริหารโรงแรมและที่อยู่อาศัย โดย บริษัท แฮมป์ตัน โฮเทล แอนด์ เรสซิเดนซ์ แมเนจเมนท์ จำกัด ดำเนินงานบริหารจัดการสินทรัพย์ (Asset Management) ช่วยบริหารจัดการผู้เช่าหรือผู้เข้าพัก สร้างรายได้หรือผลตอบแทนให้เป็นไปตามเป้าหมายของเจ้าของโรงแรมหรือที่พักอาศัย ร่วมวางแผนตกแต่ง จัดหาบริการและสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้เช่าหรือผู้เข้าพัก เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมให้แก่ผู้เข้าพัก   -ธุรกิจอบรมด้านอสังหาริมทรัพย์ โดย บริษัท ยูไนเต็ด โปรเจคต์ แมเนจเมนท์ จำกัด จัดคอร์สอบรมให้ความรู้ด้านอสังหาริมทรัพย์แก่ผู้สนใจ ที่ต้องการเพิ่มพูนความรู้ตัวเองในการพัฒนาโครงการ การทำการตลาดอสังหาริมทรัพย์   นางสาวจตุพร กล่าวอีกว่า สำหรับสถานการณ์ธุรกิจบริการอสังหาฯ​​มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องตามทิศทางของธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ โดยในช่วงปีนี้ กลุ่มธุรกิจที่มีแนวโน้มจะมีโอกาสเติบโตสูงคือกลุ่ม Pre-Living หรือกลุ่มก่อนการอยู่อาศัย เนื่องจากผู้พัฒนาอสังหาฯ​​ หลายราย มีแผนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยกันในระดับ New-High ในรอบหลายปี ทำให้มีความต้องการที่ปรึกษาด้านการขาย ผู้บริหารงานโครงการก่อสร้าง ทีม Interior Design เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง บริษัทจะใช้จุดแข็งใน 3 ด้านหลัก ประกอบด้วย 1.ความเข้าใจพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ 2.ความพร้อมการบริการครบวงจรแบบ One-Stop Service และ 3.ความเชี่ยวชาญของพนักงานบริการในแต่ละประเภทธุรกิจ เข้าแข่งขันกับตลาดทั้งฝั่ง B2B และ B2C ในช่วงนับจากนี้   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เปิดโรดแมพธุรกิจ “ออริจิ้น” ใน 3 ปี ปูทางสู่มาร์เก็ตแคปกลุ่มธุรกิจ 1 แสนล้าน
เปิดเหตุผล ออลล์อินสไปร์ เบรกอสังหาฯ เดินหน้าสู่ “โฮลดิ้ง คอมพานี”

เปิดเหตุผล ออลล์อินสไปร์ เบรกอสังหาฯ เดินหน้าสู่ “โฮลดิ้ง คอมพานี”

ออลล์อินสไปร์  ออลล์อินสไปร์ เบรกธุรกิจอสังหาฯ หลังเจอการแข่งขันรุนแรง  ปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ สู่ โฮลดิ้งคอมพานี เดินหน้า 3 ธุรกิจใหม่ บริหารหนี้ AMC และคาร์บอนเครดิต หวังเทิร์นอะราวด์ สร้างมาร์เก็ตแคป 30,000 ล้านใน 3 ปี   ตั้งแต่บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เริ่มต้นจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท ในวันที่ 29 มีนาคม 2556 เพื่อดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ประเภทที่อยู่อาศัย ก่อนแปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชนในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2558 และได้พัฒนาคอนโดมิเนียมโครงการแรก ภายใต้แบรนด์ The Excel  คือ คอนโดมิเนียมโลว์ไรซ์ The Excel Bearing ที่ซอยลาซาล 11 นับเป็นระยะเวลาการดำเนินธุรกิจไม่ถึง 10 ปี   แต่วันนี้ดูเหมือนว่า “ออลล์ อินสไปร์” จะไม่ไปต่อกับธุรกิจอสังหาฯ แล้ว เพราะออกมาแถลงข่าว ชะลอแผนการรุกตลาดอสังหาฯ แม้จะไม่ถึงขั้นว่าจะหยุดพัฒนาเลย แต่คงให้ความสำคัญน้อยลง เหลือแค่จังหวะและโอกาสที่เหมาะสมในการเข้าไปพัฒนาธุรกิจอสังหาฯ เท่านั้น แต่นับจากนี้ จะหันไปลุยธุรกิจอื่น ๆ ที่สามารถสร้างโอกาสและผลตอบแทนให้กับบริษัทได้มากขึ้น โดยวางนโยบายให้นับจากนี้ ออลล์อินสไปร์ จะมุ่งสู่ความเป็น “โฮลดิ้ง คอมพานี” แทน   เหตุผลสำคัญ คืออะไรบ้าง ที่ออลล์อินสไปร์ จะไม่ไปต่อในธุรกิจอสังหาฯ​ และการก้าวเข้าไปสู่ธุรกิจใหม่ ๆ นั้นมีเหตุผลอะไรบ้างนั้น  นายธนากร ธนวริทธิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) อธิบายว่า ในปัจจุบันองค์กรธุรกิจต่างๆ ต้องเผชิญกับปัจจัยลบรอบด้าน การปรับตัวจึงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อประคองธุรกิจให้สามารถดำเนินงานต่อไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขับเคลื่อนองค์กรเพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงรายได้จากธุรกิจหลักเพียงอย่างเดียว อสังหาฯ แข่งเดือด-ไม่ใช่รอบธุรกิจ ​ต้องยอมรับว่า ออลล์อินสไปร์ เป็นดีเวลลอปเปอร์ที่มีขนาดเล็ก มีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ​ ไตรมาส 1 ปี  2565 มูลค่ากว่า 7,870 ล้านบาทเท่านั้น ขณะที่ดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่มีอยู่ในตลาดหลายสิบบริษัท  ทำให้การแข่งขันมีความรุนแรงมาก นอกจากนี้ สถานการณ์ในปัจจุบัน ถือว่าไม่ใช่รอบของธุรกิจอสังหาฯ ที่จะเติบโต แถมยังมีปัจจัยแวดล้อมหลายอย่างที่มากดดันธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 กำล้งซื้อที่ชะลอตัวลง โครงสร้างประชากรที่มีอัตราการเกิดลดลง กลุ่มลูกค้าต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีนที่ยังไม่กลับเข้ามา เป็นต้น ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ตลาดอสังหาฯ ยังไม่กลับมาฟื้นตัวเป็นปกติ ​ ธุรกิจมีรอบของมัน โครงสร้างประชากรก็เปลี่ยน คนมีลูกน้อยลง ตลาดมี Big Player ที่ใหญ่กว่าเรา ธุรกิจสอังหาฯ ไม่ธุรกิจ Take off ธุรกิจอสังหาฯ มีเสน่ห์แต่ไม่ใช่รอบนี้ เงินเฟ้อ ความสามารถในการกู้ของลูกค้า มันอยู่ได้ แต่ไม่ใช่ Growth Trendปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้กว่า 1,000 ล้านบาท มีโครงการอยู่ระหว่างการก่อสร้างซึ่งจะแล้วเสร็จภายในอีก 1-2 ปีนี้ มูลค่า 5,000-6,000 ล้านบาท ซึ่งนับจากนี้จะพยายามเครียสินค้าที่มีอยู่ออกให้หมด  และในระยะ 3 ปีนับจากนี้จะยังไม่มีการพัฒนาโครงการใหม่ออกมา  ซึ่งบริษัทยังมีที่ดินอีก 5-6 แปลงที่ยังไม่ได้พัฒนา   ต่อไปธุรกิจอสังหาฯ จะมีสัดส่วนประมาณ​ 10% โดยดูความเหมาะสมและความพร้อม ในการพัฒนาโครงการ เราไม่ได้จะเลิก แค่ไม่ขยาย   นอกจากนี้ ธุรกิจอสังหาฯ มีกำไรขั้นต้นประมาณ 30-40% ซึ่งบริษัททำกำไรขั้นต้นได้ประมาณ 32% และมีรายได้ไม่ต่อเนื่อง บริษัทอยากทำธุรกิจที่รับรู้รายได้เร็ว ถ้าวันนี้บริษัทเปิดโครงการอีก 5-10 โครงการ จะต้องใช้เวลาการพัฒนาและรับรู้รายได้อีก 2 ปี  แต่ยังไม่รู้ว่าลูกค้าจะกู้เพื่อซื้อโครงการผ่านหรือไม่ เกาะกระแสธุรกิจที่เป็นเมกะเทรนด์ เพื่อมุ่งสู่การเป็น "โฮลดิ้ง คอมพานี" ออลล์อินสไปร์ จึงปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ ภายใต้แนวคิด “All New Era” ออลล์ อินสไปร์ ยุคใหม่ ที่ไม่ได้ทำแค่ธุรกิจอสังหาฯ แต่ยังเตรียมขยายไปในธุรกิจที่เป็นกระแสการเติบโตของโลกยุคปัจจุบัน ​หรือเมกะเทรนด์  เพื่อที่จะทำให้บริษัทเติบโตแบบก้าวกระโดด หรือเทิร์นอะราวด์ ด้วยตัวเลขมาร์เก็ตแคป 30,000 ล้านบาท ภายใน 3 ปี สำหรับธุรกิจใหม่ที่ ออลล์อินสไปร์ จะขยายเข้าไปทำนั้น คือ ​ 1.ธุรกิจบริหารสินทรัพย์  หรือ AMC (Assets Management) โดยรูปแบบการดำเนินงาน จะมีทั้งการจัดตั้งบริษัทใหม่ พร้อมจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ รวมถึงการควบรวมกิจการ และพร้อมเข้าประมูลกับสถาบันการเงิน 2.ธุรกิจบริหารหนี้สิน หรือ Debt Management ธุรกิจบริหารหนี้ เป็นการเข้าซื้อหนี้เสียมาบริหาร ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ อาทิ สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อบัตรเครดิต หรือหนี้อื่นๆ และมีแผนร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ 3.ธุรกิจคาร์บอนเครดิต (Carbon Credits) ธุรกิจคาร์บอนเครดิต จะมีการร่วมทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจระดับโลก โดยรูปแบบการดำเนินธุรกิจ One Stop Service ซื้อ ขาย พัฒนา คาร์บอนเครดิต ผ่านบล็อกเชน รายแรกของประเทศไทย ทำไมต้องเป็น AMC-บริหารหนี้ 1.ใช้ทุนต่ำ-กำไรสูง ธุรกิจบริหารหนี้ เป็นการซื้อหรือประมูลทรัพย์มาเป็นล็อตใหญ่ แต่ใช้เงินทุนไม่สูง  การทำ AMC คือ การซื้อถูกขายแพง เพราะมาร์จิ้น 80-90% การซื้อหนี้เฉลี่ยใช้เงินไม่เกิน 10-15% ของมูลหนี้ แต่ถ้า AMC อย่างเดียวจะไม่ครบวงจร ต้องมีบริษัทบริหารหนี้ด้วย การติดตามหนี้ มีทั้งการซื้อ การติดตามหนี้ การซื้อมาแล้วขายต่อ การรับจ้างติดตามหนี้ พอซื้อหนี้มาก็มีการปรับโครงสร้างหนี้ จะทำกำไรเยอะมาก เหมือนซื้อ 10 บาท ขาย 1,000 บาท อันนี้มันจะครบลูป และอยู่ในสกิลของดีเวลลอปเปอร์ ธุรกิจนี้หอมหวาน เจ้าใหญ่ทำรายไปนานแล้ว 2.เข้าใจทใช้ความชำนาญประเมินทรัพย์ จากการที่ออลล์อินสไปร์เป็นดีเวลลอปเปอร์  มีความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาโครงการ และสามารถประเมินได้ว่าที่ดินแปลงไหนมีศักยภาพ เข้าใจเรื่องผังเมือง ทำให้วิเคราะห์ได้ว่า​ AMC ที่ซื้อมาสามารถพัฒนาต่อได้   ถ้าเลือกไม่ดี ก็อาจจะมีของไม่ดีติดมาด้วย แต่การที่เราเป็นดีเวลลอปเปอร์ เวลาเลือกเราจะรู้ว่าที่ดินไหน พัฒนาต่อได้ ขายได้ เราเลือกของได้เก่งกว่าคนอื่น เรารู้เรื่องผังเมือง เราได้แอสเสทเพิ่ม เราขายชิ้นเดียวก็คืนทุนแล้ว บางอันเราเห็นโอกาส ที่ดินขนาดเล็ก ๆ ผังเมืองไม่สามารถพัฒนาบ้าน 100 ตารางวาได้ เราก็ทำนิชมาร์เก็ต ที่สำคัญวันนี้เรายังมีพันธมิตรที่มาร่วมทุน (JV) ที่ดินแปลงไหนมีศักยภาพ เราก็หาผู้ร่วมทุนได้ เราไม่ไช่แค่การซื้อมา แต่เราพัฒนาต่อได้ ทำให้รับรู้รายได้ได้รวดเร็ว 3.มูลค่าตลาด 500,000 ล้าน​ ปัจจุบันมูลค่า NPL มีกว่า 500,000 ล้านบาท ถือเป็นโอกาสทางการตลาดที่มีขนาดใหญ่มาก บริษัทรับบริหารหนี้ขณะนี้ก็มีการตั้งงบประมาณสำหรับการซื้อหนี้ไว้มูลค่าถึง 100,000 ล้านบาท จึงอยากจะเข้าไปทำธุรกิจนี้  และการซื้อมันมีโอกาสสูงมาก ซึ่งบริษัทยังมีโอกาสเข้าไปแชร์ส่วนแบ่งของตลาดได้อีก 10-20% ซึ่งถือว่าเยอะมาก เพราะไม่ว่าอย่างไร เจ้าใหญ่ ๆ ก็ไม่สามารถจะซื้อหนี้ได้ทั้งหมด เพราะหนี้เสียมันเยอะมาก เป็นโอกาสที่บริษัทจะเข้าไปในธุรกิจนี้ได้   ที่ผ่านมาธุรกิจติดตามหนี้บริหารหนี้ เติบโต 200% โตมากและโตได้อีก ภายใน 3 ปียังโตต่อเนื่อง แม้ว่าเราจะมองเป็นวิกฤตหนี้ แต่ คือ โอกาส เราจะใช้วิกฤตตรงนี้ให้เป็นโอกาส  และ AMC เป็นเทรนด์ที่กำลังมา หลาย ๆ เจ้ามาร์เก็ตแคป ไปหลายแสนล้านแล้ว เพราะธุรกิจนี้เป็นเทรนด์ขาขึ้น ออลล์อินสไปร์ก็ไม่อยากอยู่กับอะไรเดิม ๆ อยากจะ Turn around การทำ AMC เรามี 3 ทางเลือก คือ จับมือกับพันธมิตร เทคโอเวอร์ธุรกิจ และการขอใบอนุญาตทำเอง   ส่วนธุรกิจคาร์บอนเครดิต ออลล์อินสไปร์ ตั้งเป้าหมายว่าจะเป็นผู้นำของเซาท์อีสเอเชีย โดยบริษัทจะเป็นเจ้าแรกในเมืองไทยที่ทำ  โดยสัดส่วนธุรกิจในปี 2565 ของบริษัท  คือ  ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ มีสัดส่วน 30% ธุรกิจบริหารหนี้สิน มีสัดส่วน 30%  ธุรกิจคาร์บอนเครดิต มีสัดส่วน 30% และธุรกิจอสังหาฯ ​มีสัดส่วน 10%เป้าหมายเทิร์นอะราวด์ก็คือ มาร์เก็ตแคป 30,000 ล้านบาท เราเป็น ทริปเปิ้ลบอททอมไลน์ การทำอสังหาฯ อย่างเดียว ทริปเปิลไลน์ น่าจะยากสำหรับเรา อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] ALL บุกตลาดจีน ปักหมุดตั้งสำนักงานใน “เซี่ยงไฮ้ – ไทเป”  ดึงผู้บริหาร 4 สัญชาติ เสริมทัพ    
เปิดงบลงทุน 120,000 ล้าน เซ็นทรัลพัฒนา ใช้ไปกับธุรกิจอะไรบ้าง

เปิดงบลงทุน 120,000 ล้าน เซ็นทรัลพัฒนา ใช้ไปกับธุรกิจอะไรบ้าง

เซ็นทรัลพัฒนา เซ็นทรัลพัฒนา วางแผน 5  ปี ทุ่มงบ 120,0000  ล้าน  ลุยขยาย 4 ธุรกิจ  รีเทล-โรงแรม-ที่อยุ่อาศัย-อาคารสำนักงาน ขึ้นโปรเจ็กต์​180 โครงการใน 30 เมืองทั่วไทย    บ้านเรามีตระกูลที่เป็นเจ้าของศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าใหญ่ ๆ อยู่ไม่กี่ราย หนึ่งในนั้นคงเป็นตระกูล “จิราธิวัฒน์” ซึ่งเป็นเจ้าของอาณาจักร “เซ็นทรัล” ที่ไม่ได้มีแค่ศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้า “เซ็นทรัล” เท่านั้น แต่ยังมี โรงแรม และสำนักงานให้เช่าอีกจำนวนมาก   โดยการพัฒนาโครงการต่าง ๆ เหล่านั้น อยู่ภายใต้กลุ่มบริษัท “เซ็นทรัลพัฒนา” หรือ CPN ซึ่งมีจุดเริ่มต้นโครงการแรก คือ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล สาขาลาดพร้าว ที่มีทั้งศูนย์การค้า ห้างสรรพสินค้า โรงแรม และสำนักงานให้เช่า ถือโครงการมิ๊กซ์ยูสขนาดใหญ่ ที่ดำเนินธุรกิจมาถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลากว่า 40 ปีแล้ว​   เซ็นทรัลพัฒนา ยังคงเดินหน้าต่อ กับการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด ประกาศแผนธุรกิจในระยะ 5 ปี (2565-2569) นับจากนี้ กับเม็ดเงินลงทุนถึง 120,000 ล้านบาท ครอบคลุมกว่า 30 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อพัฒนาทุกธุรกิจในมือด้วยจำนวนมากถึง 180 โครงการ ภายใต้ 4 กลุ่มธุรกิจหลัก เซ็นทรัลพัฒนา เทงบ 1.2 แสนล้านปั้น 4 ธุรกิจ โดยสิ่งที่เราจะได้เห็นจากงบประมาณการลงทุน 120,000 ล้านบาท ในแต่ละธุรกิจนั้น มีดังนี้ 1.ธุรกิจ “ศูนย์การค้า” -วางแผนพัฒนาโครงการใหญ่ 50 โครงการทั้งในและต่างประเทศ -คอมมูนิตี้ มอลล์ 16 แห่ง บุกทำเลศักยภาพสูง CBD Bangkok อาทิ โครงการใหม่ที่จะเปิดให้บริการในไตรมาส 4 ปีนี้ คือ โครงการ Marche Thonglor 2.ธุรกิจ “โครงการที่อยู่อาศัย” วางแผนพัฒนาโครงการทั้งแนวราบและแนวสูงรวม 68 โครงการทั่วประเทศ ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจที่อยู่อาศัย ​มีโครงการทั้งหมด 22 โครงการรวมมูลค่ากว่า 30,000 ล้านบาท ซึ่งมียอดโอนแล้ว 10,000 ล้านบาท และยอดรอรับรู้รายได้ 3,700 ล้านบาท มีลูกบ้านเซ็นทรัลแล้วกว่า 10,000 ราย ในปีนี้จะเพิ่มการพัฒนาที่อยู่อาศัยขึ้นเป็น 46 โครงการ มูลค่าอีก 60,000 ล้านบาท 3.ธุรกิจ “โรงแรม” วางแผนพัฒนาโรงแรมใหม่รวม 37 โครงการ 4,000 ห้อง จากปัจจุบันมีโรงแรมทั้งหมด 560 ห้อง ภายใต้ 3 แบรนด์ ได้แก่ -แบรนด์ระดับ Upscale ได้แก่ แบรนด์ Centara ที่มาพร้อมส่วนสัมมนาและการจัดเลี้ยง, -แบรนด์ Lifestyle Midscale ที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้ทุกแบบทั้งทำงานและพักผ่อน  ซึ่งจะเน้นการขยายไปยังหัวเมืองรองเป็นหลัก -แบรนด์ Premium budget  ที่สามารถขยายไปได้ทุกจังหวัด ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ระดับราคาห้อง 700-1,000 บาทต่อคืน ขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้ง 4.ธุรกิจ “อาคารสำนักงาน” ปัจจุบันเซ็นทรัลพัฒนา มีสำนักงานบริหารอยู่ 330,000 ตารางเมตร ภายในระยะ 5 ปีจะพัฒนาเพิ่มเป็น 500,000 ตารางเมตร ใน 13 โครงการ เพื่อก้าวสู่การเป็น The Most Preferred Workplace ของทั้งบริษัทผู้เช่าและคนทำงาน   ส่วนในปีนี้จะมีการปรับโฉม The Offices at centralwOrld และวางแผนขยายโปรเจ็กต์ในอนาคต ได้แก่ Central Park Office ภายในโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค  และโครงการภายใต้บริษัท GLAND ในย่านพระราม 9 นางสาววัลยา จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท​ เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  ทุกธุรกิจสามารถเติบโตไปพร้อมกับเซ็นทรัลพัฒนา หรือเติบโตไปพร้อมกับกลุ่มเซ็นทรัลก็ได้ หรือจะไปสร้างการเติบโตของตนเองก็ได้เช่นกัน เพราะจุดแข็งของกลุ่มเซ็นทรัล คือ การมีฐานข้อมูลจากสมาชิก  The 1 โดยสัดส่วนการลงทุนมูลค่า 120,000 ล้านบาท จะเป็นกลุ่มรีเทล 70% กลุ่มที่อยู่อาศัย 20% กลุ่มธุรกิจโรงแรมและสำนักงานอีก 10% ขณะเดียวกันยังเตรียมงบอีกส่วนหนึ่ง เพื่อใช้ในการซื้อกิจการหรือการลงทุนในธุรกิจอื่น ๆ ด้วย เพื่อตอบรับเทรนด์แห่งอนาคต นอกจาก 4 ธุรกิจหลักภายใต้ Retail-Led Mixed-Use Development เซ็นทรัลพัฒนายังมีกลุ่มธุรกิจ Alternative Assets เพื่อมองหาโอกาสในการขยายและลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ที่จะเติมเต็ม Ecosystem และเชื่อมโยงกับธุรกิจหลัก อาทิ การร่วมทุน Grab ที่เป็น Delivery Platform และ Common Ground ที่เป็น Co-Working Space และเตรียมศึกษาการลงทุนใน Venture Capital ที่เตรียมเปิดเผยรายละเอียดเร็วๆ นี้   เพื่อตอบรับเทรนด์แห่งอนาคต นอกจาก 4 ธุรกิจหลักภายใต้ Retail-Led Mixed-Use Development เซ็นทรัลพัฒนายังมีกลุ่มธุรกิจ Alternative Assets เพื่อมองหาโอกาสในการขยายและลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ ที่จะเติมเต็ม Ecosystem และเชื่อมโยงกับธุรกิจหลัก อาทิ การร่วมทุน Grab ที่เป็น Delivery Platform และ Common Ground ที่เป็น Co-Working Space และเตรียมศึกษาการลงทุนใน Venture Capital ที่เตรียมเปิดเผยรายละเอียดเร็วๆ นี้   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาทใน 5 ปี ตั้งเป้า องค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ปี 2050 -เซ็นทรัลพรัฒนา ปั้นแบรนด์ นิรติ จับตลาดเรียลดีมานด์ เปิดโปรเจ็ตก์ใหม่ 1,850 ล้าน  
พราว กรุ๊ป  พร้อมเปิดสวนน้ำ อันดามันดา  22 พ.ค.นี้ ดึงนักท่องเที่ยวปีละ 1 ล้านคน

พราว กรุ๊ป พร้อมเปิดสวนน้ำ อันดามันดา 22 พ.ค.นี้ ดึงนักท่องเที่ยวปีละ 1 ล้านคน

อันดามันดา พราว กรุ๊ป ลุยพัฒนาโปรเจ็กต์สวนน้ำ ปักหมุดจังหวัดภูเก็ต ขึ้น “อันดามันดา ภูเก็ต” แหล่งท่องเที่ยวสวนน้ำแห่งที่ 2 ด้วยเม็ดเงินกว่า 4,500 ล้าน มั่นใจศักยภาพของเมืองท่องเที่ยวระดับโลก คาดผู้ใช้บริการปีละ 1 ล้าน พร้อมเดินหน้าหาแหล่งพัฒนาต่อ เล็งสมุย-กรุงเทพฯ ใช้เม็ดเงินแห่งละกว่า 2,000 ล้าน   วันที่ 22 พฤษภาคมนี้ จังหวัดภูเก็ตจะมีแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ "อันดามันดา ภูเก็ต" ที่จะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการ ต้อนรับนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างชาติ  เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ลงทุนและบริหารงานโดย นางสาวพราวพุธ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท พราว กรุ๊ป ทายาทนักธุรกิจและนักการเมืองชื่อดังอย่าง “สุวัจน์ ลิปตพัลลภ”   โครงการอันดามันดา ภูเก็ต ไม่ใช่สวนน้ำแห่งแรกที่พราว กรุ๊ป พัฒนาขึ้นมา ก่อนหน้านี้ มีการพัฒนาโครงการนาวา นาวา หัวหิน เมื่อปี 2555 เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการท่องเที่ยวและพักผ่อน ในรูปแบบสวนน้ำระดับโลกแห่งแรกของประเทศไทย ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง เพราะมีนักท่องเที่ยวไปใช้บริการมากกว่า 500,000 คนในปีแรกที่เปิดให้บริการ   โครงการอันดามันดา ภูเก็ต จึงเป็นสวนน้ำระดับโลกแห่งที่ 2 ของพราว กรุ๊ป ที่ได้พัฒนาขึ้นเพื่อสร้างแหล่งรายได้ให้กับบริษัท ซึ่งการเลือกจังหวัดภูเก็ต ก็คงเป็นเหตุผลในเรื่องของจำนวนนักท่องเที่ยว ที่เข้ามามากเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศ ชื่อเสียงของภูเก็ตเป็นที่รู้กันว่า ไม่ใช่แค่แหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมเฉพาะคนไทย แต่หมายถึงคนทั้งโลกที่ชื่นชอบและเดินทางมาเที่ยวภูเก็ตเป็นจำนวนมาก และภูเก็ตยังมีความพร้อมอีกหลายอย่างที่จะทำให้ธุรกิจสวนน้ำเติบโต ไม่ว่าจะเป็นจำนวนสายการบินมากมาย จำนวนโรงแรมหรูชั้นนำ และแหล่งท่องเที่ยวตามธรรมชาติอีกมากมายด้วย อันดามันดา ภูเก็ต เทงบลงทุน 4,500 ล้าน โครงการอันดามันดา ภูเก็ต มีมูลค่าการลงทุนรวม 4,500 ล้านบาท  บนเนื้อที่ 58 ไร่  โดยแบ่งการลงทุนออกเป็น 2 เฟส ในเฟสแรก เป็นการพัฒนาสวนน้ำ มูลค่า 3,000 ล้านบาท โดยเปิดให้บริการในวันที่ 22 พฤษภาคมนี้ ส่วนเฟสที่สอง จะพัฒนาโรงแรมระดับ 4 ดาวจำนวน 300 ห้อง​ พื้นที่รีเทล  และลานแสดงน้ำพุ  โดยมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 1,500 ล้านบาท  จะเปิดให้บริการได้ภายในอีก 2 ปีข้างหน้า   โครงการอันดามันดาภูเก็ต พัฒนาขึ้นด้วยแนวคิดและแรงบันดาลใจ “Thai Legend Meets Fantasy” เพื่อนำเสนอเอกลักษณ์ความเป็นไทย  สามารถเข้าใช้บริการได้ทุกเพศทุกวัย  ซึ่งมีการพัฒนาภายใต้ ​3 ธีมหลัก  คือ 1.การผจญภัย (Adventure) 2.วัฒนธรรม (Culture) 3.การพักผ่อนหย่อนใจ (Leisure) โดยภายในโครงการ ประกอบด้วย ทะเลเทียมขนาดใหญ่ 10,000 ตร.ม. สามารถโต้คลื่นได้สูงสุดถึง 3 เมตร ที่เดียวในไทย ที่มาพร้อมกับหาดทรายเทียมที่มีความยาวกว่า 300 เมตร  มีจุดน่าสนใจทั้งหมดกว่า 25 รายการ รวมไปถึงสไลเดอร์กว่า 12 สไลเดอร์ โซนเครื่องเล่นสำหรับเด็กกว่า 5,300 ตารางเมตร ทั้งสำหรับสาย Adrenaline สายชิลล์ และเด็ก  ซึ่งสามารถรองรับคนเข้ามาใช้บริการได้มากกว่า 5,000 คน  ไม่ว่าจะเข้ามาเล่นเครื่องเล่น หรือใช้พื้นที่สำหรับการจัดงานและอีเว้นท์ต่างๆ เครื่องเล่น  นอกจากนี้ ยังมีการตกแต่งด้วยหน้าผาและก้อนหินจำลอง  เขาตะปูจำลองขนาดเท่าของจริง Lazy River ที่ยาวที่สุดในไทย เติมเต็มด้วยร้านอาหาร-ร้านค้า-การแสดง ภายในโครงการอันดามันดา ภูเก็ต  ยังมีร้านอาหาร ในตลาดน้ำแบบไทย ซึ่งมีการจำหน่ายอาหารนานาชาติ Ultimate Theme Party ทุกเดือน และมี Wave Bar และ Sand Bar บาร์ลับที่รวบรวมเครื่องดื่มนานาชนิดจากทั่วโลก รวมถึง Cocktail สูตรลับของอันดามันดา ภูเก็ตไว้บริการ   นอกจากนี้ ยังมีพื้นที่ในส่วนร้านค้า และการจัดอีเว้นท์กับคอนเสิร์ตระดับโลกที่จะมีขึ้นตลอดทั้งปี มีการโชว์พาเหรดและการแสดง ที่รวมนำเอาศิลปวัฒนธรรมภาคใต้และความเป็นไทย พร้อมแสงสีเสียงมาจัดแสดง   นางสาวพราวพุธ กล่าวว่า อันดามันดา ภูเก็ต จะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ เป็นศูนย์รวมแหล่งพักผ่อน สวนน้ำ และความบันเทิงในรูปแบบ Integrated Entertainment and Resort Destination ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความเป็นเมืองท่องเที่ยวชั้นน้ำของโลกของเมืองภูเก็ตให้มีความน่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก อีกทั้งเชื่อว่า การเปิดในครั้งนี้ จะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจท่องเที่ยวของภูเก็ต สำหรับแนวทางการทำตลาด อันดามันดา ภูเก็ต จะทำงาน​ร่วมกับพันธมิตร อาทิ โรงแรมในภูเก็ตกว่า 300 โรงแรม ทัวร์เอเจ้นท์กว่า 500 ราย ในการร่วมกันทำการตลาด มีการทำข้อตกลงในการส่งลูกค้ากับกลุ่มขนส่งกว่า 3,000 คัน ซึ่งภายในสิ้นปีนี้ คาดว่าจะมีผู้เข้ามาใช้บริการประมาณ 400,000 คน กลุ่มเป้าหมายหลักจะเป็นกลุ่มครอบครัว 40% กลุ่มคนรุ่นใหม่ 30% และกลุ่มจัดงานอีเวนท์อีก 30%  ซึ่งจะโฟกัสตลาดคนไทยสัดส่วน 70% และต่างชาติ 30% แต่หลังจากมีการเปิดประเทศแบบเต็มที่แล้ว คาดว่าจะมีกลุ่มลูกค้าต่างชาติเข้าใช้บริการสัดส่วนถึง 70%   หลังเปิดประเทศเป็นปกติ คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้าใช้บริการปีละ 1 ล้านคน  หรือสัดส่วน 10% ของนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาจังหวัดภูเก็ตปีละ 10 ล้านคน​   สำหรับโครงการอันดามันดา ภูเก็ต แบ่งระยะเวลาคืนทุนเป็น 2 ส่วน โดยสวนน้ำ คาดใช้เวลา 6-7 ปี โรงแรม 10 ปี ซึ่งนอกจาก พราว กรุ๊ปจะลงทุนที่จังหวัดภูเก็ตแล้ว ยังมองหาโอกาสในการพัฒนาโครงการในรูปแบบสวนน้ำ ในจังหวัดหัวเมืองท่องเที่ยวสำคัญของไทย ที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไปท่องเที่ยวปีละ 1 ล้านคนด้วย ซึ่งมี 2 แห่งที่น่าสนใจ คือ เกาะสมุยและจังหวัดกรุงเทพฯ  โดย​เงื่อนไขการลงทุนธุรกิจสวนน้ำ ควรจะต้องมีที่ดิน 15-20 ไร่  และพัฒนาเป็นรูปแบบมิกซ์ยูส  ทำให้ต้องมีพื้นที่ตั้งแต่ 30-40 ไร่ขึ้นไป  และใช้เม็ดเงินลงทุนไม่ต่ำกว่า ​ 2,000 ล้านบาทต่อโครงการด้วย ​   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -พาชม “อินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน” Branded Residence แห่งแรก
อนันดา  เตรียม take off รับเปิดเมือง  กับ 6 เรื่องสร้างความมั่นใจโตก้าวกระโดด

อนันดา เตรียม take off รับเปิดเมือง กับ 6 เรื่องสร้างความมั่นใจโตก้าวกระโดด

อนันดา อนันดา พร้อม take off รับเปิดเมือง โชว์ 6 ศักยภาพหนุนสร้างการเติบโต  เดินหน้าเปิด 7 โครงการใหม่ ปรับพอร์ตเพิ่มแนวราบเปิด Pool Villa หรูกลางเมือง เตรียมส่งมอบใน 2 ปีกว่า 58,725 ล้านมั่นใจเติบโตแกร่ง 3 ปีจากนี้ เตรียมรับรู้รายได้จาก 2 โครงการกว่า 6,000 ล้าน   ดูเหมือนการเปิดประเทศ ต้อนรับชาวต่างชาติเข้ามาเที่ยวเมืองไทย เป็นสัญญาณบวกที่สร้างความมั่นใจให้ใครต่อใครได้มากมาย แม้กระทั่งดีเวลลอปเปอร์พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ขายบ้านขายคอนโด อย่าง บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ที่เห็นสัญญาบวกที่ว่า ก็ออกมาเปิดแถลงข่าวในธีม อนันดาฯ พร้อม take off รับเปิดเมือง (ANANDA READY FOR TAKEOFF)   แน่นอน การเปิดประเทศแล้วมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาได้สะดวก คงเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศ ได้กำลังซื้อจากชาวต่างชาติเข้ามาเป็นตัวช่วยกระตุ้นสำคัญ และไม่ใช่แค่นักท่องเที่ยวเพื่อการพักผ่อนเท่านั้น แต่ยังหมายความรวมถึงกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ  รวมถึงนักลงทุนที่เดินทางเข้ามา เพื่อเลือกซื้ออสังหาฯ ของไทยด้วย จากก่อนหน้าที่เดินทางมาได้ไม่สะดวก คนที่ซื้อไว้แล้วยังไม่ได้โอนกรรมสิทธิ์ จังหวะนี้ก็น่าจะได้เวลาเหมาะสมที่จะได้โอนกันเสียที   นอกจากปัจจัยเรื่องการเปิดประเทศ  ที่จะเป็นตัวเพิ่มดีมานด์ของอสังหาฯ แล้ว อนันดา มีความพร้อมอะไรบ้าง ที่จะรองรับกำลังซื้อเหล่านั้น รวมไปถึงมีแผนอะไร ที่จะได้แสวงหาโอกาสจากทิศทางการตลาดที่ปรับตัวดีขึ้น แม้ว่าปัจจัยลบจะยังมีให้เห็นบ้าง อย่างราคาน้ำมัน ต้นทุนค่าวัสดุก่อสร้างที่ปรับเพิ่มขึ้น ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงไป และยังไม่ได้กลับมาเติบโตเป็นปกติ ยังมีกำลังซื้ออีกจำนวนมากที่ได้รับผลกระทบ   นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า สถานการณ์ภาพรวมประเทศเริ่มมีแนวโน้มในทิศทางดีขึ้นจากการเปิดเมืองมากขึ้น  เห็นได้จากนักท่องเที่ยวเริ่มกลับมามากขึ้น การจองห้องพักโรงแรมเพิ่มขึ้น รถติดมากขึ้น รวมถึงการปลดล็อกระบบ "Test & Go" ส่งผลให้ประชาชนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตคล้ายปกติมากขึ้น และที่สำคัญการกลับมาของวิถีชีวิตของคนเมือง แต่ก็ยังมีปัจจัยในเรื่องการปรับขึ้นของราคาที่ดิน ราคาน้ำมัน และการก่อสร้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ ต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับการปรับราคาในครั้งนี้ สำหรับอนันดา นั้นถือว่าการเปิดเมืองเป็นโอกาสที่ดี เพราะ ยังมีสินค้าพร้อมอยู่ พร้อมส่งมอบในราคาต้นทุนเดิมให้กับลูกค้าได้เลือกสรรมากมาย และยังคงเชื่อมั่นในศักยภาพคอนโดติดรถไฟฟ้า ที่ยังเป็นสินค้าที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการในการใช้ชีวิตคนเมืองได้เป็นอย่างดี 6 ปัจจัยหนุนอนันดา โตก้าวกระโดด 1.สต็อกพร้อมขาย 58,725 ล้านบาท อนันดา มีสต็อกพร้อมขายที่สามารถรับรู้รายได้ระหว่างปี 2565-2567  แบ่งตามพอร์ตดังนี้ คือ -โครงการที่เป็น RTM (READY TO MOVE) มูลค่า 29,324 ล้านบาท  เป็นกลุ่มคอนโด 18 โปรเจ็กต์ มูลค่า 22,637 ล้านบาท และบ้านแนวราบอีก 13 โปรเจ็กต์ มูลค่า 6,687 ล้านบาท -โครงการที่จะสร้างเสร็จ ในปี 2565-2567  มูลค่า 19,397 ล้านบาท แบ่งเป็น ในปี 2565 จำนวน 2 โครงการมูลค่า 10,509 ล้านบาท ปี 2566 จำนวน 1 โครงการ มูลค่า 4,955 ล้านบาท และปี 2567 จำนวน 1 โครงการ มูลค่า 3,933 ล้านบาท -โครงการใหม่ 3 โครงการ จาก 7 โครงการ ที่จะสามารถรับรู้รายได้ปี 2565-2567 มูลค่า 10,004 ล้านบาท ซึ่งสามารถรองรับการเติบโตในอีก 3 ปีข้างหน้า แบ่งเป็นโครงการคอนโด 1 โครงการและบ้านแนวราบอีก 2 โครงการ 2.การเพิ่มพอร์ตบ้าน 11,778 ล้านบาท ในตลาดบ้านแนวราบ อนันดา มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมีมียอดขายบ้านแนวราบ 2,053 ล้านบาทจากจำนวน 13 โครงการ ซึ่งเติบโตจากปี 2563 37% และมียอดโอนกรรมสิทธิ์ในปีที่ผ่านมา 1,916 ล้านบาท เติบโต 27% จากปี 2563 ในขณะที่ภาพรวมตลาดเติบโตเพียง 10% เท่านั้น   ปัจจุบันอนันดา ยังมีโครงการบ้านแนวราบขายอยู่ 13 โครงการ มูลค่า 6,687 ล้านบาท ในปีนี่จะเปิดเพิ่ม 2 โครงการ รวมมูลค่า 5,091 ล้านบาท ได้แก่ แบรนด์ใหม่อีก 1 แบรนด์มูลค่า 1,041 ล้านบาท และโครงการ ARTALE ASOKE-RAMA9 โครงการ Pool Villa หรูกลางใจเมือง มูลค่า 4,050 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้มียอดพรีบุ๊คกิ้งแล้วกว่า 20% และอยู่ในลิสต์ที่เตรียมซื้ออีก 20% คิดเป็นสัดส่วนยอดขายแล้วประมาณ​1,600 ล้านบาท 3.ผนึก 107 เอเย่นต์ขายลูกค้าต่างชาติ สำหรับตลาดต่างประเทศ ปัจจุบันมีการทำงานร่วมกับเอเย่นต์ 107 ราย ที่ช่วยในการทำตลาดและการขาย โดยพบว่าปัจจุบันยอดขายในกลุ่มต่างชาติ ไม่มีคนจีนเข้ามาซื้อ เนื่องจากชาวจีนยังไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้ แต่มีกลุ่มลูกค้าจากประเทศเพื่อนบ้านที่เข้ามาซื้อ ล่าสุด ทำยอดขายได้ 100 ล้านบาทจากยอดขายของชาวเมียนมาและสปป.ลาว 4.เปิดตัว 7 โครงการใหม่ ส่วนแผนการเปิดโครงการใหม่ทั้ง 7 โครงการ มูลค่ากว่า 29,098 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 5 โครงการ และโครงการแนวราบ 2 โครงการ โดยจะมีแบรนด์ใหม่ 3 แบรนด์ออกมาทำตลาด ได้แก่ แบรนด์บ้านแนวราบ ที่ยังไม่เปิดตัว 1 โครงการ ในย่านติวานนท์-แจ้งวัฒนะ แบรนด์ COCO PARC คอนโดที่จะสร้างเสร็จก่อนขาย ซึ่งมีการให้บริการแบบโรงแรมในเครือดุสิตธานี และคอนโดแบรนด์ CULTURE 5.เตรียมปิดการขาย 6 โครงการ ในปีนี้ อนันดา ยังมีอีก 6 โครงการ ที่เตรียมจะปิดการขายภายในปีนี้ มูลค่ากว่า 9,812 ล้านบาท ได้แก่ โครงการอาร์เทล เอกมัย – รามอินทรา มูลค่า 1,531 ล้านบาท  โครงการไอดีโอ สาทร-วงเวียนใหญ่ มูลค่า 2,352 ล้านบาท โครงการไอดีโอ รัชดา- สุทธิสาร มูลค่า 1,527 ล้านบาท โครงการไอดีโอ โมบิ สุขุมวิท 66 มูลค่า 2,155 ล้านบาท โครงการยูนิโอ สุขุมวิท 72 เฟส 2 มูลค่า 1,866 ล้านบาท และโครงการยูนิโอ ทาวน์ เพชรเกษม 110 มูลค่า 383 ล้านบาท 6.เพิ่มพอร์ตรายได้ประจำ 20% นอกจากการพัฒนาบ้านและคอนโดเพื่อขายแล้ว อนันดา ยังมีการรับรู้รายได้ประจำ จากธุรกิจเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ด้วย โ่ดยปัจจุบันโครงการเซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ คาดว่าสามารถรับกระแสเงินสดที่เป็นรายได้ประจำสม่ำเสมอ (Recurring Income) จาก 5 โครงการเซอร์วิสอพารท์เม้นท์อย่างต่อเนื่อง โดยบริษัทได้เริ่มเปิดดำเนินการโครงการซัมเมอร์เซ็ต พระราม 9 ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา และจะมีการเปิดโครงการอย่างต่อเนื่องอีก 4 โครงการ คือโครงการแอสคอทท์  ทองหล่อ บางกอก  โครงการแอสคอทท์ เอ็มบาสซี สาทร โครงการไลฟ์ สุขุมวิท 8 บางกอก และโครงการซัมเมอร์เซ็ต พัทยา ในเดือน กรกฎาคม สิงหาคม กันยายน ตุลาคม ในปีนี้ เดือนละ 1 โครงการตามลำดับ ซึ่งสัดส่วนของรายได้ประจำคาดว่าจะมีประมาณ 20% จากโครงการทั้งหมด ในส่วนของการเติบโตคาดว่าในไตรมาส 2 จะเริ่มทำยอดขายและรับรู้รายได้อย่างก้าวกระโดด จากการเตรียมรับรู้รายได้จาก 2 โครงการสร้างเสร็จใหม่ล่าสุด มูลค่ากว่า 6,000 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -อนันดาฯ เผยผลงาน Q1/64 ทำยอดขายกว่า 3,979 ล้านบาท แต่กำไรธุรกิจหลักเหลือ 38.8 ล้าน
9 บทสรุป ผลประกอบการพฤกษา Q1/65 และทิศทางไปต่อ

9 บทสรุป ผลประกอบการพฤกษา Q1/65 และทิศทางไปต่อ

ผลประกอบการพฤกษา ผลประกอบการพฤกษา ไตรมาสแรก รายได้-ยอดขายลด เหตุเจอปัญหาแรงงาน และผลกระทบด้านซัพพลายเชน ส่งผลต้องเลื่อนเปิดโปรเจ็กต์ใหม่  แต่ยังรักษากำไรได้กว่า 639 ล้านบาท เติบโต 10% จาก Q1/64 พร้อมเดินหน้าตามแผนเปิดโปรเจ็กต์ทั้งปี 30 โครงการ เพื่อสร้างรายได้ 16,000 ล้าน   ตอนนี้หลายบริษัทในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  ที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ได้เริ่มรายงานผลประกอบการในไตรมาส 1 ปี 2565 ออกมากันบ้างแล้ว  หลายบริษัทก็สามารถสร้างผลประกอบการเติบโตได้ตามเป้าหมาย แต่ก็มีหลายบริษัทที่ยังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ไม่สามารถสร้างผลงานให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้   ล่าสุด นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม  บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) ได้แถลงผลประกอบการในรอบไตรมาสแรกของปีนี้ พร้อมกับทิศทางการดำเนินธุรกิจในช่วงไตรมาส 2 ซึ่งมี 9 บทสรุป ผลประกอบการพฤกษา ที่น่าสนใจดังนี้ 9 บทสรุป ผลประกอบการพฤกษา Q1/65 และทิศทางไปต่อ 1.รายได้-ยอดขายลด แต่กำไรโต ในไตรมาสแรกพฤกษามียอดขายอสังหาฯ  รวม 5,344 ล้านบาท ลดลง 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่สามารถทำยอดขายได้ 6,940 ล้านบาท โดยยอดขายลดลงเหตุผลหลักมาจากการเลื่อนเปิดตัวโครงการใหม่   โดยในไตรมาสแรกยอดขายดังกล่าว แบ่งออกเป็น กลุ่มทาวน์เฮ้าส 2,801 ล้านบาท ลดลง 26% กลุ่มบ้านเดี่ยว 1,705 ล้านบาท ลดลง 4.2% และกลุ่มคอนโดมิเนียม 838 ล้านบาท ลดลง 39.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน   ส่วนรายได้จากการขายอสังหาฯ ในไตรมาสแรกมีจำนวน 5,679  ล้านบาท ลดลง 17.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีมูลค่า 7,051 ล้านบาท ซึ่งเหตุผลหลักมาจากการก่อสร้างและส่งมอบบ้านล่าช้า เพราะปัญหาด้านการขาดแคลนแรงงาน   รายได้ทั้งหมดในไตรมาสแรก แบ่งเป็น รายได้จากกลุ่มทาวน์เฮ้าส 2,461 ล้านบาท ลดลง 28.9% กลุ่มบ้านเดี่ยว 1,143 ล้านบาท ลดลง 28.6% กลุ่มคอนโด 1,432 ล้านบาท ลดลง 21.6% และมีรายได้จากการขายที่ดินเปล่า 643 ล้านบาท   ส่วนอัตรากำไร ของ ผลประกอบการพฤกษา ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา มีกำไรสุทธิในธุรกิจอสังหาฯ 639 ล้านบาท เติบโต 10%  จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ที่มีกำไร 582 แต่ยังถือว่าลดลงจากช่วงไตรมาส 4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีกำไรสุทธิ 1,137 ล้านบาท หรือลดลง 43.8% ในขณะที่กำไรสุทธิของพฤกษา โฮลดิ้ง (รวมธุรกิจอสังหาฯ และธุรกิจเฮลแคร์)  อยู่ที่ 552 ล้านบาท ลดลง 8.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีกำไร 606 ล้านบาท ไตรมาสแรกรายได้ต่ำกว่าที่คาด เป็นเพราะ ดีเลย์การเปิดโครงการและซัพพลายเชนถูกดิสรับ ทำให้การก่อสร้างล่าช้ากว่าที่คาดไว้  และเรามาโฟกัสที่กำไรมากขึ้น ไม่เน้นด้านยอดขายและรายได้ 2.ตุน Backlog​ กว่า 20,200 ล้าน ปัจจุบัน พฤกษา มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog)  ที่ 20,200 ล้านบาท ซึ่งจะรับรู้รายได้ระหว่างปี 2565-2568  แบ่งเป็นยอดรับรู้รายได้ในปี 2565 ที่ 18,700 ล้านบาท และจะมีโครงการแนวสูงที่สร้างเสร็จพร้อมทยอยโอนในปีนี้อีก  7 โครงการรวมมูลค่า 15,200 ล้านบาท ได้แก่ แซปเตอร์ เจริญนคร-ริเวอร์ไซด์,​ เดอะ รีเซิร์ฟ สุขุมวิท 61, พลัม คอนโด สุขุมวิท 61, พลัม คอนโด พระราม 2, เดอะ ไพรเวซี่ จตุจักร และเซปเตอร์ จุฬา-สามย่าน   สำหรับยอดขายรอรับรู้รายได้ทั้งหมด แบ่งเป็นกลุ่มทาวน์เฮ้าส์ 23,000 ล้านบาท รับรู้รายได้ในปีนี้ทั้งหมด กลุ่มบ้านเดี่ยวมียอดขายรอรับรู้รายได้ 16,000 ล้านบาท รับรู้ในปีนี้ทั้งหมด  และกลุ่มคอนโดมียอดรอรับรู้รายได้ 16,300 ล้านบาท รับรู้ในปีนี้ 14,800 ล้านบาท 3.กวาดยอดขายออนไลน์กว่า 5,344 ล้าน กลยุทธ์ Digital Marketing ที่มีการใช้ Consumer Insight และเทรนด์ตลาดเข้ามาช่วยในการจัดทำแคมเปญทางการตลาด ส่งผลให้พฤกษา มียอดขายผ่านช่องทางออนไลน์จำนวน 1,803 ยูนิต มูลค่ากว่า 5,344 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนยอดขายจากออนไลน์ 86.7% 4.ปั้นโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส อสังหาฯ -สุขภาพ พฤกษา มีการใช้กลยุทธ์การผสมผสานกันระหว่างธุรกิจอสังหาฯ และธุรกิจสุขภาพเข้าด้วยกัน โดยผ่านการออกแบบบ้านตามหลักการ Universal Design เพื่อรองรับกลุ่มผู้สูงอายุ อาทิ ห้องผู้สูงอายุ พื้นไม่มีสเต็ป  เป็นต้น   นอกจากนี้ ​ยังมีแผนพัฒนาอสังหาฯ แบบ Mixed Use ที่จะผสานบริการด้านสุขภาพไว้ในโครงการเดียวกัน ซึ่งเป็นการร่วมมือกับโรงพยาบาลวิมุต  ซึ่งกำลังจะเปิดให้บริการศูนย์สุขภาพแห่งแรกในชุมชนพฤกษา ขนาด 50 เตียง ตั้งอยู่ด้านหน้าโครงการพฤกษา อเวนิว บางนา-วงแหวน  ในเดือนสิงหาคมนี้   ขณะเดียวกันได้มีการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ โดยโรงพยาบาลวิมุตร่วมกับ JAS ASSET ก่อตั้งบริษัท Senera Vimut Health Service ทำโครงการ SENERA Senior Wellness บริเวณถนนคู้บอน เป็นศูนย์เมดิคอล ขนาด 5,713 ตร.ม. 4 ชั้น ขนาด 78 เตียง มีแผนเปิดให้บริการในเดือนธันวาคมนี้ด้วย  นอกจากนี้ พฤกษายังมองหาพันธมิตรใหม่ ๆ เพื่อเข้ามาบริการเพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับกลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่ต้องการดูแลด้านสุขภาพ 5.เดินหน้าสานต่อกลยุทธ์ Corporate Ventures พฤกษา ยังมีกลยุทธ์ที่สำคัญ คือ Corporate Ventures ที่มุ่งเน้นการลงทุนในเทคโนโลยีและนวัตกรรมต่าง  ๆ เพื่อมาเสริมการบริหารธุรกิจ สร้างการเติบโต และผลตอบแทนทางการเงินให้กับพฤกษา โดยร่วมทุนกับบริษัทที่มีเทคโนโลยีด้านพร็อพเทค เฮลท์เทค  และ อีคอมเมิร์ซ  ทั้งในไทย มาเลเซีย ออสเตรเลีย และสิงคโปร์  โดยเป็นกลุ่มธุรกิจประเภทนวัตกรรมด้านการพัฒนาความยั่งยืน (ESG Innovation) ระบบความปลอดภัยในโลกดิจิตอล (Digital Securities) และ เฮลท์เทค พร๊อพเทค  ที่รองรับกระแสเทรนด์ที่อยู่อาศัยและการดูแลสุขภาพที่เพิ่มขึ้นในอนาคต 6.ยึดเป้าเดิมเปิด 30 โปรเจ็กต์​ แม้ว่าไตรมาสแรกของพฤกษา จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ไปเพียง 2 โครงการ มูลค่า รวม 1,119 ล้านบาท เป็นโครงการทาวน์โฮม 1 โครงการ และคอนโด 1 โครงรการ รวมประมาณ 500 ยูนิต ซึ่งน้อยกว่าที่วางเป้าหมายไว้ แต่ พฤกษามั่นใจว่าในช่วงเวลาที่เหลือจะเปิดได้ตามแผนที่วางไว้  โดยแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้ พฤกษา ยังคงวางแผนเปิดตัว 30 โครงการ รวมมูลค่า 16,000 ล้านบาท เพื่อสร้างรายได้ 33,000 ล้านบาท ซึ่งจะเปิดตัวมากในช่วงครึ่งปีหลัง   ส่วนไตรมาส 2  พฤกษา มีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 9 โครงการ รวมมูลค่า 5,900 ล้านบาท  แบ่งเป็นทาวน์เฮาส์ 8 โครงการ จำนวน 2,300 ยูนิต มูลค่า 5,200 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์บ้านพฤกษา เดอะ คอนเนค และพฤกษาวิลล์ ในโซจ บางนา สุวรรณภูมิ ศรีนรินทร์ พระราม 2 รังสิต และเทพารักษ์  และบ้านเดี่ยว 1 โครงการ  จำนวน 100 ยูนิต มูลค่า 700 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ภัสสร โดยจะเปิดในโซนรามอินทรา 7.ตุนที่ดิน 15,000 ล้าน นอกจากแผนการเปิดตัวโครงการในปีนี้ ที่พฤกษา มั่นใจว่าจะเป็นไปตามแผนแล้ว ปัจจุบัน พฤกษา ยังมีโครงการที่เปิดการขายอยู่ถึง 140 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 80,000 ล้านบาท ที่จะช่วยทำให้ยอดขายและรายได้ในปีนี้เป็นไปตามเป้าหมายด้วย   นอกจากนี้ พฤกษา ยังมีที่ดินสะสมอยู่อีกจำนวนมาก คิดเป็นมูลค่าถึง 15,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถนำมาพัฒนาโครงการได้มูลค่า 80,000 ล้านบาท ที่จะช่วยสร้างการเติบโตให้กับพฤกษาได้อย่างต่อเนื่องนับจากนี้ด้วย 8.ยืนราคาบ้าน-คอนโด ถึงสิ้นปี ต้องยอมรับว่าในปัจจุบัน ต้นทุนด้านราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้น  รวมถึงต้นทุนอื่น ๆ อาทิ เงินเฟ้อ ส่งผลให้ราคาวัสดุก่อสร้างมีการปรับตัวขึ้นสูง และส่งผลต่อกำลังซื้อของลูกค้าที่ลดลง โดยเฉพาะต้นทุนเหล็กและปูนซีเมนต์ ซึ่งส่งผลต่อค่าก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นแล้ว 2-3% แต่พฤกษายังคงขายบ้านในราคาต้นทุนเดิม เนื่องจากมีการซื้อล่วงหน้าในวัสดุก่อสร้างหลายรายการจนถึงสิ้นปีนี้  โดยเฉพาะในการก่อสร้างคอนโด ทำให้ยังไม่มีการปรับราคาบ้านและคอนโดในปีนี้   ในขณะเดียวกันพฤกษาเองก็มีการปรับปรุงกระบวนการทำงานในองค์กร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความรวดเร็วและช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย เช่น การนำ Value Engineering หรือ วิศวกรรมคุณค่ามาใช้ ด้วยการนำวัสดุทดแทนที่มีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับวัสดุเดิมมาใช้ เป็นการช่วยลดการใช้ซีเมนต์ที่ไม่จำเป็นไปได้มากกว่า 15,000 ตัน   นอกจากนั้นยังมีการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ระบบจัดซื้อจัดจ้างทางอิเล็กทรอนิกส์ และการพัฒนาระบบ Streamline ช่วยลดชั่วโมงการทำงานไปได้ มากกว่า 10,400 ชั่วโมง และสุดท้ายใช้การบริหารจัดการต้นทุน (Cost Management) เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสามารถประหยัดต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้มากกว่า 460 ล้านบาท หรือ 1.4% ของรายได้ 9.รพ.วิมุตรายได้โต 59% โรงพยาบาลวิมุต ซึ่งเป็นการลงทุนของพฤกษา โฮลดิ้ง ในไตรมาสแรกมีรายได้ 244 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 59% จากไตรมาส 4 ปี 2564 และจากการปรับโครงสร้างการบริหารองค์กรและการบริหารจัดการใหม่ของโรงพยาบาลเทพธารินทร์ ทำให้ธุรกิจด้านสุขภาพได้ส่วนแบ่งกำไร จากผลประกอบการโรงพยาบาลเทพธารินทร์ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องด้วย   สำหรับแผนธุรกิจในไตรมาส 2 คาดว่ารายได้หลักจะมาจากการดำเนินงานเต็มรูปแบบของบริการด้านการแพทย์ โรงพยาบาลและบริการศูนย์ฟื้นฟูดูแลสุขภาพครอบครัวและผู้สูงอายุ (ViMut Wellness Services) ซึ่งจะพัฒนาไปพร้อมกับโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ของพฤกษาอย่างต่อเนื่องอีกด้วย  ความต้องการที่อยู่อาศัยจริงยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะในกลุ่มบ้านเดี่ยว ซึ่งเป็นกลุ่มเรียลดีมานด์ที่เติบโตจากผลกระทบโควิดที่ทำให้คนอยากอยู่บ้านมากขึ้น แม้สภาพเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในภาวะซบเซาและมีปัจจัยหลายประการที่ส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อของประชาชนก็ตาม อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -พฤกษา เตรียมงบลงทุน 10,000 ล้านปี 65 พร้อมขยายธุรกิจ “พร็อพเทค-เฮลท์เทค” ​
อนันดา #LiveLifeUnique บ้านแนวราบที่เข้าใจไลฟ์สไตล์ยูนีคของคนยุคใหม่ พร้อมข้อเสนอที่ดีที่สุดในรอบปี อยู่ฟรีสูงสุด 3 ปี*

อนันดา #LiveLifeUnique บ้านแนวราบที่เข้าใจไลฟ์สไตล์ยูนีคของคนยุคใหม่ พร้อมข้อเสนอที่ดีที่สุดในรอบปี อยู่ฟรีสูงสุด 3 ปี*

อนันดา #LiveLifeUnique บ้านแนวราบที่เข้าใจไลฟ์สไตล์ยูนีคของคนยุคใหม่ พร้อมข้อเสนอที่ดีที่สุดในรอบปี อยู่ฟรีสูงสุด 3 ปี* จากเดิมที่บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ประสบความสำเร็จจากการทำตลาดบ้านแนวราบระดับลักชัวรี่ จากแบรนด์ “อาร์เทล พัฒนาการ” และ “อาร์เทลล์ เอกมัย-รามอินทรา” ที่เน้นดีไซน์ที่แตกต่างบนทำเลใจกลางเมือง โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่มีไลฟ์สไตล์การทำงานที่เปลี่ยนไป มีความอิสระมากขึ้น มีความเป็นตัวของตัวเองที่ไม่เหมือนใคร รวมถึงความต้องการที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่มากขึ้นเพื่อจะสร้างแรงบันดาลใจได้อย่างไม่มีขีดจำกัด     ในปี 2565 นี้ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) วางแผนปรับกลยุทธใหม่ มุ่งเน้นการทำตลาดบ้านอย่างจริงจังอีกครั้ง ด้วยจุดขายบ้านสำหรับคนเมืองบนทำเลคุณภาพ และโดดเด่นด้วยดีไซน์ที่โดดเด่น มีเอกลักษณ์ชัดเจน จึงเป็นที่มาของแคมเปญ “บ้านอนันดา Live. Life. Unique ใช้ชีวิตในแบบที่เป็นคุณ” เพื่อตอกย้ำจุดขายของบ้านอนันดาที่ชัดเจน ซึ่งมี 3 หัวใจ ดังนี้   ทำเล (Location) บ้านอนันดาปักหมุดบนทำเลที่ดีที่สุดในย่าน เพื่อความสะดวกสบายในการเดินทาง ใกล้ตนไฟฟ้า ใกล้ทางด่วน ทำเลติดถนนใหญ่ และแวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งห้างสรรพสินค้า ตลาด และโรงเรียน เพื่อให้คนยุคใหม่ได้ใช้ชีวิตอย่างที่คุ้นเคย การออกแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (Design) เพราะอนันดาเชื่อว่าบ้านสามารถบ่งบอกความเป็นตัวตนของผู้อยู่อาศัย จึงให้ความสำคัญกับการออกแบบทั้งพื้นที่ภายนอก และภายในตัวบ้าน ให้ผู้อยู่อาศัยมีความภูมิใจที่ได้เป็นเจ้าของบ้าน แน่นอนว่าฟังก์ชันบ้าน (Function) ก็ต้องรองรับและตอบโจทย์ได้ทุกไลฟ์สไตล์ รวมถึงพื้นที่ภายในบ้านก็ต้องใช้งานได้อย่างคุ้มค่า เช่น บ้าน Airi ที่เปิดตัวแบบบ้าน New series โดยมีฟังก์ชันที่จะมาตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้มากขึ้น หรือ โครงการ Atoll ที่มี Double Living room และ โครงการ Unio Town ทาวน์โฮมที่ออกแบบให้มีหน้ากว้างถึง 5.7 เมตร ทำให้จัดวางฟังก์ชั่นได้อย่างลงตัว คุณภาพ (Quality of life) ผู้อยู่อาศัยทุกคนสามารถมั่นใจในคุณภาพและบริการหลังการขายของบ้านอนันดาได้ทุกมิติภายใต้ Ananda sure ซึ่งจะมาสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เพื่อความอุ่นใจของทุกครอบครัว   สำหรับแคมเปญ “บ้านอนันดา Live. Life. Unique ใช้ชีวิตในแบบที่เป็นคุณ” พร้อมโปรจัดเต็มไม่เหมือนใคร “ดีลที่ใช้ อยู่ฟรี สูงสุด 3 ปี” โดยมีโครงการบ้านและทาวน์โฮมคุณภาพจากอนันดาเข้าร่วม ดังนี้   เอโทล บาหลีบีช มอเตอร์เวย์ – ลาดกระบัง   เอโทล วงแหวน – ลำลูกกา   แอริ พระราม2   แอริ แจ้งวัฒนะ   ยูนิโอทาวน์ ลำลูกกา คลอง 4   ยูนิโอทาวน์ เพชรเกษม 110   ยูนิโอทาวน์ ศรีนครินทร์ – บางนา   ยูนิโอทาวน์ สวนหลวง – พัฒนาการ   ยูนิโอทาวน์ สุขสวัสดิ์ 30   ยูนิโอทาวน์ ประชาอุทิศ 76   อาร์เทล เอกมัย รามอินทรา   รายละเอียดโปรโมชั่น บ้านอนันดา Live. Life. Unique ทำไมต้องใช้ชีวิตเหมือนคนอื่น ใช่แล้ว จองเลย! 👉 https://anan.ly/3sofPEG ✅ อยู่ฟรี สูงสุด 3 ปี* ✅ รับเงินคืนสูงสุด 3 แสนบาท* ✅ แพ็คพร้อมอยู่สูงสุด 1 ล้าน* บ้านและทาวน์โฮมคุณภาพจากอนันดา เริ่ม 2.39 - 25 ล้าน* *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด ระยะเวลาโปรโมชั่น วันที่ 11 พฤษภาคม 2565 – 30 มิถุนายน 2565   #Anandadevelopment #UrbanlivingSolutions #livelifeunique #บ้านทำเลเมือง #บ้านอนันดา
ไรมอนแลนด์  ปั้น แบรนด์เด็ดเรสซิเดนซ์ ขายวิลล่าหลังละ 1,000 ล้าน  พร้อมสู่ธุรกิจ New Economy สร้างรายได้ประจำ

ไรมอนแลนด์ ปั้น แบรนด์เด็ดเรสซิเดนซ์ ขายวิลล่าหลังละ 1,000 ล้าน พร้อมสู่ธุรกิจ New Economy สร้างรายได้ประจำ

ไรมอนแลนด์ ไรมอนดแลนด์ เดินหน้ารักษาผู้นำตลาดลักชัวรี่ ปั้นโปรเจ็กต์ แบรนด์เด็ดเรสซิเดนซ์ ประเดิม Rosewood Hotels & Resorts ที่ภูเก็ต ขายวิลล่า 14 หลัง ยูนิตละ 100-1,000 ล้านบาท มูลค่ารวม 7,800 ล้าน พร้อมปูทางสร้างรายได้จากออฟฟิศให้เช่า-ธุรกิจ New Economy “Data Center” เพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำ 20-30%   บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ RML ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมากว่า 33 ปี  โดยตลอดระยะเวลาในการดำเนินธุรกิจที่ผ่านมา ได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญที่เกิดขึ้นกับไรมอนแลนด์ เมื่อช่วงปี 2563  ที่กลุ่มบริษัท เคพีเอ็น แลนด์ จำกัด โดยนายกฤษณ์ ณรงค์เดช ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานคณะกรรมการ และนายกรณ์ ณรงค์เดช ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้ที่บริหาร เข้ามาถือหุ้นกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของไรมอนแลนด์ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างภายในองค์กรนี้   ไรมอนแลนด์ เป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ที่เน้นทำตลาดหลักในกลุ่มลักชัวรี่ ​เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง และได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจน้อย ซึ่งไรมอนแลนด์เป็นบริษัทแรก ๆ ที่พัฒนาคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป และระดับอัลตราลักชัวรี่ราคา 40 ล้านบาทขึ้นไป มีการพัฒนาโครงการทั้งในพื้นที่กรุงเทพฯ และพัทยา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมีการพัฒนาโครงการคอนโดไปแล้วกว่า 72,000 ล้านบาท จำนวนกว่า 5,000 ยูนิต หลังจากที่กลุ่มเคพีเอ็น แลนด์ เข้ามาบริหารไรมอนแลนด์ ทีมผู้บริหารได้มีการปรับภาพลักษณ์องค์กรใหม่ให้มีความทันสมัย มีความลักชัวรี่ แต่สามารถเข้าถึงได้ ภายใต้สโลแกน "Raimon Land-Luxury Reimagined" พร้อมกับการขยายฐานกลุ่มลูกค้า ไปสู่กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จเมื่ออายุน้อย อายุ 26-45 ปี และมีกำลังซื้อสูง จากเดิมที่ฐานลูกค้าหลักเป็นกลุ่มผู้ใหญ่อายุ 46 ปีขึ้นไป   เพื่อเดินหน้าตามแผนการรีแบรนด์ ยกระดับภาพลักของแบรนด์ให้เข้าถึงง่ายทันสมัย และกลยุทธ์ใหม่ของไรมอนแลนด์ จึงวางแผนธุรกิจในปี 2565 และในอนาคตในระยะ 5-10 ปี ด้วยโจทย์สำคัญ คือ การสร้างการรับรู้ในด้านรายได้อย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนการพัฒนาธุรกิจอสังหาฯ เพื่อขาย ธุรกิจอสังหาฯ เพื่อสร้างรายได้ประจำ และธุรกิจ New Economy ​ โฟกัสตลาดแบรนด์เด็ดเรสซิเดนซ์ การพัฒนาโครงการอสังหาฯ ของไรมอนแลนด์ ยังคงเน้นทำตลาดกลุ่มลักชัวรี่และอัลตร้าลักชัวรี่ ที่จับตลาดหลักทั้งคนไทยและต่างชาติ  แต่ทิศทางนับจากนี้ จะมุ่งเน้นการนำเอาแบรนด์เด็ดเรสซิเดนซ์เข้ามาร่วมพัฒนา คาดว่าจะมีสัดส่วนมากถึง 70-80% (ขณะที่แบรนด์ของไรมอนแลนด์จะมีสัดส่วนประมาณ 20-30%) โดยเหตุผลสำคัญเป็นเพราะ 1.เพิ่มมูลค่าให้โครงการ การพัฒนาภายใต้รูปแบบแบรนด์เด็ดเรสซิเดนซ์ จะช่วยทำให้โครงการมีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นกว่าโครงการปกติ 10-15% ผู้ซื้อสามารถส่งต่อเป็นมรดกให้กับทายาทได้ เพราะโครงการจะมีมูลค่าเพิ่มสูงตามระยะเวลา 2.สร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง โครงการอสังหาฯ ที่เป็นรูปแบบแบรนด์เด็ดเรสซิเด็นซ์ จะสร้างความแตกต่างจากโครงการทั่วไปที่มีอยู่ในตลาด เพราะเป็นการนำเอา Hotel Brand เข้ามาบริการตามมาตรฐานโรงแรมระดับโลกนั้น ๆ  ซึ่งจะช่วยให้การใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัยสะดวกสบายยิ่งขึ้น ตามมาตรฐานของแบรนด์เด็ดเรสซิเดนซ์นั้น เหมือนการพักอาศัยในโรงแรมภายใต้แบรนด์นั้น 3.มีฐานลูกค้ารองรับ เจ้าของแบรนด์ที่จะถูกนำมาใช้ในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย จะมีฐานลูกค้าและฐานแฟนคลับที่ชื่นชอบรูปแบบโครงการและการให้บริการของแบรนด์นั้น  ๆ เมื่อมีการขยายตลาดหรือการขยายการพัฒนาโครงการไปยังทำเลอื่น หรือในเมืองท่องเที่ยวอื่น ฐานลูกค้าหรือแฟนคลับนั้นก็มักจะตามมาเลือกซื้อด้วย แบรนด์เด็ดเรสซิเดนซ์จึงมักมีฐานลูกค้าของแบรนด์นั้นติดตามมาด้วย เพิ่มแนวราบสร้างรายได้ต่อเนื่อง ที่ผ่านมาไรมอนแลนด์เน้นการพัฒนาโครงการคอนโด ที่เป็นรูปแบบไฮไลท์เป็นหลัก ซึ่งใช้ระยะเวลาการรับรู้ค่อนข้างนาน  เพราะต้องใช้ระยะเวลาการพัฒนา จนถึงส่งมอบโครงการให้กับลูกค้านาน ทำให้การพัฒนามีการรับรู้รายได้ไม่ต่อเนื่อง อย่างกรณีโครงการคอนโดในรูปแบบแบรนด์เด็ดเรสซิเดนซ์ จะใช้เวลาในการพัฒนาประมาณ 3-4 ปี ขณะที่โครงการแนวราบใช้ระยะเวลาการพัฒนาประมาณ 1 ปี   เพื่อให้ไรมอนแลนด์สามารถรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง  ต่อจากนี้ไปจะเพิ่มการพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น และมีรูปแบบการพัฒนาที่หลากหลาย​ แต่ยังมีความตั้งใจพัฒนาโครงการในระดับลักชัวรี ด้วยบ้านในราคา 50-60 ล้านบาท แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้งโครงการ เพิ่มสัดส่วนรายได้ประจำ20-30% นอกจาก การเพิ่มโครงการแนวราบเพื่อรับรู้รายได้เร็วและต่อเนื่องแล้ว ไรมอนแลนด์ยังวางแผนเพิ่มรายได้ประจำให้มากขึ้น เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับบริษัท โดยวางเป้าหมายภายใน 2-3 ปีจะสร้างรายได้ประจำสัดส่วน 20-30% จากปัจจุบันมีอยู่ 5% ซึ่งโครงการที่จะสร้างรายได้เข้ามาอย่างชัดเจน คือ โครงการวัน ซิตี้ เซ็นเตอร์ (One City Centre) สำนักงานให้เช่ามูลค่า 8,800 ล้านบาท บนถนนเพลินจิต ที่ร่วมทุนกับ Mitsubishi Estate จากประเทศญี่ปุ่น โดยจะเริ่มรับรู้รายได้ในปี 2566 ขยายธุรกิจ New Economy เติมรายได้ประจำ ขณะเดียวกัน บริษัทยังมองหาโอกาสในการขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ ที่ช่วยเข้ามาเพิ่มรายได้ให้กับบริษัท โดยเฉพาะรายได้ประจำ จึงวางแผนร่วมมือกับ Nautilus Data  Technologies ผู้นำด้าน Green Data Center Technology ระดับโลก ที่มีนักลงทุนในกลุ่มบริษัทชั้นนำเข้าถือหุ้นอยู่ อาทิ Emerson Collective บริษัทครอบครัวของสตีฟ จ็อบส์ เพื่อพัฒนาโครงการศูนย์กลางคลังข้อมูล หรือ Data Center ซึ่งใช้เทคโนโลยีระบบ Water Cooling (การใช้ระบบน้ำช่วยลดความร้อนของคอมพิวเตอร์) โดยไรมอนแลนด์จะได้กรรมสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย และในเซาท์อีสเอเชีย   สำหรับโครงการ Data Center จะเริ่มพัฒนาในปีหน้า โดยมูลค่าการลงทุนจะขึ้นอยู่กับขนาดของโครงการ ซึ่งทำเลที่ตั้งโครงการอาจจะต้องอยู่ใกล้แหล่งน้ำ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งน้ำจืดหรือน้ำเค็ม และอาจจะพัฒนาในพื้นที่ของนิคมอุตสาหกรรม  ซึ่งการที่บริษัทเข้ามาสนใจธุรกิจ Data Center เนื่องจากช่วงหลายปีที่ผ่าน เป็นธุรกิจดาวรุ่งมีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด ปี 65 วางเป้ารายได้ 2,200 ล้าน สำหรับแผนพัฒนาโครงการใหม่ในปี 2565 เบื้องต้นบริษัทวางแผนพัฒนา 1.โครงการคอนโด  Branded Residence ที่ร่วมทุนกับญี่ปุ่น ที่สุขุมวิทมูลค่า 5,500 ล้านบาท 2.โครงการแบรนด์เด็ดเรสซิเดนซ์  Rosewood Hotels & Resorts® ที่จังหวัดภูเก็ต ในรูปแบบ วิลล่า บริเวณกมลา ภูเก็ต จำนวน 14 หลัง ราคาขายยูนิตละ 100-1,000 ล้านบาท มูลค่าโครงการรวม 7,800 ล้านบาท และ 3.โครงการแนวราบที่อยู่ระหว่างการออกแบบ คาดว่าปลายปีนี้เสร็จ   โดยปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ 5,000 ล้านบาท มีสินค้าพร้อมขายมูลค่า 71 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากช่วง 2 ปีก่อนหน้าที่มีมูลค่า 1,892 ล้านบาท ในปีนี้วาง​แผนสร้างรายได้ 2,200 ล้านบาท โดยรายได้มาจากการโอนกรรมสิทธิ์ และปัจจุบัน และวางเป้ายอดขาย 7,200 ล้านบาท   ในปีนี้วางงบลงทุนเบื้องต้น 2,000 ล้านบาท สำหรับใช้ในการพัฒนาโครงการอสังหาฯ ซึ่งงบประมาณหลักใช้ในด้านการก่อสร้าง โดยแหล่งเงินทุนจะมาจากการขอสินเชื่อจากธนาคาร การออกหุ้นกู้ และการระดมทุนจากนักลงทุน ​   สำหรับเป้าหมายการรับรู้รายได้ คาดว่าจะมีรายได้ 2,200 ล้านบาท จากโครงการเอสเทลล์ สุขุมวิท 26 ที่จะเริ่มรับรู้รายได้ในไตรมาส 3  และคาดว่าจะมียอดขาย 7,200 ล้านบาท  ซึ่งเป็นยอดขายจากโครงการ เทตต์สาทร ทเวลฟ์  โครงการโรสวูด ที่ กมลา ภูเก็ต   ข่าวที่เกี่ยวข้อง -ไรมอนแลนด์ กับ 5 เหตุผลหนุนสร้างรายได้ปีนี้ 2,700 ล้าน
เอพี ไทยแลนด์  กวาดรายได้ Q1 กว่า 13,084 ล้าน  พร้อมเปิดอีก 11 โครงการใหม่ รับสัญญาณบวก

เอพี ไทยแลนด์ กวาดรายได้ Q1 กว่า 13,084 ล้าน พร้อมเปิดอีก 11 โครงการใหม่ รับสัญญาณบวก

เอพี ไทยแลนด์ เดินหน้ากวาดรายได้ไตรมาสแรก เติบโตกว่า 21.5% ตุนรายได้กว่า 13,084 ล้าน พร้อมทำกำไรเพิ่มกว่า 23.3% ไตรมาส 2 ลุยเปิดโปรเจ็กต์ใหม่อีก 11 โครงการ มูลค่า 16,240 ล้าน หลังเห็นสัญญาณบวกของตลาดอสังหาฯ มั่นใจปิดปีได้รายได้ตามเป้า 47,000 ล้านบาท   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 1 ที่ผ่านมาเอพีสามารถสร้างรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100%JV) และธุรกิจอื่นๆ ได้สูงถึง 13,084 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.5% หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีรายได้รวมเท่ากับ 10,773  ล้านบาท  และมีกำไรสุทธิ 1,730 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.3% จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิรวมเท่ากับ 1,403 ล้านบาท  ขณะที่มีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน 0.49 เท่า แนวโน้มความต้องการที่อยู่อาศัย ทั้งสินค้าแนวราบและแนวสูง มีการเติบโตที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรายได้ที่เกิดขึ้นในไตรมาส 1 สะท้อนให้เห็นได้อย่างชัดเจนถึงดีมานด์ ที่เกิดขึ้นจริงในตลาดวันนี้  โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดคอนโดก็เริ่มส่งสัญญาณบวกให้เห็นเช่นกัน สำหรับคอนโดพร้อมอยู่ เป็นกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเพื่ออยู่จริง โดยคอนโดที่เป็นคีย์สำคัญในการสร้างรายได้ และยังคงมีการขาย เพื่อโอนเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องของเอพี ไทยแลนด์มี 4 คอนโดพร้อมอยู่ ได้แก่ 1.LIFE อโศก-ไฮป์ 2.LIFE ลาดพร้าว แวลลีย์ 3.LIFE อโศก-พระราม 9 และ 4.Aspire เอราวัณ ไพร์ม ซึ่งในครึ่งปีหลังบริษัทยังเตรียมรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ 2 คอนโดใหม่ ได้แก่ LIFE สาทร เซียร์รา และ RHYTHM เอกมัย เอสเตท มูลค่ารวม 9,600 ล้านบาทด้วย นาววิทการ  กล่าวอีกว่า  ในไตรมาส 2 เอพีเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 11 โครงการ มูลค่า 16,240 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 1 โครงการ มูลค่า 3,400 ล้านบาท ทาวน์โฮม 8 โครงการ มูลค่า 7,240 ล้านบาท และคอนโด 2 โครงการ  มูลค่า 5,600 ล้านบาท   ขณะที่ยอดขาย​ ณ วันที่ 30 เมษายน 2565 เอพีสามารถสร้างยอดขายรวมได้ทั้งสิ้น 16,150 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากสินค้าแนวราบมูลค่า 13,522 ล้านบาท และคอนโดมูลค่า 2,628 ล้านบาท และมีสินค้ารอรับรู้รายได้ (Backlog) 31,939 ล้านบาท ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถสร้างรายได้รวม (รวม 100% JV) ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้มูลค่า 47,000 ล้านบาท นายวิทการ  กล่าวเพิ่มเติมว่า  ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 2 เชื่อว่าจะมีทิศทางการเติบโตที่ดีขึ้น ด้วยปัจจัยบวกทั้งในเรื่องของความกังวลของลูกค้า ต่อสถานการณ์โรคระบาดที่ลดลง ความสามารถในการรับมือที่ดีขึ้น ตลอดจนการประกาศเปิดประเทศที่มีผลต่อการขับเคลื่อนในหลายภาคอุตสาหกรรม เอพีเรายังคงเดินหน้าตามแผนที่สุดแห่งปี กับการเปิดตัวโครงการใหม่ที่มากที่สุด แบบบ้านใหม่ที่เยอะที่สุด และการขยายไปเซกเมนต์ใหม่ ๆ แบบไม่สิ้นสุด ซึ่งจะได้เห็นโครงการที่เป็นไฮไลต์สำคัญ ๆ ในช่วงครึ่งปีหลังอย่างแน่นอน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอพี ไทยแลนด์ เดินแผนพัฒนาสูงสุดในตลาด ประเดิม Q1 เปิดแนวราบ 11 โครงการ มูลค่า 9,590 ล้าน -เอพี ไทยแลนด์ เดินแผนธุรกิจปี 65 ที่สุดตลาด เปิดตัว 65 โครงการ มูลค่า 78,000 ล้าน  
แสนสิริ  ปั้นทาวน์โฮม เมืองท่องเที่ยวในฝัน  เปิดสิริ เพลส 6 โครงการ 4,200 ล้าน​

แสนสิริ ปั้นทาวน์โฮม เมืองท่องเที่ยวในฝัน เปิดสิริ เพลส 6 โครงการ 4,200 ล้าน​

สิริ เพลส แสนสิริ เดินหน้าต่อยอด สิริ เพลส Dream Destination ทาวน์โฮมคอนเซ็ปต์เมืองท่องเที่ยวในฝัน ประเดิมครึ่งปีแรก 6 โปรเจ็กต์ 4,200 ล้าน มั่นใจทั้งปีปิดเป้า 5,000 ล้าน   ตลาดบ้านและคอนโดมิเนียมในกลุ่มราคา 2-5 ล้านบาท เป็นตลาดที่มีความต้องการสูง เพราะเป็นตลาดระดับกลาง ที่คนส่วนใหญ่ของประเทศ มีความสามารถเลือกซื้อได้ ตามฐานรายได้ของมนุษย์เงินเดือน ตั้งแต่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน (First Jobber) ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จึงหันมาพัฒนาบ้านและคอนดโดในกลุ่มนี้กันจำนวนมาก   แต่จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลให้ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของคนยุคปัจจุบัน เปลี่ยนแปลงไป ทำให้การพัฒนาโครงการประเภทคอนโดลดน้อยลง หันมาพัฒนาโครงการแนวราบมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มบ้านแฝดและทาวน์โฮม เพราะเป็นสินค้าที่พัฒนาออกมาได้ในระดับราคา 2-5 ล้านบาท และอยู่ในทำเลที่สามารถเดินทางเชื่อมต่อกับโครงข่ายระบบคมนาคมต่าง ๆ ได้ง่าย   นายอาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า ปีนี้ตลาดทาวน์โฮมคาดว่าจะมีการพัฒนาและเปิดตัวใหม่เพิ่มขึ้น 40-50% จากปีที่ผ่านมา หรือมีจำนวนเปิดตัวใหม่ 50,000-60,000 ยูนิต ในจำนวนทาวน์โฮมที่คาดว่าจะเปิดตัวจำนวนมากในปีนี้นั้น แสนสิริ เองก็วางแผนเปิดตัวทาวน์โฮมมาทำตลาดจำนวน 10 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 7,700 ล้านบาท โดยมีแบรนด์เรือธงอย่าง “สิริเพลส” ที่ช่วงครึ่งปีแรกนี้วางแผนเปิดตัวซีรีย์ใหม่  สิริ เพลส Dream Destination จำนวน 6 โครงการ มูลค่า 4,200 ล้านบาท ​   สิริเพลส เปิดตัวครั้งแรกในปี 2561 โดยปีที่ผ่านมา เปิดตัวซีรีย์ Dream Destination เป็นเมืองท่องเที่ยวในฝันของคนรุ่นใหม่ เกียวโต และนิวยอร์ก จำนวน 3 โครงการรวมมูลค่า 2,100 ล้านบาท ได้แก่ สิริเพลส วงแหวน-ลำลูกกา และสิริ เพลส รังสิต-คลอง 2 ในธีมเมืองเกียวโต ส่วนสิริ เพลส บางนา-เทพารักษ์ พัฒนาในธีมเมืองนิวยอร์ก   เหตุผลที่แสนสิริ พัฒนาทาวน์โฮมในธีมเมืองท่องเที่ยว เป็นเพราะฐานลูกค้าหลักในสินค้านี้ คือ กลุ่มคนรุ่นใหม่ กลุ่มคนที่เพิ่งเริ่มต้นทำงาน และกลุ่มคนที่กำลังขยายครอบครัว มีไลฟ์สไตล์รักการเดินทางและการท่องเที่ยว เป็นเมืองในฝันที่หลายคนชื่อชอบและต้องการเดินทางไปเที่ยว แสนสิริ จึงนำเอามาใช้เป็นธีมของบ้าน ในการดีไซน์ทั้งตัวบ้านและพื้นที่ส่วนกลางให้สอดคล้องกับ 4 เมืองหลักดังกล่าว โดยในปีนี้ แสนสิริ มั่นใจว่า แบรนด์สิริ เพลส จะสามารถสร้างยอดขายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง และส่งผลให้แสนสิริมียอดขายทาวน์โฮมในปีนี้ 5,000 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมาเกือบ 70%  ที่ทำยอดขายได้ 3,000 ล้านบาท ซึ่งสิ่งที่แสนสิริมั่นใจ เนื่องจากได้รับการตอบรับดี จากโครงการที่เปิดตัวแล้ว เช่น สิริ เพลส พัฒนาการ และสิริ เพลส เมกาบางนา สามารถทำยอดขาย 60 ยูนิต มูลค่า 200 ล้านบาทในวันเปิดตัว หรือโครงการสิริ เพลส บางนา-สุวรรณภูมิ สามารถทำยอดขายได้ 120 ล้านบาทในสัปดาห์แรกของการเปิดตัว   ปัจจัยที่ทำให้ตลาดแนวราบมีดีมานด์สูงมาจาก ความต้องการใช้พื้นที่มากขึ้นในการอยู่อาศัย การทำงานจากที่บ้าน และบางส่วนก็ขายของออนไลน์​​อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง  -แสนสิริ เปิด 18 คอนโด มูลค่า 11,000 ล้าน จับตลาดเรียลดีมานด์กลุ่ม Affordable
สถาพร เอสเตท  รีเฟรชแบรนด์ใหม่สู่ “SE”  ปูทางเข้าจดทะเบียนใน SET

สถาพร เอสเตท รีเฟรชแบรนด์ใหม่สู่ “SE” ปูทางเข้าจดทะเบียนใน SET

สถาพร เอสเตท สถาพร เอสเตท บุกทำเลใจกลาง CBD จับตลาด Mid to High  พร้อมรีเฟรชแบรนด์ใหม่ “SE” หวังสร้างการจดจำ เข้าถึงง่าย​ ปูทางเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในปี 68 เดินหน้าปั้นโปรเจ็กต์ปีละ 3,000 ล้าน   “สถาพร เอสเตท” บริษัทผู้พัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภทคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม ที่เริ่มต้นการพัฒนาโครงการมานานกว่า 28 ปี เริ่มแรกพัฒนาโครงการในโซนจังหวัดสมุทรปราการ พื้นที่ตอนเหนือและตะวันออกของกรุงเทพฯ เป็นหลัก ภายใต้การบริหารงานของ นายสุนทร สถาพร กรรมการผู้จัดการ บริษัท สถาพร เอสเตท จำกัด หรือ SE   แต่สำหรับปี 2565 สถาพร เอสเตท ได้ขยับทำเลการพัฒนาโครงการเข้ามาในเมืองมากขึ้น เพราะมองเห็นโอกาส และช่องว่างทางการตลาด รวมถึงการพัฒนาโครงการในระดับราคาที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่ม Mid to High เพราะกำลังซื้อสูง หลังจากปีที่ผ่านมาได้ศึกษาตลาด และศึกษากลุ่มลูกค้า และได้รับการตอบรับที่ดี อย่างเช่น โครงการเดอะ เชดด์ สาทร 1 ที่สามารถทำยอดขายไปได้แล้วเกือบ 50% ถือเป็นโครงการคอนโดแห่งแรกที่บุกตลาดในย่านศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) ในปีนี้จึงพร้อมที่จะบุกตลาดอย่างต่อเนื่อง สถาพร เอสเตท ปั้นคอนโดใจกลาง CBD กลยุทธ์สำคัญของปี 2565  คือ การพัฒนาโครงการคอนโดในย่านศูนย์กลางธุรกิจ หรือ CBD ซึ่งวางแผนเปิดตัวโครงการเดอะ คราวน์ เรสซิเดนท์เซส (THE CROWN Residences) คอนโดไฮไรซ์ระดับลักซ์ชัวรี่ บนถนนพระราม 4  ซึ่งแม้ว่าตลาดเส้นทางของถนนเส้นนี้ จะมีการพัฒนาโครงการขนาดใหญ่มากมาย แต่สถาพร เอสเตท กลับมองว่าตลาดยังมีโอกาสและศักยภาพในการที่พัฒนาโครงการขึ้น จากมองเห็นใน 3 ปัจจัยสำคัญ 1.ที่ดินใจกลาง CBD มีจำกัด พื้นที่ใจกลางเมืองที่เป็นย่านใจกลางธุรกิจ ปัจจุบันที่ดินนอกจากจะมีราคาแพงแล้ว ยังหาซื้อมาพัฒนาได้ยาก เนื่องจากถูกจับจองไว้หมดแล้ว และเจ้าของที่ดินบางรายก็ไม่อยากขาย ทำให้คอนโดหลายโครงการ ถูกพัฒนาในรูปแบบสิทธิการเช่าถือครองกรรมสิทธิ์ หรือ Leasehold เพราะเจ้าของที่ดินยังมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินผืนนั้น   การที่สถาพร เอสเตท สามารถซื้อที่ดินมาพัฒนาโครงการได้ จึงถือว่าเป็นข้อได้เปรียบในการแข่งขันสำคัญ เพราะ​ผู้ซื้อสามารถมีสิทธิ์ในการถือกรรมสิทธิ์คอนโดนั้นตลอดไป ซึ่งเป็นการพัฒนาโครงการในรูปแบบซื้อขาดหรือ Freehold 2.ทำเลยังมีช่องว่างให้แข่งขัน หัวใจความสำเร็จสำคัญของธุรกิจอสังหาฯ คือ เรื่องทำเลที่ตั้ง ซึ่งโครงการเดอะ คราวน์ เรสซิเดนท์เซส ตั้งอยู่บนถนนพระราม 4 อยู่ระหว่างสถานทีรถไฟฟ้า MRT สถานีคลองเตยและสวนลุมพินี ในระยะการเดินประมาณ​ 400 เมตร ที่ถือว่ายังไม่มีคู่แข่งในพื้นที่รัศมีดังกล่าว แม้ว่าโดยรอบสถานีของรถไฟฟ้า ทั้งสถานีคลองเตยและสวนลุมพินีจะมีโครงการที่เปิดตัวก่อนหน้า และกำลังจะเปิดตัวขายก็ตาม แต่ถือว่าไม่ได้อยู่ในรัศมี 400 เมตร 3.ดีมานด์สูงจากแหล่งงานโดยรอบ แม้ว่าช่วงที่ผ่านมา ตลาดคอนโดจะเปิดตัวน้อย อย่างในปีที่ผ่านมาเปิดตัวใหม่ประมาณ 70,000-80,000 ยูนิต  แต่ทิศทางตลาดคอนโดเริ่มปรับตัวดีขึ้น ภายหลังจากการแพร่ระบาดโควิด-19 เริ่มลดระดับความรุนแรงลง ส่งผลให้คนเริ่มหันกลับมาซื้อคอนโดเพื่อใช้อยู่อาศัย และการซื้อเพื่อลงทุน เห็นได้จากไตรมาสแรกที่ผ่านมา ภาพรวมตลาดคอนโดมียอดขายประมาณ 29,000-30,000 ยูนิต   ไม่ใช่แค่สัญญาณการฟื้นตัวของตลาดคอนโดในปี 2565 ที่ปรับตัวดีขึ้นเท่านั้น แต่หากวัดจากทำเลที่ตั้ง ซึ่งอยู่ท่ามกลางแหล่งงานขนาดใหญ่ทั้งปัจจุบันและอนาคต การพัฒนาโครงการในทำเลนี้ ก็สามารถรองรับกับความต้องการของพนักงานต่าง ๆ เหล่านั้นได้ด้วย โดยเฉพาะการตั้งอยู่ฝั่งตรงกันข้ามกับโครงการวัน แบงค็อก (One Bangkok) อภิมหาโปรเจ็กต์มูลค่ากว่า 120,000 ล้านบาท ของตระกูลสิริวัฒนะภักดี  ที่จะมีทั้งศูนย์การค้า โรงแรม สำนักงานให้เช่า และคอนโด แม้ว่าจะมีพื้นที่พักอาศัย แต่คาดว่าจะไม่สามารถรองรับ ความต้องการที่อยู่อาศัยของคนในพื้นที่นี้ได้เพียงพอ   ขณะที่พื้นที่ใกล้เคียงยังมีอาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า และสถานศึกษาอีกมากมาย ที่จะเข้ามาเป็นดีมานด์สำหรับโครงการได้อย่างเพียงพอ ที่สำคัญโครงการนี้มีจำนวนห้องชุดเพียง 183 ยูนิต ซึ่งถือว่ามีจำนวนไม่มาก รีเฟรชแบรนด์เตรียมจดทะเบียนใน SET สถาพร เอสเตท ในปีนี้ได้รีเฟรชแบรนด์ ด้วยการปรับสีและรูปแบบโลโก้ให้มีความทันสมัย เห็นแล้วสามารถจดจำได้ง่าย และรู้ว่าเป็นบริษัทอะไร ซึ่งได้ใช้ตัวอักษรย่อ  SE มาเป็นหนึ่งในองค์ประกอบของโลโก้  โดยตัวอักษรย่อ SE ได้ถูกใช้ครั้งแรกเมื่อ 4 ปีที่ผ่าน แต่ครั้งนี้ปรับโลโกใหม่ให้ดูทันสมัยมากขึ้น   นอกเหนือจากการรีเฟรชแบรนด์ เพื่อให้ผู้ที่พบเห็นสามารถจดจำได้ง่ายแล้ว เป้าหมายในอนาคต อักษรย่อ SE จะเป็นตัวย่อของบริษัทใน SET Index หรือตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยด้วย ซึ่งถือเป็นแผนงานในอนาคตที่บริษัทต้องการก้าวไปถึง ปัจจุบันอยู่ระหว่างการดำเนินการขั้นตอนต่าง ๆ แต่คาดว่าน่าจะสามารถนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ประมาณปี 2568   สำหรับรูปแบบโลโก้ใหม่ ถูกดีไซน์เพื่อชูแนวคิดหลักในการดำเนินธุรกิจ นั่นคือ “PASSION FOR LIVING WELL” โดยสื่อถึงความมุ่งมั่นในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี โดยใส่ใจและให้ความสำคัญในทุกรายละเอียดของการออกแบบ ตั้งแต่รูปแบบดีไซน์ที่มองเห็น ไปจนถึงทุกสัมผัสที่อาจมองไม่เห็น แต่รับรู้ได้ด้วยความรู้สึก ผสมผสานกับการพัฒนาเทคโนโลยี และการนำนวัตกรรมสิ่งแวดล้อมเข้ามาใช้ เพื่อตอบสนองชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ทั้งในวันนี้และวันข้างหน้า เปิด 3 โปรเจ็กต์จับกลุ่ม Mid to High แผนการเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2565  บริษัทได้เตรียมเปิดตัว 3 โครงการใหม่ รวมมูลค่ากว่า 3,306 ล้านบาท ได้แก่ 1.โครงการเดอะ คราวน์ เรสซิเดนท์เซส (THE CROWN Residences) คอนโดไฮไรซ์ลักซ์ชัวรี่ สูง 32 ชั้น จำนวนห้องชุด 183 ยูนิต มูลค่ากว่า 2,016 ล้านบาท โครงการอยู่ติดถนนพระราม 4 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน ทั้งสถานีลุมพินี และคลองเตย รวมถึงจุดขึ้น - ลง ทางด่วนพิเศษเฉลิมมหานคร เพียง 5 นาที ในราคา 6 - 20 ล้านบาท ราคาเฉลี่ย 250,000 บาทต่อตารางเมตร   2.โครงการดิ อิเธอร์นิตี้ โกร์ฟ สายไหม – พหลฯ (THE ETERNITY GROVE SAIMAI – PHAHOL​) โครงการบ้านเดี่ยว ภายใต้แนวคิด “Make it yours” จำนวน 92 ยูนิต มูลค่าโครงการ 560 ล้านบาท โครงการตั้งอยู่ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้ง สถานีคูคต และสถานี กม.25 ประมาณ 3 กิโลเมตร ในราคาเริ่มต้น 5.9 ล้านบาท มีกำหนดเปิดพรีเซลล์ในเดือนกรกฎาคมนี้   3.โครงการ ดิ อิเธอร์นิตี้ พระราม 9 - วงแหวน (THE ETERNITY RAMA 9 - WONGWAEN) โครงการบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ ใจกลางย่านพระราม 9 - วงแหวน เพียง 70 ยูนิต มูลค่าโครงการ 730 ล้านบาท ในราคาเริ่มต้น 9 ล้านบาท โดยกำหนดเปิดพรีเซลล์ในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ 3 กลยุทธ์ปั้นโปรเจ็กต์ปีละ 3,000 ล้าน โดยปี 2565 นี้ สถาพร เอสเตท ตั้งเป้ายอดขายไว้กว่า 2,400 ล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วนสำหรับโครงการแนวสูงอยู่ที่ 1,386 ล้านบาท หรือคิดเป็น 58% และโครงการแนวราบอยู่ที่ 1,014 ล้านบาท หรือคิดเป็น 42% พร้อมตั้งเป้ายอดโอนกรรมสิทธิ์ไว้กว่า 1,280 ล้านบาท   การพัฒนาโครงการในอนาคต ยังวางกรอบการลงทุนให้มีมูลค่าโครงการปีละประมาณ 3,000 ล้านบาท อย่างน้อยปีละ 3 โครงการ พร้อมกับได้บริหารธุรกิจระหว่างบ้านแนวราบและคอนโด (Balance Portfolio) ให้มีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน โดยใช้ 3 กลยุทธ์สำคัญในการรุกตลาดที่ตอบโจทย์ความต้องการในทุกด้านของการอยู่อาศัย  ได้แก่ 1.ไม่ปั๊มโครงการ สถาพร เอสเตท จะออกแบบ (DESIGN) โครงการแต่ละแห่งไม่ซ้ำกัน โดยยึดการออกแบบให้เหมาะสมกับทำเล และความต้องการของลูกค้าในแต่ละพื้นที่ ซึ่งจะมุ่งเน้นการอยู่อาศัยให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อมต่าง เช่น วางผังบ้านหันหน้าไปทางทิศเหนือ-ทิศใต้ และวางผังโครงการอาคารคลับเฮาส์ รวมกับซุ้มด้านหน้าโครงการ เพื่อช่วยลดเสียง มลภาวะที่จะเข้ามาภายในโครงการ และสร้างความเป็นส่วนตัวให้กับผู้อยู่อาศัย  การเลือกใช้วัสดุสมัยใหม่ ที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมที่แตกต่าง และหรูหรา เพื่อให้บ้านมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว หรือบ้านในรูปแบบ LIVE GREEN, BE WELL เพื่อตอบไลฟ์สไตล์ลูกค้ากลุ่ม “GREEN EXPERIENCER” 2.ปรับเปลี่ยนพื้นที่ตามไลฟสไตล์ เรื่องของการใช้งาน หรือ FUNCTIONAL สถาพร เอสเตท จะเน้นการพัฒนาพื้นที่ให้ครอบคลุมทุกฟังก์ชั่นการใช้งาน นำเทคโนโลยีและนวัตกรรมสิ่งแวดล้อมเข้ามาใช้ในโครงการต่าง ๆ เพื่อความสะดวกสบาย ไม่ว่าจะเป็น การปรับเปลี่ยนพื้นที่ชั้น 2 ของบ้านให้เป็นห้องนอนเพิ่ม หรือปรับเปลี่ยนห้องอเนกประสงค์ให้เป็นห้องพักผ่อน หรือมุมสำหรับ Work From Home และยังพัฒนาพื้นที่สำหรับลูกค้าที่มีความต้องการแตกต่างกัน เช่น ที่จอดรถ และสระว่ายน้ำสำหรับเด็กและผู้ใหญ่ เพื่อตอบ  ไลฟ์สไตล์ในแบบ “HUMAN TOUCH LIVABLE” 3.ส่วนกลางตอบโจทย์การอยู่อาศัย พื้นที่ส่วนกลางของโครงการ เป็นอีกจุดสำคัญที่ สถาพร เอสเตท เน้นการพัฒนาพื้นที่ส่วนกลางให้มีความครบครัน (PRODUCT FACILIITY)เพื่อให้สามารถตอบรับกับทุกไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย ได้แก่ สระว่ายน้ำทรงอิสระ (Free Form) ที่มีความต่อเนื่องกับสวนส่วนกลาง, พื้นที่สำหรับส่งเสริมพัฒนาการของเด็ก, ทางเดินสำหรับออกกำลังกายของผู้อยู่อาศัยภายในโครงการ  เพื่อตอบวิถีชีวิตแบบ “WELL BEING LIFESTYLE” ทั้งหมด คือแผนงานและกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปี 2565 ที่ยังมองว่าตลาดยังมีโอกาส และสามารถสร้างการเติบโตให้กับบริษัทได้ แม้ว่าปีนี้จะยังมีปัจจัยลบอยู่บ้าง เช่น ค่าวัสดุก่อสร้างและต้นทุนที่เพิ่มขึ้น แต่จากช่วงก่อนหน้านี้ ได้มีการวางแผนและเตรียมตัวไว้แล้ว ก็น่าจะผ่านพ้นไปได้ และตลาดคงจะฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องด้วย ​ซึ่งคงทำให้ทำยอดขายและรายได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ ​​​   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -“วัน แบงค็อก” ดึง 6 ผู้รับเหมาพัฒนาเฟสแรก พื้นที่ 1.3 ล้านตร.ม.เสร็จใช้ปี 66
DTGO คว้ารางวัลองค์กรมีจริยธรรมมากที่สุดในโลก ปี 2022 แห่งแรกของไทยที่ได้รับต่อเนื่องถึง 4 ปีซ้อน

DTGO คว้ารางวัลองค์กรมีจริยธรรมมากที่สุดในโลก ปี 2022 แห่งแรกของไทยที่ได้รับต่อเนื่องถึง 4 ปีซ้อน

DTGO คว้ารางวัลองค์กรมีจริยธรรมมากที่สุดในโลก ประจำปี 2022 หนึ่งใน 135 องค์กรทั่วโลก และเป็นองค์กรแรกของไทยที่ได้รับต่อเนื่องถึง 4 ปีซ้อน จากการวางเป้าหมายสำคัญ ในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้ทุกคนและสังคม ตามอุดมการณ์ ​ “Adding Value in Everything We Do” พร้อมจัดสรรงบ 2% ของรายรับสูงสุด ดำเนินโครงการภาคสังคม   รายงานข่าวจาก บริษัท ดีทีจีโอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ DTGO  เปิดเผยว่า สถาบัน Ethisphere ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกในการกำหนดและพัฒนามาตรฐานการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม ได้คัดเลือกให้ DTGO เป็นหนึ่งในองค์กรที่ดำเนินงานอย่างมีจริยธรรมมากที่สุดในโลกประจำปี 2022 หรือ 2022 “World’s Most Ethical Companies”   โดยในปี 2022 มีองค์กรที่ได้รับการคัดเลือกจากสถาบัน Ethisphere ให้เป็นองค์กรที่ดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรมทั้งสิ้น 135 องค์กร จาก 22 ประเทศ และ 45 กลุ่มอุตสาหกรรม ซึ่ง DTGO ได้รับรางวัล “World’s Most Ethical Companies” ติดต่อกันถึง 4 ปี นับตั้งแต่ได้รับครั้งแรกในปี 2019 นับเป็น​องค์กรภาคธุรกิจแห่งแรกในประเทศไทย ที่สามารถคว้ารางวัลดังกล่าวต่อเนื่องถึง 4 ปีซ้อน     สำหรับ DTGO ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2536 เป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญด้านธุรกิจและสังคม มีเป้าหมายสำคัญในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดี ให้กับทุกคนและสังคมทุกรุ่น ภายใต้อุดมการณ์ “Adding Value in Everything We Do” หรือการเพิ่มคุณค่าในทุกสิ่งที่ทำ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อคนส่วนรวม   โดย DTGO ดำเนินธุรกิจมากมายหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ นำโดยบริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ จำกัด (MQDC) ธุรกิจการเงินดิจิตอล นำโดยบริษัทดิจิต้าไลฟ์  จำกัด ธุรกิจเทคโนโลยี ซึ่งเป็นการร่วมทุนเพื่อส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยร่วมก่อตั้งบริษัทโอโบดรอยด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (Obodroid) และ บริษัทโอโบตรอนส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (Obotrons) ในการพัฒนาเทคโนโลยีหุ่นยนต์และนวัตกรรม รวมถึง Home Intelligent Systems ธุรกิจการค้าที่มีบริษัทดี ซูพรีม คอร์ปอเรชั่น จำกัดเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดหาและการค้าระดับโลก และธุรกิจพลังงาน โดยบริษัทยูนิสัส กรีน เอ็นเนอร์จี จำกัด ในการออกแบบและดำเนินงานด้านระบบพลังงานและสาธารณูปโภคที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เป็นต้น   จากความหลากหลายทางธุรกิจ ส่งผลให้ DTGO มีความเชี่ยวชาญด้านต่าง ๆ ซึ่งทำให้ DTGO สามารถรับมือกับความท้าทายต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี รวมถึงการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยในปี 2564 ที่ผ่านมา MQDC หนึ่งในกลุ่มธุรกิจของ DTGO ได้ร่วมจัดตั้งโรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจ โรงพยาบาลสนามภาคเอกชนแห่งแรกในไทย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งโครงการที่บริษัทฯ ได้ริเริ่มให้กับสังคม   โดยโรงพยาบาลสนามแสงแห่งใจนี้ นับเป็นการบูรณาการทักษะความรู้ของกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นด้านเทคโนโลยีโดยโอโบดรอยด์ คอร์ปอเรชั่น ที่พัฒนา “ไข่ต้ม ฮอสพิทอล” (KaitommHospital) หรือระบบ Telemedicine Tablet สำหรับให้เจ้าหน้าที่และบุคลากรทางการแพทย์สื่อสารกับผู้ป่วยแบบไร้การสัมผัส หรือพัฒนา “หุ่นยนต์ปิ่นโต” ผู้ช่วยอัจฉริยะที่ทำหน้าที่ส่งอาหาร เครื่องดื่ม และยาภายในโรงพยาบาลสนาม   ทุ่มงบ 2% เพื่อกิจการสังคม DTGO ได้ให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมเพื่อสังคม จึงดำเนินงานภายใต้แนวทาง Social Integrated Business อย่างมุ่งมั่น พร้อมกับมีการจัดสรร 2% ของรายรับสูงสุด ให้กับการริเริ่มและดำเนินโครงการภาคสังคมด้านต่าง ๆ มากมาย ซึ่งรวมถึงมูลนิธิพุทธรักษาที่เน้นด้านการศึกษา สมาคมบลูคาร์บอนโซไซตี้ ที่เน้นด้านสิ่งแวดล้อม อีกทั้งงานด้านสาธารณสุขที่ร่วมมือกับองค์กรและมูลนิธิต่าง ๆ เป็นต้น   สำหรับการได้รับเลือกให้เป็นหนึ่งใน World’s Most Ethical Companies ถึง 4 ปีซ้อน ถือเป็นการตอกย้ำถึงการ “ดำเนินงานบนพื้นฐานของหลักจริยธรรม” ตามมาตรฐานระดับโลกของ DTGO  เนื่องจากการประเมินของสถาบัน Ethisphere มีความเข้มงวด และมีระบบการประเมินมาตรฐานระดับสากล ภายใต้ระบบการประเมิน Ethics Quotient (EQ) ซึ่งผู้ที่จะได้รับการคัดเลือก ต้องผ่านเกณฑ์ภายใต้ 5 หมวดหลัก ได้แก่ 1.ด้านกระบวนการดำเนินงาน 2.ด้านจริยธรรมและการกำกับดูแล 3.ด้านการสร้างวัฒนธรรมด้านจริยธรรม 4.ด้านหน้าที่และความรับผิดชอบขององค์กรในฐานะพลเมืองที่ดี 5.ด้านการกำกับดูแลกิจการ และด้านความเป็นผู้นำและชื่อเสียงขององค์กร   นอกจากนี้ สมาชิกองค์กรทุกคนที่ DTGO เชื่อว่าจริยธรรมและความซื่อสัตย์เป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จอย่างยั่งยืนขององค์กร อีกทั้งความสำเร็จทางธุรกิจจะมีส่วนทำให้บรรลุเป้าหมายในการช่วยสังคมและโลกใบนี้ รวมไปถึงส่งเสริมการอนุรักษ์ระบบนิเวศและทำให้ทุกคนค้นพบศักยภาพสูงสุดในชีวิต (สามารถดูข้อมูลเกี่ยวกับ DTGO เพิ่มเติมได้ที่ www.dtgo.com)   รายชื่อองค์กรที่ได้รับคัดเลือกให้เป็นองค์กรที่ดำเนินงานอย่างมีจริยธรรมประจำปี 2565 https://worldsmostethicalcompanies.com/honorees.   บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ เปิดขายบ้าน-คอนโดใน “เดอะ ฟอเรสเทียส์” ทำอสังหาฯ ต้องแตกต่าง MQDC เปิด Whizdom Club    
[PR News] แสนสิริจับมือ​ขายหัวเราะ ส่ง​แคมเปญ “บ้านนี้ ฮะ ฮะ ฮ่า”  กวาดยอดขาย 8,200 ล้าน

[PR News] แสนสิริจับมือ​ขายหัวเราะ ส่ง​แคมเปญ “บ้านนี้ ฮะ ฮะ ฮ่า” กวาดยอดขาย 8,200 ล้าน

แสนสิริจับมือ​ขายหัวเราะ แสนสิริจับมือ​ขายหัวเราะ ขนทัพแก๊งการ์ตูนทั้ง “หนูหิ่น ปังปอนด์ บ.ก.วิติ๊ด” จัดแคมเปญ  “โปรอารมณ์ดี” โกยยอดขายกว่า 8,200 ล้าน​ ดันยอดขายรวมปีนี้ 35,000 ​ล้าน   นางสาวชลีรัตน์ ต่อจรัส ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดองค์กร บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า แสนสิริ สานต่อกลยุทธ์ Partnership Game หลังจากประสบความสำเร็จในปีที่ผ่านมากับการจับมือกับบาร์บีคิว พลาซ่า  ที่สร้างกระแส talk of the town กวาดยอดขายทะลุเป้ากว่า 7,000 ล้านบาท   ในปีนี้ แสนสิริจับมือขายหัวเราะ ​ แบรนด์คาแรคเตอร์การ์ตูนดังของไทย ส่งแคมเปญ “บ้านนี้ ฮะ ฮะ ฮ่า” เพื่อรุกตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ ในกลุ่มเซ็กเมนท์ affordable ซึ่งสอดคล้องกับแผนกลยุทธ์การเปิดตัวโครงการใหม่ของแสนสิริในปีนี้ ที่มีสัดส่วนมากกว่า 50% อาทิ สิริ เพลส, คอนโดมี เดอะ มูฟ เป็นต้น ผ่านคาแรกเตอร์การ์ตูนขายหัวเราะที่ทำให้คนเข้าถึงแบรนด์และเข้าใจจุดเด่นของแสนสิริได้ง่ายขึ้น เป็นครั้งแรกที่มีการครีเอทภาพคาแรคเตอร์การ์ตูนของคุณเศรษฐา  ทวีสิน ซีอีโอ มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสื่อสารผ่านแคมเปญนี้ด้วย  สำหรับทิศทางกลยุทธ์การรุกตลาดอสังหาฯในไตรมาส 2 นี้ แคมเปญ “บ้านนี้ ฮะ ฮะ ฮ่า” จะสร้างประสบการณ์ความสุขและเสียงหัวเราะให้กับคนไทยอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ผ่านแก๊งคาแรคเตอร์ตัวการ์ตูนของ ขายหัวเราะที่คนไทยรู้จักกันดีอย่าง หนูหิ่น, ปังปอนด์, บ.ก.วิติ๊ด มาเล่าความต้องการที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ ในฐานะ End-User ตัวแทนของคนอยากมีบ้านอย่างเข้าถึงอินไซต์ของลูกค้า ตั้งแต่ดีไซน์-ฟังก์ชัน-บริการ ที่เป็นจุดเด่นเหนือคู่แข่งของแสนสิริ ตลอดจนกิจกรรม CSR ที่แสนสิริช่วยเหลือสังคมอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับโปรโมชั่น “โปรอารมณ์ดี” กับข้อเสนอพิเศษ โดยตั้งเป้าสร้างยอดขายจากแคมเปญนี้กว่า 8,200 ล้านบาท นางสาวชลีรัตน์  กล่าวอีกว่า แสนสิริ เชื่อมั่นว่าความร่วมมือกับขายหัวเราะ จะช่วยผลักดันให้ยอดขายรวมแสนสิริเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 35,000 ล้านบาทในปีนี้ ตลอดจนสามารถขยายฐานลูกค้าได้อย่างครอบคลุมทุกกลุ่มทุกเจเนอเรชั่นมากขึ้น ผ่านกลุ่มลูกค้าของขายหัวเราะ   ด้านนางสาวพิมพ์พิชา อุตสาหจิต กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทเครือบันลือกรุ๊ป กล่าวว่า แสนสิริ เป็นแบรนด์อสังหาฯ ที่กล้าทำการตลาดรูปแบบใหม่ ๆ สามารถสร้างกระแสความสนใจจากคนไทยได้อยู่เสมอ  ซึ่งนับว่าเป็นครั้งแรกขายหัวเราะที่ได้มาร่วมมือกับแบรนด์อสังหาฯ   แสนสิริจับมือขายหัวเราะ ครั้งนี้จะเป็นการร่วมกันสร้างความสุข ผ่านคาแรคเตอร์ตัวการ์ตูนในเครือขายหัวเราะ ในฐานะ End-User มากกว่าจะเป็นแค่พรีเซ็นเตอร์ อย่างหนูหิ่น บ.ก.วิติ๊ด ปังปอนด์ รวมไปถึงคาแรคเตอร์การ์ตูนอื่น ๆ ที่คนไทยคุ้นเคยตั้งแต่นางยักษ์, เทพารักษ์, โจรมุมตึก ฯลฯ ไปจนถึงแก๊กความขำอื่น ๆ  มาเล่าเรื่องราวของแบรนด์แสนสิริ โดยสร้างสรรค์คอนเทนต์ออกมาหลากรูปแบบและหลายแพลตฟอร์ม เผยแพร่ไปยังช่องทางแสนสิริและขายหัวเราะ”   สำหรับแคมเปญ “บ้านนี้ ฮะ ฮะ ฮ่า” สร้างสรรค์ในรูปแบบสื่อที่มีความหลากหลายและในหลากหลายแพลตฟอร์ม ทั้งคลิปวิดีโอสั้น, นสพ.แทบลอยด์ การจัดกิจกรรมร่วมกับลูกบ้าน รวมถึงการนำการ์ตูนและแก๊กมุกตลกต่าง ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของขายหัวเราะ มาผสมผสานกับภาพโครงการแสนสิริ เพื่อบอกเล่าความเป็นแบรนด์แสนสิริ   นอกจากนี้ ยังมีการสร้างกระแสไวรัลโซเชียล ผ่าน Story telling กับตัวการ์ตูนต่าง ๆ ให้ออกมาโลดแล่นบน โลกจริง อาทิ Troop แก๊งการ์ตูนบุกเมืองแจกแท็บลอยด์กลางสี่แยก, Installation Arts ตามโครงการต่างๆ  ของแสนสิริทั้งบ้านเดี่ยว คอนโดมิเนียม และทาวน์โฮม, กิจกรรม DIY ทำเสื้อใหม่กับขายหัวเราะ ให้ลูกบ้านรณรงค์รักษ์โลกลดโลกร้อน โดยนำเสื้อเก่ามาสร้างสีสันใหม่ด้วยสติ๊กเกอร์แก๊งค์ขายหัวเราะ เป็นต้น     อ่านข่าวเพิ่มเติม -แสนสิริ เปิด 18 คอนโด มูลค่า 11,000 ล้าน จับตลาดเรียลดีมานด์กลุ่ม Affordable
เปิดวิชั่น  “พีระพงศ์ จรูญเอก”  นายก สมาคมอาคารชุดไทย​ คนใหม่

เปิดวิชั่น “พีระพงศ์ จรูญเอก” นายก สมาคมอาคารชุดไทย​ คนใหม่

นายกสมาคมอาคารชุด สมาคมอาคารชุดไทย ถือเป็นหนึ่งสมาคมในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย ที่ถือว่ามีบทบาทและส่วนสำคัญ ในการเป็นเสียงสะท้อนความต้องการของผู้ประกอบการ และผู้บริโภคส่วนใหญ่ของคนที่ต้องการซื้ออสังหาฯ ประเภทคอนโดมิเนียม ที่ผ่านก็มีบทบาทสำคัญในการผลักดัน และส่งเสริมการเติบโตให้กับตลาดคอนโดในหลายด้านด้วยกัน    ล่าสุด ได้มีการจัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2564 เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2565 ที่โรงแรมอโนมา แกรนด์ กรุงเทพฯ ซึ่งหนึ่งในวาระสำคัญครั้งนี้ คือ การเลือกนายกสามาคมคนใหม่ เพื่อสานงานต่อจากนายกสมาคมคนเดิม คือ ดร.อาภา อรรถบูรณ์วงศ์ ซึ่งจากมติที่ประชุมได้คัดเลือกให้ นายพีระพงศ์​ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ​ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมอาคารชุดไทย  วาระประจำปี 2565-2566 ในการประชุมใหญ่ ปี 65 คอนโดกำลังฟื้นตัว นายกสมาคมอาคารชุดไทยคนใหม่ ได้ฉายภาพทิศทางของธุรกิจคอนโดภายหลังจากเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ว่า ปัจจุบันตลาดคอนโดได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดในช่วงที่ผ่านมาแล้ว และกำลังจะเข้าสู่การฟื้นตัว แม้ว่าที่ผ่านมาความต้องการของคนส่วนใหญ่คือ การอยู่อาศัยในบ้านแนวราบมากขึ้น เพราะต้องการพื้นที่ใช้สอย แต่จากปัจจุบันราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลต่อค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางของคนส่วนใหญ่ ก็จะทำให้เกิดความต้องการในตลาดคอนโดกลับคืนมาด้วย 9 เดือนต่อจากนี้ตลาดคอนโดจะทยอยฟื้นตัวดีขึ้นเรื่อย ๆ  ในทุกไตรมาสนับตั้งแต่ไตรมาสแรก ภาพรวมอสังหาฯ เริ่มปรับตัวดีถึงแม้จะเจอโควิดสายพันธุ์โอไมครอน เห็นได้จากยอดขายไตรมาสแรกเพิ่มมากขึ้น ที่ผ่านมาคอนโดไม่ได้เปิดโครงการใหม่ และยังระบายสต็อกกันไปจำนวนมาก​ โดยตลาดคอนโดคาดว่าจะฟื้นตัวในปี 2566 ถ้าเทียบปีฐานคือ 2562 ก่อนเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19  แต่ช่วงต้นปีนี้ที่เกิดความขัดแย้งระหว่างยูเครนและรัสเซีย ส่งผลให้ราคาพลังงาน ค่าขนส่ง และเหล็กปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากเป็นต้นทุนซึ่งจะแปรผันตามราคาน้ำมัน  และทำให้ภาพรวมของค่าก่อสร้างปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 5-10%   อย่างไรก็ตาม ต้นทุนค่าก่อสร้างมีสัดส่วน 1ใน 3 ของราคาขาย ซึ่งส่งผลกระทบกับอัตรากำไรขั้นต้นมากกว่า ที่จะปรับราคาเพิ่มขึ้น ผู้ประกอบการอาจจะต้องยอมรับกับมาร์จิ้นที่ลดลงบ้าง และควรปรับราคาเมื่อมีความต้องการเพิ่มมากขึ้นกว่านี้ เนื่องจากปัจจุบันความต้องการยังถือว่าเปราะบาง ซึ่งแนวโน้มราคาน่าจะปรับตัวเพิ่มขึ้นในปีหน้าในอัตรา 3-4% หรืออาจจะถึง 5% จากภาวะปกติที่มีการปรับราคาขึ้นในอัตราเฉลี่ย 7-8%   นายพีระพงศ์ เชื่อว่า ปีนี้ราคาคอนโดยังเหมือนเดิม  เพราะเราปรับตัวด้วยการไปลดการออกแบบที่ฟุ่มเฟือย อย่างเช่น การลดพื้นที่ส่วนการลง เช่น สระว่ายน้ำเหลือ 10-20 เมตร จากเมื่อก่อนทำขนาด 50 เมตร ต้องยอมรับมาร์จิ้นลดลง เช่นเคยได้มาร์จิ้น 30% เอาแค่ 28% ก็พอ หรือเคยได้ 35% เอาแค่ 33% ก็พอ เพราะยังมี​สต็อกเหลืออยู่ ​ และหลังจากที่กำลังออกจากโควิด-19 ก็มาเจอรัสเซีย ยูเครน  แล้วยังเจอต้นทุนค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทั้งอาหาร น้ำมัน​ ทำให้อารมณ์ในการซื้อน้อยลง กระทบดีมานด์  เพราะปัจจัยเสี่ยงที่สุดของคอนโดในปี 2565 คือ เรื่องของกำลังซื้อ ​ คอนโดคิดใหม่ ทำห้องใหญ่ขึ้น​ การพัฒนาคอนโดหลังจากนี้ สิ่งที่ผู้ประกอบการต้องพิจารณา คือ วิธีการออกแบบคอนโดให้ตรงกับไลฟ์สไตล์และความต้องการของกลุ่มลูกค้า ที่อาจจะต้องทำห้องให้ใหญ่ขึ้น เพื่อรองรับกับความต้องการใช้พื้นที่เพื่อทำกิจกรรมของผู้อยู่อาศัยมากขึ้น เหมือนการใช้ชีวิตในบ้าน ทั้งใช้ในการทำงาน การเรียน และขายของออนไลน์ เพราะปัจจุบันหลายบริษัทให้พนักงานทำงานจากที่บ้านได้ ​ถือเป็นเรื่องใหม่ที่เกิดหลังจากโควิด-19   นายกสมาคมอาคารชุด กล่าวอีกว่า จากความต้องการของกลุ่มลูกค้าดังกล่าว ส่งผลให้ผู้พัฒนาโครงการคอนโดต้องมีขนาดห้อง 50 ตร.ม. จากปกติพัฒนาขนาดไม่เกิน 30 ตร.ม. และต้องขยายไปยังทำเลที่เป็นส่วนต่อขยายของรถไฟฟ้า ทั้งในสายปัจจุบันและสายที่เกิดขึ้นใหม่ ๆ ในทำเลที่สามารถเดินมาขึ้นรถไฟฟ้าได้ประมาณ 100 เมตร  เพื่อชิงส่วนแบ่งทางการตลาดจากกลุ่มบ้านแนวราบ ที่เป็นกลุ่มทาวน์เฮ้าส์ราคา 3 ล้านบาท แต่อยู่ห่างจากสถานีรถไฟฟ้า 2-3 กิโลเมตร ส่วนคอนโดขนาดเล็กหรือคอนโดจิ๋วยังมีดีมานด์อยู่ แต่กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนโสด หรือมีแฟนอยู่กันแค่ 2 คน   ดังนั้น ผู้ประกอบการที่ทำคอนโดต้องปรับตัว จับเทรนด์ให้ได้ว่า หลังโควิดลูกค้าต้องการอะไร เพราะหลายคนกลับไปอยู่ทาวน์เฮ้าส์แถววงแหวนรอบนอก ไม่อยู่ซิตี้คอนโดอีกต่อไป การทำคอนโด 2 ห้องนอน ราคา 3 ล้านแต่อยู่ติดสถานี จะเป็นตัวเลือกแข่งกับตลาดทาวน์เฮ้าส์ได้ จากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง ผู้ประกอบการต้องพยายาททำให้ราคาถูกที่สุดเท่าที่จะทำได้  โดยระดับราคา 70,000-80,000 บาทต่อตร.ม. ยังเป็นราคาที่ผู้บริโภคยังพอรับได้ในเวลานี้ สำหรับพื้นที่คอนโดห้องขนาดเล็ก อาจต้องทำพื้นที่เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าใช้ประชุมออนไลน์ได้ โดยเสียงไม่ตีกัน จากเดิมเคยทำโคเวิร์คกิ้งสเปซแบบโล่ง ๆ เปลี่ยนเป็นไพเวทสเปซมากขึ้น  ส่วนห้องที่ใช้ชีวิตประจำวัน จะทำเพดานสูงเพื่อทำให้นั่งได้นานขึ้น เพราะความอึดอัดแปรผันกับความสูงของเพดาน ดังนั้น​ ยิ่งทำเพดานยิ่งสูงจะทำให้มีความรู้สึกเหมือนการอยู่บ้าน เช่น เดิมเพดานสูง 2.50 เมตร ปรับเพิ่มเป็น 4 เมตรขึ้นไป เป็นต้น ส่วนระดับราคาที่ลูกค้าสามารเข้าถึงได้ง่ายไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อยูนิต ทั้งนี้เพราะกำลังซื้อคนลดลง การพัฒนาคอนโดต่อจากนี้ จะแตกต่างไปจากเดิม จากนิวนอร์มอลมาเป็นเน็กซ์นอลมอล เช่น มีที่ล้างมือก่อนเข้าคอนโด มีน้ำยาฉีดฆ่าเชื้อในส่วนกลาง ลิฟท์  มีระบบกรองอากาศที่ดี ซึ่งต้องออกแบบมาเป็นโปรดักส์ ​ราคาน้ำมันดันราคาที่ดินพุ่ง50% จากปัจจัยราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ส่วนหนึ่งส่งผลดีต่อตลาดเช่าคอนโดในเมืองปรับตัวดีขึ้น  เพราะเมื่อเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการเดินทางจะเท่ากับค่าเช่าคอนโด ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้คอนโดกลับมาได้  ขณะที่บ้านจัดสรรมีราคาสูง จากความต้องการที่เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ราคาที่ดินปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 50%  ด้วย ส่งผลให้ราคาบ้านช่วงโควิดสูงขึ้นประมาณปีละ 5-10%   สมมติเคยซื้อที่ดิน 1 ไร่ ราคา 6 ล้านบาท กลับไปซื้ออีกครั้งราคาจะขยับไปไร่ละ 9 ล้านบาท จนกลายเป็นเรื่องปกติ สมมติถ้าปีที่แล้วราคาบ้านจาก 6.5 ล้านบาท ถ้าไม่ซื้อปีที่แล้ว กลับไปซื้อปีนี้ ราคาบ้านจะกลายเป็น 7.2 ล้าน   ทั้งหมดก็เป็นมุมมองของนายกสมาคมอาคารชุดคนใหม่ ที่จะเข้ามาเป็นกระบอกเสียง ในการสื่อสารกับหน่วยงานภาครัฐ หากต้องการได้รับการส่งเสริมสนับสนุน รวมถึงการทำงานร่วมกับหน่วยงาน สมาคม และองค์กรต่าง ๆ เพื่อช่วยผลักดัน และพัฒนาตลาดคอนโดให้เติบโต และยังมีส่วนสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศต่อไปด้วย คงต้องดูกันต่อไปว่า บทบาทนายกสมาคมคนใหม่จะมีอะไรออกมาให้เห็นได้บ้าง เพราะต้องยอมรับฝีมือของ "พีระพงศ์​ จรูญเอก" ที่มีความสามารถในด้านการบริหารงาน สามารถนำพาออริจิ้น และบริษัทในเครือเติบโตอย่างมากมายมาแล้ว     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -อสังหาฯ ปีหน้ายังเหนื่อย เพราะ LTV มาผิดเวลา?  
สีจระเข้  รีแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบเกือบ 20 ปี  ปูทางสร้างยอดขาย 300 ล้าน

สีจระเข้ รีแบรนด์ครั้งใหญ่ในรอบเกือบ 20 ปี ปูทางสร้างยอดขาย 300 ล้าน

สีจระเข้ จระเข้ ลุยตลาดสีอีกครั้ง รีแบรนด์ใหม่ในรอบเกือบ 20 ปี ปูทางสร้างยอดขาย 300 ล้าน จับตลาดนิชมาร์เกต ชูนวัตกรรมสีธรรมชาติรายแรกและรายเดียวในไทย พร้อมเดินหน้าบุกตลาดงานเมกะโปรเจ็กต์ 800,000 ล้าน     ถ้าพูดถึงสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง แบรนด์จระเข้ คนส่วนใหญ่จะนึกถึงสินค้ากลุ่มยาแนว กลุ่มกันรั่วซึม เพราะว่าเป็นสินค้าที่ทำตลาดและสร้างแบรนด์จนเป็นที่รู้จักในวงกว้าง แต่ในความเป็นจริงแล้วผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์จระเข้นั้น มีอยู่จำนวนมากและหลายกลุ่มสินค้า ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีก่อสร้าง กลุ่มคอนกรีตคุณสมบัติพิเศษ รวมถึงกลุ่มสี ที่เคยเปิดตัวและทำตลาดมาแล้วตั้งแต่ปี 2546 ภายใต้แบรนด์สีจระเข้ แต่ช่วงที่ผ่านมาไม่ได้ทำตลาดสินค้ากลุ่มสีมากนัก   นายศุภพงษ์ เพชรสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า ​ในช่วงปลายปี 2564 ที่ผ่านมาบริษัทได้รีแบรนด์สินค้ากลุ่มสีใหม่ ทั้งภาพลักษณ์และโลโก้สินค้า  เนื่องจากไม่ได้ทำตลาดมานาน ประกอบกับทิศทางการดำเนินธุรกิจ ได้วางกลยุทธ์การทำตลาดภายใต้คอนเซ็ปต์ “ใช้จระเข้ร่วมกัน ปกป้องบ้านทั้งหลัง” จึงขยายตลาดผลิตภัณฑ์ให้ครอบคลุมมากที่สุด   โดยผลิตภัณฑ์สีจระเข้ (SEE JORAKAY) เป็นกลุ่มตลาดสีพรีเมียม ที่ต้องการใช้งานมีลักษณะเฉพาะ สามารถใช้งานลักษณะเดียวกับคัลเลอร์ซีเมนต์ สามารถพ่นหรือฉาบได้ ซึ่งจุดเด่นและจุดขายหลักของสีจระเข้ คือการใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ 100% จากประเทศสเปน ถือเป็นผู้ทำตลาดรายแรกและรายเดียวในปัจจุบัน ซึ่งหากใช้ผลิตภัณฑ์สีจระเข้ จะสามารถเพิ่มคะแนนกับอาคารที่ยื่นขอรับรองคุณภาพอาคารฉลากเขียว และ LEED ได้ด้วย ปัจจุบันสีจระเข้เป็นกลุ่มสินค้า Green กว่า 90% ด้านแนวทางการทำตลาดสีจระเข้ บริษัทจะใช้ช่องทางการทำตลาดหลักผ่านสื่อออนไลน์ ทั้งด้านการสื่อสารการตลาด และช่องทางจัดจำหน่าย โดยแยกการทำตลาดและสร้างแบรนด์ ให้ชัดเจนจากผลิตภัณฑ์จระเข้อื่น ๆ นอกจากนี้ ยังจัดทีมช่างไว้ใบริการให้คำปรึกษา และบริการงานสี โดยบริษัทคาดว่าในปีแรกจะสามารถทำยอดขายได้ 50 ล้านบาท ซึ่งเป้าหมายภายใน 2-3 ปีน่าจะทำยอดขายได้ 300 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน 10% จากยอดขายรวมที่น่าจะทำได้ประมาณ 4,000 ล้านบาท   นายศุภพงษ์ กล่าวอีกว่า ในปีที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายรวม 2,800 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในอัตราใกล้เคียงกับก่อนที่จะเกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่วนปีนี้คาดว่าจะสามารถทำยอดขายได้ประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยมีอัตราการเติบโตประมาณ 10% ซึ่งในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายเติบโต 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า   นอกเหนือจากการออกผลิตภัณฑ์สีแล้ว บริษัทยังวางแนวทางการตลาด ด้วยการเข้าประมูลงานโครงการภาครัฐ เนื่องจากปัจจุบันโครงการภาครัฐ ถือว่าเป็นตัวกระตุ้นเศรษฐกิจหลักของประเทศ เพราะภาคเอกชนมีการลงทุนน้อย โดยมูลค่างานเมกะโปรเจ็กต์ของภาครัฐมีมูลค่ากว่า 800,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทมีผลิตภัณฑ์ที่สามารถใช้ในงานภาครัฐเป็นจำนวนมาก เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์เคมีอุตสาหกรรม และกลุ่มคอนกรีตคุณสมบัติพิเศษ โดยเฉพาะโครงการของหน่วยงานภายใต้กระทรวงคมนาคม อาทิ กรมเจ้าท่า   ทั้งนี้ การขยายสู่การ ปกป้องงานโครงสร้างพื้นฐาน  Infrastructure เป็นการต่อยอดจากงานโครงสร้างพื้นฐานเดิมที่มีอยู่ โดยจระเข้ได้พัฒนานวัตกรรมและผลิตภัณฑ์เคมีหลากหลายที่ตอบโจทย์การใช้งาน เพื่อให้เกิดความแข็งแรงและช่วยให้การทำงานโดยรวมได้รวดเร็วขึ้น ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย โดยครอบคลุมการใช้งานตั้งแต่งานโครงสร้างรถไฟฟ้าความเร็วสูง ทางยกระดับต่าง ๆ ไปจนถึงงานท่าเทียบเรือ เป้าหมายในการทำการตลาดสำหรับปี 2565 จระเข้มีความมุ่งหวังว่าเจ้าของบ้าน สถาปนิก นักออกแบบและตกแต่งภายใน และโครงการขนาดใหญ่ จะได้มุมมองใหม่จากกลุ่มสินค้าเคมีภัณฑ์จากจระเข้ และเชื่อมั่นว่าจะได้รับผลตอบรับเป็นอย่างดี     นายศุภพงษ์ กล่าวเสริมว่า  ปัจจุบัน “จระเข้” มีสินค้านวัตกรรมเพื่องานก่อสร้าง ซ่อมแซม และตกแต่งแบบครบวงจร และเป็นแบรนด์ไทยที่เข้าใจความต้องการของคนในภูมิภาค รวมทั้งยังพร้อมเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยแก้ปัญหาให้ลูกค้า ควบคู่กับมุมมองในการเลือกใช้วัสดุรักษ์โลกที่จะกลายเป็นมาตรฐานใหม่ โดยทุกกลุ่มสินค้าของจระเข้ เป็นสินค้าที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ตามมาตรฐานระดับประเทศและระดับสากล   อ่านบทความที่น่าสนใจ -ถอดรหัสเทรนด์สีใหม่ ปี 64 เพื่อที่อยู่อาศัยในยุค New Normal
มั่นคง เคหะการ  กับ 3 เหตุผลที่ลุยธุรกิจคลังสินค้า-สุขภาพ  พร้อมเทเงินลงทุนรวม 3,000 ล้าน

มั่นคง เคหะการ กับ 3 เหตุผลที่ลุยธุรกิจคลังสินค้า-สุขภาพ พร้อมเทเงินลงทุนรวม 3,000 ล้าน

มั่นคง มั่นคง  เดินหน้าลงทุน 3,000 ล้าน รุกธุรกิจอสังหาฯ เพื่ออุตสาหกรรมและเวลเนส รับเทรนด์การเติบโตของประเทศ และผู้คนสนใจดูแลสุขภาพ วางเป้า 3 ปีพัฒนาโรงงานและโกดังให้เช่า 1 ล้านตร.ม. พร้อมเปิดธุรกิจเวลเนสแห่งที่ 2 ที่อ.สามพราน ปูทางเพิ่มพอร์ตรายได้ 2 ธุรกิจใหม่สร้างกำไร 70%   หากนับการเปลี่ยนปลงครั้งใหญ่ของบริษัท มั่งคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) หรือ MK ตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจมานานกว่า 60 ปี คงจะเป็นเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2558 ที่ผ่านมา จากการที่ครอบครัว “ตั้งมติธรรม” ผู้ก่อตั้งบริษัท ที่นำโดยนายชวน ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหารในขณะนั้น ได้ขายหุ้นของตนเองและครอบครัวให้กับ ​บริษัท แคสเซิล พีค ดีเวลลอปเม้นท์ส จำกัด และบริษัทซีพีดี โฮลดิ้ง จำกัด เป็นจำนวนรวมทั้งสิ้น 177.55 ล้านหุ้น หรือคิดเป็น 20.64% ของทุนชำระแล้ว ในราคา 6.75 บาทต่อหุ้น รวมมูลค่าประมาณ 1,200 ล้านบาท   หลังจากเกิดการเปลี่ยนแปลงในครั้งนั้น มาในปีนี้ก็น่าจะเป็นอีกก้าวหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของบริษัท มั่นคงฯ จากการประกาศปรับพอร์ตธุรกิจหลัก คือ การพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขาย ซึ่งเป็นประเภทที่อยู่อาศัย  ไปสู่การพัฒนาโครงการอสังหาฯ เพื่ออุตสาหกรรม อย่างการพัฒนาพื้นที่โรงงานและโกดังให้เช่า และธุรกิจสุขภาพหรือ Wellness โดยวางเป้าหมายภายในระยะ 3 ปีนับจากนี้ สัดส่วนธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ เพื่ออุตสาหกรรมและธุรกิจสุขภาพ จะมีสัดส่วน 70% ขณะที่ที่เหลือจะเป็นธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ เพื่อขาย จากเดิมที่จะบาลานซ์พอร์ตธุรกิจให้ใกล้เคียงกัน   นาย วรสิทธิ์ โภคาชัยพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มั่นคงเคหะการ จำกัด (มหาชน) เผยถึงการปรับแผนธุรกิจครั้งนี้ว่า บริษัท มั่นคงฯ คนส่วนใหญ่จะรู้จักแบรนด์ชวนชื่น ซึ่งพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และบ้านแฝด แต่หลังจากปี 2558 ที่ได้เข้ามาบริหารงานฝ่ายบริหารได้มองกาว่าธุรกิจอะไรบ้างที่จะมีเสริมให้บริษัทมีการเติบโตและมีความมั่นคง ในขณะนั้นมองเห็นว่าธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ เพื่ออุตสาหกรรม และธุรกิจสุขภาพ มีโอกาสและศักยภาพ ขณะที่หากมองย้อนกลับไปถึงธุรกิจที่จะเข้ามามีส่วนผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันของประเทศ คือธุรกิจอะไร ก็พบว่าเป็นธุรกิจทางด้านอุตสาหกรรมและสุขภาพ สองธุรกิจดังกล่าว   ธุรกิจอสังหาฯ เพื่ออุตสาหกรรม เดิมเป็นการซื้อขายที่ดินเพื่อรองรับการพัฒนาเป็นโรงงานอุตสาหกรรม มาสู่การพัฒนาโรงงานและโกดังให้เช่า เพราะประเทศไทยเป็นฐานการผลิตมายาวนานตั้งแต่อีสเทิร์นซีบอร์ด การที่ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตที่สำคัญ ถือเป็นจุดแข็งในด้านศักยภาพการแข่งขัน​ ขณะที่ธุรกิจเฮลท์แคร์ ถือเป็นอีกธุรกิจหนึ่งที่ประเทศไทยมีศักยภาพ โดยเฉพาะด้านของฮอสพิทาลิตี้ และการท่องเที่ยว จะเห็นว่าการให้บริการด้านท่องเที่ยวประเทศไทยมีจุดแข็งค่อนข้างมาก   เรามองว่าธุรกิจการดูแลสุขภาพ ก็มีการพัฒนาเดิมเป็นการรักษาจากโรงพยาบาล มาสู่การดูแลและป้องกันไม่ให้เกิดโรค ซึ่งตรงนี้เป็นที่มาที่เราได้เข้าไปใช้เทคโนโลยีของทางโรงพยาบาลเข้ามาช่วยขยายธุรกิจ 3 เหตุผลลุยโรงงานให้เช่า-สุขภาพ ภายหลังจากที่มีการเปลี่ยนแปลงผู้ในช่วงที่ผ่านมา และมีการขยายธุรกิจมาสู่การพัฒนาอสังหาฯ เพื่ออุตสาหกรรม และธุรกิจสุขภาพ ทางทีมผู้บริหารมองเห็นโอกาสและศักยภาพในการเติบโตของ 2 ธุรกิจใหม่ที่มีมากกว่าธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย ทำให้มีการปรับเป้าหมายธุรกิจใหม่ จากแผนเดิมที่จะบาลานซ์ให้ธุรกิจที่อยู่อาศัยมีสัดส่วนใกล้เคียงกับอีก 2 ธุรกิจใหม่ มาเป็นการเพิ่มน้ำหนักให้กับ 2 ธุรกิจใหม่มากขึ้นเป็นสัดส่วนอิบิด้าถึง 70% ภายในระยะ 3 ปีนับจากนี้ จากปีที่ผ่านมามีสัดส่วนประมาณ 36%  และในจำนวนดังกล่าวธุรกิจอสังหาฯ เพื่ออุตสาหกรรมน่าจะมีสัดส่วน 70% และธุรกิจสุขภาพ 30% เราน่าจะไปได้ไกลกว่านั้น เพราะตั้งเป้ากองรีทอสังหาฯ เพื่ออุตสาหกรรมระดับหมื่นล้านบาท ส่วนธุรกิจเฮลท์แคร์ก็มีพาร์ทเนอร์ที่แข็งแรง สองธุรกิจน่าจะมีสัดส่วนอิบิด้า 70%   สำหรับเหตุผลสำคัญที่ทำให้ มั่นคงฯ​ ปรับพอร์ตธุรกิจที่หันมาให้น้ำหนักและความสำคัญ รวมถึงเพิ่มสัดส่วนรายได้และกำไรในธุรกิจอสังหาฯ เพื่ออุตสาหกรรมและธุรกิจเฮลท์แคร์เกิดจาก 3 เหตุสำคัญดังนี้ 1.ลดเสี่ยงธุรกิจอสังหาฯ เพื่อขาย หากมองย้อนหลังกลับไปในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ยอดขายบ้านและทาวน์โฮมของมั่นคงฯ ถือว่ามียอดขายเฉลี่ยคงที่อยู่ที่ประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งไม่ได้เติบโตเพิ่มมากขึ้นหรือลดลง ยอดขายในระดับเท่านี้ ไม่สามารถจะก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาดอสังหาฯ ได้ เพราะปัจจุบันดีเวลลอปเปอร์ที่เป็นผู้นำตลาด จะมียอดขายระดับหมื่นล้านบาท จากการพัฒนาโครงการขขายต่อปีระดับร้อยโครงการ แต่สำหรับยอดขายระดับ 2,000 ล้านบาท มีการพัฒนาโครงการออกขายเพียง 12-18 โครงการเท่านั้น   นอกเหนือจากยอดขายของมั่นคงฯ จะไม่เติบโตมากกว่านี้แล้ว อีกเหตุผลหนึ่ง คือ ธุรกิจอสังหาฯ เพื่อขาย มีความเสี่ยงอย่างต่อเนื่อง  เพราะเมื่อพัฒนาโครงการหนึ่งจบ ก็จะต้องซื้อที่ดินมาพัฒนาโครงการใหม่ ซึ่งก็ต้องเผชิญกับความเสี่ยงครั้งใหม่ด้วย เพราะเป็นวงจรของธุรกิจที่ต้องพัฒนาต่อเนื่อง   จากเหตุผลดังกล่าว ส่งผลให้ในปีนี้มั่นคง ยังไม่ได้วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ แต่จะพิจารณาอีกครั้งหนึ่งในช่วงปลายปีนี้ว่าจะเปิดตัวโครงการใหม่หรือไม่ ซึ่งในปีที่ผ่านมามั่นคงก็ไม่ได้เปิดตัวโครงการใหม่เลย และปัจจุบันมั่นคงยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและการขายมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถสร้างยอดขายต่อเนื่องได้อีก 2 ปีข้างหน้า​ 2.เติบโตตามจุดแข็งประเทศ การที่บริษัทเข้ามาดำเนินธุรกิจอสังหาฯ เพื่ออุตสาหกรรม ตั้งแต่ช่วง 3 ปีที่ผ่านมา เป็นเพราะเหตุผลสำคัญ คือ การมองโอกาสสร้างการเติบโตให้บริษัท ภายหลังจากเห็นว่า ศักยภาพการเติบโตของประเทศ อยู่ที่การเป็นศูนย์กลางด้านการลงทุนของภาคอุตสาหกรรม นับตั้งแต่ประเทศไทยมีการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด เพื่อให้ต่างชาติเข้ามาตั้งโรงงานใช้ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้าต่าง ๆ เพื่อส่งออก   ปัจจุบันประเทศไทยยังมีนโยบายส่งเสริมการลงทุน และขยายพื้นที่พัฒนานิคมอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง เพราะจุดแข็งและศักยภาพการแข่งขันทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอยู่ที่การเป็นฐานการผลิตและการส่งออกในสินค้าประเภทต่าง ๆ ซึ่งอสังหาฯ เพื่ออุตสาหกรรมได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จากเดิมที่ซื้อขายที่ดินเพื่อนำไปพัฒนาเป็นนิคมอุตสาหกรรม มาสู่ยุคปัจจุบันที่พัฒนาโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า   จากการดำเนินธุรกิจโรงงานและคลังสินค้าให้เช่าตลอด 3 ปีที่ผ่านมา มั่นคงก็เห็นถึงศักยภาพและโอกาสการเติบโตในธุรกิจ ช่วงที่ผ่านมาแม้ว่าจะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่อัตราการเช่ายังสูงถึง 93% แม้ว่าจะลดลงจากที่เคยทำได้สูงสุด 98% แต่ยังถือว่าอัตราการเช่าดังกล่าวเป็นตัวเลขที่สูง เนื่องจากตลาดมีความต้องการสูง   นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้มีการจัดตั้งกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ (PROSPECT REIT) เมื่อเดือนสิงหาคม 2563 โดยล่าสุด จากผลการดำเนินงาน ณ ปี 2564 นับว่าเป็นที่น่าพอใจด้วยรายได้รวม 443 ล้านบาท และมีผลกำไรก่อนหักค่าใช้จ่าย 294 ล้านบาท  อีกทั้งได้มีการจ่ายเงินปันผลนับตั้งแต่วันก่อตั้งถึงปัจจุบันเป็นจำนวนรวม 1.1158 บาท/หุ้น โดยประเภททรัพย์สินที่ทางกองปัจจุบันรวมมูลค่ากองกว่า 3,600 ล้านบาท โดยทางบริษัทได้ตั้งเป้าการเติบโตของกองสู่ 10,000 ล้านบาทในอีก 3 ปี จึงถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตในระยะยาวและสามารถสร้างรายได้ที่สม่ำเสมอและต่อเนื่องให้กับบริษัท 3.เทรนด์สุขภาพมาแรง อีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้มั่นคง ลดสัดส่วนธุรกิจอสังหาฯ เพื่อขายลง เป็นเพราะธุรกิจเฮลท์แคร์มีโอกาสและศักยภาพเติบโตสูง เช่นเดียวกับธุรกิจอสังหาฯ เพื่ออุตสาหกรรม และยังจุดแข็งสำคัญของประเทศไทย ซึ่งมีศักยภาพการแข่งขันสูงกว่าหลาย ๆ ประเทศในเอเชีย โดยเฉพาะธุรกิจด้านฮาทพิทาลิตี้และเวลเนส รวมถึงด้านการท่องเที่ยว ทำให้มั่นคงจับมือกับโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ในการดำเนินธุรกิจร่วมกัน   เหตุผลสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ ปัจจุบันคนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพในเชิงป้องกัน มากกว่าการรักษาพยาบาล โดยมีตัวเร่งสำคัญคือปัญหาฝุ่น PM2.5 และการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลให้คนหันมาดูแลตัวเองมากขึ้น ถือว่าเป็นการเข้ามาจับเทานด์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ซึ่งจะสามารถช่วยสร้างรายได้และการเติบโตให้กับมั่นคงได้ในอนาคต ปัจจุบันคนให้ความสำคัญกับสุขภาพ คนอายุ 30 ปีก็เริ่มหันมาดูแลสุขภาพมากขึ้น ไม่ใช่คนสูงอายุเท่านั้น ลงทุน 3,000 ล้านลุย 2 ธุรกิจ ในปีนี้ บริษัทวางแผนใช้งบลงทุนประมาณ ​3,000 ล้านบาท โดยการลงทุนหลักในธุรกิจโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า  ผ่านบริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด ที่พัฒนาโครงการโรงงานและคลังสินค้าให้เช่า โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน มูลค่าการลงทุนประมาณ 2,000 ล้านบาท  โดยปัจจุบันโครงการบางกอกฯ มีพื้นที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ 400,000 ตารางเมตร จากพื้นที่ที่สามารถพัฒนาได้ถึง 800,000 ตร.ม. บนเนื้อที่  1,880 ไร่ คาดว่าภายในระยะ 3 ปีจะพัฒนาได้ทั้งหมด   โดยในปีนี้ยังคงพัฒนาโครงการในพื้นที่เดิมต่อเนื่อง และยังขยายไปยัง 5 ทำเลใหม่ด้านกรุงเทพฯ ตอนเหนือ เพื่อผลักดันให้บริษัทมีพื้นที่ให้เช่ารวม 1 ล้านตร.ม. ภายในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยในส่วนของโครงการพื้นที่วังน้อย จ.อยุธยา มีพื้นที่ทั้งหมด 140 ไร่ ได้มีแม็คโครจะเข้ามาเช่าพื้นที่เพื่อใช้ศูนย์กระจายสินค้า 100,000 ตร.ม. โดยในเฟสแรจะต้องส่งมอบพื้นที่ 50% ในช่วงกลางปีหน้า ส่วนที่เหลือมีกำหนดส่งมอบหลังจากนั้นอีก 1 ปี และพื้นที่ของโครงการวังน้อย ยังเหลืออีก 20,000 ตร.ม. บริษัทจะพัฒนาเป็นพื้นที่สำเร็จให้ลูกค้าเช่า ในรูปแบบ Ready to built  ซึ่งจะมีช่วยสร้างการเติบโตให้บริษัทได้อย่างต่อเนื่องในอนาคต   ส่วนเงินลงทุนอีก 1,000 ล้านบาท จะใช้ลงทุน โครงการรักษ วิลเลจ ที่สามพราน ซึ่งเป็นศูนย์ดูแลสุขภาพแบบองค์รวมแห่งที่ 2 ที่บริษัทได้เข้าเช่าพื้นที่ของโครงการสวนสามพราน จำนวน 20 ไร่ และโรงแรม อายุสัญญา 40 ปี โดยเฟสแรกบริษัทจะลงทุน ​ 400 ล้านบาท ด้วยการปรับปรุงโรงแรมโรส การ์เด้นส์ จำนวน 2 อาคาร กว่า 60 ยูนิต และมีพื้นที่ เวลเนส 4,000 ตร.ม. ซึ่งจะเปิดตัวในไตรมาส 4 ปีนี้   ขณะที่โครงการรักษ ที่บางกะเจ้า ซึ่งมีพื้นที่​รวมทั้งหมด 180 ไร่ สามารถนำมาพัฒนาได้​ 120 ไร่ ที่ผ่านมาพัฒนาแล้ว 50 ไร่ เป็นวิลล่า 60 หลัง เหลือพื้นที่อีก 70 ไร่  จะพัฒนาอีก  100 หลัง เริ่มต้นพัฒนา 20-30 หลัง หากได้รับการตอบรับที่ดีจะพัฒนาเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเดิมโครงการเน้นกลุ่มลูกค้าต่างชาติเป็นหลัก 70% ส่วนที่เหลือ 30% เป็นคนไทย แต่สถานการณ์ปัจจุบันชาวต่างชาติยังไม่สามารถเดินาทางมาได้ จึงเน้นการทำตลาดกับกลุ่มคนไทยก่อน     อ่านข่าวเพิ่มเติม -มั่นคง เคหะการ เจอพิษโควิดทำขาดทุนกว่า 102 ล้าน เตรียมเปิด 3 โปรเจ็กต์-ขยายคลังสินค้าสร้างรายได้ -มั่นคงฯ เพิ่มทุน 1,000 ล้าน ตั้งบริษัทย่อยลุยธุรกิจโรงงานให้เช่า                         
[PR News] LPN เปิดตัวโครงการใหม่ 1,200 ล้าน   “ลุมพินี เพลส แจ้งวัฒนะ – ปากเกร็ด สเตชั่น”

[PR News] LPN เปิดตัวโครงการใหม่ 1,200 ล้าน “ลุมพินี เพลส แจ้งวัฒนะ – ปากเกร็ด สเตชั่น”

ลุมพินี เพลส แจ้งวัฒนะ LPN เดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ มูลค่า 1,200 ล้านบาท “ลุมพินี เพลส แจ้งวัฒนะ - ปากเกร็ด สเตชั่น” คอนโดมิเนียม High-Rise แห่งใหม่ บนถนนแจ้งวัฒนะ           นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า LPN ได้เริ่มเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่บนถนนแจ้งวัฒนะ ในชื่อ “ลุมพินี เพลส แจ้งวัฒนะ - ปากเกร็ด สเตชั่น”  มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท เป็นโครงการแบบ High-Rise สูง 26 ชั้น จำนวนรวม  536 ยูนิต ตั้งอยู่บนทำเลใกล้ห้างเซ็นทรัลแจ้งวัฒนะ และสถานีรถไฟฟ้าสายสีชมพู แจ้งวัฒนะ-ปากเกร็ด 28 เพียง 300 เมตร โดยห้องชุดออกแบบสไตล์ Modern Luxury ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ด้วยห้องพักอาศัย 3 แบบ แบบสตูดิโอ ขนาด 23.50-24 ตร.ม. แบบ 1 ห้องนอน ขนาด 28-28.50 ตร.ม. และแบบ 1 ห้องนอน พลัส ขนาด 34-35 ตร.ม. ในราคาเริ่มต้นที่ 2 ล้านบาท โดยจะเริ่มก่อสร้างในเดือน มิถุนายนนี้ และคาดว่าแล้วเสร็จในเดือน กุมภาพันธ์​ 2567 จากข้อมูลของ LPN พบว่า คอนโดบนทำเลแจ้งวัฒนะที่เปิดขายมาตั้งแต่ปี 2560-2565 เหลืออยู่ประมาณ 2,375 ยูนิตเท่านั้น     ทั้งนี้ LPN ได้วางกระบวนการพัฒนาที่อยู่อาศัยภายใต้แนวคิด “น่าอยู่” (LIVABLE) โดยตั้งเป้าการพัฒนาให้แบรนด์ “เพลส” คือ คอนโด ที่น่าอยู่ ผ่านการคิด ออกแบบและพัฒนาโครงการ ให้น่าอยู่ในทุกมิติ สามารถปรับพื้นที่การอยู่อาศัย การทำงาน และการใช้ชีวิตส่วนตัวให้น่าอยู่ภายใต้ข้อจำกัดของการใช้ชีวิตยุคใหม่ เพื่อตอบสนองกลุ่มเป้าหมายรุ่นใหม่ ภายใต้จุดยืน 3 องค์ประกอบดังนี้ LIVABLE DESIGN การออกแบบที่น่าอยู่ ในการนำเสนอการออกแบบห้องที่เน้นฟังก์ชันที่ปรับเปลี่ยนได้ เพิ่มความเป็นสัดส่วนแต่คงความเป็นส่วนตัว ตอบรูปแบบการใช้ชีวิตของลูกค้าได้มากขึ้น   LIVABLE PLACE การออกแบบส่วนกลางที่ตอบทุกมิติการใช้ชีวิต ทั้งไลฟ์สไตล์และการทำงาน ที่ลงตัวกับการพักผ่อนและมุมแอคทีฟไปพร้อมๆ กัน   LIVABLE LIFE พร้อมส่งมอบชีวิตน่าอยู่ บนทำเลที่น่าอยู่ พร้อมบริการครบครัน เพื่อที่คุณลูกค้าจะได้ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในทุกด้าน
ศุภาลัย  กวาดยอดขายไตรมาสแรก 8,852 ล้าน โตสวนกระแสสร้างพรีเซลแนวราบนิวไฮด์  

ศุภาลัย กวาดยอดขายไตรมาสแรก 8,852 ล้าน โตสวนกระแสสร้างพรีเซลแนวราบนิวไฮด์  

ศุภาลัย ศุภาลัย กวาดยอดขายไตรมาสแรก 8,852 ล้าน โตสวนกระแส สร้างพรีเซลแนวราบนิวไฮด์ สูงกว่า 39% พร้อมเดินหน้าเปิด 7 โครงการ มูลค่า​ 9,700 ล้าน ดัน​ยอดขายทะลุเป้า 28,000 ล้าน และเป้ารายได้ 29,000   นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2565 ที่ผ่านมาศุภาลัยมียอดขายรวม​ 8,852 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22% เมื่อเทียบกับยอดขายรวม Q1/2564 อยู่ที่ 7,229 ล้านบาท โดยสามารถทำยอดขายสินค้าแนวราบในกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ทั้งกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัดมากถึง 6,328 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ที่ผ่านมา   สำหรับทำเลยอดนิยมที่สร้างยอดขายในกลุ่มสินค้าแนวราบได้มากเป็นอับดับต้น ๆ คือ พื้นที่จังหวัดกรุงเทพฯ โซนเหนือและตะวันออก รวมถึงในจังหวัดชลบุรี ระยอง และภูเก็ต  ขณะที่สินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียม บริษัทสามารถทำยอดขายในโครงการที่เปิดใหม่และสร้างเสร็จพร้อมอยู่ได้มูลค่าที่ 2,524 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 55% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 และเพิ่มขึ้น 28% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4 ที่ผ่านมา   นายไตรเตชะ กล่าวว่า ไตรมาสแรก ที่ผ่านมาศุภาลัยได้สร้างยอดขายที่มีตัวเลขเติบโตอย่างแข็งแกร่ง  ด้วยปัจจัยบวกจากการพัฒนาด้านกลยุทธ์การขาย เพิ่มสินค้าใหม่และสร้างความแตกต่าง การบริหารจัดการให้มีสินค้าพร้อมขาย รวมถึงการโอนกรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังมีปัจจัยเรื่องความต้องการที่อยู่อาศัยในทุกระดับราคาของลูกค้าที่เพิ่มสูงขึ้น โดยเฉพาะตลาดระดับกลาง ราคา 4 - 6 ล้านบาท และตลาดระดับบนขึ้นไปยังคงได้รับการตอบรับที่ดี สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของลูกค้าเริ่มฟื้นตัว ตั้งแต่ครึ่งปีหลัง 2564 ต่อเนื่องมาถึงไตรมาสแรก ปี 2565 นับเป็นการเติบโตที่ยอดเยี่ยมในทุกกลุ่มที่อยู่อาศัย  ช่วง 3 เดือนแรก บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่แล้ว ทั้งหมด 6 โครงการ ในพื้นที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ซึ่งเป็นโครงการแนวราบ 5 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม 1 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 11,010 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2565 ศุภาลัยยังเตรียมเดินหน้าพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งจังหวัดกรุงเทพฯ ปริมณฑล และต่างจังหวัดรวม 7 โครงการ มูลค่า 9,700 ล้านบาท ซึ่งจากยอดขายสินค้าแนวราบที่ดีในช่วงไตรมาสแรก จึงมีแผนโฟกัสเปิดตัวโครงการแนวราบมากขึ้นถึง 6 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 8,700 ล้านบาท พร้อมไฮไลท์ที่น่าสนใจเปิดตัวโครงการแนวราบแบรนด์ใหม่ระดับ Luxury และโครงการคอนโดมิเนียม ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า Gen Y ในทำเลย่านฝั่งธนฯ จำนวน 1 โครงการ มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ศุภาลัยยังมีโครงการคอนโดสร้างเสร็จใหม่ 7 โครงการ จะสามารถทยอยโอนกรรมสิทธิ์ได้ตามแผน  ซึ่งจะช่วยผลักดันให้ปีนี้สามารถทำยอดขายได้ 28,000 ล้านบาท และรายได้ 29,000 ล้านบาทได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ​และอาจจะสูงเกินจากเป้าหมายที่วางไว้ด้วย   สำหรับภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไตรมาส 2 และช่วงครึ่งปีหลัง 2565 มองว่าเศรษฐกิจโดยรวมน่าจะเติบโตและมีแนวโน้มที่ดีขึ้น ทั้งในด้านดีมานด์กลุ่มลูกค้ายังคงมีความต้องการที่อยู่อาศัยต่อเนื่อง มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่าง ๆ ของภาครัฐ อัตราดอกเบี้ยสินเชื่ออยู่ในระดับต่ำ รวมถึงซัพพลายการเปิดตัวของสินค้าใหม่แนวราบยังคงเป็นตลาดที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก ส่วนคอนโดพร้อมอยู่ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองท่องเที่ยวในต่างจังหวัด ยังเป็นสินค้าที่ตอบโจทย์ลูกค้าตลาดระดับกลางถึงบน พร้อมอัดแคมเปญและโปรโมชันที่น่าสนใจให้เข้าถึงลูกค้าที่มีกำลังซื้อที่อยู่อาศัยกันอย่างคึกคัก   ปี 2565 ยังเป็นปีที่ท้าทายและเป็นปีที่ดีต่อเนื่อง ศุภาลัยยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ตามแผนงานที่วางไว้ พร้อมปรับตัวก้าวผ่านทุกสถานการณ์ รวมทั้งสร้างสรรค์สินค้าและนวัตกรรมต่างๆ การบริการอย่างครบวงจร เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าต่อไป   ข่าวที่เกี่ยวข้อง -ศุภาลัย ทุบสถิติปี 64 New High Record ทำรายได้ – กำไร สูงสุดในรอบ 3 ทศวรรษ
[PR News] แอสเซทไวส์ กวาดยอดขาย Q1 กว่า 3,250 ล้าน เดินหน้าไตรมาส 2 เปิดอีก 3 โปรเจ็กต์ใหม่

[PR News] แอสเซทไวส์ กวาดยอดขาย Q1 กว่า 3,250 ล้าน เดินหน้าไตรมาส 2 เปิดอีก 3 โปรเจ็กต์ใหม่

แอสเซทไวส์ แอสเซทไวส์ ประเดิมยอดขายพรีเซลไตรมาสแรก 3,250 ล้านบาท  คิดเป็น 33% จากเป้าหมายทั้งปีที่ 10,000 ล้าน พร้อมดินหน้าไตรมาส 2 เปิด 3 โครงการใหม่ ทั้งแนวราบและคอนโด  หวังสร้างสถิติใหม่ยอดขายทะลุหมื่นล้าน​   นายกรมเชษฐ์  วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) (ASW)  เปิดเผยว่า ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัทสามารถทำยอดขายได้ 3,250 ล้านบาท เติบโต 79% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา และคิดเป็นสัดส่วน 33% ของเป้าหมายยอดขายในปีนี้ ที่คาดว่าจะทำได้ 10,000 ล้านบาท   สำหรับยอดขายไตรมาสแรกมูลค่า 3,250 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากกลุ่มคอนโดมิเนียมสัดส่วน 96% และกลุ่มบ้านจัดสรร 4%  โดยคิดเป็นสัดส่วนยอดขายจากโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) 46% และกลุ่มโครงการที่เพิ่งเปิดขายหรืออยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง (On Construction) 54% โดยในปีนี้ แอสเซทไวส์ วางแผนเปิดโครงการใหม่ 7 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 12,400 ล้านบาท โดยในไตรมาส 2 แอสเซสไวส์ วางแผนเปิดตัวใหม่ 3 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการแนวราบ Esta Rangsit Khlong 2 จำนวน 153 ยูนิต มูลค่า 680 ล้านบาท   2.โครงการคอนโดมิเนียม Atmoz Flow Minburi จำนวน 739 ยูนิต มูลค่า 1,350 ล้านบาท และ 3.โครงการคอนโดมิเนียม Atmoz Portrait Srisaman จำนวน 678 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,150 ล้านบาท   ปัจจุบันแอสเซทไวส์ได้พัฒนาโครงการคอนโดและบ้านจัดสรรมาแล้วกว่า 39 โครงการ ภายใต้แบรนด์ เคฟ (KAVE), แบรนด์ แอทโมซ (ATMOZ), แบรนด์ โมดิซ (MODIZ), แบรนด์ เอสต้า (ESTA) และ แบรนด์ ดิ ออเนอร์ (THE HONOR) รวมมูลค่าโครงการกว่า 38,500 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและโครงการพร้อมอยู่ จำนวน 31 โครงการ   ส่วนโครงการที่แอสเซสไวส์กำลังเปิดขายและอยู่ระหว่างการพัฒนา มีจำนวน 8 โครงการ โดยปัจจุบันมียอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ารวมกว่า 7,338 ล้านบาท โดยจะทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง แอสเซทไวส์   เพิ่มทางเลือกแลกเงินดิจิทัล จับมือ​ “Bitkub” ขยายฐานลูกค้า  New Gen  
อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนเมษายน 2565

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนเมษายน 2565

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน เข้าสู่เดือนเมษายน 2565 เดือนที่ร้อนที่สุดแห่งปี แต่พิเศษสำหรับปีนี้ อากาศเย็นกว่าปกติมาตั้งแต่ต้นเดือน เป็นความเปลี่ยนแปลงที่ไม่พบเจอบ่อยครั้งนัก สำหรับเดือนเมษายนก็ถือเป็นเดือนแรกของไตรมาส 2 ของปี 2565 ซึ่งเวลาผ่านไปเร็วมาก เชื่อว่าเผลออีกแป๊ปเดียวเราคงก้าวเข้าสู่ครึ่งปีหลังแน่นอน และตอนนี้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ยังคงอยู่กับเราไม่ได้ไปไหน ทำให้เรายังคงต้องระมัดระวังตัวเอง ภายใต้มาตรการด้านการสาธารณสุขอยู่เสมอ   ส่วนบรรยากาศของสภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อ ก็ดูเหมือนจะมีทิศทางที่ดีขึ้น กิจกรรมทางเศรษฐกิจหลายอย่างเริ่มกลับมาฟื้นตัวขึ้นแล้ว รวมถึงทิศทางตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่ดูเหมือนมีสัญญาณการฟื้นตัวปรับไปในทิศทางที่ดี เห็นได้จากความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการ ที่ออกมาเปิดตัวโครงการใหม่กันต่อเนื่อง ​ประกอบกับมาตรการภาครัฐที่กระตุ้นตลาดอสังหาฯ ก็ขยายระยะเวลาออกไปจนถึงสิ้นปี จึงนับเป็นโอกาสดีสำหรับคนที่มีความพร้อม และต้องการซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียมเพื่อการอยู่อาศัย   เมื่อคิดจะซื้อบ้าน แน่นอนคนส่วนใหญ่เลือกจะขอสินเชื่อกับทางธนาคาร ซึ่ง​ตอนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด​ ของธนาคารต่าง ๆ ก็ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำ เป็นโอกาสของคนที่มีความพร้อมและมีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย ในการรับอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว   ส่วนธนาคารไหนให้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เท่าไรบ้างนั้น Reviewyourliving ได้อัพเดทสถานการณ์ ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ของเดือนเมษายน 2565 รวบรวมไว้ให้แล้ว ซึ่งภาพรวมทั้งหมดยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป  โดยอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ประจำเดือนเมษายน 2565 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ  วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1   ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น 5.2%  (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.2% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น  5.45% (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.45%  (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.9% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.7%(MRR-1.25%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.075%(MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2%(MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58%   -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก 4.75% หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า ​500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า ​คิดอัตราดอกเบี้ย​ MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย ​MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา   หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค.- 31 มี.ค. 65 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ​และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา ​ -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ​ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ​ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ​​-ข้อมูลในเว็บไซต์ ณ วันที่ 4 เมษายน 2565 ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง 2.ธนาคารกรุงไทย อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด สำหรับธนาคารกรุงไทย  ในเดือนนี้ธนาคารมีแคมเปญใหม่ เป็นสินเชื่อในโอกาสครบรอบ 56 ปีธนาคารกรุงไทย ​ซึ่งเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  มีเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา ​​ดังนี้ แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.56% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 4.22% (MRR-2.0%) เพิ่มขึ้น 0.4% จากที่เดือนที่ผ่านมาคิด 3.82% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.0% เพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 2.80% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.27% เพิ่มขึ้น 0.07% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 4.20% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ยเฉลี่ย 0.81% (เดือนที่ 1-9 คิด 0.56% เดือนที่ 10-12 คิดดอกเบี้ย 1.56%) ลดลง 0.19% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 1.0% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.0% ลดลง 0.82% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 3.82% (MRR-2.4%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.08% ลดลง 0.79% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 3.87% (MRR-2.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 4.30% เพิ่มขึ้น 1.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 2.90% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.24%   หมายเหตุ : 1.การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ *ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลากู้ -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี (การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ เป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการอนุมัติสินเชื่อ) 2.อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR)**คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,600 บาท/เดือน MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.สามารถขอสินเชื่อ Home For Cash แบบมีกำหนดระยะเวลา (Term Loan) เพิ่มเติม สำหรับวัตถุประสงค์ : เพื่ออุปโภคบริโภค / ปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย /ชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย MRR ต่อปี ตลอดอายุสัญญา 4.เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 เมษายน 2565 และทำนิติกรรมจำนองภายใน 30 วัน 5.การผ่อนชำระ : สามารถเลือกผ่อนชำระในอัตราล้านละ 3,000 บาท ต่อเดือน ในช่วงปีที่ 1 ได้   ทั้งนี้ ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขรายการส่งเสริมการขาย โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมินอัตราดอกเบี้ยยังคงเท่าเดิมจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.9% ( MRR-3.15%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.00%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.39% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.50% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย MRR-1.60% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.55%  (MRR-3.50%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.3%  (MRR-2.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.02% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.25% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.1% (MRR-1.95%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.3% (MRR-1.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.7%  (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.23%   หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ​ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พ.ค. 63 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 30 เม.ย. 65 โดยจดจำนองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 31 พ.ค. 65 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ   4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป โดยพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ ซึ่งเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 7.72% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 7.72% สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 8.22% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 8.22% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% (ประกาศ ณ วันที่ 22 พ.ค. 2563) ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ย MRR ให้อ้างอิงอัตราดอกเบี้ยตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ลูกค้ายื่นใบสมัครสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม 2565 โดยสามารถยื่นกู้ได้สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภท ยกเว้นการกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม 0.25% ในปีแรก หากทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อบ้านตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -กรณียื่นกู้บ้านในโครงการจัดสรรที่ธนาคารสนับสนุน ธนาคารฯมีอัตราดอกเบี้ยพิเศษ สอบถามรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ K-Contact Center 02-8888888 ต่อ 887 -​​-ข้อมูลในเว็บไซต์ ณ วันที่ 4 เมษายน 2565 ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง   5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (KKP Home Loan เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย) กรณี บ้านใหม่ : ซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราเดิมเท่ากับเดือนที่ผ่านมา โดยธนาคารเกียรตินาคินมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  2.45%-2.75% ปีต่อไป ดอกเบี้ย  4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.65%-2.95% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.60%-2.99% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.80%-3.19% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%)   หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ​เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่​ 18 สิงหาคม 2563 เท่กับ​ 6.525% ต่อปี 3.เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา​​​​​​ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า​ Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.​กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง ​​หากลูกค้า Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท  ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคี ​เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด ​โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ ​ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน​ 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด ​30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก 4.05% ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เท่ากับเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารซีไอเอ็มบี มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.1%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-2.8%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.15% หมายเหตุ -สำหรับซื้อบ้านและคอนโดจากโครงการทั่วไป -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2564) -ธนาคารยังมีอัตราดอกเบี้ยสำหรับพนักงานประจำรายได้ 30,000-50,000 หรือเจ้าของกิจการรายได้ 50,000 บาทขึ้นไปไว้พิจารณาด้วย รวมถึงสินเชื่อสำหรับโครงการที่ธนาคารเป็นผู้สนับสนุน 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป ภายใต้แคมเปญดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้นเฉลี่ย 3 ปีแรก 4.05% ต่อปี จะได้รับฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าจดทะเบียนจำนอง และค่าประเมินหลักทรัพย์ ซึ่งอัพเดทอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ของเดือนมีนาคม ยังคงใช้ในอัตราเท่ากับเดือนที่ผ่านมา  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.23%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.4% (MRR-1.88%) หลังจากนั้น 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.4% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือก 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา ดอกเบี้ย 4.65% รายละเอียดเงื่อนไข สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส ​ 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท​ -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 3 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของธนาคาร -ธนาคารขอสงวนสิทธิเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แจ้งไว้ในเอกสารฉบับนี้ โดยไม่ ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ในกรณีที่ธนาคารเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนจำนองหลักประกันแทนผู้กู้หากผู้กู้มีความประสงค์จะไถ่ถอนหลักประกันและชำระหนี้คืนทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันเบิกใช้เงินกู้ ครั้งแรก ผู้กู้ตกลงคืนเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองหลักประกันตามจำนวนเงินที่ธนาคารได้ช าระไปให้แก่ธนาคาร ในวันที่ผู้กู้ได้ชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้น (ค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท) -กค้าต้องสำรอง จ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ลูกค้าใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 30 วันทำการนับจากวันที่ลูกค้าจดจำนอง -MRR = 6.28% ตามประกาศธนาคาร https://www.ttbbank.com/th/rates/loan-interest-rates -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึง 30 มิถุนายน 2565 และจดจำนอง ภายใน 31 กรกฎาคม 2565 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา  คิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.95% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยะเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด ​​-ข้อมูลในเว็บไซต์ ณ วันที่ 4 เมษายน 2565 ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง   9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2565 ​มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากแคมเปญสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2565  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.15% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.9% (MRR-2.25%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.4%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญา  5.4% หมายเหตุ -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.-30 ธ.ค.65   (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติมวงเงินของโครงการแล้ว) -อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินกู้และทุกบัญชีเงินกู้ภายใต้หลักประกันเดียวกัน 10.ธนาคารยูโอบี ธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโครงการหมู่บ้านทั่วไป  โดยอัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ด้วยการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับเดือนที่ผ่าน  ซึ่งธนาคารยูโอบีมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.35% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.35% (MRR-4.0%) อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.79% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.55% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.80%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.8% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75%  (MRR-2.60%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.45% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.8% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.95%  (MRR-2.24%) ปีที่ 4 อัตราดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.96% หมายเหตุ -ขอสินเชื่อตั้งแต่ 1 เม.ย.- 30 มิ.ย. 65 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายใน 27 ก.ค.​ 65 -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาคารยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.35% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ​(Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น)​ -การอนุมัติสินเชื่อ​เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ  7.35% ต่อปี ​(ตามประกาศธนาคารณ วันที่ 1 เม.ย. 64) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย​ MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้​ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ​เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร​ -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย ​(ใบอนุญาตประกันชีวิต​เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศภัย​ เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ​จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย คือ โฮมโลน โดนใจ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 1.9% (สำหรับผู้มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป) โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยสำหรับผู้กู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.0% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.00% (MRR-5.35%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.80% (MRR-3.55%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10%  (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 2 ปีแรก) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.20% (MRR-3.15%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.55% (MRR-4.80%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 4 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.75% (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 3 ปีแรก) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ล้านละ 3,500 บาท  กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่** -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 4.60% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.10% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.35% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่าง ๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่วันนี้- 31 เม.ย. 65 -สำหรับอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.9% สำหรับผู้กู้ที่มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป ผ่อนต่ำเดือนละ 3,500 บาท ฟรีค่าจดจำนองสินเชื่อเมื่อซื้อประกันผ่านธนาคาร ฟรีค่าประเมินหลักประกัน 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีสินเชื่อเคหะ สำหรับให้บริการผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไปซื้อบ้านหรือคอนโด ภายใต้แคมเปญ ผ่อนต่ำปีแรก ล้านละ 2,500 บาทต่อเดือน สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยยื่นกู้ภายในวันที่ 30 เมษายน 2565 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน 31 พฤษภาคม 2565 โดยมีรายละเอียด ​ดังนี้​ กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.0% เพิ่มขึ้น 1.25% จากเดือนที่ผ่านมา เพราะมีแคมเปญดอกเบี้ย 0% ใน 6 เดือนแรก ทำให้เดือนที่ผ่านมามีดอกเบี้ยเฉลี่ยปีแรก 0.75% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.9% (MRR-3.345%) ลดลง 0.425% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 3.525% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.6% ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.126% เพิ่มขึ้น 0.025% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 4.101% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.25% เพิ่มขึ้น 1.25% จากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ย​ 1.0% จากแคมเปญเดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 2.0% ​ ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.525% (MRR-2.72%) ลดลง 0.625% จากเดือนที่ผ่านมา คิดอัตราดอกเบี้ย  4.15% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.995% (MRR-1.25%) เพิ่มขึ้น 1.895% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 3.1% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.31% เพิ่มขึ้น 0.024% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 4.286%   เงื่อนไขการผ่อนชำระ -ปีที่ 1 ผ่อนชำระ 2,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 2 ผ่อนชำระ 4,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 3 ผ่อนชำระ 5,500 บาทต่อเดือน หมายเหตุ -ยื่นกู้ภายในวันที่ 30 เมษายน 2565 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2565 -อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR=6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระ 20 ปี ผ่อนเท่ากันทุกงวด -ทำประกัน หมายถึง การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ โดยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข เป็นไปตามธนาคารกำหนด -เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเคหะตามโปรโมชั่น สมัครบริการ MyMo และผลิตภัณฑ์ / บริการอื่น ของธนาคารอย่างน้อย 2 ประเภท ได้แก่ บัตรอิเล็กทรอนิกส์ / บัตรเครดิต หรือสินเชื่อบัตรเงินสด / ชำระสินเชื่อหักผ่านบัญชี / ประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ ทั้งนี้ หากลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นตามที่กำหนดอยู่แล้ว สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้ และกรณีไม่มี Smartphone ให้สมัครผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นของธนาคารตามที่กำหนดทดแทนได้ -*กรณี ฟรี ค่าธรรมเนียมจดจำนอง ให้ตามที่จ่ายจริง (รวมทุกสัญญาที่กู้ในคราวเดียวกัน) และลูกค้าต้องสำรองจ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินไปก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินหลังหักภาษี ณ ที่จ่าย 1% ของเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองคืนภายใน 30 วัน -กรณีผู้กู้ชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น หรือไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด (Prepayment) ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามที่ธนาคารกำหนด (ปัจจุบันร้อยละ 3.00 ของยอดเงินต้นคงเหลือ) ทั้งนี้ กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยกรณีไถ่ถอนจำนองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินอื่น (Re-Finance) และฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง ผู้กู้จะต้องชำระค่าจดจำนองคืนแก่ธนาคารเต็มจำนวน -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่น ๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า   หมายเหตุ Reviewyourliving รวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ธนาคาร ณ​ วันที่ 4 เมษายน 2565   บทความที่เกี่ยวข้อง ธปท. ออกเกณฑ์​​คิด ดอกเบี้ย-ค่าบริการ-เบี้ยปรับ ผลิตภัณฑ์-บริการทางการเงิน ฉบับใหม่เพื่อความเหมาะสม-เป็นธรรม อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนมีนาคม 2565 แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยถูกสุด อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนมีนาคม 2565
บ้านและคอนโดราคาไม่เกิน 3 ล้าน มีโครงการเปิดใหม่ที่ไหนบ้าง?

บ้านและคอนโดราคาไม่เกิน 3 ล้าน มีโครงการเปิดใหม่ที่ไหนบ้าง?

บ้านและคอนโดราคาไม่เกิน 3 ล้าน  ปัจจัยส่งผลดีต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 2565 ที่เห็นได้อย่างชัดเจนที่สุด คงเป็นการขยายระยะเวลาของมาตรการลดค่าจดทะเบียนการโอน และค่าจดทะเบียนจำนอง สำหรับผู้ซื้อบ้านและคอนโดมิเนียมราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ทั้งบ้านใหม่และบ้านมือสอง  ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม 2565 ถึง 31 ธันวาคม 2565 นี้ ตามที่ได้มีประกาศในราชกิจจานุเบกษาไปก่อนหน้านี้แล้ว ​ สำหรับอัตราค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจำนอง บ้านและคอนโดไม่เกิน 3 ล้านบาท มีรายละเอียดและเงื่อนไขของอัตราที่ปรับลดดังนี้ -ค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ จากอัตราปกติ 2.00% ลดเหลือ 0.01% -ค่าธรรมเนียมการจำนอง จากอัตราปกติ 1.00 % ลดเหลือ 0.01% -มาตรการสำหรับการซื้อที่อยู่อาศัยประเภท บ้านเดี่ยว บ้านแฝดและบ้านแถว อาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคาร และห้องชุด ที่จดทะเบียนอาคารชุด(คอนโด) ตามกฎหมาย -ราคาซื้อขาย และราคาประเมินกรมที่ดิน และวงเงินจำนองไม่เกิน 3 ล้านบาท ต้องมีการโอนซื้อขายและจดจำนองในคราวเดียวกัน จึงจะได้ลดค่าธรรมเนียม ได้รับลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอน และจำนองอสังหาริมทรัพย์ ที่เป็นอาคารที่อยู่อาศัย หรืออาคารพาณิชย์ หรือที่ดินพร้อมอาคารที่อยู่อาศัย หรืออาคารพาณิชย์ หรือห้องชุด ทั้งมือหนึ่งและมือสอง -ผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ต้องเป็นบุคคลธรรมดาที่มีสัญชาติไทย   สำหรับโครงการที่เข้าเกณฑ์  ก็คงเป็นโครงการสร้างเสร็จพร้อมเข้าอยู่ ที่ได้เปิดตัวไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม โครงการที่เปิดตัวใหม่ในปีนี้ หากก่อสร้างแล้วเสร็จและสามารถส่งมอบลูกค้าได้ทัน ก็จะได้รับอานิสงค์ของมาตรการนี้ไปด้วย โดยเฉพาะบ้านแนวราบที่ก่อสร้างได้เร็ว และคอนโดที่เป็นโลว์ไรซ์   แล้วโครงการที่เปิดตัวใหม่ในปีนี้ มีโครงการไหนบ้างที่เข้าหลักเกณฑ์ คือ เป็นโครงการระดับไม่เกิน 3 ล้านบาท ที่จะเข้ามาเป็นตัวเลือกใหม่ ๆ ให้กับลูกค้าได้บ้าง วันนี้ Reviewyourliving ได้สำรวจรวบรวมมาไว้เป็นตัวอย่าง ให้ผู้ที่อยากซื้อบ้านและคอนโดราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ได้เลือกหาและจับจอง   แต่แม้ว่าจะซื้อหรือโอนบ้านและคอนโดราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทไม่ทันภายในปีนี้  ตลาดบ้านและคอนโดกลุ่มนี้ ก็นับว่าเป็นตลาดสำคัญที่มีดีมานด์สูง เพราะฐานรายได้ของคนไทยส่วนใหญ่ มีกำลังซื้อบ้านและคอนโดในระดับราคาเท่านี้เป็นหลัก  ซึ่งนับวันดีเวลลอปเปอร์ก็พัฒนาบ้านและคอนโดราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ออกมาได้น้อยลง ทั้ง ๆ พราะต้องยอมรับว่าราคาที่ดินพุ่งสูงมากขึ้น ไม่นับรวมกับต้นทุนอื่น ๆ ที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย  แม้จะมีความต้องการสูงในตลาดบ้านและคอนโดในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทก็ตาม รวม บ้านและคอนโดราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เสนา ส่ง 3 แบรนด์ต่ำ 3 ล้าน ในบรรดาดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ในตลาดอสังหาฯ  บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ถือเป็นหนึ่งในผู้เล่นสำคัญของตลาดบ้านและคอนโดราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท เพราะมีการพัฒนาโครงการในกลุ่มสินค้าดังกล่าวออกมาค่อนข้างมาก โดยเฉพาะบ้านและคอนโด ระดับราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท ถือว่าเป็นเจ้าตลาดเลยก็ว่าได้   สำหรับปี 2565 บริษัทมีแผนขยายธุรกิจที่อยู่อาศัยด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่รวม 49 โครงการ 27,480 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม  21 โครงการและแนวราบ 28 โครงการ ในจำนวน 49 โครงการ เป็นโครงการภายใต้​การควบรวมกิจการบริษัท เจ.เอส.พี พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ JSP จำนวน 25 โครงการ มูลค่า 8,980 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้ “เสนา” วางเป้าหมายยอดขายไว้​​ 13,979 ล้านบาท และ​เป้าหมายยอดโอน 12,186 ล้านบาท   ส่วนใครที่ต้องการซื้อบ้านและคอนโด ราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ในปีนี้ “เสนา” ก็เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ ที่มีบ้านระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ออกมารองรับความต้องการถึง 17 โครงการ นอกจากนี้ ยังมีโครงการภายใต้การพัฒนาของแบรนด์ เจ.เอส.พี. อีกถึง 20 โครงการด้วย   โครงการของ “เสนา” ที่มีบ้านระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ในปีนี้มี 3 แบรนด์หลัก​ ได้แก่ 1.แบรนด์ Flexi เป็นคอนโด ระดับราคา 1.39 - 2 ล้านบาทต้น ๆ ซึ่งเปิด 7 โครงการ ใน 7 ทำเลสำคัญ ได้แก่ รัตนาธิเบศร์ สาทร เตาปูน สุขสวัสดิ์ 13 บางนา เจริญนคร 70 และสาทร-กัลปพฤกษ์  2.แบรนด์เสนาคิทท์ (SENA Kith) คอนโดระดับราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท ซึ่งมีแผนเปิดใหม่จำนวน 9 โครงการ ในทำเลต่าง ๆ ดังนี้ เวสต์เกต รังสิต คลอง 4 บางกระดี รัจนาธิเบศร์ บางนา 29 เทพารักษ์ 2 นวนคร และอ้อมน้อย และ 3.แบรนด์เสนา วีว่า (SENA Viva) กับโครงการเสนาวีว่า เทพารักษ์ บางบ่อ ราคาเริ่มต้น 2.29 ล้านบาท ขณะที่โครงการในส่วนของ เจ.เอส.พี. ภายใต้แบรนด์ซีรี่ส์ เจ เช่น เจ บิซ (J Biz) เจ ซิตี้ (J City) เจ คอนโด (J Condo) เป็นต้น​ มีจำนวน 16 โครงการ ซึ่งมีระดับราคาเริ่มต้น 1.89-4.29 ล้านบาท  และโครงการภายใต้แบรนด์ไมอามี่ อีก 4 โครงการ ในทำเลบางปู มีระดับราคาเริ่มต้นเพียง 899,000-1.4 ล้านบาท ​ พฤกษา ประเดิม 4 โปรเจ็กต์ สำหรับบริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) มีแผนการเปิดโครงการใหม่ ที่เน้นตลาดแนวราบ โดยรุกกลุ่มเรียลดีมานด์เซ็กเม้นต์รายได้ระดับกลางถึงสูงมากขึ้น วางแผนเปิดโครงการใหม่ 31 โครงการ มูลค่า 16,300 ล้านบาท แบ่งเป็น ทาวน์เฮาส์ 22 โครงการ บ้านเดี่ยว 6 โครงการ และคอนโด 3 โครงการ ตั้งเป้ายอดขายปี 2565 อยู่ที่ 31,000 ล้านบาท และยอดโอน 33,000  ล้านบาท   ส่วนโครงการระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท  มี 4 โครงการ มาแนะนำ ดังนี้ 1.โครงการพฤกษาวิลล์ พหลโยธิน-คลองหลวง (2)   มูลค่า 873 ล้านบาท จำนวน 372 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.95 ล้านบาท พรีเซลล์วันที่ 28-29 พฤษภาคม ทำเลที่ตั้งติดถนนคลองหลวง-พหลโยธิน ใกล้รถไฟฟ้าสายสีแดง   2.โครงการบ้านพฤกษา บางนา-ศรีวารี  มูลค่าโครงการ 1,013 ล้านบาท จำนวน 443 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.73 ล้านบาท พรีเซลล์วันที่ 28-29 พฤษภาคม ทำเล 3.โครงการบ้านพฤกษา รังสิต-คลองสี่ (2)  มูลค่าโครงการ 544 ล้านบาท จำนวน 393 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 1.25 ล้านบาท พรีเซลล์วันที่ 21-22 พฤษภาคม 4.โครงการบ้านพฤกษา บางนา-ศรีนครินทร์  มูลค่าโครงการ 1,198 ล้านบาท จำนวน 496 ยูนิต ทาวน์เฮ้าส์เริ่มต้น 1.99 ล้านบาท บ้านแฝดราคาเริ่มต้น 3.7 ล้านบาท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เปิด 1 โปรเจ็กต์ สำหรับบริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน)  มีแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ปีนี้ จำนวน 12 โครงการ รวมจำนวน  1,670 ยูนิต มูลค่าโครงการ 14,775 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นบ้านเดี่ยว ซึ่งมีราคาสูง แต่ก็มีโครงการที่จับตลาดระดับกลางลงล่างด้วยเช่นกัน  ซึ่งโครงการสำหรับผู้ที่มีงบไม่เกิน 3 ล้านบาท สามารถเลือกซื้อได้นั้น มีโครงการเดียวเท่านั้น คือ โครงการ โมดิ วิลล่า บางใหญ่ (2) ทาวน์เฮ้าส์ มูลค่าโครงการ 880 ล้านบาท จำนวน 331 ยูนิต ซึ่งจะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4 เอสซี แอสเสท ส่ง V compound  ลุยตลาด​ บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ปีนี้วางแผน​เปิดโครงการใหม่สูงสุดเป็นสถิติใหม่ ด้วยจำนวน 27 โครงการ รวมมูลค่า  40,000 ล้านบาท  เป็นโครงการแนวราบ 25 โครงการ มูลค่า 33,500 ล้านบาท ซึ่งมากกว่า 70% เป็นบ้านเดี่ยวราคามากกว่า 10 ล้านบาท  และเปิดคอนโด​ 2 โครงการ​ มูลค่า 6,500 ล้านบาท บนทำเล รถไฟฟ้า BTS 2 สถานี คือ วงเวียนใหญ่ และ  ทองหล่อ เพื่อสร้างรายได้ ตามเป้าหมาย 22,000 ล้านบาท  และยอดขายให้ได้ตามเป้าหมายมูลค่า  22,000  ล้านบาท   ส่วนโครงการของเอสซี สำหรับคนที่มีงบไม่เกิน 3 ล้านบาท ซื้อบ้านและคอนโด โครงการไหนได้บ้างนั้น มี 2  โครงการมาแนะนำ ดังนี้ คือ  1.โครงการ  V compound บางนา-ศรีนครินทร์ โครงการบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม จำนวน 95 ยูนิต ราคาเริ่ม 3 ล้านบาท  และ 2.โครงการ V compound รังสิต ซึ่งเตรียมเปิดตัวในช่วงเดือนตุลาคมนี้ ​ เฟรเซอร์ ส่ง โกลเด้นทาวน์จับตลาดต่ำ 3 ล้าน สำหรับ บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด   มีแผนเปิดโครงการใหม่ 25 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 29,500 ล้านบาท  ตั้งเป้ารายได้ 13,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13%  โดยแบรนด์โกลเด้นทาวน์ เป็นโครงการระดับราคา 2-5 ล้านบาท ถือเป็นระดับราคาต่ำสุดของเฟรเซอร์ พร็อพเพอร์ตี้ โฮม ส่วนที่เหลือจะเป็นบ้านระดับราคาตั้งแต่ 6 ล้านบาทขึ้นไปจนถึง 120 ล้านบาท ซึ่งในปีนี้บริษัทมุ่งเน้นไปจับตลาดระดับบน กลุ่มบ้านแพงมากขึ้น เพราะมองว่า เป็นตลาดที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจน้อยที่สุด และยังเป็นมีกำลังซื้อสูง ส่วนแผนเปิดโครงการโกลเด้นทาวน์ในปีนี้วางไว้ทั้งหมด 10 โครงการ (ม.ค. - ธ.ค. 2565) โดยเปิดไปแล้ว 1โครงการเป็นแบบ VIP คือ โกลเด้น  ทาวน์  ฟิวเจอร์ - รังสิต  มูลค่าโครงการ 736 ล้านบาท จำนวน 269 ยูนิต ส่วนโครงการอื่น ๆ ยังไม่ได้ประกาศออกมาว่าจะเปิดในทำเลใดบ้าง ออริจิ้นเปิด 9 โปรเจ็กต์รับตลาดต่ำ 3 ล้าน สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน  31 โครงการ  มูลค่า 42,000 ล้านบาท เพื่อสร้างยอดขายให้ได้ตามเป้าหมายหมายปีนี้​ 35,000 ล้านบาท และเป้าหมายรายได้ (โอนกรรมสิทธิ์ ) มูลค่า 17,500 ล้านบาท   ส่วนผู้ที่มีงบไม่เกิน 3 ล้านบาท สามารถซื้อบ้านและคอนโด ของออริจิ้น ในโครงการใหม่ที่เปิดตัวในปีนี้ มีที่ไหนบ้าง จากจำนวน 31 โครงการ  โดยจากการสำรวจพบว่ามีจำนวนทั้งหมด 9 โครงการ ดังนี้ 1.โครงการโซ ออริจิ้น พหล 69 สเตชั่น (So Origin Phahol 69 Station) ราคาเริ่มต้น 2.79 ลบ. 2.โครงการออริจิ้น เพลส บางนา (Origin Place Bangna) ราคาเริ่มต้น อยู่เอง 2.19 ลบ. // IP 2.99 ลบ. 3.โครงการออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ สิรินธร สเตชั่น (Origin Plug & Play Sirindhorn Station) ราคาเริ่มต้น 1.89 ลบ. 4.โครงการออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ ศรีนครินทร์ (Origin Plug & Play Srinakarin) (ยังทำราคาไม่เสร็จ) 5.โครงการออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ นนทบุรี สเตชั่น (Origin Plug & Play Nonthaburi Station) ราคาเริ่มต้น 1.69 ลบ. 6.โครงการออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ อี22 สเตชั่น (Origin Plug & Play E22 Station) ราคาเริ่มต้น 1.59 ลบ. 7.โครงการบริกซ์ตัน เพ็ท แอนด์ เพลย์ พหลโยธิน 50 สเตชั่น (Brixton Pet & Play Phahol 50 Station) ราคาเริ่มต้น 1.99 ลบ. 8.โครงการบริกซ์ตัน ระยอง (Brixton Rayong) ราคาเริ่มต้น 1.39 ลบ. 9.โครงการบริกซ์ตัน แคมปัส บางแสน (Brixton Campus Bangsaen) ราคาเริ่มต้น 1.69 ลบ. เอพี เปิดพลีโน่ ทาวน์-แอสปาย สำหรับบริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) ​มีแผนพัฒนาโครงการใหม่ รวมจำนวน 65 โครงการ มูลค่าประมาณ 78,000 ล้านบาท แบ่งเป็นทาวน์โฮม 29 โครงการ มูลค่า 25,200 ล้านบาท บ้านเดี่ยว 26 โครงการ มูลค่า 35,600 ล้านบาท คอนโด 5 โครงการ มูลค่าประมาณ 13,000 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 5 โครงการ มูลค่า 4,200 ล้านบาท ส่วนโครงการบ้านและคอนโด หากมีงบประมาณไม่เกิน 3 ล้านบาท สามารถเลือกซื้อได้ในแบรด์พลีโน่ ทวน์ ซึ่งเบื้องต้นเปิดตัว โครงการพลีโน่ ทาวน์ บางนา ทาวน์โฮม 2 ชั้นและบ้านแฝด จำนวน 351 ยูนิต ราคา 1.99-4.99 ล้านบาท  แบรนด์คอนโด แอสปาย ซึ่งเปิดตัวแล้ว​ 1 โครงการ คือ ASPIRE ปิ่นเกล้า–อรุณอมรินทร์ จำนวน 395 ยูนิต เริ่ม 2.89 ล้านบาท (เริ่ม 94,000 บาท/ตร.ม.) โนเบิล ส่งแบรนด์ นิว รับกำลังซื้อต่ำกว่า 3 ล้าน สำหรับบริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน)  มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ปีนี้  จำนวน 18 โครงการ มูลค่า​ 47,700 ล้านบาท เพื่อสร้างเป้าหมายยอดรายได้ 29,000 ล้านบาท และมีเป้าหมายยอดขาย  28,000  ล้านบาท ซึ่งแผนปีนี้ได้เพิ่มสัดส่วนของการพัฒนาโครงการแนวราบ โครงการคอนโดแบบ Low Rise ในพอร์ตให้มากขึ้น เพื่อขยายพอร์ตให้มีสินค้ากระจายและรองรับกลุ่มลูกค้าได้หลากหลาย ซึ่งมีโครงการประเภทแนวราบ และคอนโดแบบ Low Rise จำนวน 12 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 18,800 ล้านบาท  โครงการประเภทแนวสูงจำนวน 6 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 28,900 ล้านบาท   โดยลูกค้าที่มีงบไม่เกิน 3 ล้านบาท สามารถเลือกซื้อโครงการคอนโด ภายใต้แบรนด์นิว (Nue) ของโนเบิลได้ ซึ่งได้เปิดตัวแล้ว 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 15,000 ล้านบาท แต่โครงการที่อยู่ภายใต้งบประมาณไม่เกิน 3 ล้านบาท มี 4 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการ นิว โนเบิล ดิสทริค อาร์ 9 (Nue Noble District R9) มูลค่าโครงการประมาณ 6,200 ล้านบาท   ราคาเริ่มต้นเพียง 2.9 ล้านบาท 2.โครงการ นิว โนเบิล เมกา พลัส บางนา (Nue Noble Mega Plus Bangna) มูลค่าโครงการประมาณ 3,000 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นเพียง 1.89 ล้านบาท 3.โครงการ นิว โนเบิล ซี-สแควร์ สวนหลวง สเตชั่น (Nue Noble Z-Square Suan Luang Station) มูลค่าโครงการประมาณ 700 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นเพียง 1.79 ล้านบาท 4.โครงการ นิว โนเบิล คอนเน็กซ์ คอนโด ดอนเมือง (Nue Noble Connex Condo Donmueang) มูลค่าโครงการประมาณ 2,200 ล้านบาท ราคาเริ่มต้นเพียง 1.09 ล้านบาท ศุภาลัย เปิด 9 โปรเจ็กต์ ส่วนบริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) ปีนี้วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 34 โครงการ แบ่งเป็น โครงการแนวราบ 31 โครงการ และโครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการ ​มูลค่า  40,000 ล้านบาท เพื่อสร้างรายได้ตามเป้าหมาย  29,000 ล้านบาท และยอดขายตามเป้าหมาย​ 28,000  ล้านบาท   โครงการเปิดใหม่ปี 2565 สำหรับรองรับผู้ที่มีงบไม่เกิน 3 ล้านบาท รวม 9 โครงการ มูลค่า 7,200 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดฯ ในกรุงเทพฯ จำนวน 2 โครงการ มูลค่า 4,200 ล้านบาท ​โครงการแนวราบในกรุงเหพฯ จำนวน 3 โครงการ มูลค่า 1,000 ล้านบาท และ โครงการแนวราบในต่างจังหวัด จำนวน 4 โครงการ มูลค่า 2,000 ล้านบาท   ทั้งหมดก็เป็นตัวอย่างบ้านและคอนโด ในระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ที่สามารถเลือกซื้อเลือกจับจองได้ ตามความต้องการ มีหลากหลายทำเล รูปแบบบ้าน และหลายแบรนด์ ใครชอบโครงการของใคร ก็ไปเลือกดูกันตามต้องการ ที่สำคัญมากกว่าราคา คือ คุณภาพ เลือกให้ดี อย่าเลือกเพราะราคาและโปรโมชั่นเท่านั้น เพราะบ้านอยู่กับเราไปอีก 20-30 ปี หรือตลอดอายุเรา ถ้าไม่อยากมีปัญหาตามมาปวดหัวภายหลัง   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง เสนา ดีเวลลอปเมนท์  กับ 3 กลยุทธ์สู่เป้ารายได้กว่า 12,000 ล้าน ก้าวต่อไป เปิด 2 แบรด์ใหม่ จับตลาดต่ำล้าน เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม ปรับแผนธุรกิจปี 65 เพิ่มพอร์ต บ้านหรู ปูทางโตอย่างยั่งยืน เล็งรายได้คอนโด 20% พฤกษา เตรียมงบลงทุน 10,000 ล้านปี 65 พร้อมขยายธุรกิจ “พร็อพเทค-เฮลท์เทค” ​ เอพี ไทยแลนด์ เดินแผนพัฒนาสูงสุดในตลาด ประเดิม Q1 เปิดแนวราบ 11 โครงการ มูลค่า 9,590 ล้าน
ธปท. ออกเกณฑ์​​คิด ดอกเบี้ย-ค่าบริการ-เบี้ยปรับ ผลิตภัณฑ์-บริการทางการเงิน ฉบับใหม่เพื่อความเหมาะสม-เป็นธรรม

ธปท. ออกเกณฑ์​​คิด ดอกเบี้ย-ค่าบริการ-เบี้ยปรับ ผลิตภัณฑ์-บริการทางการเงิน ฉบับใหม่เพื่อความเหมาะสม-เป็นธรรม

ดอกเบี้ย ธปท. ออกหลักเกณฑ์การปฏิบัติและการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับ ดอกเบี้ย ค่าบริการ และเบี้ยปรับ สำหรับผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน เพื่อควบคุมการคิดค่าธรรมเนียมอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม เริ่มบังคับใช้ 1 เมษายนนี้ นางธัญญนิตย์ นิยมการ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน 2 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท. ให้ความสำคัญกับการดูแลประชาชนให้ได้รับบริการทางการเงินที่เป็นธรรมมาอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินด้วยราคาที่เหมาะสม ได้รับข้อมูลที่เปิดเผยอย่างโปร่งใสและเพียงพอต่อการตัดสินใจ รวมถึงส่งเสริมผู้ให้บริการทางการเงิน (ผู้ให้บริการ) แข่งขันการให้บริการภายใต้หลักเกณฑ์ที่กำหนด   ในครั้งนี้ ธปท. ได้ปรับปรุงหลักเกณฑ์การกำกับดูแล โดยออกประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง หลักเกณฑ์การปฏิบัติและการเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับดอกเบี้ย ค่าบริการ และเบี้ยปรับ สำหรับผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงิน ซึ่งได้กำหนดกรอบหลักการสำคัญ 6 ประการ พร้อมยกตัวอย่างประกอบ เพื่อใช้เป็นแนวนโยบายในการกำหนดราคาผลิตภัณฑ์และบริการ   สำหรับประกาศนี้ให้บังคับใช้กับผู้ให้บริการภายใต้การกำกับดูแลของ ธปท.1 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2565 เป็นต้นไป โดยครอบคลุมสัญญาที่เกิดขึ้นก่อนแต่ยังมีผลผูกพันอยู่ และสัญญาตั้งแต่วันที่ประกาศมีผลบังคับใช้   สาระสำคัญของกรอบหลักการ 6 ประการ มีดังนี้ 1.ต้องสะท้อนต้นทุนจริงจากการให้บริการ และไม่เรียกเก็บซ้ำซ้อน โดยต้องกำหนดอัตราดอกเบี้ย ค่าบริการ และเบี้ยปรับ อย่างเหมาะสม เป็นธรรม ไม่เอาเปรียบ ไม่เรียกเก็บซ้ำซ้อน คำนึงถึงต้นทุนในด้านต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจริง รวมทั้งไม่นำดอกเบี้ย ค่าบริการ เบี้ยปรับ และค่าใช้จ่ายตามที่ผู้ให้บริการได้สำรองจ่ายไป มารวมกับจำนวนหนี้ที่ค้างชำระเพื่อคิดดอกเบี้ยและเบี้ยปรับอีก   2.ต้องใช้ฐานในการคำนวณค่าบริการและเบี้ยปรับที่เหมาะสม โดยสมเหตุสมผลและสอดคล้องกับปัจจัยที่ทำให้เกิดต้นทุน เช่น ค่าประเมินราคาหลักประกัน ต้องไม่กำหนดเป็นสัดส่วนร้อยละของวงเงินสินเชื่อ เนื่องจากปัจจัยหลักที่มีผลต่อต้นทุนมักขึ้นอยู่กับความยากง่ายในการประเมินราคา ซึ่งอาจแตกต่างกันไปตามประเภท สถานที่ตั้ง และขนาดของหลักประกัน สำหรับเบี้ยปรับจากการไถ่ถอนสินเชื่อก่อนกำหนด ต้องคำนวณจากยอดเงินต้นคงเหลือ ณ วันที่ไถ่ถอนสินเชื่อ ไม่คำนวณจากจำนวนวงเงินตามสัญญา   3.ต้องคืนค่าบริการในส่วนที่ลูกค้าไม่ได้ใช้ ตามสัดส่วนของระยะเวลาที่ยังไม่ได้ใช้บริการ รวมถึงแจ้งเงื่อนไขและช่องทางการคืนค่าบริการให้ลูกค้าทราบอย่างชัดเจน   4.ต้องไม่ผลักภาระให้กับลูกค้าหรือไม่สร้างภาระจนเกินสมควร และคำนึงถึงความสามารถในการชำระของลูกค้า ผู้ให้บริการต้องไม่เรียกเก็บค่าบริการที่เกิดจากการดำเนินการตามปกติ และไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์เพิ่มเติมแก่ลูกค้า เช่น ไม่เรียกเก็บค่าประเมินราคาหลักประกันในกรณีทบทวนราคาหลักประกันเพื่อการจัดชั้น การกันสำรอง และ/หรือการบริหารความเสี่ยงของผู้ให้บริการเอง   5.ต้องเปิดเผยข้อมูลดอกเบี้ย ค่าบริการ และเบี้ยปรับ อย่างชัดเจนโปร่งใส และเป็นปัจจุบัน เพื่อให้ลูกค้าใช้ประกอบการตัดสินใจการเลือกใช้บริการได้อย่างถูกต้อง   6.ต้องควบคุมดูแลและสื่อสารกับพันธมิตรทางธุรกิจที่ดำเนินการแทน ให้ทราบถึงเจตนารมณ์ของกรอบหลักการข้างต้น โดยผู้ให้บริการภายนอก (outsourcer) หรือตัวแทนทางการเงิน (agent) ต้องกำหนดอัตราค่าบริการที่จะเรียกเก็บกับลูกค้าอย่างเป็นธรรม ไม่เอาเปรียบ ไม่ทำให้คุณภาพการให้บริการที่ลูกค้าได้รับด้อยลงหรือผลักภาระไปให้ลูกค้า และดูแลให้เปิดเผยข้อมูลค่าบริการต่าง ๆ ให้ลูกค้าทราบอย่างถูกต้อง ครบถ้วน และชัดเจน   สำหรับผู้ให้บริการที่เป็นสถาบันการเงิน และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ยังต้องถือปฏิบัติตามแนวทางที่กำหนดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการรับฝากเงิน การเรียกเก็บค่ารักษาบัญชีเงินฝาก รวมถึงการให้สินเชื่อหรือการให้กู้ยืมเงินเพื่อการอุปโภคบริโภค (consumer loan) และเพื่อการประกอบธุรกิจ (commercial loan) ด้วย ที่ผ่านมา ธปท. ได้สื่อสารกรอบหลักการกับผู้ให้บริการมาเป็นระยะ ๆ แล้ว   อย่างไรก็ดี ธปท. จะดูแลผู้ให้บริการถือปฏิบัติตามประกาศดังกล่าวอย่างเคร่งครัด เพื่อร่วมกันช่วยประชาชนให้เข้าถึงผลิตภัณฑ์และบริการทางการเงินด้วยเงื่อนไขที่เหมาะสมและเป็นธรรม หากประชาชนท่านใดได้รับบริการที่ไม่เป็นธรรม สามารถแจ้งมาที่ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงินของ ธปท. โทร.1213 ได้ตั้งแต่วันจันทร์ - ศุกร์ เวลา 8.30 - 16.30 น. หรือส่งเรื่องร้องเรียนมาที่ www.1213.or.th ตลอด 24 ชั่วโมง   ข่าวที่เกี่ยวข้อง อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนมีนาคม 2565