Tag : News

2400 ผลลัพธ์
“ออริจิ้น”  ตุนยอดขายครึ่งปีแรก 51% ของเป้าทั้งปี  เตรียมเปิดโครงการเพิ่มอีก 26,500 ล้าน

“ออริจิ้น” ตุนยอดขายครึ่งปีแรก 51% ของเป้าทั้งปี เตรียมเปิดโครงการเพิ่มอีก 26,500 ล้าน

ออริจิ้น “ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้” โชว์ความสำเร็จครึ่งปีแรก กวาดยอดขายบ้าน-คอนโด 17,772 ล้านบาท ทำได้ 51% ของเป้าหมายทั้งปี  มั่นใจครึ่งปีหลังตลาดยังแกร่งจากหลายปัจจัยบวก เตรียมเปิดคอนโด-บ้านเพิ่มอีก 20 โครงการ มูลค่า 26,500 ล้านบาท หนุนยอดขายทะลุ 35,000 ล้านบาท     นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565  (ม.ค.-มิ.ย.2565) บริษัทมียอดขายสะสมจากโครงการที่อยู่อาศัยในเครือทั้งสิ้น 17,772 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปี 2564 ถึงกว่า 13% และคิดเป็น 51% ของเป้าหมายทั้งปีที่ 35,000 ล้านบาท จากยอดขายดังกล่าว แบ่งเป็นยอดขายจากกลุ่มโครงการคอนโดมิเนียม 73% กลุ่มโครงการบ้านจัดสรร 27% หากแบ่งตามสถานะโครงการ มีสัดส่วนยอดขายจากโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) 61% และจากกลุ่มโครงการที่เพิ่งเปิดขายหรืออยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง (On-going) ราว 39% หากนับเฉพาะยอดขายในช่วงไตรมาส 2/2565 (เม.ย.-มิ.ย.2565) บริษัทสามารถสร้างยอดขายได้สูงถึงกว่า 9,623 ล้านบาท นับเป็น All Time High ใหม่ ของบริษัท   ทั้งนี้ โครงการใหม่ที่สามารถสร้างยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ โครงการคอนโดมิเนียมเจาะตลาดผู้บริโภค Gen Y  ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ สิรินธร สเตชั่น (Origin Plug & Play Sirindhorn Station) และออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ นนทบุรี สเตชั่น (Origin Plug & Play Nonthaburi Station) มียอดขายสะสมสูงกว่า 70% และโครงการคอนโดมิเนียมเจาะตลาดผู้บริโภคไฮเอนด์ โซ ออริจิ้น เกษตร อินเตอร์เชนจ์ (So Origin Kaset Interchange) มียอดขายสะสมสูงกว่า 90% ขณะเดียวกัน โครงการใหม่ซึ่งเจาะตลาดผู้บริโภค Niche ในแถบเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) อย่างบริกซ์ตัน แคมปัส บางแสน (Brixton Campus Bangsaen)  ก็สามารถปิดการขาย ได้อย่างรวดเร็วใน 1 เดือน    แม้ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์, บริกซ์ตัน รวมถึงโซ ออริจิ้น จะเป็นแบรนด์ใหม่ แต่เรายังได้รับความไว้วางใจจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง เพราะเราทำการบ้านอย่างหนักเรื่อง Customer Insight ปรับตัวเร็ว ปรับตัวไว และพัฒนาแต่ละโครงการให้ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดยุคใหม่       สำหรับในช่วงครึ่งปีหลัง  บริษัทยังคงเฝ้าติดตามหลากหลายประเด็นที่สำคัญต่อการใช้ชีวิตของผู้คน สภาพเศรษฐกิจ และสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง อาทิ การแพร่ระบาดและความรุนแรงของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน BA.4 และ BA.5 สถานการณ์เงินเฟ้อ การปรับตัวของอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ดี บริษัทเชื่อมั่นว่าทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ยังคงเดินหน้าอย่างจริงจังในการรับมือกับปัจจัยทั้งหมดข้างต้น ขณะที่กำลังซื้อของผู้บริโภคในหลายเซ็กเมนท์ยังมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง สังเกตได้จากอัตราการดูดซับของโครงการในหลายทำเล ที่ยังคงมีแนวโน้มที่ดี ทั้งนี้ บริษัทพร้อมเดินหน้าเปิดโครงการที่อยู่อาศัยเพิ่มเติมในครึ่งปีหลังอีก 20 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 26,500 ล้านบาทตามแผน แบ่งเป็น กลุ่มโครงการคอนโดมิเนียม 10 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 15,600 ล้านบาท กระจายตัวทั้งตลาดคอนโด Gen Z, Gen Y, ไฮเอนด์ ไปจนถึงตลาดซูเปอร์ลักชัวรี และกลุ่มโครงการบ้านจัดสรร 10 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 10,900 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการรุกหนักในช่วงไฮซีซั่น หลังจากที่ครึ่งปีแรกเปิดตัวใหม่ไปเพียง 2 โครงการ จากการติดตามสถานการณ์ให้พร้อมปรับตัวกับทุกปัจจัยภายนอก และความพร้อมในการบุกตลาดอย่างต่อเนื่อง บริษัทมั่นใจว่า จะสามารถสร้างยอดขายได้มากกว่า 35,000 ล้านบาท และสร้างสถิติ All Time High ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ออริจิ้น​ เปิดคอนโดฯ 19 โปรเจ็กต์ 28,600 ล้าน ชู 2 กลยุทธ์ เจาะพื้นที่รถไฟฟ้า 8 สาย-EEC
เอพี ไทยแลนด์  กวาดยอดขายครึ่งปีแรกกว่า 25,530 ล้าน  เดินหน้าลุยเปิด 40 โครงการใหม่ ​

เอพี ไทยแลนด์ กวาดยอดขายครึ่งปีแรกกว่า 25,530 ล้าน เดินหน้าลุยเปิด 40 โครงการใหม่ ​

เอพี ไทยแลนด์ โชว์ผลงานยอดขาย ครึ่งปีแรก  25,530 ล้านบาท  สร้างนิวเรคคอร์ดอีกครั้ง  ครึ่งปีหลังมเตรียมเปิดตัว 40 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 53,620 ล้านบาท         นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาบริษัทมียอดขาย 25,530 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 43% หากเทียบกับครึ่งปีก่อนหน้า โดยเฉพาะสินค้าซูเปอร์สตาร์อย่างบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม ที่เติบโตแบบก้าวกระโดด ส่งผลให้ภาพรวมสินค้าแนวราบในครึ่งปีแรกเติบโตขึ้นกว่า 25% ขณะที่กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม ยอดขายก็ปรับตัวดีขึ้นกว่าเกือบ 3 เท่า ถือเป็นการส่งสัญญาณบวกที่ดีให้กับตลาดฯ ซึ่งทั้งหมดเป็นการเติบโตแบบ Organic Growth ที่สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในการวางแผนองค์กรให้พร้อมตั้งรับกับทุกสภาวะได้อย่างชัดเจน ถึงแม้ว่าในขณะที่สถานการณ์การแพร่ระบาดจะเริ่มคลี่คลายลง แต่ทุกคนทั่วโลกกำลังต้องเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อ ราคาสินค้าที่แพงขึ้นที่มีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจแทบทุกประเทศ ซึ่งสิ่งที่เอพีทำมาโดยตลอดคือการมอนิเตอร์ทุกสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อนำมาปรับแผนการทำงาน ตลอดจนการบริหารจัดการต้นทุน เพื่อคงราคาขายเดิมไม่ให้กระทบไปยังลูกค้าเรามากที่สุด ส่งผลให้ผลงานในครึ่งปีแรกสร้างผลงานเป็นนิวเรคคอร์ดได้อีกครั้ง ทั้งนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าตามแผน BREAKTHROUGH ทุกข้อจำกัด โดยในครึ่งปีหลัง จะมีโครงการพร้อมขายกระจายทั่วกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด รวมกันมากถึง 160 โครงการ มูลค่าพร้อมขายกว่า 122,350 ล้านบาท ประกอบด้วย 40 โครงการใหม่ มูลค่ารวมประมาณ 53,620 ล้านบาท ที่เตรียมจะเปิดตัวในครึ่งปีหลังนี้ แบ่งเป็นทาวน์โฮม 16 โครงการ มูลค่า 16,440 ล้านบาท บ้านเดี่ยวจำนวน 18 โครงการ มูลค่า 24,030 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่า 10,400 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 3 โครงการ มูลค่า 2,750 ล้านบาท   นอกจากนี้ ยังมีอีก 120 โครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างและขาย  ซึ่งทั้งหมดสะท้อนได้ถึงการเตรียมพร้อมในทุกๆ ด้านของเอพี ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการต้นทุน การวางแผนเรื่องแรงงาน ตลอดจนการบริหารจัดการ เพื่อรองรับกับจำนวนโครงการที่มีปริมาณมากควบคู่กับภาวะความผันผวนที่เกิดขึ้น   สำหรับไฮไลท์ที่น่าสนใจในครึ่งปีหลัง คือการต่อยอดความสำเร็จของสินค้าบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม  ด้วยการขยายไปยังทำเลปริมณฑล อย่างเช่น จังหวัดสมุทรปราการ สมุทรสาคร นนทบุรี และปทุมธานี เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายที่กว้างมากขึ้น ด้วยโปรดักส์และแบบบ้านใหม่ ๆ เพื่อให้ลูกค้าทุกคนสามารถเลือกแบบบ้านได้ตามความต้องการ​ โดยกลุ่มธุรกิจทาวน์โฮม เตรียมเดินตามโรดแมป “Unlock Vertical Life พื้นที่ชีวิตแนวตั้งที่เลือกเองได้”  ด้วย 20 แบบบ้านทาวน์โฮมใหม่ จาก 6 แบรนด์ของเอพี กับ 16 โครงการใหม่ พร้อมการกลับมาของแบรนด์ “บ้านกลางเมือง คลาสเซ่” ซึ่งจะนำร่องทำเลสุขุมวิท 77 ส่วนกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยวเตรียมพบกับแบบบ้านโมเดลใหม่ทั้งหมด ภายใต้แนวคิด “Functional is Beautiful บ้านที่เข้าใจชีวิต” กับ 18 โครงการใหม่ พร้อมกับแผนการบุกตลาดบ้านเดี่ยวในระดับราคา 3 - 5 ล้านบาท  เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการตลาด  ด้วยบ้านแบบใหม่ใหม่ที่พร้อมเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้   ด้านกลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม หลังจากในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จจาการบุกตลาดแมสคอนโด ด้วยแบรนด์แอสปาย (ASPIRE) ที่สามารถทำยอดขายรวมกว่า 44%  ซึ่งบริษัทได้เปิดตัวโครงการ  ASPIRE ปิ่นเกล้า-อรุณอมรินทร์ และ ASPIRE รัชโยธิน ในครึ่งปีหลังบริษัทเตรียมเปิดตัวอีก 3 โครงการ มูลค่ารวม 10,400 ล้านบาท ได้แก่ ASPIRE สุขุมวิท-พระราม 4   ASPIRE อ่อนนุช สเตชั่น และ LIFE พหล-ลาดพร้าว นอกจากนี้ยังมีคอนโดอีก  2 โครงการที่พร้อมอยู่และโอนกรรมสิทธิ์ ได้แก่ โครงการ​ LIFE สาทร เซียร์รา และ RHYTHM เอกมัย เอสเตท ที่เตรียมโอนกรรมสิทธิ์รับรู้รายได้เข้ามาเพิ่มเติมด้วย บริษัทฯ ยังคงดำเนินธุรกิจภายใต้พันธกิจใหญ่คือ การส่งมอบชีวิตที่ดีๆ ที่เลือกเองได้ ด้วยแผนการดำเนินงานที่รัดกุม ควบคู่ไปกับความพร้อมที่จะปรับตัวอย่างรวดเร็ว ด้วยการบริหารจัดการแบบกระจายอำนาจ ควบคู่การบริหารจัดการกระแสเงินสดอย่างเคร่งครัด   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอพี ไทยแลนด์ กวาดรายได้ Q1 กว่า 13,084 ล้าน พร้อมเปิดอีก 11 โครงการใหม่ รับสัญญาณบวก
3 เหตุผล ชิค รีพับบลิค  ระดมทุนในตลาด เอ็ม เอ ไอ  ขาย 360 ล้านหุ้น

3 เหตุผล ชิค รีพับบลิค ระดมทุนในตลาด เอ็ม เอ ไอ ขาย 360 ล้านหุ้น

ชิค รีพับบลิค เดินหน้าตามแผนระดมทุนขายหุ้น 360 ล้านหุ้น ในตลาด เอ็ม เอ ไอ ดีเดย์เตรียมเคาะราคาภายในเดือนกรกฎาคมนี้ หลังต้องเลื่อนกำหนดมา 2 ครั้ง ยันมีความพร้อมและมองเห็นโอกาสการเติบโตในธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ เล็งนำเงินไปต่อยอดธุรกิจ เพิ่มสาขาใหม่จ.อุดรธานี และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนธุรกิจ   ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มีธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ เป็นหนึ่งในธุรกิจเกี่ยวเนื่องที่สำคัญ เพราะเป็นสินค้าที่จำเป็นเพื่อการอยู่อาศัยภายในบ้าน หรือคอนโดมิเนียม ซึ่งแน่นอนว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบกับธุรกิจเฟอร์นิเจอร์  ไม่ต่างจากภาพรวมของธุรกิจอสังหาฯ เช่นกัน โดยหนึ่งในผู้ดำเนินธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 คือ บริษัท ชิค รีพับบลิค จำกัด (มหาชน)  หรือ “CHIC” ผู้จัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์ สินค้าตกแต่งบ้าน ของใช้ในบ้าน ที่นอนและเครื่องนอนครบวงจร ในรูปแบบร้านค้าเดี่ยวขนาดใหญ่ ซึ่งได้รับผลกระทบหลัก ๆ ใน 3 เรื่อง คือ 1.เลื่อนแผนการระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ จากกำหนดที่จะเข้าจดทะเบียนในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จากก่อนหน้านี้ได้เลื่อนแผนมาแล้วครั้งหนึ่ง เพราะภาวะตลาดหุ้นไม่ดีนัก   2.การล็อกดาวน์ประเทศ ส่งผลให้ต้องปิดร้านจำหน่ายสินค้าเฟอร์นิเจอร์   3.การปิดแคมป์คนงานก่อสร้าง ซึ่งส่งผลต่อการส่งมอบงานเฟอร์นิเจอร์และการติดตั้ง กับลูกค้าโครงการอสังหาฯ   อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ แต่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีการปรับตัว  ปรับแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งในภาพรวมส่วนใหญ่ก็สามารถผ่านพ้นวิกฤติโควิด-19 มาได้ด้วยดี รวมถึง ชิค รีพับบลิค ที่ผ่านพ้นวิกฤตมาได้ และเดินหน้าตามแผนธุรกิจ ในการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ อีกครั้ง   นายกิจจา ปัทมสัตยาสนธิ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชิค รีพับบลิคฯ เปิดเผยว่า ช่วง 5 ปีที่ผ่านมาบริษัทเคยยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) เพื่อเสนอขายหุ้น IPO ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และเตรียมจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ แต่สภาวะตลาดในช่วงเวลาดังกล่าวไม่ดีนัก เกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อนักลงทุน บริษัทที่ปรึกษาด้านการเงิน จึงปรึกษากับคณะกรรมการบริษัท ประกอบกับ​บริษัทยังไม่จำเป็นต้องรีบเข้าจดทะเบียน จึงเลื่อนการเสนอขายหุ้นออกไปก่อน   หลังจากนั้นในช่วง 2 ปีก่อน เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 บริษัทจึงเลื่อนไฟลิ่งเป็นครั้งที่ 2  และกลับมาปรับปรุงโครงสร้างภายในเพื่อความแข็งแกร่งของธุรกิจ จนกระทั้งปลายปีที่ผ่านมา  บริษัทได้ดำเนินการยื่นไฟลิ่งอีกครั้ง และได้รับการอนุมัติจากก.ล.ต.เป็นที่เรียบร้อย  บริษัทจึงดำเนินการตามขั้นตอนต่าง ๆ ซึ่งคาดว่าบริษัทจะเสนอขายหุ้น และเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ 3 เหตุผลทำไม ชิค รีพับบลิค ต้องเข้าตลาดหลักทรัพย์ นายกิจจา กล่าวว่า การจะนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ  ต้องใช้เวลา และต้องทุ่มเท เพราะมีการจัดการระบภายในค่อนข้างเยอะ  ซึ่งเหตุผลสำคัญที่ตัดสินใจนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์นั้น มีด้วยกัน 3 ประเด็นหลัก  คือ 1.มีศักยภาพในการเติบในอนาคต ​การนำบริษัทเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ บริษัทจะต้องมีศักยภาพในการเติบโตได้ในอนาคต ซึ่งบริษัทได้พิจารณาศักยภาพของบริษัทแล้ว เห็นว่ามีความพร้อม มองเห็นโอกาสทางธุรกิจ และเห็นว่าธุรกิจจะมีการเติบโตต่อไปในอนาคตได้อย่างไร  จากการที่มีประสบการณ์ในธุรกิจเฟอร์นิเจอร์มากว่า 30 ปี และได้จัดตั้งบริษัทขึ้นเมื่อกว่า 10 ปีที่ผ่านมา มองเห็นว่าธุรกิจนี้ยังสามารถสร้างการเติบโตในอนาคตได้อีกมาก  หากสามารถปรับตัวให้ทันต่อการเปลี่ยน 2.เพิ่มขีดความสามารถด้านการแข่งขัน บริษัทมีความสามารถในการแข่งขัน เพราะจับกลุ่มลูกค้าระดับ B+ ขึ้นไป โดยมีจุดแข็ง จากการนำเสนอสินค้าที่มีรูปแบบดีไซน์ ซึ่งเป็นตลาด Blue Ocean ที่มีช่องว่างและโอกาสทางการตลาด ไม่ใช่เช่น Red Ocean ที่มีการแข่งขันสูง โดยเฉพาะการแข่งขันด้วยการตัดราคา บริษัทไม่เข้าไปในตลาดดังกล่าวเพื่อของแบ่งส่วนแบ่งทางการตลาด ​แต่บริษัทจะไปตลาดใหม่ที่เรียกว่า Home Fashion แห่งแรกของเมืองไทย ที่รองรับกลุ่มลูกค้ามีกำลังซื้อ ต้องการสินค้าที่มีดีไซน์ มีความเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง และมีความแตกต่างจากที่อื่น เราคือคำตอบ เมื่อบริษัทมีความสามารถทางการแข่งขัน เมื่อไปอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ จะทำให้บริษัทมีการเติบโต จากการมีแหล่งเงินทุนและความน่าเชื่อถือ สามารถดึงทีมบริหารและบุคลากรมืออาชีพเข้ามาช่วยงานได้ 3.สร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน เมื่อธุรกิจเกิดแล้วจะต้องเติบโต ที่สำคัญเติบโตแบบยั่งยืน การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สิ่งสำคัญ คือ การทำตามระเบียบของก.ล.ต. จะต้องมีคณะกรรมการอิสระ มากำกับดูแลบริษัท ดูด้านความโปร่งใส รักษาผลประโยชน์ให้ทั้งกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่และรายย่อย   นอกจากนี้ ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมาบริษัทมีการปรับโครงสร้างขององค์กรให้มีประสิทธิภาพ ให้มีความสามารถด้านการแข่งขัน จากการปรับองค์กรทำให้รู้ว่าอะไรคือปัญหา หรืออะไรเป็นสิ่งที่จะต้องแก้ไข ที่สำคัญการอยู่ในตลาดหลักทรัพย์จะต้องมี ผู้ตรวจสอบ (Auditor) เพื่อความโปร่งใส ซึ่งการจะให้องค์กรเติบโตได้อย่างยั่งยืน จะต้องมีกระบวนการต่าง ๆ เหล่านี้ ​เพื่อทำให้บริษัทมีมาตรฐาน และทำให้คนรุ่นใหม่อยากเข้ามาร่วมงาน ถือเป็นความยั่งยืนของธุรกิจ 4 แนวทางบริหารเงินจากการระดมทุน โดยบริษัทวางแผนการเสนอขายหุ้น IPO ครั้งนี้ จำนวน 360 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ซึ่งมีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้ว 500 ล้านบาท และภายหลังการเสนอขายหุ้นครั้งนี้ CHIC จะมีทุนจดทะเบียนเพิ่มเป็น 680 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้มีการกำหนดราคาที่จะขาย แต่ได้มีการวางแผนเอาไว้แล้วว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ จะถูกนำไปขยายธุรกิจต่อไป ซึ่งวางแผนใช้เงินไว้ดังนี้ 1.ขยายสาขาใหม่ที่ จ.อุดรธานี บริษัทวางแผนขยายสาขาเพิ่มที่จ.อุดร เป็นสาขาที่ 6 ในประเทศไทย และยังเป็นศูนย์กระจายสินค้าสำหรับพื้นที่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หลังจากที่เห็นศักยภาพของจังหวัดอุดรธานี เป็นจังหวัดมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่  มีการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และจังหวัดใกล้เคียงก็มีการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ดี รวมถึงยังมีกลุ่มชาวสปป.ลาว ที่มีกำลังซื้อสูง เข้ามาซื้อสินค้าในจังหวัดอุดรธรธานีด้วย   บริษัทคาดว่าในช่วงต้นปี 2566 จะเริ่มทำการออกแบบและขอใบอนุญาตก่อสร้าง หลังจากนั้นจะมีการเปิดประมูลการก่อสร้าง โดยคาดว่าจะใช้ระยะเวลาการก่อสร้าง 1 ปี และน่าจะเปิดให้บริการได้ในช่วงปี 2567 2.ชำระคืนเงินกู้ เงินที่ได้จากการระดมทุน บริษัทจะนำมาชำระคืนเงินกู้ เพื่อช่วยลดค่าใช้จ่ายทางด้านการเงิน 3.การปรับปรุงสาขา บริษัทวางแผนนำเงินส่วนหนึ่งมาปรับปรุงสาขา 2 แห่ง เพื่อเพิ่มพื้นที่รองรับร้านค้า ซูปเปอร์มาร์เก็ต ซึ่งจะช่วยเพิ่มรายได้จากการให้เช่า เป็นการกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้หลัก และยังเพิ่มปริมาณลูกค้าเข้ามาใช้บริการมากขึ้น 4.การสำรองเงินทุนหมุนเวียน เพื่อให้ธุรกิจมีความมั่นคง บริษัทจึงจะนำเงินส่วนหนึ่งจากการระดมทุน มาใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ เพื่อสร้างการเติบโต   ปัจจุบันชิค รีพับบลิค มีร้านค้าเดี่ยวขนาดใหญ่  ที่รวบรวมเฟอร์นิเจอร์ สินค้าตกแต่งบ้าน ของใช้ในบ้าน ที่นอนและเครื่องนอน ที่มีดีไซน์และสไตล์ที่หลากหลาย มีรูปแบบทันสมัย และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (Uniqueness)  ภายใต้แบรนด์หลัก “ชิค รีพับบลิค” (CHIC) และ“ริน่า เฮย์” (RINA HEY) และสินค้านำเข้าจากต่างประเทศภายใต้ แบรนด์ “แอชลีย์ (Ashley)”   มีช่องทางจำหน่ายหลัก ได้แก่ 1.ร้านสาขา 5 แห่งในประเทศไทย และ 1 แห่งที่กัมพูชา 2.ช่องทางออนไลน์และมาร์เก็ตเพลส 3.งานโครงการที่จำหน่ายให้กับดีเวลลอปเปอร์อสังหาฯ รายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ต่าง ๆ โดยในปีนี้มีแผนขยายเข้าสู่ช่องทางโรงแรมและโรงพยาบาล รวมถึงการขยายธุรกิจการให้เช่าเฟอร์นิเจอร์และของแต่งบ้านกับกลุ่มลูกค้าต่าง ๆ ด้วย ​   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News]CHIC ชูกลยุทธ์สร้าง New S Curves ใหม่ ลุยเข้าตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai)
พราว เรียลเอสเตท ปั้นโปรเจ็กต์ “เวหา” 2,290 ล้าน ชู 6 ไฮไลท์คอนโดลักชัวรี่สูงสุดในหัวหิน

พราว เรียลเอสเตท ปั้นโปรเจ็กต์ “เวหา” 2,290 ล้าน ชู 6 ไฮไลท์คอนโดลักชัวรี่สูงสุดในหัวหิน

พราว เรียลเอสเตท เดินหน้าลงทุนปั้นคอนโดลักชัวรี่โปรเจ็กต์ที่ 2  หัวหิน  โครงการเวหา  มูลค่า 2,290 ล้านสูงที่สุดในหัวหิน มองวิวทะเลได้ทุกห้อง พร้อมชู 6 ไฮไลท์ จับตลาดคนไทยและต่างชาติ ใช้เป็นบ้านหลังที่ 2 มั่นใจสิ้นปีกวาดยอดขายได้ 50%    หัวหิน ถือเป็นเมืองท่องเที่ยวและพักตากอากาศ ที่ได้รับความนิยมอย่างสูงจากกลุ่มคนไทย มาอย่างต่อเนื่องยาวนาน  โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ และพื้นที่ใกล้เคียง  ที่มักเดินทางไปพักผ่อนช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์  เพราะเป็นเมืองตากอากาศที่มีความสวยงามทางทะเล บรรยากาศที่สงบไม่วุ่นวาย มีร้านอาหารอร่อย ๆ มากมาย ที่สำคัญใช้ระยะเวลาเดินทางไม่นาน  จึงทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาได้ตลอดทั้งปี   ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาเยือนหัวหินอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้เมืองหัวหินมีการพัฒนาเมืองในด้านต่าง ๆ ออกมารองรับกับการมาท่องเที่ยวและพักอาศัย ไม่ว่าจะเป็นโรงแรม คอนโดมิเนียม ศูนย์การค้า และร้านอาหาร ซึ่งระยะหลัง หัวหิน ไม่ได้รับความนิยมเฉพาะกลุ่มคนไทยเท่านั้น  แต่ยังมีชาวต่างชาติทั้งยุโรป และเอเชียให้ความนิยมเดินทางมาท่องเที่ยวจำนวนมากด้วย   หัวหินในยุคปัจจุบัน จึงไม่ใช่แค่เมืองท่องเที่ยวพักตากอากาศเท่านั้น แต่กลายเป็นเหมือนบ้านหลังที่ 2 ของใครหลายคน เพราะเขาเหล่านั้นเดินทางมาบ่อย และมีการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อพักระยะยาว ซึ่งรวมถึงชาวต่างชาติ ที่เลือกซื้อที่อยู่อาศัยไว้สำหรับการเป็นที่พักแบบระยะยาวด้วย ​ นางสาวพราวพุธ ลิปตพัลลภ กรรมการ บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) ​ เปิดเผยว่า  ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาทุกเมืองด้านการท่องเที่ยว ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทั้งหมด แต่เมืองหัวหินได้รับผลกระทบน้อยกว่าหลายสถานที่ ​เพราะคนกรุงเทพฯ ที่ซื้อที่พักไว้และไม่เคยเข้ามาพัก ได้กลับมาพักอาศัยและ Work from Home ส่งผลให้หัวหินมีความคึกคักพอสมควร และทำให้​คนรู้สึกว่าจำเป็นต้องมี​บ้านหลังที่ 2​   ปัจจุบัน ยอดขายโครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน ที่บริษัทได้เข้ามาพัฒนาในรูปแบบแบรนด์เด็ดเรสซิเดนซ์โครงการแรก สามารถทำยอดขายได้ 95% แม้ว่าจะเป็นการเปิดขายในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งเกิดภาวะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ตาม แต่ตลาดยังมีความต้องการอยู่ต่อเนื่อง ซึ่งกลุ่มลูกค้าไม่สามารถเดินทางเข้ามาชมห้องตัวอย่างได้ แต่เมื่อมีการเปิดประเทศก็ส่งผลให้มียอดขายได้ในอัตราดังกล่าว และโครงการจะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์ได้ภายในไตรมาส 3 ปีนี้   ล่าสุด พราว เรียลเอสเตท ได้เดินหน้าพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในเมืองหัวหินต่อเนื่อง กับโครงการเวหา (VEHHA) คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่  บนที่ดินกว่า 5.1 ไร่ ติดโรงแรมฮอลิเดย์ อินน์ รีสอร์ท วานา นาวา หัวหิน มูลค่าโครงการรวม 2,290 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นโครงการคอนโดแห่งที่ 2  ซึ่งพราว เรียลเอสเตท พัฒนา​ 6 ไฮไลท์คอนโดลักชัวรี่ที่สูงที่สุดในหัวหิน​  1.คอนโดลักชัวรี่สูงที่สุดในหัวหิน โครงการเวหา ถือเป็นคอนโดระดับลักชัวรี่ที่สูงที่สุดบน Rare Area ในเมืองหัวหิน ด้วยความสูงถึง 31 ชั้น เนื่องมีระยะห่างจากแนวฝั่งทะเลอ่าวไทยระยะ 700 เมตร ทำให้สามารถก่อสร้างอาคารสูงกว่า 23 เมตรได้ ตามข้อกำหนดของเทศบัญญัติเทศบาลเมืองหัวหิน ที่กำหนดว่าโครงการที่จะก่อสร้างสูงกว่า 23 เมตรได้ จะต้องมีระยะห่างจากแนวฝั่งทะเลอ่าวไทย 700 เมตร ซึ่งที่ตั้งโครงการอยู่ในระยะ 700 เมตรพอดี ​ 2.ห้องให้เลือกถึง 86 แบบ จำนวนห้องของโครงการเวหา จะมีด้วยกันทั้งหมด 364 ยูนิต ซึ่งมีแบบห้องที่มีขนาดและรูปแบบฟังก์ชั่นห้องที่แตกต่างกันถึง 86 แบบ โดยมีขนาดพื้นที่ห้องเริ่มต้น 28 ตารางเมตร แต่หากแบ่งตามพื้นที่ทั่วไปจะสามารถแบ่งห้องพักที่มีให้เลือกได้ 7 แบบ  ที่ตกแต่งครบ (Fully Furnish) ได้แก่ -แบบห้อง 1 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 28-30 ตารางเมตร​ -แบบห้อง 1 Bedroom Plus พื้นที่ใช้สอย 42-46 ตารางเมตร​ -แบบห้อง 1 Bedroom Plus Corner พื้นที่ใช้สอย 44-45 ตารางเมตร -แบบห้อง 2 Bedroom พื้นที่ใช้สอย 56-109 ตารางเมตร -แบบห้อง 2 Bedroom Jacuzzi พื้นที่ใช้สอย 103 ตารางเมตร -แบบห้อง Penthouse พื้นที่ใช้สอย 148-153 ตารางเมตร -แบบห้อง Penthouse Duplex พื้นที่ใช้สอย 101-349 ตารางเมตร   จำนวน 1 อาคาร สูง 31 ชั้น พื้นที่ขนาด 5-1-9.5 ไร่ มูลค่า 2,290 ล้านบาท ถูกพัฒนาขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Happiness Happens’ ด้วยดีไซน์สไตล์ Contemporary Architecture ซึ่งส่วนหนึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากสวนน้ำวานา นาวา หัวหิน ผสานพื้นที่สีเขียวที่ให้กลิ่นอายความเป็นผืนป่า ขณะเดียวกันก็ยังคงมีความ Private ด้วย Floor Plan ที่โดดเด่นแบบ Single Corridor มองเห็นวิวทะเลทุกห้องแบบ พาโนรามาและสวนน้ำวานา นาวา หัวหิน การตกแต่งภายในเน้นเลือกใช้ไม้พร้อมโทนสีที่ให้ความรู้สึกอบอุ่น ทั้งยังโปร่ง โล่ง สบาย กับความสูงของเพดานประมาณ 2.7 เมตร ในส่วนพื้นที่ทั่วไปของห้องแบบ Typical และประมาณ 6.10 เมตร ในส่วนพื้นที่ช่องเปิดของห้อง Duplex 3.ห้องเห็นวิวทะเลทุกยุนิต นอกจากความหลากหลายของแบบห้องพักแล้ว โครงการยังมีการออกแบบให้เป็น Single Corridor ทำให้ทุกห้องมองเห็นวิวทะเลแบบพาโนรามา และสวนน้ำวานา นาวา หัวหิน รวมถึงในอนาคตหากมีการพัฒนาโครงการบริเวณด้านทิศตะวันออกของโครงการก็จะไม่บังวิวทะเล จากข้อกำหนดเทศบัญญัติเทศบาลเมืองหัวหิน ที่ห้ามการก่อสร้างอาคารสูงเกิน 23 เมตร หากมีระยะห่างจากแนวทะเลฝั่งอ่าวไทยไม่ถึง 700 ​เมตร จึงทำให้ห้องพักของโครงการทั้งหมดสามารถมองเห็นวิวทะเล  ซึ่งในหัวหินไม่มีโครงการไหนที่จะสามารถเห็นวิวทะเลได้ทั้งโครงการเช่นนี้ 4.ส่วนกลาง 2 ไร่ นอกจาก จุดเด่นทั้งในเรื่องการมองเห็นวิวทะเลทุกห้อง การมีแบบห้องให้เลือกมากมายแล้ว ภายในโครงการยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกที่มากกว่าทั้ง Family Zone, Relax Zone และ Retreat Zone รวมพื้นที่ส่วนกลาง2,647 ตร.ม. หรือเกือบ 2 ไร่  ที่แทรกอยู่ระหว่างชั้นกว่า 10 ชั้น เพื่อตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ได้อย่างหลากหลายลงตัว ตามแนวคิด “More Than Just Living” ตามคอนเซ็ปต์ของโครงการ คือ ​ Happiness Happens 5.เข้าสวนน้ำ วานา วานา ฟรี 5 ปี เนื่องจากตระกูล “ลิปตพัลลภ” เป็นเจ้าของทั้ง​ พราว เรียลเอสเตท  และ  พราว กรุ๊ป เจ้าของโครงการสวนน้ำนาวานาวา ​ ทำให้มีการทำการตลาดร่วมกัน โดยเฉพาะการให้สิทธิพิเศษเข้าสวนน้ำ วานา นาวา หัวหิน ฟรี 5 ปี และการบริการจากโรงแรมภายใต้การบริหารของพราว กรุ๊ป แบบเหนือระดับ รวมถึงโปรแกรมพราว พริวิเลจ ต่าง ๆ 6.ราคาเข้าถึงง่าย แม้ว่าโครงการเวหา จะถูกพัฒนาให้เป็นคอนโดระดับลักชัวรี่ แต่กำหนดราคาให้เข้าถึงง่าย (Affordable Price) โดยมีราคาเฉลี่ยตารางเมตรละ 132,000 บาท มีราคาเริ่มต้น 3.19 ล้านบาท ในขนาดห้อง 28 ตารางเมตรและราคาสูงสุด 50 ล้านบาทสำหรับห้องเพนเฮ้าส์   นางสาวพราวพุธ กล่าวว่า อ้างอิงข้อมูลผลวิจัยจากไนท์แฟรงค์จะพบว่า ราคาเสนอขายเฉลี่ยคอนโดวิวทะเลมีแนวโน้มเติบโตขึ้นมากกว่าห้องไม่ติดทะเล ปัจจุบันห้องไม่ติดวิวทะเลมีราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 70,700 บาทต่อตารางเมตร​ ห้องวิวทะเลราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 141,670 บาทต่อตารางเมตร และตลอดเวลา 5 ปีที่ผ่านมา กลุ่มที่พักอาศัยไม่มีวิวทะเลจะอยู่ที่ราคาต่ำกว่า 100,000 บาทต่อตา รางเมตรกลุ่มที่พักอาศัยระดับลักชัวรี่ติดชายหาดมีราคาประมาณ 130,000 บาทต่อตารางเมตร หรือสูงกว่าและกลุ่ม Super Rare Item ที่หันหน้าเข้าหาวิวทะเลโดยตรงมีราคาเฉลี่ยสูงมากกว่า 275,000 บาทต่อตารางเมตร จึงมองว่าราคาขายของโครงการเวหา มีความคุ้มค่าเป็นอย่างมากเมื่อเทียบกับทำเลที่ตั้ง โครงการเวหา วางกลุ่มเป้าหมายเป็นกลุ่มคนไทยสัดส่วน 80% และกลุ่มชาวต่างชาติสัดส่วน 20%  อาทิ ชาวไต้หวัน สิงคโปร์ ยุโรป รวมถึง ชาวรัสเซีย  โดยเป็นกลุ่มครอบครัว ตั้งแต่คู่ที่เพิ่งแต่งงานไปจนถึงครอบครัวขนาดใหญ่ รวมถึงชาวต่างชาติที่เกษียณอายุการทำงาน และอยากเข้ามาอยู่ในเมืองไทยในราคาที่จับต้องได้ ซึ่งปัจจุบันได้เริ่มทำการตลาดในต่างประเทศไปบ้างแล้ว และกำลังเริ่มสร้างการรับรู้ในไทยผ่านช่องทางต่าง ๆ ทั้งออฟไลน์และออนไลน์  ซึ่งคาดว่าภายในสิ้นปี 2565 จะสามารถสร้างยอดขายได้ประมาณ 50%  โดยจะเริ่มเปิดขายตั้งแต่ไตรมาส 3 และมีกำหนดก่อสร้างไตรมาส 4 ของปีนี้ และคาดว่าแล้วเสร็จประมาณ​ไตรมาส 2  ในปี 2568 ตลาดที่คึกคัก คือ รัสเซีย เพราะเขาอยากเอาเงินออกมา ซึ่งหัวหินเป็นหนึ่งในเดสทิเนชั่นที่เขาเลือก เมกะโปรเจ็กต์หนุนศักยภาพหัวหิน สำหรับตลาดคอนโดในเมืองหัวหินยังมีโอกาสเติบโต ด้วยศักยภาพของเมืองที่มีเสน่ห์และมีความพร้อมในทุก ๆ ด้าน อีกทั้งอยู่ในพื้นที่ที่เป็นแนวทางพัฒนาการท่องเที่ยวในเขตทะเลฝั่งตะวันตกในโครงการ “Thailand Riviera” เพื่อยกระดับเมืองท่องเที่ยวชายทะเล  สู่ระดับโลก ครอบคลุมตั้งแต่ จ.เพชรบุรี จ.ประจวบคีรีขันธ์ จ.ชุมพร และ จ.ระนอง   รวมถึงการพัฒนาโครงการเมกะโปรเจ็กต์ของรัฐบาล อาทิ รถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ สนามบิน และทางด่วนส่วนขยาย อีกทั้งแผนพัฒนาโครงข่ายการคมนาคม ไม่ว่าจะเป็น การเดินทางโดยเครื่องบิน ปัจจุบันมีแผนขยายสนามบินเพื่อรองรับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก และความร่วมมือกับ Phoenix Group เพื่อเตรียมพัฒนาสนามบินหัวหินสู่สนามบินนานาชาติหัวหิน โดยภายในเดือนกรกฎาคม 2565 จะมีการเพิ่มไฟล์ทบินตรงจากภูเก็ต และนำเส้นทางบินจากเชียงใหม่กับกัวลาลัมเปอร์กลับมาอีกครั้ง   นอกจากนี้ ยังมีการเดินทางโดยรถยนต์ บนถนนพระราม 2 กำลังขยายเพิ่มเป็น 14 เลน ซึ่งตอนนี้เสร็จแล้ว 8 เลน และทางด่วนยกระดับคู่ขนานมอเตอร์เวย์นครปฐมและชะอำที่มีแผนเสร็จสิ้นในปี 2568 การเดินทางโดยรถไฟ มีแผนพัฒนารถไฟทางคู่และรถไฟไฮสปีดอย่างต่อเนื่องที่จะช่วยลดเวลาการเดินทางให้จากกรุงเทพฯ มาหัวหินใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเท่านั้น ปัจจุบัน ภาวะการท่องเที่ยวของเมืองหัวหินยังมีสัญญาณดีขึ้น  จากกำลังซื้อทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ โดยตลาดในประเทศโรงแรมและการท่องเที่ยวในหัวหิน ได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากแคมเปญของรัฐบาลในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ในส่วนของตลาดที่พักอาศัยยอดขายส่วนใหญ่บ้านประเภท Resort Home ค่อย ๆ ฟื้นฟูกลับมา ขณะที่ตลาดต่างประเทศ ในด้านการท่องเที่ยวค่อย ๆ ฟื้นฟูกลับมาเช่นกัน อีกทั้งยังพบดีมานด์ในกลุ่มลูกค้าชาวยุโรปที่ต้องการบ้านสำหรับช่วงเกษียณอายุโดยเฉพาะประเทศรัสเซีย นักท่องเที่ยวหัวหินหายไป 40% ปัจจุบันนักท่องเที่ยวต่างชาติกำลังกลับมา โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ ไต้หวัน และยังเห็นการจองที่พักของกลุ่มนักท่องเที่ยวยุโรปบ้างแล้ว อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -“พราว” เดินแผนธุรกิจ เล็งซื้อโปรเจ็กต์หยุดสร้างมาพัฒนาต่อ สร้างกำไร 30% -พราว กรุ๊ป พร้อมเปิดสวนน้ำ อันดามันดา 22 พ.ค.นี้ ดึงนักท่องเที่ยวปีละ 1 ล้านคน
[PR News] เวนเจอร์ โกลบอล บุก EEC ขายบ้าน-คอนโด  วาง 5 ปี ปั้นรายได้ 1,000 ล้านพร้อมเข้าตลาดหลักทรัพย์ 

[PR News] เวนเจอร์ โกลบอล บุก EEC ขายบ้าน-คอนโด วาง 5 ปี ปั้นรายได้ 1,000 ล้านพร้อมเข้าตลาดหลักทรัพย์ 

เวนเจอร์ โกลบอล เวนเจอร์โกลบอล โฮลดิ้ง วางแผน 5 ปี สร้างรายได้ 1,000 ล้าน พร้อมเข้าจะทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เดินหน้าสะสมแลนด์แบงก์ ปั้นโปรเจ็กต์ทุกปี ยึดพื้นที่โซน EEC หลังครึ่งปีแรกกวาดยอดขาย "เดอะเซนโทร คอนโด" 500 ล้าน เร็วกว่าแผนที่กำหนด   นายพีระพล รังสิมานุรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เวนเจอร์ โกลบอล โฮลดิ้ง จำกัด (VGH) เปิดถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจขของบริษัทว่า  ได้วางแผนขยายโครงการทั้งแนวราบและแนวสูง ปีละ 1-3 โครงการ เพื่อเป้าหมายนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายใน 5 ปี  ด้านนายจักรพันธ์ บำเพ็ญเกียรติกุล ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ  กล่าวว่า ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาบริษัทสามารถปิดการขายโครงการดอะเซนโทร คอนโด ที่สร้างเสร็จพร้อมโอน มี 2 อาคาร จำนวน 304 ยูนิต  มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท  ได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้เอาไว้ ซึ่งเป็นผลจากความต้องการที่อยู่อาศัยในพื้นที่โซนตะวันออก โดยเฉพาะบางแสน ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง และมีแนวโน้มที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ภายหลังจากสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายลง บริษัทยังวางแผนหาซื้อที่ดินสะสมในพื้นที่อีอีซี​ เพื่อพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง​  จากการเห็นสัญญาณการการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ​โดยการพัฒนาโครงการใหม่  จะมีทั้งแนวราบและคอนโด เพื่อสร้างความต่อเนื่องของรายได้อย่างยั่งยืน  สำหรับแผนการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายในระยะ 5 ปีข้างหน้า บริษัทจึงได้วางเป้าหมายการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง คือ ปี 2565 วางเป้ารายได้จำนวน 350 ล้านบาท ปี 2566 จำนวน 450 ล้านบาท ปี 2567 จำนวน 500 ล้านบาท และ  ปี 2568  วางเป้ารายได้จำนวน 1,000 ล้านบาท   นายจักรพันธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า จากความสำเร็จจากโครงการ เดอะเซนโทร คอนโด บริษัทจึงต่อยอดไปสู่การพัฒนาโครงการใหม่ ๆ ที่เตรียมตัวเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง เป็นโครงการแนวราบประเภทบ้านแฝด บ้านเดี่ยว ในโซนอมตะนคร ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาแบบ คาดว่าจะเปิดขายในช่วงต้นปี 2566 รวมทั้งการวางแผนพัฒนาโครงการใหม่อีก 2-3 โครงการ ในพื้นที่อีอีซีเพิ่มเติมในอนาคตด้วย​ ​   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -สำรวจตลาดอสังหาฯ ชลบุรี ปี 63 “คอนโด-ทาวน์เฮ้าส์” แนวโน้มชะลอตัว
[PR News] เครือสหพัฒน์ จับมือ กลุ่มเจริญสิน แอสเสท  ลงทุน 1,000 ล้าน สร้างอพาร์ทเม้นท์ให้เช่าที่จ.ลำพูน

[PR News] เครือสหพัฒน์ จับมือ กลุ่มเจริญสิน แอสเสท ลงทุน 1,000 ล้าน สร้างอพาร์ทเม้นท์ให้เช่าที่จ.ลำพูน

เครือสหพัฒน์ จับมือ กลุ่มเจริญสิน แอสเสท ลงทุน 1,000 ล้านเดินหน้าพัฒนาโครงการอพาร์ทเม้นท์ให้เช่า ปักหมุดในพื้นที่สวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ลำพูน  รองรับการขยายการลงทุนในจังหวัดลำพูน  และการเติบโตของชุมชนพื้นที่โดยรอบ     นายสนทยา ทับขันต์ กรรมการบริหาร และ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานพัฒนาสวนอุตสาหกรรม บริษัท สหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้ลงนามในสัญญาร่วมทุนกับ บริษัท เจริญสิน แอสเสท จำกัด ผู้ให้บริการอพาร์ทเม้นท์ให้เช่ารายใหญ่ของประเทศไทย เพื่อร่วมพัฒนาโครงการที่อพาร์ทเม้นท์ให้เช่า ด้วยมูลค่าการลงทุน 1,000 ล้านบาท ตั้งอยู่ในพื้นที่สวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ลำพูน จ.ลำพูน  ซึ่ง คาดว่าจะสามารถเปิดดำเนินการในช่วง ไตรมาส 1 ปี 2566 การร่วมทุนก่อสร้างอพาร์ทเม้นท์ให้เช่าดังกล่าว เพื่อเป็นการรองรับการขยายตัวของชุมชนที่เพิ่มสูงขึ้น จากโรงงานอุตสาหกรรมที่มีการขยายกำลังการผลิตเพิ่ม โดยเครือสหพัฒน์และกลุ่มเจริญสิน แอสเสท พร้อมเดินหน้าพัฒนาชุมชนรอบพื้นที่สวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ลำพูน ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างสังคมที่อยู่อาศัยคุณภาพพัฒนาชุมชนน่าอยู่ สร้างเมืองปลอดภัย และสร้างสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ เพื่อช่วยดึงดูดใจให้ทั้งแรงงานและผู้ประกอบการเข้ามาร่วมพัฒนาพื้นที่อุตสาหกรรมในจังหวัดลำพูนให้เติบโตได้อย่างยั่งยืน   ด้านนายวิวัฒน์ วงษ์เจริญสิน ประธานกรรมการ บริษัท เจริญสิน แอสเสท จำกัด ผู้ให้บริการ  อพาร์ทเม้นท์ให้เช่ารายใหญ่ในประเทศไทย กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ นับเป็นการเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจซึ่งกันและกัน โดยกลุ่มเจริญสิน แอสเสทมีทีมงานที่ดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ ลงลึกถึงความต้องการในใจผู้อยู่อาศัย เอาใจใส่ในการบริการ และยึดมั่นในความซื่อตรง พร้อมนำความเชี่ยวชาญในด้านการพัฒนาและบริหารชุมชนที่อยู่อาศัย   ปัจจุบันบริษัทมีอพาร์ทเม้นท์ภายใต้การบริหารงานมากกว่า  40,000  ห้อง โดยจะนำความเชี่ยวชาญทั้งหมดเข้ามาช่วยเติมเต็มสังคมที่อยู่อาศัยคุณภาพให้กับชุมชนและแรงงานในบริเวณใกล้เคียงสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ จังหวัดลำพูน เป็นการสร้างชุมชนที่อบอุ่น น่าอยู่ ช่วยดึงดูดการลงทุนจากนักลงทุนทั้งรายเดิมและรายใหม่ให้สนใจเข้ามาขยายการลงทุนมากขึ้น พนักงานและชาวบ้านอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข  
แอสเซทไวส์  เปิด 5 กลยุทธ์ความสำเร็จแบรนด์เคฟ  แคมปัสคอนโด จับกลุ่มนศ.มหาลัย-นักลงทุน

แอสเซทไวส์ เปิด 5 กลยุทธ์ความสำเร็จแบรนด์เคฟ แคมปัสคอนโด จับกลุ่มนศ.มหาลัย-นักลงทุน

แบรนด์เคฟ แอสเซทไวส์  เผย 5 คีย์ซักเซสปั้นแบรนด์เคฟ  โครงการแคมปัส คอนโด ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ Gen Z  5 ปีพัฒนาแล้ว 8  โครงการรวมมูลค่ากว่า 14,000 ล้าน  สร้างพอร์ตรายได้สัดส่วน 30% ของทั้งบริษัท มั่นใจดันเป้าทะลุ 10,000 ล้านในปีนี้ เดินหน้าต่อโครงการ เคฟ ซี้ด เกษตร บุกนักศึกษาในเมือง ​   นายกรมเชษฐ์  วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) (ASW)  เปิดเผยว่า นับตั้งแต่บริษัทเริ่มพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมภายใต้แบรนด์เคฟ (KAVE) โครงการแรกตั้งแต่ปี 2560 จนถึงปัจจุบัน ได้พัฒนาโครงการแล้วทั้งสิ้น 8 โครงการ จำนวน  7,229 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 14,100 ล้านบาท ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้า โดยโครงการแรกเคฟ คอนโด (KAVE Condo) สามารถปิดการขายได้ภายใน 3 เดือนแรกที่เปิดการขาย 5 คีย์ซักเซสแบนด์เคฟ คอนโด  สำหรับปัจจัยความสำเร็จภายใต้ แบรนด์เคฟ นั้น เกิดจากแนวคิดการพัฒนาโครงการที่จับกลุ่มตลาดแคมปัส คอนโด ที่จับกลุ่มเป้าหมายหลัก คือ นักศึกษาในแต่ละมหาวิทยาลัย และนักลงทุนที่ต้องการซื้อไว้เพื่อปล่อยเช่าให้นักศึกษา โดยออกแบบและพัฒนาโครงการให้ตรงกับความต้องการของกลุ่มคนรุ่นใหม่ นักศึกษา หรือกลุ่ม Gen Z ที่มีคอนเซ็ปต์การพัฒนาภายใต  5 กลยุทธ์หลักที่สำคัญ ได้แก่ 1.ทำเลที่ตั้งใกล้มหาวิทยาลัยมากที่สุด โครงการจะต้องตั้งอยู่ในทำเลที่ใกล้มหาวิทยาลัยมากที่สุด เนื่องจากนักศึกษาต้องการความสะดวกสบายในการเดินทางไปเรียนหนังสือ 2.ส่วนกลางครบตอบโจทย์ Gen Z ภายในโครงการมีการออกแบบฟังก์ชั่นการอยู่อาศัย ที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่  กลุ่ม Gen Z โดยมีพื้นที่ส่วนกลาง (Facilities) ครบทุกมิติ ทั้งติดตั้งเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายกับการใช้ชีวิต มอบความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อมที่ดีให้กับผู้พักอาศัย 3.ปล่อยเช่าได้ผลตอบแทนการลงทุน 8-10% คอนโดจะต้องสามารถสร้างผลตอบแทนจากการปล่อยเช่า (Yield) ให้กลุ่มผู้ซื้อได้  เพื่อนำเอาไปปล่อยเช่าในอัตรา 8,000-10,000 บาทต่อเดือน หรือมีอัตราผลตอบแทนสูงถึง 8-10 % ขณะที่คอนโดในเมืองให้ผลตอบแทนประมาณ 4-5% เท่านั้น 4.ราคาเข้าถึงได้ไม่เกิน 1.5-1.6 ล้านบาท การซื้อที่ดินในราคาไม่เกิน 100,000 บาทต่อตารางวา เพื่อพัฒนาคอนโดในระดับราคาไม่เกิน 50,000-70,000 บาทต่อตารางเมตร หรือไม่เกินยูนิตละ 1.5-1.6 ล้านบาท 5.ห้องพักหลายหลายรูปแบบ ห้องพักมีหลายขนาด และสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้งานได้ เนื่องจากพฤติกรรมของนักศึกษา จะมีการทำกิจกรรมที่หลากหลาย และมักจะอยู่กับกลุ่มเพื่อนจำนวนมาก นายกรมเชษฐ์ กล่าวอีกว่า จากการตอบรับที่ดีจากลูกค้ามาโดยตลอดของแบรนด์เคฟ  ตั้งแต่วันที่เปิดตัวโครงการแรกจนถึงปัจจุบัน ล่าสุดโครงการเคฟทาวน์ สเปซ (Kave Town Space) และเคฟทาวน์ ชิฟท์ (Kave Town Shift) ก็สามารถปิดการขาย 100% เป็นที่เรียบร้อย บริษัทจึงเปิดตัวโครงการใหม่ต่อเนื่อง กับโครงการเคฟ ทาวน์โคโลนี่ (Kave Town Colony) มูลค่าโครงการ 1,800 ล้านบาท จำนวน 1,083 ยูนิต   โดยเมื่อวันที่ 25 มิ.ย. ที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดให้จองโครงการครั้งแรกรอบ VVIP EVENT ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้า สามารสร้างสถิติวันเดียวสร้างยอดขายถึง 42% ของมูลค่าโครงการทั้งหมด หรือคิดเป็น 70% ของจำนวนยูนิตที่เปิดขาย  จึงมั่นใจว่าในปีนี้จะสามารถทำยอดขายรวมทะลุ 10,000 ล้านบาท ซึ่งแบรนด์เคฟมีสัดส่วนประมาณ 30% ที่เหลือเป็นแบรนด์ แอทโมซ (ATMOZ) สัดส่วน 30%  แบรนด์ โมดิซ (MODIZ) สัดส่วน 30% และแบรนด์อื่น ๆ อีก 10% เช่น แบรนด์ เอสต้า (ESTA) และ แบรนด์ ดิ ออเนอร์ (THE HONOR)   สำหรับโครงการเคฟทาวน์ โคโลนี่ เป็นคอนโดคโลว์ไรส์สูง 8 ชั้น จำนวน 4 อาคาร ราคาขายเริ่มต้น 1.39 ล้านบาท  ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 10 ไร่ ใกล้มหาวิทยาลัยกรุงเทพ รังสิต ซึ่งอยู่ภายใต้โครงการเคฟ ทาวน์ ที่มีขนาดพื้นที่รวมกว่า 46 ไร่  แบ่งการพัฒนาออกเป็น 4  เฟส โดยหากพัฒนาครบทั้งโครงการจะมีมูลค่ากว่า 9,500 ล้านบาท ปัจจุบันพัฒนาโครงการแล้ว 3 เฟส นอกจากโครงการเคฟทาวน์ โคโลนี่ บริษัทยังวางแผนเปิดตัวโครงการต่อเนื่อง ที่ใกล้มหาวิทยาลัย โดยโปรเจ็กต์ต่อไปที่จะเปิดตัวเป็นโครงการเคฟ ซี้ด เกษตร (Kave Seed Kaset) ซึ่งเป็นโครงการแรกที่อยู่ใกล้ม.เกษตรศาสตร์​ และเป็นโครงการแบรนด์เคฟที่อยู่ในเมือง  มีมูลค่า 1,200 ล้านบาท ราคาขายเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดการขายได้ในครึ่งปีหลังนี้ ซึ่งปัจจุบันบริษัทพัฒนาโครงการใกล้ 4 มหาวิทยาลัย ได้แก่ ม.ธรรมศาสตร์ รังสิต ม.กรุงเทพ รังสิต ม.มหิดล ศาลายา และม.เกษตรศาสตร์ บางเขน โดยวางแผนจะพัฒนาโครงการใกล้มหาวิทยาลัยอีก 2 แห่ง ซึ่งจะเปิดตัวในเร็ว ๆ นี้   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -แอสเซทไวส์ ดึงมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส ปั้นแบรนด์คอนโด -[PR News] แอสเซทไวส์ กวาดยอดขาย Q1 กว่า 3,250 ล้าน เดินหน้าไตรมาส 2 เปิดอีก 3 โปรเจ็กต์ใหม่
เสนาฯ  จับมือ ลีโอ ลุยคลังสินค้าครบวงจร  ประเดิมแห่งแรกที่เสนาเฟสท์ เจริญนคร 16  

เสนาฯ จับมือ ลีโอ ลุยคลังสินค้าครบวงจร ประเดิมแห่งแรกที่เสนาเฟสท์ เจริญนคร 16  

คลังสินค้า เสนา จับมือ ลีโอ ลุยธุรกิจคลังสินค้าให้เช่า แบบครบวงจร ตั้งบริษัทย่อยในเครือ เอสเค แอสเซ็ท แมเนจเม้นท์ ประเดิมโปรเจ็กต์แรก ที่เสนาเฟสท์ เจริญนคร 16  พร้อมหาทำเลขยายต่อ เล็งเขตพื้นที่อีอีซี รองรับดีมานด์ลูกค้าไทยและต่างประเทศ   ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า นอกจากการดำเนินธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย ในระยะหลังได้เริ่มเห็นผู้ประกอบการอสังหาฯ แตกไลน์ธุรกิจไปสู่หลากหลายธุรกิจมากขึ้น เช่น ธุรกิจสำนักงานให้เช่า ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจบริการ เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์  โดยในส่วนของเสนาดีเวลลอปเมนท์ มีการศึกษาและตั้งใจขยายธุรกิจไปสู่ธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาที่อยู่อาศัยด้วยเช่นกัน   โดยการขยายไปสู่ธุรกิจใหม่ บริษัทจะใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญ ในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย เป็นแนวทางในการดำเนินธุรกิจนั้น ๆ ซึ่งบริษัทเห็นว่าธุรกิจให้เช่าคลังสินค้า เป็นธุรกิจที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการหลายรายต่างให้ความสนใจ และแม้ว่าจะดำเนินการได้ไม่ง่ายนักด้วยตัวผู้ประกอบการเองก็ตาม ล่าสุด บริษัท เอสเค แอสเซ็ท แมเนจเม้นท์ จำกัด บริษัทในเครือของเสนา ได้ร่วมมือเป็น Strategic Partner กับบริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน)  หรือ LEO ผู้ดำเนินธุรกิจโลจิสติกส์แบบครบวงจร ที่ให้บริการได้ครอบคลุมทั่วโลก (End-to-End Global Logistics Service Provider) มายาวนานกว่า 32 ปี ดีเวลลอปเปอร์มีความคล่องแคล่วในการยืมเงินแบงก์ การซื้อที่ดิน โลเกชั่นดี และเหมาะว่าจะทำอสังหาฯ ประเภทอะไร และคล่องแคล่วในเรื่องการสร้างสิ่งที่เหมาะกับลูกค้า ทั้ง 2 บริษัทจะนำความชำนาญและจุดแข็งมา เสริมให้ธุรกิจบริการเช่าคลังสินค้าให้เติบโตขึ้น โดยทางเสนาซึ่งเป็นบริษัทอสังหาฯ ที่มีความชำนาญในการหาที่ดินมาพัฒนาต่อยอดธุรกิจและด้านการก่อสร้าง ขณะที่ทาง ลีโอ  สามารถให้บริการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศทั้งทางเรือ ทางอากาศ ทางรถบรรทุก บริการบริหารคลังสินค้าหลากหลายรูปแบบ ครอบคลุมทั้งในประเทศและต่างประเทศ  มาช่วยสนับสนุนการหาลูกค้าเช่าคลังสินค้า รวมถึงธุรกิจพื้นที่ห้องเก็บของให้เช่า (Self  Storage)   โดยจะเริ่มพัฒนาสาขาแรกที่ศูนย์การค้าเสนาเฟสท์ เจริญนคร 16  พื้นที่ 1,300 ตารางเมตร คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในไตรมาส 4 ปีนี้​ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั้งคนไทยและต่างประเทศที่มีความต้องการ Self Storage อย่างต่อเนื่อง  และอยู่ระหว่างการมองหาทำเลที่มีศักยภาพ เพื่อรองรับธุรกิจบริการเช่าคลังสินค้า โดยเน้นทำเลใกล้การขนส่งทางน้ำ ทางบก ทางอากาศ และในเขตพื้นที่โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) เพื่อรองรับการเติบโตของกลุ่มลูกค้าทั้งคนไทยและต่างประเทศที่มีความสนใจเช่าคลังสินค้า ธุรกิจพื้นที่ห้องเก็บของให้เช่า  ให้ผลตอบแทนพอ ๆ กับการพัฒนาช้อปปิ้งมอลล์ แต่ต้นทุนต่ำกว่า และได้ราคาต่อตารางเมตรที่ดี  ที่สำคัญ คือต้องหาโลเกชั่นที่เหมาะสม ด้านนายเกตติวิทย์ สิทธิสุนทรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ลีโอ โกลบอล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การร่วมมือกับ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ในครั้งนี้ จะช่วยต่อยอดในส่วนของการให้บริการด้านคลังสินค้าและธุรกิจพื้นที่ห้องเก็บของให้เช่า (Self Storage) ให้มีศักยภาพในการเติบโตอย่างก้าวกระโดด  สามารถขยายฐานลูกค้าและพื้นที่ในการให้บริการได้มากขึ้น อีกทั้งการที่ทั้งสององค์กร เป็นผู้นำในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจโลจิสติกส์ จึงเป็นการร่วมมือที่เหมาะสมและสามารถส่งเสริมซึ่งกันและกันได้เป็นอย่างดี มั่นใจว่าจะสามารถต่อยอดและนำพาธุรกิจคลังสินค้าและธุรกิจพื้นที่ห้องเก็บของให้เช่า(Self Storage) ให้ก้าวต่อไปอย่างรวดเร็ว แข็งแกร่งและยั่งยืน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เสนา ดีเวลลอปเมนท์  กับ 3 กลยุทธ์สู่เป้ารายได้กว่า 12,000 ล้าน ก้าวต่อไป เปิด 2 แบรด์ใหม่ จับตลาดต่ำล้าน -เสนาผนึกกลุ่มฮันคิวฮันชิน ปั้นทาวน์โฮมร่วมทุนโครงการแรกของวงการ  
พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค  ตุนยอดขายครึ่งปีแรก 7,900 ล้าน  จ่อขึ้นราคาบ้าน-คอนโดเพิ่ม5%หลังต้นทุนพุ่ง

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ตุนยอดขายครึ่งปีแรก 7,900 ล้าน จ่อขึ้นราคาบ้าน-คอนโดเพิ่ม5%หลังต้นทุนพุ่ง

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ตุนยอดขายครึ่งปีแรกกว่า  7,900 ล้าน เตรียมเปิดเพิ่มอีก 7 โครงการ ครึ่งปีหลัง กระตุ้นยอดขายเพิ่มอีก 8,000 ล้าน  ดันเป้าขายทั้งปี 16,000 ล้าน จ่อปรับราคาบ้าน-คอนโดเพิ่มอีก 5% หลังต้นทุนวัสดุขยับเพิ่ม   นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลงานครึ่งแรกของปี 2565 ว่า สามารถทำยอดขายได้ 7,900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า 55% โดยเป็นยอดขายจากโครงการแนวราบ 4,700 ล้านบาท โครงการร่วมทุน 2,100 ล้านบาท และคอนโดมิเนียมในประเทศและต่างประเทศอีก 1,100 ล้านบาท ในช่วงครึ่งปีแรก บริษัทสามารถทำยอดขายได้มากขึ้นจากกลุ่มแนวราบ โดยเฉพาะสินค้าบ้านเดี่ยวระดับบน ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทวางแผนทำยอดขายให้ได้ 8,000 ล้านบาท เพื่อให้ได้เป้าหมายในปีนี้ที่ตั้งไว้  16,000 ล้านบาท ด้วยการเปิด 7 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 6,120 ล้านบาท รวมถึงการเจาะตลาดเฉพาะกลุ่มเพิ่มเติม อาทิ โครงการ “เพนตัน อารีย์ -สุทธิสาร” โฮมออฟฟิศและบ้านเดี่ยวใจกลางเมือง มูลค่า 500 ล้านบาท  ซึ่งในเฟสแรกเป็นโฮมออฟฟิศ 5 ชั้น ราคาเริ่มต้น 49 ล้านบาท จับกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ที่ต้องการออฟฟิศในทำเลกลางเมืองที่เดินทางสะดวก มีพื้นที่ชั้นบนสำหรับพักอาศัยและมีสระว่ายน้ำส่วนตัว   โครงการ “เลค วิลล่า” ภายใน “เลค รีสอร์ท ราชพฤกษ์-ปทุมธานี” ซึ่งเป็นบ้านหรูติดทะเลสาบ เพื่อตอบสนองลูกค้าที่ต้องการบ้านที่อยู่ริมน้ำแบบไม่มีถนนกั้น ในราคา 19-28 ล้านบาท จำนวน 19 ยูนิต มูลค่า 362 ล้านบาท และ โครงการ “วาวิล่า สุขุมวิท 77” บ้านหรู 3 ชั้น จำนวน 23 ยูนิต มูลค่าโครงการ 550 ล้านบาท สำหรับกลุ่มที่ต้องการความเป็นส่วนตัว แต่มีไลฟ์สไตล์ที่ชอบความสะดวกสบายแบบในเมือง ด้วยทำเลแวดล้อมด้วยห้างสรรพสินค้า อยู่ติดโรบินสันลาดกระบัง ตรงข้ามลิตเติ้ลวอร์คและโฮมโปรแห่งใหม่ และโรงแรม แมริออท คอร์ทยาด   นอกจากนี้  บริษัทได้วางแผนลงทุนก่อสร้างคลับเฮ้าส์ใหม่อีก 2 แห่ง รวมมูลค่า 320 ล้านบาท เพื่อเตรียมให้บริการลูกค้าที่จะกลับมาพักผ่อนและออกกำลังกายกันตามปกติ เพื่อรองรับการเดินหน้าสู่ภาวะปกติ หลังรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการในช่วงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ระยะหลังโควิด-19 และยังเป็นการตอกย้ำจุดแข็งในเรื่องการจัดสรรพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวก   ทั้งในโครงการ เลค รีสอร์ท ราชพฤกษ์-ปทุมธานี เป็นคลับเฮ้าส์สไตล์รีสอร์ทริมทะเลสาบขนาด 55 ไร่   และ Fittech Master Club กรุงเทพกรีฑา สำหรับลูกค้าในโครงการเพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ เพอร์เฟค เรสซิเดนซ์ และ เพอร์เฟค เพลส พระราม9-กรุงเทพกรีฑา เป็นคลับเฮ้าส์ขนาดใหญ่ 1,580 ตร.ม. จุดเด่นอยู่ที่ความทันสมัยของอุปกรณ์และกิจกรรม ทั้ง Fittech Fitness เครื่องออกกำลังกายรุ่นใหม่ Little Gym สำหรับเด็ก ระเบียงรูฟท็อป เป็นต้น นายวงศกร กล่าวอีกว่า ภาพรวมครึ่งปีหลังแม้ว่าสถานการณ์โดยรวมดีขึ้น โควิด-19 จะคลี่คลาย แต่ยังคงมีความท้าทายจากการที่ราคาพลังงานเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งส่งผลให้ราคาวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้นทุกรายการ และมีผลกระทบอย่างมากกับบริษัท ทำให้ครึ่งปีที่ผ่านมาเรามีต้นทุนการพัฒนาโครงการสูงขึ้นถึง 7-10% ในไตรมาส 3 บริษัทจึงมีความจำเป็นต้องปรับขึ้นราคาบ้านและคอนโดมิเนียมเฉลี่ยประมาณ 5% ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องปรับราคาขึ้นตามต้นทุน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เพอร์เฟค จับมือ ฮ่องกงแลนด์ เปิด “เลค เลเจนด์” แห่งที่ 2 โซนบางนา-สุวรรณภูมิ ชูจุดขายขายวิวทะเลสาบ 100 ไร่ -[PR News] เพอร์เฟค จับมือ 7 พันธมิตร เดินพัฒนา “ถนนหอการค้าไทย” ให้เป็นถนนสีเขียว
แสนสิริ  5 เดือนแรกกวาดยอดแนวราบหมื่นล้าน  พร้อมเปิด 6 โครงการใหม่ดันเป้า 24,000 ล้าน

แสนสิริ 5 เดือนแรกกวาดยอดแนวราบหมื่นล้าน พร้อมเปิด 6 โครงการใหม่ดันเป้า 24,000 ล้าน

แสนสิริ โกยยอดขายโครงการแนวราบ 5 เดือน ทะลุ 10,000 ลบ. โตเกือบ 30% พร้อม ปิดการขาย 4 โครงการ พร้อมรุกเปิดรวด 6 โครงการใหม่ 6,000 ล้านบาท ในเดือนเดียว เดินหน้าสู่เป้าหมาย 24,000 ล้าน      นายอาณัติ กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วง 5 เดือนแรกแสนสิริ สามารถทำยอดขายรวมโครงการแนวราบได้ 10,000 ล้านบาท เติบโตจากช่วยเดียวกันของปีก่อนเกือบ 30% และคิดเป็นสัดส่วน 40% ของเป้าหมายยอดขายในปีนี้ ที่คาดว่าจะทำได้ 24,000 ล้านบาท โดยยอดขายดังกล่าว แบ่งเป็น ยอดขายจากโครงการบ้านเดี่ยว 6,600 ล้านบาท ยอดขายจากโครงการมิกซ์โปรดักส์แบรนด์อณาสิริ 1,500 ล้านบาท และยอดขายจากทาวน์โฮมแบรนด์สิริ เพลส อีก 1,900 ล้านบาท และช่วง​ 5 เดือนแรกที่ผ่านมา มีการปิดการขายใน 4 โครงการแนวราบ ได้แก่ สราญสิริ ติวานนท์ - แจ้งวัฒนะ 2, บุราสิริ บึงหนองโคตร ขอนแก่น, เศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา2 และทาวน์โฮม สิริ เพลส รังสิต นอกจากนี้ ยังมีอีก 3 โครงการที่คาดว่าจะปิดโครงการได้เร็ว ๆ นี้ คือ คณาสิริ ราชพฤกษ์ - 346 , ฮาบิเทีย ออร์บิต หทัยราษฎร์ และฮาบิเทีย ไพรม์ ราชพฤกษ์   แสนสิริ ยังวางแผนพัฒนาโครงการแนวราบอย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนมิถุนายนนี้  แสนสิริเตรียมเปิดตัว 6 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 6,000 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์สิริ เพลส, อณาสิริ และสราญสิริ ได้แก่ โครงการสิริ เพลส พระราม 2 – วงแหวน จำนวน 252 ยูนิต ทาวน์โฮมฟังก์ชันบ้านเดี่ยว ติดถนนพระราม2 ราคาเริ่มต้น 2.89 ล้านบาท* โครงการสิริ เพลส ดอนเมือง – สรงประภา จำนวน 138 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 2.79 ล้านบาท*   โครงการอณาสิริ รามคำแหง ประกอบด้วย บ้านแฝดและทาวน์โฮมดีไซน์ใหม่ จำนวน 272 ยูนิต กับ 4 แบบบ้าน 4 ฟังก์ชัน ระดับราคา 3.69 – 8 ล้านบาท* โครงการ อณาสิริ ราชพฤกษ์ – 346 บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม จำนวน 164 ยูนิต กับ 5 แบบบ้าน พื้นที่ใช้สอย 99 – 161 ตารางเมตร ราคา 4.59 - 6 ล้านบาท* หลังได้รับการตอบรับที่ดีมากจากลูกค้า ปิดการขายเฟสแรกทันทีในวันพรีเซลล์ในช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา บ้านเดี่ยวแบรนด์ สราญสิริ  กับโครงการสราญสิริ บางนา บ้านเดี่ยวสไตล์ Urban Farmhouse มีแบบบ้านที่ทั้งหมดถึง 5 แบบบ้าน พื้นที่ใช้สอย 153 – 333 ตารางเมตร จำนวนทั้งสิ้น  246 ยูนิต ระดับราคา 6 – 12 ล้านบาท* โครงการ สราญสิริ พระราม 2 สไตล์ Modern Farmhouse มีแบบบ้านให้เลือกถึง 4 แบบบ้าน พื้นที่ใช้สอย 162 – 203 ตารางเมตร  จำนวนเพียง 135 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 8 – 12 ล้านบาท*   นายอาณัติ กล่าวอีกว่า  ตลาดอสังหาฯ ครึ่งหลังปี  2565 มีแนวโน้มฟื้นตัว ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป ตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบยังคงได้รับการตอบรับที่ดี และมีความต้องการมากขึ้น หลังจากที่การแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้ส่งผลให้ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งส่งผลให้โครงการแนวราบเติบโตดีในทุกกลุ่มและระดับราคา   โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตลาดลักซ์ชัวรี บ้านเดี่ยวระดับบน จะเห็นการขยายตัวที่ชัดเจน จากกลุ่มลูกค้าที่ต้องการที่อยู่อาศัยในทำเลที่ดี แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก เป็นปัจจัยอันดับแรกที่กลุ่มลูกค้าที่ต้องการที่อยู่อาศัยระดับบนจะมองหาเมื่อตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย แสนสิริเดินหน้าเปิดโครงการแนวราบตามแผนที่วางไว้ รวมทั้งมั่นใจว่า จะสร้างผลงานยอดขายโครงการแนวราบได้ 24,000 ล้านบาทตามเป้าหมายที่วางไว้   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -แสนสิริ เดินหน้าโปรเจ็กต์ “กรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้” เปิดอีก 3 โครงการ 9,300 ล้าน -แสนสิริ ปั้นทาวน์โฮม เมืองท่องเที่ยวในฝัน เปิดสิริ เพลส 6 โครงการ 4,200 ล้าน​    
เอสซี แอสเสท  ตุนยอดขาย 6 เดือนกว่า 11,500 ล้าน  เตรียมเปิด 15 โปรเจ็กต์ใหม่ดันเป้ารายได้

เอสซี แอสเสท ตุนยอดขาย 6 เดือนกว่า 11,500 ล้าน เตรียมเปิด 15 โปรเจ็กต์ใหม่ดันเป้ารายได้

เอสซี แอสเสท 2 เดือนแรกในไตรมาส 2 ตุนยอดขาย 8 โปรเจ็กต์เปิดใหม่กว่า 2,700 ล้าน  สวนกระแสเศรษฐกิจ ดันยอขายรวม  6 เดือน มากกว่า 11,500 ล้าน พร้อมเดินหน้าเปิดโครงการใหม่ต่อเนื่อง มั่นใจทำยอดขายและรายได้ทะลุเป้า​  22,000 ล้าน   นายอรรถพล สฤษฎิพันธาวาทย์ ประธานเจ้าหน้าที่ด้านสนับสนุนองค์กร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยว่า ช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาส 2 บริษัทได้เปิดตัวโครงการใหม่ 8 โครงการ แบ่งเป็นบ้านแนวราบ 7 โครงการ มูลค่า โครงการรวม 9,800 ล้านบาท ใน 7 ทำเล  ได้แก่ 1.บางนา-ศรีนครินทร์ 2.รามคำแหง-วงแหวน 3.ประชาชื่น 4.แจ้งวัฒนะ 5.ติวานนท์-รังสิต 6.รามอินทรา- วัชรพล และ 7.ปิ่นเกล้า-ศาลายา  ซึ่งทั้งหมดเป็นบ้านนิวซีรี่ส์สไตล์โมเดิร์น  ราคา 5-30 ล้านบาท   นอกจากนี้ ยังเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมแบรนด์ล่าสุด ที่มีดีไซน์แนวคิดใหม่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์และการอยู่อาศัยของ Gen Y  คือ  โครงการเรฟเฟอเรนซ์ สาทร – วงเวียนใหญ่ มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 8 โครงการที่ได้เปิดตัวไปได้รับการตอบรับที่ดี สามารถทำยอดขายได้แล้ว 2,700 ล้านบาท โดยตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบันบริษัท​​มียอดขายรวมประมาณ 11,500 ล้านบาท  แบ่งเป็นยอดขายแนวราบ 9,620 ล้านบาท ซึ่งมาจากบ้านราคามากกว่า 10 ล้านบาท ในสัดส่วน  68%  และบ้านราคาน้อยกว่า 10 ล้านบาท สัดส่วน 32% และมียอดขายกลุ่มคอนโด 1,880 ล้านบาท   สำหรับครึ่งปีหลัง บริษัทจะเปิดตัวโครงการแนวราบทุกระดับราคาอีก 15 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 22,500 ล้านบาท  โดยทุกโครงการมีดีไซน์แนวคิดใหม่ และเตรียมเปิดตัวบ้านเกมเมอร์ เพื่อตอบโจทย์กลุ่มคนรุ่นใหม่ พร้อมกับคอนโดระดับลักชัวรี่​บนถนนสุขุมวิท ทำเลรถไฟฟ้า BTS สถานีทองหล่อ มูลค่า 2,500 ล้านบาท   กว่า 2 เดือนที่ผ่านมาของไตรมาส 2 บ้านทุกระดับราคาและคอนโดใหม่ของ เอสซีฯ  ขายดีมาก สวนกระแสเศรษฐกิจ  ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีโครงการเพื่อขาย 55 โครงการ มูลค่า 34,000 ล้านบาท จึงมั่นใจว่าปีนี้จะทำยอดขายและรายได้ตามเป้า ที่วางไว้จำนวน 22,000 ล้านบาทอย่างแน่นอน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอสซี แอสเสท ชู 3 ยุทธศาสตร์  ปั้นรายได้แสนล้าน ประเดิมปี 65 ลุยเปิด 27 โปรเจ็กต์ใหม่
ออริจิ้น​ เปิดคอนโดฯ 19 โปรเจ็กต์ 28,600 ล้าน  ชู 2 กลยุทธ์ เจาะพื้นที่รถไฟฟ้า 8 สาย-EEC

ออริจิ้น​ เปิดคอนโดฯ 19 โปรเจ็กต์ 28,600 ล้าน ชู 2 กลยุทธ์ เจาะพื้นที่รถไฟฟ้า 8 สาย-EEC

ORI เดินแผนธุรกิจ ภายใต้แนวคิด Origin Multiverse พร้อมปั้น 19 โปรเจ็กต์คอนโด 28,600 ล้าน ด้วย 2 กลุยทธ์ การบุกตลาดทุกเซ็กเมนต์ ทุกราคา ทุกไลฟ์สไตล์ กับ 8 เส้นทางรถไฟฟ้าทั่วกรุงเทพฯ และพื้นที่ EEC   แม้ว่าทิศทางการดำเนินธุรกิจของ “ออริจิ้น” ในปี 2565 ได้วางแผนภายใต้แนวคิด Origin Multiverse หรือแผนการเติบโตแบบพหุจักรวาล ด้วยการปูทางให้ธุรกิจใหม่ ๆ เช่น ธุรกิจบริการด้านอสังหาริมทรัพย์  ธุรกิจโรงแรม มีเส้นทางการเติบโตคู่ขนานของตัวเอง   แต่สำหรับธุรกิจคอนโดมิเนียม ซึ่งเป็นธุรกิจเริ่มต้นของบริษัท  ในปีนี้ก็ยังคงให้ความสำคัญเพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยการวางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ปีนี้ถึง 19 โครงการ รวมมูลค่า 28,600 ล้านบาท โดยผ่านการพัฒนาภายใต้ ​3 บริษัทหลัก ได้แก่ บริษัท พาร์ค ลักชัวรี่ จำกัด กลุ่มคอนโดระดับลักชัวรี่ บริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด กลุ่มธุรกิจสมาร์ทคอนโด​ และบริษัท ออริจิ้น อีอีซี จำกัด  กลุ่มคอนโดในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)​ 2 กลยุทธ์ ออริจิ้น บุกตลาดคอนโด นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร  เปิดเผยว่า ได้วาง 2 กลยุทธ์หลักในการทำตลาดคอนโด  ได้แก่ 1.บุกทุกเซ็กเมนต์-ราคา-ไลฟ์สไตล์ ช่วงที่ผ่านมา บริษัทแตกแบรนด์คอนโดใหม่ ๆ จนครอบคลุมทุกระดับราคา ซึ่งวันนี้ยังคงพัฒนาแบรนด์ใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยปรับสินค้าตามทำเลที่ตั้งในซอยย่อย ตามเซ็กเมนต์ และไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค เนื่องจาก​ความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันไม่ได้ถูกแบ่งด้วยระดับของสินค้าหรือกำลังซื้อ   นายพีระพงศ์ กล่าวว่า ปีที่แล้ว ได้ทดลองบุกตลาดกลุ่มเป้าหมายใหม่ ๆ อาทิ ​กลุ่มสตาร์ทอัพ กลุ่ม Pet Lover กลุ่มนักศึกษาและคนทำงานมหาวิทยาลัย หรือ Campus Condo กลุ่มนักลงทุน  ซึ่งได้รับการตอบรับดีมาก ปีนี้จึงบุกตลาดเหล่านี้ต่อเนื่อง พร้อมกับมีแบรนด์ใหม่ที่มีบุคลิกของแบรนด์แตกต่างจากแบรนด์อื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น So Origin และ Origin Play เพื่อมาช่วยกันบุกตลาดทุกไลฟ์สไตล์ ทุกเจเนอเรชั่น 2.บุกทำเลรถไฟฟ้าทั้งปัจจุบันและอนาคต ในอดีตบริษัทเติบโตมาจากการใช้กลยุทธ์เจาะตลาด Blue Ocean หรือตลาดศักยภาพที่ยังไม่ค่อยมีการแข่งขันมากนัก ในทำเลรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียวและแถบ EEC วันนี้ ORI ยังคงเกาะแนวทางเดิมสำหรับแบรนด์ระดับ Entry ไปจนถึง Mid-High End ส่งผลให้ 19 โครงการของบริษัทในปีนี้ กระจายตัวไปยังทำเลรถไฟฟ้าที่สร้างเสร็จแล้ว รถไฟฟ้าสายที่อยู่ระหว่างก่อสร้างรวม 8 สายครอบคลุมทั่วพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล ได้แก่ สายสีเขียวอ่อน สายสีน้ำเงิน สายสีม่วง สายสีแดง สายสีชมพู สายสีเหลือง สายสีน้ำตาล และสายสีเทา ควบคู่กับการบุก EEC อย่างหนักหน่วงทั้งในชลบุรีและระยอง ปีนี้น่าจะเป็นปีที่บุกทำเลรถไฟฟ้าหลายสายที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมา และเป็นครั้งแรกที่บุกไปสร้างคอนโดในฝั่งธน เรายังเชื่อมั่นว่า กลยุทธ์ Blue Ocean ยังคงใช้ได้สำหรับหลาย ๆ เซ็กเมนต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคที่คน โดยบริษัทไม่ได้พัฒนาโครงการเฉพาะทำเล Blue Ocean เหมือนในอดีตเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับทำเลศักยภาพที่มีดีมานด์เพียงพอด้วย เช่น ทำเลอินเตอร์เชนจ์ หรือจุดเชื่อมต่อระหว่างสถานีรถไฟฟ้าหลายสาย ทำเล CBD ใจกลางเมือง ขึ้นกับความเหมาะสมของดีมานด์ในพื้นที่เหล่านั้น สำหรับแบรนด์หลักที่จะใช้บุกตลาดตลาดคอนโดในปีนี้  ได้แก่ So Origin  คอนโดมระดับไฮเอนด์ที่มาพร้อมบริการระดับ Excellent Services Origin Plug & Play เจาะกลุ่มสตาร์ทอัพ ให้พื้นที่กว้างกว่า พร้อมห้องพักแบบ Duo Space เพดานสูง 4.2 เมตรในบางทำเล Hampton และ Origin Place  เจาะกลุ่มนักลงทุน Origin Play เจาะกลุ่ม Gen Z Brixton เจาะกลุ่มนิชมาร์เก็ต เช่น Campus Condo, Pet Lover Condo ในราคาเข้าถึงได้   นายพีระพงศ์ กล่าวว่า สำหรับ Key Success ที่ทำให้เครือบริษัทมียอดขาย All Time High ในปี 2564 ที่ผ่านมาได้ ได้  คือ การทำงานหนักของทีมงาน เพื่อให้เข้าใจอินไซต์​ของผู้บริโภค การพยายามมองทุก Journey ของผู้บริโภค ตั้งแต่ตอนก่อนซื้อ ตอนเข้าอยู่แล้ว ว่าแต่ละจังหวะผู้บริโภคอยู่ตรงไหน ทำอะไร และต้องการอะไรบ้าง ฟังก์ชันที่ให้ผู้บริโภค จึงอาจไม่ได้เป็นฟังก์ชันที่เยอะที่สุด แต่เป็นฟังก์ชันที่ตรงกับความต้องการ และตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตจริง ๆ ของผู้บริโภค และโลกยุคใหม่ที่สุด   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เปิดโรดแมพธุรกิจ ORI ใน 3 ปี ปูทางสู่มาร์เก็ตแคปกลุ่มธุรกิจ 1 แสนล้าน -ORI ชู 2 คีย์ซัคเซส กวดยอดขาย 64  สร้าง New High กว่า 3 หมื่นล้าน
เอพี ไทยแลนด์  ชู 3 กลยุทธ์ลุย ตลาดทาวน์โฮม  พร้อมเปิดโปรเจ็กต์ใหม่ดันเป้า 38,000 ล้าน

เอพี ไทยแลนด์ ชู 3 กลยุทธ์ลุย ตลาดทาวน์โฮม พร้อมเปิดโปรเจ็กต์ใหม่ดันเป้า 38,000 ล้าน

ตลาดทาวน์โฮม เอพี ไทยแลนด์ บุกตลาดทาวน์โฮม เดินหน้าเปิดตัว 29 โครงการใหม่ รวม 25,200 ล้านบาท มูลค่าเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า  ชู 3 กลยุทธ์สร้างความเป็นผู้นำตลาด กับทาวน์โฮม 6 แบรนด์​​​ หลัง​ 5 เดือนแรก กวาดยอดขายแนวราบไปแล้วกว่า 16,810 ล้านบาท คิดเป็น 45% ของเป้ายอดขายแนวราบทั้งปี   หลังจากที่ เอพี (ไทยแลนด์) ประกาศแผนธุรกิจในปี 2565 กับเป้าหมายการเปิดตัวโครงการ จำนวนทั้งสิ้น 65 โครงการ มูลค่ากว่า 78,000 ล้านบาท ถือเป็นจำนวนโครงการใหม่ที่มากที่สุดตั้งแต่เคยดำเนินธุรกิจมา และเรียกได้ว่ามากที่สุดวงการอสังหาริมทรัพย์ไทยในปีนี้เลยก็ว่าได้   โครงการที่วางแผนเปิดในปีนี้  แบ่งเป็นทาวน์โฮม 29 โครงการ มูลค่า 25,200 ล้านบาท บ้านเดี่ยวจำนวน  26 โครงการ มูลค่า 35,600 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่า 13,000 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 5 โครงการ มูลค่า 4,200 ล้านบาท   โดยเป้าหมายสำคัญคือสร้างการรับรู้รายได้ 47,000 ล้านบาท และสร้างยอดขาย 50,000 ล้านบาท ซึ่งตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน เอพี ก็เดินหน้าทำตลาดและเปิดตัวโครงการใหม่ตามแผน สามารถสร้างยอดขายและรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแน่นอนว่าตลาดแนวราบเป็นพระเอกของปีนี้ ที่จะมาขับเคลื่อนธุรกิจ และสร้างรายได้ให้กับเอพีตามเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้   ข้อมูลล่าสุด  ณ วันที่ 31 พ.ค. 65 เอพี สามารถทำยอดขายบ้านแนวราบ ทั้งทาวน์โฮม บ้านแฝด และบ้านเดี่ยวรวมได้ทั้งสิ้น 16,810 ล้านบาท เติบโต 23% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็น 45% จากเป้ายอดขายแนวราบทั้งปีที่ 38,000 ล้านบาท ในตลาดบ้านแนวราบของเอพี  กลุ่มที่เติบโตได้ดีกลุ่มหนึ่ง คือ บ้านทาวน์โฮม ที่ปีนี้ถือว่าเปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุดถึง 29 โครงการ มูลค่ารวม 25,200 ล้านบาท โดยช่วงครึ่งปีแรกได้เปิดตัวไปแล้ว​จำนวน 13 โครงการ มูลค่า 10,160 ล้านบาท และครึ่งปีหลังวางแผนเปิดตัวอีก​ 16 โครงการ มูลค่า 15,040 ล้านบาท โดยทาวน์โฮมที่จะเปิดตัวครอบคลุมทุกเซกเมนต์  6 แบรนด์สำคัญ ได้แก่ บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ ลักชัวรี่เรสซิเดนท์ ขนาด 3.5 ชั้น และ 3 ชั้น  ทำเลใจกลางเมือง บ้านกลางเมือง ทาวน์โฮม 3 ชั้น ดีไซน์ใหม่แบบบ้านที่ลูกค้าออกแบบเองได้ บ้านกลางเมือง ดิ อิดิชั่น บ้านแฝดดีไซน์ใหม่เซกเมนต์ไฮเอนด์ หน้ากว้าง แกรนด์ พลีโน่ บ้านแฝดหรู 2 ชั้นซีรีส์ใหม่ พื้นที่กว้างกว่าเดิม ฟังก์ชันรองรับทุกช่วงวัย พลีโน่ พรีเมียม ทาวน์โฮม 2 ชั้น แบรนด์ใหม่ล่าสุด พลีโน่ ทาวน์ ทาวน์โฮม 2 ชั้น ฟังก์ชันครบ ทำเลปริมณฑล ราคาเข้าถึงง่าย   นายเมธา รักธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าทาวน์โฮม บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปีนี้เอพี เปิดตัวโครงการทาวน์โฮมใหม่เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาถึง 6 เท่าตัว ซึ่งเป็นการเปิดโครงการใหม่ เพื่อทดแทนกับโครงการเก่าที่ปิดการขาย โดย​ธุรกิจทาวน์โฮมจะเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันให้เป้าหมายของเอพีประสบความสำเร็จ และยังเป็นการตอกย้ำความเป็นผู้นำ ตลาดทาวน์โฮม ในเมืองอย่างต่อเนื่องด้วย เอพีวางโรดแมปการพัฒนาทาวน์โฮม ภายใต้แกน ‘UNLOCK VERTICAL LIFE เพราะกลุ่มทาวน์โฮมเอพีมองเทรนด์การใช้ชีวิตวิถีใหม่ในบ้านทุกรูปแบบจากนี้ จะต้องรองรับชีวิตครบทุกมิติ ครอบคลุมความสุขทุกรูปแบบ ทั้งวันนี้และอนาคตมากขึ้น ซึ่งไม่ว่าคุณจะมีวิถีชีวิตแบบไหน ทาวน์โฮมเอพีพร้อมตอบความสุขในแบบคุณ 3 กลยุทธ์สู่ผู้นำ ตลาดทาวน์โฮม ด้านการทำตลาดทาวน์โฮม เอพีได้วาง 3 กลยุทธ์หลัก สำคัญ คือ 1.เปิดตัว 20 แบบบ้านใหม่ จำนวนโครงการทั้งหมดจาก 6 แบรนด์ทาวน์โฮม เอพีได้วางแผนเปิดตัวแบบบ้านใหม่ถึง 20 แบบ ที่มีดีไซน์และฟังก์ชั่นตอบโจทย์​การอยู่อาศัยชีวิตวิถีใหม่  โดยมีไฮไลต์ต่อยอดความสำเร็จจากแบรนด์ “บ้านกลางเมือง” ซึ่ง ทาวน์โฮมบ้านกลางเมือง ดีไซน์ใหม่ 3 ชั้น หน้ากว้าง 5.5 เมตร พื้นที่ใช้สอย 167 ตารางเมตร จะนำร่องแฟล็กชิพแรกที่บ้านกลางเมือง พหลโยธิน - วิภาวดี ราคาเริ่มต้น 4.99 - 9 ล้านบาท และบ้านกลางเมือง ลาดพร้าว 101 สเตชั่น ราคาเริ่ม 5.99 ล้านบาท ในปีนี้ เอพีเตรียมเผยโฉมใหม่การกลับมาของแบรนด์ บ้านกลางเมือง คลาสเซ่ ในรอบ 7 ปี ที่จะเข้ามารุกตลาดบ้านลักชัวรี่ใจกลางเมือง เป็นทาวน์โฮมดีไซน์เล่นระดับ 3.5 ชั้น และ 3 ชั้น หน้ากว้าง  8 เมตร พื้นที่ใช้สอย 259 ตารางเมตร  เพดานสูงกว่า 6 เมตร นำร่องแรกในทำเลสุขุมวิท 77 จำนวน 120 หลัง ราคาเริ่ม 14.9 ล้านบาท ส่วนกลุ่มตลาดทาวน์โฮม 2 ชั้น ภายใต้แบรนด์ พลีโน่  ชูจุดขายบ้านหลังแรกที่ดีที่สุด โดยในไตรมาสแรกได้เปิดตัวแบบบ้านใหม่ไปแล้ว 2 โครงการ ได้แก่ พลีโน่ วิภาวดี – ดอนเมือง และพลีโน่ ราชพฤกษ์ – สาทร นำเสนอทาวน์โฮมดีไซน์ใหม่ หน้ากว้าง 7 เมตร พื้นที่ใช้สอย 132 ตารางเมตร  โดยเอพีเล็งปูพรมเพิ่ม 8 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 6,730 ล้านบาท 2.ขยายตลาดทาวน์โฮม 2 ชั้นกระจายเพิ่มโซนปริมณฑล เอพีมองเห็นช่องว่างตลาดทาวน์โฮม C Segment ทำเลปริมณฑล จากการสำรวจตลาดพบว่าแบบบ้านทาวน์โฮมที่เสนอขายไม่สอดรับกับชีวิตวิถีใหม่ที่ลูกค้าคนรุ่นใหม่ใช้ชีวิตในบ้าน จึงนำมาสู่การพัฒนาเปิดแบรนด์ใหม่ล่าสุด “พลีโน่ ทาวน์” ภายใต้จุดขาย “พื้นที่ความสุขทั้งชีวิต” นำเสนอทาวน์โฮม 2 ชั้นดีไซน์ใหม่ หน้ากว้าง 5 เมตร พื้นที่ใช้สอย 107 ตารางเมตร  เน้นฟังก์ชันครบ พร้อมการออกแบบพื้นที่ที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลากหลาย พื้นที่ส่วนกลางครบครัน พร้อมฟิตเนสเปิด 24 ชั่วโมง แพ็กเกจราคาที่เป็นเจ้าของได้ง่ายตอบอินไซต์ลูกค้าที่มองหาทาวน์โฮมใหม่สำหรับเริ่มต้นชีวิต   โดยในปีนี้เตรียมบุกใหญ่ 6 โครงการ มูลค่ารวม 5,530 ล้านบาท เจาะครอบคลุม ทุกทำเลศักยภาพใกล้เมือง อาทิ โซนกรุงเทพฯ ตะวันออก – บางนา เทพารักษ์ โซนกรุงเทพฯ ตะวันตก – ปิ่นเกล้า  พุทธมณฑล สาย 5 นนทบุรี และโซนกรุงเทพฯ ตอนเหนือ – ลำลูกกา และรังสิตคลอง 5 เป็นต้น 3.เพิ่มแชร์ตลาดบ้านแฝด 3 ชั้นและ 2 ชั้นเพิ่ม เอพีประสบความสำเร็จในการบุกเบิกตลาดบ้านแฝด 3 ชั้นในเมือง ผ่านแบรนด์ “บ้านกลางเมือง ดิ อิดิชั่น” ครองแชมป์เบอร์หนึ่งผู้นำตลาดด้วยการตอบรับจากลูกค้าและสามารถสร้างยอดขายสูงสุดต่อเนื่อง โดยจากการสำรวจตลาดล่าสุด พบแนวโน้มสินค้าบ้านแฝดในเมืองยังคงเป็นสินค้าที่เคลื่อนไหวดีตลอด 2 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2563 – 2564) มีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 29% จากกลุ่มลูกค้าที่ต้องการบ้านที่มีขนาดพื้นที่ใช้สอยใหญ่ขึ้น ทำเลเมือง ในราคาที่คุ้มค่า เตรียมเปิดพรีเซลทุกเดือน สำหรับการบุกตลาดในครั้งนี้ เอพีพร้อมนำประสบการณ์การพัฒนาสู่การต่อยอดแนวคิดในการออกแบบพื้นที่ชีวิตแนวตั้งที่เลือกเองได้ นำเสนอสินค้าบ้านแฝดซีรีส์ใหม่ ผ่านแบรนด์ “บ้านกลางเมือง ดิ อิดิชั่น” บ้านแฝดดีไซน์ใหม่ 3 ชั้น หน้ากว้าง 9.8 เมตร พื้นที่ใช้สอย 218 ตารางเมตร และ “แกรนด์ พลีโน่” บ้านแฝดดีไซน์ใหม่ 2 ชั้น หน้ากว้าง 11.4 เมตร พื้นที่ใช้สอย 145 ตารางเมตร โดยจะขยายจำนวนโครงการและบุกเพิ่มเข้าไปในทำเลใหม่ๆ นำร่อง 4 ทำเลแรก ปิ่นเกล้า – บรมราชชนนี - ศาลายา - บางนา และพหลโยธิน - วิภาวดี นายเมธา กล่าวอีกว่า สำหรับตลาดอสังหาฯ แนวราบครึ่งปีหลัง เอพีมองว่ายังคงเป็นตลาดที่ได้รับความสนใจและมีแนวโน้มการเติบโตไปได้อีก สะท้อนจากยอดขายที่แข็งแกร่งจากสินค้าแนวราบเครือเอพี 5 เดือน ที่ผ่านมา มูลค่า 16,810 ล้านบาท เติบโต 23% จากปีก่อนหน้า และคิดเป็น 45% ของเป้ายอดขายแนวราบทั้งปี 38,000 ล้านบาท   นอกจากนี้ เอพียังเตรียมแคมเปญ “Your Destinations” พื้นที่ชีวิตแนวตั้งที่เลือกเองได้กับทาวน์โฮมใหม่จากเอพี ไม่ว่าคุณจะมีวิถีชีวิตแบบไหน ทาวน์โฮมเอพีพร้อมตอบความสุขในแบบคุณ พลาดไม่ได้ราคาพรีเซลพิเศษ พร้อมข้อเสนอสุดคุ้มค่า รับ iPhone ทุกหลัง ดอกเบี้ยพิเศษ 0.99% นาน 2 ปี ผ่อนเริ่ม 3,000 บาท/เดือน พร้อมลุ้นรับ Your Destinations Trip มูลค่ารวมกว่า 5,000,000 บาท เปิดพรีเซลโครงการใหม่ต่อเนื่องทุกเดือน   โดยในเดือนมิถุนายนเตรียมพบ 6 โครงการใหม่ ได้แก่ บ้านกลางเมือง ดิ อิดิชั่น ปิ่นเกล้า – บรมฯ พรีเซล 6.99 - 9 ล้านบาท บ้านกลางเมือง วิภาวดี – แจ้งวัฒนะ พรีเซล 3.79 - 7 ล้านบาท พลีโน่ พหลโยธิน – สายไหม 2 พรีเซล 2.79 ล้านบาท พลีโน่ สุขุมวิท – บางนา 2 พรีเซล 2.99 ล้านบาท พลีโน่ สุขสวัสดิ์ -ประชาอุทิศ 76 พรีเซล 2.99 ล้านบาท และพลีโน่ ทาวน์ ปิ่นเกล้า – สาย 5 พรีเซล 2.29 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอพี ไทยแลนด์ เดินแผนธุรกิจปี 65 ที่สุดตลาด เปิดตัว 65 โครงการ มูลค่า 78,000 ล้าน
อิเกียสุขุมวิท  ซิตี้สโตร์แห่งแรกในเซาท์อีสเอเชีย ปักหมุด ดิ เอ็มสเฟียร์ พร้อม เปิดปลายปี 66

อิเกียสุขุมวิท ซิตี้สโตร์แห่งแรกในเซาท์อีสเอเชีย ปักหมุด ดิ เอ็มสเฟียร์ พร้อม เปิดปลายปี 66

อิเกียสุขุมวิท อิเกีย ปักหมุดสาขา 4 กับคอนเซ็ปต์ซิตี้สโตร์ ที่ดิ เอ็มสเฟียร์ สุขุมวิท แห่งแรกในเซาท์อีสเอเชีย เปิดแน่ปลายปี 66 ชี้ 4 เหตุผลสำคัญเลือกย่านใจกลางธุรกิจ มั่นใจคนเดินช้อปปิ้ง 4 ล้านคนต่อปี   หลังจากอิเกีย ร้านจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งบ้าน สัญชาติสวีเดน ได้มาปักหมุดในประเทศไทยเมื่อ 10 ปีก่อนหน้านี้ โดยสาขาแรกที่ปักหมุดลงมือทำธุรกิจ คือ อิเกียบางนา ซึ่งอยู่ที่ศูนย์การค้าเมกาบางนา บนถนนบางนา-ตราด ในพื้นที่จังหวัดสมุทรปราการ ต่อมาขยายสาขาไปที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวสต์เกต พื้นที่จังหวัดนนทบุรี ขณะเดียวกัน อิเกียยังมีจุดสั่งซื้อและรับสินค้าที่จังหวัดภูเก็ต เพื่อรองรับกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าในภาคใต้ ที่กำลังซื้อสูงไม่แพ้พื้นที่อื่น ๆ ก่อนจะพัฒนาขึ้นเป็นสาขาขนาดเล็ก ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 2,198 ตารางเมตร   ล่าสุด อิเกีย วางแผนเปิดสาขาแห่งที่ 4 บนถนนสุขุมวิท ย่านใจกลางธุรกิจของกรุงเทพฯ โดยการจับมือกับกลุ่มเดอะมอลล์ ที่จะเปิดสาขาแห่งที่ 4 บริเวณชั้น 3 ของศูนย์การค้าดิ เอ็มสเฟียร์ (The Emsphere) ในโครงการช้อปปิ้งมอลล์ขนาดใหญ่ของกลุ่มเดอะมอลล์ คือ ดิ เอ็มดิสทริค (The EM District) ซึ่งกำหนดเปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปี 2566 4 เหตุผลทำไมต้องเลือกถนนสุขุมวิท ด้วยคอนเซ็ปต์การทำธุรกิจของอิเกีย คือ การขายสินค้าปริมาณมาก ในราคาที่ต่ำ หรือ High Value Low Price จึงทำให้อิเกียต้องมีร้านค้าขนาดใหญ่ เพื่อขายสินค้าจำนวนมากมายหลายพันรายการ การให้ลูกค้าเลือกหยิบสินค้าด้วยตนเอง และนำเอาไปประกอบเองที่บ้าน ที่สำคัญตั้งอยู่ในพื้นที่ชานเมือง เพราะจะได้ราคาต้นทุนที่ดินหรือการพัฒนาโครงการได้ไม่สูง เป็นโมเดลธุรกิจที่ช่วยสร้างความสำเร็จ ในการเข้าไปทำธุรกิจในหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย   แต่การขยับเข้ามาเปิดสาขาอิเกียสุขุมวิท ซึ่งเป็นสาขาแห่งที่ 4 ในประเทศไทยนั้น เป็นเพราะอิเกียมองว่าเป็นทำเลศักยภาพที่มีโอกาสสร้างการเติบโต และสร้างยอดขายได้สูง จากกำลังซื้อของคนในย่านสุขุมวิทและใกล้เคียง โดยนางสาวลีโอนี่ ฮอสกิ้น ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจค้าปลีก อิเกีย ประเทศไทย และเวียดนาม ได้ให้เหตุผลสำคัญที่อิเกียเลือกมาเปิดสาขาที่ถนนสุขุมวิท ​ดังนี้ ​ 1.ชื่อเสียงถนนสุขุมวิทเป็นที่รู้จัก ถนนสุขุมวิท เป็นทำเลที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นถนนเศรษฐกิจ และเป็นที่รู้จักไม่เฉพาะชาวไทยเท่านั้น แต่รวมถึงต่างชาติด้วย หลายช่วงซอยของถนนสุขุมวิท เป็นแหล่งที่อยู่และชื่นชอบของชาวต่างชาติหลายเชื้อชาติด้วยกัน 2.ประชากรหนาแน่น 3 แสนคน  ถนนสุขุมวิทนอกจากจะเป็นแหล่งธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ แล้ว ยังพบว่าเป็นอีกหนึ่งทำเลที่คนนิยมพักอาศัย ไม่ว่าจะเป็นชาวไทยหรือต่างชาติ จากการศึกษาของอิเกียพบว่า บริเวณรอบ ๆ รถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีพร้อมพงษ์ พบว่ามีจำนวนประชกรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น มากกว่า 300,000 คน ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญที่จะมาเป็นลูกค้าของอิเกีย 3.การคมนาคมสะดวกด้วยรถไฟฟ้า รถไฟฟ้าบีทีเอส คือ รถไฟฟ้าสายแรกของไทย ที่เข้ามาสร้างความสะดวกสบาย ในการเดินทางของคนกรุงเทพฯ ซึ่งรถไฟฟ้าบีทีเอสก็วิ่งผ่านถนนสุขุมวิทยาวไปตลอดสายจนถึงจังหวัดสมุทรปราการ ทำให้การเดินทางเข้ามาสู่ย่านธุรกิจเป็นไปได้สะดวก จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้อิเกีย เลือกปักหมุดที่โครงการเอ็มสเฟียร์ ของกลุ่มเดอะมอลล์ ​นอกจากนี้ ทำเลที่ตั้งของโครงการยังอยู่ไม่ไกลจากรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT สถานีอโศกด้วย จึงทำให้การเดินทางมายังอิเกียสุขุมวิทสะดวกมากขึ้น 4.การจับมือกับกลุ่มเดอะมอลล์ อิเกีย มีการศึกษาตลาดและวางแผนในการจะพัฒนาสาขาในรูปแบบซิตี้สโตร์​มาตั้งแต่ปี 2560  จนเมื่อเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ขึ้นจึงได้กลับมาทบทวนแผนกันอีกครั้ง ประกอบกับการได้พันธมิตรอย่างกลุ่มเดอะมอลล์ ที่มีการพัฒนาโครงการดิ เอ็ม ดิสทริค  และมีการเจรจากันลงตัว จึงเลือกมาเช่าพื้นที่ของศูนย์การค้าดิ เอ็มสเฟียร์ ขนาด 12,000 ตร.ม. บริเวณชั้น 3 3 เรื่องน่ารู้ของอิเกียสุขุมวิท สำหรับอิเกียสุขุมวิท ถือเป็นสาขาที่อิเกียตั้งใจ และพยายามจะทำการตลาด เพื่อสร้างความสำเร็จให้เกิดขึ้น ตามเป้าหมายที่จะต้องดึงคนให้เข้ามาช้อปปิ้งซื้อสินค้าที่สาขาให้ได้ปีละ 4 ล้านคน ขณะที่จำนวนลูกค้าเฉลี่ยใน 3 สาขาที่เข้าไปซื้อสินค้ามีประมาณ 30,000 คนต่อวัน นอกจากนี้ ยังคาดว่าอิเกียสุขุมวิท จะมีส่วนแบ่งทางการตลาดในพื้นที่สุขุมวิทได้ 10% จากตลาดสินค้าเดียวกันด้วย   อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอิเกียสุขุมวิทจะเป็นสาขาที่มีขนาดเล็ก เมื่อเทียบกับสาขาบางนาและสาขาบางใหญ่ แต่ถือว่ามี 3 เรื่องที่น่าสนใจและเป็นบทสรุปสำคัญ ดังกนี้ ​ 1.ซิตี้สโตร์แห่งแรกและใหญ่สุดใน Southeast Asia   อิเกียสุขุมวิท ถือเป็นสาขาในคอนเซ็ปต์ซิตี้สโตร์ (City-Centre Store) ใหญ่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia) ด้วยขนาดพื้นที่ 12,000 ตารางเมตร อยู่ที่ชั้น 3 โครงการดิเอ็มสเฟียร์ หากไม่นับเกาะฮ่องกง ที่มีขนาดพื้นที่ 15,000 ตารางเมตร แต่มีจำนวนหลายชั้น ที่สำคัญเป็นสาขาในคอนเซ็ปต์​ซิตี้สโตร์แห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย   ขณะเดียวกัน​ อิเกียสุขุมวิท เป็นสาขาที่ถูกพัฒนาขึ้น เพื่อเป็นสาขาในย่านใจกลางเมืองโดยเฉพาะ จะแตกต่างจากสาขาในคอนเซ็ปต์ซิตี้สโตร์ที่อยู่ในเมืองอื่น ไม่ว่าจะเป็นที่ลอนดอน หรือปารีส ซึ่งแม้จะมีสาขาในรูปแบบซิตี้สโตร์ แต่พัฒนามาจากร้านในรูปแบบ Pop-Up Store ที่ทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ทางการตลาด ก่อนจะพัฒนาขึ้นมาเป็นสาขา 2.ซื้อสินค้าได้ครบเหมือนสาขาใหญ่ แม้ว่าพื้นที่ของอิเกียสุขุมวิท จะอยู่ในศูนย์การค้ามีขนาดพื้นที่ 12,000 ตารางเมตร แต่ยังถือว่าเล็กกว่าในสาขาปกติ  อย่างสาขาบางใหญ่ ที่มีขนาดพื้นที่สโตร์  50,278 ตารางเมตร และสาขาบางนา ที่มีขนาด 44,000 ตารางเมตร ซึ่งยังไม่ได้รวมพื้นที่อื่น ๆ เช่น พื้นที่โชว์รูม พื้นที่มาร์เก็ตฮออล์ พื้นที่เซลฟ์เสิร์ฟ และพื้นที่ร้านอาหาร แต่อิเกียสุขุมวิท ก็มีพื้นที่จำหน่ายสินค้าครบเช่นเดียวกับสาขาใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นโชว์รูม มาร์เก็ตฮอลล์ ร้านอาหาร   ขณะที่สินค้าภายในอิเกียสุขุมวิท ก็มีครบกว่า 9,400-9,500 รายการ เป็นสินค้าจัดโชว์ 2,500 รายการ และสินค้าที่สามารถหยิบซื้อกลับบ้านได้เลย 4,500-5,000 รายการ 3.สินค้าราคาเดียวกันทั่วไทย จากคอนเซ็ปต์ในการทำธุรกิจของอิเกีย หรือการขายสินค้าในปริมาณมากแต่มีราคาถูก ซึ่งแม้ว่าจะเข้ามาเปิดตลาดในย่านใจกลางสุขุมวิท ที่ราคาที่ดินพุ่งแตะตารางวาละ 7 หลัก และเปิดในศูนย์การค้าระดับไฮเอ็นด์อย่างดิ เอ็มสเฟียร์  แต่สินค้าที่นำมาขายจะมีราคาเดียวกันกับสาขาอื่น ๆ ตามนโยบาย One Price   แต่เพื่อความพิเศษของการเปิดอิเกียสุขุมวิท ทางบริษัทจึงวางแผนที่จะนำสินค้าพิเศษเฉพาะสาขาสุขุมวิทมาขาย รวมถึงสินค้าพิเศษเฉพาะประเทศไทย ที่ไม่มีสินค้าชนิดดังกล่าวขายในประเทศอื่นด้วย   นางสาวลีโอนี่ กล่าวอีกว่า  นอกจากสาขาสุขุมวิทแล้ว อิเกีย ยังวางแผนการพัฒนาพื้นที่สาขาจังหวัดภูเก็ตให้มีขนาดใหญ่ขึ้น รวมถึงการขยายสาขาไปยังพื้นที่ต่างจังหวัด อาทิ นครราชสีมา เชียงใหม่ เพื่อรองรับกับความต้องการสินค้าของกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัดด้วย อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -10 ปีอิเกีย กับ 5 กลยุทธ์ สร้างการเติบโตปีละ 5%
REIC เผย ยอดโอนคอนโดต่างชาติ Q1/65  ลดทั้งจำนวน-มูลค่า เหตุลูกค้าจีนยังปิดประเทศ   

REIC เผย ยอดโอนคอนโดต่างชาติ Q1/65 ลดทั้งจำนวน-มูลค่า เหตุลูกค้าจีนยังปิดประเทศ  

ยอดโอนคอนโด ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ  รายงานตัวเลขโอนคอนโดต่างชาติ ไตรมาสแรก หลังวิกฤตโควิด-19 คลี่คลาย ยูนิตลดลง 10.3% มูลค่าลดลง 6.1% เหตุ จีน ลูกค้าหลักตลาดคอนโดไทยยังปิดประเทศ ห้ามคนจีนเดินทางโดยไม่จำเป็น คาดนโยบาย “โควิดเป็นศูนย์” ใช้ต่อถึงสิ้นปี   ตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยของไทย  โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม (ห้องชุด)  มีฐานลูกค้าสำคัญกลุ่มหนึ่ง ที่เข้ามาช่วยขับเคลื่อนและสร้างการเติบโต คือ กลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติ เพราะบางโครงการสามารถสร้างยอดขายได้เต็มโควตาที่กฎหมายกำหนด ด้วยสัดส่วนยอดขายถึง 49% เลยทีเดียว แต่โดยภาพรวมในช่วงที่ผ่านมา สัดส่วนยอดขายของกลุ่มลูกค้าต่างชาติจะมีสัดส่วนเฉลี่ย 20-30%   แต่หลังจากที่เกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ขึ้น ทำให้ในช่วงที่ผ่านมา ​ชาวต่างชาติไม่สามารถเดินทางเข้ามาในประเทศไทยได้ ยอดขายคอนโดในกลุ่มลูกค้าต่างชาติก็หายไปจากตลาดจนแทบเป็นศูนย์ ขณะที่ลูกค้าบางรายต้องถึงกำหนดการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดที่ซื้อไว้ก่อนหน้าแล้ว ก็ไม่สามารถเดินทางเข้ามาทำการโอนกรรมสิทธิ์ได้ ยอดโอนคอนโดของลูกค้าต่างชาติ จึงไปในทิศทางเดียวกับยอดขาย   อย่างไรก็ตาม ช่วงที่ผ่านมาผู้ประกอบการบางราย ก็พยายามหาวิธีการมาช่วยเหลือกลุ่มลูกค้า ให้ยังสามารถซื้อขาย หรือโอนคอนโดได้บ้าง แต่จำนวนอาจจะไม่ได้มากหรือเท่ากับช่วงก่อนหน้าที่จะเกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19   ส่วนในปี 2565 ภาพรวมสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ปรับตัวดีขึ้น ภาครัฐมีการผ่อนคลายความเข้มงวด  และเริ่มมีการเดินทางระหว่างประเทศได้แล้ว ซึ่งช่วงปลายปีที่ผ่านมาหลายประเทศก็เดินทางได้บ้าง  ภายใต้มาตรการของแต่ละประเทศกำหนดขึ้น ทำให้ยอดขายและยอดโอนคอนโดของกลุ่มลูกค้าต่างชาติเริ่มกลับ จีนหาย Q1/65 ยอดโอนคอนโดลดทั้งจำนวน-มูลค่า โดยล่าสุด ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) หรือ REIC ได้จัดทำรายงานสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดของคนต่างชาติ ไตรมาส 1 ปี 2565 เพื่อสะท้อนภาพตลาดลูกค้าต่างชาติ ภายหลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย แต่กลุ่มลูกค้าหลักของไทย อย่างชาวจีนอาจจะยังไม่กลับมามากนัก เพราะ​ประเทศจีน​ยังคงปิดประเทศ และใช้นโยบาย "โควิดเป็นศูนย์" มีการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ทางการจีนได้ห้ามไม่ให้พลเมืองจีนเดินทางไปต่างประเทศ หากไม่มีเหตุที่จำเป็น ทำให้สถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์คอนโด ของชาวต่างชาติจึงยังไม่ฟื้นตัวในไตรมาสนี้   โดยภาพรวมสถานการณ์การโอนคอนโดคนต่างชาติ ทั่วประเทศ ในไตรมาส 1 ปี 2565 มีจำนวนยอดโอนคอนโด 2,107 ยูนิต ลดลง​ 10.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่มีจำนวนยูนิตสูงกว่าค่าเฉลี่ย 2 ปี ในช่วงโควิด-19  (ปี 2563 – 2564) ที่มีจำนวน 2,061 ยูนิตต่อไตรมาส (ดูแผนภูมิที่ 1 - 2)   มูลค่าการโอนคอนโดรวม 10,262 ล้านบาท ลดลง​ 6.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) มูลค่าการโอนในไตรมาสนี้ สูงกว่าค่าเฉลี่ย 2 ปี ในช่วงโควิด-19 ที่มีมูลค่า 9,683 ล้านบาทต่อไตรมาส (ดูแผนภูมิที่ 3 - 4)   ยังมีการคาดการณ์ว่า จีนจะยังปิดประเทศไม่ให้ชาวจีนเดินทางออกนอกประเทศไปจนถึงสิ้นปี 2565 อย่างไรก็ตาม ในด้านรัฐบาลไทย มีการดำเนินการผ่อนคลายมาตรการการเดินทางเข้าประเทศของชาวต่างชาติเป็นระยะ ๆ เพื่อรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเต็มรูปแบบในวันที่ 1 มิถุนายน 2565 ซึ่งในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2565 มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าประเทศแล้วกว่า 1 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีจำนวนไม่ถึง 100,000 คน   นอกจากนั้น รัฐบาลยังได้กำหนดให้ปีนี้เป็น “ปีส่งเสริมท่องเที่ยวไทย 2565 - 2566 (Visit Thailand Year 2022- 2023)” โดยมีแผนจะกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาประเทศไทยไม่น้อยกว่า 300,000 – 1,000,000 คนต่อเดือน ซึ่งคาดว่าจะสามารถดึงนักท่องเที่ยวได้มากถึง 6 ล้านคนในปีนี้ และ19 ล้านคนในปี 2566 หากสถานการณ์การท่องเที่ยวของชาวต่างชาติฟื้นตัวเพิ่มมากขึ้น ก็คาดว่าจะเป็นการเพิ่มโอกาสให้กับการซื้อขายตลาด อาคารชุดทดแทนกลุ่มลูกค้าชาวจีนที่ยังไม่สามารถเดินทางมาไทยได้   แผนภูมิที่ 1 จำนวนยูนิตโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติ ทั่วประเทศ ที่มา : กรมที่ดิน รวบรวมและประมวลผลโดย : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์   แผนภูมิที่ 2 อัตราขยายตัวของจำนวนยูนิตโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติ ทั่วประเทศ ที่มา : กรมที่ดิน รวบรวมและประมวลผลโดย : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ แผนภูมิที่ 3 จำนวนมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติ ทั่วประเทศ (ยูนิต : ล้านบาท) ที่มา : กรมที่ดิน รวบรวมและประมวลผลโดย : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์   แผนภูมิที่ 4 อัตราขยายตัวของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติ ทั่วประเทศ ที่มา : กรมที่ดิน รวบรวมและประมวลผลโดย : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ โอนคอนโดต่างชาติเหลือ 10.6% จำนวนยูนิตที่โอนคอนโดในไตรมาส 1 ปี 2565 มีจำนวนทั้งหมด 19,886 ยูนิต แบ่งออกเป็น การโอนให้ชาวต่างชาติ 10.6% และคนไทย 89.4% สัดส่วนจำนวนยูนิตโอนให้คนต่างชาติลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งมีสัดส่วน 10.7% ในขณะที่มูลค่าการโอนคอนโดในไตรมาส 1 ปี 2565 มีมูลค่ารวม 52,291 ล้านบาท แบ่งออกเป็นการโอนคอนโดให้ชาวต่างชาติ 19.6% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งมีสัดส่วน 17.2% (ดูแผนภูมิที่ 5 - 6) โอนคอนโดต่างชาติลด 2,107 ยูนิต การโอนกรรมสิทธิ์คอนโดให้ชาวต่างชาติในไตรมาส 1 ปี 2565 จำนวน 2,107 ยูนิต ในจำนวนนี้เป็นประเภทคอนโดใหม่ 65.1% ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งมีสัดส่วนของคอนโดใหม่ 80.3% ในขณะที่ห้องชุดมือสองมีสัดส่วน 34.9% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีสัดส่วน 19.7%   ในด้านมูลค่าการโอนคอนโดให้ชาวต่างชาติในไตรมาส 1 ปี 2565 มูลค่า 10,262 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นมูลค่าคอนโดใหม่ 71.8% ลดลงจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งมีสัดส่วนของห้องชุดใหม่ 86.1%   ขณะที่คอนโดมือสองมีสัดส่วน 28.2% เพิ่มขึ้นจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีสัดส่วน 13.9% แสดงให้เห็นว่า ตลาดคอนโดต่างชาติ ยังนิยมคอนโดใหม่มากกว่าคอนโดมือสอง แต่คอนโดมือสองก็มีการขยายสัดส่วนเพิ่มมากขึ้นตามลำดับ (ดูแผนภูมิที่ 7 - 8) ต่างชาติโอนคอนโดไม่เกิน 3 ล้านมากสุด ในไตรมาส 1 ปี 2565 คอนโดที่มีการโอนให้คนต่างชาติมากที่สุด จะอยู่ในช่วงราคาไม่เกิน 3.00 ล้านบาท โดยมีการโอนจำนวน 1,109 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 52.6% ของจำนวนยูนิตทั้งหมดจำนวน 2,107 ยูนิต รองลงมาคือ ระดับราคา 3.01 – 5.00 ล้านบาท มีจำนวน 504 ยูนิต (สัดส่วน 23.9%) ระดับราคา 5.01 – 10.00 ล้านบาท มีจำนวน 304 ยูนิต (สัดส่วน 14.4%) และระดับราคามากกว่า 10.00 ล้านบาทขึ้นไป มีจำนวน 190 ยูนิต (สัดส่วน 9.0%) ตามลำดับ (ดูแผนภูมิที่ 9 - 10) ต่างชาตินิยมซื้อคอนโด 30-60 ตร.ม. ในไตรมาส 1 ปี 2565 ขนาดคอนโดที่เป็นที่นิยมของคนต่างชาติ คือ ขนาดพื้นที่ 30 - 60 ตารางเมตร (ประเภท 1 - 2 ห้องนอน) โดยมีจำนวนยูนิตที่โอนกรรมสิทธิ์ให้คนต่างชาติ จำนวน 970 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 46.0% รองลงมา คือ ห้องชุดขนาดพื้นที่ไม่เกิน 30 ตารางเมตร (สตูดิโอ หรือ 1 ห้องนอน) มีจำนวน 796 ยูนิต (สัดส่วน 37.8%) ถัดมาคือ ห้องชุดขนาดพื้นที่ 61-100 ตารางเมตร (2-3 ห้องนอนขึ้นไป) จำนวน 202 ยูนิต (สัดส่วน 9.6%) และห้องชุดขนาดพื้นที่มากกว่า 100 ตารางเมตร (3 ห้องนอนขึ้นไป) มีจำนวนน้อยที่สุด คือ 139 ยูนิต (สัดส่วน 6.6%)   ห้องชุดขนาดไม่เกิน 30 ตารางเมตร และขนาด 30 – 60 ตารางเมตร เป็นประเภทห้องชุดที่คนต่างชาตินิยมมากที่สุด โดยมีสัดส่วนจำนวนยูนิตที่โอนกรรมสิทธิ์รวมกัน 83.8% (ดูแผนภูมิที่ 11 - 12) จีนลดโอนคอนโดลดลงสัดส่วนไม่ถึง 50%   สัญชาติที่มีการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมากที่สุดทั่วประเทศ โดยไตรมาส 1 ปี 2565 ได้แก่ ชาวจีน โดยมีการโอนคอนโดจำนวน 949 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วนที่สูงถึง​ 45.0% (ลดลงจากไตรมาส 4 ปี 2564 ซึ่งมีสัดส่วน 53.7%) และมีมูลค่าการโอน 4,570 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน​ 44.5% (ลดลงจากไตรมาส 4 ปี 2564 ซึ่งมีสัดส่วน​ 51.2%) จะเห็นได้ว่า สัดส่วนชาวจีนที่โอนคอนโดลดลงมีสัดส่วนไม่ถึง 50% เป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ชาวจีนไม่สามารถเดินทางออกนอกประเทศได้   ในด้านจำนวนยูนิต สัญชาติที่มี ยอดโอนคอนโด ทั่วประเทศ อันดับรองลงมา ได้แก่ รัสเซีย มีการโอนจำนวน 134 ยูนิต (สัดส่วน 6.4%) ตามมาด้วย สหรัฐอเมริกา จำนวน 114 ยูนิต (สัดส่วน​ 5.4%) สหราชอาณาจักร จำนวน 91 ยูนิต (สัดส่วน 4.3%) และเยอรมัน จำนวน 81 ยูนิต (สัดส่วน 3.8%) ตามลำดับ   ส่วนในด้านมูลค่า สัญชาติที่มี ยอดโอนคอนโด ทั่วประเทศอันดับแรก คือ จีน มีมูลค่าการโอน 4,570 ล้านบาท อันดับรองลงมา คือ รัสเซีย มีการโอนจำนวน 435 ล้านบาท (สัดส่วน 4.2%) อันดับสาม กัมพูชา 401 ล้านบาท (สัดส่วน 3.9%) อันดับสี่ ไต้หวัน 391 ล้านบาท (สัดส่วน 3.8%) อับดับห้า ฝรั่งเศส 390 ล้านบาท (สัดส่วน 3.8%) ตามลำดับ (ดูตารางที่ 1 - 2)   ตารางที่ 1 ยูนิตโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติ ทั่วประเทศ  เรียงตามสัญชาติสูงสุด 10 อันดับ ที่มา : กรมที่ดิน  / รวบรวมและประมวลผลโดย : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ตารางที่ 2 มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้คนต่างชาติ ทั่วประเทศ  เรียงตามสัญชาติสูงสุด 10 อันดับ (ยูนิต : ล้านบาท) ที่มา : กรมที่ดิน รวบรวมและประมวลผลโดย : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ขนาดและราคาเฉลี่ย คอนโดที่ชาวต่างชาติโอนกรรมสิทธิ์ทั่วประเทศ ในไตรมาส 1 ปี 2565 มีขนาดเฉลี่ย 46.18 ตารางเมตรต่อยูนิต มูลค่าเฉลี่ย 4.87 ล้านบาทต่อยูนิต หรือประมาณตารางเมตรละ 105,470 บาท ทั้งนี้ ในจำนวน 10 สัญชาติที่มีมูลค่าการโอนคอนโดสูงสุด ในไตรมาส 1 ปี 2565 พบว่า กัมพูชา เป็นสัญชาติที่มีมูลค่าการโอนต่อยูนิตสูงสุด เฉลี่ย 18.22 ล้านบาทต่อยูนิต หรือเฉลี่ย 315,825 บาทต่อตารางเมตร ขนาดห้องเฉลี่ย 57.70 ตารางเมตรต่อยูนิต และสหรัฐอเมริกาเป็นสัญชาติที่มีมูลค่าการโอนต่อยูนิตต่ำสุด เฉลี่ย 3.02 ล้านบาทต่อยูนิต หรือเฉลี่ย 60,314 บาทต่อตารางเมตร ขนาดห้องเฉลี่ย 50.04 ตารางเมตรต่อยูนิต (ดูตารางที่ 3) กทม.เมืองที่ต่างชาติโอนคอนโดเยอะสุด ในไตรมาส 1 ปี 2565 จังหวัดที่มีจำนวนยูนิตโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้ชาวต่างชาติมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ กรุงเทพฯ ชลบุรี สมุทรปราการ ภูเก็ต และเชียงใหม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ใน 2 จังหวัดแรก คือ กรุงเทพฯ มีจำนวน 829 ยูนิต (สัดส่วน 39.3%) และชลบุรี จำนวน 677 ยูนิต (สัดส่วน  32.1%) โดยทั้ง 2 จังหวัดมีสัดส่วนจำนวนยูนิตรวมกันสูงถึง 71.5% ของทั่วประเทศ   จังหวัดที่มีการโอนคอนโดให้กับชาวต่างชาติมากที่สุดเป็นอันดับสามถึงอันดับห้า ได้แก่ สมุทรปราการ จำนวน 230 ยูนิต (สัดส่วน 10.9%) ภูเก็ต จำนวน 164 ยูนิต (สัดส่วน  7.8%) และเชียงใหม่ จำนวน 97 ยูนิต (สัดส่วน 4.6%) ซึ่งเมื่อรวม 5 จังหวัดดังกล่าวข้างต้น มีจำนวนยูนิตรวมกันเป็นสัดส่วนมากถึง 94.8% ของทั้งประเทศ ส่วนจังหวัดอื่นๆ อีก 72 จังหวัด มีการโอนคอนโดในชาวต่างชาติรวมกันเพียง 5.2% เท่านั้น (ดูตารางที่ 4) อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ แนะตลาดบ้าน-คอนโด ต้องต้องเฝ้าระวัง  5 เรื่องนี้    
พอยส์ คอร์ปอเรชั่น  เปิดโปรเจ็กต์ เดอะโฮท 400 ล้าน  รับไลฟ์สไตล์ทำงาน-อยู่อาศัยในที่เดียว

พอยส์ คอร์ปอเรชั่น เปิดโปรเจ็กต์ เดอะโฮท 400 ล้าน รับไลฟ์สไตล์ทำงาน-อยู่อาศัยในที่เดียว

เดอะ โฮท พอยส์ คอร์ปอเรชั่น บุกตลาดอสังหาฯ ปั้นโปรเจ็กต์เดอะ โฮท 400 ล้าน รองรับไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยของคนหลายเจเนอเรชั่น ปั้นโฮมออฟฟิศ ที่เปลี่ยนใช้งานได้ทั้งการอยู่อาศัยและทำงาน  วางเป้าสิ้นปีทำยอดขาย 150 ล้าน เล็งที่ดินอีก 2 แปลงต่อยอดพัฒนาโครงการต่อเนื่อง   นายพรชัย เตชะไกรศรี ผู้ก่อตั้งบริษัท พอยส์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด  ผู้ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจบริการ เปิดเผยว่า จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้พฤติกรรมการอยู่อาศัยของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป โดยต้องการที่อยู่อาศัยซึ่งมีพื้นที่มากขึ้น ทำให้ตลาดบ้านแนวราบมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับปัจจุบันคนต้องการความยืดหยุ่นในการอยู่อาศัย ที่สามารถปรับพื้นที่การใช้งานภายในบ้านได้ตามความต้องการ ที่สำคัญปัจจุบันคนส่วนใหญ่จะอยู่อาศัยกับคนหลายเจเนอเรชั่น   บริษัทจึงมองเห็นช่องว่างการตลาดดังกล่าว  พัฒนาโครงการเดอะ โฮท (The Haute) กาญจนา-สาทร ในรูปอาคารขนาด 5 ชั้น  พื้นที่ใช้สอย 556 ตร.ม.​ขนาดที่ดิน 60 ตร.ว. มีจำนวน 10 ยูนิต ราคายูนิตละ 38 ล้านบาท  รวมมูลค่าโครงการ 400 ล้านบาท อาคารออกแบบโดยบริษัท AAD design ภายใต้แนวความคิด Vertical Biz Villa : New Series for Nex Normal Living ซึ่งสามารถปรับพื้นที่ได้ตามความต้องการ และไลฟ์สไตล์ผู้อยู่อาศัย  ทั้งการอยู่อาศัยหรือใช้เป็นสำนักงาน สตูดิโอ พื้นที่ทำงาน หรือประกอบธุรกิจต่าง ๆ ได้   นายพรชัย กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายภายในสิ้นปีนี้ คาดว่าจะทำยอดขายได้ 150 ล้านบาท และคาดว่าจะปิดโครงการได้ภายในไตรมาสแรกของปี 2566 ซึ่งจะเปิดจองครั้งแรกในวันที่ 23-24 กรกฎาคม 2565 นี้ โดยลูกค้าที่จองภายในวันงานจะได้รับส่วนลดสูงสุด 1 ล้านบาท และสำหรับบ้านที่พร้อมโอนกรรมสิทธิ์ จองเพียง 500,000 บาท และได้รับการยกเว้นเงินทำสัญญาสูงสุด 400,000 บาท นอกจากโครงการเดอะ โฮท กาญจนา-สาทร บริษัทยังมองหาที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการต่อเนื่อง โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อที่ดินอีก 2 แปลง ในโซนเพชรเกษม และศึกษาความเป็นไปได้ในการนำมาพัฒนาโครงการต่อเนื่อง ในรูปแบบอาคารที่สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้งานได้เช่นเดียวกับโครงการเดอะ โฮท ซึ่งเป็นที่ดินขนาด 10 ไร่ เพื่อพัฒนาอาคารจำนวน 60 ยูนิต และที่ดินขนาด 6 ไร่ เพื่อพัฒนาอาคาร จำนวน 20-26 อาคาร   นายพรชัย กล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทดำเนินธุรกิจหลัก 2 ประเภท คือ  ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งนอกจากการพัฒนาโครงการเดอะ โฮท ยังดำเนินธุรกิจบ้านสำเร็จรูป หรือ ​ Modular House ภายใต้ Brand Modspace ซึ่งเป็นบ้านกึ่งสำเร็จรูป ที่ผลิตชิ้นส่วนจากโรงงานและนำมาประกอบ โดยจะเปิดตัวบ้านในเดือนกรกฎาคมนี้ ด้วยแบบบ้านชั้นเดียว 3 ขนาด ได้แก่ บ้านไซส์ S ขนาด 20 ตร.ม บ้านไซส์ M ขนาด 30 ตร.ม. และบ้านไซส์ L ขนาด 35 ตร.ม. นอกจากนี้ ยังดำเนินธุรกิจบริการ  ได้แก่ โรงแรม Chann Bangkok Noi : Hidden hotel In Bangkok Boutique Hotel 22 ห้อง ที่ตั้งใจให้เป็น A Must Destination ของคนทั่วโลก , โรงแรม E11 At BTS ปุณณวิถี กับคอนเซ็ปต์ Tempo of Life City Hotel 26 ห้อง สื่อถึง Lifestyle ของคนรุ่นใหม่ที่ต้องง่ายและสะดวกในทุกๆจังหวะของการท่องเที่ยว ,   IMM Restaurant  ด้วยคอนเซ็ปต์ Next Original Thai Food เป็น Hidden Private Course Menu การันตีด้วยรางวัล มิชลิน ตั้งแต่ ปี 2020 , ARCH คาเฟ่ที่เป็นมากกว่าร้านกาแฟ เพราะคือ Landmark ที่สะท้อนความงามของ งานออกแบบ ทั้งภายนอก และ ภายใน มีทั้งหมด 2 สาขา สาขาสุขุมวิท และ สาขาบางกอกน้อย    
TTA จับมือ 2 พันธมิตร ปั้น 125 สาทร 8,000 ล้าน รับตลาดอสังหาฯ ฟื้นตัว

TTA จับมือ 2 พันธมิตร ปั้น 125 สาทร 8,000 ล้าน รับตลาดอสังหาฯ ฟื้นตัว

TTA ของกลุ่มมหากิจศิริ จับมือ 2 พันธมิตรจากญี่ปุ่น ลงทุนอสังหาฯ ปั้นโปรเจ็กต์ 125 สาทร 8,000 ล้าน ขายตร.ม.ละ 250,000 บาท มั่นใจโอกาสและศักยภาพอสังหาฯ ไทยยังน่าดึงดูดต่างชาติ คาดสิ้นปีทำยอดขาย 3,000 ล้าน ขณะที่ลูกบ้านโครงการ THE MET ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง ประเด็นการยื่นขอ EIA ของโครงการ มั่นใจไม่กระทบต่อการพัฒนา พร้อมเดินหน้าก่อสร้างตามแผน   นางสาวอุษณา มหากิจศิริ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) (TTA)  เปิดเผยว่า นโยบายและเป้าหมายของบริษัท มองหาโอกาสด้านการลงทุนในธุรกิจหลากหลายธุรกิจ ซึ่งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เป็นอีกกลุ่มธุรกิจที่บริษัทมองเห็นโอกาสและศักยภาพการเติบโตในอนาคต นอกเหนือจาก 5  กลุ่มธุรกิจ ทั้งธุรกิจชิปปิ้ง น้ำมันและก๊าซ อาหาร และธุรกิจอื่นๆ ที่บริษัทได้เข้าไปลงทุน   ล่าสุด บริษัทจึงได้ลงทุนในสัดส่วน 60% ร่วมลงทุนกับ พันธมิตร 2 ราย ได้แก่ บริษัท คันเดน เรียลตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (KRD) สัดส่วน 10%  และ บริษัท โทเร คอนสตรัคชั่น จำกัด (TCC) ผู้พัฒนาโครงการอสังหาฯ ในประเทศญี่ปุ่น เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และทั่วโลก สัดส่วน 30% จัดตั้งบริษัท พีเอ็มที พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (PMT) เพื่อพัฒนาคอนโดมิเนียมโครงการ 125 สาทร ขึ้นเป็นแห่งแรกบนถนนสาทร ทั้งนี้ บริษัทมองตลาดอสังหาฯ ของไทย มีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากสัญญาณการฟื้นตัวตลาด   ที่อยู่อาศัยที่เริ่มส่งสัญญาณบวก รวมถึงสถานการณ์โควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลายมากขึ้น รวมถึงนโยบายกระตุ้นอสังหาฯ ทั้งจากภาครัฐและเอกชนช่วยให้เอื้อต่อการซื้อ-ขายมากขึ้น อาทิ การลดค่าโอนกรรมสิทธิ์และค่าจดจำนองทั้ง   บ้านใหม่และบ้านมือสอง รวมถึงการผ่อนคลายมาตรการควบคุมสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (LTV) ชั่วคราวของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)  ช่วงต้นปีที่ผ่านมาจึงเห็นผู้ประกอบการเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง แม้ว่าสภาพเศรษฐกิจไทยปัจจุบันจะผันผวน มีภาวะเงินเฟ้อสูง แต่ราคาที่ดินไม่ได้ลดราคาลง เพราะราคาที่ดินไม่ได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจ นอกจากนี้ ราคาอสังหาฯ ไทยมีความได้เปรียบเมื่อเทียบกับหลายประเทศในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นประเทศสิงคโปร์ ฮ่องกง จีน หรืออินเดีย เพราะราคายังถือว่าต่ำกว่า และมีผลตอบแทนด้านการลงทุนที่สูงกว่า โดยอสังหาฯ ของไทยให้ผลตอบแทนจากการเช่าอยู่ที่ 4-5% ส่วนประเทศญี่ปุ่นให้ผลตอบแทน 2.6%  จีนให้ผลตอบแทน 2.1% และฮ่องกงให้ผลตอบแทนจากการเช่า 2.3% ด้านนายภัทร์กร วงศ์สวรรค์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า ตลาดอสังหาฯ​ ไทยเริ่มกลับมาฟื้นตัว เห็นได้จากการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ที่มีจำนวน 31,473 ยูนิต เติบโตจากช่วงเดียวกันกว่า 200% ขณะที่ช่วงครึ่งปีหลังรัฐบาลเริ่มคลายมาตรการต่าง ๆ ลง นักท่องเที่ยวต่างชาติสามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศได้ ซึ่งสินค้าหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ได้อย่างดี คือ โครงการลักชัวรี่ เพราะเป็นสินค้าที่กลุ่มชาวต่างชาติต้องการ และสามารถดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนได้   สำหรับโครงการ 125 สาทร เป็นคอนโดมิเนียมระดับลักซ์ชัวรี่ มูลค่า 8,000 ล้านบาท บนที่ดินขนาดกว่า 3 ไร่ ติดถนนสาทร มีจำนวน 2 อาคาร ยูนิตรวม 755 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 5.9 ล้านบาท ห้องขนาด 28.5 ตารางเมตร มีราคาเฉลี่ย 250,000 บาทต่อตารางเมตร มูลค่าโครงการทั้งสิ้น  โดยคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะคาดว่าจะทำยอดขายได้ 3,000 ล้านบาท ซึ่งบริษัทวางเป้าหมายยอดขายในกลุ่มลูกค้าต่างชาติ 20-30% โดยจะเป็นกลุ่มลูกค้าชาวญี่ปุ่นสัดส่วน 50% และชาวยุโรปอีก 50%   นายภัทร์กร กล่าวถึงกรณีที่นิติบุคคลอาคารชุด THE MET ได้ยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกลาง เพื่อคัดค้านการอนุมัติรายงาน EIA ของโครงการ 125 สาทร ว่า ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการพัฒนาโครงการ เพราะบริษัทได้รับการอนุมัติรายงาน EIA  แล้ว รวมถึงใบอนุญาตการก่อสร้าง  บริษัทจึงเดินหน้าพัฒนาโครงการตามแผนที่ได้วางไว้  ซึ่งคาดว่าโครงการจะเริ่มการก่อสร้างได้ในช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า และจะใช้ระยะเวลาการก่อสร้างให้แล้วเสร็จในอีก 4 ปีนับจากเริ่มการก่อสร้าง หรือภายในปี 2569   ข้อเรียกร้องเป็นการให้ตรวจสอบกระบวนการยื่นขอ EIA  ซึ่ง​ EIA ได้ผ่านการอนุมัติจากคณะกรรมการ EIA แล้ว และโครงการไม่ได้มีประเด็นที่จะส่งผลต่อการก่อสร้างโครงการไม่ได้ เช่น ขนาดความกว้างของถนน หรือทางเข้าออกโครงการ เป็นต้น   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -125 Sathorn คอนโดตึกคู่ สุดหรู ติดถนนสาทร
เพอร์เฟค  จับมือ ฮ่องกงแลนด์ เปิด “เลค เลเจนด์” แห่งที่ 2  โซนบางนา-สุวรรณภูมิ ชูจุดขายขายวิวทะเลสาบ 100 ไร่

เพอร์เฟค จับมือ ฮ่องกงแลนด์ เปิด “เลค เลเจนด์” แห่งที่ 2 โซนบางนา-สุวรรณภูมิ ชูจุดขายขายวิวทะเลสาบ 100 ไร่

เพอร์เฟค จับมือ ฮ่องกงแลนด์ เปิดโปรเจ็กต์ “เลค เลเจนด์” แห่งที่ 2 มูลค่า 6,300 ล้านบาทโซนบางนา-สุวรรณภูมิ ขายจุดเด่นวิวทะเลสาบ 100 ไร่  กวาดยอดขายแล้ว 1,000 ล้าน   บริษัท ฮ่องกง แลนด์ โฮลดิ้ง จำกัด เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ประเทศอังกฤษ ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2432หรือกว่า 130 ปีมาแล้ว ดำเนินธุรกิจสำคัญ ๆ ด้าน​การลงทุน บริหารจัดการ และพัฒนาอสังหาริมทรัพย์  โดยมีตลาดสำคัญอยู่ทั้งในจีน สิงคโปร์ ฮ่องกง อินโดนีเซีย และหลายประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งรวมถึงไทยด้วย โดยฮ่องกง แลนด์ ได้ขยายการลงทุนเข้ามาในไทย ด้วยการจับมือพันธมิตรทางธุรกิจด้านการพัฒนาอสังหาฯ ทั้งรูปแบบของที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน และพื้นที่เชิงพาณิชย์ ซึ่งหนึ่งในพันธมิตรสำคัญนั้น คือ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) ที่ได้ร่วมทุนกันจัดตั้งบริษัท เอชเคแอล เพอร์เฟค จำกัด ในสัดส่วนพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ถือหุ้น 51% และอีก 49% ถือหุ้นโดย ฮ่องกง แลนด์ เพื่อพัฒนา​โครงการอสังหาฯ เพื่อที่อยู่อาศัย ซึ่ง​มีโครงการใหญ่ด้านที่อยู่อาศัยแห่งแรก คือ โครงการเลค เลเจนด์ แจ้งวัฒนะ มูลค่าโครงการกว่า 6,000 ล้านบาท ขายบ้านริมทะเลสาบระดับราคาตั้งแต่ 25-120 ล้านบาท   ล่าสุด ทั้ง 2 บริษัทได้ร่วมกันพัฒนาโครงการต่อเนื่อง ภายใต้แบรนด์ “เลค เลเจนด์” ซึ่งครั้งนี้ได้ขยายโซนมายังบางนา-สุวรรณภูมิ บนเนื้อที่รวม 183 ไร่ มูลค่ากว่า 6,300 ล้านบาท โดยยังคงมีจุดขายสำคัญคือ บ้านติดทะเลสาบขนาดใหญ่ 100 ไร่ ราคาบ้านเริ่มต้น 99 ล้านบาท และสูงสุด 120 ล้านบาท จำนวน 127 ยูนิต ซึ่งบ้านส่วนใหญ่ถึง 80% จะติดทะเลสาบ ส่วนที่เหลือจะเป็นวิวสวน   เลค เลเจนด์ บางนา-สุวรรณภูมิ จึงมีแบบบ้านให้เลือก 2 แบบ คือ 1.แบบเลคไซด์วิลล่า เป็นบ้าน​ 3 ชั้นเล่นระดับริมทะเลสาบ พื้นที่ใช้สอย 563-656 ตร.ม. ราคาเริ่ม 99 ล้านบาท ขนาดสูงสุด 5 ห้องนอน ที่จอดรถ 8  คัน  พร้อม Lake Terrace ที่เชื่อมต่อสระว่ายน้ำและสระสปาส่วนตัวริมทะเลสาบ 2.แบบการ์เด้นวิลล่า เป็นบ้าน 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 391-489. ตร.ม. ราคาเริ่ม 42 ล้านบาท ขนาด 4 ห้องนอน ที่จอดรถ 4 คัน จุดเด่นอยู่ที่ดีไซน์ในแบบ L-Shape   โดยบ้านทั้งสองแบบ มีการออกแบบให้มีฟังก์ชั่นที่ครอบคลุมทุกความต้องการของสมาชิกในครอบครัว ไม่ว่าจะเป็น ห้องนอนชั้นล่างและ Entrance Ramp สำหรับผู้สูงอายุ ห้องพักผ่อนส่วนตัวของครอบครัว ห้องเอนกประสงค์ รวมถึงเทคโนโลยีเพื่ออำนวยความสะดวก ทั้งระบบ Smart Home Automation ติดตั้ง EV Charger รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยจาก SECOM   นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  ปัจจุบันโครงการเลค เลเจนด์ แจ้งวัฒนะ  โครงการแรกบนทำเลแจ้งวัฒนะ สามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า 1,000 ล้านบาท คาดว่าจะปิดการขายได้ในอีก 4 ปี ส่วนโครงการเลค เลเจนด์ บางนา-สุวรรณภูมิ ปัจจุบันสามารถทำยอดขายได้แล้ว 1,000 ล้านบาท หรือจำนวน 12 ยูนิต โดยกลุ่มลูกค้าที่ซื้อมีทั้งกลุ่มคนไทย และนิติบุคคลสัญชาติไทย ที่มีต่างชาติร่วมถือหุ้นอยู่ด้วย โดยเป็นกลุ่มชาวจีน เนื่องจากชาวจีนมีความต้องการซื้ออสังหาฯ เมืองไทย ซึ่งที่ผ่านมาจะเป็นซื้อคอนโดมิเนียม แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 คนส่วนใหญ่ต้องการมีพื้นที่การอยู่อาศัยที่มากขึ้น จึงเลือกที่จะมาซื้อบ้านแนวราบ แต่ไม่สามารถซื้อได้โดยตรง จะต้องซื้อด้วยนิติบุคคลสัญชาติไทยเท่านั้น บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายปีแรก 1,800 ล้านบาท ปีต่อไปปีละ 1,000 ล้านบาท คาดว่า 4-5 ปีน่าจะปิดโครงการได้ สำหรับยอดขายช่วงพรีเซลดังกล่าว ถือเป็นยอดขายที่รวดเร็วมากสำหรับบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรี่ สะท้อนถึงความสามารถในการเจาะลึกความต้องการของกลุ่มลูกค้าบ้านระดับบน ซึ่งเป็นกลุ่มที่เติบโตขึ้นในช่วง 2-3 ปีผ่านมา และยังคงเติบโตต่อเนื่องในปีนี้   โดยบริษัทได้ตั้งเป้ายอดขายเฉพาะสินค้าในกลุ่มบ้านเดี่ยวระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไปไว้ที่ 5,320 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 11% ของมูลค่าตลาดบ้านเดี่ยวระดับบนทั้งหมด เติบโตจากปีที่ผ่านมา มีส่วนแบ่งตลาด 6% จากมูลค่าตลาด 121,574 ล้านบาท :ซึ่งคาดว่าในปี 2565 ตลาดบ้านระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป จะมีมูลค่ากว่า 47,017 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 37% จากตลาดรวมที่คาดว่าจะมีมูลค่า 127,888 ล้านบาท ด้าน นายวิลเลียม เจมส์ พาร์ค ไบร์ท, Director เอชเคแอล (ไทย ดีเวลลอปเม้นท์) จำกัด กล่าวว่า ฮ่องกงแลนด์ ยังคงทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิดกับ พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ในการพัฒนาโครงการ เลค เลเจนด์ บางนา-สุวรรณภูมิ ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การวางแนวคิดโครงการ การออกแบบ การก่อสร้างและควบคุมคุณภาพ ไปจนถึงวางแผนการตลาด  และยังได้นำประสบการณ์จากการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับหรูในเมืองต่าง ๆ ทั่วเอเชีย มาพัฒนารูปแบบบ้านในโครงการ ให้เป็นคฤหาสน์หรูที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น ในสไตล์ Modern Italian Lakeside Villa
อัปเดต ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนมิถุนายน 2565

อัปเดต ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนมิถุนายน 2565

ตอนนี้เราเดินทางสู่ช่วงเดือนมิถุนายน ซึ่งถือเป็นช่วงกลางปี 2565 กันแล้ว สถานการณ์ทุกอย่างเริ่มปรับตัวดีขึ้น รวมถึงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  ที่อัตราการติดต่อไม่น่าเป็นห่วงเหมือนช่วงระยะแรก ๆ แม้ว่าจะยังมีคนได้รับเชื้อไวรัสและป่วยด้วยโรคโควิด-19 แต่อาการก็ไม่รุนแรงมากนัก จึงคาดว่าอีกไม่นาน คงมีการประกาศให้เป็นโรคประจำถิ่น  สำหรับแวดวงธุรกิจ ตอนนี้หลายองค์กรก็เริ่มให้พนักกงาน กลับเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศกันมากขึ้น บรรยากาศร้านค้า ร้านอาหารก็เริ่มคึกคัก มีการอนุญาตให้หลายธุรกิจ กลับมาเปิดให้บริการกันเป็นปกติ แต่ยังอยู่ภายใต้มาตรการด้านสาธารณสุข จึงทำให้มองกันว่าสภาพเศรษฐกิจคงจะเริ่มค่อย ๆ ฟื้นตัว แม้ว่าจะยังมีปัจจัยลบในเรื่องของราคาพลังาน และอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น แต่โดยภาพรวมก็น่าจะดีกว่าช่วงที่เกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่รุนแรง   แม้ว่าตอนนี้ราคาสินค้าจะเริ่มปรับเพิ่มขึ้น เพราะผลกระทบจากราคาพลังงาน และเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น แต่หากมาดูภาพรวมอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโดมิเนียม ของธนาคารต่าง ๆ ที่มีออกมาในเดือนมิถุนายนนี้ ยังถือว่าภาพรวมไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า มีเพียง 2 ธนาคารที่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยที่ชัดเจน คือ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ และธนาคารออมสิน แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยที่ลดลง จึงถึงว่าเป็นโอกาสที่ดี สำหรับคนที่มีความพร้อม และต้องการกู้เงินเพื่อซื้อบ้านและคอนโดในช่วงปีนี้ ส่วนธนาคารไหนให้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโดเท่าไรกันบ้าง มาดูกัน อัปเดต ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป  โดยอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ประจำเดือนมิถุนายน 2565 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา มีการคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.2% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65%   อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป   วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.45%  (MRR-0.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.9%   อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.7%(MRR-1.25%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075%(MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58%   -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก MRR-1.20% หลังจากนั้น​คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า ​500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า ​คิดอัตราดอกเบี้ย​ MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย ​MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา   หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่  10 พ.ค. - 30 มิ.ย. 65 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ​และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา ​ -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ​ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ​ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 7 ธ.ค. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข 2.ธนาคารกรุงไทย อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด สำหรับธนาคารกรุงไทย ในเดือนนี้มีสินเชื่อในโอกาสครบรอบ 56 ปีธนาคารกรุงไทย ​ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  ไม่เปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ​​ดังนี้ แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.56% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 4.22% (MRR-2.0%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.0% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.27% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ยเฉลี่ย 0.81% (เดือนที่ 1-9 คิด 0.56% เดือนที่ 10-12 คิดดอกเบี้ย 1.56%) ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.0% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 4.30% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.24%   หมายเหตุ : 1.การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ *ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลากู้ -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี (การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ เป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการอนุมัติสินเชื่อ) 2.อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR)**คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,600 บาท/เดือน MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.สามารถขอสินเชื่อ Home For Cash แบบมีกำหนดระยะเวลา (Term Loan) เพิ่มเติม สำหรับวัตถุประสงค์ : เพื่ออุปโภคบริโภค / ปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย /ชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย MRR ต่อปี ตลอดอายุสัญญา 4.เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 เมษายน 2565 และทำนิติกรรมจำนองภายใน 30 วัน 5.การผ่อนชำระ : สามารถเลือกผ่อนชำระในอัตราล้านละ 3,000 บาท ต่อเดือน ในช่วงปีที่ 1 ได้ ทั้งนี้ ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขรายการส่งเสริมการขาย โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมินอัตราดอกเบี้ยยังคงเท่าเดิมจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.9% ( MRR-3.15%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.00%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.39% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.50% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย MRR-1.60% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.55%  (MRR-3.50%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.3%  (MRR-2.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.02% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.25% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.1% (MRR-1.95%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.3% (MRR-1.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.7%  (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.23%   หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ​ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พ.ค. 63 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 30 เม.ย. 65 โดยจดจำนองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 31 พ.ค. 65 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป โดยพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ ซึ่งเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 7.72% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 7.72% สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 8.22% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 8.22% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% (ประกาศ ณ วันที่ 22 พ.ค. 2563) ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ย MRR ให้อ้างอิงอัตราดอกเบี้ยตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ลูกค้ายื่นใบสมัครสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม – 31 มีนาคม 2565 โดยสามารถยื่นกู้ได้สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภท ยกเว้นการกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม 0.25% ในปีแรก หากทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อบ้านตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -กรณียื่นกู้บ้านในโครงการจัดสรรที่ธนาคารสนับสนุน ธนาคารฯมีอัตราดอกเบี้ยพิเศษ สอบถามรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ K-Contact Center 02-8888888 ต่อ 887 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (KKP Home Loan เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย) กรณี บ้านใหม่ : ซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราเดิมเท่ากับเดือนที่ผ่านมา โดยธนาคารเกียรตินาคินมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  2.45%-2.75% ปีต่อไป ดอกเบี้ย  4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.65%-2.95% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%)   ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.60%-2.99% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.80%-3.19% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%)   หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ​เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่​ 18 สิงหาคม 2563 เท่กับ​ 6.525% ต่อปี 3.เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา​​​​​​ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า​ Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.​กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง ​​หากลูกค้า Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท  ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคี ​เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด ​โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ ​ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน​ 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด ​30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก 4.05% ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เท่ากับเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารซีไอเอ็มบี มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.1%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-2.8%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.15% หมายเหตุ -สำหรับซื้อบ้านและคอนโดจากโครงการทั่วไป -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2564) -ธนาคารยังมีอัตราดอกเบี้ยสำหรับพนักงานประจำรายได้ 30,000-50,000 หรือเจ้าของกิจการรายได้ 50,000 บาทขึ้นไปไว้พิจารณาด้วย รวมถึงสินเชื่อสำหรับโครงการที่ธนาคารเป็นผู้สนับสนุน 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป ภายใต้แคมเปญดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้นเฉลี่ย 3 ปีแรก 4.05% ต่อปี จะได้รับฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าจดทะเบียนจำนอง และค่าประเมินหลักทรัพย์ ซึ่งอัพเดทอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ของเดือนมีนาคม ยังคงใช้ในอัตราเท่ากับเดือนที่ผ่านมา  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.23%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.4% (MRR-1.88%) หลังจากนั้น 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.4% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือก 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา ดอกเบี้ย 4.65% รายละเอียดเงื่อนไข สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส ​ 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท​ -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 3 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของธนาคาร -ธนาคารขอสงวนสิทธิเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แจ้งไว้ในเอกสารฉบับนี้ โดยไม่ ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ในกรณีที่ธนาคารเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนจำนองหลักประกันแทนผู้กู้หากผู้กู้มีความประสงค์จะไถ่ถอนหลักประกันและชำระหนี้คืนทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันเบิกใช้เงินกู้ ครั้งแรก ผู้กู้ตกลงคืนเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองหลักประกันตามจำนวนเงินที่ธนาคารได้ช าระไปให้แก่ธนาคาร ในวันที่ผู้กู้ได้ชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้น (ค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท) -กค้าต้องสำรอง จ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ลูกค้าใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 30 วันทำการนับจากวันที่ลูกค้าจดจำนอง -MRR = 6.28% ตามประกาศธนาคาร https://www.ttbbank.com/th/rates/loan-interest-rates -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึง 30 มิถุนายน 2565 และจดจำนอง ภายใน 31 กรกฎาคม 2565 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา  คิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.95% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยะเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด   9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2565 ​มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากแคมเปญสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2565  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.15% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.9% (MRR-2.25%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.4%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญา  5.4% หมายเหตุ -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.-30 ธ.ค.65   (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติมวงเงินของโครงการแล้ว) -อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินกู้และทุกบัญชีเงินกู้ภายใต้หลักประกันเดียวกัน 10.ธนาคารยูโอบี ธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโครงการหมู่บ้านทั่วไป  โดยอัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาเล็กน้อย  ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.8%) ปรับเพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนที่ผ่านมาคิดอัตราดอกเบี้ย 3.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% ปรับเพิ่มขึ้น 0.08% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย  4.79% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.75% เพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.55% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย  3.75% เพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.95% เพิ่มขึ้น 0.08% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.87% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.0% เพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย  2.8% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  4.95% เพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด เบี้ย 4.75% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.65% เพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.45% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.88% เพิ่มขึ้น 0.08% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.8% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.2% เพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% เพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.95% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.85% เพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.96% หมายเหตุ -ขอสินเชื่อตั้งแต่ 1 เม.ย.- 30 มิ.ย. 65 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายใน 27 ก.ค.​ 65 -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาคารยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.35% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ​(Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น)​ -การอนุมัติสินเชื่อ​เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ  7.35% ต่อปี ​(ตามประกาศธนาคารณ วันที่  9 ก.ค. 64) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย​ MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้​ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ​เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร​ -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย ​(ใบอนุญาตประกันชีวิต​เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศภัย​ เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ​จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย คือ โฮมโลน โดนใจ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 1.9% หรือผ่อนล้านละ 3,500 บาท โดยเดือนนี้ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีการคิดอัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนที่ผ่านมา ดังนี้​ แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย  1.9% ลดลง 0.1% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 2.00% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.85% เพิ่มขึ้น 0.05% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 3.80% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  2.55% ลดลง 0.05% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.54% ลดลง 0.03% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.57% แบบที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.0% ลดลง 0.1% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย  2.10%  (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 2 ปีแรก) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% เพิ่มขึ้น 0.05% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย  4.20% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% ลดลง 0.05% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.65% ลดลง 0.04% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย  3.69% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.50% ลดลง 0.05% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย  2.55% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.50% ลดลง 0.05% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% ลดลง 0.08% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย 3.63% แบบที่ 4 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.70% ลดลง 0.05% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 2.75% (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 3 ปีแรก) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.7% ลดลง 0.05% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย  2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% ลดลง 0.07% จากเดือนก่อนหน้าที่คอกเบี้ย  3.76% เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ล้านละ 3,500 บาท  กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่** -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 4.60% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.10% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.35% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่าง ๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่วันนี้- 31 เม.ย. 65 -สำหรับอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.9% สำหรับผู้กู้ที่มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป ผ่อนต่ำเดือนละ 3,500 บาท ฟรีค่าจดจำนองสินเชื่อเมื่อซื้อประกันผ่านธนาคาร ฟรีค่าประเมินหลักประกัน 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีสินเชื่อเคหะ สำหรับให้บริการผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไปซื้อบ้านหรือคอนโด  โดยฟรีค่าบริการสินเชื่อ ค่านิติกรรมสัญญา สำหรับยื่นกู้ภายในวันที่ 31 สิงหาคม อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาภายใน 30 กันยายน 2565 โดยมีรายละเอียด ​ดังนี้​ กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.95% ลดลง 0.05% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 2.0% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.875% ลดลง 0.025% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.9% ​ ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.5% ลดลง 0.1% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.6% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.085% ลดลง 0.041% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.126% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.20% ลดลง 0.05% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.25% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.625% เพิ่มขึ้น 0.1% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.525% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.15% ลดลง 1.845% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.327% เพิ่มขึ้น 0.017% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.31%   เงื่อนไขการผ่อนชำระ -ปีที่ 1 ผ่อนชำระ 2,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 2 ผ่อนชำระ 4,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 3 ผ่อนชำระ 5,500 บาทต่อเดือน หมายเหตุ -การทำประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ เป็นการทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ โดยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด -เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อตามโปรโมชั่น สมัครบริการ MyMo และผลิตภัณฑ์/บริการอื่น อย่างน้อย 2 ประเภท ได้แก่ บัตรอิเล็กทรอนิกส์/ บัตรเครดิตหรือสินเชื่อบัตรเงินสด/ ชำระสินเชื่อหักผ่านบัญชี/ หน่วยงานหักเงินนำส่งชำระหนี้ / จ่ายตรงเงินเดือน / ประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ ทั้งนี้ หากลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นตามที่กำหนดอยู่แล้ว สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้ และกรณีไม่มี Smartphone ให้สมัครผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นของธนาคารตามที่กำหนดทดแทนได้ -*กรณี ฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง ให้ตามที่จ่ายจริง (รวมทุกสัญญาที่กู้ในคราวเดียวกัน) โดยลูกค้าต้องสำรองจ่ายค่าธรรมเนียมจดจำนองแก่กรมที่ดิน ไปก่อน ทั้งนี้ กรณีจำนวนเงินที่จ่ายตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป ต้องเสียภาษี ณ ที่จ่าย ร้อยละ 1.00 ของเงินค่าจดจำนอง โดยธนาคารจะโอนเงินหลังหักภาษี ณ ที่จ่าย คืนเข้าบัญชีเงินฝากเผื่อเรียกของลูกค้าภายใน 30 วันทำการ นับจากวันที่จดจำนองแล้วเสร็จ -กรณีผู้กู้ชำระคืนเงินกู้ก่อนกำหนด เฉพาะกรณีไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด (Prepayment) เพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามที่ธนาคารกำหนด (ปัจจุบันร้อยละ 3.00 ของยอดเงินต้นคงเหลือ) ทั้งนี้ กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง หากผู้กู้ชำระหนี้ปิดบัญชีในทุกกรณี ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้จะต้องชำระค่าธรรมเนียมจดจำนองคืนแก่ธนาคารเต็มจำนวน -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่นๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไข โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า   หมายเหตุ Reviewyourliving รวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ธนาคาร ณ​ วันที่ 6 มิถุนายน​ 2565   อ่านบทความที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม -อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนพฤษภาคม 2565อกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน -อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เมษายน 65 -อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนเมษายน 2565    
MQDC เผยความสำเร็จ “ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์” บ้านอัลตร้าลักชัวรี่ ทำยอดขายแล้ว 4,700 ล้าน

MQDC เผยความสำเร็จ “ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์” บ้านอัลตร้าลักชัวรี่ ทำยอดขายแล้ว 4,700 ล้าน

MQDC เผยความสำเร็จ “ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์” บ้านอัลตร้าลักชัวรี่ ทำยอดขายแล้ว 4,700 ล้าน MQDC เผยสูตรความสำเร็จ “ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์” โครงการแบรนด์ระดับโลก ที่โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ สามารถทำยอดขายได้แล้ว 4,700 ล้าน คิดเป็นสัดส่วน 78% เหตุปั้นโปรเจ็กต์คุณภาพ ผนึกแบรนด์ระดับโลก ด้วยสุดยอดคอนเซ็ปต์โครงการที่ให้ความสำคัญการอยู่อาศัยใกล้ชิดธรรมชาติ ตอบโจทย์ลูกค้าต้องการบ้านระดับอัลตร้าลักชัวรี่   นายกิตติพันธุ์ อุยยามะพันธุ์ ผู้อำนวยการโครงการ เดอะ ฟอเรสเทียส์  บริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ​ MQDC เปิดเผยว่า “ซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์” โครงการที่อยู่อาศัยแบรนด์ซิกส์เซนส์ โครงการแรกในประเทศไทย ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์  ถนนบางนา-ตราด กิโลเมตรที่ 7 สามารถทำยอดขายบ้าน ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2565 ได้แล้วจำนวน 21 หลัง คิดเป็นมูลค่า 4,700 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนการขาย​ 78% จากทั้งหมด 27 หลัง โดยคาดว่าบ้านหลังแรกๆ จะเริ่มโอนได้ในไตรมาส 2 ปี 2567     “การที่ผู้ซื้อตัดสินใจซื้อบ้านอย่างรวดเร็ว แสดงให้เห็นว่าตลาดยังมีความต้องการอยู่ในระดับที่สูงมาก สำหรับบ้านในระดับอัลตร้าลักชัวรี่ในกรุงเทพฯ ที่ให้ความสำคัญกับการอยู่อาศัยใกล้ชิดธรรมชาติ รวมทั้งมีแนวทางการออกแบบและก่อสร้างที่เป็นคุณภาพระดับสูงสุด โดยในช่วง 30 วันแรกของการเปิดขาย สามารถขายบ้านได้ถึง 16 หลัง และจนถึงวันนี้ขายเพิ่มได้อีก 5 หลัง”   โดยปัจจัยความสำเร็จของยอดขายบ้านซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์ เดอะ ฟอเรสเทียส์ นายกิตติพันธุ์ กล่าวว่า เกิดจากการผสมผสานสิ่งต่าง ๆ ทั้งหมดที่มากับแบรนด์ระดับโลก อย่างเดอะ ซิกส์เซนส์ เข้ากับคอนเซ็ปต์โครงการ ที่ให้ความสำคัญกับการอยู่อาศัยใกล้ชิดกับธรรมชาติ รวมทั้งมีการออกแบบและก่อสร้างคุณภาพระดับสูงสุด และการมีทำเลที่ตั้งอยู่ในเดอะ ฟอเรสเทียส์ ทำให้​ตลาดมีความต้องการสูงมาก สำหรับบ้านระดับอัลตร้าลักชัวรี่ดังกล่าว​   สำหรับบ้านในโครงการซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์ เดอะ ฟอเรสเทียส์ เป็นบ้านเดี่ยว จำนวน 27 หลัง ที่มาพร้อมพื้นที่สวนของตัวเอง และมีทะเลสาบล้อมรอบ โดยตัวบ้านมีให้เลือก 3 ขนาด ตั้งแต่ 3-5 ห้องนอน พื้นที่ตั้งแต่ประมาณ 790 ตารางเมตร ไปจนถึงเกือบ 1,500 ตารางเมตร และมีราคาตั้งแต่ประมาณ 180 ล้านบาท ไปถึงมากกว่า 360 ล้านบาท     นายกิตติพันธุ์  กล่าวอีกว่า  บ้านในโครงการซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์ เดอะ ฟอเรสเทียส์ ทั้งหมด ทุกหลังรับประกันคุณภาพ 30 ปีโดย MQDC  มีการคัดเลือกวัสดุที่ดีที่สุด มีสเปกที่ดี ถือเป็นหนึ่งในที่อยู่อาศัยที่เรียกได้ว่าดีที่สุด  ซึ่งทุกหลังมาพร้อมกับบริการและสิทธิพิเศษตามแบบฉบับของบ้านแบรนด์ซิกส์เซนส์ รวมถึงบริการอำนวยความสะดวกที่ใส่ใจผู้อยู่อาศัย  ภายในโครงการยังมีคลับเฮ้าส์ และการบริหารจัดการดูแลในระดับพิเศษ เพื่อรักษาและคงความเป็นสังคมที่มุ่งเน้นในเรื่องคุณภาพของการใช้ชีวิต และความยั่งยืน   โดยบริษัท Foster + Partners และ DT designs รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาทางด้านสถาปัตยกรรมการออกแบบ  และ Six Senses Hotels Resorts Spas เป็นที่ปรึกษาด้านงานตกแต่งภายใน และภาพรวมโครงการ ซึ่งออกแบบให้บ้านทุกหลังในโครงการ ตั้งอยู่ท่ามกลางความธรรมชาติที่ร่มรื่นเขียวขจี มีบ่อออนเซนและสระว่ายน้ำ พร้อมวิวทะเลสาบ ช่วยทำให้การ​​ใช้ชีวิตทั้งภายในและภายนอกตัวบ้านได้อย่างกลมกลืน​   ภายในโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ยังเป็นที่ตั้งของโรงแรมแห่งใหม่ในเครือซิกส์เซนส์ที่มีห้องพักประมาณ 85 ห้อง ซึ่งมีกำหนดจะเปิดให้บริการในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 โดย​​เจ้าของบ้านโครงการซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์ จะได้รับสิทธิพิเศษในการเข้าใช้สถานที่ต่าง ๆ ของโรงแรมแห่งใหม่ในเครือซิกส์เซนส์ที่มีห้องพักประมาณ 85 ห้อง มีกำหนดเปิดให้บริการในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2567 อาทิ ห้องพัก อาหารและเครื่องดื่ม รวมทั้ง สปา รวมไปถึงบริการที่หลากหลาย ตั้งแต่การดูแลบ้าน บริการ baby-sitting ไปจนถึงบริการบัตเลอร์     นอกจากบ้านซิกส์เซนส์ เรสซิเดนซ์  ในโครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ แล้ว ยังมีที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี่อื่น ๆ อยู่ภายในโครงการที่ขายดีด้วย ​ อาทิ บ้านแบรนด์ มัลเบอร์รี โกรฟ​ ที่สามารถทำยอดขายได้แล้ว 3,720 ล้านบาท ณ เดือนพฤษภาคม 2565 ซึ่งบ้านแบรนด์มัลเบอร์รี่ โกรฟ เป็น​บ้านสไตล์คลัสเตอร์โฮม “มัลเบอร์รี โกรฟ วิลล่า” ที่มุ่งตอบโจทย์ครอบครัวใหญ่ การอยู่ด้วยกันหลายเจนเนเรชั่น ในบ้านเดี่ยวหลาย ๆ หลัง บนพื้นที่บริเวณเดียวกัน  ซึ่งโครงการ มัลเบอร์รี โกรฟ วิลล่า มีบ้านทั้งหมด 37 หลัง มีให้เลือก 3 ขนาด ตั้งแต่ 4-6 ห้องนอน พื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ประมาณ 1,000-1,700 ตารางเมตร   โครงการเดอะ ฟอเรสเทียส์ ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 398 ไร่ บนถนนบางนา-ตราด เส้นทางสู่พื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่กำลังเติบโตและพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยพื้นที่ของโครงการ ประกอบไปด้วยพื้นที่สวนสาธารณะ ธรรมชาติ โครงการที่พักอาศัยหลากหลายแบรนด์ที่ตอบโจทย์หลากหลายไลฟ์สไตล์และช่วงวัย รวมไปถึงพื้นที่เพื่อกิจกรรมชุมชนต่างๆ และพื้นที่เชิงธุรกิจที่มุ่งเน้นส่งเสริมการใช้ชีวิตอย่างมีสุขภาพดี ท่ามกลางธรรมชาติและสภาพแวดล้อมที่มีคุณภาพ   บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ The Forestias – เมืองต้นแบบกลางป่าใหญ่ในกรุงเทพฯ THE FORESTIAS by MQDC ชูจุดเด่น ‘Imagine Happiness’ เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาทใน 5 ปี  
ไนท์แฟรงค์  หวังเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยว-จีนเปิดประเทศ  กระตุ้นตลาดคอนโดภูเก็ตฟื้นตัว

ไนท์แฟรงค์ หวังเศรษฐกิจ-ท่องเที่ยว-จีนเปิดประเทศ กระตุ้นตลาดคอนโดภูเก็ตฟื้นตัว

คอนโดภูเก็ต ไนท์แฟรงค์  ประเมินสถานการณ์ตลาดคอนโดภูเก็ตปี 65 ยังรอจีนเปิดประเทศ ให้เดินทางเข้ามาซื้อคอนโด กระตุ้นตลาดในภูเก็ตให้ฟื้นตัว หลังปี 64 ผู้ประกอบการไม่เปิดโปรเจ็กต์ใหม่ เร่งระบายสต็อกเก่า แต่ยอดขายยังแผ่วได้แค่ 615 ยูนิตเท่านั้น   นับตั้งแต่เกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตลาดคอนโดมิเนียมเมืองไทย ก็ได้รับผลกระทบพอสมควร ไม่ใช่แค่เรื่องพฤติกรรมการอยู่อาศัยที่ต้องการใช้พื้นที่มากขึ้นนั้นเท่านั้น แต่ฐานลูกค้าสำคัญกลุ่มใหญ่อย่างชาวต่างชาติ ก็หายออกไปจากตลาดด้วย เพราะไม่สามารถเดินทางเข้ามาในประเทศได้   ตลาดคอนโดที่ได้รับผลกระทบหนักสุด ก็คงเป็นตลาดคอนโดในเมืองท่องเที่ยว เพราะเป็นตลาดที่พึ่งพิงชาวต่างชาติเป็นหลัก อย่างตลาดคอนโดในจังหวัดภูเก็ต ที่ได้รับผลกระทบจากชาวต่างชาติไม่สามารถเดินทางเข้ามาเลือกซื้อคอนโดได้ ทำให้การเปิดตัวใหม่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาลดลงอย่างเห็นได้ชัดเจน   นายณัฎฐา คหาปนะ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า การมาของโรคระบาดโควิด-19 ตั้งแต่ปลายปี 2562 เป็นผลทำให้ภูเก็ตไร้แสงสีจากการขาดนักท่องเที่ยวเป็นระยะเวลามากว่าเกือบ 2 ปี ส่งผลต่อการขับเคลื่อนของภาคอสังหาริมทรัพย์  โดยเฉพาะตลาดคอนโดที่ซบเซาอย่างมาก เพราะเศรษฐกิจของภูเก็ตยังคงต้องพึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลัก จึงส่งผลให้ธุรกิจอสังหาฯ ในภูเก็ตได้รับผลกระทบโดยตรง ต่างชาตินิยมเข้ามาลงทุนอสังหาฯ ประเภทคอนโดในภูเก็ตอย่างมาก ​เพราะสามารถซื้อเก็บไว้เพื่อพักผ่อนในช่วงที่มาท่องเที่ยว และปล่อยเช่าในช่วงที่ไม่ได้เข้าพักในระหว่างที่กลับไปประเทศตนเอง ​ ในขณะที่แผนการเปิดประเทศในรูปแบบ Phuket Sandbox ที่เริ่มต้นขึ้นในเดือนกรกฎาคม 2564 เพื่อกระตุ้นให้นักท่องเที่ยวกลับมาโดยเฉพาะชาวต่างชาติ ซึ่งกลุ่มนักท่องเที่ยวก็ให้ความสนใจและตั้งความหวังที่จะมาเที่ยวในภูเก็ต แต่ดูเหมือนว่าโครงการดังกล่าว ยังคงมีข้อจำกัดในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ทำให้เศรษฐกิจของภูเก็ตยังไม่กลับมาได้ดีเท่าที่ควร และภาพรวมของตลาดคอนโด  ยังคงอยู่ในภาวะที่รอการฟื้นตัว​ ส่งผลให้ผู้ประกอบการเลือกที่ไม่จะเปิดขายโครงการใหม่ในปีนี้ เพื่อระบายยูนิตที่เหลือขาย และรอประเมินสถานการณ์ต่อไปด้วย ปี 64 คอนโดภูเก็ต ไม่มีโปรเจ็กต์เปิดใหม่ คอนโดภูเก็ต ณ สิ้นปี 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น 26,068 ยูนิต โดยตลอดทั้งปี 2564 ที่ผ่านมา ไม่มีคอนโดเปิดขายใหม่ เนื่องจากผู้ประกอบการยังรอดูสถานการณ์การท่องเที่ยวของชาวต่างชาติ และปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นระหว่างประเทศจึงส่งผลให้ต้องชะลอการแผนการเปิดขายโครงการใหม่ออกไปก่อน   จากการเก็บข้อมูลขอวฝ่ายวิจัยไนท์แฟรงค์ประเทศไทย พบ​คอนโดที่เปิดขายตั้งแต่ปี 2555-2564 อยู่พื้นที่ตามหาดต่าง ๆ ดังนี้ 1.หาดป่าตอง มีสัดส่วนเปิดขาย 15% 2.หาดบางเทา มีสัดส่วนเปิดขาย 13% 3.หาดกมลา มีสัดส่วนเปิดขาย 12% 4.หาดราไวย์ มีสัดส่วนเปิดขาย 12% 5.หาดสุรินทร์ มีสัดส่วนเปิดขาย 10% 6.หาดลายัน มีสัดส่วนเปิดขาย 8% 7.หาดกะรน มีสัดส่วนเปิดขาย 7% 8.หาดกะตะ มีสัดส่วนเปิดขาย 6% 9.หาดในยาง มีสัดส่วนเปิดขาย 6% 10.หาดไม้ขาว มีสัดส่วนเปิดขาย 5% 11.หาดในหาน มีสัดส่วนเปิดขาย 4% 12.หาดในทอน มีสัดส่วนเปิดขาย 2% คอนโดภูเก็ตขายได้ใหม่ 615 ยูนิต จำนวนคอนโดภูเก็ต ณ สิ้นปี 2564 ที่ขายได้แล้ว มีทั้งสิ้น 20,376 ยูนิต จากจำนวนทั้งหมด 26,068 ยูนิต คิดเป็นอัตราการขาย 78.1% อัตราการขายปรับตัวเพิ่มขึ้น 2.4% จากปี 2563 ที่มีอัตราการขาย​ 75.7% ปัจจุบันมียูนิตเหลือขายประมาณ 5,720 ยูนิต   ในปี 2564 มีจำนวนยูนิตขายได้ใหม่​ 615 ยูนิต  ซึ่งจำนวนยูนิตขายได้ใหม่ลดลงจากปี 2563 ที่มีจำนวนยูนิตขายได้อยู่ที่ 1,956 ยูนิต จำนวนยูนิตขายได้ใหม่มีจำนวนลดลงอย่างต่อ เพราะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยาวต่อเนื่องมาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามายังภูเก็ตเพิ่มขึ้น แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในจำนวนที่ต่ำเมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในปี 2563   ขณะที่โครงการ Phuket Sandbox ของทางภาครัฐที่มีเข้ามาส่งเสริม เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะสามารถดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาซื้อคอนโดที่เหลืออยู่ได้มากนัก   จำนวนยูนิตขายได้ใหม่เป็นกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ซึ่งเป็นผู้ซื้อชาวรัสเซียเกือบ​ 90% ชาวยุโรปและชาวจีน มีสัดส่วนเล็กน้อย ซึ่งกลุ่มดังกล่าวจะเป็นกลุ่มที่เข้ามาท่องเที่ยวในภูเก็ตเป็นประจำทุกปี โดยจะซื้อผ่านเอเย่นต์ในภูเก็ตที่จะคอยแนะนำโครงการที่น่าสนใจและเชื่อถือได้ เนื่องจากชาวต่างชาติจะเลือกซื้อโครงการที่สามารถบริหารเป็นโรงแรมและให้ผลตอบแทนค่าเช่าในแต่ละปี โดยเจ้าของห้องเองก็สามารถเข้าพักได้ในช่วงเวลาที่มาพักผ่อน  ส่วนที่เหลืออีก10% จะเป็นกลุ่มชาวไทยซึ่งจะซื้อคอนโดในลักษณะอยู่อาศัยเองเป็นบ้านพักหลังที่สองในช่วงเวลาที่มาพักผ่อน ราคาขายคอนโดภูเก็ตปรับขึ้น 1.6% ช่วงปลายปี 2564 คอนโดในจังหวัดภูเก็ต ที่เห็นวิวทะเลมีระดับราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 196,015 บาทต่อตารางเมตร ราคาขายปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.6% จากปี 2563  ที่มีราคาเสนอขายเฉลี่ยอยู่ที่ 192,758 บาทต่อตารางเมตร ส่วนราคาเสนอขายคอนโดมิที่เห็นวิวทะเลบางส่วน​มีระดับราคาขายเฉลี่ยอยู่ที่ 97,541 บาทต่อตารางเมตร ปรับตัวลดลง 2.2% จากปี 2563 ซึ่งมีราคาเสนอขายเฉลี่ยอยู่ที่ 99,745 บาทต่อตารางเมตร และคอนโดที่ไม่เห็นวิวทะเลมีระดับราคาเสนอขายเฉลี่ยอยู่ที่ 76,526 บาทต่อตารางเมตร ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.45% จากปี 2564  ราคาเสนอขายคอนโดที่ไม่เห็นวิวทะเล มีราคาเสนอขายเฉลี่ยอยู่ที่ 76,184 บาทต่อตารางเมตร   ราคาขายคอนโด ที่เห็นวิวทะเลและไม่เห็นวิวทะเล มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย  เนื่องมาจากผู้ประกอบการมองว่าสถานการณ์กำลังจะเริ่มกลับมาดีขึ้น แม้อาจจะต้องใช้เวลา อีกทั้งหลายโครงการก็กำลังจะก่อสร้างแล้วเสร็จ ส่งผลให้ราคามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และคาดว่าหากสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ ราคาขายเฉลี่ยจะปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอีกประมาณ 10-15% โดยเฉพาะบริเวณที่เห็นวิวทะเล ซึ่งสะท้อนได้จากยูนิตขายได้ในปีนี้  มีจำนวนมากกว่าบริเวณอื่น   ในขณะที่คอนโดบริเวณเห็นวิวทะเลบางส่วน กลับมีราคาเฉลี่ยติดลบ แม้บางโครงการใหม่ที่เกิดขึ้นในพื้นที่นี้ ที่มีทิศทางในแง่บวกจะมีการปรับราคาขึ้นบ้างแล้วก็ตาม แต่โครงการคอนโดในบริเวณนี้ บางส่วนที่มีการเปิดขายมานาน และยังไม่สามารถระบายยูนิตขายออกได้ จึงจำเป็นต้องให้ส่วนลดโครงการสูงถึง 40% จึงเป็นผลที่ทำให้ภาพรวมราคาเฉลี่ยบริเวณนี้ค่อนข้างติดลบ ลุ้นเศรษฐกิจฟื้นกระตุ้นตลาดคอนโดภูเก็ต การกลับมาฟื้นตัวของตลาดคอนโด ยังคงเผชิญกับความท้าทาย จากปัจจัยด้านเศรษฐกิจของภูเก็ต ที่ขึ้นอยู่กับการท่องเที่ยว  อย่างไรก็ตาม  สถานการณ์การท่องเที่ยวเริ่มกลับมาอีกครั้ง จากนโยบายของรัฐบาลที่เปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยว ด้วยระบบ Test & Go ที่ส่งผลให้นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเลือกที่จะเข้ามายังประเทศได้ง่ายขึ้น และกระตุ้นเศรษฐกิจของภูเก็ตให้ก้าวต่ออีกครั้ง ซึ่งส่งผลแง่บวกของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ต   โดยคาดว่าในช่วงครึ่งปีแรก 2565 ตลาดคอนโดจะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น จากกำลังซื้อของต่างชาติโดยเฉพาะนักลงทุนชาวรัสเซีย ที่เริ่มกลับมาซื้อตั้งแต่ในช่วงปลายปี 2564 ที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มชาวรัสเซียนั้น จะเป็นกำลังซื้อหลักในช่วงเวลานี้   อย่างไรก็ดี ตลาดคอนโดภูเก็ตอาจจะต้องรอระยะเวลาการฟื้นตัวสักพัก โดยที่ผ่านมาจะเห็นว่ากำลังซื้อหลักจะเป็นนักลงทุนชาวจีน แต่เนื่องจากการจำกัดการเดินทาง และตลาดรัสเซียที่หดหายไปในช่วงสภาวะสงครามที่ลากยาวขึ้น รวมถึงข้อจำกัดในการโอนเงินระหว่างประเทศ ส่งผลให้นักท่องท่องเที่ยวและนักลงทุนกลุ่มนี้หายไปเกือบหมด   แต่หากกลุ่มผู้ซื้อเหล่านี้กลับม าก็จะดึงความเชื่อมันในการซื้อที่อยู่อาศัยกลับมา ให้กับผู้ประกอบการได้อีกครั้ง เนื่องจากเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพที่จะทำให้ตลาดคอนโดกลับมาฟื้นตัวได้เร็วขึ้น แต่ในอนาคตหากมีสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศเกิดขึ้นอาจต้องรอประเมินสถานการณ์กันเป็นช่วง ๆ ต่อไป   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ไนท์แฟรงค์ มองตลาดอสังหาฯ 65 บ้าน 10 ล้านมาแรง ​คอนโด จ่อเปิดตัวใหม่ 10,000 ยูนิต
ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ แนะตลาดบ้าน-คอนโด ต้องต้องเฝ้าระวัง  5 เรื่องนี้

ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ แนะตลาดบ้าน-คอนโด ต้องต้องเฝ้าระวัง  5 เรื่องนี้

ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ วิเคราะห์ตลาด 65 มีทั้งปัจจัยบวก-ปัจจัยลบ แนะ 5 เรื่องที่ต้องเฝ้าระวัง เหตุธุรกิจยังต้องเผชิญผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลต่อค่าครองชีพ  เงินเฟ้อพุ่ง ส่งผลความสามารถในการซื้อ การลงทุนในอสังหาฯ ​   แม้ว่าตอนนี้ สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะมีทิศทางที่ดีขึ้น จนจะมีการนำร่องให้ประชาชนใน 31 จังหวัด ไม่ต้องสวมหน้ากากอนามัย เมื่ออยู่ในสถานที่โล่งแจ้ง ยกเว้นบุคคลใน 3 กลุ่มที่จะยังต้องสวมหน้ากากอนามัย คือ กลุ่มผู้ป่วยหรือกลุ่มเสี่ยง ผู้ที่อยู่ในสถานที่ปิดอากาศไม่ถ่ายเท และเมื่อเข้าร่วมกิจกรรมคนจำนวนมาก   แต่อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในภาพรวม โดยเฉพาะด้านภาวะเศรษฐกิจ ก็ยังไม่ได้กลับมาฟื้นตัวเป็นปกติ เหมือนก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์แพร่ระบาด ปัจจุบันกำลังซื้อของคนส่วนใหญ่ยังคงชะลอตัว  ทำให้หลายธุรกิจจะต้องทำการตลาด ด้วยแคมเปญการส่งเสริมการขาย และโปรโมชั่น เพื่อกระตุ้นยอดขายให้กลับ​มามากขึ้น   ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์  ก็ไม่ต่างจากหลายธุรกิจที่ได้รับผลกระทบ แต่ปี 2565 นี้มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น เห็นได้จากความมั่นใจของผู้ประกอบการ ที่ประกาศแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง รวมถึงโครงการคอนโดมิเนียม ที่เคยหยุดหรือชะลอแผนการเปิดตัวไว้ ก็กลับมาเปิดตัวกันมากขึ้นกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมา   การเติบโตของธุรกิจอสังหาฯ ในปีนี้ คงมีทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบ ที่เข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญในการสร้างความสำเร็จให้กกับผู้ประกอบการ ​ซึ่งมีอะไรบ้างนั้น ล่าสุด ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) หรือ ​REIC ได้ทำรายงาน  ดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย) ที่ใช้ข้อมูลในด้านอุปสงค์และอุปทานในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล เพื่อประเมินความเสี่ยงทางเศรษฐกิจ พร้อมกับฉายภาพ สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยกรุงเทพฯ​ - ปริมณฑล ในไตรมาส 1/2565 และแนวโน้มของภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในช่วงปี 2565 นี้ ว่าจะเป็นไปในทิศทางใดบ้าง ดร.วัยชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการ ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ​เปิดเผยว่า เมื่อเข้าสู่ไตรมาส 1 ปี 2565 ภาคธุรกิจอสังหาฯ ยังต้องเผชิญกับปัจจัยลบที่เพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งมีผลต่อค่าครองชีพ และเพิ่มอัตราเงินเฟ้อ ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการซื้อหรือลงทุนในอสังหาฯ  ขณะเดียวกัน ยังพบความเคลื่อนไหวของภาวะตลาด ทั้งด้านซัพพลายและดีมานด์ ที่น่าสนใจในหลายประเด็น โดยสรุปได้ดังนี้ สรุปภาพรวมสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย กรุงเทพฯและปริมณฑล ไตรมาส 1 ปี 2565 ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนย่อตัว 27.1% จำนวนยูนิตที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียน ระหว่าง ม.ค. - มี.ค. 2565 แต่ละเดือนยังอยู่ในระดับต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยภาพรวมไตรมาส 1/2565 ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียนมีการย่อตัวลง 27.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยอาคารชุด (คอนโดมิเนียม) มียูนิตสร้างเสร็จจดทะเบียน ลดลง 33.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งอาจจะภาพสะท้อนถึงจำนวนยูนิตที่เปิดใหม่น้อยลงอย่างมากในปีที่ผ่านมา   คาดการณ์ว่า จำนวนยูนิตที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียน จะทยอยเพิ่มขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 2-4 ซึ่งจะมีอัตราการขยายตัวสูงกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และภาพรวมทั้งปี 2565 จำนวนที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียน จะขยายตัวประมาณ 22.1 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า   จากตัวเลขจำนวนยูนิตที่ได้รับใบอนุญาตจัดสรร และที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จจดทะเบียน ที่ลดลงในไตรมาส 1/2565 แต่มีแนวโน้มที่จะขยายตัวในไตรมาส 2- 4 สะท้อนให้เห็นว่า การเกิดขึ้นของซัพพลายใหม่จะเกิดขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวของกำลังซื้อที่จะฟื้นตัวในช่วงครึ่งปีหลัง และรองรับความต้องการโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงปลายปีนี้​ เพื่อได้รับส่วนลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ และค่าจดจำนอง ซึ่งจะหมดเวลาในปลายปี 2565 นี้ Q1/65 เปิดตัวใหม่สูงกว่าค่าเฉลี่ยก่อนโควิด-19 -ระหว่างเดือน ม.ค.- มี.ค. 2565 ในแต่ละเดือนมีการเปิดตัวใหม่ ประมาณ 9,000 - 12,500 ยูนิตต่อเดือน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ซึ่งมีการเปิดตัวเฉลี่ย 8,300 ยูนิต​ต่อเดือน   -ภาพรวมในไตรมาส 1/2565 มีการเปิดตัวใหม่ 31,477 ยูนิต มูลค่า 117,384 ล้านบาท​ มีการขยายตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 227.5% และ 161.7% ตามลำดับ   -จำนวนยูนิตที่เปิดตัวใหม่ในไตรมาส 12565 ส่วนมากเป็นอาคารชุดถึง 20,536 ยูนิต ขยายตัว 421.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน   -คาดว่ายูนิตเปิดตัวใหม่จะย่อตัวลงในไตรมาส 2/2565 อย่างชัดเจน เนื่องจากมีการเปิดตัวมากในไตรมาส ​1/2565 แต่จะมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้นในไตรมาสที่ 3 และ 4 เพื่อรองรับการฟื้นตัวของกำลังซื้อที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในครึ่งปีหลัง   -คาดว่าภาพรวมทั้งปี 2565 จะมีการขยายตัวของยูนิตเปิดตัวใหม่เป็น 79,501 ยูนิต เพิ่มขึ้น 54.3% และมีมูลค่า 413.022 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 88.6% โดยคอนโดจำนวนขยายตัวเพิ่มขึ้น 96.8% มากกว่าบ้านแนวราบที่เพิ่มขึ้น 51.0%   -ที่อยู่อาศัยที่เปิดตัวใหม่ แบ่งเป็น คอนโด​ 65.2% ทาวเฮ้าส์ ​19.7%  บ้านเดี่ยว ​ 8.8% บ้านแฝด  5.4% และ อาคารพาณิชย์ ​0.8%   -ทำเลของยูนิตบ้านแนวราบที่เปิดตัวใหม่มาก 5 พื้นที่ ตามลำดับ คือ บางพลี คลองหลวง บางบัวทอง บางบ่อ และบางเสาธง   -ทำเลของยูนิตคอนโดที่เปิดตัวใหม่มาก 5 พื้นที่ ตามลำดับ คือ บางนา ห้วยขวาง บางซื่อ จตุจักร และ เมืองปทุมธานี   -โดยภาพรวมที่อยู่อาศัย สัดส่วนการเปิดตัวตามระดับราคา มีดังนี้  ระดับราคา 3 - 5 ล้านบาท สัดส่วน 26.0%, 2 - 3 ล้านบาท สัดส่วน 22.4% ระดับราคา 1 - 1.5 ล้านบาท สัดส่วน19.6% -บ้านแนวราบ มีการเปิดตัวตามระดับราคา ดังนี้ ระดับราคา 3 - 5 ล้านบาท สัดส่วน 36.0% ระดับราคา 2 - 3 ล้านบาท สัดส่วน 20.9% ระดับราคา​ 5 -7.5 ล้านบาท สัดส่วน 15.7%   -คอนโด มีการเปิดตัวตามระดับราคา ดังนี้ ระดับราคา 1 - 1.5 ล้านบาท สัดส่วน 29.5% ระดับราคา 2 - 3 ล้านบาท สัดส่วน 23.2% ระดับราคา 3 - 5 ล้านบาท สัดส่วน 20.6% โอนกรรมสิทธิ์ไตรมาสแรก ลดลง 4.8% -จำนวนยูนิตโอนกรรมสิทธิ์ ระหว่าง ม.ค. - มี.ค. 2565 แต่ละเดือนต่ำกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยภาพรวมไตรมาส 1/2565 มีจำนวนยูนิตโอนกรรมสิทธิ์ 31,477 ยูนิต ลดลง​ 4.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการระบาดของไวรัส และสงครามรัสเซียและยูเครน ซึ่งทำให้เกิดภาวะน้ำมันแพงขึ้นและค่าครองชีพสูงขึ้น ส่วนมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ ระหว่าง ม.ค. - มี.ค. 2565 มีลักษณะเช่นเดียวกับยูนิตโอนกรรมสิทธิ์   -แต่คาดภาพรวมทั้งปีจะมีการขยายตัวของยูนิตโอนกรรมสิทธิ์ 2.0% โดยยูนิตการโอนกรรมสิทธิ์จะมีการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 2 - 4 โดยเฉพาะไตรมาส 4 จะมีการเร่งตัวของการโอนกรรมสิทธิ์เนื่องจากจะสิ้นสุดมาตการกระตุ้นฯ   -จำนวนยูนิตที่มีการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด สัดส่วน 23.4% คือ คอนโดในระดับราคา 2 - 3 ล้านบาท รองลงมาคือ ราคาไม่เกิน 1 ล้านบาท สัดส่วน 19.4% และราคา 3 - 5 ล้านบาท สัดส่วน 18.1%   -แต่ในภาพรวมแล้ว ที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท มีการโอนกรรมสิทธิ์มากสุดถึง 66.7% ซึ่งเป็นระดับราคาที่สอดคล้องกับกำลังซื้อส่วนใหญ่ และเป็นระดับราคาที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ   -ขณะที่มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์กระจุกตัวอยู่ที่บ้านระดับราคา เกินกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ถึง 68.7% ซึ่งพบว่า ระดับราคา มากกว่า 10 ล้านบาท มีสัดส่วนมากที่สุดถึง 27.0%  รองลงมา คือ 3- 5 ล้านบาท สัดส่วน 20.7% และราคา 2 - 3 ล้านบาท สัดส่วน​ 17.3%   -สัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์ของที่อยู่อาศัยมือสองมีการเพิ่มขึ้นเป็น 49.5% จาก 39.2% ในไตรมาส 4/2564 และมีสัดส่วนมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน โดยเพิ่มขึ้นเป็น 33.4% จาก 27.3% โดยเพิ่มขึ้นในทุกระดับราคา แต่มีสัดส่วนที่สูงกว่า 50%ในระดับราคาไม่เกิน 2.0 ล้านบาท ขณะที่ที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 1.5 ล้านบาท มีสัดส่วนมากกว่า 80% ภาพของตลาดเช่นนี้สะท้อนว่า ตลาดที่อยู่อาศัยมือสอง เป็นตลาดที่มีการขยายตัวจากผลของมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ เช่นกัน ปรากฏการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2565 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตลาดอสังหาฯ จะกลับมาคึกคัก จากการเปิดตัวใหม่ที่เพิ่มมากขึ้น ผู้ประกอบการหันมาทำการตลาด และการส่งเสริมการขายกันมากขึ้น สร้างบรรยากาศการซื้อขายอสังหาฯ ให้กลับมามีสภาพใกล้เคียงกับช่วงก่อนเกิดโควิดแพร่ระบาด แต่ ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ มองว่ายังคงต้องมีหลายเรื่องที่เราจะต้องเฝ้าระวัง จับตามอง รวมถึง ต้องมาดูสภาพความเป็นจริงกันว่า จะมีปัจจัยบวก ปัจจัยลบอะไรบ้าง ที่จะมาส่งผลต่อตลาดอสังหาฯ ในปีนี้   สำหรับสิ่งที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2565 ศูนย์ข้อมูลฯ มองว่ามี 5 เรื่องสำคัญ ดังนี้ 1.การเปิดตัวโครงการใหม่ ๆ ทั้งบ้านแนวราบและคอนโด​จะเพิ่มขึ้นมากกว่าปี 2564 โดยคอนโดมีสัดส่วนที่สูง เนื่องจากมี Stock ที่ลดลง และราคาที่ดินแพงขึ้น   2.บ้านแนวราบยังคงได้รับการตอบรับจากผู้ซื้อบ้านมาก แต่ประเภททาวเฮ้าส์จะยังคงมีซัพพลายคงเหลือในตลาดมาก   3.คอนโดเริ่มฟื้นตัว จากผู้ที่ต้องการซื้อเพื่อการอยู่อาศัยและการซื้อเพื่อการลงทุนมากขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นการลงทุนใน 2 กลุ่มเป็นหลัก คือ กลุ่มไม่เกิน 1.5 ล้านบาท และ กลุ่มลักชัวรี่   4.โครงการที่อยู่อาศัยที่เกิดขึ้นใหม่อาจปรับลดโปรโมชั่นส่วนลดและของแถมลงบ้างเพื่อรักษาราคาประกาศขายให้อยู่ใกล้เคียงกับโครงการในปัจจุบัน   5.บ้านมือสองที่ได้รับสิทธิประโยชน์จากค่าธรรมเนียม และมีราคาและทำเลที่สอดคล้องกับความสามารถของกลุ่มผู้ซื้อกลุ่มรายได้น้อย/ปานกลาง คาดว่าการโอนกรรมสิทธิ์บ้านมือสองจะมีการขยายตัวต่อเนื่องตลอดทั้งปี โดยเฉพาะบ้านราคาต่ำ ซึ่งเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจบ้านมือสอง 6 ปัจจัยบวกในปี 2565 สำหรับปัจจัยบวกที่จะเข้ามาหนุนให้ตลาดอสังหาฯ เติบโต หรือฟื้นตัวมาจากช่วงก่อนหน้านั้น ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ มองว่ามี 6 ปัจจัยสำคัญ ดังนี้ 1.มาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐ (ลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนองเหลือประเภทละ 0.01 % รวมถึง ขยายไปสู่บ้านมือสองด้วย) ยังคงมีผลถึงสิ้นปี 2565   2.มาตรการผ่อนปรน LTV ของ ธปท. จะช่วยให้มีการซื้อบ้านสัญญาที่ 2 และ 3 เพื่อการอยู่อาศัยและเพื่อการลงทุนมีโอกาสขยายตัวมากขึ้น   3.สภาพคล่องของธนาคารมีมากพอสำหรับสินเชื่อปล่อยใหม่ และเริ่มมีการแข่งขันการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น   4.ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศที่ค่อย ๆ พื้นตัวจากมาตรการต่าง ๆ ของรัฐ และการเปิดประเทศ ซึ่งทำให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากภาคธุรกิจการค้าและการท่องเที่ยว   5.กลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยที่ทำงานในภาคอุตสาหกรรมและการส่งออก ฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี 2564 ทำให้ เกิดกำลังซื้อใหม่ๆ   6.ผู้ประกอบการยังคงมีการออกโปรโมชั่น การลดราคาขาย การให้ของแถมต่าง ๆ ต่อเนื่อง รวมถึงการสร้างกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อการลงทุน 7 ปัจจัยเสี่ยงฉุดตลาดอสังหาฯ ปี 65 ถึงแม้ว่าปีนี้จะมีหลายปัจจัยบวก  แต่ด้านปัจจัยลบก็ยังคงมีอยู่เช่นกัน โดย ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ มองว่าจะมี 7 ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังในการทำธุรกิจอสังหาฯ ปีนี้ คือ   1.อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง   2.การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงมีผลในการฉุดรั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ แม้ว่าความรุนแรงจะลดลง   3.สภาวะการจ้างงาน และการมีรายได้ของประชาชน ในภาคการท่องเที่ยวและภาคบริการ ยังคงอยู่ในภาวะการฟื้นตัวช้า   4.ภาวะหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับที่สูงถึงประมาณ 90% ของ GDP ทำให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางในกลุ่มอาชีพอิสระ จะเข้าถึงสินเชื่อได้ยากเช่นเดียวช่วงปีที่ผ่านมา   5.ภาวะการเพิ่มขึ้นของ NPL ของสถาบันการเงิน อาจจะส่งผลให้สถาบันการเงินระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อต่อไป   6.ต้นทุนค่าก่อสร้างแพงขึ้น ทำให้ราคาที่อยู่อาศัยโครงการใหม่ อาจมีการปรับราคาขึ้นช่วงครึ่งปีหลัง   7.กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติ ที่เป็นกำลังซื้ออาคารชุด ยังคงเข้ามาในประเทศน้อย จากผลกระทบของโควิด-19 และสงครามยูเครนและรัสเซีย ทำให้ความต้องการซื้ออาคารชุดภาพรวมฟื้นตัวช้า 5 สิ่งที่ต้องระมัดระวังในปี 65 นอกจากปัจจัยเสี่ยงที่จะต้องนำมาใช้เป็นปัจจัยพิจารณาในการทำธุรกิจแล้ว ยังมีเรื่องสำคัญที่ต้องเฝ้าระมัดระวังอีก 5 เรื่องด้วย ที่ ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ แนะนำไว้มีดังนี้ 1.ภาวะสงครามรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อ จะส่งผลกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ และภาวะค่าครองชีพของประชาชน   2.การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลต่อค่าครองชีพที่สูงขึ้น และส่งผลต่อความต้องการซื้ออสังหาฯ ได้   3.บ้านมือสองอาจจะเป็นสินค้าทดแทนบ้านใหม่ ผู้ประกอบการบ้านใหม่ต้องให้ความสนใจศึกษาก่อนการพัฒนา   4.ราคาวัสดุก่อสร้างที่สูงขึ้น การขาดแคลนแรงงาน อาจส่งผลให้การก่อสร้างล่าช้า และอาจทำให้แผนการส่งมอบล่าช้า ซึ่งอาจจะส่งผลต่อปริมาณการโอนกรรมสิทธิ์ และการระบาย backlog ของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์   5.จากภาวะค่าคองชีพที่สูงขึ้น ขณะที่การฟื้นตัวรายได้ช้า หากมีการเกิด NPL เพิ่มขึ้น สถาบันการเงินอาจจะมีนโยบายสินเชื่อที่เข้มงวดต่ออีกในปี 2565 จะส่งผลต่อกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยที่มีความไม่แข็งแรงไม่สามารถขอสินเชื่อได้ แต่สถาบันการเงินอาจจะขยายสินเชื่อ Refinance เพิ่มขึ้นแทน​   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ตลาดอสังหาฯ 6 เดือนแรกยังชะลอตัว โค้งท้าย 64 ยังลดต่อรออีก 4 ปีฟื้นตัวปกติ​ -REIC คาดตลาดอสังหาฯ ปี 64 แย่สุดทั่วประเทศติดลบ 20%
แสนสิริ  เดินหน้าโปรเจ็กต์ “กรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้”  เปิดอีก 3 โครงการ 9,300 ล้าน

แสนสิริ เดินหน้าโปรเจ็กต์ “กรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้” เปิดอีก 3 โครงการ 9,300 ล้าน

กรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้ 4 เหตุผล แสนสิริ เดินหน้าพัฒนาโปรเจ็กต์คอนเซ็ปต์ “คอมมูนิตี้” ยึดโซนตะวันออก ปั้น “กรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้” มูลค่า 30,000 ล้าน ปีนี้เปิดอีก 3 โปรเจ็กต์ 9,300 ล้าน ต่อยอดควาสำเร็จจาก T77 หนุนเป้าหมายรายได้ 24,000 ล้าน   ดูเหมือนว่าการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ ในรูปแบบของ “คอมมูนิตี้” ด้วยคอนเซ็ปต์การสร้างชุมชนที่พักอาศัย ซึ่งมีหลายโครงการ หลายระดับราคา พัฒนาอยู่ในพื้นที่เดียวกัน จะเป็นรูปแบบที่น่าสนใจสำหรับดีเวลลอปเปอร์ เพราะสามารถสร้างความได้เปรียบในการดำเนินธุรกิจ และยังทำผลกำไรได้สูงกว่าการพัฒนาในลักษณะโครงการเดี่ยว ๆ   แต่การจะพัฒนาโครงการในลักษณะดังกล่าวได้ ผู้ประกอบการจะต้องมีความสามารถในการจัดหาที่ดิน ซึ่งไม่ใช่แค่ปริมาณที่ดินซึ่งมีจำนวนมากเท่านั้น แต่ต้องอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ สำหรับการพัฒนาที่อยู่อาศัยด้วย  คงต้องมีแบรนด์โครงการหลายระดับราคา และหลายกลุ่มเป้าหมาย  ที่สำคัญต้องสามารถพัฒนาคอนเซ็ปต์ ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า รวมถึงสร้างโครงการให้มีความน่าสนใจด้วย   ปัจจุบันมีผู้ประกอบการหลายรายที่พัฒนาโครงการในคอนเซ็ปต์ “คอมมูนิตี้”  หรือการมีหลายโครงการย่อยในโครงการใหญ่ ในลักษณะของการมิกซ์โครงการหลากหลายรูปแบบ ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) โดยล่าสุด พัฒนาโครงการ กรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้ บนเนื้อที่ 500 ไร่   นายอุทัย  อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า กรุงเทพฯ กำลังเติบโตสู่เมืองขยาย เกิดเป็น “คอมมูนิตี้ ในเมืองใหญ่” คล้ายการเติบโตเมืองใหญ่ทั่วโลก เช่น ย่านการเติบโตต่าง ๆ ของประเทศญี่ปุ่น อาทิ ย่านอาซาคูซะ ย่านชิบูย่า ย่านกินซ่า ย่านชินจูกุ การจับกลุ่มของเมืองย่อยหรือ Cluster จะเกาะกลุ่มด้วยโลเคชั่นใกล้สถานีรถไฟฟ้าต่อขยายออกไปเรื่อย ๆ สิ่งอำนวยความสะดวกจะไม่รวมอยู่ในศูนย์กลางกรุงเทพชั้นใน แต่จะกระจายออกไปยังพื้นที่อยู่อาศัยโดยรอบกรุงเทพฯประกอบกับโครงข่ายการคมนาคมที่ทำให้การเดินทางเข้าสู่เมืองง่ายมากขึ้น   โดยโครงการในคอนเซ็ปต์คอมมูนิตี้ ที่ประสบความสำเร็จและพัฒนามาก่อนหน้านี้ คือ ​โครงการ T77 คอมมูนิตี้ บนเนื้อที่กว่า 50 ไร่ ในซอยสุขุมวิท 77 ซึ่งภายในโครงการประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 6 โครงการ ได้แก่ Blocs Sukhumvit 77, THE BASE Sukhumvit 77, THE BASE Park West, THE BASE Park East, hasu HAUS และ mori HAUS มีอีก 1 โครงการทาวน์เฮ้าส์ ได้แก่ Garden Square โดยคาดว่ามีจำนวนผู้พักอาศัยรวมกว่า 10,000 ครอบครัว   นอกจากที่พักอาศัยที่ “แสนสิริ” พัฒนาขึ้นแล้ว ในโครงการ T77 ยังมี Park Court Grand Apartment  ​อพาร์ทเมนท์ระดับพรีเมียมจากมั่นคงเคหะการ  และศูนย์การค้า Habito (ฮาบิโตะ) ไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้มอลล์แห่งแรกจากแสนสิริ โรงเรียนนานาชาติอย่าง Bangkok International Preparatory and Secondary School (บางกอกเพรพ) 4 เหตุผลปั้นโปรเจ็กต์ “คอมมูนิตี้” สำหรับข้อดีของการพัฒนาโครงการในรูปแบบคอมมูนิตี้ ที่แตกต่างจากการพัฒนาโครงการเดี่ยว ๆ ว่า สิ่งสำคัญคงจะเป็น 4 เหตุผลนี้ คือ 1.ต้นทุนที่ดินคุ้มค่า-มีมูลค่าเพิ่มในอนาคต การพัฒนาโครงการในลักษณะนี้ แสนสิริ วางคอนเซ็ปต์ของการจัดซื้อที่ดินต้องมีขนาดเริ่มต้น 300 ไร่ แล้วจะทยอยซื้อเพิ่มในพื้นที่รอบข้าง เพื่อให้ได้มีแปลงที่ดินขนาดใหญ่ เพื่อการพัฒนาโครงการหลายโครงการได้ ซึ่งเมื่อการซื้อที่ดินขนาดใหญ่ จะมีโอกาสได้ราคาที่ถูกกว่าซื้อแปลงเล็ก ขณะเดียวกันที่ดินเมื่อซื้อมาแล้วยังไม่ได้พัฒนา จะได้มูลค่าเพิ่มขึ้นตามราคาของที่ดินที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยของที่ดินในการพัฒนาโครงการถูกกว่าโครงการเดี่ยว ๆ   นายอาณัติ  กิตติกุลเมธี รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายพัฒนาโครงการแนวราบ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ราคาที่ดินของโครงการกรุงเทพกีฑา คอมมูนิตี้ ซึ่งซื้อมาเมื่อ 5-6 ปีก่อน ปัจจุบันปรับเพิ่มขึ้นแล้วกว่าเท่าตัว ขณะที่ราคาที่ดินในโซนกรุงเทพกรีฑาพุ่งขึ้นถึง 150% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และราคาที่ดินช่วงต้นถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ (ศรีนครินทร์-ร่มเกล้า) ล่าสุดอยู่ที่ตารางวาละ 140,000 บาท  ​ 2.การวางผัง-ออกแบบโครงการได้สวยงาม จุดขายสำคัญของโครงการบ้านแนวราบ นอกจากตัวบ้านที่จะต้องสวยงามและตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าแล้ว สิ่งหนึ่งที่ถูกใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจซื้อบ้าน คือ พื้นที่ส่วนกลางของโครงการ และระบบสาธารณูปโภคภายในโครงการ การที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ ทำให้สามารถวางผังโครงการได้สวยงาม และมีการวางระบบสาธารณูปโภคภายในได้ดีกว่า เพราะเป็นการแชร์ต้นทุนการพัฒนาพื้นที่ส่วนกลางของแต่ละโครงการย่อย 3.ต้นทุนต่ำกว่ากำไรมากกว่า จากการที่แต่ละโครงการได้มีการแชร์ระบบสาธารณูปโภค เช่น ถนน ที่ใช้ร่วมกัน ทำให้ต้นทุนการพัฒนาถูกกว่าโครงการที่พัฒนาเดี่ยว ๆ ตามหลักการของ Economy of scale นั่นเอง เพราะแค่อำนาจการต่อรองเรื่องการซื้อที่ดิน หรือการจัดซื้อวัสดุต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้ในโครงการขนาดใหญ่แบบนี้ ก็ย่อมจะได้ราคาสิ่งของต่าง ๆ คุ้มค่ากว่า หรือแม้แต่ประโยชน์จากราคาที่ดินที่ซื้อมาในอดีต แล้วพัฒนาขายในปัจจุบัน จากราคาตลาดที่เพิ่มขึ้น ก็ทำให้โครงการได้เปรียบ  แน่นอนย่อมส่งผลทำให้กำไรของโครงกาขนาดใหญ่สูงกว่า อย่างน้อย ๆ อัตรากำไรขั้นต้นจะมากกว่า ไม่ต่ำกว่า 2% 4.อัตราการขายดีกว่า การมีหลายโครงการรวมอยู่ในโครงการเดียวกัน แม้ว่าจะใช้ทีมเซลล์ขายคนละทีม แต่การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างกัน เป็นกลยุทธ์ที่ช่วยส่งเสริมให้การขายดีขึ้น เพราะหากลูกค้าเข้ามาดูโครงการแล้วมีความต้องการที่ไม่ตรงโจทย์กับโครงการนั้น เซลล์สามารถส่งต่อลูกค้าไปให้โครงการอื่น ๆ ในเครือได้ รวมถึง โครงการสามารถนำเสนอบ้านในระดับราคาตามศักยภาพในการซื้อของลูกค้าได้  เพราะมีสินค้าหลายระดับราคา ซึ่งโครงการกรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้ มีบ้านขายตั้งแต่ราคา 12-95 ล้านบาท ​ โครงการกรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้ มีอัตราการขายเฉลี่ยเดือนละ 8 ยูนิต ซึ่งถือว่าสูงมาก มีราคาขายเฉลี่ย 14-35 ล้านบาท แต่ละโปรเจ็กต์น่าจะรับรู้รายได้ปีละ 1,000 ล้านบาท ​  กรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้ มีบ้านอะไรบ้าง  สำหรับ โครงการ “กรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้” (Krungthep Kreetha Community) บนเนื้อที่ประมาณ 500 ไร่ โดยเปิดโครงการไปแล้ว 2โครงการ ได้แก่ ​ โครงการบ้านเดี่ยว เศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา และเศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา 2 บนพื้นที่รวม 155 ไร่ มูลค่าโครงการรวม 7,500 ล้านบาท ซึ่งทั้ง 2 โครงการปิดการขายเรียบร้อยแล้ว   ส่วนในปีนี้จะเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวระดับบนในปีนี้อีก 3 โครงการ มูลค่ารวม 9,300 ล้านบาท  ได้แก่ -นาราสิริ กรุงเทพกรีฑา พื้นที่โครงการ 57 ไร่ มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท จำนวน 86 ยูนิต วางแผนเปิดตัวในเดือนตุลาคมนี้   -บุราสิริ กรุงเทพกรีฑา พื้นที่ 85 ไร่ มูลค่าโครงการ 4,000 ล้านบาท จำวน 276 ยูนิต ภายใต้ความร่วมมือกับบริษัท โตคิว คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประเทศญี่ปุ่น ที่ให้ความสนใจพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยร่วมกันในทำเลนี้ ซึ่งจะเปิดตัวในช่วงเดือนกรกฎาคมนี้   -โครง​การ “บูก้าน กรุงเทพกรีฑา” พื้นที่ 19 ไร่ มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท โครงการบ้านเดี่ยวขนาด 3 ชั้น พร้อมลิฟท์และสระน้ำส่วนตัว จำนวน 48 ยูนิต เป็นการต่อยอดความสำเร็จจากโครงการแรก ที่ได้รับการตอบรับดี กับโครงการบูก้าน โยธินพัฒนา   ภายในโครงการยังมีพื้นที่สำหรับการพัฒนาโครงการในอนาคตอีก ประมาณ  180 ไร่ สำกรับการพัฒนาโครงการใหม่ได้อีก 3-4 โปรเจ็กต์ ซึ่ง “แสนสิริ” วางแผนพัฒนาระหว่างปี 2566-2568 ซึ่งภายในโครงการทั้งหมด คาดว่าจะมีโครงการบ้านรวม 8-9  โครงการ  มูลค่ารวม 30,000 ล้านบาท สำหรับปีนี้ แสนสิริ วางเป้าหมายรับรู้รายได้และยอดขาย จากโครงการแนวราบ 24,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาทำรายได้ 22,400 ล้านบาท  ซึ่งในช่วง 5 เดือนแรกที่ผ่านมา ​ แสนสิริ มียอดขายจากโครงการแนวราบแล้วไปแล้ว 8,600 ล้านบาท หรือคิดเป็นเกือบ 40% จากเป้ายอดขายในปีนี้  ส่วน 3 โครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในโครงการกรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้ คาดว่าจะรับรู้รายได้ 500 ล้านบาท   ในปีหน้า แสนสิริ ยังวางแผนพัฒนาโครงการในคอนเซ็ปต์ คอมมูนิตี้ ต่อ โดยจะอยู่ในย่านบางบัวทอง ใกล้ห้างเซ็นทรัลเวสต์เกต ซึ่งมีที่ดินรองรับแล้วประมาณ 200 ไร่ และยังจะมีการซื้อที่ดินเพิ่มเติมมาพัฒนาด้วย ซึ่งต้องดูว่าจะมีรูปแบบอย่างไร และมีแบรนด์โครงการอะไรบ้าง   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -แสนสิริ ปั้นทาวน์โฮม เมืองท่องเที่ยวในฝัน เปิดสิริ เพลส 6 โครงการ 4,200 ล้าน​ -[PR News] แสนสิริจับมือ​ขายหัวเราะ ส่ง​แคมเปญ “บ้านนี้ ฮะ ฮะ ฮ่า” กวาดยอดขาย 8,200 ล้าน
สิงห์ เอสเตท  ขอท้าทายตัวเอง กับกลยุทธ์ RISE ABOVE  พร้อมแผน 5 ปีปั้นโปรเจ็กต์บ้านหรู 52,000 ล้าน

สิงห์ เอสเตท ขอท้าทายตัวเอง กับกลยุทธ์ RISE ABOVE พร้อมแผน 5 ปีปั้นโปรเจ็กต์บ้านหรู 52,000 ล้าน

สิงห์ เอสเตท กางแผน 5 ปี ปั้นโปรเจ็กต์บ้านหรูมูลค่ารวม 52,000 ล้าน ด้วยกลยุทธ์ RISE ABOVE การเติบโตเหนือความคาดหวัง เดินสู่เป้าหมายรายได้ 10,000 ล้าน พร้อมลุยตลาดลักชัวรี่ เปิด 3 เซ็กเมนต์ใหม่ จับตลาดบ้านหรู 10-100 ล้าน ประเดิมโปรเจ็กต์แรก  “ศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส” 2,900 ล้าน เติมรายได้ปี 65 สู่เป้า 4,400 ล้าน   ตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปแบบการใช้ชีวิตของคนยุคปัจจุบัน สิ่งที่เห็นชัดเจนนอกเหนือจากเรื่องความสะอาด สุขอนามัยที่ต้องใส่ใจมากเป็นพิเศษแล้ว ก็คือ การลดความเสี่ยงจากการออกไปเจอผู้คนมากมาย หรือการเว้นระยะห่างทางสังคม ซึ่งนำมาถึง วิถีชีวิตการทำงานในรูปแบบ Work from Home หรือการทำงานจากที่บ้าน   แม้ปัจจุบันการทำงานจากที่บ้าน จะลดน้อยลง หลายองค์กรเริ่มให้พนักงานกลับเข้าทำงานที่ออฟฟิศกันมากขึ้น แต่ก็มีผู้คนไม่น้อยที่ยังทำงานจากที่บ้าน หรือจากที่ไหนก็ได้ ที่สำคัญ ผู้คนเริ่มคุ้นชินกับการไม่ต้องนั่งทำงานประจำที่ออฟฟิศทุกวันแล้ว เพราะบทพิสูจน์ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา แสดงให้เห็นว่าประสิทธิภาพของงานไม่ได้ลดน้อยลง แม้พนักงานจะทำงานจากที่บ้านหรือที่ไหนก็ได้บนโลกใบนี้  ​   การที่ไวรัสโควิด-19 ได้มาเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตของคนเช่นนี้ ยังได้ส่งผลต่อเนื่องมาถึง พฤติกรรมการเลือกอยู่อาศัยของคนยุคปัจจุบัน ในการเลือกที่พักอาศัยซึ่งมีพื้นที่มากขึ้น เพราะต้องมีสถานที่สำหรับการทำกิจกรรมต่าง ๆ เวลาอยู่บ้าน ทำให้ตลาดบ้านแนวราบในช่วง 2 ปีกว่าที่ผ่านมา เติบโตได้อย่างดี ขณะที่ตลาดคอนโดมิเนียมก็ชะลอตัวลง เพราะโครงการใหม่แทบจะไม่มีเปิดตัวออกมา แม้ว่ายังมียอดซื้อยอดขายคอนโดอยู่บ้าง แต่นั่นก็คือ สต็อกเก่าที่ผู้ประกอบการมีอยู่แล้วในมือ   เมื่อเทรนด์การอยู่อาศัย และการใช้ชีวิตของคนยุคปัจจุบัน ใช้เวลาภายในบ้านมากขึ้น บรรดาดีเวลลอปเปอร์จึงต้องปรับตัวตามความต้องการของลูกค้า ผู้ประกอบการจำนวนมาก จึงหันมาพัฒนาโครงการบ้านแนวราบ ออกมารองรับกับความต้องการของตลาดที่ยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั่นเอง  ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ล่าสุด กลุ่มธุรกิจพักอาศัย ของสิงห์ เอสเตท ก็ประกาศแผนธุรกิจระยะ 5 ปี (ปี 2565-2569) กับตัวเลขที่จะพัฒนาโครงการออกมาขายมีมูลค่ารวมมากถึง 52,000 ล้านบาท พร้อมกับรายได้รวม 34,000 ล้านบาท ซึ่งในปีที่ 5 จะมีรายได้ระดับ 10,000 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมามีรายได้ 2,221 ล้านบาท ซึ่งปีนี้ตั้งเป้าจะทำรายได้ 4,400 ล้านบาท   นายณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจพักอาศัย บริษัท​ สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ​เปิดเผยว่า ด้วยเทรนด์ในปัจจุบันที่คนอยู่บ้านนานขึ้น มองหาบ้านที่ส่งเสริมคุณภาพชีวิต และใช้ประโยชน์ได้หลากหลายรูปแบบ บ้านจึงต้องให้ความสุขได้ตลอด 24 ชม. ที่สำคัญต้องตอบโจทย์ฟังก์ชั่นที่หลากหลายมากขึ้น นอกจากเป็นที่อยู่อาศัยแล้ว ยังต้องเป็นที่สังสรรค์ และที่ทำงานแบบ Work from home ได้ด้วย สิงห์ เอสเตทจึงได้นำแนวคิดนี้มาออกแบบโครงการที่พักอาศัยแนวราบ และเพื่อต่อยอดจากความสำเร็จที่สามารถปิดการขายโครงการบ้านสันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจในความต้องการของผู้บริโภคของตลาดระดับบน โดยสิงห์ เอสเตท ตอกย้ำจุดยืนในการสร้างคุณค่าและความยั่งยืนให้ทุกชีวิต หรือ Enriching Life ด้วยความพิถีพิถันในทุกรายละเอียด ใส่ใจ และมุ่งมั่นพัฒนาโครงการให้เป็น Best In Class เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า ด้วยคุณภาพในระดับสากล  ควบคู่ไปกับการดูแลชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม RISE ABOVE กลยุทธ์ สิงห์​ เอสเตท สู่รายได้​ 3.4 หมื่นล. สำหรับกลยุทธ์ในการสร้างการเติบโต และการเดินหน้าตามแผนเพื่อไปสู่เป้าหมาย พัฒนาโครงการรวมมูลค่า 52,000 ล้านบาท และสร้างรายได้รวม 34,000 ล้านบาทนั้น คือ “RISE ABOVE” ที่สิงห์ เอสเตท จะพัฒนาสินค้าให้เหนือกว่ามาตรฐาน เพื่อส่งมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าในทุก ๆ กลุ่มเป้าหมาย​ โดยให้ความสำคัญกับคุณภาพชีวิต และความเป็นอยู่ที่ดีของผู้อยู่อาศัยเป็นหลัก เราจะเติบโตกว่าที่เราคาดหวัง รวมถึงความคาดหวังของลูกค้า 7-8 ปีก่อนหน้านี้ เราพัฒนาโครงการ เราบอกว่าไม่ได้เป็นแค่ดีเวลลอปเปอร์ที่ขายแค่สินค้า แต่เราขายประสบการณ์ที่ดีด้วย โดยกลยุทธ์ “RISE ABOVE” มีรายละเอียดของแนวคิด 3 ส่วน ดังนี้ 1.ABOVE THE NUMBER ที่นอกเหนือจากแผนการลงทุน และการพัฒนาโครงการเพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้สอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันแล้ว ยังโฟกัสการตั้งเป้าตัวเลขที่ท้าทายขึ้นอีกด้วย สืบเนื่องจากเทรนด์ของโครงการอสังหาฯ แนวราบได้รับความนิยมเพิ่มสูงขึ้น สะท้อนจากตัวเลขที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องของโครงการบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮาส์   สิงห์ เอสเตท จึงได้วางแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ให้มีความหลากหลายยิ่งขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการบ้านแนวราบที่เพิ่มสูงขึ้น โดยในช่วง 5 ปีต่อจากนี้บริษัทวางสัดส่วนพัฒนาโครงการบ้านแนวราบ 75%  และ​คอนโด​ 25% เน้นทำเลศักยภาพ ใน 3 เซ็กเมนท์  เป็นโครงการบ้านระดับราคาตั้งแต่​ 10 – 100 ล้านบาท  แบ่งเป็น -Super Luxury บ้านเดี่ยวราคา 50-100 ล้านบาท พัฒนาภายใต้แบรนด์ศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส (Siraninn Residences) -Luxury บ้านเดี่ยวระดับราคา 20-50 ล้านบาท -Affordable Luxury บ้านเดี่ยวระดับราคา 10-20 ล้านบาท 2.ABOVE THE DESIGN & SERVICE การออกแบบที่สอดรับกับ New Trend of Living การใช้ชีวิตในยุคปัจจุบัน พื้นที่ใช้สอยสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามการใช้งาน เพื่อให้บ้านเป็นพื้นที่สำหรับทุกๆคนในครอบครัว ด้วยแนวคิด 1.Smart Living Smart Layout ออกแบบ space และ function ต่างๆ ภายในบ้านให้ตอบโจทย์การใช้งานและความต้องการของคนทุก generation Security for Families  ระบบรักษาความปลอดภัยที่รัดกุม อาทิ ระบบติดตั้งสายไฟใต้ดิน (underground cable) Easy for Maintenance ด้วยระบบ Maintenance Alert ที่บ้านสามารถแจ้งเตือนล่วงหน้าเมื่อถึงเวลาบำรุงรักษา  ผ่านแอพลิเคชั่น S life ในโทรศัพท์มือถือ เพื่อความสะดวก รวดเร็ว 2.Healthy Living Clean Air มีระบบกรองอากาศภายในบ้านให้สะอาดอยู่เสมอ Clean Water มีระบบกรองน้ำเพื่อให้น้ำที่นำมาใช้ และบริโภคในโครงการบริสุทธิ์และสะอาดมากยิ่งขึ้น Cool & Quiet นวัตกรรม “บ้านเย็น” ที่ช่วยให้อากาศในบ้านเย็น ถ่ายเทอากาศได้ดี ด้วยผนังกันความร้อน 3.Sustainable Living Existing Tree Conservation มีการเก็บรักษาต้นไม้ใหญ่ในพื้นที่เดิม Clean Energy การใช้พลังงานธรรมชาติ อาทิ การใช้พลังงานจากเซลล์แสงอาทิตย์ Water Reuse ระบบการบำบัดน้ำเสีย เพื่อนำกลับมาใช้รดน้ำต้นไม้รอบโครงการ Material Selection & Long Lasting ออกแบบบ้านให้สวยงามอยู่คู่กาลเวลา โดยคำนึงถึงการใช้งานที่ดีทั้งในวันนี้และในอนาคต 4.Exclusive Services Warranty Extension ขยายเวลารับประกันเพิ่มขึ้นเพื่อเพิ่มความสบายใจในการเข้าอยู่อาศัย Homecare Service  บริการ homecare ดูแลบ้าน แจ้งเหตุฉุกเฉิน ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน Concierge Service  บริการผู้ช่วยส่วนตัวที่พร้อมให้บริการลูกบ้านอย่างเหนือระดับ 3.ABOVE THE LIVING EXPERIENCE กับ Privileges ต่างๆ ภายใต้ ‘S life’ ที่รวบรวมสิทธิประโยชน์จากบริษัทในเครือและ Partners ที่ตอบรับกับ Lifestyle ของลูกบ้านทุกคน ทั้งในส่วนของ S Hotels & Resorts กลุ่มโรงแรมและรีสอร์ท ในเครือ สิงห์ เอสเตท ทั้งในประเทศและต่างประเทศ Activities กิจกรรมสันทนาการ อาทิ กอลฟ์ กิจกรรมนั่งบอลลูนเพื่อชมทิวทัศน์ แคมปิ้ง Food & Beverage สิทธิพิเศษที่ร้านอาหารชั้นนำ รวมถึงผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มในเครือ Entertainment คอนเสิร์ต และกิจกรรมบันเทิงต่าง ๆ ที่น่าสนใจที่จัดขึ้นต่อเนื่องตลอดทั้งปี ประเดิมโปรเจ็กต์ Super Luxury 2,900 ล้าน สำหรับแผนในปี  2565 สิงห์ เอสเตท พร้อมเปิดตัว 1 โครงการมูลค่า 2,900 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์  ศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส ซึ่งจะเปิดตัวในเดือนกันยายนนี้ โครงการตั้งอยู่ในซอยพัฒนาการ 32 โครงการจะเป็น Horizontal Luxury House ในรูปแบบบ้านเดี่ยว 2 ชั้น จำนวนเพียง 32 หลังเท่านั้น   ส่วนอีก 2 เซ็กเมนท์ใหม่ จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการพร้อมชื่อแบรนด์ในปีหน้า ซึ่งวามแผนเบื้องต้นจะเปิดตัว 4 โครงการ ในทำเลฝั่งตะวันออกและตะวันตกของกรุงเทพฯ ซึ่งมีมูลค่าโครงการประมาณ 2,000-4,000 ล้านบาท  และเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายรายได้ บริษัทจะ​ทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่องปีละประมาณ 3,000 – 14,000 ล้านบาท โดยคาดว่าธุรกิจที่พักอาศัยจะสร้างรายได้รวมต่อปีสูงกว่า 10,000 ล้านบาท ในปี 2569 และทำให้เพิ่มสัดส่วนรายได้เป็น 35% ของรายได้รวม จากปัจจุบันมีสัดส่วนประมาณ 25% ตลาดบ้านแนวราบจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่ได้โตแบบก้าวกระโดด  หลายบริษัทพิสูจน์แล้วว่าการ Work from Home ไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพการทำงานลดลง ต่อไปการอยู่อาศัยที่คำนึงถึง mass transit จะลดความสำคัญลง ปัจจุบันสิงห์ เอสเตท ยังมียอดขายรอรับรู้รายได้มูลค่า 1,500 ล้านบาท และรายได้จากไตรมาสแรกแล้ว 1,000 ล้านบาท ทำให้สะสมรายได้ปีนี้ในกระเป๋า 2,500 ล้านบาท ขณะที่โครงการใหม่ซึ่งจะเปิดตัวในปีนี้ คาดว่าจะทำรายได้อีก 600 ล้านบาท และยังมียอดโอนกรรมสิทธิ์จากโครงการต่าง ๆ ที่อยู่ในมืออีกจำนวนหนึ่ง จึงเชื่อมั่นว่าปีนี้จะทำรายได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ 4,400 ล้านบาทอย่างแน่นอน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -‘สิงห์ เอสเตท’ รายได้รวมลด 40% หลังขาย NVD แต่ใช้เงินยังทำกำไร 70 ล้าน