Tag : News

2400 ผลลัพธ์
เอสซี แอสเสท  ชู 3 ยุทธศาสตร์  ปั้นรายได้แสนล้าน  ประเดิมปี 65 ลุยเปิด 27 โปรเจ็กต์ใหม่

เอสซี แอสเสท ชู 3 ยุทธศาสตร์  ปั้นรายได้แสนล้าน ประเดิมปี 65 ลุยเปิด 27 โปรเจ็กต์ใหม่

เอสซี แอสเสท ลุยสร้างรายได้เติบโตต่อเนื่องรวมสี่ปีกว่า 100,000 ล้านบาท ด้วยโรดแมป  “SC Thriving for Good” กวาดรายได้ทั้งธุรกิจอสังหาฯ และมองหาโอกาสในธุรกิจใหม่ ขณะแผนปี 65 เตรียมปักหมุดโปรเจ็กต์ใหม่  27 โครงการ มูลค่า 40,000 ล้าน สูงสุดในประวัติศาสตร์บริษัท   นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จากัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยถึงโรดแมปการดำเนินธุรกิจภายในระยะ 4 ปี (2565-2568) ภายใต้แนวคิด “SC Thriving for Good” เติบโต เชื่อมต่อ ยั่งยืน บนวิถีโลกใหม่ เป็นองค์กรที่สร้างคุณค่า เชื่อมต่อ solutions สู่ผู้คนและสิ่งแวดล้อม พร้อมสร้างรายได้เติบโตต่อเนื่อง 4 ปี รวมกว่า 100,000 ล้านบาท หลังจากในช่วงปี 2563-2564 เอสซี แอสเสทได้รอดผ่านวิกฤตที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี​ เอสซี แอสเสท ชู 3 ยุทธศาสตร์สู่รายได้แสนล้าน ยุทธศาสตร์ 1: Thriving  “เติบโต บนสมรภูมิเดิม และน่านน้ำใหม่” เป้าหมายด้านการเติบโตของเอสซี แอสเสท คือ ทุกปีจะต้องสร้างรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่องตลอด 4 ปี เพื่อให้มีรายได้รวม 100,000 ล้านบาท ซึ่งปีนี้เป็นปีแรกที่เอสซี แอสเสท ตั้งเป้าหมายว่าจะทำรายได้เกิน 20,000 ล้านบาท และในปี 2568 มีรายได้แตะ 30,000 ล้านบาท พร้อมกับการเป็นแบรนด์ที่ 1 ในใจของกลุ่มลูกค้าด้วย   โดยรายได้หลักจะมาจากธุรกิจพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยสัดส่วน 80% และธุรกิจใหม่ที่บริษัทกำลังจะขยายเพิ่มอีก 20% ซึ่งในส่วนของธุรกิจใหม่ จะเป็นการหาโอกาสจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะเป็น Work from Anywhere และ Home is everything ซึ่งคือการทำงานจากที่ใดก็ได้ และสามารถสร้างรายได้จากที่บ้านได้ ซึ่งธุรกิจใหม่ที่จะขยายไป ได้แก่ Workation Hotel การลงทุนในธุรกิจอพาร์ทเมนท์ในสหรัฐอเมริกา รวมถึงธุรกิจอื่น ๆ ที่เตรียมเปิดตัวในเร็ว ๆ นี้อีกด้วย เป้าหมายแนวราบสร้างรายได้ 20,000 ล้านบาท ในปี 2025 และเป็นแบรนด์บ้านเดี่ยวอันดับ 1 ในใจผู้คน แนวสูงจะเป็นแบรนด์คอนโดอันดับ 1 สำหรับคน Gen Y พร้อมกับเปิดโครงการใหม่รวม 20,000 ล้านบาท  ใน 4 ปี ยุทธศาสตร์ 2: Connecting  การ “เชื่อมต่อ ทุกสิ่งถึงกัน สร้างคุณค่าที่มากกว่า” กับ 3 การเชื่อมต่อที่สำคัญ ได้แก่ เชื่อมต่อที่ 1 ตั้งแต่ปี 2561 เอสซี แอสเสท ได้นำเทคโนโลยีเข้ามาเชื่อมต่อการพัฒนาคุณภาพสินค้าและบริการ โดยปีที่ผ่านมามีการพัฒนาให้บ้านของเอสซี แอสเสท มีความฉลาดขึ้นกับ “RueJai IOS” ซึ่งปีนี้จะพัฒนาให้ดีขึ้น ด้วยการติดตั้งลำโพงอัจฉริยะ เพื่อให้สามารถสั่งงานต่าง ๆ ภายในบ้านได้ด้วยเสียงด้วย นอกจากนี้ ยังได้ร่วมกับ กลุ่มเอสซีจีติดตั้งระบบ Active Airflow & Air Quality Control ที่เป็นระบบการทำงานอัตโนมัติ นำอากาศเสียออกจากตัวบ้าน รวมถึง การดักจับสัญญาณควัน และแจ้งเตือนไปยังรปภ. ขณะที่แอปพลิเคชั่น RueJai พัฒนาไปสู่เวอร์ชั่น 3.0 การติดตั้งจุดชาร์ตรถหลังานไฟฟ้า เชื่อมต่อที่ 2 การนำเทคโนโลยี Blockchain ภายใต้ชื่อ SC MORNING COIN ที่เชื่อมต่อกับหน่วยงานภายนอก ที่จะทำให้พนักงานในองค์กร ลูกค้า และพันธมิตรทางธุรกิจ ให้ได้รับสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ การใช้เทคโนโลยี Blockchain ทำแล้วเราไม่ได้เปรีย แต่ถ้าเราไม่ทำเราจะเสียเปรียบเชื่อมต่อที่ 3 การสื่อสารภายใน ให้พนักงาน 1,200 คน ได้รับการติดต่อสื่อสารเชื่อมถึงกัน เพื่อการทำงานที่คล่องตัว และได้ทุกสถานการณ์ โดยจะใช้ดาต้าเป็นเครื่องมือสำคัญ ทั้งด้านการทำงานภายใน และการพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้า ​  ยุทธศาสตร์ 3: Sustaining “ยั่งยืน สร้างคุณค่า สู่ผู้คนและสิ่งแวดล้อม” กับ 3 คุณค่าที่สำคัญ ได้แก่ 1.การพัฒนาคุณภาพสินค้าให้มีมาตรฐาน 2.การส่งมอบคุณภาพชีวิตทั้งคู่ค้า และพนักงาน เพื่อให้เอสซี แอสเสท เป็นองค์กรธุรกิจอสังหาฯ ที่น่าทำงานอันดับ 1 และ 3.การสร้างคุณค่าสู่สิ่งแวดล้อม กับนโยบายการลดปริมาณก๊าซเรือนกระจก (Greenhouse Gases) ลง 20% ภายในปี 2568 เอสซี แอสเสท แผนปี ​ 2022 เปิด 27 โปรเจ็กต์ ในปี 2565 เอสซี แอสเสท ตั้งเป้าหมายรายได้และยอดขาย 22,000 ล้านบาท โดยมีการเปิดโครงการใหม่สูงเป็นสถิติใหม่ 27 โครงการ มูลค่า 40,000 ล้านบาท  แบ่งเป็นแนวราบ 25 โครงการ มูลค่า 33,500 ล้านบาท ซึ่งมากกว่า 70%  เป็นบ้านเดี่ยวราคามากกว่า 10 ล้านบาท โดยมีโครงการบ้านเดี่ยวระดับ 50 ล้านบาทด้วยในปีนี้ ส่วนคอนโดวางแผนเปิด 2 โครงการใหม่ มูลค่า 6,500 ล้านบาท บนทำเลใกล้รถไฟฟ้า BTS 2 สถานี คือ วงเวียนใหญ่ และทองหล่อ ซึ่งจะมีการเปิดโครงการในทุกแบรนด์และทุกทำเลทั่วกรุงเทพฯ และมีแบรนด์คอนโดใหม่เพิ่มเข้ามา 2 แบรนด์ จับกลุ่มลูกค้า Gen Y แม้กลุ่ม Gen X จะมีกำลังซื้อมากสุด แต่ต่อไปดีมานด์มากที่สุด คือ เจนวาย เราตั้งใจว่า 4 ปี เปิด 20,000 ล้านบาท 10 โคงการ 10 ทำเล ตอนนี้เรามีที่ดินเกือบครึ่งในการพัฒนาแล้ว​ จากแผนการเปิดตัวในปีนี้ จะส่งผลให้กลุ่มแอสซี แอสเสท มีโครงการพัฒนาเพื่อขายรวมทั้งสิ้น 78 โครงการ มูลค่า 69,000 ล้านบาท มีสัดส่วนแนวราบ 70% และแนวสูง 30%  พร้อมเตรียมงบลงทุนที่ดินใหม่ในปีนี้ 11,500 ล้านบาท เพื่อรองรับการเติบโตอย่างต่อเนื่องไปถึงปี 2568 อสังหาฯ 65 ยังแข่งรุนแรง สำหรับแนวโน้มธุรกิจอสังหาฯ ในปีนี้ นายณัฐพงศ์ มองว่า ที่ผ่านมาภาพรวมธุรกิจได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และในปีนี้ผู้ประกอบการรายใหญ่จะลุยทำธุรกิจกันมากขึ้น ส่งผลให้การแข่งขันจะรุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่ สำหรับตลาดแนวราบยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง และน่าจะเติบโตได้ดีตามวิถีโลกใหม่  ซึ่งปีที่ผ่านมายอดขายบ้านเติบโตถึง 29% มีมูลค่ากว่า 120,000 ล้านบาท  แต่อาจจะมีความท้ายทายในเรื่องการก่อสร้าง ที่ขาดแคลนแรงงงานที่ผู้ประกอบการทุกรายต้องบริหารจัดการให้ดี   นายณัฐพงศ์ กล่าวอีกว่า ตลาดคอนโดปีนี้ไม่แย่กว่าปีที่แล้ว เพราะในภาวะที่เกิดโควิด-19 ตลาดก็ยังไปได้ดี มีการระบายสต็อกลงไปได้ส่วนหนึ่ง และปีนี้มีความหวังว่าต่างชาติมีโอกาสจะเข้ามาในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะหลายประเทศเริ่มประกาศไม่ใส่หน้ากาก แต่ปีหน้าตลาดคอนโดดีขึ้นอย่างแน่นอน ตลาดแนวราบยังเติบโตอย่างน่าตื่นเต้น คนต้องการพื้นที่ จากเดิมอสังหาฯ เน้น โลเกชั่น โลเกชั่น โลเกชั่น แต่ปัจจุบันต้องการสเปซ สเปซ สเปซ ​สิ่งที่เราทำไปตอบโจทย์ความต้องการใหม่เหล่านี้ทันที ปัจจุบันบริษัทมีความพร้อม เนื่องจากมีสภาพคล่องสูง มีเงินสดและวงเงินพร้อมเบิกใช้กว่า 10,000 ล้านบาท และแม้ว่าที่ผ่านมาจะลงทุนจำนวนมาก แต่หนี้สินไม่ได้สูง ทำให้เมื่อเกิดอะไรขึ้นก็ตามบริษัทสามารถรับมือได้   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง เอสซี แอสเสท ลุย Q2 เปิดบ้านแนวราบ 1,145 ล้าน เดินหน้ารักษาแชมป์บ้านเดี่ยว ถอดกลยุทธ์ “เอสซี แอสเสท” ใช้ความยืดหยุ่น สร้างพอร์ตธุรกิจให้เติบโต พร้อมเพิ่มรายได้ประจำ    
ชีวาทัย  เดินแผนธุรกิจปี 65 สู่รายได้ 3,000 ล้าน  ปั้นโปรเจ็กต์ใหม่-ขยายสู่ธุรกิจขายบ้านมือสอง

ชีวาทัย เดินแผนธุรกิจปี 65 สู่รายได้ 3,000 ล้าน ปั้นโปรเจ็กต์ใหม่-ขยายสู่ธุรกิจขายบ้านมือสอง

ชีวาทัย เดินหน้าแผนธุรกิจปี 65 เตรียมเจรจาซื้อที่ดิน 6 แปลง ปั้นโครงการใหม่มูลค่า 5,000 ล้าน พร้อมวางเป้าทำรายได้ 2,800-3,000 ล้าน หลังตุน Backlog ในมือ 1,800 ล้าน ขณะเดียวกันมองหาโอกาสธุรกิจสร้างรายได้เพิ่ม และกระจายความเสี่ยง ประมูลทรัพย์มือสอง จากกรมบังคับคดี  รีโนเวทขายใหม่ทำกำไรขั้นต้น 30%   นายบุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) หรือ CHEWA เปิดเผยว่า ภาพรวมของปี 2565 ยังเป็นปีที่มีความท้าทายในการดำเนินธุรกิจ จากผลกระทบ​การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด – 19 ที่รุนแรงและต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่ปีที่ผ่ามา ส่งผลกระทบต่อทั้งประเทศ  นอกจากนี้ ยังมีปัญหากำลังซื้อของผู้บริโภค ที่ยังมีปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูง ทำให้ถึงแม้ว่ามีความต้องการซื้อบ้านและคอนโดมิเนียม แต่กำลังซื้ออาจจะมีไม่เพียงพอ รวมถึงยังต้องการสินค้าราคาถูก ทำให้ผู้ประกอบการต้องแข่งขันด้านราคาที่อยู่อาศัย เกิดเป็นสงครามราคา และภาวการณ์แข่งขันที่รุนแรง ซึ่งในบางทำเลก็อาจจะเกิดภาวะโอเว่อร์ซัพพลาย จากการเปิดตัวกันจำนวนมาก ในโครงการบ้านแนวราบ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีปัจจัยลบเกิดขึ้น แต่สัญญาณในเชิงบวกต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็ยังมีให้เห็น ไม่ว่าจะเป็น การปรับตัวเข้ากับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มองว่าเป็นเรื่องปกติในชีวิต กลุ่มคนระดับกลางยังมีกำลังซื้อที่ดี และมีความต้องการซื้ออสังหาฯ ดอกเบี้ยธนาคารยังอยู่ในอัตราต่ำ ยังมีการทำงานจากที่บ้าน (Work from Home)  ทำให้เกิดความต้องการบ้านแนวราบ แนวโน้มกลุ่มลูกค้าต่างชาติจะกลับเข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้น และแผนการพัฒนาโครงการของผู้ประกอบการจะมีเพิ่มมากขึ้น ชีวาทัย แผนปี 65 สร้างรายได้ 3,000 ล้าน สำหรับแผนธุรกิจปี 2565 เบื้อต้นบริษัทเปิดตัวโครงการใหม่ 1 โครงการ คือ โครงการชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค ลาดพร้าว-โชคชัย 4 (เฟส2) จำนวน 380 ยูนิต มูลค่าโครงการ 994 ล้านบาท เป็นคอนโดมิเนียมโลวไรซ์ สไตล์ Loft ที่ตั้งอยู่บนทำเลย่านลาดพร้าว มีห้องให้เลือกตั้งแต่ 26.0-45.50 ตร.ม. ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายและรับรู้รายได้ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้ โดยจะเปิดการขายในช่วงเดือนเมษายนนี้   นอกจากนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการเจรจาและศึกษาความเป็นไปได้ในการจัดซื้อที่ดินจำนวน​ 6 แปลง เพื่อพัฒนาโครงการรวมมูลค่า 5,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการ  คอนโดโลว์ไรซ์ แบรนด์ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค  2-3 โครงการ มูลค่าประมาณ 2,800 ล้านบาท บ้านเดี่ยว แบรนด์ชีวารมย์ 2 โครงการ มูลค่า 1,500 ล้านบาท และทาวน์โฮม แบรนด์ชีวาโฮม 1 โครงการ มูลค่าประมาณ 700 ล้านบาท โดยหากการเจรจาซื้อที่ดินเป็นผลสำเร็จจะเปิดตัวภายในปีนี้ แต่หากไม่สำเร็จจะเปิดตัวในปีต่อไป   ส่วนเป้าหมายรายได้ปี 2565 คาดว่าจะทำได้ 2,800-3,000 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้จะมี 2 โครงการใหม่มูลค่า 2,581 ล้านบาท ที่จะรับรู้รายได้ในปีนี้เป็นปีแรก ได้แก่ โครงการชีวาทัย  ฮอลล์มาร์ค ลาดพร้าว-โชคชัย 4 (เฟส2) มูลค่า 994 ล้านบาท และโครงการชีวาทัย ปิ่นเกล้า มีจำนวน 593 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,587 ล้านบาท   รวมถึงยังมีโครงการเดิมที่ยังมียอดขายรอรับรู้รายได้  (Backlog) ทยอยรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องมูลค่า 1,800 ล้านบาท และคาดว่าปีนี้จะมีอัตรากำไรเติบโต 4-10% ซื้อบ้านมือ 2 รีโนเวทปั้นรายได้ 400 ล้าน ชีวาทัย มองหาโอกาสทางการตลาด และการลดความเสี่ยง จากการดำเนินธุรกิจพัฒนาโครงการบ้านและคอนโด ด้วยการขยายธุรกิจใหม่ CHEWA RENUE ซึ่งเป็นการซื้อทรัพย์มือ 2 ที่กรมบังคับคดี เพื่อนำมารีโนเวทใหม่ และนำออกขาย นายบุญ กล่าวว่า ธุรกิจนี้มีความน่าสนใจ เพราะหลายทำเลไม่สามารถหาซื้อที่ดินมาพัฒนาโครงการได้แล้ว และถึงแม้หาซื้อได้ก็จะมีราคาแพง ทำให้พัฒนาโครงการออกมาแล้วราคาบ้านจะสูง ซึ่งการขยายมาธุรกิจดังกล่าว จะช่วยการกระจายความเสี่ยงทางธุรกิจ เพิ่มรายได้ให้กับบริษัท และยังเป็นทางเลือกให้กับกลุ่มลูกค้าที่สามารถเลือกซื้อที่อยู่อาศัยในทำเลที่ดีได้ โดยบริษัทคาดว่าจะสามารถทำรายได้จากธุรกิจดังกล่าวมูลค่า 400 ล้านบาท ภายในระยะ 3 ปีนับจากนี้ หลายโครงการอยู่ในทำเลที่ดี แต่ลูกค้ามีปัญหาการเงิน ทำให้บ้านถูกยึด เราไปประมูลแล้วนำมารีโนเวทขาย ซึ่งลูกค้าหลายคนก็ไม่มายด์ที่จะซื้อบ้านมือ 2 สำหรับทรัพย์ที่จะประมูลจากกรมบังคับคดี จะมีทั้งในส่วนของบ้านเดี่ยว และคอนโด โดยราคาคอนโดจะอยู่ประมาณ 2-3 ล้านบาท บ้านเดี่ยวระดับราคา 4-5 ล้านบาท ซึ่งหากการประมูลไม่มีคู่แข่งจะได้ราคาลดลงมาถึง 50% เมื่อบริษัทซื้อมาจะใช้ระยะเวลาประมาณ รีโนเวท กำไรขั้นต้น 30% กำไรสุทธิ 20%   ข่าวที่เกี่ยวข้อง ชีวาทัย เดินหน้าระบาสสต็อก ตุนเงินสดสร้างรายได้​ 2,500 ล้าน
อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนกุมภาพันธ์ 2565 แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยถูกสุด

อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนกุมภาพันธ์ 2565 แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยถูกสุด

อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ ถือว่าปี 2565 เป็นช่วงจังหวะที่ดี สำหรับกลุ่มคนที่มีความพร้อมทั้งด้านการเงินและการงาน ในการจะเลือกซื้อบ้านหรือคอนโดมาไว้ครอบครอง แม้ว่าภาวะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะยังคงมีอยู่ แต่เชื่อว่าจะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะปัจจัยสนับสนุนมีหลายอย่าง หนึ่งในปัจจัยสำคัญ คือ อัตราดอกเบี้ยการกู้ซื้อบ้าน ยังอยู่ในอัตราที่ไม่สูง แม้ว่าราคาวัสดุก่อสร้าง และต้นทุนอื่น ๆ จะเริ่มขยับเพิ่มขึ้นแล้วก็ตาม   นอกจาก อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน จะยังอยู่ในเกณฑ์ที่ต่ำแล้ว อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโด ก็อยู่ในทิศทางเดียวกัน โดยนับตั้งแต่ช่วงปลายปีที่แล้วมาจนถึงปัจจุบัน อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโด แทบไม่ได้ขยับเพิ่มขึ้นเลย จึงถือเป็นโอกาสดีสำหรับผู้ที่ซื้อบ้านมาแล้วครบกำหนดระยะเวลา 3 ปี และสามารถที่จะลองหาอัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่าเดิม เพื่อลดภาระค่าผ่อนชำระ และบางส่วนอาจจะสามารถกู้เงินเพิ่มมาใช้จ่ายในสิ่งที่จำเป็นได้อีกด้วย  ลองมาดูกันว่าอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโด ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2565 แต่ละธนาคารมีเท่าไรกันบ้าง มาอัพเดทกันดู อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ  มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการรีไฟแนนซ์บ้าน  กรณีหลักทรัพย์เป็นที่อยู่อาศัยทั่วไป เฉพาะวงเงินอนุมัติตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งอัตราดอกเบี้ยของเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ​นี้  ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีอัตราดอกเบี้ยให้เลือกด้วยกัน 3 ทางเลือก  ได้แก่ ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.00% กรณีไม่ทำประกัน  อัตราดอกเบี้ย 2.25% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 2.95% (MRR-3.00%) หลังจากนั้น 4.45% ​(MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.13-3.22% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.66-3.72% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.325% (MRR-3.625%)  กรณีไม่ทำประกัน ดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย  4.45% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.12-3.20% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.66-3.72% ทางเลือกที่ 3 ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.825% (MRR-3.125%) กรณีไม่ทำประกัน ดอกเบี้ย  3.075% (MRR-2.875%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.075% (MRR-2.875%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.45%  (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.45-3.53% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.86-3.92% หมายเหตุ -MRR = 5.95% ประกาศ ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 -วงเงินกู้สูงสุด เท่ากับ 100% ภาระหนี้คงค้าง และไม่เกินอัตราส่วนสินเชื่อสูงสุดตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -ระยะเวลากู้สูงสุด 30 ปี (เฉพาะพนักงานประจำสูงสุด 35 ปี) รวมอายุผู้กู้สูงสุด 65 ปี -ค่าธรรมเนียม คิดค่าสำรวจและประเมินหลักประกัน 3,210 บาท (ธนาคารจะคืนค่าสำรวจและค่าประเมินหลักประกันหลังจากลูกค้าได้รับอนุมัติและเบิกใช้สินเชื่อแล้ว) -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปี ตลาดอายุสัญญาวงเงินกู้ 2 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี -รายละเอียดและเงื่อนไขอื่น โปรดสอบถามจากธนาคาร -กรณีแสดงวัตถุประสงค์ เช่น เพื่อการต่อเติม/ซ่อมแซม/ตกแต่งที่พักอาศัย ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา หรือการจัดหาสินค้าหรือบริการเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนตัว เป็นต้น​ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค. 65 - 31 ม.ค. 65 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อและจดจำนองภายใน 2 เดือนนับแต่วันที่ ลงนามในสัญญากู้ -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบัน ตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ย กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง หากลูกค้ายกเลิก และไถ่ถอนหลักประกัน ก่อนระยะเวลา 3 ปี ไม่ว่ากรณีชำระหนี้ด้วยเงินสด หรือ รีไฟแนนซ์ธนาคารจะเรียกคืนค่าธรรมเนียมจดจำนองจากผู้กู้ -ธนาคารจะโอนเงินคืนค่าสำรวจและประเมินหลักประกันเข้าบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ที่ลูกค้า ใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 60 วัน หลังจากลูกค้าได้รับอนุมัติและเบิกใช้สินเชื่อกับธนาคารแล้ว พิเศษ รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยพิเศษปีแรก 0.25% เพียงสมัครสินเชื่อบ้านบัวหลวงพร้อมประกันชีวิตคุ้มครองเครดิต โฮมเฟิสต์ พลัส (ฉบับปรับปรุง) -กรณีจำนวนเงินเอาประกันภัยเต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี หรือเท่ากับระยะเวลาในสัญญากู้ -กรณีจำนวนเงินเอาประกันภัยอย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาเอาประกันภัยอย่างน้อย 70% ของระยะเวลาในสัญญากู้ (เฉพาะลูกค้าที่ทำสัญญากู้ตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป) 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน ซึ่งอัตราดอกเบี้ยเดือนกุมภาพันธ์ มีการคิดอัตราดอกเบี้ย  ดังนี้ ดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน กรณีฟรีค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบคงที่ ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.60% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.01% แบบคงที่ ไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.0% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.55% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.25% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.05% แบบลอยตัว ทำประกัน   ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.55% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =2.67% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.03% แบบลอยตัว ไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.45% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =2.77% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.06% ดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน กรณีธนาคารออกค่าจดจำนองให้ และฟรีค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบคงที่ ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.10% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.00% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =3.03% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.12% แบบคงที่ ไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.0% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.05% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.00% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =3.13% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.16% แบบลอยตัว ทำประกัน   ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.20% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =3.02% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.15% แบบลอยตัว ไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.10% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =3.12% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.19% หมายเหตุ การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ 1.ทำ MRTA/GLT SP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี 2.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ 3.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ***อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 31 มีนาคม 2565 MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีแคมเปญการให้บริการสินเชื่อรีไฟแนนซ์กับลูกค้า คือ  ฟรี ค่าประเมินหลักทรัพย์ ฟรี ค่าจดจำนอง ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 31 มี.ค. 65 โดยอัตราดอกเบี้ย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งคิดดอกเบี้ยตามรายละเอียด ดังนี้​ สำหรับวงเงินตั้งแต่ 1 -1.5 ล้านบาท ทางเลือก 1 ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.90% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย MRR-3.15% หลังจากนั้น MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.20% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-1.85% หลังจากนั้น MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.05% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.66% ทางเลือกที่ 3* ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.50% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.70% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-1.35% หลังจากนั้น MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.30% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.78% สำหรับวงเงินตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.75% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย MRR-3.85% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-1.75% = 4.3% หลังจากนั้น MRR-1.75% = 4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.40% ทางเลือก 2 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.0% หลังจากนั้น MRR-1.75% =4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.0% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.60% ทางเลือก 3 ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย MRR-2.70% = 3.35% หลังจากนั้น MRR-2.70% = 3.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.35% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.35% ทางเลือก 4* ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.25% หลังจากนั้น MRR-1.75% = 4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.74% ทางเลือกที่ 5 ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 0.50% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.25% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.05% หลังจากนั้น MRR-1.75%= 4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.61%   หมายเหตุ -สินเชื่อฟรีค่าจดจำนอง เฉพาะลูกค้าที่ซื้อ MRTA/MLTA ตามเงื่อนไขที่กำหนดเท่านั้น จึงจะสามารถเลือกรับดอกเบี้ยทางเลือกฟรีค่าจดจำนองได้โปรดอ้างอิงตาม Product Catalog_ประกัน (สาขากลาง) / Product Catalog_ประกัน(สาขาภูมิภาค) และ ใบข้อเสนอ (QE) -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 1.5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาทแต่ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 3 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้าซื้อ MRTA/MLTA หาก ค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -กรณีลูกค้าเลือกรับอัตราดอกเบี้ยทางเลือกที่ 3 (วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท) หรือทางเลือกที่ 4 (วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป) ฟรีค่าจดจำนองตามเงื่อนไขที่กำหนด -กรณีลูกค้าเลือกรับอัตราดอกเบี้ยทางเลือกที่ 1-2 (วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท) หรือทางเลือกที่ 1-3(วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป) หรือทางเลือกที่ 5(วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป) รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปีเฉพาะในปีที่ 1 ทั้ง 2 กรณีลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์​MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรีเซฟตี้โลน 2 MLTA : กรุงศรีรักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรีรักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ประจำ ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรืออย่างน้อย 50% ของวงเงินกุ้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน -MRR =6.05% (ณ 21 พ.ค.63) -ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-30 เม.ย.65 และจดจำนอง และเบิกเงินกู้ภายในวันที่ 31 พ.ค. 65 -ธนาคารสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิดภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) -รายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติม สอบถามได้จากธนาคาร​ 4.ธนาคารกสิกรไทย อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้านของธนาคารกสิกรไทย ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา  โดยธนาคารกสิกรไทยมีบริการสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ ดังนี้ ปีที่ 1 MRR = 5.97% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.97% หมายเหตุ -MRR = 5.97% ( ณ วันที่ 22 พ.ค.63) -สำหรับผู้ที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค.65 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีแคมเปญ KKP Home Loan Refinance สำหรับลูกค้าบ้านรีไฟแนนซ์ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ในอัตราที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ ทางเลือก ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.59% ปีต่อไป MLR-1.75% = 4.775% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.79% ปีต่อไป MLR-1.75% = 4.775% ทางเลือก ดอกเบี้ยแบบลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.79% ปีต่อไป MLR-1.75% = 4.775% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.99% ปีต่อไป MLR-1.75% หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง​ เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา​ (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว โดยจะประกาศไว้​ ณ สถานที่ทำการให้บริการและเว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที 18 สิงหาคม​ 2563 เท่ากับ 6.525% ตอ่ ปี 3.เลือก​ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA)​ ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 1​​0 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปีให้ระยะเวลาเอาประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ​ 3 ปีแรก คิดค่า Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง​ 5.กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง หากลูกค้า​ Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ทุกกรณี ลูกค้าต้องชำระคืนค่าจดจำนองที่ธนาคารเคยสำรองจ่ายให้ แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น​ 3,210 บาท ค่าอากรแสตมป์ ร้อยละ​ 0.05 ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน​ 10,000 บาท) 7.ค่าธรรมเนียมติดตามทวงถามหนี้ : ค้างชำระ 1 งวด 50 บาท/รอบการทวงถามหนี้ ค้างชำระมากกว่า 1 งวด 100 บาท/รอบการทวงถามหนี้ 8.เบี้ยประกันอัคคีภัย เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันภัยกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ที่ให้อัตราดอกเบี้ยเท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา โดยประเภทสินเชื่อรีไฟแนนซ์ และขอวงเงินเพิ่ม (กรณีไม่ขอวงเงินเพิ่มมีอัตราดอกเบี้ยเฉพาะสอบถามได้จากทางธนาคาร) มีอัตราการคิดดอกเบี้ย ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 30,000 บาทขึ้นไป แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  (MRR-3.66%) = 3.69% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย (MRR-2.00%) =5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.69% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.93% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย   (MRR-3.36%) = 3.99% หลังจากนั้น (MRR-2.00%) = 5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.01% สำหรับพนักงานเงินเดือน 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ขึ้นไป ทางเลือก 2 แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-3.36% = 3.99% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.00% = 5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.01% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-3.06% = 4.29% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.00% = 5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.29% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.08% หมายเหตุ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 10 เมษายน 2563) กรณีไม่ขอวงเงินเพิ่ม สอบถามรายละเอียดกับทางธนาคารโดยตรง 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบีมีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอัตราการคิดดอกเบี้ย สำหรับเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ​ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-3.53% =2.75% หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย (MRR-1.63%)=4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.02% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.18%=3.1% หลังจากนั้น (MRR-1.63%)= 4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี อัตรา 3.10% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.14% ทางเลือก 3 (สมัครผลิตภัณฑ์ไม่ครบทั้ง 3 ประเภท) ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย (MRR-2.74%) = 3.54% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีดอกเบี้ย 3.54% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.29% สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อบ้าน สไมล์ โฮม หรือ สไมล์ โฮม พลัส 2.สมัครใช้บริการ หักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ทีทีบีเพื่อผ่อนช าระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ทีทีบี (กรณีที่มีบัตรเดบิต ทีทีบีแล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) ช่วยคุณประหยัดดอกเบี้ยได้มากขึ้น ผ่อนต่อเดือนน้อยลง และเป็นเจ้าของบ้านได้เร็วขึ้น เมื่อรีไฟแนนซ์บ้านกับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ยให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท  รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ นาน 3 ปี  ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท  ฟรี! ค่าจดทะเบียนจำนอง มูลค่า 1% ของเงินกู้สูงสุด 200,000 บาท  ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง หมายเหตุ : -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -MRR (Minimum Retail Rate: อัตราดอกเบี้ย ลูกค้ารายย่อยชั้นดี) = 6.28% ต่อปี ณ วันที่ 7 พ.ค. 2564 -การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการ พิจารณาสินเชื่อ -สำหรับลูกค้าที่ยื่นที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.​-30 มิ.ย. 65 และจดจำนองภายในวันที่ 31 ก.ค. 65 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อทั่วไปที่รีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินอื่น โดยเดือนกุมภาพันธ์ 2565  ​ยังคงอัตราดอกเบี้ยเท่ากับเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% ปีต่อไป MRR-0.72%= 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.242% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.90% ปีต่อไป MRR-0.72% = 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.174% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10 ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร.1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 9 ส.ค.2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำหรับธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส. ถือว่าเป็นธนาคารสำหรับการให้สินเชื่อเพื่อซื้อบ้านและคอนโด รวมถึงสินเชื่ออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรง มีสินเชื่อให้เลือกมากมายหลายประเภท สำหรับการรีไฟแนนซ์บ้านจากสถาบันการเงินอื่นก็เช่นกันมีหลากหลายประเภท โดยในส่วนสินเชื่อบ้านสุขสันต์ เพื่อให้ลูกค้าใช้บริการรีไฟแนนซ์  โดยอัตราดอกเบี้ยสำหรับเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ​​โดยมีรายละเอียดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ แบบที่ 1 สำหรับกลุ่มลูกค้าสวัสดิการ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.99% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.16%= 2.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.65%=3.5% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย MRR-1.0%= 5.15% แบบที่ 2 สำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อย ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.09% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย  MRR-3.06%= 3.09% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-2.55%=3.6% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย MRR-0.5%=5.65%   หมายเหตุ -นิยามคำว่า “อาคาร” หมายถึง บ้านเดี่ยว บ้านแฝดทาวน์เฮ้าส์ และอาคารพาณิชย์เพื่อที่อยู่อาศัย ยกเว้นแฟลต และบ้านเช่า -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ร้อยละ 0.1 ของวงเงินทำนิติกรรม -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 4 ม.ค.-30 ธ.ค.​65 อนุมัติและทำนิติกรรมภายใน​ 30 ธ.ค.​​ 65 (ทั้งนี้ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเต็มวงเงินของโครงการแล้ว) -MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พ.ค. 64 10.ธนาคารยูโอบี สำหรับธนาคารยูโอบี มีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ UOB Home Loan - รีไฟแนนซ์ ​วงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์ (ส่วนสินเชื่อประเภทรีไฟแนนซ์ไม่รวมวงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมกับทางธนาคาร​)  ซึ่งอัตราดอกเบี้ยในเดือนกุมภาพันธ์ 65 ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า​ รายละเอียดดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.89% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-4.46%)= 2.89% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.60% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-4.36%) = 2.99% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.99% ลดลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.64% ทางเลือก 3 แบบทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 1.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.36%) = 4.99% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.60% ทางเลือก 4 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.09% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.26%) = 5.09% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.09% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.64% หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ​ (MRTA) ผ่านธนาคารยูโอบี -ทุนประกันเต็มวงเงินกู้และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ ​10 ปีหรือ​ -ทุนประกันขั้นต่ำ ​80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มระยะเวลากู้​ 2.อัตราดอกเบี้ย สำหรับสินเชื่อรีไฟแนนซ์วงเงิน​ 1 ล้านบาทอายุสัญญา​ 15 ปี MRR = 7.35% ต่อปีอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้สำหรับโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับทำสัญญากู้ยืม​ของลูกค้าแต่ละรายอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย​ 3.อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับวงเงินเพิ่มไม่เกิน​ 50% ของวงเงินกู้รวมทั้ง ทั้งนี้ไม่นับรวมวงเงินกู้สินเชื่ออื่นเพื่อชำระค่าเบี้ย​ประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินชื่อ ​ (MRTA) วงเงินกู้รีไฟแนนซ์สูงสุด รวมส่วนกู้เพิ่มต้องไม่เกิน 95% ของราคาประเมิน ขึ้นอยู่กับรายได้ ประเภทของลูกค้า / ประเภทและที่ตั้งของหลักประกัน/ ราคาหลักประกัน / จำนวนสัญญากู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของลูกค้า วงเงินกู้รีไฟแนนซ์อนุมัติ รวมส่วนกู้เพิ่มต้องไม่เกินวงเงินกู้รีไฟแนนซ์ 4.กรณีกู้โดยไม่รวมวงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์และรายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาติดต่อธนาคารโดยตรง 5.สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่ ​1 ม.ค.​- 31 มี.ค.​ 65 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายในวันที่ 29 เม.ย. 65 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีแคมเปญสินเชื่อรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด ดอกเบี้ยต่ำ เพียง 0.59% ต่อปี ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยคิดดอกเบี้ยดังนี้ แบบที่ 1 สำหรับผู้กู้รายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.59% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-6.76% = 0.59% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.37% = 3.98% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.67% แบบที่ 2 ปีที่ 1 ดอกเบี้ยคงที่ 0.79% หรือ ผ่อนล้านละ 3,5000 บาท ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ยคงที่ MRR-3.32% = 4.03% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.74% แบบที่ 3 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.35%=2.00% ปีที่ 3 MRR-3.55%=3.80% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 4 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10% หรือ ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-3.45% = 3.90% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.64% แบบที่ 5 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-4.75% = 2.60% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 6 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.80% หรือ ผ่อนล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% แบบที่ 2 สำหรับผู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.79% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-6.56% = 0.79% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.32% = 4.03% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.74% แบบที่ 2 ปีที่ 1 ดอกเบี้ยคงที่ 0.99% หรือ ผ่อนล้านละ 3,5000 บาท ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ยคงที่ MRR-3.27% = 4.08% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.05% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.81% แบบที่ 3 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.25%=2.10% ปีที่ 3 MRR-3.45%=3.9% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.64% แบบที่ 4 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.20% หรือ ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-3.35% = 4.00% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.70% แบบที่ 5 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-4.65% = 2.70% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 6 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.90% หรือ ผ่อนล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.82% ข้อกำหนดและเงื่อนไข 1.สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า Refinance ดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.59% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป หรืออัตราดอกเบี้ย 0.79% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป และเบิกรับเงินกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.-31 มี.ค.65 2.วงเงินกู้เริ่มต้น 1.0 ล้านบาท และราคาประเมินหลักประกัน (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.0 ล้านบาท หรือ (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.5 ล้านบาท (โครงการจัดสรรทุกโครงการ) 3.อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขดังกล่าว สำหรับหลักประกันที่ได้รับการจัดสรรทุกโครงการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ยกเว้น ที่ดินว่างเปล่า, อาคารพาณิชย์ 4.กรณีลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือสูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือเปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรกทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 5.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี 6.ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำล้านละ 3,500 บาท ได้ในแบบอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่เท่านั้น 7.อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ วันที่ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย 8.อัตราดอกเบี้ย หลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด 12 ธนาคารออมสิน ธนาคาออมสิน มีสินเชื่อเคหะ เพื่อซื้อ สร้างต่อเติม หรือ รีไฟแนนซ์ พร้อมแคมเปญ ฟรีค่าบริการสินเชื่อ ค่านิติกรรมสัญญา และค่าจดจำนอง ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยประจำเดือนกุมภาพันธ์ สำหรับลูกค้าทั่วไป ดังนี้ แบบทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.34% =2.905% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.6% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.126% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.250% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.72%) = 3.525% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.10% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.310%   หมายเหตุ -MRR=6.245% ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 25 พ.ค.63 -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระ 20 ปี แบบผ่อนเท่ากันทุกงวด -ทำประกัน หมายถึง การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ โดยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข เป็นไปตามธนาคารกำหนด -เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเคหะตามโปรโมชั่น สมัครบริการ MyMo และผลิตภัณฑ์/บริการอื่นของธนาคารอย่างน้อย 2 ประเภท ได้แก่ บัตราอิเล็กทรอนิกส์/บัตรเครดิต หรือสินเชื่อบัตรเงินสด/ชำระสินเชื่อหักผ่านบัญชี/ประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ ทั้งนี้ หากลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์/บริการอื่นตามที่กำหนดอยู่แล้ว สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้ และกรณีไม่มี Smartphone ให้สมัครผลิตภัณฑ์/บริการอื่นของธนาครตามที่กำหนดแทนได้ -กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนองให้ตามที่จ่ายจริง (รวมทุกสัญญาที่กู้ในคราวเดียวกัน) และลูกค้าต้องสำรองจ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินไปก่อนโดยธนาคารจะโอนเงินหลังหักภาษี ณ ที่จ่าย 1% ของเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองคืนภายใน 30 วัน -กรณีผู้กู้ชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น หรือไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด (Prepayment) ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามที่ธนาคารกำหนด (ปัจจุบันร้อยละ 3.0 ของยอดเงินคงเหลือ) ทั้งนี้ กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยกรณีไถ่ถอนจำนองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินอื่น (Re-Finance) และฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง ผู้กู้จะต้องชำระค่าจดจำนองคืนแก่ธนาคารเต็มจำนวน -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่น ๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า​   ที่มา : Reviewyourliving รวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ธนาคาร ณ วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2565   บทความที่เกี่ยวข้อง อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนตุลาคม 2564 แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยถูกสุด อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกุมภาพันธ์ 2565
ส่อง ตลาดคอนโด ปี 65 กับปัจจัยน่ากังวล หลัง Q4/64 ยอดขายใหม่ทำได้แค่ 25%

ส่อง ตลาดคอนโด ปี 65 กับปัจจัยน่ากังวล หลัง Q4/64 ยอดขายใหม่ทำได้แค่ 25%

ตลาดคอนโด ไตรมาส 4 ปี 64 ดีเวลลอปเปอร์แห่เปิดใหม่กว่า 11,252 ยูนิต แต่อัตราขายได้ยังต่ำแค่ 25.2% แถมราคาขายยังลด เหตุผู้ประกอบการเร่งระบายสต็อก ลดราคา อัดโปรโมชั่น ส่วนแนวโน้มตลาดคอนโด ปี 65 เริ่มสัญญาณการฟื้นตัว แต่ยังมีปัจจัยกังวล ทั้งเงินเฟ้อ ราคาสินค้าพุ่ง การระบาดของโควิด-19   ตลาดคอนโดมิเนียมในช่วง 2 ที่ผ่านมา ถือว่าได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มีการประเมินว่าภาพรวมปี 2564 ตลาดคอนโตติดลบไปถึง 30% ทั้งในส่วนของการเปิดตัวโครงการใหม่ และการขาย   ขณะที่ผู้ประกอบการหลายรายต่างก็มองว่า ที่ผ่านมาเป็นช่วงเวลาต่ำสุดของตลาดคอนโดแล้ว ในปี 2565 น่าจะเป็นการฟื้นตัวของตลาดคอนโด ให้กลับมาเติบโตอย่างค่อยเป็นค่อยไปอีกครั้ง โดยอยู่ภายใต้สมมติฐานที่ว่าการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่กลับมารุนแรงจะควบคุมไม่อยู่อีกครั้ง   อย่างไรก็ตาม คงจะไม่มีใครสามารถฟันธงลงไปได้ว่า ตลาดคอนโดในปี 65 จะมีภาพที่ชัดเจนออกมาอย่างไร ซึ่งทุกอย่างล้วนแต่อยู่ภายใต้การประเมินจากปัจจัยและสถานการณ์ต่าง ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งสุดท้ายแล้วคงต้องติดตามสถานการณ์กันต่อไปอย่างต่อเนื่อง แต่เพื่อให้มองเห็นภาพในอนาคต คงต้องย้อนกลับไปดูสถิติและสถานการณ์ของตลาดคอนโด ที่เกิดขึ้นในช่วงไตรมาส 4 ที่ผ่ามา ว่าบนสรุปเป็นอย่างไร เพื่อที่จะได้ประเมินทิศทางต่อไปของตลาดคอนโดในปี 65 ได้ชัดเจนเพิ่มมากขึ้น​ ตลาดคอนโด Q 4/64 ได้ปัจจัยบวกหนุนให้เปิดเพิ่ม นายณัฎฐา คหาปนะ รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าสำนักงานไนท์แฟรงค์ ภูเก็ต บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า สถานการณ์ตลาดคอนโดไตรมาส 4 ปี 2564 พบว่ามีการเคลื่อนไหวในด้านจำนวนมากขึ้น จากเดิมที่มีการชะลอตัวการเปิดโครงการใหม่ตลอดทั้งปี โดยผู้ประกอบการเริ่มกลับมาเปิดขายโครงการมากขึ้นในไตรมาสนี้ เนื่องจากรัฐบาลผ่อนปรนและยกเลิกมาตราการการล็อคดาวน์และเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะมาตราการลดระยะเวลาการกักตัวในรูปแบบ Test & Go   นอกจากนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยได้มีมาตราการผ่อนปรน LTV เป็นการชั่วคราวจนถึงสิ้นปี 2565 ซึ่งส่งผลบวกต่อกลุ่มนักลงทุนและผู้ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในการขอสินเชื่อกับธนาคาร โดยผู้ประกอบการมองว่าเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการเปิดขายโครงการใหม่ แม้ว่าภาพรวมตลาดคอนโดในไตรมาส 4 นี้ จะมีสัญญาณที่ดีขึ้น แต่การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์ “โอมิครอน” ทำให้ผู้ประกอบการต้องวางแผนกลยุทธ์ตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เพื่อจับกลุ่มเรียลดีมานด์ซึ่งเป็นกำลังซื้อหลักในเวลานี้เท่านั้น ตลาดคอนโด Q4/64 เปิดกว่า 1.1 หมื่นยูนิต ตลาดคอนโดในกรุงเทพฯ ช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น 11,252 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วนเกือบ 56% ของจำนวนทั้งปี 2564 ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 20,015 ยูนิต   โดยในไตรมาส 4 ปี 2564  มีจำนวนคอนโดขายใหม่เพิ่มขึ้น​ 62.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น​ 79.5% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า โดยจำนวนคอนโดที่เปิดตัวใหม่ ตั้งอยู่ในเขตต่าง ๆ ดังนี้ -บริเวณชานเมือง 7,117 ยูนิต สัดส่วน​ 76% หรือ -บริเวณรอบเขตศูนย์กลางธุรกิจ (City Fringe) สัดส่วน 13% -บริเวณศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) สัดส่วน 11% ตามลำดับ โดยจำนวนที่เปิดขายใหม่ยังเป็นกลุ่มผู้ประกอบการรายใหญ่สูงถึง 70% จากจำนวนที่เปิดขายทั้งหมด ส่วนที่เหลือเป็นโครงการของผู้ประกอบการรายกลางและรายย่อย  ซึ่งคอนโดที่เปิดขายใหม่ในไตรมาสนี้อยู่ในระดับราคา 0.9 – 3.5 ล้านบาท หากแยกตามเกรดจะพบว่ามีสัดส่วน ดังนี้ -คอนโด เกรดซี สัดส่วน 63% -คอนโด เกรดบี สัดส่วน ​37% แสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการเลือกที่จะเปิดขายคอนโดมิเนียมในระดับราคาเฉลี่ยที่ประมาณ 80,000-100,000 บาท/ตร.ม. เพราะเป็นสินค้าที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มที่เป็นกำลังซื้อหลักในช่วงนี้ ตลาดคอนโด ขายได้ใหม่ยังต่ำแค่ 25.2% ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2564 เป็นช่วงที่ประเทศไทยผ่านพ้นสถานการณ์การแพร่ระบาดหนักของโควิค-19 เนื่องจากการเร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชนในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้รัฐบาลสามารถลดจำนวนผู้เสียชีวิต และผู้ป่วยหนักให้ต่ำกว่าจุดวิกฤตได้  ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจ รวมถึงตลาดคอนโดเริ่มกลับมามีการเคลื่อนไหว จากการที่ผู้ประกอบการได้กลับมาทยอยเปิดขายโครงการใหม่มากขึ้น   จำนวนยูนิตขายได้ใหม่ในไตรมาส 4 ปี 2564 มีคอนโดขายได้ใหม่อยู่ที่ 2,835 ยูนิต  คิดเป็นอัตราการขายได้ 25.2% จากจำนวนที่เปิดขายใหม่ทั้งสิ้น 11,252 ยูนิต   การขายลดลงในอัตรา 8.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า และลดลง​12.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา สาเหตุมาจาก  จำนวนยูนิตเปิดขายใหม่มีค่อนข้างมาก  ในขณะที่ยูนิตขายได้กลับมีน้อยเพราะเป็นโครงการที่ขายเพียงใบจองเท่านั้น แม้ว่าจะมียูนิตขายที่น้อยแต่ก็มั่นใจได้ว่าห้องที่ถูกขายไปนั้นจะไม่ได้รับการยกเลิก เนื่องจากโครงการมีการประเมินศักยภาพลูกค้ามากขึ้นเพื่อให้สามารถปิดการขายได้จริง ส่งผลให้ในอนาคตยอดปฏิเสธสินเชื่ออาจจะลดลง   โดยกลุ่มผู้ซื้อส่วนใหญ่เป็นกลุ่มกำลังซื้อระดับกลางที่ยังมีรายได้แน่นอนและมีมากกว่ากลุ่มนักลงทุน เนื่องจากโครงการที่เปิดขายจะอยู่ในโซนชานเมืองซึ่งเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยเป็นหลัก ทำให้กลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัย (Real Demand) ที่มีความพร้อมในการซื้อค่อนข้างให้ความสนใจโครงการ โดยเฉพาะห้องที่มีระดับราคาไม่เกิน 3 ล้าน ราคาขายคอนโดปรับตัวลดลงทุกพื้นที่ ราคาเสนอขายคอนโดในกรุงเทพฯ ​ณ ไตรมาสที่ 4 ปี 2564 ปรับตัวลดลงในทุกพื้นที่ จากไตรมาสที่ 3 ปี 2564 -ราคาเสนอขายคอนโดบริเวณศูนย์กลางธุรกิจอยู่ที่ 239,689 บาท ต่อ ตารางเมตร ลดลง 4.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า และลดลง​ 0.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า -ราคาเสนอขายคอนโดบริเวณรอบเขตศูนย์กลางธุรกิจ (City Fringe) อยู่ที่ 115,659 บาท ต่อ ตารางเมตร ลดลง 6.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า และลดลง​ 1.1 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ​ -ราคาเสนอขายของคอนโดบริเวณชานเมืองกรุงเทพฯ ​อยู่ที่ 63,258 บาท ต่อ ตารางเมตร ลดลง 8.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีก่อนหน้า และลดลง​ 2.1% เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า   สาเหตุสำคัญที่ราคาคอนโด​ในไตรมาสที่ 4 ปี 2564 ปรับตัวลดลง -การลดราคาขาย พร้อมจัดโปรโมชั่น​ สำหรับโครงการที่เปิดการขายมานานและยังไม่สามารถปิดการขายได้ -การลดราคา เพื่อให้สอดคล้อ งกับมาตราการลดค่าโอน – จำนอง ในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท -การระบายสต็อกของบางโครงการ ​ ตลาดคอนโดกรุงเทพฯ ปี 65 ส่งสัญญาณฟื้น ตลาดคอนโด ตลอดทั้งปี 2564 นับเป็นปีที่ค่อนข้างหนักสำหรับผู้ประกอบการพัฒนาคอนโด เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่ผ่านมา จากการแพร่ระบาดของโควิค-19 ที่มีผู้ติดเชื้อจำนวนมาก ทำให้รัฐบาลต้องประกาศล็อคดาวน์ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจทุกภาคส่วน   สำหรับปี 2565 นี้ เชื่อว่าตลาดคอนโดมีแนวโน้ม ทยอยกลับมาฟื้นตัวและมีความคึกคักมากขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการรายใหญ่มีแผนเปิดตัวโครงการมากขึ้น โดยคาดว่าจะมีโครงการเปิดใหม่อยู่เฉลี่ยประมาณ 10,000 ยูนิต ในไตรมาสแรกของปี 2565 อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยเสี่ยงที่น่ากังวล 1.การระบาดของโควิค-19 สายพันธุ์ “โอมิครอน” หากมีการแพร่ระบาดที่รุนแรง ส่งผลให้มีจำนวนผู้เสียชีวิตและผู้ป่วยหนักมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ อาจส่งผลให้รัฐบาลต้องออกคำสั่งให้กลับเข้าสู่การล็อคดาวน์อีกครั้ง 2. ภาวะเงินเฟ้อที่จะส่งผลต่อราคาสินค้าอุปโภคและบริโภค รวมถึงราคาวัสดุก่อสร้างให้เพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจยังชะลอตัว   ทั้งนี้ในส่วนของตลาดอสังหาริมทรัพย์ รัฐบาลได้มีมาตราการช่วยเหลือและกระตุ้นกำลังซื้อ อาทิ การลดค่าโอน-จำนองที่ยืดระยะเวลาออกไปเป็นมาตราการที่กระตุ้นกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงซึ่งคนกลุ่มนี้ยังเป็นกำลังซื้อหลักในช่วงเวลานี้   เมื่อพิจารณาถึงภาพรวมของราคาขายคอนโด มีแนวโน้มที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น อันเนื่องมาจากต้นทุนในการพัฒนาของผู้ประกอบการเริ่มสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นราคาที่ดินรวมถึงราคาวัสดุก่อสร้าง อาจจะเริ่มเห็นหลายโครงการเปิดขายโครงการในราคาต่อราคาเมตรที่สูงขึ้นในปีนี้ และหากโครงการอยู่ในทำเลที่ดี โอกาสในการต่อราคาของผู้ซื้อจะทำได้ยากขึ้น   อย่างไรก็ตาม แม้โครงการจะมีราคาขายที่สูงขึ้น  แต่หากการพัฒนารูปแบบโครงการ และอยู่ในทำเลที่เหมาะสม ก็จะเป็นตัวกำหนดให้ได้รับความสนใจจากผู้ซื้อได้เช่นกัน โดยแนวทางการพัฒนาที่อยู่อาศัยในปี 2565 คาดว่าจะมีการออกแบบเพื่อรองรับความเป็นส่วนตัวและให้ความสำคัญในด้านสุขภาพ รวมถึงการมีเทคโนโลยีที่อำนวยความสะดวกต่อการดำเนินชีวิตให้ง่ายขึ้น คอนโดระดับราคาตั้งแต่ 0.9 - 3 ล้านบาท เป็นราคาที่ได้รับความสนใจจากกลุ่มเรียลดีมานด์ซึ่งเป็นกำลังซื้อหลักในช่วงเวลานี้ ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีของผู้ประกอบการที่จะเร่งระบายสต็อกออกไป โดยการทำโปรโมชั่นราคาเพื่อให้สอดรับกับมาตราการลดค่าโอน-จำนองของรัฐบาล เพื่อให้สามารถเข้าถึงกลุ่มผู้ซื้อกลุ่มนี้ ทั้งเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น   ระดับราคาคอนโดที่กลุ่มเรียลดีมานด์ให้ความสนใจ อยู่ในช่วงราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีของผู้ประกอบการที่จะทำโปรโมชั่นราคา เพื่อให้สอดรับกับมาตราการลดค่าโอน-จำนองของรัฐบาล และเป็นการระบายสต็อกที่ยังคงเหลืออยู่ออกไป   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง 10 บิ๊กอสังหาฯ กวาดยอดขายบ้านและคอนโด ไตรมาส 2 กว่า 51,650 ล้าน
อสังหาฯ ลุยต่อ “ดิจิทัลแอสเซท” ปี 65  ขน NFT- คริปโทฯ เจาะไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่

อสังหาฯ ลุยต่อ “ดิจิทัลแอสเซท” ปี 65 ขน NFT- คริปโทฯ เจาะไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่

คริปโทเคอร์เรนซี ปี 2565 ได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น และกลายเป็นกระแสที่มีการพูดถึงกันอย่างมาก ตั้งแต่ต้นปีเลยทีเดียว ไม่เฉพาะกับคนที่เทรดเหรียญดิจิทัล หรืออยู่ในแวดวงการเงินดิจิทัลเท่านั้น แต่เป็นประเด็นที่แทบทุกธุรกิจต่างพูดถึงกัน เพราะมีทั้งกระแสข่าวว่ากรมสรรพากรที่จะออกมาจัดเก็บภาษี ข่าวการออกมาเบรก ไม่ให้มีการนำสินทรัพย์ดิจิทัลมาใช้เป็นสื่อกลางในการชำระค่าสินค้าและบริการ (Means of Payment)   จากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)   สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และกระทรวงการคลัง จึงทำให้หลายธุรกิจกังวลใจ และมีการชะลอการนำเอาคริปโทเคอร์เรนซีมาใช้ธุรกิจของตนเอง ต้องรอความชัดเจนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดก่อน   แต่อย่างไรก็ตาม โลกของดิจิทัล สินทรัพย์ดิจิทัล และการเงินดิจิทัล เป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจไม่สามารถปฏิเสธได้ เพราะเรื่องดังกล่าวกำลังเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตผู้บริโภคยุคปัจจุบัน ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์เอง แม้ว่าจะเป็นสินค้ามีมูลค่าสูง ที่ผู้บริโภคหนึ่งคนอาจจะซื้อมาครอบครองได้เพียง 1 ครั้งในชีวิต แต่ธุรกิจอสังหาฯ โดยเฉพาะตลาดที่อยู่อาศัยไม่ได้มีแค่เรื่องการซื้อขายบ้านหรือคอนโดมิเนียมเท่านั้น ในกระบวนการและขั้นตอนต่าง ๆ ของธุรกิจอสังหาฯ ยังมีอีกมากมาย นับตั้งแต่กระบวนการก่อนซื้อไปจนถึงการบริการหลังการขาย ทำให้ดีเวลลอปเปอร์ต้องก้าวเข้าสู่โลกการเงินดิจิทัล สินทรัพย์ดิจิทัล และวงการคริปโทเคอร์เรนซี ในรูปแบบต่าง     ๆ   ปัจจุบันมีบริษัทอสังหาฯ มากกว่า 20 บริษัทที่ก้าวเข้ามาสู่วงการ และการเงินดิจิทัล ซึ่งมีแผนธุรกิจและแผนงานแตกต่างกันไป แต่ล้วนมุ่งสู่การนำเอามาช่วยสร้างการเติบโต และตอบโจทย์ทางการตลาด โดยเฉพาะการตอบโจทย์ผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป คริปโท ฯ ในแวดวงอสังหาฯ ปี 65 บูทิค เปิดขาย NFT 99 แบบภายใน 24 ชั่วโมง บริษัท บีสโปค ไลฟ์ ไซเอนซ์ จำกัด (“บีสโปค”) ภายใต้บริษัท บูทิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ที่ดำเนินธุรกิจด้านโรงแรมและศูนย์การค้า ได้เดินหน้าเข้าสู่วงการ Non-Fungible Token (NFTs) เป็นครั้งแรก ด้วยการเปิดตัว NFT ชุดแรกของ CannaThai420 ที่มีจำนวนจำกัดบนบล็อกเชน Ethereum โดย NFT ชุด Seed Plant ทั้ง 99 แบบที่ไม่ซ้ำกันเลยนั้น ทำยอดขายกว่า 22 Ethereum ภายในระยะเวลาเพียง 24 ชั่วโมง นับเป็นการประสบความสำเร็จก้าวแรกของโครงการ CannaThai420 ที่เพิ่งริเริ่มขึ้นได้เพียง 2 เดือนเท่านั้น โดย NFT ชุดแรกของ CannaThai420 หรือ Seed Plant NFTs วางจำหน่ายบนเว็บไซต์ http://www.CannaThai420.com เมื่อวันที่ 28 มกราคม 2565 เวลา 13.00 น. ที่ผ่านมา ทางบูทิคได้ปล่อยขาย NFT ครั้งแรกรวม 99 แบบ จากทั้งหมด 120 แบบที่ผลิตในชุด Seed Plant ครั้งนี้ โดยส่วนที่เหลืออีก 21 แบบนั้น จะถูกเก็บไว้ในคลังของ CannaThai420 เนื่องจากวงจรการปลูกต้นกัญชาแม่พันธุ์ไม่จำเป็นต้องเริ่มจากการเพาะเมล็ดพันธุ์ซ้ำแล้ว ดังนั้น Seed Plant NFT ที่สร้างขึ้นจึงจะยังคงเป็นสิ่งที่หายากและเป็นที่ต้องการภายในระบบนิเวศของ CannaThai420 ตัวอย่างเช่น Seed Plant NFT จะเป็นบันไดขั้นแรกในการค้นหาแม่พันธุ์กัญชาที่แข็งแรงและมีค่าที่สุด ซึ่งเรียกว่า Royal Alpha Family ซึ่งประกอบด้วย 1 อัลฟ่าควีน (Alpha Queen) และ 9 อัลฟ่าปริ๊นเซส (Alpha Princesses) ซึ่งหมายความว่า ผู้ถือ Seed Plant NFT มีโอกาสที่จะเป็นผู้ถือครองพืชกัญชาที่ทรงคุณค่าและทรงพลังที่สุดในประเทศไทย ในรูปแบบของสะสมดิจิตอล NFT อีกด้วย ASW ใช้ Popcoin เจาะไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ ขณะที่นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW เปิดเผยว่า บริษัทได้ให้ความสำคัญกับ Digital Transformation โดยสิ่งหนึ่งที่สนใจก็คือ “ดิจิทัลแอสเซท” ที่กำลังเป็นเทรนด์และมีบทบาทสำคัญกับคนรุ่นใหม่ ซึ่งเป็นลูกค้าหลักของแอสเซทไวส์ ที่ผ่านมาจึงได้ตั้งบริษัทในเครือ บริษัท ดิจิโทไนซ์ จำกัด ด้วยความร่วมมือจากพันธมิตรทางธุรกิจอย่าง บริษัท ฟิวเจอร์คอมเพเทเร่ จำกัด ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ขับเคลื่อนเหรียญ Popcoin เพื่อรองรับการศึกษาและลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset) รวมถึงแสวงหาโอกาสในการใช้เทคโนโลยี และแพลตฟอร์มที่ทันสมัย เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในธุรกิจให้รับกับเทรนด์อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับแอสเซทไวส์ มองว่าเหรียญ Popcoin ซึ่งถือเป็น Utility Token ที่จะเป็นตัวกลางในการใช้งานต่าง ๆ บนแพลตฟอร์ม มีระบบที่น่าเชื่อถือ เป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพในการเติมเต็มความต้องการ สร้างโอกาสทางการตลาดให้แก่ผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดใน Popcoin Ecosystem ทั้งแบรนด์ ผู้สร้างคอนเทนต์ และโดยเฉพาะผู้บริโภค ดังนั้น Popcoin จึงไม่ใช่แค่เหรียญคริปโทเคอร์เรนซีเท่านั้น แต่เป็นคอมมูนิตี้ขนาดใหญ่ที่เชื่อมโยงคนแต่ละกลุ่มเข้าด้วยกัน ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นแพลตฟอร์มที่มีพลังที่จะช่วยให้แอสเซทไวส์ใกล้ชิดกับลูกบ้าน และคนรุ่นใหม่ได้มากกว่าที่เคย พร้อมเข้าถึงความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุดและวัดผลได้จริง   โดยเหรียญ Popcoin เป็นสมาร์ทมาร์เก็ตติ้งแพลตฟอร์มเอนเตอร์เทนเมิร์ช ที่เกิดจากความร่วมมือของบริษัท อาร์เอส จำกัด (มหาชน) หรือ RS Group, บริษัท โฟร์ท แอปเปิ้ล จํากัด, บริษัท ฟิวเจอร์คอมเพเทเร่ จำกัด และบริษัทพันธมิตรชั้นนำแนวหน้าของไทย  ซึ่ง Popcoin จะเป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญ ที่พลิกโฉมการทำกลยุทธ์ทางการตลาดของแอสเซทไวส์ เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับกิจกรรม และสร้างสิทธิประโยชน์รูปแบบใหม่ ๆ ให้กับลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้า Kave Condo ซึ่งเป็นนักศึกษา คนรุ่นใหม่ที่มีความเข้าใจและคุ้นเคยกับการใช้สกุลเงินคริปโทฯ อีกทั้งยังสามารถนำเหรียญ Popcoin มาต่อยอดในกิจกรรมต่าง ๆ  ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของลูกบ้าน ซึ่งอนาคตอันใกล้ จะได้เห็นการมีส่วนร่วมดี ๆ  บนแพลตฟอร์ม Popcoin เพื่อเปิดประสบการณ์การใช้ชีวิตให้กับลูกบ้านในทุกมิติ อนันดาฯ ขน15 โครงการแจก KUB COIN  ด้านบริษัท อนันดา ดีเวล ลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) จับกระแส “Digital Asset” มาอย่างต่อเนื่องล่าสุดได้ส่ง 2 แคมเปญ “อนันดา ครบ คุ้ม KUB” และ “Fabulous Offer” ได้นำโครงการคอนโดเข้าร่วมแคมเปญ 15 โครงการ สำหรับรับฟรี KUB COIN เมื่อซื้อคอนโดทุกยูนิต   โดยอนันดาฯ มองว่ากลุ่ม GEN C เป็นกลุ่มผู้บริโภคในยุคใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีเพื่อการสื่อสารเป็นหลัก ชอบความสะดวกสบาย สนใจสิ่งที่มีสไตล์เฉพาะตัว เป็นกลุ่ม Cash Smart หรือ กลุ่มคนที่ฉลาดในการบริหารเงิน นิยมให้เงินทำงาน รู้จักวางแผนการใช้เงินเพื่ออนาคต รวมไปถึงมีการลงทุนในมุมต่างๆ เช่น ลงทุนในหุ้น และกองทุน ซึ่งในยุคปัจจุบันเริ่มให้ความสนใจในเรื่องคริปโทเคอเรนซี่  หรือ NFT ที่กำลังมาแรง คนเหล่านี้เป็นกลุ่มเป้าหมายหลักของอนันดา  ที่มีความสนใจในด้านดังกล่าว สำหรับแคมเปญ “อนันดา ครบ คุ้ม KUB”  มีโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่กว่า 11 โครงการ ภายใต้แบรนด์  ไอดีโอ โมบิ, ไอดีโอ,  เอลลิโอ และ ยูนิโอ เริ่ม 1.59 – 14.9 ล้านบาท* ส่วนแคมเปญ “Fabulous Offer” กับห้องแต่งครบ พร้อมเข้าอยู่ มีแบรนด์ แอชตัน และ ไอดีโอ คิว โดยมีโครงการเข้าร่วมแคมเปญ 4 โครงการ ซึ่งแคมเปญมีระยะเวลาตั้งแต่วันนี้ – 15 กุมภาพันธ์นี้ ริชชี่-เอสซี เตรียมก้าวสู่โลกคริปโทฯ หลายบริษัทอาจจะมีการเดินหน้าการเข้าสู่โลกคริปโทฯ อย่างเป็นรูปธรรมแล้ว แต่ก็มีบางบริษัทที่อยู่ระหว่างการศึกษา และบางบริษัทก็เริ่มนำร่องการนำเอาคริปโทฯ เข้ามาใช้บ้างแล้ว แม้จะไม่เต็มรูปแบบ เพราะต้องรอความชัดเจนในหลายเรื่อง รวมถึงความพร้อมต่าง ๆ ด้วย สำหรับเอสซี แอสเสท หรือบริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  เริ่มศึกษาและเตรียมความพร้อมก้าวสู่โลกคริปโทฯ รวมถึงสินทรัพย์ดิจิทัลนรูปแบบต่างๆ ล่าสุด  ร่วมมือกับ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (องค์การมหาชน) Creative Economy Agency (Public Organization) หรือ CEA จัดเสวนา NFT 101 presented by SC Asset เปิดชั้นเรียนกับเซียน NFT แบ่งปันความรู้ตั้งแต่ระดับพื้นฐานจนถึงเคล็ดลับสำคัญในการเป็นผู้เล่นของตลาด ซึ่งงานดังกล่าว​ส่วนหนึ่งของงาน Bangkok Design Week 2022 โดยจัดขึ้นในวันพฤหัสบดีที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 เวลา 16.00 – 18.00 น. ผ่านระบบออนไลน์ FB Live :Bangkok Design Week หรือที่ FB Page : SC Asset   นอกจากนี้ เอสซี แอสเสท ยังอยู่ระหว่างการศึกษาเกี่ยวกับทำระดมทุนด้วยวิธี ICO เนื่องจากมีสินทรัพย์ ประเภทอาคารที่สร้างรายได้ประจำมูลค่ารวมกว่า 6,000 ล้านบาท  และวางแผนการออก SC Morning Coin ซึ่งเป็นเหรียญดิจิทัล ใช้ในแพลตฟอร์ม สำหรับพนักงานลูกค้า คู่ค้าและนักลงทุน ต่อยอดจาก SC token ที่ปัจจุบันใช้กันภายในองค์กรอยู่แล้วด้วย   ขณะที่บริษัท ริชี่เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) หรือ RICHY  ได้เริ่มนำร่องเปิดรับการซื้อขายอสังหาฯ ของบริษัทบ้างแล้ว แม้ว่าช่วงแรกจะขายได้เพียง 1 ยูนิต แต่ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี เพราะบริษัทยังไม่ได้เริ่มทำการตลาดและการประชาสัมพันธ์อย่างจริงจัง   ดร.อาภา อรรถบูรณ์วงศ์ ประธานกรรมการบริหาร เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดช่องทางการรับชำระเงินค่าสินค้าด้วยสกุลเงินดิจิตัล   เพื่อนำมาต่อยอดจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในอนาคต เนื่องจากสินทรัพย์ดิจิทัลกำลังได้รับความนิยม และเป็นที่ยอมรับของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทฯอยู่แล้ว   ทั้งหมดเป็นเพียงส่วนหนึ่งของผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่ได้เข้ามาสู่วงการคริปโทฯ และสินทรัพย์ดิจิทัล ยังมีผู้ประกอบการอีกหลายรายที่กำลังวางแผน และเตรียมความพร้อม รวมถึงความชัดเจนในการก้าวเข้ามาสู่วงการนี้ ซึ่งคงมีข่าวออกมาอย่างต่อเนื่องให้เราได้ติดตามกัน   บทความที่เกี่ยวข้อง แอสเซทไวส์   เพิ่มทางเลือกแลกเงินดิจิทัล จับมือ​ “Bitkub” ขยายฐานลูกค้า  New Gen ซื้อบ้าน-คอนโด ด้วย Cryptocurrency
อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกุมภาพันธ์ 2565

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกุมภาพันธ์ 2565

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน ปี 2565 ผ่านไปแล้ว 1 เดือน ขณะนี้เราได้ก้าวสู่เดือนที่ 2 คือ เดือนธันวาคม 2565 ที่มีเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ของจีน หรือ วันตรุษจีน ซึ่งในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ ก็เริ่มกลับมาครึกครื้นมากขึ้น จากบรรยากาศของการประกาศแผนธุรกิจ ของดีเวลลอปเปอร์ชั้นนำ ที่พร้อมจะลุยธุรกิจในปีนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะมองภาพบวกว่าธุรกิจอสังหาฯ จะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นกว่าช่วงที่ผ่านมา   ปัจจัยหนึ่งที่สนับสนุนให้ตลาดอสังหาฯ ปีนี้น่าจะฟื้นตัวตามที่คาดหวังกันไว้ คือ อัตราดอกเบี้ยการกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ยังอยู่ในอัตราที่ต่ำเมื่อเทียบกับช่วงที่ตลาดอสังหาฯ บูมกันมาก ๆ จึงถือว่าเป็นจังหวะที่ดี หากผุ้ที่มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง และมีความพร้อมด้านฐานะการเงิน หรือการงาน   ลองมาดูกันว่าเดือนกุมภาพันธ์ 2565 อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ในเดือนนี้จะมีอัตราดอกเบี้ยเท่าไรกันบ้าง  ซึ่งในภาพรวมแล้วส่วนใหญ่ดอกเบี้ยยังอยู่ในอัตราคงที่เท่ากับช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา แต่รายละเอียดเป็นอย่างไร ติดตามได้ในบทความนี้เลย​​ อัพเดทอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป  โดยอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ  วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1   ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น 5.2%  (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.2% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น  5.45% (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.45%  (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.9% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.7%(MRR-1.25%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.075%(MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2%(MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58%   -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก 4.75% หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า ​500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า ​คิดอัตราดอกเบี้ย​ MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย ​MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา   หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค.- 1 มี.ค. 65 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ​และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา ​ -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ​ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ​ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ​​ 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อสำหรับบ้านใหม่ กรุงไทย SURE  โดยไม่คิดค่า  ธรรมเนียมยื่นกู้  โดยเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  ไม่เปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา ​​ดังนี้ แบบคงที่ 1 ปี ฟรีค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.80% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.20% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.87% (MRR-2.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.90% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.24% แบบลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.77%  (MRR-3.45%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.77% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.22% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.87% (MRR-3.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.87% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.26%   สินเชื่อสำหรับการกู้ซื้อบ้านที่ธนาคารออกค่าจดจำนองให้** และ ฟรี ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบคงที่ แบบทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.13% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.32% แบบไม่ทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.23% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา = 4.35% แบบลอยตัว แบบทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.12% (MRR-3.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.12% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.35% แบบไม่ทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.22% (MRR-3.0%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.22% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 3.38%   การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ 1.ทำ MRTA/GLT SP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี 2.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ 3.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ **ธนาคารออกค่าจดจำนองให้ 1% สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท หากลูกค้าปิดบัญชีก่อน 5 ปี ธนาคารจะเรียกเก็บค่าจดจำนองคืน ***อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 มี.ค.65 MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมินอัตราดอกเบี้ยยังคงเท่าเดิมจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.9% ( MRR-3.15%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.00%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.39% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.50% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย MRR-1.60% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.55%  (MRR-3.50%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.3%  (MRR-2.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.02% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.25% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.1% (MRR-1.95%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.3% (MRR-1.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.7%  (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.23%   หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ​ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พ.ค. 63 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 30 เม.ย. 65 โดยจดจำนองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 31 พ.ค. 65 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป โดยพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ ซึ่งเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 7.72% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 7.72% สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 8.22% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 8.22% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% (ประกาศ ณ วันที่ 22 พ.ค. 2563) ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ย MRR ให้อ้างอิงอัตราดอกเบี้ยตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ลูกค้ายื่นใบสมัครสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม - 31 มีนาคม 2565 โดยสามารถยื่นกู้ได้สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภท ยกเว้นการกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม 0.25% ในปีแรก หากทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อบ้านตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -กรณียื่นกู้บ้านในโครงการจัดสรรที่ธนาคารสนับสนุน ธนาคารฯมีอัตราดอกเบี้ยพิเศษ สอบถามรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ K-Contact Center 02-8888888 ต่อ 887 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (KKP Home Loan เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย) กรณี บ้านใหม่ : ซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราเดิมเท่ากับเดือนที่ผ่านมา โดยธนาคารเกียรตินาคินมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  2.45%-2.75% ปีต่อไป ดอกเบี้ย  4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.65%-2.95% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.60%-2.99% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.80%-3.19% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ​เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่​ 18 สิงหาคม 2563 เท่กับ​ 6.525% ต่อปี 3.เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา​​​​​​ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า​ Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.​กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง ​​หากลูกค้า Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท  ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคี ​เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด ​โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ ​ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน​ 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด ​30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เท่ากับเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารซีไอเอ็มบี มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.1%) ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย 5.35% (MRR-2.0%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-2.8%) หลังจากนั้น 5.35% (MRR-2.0%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.15% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2564) -ธนาคารยังมีอัตราดอกเบี้ยสำหรับพนักงานประจำรายได้ 30,000-50,000 หรือเจ้าของกิจการรายได้ 50,000 บาทขึ้นไปไว้พิจารณาด้วย รวมถึงสินเชื่อสำหรับโครงการที่ธนาคารเป็นผู้สนับสนุน 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป ภายใต้แคมเปญดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้นเฉลี่ย 3 ปีแรก 4.05% ต่อปี จะได้รับฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าจดทะเบียนจำนอง และค่าประเมินหลักทรัพย์ ซึ่งยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เท่ากับเดือนที่ผ่านมา  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.23%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.4% (MRR-1.88%) หลังจากนั้น 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.4% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือก 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา ดอกเบี้ย 4.65% รายละเอียดเงื่อนไข สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส ​ 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท​ -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 3 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของธนาคาร -ธนาคารขอสงวนสิทธิเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แจ้งไว้ในเอกสารฉบับนี้ โดยไม่ ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ในกรณีที่ธนาคารเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนจำนองหลักประกันแทนผู้กู้หากผู้กู้มีความประสงค์จะไถ่ถอนหลักประกันและชำระหนี้คืนทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันเบิกใช้เงินกู้ ครั้งแรก ผู้กู้ตกลงคืนเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองหลักประกันตามจำนวนเงินที่ธนาคารได้ช าระไปให้แก่ธนาคาร ในวันที่ผู้กู้ได้ชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้น (ค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท) -กค้าต้องสำรอง จ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ลูกค้าใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 30 วันทำการนับจากวันที่ลูกค้าจดจำนอง -MRR = 6.28% ตามประกาศธนาคาร https://www.ttbbank.com/th/rates/loan-interest-rates -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ถึง 30 มิถุนายน 2565 และจดจำนอง ภายใน 31 กรกฎาคม 2565 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา  คิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.95% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยะเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2565 ​มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากแคมเปญสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2565  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.15% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.9% (MRR-2.25%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.4%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญา  5.4% หมายเหตุ -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.-30 ธ.ค.65   (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติมวงเงินของโครงการแล้ว) -อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินกู้และทุกบัญชีเงินกู้ภายใต้หลักประกันเดียวกัน 10.ธนาคารยูโอบี ธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโครงการหมู่บ้านทั่วไป  โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับเดือนที่ผ่าน  ซึ่งธนาคารยูโอบีมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด  ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.35% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.35% (MRR-4.0%) อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.79% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.55% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.80%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.8% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75%  (MRR-2.60%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.45% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.8% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.95%  (MRR-2.24%) ปีที่ 4 อัตราดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.96% หมายเหตุ -ขอสินเชื่อตั้งแต่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค. 65 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายใน 29 เม.ย.​ 65 -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาคารยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.35% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ​(Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น)​ -การอนุมัติสินเชื่อ​เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ  7.35% ต่อปี ​(ตามประกาศธนาคารณ วันที่ 1 เม.ย. 64) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย​ MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้​ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ​เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร​ -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย ​(ใบอนุญาตประกันชีวิต​เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศภัย​ เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ​จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย คือ โฮมโลน โดนใจ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 1.9% (สำหรับผู้มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป) โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยสำหรับผู้กู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.0% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.00% (MRR-5.35%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.80% (MRR-3.55%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10%  (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 2 ปีแรก) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.20% (MRR-3.15%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.55% (MRR-4.80%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 4 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.75% (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 3 ปีแรก) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ล้านละ 3,500 บาท  กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่** -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 4.60% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.10% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.35% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่าง ๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค. 65 -สำหรับอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.9% สำหรับผู้กู้ที่มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป ผ่อนต่ำเดือนละ 3,500 บาท ฟรีค่าจดจำนองสินเชื่อเมื่อซื้อประกันผ่านธนาคาร ฟรีค่าประเมินหลักประกัน 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีสินเชื่อเคหะ สำหรับให้บริการผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไปซื้อบ้านหรือคอนโด ภายใต้แคมเปญ ผ่อนต่ำปีแรก ล้านละ 2,500 บาทต่อเดือน สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยยื่นกู้ภายในวันที่ 30 เมษายน 2565 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายใน 31 พฤษภาคม 2565 โดยมีรายละเอียด ​ดังนี้​ กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.0% เพิ่มขึ้น 1.25% จากเดือนที่ผ่านมา เพราะมีแคมเปญดอกเบี้ย 0% ใน 6 เดือนแรก ทำให้เดือนที่ผ่านมามีดอกเบี้ยเฉลี่ยปีแรก 0.75% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.9% (MRR-3.345%) ลดลง 0.425% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 3.525% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.6% ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.126% เพิ่มขึ้น 0.025% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 4.101% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.25% เพิ่มขึ้น 1.25% จากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ย​ 1.0% จากแคมเปญเดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 2.0% ​ ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.525% (MRR-2.72%) ลดลง 0.625% จากเดือนที่ผ่านมา คิดอัตราดอกเบี้ย  4.15% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.995% (MRR-1.25%) เพิ่มขึ้น 1.895% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 3.1% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.31% เพิ่มขึ้น 0.024% จากเดือนที่ผ่านมามีอัตราดอกเบี้ย 4.286%   เงื่อนไขการผ่อนชำระ -ปีที่ 1 ผ่อนชำระ 2,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 2 ผ่อนชำระ 4,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 3 ผ่อนชำระ 5,500 บาทต่อเดือน หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR=6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระ 20 ปี ผ่อนเท่ากันทุกงวด -ทำประกัน หมายถึง การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ โดยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข เป็นไปตามธนาคารกำหนด -เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อเคหะตามโปรโมชั่น สมัครบริการ MyMo และผลิตภัณฑ์ / บริการอื่น ของธนาคารอย่างน้อย 2 ประเภท ได้แก่ บัตรอิเล็กทรอนิกส์ / บัตรเครดิต หรือสินเชื่อบัตรเงินสด / ชำระสินเชื่อหักผ่านบัญชี / ประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ ทั้งนี้ หากลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นตามที่กำหนดอยู่แล้ว สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้ และกรณีไม่มี Smartphone ให้สมัครผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นของธนาคารตามที่กำหนดทดแทนได้ -*กรณี ฟรี ค่าธรรมเนียมจดจำนอง ให้ตามที่จ่ายจริง (รวมทุกสัญญาที่กู้ในคราวเดียวกัน) และลูกค้าต้องสำรองจ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินไปก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินหลังหักภาษี ณ ที่จ่าย 1% ของเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองคืนภายใน 30 วัน -กรณีผู้กู้ชำระคืนเงินกู้เสร็จสิ้น หรือไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด (Prepayment) ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามที่ธนาคารกำหนด (ปัจจุบันร้อยละ 3.00 ของยอดเงินต้นคงเหลือ) ทั้งนี้ กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยกรณีไถ่ถอนจำนองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินอื่น (Re-Finance) และฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง ผู้กู้จะต้องชำระค่าจดจำนองคืนแก่ธนาคารเต็มจำนวน -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่น ๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า   ที่มา Reviewyourliving รวบรวมจากเว็บไซต์ธนาคาร ข้อมูล ณ วันที่ 1 ก.พ.65 บทความที่เกี่ยวข้อง อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนมกราคม 2565
เอพี ไทยแลนด์ เดินแผนธุรกิจปี 65 ที่สุดตลาด เปิดตัว 65 โครงการ มูลค่า  78,000 ล้าน

เอพี ไทยแลนด์ เดินแผนธุรกิจปี 65 ที่สุดตลาด เปิดตัว 65 โครงการ มูลค่า 78,000 ล้าน

เอพี ไทยแลนด์ เดินหน้าแผนธุรกิจปี 65 มุ่งสู่ความเป็นที่สุดกับแผนเปิดตัวโครงการที่มากสุดถึง 65 โครงการ มูลค่า 78,000 ล้าน ตั้งเป้ายอดขาย 50,000 ล้านบาท พร้อมรับรู้รายได้ 47,000 ล้าน หลังปี 64 สามารถฝ่าวิกฤตโควิด-19  เตรียมกวาดรายได้ยอดโอน  40,000 ล้าน พร้อมขึ้นเบอร์ 1 ตลาดบ้านเดี่ยว   แม้ว่าในปีที่ผ่านมาจะเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบ แต่ธุรกิจอสังหาฯ ยังถือเป็นหนึ่งคีย์สำคัญ ในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจประเทศ จากข้อมูลศูนย์วิจัยกรุงศรีฯ ระบุว่า ธุรกิจอสังหาฯ มีมูลค่าตลาดคิดเป็นสัดส่วน 8% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบจำนวนมาก เกิดการจ้างงานและรายได้เพิ่มขึ้น พร้อมไปกับการสนับสนุนให้กับอุตสาหกรรมอื่น อาทิ ธุรกิจก่อสร้าง ธุรกิจวัสดุก่อสร้าง ธุรกิจสถาบันการเงิน ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้า และธุรกิจเฟอร์นิเจอร์และการตกแต่งได้เติบโตไปพร้อมกัน และหากย้อนกลับดูผลประกอบการของ 5 บริษัทชั้นนำในอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาฯ ของไทย ยังพบการเติบโตของตัวเลขในอัตราที่เป็นบวก   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ท่ามกลางวิกฤตโรคระบาดที่เกิดขึ้นตลอด 2 ปีที่ผ่านมา เศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับภาวะซบเซา และส่งผลกระทบต่อเนื่องถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคในหลาย ๆ เซกเตอร์อย่างเลี่ยงไม่ได้   สำหรับธุรกิจอสังหาฯ ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาเราพบว่าความต้องการซื้อและเช่าในตลาดอสังหาฯ ยังมีอยู่ เพียงแต่มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบไปตามสถานการณ์ หากเทียบกับสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ซึ่งในปีนั้นเศรษฐกิจไทยต้องเผชิญภาวะตกต่ำ แต่อสังหาริมทรัพย์โดยเฉพาะสินค้ากลุ่มคอนโดมิเนียมกลับขายดีมาก ซึ่งวิกฤตโควิด-19 ครั้งนี้ก็คล้ายเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในแง่ที่อสังหาริมทรัพย์ไม่ได้ถูกทำลายลงไป เพียงแต่ทรานฟอร์มไปตามพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปตามสภาวะเวลา   ในส่วนของเอพี ไทยแลนด์คาดว่าในปี 2564 จะมียอดโอนอสังหาฯ มากที่สุดในตลาดประมาณ 40,000 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า ธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ เพื่ออยู่อาศัย ยังคงเป็นธุรกิจหลักที่นำพาให้อุตสาหกรรมนี้สามารถขับเคลื่อนผ่านวิกฤตในทุกยุคสมัยมาได้อย่างสวยงาม   3 กลยุทธ์ยอดโอน 40,000 ล้านปี 64 สำหรับปีที่ผ่านมา ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่เอพี ไทยแลนด์สามารถฝ่าฟันวิกฤตมาได้ ถือเป็นปีแห่งความแข็งแกร่ง และยังคงสามารถรักษาการเติบโตท่ามกลางการ Reset ครั้งใหญ่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้ 3 กลยุทธ์สำคัญที่สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ได้แก่ 1.การบริหารจัดการพอร์ตสินค้าพร้อมขาย ให้กระจายไปในหลากหลายทำเล เพื่อสร้างโอกาสและความได้เปรียบในการแข่งขันที่มากกว่า โดยในปีที่ผ่านมาเอพีมีโครงการมากกว่า 117 โครงการ กระจายขายทั่วประเทศไทย และสามารถสร้างยอดขายได้มากถึง 35,050 ล้านบาท โดยสินค้าแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมยังคงเป็นแรงสำคัญในการสร้างการเติบโต นอกจากนั้น ยังสามารถปิดการขายโครงการแนวราบได้จำนวนมาก 2.Cash Flow Management การบริหารจัดการกระแสเงินสด ตลอดระยะเวลาของการเผชิญวิกฤตการณ์โรคระบาด บริษัทฯ คงรักษาเสถียรภาพทางการเงินได้อย่างดีเยี่ยม ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนต่ำลงอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นปี 64 บริษัทฯ มีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนที่ต่ำเพียง 0.58 เท่า 3.Digital Competency การสร้างความได้เปรียบด้วย Digital ซึ่งถือเป็นหนึ่งในโรดแมพสำคัญที่เอพีใช้เป็นคีย์ในการเคลื่อนธุรกิจท่ามกลาง   การเปลี่ยนแปลงมาอย่างต่อเนื่องในทุก ๆ Touchpoint ของการดำเนินธุรกิจ ทั้งกับลูกค้า คู่ค้า พนักงาน ปี 65 ที่สุดของเอพี ไทยเลนด์   สำหรับในปี 2565 เอพี ไทยแลนด์ มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่สูงที่สุดในอุตสาหกรรม จำนวนทั้งสิ้น 65 โครงการ มูลค่ากว่า 78,000 ล้านบาท ถือเป็นจำนวนโครงการใหม่ที่มากที่สุดตั้งแต่เคยดำเนินธุรกิจมา แบ่งเป็นทาวน์โฮม 29 โครงการ มูลค่า 25,200 ล้านบาท บ้านเดี่ยวจำนวน  26 โครงการ มูลค่า 35,600 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่า 13,000 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 5 โครงการ มูลค่า 4,200 ล้านบาท  ส่งผลให้ทั้งปีเอพี ไทยแลนด์จะมีโครงการพร้อมขายทั้งกทม.และต่างจังหวัดมากกว่าถึง 182 โครงการ มูลค่ากว่า 149,000 ล้านบาท โดยไฮไลต์ที่น่าสนใจในปี 2565 คือ ตลาดทาวน์โฮม -ตั้งเป้าหมายการเติบโตมากขึ้นกว่า 30% ด้วยการมีทาวน์โฮมในทุกเซกเมนต์ ประกอบด้วย  1.การเปิดตัว 20 แบบบ้านใหม่ จาก 6 แบรนด์ทาวน์โฮม  และ 2.เตรียมเพิ่มส่วนแบ่งตลาดบ้านแฝด 3 ชั้นและ 2 ชั้นเพิ่มขึ้น -ชูจุดขายด้วยบ้านหน้ากว้างสูงสุด 11 เมตร แบรนด์บ้านกลางเมือง The Edition และแกรนด์ พลีโน่  3.บุกตลาดทาวน์โฮม 2 ชั้นในเขตปริมณฑล ด้วยแบรนด์น้องใหม่ PLENO TOWN ด้วยราคาเริ่มต้น 1.89 ล้านบาท ตลาดบ้านเดี่ยว -วางแผนเป็นผู้นำในธุรกิจบ้านเดี่ยวอย่างต่อเนื่อง ด้วยส่วนแบ่งตลาด (Market Share) มากสุดเป็นอันดับ 1 ด้วยจำนวนยูนิตที่ขายได้มากสุดในตลาดบ้านเดี่ยวในเมืองและปริมณฑล (รอบปี 2558 - ครึ่งแรกปี 2564)  ผ่าน 3 แบรนด์​ ได้แก่ THE PALAZZO คฤหาสน์หรูในเซกเมนต์ซูเปอร์ลักชัวรี่ THE CITY บ้านเดี่ยวดีไซน์ใหม่เซกเมนต์ไฮเอนด์ และ CENTRO บ้านเดี่ยวดีไซน์โมเดิร์นสำหรับการเริ่มต้นครอบครัวเซกเมนต์กลางบน     -การบุกไปยังตลาดใหม่ในพื้นที่เขตปริมณฑล อย่างสมุทรสาคร และสมุทรปราการ ด้วยการเปิดตัวสินค้าใหม่ บ้านเดี่ยวระดับราคา 3-5 ล้านบาท ภายใต้ชื่อแบรนด์ใหม่ เพื่อมุ่งเจาะกลุ่ม Gen M และ Gen Z กับแบบบ้านดีไซน์ใหม่   คอนโดมิเนียม ตลาดคอนโดถือว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว แต่ยังคงต้องดูในปีหน้าว่าจะกลับมาเติบโตมากน้อยเพียงใด แต่เชื่อว่าปี 65 เราจะเริ่มเห็นบางเซกเมนต์ที่ดีขึ้น อย่างเซกเมนต์กลางถึงกลางล่าง และถ้ากิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับสู่ปกติ การจราจรกลับมาติดขัดเหมือนเดิม น่าเป็นโอกาสที่ดีที่มีต่อตลาดคอนโด -เปิดตัว 5 คอนโดมิเนียมใหม่ มูลค่า 13,000 ล้านบาท -ชู ASPIRE เป็น Fighting Brand หลักบุกลุยตลาดแมส ด้วยราคาเริ่มต้นเพียง 1.99 ล้านบาท หรือเฉลี่ยเริ่มต้น 84,000 บาท/ตร.ม. ใน 4 ทำเล ได้แก่ 1.Aspire ปิ่นเกล้า-อรุณอมรินทร์ ซึ่งพร้อมเปิดพรีเซลในวันที่ 19-20 มีนาคมนี้ 2.Aspire รัชโยธิน  3.Aspire สุขุมวิท-พระราม 4 และ 4.Aspire อ่อนนุช สเตชั่น พร้อมด้วย LIFE พหล-ลาดพร้าว -ในปีนี้ยังเตรียมเปิด 3 คอนโดพร้อมอยู่ ที่ตอบทุกเซกเมนต์กับ 1.RHYTHM  เอกมัย เอสเตท  2.LIFE สาทร เชียร์ร่า และ 3.ASPIRE เอราวัณ ไพร์ม   "แน่นอนว่า บทเรียนที่เราเรียนรู้มาตลอด 2 ปีของการแพร่ระบาด วิธีการทุกอย่างที่เราเคยทำและเรียนรู้ได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วทั้งสิ้น เรายังคงต้องเผชิญอยู่กับความท้าทายใหม่ ๆ โรคระบาดยังคงอยู่กับเราอย่างเลี่ยงไม่ได้ คาดว่าครึ่งปีแรกของปี 65 น่าจะยังคงไม่ต่างจากปีนี้ แต่เชื่อว่าช่วงครึ่งปีหลังถ้าทุกอย่างเป็นไปตามที่หวัง โลกรับมือกับโอมิครอนได้ดีขึ้น ยารักษาผลิตออกมาใช้งานได้จริง ก็เชื่อว่าเศรษฐกิจทั่วโลกน่าจะดีขึ้นเป็นลำดับ"  
โนเบิล  กวาดยอดจองหุ้นกู้ 1,800 ล้าน  ระดมทุนปั้นโปรเจ็กต์ 47,700 ล้าน รับอสังหาฯ ฟื้นตัว

โนเบิล กวาดยอดจองหุ้นกู้ 1,800 ล้าน ระดมทุนปั้นโปรเจ็กต์ 47,700 ล้าน รับอสังหาฯ ฟื้นตัว

หุ้นกู้ โนเบิล  เผยยอดขายหุ้นกู้ทะลุเป้า ทำได้ 1,800 ล้าน แม้มีสถานการณ์โควิด-19 เตรียมนำเงิน​ที่ได้ซื้อที่ดินปั้นโปรเจ็กต์แนวราบ พร้อมใช้เป็นทุนหมุนเวียนต่อยอดธุรกิจ เปิดโปรเจ็กต์ใหม่ 18 โครงการ มูลค่า  47,700 ล้าน  รองรับอสังหาฯ ฟื้นตัว   นายอรรถวิทย์ เฉลิมทรัพยากร กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการเงิน บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE  เปิดเผยว่า แม้ว่าจะมีสถานการณ์โควิด-19 แต่​นักลงทุนยังมั่นใจในการดำเนินธุรกิจของโนเบิล มีการจองซื้อหุ้นกู้มาเป็นจำนวนมาก เกินกว่าจำนวนที่บริษัทตั้งเป้าไว้​ ส่งผลให้ต้องนำหุ้นกู้ที่สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติมหรือ Greenshoe option จำนวน 300 ล้านบาทมาใช้ รวมเป็นมูลค่าหุ้นกู้ที่ออกและเสนอขายทั้งสิ้น 1,800 ล้านบาท หุ้นกู้โนเบิลต่อยอดธุรกิจ โดยเสนอขายหุ้นกู้ระหว่างวันที่ 25-27 มกราคม 2565 ที่ผ่านมา  ซึ่งโนเบิล มีแผนจะนำเงินส่วนหนึ่งไปใช้ในการซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการในแนวราบที่ยังเติบโตได้ดี ส่วนที่เหลือจะเก็บไว้เพื่อชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในช่วงเดือนมิถุนายน 2565 และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการ และในปีนี้โนเบิล ได้เตรียมความพร้อมรับมือกับการฟื้นตัวของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 18 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 47,700 ล้านบาท ซึ่งโนเบิล มีเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนของการพัฒนาโครงการแนวราบ รวมถึงเพิ่มโครงการคอนโดมิเนียมแบบ Low Rise ในพอร์ตให้มากขึ้น เพื่อขยายพอร์ตให้มีสินค้าที่สามารถรองรับกลุ่มลูหกค้าได้หลากหลาย และครอบคลุมในหลายทำเล   กลุ่มผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ให้ความเห็นเพิ่มเติมว่า ปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนให้การตอบรับหุ้นกู้ของโนเบิลเป็นอย่างดีนั้น มาจากชื่อเสียงของโนเบิลมีประวัติการชำระหนี้ที่ดี ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่ง รวมถึงแบรนด์สินค้าซึ่งเป็นที่ยอมรับในตลาดคอนโดมิเนียม ตลอดจนมียอดขายรอการรับรู้รายได้หรือ Backlog จำนวนมากที่จะช่วยประกันรายได้ในอนาคตของบริษัท ได้เป็นอย่างดี   นอกจากนี้ โนเบิลยังได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากทริสเรทติ้งที่ระดับ BBB และได้รับการปรับแนวโน้มอันดับเครดิตเป็น “Stable” ในปีที่ผ่านมา ในขณะที่หุ้นกู้ของบริษัทฯ ได้รับการปรับอันดับความน่าเชื่อถือขึ้นมาเป็น BBB แม้ในปี 2564 ที่ผ่านมาจะมีความไม่แน่นอนจากสถานการณ์โควิด-19 สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนการตัดสินใจของนักลงทุนในการลงทุนในหุ้นกู้ของโนเบิล ในครั้งนี้   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง 7 บิ๊กอสังหาฯ ระดมทุน ผ่าน "หุ้นกู้" 2 เดือนเฉียด 10,000 ล้าน
7 บิ๊กอสังหาฯ ระดมทุน ผ่าน “หุ้นกู้”  2 เดือนเฉียด 10,000 ล้าน

7 บิ๊กอสังหาฯ ระดมทุน ผ่าน “หุ้นกู้” 2 เดือนเฉียด 10,000 ล้าน

หุ้นกู้ 7 บิ๊กอสังหาฯ ออกรวมมูลค่าเฉียด 10,000 ล้าน เสนอดอกเบี้ย 3.1-7.5% นำเงินต่อยอดพัฒนาโครงการ พร้อมลุยธุรกิจปี 65 หลังจากปีที่ผ่านมามีการรดมทุนผ่านหุ้นกู้กว่า 270,000 ล้าน การระดมทุนเพื่อมาดำเนินธุรกิจ นอกจากจะมาจากส่วนของเจ้าของกินการและกรรมการ ที่จะนำออกมาใช้แล้ว การกู้ยืมเงินทุนกับสถาบันการเงิน ก็เป็นวิธีปกติที่ทุกธุรกิจเลือกที่จะใช้กัน แต่บางครั้งการกู้ยืมเงินกับสถาบันการเงิน ก็อาจจะไม่ได้คล่องตัวมากนัก หรือเจ้าของธุรกิจคงต้องมีหลักทรัพย์ หรือมีคุณสมบัติที่ดีพอในการจะไปกู้เงิน  นอกเหนือจากการกู้ยืมเงินกับสถาบันการเงินแล้ว วิธีการระดมทุนเพื่อมาใช้ดำเนินธุรกิจ หรือขยายกิจการ ก็ยังมีอีกหลายวิธี หนึ่งในวิธีที่บริษัทชั้นนำนิยมทำ โดยเฉพาะบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ คือ การระดมทุนผ่าน หุ้นกู้   โดยหุ้นกู้โดยทั่วไป จะมีการกำหนดมูลค่าไว้ที่หน่วยละ 1,000 บาท และหุ้นกู้ส่วนใหญ่มักกำหนดมูลค่าการซื้อขั้นต่ำไว้ที่ 100,000 บาท หรืออาจมากกว่านั้นในกรณีการขายให้นักลงทุนสถาบัน หรือนักลงทุนรายใหญ่  โดยผู้ซื้อหุ้นกู้จะมีสถานะเป็นเจ้าหนี้ ในขณะที่ผู้ออกหุ้นกู้จะมีสถานะเป็นลูกหนี้ที่มาขอยืมเงินพร้อมสัญญาว่าจะจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้คืนให้ผู้กู้ในอัตราที่แน่นอน ตามระยะเวลาของสัญญาการกู้เงิน เช่น หุ้นกู้อายุ 3 ปีจนถึง 10 ปี   สำหรับผลตอบแทนของหุ้นกู้จะอยู่ในรูปของดอกเบี้ย การจ่ายดอกเบี้ยจะจ่ายปีละ 2 ครั้ง หรือทุก ๆ 6 เดือน แต่สำหรับหุ้นกู้บางรุ่นอาจจ่ายปีละ 4 ครั้ง หรือทุก ๆ 3 เดือนก็ได้ และดอกเบี้ยที่ได้รับจากหุ้นกู้ต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายที่ 15% เช่นเดียวกับรายได้จากดอกเบี้ยชนิดอื่น ๆ   ในแวดวงธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บรรดาดีเวลลอปเปอร์จำนวนมากก็เลือกใช้วิธีการขายหุ้นกู้ เป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการเงิน สำหรับการระดมทุนเพื่อมาต่อยอดธุรกิจ พัฒนาโครงการใหม่ เสริมสภาพคล่องทางธุรกิจ โดยในช่วงปี 2564 ที่ผ่านมา พบว่า บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ มีการระดมทุนผ่านการขายหุ้นกู้กว่า 270,000 ล้านบาทเลยทีเดียว สำหรับปี 2565 เฉพาะแค่ 2 เดือนแรก ก็พบว่ามีบริษัทอสังหาฯ เสนอขายหุ้นกู้แล้วเกือบ 10,000 ล้านบาท ยังไม่นับรวมบริษัท แลนด์​ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ที่ประกาศแผนว่าจะระดมทุนผ่านหุ้นกู้อีก 14,000 ล้านบาท ซึ่งยังไม่ได้ระบุว่าจะเริ่มเสนอขายเมื่อใดด้วย 5 ประโยชน์หุ้นกู้ รู้ไว้ก่อนจ่ายเงินซื้อ* สิ่งหนึ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจในการลงทุนหรือซื้อหุ้นกู้นั้น คือ ผลตอบแทนจากอัตราดอกเบี้ย ที่สูงกว่าอัตราเงินฝากธนาคาร แม้ว่าระยะเวลาการไถ่ถอนคืนจะมีระยะเวลาหลายปีก็ตาม แต่หากวัดจากอัตราดอกเบี้ยที่ได้รับ นักลงทุนที่มีเงินออมหรือไม่จำเป็นต้องรีบใช้เงิน จึงเลือกที่จะมาลงทุนในหุ้นกู้มากกว่า แต่อย่างไรก็ตาม  นักลงทุนที่ตัดสินใจซื้อหุ้นกู้ควรคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้ ที่จะได้รับจากการลงทุน ก่อน​ ได้แก่ 1.อัตราผลตอบแทน   หุ้นกู้ของบริษัทเอกชน มักจะเสนออัตราผลตอบแทนที่สูงกว่าการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลที่มีลักษณะและอายุคงเหลือใกล้เคียงกัน ผลตอบแทนสส่วนที่เพิ่มสูงขึ้นนี้ จะเป็นการชดเชยให้กับความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากหุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัทเอกชนถือว่ามีความเสี่ยงในด้านการผิดนัดชำระหนี้ มากกว่าพันธบัตรรัฐบาล 2.เป็นแหล่งรายได้ประจำ   เนื่องจากหุ้นกู้และตราสารหนี้จ่ายดอกเบี้ยเป็นงวดๆ แก่ผู้ลงทุน และจะจ่ายคืนเงินต้นเมื่อครบกำหนดของอายุกุ้นกู้ หากนักลงทุนที่ต้องการรายได้ประจำ โดยที่เงินต้นของการลงทุนนั้นยังคงอยู่ครบ จึงอาจพิจารณาลงทุนในหุ้นกู้และตราสารหนี้อื่น ๆ ไว้ในพอร์ตการลงทุน ​​ 3.ความมั่นคงปลอดภัยของเงินลงทุน  นักลงทุนควรพิจารณาอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ที่ท่านลงทุน โดยอันดับความน่าเชื่อถือที่สูง ก็ถือว่ามีความปลอดภัยสูง หรือแปลได้ว่า มีความเสี่ยงที่จะไม่ได้รับชำระเงินคืนค่อนข้างต่ำ อันดับความน่าเชื่อถือนี้จะประเมินจากประวัติทางการเงินและความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ออกหุ้นกู้ ทั้งนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำหนดให้หุ้นกู้ที่ออกขายในประเทศไทยจะต้องได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือ 4.การกระจายความเสี่ยงของการลงทุน  หุ้นกู้อาจถือว่าเป็นเครื่องมือการลงทุนที่ตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ของความต้องการของนักลงทุนในเรื่องการกระจายความเสี่ยง โดยนักลงทุนสามารถกระจายการลงทุนไปสู่ธุรกิจประเภทต่าง ๆ โดยมีอันดับความน่าเชื่อถือที่หบากหลายได้ 5.สามารถซื้อขายเปลี่ยนมือได้   หุ้นกู้ สามารถซื้อขายแลกเปลี่ยนมือกันได้ในตลาดรอง โดยไม่ต้องรอให้ถึงวันครบกำหนดอายุ อย่างไรก็ตาม สภาพคล่องการซื้อขายอาจแตกต่างไปตามขนาดและเงื่อนไขของแต่ละหุ้นกู้ บิ๊กอสังหาฯ​เสนอขายหุ้นกู้เฉียด 10,000 ล้าน สำหรับในช่วงเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ 2565 บริษัทอสังหาฯ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ได้มีการเสนอขายหุ้นกู้ให้กับประชาชนทั่วไป และนักลงทุนสถาบัน 7 บริษัท รวมวงเงินเบื้องต้น 9,950 ล้านบาท โดยมีผลตอบแทนเป็นอัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ 3.1-7.5% ต่อปี อนันดา ขายหุ้นได้ตามเป้า 5,000 ล้าน บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN ได้เสนอขายหุ้นกู้รุ่น 1 อายุ 1 ปี 6 เดือน ผลตอบแทน 4.50% ต่อปี และรุ่นอายุ 2 ปี 6 เดือน ผลตอบแทน 5.40% ต่อปี ซึ่งได้เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน ในวันที่ 11-13 มกราคม 2565 ผ่านสถาบันการเงิน 7 แห่ง ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ได้แก่  ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย ซีมิโก้ จำกัด บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด   สำหรับหุ้นกู้ของบริษัทได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อจากบริษัท ทริส เรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2564 ที่ระดับ "BBB-" เช่นเดียวกับอันดับเครดิตองค์กร และมีแนวโน้ม "คงที่" (Stable) โดยตั้งเป้าเสนอขายหุ้นกู้ 5,000 ล้านบาท ซึ่งภายหลังจากการเปิดจำหน่ายก็สามารถขายได้ตามเป้าที่วางเอาไว้ แม้ว่าในสภาวะที่ตลาดตราสารหนี้ยังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 บริษัทฯ มีแผนไถ่ถอนหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนฯ ที่ถึงกำหนด 5 ปี จำนวน 770 ล้านบาทและเดือนมีนาคม 2565 จำนวน 230 ล้านบาท หุ้นกู้ดิจิทัล “แสนสิริ” ขายเกลี้ยงไม่ถึง 4 วิ. บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) ได้มีการเสนอขายหุ้นกู้ในนรูปแบบใหม่ ด้วยการซื้อผ่านแอปพลิเคชั่น “เป๋าตัง” ที่มีมูลค่าเสนอขาย 2,000 ล้านบาท ในวันที่ 18 มกราคมที่ผ่านมา โดยให้ผลตอบแทนดอกเบี้ยคงที่ 3.10% ต่อปี ระยะเวลาลงทุนเพียง 2 ปี 6 เดือน รับดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ เมื่อเปิดขายหุ้นกู้สามารถมียอดจองซื้อเต็มมูมูลค่าเสนอขาย 2,000 ล้านบาท ในระยะเวลาเพียง 3 นาที 38 วินาที โดยเป็นหุ้นกู้ดิจิทัลแสนสิริตามแผนการเสนอขาย 1,000 ล้านบาท และมีหุ้นกู้สำรองเพื่อการเสนอขายเพิ่มเติม (กรีนชู) อีกจำนวน 1,000 ล้านบาท  จากนักลงทุนจำนวน 5,800 ราย ซึ่งเป็นนักลงทุนรายย่อยที่เข้าถึงหุ้นกู้ดิจิทัลแสนสิริ แกรนด์ แอสเสทฯ ขายหุ้นกู้ ดอกเบี้ย 7% บริษัท ​แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) (GRAND) ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อออกและเสนอขายหุ้นกู้มีประกันมูลค่าไม่เกิน 1,000 ล้านบาท อายุ 1 ปี 6 เดือน ซึ่งผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดไถ่ถอน มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ 7%  ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ โดยเสนอขายให้ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ ระหว่างวันที่ 24-26 ม.ค.65 ผ่าน บล.โกลเบล็ก บล.กรุงไทย ซีมีโก้ และ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) โดยบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ "BB-" แนวโน้มอันดับเครดิต"Negative" เมื่อวันที่ 19 มี.ค.64   สำหรับหลักประกัน ได้แก่ หลักประกันประเภทอสังหาริมทรัพย์มูลค่าไม่น้อยกว่า 1.05 เท่าของมูลค่าหุ้นกู้ที่จำหน่ายได้ ได้แก่ ที่ดินระยอง และห้องชุดโครงการไฮด์ สุขุมวิท 11 และ หลักประกันประเภทหุ้น มูลค่าไม่น้อยกว่า 0.54 เท่า ของมูลค่าหุ้นกู้ที่จำหน่ายได้ ได้แก่ หุ้นสามัญของบมจ.โรงแรมรอยัลออคิด(ประเทศไทย)  (ROH)  บริษัทมีวัตถุประสงค์จะนำเงินที่ได้มาใช้ชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน จำนวน 380 ล้านบาท และที่เหลือ 620 ล้านบาทใช้ชำระคืนหนี้หุ้นกู้ที่จะครบกำหนดเดือน ก.พ.65 จำนวน 1,489 ล้านบาท โนเบิล ขายหุ้นระดมทุนพัฒนาโครงการใหม่ บริษัท โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NOBLE   หลังจากได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลเพื่อขออนุญาตและเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ไปเมื่อช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ขณะนี้บริษัทได้รับอนุญาตให้เสนอขายหุ้นกู้จากสำนักงาน ก.ล.ต. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเป็นการออกและเสนอขายหุ้นกู้ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป และผู้ลงทุนสถาบัน อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ย 4.60% ต่อปี จ่ายดอกเบี้ยทุก ๆ 3 เดือน จองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณทุก ๆ 100,000 บาท เสนอขายระหว่างวันที่ 25-27 มกราคม 2565 นี้ โดยวัตถุประสงค์ในการออกหุ้นกู้ครั้งนี้เพื่อขยายการลงทุนและการพัฒนาโครงการใหม่ ๆ โดยเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในแนวราบมากขึ้นรวมถึงการลงทุนในบริษัทร่วมทุน ทั้งนี้บริษัทฯและหุ้นกู้ที่ออกในครั้งนี้ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือจากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 7 มกราคม 2565 ที่ระดับ “BBB” แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” ซึ่งหุ้นกู้ที่ออกครั้งนี้และหุ้นกู้ชุดอื่น ๆ ของบริษัทฯ ในปัจจุบันได้รับการเพิ่มอันดับเครดิตจากเดิมที่ระดับ “BBB-” มาที่ระดับ “BBB” เช่นเดียวกัน ไรมอนแลนด์ ขายหุ้นกู้ 300 ล้าน บริษัท  ไรมอนแลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ ​ RML ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อออกและเสนอขายหุ้นกู้มีประกันของบริษัท ครั้งที่ 1/2565 มูลค่าไม่เกิน 300 ล้านบาท อายุ 1 ปี 3 เดือน ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2566 มีอัตราดอกเบี้ยคงที่  6.25% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ เสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือ ผู้ลงทุนรายใหญ่ ระหว่างวันที่ 8-10 ก.พ.65 โดยมีผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ได้แก่ บล.คิงส์ฟอร์ด บล.ยูโอบีเคย์เฮียน (ประเทศไทย) บริษัท ฟิทช์ เรทติ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดอันดับความน่าเชื่อถือของหุ้นกู้ CCC(tha) เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.64 ซึ่งบริษัทมีวัตถุประสงค์จะนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจในปี 65-66 ไซมิส ขายหุ้นกู้ 1,200 ล้าน ต่อยอดธุรกิจ บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) หรือ SA ได้ออกหุ้นกู้จำนวน 2 ชุด วงเงินไม่เกิน 1,200 ล้านบาท  โดยแบ่งเป็นชุดที่ 1 หุ้นกู้ ผลตอบแทน 6.25% อายุ 2 ปี 6 เดือน มีหลักประกัน จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน และชุด 2​ หุ้นกู้ ผลตอบแทน 6.8% อายุ 2 ปี ไม่มีหลักประกัน จ่ายดอกเบี้ยทุก 3 เดือน โดยเปิดขายระหว่างวันที่ 11 และ 14 – 15 ก.พ.นี้   โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำเงินไปต่อยอดในธุรกิจต่าง ๆ เช่น Recurring Income, F&B, Cloud Kitchen, AMC, Technology, Wellness, พัฒนาโครงการแนวราบต่าง ๆ และบางส่วนนำเงินไปไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนครบกำหนด  โดยธุรกิจใหม่ๆ นี้ จะสร้างรายได้เพื่อการเติบโตแบบยั่งยืน  อีกทั้งจะทำให้มีการกระจายแหล่งที่มาของรายได้ ตอบโจทย์แผนธุรกิจระยะยาว ออลอินสไปร์ ระดมขายหุ้นกู้ 450 ล้าน บริษัท ​ออลล์ อินสไปร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ALL ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อออกและเสนอขายหุ้นกู้มีประกันของบริษัท ครั้งที่ 1/2565 มูลค่าไม่เกิน 450 ล้านบาท ชุดที่ 1 หุ้นกู้อายุ 2 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2567 มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ 7.00% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้ และชุดที่ 2 หุ้นกู้อายุ 3 ปี ครบกำหนดไถ่ถอนปี 2568 มีอัตราดอกเบี้ยคงที่ 7.50% ต่อปี ชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือนตลอดอายุหุ้นกู้   โดยหุ้นกู้ดังกล่าวจะเสนอขายให้แก่ผู้ลงทุนสถาบัน และ/หรือผู้ลงทุนรายใหญ่ ระหว่างวันที่ 17-18 และ 21-22 ก.พ.65 ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ ได้แก่  บล.เอเอสแอล บล.บียอนด์ บล.คันทรี่กรุ๊ป  และ บล.อาร์เอชบี (ประเทศไทย) สำหรับหลักประกัน ได้แก่ ที่ดินเปล่ารวมถึงส่วนควบบนที่ดินที่จะมีขึ้นในอนาคต และ กรรมสิทธิ์ห้อง โครงการ The Excel Ratchada 18 และโครงการ The Excel Ladprao-Sutthisan โดยดำรงมูลค่าทรัพย์สินที่เป็นประกันในอัตราส่วนไม่น้อยกว่า 1:1 เท่า บริษัทมีวัตถุประสงค์นำเงินที่ได้จากการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ เพื่อใช้ชำระคืนหุ้นกู้ ALL222A ที่จะครบกำหนด 28 ก.พ.65 ประมาณ 413 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินหมุนเวียนในกิจการ และในโครงการที่มีอยู่ปัจจุบัน ประมาณ 37 ล้านบาท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ วางแผนขายหุ้นกู้ 14,000 ล้าน สำหรับบริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH ​มีแผนที่จะออกหุ้นกู้อีกจำนวน 14,000 ล้านบาทในปี 2565 นี้ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุนจะอยู่ในระดับที่ลดลงจากสิ้นปี 2564 โดยอยู่ในระดับที่ไม่เกิน 100% ซึ่งในปี 2564 บริษัทได้มีการออกหุ้นกู้มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาท ระยะเวลา 2-3 ปี อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 1.40% ต่อปี โดยปัจจุบันยังไม่มีรายละเอียดการจำหน่ายหุ้นกู้ออกมา ​​   ที่มา : *ดีดี พร็อพเพอร์ตี้ www.set.or.th, Reviewyourliving รวมรวม
อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนมกราคม 2565

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนมกราคม 2565

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน เราได้ก้าวสู่ศักราชใหม่ 2565 กันมาพักนึงแล้ว สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ยังคงอยู่กับเราเหมือนเดิม ทำให้เราต้องระมัดระวังตัวเอง การ์ดอย่าตก แม้ความร้ายแรงของโรคจะไม่เหมือนในระยะแรกก็ตาม   ผลกระทบสำคัญอย่างหนึ่งที่ยังคงมีอยู่กับเรา คือ ภาวะสินค้าราคาแพงขึ้นมากมายหลายรายการ ซึ่งการเพิ่มขึ้นก็คงมีหลายปัจจัย ขึ้นอยู่กับแต่ละชนิดสินค้า ส่วนหนึ่งก็เป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 นั่นแหละ แม้ว่าจะมีสินค้าหลายรายการปรับราคาเพิ่มขึ้น  แต่สำหรับในธุรกิจการเงิน อัตราดอกเบี้ยยังถือว่าต่ำอยู่มาก โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน เพราะกำลังซื้อที่ลดลง ทำให้ธนาคารต้องรักษาอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ไม่ให้สูง เพื่อเป็นแรงจูงใจให้ลูกค้ามาใช้บริการ   สำหรับภาพรวมอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโดมิเนียมใหม่ ประจำเดือนมกราคม 2565 ในภาพรวมยังถือว่าธนาคารส่วนใหญ่ ยังคงรักษาอัตราดอกเบี้ยเท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา มีเพียงบางธนาคารที่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ซึ่งเชื่อว่าหากสถานการณ์บ้านเมืองและภาวะเศรษฐกิจดีขึ้น อัตราดอกเบี้ยคงขยับเพิ่มขึ้นตามไปด้วย จะว่าไปจังหวะนี้เป็นช่วงเวลาที่ดี หากใครที่อยากจะซื้อบ้านหรือคอนโด และมีความสามารถจะผ่อนได้ในระยะยาว และมีกำลังซื้อที่แท้จริง ก็อย่าปล่อยเวลาให้ผ่านไป แต่หากยังไม่มีแผน หรือดูสถานะทางการเงินหรือการทำงานแล้ว  ยังไม่ค่อยมั่นใจ จะรอไปก่อนเราก็ไม่ว่ากัน   มาดูกันว่า อัตราดอกเบี้ยส่วนใหญ่ที่ธนาคารปล่อยให้ลูกค้ากู้ซื้อบ้านมีอัตราเท่าไรกันบ้าง 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป  โดยอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ประจำเดือนมกราคม 2565 มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ  วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1   ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น 5.2%  (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.2% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65%   อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 0.17% ที่คิดอัตราดอกเบี้ย 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 0.17% ที่คิดอัตราดอกเบี้ย 4.65% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น  5.45% (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.45%  (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.9% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.7%(MRR-1.25%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.075%(MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2%(MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58%   -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก 4.75% หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า ​500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า ​คิดอัตราดอกเบี้ย​ MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย ​MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา   หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 5 ม.ค.- 1 มี.ค. 65 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ​และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา ​ -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ​ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ​ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ​​ 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อสำหรับบ้านใหม่ กรุงไทย SURE  โดยไม่คิดค่า  ธรรมเนียมยื่นกู้  โดยเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด  ไม่เปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ​​ดังนี้ แบบคงที่ 1 ปี ฟรีค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75%  ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.80% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.20% เพิ่มขึ้น 0.20% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตรา 4.04% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0%  ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.82% (MRR-2.4%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.87% (MRR-2.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.90% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.24% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 0.16% ที่คิดอัตราดอกเบี้ย 4.08% แบบลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.77%  (MRR-3.45%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.77% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.22% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.87% (MRR-3.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.87% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.26%   สินเชื่อสำหรับการกู้ซื้อบ้านที่ธนาคารออกค่าจดจำนองให้** และ ฟรี ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบคงที่ แบบทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ไม่เปลี่ยนแปลง ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%)  เพิ่มขึ้น 0.35% จากเดือนก่อนหน้าคิด 3.97% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.13% เพิ่มขึ้น 0.23% จากเดือนก่อนหน้าคิด 2.90% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.32% เพิ่มขึ้น 0.06% จากเดือนก่อนหน้าคิดอัตรา 4.24%   แบบไม่ทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0%  ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%) เพิ่มขึ้น 0.35% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด​ 3.97% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 4.32% (MRR-1.9%) เพิ่มขึ้น 0.3% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.02% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.23% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 0.23% ที่คิดดอกเบี้ย 3.0% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา = 4.35% เพิ่มขึ้น 0.08% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 4.27%   แบบลอยตัว แบบทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.12% (MRR-3.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.12% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.35%   แบบไม่ทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 3.22% (MRR-3.0%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.22% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 3.38%   การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ 1.ทำ MRTA/GLT SP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี 2.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ 3.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ **ธนาคารออกค่าจดจำนองให้ 1% สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท หากลูกค้าปิดบัญชีก่อน 5 ปี ธนาคารจะเรียกเก็บค่าจดจำนองคืน ***อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 มี.ค.65 MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมินอัตราดอกเบี้ยยังคงเท่าเดิมจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.9% ( MRR-3.15%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.00%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.39% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.50% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย MRR-1.60% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.55%  (MRR-3.50%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.3%  (MRR-2.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.02% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.25% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.1% (MRR-1.95%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.3% (MRR-1.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.7%  (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.23%   หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ​ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พ.ค. 63 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. – 30 เม.ย. 65 โดยจดจำนองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 31 พ.ค. 65 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป โดยพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ ซึ่งเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 7.72% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 7.72% สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 8.22% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 8.22% หมายเหตุ : -อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% (ประกาศ ณ วันที่ 22 พ.ค. 63) -อัตราดอกเบี้ยข้างต้นสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่ 20 ก.ค.  – 31 ธ.ค. 64 -สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภทรวมอาคารพาณิชย์ยกเว้น Refinance และการปล่อยกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า -มีค่าสำรวจและประเมินราคาหลักประกันโดยบริษัท โพรเกรส แอพไพรซัล หรือบริษัทประเมินที่ธนาคารรับรอง คิดขั้นต่ำ 3,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) -วงเงินให้กู้สูงสุดไม่เกิน 90% ของเราซื้อขายและไม่เกิน 90% ของราคาประเมินหลักประกัน *ข้อมูลภายในเว็บไซต์ ณ วันที่ 13 ม.ค. 65 ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่ : กรณีซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด) ซึ่งคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราเดิมเท่ากับเดือนที่ผ่านมา โดยธนาคารเกียรตินาคินมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  2.450%-2.750% ปีต่อไป ดอกเบี้ย  4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.650%-2.950% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.60%-2.99% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.80%-3.19% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ​เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่​ 18 สิงหาคม 2563 เท่กับ​ 6.525% ต่อปี 3.เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา​​​​​​ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า​ Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.​กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง ​​หากลูกค้า Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท  ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคี ​เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด ​โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ ​ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน​ 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด ​30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารซีไอเอ็มบี มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.10%) ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย 5.35% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-2.80%) หลังจากนั้น 5.35% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.15% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2564) -ธนาคารยังมีอัตราดอกเบี้ยสำหรับพนักงานประจำรายได้ 30,000-50,000 หรือเจ้าของกิจการรายได้ 50,000 บาทขึ้นไปไว้พิจารณาด้วย รวมถึงสินเชื่อสำหรับโครงการที่ธนาคารเป็นผู้สนับสนุน 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป จะได้รับฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าจดทะเบียนจำนอง และค่าประเมินหลักทรัพย์ ซึ่งยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยเท่ากับเดือนที่ผ่านมา  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.23%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.4% (MRR-1.88%) หลังจากนั้น 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.4% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือก 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา ดอกเบี้ย 4.65% หมายเหตุ สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส ​ 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท​ -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -MRR (Minimum Retail Rate : อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี) = 6.28% ต่อปี ณ วันที่ 7 พ.ค. 64 -การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งอัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารไทยพาณิชย์ คิดมีอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.950% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.950% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยะเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2565 ​มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา เพราะในปีที่ผ่านมา เป็นโครงการบ้านธอส. เพื่อคุณ ปี 2564 ทำให้มีการปรับปรุงอัตราดอกเบี้ยใหม่  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.15% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.75% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.9% (MRR-2.25%) เพิ่มขึ้น 0.15% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.4%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญา  5.4% หมายเหตุ -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.-30 ธ.ค.65   (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติมวงเงินของโครงการแล้ว) -อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินกู้และทุกบัญชีเงินกู้ภายใต้หลักประกันเดียวกัน 10.ธนาคารยูโอบี ธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโครงการหมู่บ้านทั่วไป  โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เปลี่ยนแปลงจาก​เดือนที่ผ่านมาเล็กน้อย ซึ่งธนาคารยูโอบีมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด  ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.35% ลดลง 0.2%  จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.55% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.35% (MRR-4.0%) ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.55% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.35% ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.79% ลดลง 0.08% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.87% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.55% ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.80%) ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย  3.75% หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.55% ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% ลดลง 0.08% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.95% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.8% ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75%  (MRR-2.60%) ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.95% หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.45% ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.8% ลดลง 0.08% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.88% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.0% ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.20% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.95%  (MRR-2.24%) ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย  5.15% ปีที่ 4 อัตราดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.65% ลดลง 0.2% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.96% หมายเหตุ -ขอสินเชื่อตั้งแต่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค. 65 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายใน 29 เม.ย.​ 65 -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาคารยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.35% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ​(Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น)​ -การอนุมัติสินเชื่อ​เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ  7.35% ต่อปี ​(ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 1 เม.ย. 64) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย​ MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้​ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ​เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร​ -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย ​(ใบอนุญาตประกันชีวิต​เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศภัย​ เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่เสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ​จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย คือ โฮมโลน โดนใจ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 1.9% (สำหรับผู้มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป) โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยสำหรับผู้กู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.0% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.00% (MRR-5.35%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.80% (MRR-3.55%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10%  (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 2 ปีแรก) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.20% (MRR-3.15%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.55% (MRR-4.80%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 4 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.75% (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 3 ปีแรก) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ล้านละ 3,500 บาท  กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่** -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 4.60% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.10% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.35% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่างๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่ 1 ม.ค.- 31 มี.ค. 65 -สำหรับอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.9% สำหรับผู้กู้ที่มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป ผ่อนต่ำเดือนละ 3,500 บาท ฟรีค่าจดจำนองสินเชื่อเมื่อซื้อประกันผ่านธนาคาร ฟรีค่าประเมินหลักประกัน 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีสินเชื่อเคหะ สำหรับให้บริการผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไปซื้อบ้านหรือคอนโด ภายใต้แคมเปญ อัตราดอกเบี้ย 0% 6 เดือนแรก ภาพรวมไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ​ โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ดังนี้​ กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ยเฉลี่ย 0.75% (เดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 1.5%)  ลดลง 0.75% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย 1.5% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.525% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.525% (MRR-2.72%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.6% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.101% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ยเฉลี่ย 1.0% (เดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 2.0%) ปรับลดลง 1.0% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.0% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.15% ปีที่​ 3 ดอกเบี้ย 4.15% (MRR-2.095%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.1% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.286%   เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยโปรโมชั่น 1.ประกัน หมายถึง ประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ 2.อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR=6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) 3.รายละเอียดเพิ่มเติมสอบถามได้จากธนาคาร   ที่มา Reviewyourliving รวบรวมจากเว็บไซต์ธนาคาร ข้อมูล ณ วันที่ 13 ม.ค.65   บทความที่เกี่ยวข้อง อัพเดท ดอกเบี้ย กู้ซื้อบ้านและคอนโด เดือนธันวาคม 64 อัพเดท ดอกเบี้ย กู้ซื้อบ้านและคอนโด เดือนพฤศจิกายน 64  
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้  ชู 2 คีย์ซัคเซส กวดยอดขาย 64   สร้าง New High กว่า 3 หมื่นล้าน

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ชู 2 คีย์ซัคเซส กวดยอดขาย 64  สร้าง New High กว่า 3 หมื่นล้าน

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ กวาดยอดขายบ้าน-คอนโดปี 64 ทำ New High ใหม่ ทะลุเป้า 17% โกยยอดกว่า 30,250 ล้าน จาก 2 คีย์ซัคเซส  "ความเข้าใจลูกค้า-ความสามารถในการปรับตัว" ปี 65  เตรียส่งเมกะโปรเจ็กต์ เดินหน้าต่อสร้างรายได้-ยอดขาย   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI  เปิดเผยว่า  ในปี  2564 ที่ผ่านมา บริษัทมียอดขาย (Presales) โครงการที่อยู่อาศัยประมาณ 30,250 ล้านบาท สูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ที่ 29,000 ล้านบาท และมีอัตราการเติบโต 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ยอดขายดังกล่าวถือเป็นสถิติ New High ใหม่ของบริษัทอีกด้วย    สำหรับยอดขายดังกล่าว แบ่งเป็นยอดขายจากกลุ่มบ้านจัดสรร 28% และกลุ่มคอนโดมิเนียม 72% หากแบ่งตามสถานะโครงการ จะพบว่ามียอดขายจาก โครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) คิดเป็นสัดส่วน 65% และกลุ่มโครงการที่เพิ่งเปิดขายหรืออยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง (Ongoing) สัดส่วน 35%  ปี 2564 นับเป็นปีที่ไม่ง่ายสำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีปัจจัยภายนอกหลายอย่างเกิดขึ้นต่อเนื่องตลอดทั้งปี ทั้งการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอก 2-3 มาตรการล็อคดาวน์ มาตรการปิดแคมป์ก่อสร้าง  สำหรับปัจจัยความสำเร็จของบริษัทในปีที่ผ่านมาด ยังคงเป็นเรื่องความเข้าใจความต้องการของผู้บริโภค (Customer Insight) และความสามารถในการปรับตัวให้เข้ากับทุกสถานการณ์  บริษัทมีการสร้างลูกเล่นใหม่ๆ ในการเข้าถึงและตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ยังคงมองหาที่อยู่อาศัยใหม่ เช่น การจัดมหกรรมคอนโดออนไลน์ในรูปแบบ Property Live การเจาะเซ็กเมนท์ใหม่​ ส่งผลให้ทั้งโครงการพร้อมอยู่และโครงการเปิดตัวใหม่ยังตอบสนองดีมานด์ได้อย่างดี จนทำยอดขายทั้งปีได้สูงกว่าเป้าหมายดังกล่าว ​    ในปีที่ผ่านมา บริษัทยังได้เปิดตัวคอนโดมิเนียมหลากหลายแบรนด์ใหม่อย่างต่อเนื่อง  อาทิ บริกซ์ตัน (Brixton) เจาะตลาดเฉพาะกลุ่มในราคาที่เข้าถึงได้ (Affordable Niche) เช่น คอนโดมิเนียมสำหรับคนรักสัตว์เลี้ยง คอนโดมิเนียมสำหรับนักศึกษา ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play) เจาะตลาดกลุ่มสตาร์ทอัพ ออริจิ้น เวลเนส เรสซิเดนซ์ เจาะตลาดกลุ่มผู้สูงวัย (Silver Age) และแฮมป์ตัน (Hampton) โดยทุกแบรนด์ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี ขณะเดียวกัน โครงการบ้านจัดสรรภายใต้บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) ก็สามารถสร้างยอดขายระดับ All Time High ได้ต่อเนื่องทุกปี ตามแผนเติบโตของบริษัท  นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า สำหรับภาพรวมปี 2565 นั้น ยังคงมีหลากหลายสถานการณ์ที่ยังต้องจับตาอย่างใกล้ชิด อาทิ การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน และสายพันธุ์ใหม่ๆ ที่อาจเกิดขึ้น มาตรการต่างๆ ของภาครัฐที่อาจตามมาจากการแพร่ระบาด สถานการณ์เงินเฟ้อทั้งในระดับประเทศและระดับโลก อย่างไรก็ดี บริษัทประเมินว่าภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จะยังมีโอกาสเติบโตได้มากกว่าปี 2564  เราอยู่กับสถานการณ์โควิด-19 มาราวๆ 2 ปี ทุกภาคส่วนมีภูมิคุ้มกันและขีดความสามารถในการปรับตัวสูงขึ้น ประชาชนส่วนใหญ่ในขณะนี้อยู่ระหว่างการทยอยฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 ซึ่งน่าจะส่งผลต่อความมั่นใจในการกลับมาดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระยะยาวตามปกติมากขึ้น โดยบริษัท​และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายอื่นๆ เอง ก็ยังปรับตัวได้อย่างแข็งแกร่งในปี 2564 จึงเชื่อมั่นว่า หากทุกฝ่ายยังคงตื่นตัว จริงจังต่อการป้องกัน แก้ไข และปรับตัวรับมือความท้าทาย ภาพรวมตลาดปี 2565 ก็ยังน่าจะขับเคลื่อนไปได้มากกว่าปี 2564  บริษัทได้เตรียมแผนธุรกิจไว้หลายด้านตลอดปี 2565 รวมถึงจะมี “เมกะโปรเจ็กต์” ที่จะมาพลิกเกมการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และสร้างอีกระดับของการใช้ชีวิตให้แก่ผู้บริโภค คาดว่าจะเปิดเผยรายละเอียดต่างๆ ได้ในช่วงปลาย ก.พ.-กลาง มี.ค.65 นี้
กานดา พร็อพเพอร์ตี้  ลุยอสังหาฯปี 65 สร้างยอดขาย 3,000 ล้าน  ชูบ้านสไตล์ใหม่ 6 โครงการเจาะเรียลดีมานด์

กานดา พร็อพเพอร์ตี้ ลุยอสังหาฯปี 65 สร้างยอดขาย 3,000 ล้าน ชูบ้านสไตล์ใหม่ 6 โครงการเจาะเรียลดีมานด์

กานดา พร็อพเพอร์ตี้  ลุยตลาด​บ้านปี 65 ​ส่ง 6 โครงการ มูลค่า 4,700 ล้าน เป้ายอดขายทะลุ 3,300 ล้านบาท ชู​แบบบ้านใหม่สไตล์ English Garden และทาวน์โฮมแบรนด์ใหม่ ลุยตลาดภายใต้แนวคิดใหม่ 5 Kanda Concept หลังปี 64 ทำยอดขายได้ 3,000 ล้านบาท และรายได้ 2,050 ล้านบาท   นายหัสกร บุญยัง รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท กานดา พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2565 ว่า มีแผนจะเปิดโครงการใหม่เป็นที่อยู่อาศัยแนวราบรวม 6 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,700 ล้านบาท ซึ่งมีทั้งการเปิดโครงการในทำเลเดิม และขยายไปในทำเลใหม่​ รวมทั้งการเปิดแบรนด์ใหม่ในกลุ่มทาวน์เฮ้าส์ระดับกลาง-กลางบน เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าให้ครอบคลุม และขยายฐานการสร้างรายได้ให้กว้างขึ้น   สำหรับโครงการใหม่ที่จะเปิดขายในปี 2565 ประกอบด้วย โครงการไอลีฟ ไพร์ม ลำลูกกา คลอง 2 โครงการไอลีฟ ไพร์ม 2 ประชาอุทิศ 90 โครงการไอลีฟ พราวด์ พระราม 2 กม. 14 และโครงการไอลีฟ พราวด์ วงแหวน-รังสิต คลอง 4 ซึ่งเป็นทาวน์โฮมแบรนด์ใหม่ ระดับราคา 2-3 ล้านบาท รวมทั้งการเปิดโครงการในทำเลใหม่อีก 2 โครงการ ได้แก่ โครงการไอลีฟ ไพร์ม รามอินทรา-คู้บอน และโครงการไอลีฟ ไพร์ม พัทยา-จอมเทียน ที่จังหวัดชลบุรี   ในปี 2565 บริษัทจะมีทั้งโครงการใหม่ และโครงการที่อยู่ระหว่างการขายรวม 16 โครงการ ใน 11 ทำเล ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และภูมิภาค โดยได้ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 3,300 ล้านบาท และเป้ารายได้อยู่ที่ 2,500 ล้านบาท ขณะที่ปี 2564 บริษัททำยอดขายไปได้ 3,000 ล้านบาท และมีรายได้อยู่ที่ 2,050 ล้านบาท ซึ่งถือว่าทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยมีการเปิดโครงการใหม่ไปเพียง 2 โครงการ ได้แก่ ไอลีฟ ไพร์ม ประชาอุทิศ 90 และ ไอลีฟ ไพร์ม 2 พระราม 2 กม. 14   “ภาพรวมของเศรษฐกิจและภาคอสังหาริมทรัพย์ในปี 2565 จะเติบโตขึ้นกว่าปี 2564 แต่เป็นการเติบโตในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าจะเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดสายพันธุ์โอมิครอน  แต่เชื่อว่าถ้าความรุนแรงและผู้เสียชีวิตไม่เพิ่มขึ้นมากจะทำให้ความกดดันที่จะต้องใช้มาตรการปิดประเทศลดน้อยลง ขณะที่ไทยรวมถึงหลายๆ ประเทศหันมาให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ของประชาชนควบคู่ไปกับการควบคุมโรค ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจสามารถเดินต่อไปได้ แม้จะเติบโตได้ไม่มากนัก”   นายหัสกร  กล่าวอีกว่า ในส่วนของภาคอสังหาริมทรัพย์ การผ่อนคลายมาตรการคุมสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV) และการขยายมาตรการลดค่าโอนและจดจำนองที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทออกไปอีก 1 ปี ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก โดยจะมีผลในเชิงบวกต่อตลาด จากการผ่อนปรนให้ผู้ซื้อสามารถขอสินเชื่อได้ 100% และช่วยลดภาระจากมาตรการลดค่าโอน ขณะเดียวกัน ยังส่งผลเชิงจิตวิทยา จากการที่ภาครัฐใช้อสังหาฯเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จะสร้างบรรยากาศที่ดีต่อตลาด และสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นกับผู้บริโภค นอกจากนี้ การลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองจะช่วยให้ผู้ประกอบการชะลอการปรับราคาบ้านตามต้นทุนวัสดุก่อสร้างที่หลายตัวได้ปรับขึ้นไปแล้ว 5-30% เนื่องจากสถานการณ์ในขณะนี้เชื่อว่าผู้ประกอบการยังคงให้ความสำคัญกับสภาพคล่องมากกว่าผลกำไร การลดค่าโอนจึงช่วยให้ผู้ประกอบการนำประโยชน์ที่ได้จากส่วนนี้ส่งต่อไปให้ผู้บริโภคทั้งในเรื่องของการโปรโมชั่น หรือการชะลอการปรับขึ้นราคาตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น   “คาดว่าตลาดบ้านแนวราบจะยังเติบโตต่อเนื่องจากปี 2564 โดยส่วนหนึ่งจะยังคงได้อานิสงส์จากกลุ่มลูกค้าที่เคยอยู่ในเมืองอาจจะขยับออกมาชานเมือง เพื่อซื้อบ้านที่ได้พื้นที่ใช้สอยที่มากขึ้น ได้อยู่กับครอบครัวที่ใหญ่ขึ้น ได้ประโยชน์จากการอยู่อาศัยที่คุ้มค่าขึ้นจากการที่จะต้อง work from home ส่วนคอนโดมิเนียมจะเริ่มฟื้นตัวแต่จะยังไม่กลับไปดีเท่ากับช่วงก่อนปี 2560 ซึ่งทั้งบ้านแนวราบ และคอนโดมิเนียม จะเป็นการทำตลาดในกลุ่มที่มีความต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริงเป็นกลุ่มหลัก”   นายหัสกร กล่าวอีกว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ท้าทายในการดำเนินธุรกิจและทำให้บริษัทต้องปรับตัวใน 3 เรื่องหลักๆ เรื่องแรกเป็นเรื่องที่บริษัทให้สำคัญที่สุดคือ การบริการสภาพคล่องทั้งเงินที่จะเข้ามาและเงินที่จะต้องจ่ายออกไป โดยโฟกัสไปที่การขายและการก่อสร้างที่จะต้องสอดรับกันระหว่างรายรับกับรายจ่าย โดยมีการวางแผนงานก่อสร้างกับงานขายที่ต้องประชุมติดตามกันอย่างใกล้ชิด   เรื่องที่ 2 คือ เรื่องของความปลอดภัยด้านสุขอนามัยของพนักงานและลูกค้า พนักงานที่มีการสัมผัสใกล้ชิดลูกค้าจะต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยมีการตรวจ ATK การทำความสะอาดบ้านตัวอย่างและสำนักงานขายอย่างสม่ำเสมอ อุปกรณ์ทำความสะอาดและป้องกันต่างๆ มีการเตรียมไว้ให้พร้อมในทุกโครงการ รวมถึงการให้พนักงานสลับกัน  work from home เพื่อลดความหนาแน่นของแต่ละไซต์โครงการ เป็นการลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ   เรื่องที่ 3 เป็นเรื่องของการปรับปรุงระบบการทำงานของบริษัทให้สอดรับกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปทั้งในปัจจุบันและอนาคต อย่างเช่น เรื่องโปรดักส์ได้มีการออกแบบบ้านใหม่รองรับ New Lifestyle ที่เกิดจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เป็นบ้านในสไตล์ English Garden ที่มีการออกแบบพื้นที่รองรับการใช้ประโยชน์ที่หลากหลายจากการที่ผู้บริโภคต้องใช้เวลาอยู่กับบ้านมากขึ้น และนำสไตล์การจัดสวนแบบอังกฤษมาช่วยสร้างบรรยากาศที่อบอุ่นและผ่อนคลายในโครงการ   “แบบบ้านสไตล์ English Garden จะมีความคลาสสิก ให้ความรู้สึกที่อบอุ่นและผ่อนคลาย เมื่อผู้บริโภคต้องใช้เวลาอยู่กับบ้านมากขึ้น โดยได้นำมาใช้กับโครงการไอลีฟ ไพร์ม 2 พระราม 2 กม. 14 ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2564 เป็นโครงการแรก และจะนำไปใช้กับทุกโครงการใหม่ในปี 2565 เริ่มที่โครการไอลีฟ ไพร์ม พัทยา-จอมเทียน ที่คาดว่าจะเปิดตัวได้ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ปี 2565” นอกจากนี้ บริษัทยังได้ปรับแนวคิดการพัฒนาโครงการในทุกโครงการจากเดิมที่ใช้ 4 Kanda Concept เป็นหลักในการพัฒนา ปัจจุบันได้เพิ่มเป็น 5 Kanda Concept ประกอบด้วย Eco Smart การใช้พลังงานทางเลือก โดยใช้หลักการของ 3R-Reduce Reuse Recycle Easy Maintenance การออกแบบบ้านให้ง่ายต่อการซ่อมบำรุงในอนาคต การเลือกใช้วัสดุทนทาน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม Multi Generation ออกแบบบ้านที่คำนึงถึงการอยู่อาศัยร่วมกันของแต่ละช่วงวัย ตอบโจทย์การอยู่อาศัยแบบครอบครัวใหญ่ Flood Protection การออกแบบโครงการให้มีระบบป้องกันน้ำท่วม ส่วนที่เพิ่มขึ้นมาเป็น concept ที่ 5 คือ Space Matter การให้ความสำคัญกับพื้นที่ใช้สอยเพื่อรองรับความต้องการใช้พื้นที่หลากหลายขึ้น เช่น บ้านหนึ่งหลังออกแบบให้มี 4 ห้องนอน ด้วยจำนวนห้องที่หลากหลายทำให้เพียงพอต่อการปรับเปลี่ยนห้องได้ตามประโยชน์การใช้สอย รวมไปถึงการออกแบบฟังก์ชั่นการใช้สอยในพื้นที่ส่วนอื่น ๆ ให้เหมาะสมกับ space ในส่วนนั้น ๆ นายหัสกร กล่าวปิดท้ายว่า ในอีก 1-2 ปีข้างหน้าบริษัทวางเป้าจะขยายทำเลใหม่เพิ่มปีละ 1-2 ทำเล และเปิดโครงการปีละ 5-10 โครงการ ตั้งเป้าเติบโตปีละ 10-20% หรือมีรายได้ประมาณ 2,000-2,500 ล้านบาท ขณะที่แผนในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า ได้วางเป้าในการเติบโตที่สูงขึ้น โดยมีการขยายธุรกิจเพิ่มจากปัจจุบันมีธุรกิจสำนักพิมพ์ออนไลน์ และการนำสินทรัพย์ที่มีอยู่มาปล่อยเช่าในระยะยาว ในอนาคตจะมีการขยายธุรกิจไปในอสังหาริมทรัพย์รูปแบบอื่น ๆ เพิ่ม โดยคาดว่าจะมีรายได้ในระดับ 3,000-3,500 ล้านบาท
พิษโควิด-19 ทุบยอดโอนคอนโดต่างชาติลด “จีน” ยังครองเบอร์1 มูลค่า 17,800 ล้าน

พิษโควิด-19 ทุบยอดโอนคอนโดต่างชาติลด “จีน” ยังครองเบอร์1 มูลค่า 17,800 ล้าน

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าได้รับผลกระทบหนักจากภาวการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียม ที่ส่งผลต่อพฤติกรรมการอยู่อาศัยของคนในยุคปัจจุบัน ซึ่งต้องการพื้นที่การใช้ชีวิตที่มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) หรือการเรียนออนไลน์ ซึ่งการอยู่อาศัยในคอนโดไม่ตอบโจทย์เสียแล้ว   ขณะเดียวกันตลาดคอนโดที่พึ่งพิงกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ในสัดส่วน  20-30% ก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งถือเป็นฐานลูกค้าสำคัญที่เข้ามาผยุงตลาดคอนโดไว้ได้หายออกไปเกือบจะเป็นศูนย์ เพราะลูกค้าต่างชาติไม่สามารถเดินทางเข้ามาซื้อคอนโดได้ ทำให้ตลาดคอนโดดูแย่ลงไปมาก   แน่นอนว่าตลอดช่วง 2 ปีกว่าของการแพร่ระบาด  ยอดขายใหม่ของคอนโดในกลุ่มต่างชาติแทบจะไม่มี แล้วยอดขายที่ซื้อไปก่อนหน้านั้น กลุ่มลูกค้าต่างชาติมีการโอนกรรมสิทธิ์กันหรือไม่ หรือมีการทิ้งดาวน์ไปเลย เป็นคำถามที่เชื่อว่าหลายคนยังคงสงสัยกัน ว่าภายใต้สถานการณ์แบบนี้ ลูกค้าต่างชาติจะยังต้องการเป็นเจ้าของคอนโดในเมืองไทยหรือไม่   โดยศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้ทำการรวบรวมสถิติการถือครองกรรมสิทธิ์ห้องชุด (คอนโดมิเนียม) ของคนต่างชาติในภาพรวมทั้งประเทศ ผ่านสถิติการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในช่วงปี 2561 ถึงปี 2563 พบว่า มียอดการโอนกรรมสิทธิ์คอนโด 3 ปีสะสมรวม 1,408,431 ตร.ม. แต่เมื่อเข้าสู่ไตรมาส 1 ของปี 2564  ภาพรวมสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์คอนโด ให้คนต่างชาติทั่วประเทศยังคงลดลงอย่างต่อเนื่องจนถึงไตรมาสที่ 3   ใน 9 เดือนแรกของปี 2564 คอนโดราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ยังคงเป็นที่นิยมของคนต่างชาติ โดยมีการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดทั่วประเทศให้ชาวจีนสูงสุดอันดับ 1 คิดเป็นมูลค่า 17,800 ล้านบาท หรือ 59.9% ของการโอนกรรมสิทธิ์ของชาวต่างชาติทั้งหมด เมื่อเปรียบเทียบจำนวนหน่วยที่มีการโอนกรรมสิทธิ์พบว่าอัตราเฉลี่ยในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 กับค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนมีการระบาด จำนวนหน่วยโอนเฉลี่ยลดลง 37.5% ค่าเฉลี่ยมูลค่าลดลงถึง 28.5% ปี 64 โอนคอนโดต่างชาติ ลดลงต่อเนื่อง 3 ไตรมาส ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) รายงานว่า ภาพรวมสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์คอนโดให้คนต่างชาติทั่วประเทศในไตรมาส 3 ปี 2564 ยังคงหดตัวอย่างต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 3 นับตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2564 ทั้งจำนวนยูนิต มูลค่า และขนาดพื้นที่ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังไม่คลี่คลาย   ในไตรมาส 3 ปี 2564 ประเทศไทยประสบปัญหาการแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลต้า​ ทำให้มีตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันเพิ่มสูงขึ้นเป็นหลักหมื่นคน ภาครัฐจึงมีการยกระดับมาตรการจำกัดการเดินทางทั่วประเทศอย่างเข้มงวด รวมไปถึงการล็อคดาวน์ในพื้นที่สีแดงเข้มเพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ทำให้จำนวนการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดของคนต่างชาติหดตัวอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 3 ปี 2564 มีจำนวนหน่วยทั้งหมด 1,755 ยูนิต ลดลง 13.1% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) และลดลง 6.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY)   ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบจำนวนยูนิตที่มีการโอนกรรมสิทธิ์เฉลี่ย ในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 (ปี 2563-2564) จำนวน 2,059 ยูนิต​ต่อไตรมาส กับในช่วงก่อนมีการระบาด (ปี 2561-2562)  ซึ่งมีค่าเฉลี่ย 3,296 ยูนิตต่อไตรมาส พบว่าจำนวนโอนเฉลี่ย ช่วงที่มีการระบาดลดลง 37.5% (ดูแผนภูมิที่ 1 และ 2)   สำหรับมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดให้คนต่างชาติในไตรมาส 3 ปี 2564 ทั่วประเทศ พบว่ามีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 9,265 ล้านบาท ลดลง 2.8% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)  และลดลง 1.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY) ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับจำนวนยูนิต (ดูแผนภูมิที่ 3 และ 4) และเมื่อเปรียบเทียบค่าเฉลี่ยในช่วงที่มีการระบาดของ โควิด-19 (ปี 2563-2564) ซึ่งมีมูลค่า 9,637 ล้านบาทต่อไตรมาส กับค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนการระบาด (ปี 2561-2562) มูลค่า 13,483 ล้านบาทต่อไตรมาส พบว่าค่าเฉลี่ยในช่วงการแพร่ระบาดลดลงถึง 28.5% ที่มา : กรมที่ดินรวบรวมและประมวลผลโดย : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ที่มา : กรมที่ดิน รวบรวมและประมวลผลโดย : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ที่มา : กรมที่ดิน รวบรวมและประมวลผลโดย : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์   พื้นที่การโอนกรรมสิทธิ์คอนโดให้คนต่างชาติในไตรมาส 3 ปี 2564 มีจำนวน 79,233 ตารางเมตร ลดลง 7.6% จากไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)  แต่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยคือ เพิ่มขึ้น 0.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า (YoY)  และเมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยในช่วงที่มีการระบาดของโควิด-19 (ปี 2563-2564) ซึ่งมีพื้นที่ 86,365 ตารางเมตรต่อไตรมาส กับค่าเฉลี่ยในช่วงก่อนการระบาด (ปี 2561-2562) ซึ่งมีพื้นที่ 133,394 ตารางเมตรต่อไตรมาส พบว่าในช่วงที่มีการแพร่ระบาดมีพื้นที่ลดลงถึง 35.3% ที่มา : กรมที่ดิน รวบรวมและประมวลผลโดย : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์   สำหรับสัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดให้คนต่างชาติเปรียบเทียบกับการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดทั่วประเทศ จะพบว่า ​ จำนวนยูนิตที่โอนกรรมสิทธิ์คอนโดให้คนต่างชาติ เมื่อเทียบกับจำนวนหน่วยที่โอนกรรมสิทธิ์คอนโดทั้งหมดทั่วประเทศในไตรมาส 3 ปี 2564 มีสัดส่วน 9.3% ในขณะที่มูลค่าคอนโด มีสัดส่วน 16.7% และพื้นที่คอนโด มีสัดส่วน12.0% ต่างชาตินิยมคอนโดไม่เกิน 3 ล้าน ในไตรมาส 3 ปี 2564 มีจำนวนยูนิตการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดให้คนต่างชาติมากที่สุดในช่วงระดับราคา ไม่เกิน 3 ล้านบาท มีจำนวน 792 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วน 45.1% ของจำนวนยูนิตทั้งหมดจำนวน 1,755 ยูนิต รองลงมาคือ ระดับราคา 3.01 – 5  ล้านบาท มีจำนวน 454 ยูนิต (25.9%) ระดับราคา 5.01 – 7.5  ล้านบาท มีจำนวน 277 ยูนิต​ (15.8%) ระดับราคามากกว่า 10  ล้านบาทขึ้นไป มีจำนวน 130 ยูนิต (7.4%) และระดับราคา 7.51 – 10 ล้านบาท มีจำนวนน้อยที่สุด คือ 102 ยูนิต (5.8%) ตามลำดับ ซึ่งเมื่อพิจารณาย้อนหลังไปจนถึงปี 2561 พบว่ามีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกัน โดยคอนโดราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ยังคงเป็นที่นิยมของคนต่างชาติเป็นส่วนใหญ่ (ดูแผนภูมิที่ 6) แผนภูมิที่ 6 สัดส่วนจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์คอนโดให้คนต่างชาติ ทั่วประเทศ แยกตามระดับราคา ที่มา : กรมที่ดิน  รวบรวมและประมวลผลโดย : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์   ในไตรมาส 3 ปี 2564 มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดให้คนต่างชาติมากที่สุดในระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาท จำนวน 3,445 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 37.2%  รองลงมาคือ ระดับราคา 3.01 – 5 ล้านบาท มีมูลค่า 1,862 ล้านบาท (20.1%) ระดับราคา 5.01 – 7.5 ล้านบาท มีมูลค่า 1,651 ล้านบาท (17.8%) ระดับราคาไม่เกิน 3  ล้านบาท มีมูลค่า 1,439 ล้านบาท (15.5%) และระดับราคา 7.51 – 10 ล้านบาท มีมูลค่าน้อยที่สุด คือ 868 ล้านบาท (9.4%) ตามลำดับ (ดูแผนภูมิที่ 7) แผนภูมิที่ 7 สัดส่วนมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดให้คนต่างชาติ ทั่วประเทศ แยกตามระดับราคา ที่มา : กรมที่ดิน รวบรวมและประมวลผลโดย : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ จีนยังเป็นแชมป์ ซื้อคอนโดเมืองไทย ในบรรดาชาวต่างชาติที่เข้ามาซื้อคอนโดเมืองไทย และมีการโอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด ยังเป็นกลุ่มลูกค้าชาวจีน  ถือเป็นสัญชาติที่มีการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมากที่สุดทั่วประเทศ โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 มีการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดให้ชาวจีนไปแล้วทั้งหมด 3,760 ยูนิต คิดเป็นสัดส่วนที่สูงถึง 61.4% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด  ส่วนอีก 4 สัญชาติที่มีการโอนมากรองลงมา ได้แก่ รัสเซีย จำนวน 228 ยูนิต (สัดส่วน 3.7%) ถัดมาคือ สหรัฐอเมริกา จำนวน 197 ยูนิต (สัดส่วน 3.2%) สหราชอาณาจักร จำนวน 194 ยูนิต (สัดส่วน 3.2%) และฝรั่งเศส จำนวน 172 ยูนิต (สัดส่วน 2.8%) ตามลำดับ   หากพิจารณาย้อนหลังไปจนถึงปี 2561 จะพบว่า ชาวจีน ยังคงเป็นสัญชาติที่นิยมซื้อคอนโดในประเทศไทยเป็นส่วนใหญ่ โดยมีสัดส่วนในแต่ละปีสูงกว่า 50%  ของยูนิตทั้งหมด และลำดับรองลงมาส่วนใหญ่เป็นชาวยุโรป โดยมีสัดส่วนไม่ถึง 7%  โดยสัญชาติที่นิยมเข้ามาซื้อคอนโดในประเทศไทยตั้งแต่ ปี 2561 จนถึง 9 เดือนแรกของปี 2564 ที่มีจำนวนหน่วยสะสมสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จีน รัสเซีย สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และ สหรัฐอเมริกา ตามลำดับ (ดูแผนภูมิที่ 8) แผนภูมิที่ 8 หน่วยโอนกรรมสิทธิ์คอนโดให้คนต่างชาติ ทั่วประเทศ  เรียงตามสัญชาติสูงสุด 10 อันดับ ที่มา : กรมที่ดิน  รวบรวมและประมวลผลโดย : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์   ใน 9 เดือนแรกของปี 2564 มีการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดทั่วประเทศให้ชาวจีน เป็นมูลค่าสูงสุด จำนวน 17,800 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนที่สูงถึง 59.9E ของมูลค่าทั้งหมด ส่วน 4 สัญชาติที่มีมูลค่าการโอนรองลงมาคือ วานูอาตู จำนวน 1,011 ล้านบาท (สัดส่วน 3.4%) ถัดมาคือ สหรัฐอเมริกา จำนวน 864 ล้านบาท (สัดส่วน 2.9%) สหราชอาณาจักร จำนวน 732 ล้านบาท (สัดส่วน 2.5%) และฝรั่งเศส จำนวน 711 ล้านบาท (สัดส่วน 2.4%) ตามลำดับ เป็นที่น่าสังเกตว่า ชาววานูอาตู มีมูลค่ารับโอนกรรมสิทธิ์คอนโดสะสมใน 9 เดือนแรกของปี 2564 สูงสุดเป็นลำดับที่ 2 แต่มีจำนวนหน่วยสะสมเพียง 23 หน่วย ซึ่งคิดเป็นมูลค่าคอนโดเฉลี่ยต่อหน่วยสูงถึง 44 ล้านบาท ต่างชาตินิยมคอนโด 43 ตร.ม.​ คอนโดที่ชาวต่างชาติโอนกรรมสิทธิ์ใน 9 เดือนแรกของปี 2564 โดยเฉลี่ยมีขนาด 43 ตารางเมตร มูลค่าเฉลี่ย 4.9 ล้านบาทต่อยูนิต หรือประมาณตารางเมตรละ 114,000 บาท สหรัฐอเมริกาเป็นสัญชาติที่โอนคอนโดขนาดใหญ่สุดเฉลี่ย 54.8 ตารางเมตร และสิงคโปร์เป็นสัญชาติที่โอนคอนโดมูลค่าต่อยูนิตสูงสุด เฉลี่ย 5.1 ล้านบาทต่อหน่วย (ดูตารางที่ 1) ทั้งนี้ แม้ประเทศวานูอาตูจะมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดเฉลี่ยสูงถึง 44 ล้านบาท แต่ด้วยจำนวนหน่วยซึ่งมีเพียง 23 ยูนิต จึงไม่อยู่ใน 10 ประเทศที่มีหน่วยการโอนกรรมสิทธิ์สูงสุด 5 จังหวัดต่างชาติโอนคอนโดสูงสุด ใน 9 เดือนแรกของปี 2564 จังหวัดที่มีจำนวนยูนิตโอนกรรมสิทธิ์คอนโดให้คนต่างชาติสะสมมากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จังหวัดกรุงเทพฯ ชลบุรี ภูเก็ต เชียงใหม่ และประจวบคีรีขันธ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ใน 2 จังหวัดแรก คือ กรุงเทพฯ มีจำนวน 3,246 ยูนิต (สัดส่วน 53.0%) และชลบุรี จำนวน 1,738 ยูนิต (สัดส่วน 28.4%) ตามลำดับ โดยทั้ง 2 จังหวัดมีสัดส่วนรวมกันสูงถึง 81.4%  ของทั่วประเทศ (ดูแผนภูมิที่ 9)   แผนภูมิที่ 9 หน่วยโอนกรรมสิทธิ์คอนโดให้คนต่างชาติ ทั่วประเทศ เรียงตามจังหวัดสูงสุด 5 อันดับ ที่มา : กรมที่ดิน  รวบรวมและประมวลผลโดย : ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์   จังหวัดที่มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดให้คนต่างชาติสูงสุด 5 อันดับแรก ใน 9 เดือนแรกของปี 2564 ได้แก่ จังหวัดกรุงเทพฯ ชลบุรี ภูเก็ต ประจวบคีรีขันธ์ และนนทบุรี โดยใน 2 จังหวัดแรก คือ กรุงเทพฯ มีมูลค่า 21,764 ล้านบาท (สัดส่วน 73.2%) และชลบุรี มีมูลค่า 4,137 ล้านบาท (สัดส่วน 13.9%) ตามลำดับ ซึ่งทั้ง 2 จังหวัด มีสัดส่วนมูลค่ารวมกันสูงถึง87.1%  ของทั้งประเทศ   สำหรับข้อมูลทั้งหมด แสดงให้เห็นว่า ตลาดคอนโดในกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่ต่างจากกลุ่มลูกค้าชาวไทย แต่กลุ่มชาวต่างชาติส่วนใหญ่ ก็ยังต้องการที่จะซื้อคอนโดในเมืองไทย ไม่ได้หายออกจากตลาดไปทั้งหมด แม้ว่าตัวเลขจะจำนวนลดลงก็ตาม เพราะปัญหาใหญ่ที่ชาวต่างชาติต้องเผชิญ คือ การไม่สามารถเดินทางไปมาระหว่างประเทศได้ ซึ่งเชื่อว่าหากการแพร่ระบาดเบาบางลง สามารถเดินทางระหว่างประเทศได้ ตัวเลขด้านยอดขายและการโอนคอนโดในกลุ่มลูกค้าต่างชาติ น่าจะฟื้นตัวดีขึ้น เพราะตลาดคอนโดไทยยังได้เปรียบกับหลายประเทศในภูมิภาค โดยเฉพาะเรื่อของราคา ที่สำคัญเมืองไทยยังน่าอยู่อาศัย และมีศักภาพรองรับชาวต่างชาติได้อีกมากมายหลายเรื่อง
5 คำถามเริ่มต้นที่ต้องตอบ สำหรับคนที่คิดจะสร้างบ้าน

5 คำถามเริ่มต้นที่ต้องตอบ สำหรับคนที่คิดจะสร้างบ้าน

การมีบ้านสักหลังคงเป็นความฝันของใครหลาย ๆ คน ยิ่งในภาวะปัจจุบัน ที่สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังคงมีอยู่  การอยู่บ้านที่มีพื้นที่กว้าง ๆ เพื่อใช้ทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน การทำงาน หรือการเรียน เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ต้องการ มากกว่าการอยู่ในห้องคอนโดมิเนียม เป็นทางเลือกที่คนส่วนใหญ่ต้องการ แต่การจะมีบ้านสักหลัง คนส่วนใหญ่ก็มักจะเลือกซื้อจากดีเวลลอปเปอร์ ที่พัฒนาขึ้นมาขายมากมายหลายรูปแบบ หลายทำเล และระดับราคา แต่ก็มีไม่น้อยเลือกที่จะปลูกสร้างบ้านเอง ตามรูปแบบและขนาดที่ต้องการ โดยเฉพาะเลือกที่จะอยู่ในทำเลเดิมที่คุ้นเคย บนที่ดินของตนเอง แล้วการจะปลูกสร้างบ้านของตนเอง จะต้องเริ่มต้นอย่างไรดี เราจึงมี 5 คำถามสำคัญ สำหรับคนที่ต้องการปลูกสร้างบ้านเอง มาใช้เป็นแนวทางการวางแผน เพื่อให้ได้บ้านที่ถูกใจ ตรงความต้องการของผู้อยู่อาศัยมากที่สุด มาเป็นไอเดียกัน ​ 1.เริ่มต้นด้วยแบบและขนาดเท่าไรดี จุดเริ่มต้นของการสร้างบ้าน คนส่วนใหญ่จะคิดถึงรูปแบบและหน้าตาของบ้าน ว่าตนเองต้องการบ้านสไตล์ไหน หน้าตาบ้านเป็นอย่างไร หลังจากนั้นก็จะลงไปในรายละเอียดของตัวบ้าน ว่าจะต้องมีขนาดพื้นที่เท่าไร มีกี่ห้องนอน มีพื้นที่อะไรบ้าง   ปัญหาที่ต้องเจอหากเริ่มต้นแบบนี้ คือ ความไม่สอดคล้องกันของการใช้งานกับขนาดสัดส่วน รูปร่างหน้าตาของบ้านในภายหลัง  ซึ่งทางออกของปัญหานี้ คงต้องเริ่มจากการสำรวจความต้องการของสมาชิกภายในบ้านก่อน ทั้งความต้องการใช้งานและด้านความสวยงาม เมื่อรวบรวมมาได้ส่วนหนึ่งจะถูกแปลงไปเป็นขนาดพื้นที่ใช้สอย ทำให้ขนาด สัดส่วน รูปร่างหน้าตา สอดคล้องกับการใช้งาน อีกทั้งขนาดพื้นที่ใช้สอยยังสามารถนำมาตั้งต้นประเมินค่าใช้จ่ายในงานออกแบบก่อสร้างอย่างคร่าว ๆ ได้อีกด้วย 2.เตรียมงบประมาณเท่าไรจะพอ เรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ เป็นหัวใจสำคัญของการปลูกสร้างบ้านของตนเอง เพราะปัญหาที่มักจะพบบ่อยเสมอ คือ งบประมาณบานปลาย จากเดิมที่วางไว้เท่านี้ แต่พอสร้างจริงก็มีค่าใช้จ่ายงอกขึ้นมา โดยเฉพาะหากมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการก่อสร้าง ขนาด หรือวัสดุที่ใช้   โดยเราสามารถประเมินค่าใช้จ่ายในการสร้างบ้านได้ตั้งแต่ต้น ซึ่งตัวเลขเบื้องต้นที่ได้มานั้น จะมีความคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงค่อนข้างมาก แต่จะทำให้เจ้าของบ้านเห็นวงเงินงบประมาณที่ต้องเตรียมเอาไว้ใช้จ่ายได้ในภาพรวมได้ โดยรายละเอียดค่าใช้จ่ายที่ต้องเตรียมไว้ จะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ ค่าออกแบบ และ ค่าก่อสร้าง   อัตราค่าออกแบบ ส่วนมากจะคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของค่าก่อสร้าง โดยสมาคมสถาปนิกกำหนดมาตรฐานค่าก่อสร้างบ้านพักอาศัยไว้ที่ 7.5% ของค่าก่อสร้าง โดยค่าออกแบบจะมากหรือน้อย นอกจากจะขึ้นอยู่กับพื้นที่ก่อสร้างแล้วยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย ความยากง่ายของแบบ,  ระดับของการให้บริการ, ความน่าเชื่อถือ เป็นต้น  อัตราค่าก่อสร้าง มักจะแตกต่างกันตามข้อจำกัดของสภาพที่ตั้ง สภาพแวดล้อม, ความยากง่ายในงานก่อสร้าง, ค่าจ้างแรงงาน, ค่าวัสดุก่อสร้าง และค่าดำเนินงานของผู้รับเหมา   แต่หากต้องการตัวเลขค่าใช้จ่ายที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริงมากขึ้น จำเป็นจะต้องดำเนินการออกแบบให้แล้วเสร็จก่อน จากนั้นจึงทำการคิดคำนวณค่าก่อสร้างจากการถอดปริมาณวัสดุ และปริมาณเนื้องาน ออกมาจากแบบก่อสร้าง รวมกับค่าดำเนินงานของผู้รับเหมา เพื่อเป็นราคารวมทั้งหมด ซึ่งวิธีนี้เราก็จะได้ค่าก่อสร้างที่ใกล้เคียงความจริง รวมถึงเห็นค่าใช้จ่ายแยกตามรายการงานแต่ละส่วนอย่างชัดเจน หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ BOQ (Bill of Quantity) นั่นเอง 3.เลือกใช้วัสดุอย่างไรในแบบที่ไช่ การเลือกใช้วัสดุ เป็นหนึ่งขั้นตอนในงานออกแบบ ที่ทางสถาปนิกจะทำหน้าที่ช่วยเหลือเจ้าของบ้านหรือเจ้าของงาน เลือกวัสดุเพื่อนำมาใช้ในงานก่อสร้างได้อย่างเหมาะสม ตรงตามความต้องการทั้งด้านการใช้งาน ความสวยงาม และการควบคุมงบประมาณ ในกรณีที่เจ้าของบ้านต้องเลือกวัสดุด้วยตัวเอง ควรศึกษา และทำการเปรียบเทียบคุณสมบัติ ความยากง่ายในการใช้งาน ราคา รวมถึงพิจารณาความยากง่ายในการจัดหามาซ่อมแซมเมื่อเกิดการชำรุดในภายหลังเอาไว้ด้วย   ในปัจจุบันเพื่ออำนวยความสะดวก และเป็นทางเลือกใหม่ให้กับเจ้าของงาน ผู้ผลิตสินค้าวัสดุก่อสร้างจึงมักจะมีบริการสินค้าพร้อมงานติดตั้งในรูปแบบของ Solution งานส่วนต่าง ๆ ของบ้าน ให้เจ้าของงานเลือกใช้แทนการขายแค่ตัววัสดุก่อสร้างเป็นชิ้น ๆ แถมยังมีการรับประกันงานติดตั้ง ช่วยลดความกังวลหลังงานก่อสร้าง เช่น งานมุงกระเบื้องหลังคา, งานติดตั้งประตูหน้าต่างไวนิล, งานจัดสวนปูทางเดิน, งานติดตั้งฉนวนกันความร้อน และ งานปรับปรุงห้องน้ำ เป็นต้น 4.ใช้เวลานานแค่ไหนกว่าจะได้อยู่บ้าน การสร้างบ้านสักหลังจะใช้ระยะเวลานานแค่ไหน สามารถพิจารณาจากระยะเวลาที่ใช้ในงานออกแบบ หรือระยะเวลาที่ใช้ในการจัดหาแบบก่อสร้างบ้าน รวมเข้ากับระยะเวลาที่ใช้ในงานก่อสร้างบ้าน โดยปกติสถาปนิกมักจะใช้ระยะเวลาในงานออกแบบบ้านตั้งแต่ 2 เดือนขึ้นไป บ้านบางหลังที่เจ้าของบ้านพิถีพิถันในงานออกแบบอาจจะใช้ระยะเวลาในการออกแบบยาวนานมากกว่าหนึ่งปีเลยทีเดียว   ในส่วนของงานก่อสร้างถ้านับระยะเวลาที่ใช้ตั้งแต่จัดหาผู้รับเหมา ทำเรื่องขออนุญาตก่อสร้างกับทางราชการ จนถึงงานก่อสร้างบ้านแล้วเสร็จ ยกตัวอย่างบ้านที่มีรูปแบบเรียบง่ายไม่มีรายละเอียดงานก่อสร้างที่ซับซ้อน มักจะใช้ระยะเวลาดำเนินงานประมาณ 8-12 เดือน โดยยังไม่รวมระยะเวลาของงานตกแต่งภายในและการจัดสวนรอบบ้าน 5.เจอปัญหากับผู้รับเหมา แก้ไขอย่างไรไม่ให้ปวดหัว ปัญหาส่วนใหญ่ที่เจ้าของบ้านไม่อยากพบเจอในช่วงงานก่อสร้าง คือ งานก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามกำหนด ไม่เป็นไปตามข้อตกลง ผู้รับเหมาทิ้งงาน, คุณภาพงานก่อสร้างไม่ตรงตามความคาดหวัง งานไม่ตรงแบบ งานไม่เรียบร้อย, งานก่อสร้างยืดเยื้อ ปรับแก้แบบหน้างาน ทำให้ค่าใช้จ่ายบานปลาย  ฯลฯ   ปัญหาเหล่านี้มักทำให้งานก่อสร้างสะดุด เจ้าของบ้าน และช่างผู้รับเหมารู้สึกกังวลใจ แต่ปัญหาที่กล่าวมาข้างต้นสามารถควบคุมดูแลได้ด้วยการมีแบบก่อสร้างคุณภาพดี มีรายละเอียดงานก่อสร้างครบถ้วน, มีคนคอยควบคุมงานก่อสร้างพร้อมมีทีมช่างก่อสร้างที่มีประสบการณ์ เอาใจใส่คอยติดตามตรวจสอบแก้ไขข้อผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนที่จะลุกลามเป็นปัญหาใหญ่ และที่สำคัญเจ้าของบ้าน กับช่างผู้รับเหมาจะต้องรับรู้และมีความเข้าใจเนื้อหาของแบบและงานก่อสร้างไปในทิศทางเดียวกัน มีการสื่อสารข้อมูลที่ถูกต้อง ชัดเจน ต่อกันโดยตลอดระหว่างงานก่อสร้าง เพียงเท่านี้งานก่อสร้างก็จะดำเนินไปได้อย่างราบรื่น   ทั้งหมดนี้ ก็เป็น 5 คำถามสำคัญสำหรับผู้ที่คิดจะปลูกสร้างบ้านเอง แทนการไปเลือกซื้อจากโครงการบ้านจัดสรรต่าง ๆ หวังว่าจะใช้เป็นแนวทางการวางแผน เพื่อปลูกสร้างบ้านและได้บ้านตามที่ฝันไว้ ที่สำคัญควรปรึกษาและเลือกใช้บริการจากผู้ที่มีประสบการณ์และเชื่อถือได้เสมอ   ที่มา : SCG Home  
พีดีเฮ้าส์  มองตลาดรับสร้างบ้าน 65 ดีสุดโต 7%  เน้นความน่าเชื่อถือ ปั๊มยอด 1,000 ล้าน

พีดีเฮ้าส์ มองตลาดรับสร้างบ้าน 65 ดีสุดโต 7% เน้นความน่าเชื่อถือ ปั๊มยอด 1,000 ล้าน

พีดีเฮ้าส์ ประเมินตลาดรับสร้างบ้านปี 65 หากปัจจัยบวกหนุน-ไม่เกิดโควิดระบาดซ้ำ ตลาดอาจขยายตัวดีสุด 5-7% แต่ยังมีปัจจัยลบ ราคาวัสดุจ่อปรับเพิ่มสูง กระทบผู้ประกอบการแข่งตัดราคา ขณะที่บริษัทเตรียมแผนทั้งรุก-รับ พร้อมเน้นสร้างความน่าเชื่อถือ คุณภาพมาตรฐานการก่อสร้าง ปั๊มยอดขาย 1,000 ล้าน พร้อมขยายสาขาอีก 2 ​แห่งที่จ.สุพรรณบุรี และอุดรธานี บทสรุปตลาดรับสร้างบ้านปี 64 และทิศทางปี 65 ฝ่ายพัฒนาธุรกิจรับสร้างบ้าน ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ บริษัท พีดี เฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด รายงานว่า  ภาพรวมปริมาณบ้านสร้างเองและความต้องการสร้างบ้านหลังใหม่ตลอดปี 2564 ที่ผ่านมายังซบเซาต่อเนื่อง โดยปัจจัยหลักเกิดจากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจประเทศที่ฟื้นตัวในอัตราต่ำมาก โดยเฉพาะในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี (ม.ค.-ก.ย.) ผู้บริโภคส่วนใหญ่ไม่กล้าตัดสินใจลงทุนเกี่ยวกับบ้านและรถยนต์ กระทั่งเริ่มเข้าสู่ในช่วงไตรมาส 4 เมื่อภาครัฐและหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบ เริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคระบาด  และประชาชนได้รับการฉีดวัคซีนมากขึ้น พบว่าผู้บริโภคที่ชะลอแผนสร้างบ้านเอาไว้ เริ่มหันกลับมาเร่งศึกษาข้อมูลและกล้าตัดสินใจสร้างบ้านใหม่อีกครั้ง   สถานการณ์ดังกล่าวเห็นได้จาก จำนวนยอดขายหรือจองสร้างบ้านของพีดีเฮ้าส์ และกลุ่มบริษัทรับสร้างบ้านชั้นนำในช่วง 2 เดือนสุดท้าย (พ.ย.-ธ.ค.) เริ่มฟื้นตัวดีขึ้น นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ และเป็นตัวเร่งการตัดสินใจสร้างบ้านของผู้บริโภคในช่วงท้ายปีก็คือ แนวโน้มการปรับตัวของราคาวัสดุก่อสร้างและราคาบ้านสูงขึ้นในปี 2565 จากการส่งสัญญาณของผู้ประกอบการทั้ง 2 กลุ่มธุรกิจ   ทั้งนี้ประเมินว่า หากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 และการควบคุมของภาครัฐไม่เกิดปัญหาซ้ำอีกครั้งในช่วงต้นปี 2565 เชื่อมั่นว่ากำลังซื้อและความต้องการสร้างบ้านของผู้บริโภค มีโอกาสจะกลับมาขยายตัวอีกครั้ง โดยคาดว่าความต้องการสร้างบ้านหลังใหม่ของผู้บริโภค และประชาชนที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลให้ตลาดรับสร้างบ้านปี 2565 สามารถขยายตัว 5-7% เมื่อเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมา ต้นทุนวัสดุพุ่งรับปีเสือ บรรดาผู้ประกอบการรับสร้างบ้านส่วนใหญ่ ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งในต่างจังหวัด ต่างมีความวิตกกังวลว่า การตัดสินใจและการแก้ปัญหาของรัฐบาล และหน่วยงานที่รับผิดชอบ ต่อสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่หรือโอมิครอน ที่เริ่มแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วในช่วงท้ายปีเก่าและเริ่มต้นใหม่ปี 2565 เพราะหากรัฐบาลยังเน้นใช้หลักความมั่นคงนำเศรษฐกิจเหมือนเช่นที่ผ่านมา ซึ่งกระทบต่อความเชื่อมั่นของประชาชน ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัวและกำลังซื้อลดลงอีกครั้ง  สำหรับธุรกิจรับสร้างบ้านจึงยังคงได้รับผลกระทบดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้   นอกจากนี้ กลุ่มผู้ผลิตวัสดุก่อสร้างเตรียมปรับราคาขึ้นในปี 2565 นี้ ซึ่งจะกลายเป็นอีกหนึ่งปัญหาหนักใจของผู้ประกอบการรับสร้างบ้าน โดยเฉพาะรายที่เน้นแข่งขันด้านราคาต่ำหรือการขายตัดราคา ซึ่งมีการทำสัญญารับจ้างปลูกสร้างบ้านไว้กับลูกค้าตามต้นทุนวัสดุราคาเดิมก่อนหน้านี้  จึงทำให้ต้องแบกรับต้นทุนวัสดุที่ปรับตัวสูงขึ้นเอาไว้เอง และอาจประสบปัญหาขาดทุนหนักหรือดำเนินกิจการต่อไปอย่างลำบาก พีดีเฮ้าส์ตั้งเป้า 1,000 ล้าน ฝ่ายพัฒนาธุรกิจรับสร้างบ้าน ประเมินปัจจัยบวกและลบที่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นในปี 2565 แล้ว คาดว่าภาพรวมตลาดรับสร้างบ้านจะมีโอกาสกลับมาขยายตัวหรือชะลอตัวได้พอ ๆ กัน ดังนั้นบริษัทฯ จึงเตรียมแผนไว้ทั้งเชิงรุกและตั้งรับเอาไว้ โดยพร้อมปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น​ อาทิเช่น การขยายสาขาและพื้นที่ให้บริการต่างจังหวัดเพื่อรองรับกำลังซื้อที่จะขยายตัว ซึ่งได้วางแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 2 สาขาใหม่ ที่จังหวัดสุพรรณบุรี และอุดรธานี การปรับโครงสร้างองค์กรให้กระทัดรัด โดยนำซอฟแวร์และระบบปฏิบัติงานบนแอปพลิเคชั่น มาใช้ในการจัดการงานหลังบ้าน ซึ่งจะเป็นการลดต้นทุนค่าดำเนินงานและค่าใช้จ่าย สามารถรับมือกับเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ชะลอตัว  รวมทั้งเป็นการหลีกเลี่ยงสงครามราคา เป็นต้น สำหรับ ปี 2565 นี้ ศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ ตั้งเป้ายอดขายบ้านรวมทุกสาขาไว้กว่า 1,000 ล้านบาทถึงแม้ว่าภาวะเศรษฐกิจและมูลค่าตลาดรับสร้างบ้านจะไม่ฟื้นตัว แต่ยังมั่นใจว่าแผนธุรกิจที่เตรียมไว้จะสามารถดึงส่วนแบ่งตลาดที่เป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมายของบริษัทฯ จากคู่แข่งได้เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ยังรุกขยายรับงานตกแต่งภายในอย่างจริงจังมากขึ้น พร้อมกับตั้งเป้ารับรู้รายได้รวมงานตกแต่งภายในไว้อีก 90-100 ล้านบาท เร่งสร้างมาตรฐานมืออาชีพลดแข่งขันราคา นายสิทธิพร สุวรรณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีดีเฮ้าส์ฯ เปิดเผยว่า  สำหรับภาพรวมการแข่งขันของธุรกิจรับสร้างบ้านปี 2565 นี้ เชื่อว่าไม่รุนแรงเท่าปีที่ผ่านมา เพราะผู้ประกอบการส่วนใหญ่กังวลกับปัญหาต้นทุนก่อสร้างที่ผันผวนและเพิ่มสูงขึ้น รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคกลุ่มที่ต้องการใช้บริการรับสร้างบ้านมืออาชีพ ส่วนใหญ่จะพิจารณาและให้ความสำคัญเรื่องคุณภาพการก่อสร้าง ทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญ และความน่าเชื่อถือของผู้ประกอบการมากกว่าราคาที่แตกต่างกันแค่ 5-10% ความเชื่อถือและความไว้วางใจที่ผู้บริโภคมีต่อผู้ประกอบการรับสร้างบ้านถือเป็นปัจจัยที่สำคัญ สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องมาจากผู้ประกอบการที่มีการจัดการธุรกิจอย่างมืออาชีพ ซื่อสัตย์ต่อลูกค้า การมีจุดยืนทางธุรกิจ ผลงานในปัจจุบันและที่ผ่านมา โดยเฉพาะการมีจุดยืนทางธุรกิจนั้น ก็เพื่อสะท้อนถึงวิสัยทัศน์ และองค์กรหรือแบรนด์จะได้มีความชัดเจนในสายตาของผู้บริโภค รวมถึงแนวคิดการดำเนินธุรกิจอย่างมีธรรมาภิบาล ตัวอย่างเช่น การปฏิบัติต่อลูกจ้างอย่างถูกต้องตามกฎหมายแรงงาน การประกอบธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมายและภาษี การคืนกำไรให้สังคม การคำนึงถึงปัญหาสิ่งแวดล้อม และไม่เอาเปรียบสังคม ฯลฯ   นอกจากนี้แล้ว ผู้ประกอบการจะต้องพัฒนาขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจควบคู่ไปพร้อม ๆ กัน เช่น นำเทคโนโลยีการก่อสร้างสำเร็จรูปมาใช้มากขึ้นเพื่อทดแทนแรงงานที่ขาดแคลน ฯลฯ และหลีกหนีออกจากโซนการแข่งขันที่รุนแรง หรือ Red Ocean เพื่อเป็นการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานธุรกิจรับสร้างบ้านของตัวเอง ในมุมมองของผู้บริโภคให้แตกต่างจากผู้รับเหมารายย่อยทั่วไปอย่างชัดเจน    
เฟรเซอร์สฯ  ชู 4 กลยุทธ์ลุยธุรกิจรีเทล  เตรียมเปิด “สีลมเอจ” เพิ่มพื้นที่ 24 ชั่วโมง

เฟรเซอร์สฯ ชู 4 กลยุทธ์ลุยธุรกิจรีเทล เตรียมเปิด “สีลมเอจ” เพิ่มพื้นที่ 24 ชั่วโมง

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คอมเมอร์เชียล ชู 4 กลยุทธ์เอาตัวรอดจากโควิด-19 พร้อมใช้เป็นเครื่องมือลุยต่อปี 65 เดินหน้าเติมพอร์ตธุรกิจรีเทล เตรียมเปิดพื้นที่ 10,000 ตร.ม. “สีลมเอจ” ​จับกลุ่มลูกค้าย่านสีลม-พระราม 4 ให้บริการร้านอาหาร 24 ชั่วโมง   นางสาวธีรนันท์ กรศรีทิพา รองกรรมการผู้จัดการ สายงานพัฒนาธุรกิจรีเทล เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คอมเมอร์เชียล (ประเทศไทย) หรือ  FPCT เปิดเผย ถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2565 ว่ายังเป็นปีที่ภาพรวมของธุรกิจรีเทล ยังมีความท้าทายเหมือนกับช่วงที่ผ่านมา และยังมีการแข่งขันเช่นเดิม แต่สถานการณ์การแข่งขันจะรุนแรงมากยิ่งขึ้น ภายหลังจากที่มีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศได้เป็นปกติ เพราะพฤติกรรมของนักท่องเที่ยว จะไม่ใช้บริการเฉพาะแต่ศูนย์การค้าในย่านใจกลางเมืองเท่านั้น แต่จะเดินทางไปทุกศูนย์การค้า จึงถือเป็นความท้าทายในการที่ผู้ประกอบการจะทำตลาดและเพิ่มส่วนแบ่งรายได้จากกลุ่มนักท่องเที่ยวดังกล่าว   สำหรับศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ ปัจจุบันถือว่ายังไม่มีกลุ่มนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้บริการ ลูกค้าหลักยังเป็นกลุ่มคนไทย โดยเฉพาะนักเรียน นักศึกษา ผู้ทำทงาน และผู้ที่อาศัยในพื้นที่ใกล้เคียง ปัจจุบันมีปริมาณทราฟิคถือว่า 100% จากช่วงก่อนหน้านี้มีผู้เข้าใช้บริการเฉลี่ย 55,000 คน/วัน และยังคงรักษาอัตราผู้เช่าไว้ในระดับสูงที่ 98% โดยหลังจากที่รัฐบาลได้ประกาศคลายล็อคดาวน์ โดยเป็นผลจากการรักษามาตรฐานความปลอดภัยของโครงการ การดำเนินงานเชิงรุก การเน้นการจับกระแสอย่างรวดเร็ว แล้วลงมือสร้างกิจกรรมทางการตลาดผ่านแคมเปญต่าง ๆ 4 กลยุทธ์อยู่รอดและไปต่อในปี 65 สำหรับในรอบปีที่ผ่านมา สามย่านมิตรทาวน์ ต้องเผชิญกับปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ต่อเนื่องจากปีก่อนหน้า แต่ยังคงสามารถทำผลประกอบการได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งกลยุทธ์ที่ทำให้สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ และยังจะใช้เป็นกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจต่อในปี 2565 นี้ด้วย คือ 4 กลยุทธ์สำคัญ ดังนี้ 1.Fluid Approach หมายถึง การลื่นไหลไปกับกระแสนิยมแบบ Real Time ซึ่งเป็นรูปแบบการตลาดแบบอิงกับกระแสนิยมของสถานการณ์ในช่วงเวลานั้น ๆ ซึ่งมักเกิดขึ้นระยะเวลาสั้น ๆ 7 วันถึง 1 เดือน แล้วทำการตลาดสอดคล้องไปกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เช่น การทำตลาดตามความนิยมของซีรีย์เกาหลี ไม่ว่าจเป็นเรื่อง  SQUID GAME ,Hometown Cha-Cha-Cha  ถือเป็นการทำตลาดที่ใช้ความเร็ว หรือ Speed Marketing เข้ามาบริหาร 2.Redefine Physical Location เป็นการบริหารพื้นที่ของศูนย์การค้าให้เกิดประโยชน์ โดยไม่กำหนดว่าจะต้องเป็นการจัดกิจกรรมเพื่อการขาย หรือ Sale Promotion เท่านั้น แต่เป็นการใช้ประโยชน์จากสถานที่ ด้วยการพัฒนาพื้นที่ที่เปิดกว้างและยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น โดยมุ่งเน้นการสร้างพื้นที่ให้เกิดประโยชน์กับชุมชนเป็นสำคัญ ซึ่งรูปแบบกิจกรรมมีหลากหลาย ทั้งที่เป็นของพันธมิตร การจัดโดยสามย่านมิตรทาวน์เอง ซึ่งเป็นรูปแบบ Signature Event ที่ปีนี้จะจัดขึ้นด้วยกันประมาณ 4 งาน รวมถึงการจัดและตกแต่งพื้นที่อุโมงค์เชื่อมมิตร ที่ทำให้กลายเป็นจุดในการดึงดูดคนให้เข้ามาใช้บริการที่ศูนย์การค้า และเป็นสถานที่สำหรับการมาถ่ายภาพ และเช็คอิน 3.Leverage Digital Technology การนำเอาเทคโนโลยีและดิจิทัลเข้ามาช่วยเสริมการบริการ และการบริหารศูนย์การค้า เช่นการ​ใช้เทคโนโลยีในพื้นที่รีเทล (เตรียมรองรับการชำระค่าบริการด้วยเงินดิจิทัล เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายและความปลอดภัยให้แก่ลูกค้า) การใช้แอปพลิเคชัน MitrCare  ซึ่งได้ร่วมมือกับ KBTG เพิ่มฟังก์ชั่นระบบจัดซื้อ หรือ E-Catalogue อำนวยความสะดวกให้กับคู่ค้า ร้านค้าตลอด 24 ชั่วโมง ในด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้า SME ที่มีกว่า 40 ราย สามารถซื้อสินค้าที่จำเป็นสำหรับการดำเนินธุรกิจได้ 4.Hygiene and Safety Practice เป็นการส่งเสริมสุขอนามัยของผู้ใช้บริการและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง  ตามมาตรการ PREVENTIVE ด้วยการความเข้มงวดในการคัดกรองผู้ใช้บริการ ณ จุดตรวจวัดอุณหภูมิ การรักษาระยะห่างอย่างเหมาะสม การบังคับสวมหน้ากาก และการทำความสะอาดฆ่าเชื้อโรคอย่างสม่ำเสมอตามระยะเวลาที่กำหนด สีลมเอจ เติมพอร์ตรีเทลให้เฟรเซอร์ฯ ปัจจุบันกลุ่มเฟรเซอร์ฯ มีพื้นที่รีเทลในส่วนของศูนย์การค้าแห่งเดียว คือ สามย่านมิตรทาวน์ แต่ในช่วงเดือนกันยายน 2565 นี้ จะมีพื้นที่รีเทลเพิ่มเติมเข้ามาในพอร์ตธุรกิจ คือ โครงการสีลมเอจ (Silom Edge) ซึ่งเป็นโครงการมิ๊กซ์ยูส มีทั้งส่วนพื้นที่สำนักงานและส่วนของศูนย์การค้า โดยมีขนาดพื้นที่รีเทล 10,000 ตารางเมตร จำนวน 7 ชั้น   โดยจะมีโซนรีเทลที่ทำการเปิดตั้งแต่ 11:00 น. ถึงเที่ยงคืน และโซนพิเศษ 2 ชั้นแรก คือ ชั้น B1 และชั้น G ที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง รองรับลูกค้าที่ต้องการใช้บริการร้านอาหาร ร้านสะดวกซื้อ ร้านขายยา และเครื่องจำหน่ายสินค้าคุณภาพด้วยระบบอัตโนมัติ   สำหรับชั้น 1-4 จะเป็นพื้นที่สำหรับสินค้าแอคเซสซอรี่ จิวเวอรี่ สินค้าเทคโนโลยี ร้านสำหรับการดูแลผิว ธุรกิจเวลเนส  และแพทย์ทางเลือก ส่วนในชั้นที่ 7 จะเป็นส่วนของร้านอาหาร โดยคาดว่าหลังจากเปิดให้บริการแล้วจะมีผู้ใช้บริการวันละ 40,000 คน จากปัจจุบันในย่านสีลมมีผู้ทำงานและเดินทางเข้ามากว่า 700,000 คน และในวันหยุดมีคนเดินทางเข้ามาย่านสีลมกว่า 500,000 คน หัวใจสำคัญสู่ความสำเร็จในยุคที่ธุรกิจต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายและ ความไม่แน่นอน คือการทลายทุกข้อจำกัด และเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์อยู่เสมอ   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม -สีลมเอจ x จัสโค ประเดิมรายแรก เช่าพื้นที่  4,400 ตร.ม. ผุดโคเวิร์คกิ้งสเปซ เติมเต็มสังคมแซนด์บ็อกซ์ -จากโรบินสันสีลม สู่ สีลมเอจ มิกซ์ยูส 1,800 ล้านของ เฟรเซอร์สฯ  
ค้าปลีกไทยชู 5 แนวทางปฏิบัติ  รับมือโอมิครอน-ฟื้นเศรษฐกิจไทย

ค้าปลีกไทยชู 5 แนวทางปฏิบัติ รับมือโอมิครอน-ฟื้นเศรษฐกิจไทย

สมาคมผู้ค้าปลีกไทย พร้อมสู้โอมิครอน ร่วมกับภาครัฐ  ชู 5 แนวทางปฏิบัติ เพื่อผลักดัน และพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทย พร้อมเสนอ 4 มาตรการให้รัฐบาลเร่งช่วยประชาชน​   ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของโอมิครอน ที่ทุกประเทศทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ และจากการศึกษาเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโอมิครอนพบว่า โอกาสของการติดเชื้อสามารถเกิดขึ้นได้รวดเร็วกว่าโควิดสายพันธุ์อื่น ๆ  โดยประเทศไทยเองก็ได้มีการแพร่กระจายไปยัง 47 จังหวัดทั่วประเทศไทย สมาคมผู้ค้าปลีกไทย จึงมีความกังวลต่อแนวโน้มของจำนวนผู้ติดเชื้อโอมิครอนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นให้ทุกภาคส่วน ต้องร่วมมือกันสกัดการแพร่ระบาด และลดความรุนแรงให้ลดลงให้ได้มากที่สุด   สมาคมฯ จึงขอนำเสนอแนวทางให้ความร่วมมือเพื่อร่วมกับภาครัฐในการรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้ ด้วยการช่วยเหลือให้ประชาชนเข้าถึงวัคซีนได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึง รวมทั้งฟื้นฟูและเยียวยา SMEs ไทย และขอร่วมผลักดันในการช่วยฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง   นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า ทุกภาคส่วนต้อง ร่วมมือ ร่วมใจ และร่วมผลักดันอย่างพร้อมเพรียงในการควบคุมการแพร่ระบาดในครั้งนี้ และประชาชนทุกคนต้องมีวินัย  ป้องกันตนเองอย่างเคร่งครัด ตามมาตรการของกระทรวงสาธารณสุข เนื่องจากมีความเป็นไปได้มากว่า จำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มสูงขึ้นถึง 30,000 คนต่อวัน ตามที่เคยคาดการณ์ไว้  เราน่าจะผ่านความท้าทายนี้ไปได้ไม่ยาก เศรษฐกิจไทยกำลังจะฟื้นตัวจากวิกฤต และเราทุกคนต้องร่วมผลักดันไม่ให้ประเทศไทยของเราเข้าสู่วิกฤตอีกครั้ง เราไม่สามารถกลับมาเจอกับบาดแผลที่จะซ้ำตรงที่เดิมได้อีกแล้ว  ดังนั้น การทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อของโอมิครอนลดลง หรือให้มีจำนวนน้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ จำเป็นต้องใช้ระบบป้องกันแบบปูพรม (Innate Immunity) เพิ่มความช่วยเหลือให้ SMEs ไทยมีสภาพคล่อง และการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นคีย์หลักที่สมาคมฯ พร้อมที่จะร่วมผลักดันให้ประเทศไทยก้าวผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ไปได้อีกครั้ง   โดยสมาคมฯ และภาคีเครือข่าย ยังคงยึด 5 แนวทางปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ดังนี้ 1.สนับสนุนพื้นที่จุดฉีดวัคซีนทั่วประเทศ สมาคมฯ และภาคีเครือข่ายพร้อมที่จะนำพื้นที่จุดฉีดวัคซีนของภาคเอกชนกลับมาทันที เพื่อช่วยรัฐบาลในการเป็นจุดกระจายการฉีดวัคซีนให้เข้าถึงประชาชนทั่วประเทศอย่างทั่วถึง รวมทั้งให้การสนับสนุนหน่วยฉีดวัคซีนเคลื่อนที่เพื่อให้ชุมชนต่างๆ เข้าถึงวัคซีนได้อย่างรวดเร็ว 2.ยกระดับมาตรฐานสาธารณสุข สมาคมฯ และภาคีเครือข่าย ยังคงยกระดับมาตรการสาธารณสุขไทยอย่างเคร่งครัดเข้มข้นขั้นสูงสุด ยึดหลัก Covid Free Setting ทุกคนต้องป้องกันตนเองแบบครอบจักรวาล (Universal Prevention) และพร้อมให้ความร่วมมือปฏิบัติตามนโยบาย Work From Home เพื่อเป็นการช่วยลดการกระจายและแพร่ระบาดของโอมิครอน 3.ร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจไทย โดยเร่งผลักดันให้ SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุน ดอกเบี้ยต่ำ ผ่านแฟลตฟอร์ม Digital Supplychain Finance ร่วมกับสมาคมธนาคารไทย รวมทั้งยังลด Credit Term ให้สั้นลงเพื่อเสริมสภาพคล่องและช่วยลดความเหลื่อมล้ำ ซึ่งเป็นการสร้างแต้มต่อให้ SMEs ไทยสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ 4.ตรึงราคาสินค้าอุปโภค-บริโภค สมาคมฯ และภาคีเครือข่าย พร้อมสร้างความมั่นใจให้แก่ประชาชนใน  การช่วยลดภาระค่าครองชีพด้วยการตรึงราคาสินค้าอุปโภค-บริโภค เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของประชาชน 5.เร่งการลงทุนในประเทศ ภาคค้าปลีกและบริการ ยังคงไว้ซึ่งแผนการลงทุน และการขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นการช่วยอัดฉีดเม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจไทย และยังสร้างการจ้างงานเพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีอยู่แล้วในระบบค้าปลีกและบริการกว่า 1.1 ล้านคน   ทั้งนี้ สมาคมผู้ค้าปลีกไทย มีข้อเสนอแนะให้รัฐบาลเร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่องในเรื่อง ดังต่อไปนี้ 1.รัฐต้องมีมาตรการเชิงรุก  สำหรับพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการแพร่ระบาดให้มีการควบคุมอย่างเคร่งครัด อย่างไรก็ตาม หากมีการระบาดในแต่ละพื้นที่ รัฐควรมีการปิดเฉพาะพื้นที่ที่เป็นคลัสเตอร์เท่านั้น 2.การยกระดับการเตรียมพร้อมของระบบสาธารณสุข 2.1 เร่งกระจายวัคซีน ทั้งในส่วนที่ประชาชนได้จองไว้ผ่านโรงพยาบาลเอกชน และในส่วนที่รัฐบาลจัดหามา เพื่อให้วัคซีนกระจายถึงประชาชนให้มากที่สุด และเร็วที่สุด 2.2 เสริมชุดตรวจ ATK ที่มีคุณภาพสูง ในราคาที่ภาคเอกชนและประชาชนสามารถเข้าถึงได้ เนื่องจาก   มีความจำเป็นต้องใช้เป็นจำนวนมากเพื่อการตรวจเชื้อโควิด-19 2.3 เตรียมยารักษาโควิด-19 ให้พร้อม เผื่อในกรณีที่มีจำนวนผู้ติดเชื้อในวงกว้าง เพื่อเป็นการตัดตอนการแพร่ระบาดให้ได้ทันท่วงที 2.4 สำรองเตียงสำหรับผู้ป่วยหนัก ให้มีความพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นทั่วประเทศ 3.อัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ผ่านโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของภาครัฐที่มีผลลัพธ์ที่ดี เช่น โครงการคนละครึ่ง ช้อปดีมีคืน เป็นต้น รวมทั้งการเร่งเบิกงบประมาณทุกหน่วยงานของภาครัฐเพื่อกระตุ้นเงินหมุนเวียนในระบบฯ 4.ช่วยภาคเอกชนและประชาชนลดค่าใช้จ่าย โดยช่วยลดค่าน้ำ ค่าไฟ ลดเงินสมทบประกันสังคม ภาษีป้าย รวมถึงดอกเบี้ยเงินกู้จากสถาบันการเงิน ดอกเบี้ยบัตรเครดิต ดอกเบี้ยเงินกู้ที่ไม่มีการค้ำประกัน และพิจารณาลดค่าใช้จ่ายของผู้ประกอบการทั้งที่เกี่ยวข้องกับโควิดทางตรงและทางอ้อม สมาคมฯ ขอยืนยันให้การสนับสนุนรัฐบาลอย่างเต็มที่ในการควบคุมการแพร่ระบาดของโอมิครอน และเร่งการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไทย พร้อมเน้นย้ำความสำคัญของการร่วมมือกันของทุกภาคส่วนในสภาวะที่เปราะบางเช่นนี้ การร่วมมือกันจะเป็นพลังขับเคลื่อนหลักในการพลิกฟื้นเศรษฐกิจไทยอย่างมีประสิทธิผลและต่อเนื่อง      
สีเดอลต้า  ออกสินค้าใหม่-เพิ่มเครื่องจักรนับ 100  ลุยตลาดสีปี 65 หวังสร้างยอดขายโตต่อเนื่อง

สีเดอลต้า ออกสินค้าใหม่-เพิ่มเครื่องจักรนับ 100 ลุยตลาดสีปี 65 หวังสร้างยอดขายโตต่อเนื่อง

สีเดลต้า ลุยตลาดสีปี 65 ส่งสินค้านวัตกรรมจับตลาดพรีเมียม พร้อมเดินหน้าลงทุนเพิ่มเครื่องจักร 100 เครื่อง ขยายช่องทางขายเพิ่ม หวังปั๊มยอดขายโตต่อเนื่อง หลังปี 64 เข็นบริษัทเข้าตลาด mai และจับมือ เดอะ วอลท์ ดิสนีย์ ประเทศไทย บุกตลาดสีสร้างยอดขายโตทะลุเป้า  ขยายฐานร้านค้าเพิ่มอีก 14%   นายรณฤทธิ์ ตั้งคารวคุณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สีเดลต้า จำกัด (มหาชน) หรือ DPAINT เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2565 ว่า บริษัทยังคงรุกตลาดด้วยผลิตภัณฑ์ในกลุ่มพรีเมียม ซึ่งเป็นสินค้าที่พัฒนาขึ้นด้วยการใช้นวัตนกรรม ถือเป็นเซกเมนต์ที่ใหญ่ที่สุดของตลาดสีทาอาคาร โดยเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เพิ่มอีก 4 ผลิตภัณฑ์ เพื่อสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง   นอกจากนี้ ยังวางแผนการขยายเครือข่ายพันธมิตรทางธุรกิจเพิ่มมากขึ้น จากที่ผ่านนมา​ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย 2 ราย และขยายช่องทางการจัดจำหน่ายอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการพัฒนาด้านบุคลากร โดยสรรหาผู้ที่มีความสามารถและประสบการณ์มาเสริมทีม   บริษัทยังมีแผนการลงทุน ด้วยการซื้อเครื่องผสมสีเพิ่มอีกจำนวน 100 เครื่อง คิดเป็นสัดส่วน 25% ของจำนวนเครื่องทั้งหมด ดำเนินการวางระบบ ERP ใหม่ เพื่อยกระดับการบริหารทรัพยากรในองค์กรผ่านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ล้ำสมัย ซึ่งคาดว่าจะเริ่มใช้งานจริงได้ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2565 รวมทั้งดำเนินการออกแบบและเตรียมก่อสร้างโรงงานใหม่   นายรณฤทธิ์ กล่าวอีกว่า  สำหรับปี 2565 บริษัทคาดหวังว่าจะเป็นปีแห่งการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งส่งผลให้มีการขยายตัวของอุตสาหกรรมก่อสร้าง ทั้งโครงการสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ของภาครัฐ และการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของภาคเอกชน และส่งผลดีต่ออุตสาหกรรมสีทาอาคาร และจากกลยุทธ์การเปิดตัวผลิตภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ จึงคาดว่าเราจะสามารถรักษาอัตราการเติบโตที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง   สำหรับช่วงปลายเดือนตุลาคม​ 2564 ที่ผ่านมา ​บริษัทสามารถเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ไอ (mai) ซึ่งการเข้าซื้อขายในวันแรกประสบความสำเร็จด้วยราคาหุ้นอยู่ที่  22.50 บาท เหนือจองถึง 200% หรือเพิ่มขึ้น 15 บาท จากราคาไอพีโอ (IPO) ที่ 7.50 บาท ในปี 2564 ถือว่าเป็นปีที่น่าจดจำสำหรับ DPAINT จากความสำเร็จที่เหนือความคาดหมายในการเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งส่งผลให้ฐานะทางการเงินของเราแข็งแกร่งขึ้นพร้อมสร้างการเติบโตในอนาคตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ในส่วนของผลประกอบการและยอดขายมีการเติบโตอย่างน่าพอใจ เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งสวนทางกับแนวโน้มของอุตสาหกรรม เนื่องจากทีมทำงานทุกฝ่ายทั้งองค์กรเตรียมพร้อมปรับตัวและรับมือกับสถานการณ์โควิดได้อย่างดี สำหรับยอดขายเติบโตอย่างโดดเด่นในช่วงปีที่ผ่านมา เกิดจากการเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ที่เปิดตัวใหม่  การมุ่งพัฒนาสินค้าในกลุ่มพรีเมียม และขยายจำนวนช่องทางการจัดจำหน่ายตามแผนธุรกิจของบริษัท เพื่อรองรับและเข้าถึงลูกค้าอย่างครอบคลุมมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นร้านค้าโมเดิร์นรีเทล และร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม ซึ่งปัจจุบันมีรวมกันมากกว่า 1,000 สาขาทั่วประเทศ   นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวกที่สนับสนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมการก่อสร้าง โดยเฉพาะในกลุ่มอสังหาฯ ตลอดจนการเติบโตของการซ่อมแซมปรับปรุงที่อยู่อาศัยในกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป ซึ่งช่วยสนับสนุนความต้องการใช้ผลิตภัณฑ์สีทาอาคารขยายตัวขึ้นตลอดทั้งปี   โดยในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา บริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์สีดิสนีย์ สีเดลต้า เมจิก ชิลด์ ซึ่งเป็นการจับมือกับเดอะ วอลท์ ดิสนีย์ ประเทศไทย และดิสนีย์ โกลบอล ทำงานร่วมกันตั้งแต่ขั้นตอนการผลิตสี จนถึงการผลิตวิดีโอแอนิเมชัน 3 มิติ เพื่อใช้เป็นสื่อโฆษณา ถือผลิตภัณฑ์ไฮไลท์ที่ปฏิวัติอุตสาหกรรมสีแบบที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ประสบความสำเร็จอย่างสูงมียอดขายสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ รวมถึงมีร้านค้าให้ความสนใจเข้ามาเป็นคู่ค้าใหม่อีกจำนวนมาก โดยมีจำนวนร้านค้าใหม่ที่เพิ่มขึ้น14% จากปีที่ก่อนหน้า    
คาดตลาดอสังหาฯ ปี 65 โต 15-20%  ได้ผลบวกเศรษฐกิจ-เปิดประเทศ-คลายล็อก LTV

คาดตลาดอสังหาฯ ปี 65 โต 15-20% ได้ผลบวกเศรษฐกิจ-เปิดประเทศ-คลายล็อก LTV

LPN Wisdom มองตลาดอสังหาฯ 65 โต 15-20% ได้จากปัจจัยบวกเศรษฐกิจฟื้นตัว 3.5-4% แรงหนุนการเปิดประเทศ แบงก์ชาติผ่อนคลาย LTV แต่ยังห่วงหนี้ครัวเรือนพุ่ง ความไม่แน่นอนของโควิด-19 ทุบตลาด ขณะที่บทสรุปปี 64 เปิดตัวใหม่ลดเหลือ  53,000-55,000 ยูนิต​   หลังจากตลาดอสังหาริมทรัพย์ ต้องเผชิญกับปัจจัยลบที่เข้ามาทำให้ตลาดชะลอตัวอย่างหนัก คือ การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตลอดระยะเวลากว่า 2 ปีที่ผ่านมา แต่แนวโน้มปี 2565 ดูเหมือนว่าตลาดอสังหาฯ กำลังจะได้รับข่าวดี มีแนวโน้มเติบโตเป็นบวกเสียที จากปัจจัยบวกสำคัญ คือ การเติบโตของภาวะเศรษฐกิจไทย จากการการคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ที่คาดว่าจะเติบโตประมาณ 3.5-4% ส่งผลให้ตลาดอสังหาฯ มีแนวโน้มเติบโต 15-20%   นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวก​จากการที่รัฐบาลมีมาตรการเปิดประเทศ ให้มีการเดินทางท่องเที่ยวได้เพิ่มขึ้น รวมถึงมาตรการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan-to-Value: LTV) เป็นการชั่วคราว โดยกำหนดให้เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV ratio) เป็น100% สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภท ซึ่งมีผลจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 อีกด้วย LPN Wisdom มองตลาดโต 15-20% นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LPN Wisdom หรือ LWS) บริษัทวิจัยและที่ปรึกษาในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) ประเมินว่า ​ ในปี 2565 ตลาดอสังหาฯ จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ประมาณ 78,000-90,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 305,000-318,000 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้นประมาณ 15-20% เมื่อเทียบกับปี 2564 เนื่องจากผู้ประกอบการเริ่มมีความมั่นใจ ทำให้ทยอยเปิดตัวโครงการที่ถูกเลื่อนการเปิดตัวในปี 2564 มาเปิดตัวในปี 2565 รวมถึงแผนเปิดตัวโครงการใหม่ที่เพิ่มขึ้นในปี 2565   โดยในปี 2565 ที่อยู่อาศัยประเภท บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ยังคงเป็นกลุ่มสินค้า ที่จะมีการเปิดตัวมาก​ ซึ่งจะเพิ่มขึ้นประมาณ 40-50% เมื่อเทียบกับปี 2564 เพื่อตอบรับกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากการทำงานจากที่บ้าน (Work from Home)  ซึ่งประเมินว่าจำนวนเปิดตัวบ้านพักอาศัยจะอยู่ที่ ประมาณ 46,800-54,000 ยูนิตคิดเป็นมูลค่าประมาณ 183,000-190,800 ล้านบาท   ในขณะที่การเปิดตัวคอนโดมิเนียมในปี 2565 มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น 10-15%จากปี 2564 เช่นกัน เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาผู้ประกอบการอสังหาฯ ชะลอแผนการเปิดตัวคอนโด  และเร่งขายคอนโดที่คงค้างอยู่จำนวนมากออกมา  ทำให้ช่วงไตรมาส 3 ปี 2564 มีจำนวนคอนโดเหลือขายในตลาดลดลง ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีจำนวน 83,914 ยูนิต ลดลง 7.6% จาก ณ สิ้นปี 2563 ที่มียูนิตเหลือขายในตลาดอยู่ที่ 90,841 ยูนิต บ้าน3-5 ล้าน ดีมานด์สูงต่อเนื่อง ในด้านกำลังซื้อและความต้องการที่อยู่อาศัยในปี 2565 นายประพันธ์ศักดิ์ ให้ความเห็นว่า ที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและคอนโดระดับราคา 3-5 ล้านบาท ยังเป็นที่ต้องการของตลาด โดยเฉพาะในทำเลที่อยู่ใกล้กับแนวรถไฟฟ้าทั้งสายใหม่และสายเก่า โดยทำเลที่ได้รับการตอบรับที่จากตลาดได้แก่ ทำเลที่ติดกับส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียว สีแดง และสายสีเหลือง เช่น ย่านรังสิต-นวนคร, ศรีนครินทร์-สุวรรณภูมิ, อ่อนนุช-บางนา, ดอนเมือง-พหลโยธิน เป็นต้นในขณะที่ราคาที่อยู่อาศัยในปี 2565 มีแนวโน้มที่จะปรับตัวสูงขึ้น ตามราคาที่ดินที่ขยับเพิ่มขึ้น ตามการพัฒนาของระบบขนส่งในระบบราง ที่เชื่อมต่อพื้นที่ระหว่างกรุงเทพฯ ชั้นในกับกรุงเทพฯ ชั้นนอก รวมไปถึงราคาวัสดุก่อสร้างที่เพิ่มขึ้น โดยคาดว่าราคาที่อยู่อาศัยจะมีการปรับตัวขึ้นมาประมาณ 5-10% ขึ้นอยู่กับทำเล  อย่างไรก็ตาม ผู้ซื้อยังคงสามารถต่อรองได้ขึ้นอยู่กับสภาพการแข่งขันของผู้ประกอบการในแต่ละทำเล   นอกจากนี้  ตลาดอสังหาฯ ในปี 2565 ยังประเมินว่ามีปัจจัยเสี่ยง ที่อาจส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะภาระหนี้ครัวเรือนที่สูง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและความมั่นใจของผู้ซื้อที่อยู่อาศัย  ความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน และแนวโน้มการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธ์ “โอมิครอน” ถ้าเกิดการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงอีกรอบ อาจส่งผลประทบต่อตลาดอสังหาฯ ในปี 2565 ได้เช่นกัน บทสรุปตลาดปี 2564 หดตัว 20% สำหรับปี 2564 คาดว่าการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัย ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะมีประมาณ  53,000-55,000 ยูนิต​ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 265,000-300,000 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ และบ้านแฝด ประมาณ 33,000-35,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 166,000-188,000 ล้านบาท ลดลงจากปี 2563 ประมาณ 10%-20% และเป็นการเปิดตัวโครงการคอนโดประมาณ 20,000-22,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 99,000-112,000 ล้านบาท ลดลง 16%-23% จากปี 2564   โดยตัวเลขการเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในเดือน มกราคม-พฤศจิกายน 2564 มีจำนวน 52,171 ยูนิต ลดลง 23% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 เป็นการเปิดตัวโครงการคอนโด 20,295 ยูนิต มีอัตราการขายเฉลี่ยอยู่ที่ 23% และการเปิดตัวโครงการแนวราบ 31,876 ยูนิต อัตราการขายเฉลี่ยอยู่ที่ 13% โดยในเดือนพฤศจิกายน 2564 มีการเปิดตัวโครงการใหม่สูงสุดของปี 2564 โดยมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล 11,648ยูนิต มูลค่า 52,185 ล้านบาท   (คิดเป็นสัดส่วน 22.32% ของจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งหมดในเดือนมกราคม-พฤศจิกายน 2564)   ด้านความต้องการที่อยู่อาศัยในปี 2564 ที่อยู่อาศัยในแนวราบยังเป็นกลุ่มที่ทำยอดขายสูง โดยเฉพาะ ทาวน์เฮาส์ ในระดับราคาขายต่อหน่วย 2-5 ล้านบาท และบ้านเดี่ยว ราคาขายมากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป โดยมียอดขายเปิดตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 14% และ 22% ตามลำดับ ขณะที่คอนโดเปิดขายใหม่ระดับราคาขายต่ำกว่า 3 ล้านบาทต่อยูนิตได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาดโดยมียอดขายเปิดตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 27% ปี 2564 เป็นปีที่ภาคอสังหาฯ ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว มาตรการผ่อนคลายต่าง ๆ จากภาครัฐ เป็นปัจจัยที่จะหนุนอสังหาฯ ในปี 2565 ให้สามารถเติบโตได้ หลังจากที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 มาต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563-2564    
“ออริจิ้น” จับมือ มือ “บุญภา 2020” ลุยอสังหาฯ ประเดิมโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส 4,000 ล้า

“ออริจิ้น” จับมือ มือ “บุญภา 2020” ลุยอสังหาฯ ประเดิมโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส 4,000 ล้า

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จับมือ “บุญภา 2020” บริษัทของ 2 ตระกูล “สวาทยานนท์-วรเศรษฐการกิจ” ลุยธุรกิจอสังหาฯ ประเดิมโปรเจ็กต์แรก “ออริจิ้น สมาร์ท คอมเพล็กซ์ บางนา” มิกซ์ยูส 4,000 ล้าน ย่านบางนา รับการเติบโตกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก จากนโยบายอีอีซี-เมกะโปรเจ็กต์   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า ได้ร่วมกับบริษัท บุญภา 2020 จำกัดจัดตั้งบริษัทร่วมทุนจำนวน 2 บริษัท เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยและโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่สร้างรายได้ประจำ ภายใต้วิสัยทัศน์ ORIGIN NEXT LEVEL โดยมีการขยายธุรกิจทั้งเชิงกว้างและเชิงลึก   ที่ผ่านมา ผู้คนอาจชินกับภาพออริจิ้นร่วมทุนกับบริษัทต่างชาติหรือบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯเป็นหลัก แต่ความเป็นจริง เราเปิดกว้างในการสร้างความร่วมมือ หรือ Synergy เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ กับพันธมิตรทุกรูปแบบ สำหรับโครงการนำร่องที่จะพัฒนาร่วมกันโครงการแรก คือ “ออริจิ้น สมาร์ท คอมเพล็กซ์ บางนา” (Origin Smart Complex Bangna) มูลค่าโครงการรวมกว่า 4,000 ล้านบาท เป็นโครงการมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ติดถนนบางนา-ตราด บนพื้นที่รวมกว่า 8 ไร่ของกลุ่มบุญภา ภายในโครงการจะประกอบด้วย 2 โครงการย่อย ได้แก่ โครงการวัน ออริจิ้น มาสเตอร์พีซ บางนา (One Origin Masterpiece Bangna) เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างกลุ่มบุญภาและบริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ตัวโครงการประกอบด้วยอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกรวม 29 ชั้น 1 อาคาร แบบ Leasehold 3+30 ปี พื้นที่รวม (Gross Floor Area) 56,700 ตร.ม. พื้นที่ให้เช่า (Lettable Area) ประมาณ 30,000 ตร.ม. คาดว่าจะเริ่มเปิดให้บริการได้ในช่วงปี 2567 โครงการที่ 2 คือ ออริจิ้น เพลส บางนา (Origin Place Bangna) เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างกลุ่มบุญภาและบริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด ผู้พัฒนาโครงการกลุ่ม Smart Condominium ในเครือออริจิ้น ตัวโครงการเป็นโครงการที่อยู่อาศัย ผสมผสานระหว่างคอนโดมิเนียมและอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน (Investment Property) แบบ Freehold สูง 26 ชั้น ภายในอาคารประกอบด้วยคอนโดมิเนียมพักอาศัย 1-2 ห้องนอน ขนาด 27-55 ตร.ม. จำนวน 774 ยูนิต คาดว่าจะเริ่มเปิดขายรอบ Presales ในช่วงไตรมาส 1/2565 เริ่มก่อสร้างในช่วงไตรมาส 2/2565 และก่อสร้างแล้วเสร็จช่วงไตรมาส 2/2567   สำหรับทำเลย่านบางนา-ตราด มีศักยภาพที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากการเกิดขึ้นของหลากหลายเมกะโปรเจ็คท์ อาทิ โครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ช่วงลาดพร้าว-สำโรง ที่คาดว่าจะเกิดให้บริการช่วงกลางปี 2565 โครงการรถไฟฟ้ารางคู่ขนาดเบา บางนา-สุวรรณภูมิ โครงการเชื่อมต่อเส้นบางนากับสนามบินสุวรรณภูมิ ทำให้การเดินทางไปยังต่างจังหวัดและต่างประเทศสะดวกยิ่งขึ้น หลากหลายเมกะโปรเจ็คท์ที่อยู่อาศัย เมกะโปรเจ็คท์ด้านโลจิสติกส์ เติมเต็มย่านบางนา-ตราดให้มีความน่าสนใจมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จะส่งผลให้เกิดการจ้างงานและมีความต้องการสำนักงานในทำเลที่เดินทางไป EEC ได้สะดวกอย่างเส้นบางนา-ตราด ขณะเดียวกัน กลุ่มบุญภา ก็มีที่ดินแปลงใหญ่ในย่านบางนา-ตราด ออริจิ้นเองก็ถือเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์จ้าวทำเลฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ และ EEC ที่เติบโตและเชี่ยวชาญในทำเลนี้มานับสิบปี ประเมินว่าตลาดสำนักงานให้เช่าในทำเลศักยภาพยังคงมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ช่วงเวลาที่โครงการของเราก่อสร้างแล้วเสร็จตอนปี 2567 น่าจะเป็นช่วงที่ตลาดขยายตัวอย่างเต็มที่ บางนา-ตราดจะกลายเป็นสุดยอดทำเลทองที่มีความต้องการทั้งที่อยู่อาศัยและสำนักงานให้เช่ามากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามการเติบโตของเมกะโปรเจ็คท์จำนวนมหาศาล ด้านนายพิสิษฏ์พงศ์ วรเศรษฐการกิจ กรรมการบริหาร บริษัท บุญภา 2020 จำกัด กล่าวว่า บริษัทในเครือของบุญภามีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์มาเป็นเวลาอันยาวนาน โดยเฉพาะในกลุ่ม Commercial Real Estate และ Industrial Real Estate เน้นลงทุนในที่ดินทำเลศักยภาพมาโดยตลอด ความร่วมมือกับออริจิ้นในครั้งนี้ มีความเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าจะสามารถนำความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ของทั้งสองกลุ่มมาร่วมกันพัฒนาโครงการคุณภาพที่จะสามารถส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้าในทำเลย่านบางนานี้ได้ โดยบริษัท บุญภา 2020 จำกัด ก่อตั้งขึ้นโดยทายาท 2 ตระกูลดัง ตระกูลสวาทยานนท์ และตระกูลวรเศรษฐการกิจ ซึ่งทั้ง 2 ตระกูล มีความเชี่ยวชาญในหลากหลายธุรกิจและอุตสาหกรรมมายาวนานกว่า 70 ปี อาทิ ธุรกิจเชือก แห อวน ธุรกิจพลาสติกและเคมี ธุรกิจบริหารและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจสิ่งทอ โดยมีรายได้รวมจากธุรกิจในเครือปีละกว่า 8,000 ล้านบาท   ปัจจุบันบริษัท บุญภา 2020 จำกัด เป็นผู้ดำเนินธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ โดยบริษัทในเครือดำเนินธุรกิจหลากหลาย อาทิ กลุ่มบริษัทสยามบราเดอร์ ดำเนินธุรกิจเชือก แห อวน พลาสติกและเคมีภัณฑ์ มีบริษัทที่ดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ภายใต้ชื่อโครงการต่างๆ เช่น The Master, สยามนิเวศน์, ทัศนีย์นิเวศน์, Burlington, ทรัพย์ทวี Factory Park มีธุรกิจสิ่งทอโดยบริษัทเอกรัตน์อุตสาหกรรมสิ่งทอ   นอกจากนี้ ยังดำเนินธุรกิจอาคารสำนักงานให้เช่าใน Prime Business Location เช่น อาคาร Thai CC Tower (อาคาร 34 ชั้นขนาด 110,000 ตร.ม. หน้าสถานีรถไฟฟ้าสุรศักดิ์ถนนสาทร) อาคารมหาทุนพลาซ่า (อาคาร 18 ชั้นขนาด 56,000 ตร.ม. หน้าสถานีรถไฟฟ้าเพลินจิต) อาคาร MS Siam Tower (อาคาร 38 ชั้นขนาด 80,000 ตร.ม. ริมถนนพระรามสาม) และอื่นๆ มีประสบการณ์มากมายและดำเนินธุรกิจอันมั่นคงและยาวนานมากกว่า 70 ปี
พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค  ผนึก “ฮ่องกงแลนด์-ซูมิโตโม-เซกิซุย”  ปั้นรายได้ 13,000 ล้าน  ใน 3 ปี

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ผนึก “ฮ่องกงแลนด์-ซูมิโตโม-เซกิซุย” ปั้นรายได้ 13,000 ล้าน  ใน 3 ปี

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ดึง 3 ทุนพันธมิตร “ฮ่องกงแลนด์-ซูมิโตโม ฟอร์เรสทรี-เซกิซุย เคมิคอล” สร้างรายได้ 13,000 ล้าน  ใน 3 ปีข้างหน้า ประเดิมแผนปี 65 สร้างรายได้ 5,000 ล้าน โต 5 เท่าจากปี 64 เดินหน้าปั้นโปรเจ็กต์ต่อเนื่อง   นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจของกลุ่มบริษัทในปี 2565 ว่ารายได้โดยรวมคาดว่าจะดีขึ้นกว่าปี 2564 โดยจะสามารถกลับมาฟื้นตัวได้ในระดับใกล้เคียงกับก่อนหน้าที่จะเกิดสถานการณ์โควิด-19 โดยกลยุทธ์สำคัญคือการเพิ่มรายได้จากโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรจากต่างประเทศทั้ง 3 ราย ได้แก่  ฮ่องกงแลนด์,  ซูมิโตโม ฟอร์เรสทรี และ เซกิซุย เคมิคอล     ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายในระยะ 3 ปีข้างหน้า หรือปี 2565-2567 จะมีรายได้จากโครงการร่วมทุนรวม 13,000 ล้านบาท เติบโตและทำกำไรเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน  โดยปี 2565 ตั้งเป้าไว้ที่ 5,000 ล้านบาท ส่วนปี 2566 และ 2567 คาดจะมีรายได้อีกปีละ 4,000 ล้านบาท สำหรับปี 2565 บริษัทตั้งเป้ารายได้จากโครงการร่วมทุนเพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าตัว เมื่อเทียบกับปีนี้ ซึ่งมีรายได้ 1,000 ล้านบาท โดยจะมาจากโครงการร่วมทุนกับ “ฮ่องกงแลนด์” จำนวน 1,400 ล้านบาท โดยในปี 2565 บริษัทจะมีการเปิดโครงการใหม่ “เลค เลเจ้นด์ บางนา-สุวรรณภูมิ” อย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม โดยเป็นบ้านเดี่ยวระดับราคา ราคา 30-120 ล้านบาท  และมีการขยายโครงการต่อเนื่องของ “เลค เลเจนด์ แจ้งวัฒนะ” ที่เตรียมเปิดคฤหาสน์ติดทะเลสาบเพิ่มเติมในเฟส 2  ราคาเริ่มต้น 60 ล้านบาท  พร้อมกันนี้จะมีรายได้เพิ่มขึ้นอย่างมากจากโครงการร่วมทุนกับ “ซูมิโตโม ฟอร์เรสทรี” ประกอบด้วยโครงการคอนโดมิเนียม “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ” จำนวน 2,500 ล้านบาท ที่กำหนดก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ได้ในไตรมาส 2 ปี 2565 ปัจจุบันมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) แล้ว 2,000 ล้านบาท หรือ 40% ของรายได้จากการร่วมทุนทั้งหมด   นอกจากนี้ ยังมีโครงการ “เลค ฟอร์เรสต์” บ้านเดี่ยวระดับราคา 3.5-7 ล้านบาท คาดจะทำรายได้ให้อีก 500 ล้านบาท รวมเป็นจำนวน 3,000 ล้านบาท  และบริษัทยังมีการร่วมทุนกับ “เซกิซุย เคมิคอล” ซึ่งเป็นบ้านนวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยีจากประเทศญี่ปุ่น ระดับราคา 20-60 ล้านบาท ในโครงการเพอร์เฟค มาสเตอร์พีซ ทั้ง 5 ทำเล ซึ่งจะมีรายได้เข้ามาอีก 600 ล้านบาทด้วย   สำหรับกลยุทธ์ในการเติบโตของโครงการร่วมทุนนั้น บริษัทอาศัยความร่วมมือกับพันธมิตรมาช่วยเสริมความแข็งแกร่ง ทั้งโนว์ฮาวในการพัฒนาโครงการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการในระดับพรีเมี่ยม ซึ่งที่ผ่านมาสามารถสร้างสินค้าประเภทบ้านเดี่ยวระดับบนที่มีความโดดเด่น และสร้างความแตกต่างในตลาดที่อยู่อาศัย ซึ่งความร่วมมือกับพันธมิตรจากต่างประเทศทั้ง 3 ราย ยังเป็นการต่อยอดศักยภาพและสร้างการเติบโตของธุรกิจในระยะยาวได้อย่างชัดเจน
ถอดกลยุทธ์ เอพี ไทยแลนด์  สู้พิษโควิด-19 เดินหน้าสู่ยอดโอน 40,000 ล้าน

ถอดกลยุทธ์ เอพี ไทยแลนด์ สู้พิษโควิด-19 เดินหน้าสู่ยอดโอน 40,000 ล้าน

เอพี ไทยแลนด์ ลุยธุรกิจด้วยพันธกิจ “EMPOWER LIVING” ฝ่าวิกฤตโควิด-19 สร้างยอดขายกว่า 35,800 ล้านบาท  คาดปิดปี 2564 สร้างยอดโอนได้ 40,000 ล้าน ขนโครงกาพร้อมขาย​ 120 โครงการ  มูลค่าพร้อมขายกว่า 196,000 ล้าน สร้างยอด   ถึงปัจจุบันแม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะยังไม่ยุติลง และยังมีไวรัสกลายพันธุ์เกิดเป็นสายพันธุ์ใหม่อยู่เสมอ แต่ทุกธุรกิจก็ยังคงมุ่งหาแนวทางการรับมือ และสร้างการเติบโตให้กับองค์กรของตนเองอยู่เสมอ โดยเฉพาะการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุคปัจจุบัน   ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ต้องเผชิญความท้าทายรอบด้าน โดยเฉพาะพฤติกรรมผู้บริโภคที่ไม่เหมือนเดิม แต่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ต่างก็รับมือกับการเปลี่ยนแปลงได้ดี และสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างชัดเจน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “เอพี ไทยแลนด์” ที่วันนี้ดูเหมือนจะทำผลงานได้ดีมาเป็นอันดับต้น ๆ ของวงการ   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า  จากปี 2563 ถึง 2564 ทุกภาคธุรกิจต่างยังต้องเผชิญกับภาวะ Ripple Effect (หรือปรากฎการณ์ระลอกคลื่น) ที่ศูนย์กลางก็คือความเสียหายทางเศรษฐกิจจาก โควิด-19 อย่างเลี่ยงไม่ได้ วิกฤตโควิด-19 ได้สร้างบททดสอบ และบทเรียนอย่างมากมายให้กับผู้คนทั่วโลก และในปี 2564 นี้ถือเป็นปีที่ 30 ที่เอพี ไทยแลนด์ ดำเนินธุรกิจอยู่ในอุตสาหกรรมพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และสามารถก้าวผ่านวิกฤตมาได้อย่างแข็งแกร่งอีกครั้งหนึ่ง โดยมีพันธกิจ “EMPOWER LIVING” เป็นเจตจำนงสำคัญในการดำรงอยู่ของเอพี ไทยแลนด์ เพื่อส่งมอบคุณภาพชีวิต ที่ดี ที่ลูกค้าสามารถเลือกได้ และถือเป็นเข็มทิศหลักในการกำหนดกลยุทธ์การแข่งขัน เพื่อสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจ ควบคู่กับความพร้อมในการปรับตัวให้สอดรับกับวิถีชีวิตใหม่ที่เปลี่ยนไปอย่างถาวร   แต่อย่างไรก็ตาม การเกิดขึ้นของโอมิครอน (Omicron) สะท้อนให้เห็นแล้วว่าศึกครั้งนี้ไม่จบในเร็ววัน โรคระบาดต้องอยู่ไปอีกระยะหนึ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้ ควบคู่ไปกับความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจที่ผันผวน​ ส่งผลต่อ sentiment ของผู้บริโภค การดำเนินธุรกิจในปี 2565 ยังคงตั้งอยู่บนความไม่ประมาท   เรายังคงต้องวิ่งมาราธอนที่ยังไม่เจอเส้นชัยกันไปอีกสักพักใหญ่ ถ้าออกตัวแรงไปเรื่อย ๆ ก็จะหมดแรง ถ้าวิ่งช้าก็แพ้คนอื่น  หนทางข้างหน้าต้องต่อสู่อีกยาวไกล มีเรื่องใหม่ให้เจอทุกวัน โดยคีย์สำคัญคือต้องตัดสินใจให้ไว ในแต่ละวันนี้มีเรื่องใหม่เกิดขึ้นทำให้ต้องเอาเข้ามาตัดสินใจ ซึ่งนี่คือหนึ่งในวิถีที่ทำให้เอพีผ่านวิกฤตโควิดมาได้เป็นปีที่ 2 บริหารพอร์ตพร้อมขาย ดันยอดโอน 4 หมื่นล้าน หนึ่งใน Key Drive สำคัญ ที่ทำให้เอพี ไทยแลนด์ยังคงเติบโตท่ามกลางสภาวะผันผวนของปีนี้ได้อย่างแข็งแกร่งคือ การบริหารจัดการพอร์ตสินค้าพร้อมขาย ให้กระจายไปในหลากหลายทำเล เพื่อสร้างโอกาสและความได้เปรียบในการแข่งขันที่มากขึ้น นอกจากความพร้อมของทีมงาน   โดยในปี 2564 เอพีเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้นจำนวน 24 โครงการ มูลค่าประมาณ 27,550 ล้านบาท เป็นโครงการแนวราบ  22 โครงการ มูลค่า 19,650 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม  2 โครงการ มูลค่า 7,900 ล้านบาท และเมื่อรวมกับโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย ทำให้ปัจจุบันมีโครงการกระจายอยู่ทั่วประเทศ มากถึง 120 โครงการ  มูลค่าพร้อมขายกว่า 196,000 ล้านบาท   ข้อมูล ณ วันที่ 15 ธันวาคม 2564 เอพี ไทยแลนด์สามารถทำยอดขายจากอสังหาริมทรัพย์ในเครือ ได้มากถึง 35,800 ล้านบาท และคาดว่าปิดปี 2564 จะสามารถสร้างยอดโอนได้เกือบ 40,000 ล้านบาท ถึงแม้ตลอดปีที่ผ่านมา ประเทศไทยจะต้องเผชิญกับภาวะล็อกดาวน์ ที่ส่งผลเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอย่างมากก็ตาม แต่เอพี ไทยแลนด์ยังคงสร้างผลการดำเนินงานที่โดดเด่นได้อย่างชัดเจน ทั้งผลการดำเนินงาน การดูแลพนักงาน และที่สำคัญการบริหารจัดการกระแสเงินสด และการรักษาสัดส่วนหนี้สิ้นต่อทุนที่ ณ ไตรมาส 3/2564 ต่ำเพียง 0.56 เท่า เมื่อเทียบกับปี 2563 ที่ 0.71 เท่า เทรนด์ HOMEBODY ดันยอดขายบ้าน ภายใต้ยุคโควิด-19 ที่ทำให้พฤติกรรมของผู้คนเลือกที่อาศัยอยู่ในบ้านมากกว่าการใช้ชีวิตนอกบ้าน ส่งผลทำให้เกิดเทรนด์การใช้ชีวิตรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า HOMEBODY หรือเทรนด์ติดบ้าน กลายเป็นความคุ้นชินของคนวันนี้ “บ้าน” ในโลกความเป็นอยู่ใหม่ จึงถูกยกระดับให้เป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย แต่ “บ้าน” ต้องเป็นทุกอย่างให้กับทุกคนในครอบครัว ทั้งพื้นที่ทำงาน ห้องเรียนออน์ไลน์ ฟิตเนส ห้องไลฟ์สด หรือแม้กระทั่งสตูดิโอทำเพลง   จากเทรนด์ติดบ้านที่เกิดขึ้น ได้ส่งผลให้ดีมานด์บ้านเดี่ยวมีจำนวนมาก จึงส่งผลให้ยอดขายของเอพีเติบโต​ โดยยอดขายที่เกิดขึ้นกว่า 60% ถือเป็นยอดขายที่มาจากสินค้ากลุ่มบ้านเดี่ยว ซึ่งกลยุทธ์สร้างความสำเร็จในกลุ่มบ้านเดียว คือ 1. โมเดลบ้านที่ดีที่สุด คิดจากอินไซต์จริงเพื่อให้สอดรับกับความต้องการของผู้อาศัย อาทิ แปลนบ้านหน้ากว้าง ที่สามารถเพิ่มมุม Work from Home หรือ เรียนออนไลน์พร้อมรับแสงธรรมชาติ 2. นวัตกรรมบ้านที่เข้าใจชีวิต ที่ผสานเทคโนโลยีเข้ากับการออกแบบพื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่ส่วนรวมภายในบ้านหนึ่งหลังที่มีรายละเอียดการออกแบบที่ตอบโจทย์ความปลอดภัย ความสะดวกสบาย  WORK FROM ANYWHERE จะไม่ใช่เทรนด์อีกต่อไป   นอกจากนี้ ข้อมูลจากบริษัท Morgan Stanley ระบุว่าอีก 7 ปีข้างหน้า ครึ่งหนึ่งของแรงงานในสหรัฐฯ จะเป็นฟรีแลนซ์ ซึ่งสอดคล้องกับการคาดคะเนของปีเตอร์ เลเวลส์ (Pieter Levels) สตาร์ทอัพ โปรแกรมเมอร์ และดีไซเนอร์ชาวดัตช์ ผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ nomadlist.com ที่เปรียบเสมือนเข็มทิศการเดินทางไปทั่วโลกสำหรับชาว Digital Nomad ในปัจจุบัน ที่ว่าภายในปี 2578 จะมีคนทำงานอิสระที่เรียกตัวเองว่า Digital Nomad 1,000 ล้านคน จากข้อมูลปี 2562 ที่มีอยู่จำนวน 25 ล้านคน  ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มของคนรุ่นใหม่ที่การทำงานจากที่ไหนก็ได้ (Work from Anywhere) จะกลายเป็น norm ปกติของชีวิตในอนาคต ถึงแม้วิกฤตการแพร่ระบาดของโรคจะเริ่มคลี่คลายไปแล้วก็ตาม  ดังนั้น การออกแบบพื้นที่อย่างชาญฉลาดจะกลายเป็นจุดขายใหม่ที่ดึงดูด Next Generation ที่มุ่งมั่นที่จะประสบความสำเร็จได้อย่างดีที่สุด ทั้งเรื่องการทำงาน และด้านชีวิตส่วนตัว Everything Digital เสริมบริการ-งานขาย   อีกหนึ่งในโรดแมทที่เอพี  ยึดเป็นหลักสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจ คือ  Everything Digital ในด้านงานขายและงานบริการหลังการขาย ที่ได้มีการนำเทคโนโลยีมาเป็นหนึ่งในกลไกขับเคลื่อน เพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่สะดวกสบายเข้าถึงสินค้าและการอยู่อาศัยในเอพีคอมมูนิตี้ผ่านระบบดิจิตอลมากยิ่งขึ้น ซึ่งจากข้อมูลในปี 2564 พบว่าลูกค้าคอนโดเอพีกว่า 85% สอบถามข้อมูลหรือนัดหมายเยี่ยมชมโครงการผ่านดิจิตอลแพลตฟอร์มต่างๆ ของเอพีเพิ่มมากขึ้น  โดยเฉพาะ ONE CLICK NEW HOME โซลูชั่นใหม่กับการซื้ออสังหาริมทรัพย์เครือเอพี ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อส่งตรงประสบการณ์เสมือนเดินทางไปยังชมโครงการจริง ทั้งพื้นที่ส่วนกลาง ห้องจริง วิวจริง พร้อมบรรยากาศกลางวันและกลางคืน ด้วยความละเอียดสูงสุดแบบ 360° ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือในการนำเสนอสินค้าผ่านประสบการณ์โลกดิจิตอลเสมือนจริง  และช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อได้โดยไม่ต้องเดินทางออกจากบ้าน   รวมถึงงานบริการหลังการขายผ่าน SMART พร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ในเครือเอพี ประสบความสำเร็จกับการเปิดตัว SMART WORLD ชีวิตที่เลือกได้ ซึ่งเป็นดิจิตอล เซอร์วิส แพลตฟอร์ม บริหารคุณภาพชีวิตหลังการอยู่อาศัยที่เอพีพัฒนาให้เป็นแอปพลิเคชันเดียวที่เอ็มพาวเวอร์ให้การใช้ชีวิตในบ้าน เป็นเรื่องง่าย ที่เลือกได้ตามไลฟ์สไตล์ของลูกค้าแต่ละคน  ด้วยชีวิตที่เลือกกับ 24 ฟังก์ชั่นกว่า 100 บริการ  ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นโดยผสมผสานวิธีคิดภายใต้หลัก Design Thinking เข้ากับการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เสถียรและเข้าถึงได้ทุก Generation  ณ ปัจจุบัน SMART WORLD มีผู้ใช้บริการแล้วกว่า 80,000 ยูสเซอร์ มียอด  ผู้ Active User เฉลี่ย 48,000 ยูสเซอร์ต่อเดือน ถือเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมบริการที่โดดเด่นด้านพร็อพเพอร์ตี้ แมเนจเม้นท์ในเครือเอพี   ทั้งหมดนี้คือความสำเร็จที่เกิดขึ้น โดยมีความพร้อมขององค์กรเป็นพื้นฐาน  โดยเฉพาะเป้าหมายขององค์กร เพื่อขับเคลื่อนทีมงานไปในทิศทางเดียวกัน โครงสร้างองค์กรที่แข็งแกร่งพร้อมรับกับการปรับตัวที่รวดเร็วได้อย่างยืดหยุ่น แม้คลื่นวิกฤตจะกระทบอีกสักกี่ครั้งเอพี ไทยแลนด์ พร้อมที่จะนำความสำเร็จ และสิ่งที่เรียนรู้ในปี 2564 มาเป็นแรงขับเคลื่อน เป็นพลังในการตั้งรับความท้าทายใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในปี 2665 เพื่อส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดี ที่ลูกค้าสามารถเลือกได้ ด้วยนวัตกรรมสินค้าและบริการที่สร้างความแตกต่าง ทั้งด้านคุณภาพ พื้นที่ใช้สอย ความสะดวกสบาย และความปลอดภัยในการพักอาศัย เพื่อให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่ยิ่งใหญ่นั่นคือ EMPOWER LIVING  
[PR News] เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม เปิดตัวแอปพลิเคชั่น HOME+ ผู้ช่วยเรื่องบ้านตัว 24 ชม.

[PR News] เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม เปิดตัวแอปพลิเคชั่น HOME+ ผู้ช่วยเรื่องบ้านตัว 24 ชม.

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม  เปิดตัว แอปพลิเคชั่น HOME+ (โฮมพลัส)  ผู้ช่วยเรื่องบ้านที่รู้ใจอยู่ใกล้ตัวตลอด 24 ชั่วโมง HOME+  ฟังก์ชั่นพิเศษสะสมคะแนน เพื่อแลกสิทธิพิเศษ ของรางวัลฟรี   นายรองฤทธิ์ ธรรมสถิต ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานสนับสนุนโครงการที่อยู่อาศัย 1 บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าได้เปิดตัว HOME+ (โฮมพลัส) แอปพลิเคชั่นใหม่ เหมือนมีผู้ช่วยเรื่องบ้านตลอด 24 ชั่วโมง  ฟังก์ชั่นพิเศษสะสมคะแนน เพื่อแลกสิทธิพิเศษ ของรางวัลฟรีและส่วนลดมากมาย  รวมถึงผู้สนใจสามารถจอกคิวนัดเข้าชมโครงการได้ เมื่อแวะชมโครงการก็ยังสะสมคะแนนได้อีก และสำหรับลูกบ้านของบริษัท แอปนี้ก็ตัวช่วยดูแลบริการหลังการขาย แจ้งซ่อม ตรวจสอบสถานะ ติดตามและประเมินผลงาน รวมถึงรับข่าวสารสิทธิพิเศษต่างๆ ได้อย่างสะดวกรวดเร็ว อีกด้วย โดยพร้อมเปิดตัวแอปในวันที่ ​​ 21 ธันวาคม นี้   ฟังก์ชั่นพิเศษที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตส์ของทุกคน HELPMATE เหมือนมีผู้ช่วยที่รู้ใจ สำหรับทุกคนที่อยากมีบ้านหรือสนใจในการดูแลบ้าน เหมือนมีมืออาชีพคอยแนะนำ ในการเลือกบ้านให้ตรงตามไลฟ์สไตล์และความต้องการของทุกคน PRIVILEGE สิทธิพิเศษมากมาย เป็นความพิเศษที่แตกต่างจากแอปพลิเคชั่นอื่น ช่วยเติมเต็มการใช้ชีวิตให้เต็มความสุขกับการสะสมคะแนนฟรีๆ เพื่อแลก สิทธิพิเศษ ของรางวัล  หรือ ส่วนลด จากสินค้าและบริการมากมาย อาทิ ร้านอร่อยจาก Oishi, Shabushi, MK, Swensen’s, After You, Auntie Anne’s, Chabuton, Krispy Kreme, Dairy Queen, Gram Café&pancakes, BAR.B.Q Plaza, GAGA, Kamu, Squeeze หรือบริการจากร้านอาหารและโรงแรมชั้นนำ อย่าง The Okura Prestige Bangkok, Holiday Inn Express, Marriott Executive Apartments Mayfair Bangkok, W Bangkok, Modena, Triple Y,  Melia Koh Samui, Sheraton Samui Resort ช้อปสบายกับสินค้าและบริการที่ถูกใจสบายกระเป๋า กับ Grand Home Mart, NocNoc Com, 24 Fix, อาคเนย์ประกันชีวิต และ Shopee เป็นต้น LIFESTYLE สาระน่ารู้ ใช้ชีวิตให้มีความสุข กับข้อมูลข่าวสาร สาระน่ารู้เพื่อการอยู่อาศัย ที่คัดสรรมาเพื่อทุกคน บริการพิเศษและกิจกรรมต่างๆ สำหรับทุกคนในครอบครัวได้อย่างแท้จริง SERVICE บริการสำหรับลูกบ้าน เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม ที่เป็นตัวช่วยดูแลบริการหลังการขาย แจ้งซ่อม ตรวจสอบสถานะ ติดตามและประเมินผลงาน รวมถึงรับข่าวสารสิทธิพิเศษต่างๆ  
เดอะมอลล์ x โตโต้  ปรับโฉมห้องน้ำสาขาท่าพระ  รับวิถีชีวิตยุคโควิด-19

เดอะมอลล์ x โตโต้ ปรับโฉมห้องน้ำสาขาท่าพระ รับวิถีชีวิตยุคโควิด-19

เดอะมอลล์ จับมือ โตโต้ ตอบโจทย์ชีวิตคนเดินห้างยุคโควิด-19  รีโนเวทห้องน้ำ ใช้สุขภัณฑ์อัตโนมัติ สร้างพื้นที่ความสุขมากกว่าการขับถ่าย ขณะที่คนไทยยังเลือกซื้อสุขภัณฑ์ ด้วยการให้ความสำคัญกับ 3 เรื่องหลัก ดีไซน์ ขนาด​และราคา    ปัจจุบันพื้นที่ของ “ห้องน้ำ” ที่อยู่ตามห้างสรรพสินค้า หรือศูนย์การค้าต่าง ๆ ที่ผู้คนเข้าไปใช้บริการจำนวนมาก กลายเป็นพื้นที่สำคัญที่เจ้าของโครงการได้ให้ความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ไม่ต่างจากพื้นที่ขาย แม้ว่า “ห้องน้ำ” จะไม่ใช่พื้นที่สร้างรายได้หรือยอดขาย แต่ถือว่าเป็นพื้นที่สร้างแรงดึงดูดให้คนได้เข้ามาใช้บริการภายในพื้นที่นั้น ๆ ได้เป็นอย่างดี   เทรนด์นี้จริง ๆ แล้วมีมานานมากพอสมควร เห็นได้จากปั๊มน้ำมันทั่วไป ที่ให้ความสำคัญกับห้องน้ำ มีการทุ่มงบประมาณในการสร้างให้สวยงาม บางแห่งมีการติดเครื่องปรับอากาศ แต่สำคัญที่สุด คือ การดูแลและทำความสะอาดให้ดีอยู่เสมอ ปั้นน้ำมันขนาดใหญ่หลายแห่ง จึงมีการติดข้อความประกาศว่า “ห้องน้ำสะอาด” เพื่อดึงดูดให้คนเข้ามาใช้บริการ   ปัจจุบันการทำให้ห้องน้ำสะอาดน่าใช้บริการ ไม่ใช่แค่เป็นจุดดึงดูดคนให้เข้ามายังพื้นที่เท่านั้น แต่การให้ความสำคัญกับความสะอาดของน้ำ เป็นเรื่องของสุขอนามัย และความปลอดภัย ภายใต้มาตรการด้านการรักษาความปลอดภัยในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้วย เพราะห้องน้ำ คือ จุดสัมผัสที่มีโอกาสเกิดเชื้อโรคต่าง ๆ ได้ง่าย ไม่เฉพาะไวรัสโควิด-19 เท่านั้น และภายใต้วิถีชีวิตปกติใหม่ (New Normal) คนส่วนใหญ่ไม่ต้องการสัมผัสกับสิ่งของต่าง ๆ การนำเอาเทคโนโลยีแบบ Touchless จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับสถานที่ต่าง ๆ ในยุคปัจจุบัน เดอะมอลล์ท่าพระ รีโนเวทใหญ่รอบ 32 ปี เดอะมอลล์ กรุ๊ป ถือเป็นผู้ดำเนินธุรกิจด้านการพัฒนาศูนย์การค้า ที่ได้ให้ความสำคัญกับพื้นที่ของ “ห้องน้ำ” เช่นกัน เพราะถือว่าเป็นพื้นที่หลักแห่งหนึ่งที่ลูกค้าต้องเข้าใช้บริการทุกครั้ง เมื่อเข้ามาซื้อสินค้าหรือใช้บริการภายในศูนย์การค้า เฉลี่ยอย่างน้อยคนละ 2 ครั้งต่อวัน  ทำให้แผนการรีโนเวทศูนย์การค้าเดอะมอลล์ไม่ว่าจะเป็น สาขางามวงศ์วาน ท่าพระ บางแค หรือบางกะปิ มีการดีไซน์พื้นที่ของห้องน้ำให้ทั้งสวย สะอาด มีการใช้งานที่สะดวกสบาย และมีจำนวนที่มากเพียงพอรองรับกับจำนวนลูกค้า   โดยล่าสุด เดอะมอลล์ กรุ๊ป​ ได้คัดเลือกสุขภัณฑ์โตโต้ (TOTO) เข้ามาใช้กับห้องน้ำของเดอะมอลล์ ท่าพระ เป็นสาขาแรก จากก่อนหน้านี้ใช้แบรนด์อเมริกันสแตนดาร์ดมาโดยตลอด รวมถึงการรีโนเวทสาขา งามวงศ์วาน ก็ได้ใช้สุขภัณฑ์ของอเมริกันสแตนดาร์ด   สาเหตุที่เดอะมอลล์ กรุ๊ป เลือกใช้สุขภัณฑ์จากแบรนด์โตโต้ นางเมธินี สุวรรณะบุณย์ ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโส เดอะมอลล์ กรุ๊ป เปิดเผยว่า จากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้คนส่วนใหญ่ หันมาให้ความสำคัญกับเรื่องของสุขอนามัยกันมากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุขอนามัยในพื้นที่สาธารณะ เช่น ห้องน้ำ ขณะที่แผนการรีโนเวทศูนย์การค้าเดอะมอลล์ ให้ความสำคัญกับพื้นี่ภายในห้องน้ำ จึงเลือกสุขภัณฑ์ที่ลดการสัมผัส และมีคุณภาพมาตรฐานสุขอนามัย เป็นสินค้าที่มีเทคโนโลยี มีระบบอัตโนมัติ จึงเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ของโตโต้ เป็นเป็นสินค้าที่ตอบโจทย์ตรงกับศูนย์การค้าเดอะมอลล์   สำหรับแผนการรีโนเวทของเดอะมอลล์ กรุ๊ป ได้วางงบประมาณไว้ 20,000 ล้านบาท ภายในระยะ 5 ปีดำเนินการภายใต้คอนเซ็ปต์ A HAPPY PLACE TO LIVE LIFE : ชีวิตที่มีความสุขทุกครอบครัว ปัจจุบันรีโนเวทแล้วเสร็จ 2 ศูนย์การค้า คือ สาขางามวงศ์วาน และสาขาท่าพระ ซึ่งสาขาท่าพระเป็นสาขาล่าสุดที่เปิดให้บริการหลังจากการรีโนเวทมาได้ 1 ปี ภายใต้การออกแบบตกแต่งภายในด้วยคอนเซ็ปต์ URBAN PLAYGROUND สร้างพื้นที่แห่งความสนุก สุขทุการใช้ชีวิตสำหรับทุกคนในครอบครัว  ด้วยงบประมาณการลงทุน 3,000 ล้านบาท บนพื้นที่ 150,000 ตารางเมตร ถือเป็นการรีโนเวทครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 32 ปีนับตั้งแต่สาขาท่าพระเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 2532 คนมาเดินห้างเฉลี่ยวันละ 2-3 ชั่วโมงในวันหยุด และประมาณ 1.30 ชั่วโมงในวันธรรมดา และใช้ห้องน้ำอย่างน้อย 2 ครั้ง เข้าเมื่อมาถึงและเข้าก่อนออกจากห้าง ซึ่งสิ่งที่ลูกค้าต้องการคือ ห้องน้ำสะอาด และมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบโจทย์ชีวิตนิว นอร์มอล โตโต้ แนะ 2 เรื่องเลือกซื้อสุขภัณฑ์ให้คุ้มค่า ด้านนายทาคายะสุ ชิมาดะ ประธานบริษัท โตโต้ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า  คนไทยส่วนใหญ่เลือกซื้อสุขภัณฑ์โดยพิจารณาจาก 3 เหตุผลหลัก​​​ ได้แก่  1.ดีไซน์ 2.ขนาดของสุขภัณฑ์ และ 3.ราคา  แต่ความจริงหลักการเลือกสุขภัณฑ์ที่ดีนั้น ควรเลือกจาก 2 เหตุผลนี้ คือ 1.การฟลัชน้ำครั้งเดียวต้องสะอาด และ 2.สุขภัณฑ์ต้องทำความสะอาดง่าย 1.การฟลัชน้ำครั้งเดียวต้องสะอาด เพราะตามปกติในชีวิตปกติประจำวัน คนจะใช้ห้องน้ำเฉลี่ยวันละ 1-2 ครั้งเป็นอย่างน้อย หากสุขภัณฑ์ไม่ประหยัดน้ำ หรือกดครั้งเดียวไม่สะอาด ก็จะทำให้สูญเสียน้ำต่อวันเป็นจำนวนมาก เพราะการกดน้ำเพื่อชำระสิ่งสกปรก 1 ครั้งจะต้องใช้น้ำประมาณ 6 ลิตร หากกดฟลัชแล้วไม่สะอาดจะทำให้การใช้น้ำมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น การใช้สุขภัณฑ์ที่สามารถฟลัชน้ำเพียงครั้งเดียวแล้วสะอาด จะช่วยทำให้ประหยัดน้ำ และยังทำให้ถูกสุขลักษณะทีดี 2.สุขภัณฑ์ต้องทำความสะอาดง่าย สุขภัณฑ์ที่ดี วัสดุจะต้องทำความสะอาดได้ง่าย หรือจะไม่มีสิ่งปฏิกูลเกาะติดได้ง่าย ซึ่งคุณสมบัติที่ดีอย่างแรก คือ เมื่อฟลัชน้ำแล้วสามารถชำระสิ่งปฏิกูลออกไปได้ทั้งหมด หลังจากนั้นการใช้งานตามปกติ หากต้องมีการทำความสะอาดจะต้องทำความสะอาดได้ง่าย วัสดุต้องไม่เกิดคราบสกปรกหรือคราบฝังแน่นได้ง่าย  ส่วนเรื่องราคาและดีไซน์ เป็นเรื่องที่ตามมาเป็นโจทย์ที่ผู้บริโภคจะต้องพิจารณาให้ดี ซึ่งการซื้อสุขภัณฑ์ที่มีราคาถูกอาจจะไม่ได้คุณสมบัติในการช่วยประหยัดน้ำ หรือดีไซน์ที่สวยงามแต่การใช้งานไม่ได้ฟังก์ชั่นอื่น ก็อาจจะทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมภายหลัง   ทั้ง 2 เรื่องดังกล่าว จึงเป็นโจทย์ทางการตลาด ที่ทางโตโต้ต้องการสื่อสารและสร้างความเข้าใจให้กับผู้บริโภคคนไทย จึงทำให้เกิด Restroom Revolution แคมเปญการตลาดและการสื่อสารการตลาด ที่ทำอย่างไรให้การใช้สุขภัณฑ์ได้อย่างมีความสุข ซึ่งเริ่มทำมาตั้งแต่ปี  2563 มาจนถึงปัจจุบัน และในปี 2565 ยังเป็นแคมเปญการตลาดที่ทำต่อเนื่องด้วย ซึ่งหนึ่งเรื่องสำคัญของแคมเปญดังกล่าว คือ การปรับปรุงพื้นที่ห้องน้ำในสถานที่ต่าง ๆ เพื่อการใช้ห้องน้ำให้เป็นพื้นที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างแท้จริง ไม่ใช่แค่เรื่องการขับถ่าย นอกจากนี้ โตโต้ยังวางแผนขยายฐานลูกค้าไป ยังกลุ่มลูกค้าใหม่ ๆ เพิ่มเติมไม่ว่าจะเป็นช้อปปิ้งมอลล์ ห้างสรรพสินค้า จากเดิมที่โฟกัสและทำตลาดในกลุ่มคอนโดมิเนียมและโรงแรมเป็นหลัก