Tag : News

2400 ผลลัพธ์
ธนาคารแห่งประเทศไทย ผ่อนคลายมาตรการ LTV ชั่วคราว กระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาฯ

ธนาคารแห่งประเทศไทย ผ่อนคลายมาตรการ LTV ชั่วคราว กระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาฯ

ผ่อนคลายมาตรการ LTV ชั่วคราว   [วันที่ 21 ตุลาคม 2564] นางรุ่ง มัลลิกะมาส ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การระบาดของโควิด 19 ที่ยืดเยื้อ แม้มีแนวโน้มจะทยอยฟื้นตัวได้จากความคืบหน้าในการกระจายวัคซีนและการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาด ทำให้เปิดประเทศได้เร็วกว่าคาด แต่การฟื้นตัวยังเปราะบางจากความไม่แน่นอนสูง และฐานะการเงินของบางภาคธุรกิจ และครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบหนัก โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ขณะที่ภาคอสังหาริมทรัพย์อยู่ในภาวะซบเซาจากอุปสงค์ที่อ่อนแอ และภาคก่อสร้างที่ได้รับผลจากการระบาด ธปท. ประเมินแล้วเห็นว่า เพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจ และพยุงการจ้างงาน จึงควรเร่งเพิ่มเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีธุรกิจเกี่ยวเนื่องจำนวนมาก โดยเฉพาะจากกลุ่มที่ยังมีฐานะการเงินเข้มแข็งหรือรองรับการก่อหนี้เพิ่มได้ ผ่านการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (มาตรการ LTV) เป็นการชั่วคราว    สาระสำคัญการ ผ่อนคลายมาตรการ LTV ชั่วคราว ในครั้งนี้ มีดังนี้ 1. กำหนดให้ เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV ratio) เป็นร้อยละ 100 (กู้ได้เต็มมูลค่าหลักประกัน) สำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (รวมสินเชื่ออื่น นอกเหนือจากเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย และมีที่อยู่อาศัยนั้นเป็นหลักประกันหรือสินเชื่อ Top-up แล้ว) ทั้งกรณี (1) มูลค่าหลักประกันต่ำกว่า 10 ล้านบาท ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 2 เป็นต้นไป1  และ (2) กรณีมูลค่าหลักประกันตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 1 เป็นต้นไป   2. การผ่อนคลายนี้ให้เป็นการชั่วคราว สำหรับสัญญาเงินกู้ที่ทำสัญญาตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565   ธปท. คาดว่าการผ่อนคลายมาตรการ LTV ในครั้งนี้ จะช่วยดึงเม็ดเงินใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีความสำคัญและมีธุรกิจเกี่ยวเนื่อง คิดเป็นกว่าร้อยละ 9.8 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) และมีการจ้างงานรวมกว่า 2.8 ล้านคน    ภายใต้แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยที่ยังเปราะบาง ประกอบกับในปัจจุบัน สถาบันการเงินมีมาตรฐานการให้สินเชื่อที่รัดกุม โดยคำนึงถึงความสามารถในการชำระหนี้ของผู้กู้ในระยะยาวเป็นหลัก ธปท. จึงประเมินว่า ความเสี่ยงต่อเสถียรภาพระบบการเงินที่จะมาจากการเก็งกำไรในภาคอสังหาริมทรัพย์ ในระยะหนึ่งปีข้างหน้ามีจำกัด ทั้งนี้ ธปท. จะติดตามสถานการณ์การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และภาคอสังหาริมทรัพย์ มาตรฐานการให้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน และความสามารถของประชาชนในการกู้หรือซื้อที่อยู่อาศัยได้ในราคาที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถปรับเปลี่ยนมาตรการได้อย่างเท่าทันและเหมาะสมต่อไป   1) LTV ของสัญญากู้หลังแรก ของที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท ปัจจุบันกำหนดไว้ที่ร้อยละ 100 จึงไม่ผ่อนคลายเพิ่มเติม​ ที่มา : ธนาคารแห่งประเทศไทย   บทความที่น่าสนใจ อัพเดท ดอกเบี้ย กู้ซื้อบ้านและคอนโด เดือนตุลาคม 64 อัพเดท ดอกเบี้ย รีไฟแนนซ์ สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนตุลาคม 64  
คอตโต้ เผย 5 ดีไซน์เทรนด์สุขภัณฑ์หลังโควิด  กับ 2 ความท้าทายหลังเปิดประเทศ

คอตโต้ เผย 5 ดีไซน์เทรนด์สุขภัณฑ์หลังโควิด กับ 2 ความท้าทายหลังเปิดประเทศ

ตั้งแต่เกิดสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 คนส่วนใหญ่ก็อยู่อาศัยในบ้านมากขึ้น สิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องทำเมื่อต้องอยู่บ้านมากขึ้น หรือต้องอยู่กับสมาชิกในบ้านหลายคน คือ การจัดสรรพื้นที่ความเป็นส่วนตัว หรือพื้นที่ในการทำงานจากที่บ้าน (Work from Home) เพราะไม่อย่างนั้นแล้ว คงไม่สามารถทำงานได้อย่างราบรื่น   นอกจากพื้นที่ส่วนตัวหรือพื้นที่สำหรับการทำงานแล้ว  ห้องน้ำ ก็เป็นอีกหนึ่งห้องที่ถูกปรับปรุงให้สะดวกต่อการใช้งานมากขึ้น เพราะเมื่อคนหลายคนมาอยู่รวมกัน การใช้ห้องน้ำก็ต้องรองรับสมาชิกทั้งครอบครัวได้อย่างสะดวกสบาย และถูกสุขลักษณะด้วย เพราะห้องน้ำถือเป็นหนึ่งสถานที่ที่สามารถเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ง่าย   แม้ว่าพื้นที่หรือห้องทำงานและห้องน้ำ จะเป็น 2 ห้องหลักที่คนในยุคโควิด-19 เลือกจะปรับปรุงให้พร้อมใช้งานได้ดี ตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ต้องเผชิญอยู่กับการแพร่ระบาดของเชื้อโรค แต่ก็ไม่ได้ทำให้ตลาดวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะตลาดก๊อกน้ำและสุขภัณฑ์สามารถเติบโตได้ เพราะภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อโดยรวมชะลอตัว โดยในปีนี้ประเมินว่าภาพรวมตลาดน่าจะลดลง 5% มีมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท   นายอนุวัตร เฉลิมไชย Head of Ceramics Business ในธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี ประเมินว่า จากทิศทางการเปิดประเทศตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2564 เป็นต้นไป เชื่อว่าทุกภาคส่วนจะร่วมกันผลักดันให้ภาวะเศรษฐกิจฟื้นตัว โดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยว ซึ่งจะทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจของไทยฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง จึงส่งผลดีต่อกำลังซื้อของประชาชน และทำให้ภาพรวมของธุรกิจก๊อกน้ำและสุขภัณฑ์ในปี 2565 น่าจะกลับมาฟื้นตัวและเติบโตได้อย่างน้อย 2% จากปีนี้ที่ติดลบไป ความท้าทายตลาดก็อกน้ำและสุขภัณฑ์หลังโควิด-19 แม้ว่าภาพรวมและแนวโน้มเศรษฐกิจจะไปในทิศทางที่ดี จากการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ แต่สถานการณ์ทุกอย่างแปรผันได้ตลอดเวลา และความไม่แน่นอนเกิดขึ้นเสมอ ทำให้ในปี 2565 ตลาดสุขภัณฑ์และก๊อกน้ำยังคงมีความท้าทายที่จะต้องเผชิญและต้องฟันฝ่าไปให้ได้ด้วย   นายกิตติพงษ์ โพธิ์ธรานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามซานิทารีแวร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายสุขภัณฑ์ชั้นนำภายใต้แบรนด์คอตโต้ กล่าวว่า ความท้าทายของบริษัทในการดำเนินธุรกิจปี 2565 มี 2 เรื่องสำคัญ คือ  1. ต้นทุนพลังงานที่ปรับตัวสูง และ 2. การเข้าไปทำตลาดในอาเซียน ซึ่งแนวทางที่บริษัทวางแผนรับมือในเรื่องของต้นทุนพลังงานที่ปรับตัวสูง คือ การบริหารจัดการระบบซัพพลายเชนด้านพลังงาน การควบคุมต้นทุนการผลิต และการนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เช่น การติดตั้งโซลาร์ลูฟ เพื่อนำมาใช้ลดการใช้พลังงานไฟฟ้า ส่วนการทำตลาดในอาเซียน ได้เน้นการสร้างแบรนด์และสร้างการรับรู้ในผลิตภัณฑ์มากขึ้น รวมถึงการร่วมมือกับกลุ่มเอสซีจีที่ได้ขยายตลาดไปในประเทศต่าง ๆ ของอาเซียน เช่น ในอินโดนีเซียร่วมกับพันธมิตรของเอสซีจี ขยายช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอตโต้ เป็นต้น   โดยในปี 2565 บริษัทคาดว่าจะสามารถทำยอดขายได้เติบโต 10% จากปีนี้ที่คาดว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์ก๊อกน้ำและสุขภัณฑ์จะมียอดขาย 3,800-3,900 ล้านบาท เติบโตเพียงเล็กน้อยจากปีที่ผ่านมา โดยกลยุทธ์และแผนสร้างการเติบโตต่อเนื่องของบริษัทในช่วง 2-3 ปีนับจากนี้ คือ 1.การทำตลาดและตอกย้ำในความเป็นผู้นำผลิตภัณฑ์กลุ่มสมาร์ทและไฮยีน 2.การขยายตลาดไปยังประเทศต่าง ๆ ในอาเซียน เพิ่มมากขึ้น และ 3.การลงทุนพัฒนาโรงงานด้วยเทคโนโลยีและเป็นมิตรสิ่งแวดล้อมมากขึ้น  5 ดีไซน์เทรนด์รักษาผู้นำสมาร์ท-ไฮยีน แนวทางในการตอกย้ำความเป็นผู้นำของกลุ่มสินค้าสมาร์ทและไฮยีน คือ การทุ่มงบประมาณด้านการพัฒนาและวิจัยมากถึง 3% ของยอดขาย เพื่อศึกษาเทรนด์ของตลาดและผู้บริโภค ซึ่งเปลี่ยนแปลงอยู่ตลาดเวลา โดยเฉพาะช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีปัจจัยด้านการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 เข้ามากระตุ้นให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วด้วย โดยเฉพาะด้านการรักษาสุขภาวะอนามัยที่ดี สำหรับผลวิจัยล่าสุดด้านเทรนด์ของคอตโต้ ได้ถูกสะท้อนออกมากับงานดีไซน์ของผลิตภัณฑ์ ​ 5 ห้อง 5 ดีไซน์เทรนด์ ดังนี้ ​ 1.RE-VITAL เทรนด์ที่ผสานระหว่างเทคโนโลยีกับความเรียบง่าย เป็นเทรนด์สำหรับยกระดับความสุขทั้งกายและใจ รี-ไวทัลเป็น Gen Y ที่กล้าลอง และเปิดใจรับเทคโนโลยีใหม่ แต่ต้องใช้งานง่าย ไม่ซับซ้อน เน้นดีไซน์ที่เป็นมิตร เรียบง่าย อย่างสุขภัณฑ์ VERZO ที่มีนวัตกรรม ULTRA CLEAN+ ยับยั้งแบคทีเรียได้เอง 99% ใน 24 ชั่วโมง เรียกว่าทุกชิ้นต้องดูแลสุขภาพและความเป็นอยู่ของสมาชิกในครอบครัวได้จริง 2.RE-BALANCE เทรนด์ความสมดุลระหว่างมนุษย์ เทคโนโลยี และธรรมชาติ เป็นเทรนด์ที่ให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างการใช้งานของมนุษย์ เทคโนโลยี และธรรมชาติ การดึงสีเขียวมาเป็นส่วนหนึ่งของจุดสนใจในห้อง เพราะพลังของสีเขียวทำให้ประสาทตาผ่อนคลาย และความดันโลหิตลดลง  รี-บาลานซ์จึงเป็นเทรนด์แห่งการ Blending Environment หรือเทรนด์แห่งการปลอบประโลมจิตใจ เพื่อให้ชีวิตสมดุล อย่างอ่างล้างหน้าเฉดสีเขียว เฉดสีใหม่ที่คอตโต้ได้ออกแบบมาเพื่อนำไปตกแต่งห้องน้ำให้ดูกลมกลืนและเสมือนได้ใกล้ชิดธรรมชาติ 3.RE-VIBE เทรนด์แห่งความเป็นอิสระ เทรนด์แห่งความเป็นอิสระในตัวเอง ฟุ้งฝัน และสร้างสรรค์ หลุดออกจากกรอบเดิม ๆ เพื่อช่วยเยียวยาจิตใจ เทรนด์รีไวป์เป็นเทรนด์แห่งการมิกซ์แอนด์แมทช์ของสะสม ของรัก รวมถึงของโบราณ หรือรสนิยมความชอบส่วนตัว ที่ ‘ต้องเลือกเอง’ เท่านั้น อย่าง ก๊อกน้ำ Geo Series ซีรีส์ใหม่ ที่ทุกคนสามารถ Mix & Match ส่วนประกอบต่าง ๆ ให้ออกมาเป็นก๊อกน้ำสไตล์เฉพาะของตัวเอง 4.RE-CO เทรนด์ให้ความสำคัญกับธรรมชาติ เทรนด์ที่ให้ความสำคัญกับธรรมชาติในเชิงที่รักษาสิ่งแวดล้อม แต่ต้องดูดี ดูเท่ ไม่เชยเหมือนแนว go green แบบเดิม ๆ ทำให้เกิดเป็นนิยาม Black is a New Green ชาวรีโค่มักมองหาสินค้าที่ประหยัดน้ำ แต่ยังมีดีไซน์ อย่างสุขภัณฑ์ Simply Modish สีดำด้านที่ประหยัดน้ำมากกว่าสุขภัณฑ์ทั่วไป เพราะพวกเขาใส่ใจทั้งตนเอง คนรุ่นถัดไป และโลกในวันข้างหน้าด้วย 5.RE-WILD เทรนด์แห่งการอยู่ร่วมสมัยกันระหว่างวัย จากการคาดการณ์ว่าในปี 2583 ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุมากถึง 1 ใน 4 ของประชากรทั้งหมด การอยู่ร่วมกับผู้สูงวัยจึงต้องให้ความสำคัญกับความต้องการที่หลากหลาย อย่างทรงวงรีของอ่างอาบน้ำ หรือสุขภัณฑ์รุ่นฟรีเกทที่มีรูปทรงโค้ง และดูเป็นมิตร ใช้งานได้ทั้งครอบครัว ในเชิงดีไซน์ และการตกแต่งก็จะใช้รูปทรงที่ร่วมสมัย เข้าถึงง่าย หรือ สุขภัณฑ์ตัวใหม่รุ่น Simply Modish - Waving Sensor ในกลุ่มTouchless ที่เพิ่มฟังก์ชั่นด้านความสะดวกสบาย ลดสัมผัส พร้อมฝารองนั่ง Slim Design ที่เพิ่มเรื่อง Comfort seat ช่วยให้นั่งสบายเหมาะกับหลากหลายสรีระ สำหรับเทรนด์ทั้งหมดถูกนำเสนอผ่านโชว์รูมเสมือนจริง หรือ Virtual Showroom ที่จะทำให้ผู้บริโภคได้รับประสบการณ์ใหม่ที่สะดวกสบาย เข้าถึงง่าย และสามารถซื้อสินค้าได้โดยไม่ต้องสัมผัส ซึ่งบริษัทจะใช้ Virtual Showroom เป็นสถานที่เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ด้วย ซึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์สมาร์ทและไฮยีนบริษัทนับว่าเป็นผู้นำตลาดในกลุ่มนี้ ด้วยส่วนแบ่งตลาดกว่า 40% และมีอัตราการเติบโตถึง 50% หรือคิดเป็นสัดส่วน 7-8% ของยอดขายบริษัท และวางเป้าหมายว่าจะมีสัดส่วนยอดขาย 10% ของบริษัท รวมถึงเติบโตประมาณ 20%
CPN  เปิด “เซ็นทรัล ศรีราชา” 27 ต.ค.นี้  ชู 7 ไฮไลท์ ต้นแบบมิกซ์ยูสแห่งอนาคต

CPN เปิด “เซ็นทรัล ศรีราชา” 27 ต.ค.นี้ ชู 7 ไฮไลท์ ต้นแบบมิกซ์ยูสแห่งอนาคต

CPN เดินหน้าตามแผนเปิด เซ็นทรัล ศรีราชา 27 ต.ค.นี้ นับเป็นศูนย์การค้าแห่งที่ 34 หลังปักหมุดลงทุนในชลบุรีกว่า 13,000 ล้าน ชู 7 ไฮไลท์ ต้นแบบโครงการมิกซ์ยูสแห่งอนาคต พร้อมมั่นใจศักยภาพของเมือง ก้าวสู่การเป็น New Silicon Valley ของเมืองไทย ในอนาคต   ถ้าไม่นับจังหวัดกรุงเทพฯ แล้ว จังหวัดที่กลุ่มเซ็นทรัลเช้าไปลงทุนขยายสาขามากที่สุด ก็คงเป็นจังหวัดชลบุรี เพราะมีมากถึง 4 สาขา คือ เซ็นทรัลพลาซา ชลบุรี, เซ็นทรัล เฟสติวัล พัทยาบีช และ เซ็นทรัล เซ็นเตอร์ พัทยา​ ล่าสุดกำลังจะเปิดตัวสาขาแห่งที่ 4 ของจังหวัดชลบุรี คือ เซ็นทรัล ศรีราชา ซึ่งบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN ได้ลงทุนไปกว่า 4,200 ล้านบาท มีกำหนดการเปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว คือวันที่ 27 ต.ค. 2564 แม้จะเปิดพื้นที่ 90% แต่ถือว่าเป็นการเปิดตัวเป็นทางการอย่างสมบูรณ์แบบ ตามกำหนดแผนธุรกิจที่วางไว้ตั้งแต่ต้น   เหตุผลสำคัญที่ทำให้ CPN เลือกปักหมุด ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลถึง 4 สาขา ก็คงเป็นที่รู้กันอย่างดีว่า จังหวัดชลบุรีเป็นเมืองเศรษฐกิจหลักด้านการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรม เพราะมีทั้งนิคมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ การพัฒนาพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ และแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ สร้างรายได้ให้ประเทศสูงเป็นอันดับต้น ๆ ทั้งรายได้จากภาคการท่องเที่ยว ภาคอุตสาหกรรม และการบริการ มีแรงงานอยู่จำนวนมากมายมหาศาล ทั้งชาวไทยและต่างชาติ ซึ่งถือเป็นกำลังซื้อที่มากมายมหาศาล  ซึ่งเหตุผลต่าง ๆ เหล่านี้ จึงทำให้​ CPN ​เข้ามาลงทุนในจังหวัดชลบุรี และหากนับเม็ดเงินลงทุนทั้ง 4 โครงการดังกล่าว ก็มากกว่า 13,000 ล้านบาท นี่เฉพาะในส่วนของห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเท่านั้น ยังไม่นับโครงการโรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ และออฟฟิศ ที่ลงทุนในอดีตและอนาคตอีกมากมาย​   สำหรับความน่าสนใจของโครงการเซ็นทรัล ศรีราชา ที่กำลังจะเปิดตัวให้คนชลบุรี และจังหวัดใกล้เคียง รวมถึงนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาจังหวัดชลบุรี ได้มีประสบการณ์ภายในศูนย์การค้าแห่งนี้ มีอะไรน่าสนใจบ้างนั้น  มาฟังจากดร. ณัฐกิตติ์ ตั้งพูลสินธนา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด นางสาวภัทรพร เพ็ญประพัฒน์ Head of Commercialization CPN อธิบายถึงแนวคิดและรูปแบบของโครงการนี้ กับชู 7 ไฮไลท์ ที่ CPN วางให้เป็นต้นแบบโครงการมิกซ์ยูสแห่งอนาคต ว่ามีอะไรบ้าง 1.The New District: CPN มุ่งหวังให้ “เซ็นทรัล ศรีราชา” เป็นจุดหมายปลายทางใหม่อีกแห่งหนึ่งของจังหวัดชลบุรี แม้อ.ศรีราชาจะเป็นเพียงเมืองระดับอำเภอ แต่ก็มีศักยภาพและความพร้อมในการเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของทั้งนักท่องเที่ยว ผู้ต้องการจับจ่ายใช้สอย และใช้ชีวิตในรูปแบบต่าง ๆ  ที่สำคัญต้องการสร้าง Business District และดาวน์ทาวน์ศรีราชา สู่การเป็น Center of EEC ด้วย   โดยตัวโครงการเป็นรูปแบบมิกซ์ยูส​ บนที่ดิน 27 ไร่ พื้นที่รวมกว่า 140,000 ตร.ม. ประกอบด้วยศูนย์การค้า, โรงแรมขนาด 180 ห้อง, ที่อยู่อาศัย และคอนเวนชั่นฮอลล์ภายในโครงการ ซึ่งเริ่มต้นเปิดตัวศูนย์การค้าก่อน และภายในระยะเวลา 3-5 ปีจะพัฒนาส่วนอื่น ๆ ตามมา 2.Hygiene & Safety: จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ทำให้มาตรการด้านสาธารณสุขเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็นในทุกพื้นที่  เซ็นทรัล ศรีราชา จึงลงทุนใช้นวัตกรรม “Smart & Healthy Building” ครั้งแรกกับที่เซ็นทรัล  ศรีราชา อัพเกรดระบบปรับอากาศและกรองอากาศเพื่อให้มีอากาศที่สะอาดหมุนเวียนภายในศูนย์การค้ามากที่สุด ด้วยการติดตั้งแผ่นกรองอากาศคุณภาพสูง (MERV Filter) ที่ช่วยกรองละอองฝุ่นได้มากถึง 90%, ติดตั้ง UVC Lamp แสงยูวีที่เครื่องปรับอากาศส่วนกลาง ลดการแพร่เชื้อโรคในระบบปรับอากาศได้มากถึง 95% และติดตั้งระบบตรวจวัดคุณภาพอากาศตามจุดต่าง ๆ เพื่อวัดคุณภาพอากาศภายในศูนย์การค้าให้มั่นใจว่าอยู่ในระดับที่ดีเสมอ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าทุกท่านที่มาใช้บริการ 3.Green Living & Circular Economy: จากพันธกิจ Carbon Neutral และ Zero Waste เพื่อความยั่งยืน เซ็นทรัล ศรีราชาจึงเป็นต้นแบบ Eco-Friendly Mall แห่งแรกในภาคตะวันออกที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในทุกมิติ ตั้งแต่เริ่มก่อสร้างโครงการกับการนำขยะเสาเข็มมารีไซเคิล, การติดตั้ง Recycle Station กับเป้าหมายการแยกขยะที่ร้านค้าภายในศูนย์​ ก่อนวางแผนขยายสู่โรงเรียน โรงพยาบาล และชุมชน สำหรับด้าน Energy Saving  มีการพัฒนาระบบปรับอากาศที่ช่วยลดพลังงานได้ถึง 40%, การติดตั้ง Solar Rooftop เพื่อช่วยลดการใช้ไฟฟ้ารวมไปถึงการออกแบบที่ช่วยประหยัดพลังงาน อาทิ การใช้แสงธรรมชาติภายในศูนย์ให้มากที่สุด, การติดตั้งฝ้าลดความร้อน ไปจนถึงการเพิ่มพื้นที่สีเขียวทั่วทั้งโครงการ 4.The First Semi-Outdoor Experience จากความสำเร็จของโครงการ​เซ็นทรัล อีสต์วิลล์ ในหลากหลายรูปแบบ โดยเฉพาะพื้นที่ Outdoor ทำให้ CPN นำต้นแบบดังกล่าวมาใช้กับ เซ็นทรัล ศรีราชา อาทิ Outdoor Walking Street บนพื้นที่กว่า 2,800 ตร.ม., Giant Green Wall, Pet Park & Services เป็น Pet-Friendly Mall แห่งแรกในภาคตะวันออก สร้างคอมมูนิตี้แห่งใหม่ของคนรักสัตว์เลี้ยงอีกด้วย 5.Seamless Integrated Experience เพราะปัจจุบันไลฟ์สไตล์ของคนไม่ได้จำกัดเพียงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง และวิถีชีวิตของคนในปัจจุบันให้ความสำคัญกับชีวิตครอบครัว การทำกิจกรรมร่วมกับคนในครอบครัวมากขึ้น แนวคิดในการพัฒนาโครงการของ CPN จึงสร้าง Destination Concepts อย่างเป็นรูปธรรมด้วยศูนย์การค้ารูปแบบใหม่ที่ Blur the Line กับโซนใหม่ที่ช้อปปิ้งด้วยกันได้ทั้งครอบครัวที่มีชื่อว่า Playhouse​ แห่งแรกตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของคนรักแฟชั่น คัดสรรสินค้าสุดชิคมารวมอยู่ในชั้นเดียว และ  Design House  สินค้าตกแต่งบ้านอย่างมีสไตล์มารวมไว้ในที่เดียว 6.Digitalization & Sharing Economy ด้วยความมุ่งมั่นในการเป็น Community Thought Leader ให้ศรีราชา สร้าง Co-Working Space แห่งแรกในศรีราชา ตอบโจทย์คนทำงานยุคใหม่และกลุ่ม Start-up 7.The Innovation Oasis: CPN ตั้งเป้าให้ เซ็นทรัล ศรีราช เป็น No.1 Destination ศูนย์กลางไลฟ์สไตล์แห่งอนาคตเพื่อศรีราชา จึงได้นำระบบไอทีเข้ามาสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้า ในหลากหลายเรื่อง ภายใต้ 4 ไอเดีย​สำคัญ​ ได้แก่ -Nature-Tech Oasis การนำเทคโนโลยีและประสบการณ์ใกล้ชิดธรรมชาติ มาให้บริการ ​เช่น EV Charging Station, Solar Battery Charger, สนับสนุนให้ใช้ร้านค้าใช้ Bio-Degradable Packaging, E-Receipt, E-Menu เพื่อลดการใช้กระดาษ และรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งเริ่มที่แรกที่ Food Park ภายในศูนย์ -Inspiring Oasis   การสร้างพื้นที่สำหรับการสร้างไอเดีย ภายใต้แนวคิด Hub of Creative Lifestyle เช่น B2S Think Space และ Co-Working Space -Urbanised Oasis การนำแบรนด์และสินค้ามาตอบสนองความต้องการของลูกค้า เช่น Tops Premium ซูเปอร์มาเก็ตดีไซน์แบบ Glasshouse, แบรนด์แฟชั่นชั้นนำที่ขยายสาขามาที่อ.ศรีราชาครั้งแรก อาทิ Muji, Uniqlo, กลุ่ม Jaspal อาทิ CCOO, Lyn  เป็นต้น ร้านอาหารดังมากมายกว่า 30 ร้าน อาทิ Bonchon, Mos Burger, Fin Sushi, Potato Corner, Fuji Restaurant เป็นต้น และโซนไฮไลท์ อาทิ Asian Village ที่นำแบรนด์ดังจากทั่วเอเชียมารวมกันไว้ในที่เดียว พร้อมเอาใจ Pet Lovers ด้วย Central Si Racha Pet Community คอมมูนิตี้คนรักสัตว์ ที่สามารถพาน้องหมามาทำ Dog ID ฟรี! พร้อมด้วยบริการต่างๆ ทั้งธนาคาร โรงภาพยนตร์  Si Racha Cineplex, Supersports, Powerbuy, Kids Playground และ Education Center -Community Co-Creation Oasis เซ็นทรัล ศรีราชา มีการดึงเอาอัตลักษณ์และความภาคภูมิใจท้องถิ่นมาผสานและถ่ายทอดผ่านคอนเซ็ปต์  Si Racha's Charm หรือ มนต์เสน่ห์แห่งศรีราชา จึงได้ดีไซน์ฟีเจอร์แลนด์มาร์กทั่วศูนย์​  ได้แก่ Outdoor Signature ชื่อเมือง “ศรีราชา”, Si Racha Textile ตกแต่งด้วยลวดลาย “ผ้าทอคุณย่าท่าน”, House of Carpenter จุดนั่งพักผ่อนหย่อนใจ, Tiger + Neko Sculpture เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีการนำเอาซอสพริกศรีราชา ซึ่งเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมทั่วประเทศ มาร่วมกันทำเมนูอาหารเฉพาะกับศูนย์อาหารด้วย ภายใต้แคมเปญ “Food Park x ซอสศรีราชา และยังมีการจับมือกับแบรนด์ดังเพื่อทำสินค้าคอลเลคชั่นพิเศษ เช่น Uniqlo และ Jubilee นอกจากนี้ยังจับมือภาครัฐ อาทิ อพท. จัดงานส่งเสริมหัตถกรรมชุมชนตลอดปี, ร่วมกับชุมชนพนัสนิคม ทำ Wrap ตุ๊กตุ๊กจักสาน และนำสินค้าจักสานชุมชนมาขายภายในศูนย์, และแผนความร่วมกับคอมมูนิตี้โดยรอบ เซ็นทรัล ศรีราชา เป็นศูนย์การค้าแห่งที่ 34 ซึ่งศรีราชามีศักยภาพในอนาคตจะเป็น New Silicon Valley ของเมืองไทย    
จากโรบินสันสีลม สู่ สีลมเอจ มิกซ์ยูส 1,800 ล้านของ เฟรเซอร์สฯ

จากโรบินสันสีลม สู่ สีลมเอจ มิกซ์ยูส 1,800 ล้านของ เฟรเซอร์สฯ

เฟรเซอร์สฯ ทุ่มงบ 1,800 ล้าน ปรับโฉมอาคารโรบินสันสีลมเก่า สู่โปรเจ็กต์มิกซ์ยูส 50,000 ตารางเมตร “สีลมเอจ” ​กับคอนเซ็ปต์การพัฒนาแนวใหม่  “The new sandbox community in CBD”  เจาะกลุ่ม Gen ใหม่ ธุรกิจ Start-Up และแพลตฟอร์มออนไลน์ เตรียมเปิดกันยายน 65 ​   เชื่อว่าหลายคนยังมีภาพจำอาคารบริเวณหัวมุมถนน ตรงข้ามโรงแรมดุสิตธานี และตรงข้ามโรงพยาบาลจุฬาฯ บริเวณ​สี่แยกของถนนสีลมตัดกับถนนพระราม 4 ว่าคือที่ตั้งของห้างสรรพสินค้าโรบินสัน สาขาสีลม ที่เปิดให้บริการนานกว่า 24 ปี ก่อนจะปิดสาขาสีลมช่วงเดือนพฤษภาคม 2551 เร็วกว่ากำหนดสัญญาเช่าอาคารถึง 3 ปี   สาเหตุของการปิดกิจการสาขาสีลม ผู้บริหารชี้แจงว่าเป็นเพราะพื้นที่ของอาคารที่ใช้เป็นส่วนห้างสรรพสินค้าโรบินสัน มีขนาดเล็กเกินกว่าจะรีโนเวตให้เป็นห้างสรรพสินค้ารูปโฉมใหม่ ทางบริษัท ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จำกัด (มหาชน) จึงยุติการดำเนินงานของสาขาสีลม แต่ในเดือนกันยายน 2565 ที่จะมาถึงประมาณ 1 ปีข้างหน้า อาคารที่เคยเป็นตำนานของห้างสรรพสินค้าโรบินสัน จะถูกจดจำใหม่ กับภาพลักษณ์ของอาคารสำนักงานและรีเทล รูปแบบโครงการมิกซ์ยูส ภายใต้ชื่อ “สีลมเอจ” (Silom Edge) ด้วยมูลค่าการลงทุนกว่า 1,800 ล้านบาท ภายใต้การบริหารและพัฒนาโดย บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ “FPT” หลังจากได้ทำสัญญาเช่าอาคารจากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นระยะเวลา 30 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นไป   นายธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  FPT  เล่าว่า บริษัทได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของที่ตั้งโครงการที่อยู่หัวมุมถนนสีลม ซึ่งเป็นทำเลใจกลาง CBD เชื่อมต่อกับทั้งรถไฟฟ้า BTS และ MRT  และยังเคยเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของกรุงเทพฯ และเป็นที่ตั้งของบริษัทชั้นนำหลายแห่งในประเทศไทย ทำให้ถนนสีลมกลายเป็นหนึ่งในถนนเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ และเกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปัจจุบันไม่มีแลนด์แบงก์มากพอเพื่อการพัฒนาโครงการใหม่ ช่วงต้นปีที่ผ่านมา บริษัทได้ตัดสินใจเข้าลงทุนในทรัพย์สินนี้ ​เพื่อพัฒนาเป็นโครงการมิกซ์ยูส สอดคล้องกับกลยุทธ์การสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืนให้แก่องค์กร โดยสีลมเอจ นับเป็นโครงการ Re-development แห่งแรกของ FPT ที่จะมาเสริมความแข็งแกร่งและกระจายความเสี่ยง พร้อมเพิ่มสัดส่วนของรายได้ประจำ (Recurring Income) ให้แก่พอร์ตคอมเมอร์เชียล  ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีพื้นที่อาคารสำนักงานโกลเด้นแลนด์บิวดิ้ง บริเวณซอยมหาดหลวงเล็ก 1 ที่สร้างรายได้ 300 ล้านบาท และกำลังจะหมดสัญญาในเดือนสิงหาคม 2565 โดยบริษัทคาดว่าโครงการสีลมเอจจะเข้ามาทดแทนรายได้ดังกล่าว ซึ่งจะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการนี้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีหน้า และคาดว่าโครงการนี้จะถึงจุดคุ้มทุนภายในระยะเวลา 9-10 ปี   สำหรับอาคารสีลมเอจเป็นต้นแบบโครงการ Re-development ที่นำอาคารเก่ามาแปลงเป็นมิกซ์ยูสพันธุ์ใหม่  ถูกพัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์  “The new sandbox community in CBD”  ด้วยแนวคิด “BE DIFFERENT. BE CONNECTED” ซึ่งมีลักษณะของโครงการ คือ -SPACE & CONTRACT AS A SERVICE พื้นที่สำนักงานให้เช่า มีทั้งแบบที่ยังไม่ตกแต่ง คาดว่าจะกำหนดราคา 750-800 บาทต่อตารางเมตรต่อเดือน และตกแต่งในรูปแบบที่ลูกค้าต้องการ ทำให้ปรับเปลี่ยนพื้นที่ได้ไม่จำกัด ตามลักษณะการใช้งานของแต่ละธุรกิจ ขณะเดียวกันมีพื้นที่ส่วนกลางให้ผู้เช่าได้ใช้บริการด้วย -CREATE A SANDBOX PLATFORM TO UNLEASH THE MAXIMUM POTENTIAL สร้างแพลตฟอร์มแซนด์บ็อกซ์ เพื่อให้ธุรกิจของคนรุ่นใหม่สามารถทดลองและพัฒนาธุรกิจได้ ​ -EXTENDED OPERATION HOURS FOR DIGITALIZING LIFE อำนวยความสะดวกให้แก่ผู้เช่าและผู้ใช้บริการในทุกช่วงเวลา ตอบโจทย์การทำงานยุคดิจิทัล ขณะที่พื้นที่รีเทลจะเปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 11.00-24.00 น. -O2O2O READY รองรับทุกการปรับเปลี่ยนรูปแบบธุรกิจได้อย่างคล่องตัว พร้อมสนับสนุนทุกบริษัทให้เติบโตผ่านการผสานธุรกิจจากออนไลน์ไปสู่ออฟไลน์ โดยมีพื้นที่รองรับธุรกิจออนไลน์ที่ต้องการมีหน้าร้าน ซึ่งจะคิดค่าบริการแบบต่อร้าน ไม่คิดค่าบริการต่อพื้นที่ต่อตารางเมตร BE CONNECTED -CONQUER THE WORK-LIFE INTEGRATION เชื่อมรูปแบบการทำงานและการใช้ชีวิตให้เป็นหนึ่งเดียวด้วยพื้นที่ที่ตอบโจทย์ในทุกมิติตลอดวัน -EXTREMELY CONVENIENT LOCATION โครงการเชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าทั้ง BTS และ MRT ทำให้การเดินทางสะดวกและรวดเร็ว -OPEN TO CRYPTO & CASHLESS SOCIETY บริษัทวางระบบรองรับกับการชำระเงินด้วยเงินดิจิทัลด้วยคริปโตฯ และหลากหลายสกุลเงิน เพื่อให้สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ และการทำธุรกรรมการเงินผ่านช่องทางออนไลน์ -REDEFINE ENDLESS BUSINESS OPPORTUNITIES สร้างนิยามใหม่สู่โอกาสทางธุรกิจที่ไม่สิ้นสุด สำหรับข้อมูลโครงการ มีรายละเอียดดังนี้  ชื่อโครงการ:      สีลมเอจ (Silom Edge) เจ้าของที่ดิน:      สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ พัฒนาโครงการ: เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย มูลค่าโครงการ:  1,800 ล้านบาท ขนาดที่ดิน:        2 ไร่ 2 งาน 71 ตารางวา พื้นที่โครงการ:   50,000 ตารางเมตร พื้นที่ให้เช่า:       22,000 ตารางเมตร จำนวนชั้น:        24 ชั้น ที่ตั้งโครงการ:    ถนนสีลม-พระราม 4 การเดินทาง:      เข้าออกได้จาก 2 ถนนสำคัญของกรุงเทพ ถนนสีลม และถนนพระราม 4 เชื่อมตรง รถไฟฟ้า 2 สาย BTS ศาลาแดง และ MRT สีลม ทำเลโดยรอบ:    โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เชื่อมต่อ สวนลุมพินี-สวนเบญจกิติ เปิดโครงการ:     กันยายน 2565  
ธุรกิจโรงแรมของ AWC ปรับกลยุทธ์อย่างไร ​ในวันที่โควิดทำรายได้หาย 10,000 ล้าน 

ธุรกิจโรงแรมของ AWC ปรับกลยุทธ์อย่างไร ​ในวันที่โควิดทำรายได้หาย 10,000 ล้าน 

AWC หรือ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)  บริษัทภายใต้การบริหารงานของนางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ หนึ่งในทายาทของเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ที่มี 3 พอร์ตธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจอาคารสำนักงาน และธุรกิจรีเทล  ซึ่งตลอดระยะเวลา​ 2 ปีภายหลังจากนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 10 ตุลาคม 2562 ต้องเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 ที่กระทบธุรกิจอย่างหนัก เพราะต้องอยู่ภายใต้มาตรการล็อกดาวน์ประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมที่นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่สามารถเดินทางเข้ามาในประเทศได้ และรายได้หายไปกว่า 10,000 ล้านบาทจากเป้าหมายที่บริษัทตั้งไว้   กลยุทธ์การรับมือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นของ AWC คือ การให้ความสำคัญกับการบาลาซ์พอร์ตฟอลิโอ โดยปัจจุบัน AWC มีทรัพย์สินในพอร์ตรวมมูลค่ากว่า 130,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วง IPO ที่มีทรัพย์สินมูลค่า 100,000 ล้านบาท  โดยเป็นพอร์ตโรงแรมถึง 50% ​ส่วนที่เหลือเป็นธุรกิจอื่น ๆ ซึ่งการสร้างการเติบโต AWC จึงยังต้องมีการลงทุนและการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง นางวัลลภา เล่าว่า ต้องปรับตัวมองทุกอย่างในรูปแบบใหม่ บาลานซ์ซับเซ็กเมนต์ การบริหารความเสี่ยง การดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และวิเคราะห์ประสิทธิภาพการดำเนินงานทั้งหมด มีการคิดโปรแกรมลดค่าใช้จ่าย หรือสร้างคุณค่าเพิ่ม รวมถึงการมองใหม่และเดินหน้า เราต้องหา New Demand ความต้องการของลูกค้าที่จากพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไป ตอบสนองในสิ่งที่​ลูกค้ากำลังมองหาสำหรับการลงทุนและการบริหารความเสี่ยง AWC วางไว้ 3 แนวทาง คือ ​ ​ 1.ระยะสั้น (Short-term) ขยับหรือปรับเวลาให้ตรงกับดีมานด์ เช่น การเปิดตัวโรงแรมบันยันทรี กระบี่ เดิมจะเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2563 แต่เกิดการล็อกดาวน์เลยขยับเวลามาเปิดช่วงปลายไตรมาส 4 แทน ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายการเปิดบริการ และยังได้อัตราเข้าพักสูงถึง 80% จากการเดินทางท่องเที่ยวช่วงปลายปีด้วย ส่วนปีนี้เตรียมเปิดโรงแรมคอร์ทยาท บายแมริออท วันที่ 2 พ.ย. 2564 และโรงแรมมีเรีย เชียงใหม่ ช่วงกลางเดือนธันวาคม 2.ระยะกลาง (Medium-term) พิจารณาโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาให้มีระยะเวลาการเปิดดำเนินการให้เหมาะสม อาจจะให้ช้ากว่าปกติ เพื่อรอดีมานด์ที่กำลังจะเข้ามาในอนาคต 3.ระยะยาว (Long-term) ยังคงพัฒนาโครงการตามแผนงานที่ได้วางไว้ เพราะเชื่อมั่นในศักยภาพและความแข็งแกร่งด้านการท่องเที่ยวของประเทศไทย ที่มีอยู่มากมาย และสถานการณ์โควิด-19 ทำให้เมืองไทยยิ่งตอบโจทย์ในด้านความหลากหลาย และตอบโจทย์ New Demand ในกลุ่มที่ต้องการพักอาศัยแบบ Long stay และ Workation เนื่องจากมีโรงแรมคุณภาพไว้บริการมากมาย และมีแพ็กเกจในต้นทุนโดยรวมยังน่าสนใจกว่าหลายเมืองท่องเที่ยงอื่น ๆ ของโลก นอกจากนี้  AWC ยังมีโมเดลธุรกิจที่จับมือกับพันธมิตรระดับโลก Global partner ทำธุรกิจร่วมกัน เนื่องจาก​ AWC มองว่าพันธมิตรเหล่านั้นได้เข้ามาตอบโจทย์ธุรกิจ และสนองตอบความต้องการการของลูกค้าที่เป็น Global demand ได้ จึงได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับเชนโรงแรมระดับโลก เป็นท็อปแบรนด์ระดับโลกที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า พัฒนาธุรกิจ หรือการพัฒนา​ Global Destination หรือ Quality Asset ที่ตอบโจทย์นักเดินทางและ Global Demand ได้อย่างเต็มที่   โดย AWC ร่วมเป็นพาร์ทเนอร์กับแบรนด์โรงแรมระดับโลก  ไม่ว่าจะเป็นกลุ่ม IHG ซึ่งมีการเปิดตัวแบรนด์ใหม่เดอะ วีนแยทท์ คอลเล็คชั่น (Vignette Collection) แบรนด์ใหม่ในฝั่งคอลเล็คชั่น Luxury & Lifestyle ที่เปิดตัวแห่งแรกของโลก, Hilton, Okura, Banyantree, Maria, Marriott, The ritz-carlton residences ซึ่งเป็นแห่งแรกของกรุงเทพฯ   ล่าสุด ยังร่วมมือกับ Nobu Hospitality แบรนด์ไลฟ์สไตล์สุดหรูระดับโลก ที่ก่อตั้งโดยเชฟโนบุ มัตสึฮิสะ, เมียร์ เทเปอร์ และโรเบิร์ต เดอ นิโร ในการร่วมพัฒนาและเปิดตัว Nobu Hotels and Restaurants  ในประเทศไทย โดยในเฟสแรกจะเริ่มด้วยการเปิดร้านอาหาร  Nobu Restaurants แห่งแรกและแห่งเดียวในประเทศไทย บน Rooftop อาคารเอ็มไพร์ ทาวเวอร์  อาคารสำนักงานมิกซ์ยูส (Mixed-Use) แนวไลฟ์สไตล์ที่ใหญ่สุดในประเทศไทย  ซึ่งตั้งอยู่บนศูนย์กลางธุรกิจชั้นนำของกรุงเทพฯ โดยคาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ภายในปลายปีนี้ ต่อด้วยการลงทุนสร้างโรงแรม Nobu Hotels อีก 1-2 แห่ง ภายใน 5-6 ปีข้างหน้า โดยจะเป็นการลงทุนของ AWC ทั้งหมด จับดีมานด์กลับมาเร็วและคุณภาพ แม้ว่าสถานการณ์ทุกอย่างเริ่มดีขึ้น รัฐบาลเริ่มเปิดประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ วันที่ 1 พ.ย.นี้ แต่สถานการณ์ทุกอย่างล้วนไม่มีความแน่นอน สิ่งที่ AWC วางกลยุทธ์รับมือ คือ การมุ่งจับตลาดดีมานด์ที่กลับมาเร็วและดีมานด์คุณภาพ ซึ่งน่าจะเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวระดับบน ที่มีกำลังซื้อสูง เพราะภายใต้สถานการณ์โควิด-19 ยังมีค่าใช้จ่ายพิเศษที่เพิ่มขึ้น เช่น ค่าตรวจเชื้อโควิด-19 รวมถึงอาจจะต้องกักตัวตามระยะเวลาที่กำหนด ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายที่มากกว่าปกติ ส่วนกลุ่มนักท่องเที่ยวที่น่าจะกลับมาได้ช้าสุด คือ กลุ่มตลาดการประชุมและสัมมนา หรือ MICE เพราะต้องมีการจองล่วงหน้าเป็นระยะเวลานาน ดีลซื้อโรงแรม 200 แห่ง การขยายธุรกิจและสร้างการเติบโต นอกจากการลงทุนและพัฒนาโครงการต่าง ๆ ด้วยตนเองแล้ว AWC ยังมองเรื่องการซื้อกิจการหรือธุรกิจที่สามารถสร้างการเติบโต หรือตอบโจทย์ทางธุรกิจให้กับ AWC ได้ด้วย แม้ว่าปัญหาการแพร่ระบาดของโควิด-19 จะส่งผลให้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่สำหรับ AWC แล้วมองว่าในวิกฤติยังมีโอกาส  ในการสร้างโครงการอสังหาฯ รูปแบบต่าง ๆ รวมถึงการซื้อกิจการโรงแรม ที่ผ่านมามีหลายโรงแรมที่ไม่ดำเนินธุรกิจต่อ ได้เข้ามาเสนอขายให้กับทาง AWC กว่า 200 แห่ง ซึ่งมีเพียงดีลเดียวที่จบลง คือ โครงการที่เมืองพัทยา  ส่วนโครงการอื่น ๆ ยังอยู่ระหว่างการพิจารณา   โดย AWC ได้​พัฒนาระบบการพิจารณาความเป็นไปได้ของโครงการ หรือ  “Business Analysis” บนเว็บไซต์ด้วยการนำเอาระบบ AI มาช่วยในการวิเคราะห์โอกาส ความเป็นไปได้ทางธุรกิจ และการจัดประเภทธุรกิจว่าอยู่ในกลุ่มใด สำหรับโครงการที่นำมาเสนอทั้งหมด ซึ่งในเบื้องต้นยังไม่มีโครงการที่ตรงกับความต้องการของ AWC หลายคนบอกว่าในสถานการณ์แบบนี้มีโอกาสมาด้วยเสมอ    
ศุภาลัย เดินหน้าลุยตลาดคอนโด เตรียมเปิด 4 โปรเจ็กต์ใหม่

ศุภาลัย เดินหน้าลุยตลาดคอนโด เตรียมเปิด 4 โปรเจ็กต์ใหม่

ศุภาลัย เดินหน้าทำตลาดคอนโด เตรียมเปิดโปรเจ็กต์ใหม่โค้งท้ายปี 4 โปรเจ็กต์ ประเดิม “ศุภาลัย พรีเมียร์ สามเสน-ราชวัตร” หลังกวาดยอดขาย 9  เดือนกลุ่มคอนโดพร้อมอยู่พร้อมโอนกว่า 3,800 ล้าน มั่นใจปี 64 ทำผลงานได้ตามเป้าหมายพร้อมใช้งบ 8,000 ซื้อที่ดินปั้นโปรเจ็กต์ต่อเนื่อง   นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ไตรมาส 4 ของปีนี้ บริษัทเตรียมเปิดโครงการคอนโดมิเนียม 4 โครงการ ซึ่งโครงการแรก คือ โครงการ​​ศุภาลัย พรีเมียร์ สามเสน-ราชวัตร ​ซึ่งกลุ่มเป้าหมายหลักคือผู้ที่อยู่อาศัยในย่านราชวัตร ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าลูกค้าส่วนใหญ่มีความต้องการอยู่ในทำเลเดิม แต่ยังไม่เคยมีโครงการเข้ามาพัฒนา ถ้าคอนโดเปิดในทำเลใหม่ ๆ ที่ไม่เคยมีจะสามารถสร้างดีมานด์ใหม่ได้   โดยช่วง 9 เดือนแรก บริษัทไม่ได้ทำการเปิดตัวโครงการคอนโดเลย เนื่องจากรอช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเปิดตัว แต่แม้ว่าไม่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ แต่ยอดขายในกลุ่มคอนโดยังทำได้ 3,810 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา และคาดว่ายอดขายคอนโดตลอดทั้งปีนี้น่าจะใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ​ขณะเดียวกันบริษัทยังทำตลาดกลุ่มคอนโดสร้างเสร็จพร้อมอยู่ที่สำคัญ 4 โครงการ ได้แก่ โครงการศุภาลัย ริวา แกรนด์, ศุภาลัย พรีเมียร์ เจริญนคร, ศุภาลัย เวอเรนด้า สถานีภาษีเจริญ และศุภาลัย โอเรียนทัล สุขุมวิท 39 ที่มีการโอนกรรมสิทธ์อย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา   ส่วนในช่วง​ 9 เดือน บริษัทยอดขายโครงการแนวราบได้ 13,743 ล้านบาท ทำให้มียอดขายรวม ​17,553 ล้านบาท จากเป้าหมายยอดขายในปีนี้​ 27,000 ล้านบาท  ซึ่งยอดขายโครงการแนวราบปีนี้  คาดว่าน่าจะทำ Record high และทำให้ได้ยอดขายรวมปีนี้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ด้วย  โดยกลยุทธ์หลักในการทำตลาดช่วงที่ผ่านมา บริษัทมีการขยายโครงการไปยังตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น นอกจากนี้ ยังพัฒนาโครงการแนวราบ ทำให้สัดส่วนปัจจุบันโครงการแนวราบมีมากถึง 70%  รวมถึงการทำตลาดและจัดโปรโมชั่นในโครงการกลุ่มพร้อมเข้าอยู่พร้อมโอน ​ สำหรับโครงการก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่ ที่บริษัททำตลาดอย่างโครงการ ศุภาลัย ริวา แกรนด์ มูลค่าโครงการ 6,800 ล้านบาท สามารถทำยอดขายได้แล้ว 5,450 ล้านบาท คิดเป็น 80% โครงการตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ​บนพื้นที่ 11 ไร่  มีอาคารชุดพักอาศัย 3 อาคาร ประกอบด้วย อาคาร A สูง 37 ชั้น อาคาร B และ C สูง 36 ชั้น (รวมดาดฟ้า)  โดยมีห้องพัก 706 ยูนิต ร้านค้า 14 ยูนิต  มีห้องพักตั้งแต่แบบ 1 - 3 ห้องนอน และ Penthouse 4 ห้องนอน ขนาด 53.5 - 433 ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 4.59  ล้านบาท  ที่จอดรถกว่า 130% ของจำนวนยูนิต​ เราเสียเวลาในช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม จึงได้เตรียมเอาโครงการพร้อมอยู่พร้อมโอนมาทำโปรโมชั่น เพื่อให้เกิดยอดขาย โดยเฉพาะโครงการคอนโดที่ปกติจะมียอดขายมากสุดตอนพรีเซล เพราะลูกค้าต้องการได้ราคาดีที่สุด และยอดขายจะมามากอีกครั้งช่วงที่โครงการสร้างเสร็จ เพราะลูกค้าต้องการเห็นห้องจริง และลูกค้าบางส่วนไม่แน่ใจในการกู้ต้องการเห็นโครงการเสร็จแล้ว ที่ปกติยอดขายจะเริ่มดีก่อนตึกเสร็จประมาณ 3-4 เดือน นอกจากการเปิดตัวโครงการคอนโด 4 โครงการในไตรมาสสุดท้าย บริษัทยังเตรียมเปิดตัวโครงการแนวราบอีก 11 โครงการ ทำให้​ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทเปิดโครงการใหม่ 15 โครงการ  จากแผนเดิมที่ทั้งปีจะเปิดโครงการทั้งหมด 31 โครงการ รวมมูลค่า 34,000 ล้านบาท เฉพาะไตรมาส 3 ที่ผ่านมาเปิดโครงการไปได้ 7 โครงการ ซึ่งเดิมวางแผนเปิดมากกว่านี้ แต่ติดปัญหาการปิดแคมป์คนงานก่อสร้างโครงการ เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19   ส่วนงบประมาณซื้อที่ดินในปีนี้บริษัทเตรียมไว้ 8,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันยังมีงบประมาณเหลือในการซื้อที่ดินเพิ่ม โดยมีแนวโน้มว่าบริษัทจะใช้งบประมาณซื้อที่ดินมากกว่าเป้าหมายที่ได้วางไว้ หากมีราคาที่ดินที่เหมาะสม เพราะปัจจุบันราคาที่ดินยังทรงตัว ไม่ได้ปรับเพิ่มขึ้นหรือลดราคาลง ถึงแม้ว่าการแข่งขันในการซื้อที่ดินของผู้ประกอบการจะไม่สูงเหมือนช่วงก่อนหน้านี้ก็ตาม นายไตรเตชะ กล่าวถึงสถานการณ์ตลาดคอนโดของไทยปัจจุบันว่า  ตลาดเริ่มชะลอตัวลงตั้งแต่ปี 2561 ​เนื่องจากกลุ่มลูกค้าต่างชาติลดลง โดยปี 2561 มีสัดส่วน 17% ปี 2562 มีสัดส่วน 15% และปี 2563 มีสัดส่วน 3% ลดลงอย่างต่อเนื่อง ยอดขายของคอนโดในช่วงปีที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งเป็นผลจากกลุ่มลูกค้าต่างชาติหายไป และกลุ่มลูกค้าเก็กกำไรที่คาดว่าน่าจะมีประมาณ 10% ที่หายไป ทำให้ภาพรวมตลาดคอนโดลดลงอย่างมาก แต่คาดว่าในปี 2565 หากการเดินทางกลับมาได้ปกติ และสถานการณ์ต่าง ๆ ปรับตัวดีขึ้น ตลาดคอนโดน่าจะกลับมาเติบโตอีกครั้ง ปัจจุบันลูกค้าคอนโดในกลุ่มเรียลดีมานด์ลดลงเพราะโครงการเปิดใหม่ลดลง ซึ่งคอนโดขายก่อนโอน ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันลูกค้าไม่มั่นใจว่าจะสามารถโอนได้จริงหรือไม่ หรือจะขอสินเชื่อธนาคารได้หรือเปล่า การซื้อโครงการสร้างเสร็จเพราะลูกค้ารู้ว่าสามารถขอยื่นกู้ได้เลย หรือสามารถตรวจสอบได้ว่าจะสามารถกู้ผ่านหรือไม่    
อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์  สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนตุลาคม 2564 แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยถูกสุด

อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สินเชื่อกู้ซื้อบ้าน เดือนตุลาคม 2564 แบงก์ไหนให้ดอกเบี้ยถูกสุด

อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ปัจจุบันเริ่มปรับตัวดีขึ้น รัฐบาลเริ่มมีการคลายมาตรการล็อกดาวน์ และขยายเวลาเคอร์ฟิวไปถึงเวลา 22.00 ทำให้หลายคนเริ่มออกมาใช้ชีวิตแบบปกติใหม่ ต้องสวมแมสก์ ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยเจลแอลกอฮอล์ และการเว้นระยะห่างทางสังคม เพื่อความปลอดภัย ไม่ได้รับเชื้อไวรัสโควิด-19 แม้ว่าสถานการณ์จะเริ่มดีขึ้น แต่ภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อโดยรวมยังไม่ฟื้นตัวเป็นปกติ หลายธุรกิจยังต้องใช้เวลาในการฟื้นตัวให้กลับมามียอดขายและรายได้เหมือนเดิม และประชาชนทั่วไปหลายคนก็ยังไม่ได้มีรายได้กลับมาเท่าเดิมก่อนที่จะเกิดโควิด-19 ระบาด หลายคนและหลายธุรกิจจึงยังต้องรักษาสภาพคล่องทางการเงินให้มีประสิทธิภาพ และบริหารกระแสเงินสดให้ดีที่สุด เพราะอนาคตมีแต่เรื่องที่ไม่แน่นอน   สำหรับใครที่ต้องการเงิน หรือต้องการลดภาระจากการเป็นหนี้ที่อยู่อาศัย ซึ่งได้กู้เงินมาก่อนหน้านี้ และมีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะรีไฟแนนซ์บ้านหรือคอนโด รวมถึงอสังหาฯ อื่น ๆ วิธีการรีไฟแนนซ์ก็เป็นทางออกหนึ่งที่ช่วยได้ แต่ถ้าจะรีไฟแนนซ์แล้ว มาดูกันก่อนว่าแบงก์ไหน มีอัตราดอกเบี้ยเท่าไรกันบ้างที่คิดกับลูกค้า สำหรับเดือนตุลาคมนี้ มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นหรือลดลงอย่างไร เราได้อัพเดทดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้านจากทุกแบงก์มาให้พิจารณาแล้ว ซึ่งส่วนใหญ่อัตราดอกเบี้ยไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดิมมากนัก 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ  มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการรีไฟแนนซ์บ้าน  กรณีหลักทรัพย์เป็นที่อยู่อาศัยทั่วไป เฉพาะวงเงินอนุมัติตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งอัตราดอกเบี้ยของเดือนตุลาคม​นี้  ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีอัตราดอกเบี้ยให้เลือกด้วยกัน 3 ทางเลือก  ได้แก่ ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.00% กรณีไม่ทำประกัน  อัตราดอกเบี้ย 2.25% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 2.95% (MRR-3.00) หลังจากนั้น 4.45% ​(MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.13-3.22% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.66-3.72% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.325% (MRR-3.625%)  กรณีไม่ทำประกัน ดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย  4.45% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.12-3.20 อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.66-3.72% ทางเลือกที่ 3 ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.825% (MRR-3.125%) กรณีไม่ทำประกัน ดอกเบี้ย  3.075% (MRR-2.875%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.075% (MRR-2.875%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.45%  (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.45-3.53% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.86-3.92% หมายเหตุ -MRR = 5.95% ประกาศ ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 -วงเงินกู้สูงสุด เท่ากับ 100% ภาระหนี้คงค้าง และไม่เกินอัตราส่วนสินเชื่อสูงสุดตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -ระยะเวลากู้สูงสุด 30 ปี (เฉพาะพนักงานประจำสูงสุด 35 ปี) รวมอายุผู้กู้สูงสุด 65 ปี -ค่าธรรมเนียม คิดค่าสำรวจและประเมินหลักประกัน 3,210 บาท (ธนาคารจะคืนค่าสำรวจและค่าประเมินหลักประกันหลังจากลูกค้าได้รับอนุมัติและเบิกใช้สินเชื่อแล้ว) -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปี ตลาดอายุสัญญาวงเงินกู้ 2 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี -รายละเอียดและเงื่อนไขอื่น โปรดสอบถามจากธนาคาร -กรณีแสดงวัตถุประสงค์ เช่น เพื่อการต่อเติม/ซ่อมแซม/ตกแต่งที่พักอาศัย ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา หรือการจัดหาสินค้าหรือบริการเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนตัว เป็นต้น​ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 5 ก.ค. 64 - 30 ก.ย. 64 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อและจดจำนองภายใน 2 เดือนนับแต่วันที่ ลงนามในสัญญากู้ -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบัน ตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ย กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง หากลูกค้ายกเลิก และไถ่ถอนหลักประกัน ก่อนระยะเวลา 3 ปี ไม่ว่ากรณีชำระหนี้ด้วยเงินสด หรือ รีไฟแนนซ์ธนาคารจะเรียกคืนค่าธรรมเนียมจดจำนองจากผู้กู้ -ธนาคารจะโอนเงินคืนค่าสำรวจและประเมินหลักประกันเข้าบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ที่ลูกค้า ใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 60 วัน หลังจากลูกค้าได้รับอนุมัติและเบิกใช้สินเชื่อกับธนาคารแล้ว พิเศษ รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยพิเศษปีแรก 0.25% เพียงสมัครสินเชื่อบ้านบัวหลวงพร้อมประกันชีวิตคุ้มครองเครดิต โฮมเฟิสต์ พลัส (ฉบับปรับปรุง) -กรณีจำนวนเงินเอาประกันภัยเต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี หรือเท่ากับระยะเวลาในสัญญากู้ -กรณีจำนวนเงินเอาประกันภัยอย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาเอาประกันภัยอย่างน้อย 70% ของระยะเวลาในสัญญากู้ (เฉพาะลูกค้าที่ทำสัญญากู้ตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป) *ข้อมูล ณ วันที่ 4 ตุลาคม ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน ซึ่งอัตราดอกเบี้ยเดือนกันยายน มีการเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนที่ผ่านมา   ดังนี้ แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.22% = 3.0% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  =3.0% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.15% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-2.97% = 3.25% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.23% หมายเหตุ การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ 1.ทำ MRTA/GLT SP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี 2.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ 3.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ***อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2564 MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีแคมเปญการให้บริการสินเชื่อรีไฟแนนซ์กับลูกค้า คือ  ฟรี! ค่าประเมินหลักทรัพย์ ฟรี! ค่าจดจำนอง ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. – 31 ธ.ค. 64 โดยอัตราดอกเบี้ย ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งคิดดอกเบี้ยตามรายละเอียด ดังนี้​ สำหรับวงเงินตั้งแต่ 1 -1.5 ล้านบาท ทางเลือก 1 ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย MRR-1.85% ปีที่ 4-5 ดอกเบี้ย MRR-1.50% หลังจากนั้น MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.05% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.66% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ย 2.90% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-3.15% ปีที่ 4-5 ดอกเบี้ย MRR-1.50% หลังจากนั้น MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.65% ทางเลือกที่ 3* ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.50% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย MRR-1.35% ปีที่ 4-5 ดอกเบี้ย MRR-1.50% หลังจากนั้น MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.30% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.78% สำหรับวงเงินตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย MRR-2.15% = 3.9% ปีที่ 4-5 ดอกเบี้ย MRR-1.75% = 4.3% หลังจากนั้น MRR-1.75% = 4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.45% ทางเลือก 2 ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.75% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 2.20% ปีที่ 3-5 ดอกเบี้ย MRR-1.75% = 4.3% หลังจากนั้น MRR-1.75% =4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.40% ทางเลือกที่ 3 ปีที่ 1-5  ดอกเบี้ย MRR-2.70% = 3.35% หลังจากนั้น MRR-2.70% = 3.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.35% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.35% ทางเลือกที่ 4* ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.50% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย MRR-1.65% = 4.4% ปีที่ 4-5 ดอกเบี้ย MRR-1.75% = 4.3% หลังจากนั้น MRR-1.75% = 4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.10% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.57% สำหรับวงเงินกู้อนุมัติ 3 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 5 ปีที่ 1-5 อัตราดอกเบี้ย 3.50% หลังจากนั้น MRR-1.75%= 4.3% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.50% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.67%   หมายเหตุ *เฉพาะลูกค้าที่ซื้อ MRTA/MLTA ตามเงื่อนไขที่กำหนดเท่านั้น จึงจะสามารถเลือกรับดอกเบี้ยทางเลือกฟรีค่าจดจำนองได้โปรดอ้างอิงตาม Product Catalog_ประกัน (สาขากลาง) / Product Catalog_ประกัน(สาขาภูมิภาค) และ ใบข้อเสนอ (QE) ** อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 1.5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาทแต่ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 3 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้าซื้อ MRTA/MLTA หาก ค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสำหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -กรณีลูกค้าเลือกรับอัตราดอกเบี้ยทางเลือกที่ 3 (วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท) หรือทางเลือกที่ 4 (วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป) ฟรีค่าจดจำนองตามเงื่อนไขที่กำหนด -กรณีลูกค้าเลือกรับอัตราดอกเบี้ยทางเลือกที่ 1-2 (วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 1.5 ล้านบาท) หรือทางเลือกที่ 1-3(วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป) หรือทางเลือกที่ 5(วงเงินกู้อนุมัติตั้งแต่ 3 ล้านบาทขึ้นไป) รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปีเฉพาะในปีที่ 1 ทั้ง 2 กรณีลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้1) -MRR =6.05% (ณ 21พ.ค.63) -ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.-31 ธ.ค.64 และจดจำนอง และเบิกเงินกู้ภายในวันที่ 31 ม.ค. 65 -รายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติม สอบถามได้จากธนาคาร​ 4.ธนาคารกสิกรไทย อัตราดอกเบี้ยบ้านของธนาคารกสิกรไทย ในเดือนตุลาคมนี้ มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา  โดยธนาคารกสิกรไทยมีบริการสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ ดังนี้ ปีที่ 1 MRR = 5.97% ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาลดให้ลูกค้าสูงสุด 1.50% จากอัตราดอกเบี้ยเดิมของลูกค้า* และเป็นแบบอัตราดอกเบี้ยลอยตัว​ อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.97% ปรับเพิ่มจากเดือนที่ผ่านมาคิด ​อัตราดอกเบี้ย MRR-1.50% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.97% ปรับเพิ่มจากเดือนที่ผ่านมาคิด ​อัตราดอกเบี้ย MRR-1.50% หมายเหตุ -MRR = 5.97% ( ณ วันที่ 22 พ.ค.63) -สำหรับผู้ที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่ 20 กรกฎาคม-ธันวาคม​ 64 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินคิน มีแคมเปญ KKP Home Loan Refinance สำหรับลูกค้าบ้านรีไฟแนนซ์ประจำเดือนตุลาคม ในอัตราที่ไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ ทางเลือก ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.590% ปีต่อไป MLR-1.75% = 4.775% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.790% ปีต่อไป MLR-1.75% = 4.775% ทางเลือก ดอกเบี้ยแบบลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.790% ปีต่อไป MLR-1.75% = 4.775% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.990% ปีต่อไป MLR-1.75% หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง​ เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดีประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา​ (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว โดยจะประกาศไว้​ ณ สถานที่ทำการให้บริการและเว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที 18 สิงหาคม​ 2563 เท่ากับ 6.525% ตอ่ ปี 3) เลือก​ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA)​ ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมรีะยะเวลาเอาประกันภัย ​​0 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปีให้ระยะเวลาเอาประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ​ 3 ปีแรก คิดค่า Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง​ 5.กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง หากลูกค้า​ Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ทุกกรณี ลูกค้าต้องชำระคืนค่าจดจำนองที่ธนาคารเคยสำรองจ่ายให้ แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น​ 3,210 บาท ค่าอากรแสตมป์ ร้อยละ​ 0.05 ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน​ 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคีภัยเป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทประกันภัยที่เชื่อถือ​ (a) อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อ หลักประกัน 100% ของราคาประเมิน (b) ระยะเวลากู้สูงสุด​ 30 ปี (อายุผู้กู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน  65 ปีสำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปีสำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ที่ให้อัตราดอกเบี้ยเท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา โดยประเภทสินเชื่อรีไฟแนนซ์ และขอวงเงินเพิ่ม (กรณีไม่ขอวงเงินเพิ่มมีอัตราดอกเบี้ยเฉพาะสอบถามได้จากทางธนาคาร) มีอัตราการคิดดอกเบี้ย ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 30,000 บาทขึ้นไป แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  (MRR-3.66%) = 3.69% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย (MRR-2.00%) =5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.69% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.93% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย   (MRR-3.36%) = 3.99% หลังจากนั้น (MRR-2.00%) = 5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.01% สำหรับพนักงานเงินเดือน 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ขึ้นไป ทางเลือก 2 แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-3.36% = 3.99% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.00% = 5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.01% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-3.06% = 4.29% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.00% = 5.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.29% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.08% หมายเหตุ อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 10 เมษายน 2563) กรณีไม่ขอวงเงินเพิ่ม สอบถามรายละเอียดกับทางธนาคารโดยตรง 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบีมีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงอัตราการคิดดอกเบี้ย สำหรับเดือนตุลาคม ​ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-3.53% =2.75% หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย (MRR-1.63%)=4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.02% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.18% หลังจากนั้น (MRR-1.63%)= 4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี อัตรา 3.10% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.14% ทางเลือก 3 (สมัครผลิตภัณฑ์ไม่ครบทั้ง 3 ประเภท) ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย (MRR-2.74) = 3.54% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีดอกเบี้ย 3.54% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.29%   สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อบ้าน สไมล์ โฮม หรือ สไมล์ โฮม พลัส 2.สมัครใช้บริการ หักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ทีทีบีเพื่อผ่อนช าระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ทีทีบี (กรณีที่มีบัตรเดบิต ทีทีบีแล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) ช่วยคุณประหยัดดอกเบี้ยได้มากขึ้น ผ่อนต่อเดือนน้อยลง และเป็นเจ้าของบ้านได้เร็วขึ้น เมื่อรีไฟแนนซ์บ้านกับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ยให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท  รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ นาน 3 ปี  ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท  ฟรี! ค่าจดทะเบียนจำนอง มูลค่า 1% ของเงินกู้สูงสุด 200,000 บาท  ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง หมายเหตุ : -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -MRR (Minimum Retail Rate : อัตราดอกเบี้ย ลูกค้ารายย่อยชั้นดี) = 6.28% ต่อปี ณ วันที่ 7 พ.ค. 2564 -การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการ พิจารณาสินเชื่อ -สำหรับลูกค้าที่ยื่นที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน​-31 ธันวาคม 64 และจดจำนองภายในวันที่ 31 มกราคม​ 65 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อทั่วไปที่รีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินอื่น โดยเดือนตุลาคม ​ยังคงอัตราดอกเบี้ยเท่ากับเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% ปีต่อไป MRR-0.72%= 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.242% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.90% ปีต่อไป MRR-0.72% = 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.174% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2563) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำหรับธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส. มีสินเชื่อบ้านสุขสันต์  เพื่อให้ลูกค้าใช้บริการรีไฟแนนซ์  โดยอัตราดอกเบี้ยสำหรับเดือนตุลาคม ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ​​โดยมีรายละเอียดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ แบบที่ 1 สำหรับกลุ่มลูกค้าสวัสดิการ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.99% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.16%= 2.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.65%=3.5% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย MRR-1.0%= 5.15% แบบที่ 2 สำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อย ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.09% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย  MRR-3.06%= 3.09% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-2.55%=3.6% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 5.65% (MRR-1.0%) เพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาที่คิดดอกเบี้ย =5.15%   หมายเหตุ -นิยามคำว่า “อาคาร” หมายถึง บ้านเดี่ยว บ้านแฝดทาวน์เฮ้าส์ และอาคารพาณิชย์เพื่อที่อยู่อาศัย ยกเว้นแฟลต และบ้านเช่า -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ร้อยละ 0.1 ของวงเงินทำนิติกรรม -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ถึง​30 ธันวาคม 2564 อนุมัติและทำนิติกรรมภายใน​ 31 มกราคม ​2565 (ทั้งนี้ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเต็มวงเงินของโครงการแล้ว) -MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พ.ค. 64 10.ธนาคารยูโอบี สำหรับธนาคารยูโอบี มีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ UOB Home Loan - รีไฟแนนซ์ ​(รวมวงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์​)  สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่ ​1 ตุลาคม​- 30 ธันวาคม​ 2564 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายในวันที่ 31 มกราคม 2565 ซึ่งอัตราดอกเบี้ยในเดือนตุลาคม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า​ รายละเอียดดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.89% ลดลง 0.4% จากเดือนที่ผ่านมาที่คิดดอกเบี้ย 3.29% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-4.46%)= 2.89% ลดลง 0.4% จากเดือนที่ผ่านมา ที่คิดดอกเบี้ย (MRR-4.06%)=3.29% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.89% ลดลง 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่ดอกเบี้ย 3.29% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.60% ลดล 0.17% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.77% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.99% ลดลง 0.5% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.49% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-4.36%) = 2.99% ลดลง 0.5% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกบี้ย (MRR-3.86%) = 3.49% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.99% ลดลง 0.5% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.49% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.64% ลดลง 0.21% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.85% ทางเลือก 3 แบบทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 1.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.36%) = 4.99% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.60% ทางเลือก 4 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.09% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.26%) = 5.09% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.09% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.64%   หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ​ (MRTA) ผ่านธนาคารยูโอบี -ทุนประกันเต็มวงเงินกู้และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ ​10 ปีหรือ​ -ทุนประกันขั้นต่ำ ​80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มระยะเวลากู้​ 2.อัตราดอกเบี้ย สำหรับสินเชื่อรีไฟแนนซ์วงเงิน​ 1 ล้านบาทอายุสัญญา​ 15 ปี MRR = 7.35% ต่อปีอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้สำหรับโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับทำสัญญากู้ยืม​ของลูกค้าแต่ละรายอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย​ 3.อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับวงเงินเพิ่มไม่เกิน​ 50% ของวงเงินกู้รวมทั้ง ทั้งนี้ไม่นับรวมวงเงินกู้สินเชื่ออื่นเพื่อชำระค่าเบี้ย​ประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินชื่อ ​ (MRTA) วงเงินกู้รีไฟแนนซ์สูงสุด รวมส่วนกู้เพิ่มต้องไม่เกิน 95% ของราคาประเมิน ขึ้นอยู่กับรายได้ ประเภทของลูกค้า / ประเภทและที่ตั้งของหลักประกัน/ ราคาหลักประกัน / จำนวนสัญญากู้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของลูกค้า วงเงินกู้รีไฟแนนซ์อนุมัติ รวมส่วนกู้เพิ่มต้องไม่เกินวงเงินกู้รีไฟแนนซ์ 4.กรณีกู้โดยไม่รวมวงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์และรายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาติดต่อธนาคารโดยตรง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีแคมเปญสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ดอกเบี้ยต่ำ!! เพียง 0.59% ต่อปี ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยคิดดอกเบี้ยดังนี้ แบบที่ 1 สำหรับผู้กู้รายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.59% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-6.76% = 0.59% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.37% = 3.98% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.67% แบบที่ 2 ปีที่ 1 ดอกเบี้ยคงที่ 0.79% หรือ ผ่อนล้านละ 3,5000 บาท ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ยคงที่ MRR-3.32% = 4.03% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.74% แบบที่ 3 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.35%=2.00% ปีที่ 3 MRR-3.55%=3.80% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 4 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10% หรือ ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-3.45% = 3.90% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.64% แบบที่ 5 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-4.75% = 2.60% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 6 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.80% หรือ ผ่อนล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% แบบที่ 2 สำหรับผู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.79% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-6.56% = 0.79% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.32% = 4.03% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.74% แบบที่ 2 ปีที่ 1 ดอกเบี้ยคงที่ 0.99% หรือ ผ่อนล้านละ 3,5000 บาท ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ยคงที่ MRR-3.27% = 4.08% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.05% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.81% แบบที่ 3 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.25%=2.10% ปีที่ 3 MRR-3.45%=3.9% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.64% แบบที่ 4 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.20% หรือ ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-3.35% = 4.00% ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.70% แบบที่ 5 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย MRR-4.65% = 2.70% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 6 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.90% หรือ ผ่อนล้านละ 3,500 บาท ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.82%   ข้อกำหนดและเงื่อนไข 1.สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า Refinance ดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.59% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป หรืออัตราดอกเบี้ย 0.79% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป และเบิกรับเงินกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม​- 31 ธันวาคม 2564 2.วงเงินกู้เริ่มต้น 1.0 ล้านบาท และราคาประเมินหลักประกัน (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.0 ล้านบาท หรือ (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.5 ล้านบาท (โครงการจัดสรรทุกโครงการ) 3.อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขดังกล่าว สำหรับหลักประกันที่ได้รับการจัดสรรทุกโครงการในเขตกรุงเทพฯ  และปริมณฑล ยกเว้น ที่ดินว่างเปล่า, อาคารพาณิชย์ 4.กรณีลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือสูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือเปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรกทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 5.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี 6.ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำล้านละ 3,500 บาท ได้ในแบบอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่เท่านั้น 7.อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.350% (ณ วันที่ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย 8.อัตราดอกเบี้ย หลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด 12 ธนาคารออมสิน ธนาคาออมสิน มีสินเชื่อเคหะ รีไฟแนนซ์ โดยมีอัตราดอกเบี้ย 0% สูงสุด 9 เดือนแรก ซึ่งถือว่าเริ่มต้นแคมเปญในเดือนตุลาคม ดังนี้ แบบทำประกัน แบบที่ 1 ปีที่ 1ดอกเบี้ยเฉลี่ย 0.5% (เดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 1% ) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.5% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.745%) = 3.5% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.5% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.061% แบบที่ 2 ปีที่ 1ดอกเบี้ยเฉลี่ย 0.5% (เดือนที่ 1-9 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 10-12 ดอกเบี้ย 1.8% ) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.525% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.72%) = 3.525% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.5% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.059% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1ดอกเบี้ยเฉลี่ย 0.5% (เดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 1.75% ) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.063% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.182%) = 4.063% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.0% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.248%   หมายเหตุ -สินเชื่อกรณีไถ่ถอนจำนองจากสถาบันการเงินอื่น (Re-Finance) และกู้เพิ่มเติมเพื่อการอุปโภคบริโภค (Re-Plus) -อัตราดอกเบี้ย 0% สูงสุด 9 เดือนแรก ถ้าจดจำนองภายในวันที่ 29 ตุลาคม 2564 หลังจากนั้นผ่อนต่ำปีแรกล้านละ 2,000 บาทต่อเดือน อัตราดอกเบี้ย 0% สูงสุด 6 เดือน หลังจากนั้นผ่อนต่ำล้านละ 1,500 บาทต่อเดือน -ฟรี ค่าบริการสินเชื่อ และ ค่านิติกรรมสัญญา -ฟรี ค่าจดจำนอง สูงสุด 50,000 บาทสำหรับ วงเงินสินเชื่อเคหะคงเหลือตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป   ที่มา : Reviewyourliving รวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ธนาคาร ณ วันที่ 4 ตุลาคม 2564   บทความที่เกี่ยวข้อง อัพเดท ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนตุลาคม 64 อัพเดท ดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนกันยายน 64 แลงก์ไหนให้ถูกสุด
อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนตุลาคม 64

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนตุลาคม 64

อัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน อัพเดท ดอกเบี้ย กู้ซื้อบ้านและคอนโด เดือนตุลาคม 64 ธนาคารส่วนใหญ่ยังคงดอกเบี้ยเท่ากับเดือนกันยายน โอกาสดีของคนอยากซื้อบ้านและคอนโดช่วงโค้งท้ายปี ​ ตอนนี้เราได้เดินทางมาถึงโค้งสุดท้ายของปี เพราะเข้าสู่ไตรมาส 4 ของปี 2564 แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่พีคสุดของหลายธุรกิจ ในการจะทำการตลาดและสร้างยอดขาย ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ก็เช่นเดียวกัน ถือเป็นไฮซีซั่นที่ดีเวลลอปเปอร์จะโหมแคมเปญการตลาด และการเปิดตัวโครงการใหม่ เพื่อมาสร้างยอดขายและรายได้ก่อนปิดปีงบประมาณ   ปัจจัยหนึ่งที่จะทำให้ยอดขายและรายได้ของดีเวลลอปเปอร์ได้ตามเป้า ก็คงเป็นเรื่องอัตราดอกเบี้ยการกู้ซื้อบ้าน เพราะยิ่งดอกเบี้ยต่ำเท่าไร ก็ทำให้คนซื้อมีภาระการผ่อนชำระที่ไม่สูงมาก เมื่อเทียบกับดอกเบี้ยที่สูงกว่า ยิ่งกู้ระยะเวลานาน ๆ ดอกเบี้ยต่ำก็ทำให้ต้นทุนดอกเบี้ยโดยรวมต่ำไปได้   ถึงเวลานี้ ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโดมิเนียม อยู่ในเรทเท่าไรกันบ้างในแต่ละธนาคาร มีการขยับปรับเปลี่ยนจากช่วงเดือนที่แล้วอย่างไร เรามาอัพเดทดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด ประจำเดือนตุลาคม 2564  ซึ่งภาพรวมส่วนใหญ่ก็ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก ​เรียกได้ว่าเป็นจังหวะที่ดี หากใครคิดอยากมีบ้านหรือคอนโดเป็นของตนเอง​ 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป (อัตราดอกเบี้ยยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา) อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ  วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1   ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น 5.2%  (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.2% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น  5.45% (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.45%  (MRR-0.50%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.9% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.7%(MRR-1.25%) หลังจากนั้น 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 4.075%(MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น 5.2%(MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58%   -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก 4.75% หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า ​500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า ​คิดอัตราดอกเบี้ย​ MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย ​MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา   หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 5 ก.ค. 64 – 30 ก.ย.​ 64 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ​และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ​ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ​ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 17 มิ.ย. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข ​​ * ข้อมูลจากเว็บไซต์ธนาคาร ณ วันที่ 4 ต.ค. 64 ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนข้อมูลจากเดือนก่อนหน้า 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อสำหรับบ้านใหม่ แคมเปญ สินเชื่อบ้านกรุงไทย…สุขใจถ้วนหน้า โดยไม่คิดค่า  ธรรมเนียมยื่นกู้  โดยเดือนนี้ อัตราดอกเบี้ยมีการเปลี่ยนเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนกันยายน​​ที่ผ่านมา ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ยดังนี้ แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75%  ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.67% (MRR-2.55%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.67% (MRR-2.55%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.72%  (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.69% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.04% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.67% (MRR-2.55%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.67% (MRR-2.55%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.72% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.78% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.04% สินเชื่อสำหรับการกู้ซื้อบ้านที่ธนาคารออกค่าจดจำนองให้** และ ฟรี ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แบบทำประกัน คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.17% (MRR-2.05%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 4.17% (MRR-2.05%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.72% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.03% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.12% แบบไม่ทำประกัน  คิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.0% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.17% (MRR-2.05%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 4.17% (MRR-2.05%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.72% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.11% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา = 4.15%   การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ 1.ทำ MRTA/GLT SP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี 2.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ 3.ทำ MRTA/GLT SP 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลากู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ **ธนาคารออกค่าจดจำนองให้ 1% สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท หากลูกค้าปิดบัญชีก่อน 5 ปี ธนาคารจะเรียกเก็บค่าจดจำนองคืน ***อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR) คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 มิ.ย. 2564 MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 1 เม.ย. 2564) 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมินอัตราดอกเบี้ยยังคงเท่าเดิมจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากมีระยะเวลาการใช้อัตราดอกเบี้ยตั้งแต่ 1 ก.ย.- 31 ธ.ค. 64 สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.9% ( MRR-3.15%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.00%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.39% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.50% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย MRR-1.60% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.55%  (MRR-3.50%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.3%  (MRR-2.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.02% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.25% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.1% (MRR-1.95%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.3% (MRR-1.75%) ปีที่ 3 เป็นต้นไป 4.7%  (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.23%   หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ​ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พ.ค. 63 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย. 64 – 31 ธ.ค. 64 โดยจดจำานองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 31 ม.ค. 65 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป โดยพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ ซึ่งเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนกันยายนที่ผ่านมา ดังนี้ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 7.72% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 7.72% สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 8.22% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 8.22% % หมายเหตุ : -อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% (ประกาศ ณ วันที่ 22 พ.ค. 63) -อัตราดอกเบี้ยข้างต้นสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่ 20 ก.ค.  – 31 ธ.ค. 64 -สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภทรวมอาคารพาณิชย์ยกเว้น Refinance และการปล่อยกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า -มีค่าสำรวจและประเมินราคาหลักประกันโดยบริษัท โพรเกรส แอพไพรซัล หรือบริษัทประเมินที่ธนาคารรับรอง คิดขั้นต่ำ 3,000 บาท (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) -วงเงินให้กู้สูงสุดไม่เกิน 90% ของเราซื้อขายและไม่เกิน 90% ของราคาประเมินหลักประกัน 5.ธนาคารเกียรตินาคิน ธนาคารเกียรตินาคิน มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่ : กรณีซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด) โดยคิดอัตราดอกเบี้ยในอัตราดเดิมเท่ากับเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ ดอกเบี้ยคงที่ 2 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  2.450%-2.750% ปีต่อไป ดอกเบี้ย  4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.650%-2.950% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) ดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.60%-2.99% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.80%-3.19% ปีต่อไป ดอกเบี้ย 4.775% (MLR-1.75%) หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ​เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่​ 18 สิงหาคม 2563 เท่กับ​ 6.525% ต่อปี 3.เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา​​​​​​ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า​ Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.​กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง ​​หากลูกค้า Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท   ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคี ​เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด ​โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ ​ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน​ 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด ​30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.10%) ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย 5.35% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-2.80%) หลังจากนั้น 5.35% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.15% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 10 เมษายน 2563) -ธนาคารยังมีอัตราดอกเบี้ยสำหรับพนักงานประจำรายได้ 30,000-50,000 หรือเจ้าของกิจการรายได้ 50,000 บาทขึ้นไปไว้พิจารณาด้วย รวมถึงสินเชื่อสำหรับโครงการที่ธนาคารเป็นผู้สนับสนุน 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป จะได้รับฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าจดทะเบียนจำนอง และค่าประเมินหลักทรัพย์ ซึ่งยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยเท่ากับเดือนกันยายนที่ผ่านมา  ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.23%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.4% (MRR-1.88%) หลังจากนั้น 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.4% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือก 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา ดอกเบี้ย 4.65%   หมายเหตุ สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส ​ 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท​ -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -MRR (Minimum Retail Rate : อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายย่อยชั้นดี) = 6.28% ต่อปี ณ วันที่ 7 พ.ค. 64 -การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.-31 ธ.ค.64 และจดจำนองภายใน 31 ม.ค. 65 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.950% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.950% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2563) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด * ข้อมูลจากเว็บไซต์ธนาคาร ณ วันที่ 4 ต.ค. 64 ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนข้อมูลจากเดือนก่อนหน้า 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2564 ​มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา  ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.75% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.4%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 5.4% หมายเหตุ ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค. 64 – 30 ธ.ค. 64   (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติมวงเงินของโครงการแล้ว) อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 10.ธนาคารยูโอบี ธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโคงการหมู่บ้านทั่วไป  โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับ​เดือนที่ผ่านมา ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.55% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.80%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.75% (MRR-3.60%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.95% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-2.40%) หลังจากนั้น 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.88% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.20% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% (MRR-2.20%) ปีที่ 4 อัตราดอกเบี้ย 5.75% (MRR-1.60%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.96% หมายเหตุ -ขอสินเชื่อตั้งแต่ 1 ก.ย. – 30 ธ.ค. 64 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายใน 31 ม.ค.​ 65 -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาครยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.35% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ​(Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น)​ -การอนุมัติสินเชื่อ​เป็นไปตำมหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ  7.35% ต่อปี ​(ตามประกาศธนาคารณ วันที่ 1 เม.ย. 64) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย​ MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้​ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ​เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร​ -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย ​(ใบอนุญาตประกันชีวิต​เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาสภัย​ เลขที่ ว.00020/2546) ทำหนี่เสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ​จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย คือ โฮมโลน โดนใจ สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น ใ1.9% (สำหรับผู้มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป) โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยสำหรับผู้กู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 2.0% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.00% (MRR-5.35%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.80% (MRR-3.55%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.10%  (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 2 ปีแรก) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.20% (MRR-3.15%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.55% (MRR-4.80%) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 4 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.75% (ผ่อนต่ำล้านละ 3,500 บาท 3 ปีแรก) ปีที่ 4 เป็นต้นไป ดอกเบี้ย 5.10% (MRR-2.25%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.76% เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ล้านละ 3,500 บาท  กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่** -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 4.60% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.10% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.35% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่างๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่ 1 ต.ค. – 31 ธ.ค. 64 -สำหรับอัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 1.9% สำหรับผู้กู้ที่มีรายได้ 75,000 บาทขึ้นไป ผ่อนต่ำเดือนละ 3,500 บาท ฟรีค่าจดจำนองสินเชื่อเมื่อซื้อประกันผ่านธนาคาร ฟรีค่าประเมินหลักประกัน 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีสินเชื่อเคหะ สำหรับให้บริการผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไปซื้อบ้านหรือคอนโด โดยเป็นสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยใหม่ ภายใต้แคมเปญใหม่ อัตราดอกเบี้ย 0% 6 เดือนแรก ทำให้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโด สำหรับเดือนตุลาคมนี้ มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า ดังนี้​ กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ยเฉลี่ย 1.5% ปรับลดลงจากเดือนก่อนหน้า 1.99% จากที่คิดดอกเบี้ยอัตรา ​3.49% (หมายเหตุ ดอกเบี้ยปีแรก ในตารางแก้ไขเป็น 1.5%) (เดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 1.5%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.525% ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 0.035% จากที่คิดดอกเบี้ยอัตรา ​3.49% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.525% (MRR-2.72%) ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 0.035% จากที่คิดดอกเบี้ยอัตรา ​3.49% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.6% ปรับลดลง 0.89% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 3.49% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.101% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ยเฉลี่ย 2.0 ปรับลดลง 1.99% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.99% (เดือนที่ 1-6 ดอกเบี้ย 0% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 2.0%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 4.15% ปรับเพิ่มขึ้น 0.16% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.99% ปีที่​ 3 ดอกเบี้ย 4.15% (MRR-2.095%) ปรับเพิ่มขึ้น 0.16% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด ดอกเบี้ย 3.99% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.1% ปรับลดลง 0.89% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.286%   เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยโปรโมชั่น 1.ประกัน หมายถึง ประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ 2.อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR=6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) 3.รายละเอียดเพิ่มเติมสอบถามได้จากธนาคาร   บทความที่เกี่ยวข้อง อัพเดท ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านเดือนกันยายน 2564
สัมมากร ลุยตลาดลักชัวรี่ขายบ้าน 30 ล้าน สู้โควิด-19 เดินหน้าปั๊มยอดขายทั้งปีโต 20%

สัมมากร ลุยตลาดลักชัวรี่ขายบ้าน 30 ล้าน สู้โควิด-19 เดินหน้าปั๊มยอดขายทั้งปีโต 20%

“สัมมากร” ครึ่งแรกกวาดรายได้กว่า 716 ล้าน ขณะที่ไตรมาส 3 ยอดขายโต 20% หลังปรับกลยุทธ์สู้โควิด-19 ล่าสุดจับมือ “แอสเซท โปร” ขยายตลาดลักชัวรี่ ปั้นโปรเจ็กต์ “โพรวิเดนซ์ เลน เอกมัย-รามอินทรา” บ้านเดี่ยวเริ่มต้น 30 ล้าน ​เล็งเปิดอีก 2 โครงการปลายปี 350 ล้าน   นายณพน เจนธรรมนุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) หรือ SAMCO เปิดเผยว่า ช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้​ บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 716.39 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 6.52% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของ​​​​ปี 2563 ที่มีรายได้รวมจำนวน 672.52 ล้านบาท และตลอดปี 2563 มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,701.50 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 3 สามารถสร้างยอดขายเติบโต 28% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าตลอดทั้งปีนี้จะมีสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจอสังหาริมทรัพย์   เหตุผลสำคัญที่ส่งผลให้การดำเนินงานของบริษัทในช่วงที่ผ่านมายังเติบโตได้ เป็นเพราะบริษัทได้ติดตามและประเมินผลกระทบต่าง ๆ เพื่อปรับแผนการดำเนินงานให้ทันต่อสถานการณ์ดังกล่าวเสมอ ไม่ว่าจะเป็นภาพรวมขององค์กรและสินค้า ที่มีการปรับเปลี่ยนทั้งภาพลักษณ์ ฟังก์ชั่น ดีไซน์ ให้มีความทันสมัย สามารถตอบโจทย์ความต้องการแต่ละเซกเมนต์ ของตลาด  และตลาดยังมีกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ ตอนนี้ตลาดมีการแข่งขันค่อนข้างมาก โดยเฉพาะช่วงสถานการณ์ที่มีปัจจัยลบเข้ามาส่งผลกระทบ ทำให้กลุ่มผู้ประกอบการต่างต้องหาวิธีเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจของตนเองให้ยังดำเนินต่อไป  ซึ่งที่ผ่านมาเรามีการปรับตัวอยู่เสมอ โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาระบบภายในเพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพและเท่าทันต่อความต้องการของลูกค้า ทั้งในด้านการพัฒนาโครงการและการทำแคมเปญตลาด สำหรับแผนธุรกิจในไตรมาสสุดท้าย บริษัทได้เริ่มจัดทำแคมเปญการตลาด ขณะเดียวกันได้วางแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงปลายปีอีก 2 โครงการ รวมมูลค่า 350 ล้านบาท ในย่านเอกมัยและรามอินทรา  ซึ่งปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอรับรู้รายได้ 200-300 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะส่งผลให้ปีนี้มีรายได้รวมเติบโตกว่าปีที่ผ่านมา 20%   ล่าสุด บริษัทได้ขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มลูกค้าระดับบน  ด้วยการลงทุนสัดส่วน 51% กับ บริษัท แอสเซท โปร กรุ๊ป จำกัด ในสัดส่วน 49% พัฒนาโครงการโพรวิเดนซ์ เลน เอกมัย-รามอินทรา (PROVIDENCE LANE Ekkamai-Ramintra) บ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ 3 ชั้น จำนวน 12 ยูนิต มีขนาดตั้งแต่ 64.5 – 100.4 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 428 - 712 ตารางเมตร พร้อมลิฟท์และสระว่ายน้ำส่วนตัว บนทำเลเอกมัย-รามอินทรา ขนาดพื้นที่โครงการกว่า 3 ไร่ มูลค่าโครงการกว่า 500 ล้านบาท  ซึ่งถือเป็นการขยายตลาดบ้านหรูครั้งแรกของบริษัทในรอบ 50 ปี โดยมีราคา​ราคาขายเริ่มต้น 30 ล้านบาท เตรียมเปิดพรีเซลในวันที่ 9 -10 ตุลาคมนี้   สำหรับโครงการ PROVIDENCE LANE Ekkamai-Ramintra ถูกพัฒนาภายใต้คอนเซ็ปต์ “Defining Me” เพื่อตอบโจทย์ผู้ที่ใส่ใจและให้ความสำคัญกับความเป็นตัวเอง สนุกสนานกับทุกสิ่งที่ทำ เปรียบเหมือนจิตรกรที่กำลังแต่งแต้มผลงานมาสเตอร์พีซบนผืนผ้าใบ ด้วยรูปแบบดีไซน์ Bauhaus (บาวเฮ้าส์) ผสมผสานระหว่างฟังก์ชั่นที่ทันสมัยกับความสวยงามของศิลปะ สะท้อนให้เห็นถึงรสนิยมของผู้พักอาศัยที่ต้องการความต่างอย่างลงตัว เน้นเจาะกลุ่มนิชมาร์เก็ตคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นคนโสดหรือกำลังเริ่มสร้างครอบครัว ​ ด้าน นางสาวอลิวัสสา พัฒนถาบุตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด (CBRE) ที่ปรึกษาด้านงานขาย กล่าวว่า ​จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ได้ส่งผลต่อสภาวะเศรษฐกิจและมีผลกระทบต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมที่ชะลอตัว ทั้งนี้ตลาดบ้านเดี่ยวถือว่าเป็นตลาดที่ได้รับผลกระทบน้อยกว่าตลาดคอนโดมิเนียมเพราะเป็นตลาดของผู้อยู่อาศัยเอง (End User) เป็นหลัก   ตลาดบ้านเดี่ยวโดยเฉพาะระดับลักชัวรี่ที่มีราคาตั้งแต่ 30 ล้านบาทขึ้นไป ยังค่อนข้างคึกคัก มีการเปิดตัวสูงถึง 439 หลังในปี 2563 และมียอดขายอยู่ในเกณฑ์คงที่ประมาณ 60–68% ปัจจัยสำคัญเพราะเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ประกอบกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้คนเห็นความสำคัญของบ้านมากขึ้น โดยเฉพาะเรื่องพื้นที่และฟังก์ชั่นการใช้งาน ทำเลที่ได้รับความนิยมมากอันดับต้น  คือ กรุงเทพฯ ชั้นในฝั่งตะวันออกและตอนเหนือ โดยทำเลกรุงเทพฯ ชั้นในฝั่งตะวันออกมีโครงการมากสุดถึง 1,073 หลัง ส่วนฝั่งเหนือ  มีซัพพลายน้อยกว่าด้วยข้อจำกัดของที่ดิน ทำให้มีอัตราการดูดซับดีที่สุดและมียอดขายไปแล้ว 87%   ในด้านพฤติกรรมของผู้บริโภคเนื่องด้วยสถานการณ์ปัจจุบันส่งผลลูกค้ากลุ่มนี้ให้ความสำคัญเรื่องพื้นที่ใช้สอยและฟังก์ชั่นต่างๆ ที่ต้องสามารถปรับเปลี่ยนเพื่อรองรับกิจกรรมที่หลากหลาย มีพื้นที่สีเขียวที่เชื่อมต่อกับพื้นที่ภายในบ้าน มีการนำเอานวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาช่วยอำนวยความสะดวก อาทิ ERV (Energy Recovery Ventilator) เครื่องแลกเปลี่ยนอากาศ  ที่ช่วยดูดความร้อนออกจากบ้านและเติมความเย็นเข้าไปในตัวบ้านทำให้บ้านเย็น เป็นต้น และอีกสิ่งที่ขาดไม่ได้คือเรื่องทำเล ลูกค้ากลุ่มนี้จะให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมรอบโซนที่อยู่อาศัย เน้นใกล้เมืองที่สามารถเดินทางเข้าออกได้  หลายทาง เชื่อมต่อไปยังโซนต่างๆ ได้ง่าย และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน  
เปิด 4 ความต้องการของ “ลูกบ้าน” ในยุคโควิด-19 ที่ดีเวลลอปเปอร์ต้องไม่มองข้าม

เปิด 4 ความต้องการของ “ลูกบ้าน” ในยุคโควิด-19 ที่ดีเวลลอปเปอร์ต้องไม่มองข้าม

ตั้งแต่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 วิถีชีวิตของคนในยุคปัจจุบัน ก็ไม่เหมือนเดิม ต้องปรับเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลง เพื่อให้อยู่ได้และอยู่อย่างปลอดภัย ภายใต้สถานการณ์แพร่ระบาด โดยเฉพาะเรื่องของความสะอาดและสุขอนามัย ที่คือหัวใจหลักสำคัญในการป้องกันการได้รับเชื้อโรค ไม่เพียงเท่านั้น เทคโนโลยีและดิจิทัลในรูปแบบต่าง ๆ ได้ถูกนำมาพัฒนา เพื่อสร้างวิถีชีวิตใหม่ (New normal) ให้สะดวกและปลอดภัยเพิ่มมากขึ้น จึงมีคำพูดว่า การแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นตัวเร่งทำให้การใช้ดิจิทัลเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยเฉพาะตลาดอีคอมเมิร์ซทั้งหลาย จากการที่วิถีชีวิตของคนในยุคปัจจุบัน มี “โควิด-19” มาเป็นตัวแปร ทำให้การใช้ชีวิตของคนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ส่งผลให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องเรียนรู้ และปรับตัวตาม เพื่อนำเสนอสินค้าหรือบริการให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปด้วย ไม่เช่นนั้นธุรกิจหรือบริการนั้นก็คงไปไม่รอด   ล่าสุด บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด (LPN Wisdom หรือ LWS)  บริษัทวิจัยและที่ปรึกษาในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือบริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) ได้นำเสนอผลงานวิจัยของทีมวิจัยงานบริการ (Service Development Centre: SDC) เกี่ยวกับการพัฒนางานบริการ ว่าผู้บริโภคมีความต้องการอย่างไรในด้านงานบริการ หลังจาก​เกิดการแพร่ระบาดของโควิด​-19    โดยเป็นการสำรวจจากกลุ่มตัวอย่างของผู้พักอาศัยในชุมชนภายใต้การบริหารของ บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) บริษัทในเครือของ LPN  และพบว่า พฤติกรรมของผู้พักอาศัยในชุมชนให้ความสำคัญกับช่องทางออนไลน์ในการติดต่อสื่อสาร/รับข่าวสาร และพบพฤติกรรมการใช้ช่องทางออนไลน์อื่น ๆ ในการทำกิจกรรมซื้อ-ขายสินค้า เช่น สั่งซื้อสินค้าออนไลน์กว่า 90% ใช้บริการสั่งซื้ออาหารกว่า 80% ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลของ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA) และ We Are Social ร่วมกับ Hootsuite ที่ระบุว่า ในยุค 5.0 ประเทศไทยมีจำนวนผู้ใช้งาน Internet ในปี 2564 มากกว่า 46 ล้านคน (เพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าจากปี 2562  ของประชากรทั้งประเทศที่ 66 ล้านคน 4 ความต้องการด้านการบริการของผู้บริโภคยุคโควิด-19 จากผลสำรวจดังกล่าว ทำให้ผู้ให้บริการต้องปรับตัวโดยนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้เป็นเครื่องมือในการจัดเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า (Data Analytic) เพื่อนำมาพัฒนางานบริการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันและอนาคต   นอกจากนี้ จากผลการสำรวจของลูกบ้านดังกล่าว แสดงให้เห็นถึง พฤติกรรมผู้บริโภคปัจจุบันมีความเปลี่ยนแปลง โดยด้านความต้องการในการได้รับการบริการ ที่ดีเวลลอปเปอร์จำเป็นต้องรู้ เพื่อตอบสนองและนำเสนอบริการได้ตรงความต้องการ  ซึ่งมีอยู่ด้วยกัน  4 เรื่อง  ดังนี้ 1.ต้องได้รับการบริการที่รวดเร็ว ความรวดเร็วในการเข้าถึงผู้บริโภค  :  การที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในการใช้ชีวิตทำให้การเข้าถึงข้อมูลของสินค้าและบริการเป็นไปอย่างรวดเร็ว และการตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการสามารถทำได้เพียงปลายนิ้วสัมผัส ทำให้ผู้ขายสินค้าและบริการจำเป็นต้องมีความรวดเร็วในการเข้าถึงผู้บริโภค ทั้งในด้านคุณภาพสินค้าและบริการ รวมถึงกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว โดยใช้เทคโนโลยีการสื่อสารให้เข้ามามีส่วนช่วยให้สามารถส่งต่อข้อมูลของผู้ประกอบการไปสู่ลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว เพื่อให้เป็นปัจจัยเร่งในการตัดสินใจให้กับลูกค้า   รวมถึงการพัฒนางานบริการให้มีความสะดวกรวดเร็ว เข้าถึงง่าย ซึ่งปัจจุบันผู้ประกอบการในหลายธุรกิจได้มีการพัฒนาช่องทางการสื่อสารและงานบริการผ่านช่องทางออนไลน์ เพื่อลดการสัมผัสโดยตรง และมีอัตราเร่งในการเข้าถึงผู้ต้องการใช้บริการได้อย่างรวดเร็ว เช่น บริการด้านสาธารณสุขผ่านระบบ Telehealth  ซึ่งให้บริการปรึกษาด้านสุขภาพโดยแพทย์ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพผ่านช่องทางออนไลน์ การให้บริการเบิก ถอน โอน เงิน ชำระราคาสินค้าและบริการผ่าน application ต่าง ๆ ของสถาบันการเงิน การรับชำระค่าบริการส่วนกลางของอาคารชุดพักอาศัย  ผ่าน application หรือ QR Code การใช้เทคโนโลยี Beacon ส่งสัญญาณบลูทูธไปยังสมาร์ตโฟนของผู้ใช้บริการที่อยู่ในรัศมีที่สัญญาณส่งถึง หากสมาร์ตโฟนเปิดช่องรับสัญญาณบลูทูธเอาไว้ก็จะมีการแจ้งเตือนทางสมาร์ตโฟน และทำการรับข้อมูล (Information) ที่มีประโยชน์แก่ผู้ใช้บริการได้ทันที   อาทิเช่น การส่งคูปองส่วนลด โปรโมชั่นบริการที่ลูกค้ากำลังสนใจโดยที่ลูกค้ายังไม่ได้ร้องขอ การแจ้งเตือนข้อมูลให้ผู้ใช้ได้ทันที ทำให้ผู้ใช้ได้สิทธิประโยชน์เพิ่มขึ้น  การใช้ในระบบบัตรคิว ในการจัดลำดับการให้บริการงานต้อนรับที่ต้องบริการลูกค้าจำนวนมาก เช่นการเข้าคิวส่ง-รับพัสดุ การใช้ในการเข้ารหัสหรือปลดล็อกรหัสการใช้งานอุปกรณ์ต่าง ๆ เช่น ตัวปลดล็อกจักรยานด้วยแอปพลิเคชัน เมื่อเจ้าของเดินเข้าไปใกล้ในระยะที่อุปกรณ์ตรวจจับได้ก็สามารถใช้มือถือสั่งปลดล็อกได้ หรือแม้กระทั่งการใช้เป็นอุปกรณ์สำหรับการติดตามดูแลเด็กเล็กได้อย่างรวดเร็ว  ซึ่งใช้ส่งสัญญาณแจ้งเตือนไปยังผู้ปกครองเมื่อเด็ก ๆ ออกห่างหรืออยู่นอกสายตา 2.ต้องได้รับบริการที่มีความคุ้มค่า สร้างความคุ้มค่าในงานบริการ : การพัฒนางานบริการที่ให้ความคุ้มค่าในการใช้งานสำหรับผู้บริโภค โดยการออกแบบงานบริการที่สร้างความพึงพอใจให้กับผู้ใช้บริการด้วยระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพ ลดการรอคอยในการรับบริการด้วยการออกแบบให้มีระบบการจองคิวเพื่อเข้าใช้บริการ เลือกแพ็คเกจการใช้บริการได้ตามความต้องการ สะดวกและถูกรวมไว้ ณ ที่เดียว ง่ายต่อการสั่งสินค้า และที่สำคัญประหยัดค่าขนส่ง การปรับขนาดสินค้าให้เหมาะกับการขนส่ง กระจายจุดเข้าถึงสินค้า อย่างธุรกิจ คลาวด์คิดเช่น งานบริการบริหารจัดการเพื่อการอยู่อาศัย ยังนำเทคโนโลยีมาช่วยลดต้นทุนค่าใช้จ่ายของเจ้าของห้องชุด   เช่น Smart Lighting Control  ระบบควบคุมการทำงานของไฟฟ้าส่วนกลาง  ช่วยประหยัดไฟฟ้า บันทึก   ข้อมูลการเปิด-ปิดไฟ เครื่องปรับอากาศได้  บริการเหล่านี้จะถูกเลือกเป็นอันดับต้นๆ ระบบฐานข้อมูลทั้งการจัดการและการประมวลผลข้อมูล จึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญที่ผู้ให้บริการไม่อาจมองข้ามได้ ที่จะสามารถเสนอสิทธิพิเศษต่าง ๆ ได้ง่ายและตรงใจผู้ใช้บริการ การนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ AI (Artificial Intelligence) และเทคโนโลยีเชื่อมต่ออุปกรณ์อัตโนมัติ IOT (Internet of Thing) มาใช้ในหลายประเภทงานบริการ  บริการขนส่ง บริการจองคิว บริการจำหน่ายสินค้าออนไลน์ สินค้าประเภทอาหารพร้อมรับประทานล้วนใช้เทคโนโลยี เนื่องจากเวลายังคงเป็นสิ่งที่มีค่า และเทคโนโลยีช่วยให้เราใช้มันได้อย่างคุ้มค่า และเข้าถึงสิ่งที่เราต้องการได้เร็วขึ้น 3.ต้องการได้รับบริการทุกที่ทุกวันทุกเวลา  ทุกที่ ทุกเวลา (24hr. x 7days) : การเข้าถึงเทคโนโลยี และพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ทำให้การตอบสนองต่อผู้ใช้บริการที่รวดเร็ว รวมไปถึงระบบของงานบริการที่มีประสิทธิภาพ ในแบบ Real Time เป็นสิ่งสำคัญ พฤติกรรมของผู้บริโภคในปัจจุบันไม่ชอบการรอคอย จึงทำให้การตอบกลับที่รวดเร็วในแบบ Real Time เป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของงานบริการในปัจจุบันที่ผ่านหน้าจอสัมผัส การนำ ระบบ AI : Artificial Intelligence หรือ ปัญญาประดิษฐ์ที่มีความสามารถในการทำความเข้าใจ เรียนรู้องค์ความรู้ต่าง ๆ เช่น วิเคราะห์ วางแผน และตัดสินใจในการแก้ไขปัญหาได้ ส่งผลให้เกิดความรวดเร็วในการให้บริการ อย่างเช่น การติดต่อมายัง Call Center ของผู้ใช้บริการ จะมีระบบ AI คอยให้บริการเบื้องต้น หากเกินขอบเขตในสิ่งที่ทำได้จะถูกโอนไปยังพนักงานโดยตรง แน่นอนว่าผู้ใช้บริการส่วนใหญ่ต้องการที่จะติดต่อกับพนักงานโดยตรง แต่ดีกว่าได้รับการปฏิเสธให้ติดต่อใหม่อีกครั้ง   ดังนั้น จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจที่ผู้ประกอบการ จะนำมาพัฒนาและปรับใช้กับธุรกิจการให้บริการ  นอกจากนั้นยังมีการใช้หุ่นยนต์ทำความสะอาดสระว่ายน้ำ เก็บใบไม้และเศษผงบริเวณก้นสระได้ สามารถขจัดสิ่งสกปรก  ตะไคร่ และแบคทีเรียด้วยชุดกรองแบบ  มีตัวแปลงไฟฟ้าจากไฟปกติเป็นแบบโวลต์ต่ำ ทำให้สามารถทำความสะอาดขณะมีการใช้สระว่ายน้ำได้  จากตัวอย่างที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่า สามารถให้บริการได้ 24 ชม. อีกทั้งลดค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกอบธุรกิจงานบริการ อย่างอัตรากำลังของพนักงานได้ในขณะที่ยังคงประสิทธิภาพงานบริการที่ลูกค้าได้รับ 4.ต้องการได้รับความสะดวกสบาย พัฒนางานบริการเพื่อสร้างลูกค้าในอนาคต : การพัฒนางานบริการนอกจากพัฒนาเพื่อตอบโจทย์ความต้องการในปัจจุบันแล้ว ด้วยประสิทธิภาพของเทคโนโลยีในการวิเคราะห์ข้อมูลของผู้บริโภค (Data Analytic) ทำให้ผู้ประกอบการสามารถที่จะนำไปพัฒนางานบริการเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในอนาคตได้ เช่น การใช้เทคโนโลยี VR : Virtual Reality เป็นการจำลองสถานที่ขึ้นมาเป็นโลกเสมือนจริงโดยส่วนมากจะเกี่ยวข้องกับการมองเห็น โดยผู้ใช้สามารถโต้ตอบกับสถานที่หรือสิ่งแวดล้อมที่จำลองขึ้นมาได้ผ่านอุปกรณ์  เป็นการสร้างประสบการณ์ที่สนุกมากขึ้นในการซื้อสินค้าและบริการ  ในวงการอสังหาริมทรัพย์มีการนำมาใช้ สำหรับลูกค้าชมโครงการบ้าน และคอนโดโครงการใหม่ ซึ่งให้ความสมจริงได้มากกว่าการดู แบบโมเดลจำลองอีกทั้งไม่ต้องไปยังสถานที่จริงอีกด้วย บางครั้งลูกค้าไม่ทราบความต้องการของตัวเอง  การนำข้อมูลมาวิเคราะห์และนำเสนอบริการใหม่ๆ ให้กับลูกค้าโดยวิเคราะห์จากพฤติกรรมของลูกค้า เป็นการสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ให้กับผู้ประกอบการ และเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในอนาคต นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอมฯ กล่าวถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด -19 ว่า ได้เพิ่มอัตราเร่งในการนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ เป็นโอกาสของผู้ประกอบการที่จะพัฒนางานบริการที่ตอบโจทย์กับพฤติกรรมของผู้บริโภคได้ง่ายขึ้นผ่านเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูล นำมาวิเคราะห์พฤติกรรมและความต้องการของลูกค้า เพื่อสร้างงานบริการที่สามารถตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตได้อย่างสะดวกสบาย รวดเร็ว ง่ายต่อการใช้งาน และมีความเฉพาะตัว (Unique) สร้างความรู้สึกพิเศษ (Exclusive) ให้กับผู้รับบริการแบบเฉพาะตัว (Privacy) ในแบบที่เรียกว่า Smart Service พฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปโดยให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี การเข้าถึงข้อมูลเพื่อช่วยในการตัดสินใจที่จะซื้อสินค้าและบริการ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ผู้ประกอบการในธุรกิจบริการต้องมีการปรับตัว พัฒนางานบริการให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภค  
“ออริจิ้น” โชว์ยอดพรีเซล 9 เดือน 23,000 ล้าน  Q4 เปิดบ้าน-คอนโดอีก 9 โครงการ

“ออริจิ้น” โชว์ยอดพรีเซล 9 เดือน 23,000 ล้าน Q4 เปิดบ้าน-คอนโดอีก 9 โครงการ

“ออริจิ้น” โชว์ผลงานยอดขาย 9 เดือนแรกปี 64 กวาดยอดทะลุ 23,000 ล้าน ทะลุ 79% ของเป้าหมายทั้งปี หลังปรับตัวสู่การตลาดออนไลน์ผ่าน Property Live พร้อมบุกตลาดเซ็กเมนท์ใหม่ต่อเนื่อง  ไตรมาส 4 จ่อเปิดโครงการใหม่เพิ่มอีก 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 6,295 ล้าน หนุนยอดขายสร้างสถิติ All Time High ที่ 29,000 ล้านบาทตามเป้า   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 (ม.ค.-ก.ย.64) บริษัทมียอดขายสะสมแล้วกว่า 23,000 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าราว 22% คิดเป็น 79% ของเป้าหมายทั้งปีที่ตั้งไว้ที่ 29,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดขายจากกลุ่มบ้านจัดสรร 27% และกลุ่มคอนโดมิเนียม 73% หากแบ่งตามสถานะโครงการ มีสัดส่วนยอดขายจากโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) 71% และกลุ่มโครงการที่เพิ่งเปิดขายหรืออยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง (On Construction) 29% “จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่สูงขึ้นกว่าปีที่แล้ว เป็นปัจจัยที่ท้าทายภาพรวมธุรกิจต่างๆ อย่างมาก เราเองพยายามปรับตัวอย่างต่อเนื่องภายใต้สถานการณ์ที่ท้าทาย ทั้งการสร้างลูกเล่นใหม่ๆ ในการเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น อย่างการจัดมหกรรมคอนโดออนไลน์ 9.9 Origin Condo Festival ในรูปแบบ Property Live การบุกตลาดเซ็กเมนท์ใหม่ๆ ที่มีดีมานด์และยังมีโอกาสเติบโตอย่างคอนโดที่เลี้ยงสัตว์ได้ การเปิดตลาดอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน หรือ Investment Property หาแนวทางที่ทำให้เราโตไปกับทฤษฎี K-Shaped Recovery ฝั่งขาขึ้น ส่งผลให้เรายังทำยอดขายได้ตามเป้าหมาย”    สำหรับแบรนด์สำคัญที่สร้างยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ (Origin Plug & Play) แบรนด์คอนโดมิเนียมเจาะตลาดกลุ่มคนเพิ่งเริ่มต้นทำงาน (First Jobber) และกลุ่ม Gen Z ที่ยังคงได้รับการตอบรับอย่างต่อเนื่องจากทั้งฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ในช่วง Next Normal แบ่งแยกพื้นที่สำหรับการทำงาน การอยู่อาศัย และราคาที่เข้าถึงได้ง่าย บ้านจัดสรรในเครือบริทาเนีย (Britania) โดยเฉพาะโครงการในฝั่งตะวันตกของกรุงเทพฯ ที่เปิดตัวในปีนี้อย่างแกรนด์ บริทาเนีย ราชพฤกษ์-พระราม 5   นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ไตรมาส 4/2564 ของปีนี้ น่าจะเป็นช่วงที่ภาพรวมธุรกิจอสังหาฯฟื้นตัวชัดเจน จากยอดผู้ติดเชื้อใหม่ที่ลดลงอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงปลายไตรมาส 3/2564 และยอดการฉีดวัคซีนที่ทยอยเพิ่มขึ้น หากภาครัฐสามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อใหม่ได้อย่างต่อเนื่อง และเพิ่มอัตราการฉีดวัคซีนที่มีประสิทธิภาพ จะเป็นการช่วยเพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้บริโภคในการกลับมาจับจ่ายใช้สอย และเพิ่มความมั่นใจให้แก่ผู้ประกอบการในการทำการตลาดที่เป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ สำหรับบริษัท มีแผนจะเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงไตรมาส 4/2564 เพิ่มเติมอีก 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 6,295 ล้านบาท ตามแผนงานที่วางไว้ แบ่งเป็น โครงการคอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1,695 ล้านบาท ได้แก่ 1.ออริจิ้น เวลเนส เรสซิเดนซ์ แบริ่ง 2.ออริจิ้น เวลเนส เรสซิเดนซ์ รามอินทรา 3.บริกซ์ตัน เกษตร ศรีราชา แคมปัส โครงการบ้านจัดสรร 6 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 4,600 ล้านบาท ได้แก่ 1.ไบรตัน บางปะกง 2.บริทาเนีย แพรกษา สเตชั่น 3.บริทาเนีย ติวานนท์-ราชพฤกษ์ 4.แกรนด์ บริทาเนีย พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา 5.แกรนด์ บริทาเนีย นนทบุรี สเตชั่น 6.แกรนด์บริทาเนีย สุวรรณภูมิ โดยทุก โครงการที่เปิดตัว ยังคงเปิดตัวในทำเลที่มีความต้องการสูง โดยเฉพาะทำเลฝั่งตะวันออกของกรุงเทพฯ ไปจนถึงเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) รวมถึงมีการบุกเซ็กเมนท์ใหม่อย่างตลาดผู้สูงวัย (Silver Age) รองรับการก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) ด้วยแบรนด์ใหม่ ออริจิ้น เวลเนส เรสซิเดนซ์ แบรนด์คอนโดมิเนียม Leasehold พร้อมโปรแกรมดูแลผู้สูงอายุ ทั้งนี้ ไตรมาส 4/2564 จะยังคงเป็นไตรมาสที่บริษัทเปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุดเช่นเดียวกับทุกปี คาดว่าจะเป็นอีกส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างยอดขายใหม่ในช่วงโค้งสุดท้าย หนุนภาพรวมยอดขายทั้งปีสร้างสถิติใหม่นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท (All Time High) ที่ 29,000 ล้านบาท ตามเป้าหมายที่วางไว้   สำหรับบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI มีโครงสร้างธุรกิจหลากหลาย ประกอบด้วย 1.ธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย (Residential Development Business) พัฒนาคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรรมาแล้ว 86 โครงการ (สถานะ ณ สิ้นไตรมาส 3/2564) เช่น  แบรนด์ พาร์ค ออริจิ้น (PARK ORIGIN) ดิ ออริจิ้น (The Origin) ไนท์บริดจ์ (KnightsBridge), นอตติ้ง ฮิลล์ (Notting Hill), เคนซิงตัน (Kensington) แฮมป์ตัน (Hampton) และ บริทาเนีย (BRITANIA) รวมมูลค่าโครงการกว่า 137,000 ล้านบาท 2.ธุรกิจที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income Business) เช่น โรงแรม เซอร์วิส อพาร์ตเมนท์ ค้าปลีก 3.ธุรกิจบริการ (Service Business) เช่น ธุรกิจการจัดการอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจตัวแทนซื้อ ขาย เช่า อสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์ และยังมีวิสัยทัศน์ในการขยายประเภทธุรกิจใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้เป็นผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร
พีดีเฮ้าส์  โชว์ยอดขาย 9 เดือน 800 ล้าน  ลุยตลาดโค้งท้ายเพิ่มสาขา-แบบบ้านใหม่

พีดีเฮ้าส์ โชว์ยอดขาย 9 เดือน 800 ล้าน ลุยตลาดโค้งท้ายเพิ่มสาขา-แบบบ้านใหม่

พีดีเฮ้าส์ กวาดยอดขาย 9 เดือน เกือบ 800 ล้าน แม้เจอพิษโควิด-19 ภาวะเศรษฐกิจ และปัญหาน้ำท่วม ลูกค้าลด 30% หลังปรับกลยุทธ์การสื่อสาร พร้อมเพิ่มบริการออกแบบครบวงจร สร้างความพึงพอใจให้ลูกค้า ไตรมาสสุดท้ายเตรียม 4 แบบบ้านใหม่กระตุ้นตลาด ขยายสาขาเพิ่ม   นายพิศาล ธรรมวิเศษ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปทุมดีไซน์ ดีเวลลอป จำกัด หรือศูนย์รับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ เปิดเผยว่า ความต้องการสร้างบ้านใหม่ของประชาชนทั่วประเทศ ในช่วงไตรมาส 3 ชะลอตัวลง เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาส 2 ที่ผ่านมา ซึ่ง​เป็นผลมาจากการประกาศล็อกดาวน์ของรัฐบาล และความไม่เชื่อมั่นของผู้บริโภคที่มีต่อสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 รอบใหม่ และทิศทางเศรษฐกิจในอนาคต รวมถึงประชาชนบางส่วนในต่างจังหวัดมีความเชื่อและไม่นิยมปลูกสร้างบ้านในช่วงเข้าพรรษาหรือฤดูฝน ส่งผลให้ตลาดรับสร้างบ้านซบเซาลง สำหรับตลาดรับสร้างบ้านในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ยังพบว่ามีการแข่งขันสูงทั้งจากผู้ประกอบการรายเล็กและรายใหญ่ ด้วยการจัดโปรโมชั่น ลด แจก แถม กันอย่างดุเดือด ตัวอย่างเช่น ลดราคาสูงสุด 15-33% หรือต่อเติมฟรีมูลค่าสูงสุด 2 ล้านบาท เป็นต้น  นอกจากนี้ ยังพบว่ ผู้บริโภคที่เคยวางแผนจะสร้างบ้านในช่วงครึ่งปีหลัง ส่วนใหญ่เลือกที่ชะลอการตัดสินใจปลูกสร้างบ้านออกไปก่อน ด้วยเหตุผลรอดูความชัดเจนของนโยบายภาครัฐในการบริหารจัดการโรคระบาดโควิด-19 และมีความกังวลว่าเศรษฐกิจประเทศจะฟื้นตัวได้ช้า   อย่างไรก็ตาม ประเมินว่าแนวโน้มความต้องการสร้างบ้านหลังที่ 2 ในต่างจังหวัด เพื่อใช้เป็นทั้งที่อยู่อาศัยและสถานที่ทำงาน (Work from home) หรือเป็นเซฟโซนในการใช้ชีวิตแบบ New Normal ที่พฤติกรรมของผู้คนในสังคมเปลี่ยนไป โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อมากพอ เริ่มเกิดขึ้นและขยายตัวเพิ่มขึ้นตามลำดับ ในปีนี้และในอนาคต   นายพิศาล กล่าวว่า พีดีเฮ้าส์ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น รวมถึงภาวการณ์แข่งขันที่รุนแรงด้วย ทำให้จำนวนผู้บริโภคที่สนใจสร้างบ้านติดต่อเข้ามาลดลงถึง 30% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงไตรมาสก่อนหน้า พีดีเฮ้าส์จึงได้ปรับกลยุทธ์การขายและการตลาด  ด้วยการมุ่งเน้นสื่อสารถึงความแตกต่างและมาตรฐานการให้บริการ ทั้งก่อนและหลังการขาย กระบวนการก่อสร้าง คุณภาพผลงานเมื่อสร้างแล้วเสร็จ และทีมงานผู้เชี่ยวชาญ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าเป้าหมายเฉพาะกลุ่มมากขึ้น ภายใต้แบรนด์พีดีเฮ้าส์ ที่มีสาขาให้บริการทั้งในกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งในต่างจังหวัด นอกจากนี้ พีดีเฮ้าส์ยังเพิ่มการให้บริการออกแบบ-ตกแต่งภายในและจัดสวนแบบครบวงจร ซึ่งจากการปรับกลยุทธ์แข่งขันดังกล่าว ส่งผลให้สามารถทำยอดขายบ้านในไตรมาส 3 คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 210 ล้านบาทเศษ เติบโตสวนทางกับตลาดที่ซบเซาและทำให้ยอดขาย 9 เดือนที่ผ่านมา มีมูลค่ารวมทุกสาขาเกือบ 800 ล้านบาท โดยลูกค้าที่ใช้บริการสร้างบ้านจำแนกออกเป็นกลุ่มราคาบ้าน 2-3 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 18% กลุ่มราคาบ้าน 3-5 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 38% กลุ่มราคา 5-10 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 36% และกลุ่มราคาบ้าน 10 ล้านบาทขึ้นไป คิดเป็น 8%   ด้าน น.ส.ถิรพร สุวรรณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานการตลาด บริษัท พีดี เฮ้าส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ในฐานะผู้บริหารสิทธิ์และมาตรฐานธุรกิจรับสร้างบ้านพีดีเฮ้าส์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ในไตรมาสสุดท้ายยอมรับว่าคาดการณ์ตลาดรับสร้างบ้านได้ยาก เนื่องจากยังคงมีปัจจัยลบอยู่รอบด้าน ทั้งเรื่องของเศรษฐกิจ การเมือง และการแพร่ระบาดของโควิด-19 แม้ภาครัฐจะพยายามเร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชนแต่ก็ยังไม่ครอบคลุมมากพอทำให้ผู้บริโภคยังมีความกังวล   นอกจากนี้ ยังมีปัญหาน้ำท่วมขังจากอิทธิพลของพายุโซนร้อน "เตี้ยนหมู่" ทำให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมฉับพลันในพื้นที่ภาคอีสาน ส่งผลกระทบจนทำให้ได้รับความเสียหาย เช่น น้ำท่วมบริเวณโดยรอบหรือใกล้เคียงไซต์งานก่อสร้าง ต้นทุนค่าขนส่ง หรือการขนส่งวัสดุที่ล่าช้าออกไป และคาดการณ์จะทำให้สถานการณ์ตลาดรับสร้างบ้านชะลอตัวต่อเนื่อง อย่างไรก็ตามพีดีเฮ้าส์เองก็คงต้องเร่งสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ตามแผนปลุกกำลังซื้อในช่วงโค้งสุดท้ายปีนี้ พร้อมกันนี้เตรียมเปิดสาขาใหม่จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นการขยายสาขาในพื้นที่เมืองรอง เพื่อสามารถเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้มากที่สุด รองรับความต้องการของลูกค้าในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียง ภาพรวมของตลาดรับสร้างบ้าน 9 เดือนแรกที่ชะลอตัว ทำให้บริษัทฯ ต้องหันมาปรับกลยุทธ์การขายและการตลาด เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบัน ทั้งการปรับวิธีการสื่อสารกับลูกค้าที่เน้นสร้างความรู้ความเข้าใจต่อผลิตภัณฑ์และบริการ เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย-ข้อแตกต่าง พร้อมให้คำปรึกษาในรายละเอียดการก่อสร้างที่คนอยากสร้างบ้านต้องรู้ เพื่อให้ลูกค้าคลายความกังวลใจและป้องกันการเกิดข้อขัดแย้งหรือความเข้าใจผิดในอนาคต โดยไม่เลือกใช้วิธีตั้งราคาสูงแล้วหั่นราคาหรือลดราคาเกินจริง หรือกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจด้วยราคา ไม่ใช่ที่ตัวผลิตภัณฑ์และบริการอย่างแท้จริง   นอกจากนี้ ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ ได้เตรียมเปิดตัวแบบบ้านใหม่อีก 1 ซีรีส์ จำนวน 4 แบบ ระดับราคา 5-8 ล้านบาท พร้อมรายการวัสดุ-อุปกรณ์ก่อสร้างภายใต้คอนเซ็ปต์บ้านประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะมีความแตกต่างจากบริษัทรับสร้างบ้านรายอื่น  
ชาญอิสสระ  เปิดตัว Issara Easy Connect   ดูโครงการ-ซื้อขายผ่านออนไลน์

ชาญอิสสระ เปิดตัว Issara Easy Connect  ดูโครงการ-ซื้อขายผ่านออนไลน์

ชาญอิสสระ เปิดตัว Issara Easy Connect  ดูโครงการผ่านออนไลน์แบบเรียลไทม์ 360 องศา ประเดิม 4 โปรเจ็กต์ รับพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน หลังเจอโควิด-19 ระบาด ดีเวลลอปเปอร์ต้องปรับตัวเพิ่มช่องทางขายออนไลน์   นายดิฐวัฒน์ อิสสระ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานสร้างสรรค์สื่อและเทคโนโลยีสารสนเทศ บริษัท ชาญอิสสระ ดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่ผ่านมา ส่งผลให้พฤติกรรมของลูกค้าส่วนใหญ่ ไม่กล้าออกมาใช้ชีวิตภายนอกบ้าน เนื่องจากมีความกังวล และระมัดระวังตัวเองมากขึ้น  การพัฒนาการขายและปรับกลยุทธ์การตลาดให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของผู้บริโภคยุค New Normal นี้จึงเป็นสิ่งสำคัญ จากพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไปส่งผลให้แนวทางการตลาดต้องมีการปรับเปลี่ยนให้สอดรับกับความต้องการของลูกค้าในการอำนวยความสะดวกเข้าเยี่ยมชมโครงการ ล่าสุด บริษัทได้เปิดตัวแอปพลิเคชั่นใหม่ภายใต้ชื่อ Issara Easy Connect เป็นการเยี่ยมชมโครงการผ่านระบบออนไลน์ ในแบบ Private Live. Private Tour. Real Time 360◦. ชมง่าย แชทสะดวก จองสบาย เพื่อเป็นการตอบโจทย์ Pain Points ของผู้บริโภคในการเยี่ยมชมโครงการ ที่ต้องการความสะดวก ปลอดภัย ได้เห็นห้องจริง วิวจริง และวัสดุจริง อีกทั้งยังสามารถ Interact ได้โดยตรงกับ Sale Consultant ได้ทันที ซึ่งการเยี่ยมชมโครงการสามารถเชิญครอบครัว หรือเพื่อนเข้าร่วมชมพร้อมกันได้ถึง 5 Devices   นายดิฐวัฒน์  กล่าวอีกว่า ชาญอิสสระมุ่งเน้นนำนวัตกรรมต่าง ๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ผู้บริโภคได้รับความสะดวกสบาย และได้รับความปลอดภัย ซึ่งการใช้สื่อออนไลน์จึงเข้ามามีส่วนช่วยให้การเสนอขายอสังหาริมทรัพย์ตอบโจทย์ผู้ซื้อได้มากขึ้น ในยุคโควิดนี้-19  ผู้ซื้อสามารถชมโครงการผ่านสื่อ 3D / VDO / ภาพถ่ายเคลื่อนไหวได้โดยไม่ต้องเข้าไปในพื้นที่ ลดความเสี่ยงได้   สำหรับ ​Issara Easy Connect เป็นแอปพลิเคชั่นเยี่ยมชมโครงการแบบ Private Live. Private Tour. Real Time 360◦. ซึ่งเป็นครั้งแรกในวันที่  23 กันยายน 2564  นำร่อง 4 โครงการ ได้แก่ โครงการ อิสสระ เรสซิเดนซ์ พระราม9, โครงการบ้านอิสสระ บางนา, โครงการ ดิ อิสสระ สาทร และโครงการศศรา หัวหิน ซึ่งลูกค้าที่สนใจเข้าเยี่ยมชมโครงการในรูปแบบของ Issara Easy Connect สามารถลงทะเบียนผ่านทาง LINE OA ของโครงการที่ต้องการเข้าเยี่ยมชม ทำการนัดหมายวัน เวลา กับ Sale Consultant เพื่อรับลิงค์เข้าไปชมโครงการ   การเพิ่มเติมช่องทาง Issara Easy Connect บริษัทมั่นใจว่าจะเป็นเครื่องมือในการกระตุ้นการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคในยุคนี้ ขณะที่ในส่วนของสำนักงานขายก็ยังคงเป็นช่องทางหลักที่ได้รับความนิยม เพราะส่วนใหญ่แล้วลูกค้ายังมีความต้องการมาเห็นพื้นที่ตั้งของโครงการจริง สัมผัสห้องตัวอย่างจริง แต่การตลาดออนไลน์จะเข้ามาช่วยให้ลูกค้าสะดวก สำหรับลูกค้าที่ไม่ต้องการเดินทางออกจากบ้านจะได้รับข้อมูลครบถ้วนเหมือนมาสัมผัสจริง ซึ่งลูกค้าที่สนใจชมโครงการผ่าน Issara Easy Connect และจองโครงการผ่านช่องทางออนไลน์ ​จะได้รับส่วนลด ON TOP ทันที่ 10,000 บาท ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 ตุลาคม 2564 นายดิฐวัฒน์  กล่าวถึง​ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงต้นปี 2564 ที่ผ่านมาว่า ยังมีความเปราะบางอย่างต่อเนื่อง ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์หลายๆ ค่ายชะลอการเปิดโครงการใหม่ จากสถานการณ์วิกฤตโรคระบาดที่นำไปสู่วิกฤตเศรษฐกิจในปัจจุบัน และพร้อมใจกันกระตุ้นยอดขายด้วยการเน้นทำแคมเปญการตลาดต่อเนื่อง ทั้งลด ทั้งแถม เพื่อผลักดันให้เกิดยอดขาย ยอดโอน เพราะสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวอย่างนี้คงจะอยู่กับเราไปอีกเป็นปีๆ   ทั้งนี้ หากดูจำนวนซัพพลายปีที่ผ่านมา ยูนิตรอขายรวมก็ลดลงจากประมาณ 320,000 ยูนิตต่อปี คงเหลือ 290,000 ยูนิตต่อปี หรือลดลงในอัตรา 6.9% แต่ถ้ามาดูด้านดีมานด์ ปี 2563 มีการโอนกรรมสิทธิ์ 126,000 ยูนิต  ซึ่งความต้องการยังคงมีอยู่ใกล้เคียงกับอัตราเฉลี่ย 3 ปีที่ผ่านมา แต่ปี 2563 ผู้ประกอบการลดราคาลงโดยเฉพาะอาคารชุด 10-20% ทำให้สามารถรักษายอดขายในระดับ 126,000 ยูนิตได้ การเปิดโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในช่วงปีที่ผ่านมา มีการชะลอตัวลงอย่างมาก จากปกติมีจำนวน 110,000-120,000 ยูนิตต่อปี คงเหลือเพียง 72,000 ยูนิต ลดลง 35% และในปีนี้ก็คาดว่าจะลดลงอย่างต่อเนื่อง  
7  มาตรการดึงต่างชาติกระตุ้นเศรษฐกิจ-การลงทุนไทย เพิ่มเม็ดเงิน 1 ล้านล้าน

7 มาตรการดึงต่างชาติกระตุ้นเศรษฐกิจ-การลงทุนไทย เพิ่มเม็ดเงิน 1 ล้านล้าน

ภาวะเศรษฐกิจไทย มีหลายอุตสาหกรรมที่เป็นตัวขับเคลื่อนและสร้างการเติบโต ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมการผลิต การส่งออก การเกษตร การท่องเที่ยว และอสังหาริมทรัพย์  ซึ่งส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาตลาดต่างประเทศ หรือไม่ก็เป็นกลุ่มค้าชาวต่างชาติ เพราะลำพังการบริโภคภายในประเทศ อาจจะไม่เพียงพอต่อการสร้างการเติบของเศรษฐกิจไทยได้มากพอ แต่จากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ภาวะเศรษฐกิจไทยก็ชะลอตัวลงอย่างมาก โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวและอสังหาริมทรัพย์ เพราะ 2 กลุ่มนี้มีฐานลูกค้าต่างชาติช่วยสร้างการเติบโตอย่างมีนัยะสำคัญ เมื่อมีการแพร่ระบาดของเชื้อโรค ทำให้ต้องล็อกดาวน์ประเทศ หยุดการเดินทางหยุดการท่องเที่ยว แน่นอนกลุ่มลูกค้าต่างชาติสำหรับตลาดการท่องเที่ยวและอสังหาฯ หายไปจนแทบจะเป็นศูนย์ ซึ่งทุกประเทศในโลกนี้ต่างก็เผชิญชะตากรรมไม่ได้แตกต่างกันมากนัก   รัฐบาลไทยเองจึงพยายามเร่งหามาตรการเพื่อมาฟื้นฟูเศรษฐกิจ และกระตุ้นตลาดกลับมาให้ได้เร็วและมากที่สุด เมื่อสถานการณ์การแพร่ระบาดส่งสัญญาณดีขึ้น มาตรการควบคุมโรคทำได้ดี ประชาชนคนไทยได้รับการฉีดวัคซีนกันมากตามเกณฑ์ที่กำหนด   ล่าสุด การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 14 กันยายนที่ผ่านมา จึงมีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุน โดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้ามาภายในประเทศไทย ตามที่สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เสนอ ซึ่งมีด้วยกัน 7 เรื่องสำคัญ ดังนี้ ​   1.เห็นชอบในหลักการของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนโดยการดึงดูดชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงสู่ประเทศไทย (มาตรการฯ) และมอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (สกท.) รับผิดชอบการดำเนินมาตรการฯ โดยพิจารณาจัดตั้งหน่วยบริการขึ้นเพื่อสนับสนุนและเชิญชวนให้ชาวต่างชาติที่มีศักยภาพสูงเข้ามาเป็นผู้พำนักระยะยาวในประเทศไทย หรือพิจารณาให้เอกชนเข้าร่วมดำเนินงานส่วนใดส่วนหนึ่งภายใต้กำกับของ สกท. ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินมาตรการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและไม่เป็นภาระต่องบประมาณแผ่นดินเกินสมควร 2.มอบหมายให้กระทรวงมหาไทย (มท.) พิจารณาความเหมาะสมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดวีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาวใหม่ รวมทั้งข้อยกเว้นและสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ดังนี้ (1) ยกเว้นให้ผู้ถือวีซ่าประเภทผู้พำนักอาศัยระยะยาวและวีซ่าประเภท Smart Visa ทั้งหมดไม่ต้องมีหนังสือแจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ทราบหากอยู่ในประเทศเกินเก้าสิบวัน ตามมาตรา 37 (5) แห่งพระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ. 2522 และให้มีคุณสมบัติของผู้ขอวีซ่า สิทธิประโยชน์ และรายละเอียดอื่น ๆ ตามที่เสนอ (2) ให้ศึกษาแนวทางการแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการถือครองที่ดิน   3.มอบหมายให้กระทรวงแรงงาน (รง.) พิจารณาความเหมาะสมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการการทำงานและอนุญาตให้ทำงานของคนต่างด้าว โดยให้ผู้ถือวีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาวสามารถทำงานให้นายจ้างทั้งที่อยู่ในราชอาณาจักรและนอกราชอาณาจักรได้โดยได้รับอนุญาตให้ทำงานโดยอัตโนมัติพร้อมกับการขอวีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาว   4.มอบหมายให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตช.) พิจารณาให้ผู้ถือวีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาวไม่อยู่ภายใต้หลักเกณฑ์การพิจารณาออกใบอนุญาตทำงาน เรื่อง การกำหนดให้การจ้างคนต่างด้าว 1 คนต้องจ้างงานพนักงานคนไทยทำงานประจำ 4 คน ตามคำสั่ง ตช. ที่ 327/2557 เรื่อง หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการพิจารณากรณีคนต่างด้าวขออนุญาตอยู่ในราชอาณาจักรเป็นการชั่วคราว 5.มอบหมายให้กระทรวงการคลัง (กค.) พิจารณาความเหมาะสมในส่วนที่เกี่ยวข้องกับภาษีประเภทต่าง ๆ และระเบียบวิธีปฏิบัติด้านการศุลกากร ดังนี้ 1.ปรับลดพิกัดอัตราอากรขาเข้าเพื่ออำนวยความสะดวกและลดต้นทุนในการนำสินค้าประเภทไวน์ สุรา และยาสูบประเภทซิการ์ลงกึ่งหนึ่งเป็นเวลา 5 ปี 2.ปรับปรุงประกาศกรมศุลกากรที่เกี่ยวกับการปฏิบัติพิธีการศุลกากรของติดตัวผู้โดยสารที่นำติดตัวเข้ามาในหรือส่งออกไปนอกราชอาณาจักรพร้อมกับตนทางท่าอากาศยานให้เหมาะสมและเป็นปัจจุบัน โดยให้ใช้หลักการพิจารณาจากปริมาณ จำนวน หรือสภาพของสิ่งของที่นำเข้าหรือส่งออกว่าเป็นไปเพื่อการใช้ประโยชน์ส่วนตนหรือไม่ แทนการพิจารณาจากมูลค่าของสิ่งของ 3.ดำเนินการจัดทำและเสนอร่างพระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรเพื่อกำหนดอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ถือวีซ่าผู้พำนักระยะยาวประเภทกลุ่มผู้มีทักษะเชี่ยวชาญพิเศษ โดยเทียบเคียงกับมาตรการภาษีในลักษณะเดียวกันของเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการดึงดูดกลุ่มผู้พำนักระยะยาวเป้าหมายที่มีศักยภาพสูงและมีรายได้จากการทำงานในประเทศไทยระหว่างที่ได้รับอนุญาตให้อยู่อาศัยในราชอาณาจักร   6.มอบหมายให้ สกท. พิจารณาการบริหารจัดการวีซ่าประเภทผู้พำนักระยะยาวและวีซ่าประเภทอื่น ๆ ที่มีอยู่แล้วเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน   7.มอบหมายให้หน่วยงานที่รับผิดชอบข้างต้นเร่งรัดดำเนินการภายใน 90 วัน และให้รายงานความคืบหน้าของผลการพิจารณาผ่าน สศช. เพื่อรายงานให้คณะรัฐมนตรีทราบต่อไป โดยเป้าหมายในระยะ 5 ปี (2565-2569) ประเทศไทยต้องการมีชาวต่างชาติที่มีรายได้สูง นักลงทุน ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมเป้าหมาย ผู้เกษียณอายุที่มีรายได้สูงจากบำนาญมาอาศัยในไทย 1 ล้านคน เพื่อทำให้มีเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจไทยเพิ่มขึ้น 1 ล้านล้านบาท  ซึ่งคาดว่านักท่องเที่ยวที่เข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทย จะมีการใช้จ่ายเงินเบื้องต้นคนละ 1  ล้านบาทต่อปี   ที่มา : เว็บไซต์นสพ.แนวหน้า, มติครม.วันที่ 14 ก.ย.2564      
พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค  เตรียมเปิด 2 โปรเจ็กต์กว่า 6,600 ล้าน  เจาะลูกค้าไฮเอนด์ กำลังซื้อสูง-กระทบโควิด-19 น้อย

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เตรียมเปิด 2 โปรเจ็กต์กว่า 6,600 ล้าน เจาะลูกค้าไฮเอนด์ กำลังซื้อสูง-กระทบโควิด-19 น้อย

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ลุยสร้างยอดขายเพิ่มกลุ่มโครงการไฮเอนด์ เตรียมเปิดโครงการใหม่โค้งท้ายปลายปี  2 โปรเจ็กต์ มูลค่า 6,630 ล้าน ​หลังพบกลุ่มลูกค้ายังมีกำลังซื้อสูง ได้ผลกระทบจากโควิด-19 น้อย   นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 4 บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 2 โครงการ รวมมูลค่า 6,630 ล้านบาท ได้แก่ “เลค เลเจ้นด์ บางนา-สุวรรณภูมิ” บนทำเลใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ จำนวน 127 ยูนิต ระดับราคา 28-80 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 6,080 ล้านบาท  ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับฮ่องกงแลนด์เป็นโครงการที่ 2 ต่อเนื่องจากเลค เลเจ้นด์ แจ้งวัฒนะ โดยยังคงคอนเซ็ปต์บ้านริมทะเลสาบ แต่มีขนาดใหญ่ถึง 100 ไร่ ซึ่งใหญ่ที่สุดในทำเลบางนา-สุวรรณภูมิ นอกจากนี้ ยังจะเปิดตัวโครงการ “เพนตัน” โฮมออฟฟิศและบ้านเดี่ยว 5 ชั้น ทำเลสุทธิสาร มูลค่าโครงการ 550 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวในส่วนของโฮมออฟฟิศก่อน จำนวน 6 ยูนิต มูลค่ารวม 300 ล้านบาท โดยโฮมออฟฟิศ ใจกลางเมืองยังคงเป็นสินค้าที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่ ที่ต้องการซื้อเพื่อทำเป็นออฟฟิศในทำเลที่สามารถเดินทางสะดวก และยังสามารถจัดสรรพื้นที่ชั้นบนไว้เพื่อพักอาศัยและพักผ่อนด้วยสวนและสระว่ายน้ำส่วนตัว ช่วงโค้งสุดท้ายของปี  จะมีการเปิดตัว 2 โครงการใหม่ เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าระดับบน ที่มีกำลังซื้อสูง มีความพร้อม และได้รับผลกระทบจากโควิด-19 น้อยกว่ากลุ่มอื่น พร้อมกันนี้ ในช่วงปลายปี บริษัทยังจะเน้นทำการตลาดในโครงการระดับไฮเอนด์ต่อเนื่อง ในโครงการทำเลเขาใหญ่ ได้แก่ “เบลล่า เดล มอนเต้” บ้านเดี่ยวในแบบรีสอร์ตเรสซิเดนซ์ ราคา 23-80 ล้านบาท  เนื่องจากยังมีแนวโน้มยอดขายที่ดีต่อเนื่อง จากช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา สามารถทำยอดขายโครงการได้ถึง 400 ล้านบาท  เฉพาะเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โครงการได้รับความสนใจมีการเข้าชมข้อมูลทางออนไลน์เพิ่มขึ้นถึง 85% โดยดีมานด์ที่เพิ่มขึ้นเป็นกลุ่มลูกค้าที่ต้องการ บ้านตากอากาศหรือบ้านหลังที่สองนอกเมืองเพื่อรองรับวิถีชีวิตใหม่ โดยเฉพาะคนกรุงเทพฯ เนื่องจากเขาใหญ่ยังคงเป็นทำเลทอง สำหรับคนที่ต้องการบ้านพักตากอากาศหรูมักเลือกเป็นแห่งแรก ๆ ลูกค้ากลุ่มนี้จะให้ความสำคัญกับสินค้าที่มีคุณภาพ   นอกจากนี้ การก่อสร้างโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองบางปะอิน–โคราช ยังมีส่วนทำให้โครงการในย่านเขาใหญ่มีความน่าสนใจเพิ่มขึ้น โดย “เบลล่า เดล มอนเต้” มีจุดเด่นอยู่ที่รูปแบบโครงการในสไตล์อิตาเลี่ยนรายล้อมด้วยทิวเขา ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเลคโคโมทะเลสาบยอดนิยมของอิตาลี โดยเน้นกลุ่มที่ต้องการบ้านสไตล์รีสอร์ตในสังคมที่เงียบสงบ ให้ความเป็นส่วนตัว ด้วยจำนวนยูนิตไม่มาก
เซ็นทรัลพรัฒนา  ปั้นแบรนด์ นิรติ จับตลาดเรียลดีมานด์  เปิดโปรเจ็ตก์ใหม่ 1,850 ล้าน

เซ็นทรัลพรัฒนา ปั้นแบรนด์ นิรติ จับตลาดเรียลดีมานด์ เปิดโปรเจ็ตก์ใหม่ 1,850 ล้าน

เซ็นทรัลพัฒนา เดินหน้าปั้นพอร์ตอสังหาฯ เพื่ออยู่อาศัย เปิดโปรเจ็กต์ นิรติ ดอนเมือง มูลค่า 1,850 ล้าน รับกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์และเครดิตดี   ร.อ. กรี เดชชัย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย บริษัท เซ็นทรัล​พัฒนา จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า ได้เตรียมเดินหน้าปั้นพอร์ตอสังหาริมทรัพย์ ทั้งแนวราบและแนวสูง เพื่อเป้าหมายการเป็นหนึ่งในผู้นำโครงการในรูปแบบมิกซ์ยูส  ด้วยการนำธุรกิจศูนย์การค้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ ​   โดยวันที่ 18-19 กันยายนนี้ เตรียมเปิดพรีเซลอย่างเป็นทางการ  โครงการแนวราบในรูปแบบมิกซ์โปรดักส์ ประกอบด้วยบ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ภายใต้แบรนด์นิรติ ได้แก่ โครงการนิรติ ดอนเมือง ตั้งอยู่ในย่านดอนเมือง-วิภาวดี  บ้านสไตล์โมเดิร์นทรอปิคอล​ รวม 262 ยูนิต มูลค่ารวม 1,850 ล้านบาท  ในระดับราคา 4.29-12 ล้านบาท  ซึ่งถือว่าเป็นเซ็กเมนต์กลุ่มลูกค้าเรียลดีมานต์ ที่มีกำลังซื้อและเครดิตดี โครงการ​นิรติ ดอนเมือง มีพื้นที่โครงการ 45-3-68.5 ไร่ แบ่งเป็น บ้านเดี่ยว  ขนาดที่ดิน 50.2 ตร.ว. ขึ้นไป พื้นที่ใช้สอย 180 – 227 ตร.ม.,  บ้านแฝด ขนาดที่ดิน 36.9 ตร.ว. ขึ้นไป พื้นที่ใช้สอย 180-227 ตร.ม. และทาวน์โฮมขนาดที่ดิน 22.1 ตร.ว. ขึ้นไป  พื้นที่ใช้สอยประมาณ 143 ตารางเมตร ราคาเริ่มต้น 4.29  - 12 ล้าน   นอกจากนี้ ยังมีโครงการที่เปิดขายแล้ว อีกสองทำเล ได้แก่ นิรติ บางนา และนิรติ เชียงราย รวม 3 โครงการ และยังมี แบรนด์ นินญา บ้านหรูระดับ 9.9-15  ล้านบาท และ แบรนด์ นิยาม บ้านหรูระดับลักชูรี่ เริ่มต้น 25 ล้านบาท การลงทุนในธุรกิจอสังหาฯ ​เพื่อการอยู่อาศัย ในปี 2564 บริษัทวางเป้าหมายพัฒนาโครงการให้สอดคล้องไปกับธุรกิจหลักอย่างศูนย์การค้า และมิกซ์ยูสโปรเจ็กต์ ที่จะเข้าไปเป็นแลนด์มาร์กใหม่ศูนย์กลางการใช้ชีวิต หรือ Center of Life ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ ชูอัตลักษณ์ของจังหวัด และต้องเป็นมิตรกับชุมชนและสิ่งแวดล้อม   ปัจจุบันเซ็นทรัลพัฒนา เรซซิเด้นซ์ และบริษัทในเครือ มีโครงการที่อยู่อาศัยเปิดขายแล้ว  ได้แก่ 1.โครงการคอนโดมิเนียม ฟีล พหล34  คอนโดมิเนียมแบบ Low Rise 8 ชั้น มูลค่าโครงการประมาณ 1,400 ล้านบาท พื้นที่ 3-2-7.4 ไร่  จำนวน 358 ยูนิต ห้องขนาด 25-35  ตร.ม. ราคาเริ่มต้น 2.99 ล้านบาท* 2.โครงการบ้าน นินญา กัลปพฤกษ์ (บ้านแฝด) มูลค่าโครงการประมาณ 1,500 ล้านบาท ติดถนนใหญ่กัลปพฤกษ์ จำนวน 144 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 9-12 ล้านบาท 3.โครงการบ้านเดี่ยว นิยาม บรมราชชนนี (บ้านเดี่ยวระดับลักชูรี่) คฤหาสน์หรูสไตล์ Modern Classic มูลค่าโครงการประมาณ 2,000 กว่าล้านบาท จำนวน71 ยูนิต
เอพี เปิดบ้านเดี่ยว 5 โปรเจ็กต์กว่า 7,000 ล.  รับคลายล็อกดาวน์ พร้อมโชว์  8 เดือนทำยอดโต36%

เอพี เปิดบ้านเดี่ยว 5 โปรเจ็กต์กว่า 7,000 ล. รับคลายล็อกดาวน์ พร้อมโชว์ 8 เดือนทำยอดโต36%

คลายล็อกดาวน์ ส่งสัญญาณบวกธุรกิจอสังหาฯ “เอพี” เดินหน้าเปิด 5 โครงการใหม่กว่า 7,000 ล้าน เติมพอร์ตบ้านเดี่ยว หลัง 8 เดือนปิดไป 6 โปรเจ็กต์ พร้อมสร้างยอดขายกว่า 12,400 ล้าน ​เติบโต 36%   นายรัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ รองกรรมการผู้อำนวยการ  สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว บริษัท​ เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า แม้ช่วงที่ผ่านมาจะมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งผลให้ผู้บริโภคเกิดการชะลอการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ลงบ้าง  แต่ปัจจุบันภาพรวมของธุรกิจอสังหาฯ เริ่มฟื้นตัวหลังคลายล็อกดาวน์เป็นสัญญาณบวก ทำให้ช่วง​ 8 เดือนที่ผ่านมา เอพี สามารถสร้างยอดขายรวมได้มากถึง 23,300 ล้านบาท โดยเป็นยอดขายจากสินค้าบ้านเดี่ยว 12,400 ล้านบาท หรือเติบโตกว่า 36% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าที่ 9,100 ล้านบาท ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาบ้านเดี่ยวเครือเอพี มียอดลูกค้าเยี่ยมชมโครงการผ่านการนัดหมายล่วงหน้า ทางระบบออน์ไลน์ เฉลี่ย 385 ครอบครัวต่อสัปดาห์ นับเป็นกระแสตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้สามารถประกาศปิดการขายไปได้ทั้งสิ้น 6 โครงการ ส่วนในไตรมาส 4 นี้ คาดว่าจะสามารถทยอยปิดการขายเพิ่มได้อีก 8 โครงการ เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและการเติบโตอย่างมั่นคง  ในเดือนกันยายนนี้ เอพีพร้อมเปิดตัวบ้านเดี่ยวโครงการใหม่เพิ่มจำนวน 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 7,020 ล้านบาท โดยมุ่งกระจายไปหลากหลายทำเลขายดี เพื่อเติมเต็มช่องว่างของโครงการเดิมที่ปิดการขายไปแล้ว และเพื่อสร้างโอกาสความได้เปรียบในการแข่งขันที่มากขึ้น รวมไปถึงการรุกขยายพอร์ตในเซ็กเมนต์ซูเปอร์ลักชัวรี่ ด้วยแบรนด์ “บ้านกลางกรุง” ที่จะกลับมาปักธงในทำเลใจกลางเมืองอีกครั้ง สำหรับบ้านเดี่ยวเอพี 5 โครงการใหม่ ที่พร้อมเปิดขายเดือนกันยายนนี้ มูลค่ารวม 7,020 ล้านบาท ได้แก่ ​1.บ้านกลางกรุง สาธุประดิษฐ์-พระราม 3 มูลค่าโครงการ 400 ล้านบาท บนพื้นที่ดิน 2 ไร่ บ้านเดี่ยวสุดหรู 3 ชั้น  ด้ยการดีไซน์สถาปัตยกรรมโมเดิร์นในวิถีใหม่ พร้อมสเปซฟังก์ชั่นขนาดใหญ่ ตอบรับการใช้ชีวิตของสมาชิกทุกช่วงวัย ทั้งพื้นที่ส่วนตัวและพื้นที่ของครอบครัว จำนวน​ 13 หลัง ​บนทำเลย่านสาธุประดิษฐ์ ราคา 35-60 ล้านบาท 2.THE CITY ปิ่นเกล้า-บรมฯ 2 มูลค่าโครงการ 2,060 ล้านบาท ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 48 ไร่ บ้านเดี่ยวหรูหลังใหญ่ จำนวนเพียง 105 หลัง ดีไซน์ทันสมัยระดับไฮเอนด์ การออกแบบที่ลงตัวด้วย Double Volume เพดานสูง  บนทำเลศักยภาพบรมราชชนนี ราคา 18.9-29 ล้านบาท 3.THE CITY รามอินทรา-วงแหวน มูลค่าโครงการ 1,270 ล้านบาท ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 34 ไร่ บ้านเดี่ยวสองชั้นสุดหรู จำนวน 108 หลัง ราคา 15.99 - 21 ล้านบาท 4.CENTRO วิภาวดี มูลค่าโครงการ 2,090 ล้านบาท ตั้งอยู่บนที่ดินขนาด 56 ไร่ บ้านเดี่ยวดีไซน์สไตล์โมเดิร์น พื้นที่ใหญ่ 193-274 ตร.ม. ฟังก์ชั่นครบ 4 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 3 ที่จอดรถ ทำเลเมือง บนถนนวิภาวดี จำนวน 233 หลัง ราคา 8.99 - 12 ล้านบาท 5.CENTRO ราชพฤกษ์ 345 มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท ตั้งอยู่บนขนาดที่ดิน 42 ไร่ บ้านเดี่ยวแนวคิดใหม่ ฟังก์ชั่นใหญ่ จำนวน 187 หลัง พื้นที่ขนาดใหญ่กว่า 274 ตร.ม. 4 ห้องนอน  3 ที่จอดรถ พร้อม Home Automation ทั้งหลัง บนทำเลติดถนนใหญ่ 345 ราคา 5.99 - 12 ล้านบาท แม้ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันจะท้าทายอย่างมาก แต่ด้วยความตั้งใจในการพัฒนาและส่งมอบบ้านเดี่ยวทุกโครงการในเครือเอพี รวมถึง 5 โครงการใหม่ที่พร้อมในการเปิดตัวเดือนกันยายนนี้  ทำให้เรามั่นใจว่าจะสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างโดดเด่นตามเป้าหมาย ทั้งในมิติการขายและการโอนกรรมสิทธิ์อย่างแน่นอน บ้านเดี่ยวเอพี 5 โครงการใหม่ พร้อมเปิดชมโครงการจริงแล้ววันนี้ ลูกค้าสามารถเยี่ยมชมโครงการได้อย่างไร้กังวลด้วยมาตรการสร้างความอุ่นใจในรูปแบบที่เป็นส่วนตัว ผ่านการนัดหมายวันและเวลาล่วงหน้า พร้อมด้วยการฉีดวัคซีนเสริมภูมิคุ้มกันป้องกันโควิด-19 แก่พนักงานขายเครือเอพีทุกคน สำนักงานขายเปิดให้เยี่ยมชมทุกวัน 09.00 – 18.00 น. ภายใต้มาตรการทำความสะอาดและการดูแลอำนวยความสะดวกที่รัดกุม พร้อมลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษและราคาที่ดีที่สุดจากแต่ละโครงการ ได้ทางเว็บไซต์ของบริษัท    
IWG จับมือ รัตนากร แอสเซท  บริหารออฟฟิศให้เช่า 40 แห่งทั่วไทย

IWG จับมือ รัตนากร แอสเซท บริหารออฟฟิศให้เช่า 40 แห่งทั่วไทย

IWG จับมือ รัตนากร แอสเซท ลุยตลาดพื้นที่สำนักงานแบบ​ flexspace ระดับโลก รับวิถีชีวิตหลังโควิด-19 เดินหน้าขยายสาขาทั่วไทย 40 แห่งใน 10 ปี  รองรับความต้องการสถานที่ทำงานแบบไฮบริดที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว   นายกาเร็ท เฮเวอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร IWG APAC ผู้ให้บริการพื้นที่สำนักงาน เปิดเผยว่า ได้เซ็นสัญญาแฟรนไชส์กับ รัตนากร แอสเซท เพื่อให้สิทธิ์เป็นผู้บริหารแฟรนไชส์ระดับภูมิภาค(Regional Master Franchise rights) ของพื้นที่สำนักงาน IWG ในแบรนด์ HQ, Regus, Spaces และ Signature ในการขยายพื้นที่สำนักงานในทุกจังหวัดของประเทศไทย นอกพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล 40 แห่งทั่วประเทศ​ ภายในระยะเวลา 10 ปี   ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง IWG และรัตนากร แอสเซท  จะร่วมกันพัฒนาและขยายสาขา ครอบคลุมในทุกเมืองสำคัญในทุกภูมิภาคของไทย เพิ่มเติมจากพื้นที่สำนักงานให้เช่าที่ปัจจุบันมีทั้งหมด 30 แห่ง ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ต โดย​ รัตนากร แอสเซท เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์มีประสบการณ์ยาวนานกว่า 30 ปีในประเทศไทย ที่ผ่านมา บริษัทได้พัฒนาโครงการมากกว่า 17 แห่งในภาคตะวันออก ซึ่งรวมถึงเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และเมืองชายทะเลในภาคใต้   เรากำลังปรับขยายธุรกิจให้ครอบคลุมเมืองต่างๆ มากขึ้น ตั้งแต่เมืองที่มีขนาดใหญ่ไปจนถึงขนาดเล็ก และพื้นที่ชานเมือง โดยการร่วมมือกับ รัตนากร แอสเซท จะเปิดโอกาสให้ธุรกิจต่างๆ ในทุกขนาด ไม่ว่าจะเป็นบริษัทระดับโลก กลุ่มธุรกิจสตาร์ตอัป คนทำงานฟรีแลนซ์ และผู้ประกอบการ ได้เข้าถึงบริการสำนักงานให้เช่าที่ครอบคลุมทั่วถึงทุกพื้นที่ได้มากขึ้น   นายกาเร็ท กล่าวอีกว่า ปัจจุบันความนิยมในพื้นที่สำนักงานแบบยืดหยุ่น หรือ flexspace กำลังขยายตัวทั่วโลก และกลายเป็นเทรนด์หลักที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง เช่นเดียวกับประเทศไทย ซึ่งธุรกิจนี้กำลังเติบโต หลังจากที่องค์กรขนาดใหญ่เริ่มให้ความสำคัญและเล็งเห็นคุณค่าของพื้นที่สำนักงานที่พร้อมปรับตัวและยืดหยุ่น  ซึ่งการลงนามเซ็นสัญญาแฟรนไชส์ครั้งนี้ ​เป็นผลมาจากที่ IWG ได้เล็งเห็นถึงความต้องการในการทำงานแบบไฮบริดในตลาดที่สูงเป็นประวัติการณ์ โดยในปีนี้ มีลูกค้าใหม่ของเครือข่ายเพิ่มขึ้นถึง​ 2 ล้านราย ซึ่งรวมถึงการตกลงเช่าพื้นที่ครั้งใหญ่ที่สุดของ Nippon Telegraph and Telephone Corporation (NTT) โดยพนักงานกว่า 300,000 คนของ NTT สามารถใช้พื้นที่สำนักงานของ IWG ได้ทั่วโลก และเมื่อโลกค่อย ๆ ฟื้นตัวจากสถานการณ์การแพร่ระบาด ความต้องการพื้นที่สำนักงานคุณภาพสูงที่พร้อมยืดหยุ่นได้ตามความต้องการก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น เพราะการทำงานแบบไฮบริดได้กลายเป็นมาตรฐานใหม่แห่งโลกยุคนิวนอร์มัล กระแสนี้จึงยิ่งทำให้ไอดับบลิวจีได้รับความสนใจมากขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยปัจจุบันมีพาร์ตเนอร์ในระบบแฟรนไชส์แล้วมากกว่า 50 แห่ง ใน 40 กว่าประเทศทั่วโลก   จากสถานการณ์แพร่ระบาดส่งผลให้คนทั่วโลกได้หันมาใช้ชีวิตการทำงานแบบไฮบริดไปพร้อมๆกับการสร้างสมดุลให้กับชีวิตทำงานและชีวิตส่วนตัว การขยายธุรกิจของเราไปยังทั่วภาคเหนือของประเทศไทยจะช่วยให้คนทำงานสามารถประหยัดเวลาในการเดินทาง ความร่วมมือครั้งนี้ จะช่วยเสริมสร้างโอกาสในการขยายฐานธุรกิจของเราในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้ในอนาคต        
แลนดี้โฮม เจาะตลาดลูกค้าไฮเอนด์ ดันยอดขาย 8 เดือนทะลุ 1,600 ล้าน

แลนดี้โฮม เจาะตลาดลูกค้าไฮเอนด์ ดันยอดขาย 8 เดือนทะลุ 1,600 ล้าน

แลนดี้โฮม โชว์ผลงานปิดยอดขาย 8 เดือน ทะลุ 1,600 ล้าน สวนกระแสโควิด-19 หลังบุกตลาดลูกค้าไฮเอนด์ สร้างบ้านหลังละ 15 ล้าน มั่นใจสิ้นปีปิดยอดขายได้ตาม​เป้า 2,400 ล้าน   นางสาวพรรัตน์ มณีรัตนะพร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท แลนดี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ยอดขายในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา บริษัทสามารถปิดยอดขายได้ 1,600 ล้านบาท แม้ว่าจะมีมาตรการ​ล็อกดาวน์ประเทศ เพื่อยับยั้งการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ซึ่งส่งผลต่อให้ภาคธุรกิจเกิดการชะลอตัว แต่สำหรับแลนดี้ โฮม ยังคงเติบโตสวนทางพิษโควิดดังกล่าว โดยยอดขายในช่วงมกราคม – สิงหาคมที่ผ่านมา ​แบ่งสัดส่วนตามมูลค่าการปลูกสร้าง ดังนี้ บ้านหรูขนาดใหญ่ Brand Landy Grand ราคา 15 ล้านบาทขึ้นไป สัดส่วน 32% บ้านขนาดกลาง Brand Landy Home ราคา 5 - 10 ล้านบาท สัดส่วน 32% และราคา 10-15 ล้านบาท สัดส่วน 23% ส่วนบ้านหลังเล็ก  Brand Trendy Home ราคา 2 - 5 ล้านบาท สัดส่วน 13% โดยพบว่าลูกค้าที่มีงบประมาณปลูกสร้างตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป เป็นกลุ่มที่มีความต้องการปลูกสร้างบ้านสูงสุด   สำหรับปัจจัยที่ส่งผลให้ยอดขายของในกลุ่มบ้านหรูแบรนด์ Landy Grand เติบโตเกินเป้าหมาย มาจากการเปิดสาขาใหม่ในโซนราชพฤกษ์ที่เน้นเจาะกลุ่มตลาดไฮเอนด์ย่านฝั่งธนฯ ได้รับการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าเป็นอย่างดี ตลาดไฮเอนด์เป็นกลุ่มนิชมาร์เก็ตที่มีกำลังซื้อและความต้องการบ้านหรูในราคาที่คุ้มค่า และเป็นลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางการเงินจากสถานการณ์โควิดน้อยกว่ากลุ่มอื่น ประกอบกับการขึ้นราคาของวัสดุก่อสร้างโดยเฉพาะราคาเหล็กที่ปรับขึ้นแรงในช่วงต้นปี รวมถึงค่าแรงช่างที่ปรับตัวสูงขึ้นทำให้ลูกค้าเร่งตัดสินใจปลูกสร้างบ้าน เพราะมองว่าในอนาคตราคาบ้านจะมีการขึ้นราคาตามวัสดุและค่าแรงที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง   นอกจากนี้ การอ่อนตัวของค่าเงินบาทยังส่งผลให้ลูกค้าหันมาปลูกสร้างบ้าน เพื่อเป็นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และที่ดิน เนื่องจากเป็นการลงทุนที่มีแต่มูลค่าเพิ่มขึ้น อีกทั้งไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป เช่นการ Work from home ในช่วงโควิดทำให้ลูกค้าเห็นถึงความสำคัญของพื้นที่ใช้สอยภายในบ้านและเทคโนโลยีเพื่อคุณภาพการอยู่อาศัยที่สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตวิถีใหม่ รวมถึงลูกค้าหลายรายมองว่าช่วงนี้สามารถบริหารจัดการเวลาในการปรึกษากับทีมสถาปนิกและมีเวลาในการเข้ามาตรวจสอบความคืบหน้าการก่อสร้างได้มากขึ้น   ตลาดไฮเอนด์ที่เติบโต สอดคล้องกับผลสำรวจของสมาคมธุรกิจรับสร้างบ้าน ที่พบว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19  ไม่ส่งผลกระทบต่อกลุ่มลูกค้าระดับบนที่มีความพร้อมในการตัดสินใจปลูกสร้างบ้าน แลนดี้ โฮม จึงมองเห็นโอกาสในการทำตลาดรับสร้างบ้านหรูขนาดใหญ่ภายใต้แบรนด์ Landy Grand   นางสาวพรรัตน์ กล่าวเพิ่มเติมถึงแนวโน้มสถานการณ์ตลาดรับสร้างบ้านครึ่งปีหลังว่า หากสถานการณ์โควิด-19 มีทิศทางที่ดีขึ้น รัฐบาลมีการคลายมาตรการล็อกดาวน์ จะส่งผลให้กิจการต่าง ๆ กลับมามีรายได้ ซึ่งลูกค้ากลุ่มเจ้าของธุรกิจที่มีแผนจะปลูกสร้างบ้านจะกล้าตัดสินใจ เนื่องจากมีความเชื่อมั่นในสถานการณ์และสามารถวางแผนในอนาคตได้ชัดเจนยิ่งขึ้น   อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายยอดขายในปีนี้  ที่คาดว่าจะทำได้​ 2,400 ล้านบาท ทางแลนดี้ โฮม จึงถือโอกาส จัดโปรโมชั่นพิเศษ เพื่อฉลองครบรอบ 33 ปี แลนดี้ โฮม ระหว่างวันที่ 16-26 กันยายน 2564 ณ แลนดี้ โฮม ทุกสาขา โดยจะมีการ​​เปิดตัวแบบบ้านใหม่ ​เพื่อการใช้ชีวิตวิถีใหม่กว่า 10 แบบ พร้อมติดตั้ง CAP+ (แค็พพลัส) ระบบเติมอากาศบริสุทธิ์ภายในบ้าน ช่วยกรองฝุ่น PM 2.5, ป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ภายในห้องด้วยการสร้าง Positive Pressure ช่วยสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยจากเชื้อโรค และมอบส่วนลดสูงสุด 33%​ สูงสุด 250,000 บาท และ On top ด้วย Voucher มูลค่าสูงสุด 300,000 บาท   นอกจากนี้ทางแลนดี้ โฮม ยังสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการด้วยการกำหนดนโยบายการป้องกันและปฏิบัติงานในสถานการณ์โควิด-19 อย่างเคร่งครัด โดยแบ่งเป็นส่วนของ Show room สำนักงานขาย ได้มีมาตรการการดูแลรักษาความสะอาด โดยพนักงานทุกสาขาได้รับวัคซีนโควิด-19 ครบ 100% สำหรับในส่วนของหน้างานก่อสร้าง ได้กำหนดให้ช่างวัดอุณหภูมิร่างกายพร้อมถ่ายภาพการตรวจสอบทุกเช้า ก่อนเริ่มงานและพนักงานทุกคนสวมใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา
ที่อยู่อาศัยครึ่งปีแรกเปิดใหม่ยังเจอวิกฤต  จำนวนลดถึง37.3%เหลือมูลค่ากว่า1.18แสนล.​

ที่อยู่อาศัยครึ่งปีแรกเปิดใหม่ยังเจอวิกฤต จำนวนลดถึง37.3%เหลือมูลค่ากว่า1.18แสนล.​

ศูนย์ข้อมูลฯ เปิดเผยผลสำรวจภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยของ 27 จังหวัดสำคัญ พบว่า  การชะลอตัวอย่างมากถึง 32% ในด้านจำนวนที่อยู่อาศัยใหม่ ขณะที่มูลค่าลดลงถึง 37.3% เดินหน้าส่งสัญญาณเตือน เตรียมจัดสัมมนา “ตลาดที่อยู่อาศัย ครึ่งหลังปี 2564 และแนวโน้มปี 2565 ภายใต้วิกฤติโควิด-19” ​   ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เปิดเผยว่า นับตั้งแต่ต้นปี 2564 จนถึงปัจจุบันประเทศไทยยังประสบกับการแพร่ระบาดของไวรันโควิด​-19 ซึ่งรุนแรงมากขึ้น และยังไม่มีความชัดเจนว่าจะยุติลงเมื่อไร  ส่งผลกระทบต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2564 และภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยของทั้งประเทศ  จากการสำรวจภาคสนามของศูนย์ข้อมูลฯ ถึงสภาวะของตลาดที่อยู่อาศัยใน 27 จังหวัดที่สำคัญ พบว่า มีความเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนของจำนวนที่อยู่อาศัยเข้าใหม่ที่เข้าสู่ตลาดใหม่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 ซึ่งมีจำนวนยูนิตเพียง 29,775 ยูนิต ลดลงถึง 32.0% และมีมูลค่า 118,667 ล้านบาท ลดลง 37.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563   จำนวนที่อยู่อาศัยเข้าใหม่ในกลุ่มของโครงการอาคารชุด (คอนโดมิเนียม) มีการชะลอตัวลงมากกว่าโครงการบ้านจัดสรร โดยประเภทโครงการคอนโด​เข้าใหม่ในพื้นที่ 27 จังหวัด มีจำนวนประมาณ 8,769 ยูนิต ลดลง 46.0% มีมูลค่า 28,918 ล้านบาท ลดลง 53.3%​ ในขณะที่โครงการบ้านจัดสรรเข้าใหม่มีจำนวนยูนิตประมาณ 21,006 ยูนิต ลดลง 23.9% มีมูลค่ารวม 89,749 ล้านบาท ​ลดลง 29.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 การปรับตัวลดลงของจำนวนที่อยู่อาศัยเข้าใหม่เช่นนี้ ได้ส่งผลต่อภาพรวมของจำนวนที่อยู่อาศัยทั้งหมดที่มีการขายในตลาดพื้นที่ 27 จังหวัด ณ ครึ่งแรก ปี 2564 มีจำนวนทั้งสิ้น 328,657 ยูนิต มูลค่ารวม 1,446,276 ล้านบาท จำนวนยูนิตลดลง 5.7% มูลค่าลดลง 6.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งแสดงให้เห็นถึงกลยุทธ์การปรับตัวของผู้ประกอบการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ไม่เพิ่มเติมสินค้าใหม่เข้ามาในตลาดมากนัก แต่จะเน้นการระบายสินค้าเดิมที่มีอยู่ออกไป เพื่อสร้างสภาพคล่องในการบริหารจัดการ   ในภาวะที่ยังมีการระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้ทำให้กำลังซื้อของผู้ที่ต้องการจะซื้อที่อยู่อาศัย และความสนใจในการซื้อเพื่อเป็นบ้านหลังที่สอง หรือเพื่อการลงทุนมีการชะลอตัวลงจนเห็นได้อย่างชัดเจนจากยอดขายที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่ในภาพรวม โดยพบว่า ในช่วงครึ่งแรกปี 2564 มีจำนวนที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่ประมาณ 45,895 ยูนิต ลดลง 14.3% มูลค่า 195,803 ล้านบาท ​ลดลง​ 14.7% ​ ซึ่งพบว่าเป็นโครงการบ้านจัดสรรขายได้ใหม่ 27,489 ยูนิต 22.6% มูลค่า 124,219 ล้านบาท ลดลง 20.7%​   ในขณะที่โครงการคอนโดขายได้ใหม่จำนวน 18,406 ยูนิต เพิ่มขึ้น 1.8% และมูลค่า 71,583 ล้านบาท  ลดลง​ 1.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563  การที่คอนโด​ขายได้ใหม่มีจำนวนยูนิตเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เป็นเพราะในปี 2563 มีฐานที่ต่ำมาก นอกจากนี้ยังพบว่าอัตราดูดซับในภาพรวมลดลงต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปี 2563 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำอยู่แล้ว แม้ยอดขายใหม่จะขายได้น้อยลง แต่ผลจากการที่จำนวนเข้าใหม่ในตลาดน้อยลงด้วย ส่งผลให้จำนวนยูนิตเหลือขายลดลงตามไปด้วย โดย ณ ครึ่งแรกปี 2564 มีที่อยู่อาศัยเหลือขายจำนวน 282,762 ยูนิต ลดลง 4.1% คิดเป็นมูลค่า 1,250,473 ล้านบาท ลดลง 4.9% ซึ่งนับได้ว่าเป็นการลดแรงกดดันของภาวะยูนิตเหลือขายในตลาดให้ลดความรุนแรงลง และสะท้อนว่าตลาดมีการปรับสมดุลของอุปสงค์และอุปทานมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งศูนย์ข้อมูลฯ  ได้ส่งสัญญาเตือนตลาดมาอย่างต่อเนื่อง   เพื่อเป็นการสร้างความชัดเจนของข้อมูลการสำรวจในพื้นที่แต่ละภูมิภาคให้กับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาธุรกิจที่อยู่อาศัย ศูนย์ข้อมูลฯ จึงได้จัดงานสัมมนา “สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย ครึ่งหลังปี 2564 และแนวโน้มปี 2565 ภายใต้วิกฤติโควิด-19” โดยศูนย์ข้อมูลจะนำเสนอชุดข้อมูลที่เจาะลึกลงไปในรายละเอียดของแต่ละพื้นที่ เพื่อให้เห็นภาพที่แท้จริงของตลาดทั้งในส่วนของพื้นที่ขายดี พื้นที่ที่มีสินค้าเหลือขายมาก และระดับอัตราดูดซับ แยกตามประเภทที่อยู่อาศัย และระดับราคา เปรียบเทียบกับช่วงเวลาก่อนหน้าและช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ ยังจะได้นำเอา Big Data ที่มี Time Series กว่า 10 ปีมาประมวลผลเชิงวิเคราะห์และคาดการณ์ภาพรวมตลาดในช่วงครึ่งหลังปี 2564 และแนวโน้มปี 2565 ในแต่ละภูมิภาครวมถึงการเปิดเวทีสัมมนาแลกเปลี่ยนมุมมองทางการตลาดร่วมกับผู้ทรงคุณวุฒิในวงการ อีกด้วย   งานสัมมนา “สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัย ครึ่งหลังปี 2564 และแนวโน้มปี 2565 ภายใต้วิกฤติโควิด-19” ครั้งนี้ กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 15 (กรุงเทพฯปริมณฑลและภาคกลาง), 17 (ภาคเหนือและ EEC) และ 21 (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้และภาคตะวันตก) ของเดือนกันยายน 2564 ในรูปแบบของ Online Seminar เพื่อสามารถเผยแพร่ข้อมูลให้เกิดการรับรู้ข้อมูลอย่างทั่วถึงและเป็นข้อมูลให้แก่ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ใช้เป็นข้อมูลในการปรับแผนและกลยุทธ์เพื่อสร้างความยั่งยืนให้แก่ภาคอสังหาริมทรัพย์ต่อไป
5 ความท้าทายอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในปี 65

5 ความท้าทายอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยในปี 65

ภาคการก่อสร้าง ถือว่ามีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ และการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก ไม่เพียงขนาดอุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่ ที่มูลค่าคิดเป็นสัดส่วนราว 8% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศเท่านั้น  สามารถสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศได้ราว 200,000 บาท/คน/ปี  ในอุตสาหกรรมยังนี้ยังมีความเชื่อมโยงกับธุรกิจอื่น ๆ อีกจำนวนมาก และมีแรงงานที่เกี่ยวข้องมากมาย   แต่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลกระทบกับภาคการก่อสร้างไม่ต่างจากอุตสาหกรรมอื่น ๆ แต่ผลกระทบดังกล่าวที่เกิดขึ้น มีมากน้อยแค่ไหน และทิศทางจากนี้จ ภาคการก่อสร้างจะเป็นไปในทิศทางใด EIC (Economic Intelligence Center) ธนาคารไทยพาณิชย์ ได้ทำการวิเคราะห์และประเมินอุตสาหกรรมก่อสร้างไทยช่วงที่เหลือของปี 2564 และแนวโน้มปี 2565 เพื่อสะท้อนให้มองเห็นอุปสรรคและโอกาสที่จะเกิดขึ้น   EIC คาดมูลค่าการก่อสร้างภาครัฐปี 2564 มีมูลค่าประมาณ 806,000 ล้านบาท ขยายตัว 6% จากปีที่ผ่านมา และ​เป็นการขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากปี2563 ที่ขยายตัว 5% จากปี 2562   โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากความคืบหน้าของโครงการเมกะโปรเจกต์ อย่างไรก็ดี การระบาดของไวรัสโควิด-19 ในแคมป์คนงานก่อสร้าง รวมถึงการดำเนินกิจกรรมก่อสร้างภายใต้มาตรการ Bubble and seal สร้างแรงกดดันต่อภาคก่อสร้างในช่วงที่เหลือของปี การก่อสร้างภาครัฐครึ่งปีแรกโต 17% -ครึ่งปีแรกปี 2564 มูลค่าการก่อสร้างภาครัฐอยู่ที่ 438,295 ล้านบาท เติบโต 17% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2563 โดยเป็นผลจาก 2 ปัจจัยสำคัญ คือ 1.จากความคืบหน้าของโครงการเมกะโปรเจกต์ ทั้งโครงการที่เพิ่งเริ่มก่อสร้างในปีนี้ และโครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างมาจากในอดีต -การเริ่มก่อสร้างโครงการเมกะโปรเจกต์ เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3  โครงการเมืองการบินภาคตะวันออก เฟส 1 โครงการสนามบินสุวรรณภูมิ รันเวย์ที่ 3  -โครงการที่อยู่ระหว่างก่อสร้างมาจากในอดีต และมีความคืบหน้า เช่น ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางใหญ่-กาญจนบุรี สายบางปะอิน-นครราชสีมา 2.งบประมาณ 4 หน่วยงานหลัก เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า งบประมาณในปี 2564 ของหน่วยงานหลักที่ลงทุนภาคก่อสร้าง ขยายตัวเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า และ​มูลค่าการเบิกจ่ายงบลงทุนในช่วงครึ่งแรกของปี 2564  ที่อยู่ในระดับสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา  ส่งผลให้มีเม็ดเงินทยอยเข้าสู่การก่อสร้างภาครัฐอย่างต่อเนื่องและตเติบโตในอัตรา 17% สำหรับงบประมาณในปีงบประมาณ 2564 ของ 4 หน่วยงานหลักที่ลงทุนภาคก่อสร้าง ได้แก่ -กรมทางหลวง ได้รับงบประมาณกว่า 126,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11%​ ใช้ก่อสร้าง ปรับปรุงทางหลวงและสะพาน -กรมชลประทาน ได้รับงบประมาณกว่า 74,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น​ 9%​ ซึ่งส่วนใหญ่ใช้ก่อสร้างขยายพื้นที่ชลประทาน -กรมทางหลวงชนบท ได้รับงบประมาณกว่า 49,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 3% -กรมโยธาธิการและผังเมือง  ได้รับงบประมาณกว่า 29,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10%   มูลค่าการเบิกจ่ายงบลงทุนในเดือนกรกฎาคม 2564  ลดลงมาอยู่ที่ 33,966 ล้านบาท ลดลง​ 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 มีคำสั่งปิดแคมป์คนงานก่อสร้างในเดือนกรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา ส่งผลให้โครงการก่อสร้างภาครัฐในกรุงเทพฯ และปริมณฑลหยุดชะงัก   มีแนวโน้มมูลค่าการก่อสร้างภาครัฐครึ่งปีหลังปี 2564 คาดว่าหดตัวลง 5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะในช่วง​ครึ่งหลังของปี 2563 มูลค่าการก่อสร้างภาครัฐยังขยายตัวในอัตราสูงถึง 11%  จากการเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ฐานในช่วงครึ่งหลังของปีที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูง การก่อสร้างภาคเอกชนปี 64 ลดลง 7% EIC คาดว่ามูลค่าการก่อสร้างภาคเอกชนในปี 2564 มีประมาณ 514,000 ล้านบาท ลดลง ​7% เมื่อเทียบกับปี 2563 โดยเป็นการปรับลดลงทั้งในส่วนของการก่อสร้างอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่อาศัย และเชิงพาณิชย์ -จำนวนที่อยู่อาศัยขายได้ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปีนี้​อยู่ที่ 57,300 ยูนิต ลดลง​ 12% ลดลงต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ซึ่งปี 2563 ที่ผ่านมา​จำนวน​ที่อยู่อาศัยขายได้อยู่ที่ 65,279 ยูนิต​ ลดลง 35%​ จากปี 2562 นับเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 11 ปี เ และตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 การระบาดของไวรัสโควิด-19 รุนแรงขึ้น สร้างแรงกดดันให้หน่วยที่อยู่อาศัยขายได้ในปีนี้​ไม่สามารถฟื้นตัวได้ สถานการณ์ดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยยังต้องเน้นการระบายสต็อก และเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่อย่างระมัดระวัง โดยผู้ประกอบการยังชะลอเปิดโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ออกไปในช่วงที่เหลือของปีนี้   -EIC คาดว่า จำนวนที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในปี 2564 อยู่ที่ 47,000 ยูนิต ลดลง​ 36% จากปี 2563  หดตัวอย่างต่อเนื่องจากปี 2563  เพราะผู้ประกอบการเน้นการระบายสต็อก และเปิดโครงการใหม่อย่างระมัดระวัง ซึ่งชะลอการเปิดโครงการใหม่ออกไปในช่วงที่เหลือของปีนี้ โดยปีที่ผ่านมามีจำนวนที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่อยู่ที่ 73,043 ยูนิต​​ ลดลง ​39% จากปี 2562   -ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ก็ได้รับผลกระทบจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ด้วยเช่นกัน โดยการปิดกิจการของภาคธุรกิจ และมาตรการให้พนักงานทำงานที่บ้าน ทำให้ภาคธุรกิจยกเลิกหรือลดการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงาน ส่งผลให้การขออนุญาตก่อสร้างอาคารสำนักงานยังหดตัวอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2564 การขออนุญาตก่อสร้างพื้นที่ค้าปลีกในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2564 สามารถฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำมากในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2563 ที่หดตัว  47% (YTD) แต่ยังถือว่าสถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น โดยอัตราการเช่าพื้นที่ลดลงมาก รวมถึงผู้ประกอบการไม่สามารถปรับขึ้นค่าเช่าได้   เนื่องจากที่ผ่านมาพื้นที่ค้าปลีกได้รับผลกระทบจากคำสั่งล็อกดาวน์  โดยสามารถเปิดบริการเฉพาะซูเปอร์มาร์เก็ต และร้านอาหารแบบซื้อกลับบ้านและเดลิเวอรี่ ทำให้ผู้เช่าพื้นที่บริเวณอื่น ๆ ที่ไม่สามารถแบกรับต้นทุนค่าเช่าได้ยกเลิกสัญญาเช่าพื้นที่ไป แม้ว่าจะมีการผ่อนคลายคำสั่งล็อกดาวน์ให้พื้นที่ค้าปลีกเปิดให้บริการได้แล้วก็ตาม แต่ผู้ประกอบการยังมีความท้าทายจาก​จากความนิยมซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ที่อาจทำให้การเดินทางมาซื้อสินค้าที่หน้าร้านลดลง ซึ่งผู้ประกอบการต้องปรับกลยุทธ์เพื่อดึงดูดการเดินทางมาซื้อสินค้าที่หน้าร้านต่อไป   สำหรับในปีหน้า มูลค่าการก่อสร้างภาคเอกชนจะยังมีแนวโน้มทรงตัว  เนื่องจากยังเผชิญความท้าทายจากภาคอสังหาฯ ​ที่ฟื้นตัวได้ช้า ทั้งภาคธุรกิจยังคงมาตรการให้พนักงานทำงานที่บ้าน สลับกับการเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศ รวมถึงความนิยมซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจส่งผลกระทบให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ ​เชิงพาณิชย์ มีแนวโน้มชะลอหรือทบทวนการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ ขณะที่ผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มพัฒนาโครงการขนาดเล็กลง เพื่อให้สามารถปิดการขายได้รวดเร็ว แนวโน้มอุตสาหกรรมก่อสร้างปี 65 EIC คาดว่ามูลค่าการก่อสร้างภาครัฐในปี 2565 มีมูลค่าประมาณ 858,000 ล้านบาท เติบโต​  6% เมื่อเทียบจากปีนี้ ​ โดยเป็นผลมา 1.จากการก่อสร้างโครงการเมกะโปรเจกต์ ที่มีความต่อเนื่องและคืบหน้าจากที่ผ่านมา เช่น โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3  โครงการเมืองการบินภาคตะวันออก เฟส 1 โครงการสนามบินสุวรรณภูมิ รันเวย์ที่ 3 2.การเริ่มประมูลและเริ่มก่อสร้างโครงการเมกะโปรเจกต์ใหม่ ๆ ทั้งโครงการขยายเส้นทางรถไฟฟ้า รถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูง โครงการขยายสนามบิน และโครงการทางถนน จะทำให้มีเม็ดเงินทยอยเข้าสู่ภาคก่อสร้างภาครัฐ ในปี 2565 อย่างต่อเนื่องเช่นกัน   แต่อย่างไรก็ตาม ยังต้องจับตาการประมูลและลงนามสัญญาโครงการใหม่ ๆ ที่อาจมีความล่าช้า และส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของมูลค่าการก่อสร้างภาครัฐในปี 2565 ได้เช่นกัน 5 ความท้าทายธุรกิจก่อสร้างปี 65 1.งบภาครัฐลดลง ในปีงบประมาณ 2565 หน่วยงานหลักที่ลงทุนภาคก่อสร้าง มีการลดงบประมาณลงในบางหน่วยงาน ​โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรมทางหลวงชนบท ที่หดตัวจากปีก่อนหน้า ซึ่งอาจส่งผลกระทบให้โครงการก่อสร้างในภูมิภาค มีแนวโน้มชะลอหรือหยุดชะงักไป ทำให้ผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กสูญเสียโอกาสในการเข้าประมูลและก่อสร้างโครงการขนาดกลางและเล็กในภูมิภาคตามมา  ทั้งนี้ งบประมาณของหน่วยงานหลักที่ลงทุนภาคก่อสร้าง ได้แก่ กรมทางหลวง หดตัว -8%YoY  และกรมทางหลวงชนบท ลดลง -5%YoY  2.ภาวะต้นทุนราคาเหล็กสูง โดยการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของจีนทำให้ความต้องการใช้เหล็กยังขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากปีนี้ ​ ต้นทุนสินแร่เหล็กที่มีแนวโน้มลดลงจากปริมาณการผลิตจากสหรัฐอเมริกา และบราซิลที่เพิ่มสูงขึ้น จะช่วยบรรเทาความร้อนแรงของราคาเหล็กจีนลงได้ส่วนหนึ่ง ซึ่ง EIC คาดว่า ในปีหน้าราคาเหล็กทรงยาวจีนจะปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 733 บาท/ตัน จากในปีนี้อยู่ที่ 785 บาท/ตัน อย่างไรก็ดี ระดับราคาดังกล่าว ยังถือว่ายังอยู่ในระดับสูงกว่าในอดีตที่ราว 500-600 บาท/ตัน โดยราคาเหล็กทรงยาวจีนที่ยังมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงนี้ ส่งผลให้ราคาเหล็กไทยจะยังอยู่ในระดับสูงตามไปด้วย 3.ขาดแรงงาน-ต้นทุนค่าแรงสูงขึ้น คำสั่งปิดแคมป์คนงานก่อสร้างในเดือนกรกฎาคม 2564 ที่ผ่านมา ส่งผลให้แรงงานข้ามชาติ และแรงงานต่างจังหวัด ออกจากกรุงเทพฯ และปริมณฑล และยังไม่กลับเข้าพื้นที่ได้ทั้งหมด ขณะที่ผู้ประกอบการ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง โครงการภาครัฐ ต้องเร่งดำเนินการก่อสร้างให้ทันตามกำหนดการส่งมอบงานในช่วงเดือนสิงหาคม และกันยายนนี้ ​ซึ่งเป็นช่วงโค้งสุดท้ายของปีงบประมาณ​ 2564  ทำให้ผู้ประกอบการเผชิญภาวะขาดแคลนแรงงาน และต้นทุนแรงงานพุ่งสูงขึ้น ซึ่งปัญหานี้อาจจะต่อเนื่องไปถึงปี 2565 อีกด้วย   นอกจากนี้ การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุยังทำให้จำนวนแรงงานในภาคก่อสร้างมีแนวโน้มลดลง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แรงงานอายุ 15-40 ปี ที่ในปี 2557  คิดเป็นสัดส่วน 48% ของจำนวนแรงงานในภาคก่อสร้างโดยรวม ค่อย ๆ ลดลงมาอยู่ที่ 45% ของจำนวนแรงงานในภาคก่อสร้างโดยรวมในปี 2563 อีกทั้ง ค่าจ้างแรงงานพื้นฐานของภาคก่อสร้างยังอยู่ในระดับต่ำกว่าภาคธุรกิจอื่น ๆ โดยค่าจ้างแรงงานพื้นฐานของภาคก่อสร้างในปี 2563 โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 7,529 บาท/เดือน ขณะที่ค่าจ้างแรงงานพื้นฐานของภาคธุรกิจอื่น ๆ อย่างค้าส่ง/ค้าปลีก การผลิต และโรงแรม/ร้านอาหารจะอยู่ในระดับสูงกว่า โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 8,499 บาท/เดือน 8,845 บาท/เดือน และ 9,034 บาท/เดือน ตามลำดับ   กล่าวได้ว่าค่าจ้างแรงงานพื้นฐานของภาคก่อสร้างที่อยู่ในระดับต่ำ ทำให้ภาคก่อสร้างเผชิญสถานการณ์การไหลออกของแรงงานไปยังภาคธุรกิจอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง ประกอบกับสัดส่วนแรงงานอายุน้อยในภาคก่อสร้างที่ค่อย ๆ ลดลงจากเทรนด์การเข้าสู่สังคมสูงอายุ ท่ามกลางความต้องการใช้แรงงานพื้นฐานอย่างเข้มข้นของภาคก่อสร้าง ทำให้ภาคก่อสร้างยังต้องพึ่งพาแรงงานต่างชาติจำนวนมาก โดยในปีนี้จำนวนแรงงานต่างชาติคิดเป็นสัดส่วนราว 17% ของจำนวนแรงงานในภาคก่อสร้างทั้งหมด 4.การเปลี่ยนแบบก่อสร้าง จากวิถี New normal ผลกระทบอย่างต่อเนื่องจากการระบาดของโควิด​-19 ทำให้เกิดรูปแบบการดำเนินชีวิตวิถีใหม่ (New normal) ส่งผลให้ผู้ประกอบการต้องติดตามแนวโน้มที่จะเกิดขึ้น เพื่อนำมาสู่การปรับรูปแบบการก่อสร้างให้ตอบโจทย์วิถีชีวิตผู้บริโภค และภาคอสังหาริมทรัพย์ที่เปลี่ยนแปลงไปได้อย่างทันท่วงที ไม่ว่าจะตลาดที่อยู่อาศัย ที่มีความนิยมซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบ และการก่อสร้างก็จะต้องตอบโจทย์แนวโน้มที่ผู้คนใช้ชีวิตอยู่กับบ้านมากขึ้น   อีกทั้ง มาตรการให้พนักงานทำงานที่บ้านสลับกับการเข้ามาทำงานที่ออฟฟิศ จะทำให้รูปแบบการก่อสร้างอาคารสำนักงานเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่มุ่งเน้นพื้นที่สำหรับที่นั่งทำงานประจำของพนักงาน ไปสู่การปรับที่นั่งทำงานของพนักงานให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ให้ความสำคัญกับการขยายพื้นที่ส่วนกลาง รวมถึงการให้ความสำคัญกับระบบติดต่อสื่อสารมากขึ้น เพื่อรองรับการทำงานแบบ remote work   แม้แต่พื้นที่ค้าปลีก ที่อาจต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการก่อสร้างให้มีสัดส่วนของพื้นที่ outdoor มากขึ้น นอกจากนี้ เทรนด์สิ่งปลูกสร้างยุคใหม่ ยังต้องให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยี อย่างระบบอัตโนมัติ และเซ็นเซอร์มาใช้มากขึ้น เพื่อลดการสัมผัส ควบคู่ไปกับการคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อย่างการก่อสร้างอาคารหรือที่อยู่อาศัยประหยัดพลังงาน และการใช้วัสดุก่อสร้างที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม 5.Productivity ต่ำ-พึ่งพาแรงงาน ภาคก่อสร้างคิดเป็นสัดส่วนราว 8% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ถือว่ามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ แรงงานก่อสร้างสามารถสร้างผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศได้ราว 200,000 บาท/คน/ปี แต่จะพบว่า การเพิ่มผลิตภาพ (Productivity) ในปัจจุบันยังไม่สามารถปรับตัวดีขึ้นจากในอดีตได้มากนัก   ภาคก่อสร้างยังเป็นภาคธุรกิจที่มีความต้องการแรงงานพื้นฐานอย่างเข้มข้น ขณะที่การนำเทคโนโลยีมาใช้ยกระดับ productivity ยังอยู่ในระดับต่ำ โดยเป็นผลมาจากการกระจายงานก่อสร้างขนาดใหญ่ ที่มีกิจกรรมและขั้นตอนการทำงานที่หลากหลายไปยังผู้รับเหมาช่วง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็กที่ยังขาดองค์ความรู้และเงินทุนในการเข้าถึงเทคโนโลยีก่อสร้าง ทำให้การใช้เทคโนโลยีส่วนใหญ่ยังกระจุกตัวอยู่ในผู้ประกอบการขนาดใหญ่ และผู้ประกอบการขนาดกลางบางส่วนเท่านั้น   อีกทั้ง ในช่วงที่ผ่านมา แม้ภาคก่อสร้างจะเผชิญภาวะขาดแคลนแรงงาน แต่ก็ยังสามารถพึ่งพาแรงงานต่างชาติได้ จึงยังไม่มีความจำเป็นหรือมีแรงจูงใจในการนำเทคโนโลยีมาใช้ยกระดับ productivity หรือทดแทนแรงงานมากนักทั้งนี้ปัจจุบันการใช้เทคโนโลยีในภาคก่อสร้างส่วนใหญ่จะเป็นการนำมาใช้เฉพาะในบางขั้นตอนเท่านั้น เช่น ขั้นตอนการก่อสร้างแบบสำเร็จรูป อย่าง Prefabrication และ Modular การบริหารจัดการโครงการก่อสร้างที่มีการใช้ Building Information Modeling (BIM) และ Enterprise Resource Planning (ERP) โดยการใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ยังจำกัด ในผู้ประกอบการขนาดใหญ่ และผู้ประกอบการขนาดกลางบางส่วนเท่านั้น ขณะที่เมื่อพิจารณา supply chain ของภาคก่อสร้าง จะพบว่ามีขั้นตอนและกิจกรรมการทำงานที่หลากหลาย ตั้งแต่การจัดหาวัสดุก่อสร้าง การสำรวจพื้นที่การก่อสร้าง การส่งมอบงาน ไปจนถึงการบริการดูแลรักษาระบบต่าง ๆ หลังการส่งมอบงาน EIC มองว่า การนำเทคโนโลยีก่อสร้างมาใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น จะช่วยเพิ่ม productivity ภาคก่อสร้าง โดยผู้ประกอบการขนาดใหญ่และกลาง ซึ่งมีความพร้อมทั้งด้านองค์ความรู้และเงินทุนในการเข้าถึงเทคโนโลยีก่อสร้าง อาจขยายการใช้เทคโนโลยีจากที่ใช้เฉพาะขั้นตอนการก่อสร้าง และบริหารจัดการโครงการก่อสร้างเป็นหลัก ไปสู่การใช้เทคโนโลยีตลอด supply chain ตั้งแต่จัดหาวัสดุก่อสร้าง สำรวจพื้นที่ ส่งมอบงาน ไปจนถึงบริการดูแลรักษาระบบต่าง ๆ หลังการส่งมอบงาน ขณะที่ผู้ประกอบการขนาดเล็กอาจเริ่มต้นจากการใช้ BIM และ ERP ก่อน   นอกจากนี้ ภาครัฐอาจเข้ามามีบทบาทสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีก่อสร้างผ่านมาตรการต่าง ๆ เช่น การส่งเสริมการลงทุนด้านเทคโนโลยีก่อสร้าง การลดภาษีนำเข้าเทคโนโลยีก่อสร้าง การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับผู้ประกอบการที่ลงทุนด้านเทคโนโลยีก่อสร้าง การสนับสนุนเงินทุนสำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็ก โดยการนำเทคโนโลยีก่อสร้างมาใช้อย่างแพร่หลายจะสามารถลดการใช้แรงงานพื้นฐาน ส่งผลให้ผู้ประกอบการสามารถ upskill แรงงานพื้นฐานให้ไปทำงานที่ทักษะสูงขึ้นแทน ทั้งงานควบคุมเทคโนโลยี และงานที่ใช้ฝีมือ ซึ่งจะนำไปสู่การยกระดับ productivity แรงงาน และเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานของผู้ประกอบการในระยะยาว 4 กลยุทธ์รับมือการก่อสร้างชะลอตัวปี 65 1.การหันมารับงานก่อสร้างภาครัฐ รวมถึงร่วมลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public Private Partnerships : PPP) มากขึ้นโดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ ที่ได้รับแรงกดดันจากภาคอสังหาฯ ฟื้นตัวได้ช้า   2.การให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพขององค์กร เพื่อให้สามารถเข้าร่วมประมูลงานก่อสร้างภาครัฐได้อย่างหลากหลาย   3.ผู้ประกอบการที่เน้นการรับงานภาคเอกชนเป็นหลัก อาจต้องปรับกลยุทธ์หันไปรับงานประเภทรีโนเวท โดยยังมีโอกาสจากการที่ผู้ประกอบการโครงการอสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์บางราย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พื้นที่ค้าปลีก มีการรีโนเวทพื้นที่เพื่อรองรับการฟื้นตัวของธุรกิจ หากการระบาดของไวรัสโควิด-19 บรรเทาลง   4.การหันมาเป็นผู้รับเหมาช่วงงานก่อสร้างภาครัฐมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการขนาดกลางและเล็ก ซึ่งได้รับผลกระทบจากการฟื้นตัวได้ช้าของภาคอสังหาฯ ​เช่นกัน   บทความต้นฉบับ
ตลาดอสังหาฯ 6 เดือนแรกยังชะลอตัว  โค้งท้าย 64 ยังลดต่อรออีก 4 ปีฟื้นตัวปกติ​

ตลาดอสังหาฯ 6 เดือนแรกยังชะลอตัว โค้งท้าย 64 ยังลดต่อรออีก 4 ปีฟื้นตัวปกติ​

ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ  ประเมินสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยปี​ 64 ต้องปรับตัวเลขคาดการณ์ใหม่ หลังจากพบว่ามีการชะลอตัวอย่างมากในด้านซัพพลายใหม่ คาดเปิดตัวใหม่ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล จะลดลงจากปีก่อนหน้า 35.0% หน่วยโอนกรรมสิทธิ์ ลดลง 16.2% รอเวลาฟื้นสู่สภาวะตลาดปกติในปี 2568     ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ธนาคารอาคารสงเคราะห์  ​เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2564 นี้้ ประเทศไทยยังประสบกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งค่อนข้างรุนแรงมากขึ้นกว่าในไตรมาสแรก ส่งผลให้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปี 2564  มีการถดถอยต่อเนื่่อง และยังไม่มีความชัดเจนถึงการฟื้นตัวภายในปี 2564   ศูนย์ข้อมูลฯ ได้เฝ้าสังเกตการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยมาอย่างต่อเนื่อง พบว่าความกังวลต่อการควบคุุมการแพร่ระบาดของโควิด -19 มีผลโดยตรงต่อการลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ การขยายตัวของสินเชื่อที่อยู่อาศัยปล่อยใหม่ และการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย การขยายตัวโควิด-19 wave 3 – 4 ทำให้ผู้ประกอบการ ลดปริมาณการขอจัดสรรลงอย่างมาก แต่ ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรที่มีราคาสูง ซึ่งกลุ่มที่มีกำลังซื้อในปัจจุบัน และลดการจัดสรรกลุ่มบ้านราคาต่ำ สรุปสถานการณ์ตลาดอสังหาฯ หน่วยที่ได้รับอนุญาตจัดสรรลดลงต่อเนื่อง Q2/64 ยูนิตที่ได้รับอนุญาตจัดสรรลดลงอย่างต่อเนื่องจากปี 2563 แนวโน้มลดลงต่อเนื่องใน Q3/64 แต่กระเตื้องใน Q4/64 -การขยายตัวของโควิด-19 ระลอก 3-4 ทำให้ผู้ประกอบการ ลดปริมาณการขอจัดสรรลงอย่างมาก คือ ในไตรมาส 2 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ระบาดถึง -41.6% หรือมีจำนวนขออนุญาตจัดสรร 15,183 ยูนิต -ระหว่างเดือนมกราคม​-เมษายน 2564 ยูนิตจัดสรรรายเดือน ลงลง 37-46% หากเปรียบเทียบข่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่เริ่มกระเตื้องขึ้นบ้างในช่วงเดือนพ.ค.-มิ.ย.2564 และคาดว่าจะเริ่มดีขึ้นบ้างในไตรมาสสุดท้าย แต่ในภาพรวมทุกไตรมาสยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ที่อยู่ในระดับ 26,000 ยูนิต -คาดว่าผู้ประกอบการจะเน้นการขออนุญาตจัดสรร สำหรับบ้านแนวราบที่มีราคาสูงขึ้น เนื่องจากเป็นกลุ่มที่ปัจจุบันยังมีกำลังซื้อ และลดปริมาณการจัดสรรบ้านในราคาต่ำ เพราะกำลังซื้อได้รับผลกระทบมากกว่า -ภาพรวมของปี 2564 คาดว่าการขออนุญาตจัดสรรจะลดลงเหลือ 68,357 ยูนิตหรือลดลง 22.1% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และในปี 2565 คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 25.2% หรือมีการขออนุญาตจัดสรร 85,582 ยูนิต เนื่องจากปีนี้เป็นปีที่อยู่ในฐานต่ำ แต่ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีซึ่งมีระดับ 104,000 ยูนิต ซึ่งต้องถึงปี 2568 การจัดสรรถถึงจะอยู่ในเกณฑ์ค่าเฉลี่ย การโอนกรรมสิทธิ์Q2ลด 8.6% -ไตรมาส 2 ที่ผ่านมา มีการโอนกรรมสิทธิ์ จำนวน 62,072 ยูนิต คิดเป็นอัตราลดลง 22.0% และมีมูลค่าการโอน 194,413 ล้านบาท ลดลง 8.6% -การโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาส 2 ลดลงทั้งจำนวนและมูลค่า ถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี ที่มีจำนวนโอน 90,223 ยูนิต และ 232,859 ล้านบาท ซึ่งในไตรมาส 2 จำนวนต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 31.2% มูลค่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 16.5% ภาพรวมของปีนี้ ยังคงติดลบเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา โดยจำนวนน่าจะลดลง 5.7% และมูลค่าลดลง 6.2% -บ้านแนวราบ คาดว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์เหลือ 184,734 ยูนิต ลดลง 21.8% จากปีที่ผ่านมามีหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ 236,158 ยูนิต และห่างจากค่าเฉลี่ย 23.6% ที่มีจำนวน 241,881 ยูนิต -คอนโด คาดว่าจะมีหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ 85,416 ยูนิต ลดลง 30.2% จากปีที่ผ่านมามีจำนวน 122,338 ยูนิต และห่างจากค่าเฉลี่ย 28.3% ที่มีจำนวน 119,051 ยูนิต -แนวโน้มครึ่งปีหลัง คาดว่าไตรมาส 3 คาดว่าการโอนกรรมสิทธิ์ยังจะลดลงต่อเนื่อง ทั้งด้านจำนวนที่จะลดลง 36.0% และมูลค่าลดลง 24.7% ส่วนไตรมาส 4 มีแนวโน้มว่าจะมีจำนวนหน่วยและมูลค่าปรับตัวสูงขึ้นไปใกล้กับค่าเฉลี่ย -ภาพรวมปี 2564 คาดว่าจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ลดลงเหลือ270,151 ยูนิต ลดลง 24.6% จากปีที่ผ่านมามีจำนวน 358,496 ยูนิต และห่างจากค่าเฉลี่ย 25.2% ที่มีจำนวน 360,932 ยูนิต โดยการโอนกรรมสิทธิ์จะกลับมาปรับตัวดีขึ้นในปี 2565 และกลับสู่ภาวะปกติได้ในปี 2570 ปี64มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์เหลือ8แสนล้าน -ภาพรวมปี 2564 มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์คาดว่าจะลดลงเหลือ 804,241 ล้านบาท ลดลง 13.4% จากปีที่ผ่านมาที่มีมูลค่า928,376 ล้านบาท แต่สูงกว่าค่าเฉลี่ย 0.8% ที่มีมูลค่า 797,578 ล้านบาท ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าการโอนกรรมสิทธิ์มีการรีไฟแนนซ์ด้วย ทำให้การโอนยังสูง​ -สำหรับบ้านแนวราบ คาดว่าจะมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์เหลือเพียง 542,240 ล้านบาท ลดลง 12.1% จากปีที่ผ่านมาซึ่งมีมูลค่าการโอน 616,939 ล้านบาท -คอนโด ปีนี้น่าจะมีการโอน 262,001 ล้านบาท ลดลง 15.9% จากปีที่ผ่านมามีมูลค่าการโอน 311,437 ล้านบาท และห่างจากค่าเฉลี่ย -7.2% การโอนกรรมสิทธิ์ของต่างด้าว สถานการณ์หน่วยโอนกรรมสิทธิ์อาคารชุดคนต่างด้าวในปี 2563 มีจำนวน 8,258 ยูนิต ลดลงจากปีก่อนหน้า 35.3% และมีสัดส่วนลดลงเหลือ 6.8% จากเดิมที่เคยมีสัดส่วนเฉลี่ยประมาณ​ 10% มูลค่าการโอนอาคารชุดของคนต่างด้วย ในปี 2563 มีมูลค่า 37,716 ล้านบาท ลดลงจากปี 2562 อัตรา 25.5% และมีสัดส่วนลดลงเหลือ 12.1% จากเดิมที่เคยมีสัดส่วนเฉลี่ยประมาณ​ 16% จีนซื้อคอนโดไทยกว่า12,609ล้าน สำหรับสัดส่วนของชาวต่างชาติที่โอนกรรมสิทธิ์มากที่สุด 10 อันดับแรก ในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ จากจำนวนชาวต่างชาติทั้งหมด 78 ประเทศ ได้แก่ 1.จีน โอนกรรมสิทธิ์จำนวน 2,748 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 12,609 ล้านบาท 2.รัสเซีย จำนวน 143 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 411 ล้านบาท 3.สหราชอาณาจักร จำนวน 130 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 473 ล้านบาท 4.ฝรั่งเศส จำนวน 119 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 436 ล้านบาท 5.เยอรมัน จำนวน 115 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 444 ล้านบาท 6.สหรัฐอเมริกา จำนวน 114 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 621 ล้านบาท 7.ไต้หวัน จำนวน 90 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 402 ล้านบาท 8.สิงคโปร์ จำนวน 88 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 446 ล้านบาท 9.ญี่ปุ่น จำนวน 62 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 284 ล้านบาท 10.อินเดีย จำนวน 62 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 409 ล้านบาท Q2สินเชื่อที่อยู่อาศัยรายย่อยปรับเพิ่มขึ้น   -ข้อมูลสินเชื่อที่อยู่อาศัยรายย่อย ทั่วประเทศในช่วงไตรมาส 2 มีการปรับตัวขึ้นอยู่บ้างแต่ยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยก่อนมีโรคระบาด -คาดว่าไตรมาส 3-4 สินเชื่อที่อยู่อาศัยจะปรับตัวลดลง คาดว่าจะอยู่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยทั้งสองไตรมาส -ทิศทางในปีนี้ คาดว่าจะมีมูลค่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยประมาณ 490,632-681,449 ล้านบาท โดยจะมีช่วงการเปลี่ยนแปลงอยู่ระหว่าง -19.8% ถึง 11.3% โดยกรณีปกติอาจจะต้องใช้ระยะเวลานานถึงปี 2569 เพื่อที่จะมียอดสินเชื่อปล่อยใหม่เท่ากับ จุดสูงสุดในปี 2561 ที่มีอยู่​ 702,900 ล้านบาท ดีเวลลอปเปอร์พัฒนาบ้านแพงขึ้น​ การออกใบอนุญาตจัดสรร พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล -ไตรมาส 2 หน่วยจัดสรรลดลงอย่างต่อเนื่องจากปี 2563 เริ่มฟื้นตัวในไตรมาส 3 ปี 2564 จากความต้องการบ้านที่ยังมีอยู่ -สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอก 3-4 ทำให้ผู้ประกอบการลดปริมาณการจัดสรรลงอย่างมาก ในไตรมาส 2 มีปริมาณการจัดสรรลดลงมากถึง 56.4% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของช่วงก่อนเกิดโควิด-19 -ช่วงเดือนมกราคม-เมษายน 2564 หน่วยจัดสรรลดลง 17-58% แต่ฟื้นตัวดีขึ้นบ้างในเดือนพฤษภาคม-มิถุนายน 2564 และคาดว่าไตรมาสสุดท้ายจะเริ่มดีขึ้นบ้าง แต่คาดว่าทุกไตรมาสจะยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย -ทิศทางการพัฒนาของดีเวลลอปเปอร์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีทิศทางเดียวกับพื้นที่อื่น ๆ คือ มุ่งเน้นพัฒนาบ้านระดับราคาสูง เพราะเป็นกลุ่มลูกค้ามีกำลังซื้อดี และลดการพัฒนาบ้านระดับราคาต่ำ เพราะได้รับผลกระทบจากเศรษฐกิจ -ภาพรวมปี 2564 คาดว่ามีหน่วยจัดสรร 36,381 ยูนิต หรือจะลดลง 23.3% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และในปี 2565 จะเพิ่มขึ้นเป็น 49,954 ยูนิต หรือเติบโต 37.3% เพราะปีนี้ถือเป็นฐานที่ต่ำ และคาดว่าปี 2568-2570 การจัดสรรจะเข้าสู่ค่าเฉลี่ยปกติ 59,800 ยูนิต ปิดแคมป์คนงานกระทบบ้านสร้างเสร็จลดลง 12.7%  -ปัญหาการก่อสร้างที่เกิดจากภาวะวัสดุก่อสร้างขึ้นราคาและการควบคุมการติดเชื้อของแคมป์คนงานก่อสร้างจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอก 4 ทำให้ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมามีหน่วยสร้างเสร็จต่ำกว่าเฉลี่ยของช่วงก่อนเกิดโควิดระบาดถึง 27% และลดลง 14.7% เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 -คาดว่าไตรมาส 3 ปีนี้ หน่วยสร้างเสร็จจดทะเบียนจะยังคงปรับตัวลงลง แต่ในไตรมาสสุดท้ายน่าจะเริ่มมีจำนวนเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ในช่วงปลายปี แต่คาดว่าทุกไตรมาสของปีนี้ จะยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย ​ -แนวทางการดำเนินงานของดีเวลลอปเปอร์ จะเน้นการขายสินค้าที่เป็นสต็อกในปัจจุบัน และเปิดโครงการใหม่น้อยลง ซึ่งเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา และส่งผลให้หน่วยสร้างเสร็จจดทะเบียนในปีนี้ลดลง -คาดว่าหน่วยสร้างเสร็จจดทะเบียนปีนี้จะลดลง 12.7% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยมีจำนวน 96,623 ยูนิต และคาดว่าในปีหน้าจะเพิ่มขึ้น 5.2% หรือจำนวน 101,664 ยูนิต และการสร้างเสร็จจดทะเบียนจะเข้าสู่ค่าเฉลี่ยของช่วงปกติในปี 2570 หรือประมาณ 124,601 ยูนิต ลดเปิดตัวใหม่เน้นขายสต็อกในมือ -การชะลอตัวของหน่วยเปิดตัวใหม่ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลอาจเป็นผลจากยอดขายที่ชะลอตัว และหน่วยเหลือขายสะสมในตลาด ซึ่งเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดระลอก 3-4 ทำให้กำลังซื้อของกลุ่มลูกค้าที่ต้องการที่อยู่อาศัยลดลง -ในไตรมาสที่ 2 มีหน่วยเปิดตัวใหม่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยถึง 76.4% จากช่วงก่อนเกิดการระบาดของไวรัสโควิด-19 -ในช่วงไตรมาสที่ 2 หน่วยเปิดใหม่หดตัวลง 46.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และคาดว่าไตรมาส 3-4 อาจจะเริ่มมีจำนวนเพิ่มขึ้นทดแทนยูนิตที่ขายได้ในช่วงที่ผ่านมา แต่คาดว่าจะเป็นการเปิดโครงการขนาดไม่ใหญ่ ทำให้ทุกไตรมาสของปีนี้จะยังคงต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีที่มีจำนวน 100,070 ยูนิตมากพอสมควร -สิ่งที่ดีเวลลอปเปอร์จะทำคาดว่าคือการเน้นขายสินค้าที่เป็นสต็อกในปัจจุบัน เปิดโครงการใหม่น้อยลง ทำให้ภาพรวมของปีนี้ คาดว่าจะมีจำนวนหน่วยเปิดใหม่ลดลง 35% โดยมีจำนวน 43,051 ยูนิต และปรับเพิ่มขึ้นในปีหน้าจำนวน 38.5% หรือมีจำนวน 59,607 ยูนิต ซึ่งคาดว่าการเปิดตัวใหม่จะเข้าสู่ค่าเฉลี่ยของช่วงปกติได้ในปี 2568-2569 10ทำเลฮิตเปิดตัวใหม่มากสุด 10 ทำเลเปิดตัวใหม่มากสุดในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ช่วง 6 เดือนแรกของปี 1.บางพลี จ.สมุทรปราการ เปิดตัวใหม่ทุกประเภทรวม 1,388 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 6,076 ล้านบาท 2.ห้วยขวาง จ.กรุงเทพฯ เปิดตัวใหม่ทุกประเภทรวม 982 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 4,797 ล้านบาท 3.บางใหญ่ จ.นนทบุรี เปิดตัวใหม่ทุกประเภทรวม 846 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 6,944 ล้านบาท 4.ลาดกระบัง จ.กรุงเทพฯ เปิดตัวใหม่ทุกประเภทรวม 754 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 3,416 ล้านบาท 5.วัฒนา จ.กรุงเทพฯ เปิดตัวใหม่ทุกประเภทรวม 692 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 8,200 ล้านบาท 6.จตุจักร จ.กรุงเทพฯ เปิดตัวใหม่ทุกประเภทรวม 668 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 6,426 ล้านบาท 7.บางกะปิ จ.กรุงเทพฯ เปิดตัวใหม่ทุกประเภทรวม 644 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 2,357 ล้านบาท 8.พระสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ เปิดตัวใหม่ทุกประเภทรวม 618 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 1,870 ล้านบาท 9.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ เปิดตัวใหม่ทุกประเภทรวม 596 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 3,808 ล้านบาท 10.พุทธมณฑล จ.นครปฐม เปิดตัวใหม่ทุกประเภทรวม 588 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 2,210 ล้านบาท -สำหรับระดับราคาที่เปิดตัวใหม่มากที่สุด 5 อันดับแรก ได้แก่ 1.ระดับราคา 3-5 ล้านบาท จำนวน 3,843 ยูนิต สัดส่วน 30.2% 2.ระดับราคา 2-2.5 ล้านบาท จำนวน 3,140 ยูนิต สัดส่วน 24.6% 3.ระดับราคา 7.5-10 ล้านบาท จำนวน 1,439 ยูนิต สัดส่วน 11.3% 4.ระดับราคา 5-7.5 ล้านบาท จำนวน 1,437 ยูนิต สัดส่วน 11.3% 5.ระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป จำนวน 910 ยูนิต สัดส่วน 7.1% โอนกรรมสิทธิ์ปี 64 ลดลง 16.2% -ไตรมาส 2 การโอนกรรมสิทธิ์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีจำนวนลดลง 4.5% หรือมีจำนวน 45,795 ยูนิตแต่มูลค่าเพิ่มขึ้น 3.3% มีมูลค่า 145,731 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนให้เห็นว่าราคาบ้านปรับราคาเพิ่มขึ้น -การโอนกรรมสิทธิ์ดังกล่าวทั้งจำนวนและมูลค่า ถือว่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี โดยจำนวนต่ำกว่าถึง 20.2% จากค่าเฉลี่ย 51,043 ยูนิต และมูลค่าต่ำกว่า 5.9% ที่มีค่าเฉลี่ย​ 154,803 ล้านบาท -ไตรมาส 3 มีแนวโน้มว่าการโอกนกรรมสิทธิ์จะลดลงต่อเนื่อง ทั้งจำนวนและมูลค่า โดยประเมินว่าจำนวนจะลดลง 22.8% หรือมีจำนวน 39,624 ยูนิต และมูลค่าเหลือ 136,118 ล้านบาท หรือลดลง 18.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน -ไตรมาส 4 มีแนวโน้มว่าจำนวนหน่วยและมูลค่าจะปรับเพิ่มขึ้น แต่หากเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ยังคงลดลง โดยจำนวนลดลง 19.9% หรือมีจำนวนหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ 45,795 ยูนิต ส่วนมูล่าลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 5.1% มีมูลค่าที่ 167,010 ล้านบาท ซึ่งเริ่มสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี -ภาพรวมปีนี้ คาดว่าจะมีหน่วยโอนกรรมสิทธิ์เหลือ 164,861 ยูนิต ลงลงจากปีที่ผ่านมา 16.2% ที่มีจำนวน 196,639 ยูนิต และห่างจากค่าเฉลี่ย -15.4% โดยมูลค่าการโอนลดลง 4.2% หรือมีมูลค่า 587,539 ล้านบาท ลดลงจากปีที่ผ่านมามีมูลค่า 613,590 ล้านบาท ซึ่งสูงค่าเฉลี่ย 12.9% -หากแยกประเภทบ้านแนวราบในปีนี้ อาจมีหน่วยโอนกรรมสิทธิ์ลดลงเหลือเพียยง 92,877 ยูนิต ลดลงจากปีที่ผ่านมา 5.2% ที่มีหน่วยโอนกรรมสิทิ์ 97,941 ยูนิต และห่างจากค่าเฉลี่ย -7.8%  โดยมีมูลค่า 350,331 ล้านบาท ลดลง 0.8% จากปีที่ผ่านมามีมูลค่า 353,217 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 17.7% -สำหรับประเภทคอนโด อาจมีหน่วยโอนจำนวน 71,984 ยูนิต ลดลง 27.1% จากปีที่มีจำนวน 98,689 ยูนิต ​ซึ่งห่างจากค่าเฉลี่ย -19.6% โดยมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ลดลง 8.9% เหลือมูลค่า 237,209 ล้านบาท ลดลงจากปี 2563 ที่มีมูลค่า 260,374 ล้านบาท ซึ่งสูงกว่าเฉลี่ย 6.6% -สถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นในปี 2565 ที่น่าจะมีจำนวน 178,906 ยูนิต และเข้าสู่ภาวะปกติในปี 2567 ซึ่งคาดว่าจะมีจำนวน 188.917 ยูนิต  โดยมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ของกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีการปรับลดลงมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2561 และน่าจะถือว่าปีนี้ลดลงต่ำสุด แต่ยังคงสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ผ่านมา สำรวจตลาดอสังหาฯ 29 พื้นที่สีแดง​ - 29 จังหวัดพื้นที่สีแดงเข้มมีสัดส่วนการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินคิดเป็นสัดส่วน 89% ของการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั่วประเทศ จากค่าเฉลี่ยตั้งแต่ปี 2558-2562 - สำหรับ 10 อันดับแรกของจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้มในปี 2563 มีสัดส่วนการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินเป็น 91% ของ 29 จังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม จะเห็นว่า 10 อันดับแรกของจังหวัดพื้นที่สีแดง ช่วงไตรมาส 2 ปีนี้ มีอัตราขยายตัวลงลง 33.1% -สำหรับการโอนกรรมสิทธิ์ในพื้นที่ 29 จังหวัดสีแดงเข้ม มีสัดส่วน 78% ของการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด -เฉพาะ 10 อันดับแรกของจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้มในปีที่ผ่านมา มีสัดส่วนการโอนกรรมสิทธิ์เป็น 88% ของ 29 จังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม จะเห็นว่า 10 อันดับแรกของจังหวัดพื้นที่สีแดง ช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้ มีอัตราขยายตัวลดลง 13.7% -สำหรับมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย 29 จังหวัดพื้นที่สีแดงเข้มมีสัดส่วนวมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์เป็น 85% ของมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมด -เฉพาะ 10 อันดับแรกของจังหวัดพื้นที่สีแดงเข้มในปี 2563 มีสัดส่วนมูลค่าการโอนเป็น 93% ของ 29 จังหวัดพื้นที่สีแดงเข้ม จะเห็นว่า 10 อันดับแรกของจังหวัดพื้นที่สีแดง ช่วงไตรมาส 2 ปีนี้มีอัตราขยายตัวมูลค่าเพิ่มขึ้น 2.4%  
10 บิ๊กอสังหาฯ กวาดยอดขายบ้านและคอนโด ไตรมาส 2 กว่า 51,650 ล้าน

10 บิ๊กอสังหาฯ กวาดยอดขายบ้านและคอนโด ไตรมาส 2 กว่า 51,650 ล้าน

10 บิ๊กอสังหาฯ ยังกวาดยอขายบ้านและคอนโดไตรมาส 2 กว่า 51,650 ล้าน ​ขณะที่ทำรายได้ 6เดือนแรกโต9.78% รายได้รวมQ2โต131% ส่วน6เดือนแรกโกยรายได้กว่า 1.12 แสนล้าน ดูเหมือนว่าแม้บ้านเราจะมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มาต่อเนื่องกว่าหนึ่งปี และได้ส่งผลกระทบกับภาวะเศรษฐกิจและกำลังซื้อในวงกว้าง แต่ผลการดำเนินงานของดีเวลลอปเปอร์พัฒนาที่อยู่อาศัย ที่เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ส่วนใหญ่ยังคงรักษาสร้างยอดขายและรายได้เอาไว้ได้ แม้ว่าบางบริษัทอาจจะทำผลงานได้ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่ก็ถือว่าภายใต้สถานการณ์ความยากลำบากของการใช้ชีวิตและดำเนินธุรกิจ ผลงานที่ยังรักษาเอาไว้ได้ทำให้มองเห็นว่า ยังสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ และบางบริษัททำผลงานได้ดีและโดดเด่นด้วย 10 บิ๊กกวาดยอดขายบ้าน-คอนโดกว่า5หมื่นล้าน สำหรับผลการดำเนินงานในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา หากวัดยอดขายเฉพาะธุรกิจที่อยู่อาศัย ประเภทบ้าน ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม ไม่รวมรายได้อื่น ๆ เช่น รายได้จากค่าบริหาร รายได้ธุรกิจโรงแรม รายได้จากดอกเบี้ย เป็นต้น  จะพบว่า 10 รายใหญ่มียอดขายกลุ่มบ้านและคอนโด รวมกว่า 51,650.15 ล้านบาท เติบโต 3.52% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 49,894.74 ล้านบาท   โดยบริษัทที่สร้างยอดขายกลุ่มบ้านและคอนโดมากที่สุด ยังเป็นบริษัท แลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ที่ทำยอดขายไปว่า 8,465.05 ล้านบาท เติบโต 17.08% จากไตรมาส 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งมียอดขาย 7,230.21 ล้านบาท ซึ่งอาจจะเป็นเพราะในช่วงไตรมาสที่ 2 ปีที่แล้ว ได้เริ่มมีมาตรการล็อกดาวน์ซึ่งทำให้คนส่วนใหญ่ ต้องกักตัวอยู่บ้าน และผู้ประกอบการต้องหากลยุทธ์มาเพิ่มยอดขาย   แม้ว่าส่วนผู้ประกอบการใหญ่ยังคงทำยอดขายได้เพิ่มขึ้น แต่มี 4 บริษัทที่ทำยอดขายลดลงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ได้แก่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ทำยอดขายบ้านและคอนโดลดลงมากที่สุดถึง 29.88% รองลงมาเป็นบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ยอดขายกลุ่มบ้านและคอนโดลดลง 25.05% ตามมาด้วย บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เฟอร์เฟค จำกัด (มหาชน) ลดลง 14.32% และบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ลดลง 0.1% (รายละเอียดตามตารางประกอบ) ยอดขายบ้าน-คอนโด6เดือนแรกโต9.78% หากดูเฉพาะยอดขายบ้านในช่วง 6 เดือนแรก ยังคงมีทิศทางเป็นบวก สามารถทำยอดขายได้เติบโต 9.78% มีมูลค่ากว่า 102,384.51 ล้านบาท โดยบมจ.เอพีฯ ทำยอดขายได้สูงสุดถึง 16,714.52 ล้านบาท แซงหน้าบมจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ที่ทำยอดขายได้ 15,605.25 ล้านบาท   แม้ส่วนใหญ่จะทำยอดขายในช่วง 6 เดือนแรกได้เติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา แต่มี 3 บริษัทที่ทำยอดขายได้ลดลง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 ได้แก่ บมจ.เฟรเซอร์สฯ ทำผลประกอบการช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ได้ 9,163.34 ล้านบาท ลดง 17.76% รองลงมาเป็น บมจ.แสนสิริ ที่ยอดขายลดลงไป 15.44% และบมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ที่ยอดขายลดลง 13.72% รายได้รวมQ2โต131%            แต่หากดูผลประกอบการโดยรวมทุกธุรกิจที่ดีเวลลอปเปอร์ดำเนินงานอยู่นั้น จะพบว่าช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา 10 ดีเวลลอปเปอร์สามารถสร้างรายได้รวมทุกธุรกิจได้เติบโตถึง 131.66%  หรือมีมูลค่า 55,876.45 ล้านบาท และสามารถทำกำไรได้ถึง 7,728.40 ล้านบาท เติบโตถึง 524.69 ล้านบาท ซึ่งเป็นเพราะไตรมาส 2 ปีที่แล้ว ธุรกิจอสังหาฯ ได้รับผลกระทบของไวรัสโควิด-19 มากที่สุด เป็นช่วงเวลาที่หลายบริษัทมียอดขายต่ำที่สุดของปี   โดยรายได้รวมของไตรมาส 2 ที่ผ่านมา มีบมจ.แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ที่ยังคงทำรายได้รวมสูงที่สุด คือ 9,153.21 ล้านบาท และยังทำกำไรได้สูงสุดเช่นกันด้วยมูลค่า 1,869.52 ล้านบาท แต่พบว่ามี 3 บริษัทที่ทำรายได้รวมลดลง ได้แก่ บมจ.แสนสิริ มีรายได้รวมลดลงมากที่สุดถึง 28.37% ตามมาด้วยบมจ.เฟรเซอร์ส ลดลง 22.12% และบมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ลดลง 12.13% 6เดือนแรกโกยรายได้กว่า 1.12 แสนล้าน แม้ว่าสถานการณ์โควิด-19 จะเพิ่มระดับความรุนแรงมาตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน แต่ด้วยศักยภาพและความสามารถในการทำธุรกิจของกลุ่มดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ 10 รายของกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ ก็ยังทำให้ช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ สามารถทำรายได้จากการดำเนินธุรกิจไปถึง 112,218.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 7.91% แม้ว่าจะมีหลายบริษัทที่รายได้รวมอาจจะลดลงจากปีที่ผ่านมาบ้าง เพราะธุรกิจอื่นที่ไม่ใช่กลุ่มที่อยู่อาศัย ได้รับผลกระทบ เช่น ธุรกิจโรงแรม หรือธุรกิจออฟฟิศให้เช่า เป็นต้น   โดยพบว่ามี 4 บริษัทที่รายได้รวมลดลง ซึ่งลดลงมากที่สุด คือ บมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ที่ลดลง 21.75% ซึ่งส่วนหนึ่งบริษัทมีธุรกิจโรงแรมที่ปีนี้ได้รับผลกระทบอย่างมาก รองลงมาเป็นบมจ.แสนสิริ ที่ลดลงไป 16.25% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ตามมาด้วยบมจ.เฟรเซอร์สฯ ที่มีรายได้รวมลดลง 16.18% และบมจ.พฤกษา ที่รายได้รวมลดลง 0.82%   แต่ในภาพรวมแล้วทุกบริษัทยังคงรักษาอัตราการทำกำไรไว้ได้ดี ส่วนใหญ่จะมีกำไรเติบโต ยกเว้นบมจ.พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค ที่ยังคงขาดทุนโดยาดทุนถึง 339.33 ล้านบาท ขาดทุนเพิ่มขึ้น 107.58% และบมจ.พฤกษา แม้ทำกำไรได้แต่อัตรากำไรลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 22.79%  
อัพเดท ตลาดอสังหาฯ ไทยครึ่งปีแรก  เปิดใหม่ลด18%สต็อกกว่า2.2แสนยูนิต

อัพเดท ตลาดอสังหาฯ ไทยครึ่งปีแรก เปิดใหม่ลด18%สต็อกกว่า2.2แสนยูนิต

ถึงเวลานี้เราได้เดินทางมาเกินครึ่งปี 2564 แล้ว แต่ดูเหมือนว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่มีทีท่าว่าจะแผ่วลงไปเลย จำนวนผู้ติดเชื้อรายวัน รวมถึงผู้เสียชีวิตยังคงสูงอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จึงทำให้หลายธุรกิจยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นตัวได้   ตลาดอสังหาริมทรัพย์ก็เช่นเดียวกัน ผ่านมากว่าครึ่งปีแล้ว ธุรกิจยังคงได้รับผลกระทบไม่ต่างธุรกิจอื่น ๆ การเปิดตัวโครงการใหม่ลดน้อยลงจนแทบจะไม่มีให้เห็น ส่วนใหญ่ยังคงเน้นการระบายสต็อกสินค้าที่มีอยู่ในมือ และขายโครงการเก่าที่เปิดตัวไปก่อนหน้า โปรโมชั่นส่งเสริมการขายยังคงแนวทางหลักที่ดีเวลลอปเปอร์ใช้ เพื่อสร้างยอดขาย ในภาวะที่กำลังซื้อชะลอตัว   โดยบทสรุปของการเปิดตัวในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาเป็นอย่างไรนั้น  ทางบริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทวิจัยและพัฒนาในเครือ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) หรือ LPN ได้ทำบทสรุปออกมาให้เห็นถึงภาพรวมของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ​ ครึ่งปีแรกเยูนิตปิดใหม่ลดลง 18% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 มีที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวนทั้งหมด 23,551 ยูนิต ลดลง 18% เมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2563 คิดเป็นมูลค่า 130,051 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 จำนวนยูนิตการเปิดตัวลดลง แต่มูลค่าสูงขึ้นเนื่องจากมีการเปิดตัวโครงการ The Forestias  ซึ่งเป็นโครงการที่มีมูลค่าสูงถึง 45,000 ล้านบาท ของบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ในไตรมาสสองของปี 2564  ทำให้มูลค่าการเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์โดยรวมในครึ่งแรกของปี 2564 สูง เมื่อเทียบกับจำนวนยูนิตที่เปิดที่ลดลง   จากยูนิตเปิดตัวทั้งหมด 23,551 ยูนิต เป็นการเปิดตัวโครงการอาคารชุด (คอนโดมิเนียม) จำนวน 9,235 ยูนิต เพิ่มขึ้น 4% มูลค่า 55,616 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 77% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 มีอัตราขายได้เฉลี่ย 29% ซึ่งสูงกว่าปีที่ผ่าน เนื่องจากในปี 2563 มีการประกาศบังคับใช้มาตรการด้านสินเชื่อ Loan to Value:LTV เป็นครั้งแรกจึงเกิดแรงกดดันต่อการตัดสินใจซื้อ บวกกับความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อของสถานบันการเงินที่เพิ่มมากขึ้น   ในขณะที่การเปิดตัวโครงการบ้านพักอาศัยในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 มีแนวโน้มลดลงเมื่อเทียบกับระยะเดียวกันของปี 2563 แต่ยังคงมีจำนวนยูนิตและมูลค่าที่มากกว่าอาคารชุด คิดเป็นสัดส่วน 61% ของยูนิตเปิดตัวทั้งหมด โดยมีการเปิดตัวโครงการบ้านพักอาศัยจำนวน 14,316 ยูนิต มูลค่า 74,435 ล้านบาท ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 หดตัว 28% และ 18% ตามลำดับเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563 แม้การเปิดตัวจะหดตัวลงแต่บ้านพักอาศัยยังมีอัตราขายได้เฉลี่ย 13% ซึ่งใกล้เคียงกับอัตราขายได้ในปี 2563   โดยโครงการบ้านพักอาศัย ประเภททาวน์เฮ้าส์ เป็นรูปแบบบ้านที่ยังคงได้รับความสนใจอย่างต่อเนื่อง ด้วยสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ทำให้ต้องการพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น คำนึงถึงระยะห่างทางสังคมกันมากขึ้น การมองหาที่อยู่อาศัยในราคาที่จับต้องได้อย่างทาวน์เฮ้าส์จึงเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจในช่วงเวลานี้ โดยมีการเปิดตัวโครงการทาวน์เฮ้าส์ใหม่เป็นจำนวน 8,568 ยูนิต มูลค่า 25,267 ล้านบาท หดตัว 35% และ 33% ตามลำดับ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2563  มีอัตราขายได้เฉลี่ย 14%   ประเภทบ้านเดี่ยว มีจำนวนยูนิตเปิดตัวใหม่ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 จำนวน 2,984 ยูนิต มูลค่า 33,499 ล้านบาท หดตัว 31% และ 16% ตามลำดับ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา มีอัตราขายได้เฉลี่ย 11% ซึ่งสูงขึ้นกว่าช่วงเวลาเดียวกันของปี 2563  เนื่องด้วยเป็นสินค้าที่มีราคาขายค่อนข้างสูง และสถานการณ์เศรษฐกิจอาจไม่ได้มีผลกระทบกับกลุ่มลูกค้าในระดับนี้มากนัก   ประเภทบ้านแฝด เป็นรูปแบบบ้านที่ได้รับความสนใจมากขึ้น มีอัตราขายได้เฉลี่ย 12% ด้วยรูปแบบบ้านที่ถูกพัฒนาให้ใกล้เคียงกับบ้านเดี่ยว บวกกับราคาขายเฉลี่ย 5-8 ล้านบาท จึงเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น โดยในครึ่งปีแรกเปิดตัวใหม่เป็นจำนวน 2,764 ยูนิต มูลค่า 15,669 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17% และ 26% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา คอนโดต่ำกว่า 3 ล้านยังครองตลาด จากการศึกษาพบว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 คอนโดในระดับราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท (Affordable Price) มีส่วนแบ่งการตลาดมากถึง 70% จากยูนิตที่ขายได้ของคอนโดทั้งหมด ซึ่งเป็นระดับราคาที่ผู้ประกอบการหลายรายเริ่มหันมาเปิด​แบรนด์ใหม่หรือพัฒนาโครงการระดับราคานี้มากขึ้น ขณะที่ตลาดบ้านพักอาศัยอย่างทาวน์เฮ้าส์ บ้านแฝดมีแนวโน้มที่ระดับราคาขายทรงตัว จากสภาวะตลาดและสภาพเศรษฐกิจที่ยังชะลอตัวในปัจจุบัน แต่ระดับราคาของบ้านเดี่ยวมีแนวโน้มปรับตัวขึ้น จากการพัฒนาโครงการมูลค่าสูงบนพื้นที่โครงการขนาดเล็กหรือขนาดกลาง โดยมีจำนวนยูนิตในโครงการไม่มากนัก ซึ่งกลุ่มลูกค้าระดับราคานี้เป็นผู้อยู่อาศัยจริง (Real Demand) ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากสภาพเศรษฐกิจมากนัก   ในขณะที่ทำเลในเขตปริมณฑล รอบกรุงเทพฯ ​ อย่าง ทำเลรังสิต ปทุมธานี และบางนา สมุทรปราการ เป็นทำเลที่ถูกพัฒนาเป็นโครงการบ้านพักอาศัยจำนวนมาก เนื่องจากเป็นทำเลที่สามารถเดินทางได้สะดวกทั้งถนนสายหลัก ทางหลวงพิเศษหรือถนนวงแหวนรอบนอก ทำให้เดินทางเข้า-ออกสู่ใจกลางเมืองหรือศูนย์กลางธุรกิจได้ง่าย แม้กระทั่งการเดินทางไปยังจังหวัดใกล้เคียง พร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในทำเล รวมถึงปัจจัยด้านราคาที่ดินที่ยังสามารถพัฒนาโครงการเพื่อทำราคาขายไม่เกิน 5 ล้านบาทได้อยู่ แต่จากเหตุการณ์การระเบิดของโรงงานอุตสาหกรรมย่านกิ่งแก้วในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา อาจทำให้การตัดสินใจเลือกซื้อทำเลที่อยู่อาศัยใกล้กับพื้นที่อุตสาหกรรมอย่างบางนานั้นยากขึ้น ใช้เวลาระบายสต็อกกว่า 2 ปีจึงจะหมด ผลจากสถานการณ์การเปิดตัวโครงการใหม่ที่หดตัวลง บวกกับอัตราการขายได้เฉลี่ยที่ลดลงในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 “ลุมพินี วิสดอม” คาดว่ายูนิตคงค้างในตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 มีแนวโน้มทรงตัวจากสิ้นปี 2563 โดยมีจำนวนทั้งหมดประมาณ 222,000 ยูนิต อาจต้องใช้เวลาในการขายประมาณ 51 เดือนเพื่อระบายยูนิตคงค้างทั้งหมด ซึ่งแบ่งออกเป็นยูนิตคงค้างประเภทคอนโดประมาณ 85,300 ยูนิต หดตัวลงจากสิ้นปีที่ผ่านมาประมาณ 6% จากการชะลอแผนและเลื่อนเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปี 2563   ในขณะที่ยูนิตคงค้างของบ้านพักอาศัยมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากสิ้นปี 2563 ประมาณ 4% เป็นจำนวนประมาณ 136,700 ยูนิต ผลจากการที่ผู้ประกอบการอสังหาฯ หันมาเน้นพัฒนาบ้านพักอาศัยมากกว่าคอนโด เพื่อตอบรับกับความต้องการที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่และมีความเป็นส่วนตัว(Privacy) มากขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์การแพร่ระบาด โควิด-19 และแนวโน้มที่ต้องทำงานที่บ้าน(Work from home) มากขึ้น นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทด้านวิจัยและพัฒนาในเครือ บริษัท แอล.พี.เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด(มหาชน) หรือ LPN  เปิดเผยว่า การเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่ลดลงในช่วงครึ่งแรกของปี 2564 เป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ในไตรมาสสองของปี 2564 ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ เลื่อนแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ ประกอบกับการที่ภาครัฐ ได้เริ่มมีการออกมาตรการที่เข้มงวดเพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล   อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการประเมินสถานการณ์ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 จะมีแนวโน้มที่ดีขึ้น แต่ยังคงมีปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดอสังหาฯ ในช่วงครึ่งปีหลัง อาทิ มาตรการปิดแคมป์ก่อสร้างในเดือนกรกฏาคม ที่ส่งผลกระทบต่อการก่อสร้าง ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถส่งมอบที่อยู่อาศัยได้ตามแผนที่วางไว้ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยในเรื่องของราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวสูงขึ้นโดยเฉพาะราคาเหล็ก ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนทางธุรกิจเพิ่มสูงขึ้น  นอกเหนือจากความสามารถในการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของ โควิด-19 ที่อาจจะยืดเยื้อจากไตรมาส 3 ไปจนถึงไตรมาส 4   ดังนั้น จำนวนยูนิตคงค้างที่อยู่ในตลาดจึงมีแนวโน้มคงที่ จากอัตราการระบายเฉลี่ยลดลง ผนวกกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน ซึ่งมีอัตราการว่างงานสูงแตะระดับ 2 ล้านกว่าคน ภาระหนี้ครัวเรือนแตะระดับ 90%  ความเชื่อมั่นผู้บริโภคลดลง แหล่งเงินทุนอย่างสถาบันการเงินมีความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยโดยมีอัตราการปฏิเสธสินเชื่อ 40-50% ซึ่งปัจจัยดังกล่าวส่งผลโดยตรงต่อกำลังซื้อที่อยู่อาศัยในตลาด และการตัดสินใจเปิดตัวโครงการใหม่ของผู้ประกอบการอสังหาฯ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ด้วย บทสรุปตลาดปี 64 ตลาดหดตัวต่อ สำหรับแนวโน้มตลาดอสังหาฯ ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 ถือว่ามีแนวโน้มที่ดีขึ้นกว่าช่วงครึ่งแรกของปี  เนื่องจากผู้ประกอบการอสังหาฯ มีแผนที่จะเปิดตัวโครงการใหม่  หลังจากที่เลื่อนการเปิดตัวโครงการใหม่หลายโครงการในช่วงครึ่งแรก  และหากรัฐบาลสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ได้ภายในไตรมาส 3 ของปีนี้ จะทำให้ผู้ประกอบการ​ ทยอยเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วงปลายไตรมาส 3 และไตรมาส 4 ทำให้คาดว่าปีนี้ ​จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ประมาณ 52,000-60,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 265,000-300,000 ล้านบาท หรือหดตัวประมาณ 5% ถึงขยายตัว 8% ในปี 2564 เทียบกับปี 2563   แต่ทั้งนี้ ถ้ารัฐบาลไม่สามารถควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ได้ภายในปี 2564 นี้ คาดว่าตลาดที่อยู่อาศัย ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะมีจำนวนยูนิตที่อยู่อาศัยที่เปิดตัวใหม่อยู่ที่ประมาณ 45,000-52,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 225,000-265,000 ล้านบาท หรือหดตัว 5% ถึง 20% ซึ่งเป็นการหดตัวต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันจากปี 2563   ถ้ารัฐบาลควบคุมการแพร่ระบาดได้ในไตรมาส 3 สามารถเร่งนำเข้าและฉีดวัคซีนได้ตามแผนที่วางไว้ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในประเทศ  ภาคการส่งออกและภาคการผลิต ยังคงสามารถเติบโตได้ต่อเนื่องตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐสามารถดำเนินการได้ตามแผน  อัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในอัตราต่ำ อาจทำให้สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยมีโอกาสกลับมาฟื้นตัวได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564