Tag : Townhome

792 ผลลัพธ์
เปิด ราคาที่อยู่อาศัย 7 โซน  เขตปทุมวันขึ้นมา 2.5 แสนต่อตร.ม.

เปิด ราคาที่อยู่อาศัย 7 โซน เขตปทุมวันขึ้นมา 2.5 แสนต่อตร.ม.

เปิดราคาที่อยู่อาศัย ในไตรมาสแรกที่ผ่านมา กับ 7 โซนที่ขยับสูง 3-6% พื้นที่ CBD ในเขตปทุมวัน ราคาขยับขึ้น 250,000 บ.ต่อตร.ม. ขณะที่ค่าเช่าในทำเลแนวรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน และแหล่งงานขนาดใหญ่ ค่าเช่าขยับสูงสุด 8% ในเขต​​ธนบุรี ด้วยราคาค่าเช่า 390 บ./ตร.ม./ด.   ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ ช่วงครึ่งปีแรก​ที่ผ่านมา เติบโตไม่หวือหวา เพราะยังเผชิญปัจจัยท้าทายรอบด้าน แม้ทิศทางเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัวแต่กำลังซื้อผู้บริโภคยังไม่แข็งแรงเพียงพอ ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นยังคงเป็นอุปสรรคในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย ส่งผลให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในไตรมาสที่ผ่านมาลดลง 2%   ขณะที่แนวโน้มราคายังไม่ฟื้นตัว ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยก็ปรับลดลงทุกประเภท หลังจากผู้ประกอบการรวมถึงผู้บริโภคที่มีสินค้าอยู่ในมือ ตรึงราคาสินค้าต้นทุนเดิม เพื่อกระตุ้นการตัดสินใจซื้อ ด้านตลาดเช่ามีแนวโน้มเติบโตอย่างน่าสนใจ หลังผู้บริโภคชะลอแผนการซื้อ ส่งผลดัชนีค่าเช่าปรับเพิ่มขึ้น 3%   แม้ภาพรวมความต้องการเช่าจะลดลงจากไตรมาสก่อนเล็กน้อย แต่เพิ่มขึ้น 17% ในรอบปี คาดการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย​ ยังเป็นตัวแปรสำคัญ​ในการตัดสินใจซื้อที่อยู่​อาศัยของผู้บริโภคระดับกลางและล่างในปีนี้ หวังความชัดเจนแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ จะเป็นตัวช่วยสำคัญพลิกฟื้น​เศรษฐกิจพร้อมกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภค ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกช่วยสร้างการเติบโตแก่ตลาดอสังหาฯ ให้กลับมาคึกคัก​อีกครั้งในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ราคาที่อยู่อาศัยปรับตัวลดลง 18% ข้อมูลล่าสุด จากรายงาน DDproperty Thailand Property Market Report Q2 2566 ซึ่งวิเคราะห์จากข้อมูลประกาศขาย-เช่าอสังหาฯ บนเว็บไซต์ DDproperty พบว่า ภาพรวมดัชนีราคาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ปรับตัวลดลง 10% จากไตรมาสก่อน (QoQ) หรือลดลง 18% จากปีก่อนหน้า (YoY) โดยมีการปรับลดลงถึง 31% จากช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ (ไตรมาส 4 ปี 2562) สะท้อนให้เห็นว่าแนวโน้มราคาที่อยู่อาศัยยังชะลอตัวต่อเนื่อง   ทั้งนี้ ดัชนีราคาที่อยู่อาศัยมีการปรับตัวลดลงทุกประเภท ซึ่งเป็นผลจากกำลังซื้อผู้บริโภคที่ยังไม่ฟื้นตัว  ผู้ประกอบการ รวมถึงผู้บริโภคที่มีสินค้าอยู่ในมือ ตรึงราคาขายของสินค้าต้นทุนเดิมไว้ และจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีเพียงทาวน์เฮ้าส์ที่มีดัชนีราคาทรงตัวจากไตรมาสก่อน ขณะที่ดัชนีราคาบ้านเดี่ยวและคอนโดมิเนียมลดลงในสัดส่วนเท่ากันที่ 4% QoQ สะท้อนให้เห็นว่าความนิยมของที่อยู่อาศัยแนวราบในปีนี้เริ่มชะลอตัวพอสมควร  หากเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ พบว่า บ้านเดี่ยวยังมีการเติบโตอย่างน่าสนใจ โดยถือเป็นที่อยู่อาศัยประเภทเดียวที่มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 6% ขณะที่ทาวน์เฮ้าส์ลดลง 5% และคอนโดฯ ลดลงมากที่สุดถึง 20%   นายวิทยา อภิรักษ์วิริยะ ผู้จัดการทั่วไป Think of Living และ ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (ฝั่งดีเวลลอปเปอร์) กล่าวว่า ปัจจัยบวกที่ช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ในช่วงครึ่งปีแรกที่หลายฝ่ายจับตามอง คือ การที่จีนเปิดประเทศ ซึ่งส่งผลให้ตลาดท่องเที่ยวและตลาดอสังหาฯ มีแนวโน้มเติบโตตามไปด้วย เนื่องจากจีนเป็นกลุ่มลูกค้าหลักที่เข้ามาซื้ออสังหาฯ ไทยมากที่สุด   อย่างไรก็ตาม แม้จะมีปัจจัยบวกจากกำลังซื้อต่างชาติที่เพิ่มขึ้น แต่ตลาดอสังหาฯ ยังคงเผชิญความท้าทายจากกำลังซื้อในประเทศเช่นกัน แม้ภาวะเงินเฟ้อจะชะลอตัวลง แต่ปัจจัยท้าทายสำคัญมาจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายติดต่อกัน ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันอยู่ที่ 1.75% ต่อปี และยังมีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอีกในอนาคต ส่งผลให้ธนาคารและสถาบันการเงินต่าง ๆ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ทุกประเภทตามไปด้วย กระทบกับผู้ที่วางแผนซื้อที่อยู่อาศัยและผู้ที่กำลังผ่อนบ้านอยู่อย่างเลี่ยงไม่ได้”   จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอนและอัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้น รวมถึงค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการซื้ออสังหาฯ ที่เพิ่มสูงขึ้น อาจส่งผลให้ความสนใจซื้อของผู้บริโภคในประเทศชะลอตัวลง  โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) ระดับกลางและล่าง ซึ่งต้องพึ่งพาสินเชื่อจากสถาบันการเงินในการกู้ซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเอง   โดยอาจต้องทบทวนความพร้อมทางการเงินและวางแผนรับมือหากต้องผ่อนบ้านในยุคดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งจะมีภาระผ่อนชำระเพิ่มขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ สถาบันการเงินยังมีเกณฑ์การพิจารณาอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวด ซึ่งจะส่งผลให้โอกาสเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในกลุ่ม Real Demand โดยเฉพาะกลุ่มที่รายได้ยังคงอ่อนแอจะมีความท้าทายยิ่งขึ้น   อย่างไรก็ตาม โครงการรีเซลหรือตลาดบ้านมือสองซึ่งมีต้นทุนราคาเดิมที่ถูกกว่า จึงอาจกลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่ต้องการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยในเวลานี้ สำหรับความท้าทายด้านการเงินและกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ยังไม่กลับมา อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ตลาดเช่ามีแนวโน้มเติบโตมากขึ้น โดยเฉพาะในทำเลแหล่งงานและแนวรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน เห็นได้ชัดจากความต้องการเช่าที่เพิ่มขึ้น 118% จากช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ และอาจกลายเป็นเทรนด์สำหรับคนยุคปัจจุบันที่ต้องการความยืดหยุ่นในการอยู่อาศัยโดยไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของ และไม่ต้องการมีภาระหนี้ระยะยาว จึงนับเป็นโอกาสของผู้ที่ต้องการซื้ออสังหาฯ เพื่อลงทุนปล่อยเช่าเช่นกัน   อย่างไรก็ตาม แน่นอนว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยังคงเป็นหัวใจสำคัญที่ภาคธุรกิจและผู้บริโภคเฝ้ารอ สิ่งที่หลายฝ่ายจับตามองต่อจากนี้ คือ ความชัดเจนของแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเข้ามาขับเคลื่อนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง แก้ปัญหาค่าครองชีพที่สูงขึ้น รวมทั้งช่วยกระตุ้นกำลังซื้อของผู้บริโภคให้กลับมาดีดังเดิม   ขณะเดียวกันผู้พัฒนาอสังหาฯ และผู้บริโภคต่างคาดหวังนโยบายที่เกี่ยวข้องกับภาคอสังหาฯ ที่จะเข้ามาเพิ่มโอกาสให้คนไทยเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้นในยุคดอกเบี้ยขาขึ้น รวมทั้งช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดอสังหาฯ ช่วงครึ่งหลังของปี 2566 ให้ฟื้นตัวดีดังเดิมเช่นกัน เกาะติดทิศทางตลาดที่อยู่อาศัย ส่วนรายงาน DDproperty Thailand Property Market Report Q2 2566 ซึ่งวิเคราะห์จากข้อมูลประกาศขาย-เช่าอสังหาฯ บนเว็บไซต์ DDproperty เผยข้อมูลเชิงลึกของตลาดอสังหาฯ ไทยในไตรมาสล่าสุด พร้อมสรุปภาพรวมดัชนีราคา และความต้องการที่อยู่อาศัยที่น่าจับตามองในตลาดซื้อและเช่า รวมทั้งอัปเดตทำเลศักยภาพที่ดัชนีราคามีแนวโน้มเติบโตอย่างน่าสนใจ ดีมานด์คนซื้อยังไม่ฟื้น ภาพรวมอุปทานหรือจำนวนที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ไตรมาสที่ผ่านมา พบว่าที่อยู่อาศัยแนวราบยังคงมีสัดส่วนเติบโตต่อเนื่อง โดยบ้านเดี่ยวมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 15% และทาวน์เฮ้าส์มีสัดส่วนที่ 11% ของจำนวนที่อยู่อาศัยทั้งหมดในกรุงเทพฯ (เพิ่มขึ้นในสัดส่วนเท่ากันที่ 3% QoQ) ด้านคอนโดฯ แม้จะครองสัดส่วนมากที่สุดในตลาดถึง 74% แต่มีสัดส่วนลดลง 6% QoQ สะท้อนให้เห็นเทรนด์ที่อยู่อาศัยในช่วงที่ผ่านมาอย่างชัดเจน หลังผู้พัฒนาอสังหาฯ ได้มุ่งเน้นไปที่การเปิดตัวโครงการแนบราบอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับผู้ขายที่มีสินค้าแนวราบต่างนำสินค้าออกมาขายมากขึ้น เพื่อรองรับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ต้องการที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น   ขณะที่ภาพรวมที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่มีราคาขายอยู่ที่ 1-3 ล้านบาท ด้วยสัดส่วนถึง 29% ของที่อยู่อาศัยทั้งหมดในกรุงเทพฯ เมื่อพิจารณาตามประเภทอสังหาฯ พบว่า คอนโดฯ (31%) และทาวน์เฮ้าส์ (44%) ส่วนใหญ่มีราคาอยู่ที่ 1-3 ล้านบาท ด้านบ้านเดี่ยวส่วนใหญ่ (41%) มีราคามากกว่า 15 ล้านบาท ซึ่งเป็นกลุ่มบ้านระดับพรีเมียมและบ้านหรูที่ตอบโจทย์กลุ่มผู้บริโภคระดับบนที่มีกำลังซื้อสูงและมีความพร้อมทางการเงิน ซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ผู้พัฒนาอสังหาฯ หันมาทำตลาดทดแทนกำลังซื้อระดับกลางและล่างที่ชะลอตัวลง   อย่างไรก็ดี ภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ ในระยะสั้นมีการปรับตัวลดลง 2% QoQ และลดลง 15% YoY ซึ่งเมื่อพิจารณาตามประเภทที่อยู่อาศัยพบว่าปรับลดลงใกล้เคียงกัน โดยบ้านเดี่ยวลดลงมากที่สุด 3% QoQ และคอนโดฯ ลดลง 2% QoQ มีเพียงทาวน์เฮ้าส์ที่ถือเป็นที่อยู่อาศัยประเภทเดียวที่มีดัชนีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้น 1% QoQ หากเปรียบเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ จะพบว่าภาพรวมความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นถึง 44% และมีความต้องการเพิ่มขึ้นอย่างมากในทุกประเภทที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะแนวราบที่มีการเติบโตอย่างเห็นได้ชัด โดยบ้านเดี่ยวมีความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นมากถึง 60% ตามมาด้วยทาวน์เฮ้าส์ และคอนโดฯ (เพิ่มขึ้น 47% และ 38% ตามลำดับ) ดังนั้น แม้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยจะชะลอตัวลงในระยะสั้นในรอบไตรมาส แต่หากมองในระยะยาวยังมีสัญญาณที่ดี 7 ทำเลราคาที่อยู่อาศัยปรับขึ้นสูง สำหรับทำเลที่มีดัชนีราคาที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบไตรมาส ปัจจุบันเริ่มกลับมาอยู่ในย่านใจกลางเมือง และพื้นที่นอกเขตศูนย์กลางธุรกิจแล้ว ต่างจากรอบก่อนหน้าที่ทำเลส่วนใหญ่เป็นพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอก โดยทำเลที่น่าจับตามองในไตรมาสนี้ส่วนใหญ่จะอยู่ในทำเลแนวรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน ได้แก่ 1.เขตปทุมวัน เขตปทุมวัน ถือเป็นทำเล CBD ที่มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุด โดยเพิ่มขึ้น 6% QoQ (เพิ่มขึ้น 4% YoY) หรือมีราคาเฉลี่ย 250,000 บ./ตร.อานิสงส์จากการเป็นทำเลใจกลางเมืองหลวงที่มีศูนย์การค้าขนาดใหญ่ และเป็นแหล่งงาน รวมทั้งใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสุขุมวิท 2.เขตสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ ทำเลนอก CBD ถือเป็นทำเลแหล่งการค้าขนาดใหญ่ เดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หัวลำโพง-หลักสอง มีราคาเฉลี่ย 105,000 บ./ตร.ม. มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 4% QoQ (เพิ่มขึ้น 4% YoY) 3.เขตบางคอแหลม เขตบางคอแหลม ทำเลนอก CBD มีดัชนีราคาเฉลี่ย 110,000 บ./ตร.ม. เพิ่มขึ้น 4% QoQ (ลดลง 7% YoY) ทำเลแหล่งงานย่านพระราม 3 ใกล้สาทร-สีลม ความน่าสนใจอยู่ที่ปัจจุบันยังมีโครงการพัฒนาต่อเนื่อง เช่น ศูนย์การค้าขนาดใหญ่ 4.เขตคลองสาน เขตคลองสาน ทำเลนอก CBD ราคาเฉลี่ย 134,000 บ./ตร.ม. มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 3% QoQ (เพิ่มขึ้น 5% YoY) อีกหนึ่งทำเลศูนย์การค้าขนาดใหญ่ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีทอง กรุงธนบุรี-คลองสาน 5.เขตคลองสามวา เขตคลองสามวา มีราคาเฉลี่ย 23,000 บ./ตร.ม. หรือมีค่าดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 3% QoQ (เพิ่มขึ้น 3% YoY) เป็นทำเลพื้นที่กรุงเทพฯ รอบนอก ที่มีที่อยู่อาศัยส่วนใหญ่เป็นสินค้าแนวราบ ซึ่งตอบโจทย์กลุ่มผู้ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง (Real Demand) 6.เขตวัฒนา ​ เขตวัฒนา มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 3% QoQ (ลดลง 2% YoY) หรือมีราคาเฉลี่ย 152,000 บ./ตร.ม. เนื่องจากเป็นทำเลธุรกิจสำคัญของกรุงเทพฯ เป็นแหล่งงานขนาดใหญ่ และใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสุขุมวิท 7.เขตหลักสี่    เขตหลักสี่ มีดัชนีราคาเพิ่มขึ้น 3% QoQ (ลดลง 25% YoY) มีราคาเฉลี่ย 48,000 บ./ตร.ม. เติบโตจากอานิสงส์ของรถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ที่เชื่อมต่อการเดินทางไปยังใจกลางเมืองให้ง่ายขึ้น ที่อยู่แนวรถไฟฟ้าค่าเช่าขยับสูงสุด 8% ภาพรวมดัชนีค่าเช่าในกรุงเทพฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 3% QoQ หรือเพิ่มขึ้น 3% YoY แต่ยังต่ำกว่าช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ อยู่ถึง 10% โดยเมื่อแบ่งตามประเภทที่อยู่อาศัยพบว่า มีเพียงทาวน์เฮ้าส์เท่านั้นที่มีดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 2% QoQ (ทรงตัวจากปีก่อนหน้า) ขณะที่บ้านเดี่ยวลดลง 6% QoQ (ลดลง 18% YoY) ด้านคอนโดฯ ยังทรงตัวจากไตรมาสก่อน (เพิ่มขึ้น 2% YoY)   อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ พบว่า ดัชนีค่าเช่าของที่อยู่อาศัยแนวราบยังมีทิศทางเติบโต โดยบ้านเดี่ยวมีดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 8% และทาวน์เฮ้าส์ เพิ่มขึ้น 4% สวนทางกับคอนโดฯ ที่ดัชนีค่าเช่าปรับลดลงถึง 12% จากช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ สะท้อนให้เห็นว่าตลาดเช่าคอนโดฯ ยังมีการแข่งขันสูง ผู้ให้เช่าบางส่วนจึงใช้กลยุทธ์ปรับลดราคาให้สอดคล้องกับกำลังซื้อของผู้บริโภคเพื่อดึงดูดการตัดสินใจเช่า   ด้านจำนวนที่อยู่อาศัยสำหรับเช่านั้น แม้คอนโดฯ จะครองสัดส่วนมากที่สุดถึง 93% ของจำนวนที่อยู่อาศัยสำหรับเช่าทั้งหมดในกรุงเทพฯ แต่มีสัดส่วนลดลง 2% QoQ ต่างจากจำนวนที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีการปรับเพิ่มในรอบไตรมาส ส่งผลให้บ้านเดี่ยวมีสัดส่วนเพิ่มมาอยู่ที่ 4% และทาวน์เฮ้าส์มีสัดส่วนอยู่ที่ 3% (เพิ่มขึ้นในสัดส่วนเท่ากันที่ 1% QoQ) ทำให้ตลาดเช่ามีตัวเลือกที่อยู่อาศัยแนวราบที่หลากหลายและตอบโจทย์ความต้องการของผู้เช่าที่มีครอบครัวมากขึ้น   สำหรับภาพรวมดัชนีความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ แม้จะปรับลดลง 3% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 17% YoY เมื่อพิจารณาตามประเภทที่อยู่อาศัยพบว่า มีเพียงทาวน์เฮ้าส์ที่ดัชนีความต้องการเช่าเพิ่มขึ้น 7% QoQ ขณะที่บ้านเดี่ยวลดลง 8% QoQ และคอนโดฯ ลดลง 3% QoQ   ทั้งนี้ ดีมานด์ในตลาดเช่ายังมีทิศทางเติบโตน่าสนใจ โดยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ พบว่าดัชนีความต้องการเช่าที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ เพิ่มขึ้นถึง 118% และปรับเพิ่มขึ้นทุกประเภทที่อยู่อาศัย โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยแนวดิ่งอย่างคอนโดฯ ที่ยังคงครองความนิยมในตลาดเช่า โดยมีดัชนีความต้องการเช่าเพิ่มขึ้น 143% จากช่วงก่อนเกิดการแพร่ระบาดฯ ตามมาด้วยบ้านเดี่ยว และทาวน์เฮ้าส์ (เพิ่มขึ้น 36% และ 24% ตามลำดับ) 5 ทำเล ค่าเช่าที่อยู่เพิ่มขึ้นมากสุด ทำเลที่มีดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้นมากที่สุดในรอบไตรมาส ส่วนใหญ่อยู่ในทำเลแนวรถไฟฟ้าสายปัจจุบัน และเป็นทำเลแหล่งงานขนาดใหญ่ซึ่งมีความต้องการที่อยู่อาศัยสูงตามไปด้วย โดย 5 ทำเล ค่าเช่าที่อยู่เพิ่มขึ้นมากสุด ได้แก่ 1.เขตธนบุรี เขตธนบุรี ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้นถึง 8% QoQ (เพิ่มขึ้น 8% YoY) มีค่าเช่า 390 บ./ตร.ม./ด. ความน่าสนใจอยู่ที่เป็นทำเลใกล้ย่านธุรกิจ และสามารถเดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้าสายสีเขียว สายสีลม 2.เขตสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 8% QoQ (ทรงตัวจากปีก่อนหน้า) ด้วยค่าเช่า 360 บ./ตร.ม./ด. ซึ่งถือ เป็นทำเลแหล่งการค้าขนาดใหญ่ ได้อานิสงส์จากโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หัวลำโพง-หลักสอง 3.เขตดินแดง เขตดินแดง ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 7% QoQ (เพิ่มขึ้น 8% YoY) ด้วยค่าเช่า 460 บ./ตรม./ด. ซึ่งเป็นทำเลศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพฯ (CBD) แห่งใหม่ ใกล้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน หัวลำโพง-บางซื่อ 4.เขตสายไหม เขตสายใหม ในทำเลกทม.รอบนอก มีดัชนีราคาค่าเช่า 280 บ./ตรม./ด. เพิ่มขึ้น 5% ​QoQ (เพิ่มขึ้น 5% YoY) ทำเลใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว ส่วนต่อขยาย หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต 5.เขตประเวศ เขตประเวศ ดัชนีค่าเช่าเพิ่มขึ้น 5% QoQ (เพิ่มขึ้น 2% YoY) ค่าเช่า 270 บ./ตรม./ด. ถือเป็นทำเลกทม.รอบนอก ที่เดินทางสะดวกทั้งจากรถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์ พญาไท-สนามบินสุวรรณภูมิ และรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ไนท์แฟรงค์ มองตลาดอสังหาฯ ปี 66   “ท่องเที่ยว-ไมซ์-บ้านหรู” ตัวเร่งกำลังซื้อ -ส่องตลาดอสังหาฯ 66 ท่ามกลางปัจจัยบวก-ลบ มีดีมานด์บ้าน-คอนโด 1.2 แสนยูนิต
เปิดแอร์พร้อมพัดลม ช่วยประหยัดไฟจริงมั๊ย?

เปิดแอร์พร้อมพัดลม ช่วยประหยัดไฟจริงมั๊ย?

เปิดแอร์พร้อมพัดลม ช่วยประหยัดไฟจริงมั๊ย?  มาไขคำตอบกัน เพราะแม้ว่าเดือนเมษายน ซึ่งเป็นเดือนที่ประเทศไทยร้อนที่สุดแห่งปี ได้ผ่านพ้นไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเมืองไทยจะมีอากาศเย็น เมืองไทยยังคงร้อนเป็นปกติ ซึ่งนั่นหมายความว่า เรายังคงต้องพึ่งพาการเปิดเครื่องปรับอากาศ หรือพัดลม เพื่อช่วยทำให้ห้องเย็น ทำให้เรายังต้องเสียเงินค่าไฟฟ้าที่สูงอยู่ดี   แต่ก็ยังนับว่าเรายังโชคดี ที่ช่วงระยะเวลา 4 เดือนนี้ คือ พฤษภาคม-สิงหาคม รัฐบาลออกมาตรการมาช่วยลดภาระค่าไฟ จากราคาค่าไฟที่ปรับขึ้นมาแล้ว ดังนั้น แนวทางสำคัญที่จะช่วยลดภาระให้กับเงินในกระเป๋าเราได้ คือ การใช้ไฟอย่างคุ้มค่า หากสามารถประหยัดไฟได้ก็ต้องทำ โดยเฉพาะการเลือกแอร์ที่ประหยัดไฟได้ตั้งแต่ต้น รวมถึงการเลือกติดแอร์ให้เหมาะสมกับขนาดของห้องด้วย เปิดแอร์ 1 ชั่วโมง เสียค่าไฟเท่าไร แล้วรู้หรือไม่ว่า แอร์ที่มี BTU แตกต่างกัน เราต้องเสียค่าไฟชั่วโมงละกี่บาท หากคิดตามราคาค่าไฟที่หน่วยละ 2.3488 บาท (อัตราค่าไฟ 1-15 หน่วยแรก) แอร์ 12000 BTU เสียค่าไฟ ชั่วโมงละ 1.37 บาท แอร์ 18000 BTU เสียค่าไฟ ชั่วโมงละ 1.88 บาท ดังนั้น ถ้าจะหาว่าเดือนหนึ่งเราเสียค่าไฟกี่บาท ก็ให้คูณจำนวนชั่วโมงที่เปิด คูณจำนวนวันที่เปิดใช้ และในบ้านมีแอร์กี่เครื่องก็นับรวมกัน จะเป็นค่าไฟที่ต้องเสียแต่ละเดือน แต่ทั้งนี้ ราคาที่เราคำนวณมาให้เป็นค่าไฟโดยประมาณ อาจจะต้องพิจารณาจากปัจจัยอื่น ๆ เช่น การดูแลรักษาแอร์ เทคโนโลยีของแอร์ ระบบแอร์รุ่นใหม่หรือเก่า เป็นต้น   (หมายเหตุ -ค่าไฟดังกล่าว คำนวณจากแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์, ราคายังไม่รวมค่าบริการ 8.19 บาท ค่า Ft หน่วยละ 0.9827 บาท และค่า Vat 7%) เปิดแอร์พร้อมพัดลม ช่วยประหยัดไฟจริงมั๊ย? ตามคำแนะนำของการไฟฟ้าที่ออกมาระบุว่า หากต้องการประหยัดไฟ ให้เปิดแอร์ที่ระดับ 27 องศา ควบคู่กับการเปิดพัดลม จะช่วยประหยัดไฟได้ ซึ่งก็ถือว่าเป็นความจริง เนื่องจากมีงานวิจัย จากดร.มานพ แจ่มกระจ่าง จากมหาวิทยาลัยบูรพา ทำการศึกษาทางเลือกการตั้งอุณหภูมิเคลื่องปรับอากาศที่เหมาะสมเพื่อการประหยัดพลังงาน ด้วยการเปิดแอร์ในระดับอุณหภูมิ 25-27 องศา กับแอร์ที่มีขนาด BTU 9000-18000 พบว่าถ้าตั้งอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 1 องศา จะประหยัดไฟเฉลี่ย 20%   ดังนั้น ถ้าหากใครต้องการประหยัดค่าไฟ จากการเปิดแอร์ให้ลดลง ก็อาจจะต้องเปิดพัดลมช่วยด้วยอีกทางหนึ่ง แต่ทางที่ดี เราควรเลือกแอร์ที่มีประสิทธิภาพประหยัดไฟได้สูงสุดเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะทำการติดตั้งแอร์ แม้ว่าจะมีราคาสูงกว่ารุ่นทั่วไปก็ตาม รวมถึง หากติดตั้งแอร์ระบบอินเวอร์เตอร์ ก็พบว่าสามารถประหยัดไฟได้ดีกว่าแอร์ปกติถึง 30-35% ด้วย และเราคงต้องดูแลรักษาแอร์ให้อยู่ในสภาพที่ดี ล้างแอร์เป็นประจำตลอดอายุการใช้งาน   ที่มา- การไฟฟ้านครหลวง, การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค, ช่างสามัญประจำบ้าน   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -แอร์ส่งกลิ่นเหม็นอับ ทำไงดี  
แสนสิริ ตุนยอดโอน 4 เดือนแรก โต 28% กวาดรายได้แล้ว 9,200 ล้าน 

แสนสิริ ตุนยอดโอน 4 เดือนแรก โต 28% กวาดรายได้แล้ว 9,200 ล้าน 

แสนสิริ เผยยอดโอน 4 เดือน พุ่ง 9,200 ล้านบาท โตจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 28% เดินหน้าเปิดตัวแคมเปญไตรมาส 2 ดีลดี …โอนลี่ ยู! บ้าน ลดสูงสุด 3 ล้าน*  พร้อมลุ้นกำไรไตรมาสแรกเติบโตโดดเด่น พร้อมได้แรงหนุนกำไรพิเศษจากการขายกิจการโรงเรียน   นายอุทัย  อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฏิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI เปิดเผยว่า ช่วง 4 เดือนแรกของปี บริษัทมียอดโอนโครงการที่อยู่อาศัยทุกประเภท ที่สร้างเสร็จและส่งมอบให้กับลูกค้าแล้วถึง 9,200 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 28% แบ่งเป็นยอดโอนจากคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ 3,900 ล้านบาท จากโครงการ อาทิ XT พญาไท และ XT ห้วยขวาง ขณะที่โครงการแนวราบมียอดโอน 5,300 ล้านบาท จากโครงการ นาราสิริ กรุงเทพกรีฑา และ บุราสิริ กรุงเทพกรีฑา     ในช่วงไตรมาสที่ 2 แสนสิริจึงรุกต่อยอดเปิดตัวแคมเปญ “ดีลดี …โอนลี่ ยู!” บ้านลดสูงสุด 3 ล้านบาท* คอนโดรับรถทุกยูนิต* ทาวน์โฮม รับคืนสูงสุด 3 แสน อาทิ โครงการบุราสิริ วัชรพล ใกล้ทางด่วนรามอินทรา - อาจณรงค์ รับเพิ่ม 1 ล้านบาท*, โครงการเศรษฐสิริ กรุงเทพ – ปทุมธานี บ้านวิวสนามกอล์ฟ ในเฟสส่วนตัว รับโปรสูงสุด 2 ล้านบาท* ทาวน์โฮม สิริ เพลส พัฒนาการ ทาวน์โฮมพร้อมอยู่สไตล์ปารีส ราคา 3.39 – 5 ล้านบาท* พร้อมรับคืนสูงสุด 2 แสนบาท*ฟรีทุกค่าใช้จ่ายวันโอน คอนโด เดอะ เบส เพชรบุรี - ทองหล่อ ใกล้ทองหล่อเพียง 2 นาที* เริ่ม 3.79 ล้านบาท* รับ ORA Good Cat 500 UL* โอกะ เฮาส์ สุขุมวิท 36 ใกล้ BTS ทองหล่อ เริ่ม 4.39 ล้านบาท* รับคืนสูงสุด 7 แสนบาท* และ XT พญาไท คอนโดพร้อมอยู่ ใกล้ BTS พญาไท เริ่ม 4.99 ล้านบาท* รับ ORA Good Cat 500 UL*  เมื่อจองและโอนภายใน 30 มิถุนายนนี้เท่านั้น ที่ทุกโครงการจากแสนสิริ   ขณะที่แนวโน้มกำไรไตรมาสแรกของแสนสิริ คาดว่าจะเติบโตสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการโอนต่อเนื่องของโครงการ อาทิ นาราสิริ กรุงเทพกรีฑา และ บุราสิริ กรุงเทพกรีฑา ที่มีมาร์จิ้นสูง รวมถึงคอนโด อย่าง XT พญาไท นอกจากนี้ยังมีแรงหนุนจากการขายกิจการโรงเรียนสาธิตพัฒนา ทำให้รับรู้กำไรพิเศษ (หลังภาษี) ประมาณ 400 – 500 ล้านบาท รวมกับแผนรุกธุรกิจในการเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้ ทำให้คาดว่าจะผลักดันกำไรสุทธิปี 2566 นี้ให้ทำ New High ต่อเนื่องได้แน่นอน   สำหรับแผนธุรกิจในไตรมาส 2 แสนสิริรุกเดินหน้าต่อ ด้วยแผนเปิดตัวโครงการใหม่อีกประมาณ 8 โครงการ มูลค่ารวม 13,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบที่ครอบคลุมทุกระดับราคา ทั้งทาวน์โฮมแบรนด์ สิริ เพลส ที่เตรียมเปิดตัว สิริ เพลส ลาดพร้าว101 ยืนหนึ่งทาวน์โฮมใหม่ใจกลางเมือง บนทำเลลาดพร้าว – เลียบด่วนฯ ราคาเริ่มต้น 4.5 ล้านบาท* ใจกลางทำเลบ้านระดับ Luxury ตั้งแต่ 20 – 350 ล้านบาท เตรียมเปิดให้ชมโครงการครั้งแรก 20 - 21 พฤษภาคมนี้ นอกจากนี้ ยังเตรียมเปิดตัว อณาสิริ มิกซ์โปรดักส์ บ้านและทาวน์โฮมในโครงการเดียว ตอบรับความต้องการที่หลากหลาย ภายใต้แนวคิดการอยู่อาศัย Feel Just Right  ความพอดีที่ลงตัว 3 โครงการใหม่ และบ้านเดี่ยวแบรนด์ฮาบิเทีย ไพร์ม 2 ติดถนนใหญ่ บนทำเลราชพฤกษ์ ต่อยอดความสำเร็จจากโครงการแรก เตรียมเปิดตัวบ้านเดี่ยวหลังแรกของครอบครัว ซีรีส์ Modern Farmhouse แบรนด์สราญสิริ และแบรนด์บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี “เศรษฐสิริ” ที่ในปีนี้ จะมีความเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ของแบรนด์บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี ระดับราคา 12 – 40 ล้านบาท* ที่เจาะกลุ่ม Target อายุน้อยลง ประสบความสำเร็จเร็ว ด้วยการเปิดตัว New Design Series ภายใต้แนวคิด Portrait of Success กับ 4 ดีไซน์ใหม่   เปิดตัวด้วยโครงการแรก “เศรษฐสิริ ดอนเมือง” ในดีไซน์ใหม่ล่าสุด สไตล์ “Georgian” จอร์เจียน แรงบันดาลใจจากบ้านของเหล่าเศรษฐีอเมริกัน ที่หรูหราสง่างาม แต่ยังคงความคลาสสิกไว้ ในแบบฉบับของแบรนด์เศรษฐสิริ บนทำเลดอนเมือง เพียง 2 นาที จากรถไฟฟ้าสายสีแดงสถานีดอนเมือง และ 5 นาทีจากสนามบินดอนเมือง ราคาเริ่มต้น 20 - 40 ล้านบาท* เตรียมเปิดขายในเดือนพฤษภาคมนี้  ขณะที่ไฮไลท์การเปิดตัวคอนโดมิเนียมในช่วงไตรมาส 2  แสนสิริ  เตรียมเปิดตัว “dcondo hype rangsit” (ดีคอนโด ไฮป์ รังสิต) เริ่มเพียง 1.3x ลบ.* ปักหมุด 250 เมตร จากมหาวิทยาลัยกรุงเทพ* ติดถนนใหญ่พหลโยธิน ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ไตรมาส 2 มีแรงหนุนจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ รวมทั้งความคึกคักของตลาดการท่องเที่ยว ที่ส่งผลต่อเนื่องถึงความต้องการที่อยู่อาศัย ขณะที่ภาคเอกชนรายใหญ่ต่างเริ่มมีความมั่นใจในการช่วยกันขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่และมอบแคมเปญการตลาดสู่กลุ่มลูกค้าอย่างต่อเนื่อง       อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -แสนสิริ เปิดทำเลโครงการใหม่ปี 66 บักหมุดพื้นที่กรุงเทพฯ​ และอีก 6 จังหวัด
บริทาเนีย  ผนึกเจ้าของ  ม.เกษมบัณฑิต  ปั้นโปรเจ็กต์ 34 ไร่ บนถนนร่มเกล้า

บริทาเนีย ผนึกเจ้าของ ม.เกษมบัณฑิต ปั้นโปรเจ็กต์ 34 ไร่ บนถนนร่มเกล้า

เกษมบัณฑิต บริทาเนีย จับมือตระกูล สุวรรณดี เจ้าของ ผู้ก่อตั้ง “มหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต” ปั้นโครงการบ้านเดี่ยว “แกรนด์ บริทาเนีย กรุงเทพกรีฑา-ร่มเกล้า” มูลค่าโครงการกว่า 1,500 ล้าน บนที่ดินกว่า 34 ไร่     นายสุรินทร์ สหชาติโภคานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI เปิดเผยว่า ภายหลังจากที่บริษัทได้ประกาศโมเดลธุรกิจ “Your Land to New Business” เปิดโอกาสให้เจ้าของที่ดินในทำเลศักยภาพทั่วประเทศ ได้ร่วมทุน (Joint Venture) พัฒนาโครงการบ้านจัดสรรร่วมกัน เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน ล่าสุด บริษัทได้บรรลุข้อตกลงกับบริษัท เกษมบัณฑิต จำกัด ของตระกูล “สุวรรณดี” เจ้าของที่ดินผืนศักยภาพฝั่งกรุงเทพฯ ตะวันออก ผู้ริเริ่มและก่อตั้งมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการบ้านจัดสรร “แกรนด์ บริทาเนีย กรุงเทพกรีฑา-ร่มเกล้า” (Grand Britania Krungthep Kreetha – Romklao) โครงการดังกล่าวออกแบบเป็นโครงการบ้านเดี่ยว และบ้านซีรีส์ใหม่ 2 ชั้น ระดับ High-End ด้วยขนาดพื้นที่ใช้สอย 205 – 285 ตารางเมตร จำนวน 128 ยูนิต โดยมีพื้นที่ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพ บนถนนร่มเกล้า สามารถเลือกเดินทางได้หลากหลายเส้นทาง เชื่อมกับถนนศรีนครินทร์-ร่มเกล้า และถนนมอเตอร์เวย์ เดินทางไปสนามบินสุวรรณภูมิเพียง 8.5 กม. รถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์เพียง 10 กม. ใกล้โรงพยาบาลสิรินธร โรงเรียนสารสาสน์ วิเทศน์ร่มเกล้า โรงเรียนเทพศิรินทร์ร่มเกล้า สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าคุณทหารลาดกระบัง มีแหล่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งบิ๊กซี The Paseo Mall โรบินสัน โดยโครงการมีจุดเด่นที่ดีไซน์และการออกแบบให้เป็นบ้านของคนยุคใหม่ ที่มีนวัตกรรมเพื่อการอยู่อาศัย พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตให้สะดวกและปลอดภัยมากขึ้น   นายสุรินทร์ กล่าวว่า การร่วมทุนกับกลุ่มเกษมบัณฑิตในครั้งนี้ เป็นการตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นของพันธมิตรในศักยภาพของ BRI กับการเป็นผู้พัฒนาอสังหาฯ ชั้นนำของประเทศที่มุ่งเน้นการยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างความสุขให้แก่ผู้อยู่อาศัย และวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจของบริษัทที่มีความชำนาญ เข้าใจดีมานด์ของตลาด มุ่งมั่นในการปรับและพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อตอบสนองความความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคปัจจุบัน ซึ่งนับเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่จะสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจอย่างก้าวกระโดด และช่วยผลักดันให้บริษัทก้าวขึ้นเป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศ ด้านดร. สุวัฒน์ สุวรรณดี ผู้บริหารใหญ่กลุ่มเกษมบัณฑิต กล่าวเปิดเผยว่า บริษัทมองหาพันธมิตรที่มีความแข็งแกร่ง มีความสามารถเพื่อร่วมกันสร้างโอกาสในการเติบโตร่วมกันในอนาคต โดยบริทาเนีย เป็นบริษัทมหาชนที่มีความมั่นคง มีศักยภาพ และเชื่อมั่นในประสบการณ์ที่มีความเชี่ยวชาญในการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรในทุก          เซ็กเมนท์ ที่จะมาช่วยยกระดับที่อยู่อาศัยของคนไทย ผ่านการออกแบบ ดีไซน์ ฟังก์ชัน นวัตกรรมที่ตรงใจ และยังเล็งเห็นถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์ “แกรนด์ บริทาเนีย” ซึ่งเป็นแบรนด์ที่มีศักยภาพสูง ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง บริษัทจึงมั่นใจและตัดสินใจร่วมทุนพัฒนาโครงการประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบเป็นครั้งแรก   ส่วนดร.เสนีย์ สุวรรณดี ผู้บริหารใหญ่กลุ่มเกษมบัณฑิต กล่าวเสริมว่า ในอดีตที่ผ่านมาเราเคยอยู่ในธุรกิจการพัฒนาอสังหาฯ มาก่อน และได้ผันตัวเองเข้าสู่วงการด้านการศึกษา  ด้วยการจัดการศึกษาภาคเอกชนตั้งแต่ระดับอนุบาล ประถมศึกษา มัธยมศึกษา อาชีวศึกษา จนถึงระดับมหาวิทยาลัย ความร่วมมือกับ บมจ.บริทาเนีย ครั้งนี้ ​นับเป็นครั้งแรกที่เราก้าวกระโดดมาเข้าร่วมทำธุรกิจอสังหาฯ ที่เป็นโครงการขนาดใหญ่ เรามองว่าธุรกิจด้านอสังหาฯ ยังมีทิศทางการเติบโต และผู้บริโภคยังมีความต้องการที่พักอาศัยอย่างต่อเนื่อง เพราะที่อยู่อาศัยเป็นหนึ่งในปัจจัยสี่ที่จำเป็นในการดำรงชีวิต การร่วมทุนในครั้งนี้ จะเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับทรัพย์สินที่ถือครองอยู่ให้สูงขึ้น และยังเป็นโอกาสอันดีในการเรียนรู้ประสบการณ์และองค์ความรู้ในด้านการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่จากบริทาเนีย บริษัท เกษมบัณฑิต จำกัด เป็นบริษัทที่รับใบอนุญาตในการจัดตั้งมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิต ที่เปิดสอนในระดับปริญญาตรี-โท-เอกกว่า 50 หลักสูตร มีนักศึกษาทั้งไทยและต่างชาติกว่า 10,000 คน ปัจจุบันมหาวิทยาลัยเกษมบัณฑิตมี 2 วิทยาเขตคือวิทยาเขตพัฒนาการ และวิทยาเขตร่มเกล้า   อ่านข่าวเพิ่มเติม -บริทาเนีย วางเป้า 3 ปี ติดTop 5 ตลาดบ้าน พร้อมลุยต่างจังหวัดจับคนระดับท็อป
เอสซีจี ตั้งเป้าโต 200% ลุยตลาดโซลาร์รูฟ ส่ง SCG Solar Expert Station รุกตลาด ตั้งเป้าโต 200% รับค่าไฟพุ่ง

เอสซีจี ตั้งเป้าโต 200% ลุยตลาดโซลาร์รูฟ ส่ง SCG Solar Expert Station รุกตลาด ตั้งเป้าโต 200% รับค่าไฟพุ่ง

โซลาร์รูฟ เอสซีจี  ส่งเทคโนโลยีและนวัตกรรมเพื่อที่อยู่อาศัย เอสซีจี โซลาร์รูฟ โซลูชัน ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 200% ภายในปี 2566 ชูกลยุทธ์ด้วย SCG Solar Expert Station สร้างจุดเชื่อมระหว่างลูกค้าและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านโซลาร์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า      นายวชิระชัย คูนำวัฒนา Head of Smart System Solution Business ในธุรกิจซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี เปิดเผยว่า จากปัญหาค่าไฟที่ปรับสูงขึ้น และพฤติกรรมการใช้ไฟฟ้า ในเวลากลางวันของผู้อยู่อาศัยมากขึ้น  ส่งผลให้ค่าไฟสูงขึ้นเฉลี่ย 30-50% และผู้บริโภคส่วนใหญ่หันมาใช้พลังงานทดแทนเพิ่มมากขึ้นถึง 12-15% และคาดการณ์ว่าภายในปี 2050 สัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนของโลกจะสูงขึ้นถึง 85% ซึ่งสามารถชี้วัดได้ว่าการใช้พลังงานแสงอาทิตย์มีแนวโน้มเพิ่มสูงตามลำดับ อาทิ การใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว รวมไปถึงปัจจัยร่วมต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น อัตราค่าไฟฟ้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตลอดในช่วงที่ผ่านมา ภาครัฐมีมาตรการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าผันแปรอัตโนมัติ (Ft) ประกอบกับด้านเทคโนโลยีในการติดตั้งและต้นทุนวัสดุอุปกรณ์ที่ถูกลง ไปจนถึงผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์นำระบบโซลาร์รูฟเข้ามาใช้เป็นอุปกรณ์พื้นฐานสำหรับโครงการที่อยู่อาศัย ตลอดจน Solar Energy Trading การซื้อขายพลังงานไฟฟ้าระหว่างครัวเรือน ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต ล้วนแล้วแต่มีส่วนช่วยเร่งให้พลังงานทางเลือกเพิ่มระดับความนิยมที่เข้มข้น รวมถึงผลักดันให้ตลาดโซลาร์รููฟเติบโตได้ดียิ่งขึ้น   เอสซีจี โซลาร์ รูฟ โซลูชัน ในฐานะผู้นำและผู้เชี่ยวชาญด้านนวัตกรรมระบบหลังคาโซลาร์ พร้อมโซลูชันครบวงจร ได้เล็งเห็นเทรนด์และแนวโน้มความนิยมด้านพลังงานสะอาด หรือพลังงานทดแทน จึงได้พัฒนานวัตกรรมหลังคาโซลาร์รูฟมาไม่น้อยกว่า 10 ปี โดยให้บริการติดตั้งระบบหลังคาโซลาร์แบบครบวงจร พัฒนาสินค้านวัตกรรมให้มีคุณภาพ โดยเฉพาะระบบการยึดติดแผงโซลาร์โดยไม่ต้องเจาะหลังคา เพื่อลดความเสี่ยงเรื่องหลังคารั่วด้วย Solar FIX ตลอดจนพัฒนาสินค้าและบริการให้เข้ากับทุกไลฟ์สไตล์การใช้ไฟฟ้าในบ้านอย่างครอบคลุมและเกิดประสิทธิภาพสูงสุด   ทั้งนี้  เพื่อขับเคลื่อนและผลักดันให้พลังงานสะอาดสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายยิ่งขึ้น ซึ่งยอมรับว่าเป็นความท้าทายอย่างมากในการทำการตลาดระบบหลังคาโซลาร์ในไทย ที่นับได้ว่าเป็นเรื่องใหม่และกำลังเป็นที่พูดถึงอยู่ในปัจจุบัน แต่ส่วนใหญ่ยังต้องการความรู้และความเข้าใจอย่างถูกต้อง โดยกลยุทธ์ที่ต้องมุ่งเน้นไปพร้อม ๆ กันคือการสื่อสารเกี่ยวกับระบบหลังคาโซลาร์แก่ผู้บริโภค เริ่มตั้งแต่ความจำเป็น การติดตั้ง การใช้งาน รวมถึงความคุ้มค่าระยะยาว   จากเทรนด์และเทคโนโลยีโซลาร์รูฟที่กำลังได้รับความนิยมในวงกว้าง โดยเฉพาะภาคครัวเรือนที่มีโอกาสเข้าถึงได้มากยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้ เอสซีจีจึงได้ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมหลังคาโซลาร์ เดินหน้าด้วยกลยุทธ์ SCG Solar Expert Station โมเดลธุรกิจที่ถูกพัฒนาขึ้นจาก Insight ของผู้อยู่อาศัยยุคใหม่ โดยสร้างจุดเชื่อมระหว่างลูกค้าและผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านระบบหลังคาโซลาร์โดยตรง   เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้า สามารถติดต่อและเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องได้รวดเร็วขึ้น ทำให้การติดตั้งหลังคาโซลาร์ รูฟ เป็นไปได้อย่างมั่นใจยิ่งขึ้น ผ่านช่องทางออนไลน์และออฟไลน์ ครอบคลุมทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดย SCG Solar Expert หรือผู้เชี่ยวชาญด้านโซลาร์จะให้คำปรึกษาฟรี แนะนำขั้นตอนและระบบการทำงาน, ออกแบบระบบหลังคาโซลาร์ เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน พร้อมประเมินราคา โดยมีแผนขยายไปที่ SCG Home, SCG Home Experience และ SCG Authorized Dealer ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ มีสาขานำร่อง อาทิ กรุงเทพฯ และปริมณฑล ชลบุรี อุบลราชธานี เชียงใหม่ และหาดใหญ่ พร้อมขยายไปยังหัวเมืองหลักเพื่อครอบคลุมทั่วประเทศ ภายในปี 2566 โดยในช่วงปีที่ผ่านมา เอสซีจี โซลาร์ รูฟ โซลูชัน เติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง พร้อมรุกขยายไปยังตลาดบ้านพักอาศัยที่มีศักยภาพสูง ตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านระบบหลังคาโซลาร์ในตลาด Residential ประเทศไทย โดยคาดการณ์จากตัวเลขภายในปี 2566 จะมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 200% ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า ด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่มีความแตกต่างและโดดเด่นจากคู่แข่งในตลาด ผ่าน 3 จุดแข็ง คือ EXPERT เอสซีจีมีวิศวกรที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน Solar & Home Energy management และมีความเชี่ยวชาญด้านหลังคาซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการติดตั้งโซลาร์ โดยมีบริการตรวจสุขภาพหลังคาก่อนการติดตั้ง พร้อมนวัตกรรม Solar FIX ที่ติดตั้งหลังคาโซลาร์โดยไม่ต้องเจาะหลังคา ทำให้หลังคาไม่เสี่ยงต่อการรั่วซึม ONE STOP SERVICE การให้บริการแบบครบวงจร โดยออกแบบระบบโซลาร์ให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการใช้ไฟของบ้านลูกค้า รวมถึงดำเนินการ ขออนุญาตกับทางภาครัฐ ทำให้การติดตั้งระบบหลังคาโซลาร์กับเอสซีจีถูกต้องตามกฎหมาย 100% AFTER SALES SERVICE การรับประกันตลอด 25 ปีโดยเอสซีจี   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] เอสซีจี X เอสซี แอสเสท​ ติด Active AIR Quality บ้าน 1,000 ยูนิต​ -เอสซีจี ลุย 2 ธุรกิจ “ให้คำปรึกษา-งานระบบอาคารแบบครบวงจร” รับเทรนด์ Well-being
บีไอดับบลิว รุกตลาดม่านไฮเอนด์ 5,000 ล้าน  จับมือแบรนด์จากยุโรป เปิดตัวสินค้าใหม่​ 

บีไอดับบลิว รุกตลาดม่านไฮเอนด์ 5,000 ล้าน จับมือแบรนด์จากยุโรป เปิดตัวสินค้าใหม่​ 

บีไอดับบลิว เปิดตัวผ้าม่านนวัตกรรมจาก 2 แบรนด์ดังจากยุโรป คูลิส และ เซิร์จ เฟอรารี่ ตอบโจทย์เทรนด์และไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้งานยุคใหม่ ​รุกตลาดม่านระดับไฮเอนด์มูลค่ารวมกว่า 5,000 ล้าน  ชูผลิตภัณฑ์ภายใต้แนวคิด ยกระดับคุณภาพชีวิต และ ปกป้องชีวิต   นายสิริชัย ฤทธิปัญญาวงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท บีไอดับบลิว โพรดัคส์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายม่านเพื่อการตกแต่งภายในและภายนอกอาคารระดับไฮเอนด์ เปิดเผยว่า เทรนด์ม่านในตลาดโลกในปัจจุบันให้ความสำคัญ 4 ด้าน คือ คุณภาพ (Quality) ความฉลาด (Smart) การจัดการพื้นที่ (Space Management) และความยั่งยืน (Sustainability) บีไอดับบลิว ในฐานะที่เป็นผู้นำเทรนด์ม่านใหม่ ๆ เข้ามาในประเทศไทย จึงได้รุกตลาดด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบรับกับเทรนด์ที่เกิดขึ้น ภายใต้ 2 แนวคิด คือ “การยกระดับคุณภาพชีวิต และการปกป้องชีวิต” เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ใช้งาน โดยจับมือกับแบรนด์ คูลิส (Coulisse) ประเทศเนเธอร์แลนด์ และแบรนด์ เซิร์จ เฟอรารี่ (Serge Ferrari) ประเทศฝรั่งเศส   สำหรับม่านในกลุ่มที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต ที่บีไอดับบลิวเน้นในปีนี้ คือ การสร้างพื้นที่ใหม่ ๆ ให้ที่อยู่อาศัยผ่านผลิตภัณฑ์ของแบรนด์คูลิส และเซิร์จ เฟอรารี่ และการทำให้ผู้ใช้งานใช้ชีวิตสะดวกสบาย มีไลฟ์สไตล์ที่ดีขึ้น เช่น ม่านอัจริยะ Eve Motion จากแบรนด์คูลิส รายแรกของโลกที่ไม่ใช้สายและรีโมตคอนโทรล เพียงกระตุกโซ่เบา ๆ ให้ม่านขึ้น-ลง หรือสั่งงานผ่านมือถือ รายแรกและรายเดียวที่เชื่อมกับ Apple Home Kit โดยไม่ต้องมีอุปกรณ์เชื่อมต่อ และยังเชื่อมกับค่ายอื่น ๆ เช่น กูเกิลโฮม ซัมซุง ได้บนแอปพลิเคชันเดียว ซึ่งมีทั้งม่านที่ใช้ระบบโฮมออโตเมชันในราคาที่เข้าถึงง่าย ไม่ยุ่งยากในการเซ็ตระบบ และม่านที่ปรับตามไลฟ์สไตล์ที่ทำให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้น เช่น ทำให้ตื่นนอนได้อย่าง  สดชื่นด้วยการตั้งเวลาและรูปแบบการเปิดของม่านด้วยวิธีง่าย ๆ ในกลุ่มเดียวกันนี้ บีไอดับบลิว ยังเปิดตลาดกลุ่ม ม่านระบบ Zip จากแบรนด์เซิร์จ เฟอรารี่ นวัตกรรมที่ทำให้ผู้ใช้งานใช้พื้นที่ได้ประโยชน์สูงสุด โดยใช้ม่านเป็นฉากที่เปิด-ปิดได้ตามต้องการ เช่น แบ่งโซนภายในห้อง เชื่อมต่อภายในบ้านกับสวนด้านนอก หรือการทำโรงรถที่เปิด-ปิดได้โดยไม่เสียพื้นที่ใช้สอย และยังได้เพิ่มไลน์ ผ้าม่านและผ้าใบคุณภาพสูงสำหรับงานโครงสร้างน้ำหนักเบากลางแจ้ง ที่ใช้เทคโนโลยีลิขสิทธิ์เฉพาะของเซิร์จ เฟอรารี่ ทำให้ผ้ามีความแข็งแรง ตึงตัวเป็นพิเศษ หนา นุ่ม ดูเป็นธรรมชาติ ป้องกันเชื้อรา คงทน และคงรูปได้นาน   สำหรับ ม่านในกลุ่มที่ช่วยปกป้องชีวิต จะมุ่งเน้นเรื่องการสร้างความเป็นอยู่ที่ยั่งยืน และคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่ได้มาตรฐานระดับสูง โดยม่านในกลุ่มที่ช่วยปกป้องชีวิตที่นำมาเปิดตัว ได้แก่ ม่านม้วน Eco Luxury จากแบรนด์คูลิส ด้วยเทรนด์ที่สวยกลมกลืนเป็นธรรมชาติควบคู่กับการเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเป็นแบรนด์เดียวในประเทศไทยที่มีกระบวนการผลิตที่ยั่งยืน คำนึงถึงการปล่อยมลพิษให้น้อยที่สุด และนำวัสดุมารีไซเคิลแล้วผ่านกระบวนการผลิตที่มีคุณภาพให้กลายเป็นผ้าม่านคุณภาพ   นายสิริชัย กล่าวอีกว่า ในเรื่องของคุณภาพมาตรฐานนั้น ทุกแบรนด์ที่บีไอดับบลิวนำมาทำตลาด จะมุ่งเน้นความปลอดภัย โดยได้รับการรับรองว่าปราศจากสารก่อมะเร็ง เช่น ปรอท ฟอร์มาดีไฮน์ และ VOC นอกจากนี้ ผ้ากันแสงแดดจากคูลิสยังผ่านการทดสอบมาตรฐานระดับสูงจาก Greenguard Gold ซึ่งเป็นระดับที่เหมาะสำหรับใช้กับเด็ก หรือผู้ที่แพ้ง่าย ตลาดม่านระดับไฮเอ็นด์ในประเทศไทยมีมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท และยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้อีกมาก โดย บีไอดับบลิวครองส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 15% ของตลาดม่านม้วน ติดอันดับ 1 ใน 3 ผู้นำตลาด เรามั่นใจว่าการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในแนวคิดใหม่ครั้งนี้จะทำให้เราเติบโตขึ้น 50% ภายในปีนี้   ด้านนางแสงสุรีย์ อินทเดช ผู้จัดการทั่วไป บริษัท บีไอดับบลิว โพรดัคส์ จำกัด กล่าวเสริมว่า “บีไอดับบลิวได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี เพราะสามารถตอบโจทย์ลูกค้าด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ โดยเป็นแบรนด์เดียวในประเทศไทยที่มีใบรับรองมาตรฐานมากที่สุด ทั้งมาตรฐานด้านความปลอดภัย มาตรฐานด้านประหยัดไฟ และมาตรฐานเรื่องความยั่งยืน  รวมทั้งมีฟังก์ชันที่หลากหลาย ทำให้เจ้าของบ้านและดีไซเนอร์มีทางเลือกมากขึ้น นอกจากนี้ ยังมีบริการหลังการขายที่สร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ปัจจุบันมีร้านค้าที่มีแค็ตตาล็อกของบีไอดับบลิวกว่า 1,000 ร้านทั่วประเทศ สำหรับแผนงานในปีนี้จะมีการขยายดีลเลอร์ในจังหวัดใหญ่เพิ่มขึ้น รวมทั้งขยายกำลังการผลิตด้วยการตั้งโรงงานใหม่ ขยายไลน์สินค้า และขยายกลุ่มเป้าหมายใหม่โดยเน้นกลุ่มโปรเจ็กใหญ่ และผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์”   ขณะที่นายไบรอัน โบ อัน ชาง ผู้บริหารจากคูลิส เนเธอร์แลนด์ กล่าวว่า คูลิสมีแนวคิดในการผลิตม่านที่คำนึงถึงการยกระดับคุณภาพชีวิต และปกป้องชีวิต ซึ่งเป็นไปตามความต้องการของเจ้าของบ้านและดีไซเนอร์ยุคใหม่ หนึ่งในตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของคูลิสที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปกป้องชีวิตผู้ใช้งาน คือ การที่คูลิสเลือกที่จะทดสอบมาตรฐานผลิตภัณฑ์ในระดับสูงจาก Greenguard นอกจากนี้ คูลิสยังมุ่งที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ไม่ส่งผลกระทบต่อโลก รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่มีฟังก์ชันอัจริยะที่จะสร้างความสุข และทำให้ผู้ใช้งานมีชีวิตที่ดีขึ้น   การที่บีไอดับบลิวเป็นผู้นำในตลาด มีแผนการตลาดที่น่าสนใจ ประกอบกับความโดดเด่นของคูลิสที่เป็นอันดับ 1 ของโลกเรื่องดีไซน์และแฟชั่น รวมถึงการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค ทำให้เราเชื่อมั่นว่าม่านของคูลิสที่นำมาทำตลาดครั้งนี้ทั้ง Eve Motion และ Eco Luxury จะได้รับการตอบรับจากกลุ่มเป้าหมายเป็นอย่างดีเช่นเดียวกับหลายประเทศทั่วโลกที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ในส่วนของเซิร์จ เฟอรารี่ นับเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านผ้าม่านกลางแจ้งอันดับ 1 ของโลก ผ้าของเซิร์จ เฟอรารี่ มีความโดดเด่นแตกต่างจากผ้าทั่วไป โดยได้รับความไว้ใจจากโครงการระดับโลกมากมาย ทั้งหลังคาสนามฟุตบอลโลกที่การ์ตา รวมถึงสนามฟุตบอลและเรือยอชต์ที่สำคัญทั่วโลก และยังมีผลิตภัณฑ์หลายรูปแบบให้เลือก ทั้งที่เป็นโครงสร้างถาวร และโครงสร้างเบา โดยมุ่งเน้นด้านเทคโนโลยี เพื่อยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีให้ผู้ใช้งาน และใส่ใจสิ่งแวดล้อมควบคู่กัน   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เปิดแผน “บีไอดับบลิว” รุกตลาดผ้าม่านม้วน 2,000 ล้าน
ทอสเท็ม ฉลอง 100 ปี ตั้งเป้าโต 20%  เดินหน้าขยายโชว์รูมบุกตลาดคอนซูเมอร์

ทอสเท็ม ฉลอง 100 ปี ตั้งเป้าโต 20% เดินหน้าขยายโชว์รูมบุกตลาดคอนซูเมอร์

ทอสเท็ม (TOSTEM) ฉลองครบรอบ 100 ปี การผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ประตู-หน้าต่างอะลูมิเนียมสำเร็จรูป  รุกตลาดปี 2566 เปิดตัวนวัตกรรมสีใหม่ “DUSK GRAY” ชูจุดเด่นด้วยเทคโนโลยีหนึ่งเดียวในอุตสาหกรรมการชุบสีอะลูมิเนียมด้วยกระแสไฟฟ้าระบบอะโนไดซ์และเคลือบผิวด้วยระบบ TEXGUARD พร้อมขนทัพนวัตกรรมเรือธงและผลิตภัณฑ์ใหม่ที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าทุกเซกเมนต์ พร้อมเดินหน้าขยายโชว์รูมครอบคลุมทั่วประเทศ จับตลาดคอนซูเมอร์ ตั้งเป้ายอดขายปีนี้โต 20%   นายวิชา วรสายัณห์ ลีดเดอร์ กลุ่มธุรกิจเฮาส์ซิ่งเทคโนโลยี บริษัท แอล เอช ที เอเซีย เซลส์ แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้ผลิตประตูหน้าต่างอะลูมิเนียมแบรนด์ ทอสเท็ม (TOSTEM)  เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2566 ว่า หลังจากเดินหน้าพัฒนานวัตกรรมที่ตอบโจทย์ลูกค้ามาอย่างยาวนานถึง 100 ปีในประเทศญี่ปุ่น และครบ 40 ปีในการตั้งโรงงานประเทศไทย ถึงเวลาก้าวเข้าสู่ศตวรรษใหม่ในปีนี้พร้อมตอกย้ำความเป็นผู้นำ ในงานสถาปนิก’66 (Architect Expo 2023) งานแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างใหญ่ที่สุดในอาเซียน ด้วยการเปิดตัวนวัตกรรมสีใหม่ “DUSK GRAY” ซึ่งเป็นนวัตกรรมล่าสุดและหนึ่งเดียวในอุตสาหกรรมการชุบสีอะลูมิเนียมด้วยกระแสไฟฟ้าระบบอะโนไดซ์และเคลือบผิวด้วยระบบ TEXGUARD   นอกจากนี้ บริษัทได้ขนทัพนวัตกรรมเรือธงและผลิตภัณฑ์ใหม่ อาทิ GRANTS ดีไซน์ใหม่ เพื่อเปิดมุมมองให้ลูกค้าได้มีความสุขกับทิวทัศน์ภายนอกได้อย่างเต็มสายตา GRANTS Corner Sliding Doors นวัตกรรมโซลูชั่นที่มอบทิวทัศน์แบบพาโนรามาที่ไร้สิ่งกีดขวาง ขยายขนาดพื้นที่พักผ่อนด้วยบานเลื่อนเข้ามุมที่เลื่อนเปิดบานออกโดยไม่เหลือเสามุมบดบังสายตา ผลิตภัณฑ์ประตูบานเลื่อนเข้ามุมบนรางเรียบ ดีไซน์เพื่อเชื่อมต่อสเปซภายในและภายนอกตัวบ้านด้วยดีไซน์แบบเข้ามุมที่เลื่อนเปิดออกได้โล่ง เหมาะสำหรับพื้นที่พักผ่อน ที่ได้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ และรับแสงสว่างธรรมชาติได้สูงสุด กลุ่มผลิตภัณฑ์ ATIS กับ Streamline Design ดีไซน์ไร้รอยต่อที่มาพร้อมกับ อุปกรณ์อันสวยงาม เส้นกรอบ พื้นผิวกรอบประตูหน้าต่างและการใช้งานทำงานร่วมกันอย่างนุ่มนวล และบานหน้าต่างรูปแบบใหม่ที่สามารถใช้งานได้สะดวกมากขึ้น รวมถึง Smart Insect Screen นวัตกรรมมุ้งลวดล่องหน ที่ช่วยป้องกันแมลงและมลพิษจากภายนอกมุ้งลวดที่สามารถเพิ่มการมองเห็น เชื่อมต่อพื้นที่ภายในและภายนอกได้มากขึ้น โดยทอสเท็มพร้อมจัดโปรโมชั่นพิเศษและกิจกรรมทางการตลาดมาร่วมในงานสถาปนิก’66 ครั้งนี้กับส่วนลด 10% สำหรับทุกผลิตภัณฑ์ของทอสเท็มและลุ้นรับตั๋วเครื่องบิน (ไป-กลับ) ประเทศญี่ปุ่น จำนวน 5  รางวัล / รางวัลละ 2 ที่นั่ง   นายวิชา กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า สำหรับภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปี 2566 ได้ตั้งเป้าหมายยอดขายรวมเพิ่มขึ้น 20% จากปีที่แล้ว โดยในช่วงสถานการณ์ก่อนโควิด-19 ระบาด รายได้ส่วนใหญ่ของทอสเท็มประมาณ 80% มาจากตลาดอสังหาริมทรัพย์แบบโครงการหรืออสังหาริมทรัพย์เชิงพาณิชย์ แต่หลังวิกฤตโควิด-19 เริ่มมีสัดส่วนรายได้จากตลาดลูกค้าที่อยู่อาศัยรายย่อยเพิ่มมากขึ้น จาก 20% เป็น 30% ของยอดขายทั้งหมด   ทั้งนี้ ทางทอสเท็มวางแผนที่จะขยายตลาดไปยังกลุ่มลูกค้าอยู่อาศัย (Retails) มากขึ้น พร้อมขยายส่วนแบ่งการตลาดกลุ่มรายได้สูง  Upper mass – Luxury segment เพราะพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนไป คืออยู่บ้านมากขึ้นจึงเลือกมองหาอุปกรณ์ในบ้านเอง ได้เลือกซื้อ สัมผัส ทดลอง และเห็นสินค้าจริงเพื่อนำไปปรับปรุงบ้านให้อยู่อาศัยอย่างสะดวกสบายมากขึ้น  ซึ่งทอสเท็มได้วางแผนกลยุทธ์การตลาดที่จะขยายสัดส่วนลูกค้ารายย่อยกลุ่มนี้ต่อไป   ทอสเท็มได้เพิ่มช่องทางการเข้าถึงให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อ สัมผัส ทดลอง และเห็นสินค้าจริงผ่าน TOSTEM Flagship Showroom โดยปัจจุบันทอสเท็มมีโชว์รูมและเดโม่รูมอยู่ในกรุงเทพฯ และตามหัวเมืองทั้งหมด 4 แห่ง ได้แก่ ทอสเท็มแฟลกชิปโชว์รูม (TOSTEM Flagship Showroom) ที่คริสตัล ดีไซน์ เซ็นเตอร์, ทอสเท็มโชว์รูม ในบุญถาวร สาขาราชพฤกษ์,  ทอสเท็ม เดโม่รูมในจังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดภูเก็ต รวมถึงยังผนึกกำลังกับพันธมิตรทางธุรกิจขยาย TOSTEM Studio ที่บริหารโดยตัวแทนจำหน่าย ขยายโชว์รูมในพื้นที่จริงให้ครอบคลุมในต่างจังหวัดโดยเน้นหัวเมืองใหญ่และเมืองท่องเที่ยว เพื่อหวังขยายตลาดลูกค้ากลุ่มที่อยู่อาศัย, รีสอร์ท และบริษัทรับสร้างบ้านในพื้นที่ดังกล่าว โดยขณะนี้ได้ทำการเปิด TOSTEM Studio ไปแล้ว 4  แห่ง ในจังหวัดปทุมธานี พิษณุโลก อุดรธานี และขอนแก่น และมีแผนจะเปิดเพิ่มอีก 10 แห่ง ได้แก่ จังหวัดเชียงราย อุบลราชธานี นครราชสีมา กรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ ชลบุรี ระยอง กาญจนบุรี เพชรบุรี สงขลา โดยคาดภายในสิ้นปี 2566 ทอสเท็ม จะสามารถขยายโชว์รูมครอบคลุมได้ครบทั่วทุกภูมิภาคทั่วประเทศ   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] ทอสเท็มเปิดตัว “ATIS” นวัตกรรมประตูหน้าต่างรวม 2 ฟังก์ชั่นในหนึ่งบาน
“จระเข้” ส่งสินค้านวัตกรรม บุกตลาดงานรัฐ เตรียมกวาดยอดขาย 3,800 ล้านบาท

“จระเข้” ส่งสินค้านวัตกรรม บุกตลาดงานรัฐ เตรียมกวาดยอดขาย 3,800 ล้านบาท

“จระเข้” ส่งสินค้านวัตกรรม บุกตลาดงานเมกะโปรเจ็กต์และงานภาครัฐ รับแนวโน้มการเติบโตของตลาด ​ ตั้งเป้าปี’66 ทำยอดขายรวม 3,800 ล้าน และผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเคมีก่อสร้างเติบโตไม่น้อยกว่า 30% โชว์ศักยภาพผ่าน 4 นวัตกรรมหลัก​ในงานสถาปนิก’66      นายศุภพงษ์ เพชรสุทธิ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จระเข้ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ผู้นำในการผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าตรา “จระเข้” นวัตกรรมเพื่องานก่อสร้าง ซ่อมแซม และตกแต่ง ครบวงจรตั้งแต่ฐานรากจนถึงหลังคามากว่า 30 ปี เปิดเผยว่า สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจในปี 2566 นี้ บริษัทฯ มุ่งเน้นการเติบโตในผลิตภัณฑ์กลุ่มเคมีก่อสร้าง โดยเฉพาะงานโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ซึ่งเป็นตลาดที่มีศักยภาพและเติบโตสูง  โดยจระเข้ได้เริ่มขยายตลาดในกลุ่มดังกล่าวตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้มียอดขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับ Infrastructure สูงขึ้นจากปีก่อน ทำให้ตั้งเป้าว่าในปีนี้จะสามารถทำยอดขายรวมทั้งบริษัทอยู่ที่ 3,800 ล้านบาท และผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเคมีก่อสร้างจะเติบโตไม่น้อยกว่า 30% สอดรับกับความสามารถในการทำตลาดเจาะกลุ่มโครงการต่าง ๆ ได้มากขึ้น   ส่วนภาพรวมธุรกิจของบริษัท ฯ ในปี 2565 ที่ผ่านมา จระเข้มีอัตราการเติบโต 20% จากปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์ที่เติบโตอยู่ในกลุ่มนวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์ปูกระเบื้อง ผลิตภัณฑ์เคมีก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์สีจระเข้  ซึ่งปัจจัยการเติบโตมาจากการขายที่เป็นระบบ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในคุณภาพงานก่อสร้างที่ได้มาตรฐานสูง ควบคู่ไปกับการเพิ่มประสิทธิภาพและต่อยอดจากความเชี่ยวชาญเรื่องบ้านไปสู่อาคารและงานระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน (Infrastructure) รวมไปถึงการเข้าร่วมงานสถาปนิกสยาม ทำให้ได้เปิดตลาดใหม่ในวงการก่อสร้างและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นายวิกิจ กันฉาย  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานขายในประเทศ กล่าวว่า สำหรับแนวทางการขายในประเทศจะเน้นคุณสมบัติ Speed & Sustainable โดยจะให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมเพื่องานระบบสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ (Infrastructure) โดยเฉพาะงานก่อสร้างซ่อมแซมที่เกี่ยวข้องกับการคมนาคม เช่น ถนน สะพาน ทางด่วน ทางรถไฟฟ้า ท่าเรือ ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้ระยะเวลาการเซ็ทตัวที่เร็วขึ้นและมีความคงทนแข็งแรงเท่าเดิม หรือการซ่อมแซมแบบเร่งด่วน สามารถส่งมอบงานตรงเวลา นับว่าเป็นงานที่ใช้งบประมาณลงทุนค่อนข้างสูงรวมถึงใช้ทรัพยากรสูง หากสามารถเสริมความคงทนยืดอายุการใช้งานได้เพิ่มขึ้น จะลดการใช้ทรัพยากรใหม่และลดปัญหาการซ่อมแซมในภายหลัง นำมาซึ่งการลดการเกิดขยะจากการก่อสร้างได้มากขึ้น   โดยในปีที่ผ่านมาจระเข้เป็นหนึ่งในไม่กี่แบรนด์ที่ได้รับเลือกเป็นส่วนหนึ่งในโครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง นอกจากนี้ยังมีโครงการท่าเรือและสะพาน  โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ Infrastructure ของจระเข้มีหลากหลาย เช่น ผลิตภัณฑ์งานโครงสร้าง ซีเมนต์กันซึมชนิดตกผลึก น้ำยาเคลือบและปกป้องพื้นผิวคอนกรีต รองรับงานสาธารณูปโภคขนาดใหญ่ โดยเฉพาะโครงการที่มีการกำหนดคุณสมบัติพิเศษต้องการสินค้าประสิทธิภาพสูงได้เป็นอย่างดี   สำหรับนวัตกรรมจระเข้ซ่อมพื้นคอนกรีตบางเป็นมิตรกับธรรมชาติ นับเป็นนวัตกรรมใหม่และเป็นหนึ่งในไฮไลต์ที่จระเข้นำเสนอในงานสถาปนิก’66  มุ่งตอบโจทย์ Speed & Sustainable  ด้วยคุณสมบัติพิเศษในการซ่อมพื้นบางที่สุดเพียง 2 มม. ซึ่งเท่ากับช่วยลดการใช้ทรัพยากรและลดการเกิด CO2 ลงถึง 96% ท้าทายงานก่อสร้างที่ความบางมาพร้อมความแกร่ง ลดเวลาทำงานจาก 7 วันเหลือเพียง 2 วัน ก็สามารถเปิดพื้นที่รองรับการสัญจรหนักได้ โดยบริษัท ฯ ตั้งเป้าขยายสัดส่วนสินค้าในกลุ่ม Infrastructure จากยอดขาย 5% ในปีที่ผ่านมา  คาดว่าจะเติบโตเป็น 10% ของมูลค่ารวมทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์จระเข้ในปีนี้ นายวรพจน์ ตั้งมนัสวงศ์  ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานการตลาด กล่าวว่า แนวทางในการทำตลาดของจระเข้ การพัฒนา “นวัตกรรม” ยังคงเป็นหัวใจหลัก หลังจากนี้จระเข้ยังคงคิดค้นนวัตกรรมใหม่เพื่อสร้างความสุขให้กับผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมาจระเข้เป็นผู้นำตลาดกาวซีเมนต์และกาวยาแนวปูกระเบื้องมายาวนาน โดยกาวซีเมนต์จระเข้เขียวซึ่งมียอดขายอันดับหนึ่งในตลาดได้ครองใจช่างและเจ้าของบ้านมานาน 30 ปี  โดยผลิตภัณฑ์นวัตกรรมที่สร้างชื่อเสียงและจุดเปลี่ยนให้กับตลาดวัสดุปูกระเบื้องได้แก่ จระเข้ พรีเมียม พลัส กาวยาแนวป้องกันราดำ โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีไมโครแบน รายแรกของโลกซึ่งยังคงเป็นผู้นำตลาดมาอย่างต่อเนื่อง   ปัจจุบัน จระเข้มีนวัตกรรมสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค โดยในปีนี้ได้นำหลายผลิตภัณฑ์นวัตกรรมมาออกบูธในงานสถาปนิก’66 ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Expert Solutions, Expert Results” สะท้อนความเป็นผู้นำและความเชี่ยวชาญในงานก่อสร้างยุคใหม่ ผ่าน 5 โซนจัดแสดง ได้แก่ WELL BEING FIRST: Living Green, Living Better ผลิตภัณฑ์ก่อสร้างเพื่อความยั่งยืน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และผู้อยู่อาศัย ตอบ Trend การก่อสร้างยุคใหม่ CHEMICAL EXPERTISE: Sustainable Infrastructure Solutions ใส่ใจทุกงานโครงสร้าง พัฒนานวัตกรรมสินค้าอย่างยั่งยืน ลดปัญหาการซ่อมแซม ยืดอายุการใช้งานให้ยาวนาน TILING EXPERTS: The Ultimate of BIG SLAB Solution นวัตกรรมการติดตั้งกระเบื้องใหญ่พิเศษครบวงจร พร้อมชมการติดตั้งโดยผู้เชี่ยวชาญ SEE JORAKAY: Sense of Specialized Colors สีสร้างลาย สร้างสไตล์ที่แตกต่างเฉพาะตัว พบกับการสร้างสรรค์ลวดลายโดยทีมช่างมืออาชีพที่พร้อมให้บริการสร้างผนังสวยระดับ Masterpiece ให้กับบ้านคุณ HOME CLINIC: Expert Consulting for Home Repairs จุดบริการให้คำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญจากจระเข้ นอกจากนี้จระเข้ยังเชิญสถาปนิกชั้นนำที่มีส่วนร่วมในโครงการ Green building ที่มีชื่อเสียงในประเทศ มาร่วมแบ่งปันแนวคิดและมุมมองเกี่ยวกับเทรนด์การออกแบบก่อสร้างที่สอดคล้องกับแนวทางขององค์กร ในการมุ่งพัฒนานวัตกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยจัด Exclusive Talk ในหัวข้อ Green Living Trends with Expert Solutions, Expert Results เพื่อร่วมกันคิด สร้างสรรค์ผลงานก่อสร้างที่ดีกับผู้อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน   จระเข้ยังสานต่อแนวทางด้านความยั่งยืนโดยประสานกับ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) นำวัสดุก่อสร้างจากบูธนี้ไปใช้ประโยชน์ในการฝึกทักษะของเยาวชนสร้างสรรค์ประโยชน์ใช้สอยใหม่ๆ ด้านสังคมเพิ่มเติ  พบกับนวัตกรรมตอบโจทย์การก่อสร้างยุคใหม่และรูปลักษณ์ใหม่ของแบรนด์จระเข้ที่แตกต่าง ได้ที่บูธจระเข้ หมายเลข S214 ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพค เมืองทองธานี  ในวันที่ 25-30 เมษายน 2566 เวลา 10.00-20.00 น.   อ่านข่าวเพิ่มเติม -จระเข้ เดินหน้าโตอย่างยั่งยืน สู่ทศวรรษที่ 4 วางเป้าหมายรายได้ 5,000 ล้าน
[PR News] NVD กลับมาใช้ชื่อ “เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์” พร้อมเปิด 9 โครงการใหม่

[PR News] NVD กลับมาใช้ชื่อ “เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์” พร้อมเปิด 9 โครงการใหม่

เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ ถือหุ้น เนอวานา ไดอิ (NVD) เห็นชอบ เปลี่ยนชื่อบริษัท กลับมาใช้ชื่อเดิม  “เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์” ก่อนเข้าตลาด พร้อมอนุมัติจ่ายเงินปันผลงวดปี 2565 เป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.06 บาทต่อหุ้น รวมมูลค่าทั้งสิ้น 93.19 ล้าน ดีเดย์วันที่ 9 พฤษภาคมนี้  เดินหน้ารุกขยายธุรกิจเต็มพิกัด เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 9 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 21,100 ล้าน ตั้งเป้ายอดขายรวม 8,500 ล้าน ดันรายได้รวมแตะ 4,500 ล้าน โต 75%จากปีก่อน   นายศรศักดิ์ สมวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) (NVD) เปิดเผยว่า ที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2566 มีมติอนุมัติให้เปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น บริษัท เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ “Nirvana Development Public Company Limited” รวมทั้งอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลจากกำไรสุทธิของการดำเนินงานปี 2565 ระหว่างวันที่ 1 มกราคม ถึง 31 ธันวาคม 2565 และจากกำไรสะสมในอัตราหุ้นละ 0.06 บาท รวมมูลค่าทั้งสิ้น 93.19 ล้านบาท  บริษัทฯ กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) วันที่ 10 มีนาคม 2566 และกำหนดจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นในวันที่ 9 พฤษภาคม 2566 ภาพรวมการดำเนินธุรกิจใน ปี 2566 จะเป็นปีแห่งการรุกขยายธุรกิจเต็มกำลัง โดยเชื่อว่าตลาดที่อยู่อาศัยระดับบนยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่องและมีศักยภาพในการเติบโตหลังวิกฤติโควิด-19 บริษัท มีความพร้อมเปิดตัวโครงการใหม่รวม 9 โครงการ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม และคอนโดมิเนียม มูลค่ารวมกว่า 21,100 ล้านบาท  โดยตั้งเป้ายอดขายรวม 8,500 ล้านบาท ซึ่งเติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่า 160% จากปีก่อน และตั้งเป้ารายได้อยู่ที่ 4,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75%   โครงการที่อยู่อาศัยที่จะเปิดตัวใหม่ทั้ง 9 แห่งนี้ เป็นโครงการในระดับลักชัวรี (Luxury Segment) มีแบรนด์ตอบสนองความต้องการของผู้ซื้อบ้านในหลากหลายเซกเม้นท์ ตั้งแต่ อัลตร้าลักชัวรี (Ultra-luxury) ซุปเปอร์ ลักชัวรี (Super Luxury) โมเดิร์น ลักชัวรี (Modern Luxury) โมเดิร์น ไฮเอนด์ (Modern High-end) ไปจนถึง โมเดิร์น ไฮเอนด์ ในราคาที่จับต้องได้ (Affordable Modern High-end)   เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ ยังคงมุ่งเน้นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในย่านกรุงเทพกรีฑาเป็นหลัก เนื่องจากเป็นทำเลที่อยู่อาศัยในระดับบนที่มีการเติบโตอย่างสูง ซึ่งถือเป็นทำเลศักยภาพของการอยู่อาศัย สามารถเชื่อมต่อกับถนนหลักเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นในได้หลายเส้นทาง นอกจากนี้ยังอยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ โรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้าชั้นนำและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ   โดยไตรมาส 2 นี้ เนอวานา ดีเวลลอปเม้นท์ เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อีก 4 โครงการ คือ  โครงการเนอวานา คอลเลคชั่น กรุงเทพกรีฑา (Nirvana Collection Krungthep Kreetha) บ้านเดี่ยวระดับ ultra luxury ราคา 80-150 ล้านบาท บนทำเล prime ติดถนนกรุงเทพกรีฑา โครงการเนอวานา แอปโซลูท กรุงเทพกรีฑา (Nirvana Absolute Krungthep Kreetha) บ้านเดี่ยวระดับ value luxury ราคา 15-25 ล้านบาท คอนโดมิเนียม THE MOST รัตนาธิเบศร์ คอนโดดับเบิ้ลสเปซ ใกล้ห้างเซ็นทรัลและรถไฟ้ฟ้า เริ่ม 1.79 ล้าน และสุดท้ายกับโครงการเนอวานา ดีไฟน์ กรุงเทพกรีฑา (Nirvana Define Krungthep Kreetha)    พร้อมเผยแลนด์มาร์คแห่งใหม่ เนอวานา ทาวน์ชิพ (Nirvana Township) เมืองแห่งสังคมคุณภาพบนถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ พร้อมกับไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้ มอลล์ โดยใช้ชื่อว่า เนอวานา พอร์ช (Nirvana PORCH) จากคอนเซ็ปต์การพัฒนาโครงการที่จะถูกรังสรรค์ให้เป็นจุดศูนย์รวมความสะดวกสบายอย่างครบครัน ไลฟ์สไตล์คอมมูนิตี้มอลล์แห่งนี้จะช่วยเติมเต็มในเรื่องความสะดวกสบายสำหรับการอยู่อาศัยได้อย่างครบวงจร   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เนอวานา กลับมาลุยตลาดบ้าน-คอนโดลักชัวรี่ งัดแลนด์แบงก์ปั้นโปรเจ็กต์ 40,000 ล้าน
เรื่องต้องคิด  เลือกซื้อบ้าน สำหรับมือใหม่

เรื่องต้องคิด เลือกซื้อบ้าน สำหรับมือใหม่

เลือกซื้อบ้าน  เรื่องของ "ที่อยู่อาศัย" นอกจากจะเป็นความจำเป็นของชีวิต ตามปัจจัย 4 แล้ว ที่อยู่อาศัย หรือ บ้าน ยังเป็นความฝันของคนส่วนใหญ่ ที่ในชีวิตหนึ่ง ก็อยากจะเป็นเจ้าของ ใครที่ยังไม่มีบ้าน จึงอยากจะมีบ้านเป็นของตนเองสักหลังหนึ่ง หรืออย่างน้อย คอนโดมิเนียมสักห้อง การซื้อบ้านอาจจะไม่ใช่เรื่องยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะบ้านมีมูลค่าสูงมาก อาจจะเป็นสินค้าชิ้นเดียวในชีวิตของคน ๆ หนึ่งที่มีมูลค่าสูงที่สุดก็ได้  แถมมีรายละเอียดให้คิดเยอะด้วย   วันนี้ Reviewyourliving จึงมีบทความ เรื่องต้องคิด เลือกซื้อบ้าน สำหรับมือใหม่ มาเป็นคำแนะนำ สำหรับคนที่อยากจะซื้อบ้านหลังแรกมาฝากกัน เรื่องต้องคิด เลือกซื้อบ้าน สำหรับมือใหม่ 1.เลือกซื้อบ้านแบบไหน? สำหรับคนที่อยากซื้อบ้าน ซึ่งไม่ใช่คอนโดมิเนียม อาจจะต้องมาตอบคำถามตัวเองก่อนอันดับแรกว่า อยากซื้อบ้านแบบไหน เพราะรูปแบบบ้านที่มีขายกันในปัจจุบัน จะแบ่งเป็น 4 รูปแบบด้วยกัน คือ บ้านเดี่ยว คือ บ้านที่ไม่มีผนังด้านใดติดกับบ้านอีกหลังหนึ่งเลย มักจะมีพื้นที่บริเวณโดยรอบตัวบ้าน ซึ่งบ้านเดี่ยวมีทั้งแบบชั้นเดียวและสองชั้น แต่ระยะหลังด้วยที่ดินแพงขึ้น ทำให้มีการพัฒนาเป็นบ้านเดี่ยวแบบสามชั้นขึ้นไปมากขึ้น   บ้านเดี่ยวเหมาะสำหรับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัวสูง และต้องการมีพื้นที่รอบ ๆ บ้านเพื่อใช้ประโยชน์ตามที่ต้องการ และสามารถอยู่อาศัยกันหลายเจเนอเรชั่นได้ตามขนาดบ้าน บ้านแฝด คือ บ้านที่มีลักษณะคล้ายบ้านเดี่ยวสองหลังอยู่ติดกัน โดยมีส่วนใดส่วนหนึ่งที่ทำติดกัน เช่น ผนังบ้านด้านข้าง คาน แต่ปัจจุบันมีการออกแบบให้คานใต้ดินติดกัน ทำให้บางครั้งก็ดูเหมือนไม่ใช่บ้านแฝด นอกจากนี้ กฎหมายยังกำหนดในเรื่องของขนาดที่ดินด้วย บ้านแฝดต้องมีที่ดินไม่ต่ำกว่า 35 ตารางวา ความหว้างที่ดินไม่ต่ำกว่า 16 เมตรแบ่งเป็นข้างละ 8 เมตร และมีระยะร่นด้านหน้าไม่ต่ำกว่า 3 เมตร กรณีที่บ้านไม่ได้ติดถนนหลัก ต้องเพิ่มระยะร่นด้านหน้าเป็น 6 เมตรด้วย และระยะร่นด้านด้านข้างและด้านหลังเว้นไม่ต่ำกว่า 2 เมตร ปัจจุบันบ้านแฝดเริ่มพัฒนามากกว่า 2 ชั้น เป็นบ้านแฝด 3 ชั้นให้เห็นบ้างแล้ว   บ้านแฝด เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัว แต่มีงบประมาณน้อยกว่าการไปซื้อบ้านเดี่ยว เพราะราคาบ้านแฝดมักถูกกว่าบ้านเดี่ยว บ้านแฝดสามารถอยู่อาศัยได้หลายเจเนเรชั่น เหมือนกับบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ หรือทาวน์โฮม สำหรับทาวน์เฮ้าส์กับทาวน์โฮม จริง ๆ มีลักษณะคล้ายกัน คือ เป็นรูปแบบของบ้านที่ปลูกติดกันเป็นแถวเรียงกัน ทำให้ทาวน์เฮ้าส์หรือทาวน์โฮมจะต้องมีผนังติดกับบ้านด้านข้างทั้งสองด้าน ยกเว้นหลังแรกและหลังสุดท้าย ที่มักจะมีพื้นที่บริเวณด้านข้างบ้าน   แม้ทาวน์เฮ้าส์ และทาวน์โฮม จะมีลักษณะคล้ายกัน แต่ก็มีความแตกต่างกันที่ชัดเจนอย่างหนึ่ง คือ ​ทาวน์เฮ้าส์ มักจะก่อสร้างขนาดความสูงไม่เกิน 2 ชั้น มีพื้นที่ขนาดเล็กทั้งที่ดินและตัวบ้าน และสิ่งอำนวยความสะดวกในโครงการมักไม่ค่อยมีอะไรพิเศษ   ส่วนทาวน์โฮมเป็นรูปแบบบ้านที่ต่อยอดมาจากทาวน์เฮ้าส์ (บางโครงการก็เรียกทาวน์เฮ้าส์ เป็นทาวน์โฮม เพื่อยกระดับโครงการให้ดีขึ้น ตามสิ่งอำนวยความสะดวกที่โครงการนั้นมี) ปัจจุบันมักจะก่อสร้างให้มีขนาดความสูงตั้งแต่ 3-5 ชั้น   ทาวน์เฮ้าส์ เหมาะสำหรับครอบครัวขนาดเล็ก เพราะพื้นที่บ้านค่อนข้างจำกัด และคนที่มีงบประมาณจำกัด แต่ยังต้องการพื้นที่ใช้สอยมากกว่าการอยู่ในคอนโดมิเนียม   ทาวน์โฮม เหมาะสำหรับครอบครัวที่อยู่กันหลายเจเนอเรชั่น เพราะมักจะมีพื้นที่มาก โฮมออฟฟิศ เป็นบ้านอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ผู้อยู่อาศัยมีการใช้พื้นที่ของบ้านเพื่อทำธุรกิจ หรือทำเป็นสำนักงาน โดยรูปแบบบ้านเป็นการพัฒนามาจากตึกแถว หรืออาคารพาณิชย์ และผสมผสานกับรูปแบบของทาวน์โฮม ทำให้หน้าตาทันสมัย สวยงาม มีพื้นที่ด้านข้าง ภายในบ้านมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่เหมาะกับการทำเป็นสำนักงาน ราคาค่อนข้างสูง เพราะมักจะเป็นโครงการในทำเลที่ดี   โฮมออฟฟิศ เหมาะสำหรับคนที่ประกอบอาชีพอิสระ ต้องการทำงานและพักอาศัยอยู่ในสถานที่เดียว ราคาโฮมออฟฟิศค่อนข้างสูง เพราะอยู่ในทำเลที่ดีเหมาะสำหรับการค้าขาย หรือทำธุรกิจ มากกว่าการอยู่อาศัยเพียงอย่างเดียว 2.เลือกทำเลที่ต้องการ เมื่อได้รูปแบบบ้านที่ต้องการแล้ว ก็มาเลือกกันว่าต้องการอยู่ในทำเลไหน ซึ่งแต่ละทำเลก็จะมีการพัฒนาบ้านแตกต่างกันไป ทั้งรูปแบบ และระดับราคา นอกจากนี้ยังมีเรื่องต้องพิจารณาที่สำคัญเกี่ยวกับทำเล อาทิ ความสะดวกในการเดินทาง ดูสิ่งอำนวยความสะดวก มลภาวะทางอากาศและเสียง และเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อภัยธรรมชาติ พวกน้ำท่วม หรือไม่​ 3.วางงบประมาณที่ต้องการซื้อ วางงบประมาณที่ต้องการซื้อบ้าน ซึ่งงบประมาณก็จะเป็นตัวคัดกรองว่าเราจะหารูปแบบบ้าน ในทำเลที่ต้องการได้หรือไม่ นอกจากราคาบ้านแล้ว เรายังต้องวางงบประมาณที่เป็นค่าใช้จ่ายอื่น ๆ จะตามมาด้วย ซึ่งปกติเราควรมีเงินเก็บหรือเงินออมไว้ก่อนสัก 20% สำหรับผ่อนดาวน์ หรือเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ซึ่งใครอยากรู้ว่า ถ้าจะซื้อบ้านจะมีค่าใช้จ่ายอะไรอีกบ้างที่ต้องเตรียมเอาไว้ ต้องไปอ่านบทความ อัปเดต ค่าใช้จ่ายซื้อบ้าน และคอนโด 2566 มีอะไรบ้าง?  ที่ได้นำเสนอไว้ก่อนหน้านี้แล้ว เพื่อนำมาทำเช็คลิสต์กันดูก่อน 4.หาข้อมูลบ้าน-สำรวจทำเล-ดูบ้านตัวอย่าง หลังจากตอบคำถามตัวเองตั้งแต่ข้อ 1-3 เรียบร้อยแล้ว เราก็มาหาข้อมูลบ้านที่ต้องการกัน ซึ่งเดี๋ยวนี้ทำได้ง่าย ๆ มีข้อมูลทางอินเทอร์เน็ตให้รวบรวมก่อนที่บ้าน หลังจากรวบรวมได้ข้อมูล และนำเอาข้อมูลของแต่ละโครงการมาเปรียบเทียบกันแล้ว ก็ถึงเวลาลงพื้นที่สำรวจโครงการ เพื่อดูสภาพแวดล้อม และการเข้าไปชมบ้านตัวอย่างจริง รวมถึงสภาพแวดล้อม สิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ที่ทางโครงการมีเอาไว้ให้ต่อไป   ทั้งหมดนี้ ก็เป็นหลักเกณฑ์เริ่มต้นในการพิจารณา การเลือกซื้อบ้านสำหรับมือใหม่ ซึ่งใช้ได้กับทุกคนที่อยากจะมีบ้านในฝันสักหลัง เพื่อสร้างความสุขให้กับตัวเอง และคนที่คุณรัก  แต่ยังมีรายละเอียดอื่น ๆ ที่ควรพิจารณาประกอบด้วย เพื่อให้เราได้บ้านที่ดี ตรงใจ และไม่เกิดปัญหาตามมาภายหลัง   ที่มา – ธอส., แลนด์แอนด์เฮ้าส์   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -4 เทรนด์การเลือกซื้อบ้าน หลังหมดโควิด-19 ยุควิถีชีวิต Nex normal -ไขความลับ “คนสูงวัย” เลือกซื้อบ้านยังไง ตอบโจทย์ชีวิตเกษียณ  
ไขความลับ “คนสูงวัย” เลือกซื้อบ้านยังไง ตอบโจทย์ชีวิตเกษียณ 

ไขความลับ “คนสูงวัย” เลือกซื้อบ้านยังไง ตอบโจทย์ชีวิตเกษียณ 

เลือกซื้อบ้าน 3 ปัจจัยสำคัญของ “คนสูงวัย” เลือกซื้อบ้าน จากปัจจัยภายใน ยังคงเน้นความคุ้มค่า  ขนาด และสิ่งอำนวยความสะดวก ขณะที่ปัจจัยภายนอก เน้นทำเลที่ตั้ง การเดินทางด้วยระบบสาธารณะ และความปลอดภัย พร้อมเลือกโครงการตอบโจทย์ชีวิตพร้อมอยู่ และใกล้ชิดธรรมชาติ   แม้ว่าอีก 10 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่สังคมสูงวัยระดับสุดยอด (Super-Aged Society) ที่มีจำนวนผู้สูงอายุถึง 28% ของประชากรในประเทศ ตามข้อมูลของ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แต่ปัจจุบันเราไม่ต้องรอถึงตอนนั้น ประเทศไทยก็เข้า​สู่สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์ (Complete Aged Society) เรียบร้อยแล้ว ทำให้หลายธุรกิจหันมาให้ความสำคัญ และทำตลาดกับกลุ่มลูกค้ากลุ่มนี้   สำหรับผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ที่ขายบ้านหรือที่อยู่อาศัย ก็ให้ความสำคัญกับลูกค้ากลุ่มนี้ เพราะบ้านคือปัจจัย 4 สำคัญที่ต้องมี และแม้ว่าก่อนหน้านี้คนสูงวัยอาจจะมีบ้านอยู่แล้ว แต่ก็อาจจะไม่ได้สอดคล้องกับวิถีชีวิตที่เป็นคนสูงอายุ ในวัยเกษียณ จึงทำให้คนกลุ่มนี้ยังมีความต้องการซื้อบ้าน หรือเปลี่ยนบ้านหลังใหม่ให้เหมาะสมกับช่วงวัยของตนเอง โดยเฉพาะโครงการที่มีบริการเพิ่มทางด้านการแพทย์ร่วมด้วย​ 3 ปัจจัยภายใน เลือกซื้อบ้าน​ ของคนสูงวัย 1.เน้นความคุ้มค่า   ผู้สูงอายุ มากกว่าครึ่ง (51%) ให้ความสำคัญกับการเลือกบ้านที่ให้ความคุ้มค่ามาเป็นอันดับแรก โดย พิจารณาจากราคาขายเฉลี่ยต่อตารางเมตรเป็นหลัก   2.ขนาดที่อยู่อาศัย   3.สิ่งอำนวยความสะดวกภายใน   ผู้สูงวัยสัดส่วน​ 45% เลือกบ้านที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกภายใน ซึ่งจะต้องตอบโจทย์การอยู่อาศัยและสอดคล้องกับวิถีชีวิตในช่วงวัยเกษียณด้วย 3 ปัจจัยภายนอกเลือกซื้อโครงการ 1.ที่ตั้งโครงการ   ที่ตั้งโครงการยังเป็นปัจจัยแรก ของผู้สูงอายุ ในการเลือกซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัย ซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามมากถึง 66% ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องทำเลที่ตั้งโครงการมากที่สุด   2.เดินทางสะดวกด้วยระบบขนส่งสาธารณะ   การเดินทางด้วยระบบขนส่งสาธารณะ เป็นเรื่องสำคัญของผู้สูงวัย เพราะยังมีความจำเป็นในการออกไปใช้ชีวิต โดยสัดส่วน 55% ของผู้สูงอายุ ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้   3.ความปลอดภัยของทำเล   เนื่องจากผู้สูงอายุคำนึงถึงการใช้ชีวิตในระยะยาว นอกจากต้องการโครงการที่ตั้งอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก รองรับการใช้ชีวิตประจำวันด้วยตนเองได้อย่างสบายใจแล้ว ยังจะต้องมีความปลอดภัยด้วย อินไซต์การเลือกบ้านอยู่อาศัย ของคนสูงวัย ถ้าพูดถึงตัวบ้านเป็นหลัก การเลือกซื้อของคนสูงวัย ก็มีเกณฑ์ที่ใช้การพิจารณาเลือกโครงการดังนี้ เลือกห้องตกแต่งครบ พร้อมเข้าอยู่ เมื่อต้องเลือกซื้อที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ผู้สูงอายุเกือบครึ่ง (46%) จะเลือกโครงการที่ตกแต่งให้ครบแบบพร้อมเข้าอยู่ (Fully Furnished) มากที่สุด โดยมีเหตุผลสำคัญมาจาก ช่วยประหยัดเวลาในการตกแต่ง และไม่ยุ่งยาก สามารถย้ายเข้าอยู่ได้ทันที   ขณะเดียวกันก็มีผู้สูงอายุอีกจำนวนหนึ่ง ที่สนใจโครงการที่ตกแต่งห้องให้บางส่วน (Fully Fitted)  และไม่มีการตกแต่งใด ๆ เพราะผู้สูงอายุส่วนใหญ่ถึง 70% ชื่นชอบการตกแต่งห้องในสไตล์ของตัวเองมากกว่า และมีผู้สูงอายุอีกจำนวนหนึ่ง สัดส่วน 37% คิดว่าสามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่ที่มีอยู่ได้ดีกว่า บ้านที่ดีต้องใกล้ชิดธรรมชาติ ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะใช้ชีวิตที่บ้านเป็นหลัก จึงเห็นความสำคัญของบทบาทที่อยู่อาศัยในการเสริมสร้างสุขภาพกายควบคู่กับสุขภาพจิตที่ดี เมื่อพิจารณาคุณลักษณะภายในและบริเวณรอบบ้านที่จะช่วยให้มีสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ดีขึ้น   โดยผู้สูงอายุกว่า 2 ใน 3 (70%) ต้องการที่อยู่อาศัยที่อยู่ใกล้สวนสาธารณะและใกล้ชิดธรรมชาติมากที่สุด เนื่องจากการมีพื้นที่สีเขียวไว้พักผ่อนหย่อนใจนั้นจะช่วยผ่อนคลายความเครียดได้ดี และมีผลทางจิตวิทยาทำให้รู้สึกสดชื่นมากขึ้น รวมทั้งต้องการพื้นที่เปิดโล่งมากขึ้นภายในละแวกบ้าน 68% ตามมาด้วยยูนิตที่มีระยะห่างมากขึ้น 64% เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวและต้องการความสงบ   นอกจากนี้ ผู้สูงอายุยังเข้าใจและให้ความสำคัญกับที่อยู่อาศัยที่มาพร้อมแนวคิดรักษ์โลก เกือบ 2 ใน 3 (65%) คาดหวังว่าโครงการที่พัฒนาใหม่ทั้งหมดควรจะมาพร้อมกับหลังคาโซล่าเซลล์ (Solar Rooftop) เพื่อช่วยประหยัดรายจ่ายและลดการใช้พลังงานไฟฟ้า สะท้อนให้เห็นว่าผู้สูงอายุมีความตระหนักถึงความสำคัญของการใช้พลังงานทางเลือก   ที่มา : ข้อมูลจากแบบสอบถามความคิดเห็นของผู้บริโภคที่มีต่อตลาดที่อยู่อาศัย DDproperty Thailand Consumer Sentiment Study รอบล่าสุด     อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -7 วิธีปรับปรุงบ้านเพื่อผู้สูงอายุ ด้วยตัวเอง
ค้นหาไอเดียสุดว้าว การใช้วัสดุก่อสร้างใน งานสถาปนิก’66

ค้นหาไอเดียสุดว้าว การใช้วัสดุก่อสร้างใน งานสถาปนิก’66

งานสถาปนิก’66 งานสถาปนิก’66 เป็นอีกงานหนึ่ง ที่คนในอุตสาหกรรมก่อสร้าง และการออกแบบทางสถาปัตยกรรม ต่างตั้งตารอคอย เพื่อเช้าชมงาน ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่จะมาโชว์ผลงาน และผู้ที่มามองหาแรงบันดาลใจในการออกแบบ และการใช้วัสดุเพื่อการก่อสร้าง ซึ่งผู้เข้าร่วมงาน จะได้พบกับนวัตกรรมวัสดุก่อสร้างที่ทันสมัย แปลกใหม่  ที่ถูกออกแบบและพัฒนา แล้วนำมาแสดงภายในงาน เพื่อให้คนในแวดวงได้อัปเดต และนำเอาวัสดุต่าง ๆ เหล่านั้น ไปใช้ในงานก่อสร้าง และงานออกแบบต่าง ๆ ของตนเองหรือลูกค้า   งานสถาปนิก’66 งานแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างใหญ่ที่สุดในอาเซียน ปีนี้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25-30 เมษายน 2566 ที่อาคารชาเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพ็ค เมืองทองธานี  มาด้วยการจัดงานภายใต้แนวคิด "ตำถาด : Time of Togetherness”   ภายในงาน นอกจากจะยกขบวนนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง จากผู้ประกอบการระดับแนวหน้า ทั้งไทยและต่างประเทศ ที่ร่วมแสดงสินค้ากว่า 800 ราย ยังมีการเนรมิตพื้นที่ไฮไลท์ อย่าง Thematic Pavilion โชว์ศักยภาพของวัสดุผ่านการใช้งานในรูปแบบใหม่ ๆ ที่หลายคนอาจจะยังไม่เคยพบเห็นมาก่อน ซึ่งจะเป็นประโยชน์สำหรับการนำเอาไปใช้ ในการต่อยอดของผู้ประกอบการ สถาปนิก และนักออกแบบ 4 พื้นที่ Thematic Pavilion ใน งานสถาปนิก’66 สำหรับพื้นที่โชว์ศักยภาพของวัสดุ ผ่านการใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ มีด้วยกัน 4 พื้นที่ ซึ่งเป็นการทำงานร่วมกันของแบรนด์ซัพพลายเออร์วัสดุก่อสร้างและสถาปนิก ดังนี้ 1.VG & TOA x Hypothesis  ครั้งแรกกับการร่วมกันระหว่าง VG เจ้าของรางน้ำฝนและหลังคาไวนิลคุณภาพสูง และผู้นำด้านนวัตกรรมสีทาบ้านภายใต้แบรนด์ TOA จับมือ สถาปนิกจาก Hypothesis เนรมิตพื้นที่ให้มีความสมมาตร ตรงกลางมีการติดตั้งพีระมิดกระจกรูปแบบน้ำผุด โดยสามารถเดินเข้ามาได้จากทุกทิศทาง สามารถมองความต่างของวัสดุที่แขวนติดตั้งจากแต่ละแบรนด์อย่างชัดเจน และดูกลมกลืนเป็นเนื้อเดียวกันเมื่อมองจากภายนอก ซึ่งถือเป็นการออกแบบที่โดดเด่นและลงตัวเป็นอย่างมาก 2.WOODDEN x PAVA architects  หยิบอัตลักษณ์อย่างไม้ เปลี่ยนมุมมองใหม่ให้เข้าถึงได้ โดยเฉพาะ "ไม้สัก" ซึ่งเป็นวัสดุที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้สัมผัส บอกเล่าเรื่องราวด้วยการสร้างสรรค์ผ่านมุมมองสถาปนิกให้ได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด ในรูปแบบ enclosed space ที่จะช่วยให้ผู้เข้าชมสัมผัสความสงบจากป่าไม้สักคอนทราสต์กับบรรยากาศภายนอกทันทีที่ก้าวเข้ามา อีกทั้ง ยังสามารถเรียนรู้เกี่ยวกับวงจรชีวิตของไม้สักตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำ บอกได้เลยว่าผู้ที่หลงใหลวัสดุที่ทำจาก “ไม้” ต้องไม่พลาด 3.THAI KOON STEEL & THAI PREMIUM PIPE x Context Studio  ฉีกกฎเดิมๆ ของงานเหล็ก สู่การสร้างสรรค์ให้พลิ้วไหวจาก Context Studio โดยการนำวัสดุอย่างท่อและโซ่มาออกแบบได้อย่างกลมกลืนและน่าสนใจ สร้างรูปลักษณ์ใหม่ในพื้นที่จำกัด ด้วยวิธีการปรับองศาการติดตั้งท่อเหล็ก เปลี่ยนเส้นตรงให้อยู่ในรูปทรงเกลียว (spiral) สอดประสานกันเพื่อให้ความรู้สึกที่พลิ้วไหวแต่ยังได้ฟังก์ชันที่สอดรับกันเพื่อสร้างความแข็งแรง และโครงสร้างทุกชิ้นสามารถนำกลับไปใช้ใหม่ได้  แบบนี้บอกได้เลยว่าเป็นการออกแบบที่คิดถึงการใช้งานและสิ่งแวดล้อมด้วย 4.EMPOWER STEEL x ACa Architects  ผลงานการถอดรหัสเหล็กที่แข็งแรงสู่โมเลกุลในยูนิตที่เล็กลงทรงเรขาคณิต สื่อถึงความเป็นธาตุโลหะซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติที่มีความพลิ้วไหว สร้างจินตนาการใหม่ๆ โดยใช้เหล็กจาก EMPOWER STEEL ที่มีนวัตกรรมทำสีและพิมพ์ลวดลายมาตัดเป็นชิ้นนับหมื่นแผ่น บากร่องเพื่อต่อขึ้นเป็นโครงสร้าง (Modular Structure) โชว์พื้นผิว สี ฉีกกฎเหล็กจากอุตสาหกรรมทั่วไป สู่งานดีไซน์ที่หลากหลายตามจินตนาการ สำหรับผู้สนใจ สามารถเข้ามาสัมผัส และเรียนรู้แนวคิด การออกแบบสถาปัตยกรรม บนพื้นที่ Thematic Pavilion  ได้ภายในงานสถาปนิก’66 นี้ พร้อมพบกับ นวัตกรรมผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และการออกแบบ รวมถึงแรงบันดาลใจอีกมากมาย ภายในงานสถาปนิก’66    อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] เริ่มแล้ว! “สถาปนิก’65”  กระตุ้นเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลัง – หนุนเม็ดเงินสะพัดกว่า 2 หมื่นล้าน
7 เทคนิค ประหยัดค่าไฟ ในหน้าร้อน ช่วยลดค่าใช้จ่ายไม่ให้พุ่งสูง

7 เทคนิค ประหยัดค่าไฟ ในหน้าร้อน ช่วยลดค่าใช้จ่ายไม่ให้พุ่งสูง

ประหยัดค่าไฟ ตอนนี้อากาศเมืองไทย ร้อนสุด ๆ ร้อนจนแทบจะละลาย ทำให้หลายคนเลือกที่จะอยู่แต่ในบ้าน ในอาคาร หรือไม่ก็ไปเดินห้างสรรพสินค้าตากแอร์ให้เย็นฉ่ำ ส่วนใครที่อยู่บ้านส่วนใหญ่ก็ต้องเปิดแอร์ให้เย็น ลดอากาศที่ร้อนระอุ ทำให้เดือนนี้และอีกหลายเดือนนับจากนี้ ค่าไฟพุ่งสูงแน่นอน   วันนี้ Reviewyourliving จึงจะมาชวนให้ทุกคนประหยัดค่าไฟ กับ 7 เทคนิคประหยัดค่าไฟในหน้าร้อน ด้วยวิธีการที่ทำตามกันได้ง่าย ๆ และได้ประโยชน์ ช่วยลดค่าไฟ ไม่ให้เราต้องเสียเงินเพิ่มมากขึ้น 7 เทคนิค ประหยัดค่าไฟ ในหน้าร้อน 1.เช็คอุปกรณ์ไฟฟ้า วิธีแรกที่ทำเพื่อประหยัดค่าไฟฟ้า ก็คือการตรวจเช็คอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าต่าง ๆ ที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน ดูว่าเครื่องไฟฟ้าไหนชำรุดเสียหาย หรือเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่าที่กินไฟ เปลืองพลังงานมาก เราก็ควรเปลี่ยนใหม่ด้วยการใช้เครื่องไฟฟ้าประหยัดไฟเบอร์ 5 หรือแม้แต่หลอดไฟที่ใช้ในบ้านหรือโคมไฟ ก็ควรเปลี่ยนเป็นหลอดประหยัดไฟ หรือ หลอด LED เพราะนอกจากประหยัดไฟแล้ว ยังไม่ทำให้อุณหภูมิภายในห้องสูงด้วย ที่สำคัญอีกอย่าง คือ ควรจะปิดสวิสถอดปลั๊กไฟหลังจากการใช้งานเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกครั้งด้วย 2.เปิดแอร์ให้ถูกวิธี แอร์ เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่จำเป็นในช่วงหน้าร้อน และน่าจะมีชั่วโมงการทำงานต่อวันมากเป็นอันดับต้น ๆ ถ้าไม่นับตู้เย็นที่เราต้องเสียบปลั๊กไฟตลอดเวลา จึงถือว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟสูงมาก แต่หากเราใช้แอร์อย่างถูกวิธี ก็ช่วยประหยัดค่าไฟได้ไม่น้อยเลย   เริ่มต้นจากก่อนที่จะเปิดแอร์ควรเปิดพัดลมก่อน เพื่อลดอุณหภูมิห้อง หรือเปิดหน้าต่างประตูระบายความร้อนออกไปก่อน โดยเฉพาะเมื่อเราเพิ่งกลับเข้าห้องมา แล้วจึงเปิดแอร์ด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสม ประมาณ 25-26 องศา แต่หากจะเปิดแอร์อุณหภูมิ 27-28 องศาก็ช่วยประหยัดไฟได้มากขึ้น แต่คงต้องเปิดพัดลมควบคู่เพื่อความเย็นสบาย   นอกจากนี้ สิ่งที่ช่วยให้ประหยัดค่าไฟได้อีกทางหนึ่ง คือ การปิดแอร์ก่อนที่จะเลิกใช้งาน เช่นปิดแอร์ก่อนสัก 1 ชั่วโมงก่อนออกจากห้องไปทำธุระ หรือการตั้งเวลาปิดแอร์ก่อนที่เราจะตื่นนอนตอนเช้า ก็ช่วยประหยัดแอร์ได้ดี เพราะอากาศตอนเช้าจะเย็นสบาย ไม่จำเป็นต้องเปิดแอร์  ที่สำคัญอีกอย่าง ควรหมั่นล้างแอร์ให้สะอาดอยู่เสมอ ตามระยะเวลาการใช้งาน เพราะนอกจากจะช่วยประหยัดไฟฟ้าได้แล้ว ยังช่วยทำให้อายุการใช้งานของแอร์ยาวนานขึ้นด้วย​ 3.เคลียร์ตู้เย็น-ไม่เปิดบ่อย ตู้เย็น เป็นอุปกรณ์ที่ต้องเสียบปลั๊กตลอดเวลา เพื่อรักษาอาหารให้ไม่เน่าเสีย จึงเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่กินไฟไม่น้อย สิ่งที่ช่วยประหยัดค่าไฟได้ในช่วงหน้าร้อน คือ การเคลียร์ตู้เย็นให้เป็นระเบียบ ไม่มีของรกเต็มตู้ ของไหนไม่ใช้ หมดอายุแล้วก็ควรเอาออก ที่สำคัญอย่าเปิดตู้เย็นบ่อยครั้งจนเกินไป หากต้องทำอาหารก็ควรวางแผนให้ดีว่าต้องใช้วัตถุดิบอะไรบ้าง หยิบออกมาให้ครบตั้งแต่ครั้งแรก หรืออยากจะประหยัดไปมากขึ้นในช่วงหน้าร้อนนี้ ที่หลายคนจะหิวน้ำเย็นหรือเครื่องดื่มเย็น ๆ ให้ใช้วิธีเอากระติกน้ำหรือกระติกแช่ของมาเป็นตัวช่วยในการแช่น้ำเย็น หรือเครื่องดื่มเย็น ก็จะประหยัดมากขึ้น 4.ปลูกต้นไม้ป้องกันแสงแดด สิ่งที่ควรวางแผนตั้งแต่มีบ้าน ก็คือตัวบ้านฝั่งที่มีทิศโดนแดดตลอดทั้งวัน ด้วยการปลูกต้นไม้ให้ร่มเงา ป้องกันแสงแดดส่องตรงมายังตัวบ้าน หรือใครที่อยู่คอนโด ไม่สามารถปลูกต้นไม้ป้องกันแสงแดดได้ ก็อาจจะเพิ่มความสดชื่นด้วยการหาต้นไม้มาปลูกในห้อง เพื่อเพิ่มความสดชื่น ลดอุณหภูมิภายในห้องแทนก็ได้ ​ 5.เปิดหน้าต่าง-ประตู ระบายอากาศ บางครั้งเราก็ควรเปิดประตู หรือหน้าต่าง เพื่อระบายอากาศร้อนภายในบ้าน ไม่ให้บ้านอมความร้อนไว้ หรือถ้าประตู-หน้าต่าง อยู่ในทิศทางของลมก็ต้องเปิดเพื่อให้ลมพัดผ่านช่วยทำให้บ้านเย็นขึ้นได้ ซึ่งบางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องเปิดแอร์เลยด้วยซ้ำ 6.ใช้อุปกรณ์ป้องกันแสงแดด เช่น ติดม่าน, ทาสีกันความร้อน นอกจากการปลูกต้นไม้บังแดดแล้ว การติดม่าน หรือแผ่นฟิล์มสะท้อนความร้อน รวมถึงทาสีบ้าน ที่มีคุณสมบัติสะท้อนความร้อน ก็เป็นตัวช่วยทำให้บ้านเย็น และช่วยทำให้แอร์ไม่ต้องทำงานหนักมากขึ้น แอร์จึงไม่กินไฟมากนัก 7.ติดโซลาร์เซลล์ วิธีสุดท้ายที่ประหยัดค่าไฟได้ดี คือ การติดแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อสร้างไฟฟ้าไว้ใช้งาน แต่อาจจะต้องลงทุนสูงกว่าวิธีอื่น ๆ และกว่าจะคุ้มค่าการลงทุนก็กินระยะเวลายาวนานพอสมควร แต่ถ้าคิดแล้วถ้าสามารถทำได้ ก็ควรทำเพราะมีประโยชน์มากมายเลยทีเดียว   ทั้งหมดนี้ เป็น 7 เทคนิค ประหยัดค่าไฟ ในหน้าร้อน ที่ช่วยลดภาระค่าไฟ ที่เชื่อแน่ว่าต้องปรับสูงขึ้น เพราะอากาศแบบนี้ต้องใช้ไฟฟ้ากันเยอะ เปิดแอร์กันนานขึ้นแน่นอน ลองนำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกันตามสะดวก     ที่มา-springnews,จระเข้, เชฟไทย, ประชาชาติ, กรุงเทพธุรกิจ,กฝภ.   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -รวมวิธีประหยัดไฟ รับมือค่าไฟฟ้าขึ้นราคา 4 บาท กับสารพัดวิธีเซฟเงินในกระเป๋า -4 เทคนิค ทำความสะอาดตู้เย็น ช่วยลดค่าไฟสร้างสุขอนามัยในหน้าร้อน
13 เช็คลิสต์บ้านปลอดภัย ก่อนทิ้งไว้ในวันหยุดยาว

13 เช็คลิสต์บ้านปลอดภัย ก่อนทิ้งไว้ในวันหยุดยาว

วันหยุดยาว อีกไม่กี่วัน เราก็จะได้มี วันหยุดยาว ในช่วงเทศกาลปีใหม่ไทย หรือเทศกาลสงกรานต์กันอีกแล้ว เชื่อว่าใครหลายคนก็วางแผนท่องเที่ยว หรือไม่ก็เดินทางกลับบ้านที่ต่างจังหวัด ทำให้ต้องปิดบ้านที่อยู่ปัจจุบันไว้หลายวัน หลายคนจึงมีความกังวลใจถึงเรื่องความปลอดภัย ที่จะเกิดขึ้นกับตัวบ้าน หรือทรัพย์สินภายในบ้าน   วันนี้เราจึงจะมาชวนเช็คความเรียบร้อยของบ้าน ก่อนที่จะเดินทางท่องเที่ยวกันหลายวัน เพื่อความสบายใจ กลับมาแล้วบ้านเราก็ยังคงอยู่ดี ทรัพย์สินไม่สูญหาย หรือไม่เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้น กับ 13 เช็คลิสต์ ก่อนทิ้งบ้านไว้ในวันหยุดยาว 13 เช็คลิสต์ ก่อนทิ้งบ้านไว้ในวันหยุดยาว 1.ตรวจเช็คไฟฟ้า ถอดปลั๊กไฟ้ในอุปกรณ์หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ไม่ได้ใช้งานออกให้หมด และควรตรวจเช็คอุปกรณ์ไฟฟ้า ระบบเบรกเกอร์ ว่ายังใช้งานได้ดีเป็นปกติ ไม่ชำรุดเสียหายด้วย   นอกจากนี้ อาจมีการติดตั้งหลอดไฟโซลาร์เซลล์ หรือระบบการเปิด-ปิดอัตโนมัติ ก็ช่วยสร้างความปลอดภัยให้กับบ้านได้ เพราะหากกลางคืนบ้านมืดสนิทตั้งแต่หัวค่ำ โจรขโมยอาจจะรู้ได้ว่าบ้านนี้ไม่มีคนอยู่อาศัย จึงอาจเข้ามาลักหรือขโมยทรัพย์สินภายในบ้านได้ 2.เช็คกล้องวงจรปิด-สัญญาณกันขโมย ปัจจุบันหลายบ้านติดกล้องวงจรปิด หรือสัญญาณกันขโมย ก่อนจะทิ้งบ้านไปเที่ยวในวันหยุดยาว ก็ควรตรวจสอบการใช้งานว่าจะยังดี อุปกรณ์ไหนต้องใช้แบตเตอรี่ก็ตรวจเช็คด้วยว่ายังมีพลังไฟเหลือเพียงพอหรือไม่ด้วย   แม้บางบ้านจะติดระบบสัญญาณกันขโมย แต่ระบบกลอนประตู-หน้าต่าง ซึ่งเป็นอุปกรณ์พื้นฐาน ก็ไม่ควรจะต้องเสียหายหรือชำรุด ก่อนออกจากบ้านก็ควรดูแลให้ใช้งานได้ดี โดยเฉพาะห้องนอนหรือห้องที่มีสิ่งของมีค่า 3.ปิดระบบน้ำประปา ​ ปิดก๊อกน้ำ ระบบน้ำประปาให้สนิทก่อนออกจากบ้าน และควรเช็คดูด้วยว่ามีอุปกรณ์ไหนชำรุดเสียหาย หากตรวจพบ ก็ต้องซ่อมแซมให้เรียบร้อย 4.อย่าลืมกุญแจ ก่อนออกจากบ้าน ก็อย่าลืมตรวจสอบด้วยว่าเราได้นำกุญแจบ้าน กุญแจห้องต่าง ๆ ติดตัวมาหรือยัง หากกลัวว่าถ้าจะเกิดการหลงลืม การนำเอากุญแจสำรองไปฝากไว้ที่บ้านญาติ หรือเก็บไว้ในจุดที่เราสามารถหยิบมาใช้งานได้สะดวกและปลอดภัยก็ควรทำด้วย 5.เช็คระบบแก๊ส-เตาไฟ อีกจุดที่ต้องให้ความสำคัญ คือ ระบบแก๊ส เตาไฟฟ้า หรืออุปกรณ์ครัวที่ต้องใช้แก๊สหรือไฟฟ้า ตรวจเช็คให้แน่ใจว่าได้ปิดไว้เรียบร้อยแล้วก่อนออกจากบ้าน 6.จัดเก็บของมีค่า สิ่งของมีค่าต่าง ๆ ควรจัดเก็บไว้ในที่ปลอดภัย หรือถ้าเป็นไปได้ควรเอาไปฝากไว้ที่ตู้เซฟของธนาคาร เพื่อความสบายใจ แต่ก็จะมีค่าบริการการรับฝากด้วย นอกจากของมีค่าในบ้านแล้ว บางครั้งเราอาจจะมีสิ่งของ หรือของมีค่าที่วางไว้นอกบ้าน หากเป็นไปได้ก็ควรจัดเก็บไว้ภายในบ้าน เพื่อไม่ให้โดยขโมยได้ 7.แจ้งนิติบุคคล เพื่อนบ้าน หรือตำรวจ การฝากบ้านไว้กับคนอื่น ก็เป็นอีกทางเลือกที่ปลอดภัย เช่น แจ้งนิติบุคคลของโครงการ เพื่อให้เขาคอยดูแล หรือไปฝากบ้านไว้กับตำรวจก็ได้ นอกจากนี้ หากเรามีความสนิทสนมกับเพื่อนบ้าน และสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน การฝากบ้านไว้กับเพื่อนบ้านก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ดี ถ้าเขาไม่ได้เดินทางไปไหน 8.ไม่โพสต์โซเชียล ไม่ควรโพสต์โซเชียลต่าง ๆ ว่าเราไม่อยู่บ้านหลายวัน เพราะอาจจะเป็นเป้าให้กับโจร ขโมยได้ 9.ทิ้งขยะ-เคลียร์ของในตู้เย็น ก่อนออกจากบ้าน ควรจะทิ้งขยะภายในบ้านให้หมด เพราะหากเป็นขยะเน่าเสียได้ ก็จะทำให้เกิดกลิ่นเหม็น และเป็นแหล่งอาหารของสัตว์ต่าง ๆ มาคุ้ยเขี่ยทำให้เกิดเชื้อโรค หรือความสกปรกได้  รวมถึงการตรวจเช็คของกินของใช้ภายในตู้เย็น ว่ามีวันหมดอายุวันไหน ผักและผลไม้ ควรนำมากินให้หมดก่อนที่จะเน่าเสีย เมื่อเราออกไปเที่ยวในวันหยุดยาวหลายวัน 10.ทำความสะอาดบ้าน-ซักเสื้อผ้า ถ้ามีเวลาและเป็นไปได้ ควรทำความสะอาดบ้านก่อนไปเที่ยวในวันหยุดยาวสักครั้ง เพราะเมื่อกลับมาบ้านจะได้ไม่สกปรกมากนัก ควรคลุมเตียงและโซฟาด้วยผ้าเอาไว้ เพื่อไม่ให้เกิดฝุ่นสะสมบนเตียงหรือโซฟาของเรา เพราะปกติเรามักจะเหนื่อยกับการเดินทาง กลับมาถึงบ้านก็ไม่มีอารมณ์อยากจะทำอะไรแล้ว รวมถึงไม่ควรทิ้งผ้ากองโตไว้ เพราะจะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรค และหากเราซักผ้าไว้ก่อน กลับมาเราก็จะมีเสื้อผ้าสวมใส่   อีกจุดที่ต้องทำความสะอาด คือ ห้องน้ำและชักโครก ซึงปกติหากเราไม่ได้ไปไหน ชักโครกจะมีการใช้งานเป็นประจำทุกวัน แต่หากเราออกจากบ้านไปหลายวัน สิ่งปฏิกูลจะค้างท่ออยู่ทำให้อาจเกิดกลิ่นเหม็นได้ จึงควรกดชักโครกสักสองครั้ง เพื่อไล่สิ่งสกปรกออกจากระบบท่อไปก่อน 11.เคลียร์ตู้จดหมาย บ้านไหนมีตู้จดหมาย ควรจะเก็บจดหมายออกให้หมด เพื่อไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกตของโจรขโมย 12.ดูแลต้นไม้ เรื่องต้นไม้ ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่เราควรให้ความสำคัญ ทั้งการรดน้ำให้เพียงพอ การตัดแต่งกิ่งต้นไม้ไม่ให้รกรุงรัง และการจัดเก็บใบไม้ไม่ให้รก เพื่อความสะอาดและปลอดภัย ไม่เป็นแหล่งที่อยู่ของสัตว์มีพิษ  หากใครกังวลว่าจะมีสัตว์มีพิษเข้ามาในบ้าน ให้โรยปูนขาวไว้รอบ ๆ บ้าน เพื่อป้องกันสัตว์มีพิษหรืองูที่จะเข้ามาในบ้าน​ 13.ให้อาหารสัตว์เลี้ยง-ฝากเลี้ยง นอกจากต้นไม้แล้ว สัตว์เลี้ยงก็เป็นสิ่งมีชีวิตอีกชนิด ที่หลายคนรัก ถ้าหากเราไม่สามารถนำสัตว์เลี้ยงไปด้วย หาจจะต้องให้อาหารทิ้งไว้ให้เพียงพอ หรืออาจจะต้องนำไปฝากเลี้ยงที่สถานรับเลี้ยง หรือไม่ก็ต้องนำไปฝากไว้กับเพื่อน หรือญาติที่เขาจะดูแลได้   ทั้งหมดนี้ ก็เป็น 13 เช็คลิสต์ ก่อนทิ้งบ้านไว้ในวันหยุดยาว ซึ่งดูแล้วอาจจะมีจุดที่ต้องตรวจเช็คเยอะ แต่ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวบ้าน และทรัพย์สิน ที่เราจะไม่ต้องมานั่งปวดหัวหรือมีปัญหาให้แก้ไขภายหลัง   ที่มา - อนันดา,​ดีพี พร็อพเพอร์ตี้,พฤกษา​     อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -5 จุดเหมาะติดกล้องวงจรปิด ก่อนทิ้งบ้านยาวช่วงวันหยุดยาว -7 เช็คลิสต์สำคัญในบ้าน ที่ควรเช็คก่อนไปท่องเที่ยววันหยุด
แอสเซทไวส์  กวาดยอดขายไตรมาสแรกเกือบ  3,500 ล้าน ลุยต่อเปิด 3 โครงการใหม่  

แอสเซทไวส์  กวาดยอดขายไตรมาสแรกเกือบ  3,500 ล้าน ลุยต่อเปิด 3 โครงการใหม่  

แอสเซทไวส์ ไตรมาส 1/2566 โชว์ฟอร์มแกร่งเหนือสภาวะการแข่งขันสูงในตลาด กวาดยอดขายพุ่งทะยานแตะ 3,500 ล้าน เติบโต 227%  จากผลตอบรับ “Kave Embryo Rangsit” และ “Kave Town Island” สะท้อนศักยภาพและความเชี่ยวชาญตลาด Campus Condo ลุยต่อยอดความสำเร็จเปิดอีก 3 โครงการไตรมาส 2 มูลค่ารวมกว่า 4,250 ล้านบาท   พร้อมจัดแคมเปญเด็ด "SUPER SUMMER DEAL" คลายร้อนรับเรียลดีมานด์-นักลงทุนกับกว่า 17 โครงการ รับเลยแพ็กเกจทัวร์มัลดีฟส์ 3 วัน 2 คืน และตั๋วเครื่องบินไป - กลับ รวมกว่า 100 ที่นั่ง แบบไม่ต้องลุ้นตั้งแต่วันนี้ - 30 เม.ย. 2566 ขณะที่ 1-7 มิ.ย.นี้เตรียมจัดงาน Assetwise Expo ครั้งยิ่งใหญ่แห่งปีพร้อมดีลเดือด!! ที่ไม่ควรพลาด   นายกรมเชษฐ์  วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) (ASW) บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” หรือ “We Build Happiness”  เปิดเผยว่า  ในไตรมาส 1/2566 แอสเซทไวส์ฯ สามารถทำยอดขายรวม (Pre-sale) ได้สูงถึง 3,500 ล้านบาท เติบโตถึง 227% เมื่อเทียบ QoQ และ 6% เมื่อเทียบ YoY โดยการเติบโตดังกล่าวมาจากแผนการขับเคลื่อนการเปิดตัวคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ในไตรมาสแรก จำนวน 3 โครงการ มูลค่ารวม 5,410 ล้านบาท ประกอบด้วยเซกเมนต์  Campus Condo หรือคอนโด ทำเลใกล้สถานศึกษา 2 โครงการ ได้แก่ 1. โครงการ Kave Embryo Rangsit (เคฟ เอ็มบริโอ รังสิต) คอนโดใกล้มหาวิทยาลัยราชมงคลธัญบุรี ราคาเริ่มต้น 1.29 ล้านบาท 514 ยูนิต มูลค่าโครงการ 780 ล้านบาท 2. โครงการ Kave  Town Island (เคฟ ทาวน์ ไอส์แลนด์) คอนโดใกล้มหาวิทยาลัยกรุงเทพ-รังสิต ราคาเริ่มต้น 1.49 ล้านบาท  1,770 ยูนิต มูลค่าโครงการ 3,530 ล้านบาท และ 3.โครงการ Atmoz Season Ladkranbang (แอทโมซ ซีซั่น ลาดกระบัง) ราคาเริ่มต้น 1.29 ล้านบาท 706 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,100 ล้านบาท   ทั้งนี้ โครงการ “Kave  Town Island”  ถือเป็นโครงการที่ประสบความสำเร็จทางด้านยอดขายเป็นอย่างมาก ได้การตอบรับจากลูกค้าอย่างล้นหลามทั้งผู้ปกครองที่ซื้อเพื่อใช้เป็นที่พักอาศัยระหว่างการศึกษาของบุตรหลาน และซื้อเพื่อลงทุน ซึ่งล่าสุดได้เปิดจองรอบพิเศษ (VVIP Day) เมื่อวันที่ 25-26 มีนาคมที่ผ่านมา ส่งผลให้มียอดขาย ณ วันที่จัดกิจกรรมสูงถึงกว่า 1,170 ยูนิต คิดเป็นมากกว่า 90% ของจำนวนยูนิตที่เปิดขาย   ส่วนโครงการ “Kave Embryo Rangsit” ก็สามารถกวาดยอดขายได้มากถึง 70% ของจำนวนยูนิตทั้งหมดเช่นเดียวกัน แสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความเชี่ยวชาญในตลาดคอนโด เซ็กเมนต์ Campus Condo ของแอสเสทไวส์ ที่แม้ว่าภาวะตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยรวมจะเกิดการแข่งขันที่สูงจากการเปิดตัวโครงการใหม่ของผู้ประกอบการอสังหาฯ ทั้งที่อยู่อาศัยแนวสูงและแนวราบอันเนื่องมาจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ และภาคธุรกิจอสังหาฯ แต่แอสเซทไวส์ ก็ยังสร้างผลงานได้อย่างโดดเด่น สำหรับโครงการ “Atmoz Season Ladkranbang” ได้เปิด Sale Gallery ไปเมื่อวันที่ 25 มีนาคม ที่ผ่านมาก็ได้รับกระแสตอบรับที่ดีเช่นกัน เป็นผลมากจากการที่แอสเสทไวส์พัฒนาสินค้าที่ตรงกับความต้องการของตลาดและตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าในปัจจุบัน   สำหรับทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศในไตรมาส 2/2566 มีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อย ๆ จากนโยบายในการเปิดเมือง และเปิดให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยได้ โดยมีการคาดการณ์ว่าในปี 2566 จะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยประมาณ 28 ล้านคน มากกว่าปี 2565 เกือบ 1 เท่าตัว ซึ่งแน่นอนว่าจะช่วยฟื้นเศรษฐกิจในประเทศและการจ้างงานในประเทศได้เป็นอย่างดีเพราะภาคท่องเที่ยวถือเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจไทยที่ยังส่งผลดีไปยังภาคเศรษฐกิจอื่น ๆ อีกด้วย ทำให้เป็นการเพิ่มกำลังซื้อในสินทรัพย์ชิ้นใหญ่ได้และส่งผลดีต่อความเชื่อมั่นและความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย   นายกรมเชษฐ์ กล่าวต่อว่า เพื่อเป็นการต่อยอดความสำเร็จและสร้างการเติบโตในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ในไตรมาส 2 นี้ แอสเซทไวส์ ได้เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อีก 3 โครงการ มูลค่ารวม 4,250 ล้านบาท ประกอบด้วยคอนโดฯ 3 โครงการ ได้แก่ 1.โครงการ Kave Pop Salaya (เคฟ ป็อป ศาลายา) 238 ยูนิต มูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท 2. โครงการ Kave Coco Bangsaen (เคฟ โคโค่ บางแสน) 986 ยูนิต มูลค่าโครงการ 2,000 ล้านบาท 3.โครงการ Atmoz Palacio Ladprao - Wanghin (แอทโมซ พาลาซิโอ ลาดพร้าว-วังหิน) จำนวน 759 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,750 ล้านบาท ทั้งนี้มั่นใจว่าทั้งปีจะสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 15,000 ล้านบาทได้อย่างแน่นอน ล่าสุด แอสเซทไวส์ ได้ปล่อยแคมเปญเด็ด "SUPER SUMMER DEAL" รับซัมเมอร์ เพื่อเป็นการส่งเสริมการขายในไตรมาส 2/2566 โดยนำโครงการใหม่ และโครงการพร้อมอยู่ในทำเลศักยภาพสูง อาทิ รัชดา - ลาดพร้าว, พหลฯ - สะพานใหม่, บางนา-อ่อนนุช, Riverview (สุขุมวิท-บางโพ), ศรีสมาน - รังสิต, รามคำแหง - มีนบุรี และ Campus Condo บนทำเลศักยภาพที่เหมาะกับการลงทุน ไม่ว่าจะเป็น มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต และมหาวิทยาลัยมหิดล รวมกว่า 17 โครงการ มอบข้อเสนอสุดพิเศษแบบจัดเต็ม! แบบไม่ต้องลุ้นรับไปเลยแพ็กเกจทัวร์มัลดีฟส์ 3 วัน 2 คืน พร้อมตั๋วเครื่องบินไป - กลับ รวมกว่า 100 ที่นั่ง มามอบให้ทั้งนักลงทุนและผู้ซื้ออยู่อาศัยจริง พร้อมฟรีค่าใช้จ่ายวันโอน ในราคาเริ่มต้นเพียง 1.49 ล้านบาท ตั้งแต่วันนี้ - 30 เมษายน 2566 (เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด)   นอกจากนี้เตรียมพบกับงาน Assetwise Expo งานใหญ่จากแอสเซทไวส์กับกองทัพโครงการไฮไลท์แห่งปีพร้อมดีลเดือด! ที่เอฟซีแอสเซทไวส์ไม่ควรพลาด ระหว่างวันที่ 1-7 มิถุนายนนี้ ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว ติดตามรายละเอียดได้ในเร็วๆ นี้   อนึ่ง ASW ดำเนินธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยมุ่งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวสูงและแนวราบบนทำเลศักยภาพ ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” หรือ “We Build Happiness” ปัจจุบันได้พัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมและโครงการบ้านจัดสรรมาแล้วกว่า 50 โครงการ ภายใต้แบรนด์ในเครือที่ออกแบบมาเพื่อสร้างความสุขให้เหมาะกับทุกไลฟ์สไตล์ ได้แก่ แบรนด์ เคฟ (KAVE), แบรนด์ แอทโมซ (ATMOZ), แบรนด์ โมดิซ (MODIZ), แบรนด์ เอสต้า (ESTA) และ แบรนด์ ดิ ออเนอร์ (THE HONOR) รวมมูลค่าโครงการกว่า 55,300 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและโครงการพร้อมอยู่ 37 โครงการ และโครงการที่กำลังเปิดขายและอยู่ระหว่างการพัฒนา 13 โครงการ ปัจจุบันมียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ารวมกว่า 11,400 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -แอสเซทไวส์ ปั้นคอนโด “เคฟ” อีก 5 โปรเจกต์ จับตลาดปล่อยเช่านักศึกษายีลด์ 7-8%
[PR News] เพอร์เฟค เดินหน้าเปิด 4 โครงการใหม่ในไตรมาส 2

[PR News] เพอร์เฟค เดินหน้าเปิด 4 โครงการใหม่ในไตรมาส 2

พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค เผยไตรมาสแรกเปิดโครงการใหม่ “มาร์เก็ต อเวนิว” ได้รับการตอบรับดี ทำยอดขายได้กว่า 150% เตรียมลุยต่อไตรมาส 2 ด้วยการเปิดเพิ่มอีก 4 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 4,950 ล้านบาท และ เปิดเฟสใหม่ในอีก 2 โครงการ ครอบคลุมลูกค้าทุกระดับ ขณะที่โครงการร่วมทุนมียอดขายดีต่อเนื่อง คาดทำได้ตามเป้าที่วางไว้ พร้อมเพิ่มความแข็งแกร่งทางการเงิน ลดหนี้และทำกำไร จากการขายที่ดิน มูลค่า 830 ล้านบาท   นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปีถือว่ามีสัญญาณที่ดี จากการเปิดตัวโครงการใหม่  ได้แก่ “มาร์เก็ต อเวนิว แจ้งวัฒนะ–ราชพฤกษ์” ย่านธุรกิจแห่งใหม่บนทำเลแจ้งวัฒนะ–ราชพฤกษ์ ที่ได้รับการตอบรับอย่างดีในการเปิดจองรอบวีไอพี สามารถทำยอดขายได้เกินกว่า 150% จากเป้าที่วางไว้ โดยไตรมาสแรกบริษัทมียอดขาย 3,200 ล้านบาท ใกล้เคียงเป้าที่วางไว้ ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มสินค้าบ้านระดับกลางถึงบน ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่บริษัทเน้นมากขึ้นในปีนี้ และตลาดบ้านระดับบนโดยเฉพาะกลุ่มบ้านระดับไฮเอนด์   ในไตรมาส 2 บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่เพิ่มอีก 4 โครงการ รวมมูลค่า 4,950 ล้านบาท ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม ทั้งโครงการ “เพอร์เฟค พาร์ค” บ้านเดี่ยวใน 2 ทำเล คือ แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ และ บางใหญ่ มูลค่ารวม 3,250 ล้านบาท ที่จับกลุ่มลูกค้าระดับกลางครอบครัวเริ่มต้น   โครงการ “วาวิล่า สุขุมวิท 77-สุวรรณภูมิ” มูลค่า 700 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 3 ชั้นแบรนด์ใหม่สำหรับกลุ่มลูกค้าระดับบน  และ “ไอคอนโด แอคทีฟ พัฒนาการ” มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท ที่ยกระดับแบรนด์ไอคอนโดเพื่อรองรับกลุ่มที่ต้องการอยู่อาศัยในทำเลเมือง   รวมถึงยังเดินหน้าพรีเซลเฟสใหม่ใน 2 โครงการ  ได้แก่ “เบลล่า เดล มอนเต้ เขาใหญ่” เฟส 2 ในคอนเซ็ปท์ “Creek Valley” บ้านบนเนินเล่นระดับ ที่ออกแบบให้มีลำธารไหลผ่านบ้านแต่ละหลัง และ โครงการ “มาร์เก็ต อเวนิว แจ้งวัฒนะ–ราชพฤกษ์” เฟส 2 หลังมีผลตอบรับดีมากในเฟสแรก นอกจากนี้ ยังจะมีการพัฒนา Kids Club ขึ้นในสโมสรโครงการต่างๆ เน้นกิจกรรมเสริมพัฒนากล้ามเนื้อมัดต่างๆ และพัฒนาการทั้ง EQ และ IQ สำหรับเด็กๆ  โดยจะเปิดตัวแห่งแรกในไตรมาส 2 ที่สโมสรโครงการสุขุมวิท 77-สุวรรณภูมิ บริษัทยังมุ่งสร้างการเติบโตจากโครงการร่วมทุนและธุรกิจโรงแรม โดยโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรทั้ง 3 ราย ได้แก่ ฮ่องกงแลนด์,  ซูมิโตโม ฟอเรสทรี และ เซกิซุย เคมิคอล ปีนี้วางเป้าขายไว้รวม 4,400 ล้านบาท ในไตรมาสแรกมียอดขายในระดับที่น่าพอใจ โดยเฉพาะโครงการร่วมทุนกับฮ่องกงแลนด์  ที่ทำยอดขายได้ 500 ล้านบาท   ทั้งนี้  จะมีการเปิดโครงการใหม่ร่วมกับ ซูมิโตโม ฟอเรสทรี บนทำเลราชพฤกษ์ตัดใหม่ในไตรมาส 3 ซึ่งบริษัทได้มีการลงทุนขยายถนนและปรับปรุงสภาพภูมิทัศน์ให้สวยงาม เตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดตัวโครงการใหม่ ด้านธุรกิจโรงแรมในกลุ่ม  ภาพรวมไตรมาสแรกของปีสามารถสร้างรายได้มากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 321% มีการเติบโตเพิ่มขึ้นของทั้งอัตราเข้าพัก และราคาขายต่อห้องพัก ซึ่งฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเดินหน้าเพิ่มความมั่นคงแข็งแกร่งทางการเงิน   โดยอยู่ระหว่างการดำเนินการเซ็นสัญญาซื้อขายที่ดินมูลค่า 830 ล้านบาท เพื่อลดหนี้และทำกำไร   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เพอร์เฟค เปิดแผนธุรกิจ 2566 พร้อมเปิด 14 โครงการใหม่ มูลค่า 17,700 ล้าน
อรสิริน ดีเวลลอปเปอร์รายแรกของภาคเหนือ  เตรียม IPO ใน SET  ปี 66

อรสิริน ดีเวลลอปเปอร์รายแรกของภาคเหนือ เตรียม IPO ใน SET  ปี 66

อรสิริน ดีเวลอปเปอร์ จ.เชียงใหม่ จะเป็นรายแรกของภาคเหนือ ในการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ SET วางแผน ปี 2566–2567 เตรียมพัฒนาโครงการคุณภาพ มูลค่ารวม 5,165 ล้านบาท ชูกลยุทธ์ขยายตลาดบนทำเลคุณภาพ พร้อมสร้างการเติบโตไม่ต่ำกว่าปีละ 20% คาด 5 ปีมียอดขายหมื่นล้าน   นายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์  ประธานกรรมการบริหารและผู้ก่อตั้ง บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์โครงการแนวราบ แนวสูง และอาคารพาณิชย์บนทำเลคุณภาพจังหวัดเชียงใหม่ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าชาวไทย และต่างชาติมาโดยตลอด   ส่งผลให้โครงการต่าง ๆ ที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของอรสิริน ได้รับความนิยมต่อเนื่องมากว่า 17 ปี โดยมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและขาย ณ ปี 2565 รวม 18 โครงการ มูลค่ารวม 15,505 ล้านบาท แบ่งเป็นแนวราบ 11 โครงการ มูลค่ารวม 8,348  ล้านบาท แนวสูง 7 โครงการ มูลค่ารวม 7,157 ล้านบาท โดยคงเหลือเพื่อขายมูลค่ารวม 6,385 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการแนวราบมูลค่า 4,679 ล้านบาท และโครงการแนวสูงมูลค่า 1,706 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทตั้งเป้าหมายก้าวสู่การเป็นผู้นำอสังหาฯ ระดับกลาง-บน ของภาคเหนือภายใน 3 ปี   นายปรีดิกร บูรณุปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทพัฒนาโครงการอสังหาแนวราบและแนวสูงภายใต้แบรนด์ ได้แก่ โครงการ THE ESCAPE , HABITAT , BELIVE , ORNSIRIN , ORNSIRIN VILLE , URBAN MYX , THE ASTRA , ARISE และ THE NEXT ทั้งนี้ เพื่อให้สอดรับกับเป้าหมายการเติบโตที่วางไว้ บริษัทกำหนดแผนธุรกิจในปี 2566 เตรียมเปิดโครงการใหม่แนวราบ-แนวสูง รวม 6 โครงการ มูลค่ารวม 3,225 ล้านบาท แบ่งเป็น แนวราบ 3 โครงการ มูลค่ากว่า 1,940 ล้านบาท และแนวสูงอีก 3 โครงการ มูลค่าประมาณ  1,285 ล้านบาท คาดจะเริ่มพัฒนาโครงการในช่วงครึ่งปีหลัง ของปี 2566   นอกจากนี้ ภายในปี 2567 บริษัทเตรียมแผนการพัฒนาโครงการคุณภาพในพื้นที่ภาคเหนือเพิ่มเติม มูลค่ารวมประมาณ 1,940 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบมูลค่ารวมประมาณ 233 ล้านบาท และโครงการแนวสูง มูลค่ารวมประมาณ 1,707  ล้านบาท เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำอสังหาฯ ภาคเหนืออย่างแข็งแกร่ง นาย อรรคเดช อุดมศิริธำรง ผู้อำนวยการฝ่ายขายและการตลาด กล่าวเสริมว่า ความต้องการที่อยู่อาศัยในภาคเหนือตอนบน โดยเฉพาะจังหวัดเชียงใหม่ยังคงได้รับความนิยมจากชาวไทยและต่างชาติ เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีความพร้อมด้านเศรษฐกิจ และมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในส่วนของภาคอสังหาริมทรัพย์ เป็นการเติบโตทั้งโครงการที่อยู่อาศัยและ โครงการเชิงพาณิชย์  โดยบริษัทยังมีโอกาสเติบโตอีกมากจากแผนการเปิดโครงการใหม่   อีกทั้ง ปัจจัยสนับสนุนจากกระตุ้นเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยว ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาลงทุนในประเทศได้มากขึ้น รวมถึง นโยบายมาตรการภาครัฐ อาทิ การลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และมาตรการผ่อนคลาย LTV (Loan To Value Ratio) ส่งผลให้ความต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มสูงขึ้น   บริษัทจึงเดินหน้าสร้างการเติบโตต่อเนื่อง เร่งขยายตลาดบนทำเลคุณภาพ ชูกลยุทธ์พัฒนาที่อยู่อาศัยตอบโจทย์ความต้องการกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน ด้วยการออกแบบฟังก์ชันและนวัตกรรมการอยู่อาศัยส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่ลูกบ้านทุกโครงการ ควบคู่กลยุทธ์นวัตกรรมในการก่อสร้าง เพื่อควบคุมต้นทุนบริหารความเสี่ยงให้สอดรับกับต้นทุนที่ดิน ค่าก่อสร้าง และดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ บริษัทเตรียมงบลงทุนเพื่อการซื้อที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในอนาคตอย่างต่อเนื่อง พร้อมมุ่งเน้นการเสริมสร้างศักยภาพทางการเงิน โดยอยู่ระหว่างเตรียมความพร้อมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SETX ภายในปีนี้ เพื่อสามารถรองรับการขยายตัวในตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพและมั่นคง บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายรวมในปี 2566 ไว้ที่ 1,735 ล้านบาท และวางเป้ายอดโอนรวมไว้ที่ 1,471 ล้านบาท พร้อมเดินหน้ารักษาการเติบโตของยอดขาย ไว้ไม่ต่ำกว่า 20% ต่อปี โดยคาดว่าภายหลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้เป็นผลสำเร็จ เชื่อว่าภายในระยะเวลา 5 จะสามารถสร้างยอดขายได้ 10,000 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -มองภาวะตลาดอสังหาฯ ภาคเหนือปี 64 & อินไซต์ข้อมูลปี 63
คอตโต้ จับ 5 บริษัทรวมกลุ่มสู่ SCG Decor  ลุยตลาดวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์

คอตโต้ จับ 5 บริษัทรวมกลุ่มสู่ SCG Decor ลุยตลาดวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์

คอตโต้ จับ 5 บริษัทในกลุ่มธุรกิจวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ รวมเป็นหนึ่งเดียว สู่กลุ่ม SCG Decor บุกตลาดอาเซียน ขยายฐานจับลูกค้ากว่า 560 ล้านคน หวังเติบโตถึง 6 เท่า ชู 5 กลยุทธ์สู่ความสำเร็จ​ ​   นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ บริษัทเอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ คอตโต้ (COTTO) และประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เอสซีจี เดคคอร์ จำกัด หรือ SCG Decor เปิดเผยว่า COTTO เป็นบริษัทที่เติบโตต่อเนื่องและมีผลประกอบการที่ดี โดยมียอดขายกระเบื้องปูพื้น บุผนัง เป็นอันดับ 1 ในประเทศไทย ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 33.0%  อีกทั้งนักลงทุนให้ความสนใจและเชื่อมั่นด้วยดีตลอดมา   อย่างไรก็ตาม COTTO ยังมีโอกาสขยายตลาดให้ครอบคลุมทุกวัสดุตกแต่งพื้นผิว ดังนั้นการปรับโครงสร้างโดยการขยายสินค้าให้ครอบคลุมทุกวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ พร้อมทั้งขยายธุรกิจไปยังตลาดอาเซียนที่มีศักยภาพสูง ภายใต้ SCG Decor นับเป็นก้าวสำคัญในการสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจเติบโตยิ่งขึ้น รวม 5 บริษัทสู่ SCG Decor SCG Decor เป็นบริษัทแกนหลักของ เอสซีจี ในการประกอบธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ (Decor Surfaces & Bathroom) พร้อมช่องทางจัดจำหน่ายทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน โดยมีกลุ่มบริษัทย่อยที่ประกอบธุรกิจในประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศอินโดนีเซีย ได้แก่   1.บริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระเบื้องปูพื้นและบุผนังในประเทศไทย มียอดขายกระเบื้องเซรามิกเป็นอันดับ 1 ในประเทศ ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 33.0%   2.บริษัท สยามซานิทารีแวร์ จำกัด (SSW) ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสุขภัณฑ์ในประเทศไทยและส่งออกไปต่างประเทศ มียอดขายสุขภัณฑ์เป็นอันดับ 1 ในประเทศ ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 32.8%   3.Prime Group ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระเบื้องปูพื้นและบุผนังในประเทศเวียดนาม มียอดขายเป็นอันดับ 1 ในประเทศ ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 26.4%   4.บริษัท Mariwasa-Siam Ceramics, Inc (MSC) ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระเบื้องปูพื้นและบุผนังในประเทศฟิลิปปินส์ มียอดขายเป็นอันดับ 1 ในประเทศ ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 16.8%   5.PT Keramika Indonesia Assosiasi, Tbk (KIA) ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายกระเบื้องปูพื้นและบุผนังในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งมีประชากร 274 ล้านคน สูงที่สุดในภูมิภาคอาเซียน   นายนำพล กล่าวว่า  การรวมแต่ละบริษัทในกลุ่มธุรกิจกระเบื้องปูพื้น บุผนัง และสุขภัณฑ์ของ เอสซีจี เข้ามาอยู่ภายใต้ SCG Decor  เป็นการเสริมความแข็งแกร่ง และสร้างประโยชน์สูงสุดจากการประสานพลังร่วมกันระหว่างทุกบริษัท (Business Synergy) เพิ่มความสามารถในการแข่งขัน และเร่งการขยายการเติบโตอย่างรวดเร็วไปสู่ภูมิภาคอาเซียน  ด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลายครอบคลุมทุกวัสดุตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ รวมถึงช่องทางจัดจำหน่ายทั้งในประเทศไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกระดับได้อย่างครบวงจร โดยมีโอกาสสร้างการเติบโตได้ถึง 6 เท่า จากประชากรไทยที่มี 70 ล้านคนไปสู่ตลาดที่มีประชากรมากกว่า 560 ล้านคน   (1 อ้างอิงมูลค่าตลาดสำหรับปี 2564 ของกลุ่มผลิตภัณฑ์ตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องของประเทศไทย เทียบกับมูลค่าตลาดรวมของประเทศไทย ประเทศเวียดนาม ประเทศฟิลิปปินส์ และประเทศอินโดนีเซีย ตามรายงานของ Euromonitor) การปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งนี้ จะส่งผลดีต่อผู้ถือหุ้นของ COTTO ที่เปลี่ยนเป็นผู้ถือหุ้นของ SCG Decor คือ ยกระดับเป็น ผู้ถือหุ้นของบริษัทที่ประกอบธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและธุรกิจสุขภัณฑ์ชั้นนำระดับอาเซียน และยังคงสถานะเป็น ผู้ถือหุ้นทางอ้อมของ COTTO และบริษัทในกลุ่ม SCG Decor 5 กลยุทธ์เติบโตในอาเซียน 5 กลยุทธ์ SCG Decor เติบโตสู่ผู้นำธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ครบวงจรในอาเซียน ได้แก่ 1.ขยายตลาดสู่อาเซียน ขยายธุรกิจสุขภัณฑ์ (Bathroom) จากประเทศไทย เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในอาเซียน ซึ่งกลุ่มสุขภัณฑ์ ในประเทศไทย เป็นกลุ่มธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูง มียอดขายและส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 โดยนำเสนอนวัตกรรมใหม่ ๆ อาทิ “COTTO Smart Toilet” ตอบโจทย์เทรนด์ด้านสุขภาพและอนามัย 2.สร้างแบรนด์วัสดุตกแต่งพื้นผิว ต่อยอดความแข็งแกร่งของธุรกิจตกแต่งพื้นผิว (Decor Surfaces) ทั้งในประเทศไทยและในอาเซียน โดยประยุกต์โมเดลธุรกิจที่เข้มแข็งของไทยถ่ายทอดองค์ความรู้เพื่อเร่งการเติบโต ผลักดันแบรนด์สินค้าทุกประเทศให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น เช่น PRIME ในเวียดนาม MARIWASA ในฟิลิปปินส์ และ KIA ในอินโดนีเซีย พร้อมเสริมความแข็งแกร่งทุกช่องทางการขาย และขยายการส่งออกไปทั่วโลก ด้วยนวัตกรรมการออกแบบและวิจัย นำเสนอสินค้าหลากหลาย ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ ตั้งแต่กลุ่มประหยัด กลุ่มมาตรฐาน และกลุ่มพรีเมียม โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA - High Value Added Products & Services) เช่น “LT แผ่นปูพื้น Smart Flexible by COTTO” นวัตกรรมวัสดุสร้างความยืดหยุ่น ติดตั้ง-ดูแลสะดวก ลวดลายและสัมผัสเสมือนธรรมชาติ “AIR ION” กระเบื้องฟอกอากาศ และสินค้าอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่อง เช่น ผลิตภัณฑ์ติดตั้งและซ่อมแซม  ปูนกาว และยาแนว เป็นต้น 3.แตกไลน์ธุรกิจใกล้เคียงเพิ่ม ขยายธุรกิจสู่ผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวเนื่อง ตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านการให้บริการแบบครบวงจร เพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจ ด้านตกแต่งพื้นผิว สุขภัณฑ์ และบริการ ด้วยโซลูชั่นแบบครบวงจรจากการผนึกกำลังของบริษัทในกลุ่มและธุรกิจที่เกี่ยวข้อง 4.บริหารซัพพลายเชนทั้งผลิต-จัดหา การบริหารห่วงโซ่อุปทานทั้งด้านการผลิตและการจัดหาอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด (Regional Optimization and Global Sourcing Powerhouse) ผสานความร่วมมือระหว่างฐานการผลิตในภูมิภาคและบริษัทในกลุ่มเพื่อบริหารกำลังการผลิตในภาพรวมอย่างมีประสิทธิภาพและสรรหาผลิตภัณฑ์ชั้นนำจากภูมิภาคต่าง ๆ ทั่วโลก 5.สร้างสินค้ามาตรฐานโลก เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนด้วยมาตรฐานระดับโลก พัฒนาผลิตภัณฑ์รักษ์โลกและกระบวนการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม  ลดของเสียจากการผลิตและนำกลับมาหมุนเวียนเป็นผลิตภัณฑ์รักษ์โลกเพื่อสร้างรายได้ ลดต้นทุนพลังงานด้วยการเพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนและเพิ่มการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ มุ่งบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 (NET ZERO 2050) สอดคล้องกับแนวทาง ESG (Environmental, Social, and Governance)   นายนำพล กล่าวเสริมว่า SCG Decor เติบโตอย่างต่อเนื่อง มีรายได้จากการขาย ปี 2563 – 2565 ที่ 24,378.6 ล้านบาท 25,937.4 ล้านบาท และ 30,253.8 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.4% และ 16.6% ตามลำดับ ปี 2565 ส่งออกสินค้าไปสู่ตลาดในอาเซียน เช่น กัมพูชา ลาว พม่า และประเทศอื่น ๆ รวมกว่า 53 ประเทศ มีรายได้จากการส่งออกกว่า 4,500 ล้านบาท คิดเป็น 15.0% ของรายได้รวม   ล่าสุดที่ประชุมคณะกรรมการของ COTTO เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2566 พิจารณาให้นำเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น COTTO เพื่อขออนุมัติเพิกถอนหุ้นของบริษัทฯ ออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยจะเสนอต่อที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2566 ในวันที่ 23 พฤษภาคม 2566 เพื่อพิจารณาอนุมัติต่อไป ตามแผนการปรับโครงสร้างบริษัทร่วมกับ SCG Decor โดยมีเงื่อนไขสำคัญ คือ COTTO ต้องได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้น ด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของผู้ถือหุ้นทั้งหมด และต้องไม่มีผู้ถือหุ้นของ COTTO คัดค้านการเพิกถอนหลักทรัพย์เกินกว่า 10% ในวันประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้น ครั้งที่ 1/2566 ปูพรมจับตลาด 560 ล้านคน นายสมิทธิ โกสีย์เจริญ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการเงิน บริษัทเอสซีจี เดคคอร์ จำกัด  กล่าวว่า อุตสาหกรรมกระเบื้องเซรามิก และอุตสาหกรรมสุขภัณฑ์ ทั้งในประเทศไทย รวมถึงเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และ อินโดนีเซีย เป็นตลาดที่มีศักยภาพสูง รองรับประชากรเกือบ 560 ล้านคน มีมูลค่าตลาดกระเบื้องปูพื้น บุผนัง และสุขภัณฑ์ รวมกันกว่า 1.9 แสนล้านบาท  จึงเป็นโอกาสที่  SCG Decor จะขยายธุรกิจและเติบโตต่อไปในอาเซียนได้อีก   ทั้งนี้ อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ปี 2565-2569 ของ ตลาดกระเบื้องเซรามิกในประเทศไทยเติบโตเฉลี่ย 1.2% ขณะที่ตลาดในไทย รวม เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย เติบโตเฉลี่ย 7.1% SCG Decor ส่วนตลาดสุขภัณฑ์ในประเทศไทยเติบโตเฉลี่ย 2.1% เทียบกับรวม 3 ประเทศข้างต้น เติบโตเฉลี่ยต่อปี 8.6% (อ้างอิงจาก Euromonitor ปี 2564)   เมื่อ COTTO ได้รับอนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นแล้ว SCG Decor จะยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์ และแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์ (ยื่นแบบ Filing) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขออนุมัติการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ภายหลังจากแบบไฟลิ่งมีผลใช้บังคับ SCG Decor จะเริ่มทำคำเสนอซื้อหุ้นทั้งหมดของ COTTO ในราคา 2.40 บาทต่อหุ้น โดยจะชำระค่าหุ้นเป็นหุ้นสามัญเพิ่มทุนของ SCG Decor เท่านั้น ซึ่งจะเกิดขึ้นในช่วงเวลาเดียวกันกับการเสนอขายหุ้น IPO ของ SCG Decor หลังจากการทำคำเสนอซื้อสิ้นสุดลง COTTO จะถูกเพิกถอนออกจากตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยผู้ถือหุ้น COTTO ที่ตอบรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ดังกล่าว จะกลายเป็นผู้ถือหุ้นของ SCG Decor และยังคงเป็นเจ้าของ COTTO ทางอ้อม จากนั้น SCG Decor จะเข้าเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต่อไป   นายนำพล กล่าวสรุปเพิ่มเติมว่า บริษัท ฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับการสนับสนุน และได้รับการอนุมัติอย่างเป็นเอกฉันท์จากผู้ถือหุ้น COTTO ในปัจจุบัน รวมถึงมอบความไว้วางใจตอบรับคำเสนอซื้อในครั้งนี้ ด้วยการแลกหุ้นและกลายเป็นผู้ถือหุ้นของ SCG Decor ต่อไป พร้อมทั้งขอเรียนเชิญผู้ถือหุ้นและนักลงทุนทุกท่าน ร่วมเป็นพลังสำคัญในการนำ SCG Decor สยายปีกสู่การเป็นผู้นำธุรกิจตกแต่งพื้นผิวและสุขภัณฑ์ครบวงจรในอาเซียน     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -คอตโต้ เผย 5 ดีไซน์เทรนด์สุขภัณฑ์หลังโควิด กับ 2 ความท้าทายหลังเปิดประเทศ
[PR News] ไซมิส แอสเสท มั่นใจภายใน 3 ปี รายได้ทะลุ 10,000 ล้าน

[PR News] ไซมิส แอสเสท มั่นใจภายใน 3 ปี รายได้ทะลุ 10,000 ล้าน

ไซมิส แอสเสท วางเป้าหมายรายได้ 3 ปีข้างหน้า โดยปี 68 แตะระดับ 10,000 ล้าน เน้นสร้างสมดุลรายได้จากโครงการอสังหาฯ แนวราบ-แนวสูง พร้อมรายได้อื่น 10 - 15% ขณะที่ปีนี้ เตรียมพัฒนา 5 โครงการใหม่ เป็นแนวราบมูลค่ารวม 7,000 ล้านบาท และแนวสูง 1 โครงการ รูปแบบ Mixed Use  ตุน Backlog Forecast มูลค่ากว่า 6,500 ล้านบาท     นายขจรศิษฐ์ สิ่งสรรเสริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไซมิส แอสเสท จำกัด (มหาชน) (SA)  เปิดเผยว่า ได้วางแผนธุรกิจในปี 3 ปีข้างหน้า (2566-2568) จะมุ่งเน้นการสร้างความสมดุล ระหว่างรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์และรายได้จากธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่อง  ซึ่งเป็นการปรับโมเดลธุรกิจเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยง และสร้างการเติบโตอย่างมั่นคง   โดยวางเป้าหมายการเติบโตทางธุรกิจในปี 2568 คาดว่าจะมีรายได้จากการขายโครงการอสังหาฯ ไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท โดยมาจากโครงการแนวราบ และโครงการแนวสูงในสัดส่วนที่เท่า ๆ กัน  และรายได้จากธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่องอีกประมาณ 1,700 ล้านบาท  ซึ่งคาดว่าภายใน 3 ปีนับจากนี้ ในส่วนรายได้ประจำ (Recurring Income) จะมีสัดสวน 10-15% ของรายได้รวม สำหรับปี 2566 มีแผนจะพัฒนาโครงการแนวราบจำนวน 4 โครงการใหม่ รวมมูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท ประกอบด้วย 1.Siamese Kin รามอินทรา (Phase 2) พัฒนาในรูปแบบของบ้านแฝดและทาวน์โฮม จำนวน 36 ยูนิต ราคา 6-10 ล้านบาท มูลค่าโครงการเฟส 2 ประมาณ 250 ล้านบาท 2.Siamese Holm พหลฯ-วิภาวดี พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว ราคา 8-12 ล้านบาท จำนวน 192  ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 1,700 ล้านบาท 3.Siamese Blossom พหลฯ-วิภาวดี  พัฒนาในรูปแบบของบ้านแฝดและทาวน์โฮม ราคา 2-5 ล้านบาท จำนวน 445 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 1,700 ล้านบาท 4.Monsane ราชพฤกษ์ แจ้งวัฒนะ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยวระดับ Luxury ราคา 15—25 ล้านบาท จำนวน 175 ยูนิต มูลค่าโครงการประมาณ 3, 300 ล้านบาท ส่วนการพัฒนาโครงการแนวสูง มุ่งเน้นในรูปแบบ Mixed Use 3 โครงการ ทำเลใจกลางเมือง ซึ่งจะมีการจัดสรรพื้นที่บางส่วนของโครงการเป็นพื้นที่เช่าเชิงพาณิชย์ และเป็นห้องพักในรูปแบบโรงแรมหรือเซอร์วิสเรสซิเดนซ์ เพื่อกระจายแหล่งที่มาของรายได้ให้มีความหลากหลายขึ้น ทั้งนี้ มีแผนเปิดตัว โครงการ  โครงการ Wellness & Healthcare @ Talingchan และอีก 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 11,400 ล้านบาท   ขณะที่มีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จ  (อยู่ระหว่างการโอนกรรมสิทธิ์) จำนวน 8 โครงการ มูลค่า 20,000 ล้านบาท และโครงการปัจจุบัน อยู่ระหว่างก่อสร้าง จำนวน 5 โครงการ มูลค่า 19,500 ล้านบาท  โดยปัจจุบันมียอดขายรอโอน (Backlog) มูลค่ากว่า 6,500 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ถึงปี 2568   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ไซมิส แอสเสท ปั้นแบรนด์ใหม่ระดับลักชัวรี่ “เดอะ คอลเลคชั่น-THE COLLECTION”  -ไซมิส แอสเสท เปิดตัว คอนโดมิเนียมหรูไฮเอน ติด MRT ศูนย์สิริกิติ์ “ไซมิส เอ๊กซ์คลูซีพ ควีนส์”   
อีสเทอร์น สตาร์  เดินหน้าเปิด 4 โครงการใหม่  วางเป้ายอดขาย  3,100 ล้าน

อีสเทอร์น สตาร์ เดินหน้าเปิด 4 โครงการใหม่ วางเป้ายอดขาย 3,100 ล้าน

อีสเทอร์น สตาร์ อีสเทอร์น สตาร์ เปิดคอนโดใหม่ 3 โปรเจ็กต์ พร้อมบ้านเดี่ยวในพื้นที่อีอีซี รองรับความต้องการผู้ซื้ออยู่อาศัยจริง หลังเห็นสัญญาณการฟื้นตัว​ตั้งแต่ต้นปี 2566 คาดทำยอดขายรวมปีนี้แตะ 3,100 ล้านบาท ทำรายได้ 1,700 ล้าน   ดร.ต่อศักดิ์ เลิศศรีสกุลรัตน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อีสเทอร์น สตาร์ เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า มีแผนพัฒนาโครงการในรูปแบบ บ้านเดี่ยว บนทำเล EEC พื้นที่ภาคตะวันออก และโครงการคอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพฯ  ภายใต้แบรนด์ควินทารา (Quintara) 3 ทำเล ซึ่งเป็นโครงการซีรีส์ใหม่ "มาย" (MHy) ในทำเลใจกลางกรุงเทพฯ ประกอบด้วย 1.Quintara MHy’DEN โพธิ์นิมิตร 2.Quintara MHy’GEN รัชดา-ห้วยขวาง และ 3.Quintara MHy’ZEN พร้อมพงษ์  โดยกลุ่มเป้าหมายของโครงการ เป็นตลาดระดับ mid-high ซึ่งเป็นคน Gen Y มีไลฟ์สไตล์หลากหลาย ชอบความเป็นส่วนตัว และต้องการใช้พื้นที่ของตัวเองอย่างคุ้มค่า การดีไซน์ฟังก์ชันใช้สอยภายใน ยูนิตทุกขนาดต้องสะท้อนตัวตน ของผู้อยู่อาศัยได้ชัดเจนแบบคนยุคใหม่ ทันสมัยและเชื่อมต่อโลกภายนอก ด้วยเทคโนโลยี นอกจากนี้ รูปแบบการใช้ชีวิตวิถีใหม่ ที่อยู่อาศัยจึงต้องเป็นพื้นที่ รองรับกิจกรรมไลฟ์สไตล์ได้ทุกรูปแบบ เป็นได้ทั้งบ้าน ที่ทำงานและที่พักผ่อน การออกกำลังกายได้ ทำงานอดิเรกที่ชื่นชอบได้ ทำเลยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการตัดสินใจซื้อ จุดนี้ถือเป็นความได้เปรียบของเราที่มีแลนด์แบงค์ในทำเลติดและใกล้รถไฟฟ้า ส่วนที่อยู่อาศัยแนวราบประเภทบ้านเดี่ยว ซึ่งบริษัทยังคงยึดหัวหาดทำเลพื้นที่ภาคตะวันออก จ.ระยอง โดยพัฒนาโครงการใหม่คือ โครงการบรีซ ชาเลต์ (Breeze Chalet) บ้านเดี่ยวสไตล์อังกฤษในทำเลบูรพาพัฒน์-สุขุมวิท โดยการเปิดตัวโครงการทั้งหมดในปีนี้ คาดว่าจะทำยอดขายได้รวม 3,100 ล้านบาท และทำรายได้ 1,700 ล้าน   สำหรับ โครงการ Quintara MHy’DEN โพธิ์นิมิตร คอนโดไฮไรส์ 40 ชั้น 628 ยูนิต เป็นอาคารสูงตัวแรกของทางแบรนด์ควินทารา ที่ดีไซน์ให้มีความหลากหลายของขนาดยูนิต ฟังก์ชันใช้สอยครบตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์คน Gen Y เปิดราคาเริ่มที่ 2.69 ล้านบาท โครงกร Quintara MHy’GEN รัชดา-ห้วยขวาง คอนโดโลวไรส์ 2 อาคาร 383 ยูนิต ตอบโจทย์คน Gen Y ที่ชอบสไตล์มินิมอล - น้อยแต่มาก ดีไซน์ยูนิตทุกขนาดพื้นที่จัดเต็มฟังก์ชันใช้สอยทั้งการอยู่อาศัย การทำงานจากที่บ้านและการพักผ่อน ราคาเริ่ม 2.09 ล้านบาท ส่วนโครงการ Quintara MHy’ZEN พร้อมพงษ์ คอนโดโลวไรส์ 2 อาคาร  276 ยูนิต ย่านพร้อมพงษ์ การเดินทางสะดวกสามารถไปทองหล่อ อโศก ได้อย่างง่ายดาย ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกในบรรยากาศงานดีไซน์โครงการและพื้นที่ยูนิตซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากศิลปะการชงชาและการจัดสวนแบบญี่ปุ่น สะท้อนความงาม เรียบหรู สงบและเต็มอิ่มอยู่ภายใน ราคาเริ่ม 2.29 ล้านบาท รวมมูลค่าทั้งสามโครงการ 4,150 ล้านบาท    ดร.ต่อศักดิ์ กล่าวต่ออีกว่า คาดการณ์กำลังซื้อ กลุ่มที่ต้องการที่อยู่อาศัยจริงกำลังฟื้นตัว ผู้ซื้อเริ่มมีความมั่นใจ ในสภาพเศรษฐกิจมากขึ้น จะเห็นได้ว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจ ในทุกภาคส่วนกำลังกลับมาขับเคลื่อนได้เต็มรูปแบบ ส่งผลให้ตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2566 มีทิศทางบวกเมื่อผนวกกับมาตรการรัฐ ที่สนับสนุนกำลังซื้อภาคอสังหาริมทรัพย์ ยิ่งมีส่วนกระตุ้นให้ภาคธุรกิจมีความคึกคัก ทั้งนี้ สภาพการแข่งขันในธุรกิจอสังหาฯ จะแข่งขันในอัตราเร่ง ที่อยู่อาศัยที่ยังเป็นซัพพลายเดิม จะถูกเร่งขายเร่งโอน ขณะที่ซัพพลายใหม่ เริ่มมีเข้าสู่ตลาดเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่อง ตลาดใหญ่ยังคงเป็นตลาดระดับกลาง ที่มีกำลังซื้อและมีความต้องการที่อยู่อาศัยจริง โดยในปีที่ผ่านมาพบว่าตลาดที่อยู่อาศัย ที่ได้รับความนิยมคือ อาคารชุดที่ระดับราคา 3-5 ล้านบาท และบ้านเดี่ยวระดับราคา 5-10 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -อีสเทอร์น สตาร์เปิด 4 โครงการ 3,000 ล้าน ลุยตลาดอสังหาฯ ท่ามกลางปัจจัยลบ -ESTAR เปิด 5 โครงการ 6,000 ล้าน ชู “ควินทารา” เรือธงปั๊มรายได้
3 สมาคมมอสังหาฯ จัดมหกรรมบ้าน-คอนโด  ดึงแบงค์ร่วมกระตุ้นยอดขายสู่เป้า 6,000 ล้าน

3 สมาคมมอสังหาฯ จัดมหกรรมบ้าน-คอนโด ดึงแบงค์ร่วมกระตุ้นยอดขายสู่เป้า 6,000 ล้าน

3 สมาคมมอสังหาฯ ร่วมจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 43 ดีเวลลอปเปอร์ออกบูธกว่า 1,000 โครงการ  พร้อมดึงแบงก์ใหญ่ร่วมออกงานกระตุ้นยอดขาย หวังเป้า 6,000 ล้าน   นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในฐานะประธานเปิดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 43 เปิดเผยว่า ที่อยู่อาศัยเป็นปัจจัยสี่ของทุกคน เป็นจุดเริ่มต้นของสังคมครอบครัว พื้นฐานหลักที่สำคัญของสังคมไทย หากครอบครัวมีที่อยู่อาศัย ชีวิตของสมาชิกครอบครัวก็จะมั่นคง คุณภาพชีวิตก็จะดีด้วย แต่การจะทำให้ทุกครอบครัวมีที่อยู่อาศัย ต้องมีความร่วมมือกันจากทุกฝ่าย ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน นอกจากนี้ กทม.ได้กำหนดนโยบายด้านที่อยู่อาศัยและนโยบายอื่นที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เพื่อเพิ่มโอกาสในการเป็นเจ้าของหรือมีที่อยู่อาศัยให้กับคนกรุงเทพมหานครในแต่ละกลุ่มไม่ว่าจะเป็นผู้มีรายได้น้อย กลุ่มคนที่เพิ่งเริ่มต้น กลุ่ม First Jobber และกลุ่มคนวัยทำงาน ซึ่งนโยบายสำคัญนี้สอดคล้องกับความวัตถุประสงค์ของการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด คือ กทม. ต้องการเพิ่มโอกาสการมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคง และหลากหลายรูปแบบให้กับคนกรุงเทพมหานคร​ผ่านแผนยุทธศาสตร์ที่อยู่อาศัย โดยจะทำการศึกษาถึงความต้องการของคนแต่ละกลุ่มว่าต้องการที่อยู่อาศัยรูปแบบใด โดยประสานขอความร่วมมือจากหน่วยงานกลางที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาที่อยู่อาศัย เช่น สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน การเคหะแห่งชาติ ในการพัฒนาที่อยู่อาศัย และจะทำการติดตามผลให้เป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ โดยในส่วนกทม.เอง ก็จะดำเนินการกองทุนพัฒนาที่อยู่อาศัยกรุงเทพฯ ตามข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่องกองทุนพัฒนาที่อยู่อาศัยกรุงเทพมหานคร พ.ศ. 2541 เพื่อเพิ่มโอกาสพัฒนาที่อยู่อาศัยที่มั่นคงให้กับคนกรุงเทพฯ อีกด้วย นอกจากนี้ กทม.ก็จะให้การสนับสนุนการพัฒนาที่อยู่อาศัยชั่วคราว สำหรับนักเรียนนักศึกษาจบใหม่ หรือกลุ่มคนที่เพิ่งเริ่มต้น และก้าวเข้ามาสู่การเป็น First Jobber เพื่อให้เช่าในราคาต่ำ เป็นระยะเวลา 5 ปี เพื่อให้สามารถตั้งตัวและเก็บเงินก้อนแรกได้ โดยจะใช้พื้นที่สำนักงานกรุงเทพมหานคร ที่กระจายตัวอยู่ในเขตกรุงเทพฯ ชั้นใน หลังจากที่ย้ายพนักงานส่วนใหญ่มาทำงานร่วมกันที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร 2 พร้อมทั้งปรับปรุงอาคารสงเคราะห์ข้าราชการและลูกจ้างประจำกรุงเทพฯ ให้มีความหนาแน่นมากขึ้น   พร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกและพื้นที่ส่วนกลางคุณภาพ กรุงเทพมหานครยังจะจัดทำฐานข้อมูลที่ดินในพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน ร่วมกับผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์เอกชน หรือหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้นำอาคารเก่า หรือร้างที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์ ไปพัฒนาเป็นที่อยู่อาศัยเพื่อคนวัยเริ่มทำงานได้เช่า โดยที่กรุงเทพมหานครจะออกมาตรการส่งเสริมด้านภาษี มาตรการส่งเสริมการพัฒนาด้วยการเพิ่มอัตราส่วนพื้นที่อาคารรวมต่อพื้นที่ดิน เพื่อสร้างแรงจูงใจในการพัฒนาที่อยู่อาศัย รวมทั้งจะช่วยประชาสัมพันธ์ ทำการรวบรวมยูนิตที่อยู่อาศัยชั่วคราวในทำเลต่างๆ และช่วยเหลือในการค้นหาและประสานงานการจัดหาที่อยู่อาศัยชั่วคราวให้กับกลุ่มเป้าหมาย ส่วนนโยบายสนับสนุนการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ด้านอื่น ๆ ก็ประกอบด้วยนโยบายสร้างเมืองใหม่ในพื้นที่ชานเมือง เพื่อเพิ่มแหล่งงานในย่านที่อยู่อาศัยชานเมือง และเร่งตัดถนนสายย่อยเชื่อมการเดินทาง ลดการเดินทางเข้ากรุงเทพฯชั้นใน พร้อมทั้งเร่งตัดถนนย่อยตามผังเมือง เพิ่มความคล่องตัวของการจราจรและโอกาสในการมีรถเมล์สายรอง   นอกจากนี้ ยังมีนโยบายเพิ่มรถเมล์สายหลักและสายรองราคาถูกตลอดสาย นโยบายสร้างจุดเชื่อมต่อการเดินทางเพื่อการเปลี่ยนถ่ายการเดินทางที่สะดวกสบายขึ้น นโยบายเพิ่มสถานีชาร์จและสลับแบตเตอรี เพื่อรองรับผู้ใช้รถไฟฟ้าที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ทั้งหมดเป็นเพียงแค่บางส่วนของนโยบายด้านที่อยู่อาศัย และนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ทางกรุงเทพมหานครมุ่งมั่นที่จะทำให้เกิดขึ้นจริง และเกิดขึ้นให้เร็วที่สุด เพื่อช่วยให้คนกรุงเทพฯ สามารถมีที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพเป็นของตัวเองให้ได้มากที่สุด ด้าน นพ.วิเชียร แพทยานันท์ ประธานคณะกรรมการจัดงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 43 กล่าวว่า  งานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 43 นี้ จะมีบูธจากผู้ประกอบการมากกว่า 100 บริษัท รวมโครงการอสังหาฯ ทุกรูปแบบ ทุกราคา ทุกทำเล มานำเสนอแก่ผู้บริโภคมากกว่า 1,000 โครงการ ซึ่งหากคิดมูลค่าของโครงการทั้งหมดภายในงานแล้วจะมากถึง 3 แสนล้านบาท โดยที่สามสมาคมคาดว่าจะมีสัญญาจะซื้อจะขายเกิดขึ้นภายในงานครั้งนี้ ราว 1,500 สัญญา คิดเป็นมูลค่ารวมกว่า 6,000 ล้านบาท และยังมีแรงกระตุ้นต่อเนื่องให้เกิดการซื้อขายตามมาอีก 3 เดือน เป็นมูลค่ารวมประมาณ 9,000 ล้านบาท หรือ 1.5 เท่า เมื่อเทียบกับยอดภายในงานและหลังงาน จะทำให้ยอดขายในงานมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งนี้ รวมกว่า 10,000 ล้านบาท   ด้วยความต่อเนื่องของการจัดงานที่ได้มาตรฐาน มีโครงการที่อยู่อาศัยจากหลากหลายรูปแบบมารวมกันในที่เดียว มียอดจองซื้อขายทั้งภายในงานและต่อเนื่องหลังงานถึงหลักหมื่นล้านบาท ทำให้งานมหกรรมบ้านและคอนโด เป็นหนึ่งในดัชนีชี้วัดการเติบโตของวงการอสังหาริมทรัพย์และของเศรษฐกิจโดยรวม อย่างไรก็ตามวัตถุประสงค์การจัดงานไม่เคยเปลี่ยนแปลง สามสมาคมยังคงมุ่งมั่นที่จะจัดงานนี้ขึ้นเพื่อเป็นเวทีช่วยให้คนไทยได้เป็น ‘เจ้าของที่อยู่อาศัย’ เป็นของตัวเองได้ ด้วยตระหนักถึงความสำคัญของการมีที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นทั้งหนึ่งในปัจจัยสี่ของชีวิตคน และเป็นจุดเริ่มต้นของสังคม   นพ.วิเชียร กล่าวต่อว่า ยิ่งปัจจุบันมีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้การมีบ้านเป็นของตัวเองไม่ใช่เรื่องง่าย ทางคณะกรรมการจัดงานจึงได้กำหนดแนวคิดการจัดงาน ที่ว่า “เรื่องเป็นอยู่ เป็นเรื่องง่าย” หรือ “Up Life by Live” เพื่อสื่อถึงความพยายามของสามสมาคมที่ต้องการช่วยให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงบ้านได้ง่ายยิ่งขึ้น ด้วยการเพิ่มกลไกทางการตลาดเข้าไปในงานฯ ที่ทำให้ผู้ที่ต้องการซื้อบ้านมีความหวังขึ้นอีกครั้งกับการยื่นกู้สินเชื่อให้ผ่าน โดยพยายามดึงพันธมิตรที่เป็นสถาบันการเงินเข้ามาร่วมให้คำปรึกษาด้านสินเชื่อกับคนที่มางานครั้งนี้   ความพยายามที่จะทำให้งานมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งนี้ เป็นทั้งงานแสดงสินค้าอสังหาฯ ที่ใหญ่ที่สุด และยังเป็นงานรวมที่ปรึกษาด้านการเงินจากหลากหลายธนาคาร เพื่อช่วยผู้ที่กำลังจะซื้อบ้านให้เข้าถึงแหล่งสินเชื่อได้อย่างง่ายดาย โดยงานนี้จะทำหน้าที่เป็นสื่อกลางให้ผู้ซื้อ ผู้ประกอบการ และธนาคารได้มาเจอกัน ภายในพื้นที่ที่จัดขึ้นเป็นพิเศษ ที่ชื่อว่า Financial Advisory Zone ซึ่งผู้ซื้อสามารถเลือกซื้อบ้านที่ถูกใจ และยื่นขอสินเชื่อได้เลยทันทีที่โซนนี้โดยเจ้าหน้าที่ธนาคารก็จะทำการตรวจสอบเอกสารและประเมินความสามารถในการผ่อนชำระของผู้ซื้อ พร้อมกับหาโซลูชั่นที่ดีที่สุดให้กับผู้ซื้อได้ในทันที   บริการ Financial Advisory นี้ จะช่วยเพิ่มโอกาสในการยื่นกู้ผ่านให้กับคนที่อยากมีบ้าน ช่วยผู้ประกอบการได้ขายสินค้าที่อยู่อาศัยที่มีอยู่ และช่วยธนาคารคัดกรองกลุ่มลูกค้าคุณภาพ สามารถประเมินความสามารถผ่อนชำระของผู้กู้ได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น ช่วยลดอัตราการเกิด NPL เรียกว่า Win กันทุกฝ่าย   สำหรับงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 43 จะมีขึ้นระหว่าง 23 – 26 มีนาคม 2566 ที่ฮอลล์ 5 ชั้น LG ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ในส่วนของโปรโมชั่นสำหรับผู้จองซื้อที่อยู่อาศัยภายในงานมหกรรมบ้านและคอนโด ครั้งที่ 43 จะได้สิทธิ์ลุ้นรับโทรทัศน์ Panasonic รุ่น TH-65 LX650T เครื่องละ 23,990 บาท และรุ่น TH-55 LX650T เครื่องละ17,490 บาท รวมมูลค่าของรางวัลเกือบ 3 แสนบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] “การเคหะแห่งชาติ” ผนึกกำลัง 14 หน่วยงาน เดินหน้า “ศูนย์ข้อมูลที่อยู่อาศัยแห่งชาติ”
สิงห์ เอสเตท  เปิด 5 โครงการที่อยู่อาศัยหมื่นล้าน  ขายบ้านอัลตร้า ลักชัวรี่ หลังละ 550 ล้าน

สิงห์ เอสเตท เปิด 5 โครงการที่อยู่อาศัยหมื่นล้าน ขายบ้านอัลตร้า ลักชัวรี่ หลังละ 550 ล้าน

สิงห์ เอสเตท เดินหน้าลุยตลาดบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี่ เปิดราคาขายตั้งแต่ 20 ล้านถึงกว่า 550 ล้านบาท หลังจัดทัพธุรกิจใหม่  มั่นใจธุรกิจที่อยู่อาศัยโต 70% ทำรายได้กว่า 4,000-5,000 ล้าน   หลังจาก "สิงห์ เอสเตท" บริษัทอสังหาริมทรัพย์ของกลุ่มเบียร์สิงห์ มีการปรับกลยุทธ์การทำธุรกิจตั้งแต่ปี  2564 ด้วยการขายเงินลงทุนสัดส่วน 51% ในบริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) ในปี 2565 ก็เริ่มพัฒนาโครงการบ้านแนวราบโครงการแรก คือ โครงการศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส ในช่วงปลายปี ส่วนปีนี้ ก็เริ่มหันกลับมาบุกตลาดอสังหาฯ แนวราบเพิ่มมากขึ้นอีกครั้ง โดยแผนการเปิดตัวโครงการในปี 2566 ยังคงพัฒนาบ้านในกลุ่มลักชัวรี่เหมือนเช่นเคย ซึ่งมี 4 กลุ่มหลัก คือ บ้านลักชัวรี่ ระดับราคา 20 ล้านบาทขี้นไป บ้านพรีเมียม ลักชัวรี่ ระดับราคา 30-50 ล้านบาท บ้านซุปเปอร์ ลักชัวรี่ บ้านระดับราคา 50-100 ล้านบาท บ้านอัลตร้า ลักชัวรี่ ระดับราคา 250 ล้านบาทขึ้นไป ตามแผนธุรกิจปี 2566 เตรียมเปิดโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ 5 โครงการ รวมมูลค่า 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะเป็นโครงการภายใต้แบรนด์ใหม่ 2 แบรนด์ ขณะเดียวกันจะมีโครงการที่เป็น ​Flgship Cluster Home Project ที่ขายบ้านระดับอัลตร้า ลักชัวรี่ ราคาเริ่มต้นหลังละ 550 ล้านบาท จำนวน 2 โครงการ   นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S  เปิดเผยว่า กลุ่มธุรกิจอสังริมทรัพย์ในปีนี้ ตั้งเป้าหมายเติบโต 70% หรือมีรายได้ 4,000-5,000 ล้านบาท โดยหลังจากที่ปิดโครงการสันติบุรีแล้ว ในปีนี้จะเป็นโครงการในคอนเซ็ปต์เดียวกันอีก  2 โครงการ ในรูปแบบ ​​Flgship Cluster Home Project สำหรับโครงการรูปแบบ Flgship Cluster Home Project มีข้อดี คือ สามารถพัฒนาได้บนที่ดินขนาดเล็กไม่เกิน 10 ไร่ มีจำนน 8-9 ยูนิต ในย่านใจกลลางธุรกิจ ซึ่งจะขายที่ดินก่อนการก่อสร้างบ้าน ทำให้สามารถปิดการขายได้เร็ว แลรับรู้รายได้ได้เร็ว โดยโครงการรูปแบบ ​Flgship Cluster Home Project โครงการแรกจะพัฒนาบริเวณซอยสุขุมวิท49 บนเนื้อที่ประมาณ 2 ไร่จำนวน 2 ยูนิต เตรียมเปิดตัวช่วงกลางปีนี้ ส่วนโครงการที่เหลือจะเปิดตัวช่วงปลายปี   นางฐิติมา กล่าวอีกว่า  ในปี 2566 เป็นปีที่สำคัญมากของสิงห์ เอสเตท ในการสร้างการเติบโต ด้วยการใช้กลยุทธ์ “S EXCELS” คือการสร้างความเป็นเลิศในทุกมิติ ประกอบด้วย   มิติแรก คือ ผลการดำเนินงานที่เป็นเลิศ ดันเป้ากำไรสู่ All-time High ในทุกพอร์ตธุรกิจ โดยปีนี้จะสามารถสร้างรายได้รวมของบริษัทให้เติบโตขึ้นสูงถึง 34% หรือมีมูลค่าแตะ 16,700 ล้านบาท   มิติที่สองคือ การเพิ่มแต้มต่อธุรกิจ เสริมแกร่งศักยภาพในการแข่งขัน เน้นการสร้าง Synergy ที่เกื้อหนุนกันระหว่าง 4 ธุรกิจ และความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำ เพื่อสร้างการเติบโตเฉลี่ยปีละ 20% ตลอด 3 ปี   มิติที่สามคือ การพัฒนาอย่างยั่งยืน บริษัทฯ ตั้งเป้าบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2573 และกำหนดแผนอนุรักษ์ในพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพในบริเวณธุรกิจตั้งอยู่ ทั้งนี้ ปี 2565 ที่ผ่านมาบริษัทฯ สร้างรายได้ 1 2,500 ล้านบาท หรือเติบโตขึ้นจากปีก่อนประมาณ 62% โดยมีปัจจัยหลายประการที่ช่วยเกื้อหนุนการเติบโต ไม่ว่าจะเป็นยอดจองและยอดโอนกรรมสิทธิ์  ของโครงการศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส ซึ่งสูงถึง 77% และ 30% ตามลำดับ นับเป็นความสำเร็จอย่างงดงามที่เกิดขึ้นเพียง 1 ปี หลังปรับโครงสร้างธุรกิจและรุกเข้าสู่การพัฒนาบ้านแนวราบอย่างเต็มตัว   ธุรกิจโรงแรมภายใต้การบริหารงานของ SHR สามารถทำรายได้ทะลุเป้าหมายอยู่ที่ 8,700 ล้านบาท ขึ้นแท่นผู้ประกอบการโรงแรมในไทยที่มีรายได้สูงสุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศ ด้วยความแข็งแกร่งของกลยุทธ์ผนวกกับแรงหนุนจากการเปิดประเทศ ส่งผลให้อัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวัน (Average Daily Rate: ADR) ปรับเพิ่มขึ้นได้กว่า28% จากปีก่อนหน้า   กลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงานมีสัญญาณฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ มีอัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy) ที่ไต่ระดับสูงขึ้นขณะที่ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมมีรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินในปีก่อนได้กว่า 77 ไร่
เปิดประวัติ คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี  ผู้ร่วมสร้างตำนานอาณาจักร TCC Group

เปิดประวัติ คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี ผู้ร่วมสร้างตำนานอาณาจักร TCC Group

คุณหญิงวรรณา ประวัติส่วนตัว คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี เกิดวันอังคารที่ 2 มีนาคม 2486 อายุ 80 ปี เป็นบุตรสาวของ เจ้าสัวกึ้งจู แซ่จิว ผู้คร่ำหวอดในแวดวงธุรกิจการค้าขายเครื่องดื่มสุรา สมรสกับ ​เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี  มีบุตรด้วยกัน 5 คน ประกอบด้วย นางอาทินันท์ พีชานนท์ นางวัลลภา ไตรโสรัส นายฐาปน สิริวัฒนภักดี นายปณต สิริวัฒนภักดี นางฐาปณี เตชะเจริญวิกุล ประวัติการศึกษา คุณหญิงวรรณา ได้รับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ จาก 8 มหาวิทยาลัย  ได้แก่ ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการจัดการธุรกิจ มหาวิทยาลัยพะเยา ปริญญาบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการจัดการ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ปริญญาบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ปริญญาบริหารธุรกิจดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาบริหารธุรกิจการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้ ปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาเทคโนโลยีชีวภาพ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่สะท้อนให้เห็นถึงคุณประโยชน์ทางธุรกิจของแต่ละสาขาวิชาได้เป็นอย่างดี ประวัตการทำงาน คุณหญิงวรรณา มีบทบาทสำคัญ นอกจากการเป็นภรรยาของ เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี ผู้ก่อตั้ง ทีซีซี กรุ๊ป ยังมีบทบาทในธุรกิจของกลุ่มทีซีซี โดยดำรงตำแหน่งสำคัญมากมาย อาทิ รองประธานกรรมการและรองประธานกรรมการบริหาร คนที่ 1 บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด รองประธานกรรมการ บริษัท ทีซีซี แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(มหาชน) รองประธานกรรมการ บริษัท บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ จำกัด(มหาชน) รองประธานกรรมการ คนที่ 1 บริษัท เครือไทย โฮลดิ้งส์ จำกัด(มหาชน) รองประธานกรรมการ และรองประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) รองประธานกรรมการ บริษัท เครือไทย โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) รองประธานกรรมการ บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ทส์ (ประเทศไทย) จำกัด รองประธานกรรมการ บริษัท ทีซีซี แอสเสท เวิรด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด กรรมการ บริษัท ทีซีซี โฮลดิ้ง (2519) จำกัด รองประธานกรรมการกลุ่มบริษัทเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด รองประธานกรรมการกลุ่มบริษัทเฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ ลิมิเต็ด รองประธานกรรมการ บริษัท สิริวนา จำกัด รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท คริสตอลลา จำกัด รองประธานกรรมการ บริษัท พรรณธิอร จำกัด รองประธานกรรมการ บริษัท ทีซีซีแลนด์ จำกัด ประธานกรรมการ บริษัท เบียร์ทิพย์ บริวเวอรี่ (1991) จำกัด รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท นอร์ธปาร์ค กอล์ฟแอนด์สปอร์ตคลับ จำกัด รองประธานกรรมการ บริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) รองประธานกรรมการ บริษัท เครืออาคเนย์ จำกัด รองประธานกรรมการ บริษัท ทีซีซี คอร์ปอเรชั่น จำกัด ประธานกรรมการ บริษัท แสงโสม จำกัด ประธานกรรมการ บริษัท เฟื่องฟูอนันต์ จำกัด ประธานกรรมการ บริษัท ธนภักดี จำกัด รองประธานกรรมการ บริษัท มงคลสมัย จำกัด ประธานกรรมการ บริษัท กาญจนสิงขร จำกัด รองประธานกรรมการ บริษัท เบียร์ช้าง จำกัด รองประธานกรรมการ บริษัท น้ำใจไทยเบฟ (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด รองประธานกรรมการ บริษัท อาคเนย์ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) รองประธานกรรมการ บริษัท อาคเนย์ประกันภัย จำกัด (มหาชน) รองประธานกรรมการ บริษัท อาคเนย์แคปปิตอล จำกัด รองประธานกรรมการ International Beverage Holdings Limited รองประธานกรรมการ International Beverage Holdings (UK) Limited รองประธานกรรมการ International Beverage Holdings (China) Limited รองประธานกรรมการ InterBev Investment Limited โดยคุณหญิงวรรณา ได้ร่วมกับ เจ้าสัวเจริญ  ดำเนินธุรกิจมาอย่างยาวนานกว่า 50 ปี ซึ่งปัจจุบัน ทีซีซี กรุ๊ป มี 5 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ ธุรกิจเครื่องดื่ม มีบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อาทิ ทีซีซี แลนด์, ยูนิเวนเจอร์ และ เฟรเซอร์ พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย อาคารสำนักงาน โรงแรม ศูนย์การค้า ธุรกิจอุตสาหกรรมการค้า สินค้าอุปโภคบริโภค ได้แก่  เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ หรือบีเจซี และบิ๊กซี ธุรกิจประกัน และการเงิน ธุรกิจเกษตร และอุตสาหกรรมการเกษตร ซึ่งมีกิจการทั้งในและต่างประเทศ เช่น สปป.ลาว กัมพูชา ตำแหน่งทางสังคม นอกจากบทบาทสำคัญในด้านธุรกิจ คุณหญิงวรรณา ยังมีบทบาทสำคัญในด้านสังคม ทั้งการทำงานการกุศล และการช่วยเหลือสังคมในหลากหลายรูปแบบ โดยคุณหญิงวรรณา มีตำแหน่งทางสังคมสำคัญ ในมูลนิธิต่างๆ มากมาย อาทิ กรรมการมูลนิธิสถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์ กรรมการมูลนิธิรามาธิบดี กรรมการศิริราชมูลนิธิ กรรมการมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช กรรมการมูลนิธิคืนช้างสู่ธรรมชาติ กรรมการ คณะกรรมการจัดหา และส่งเสริมผู้ให้โลหิตแห่งสภากาชาดไทย กรรมการมูลนิธิศาลาเฉลิมกรุง กรรมการมูลนิธิ แอสเสท เวิรด์ เพื่อการกุศล ขอแสดงความอาลัย คุณหญิงวรรณา ที่ได้ถึงแก่กรรมด้วยอาการสงบเมื่อเวลา 01.24 น. ของวันนี้ (วันที่ 17 มีนาคม 2566)    
“บ้านอยู่เจริญ อีสต์วิลล์” บ้านแฝดและทาวน์โฮมสไตล์ นิวยอร์ก

“บ้านอยู่เจริญ อีสต์วิลล์” บ้านแฝดและทาวน์โฮมสไตล์ นิวยอร์ก

บ้านอยู่เจริญ อีสต์วิลล์  โครงการบ้านแฝดและทาวน์โฮมสุดหรูที่โดดเด่นด้วยดีไซน์มีสไตล์ เหมือนอยู่ในบ้านกลางนิวยอร์ก พัฒนาโดย “อยู่เจริญเอสเตทส” (U Charoen Estate) U Charoen Estate บ้านอยู่เจริญ อีสต์วิลล์ โครงการตั้งอยู่บนถนนนาคนิวาส ซอย 6 ในโซนลาดพร้าวเข้าออกได้หลายช่องทาง ที่ใกล้ทางด่วนเพียง 5 นาที และจะเดินทางเข้าเอกมัยทองหล่อก็ใช้เวลาไม่นาน  โครงการตั้งอยู่บนที่ดิน 4 ไร่ ให้ความส่วนตัวเพราะมีแค่ 28 ยูนิต  ราคาเริ่มต้นที่ 38 ล้านบาทจนถึง 50 ล้านบาท โลเคชั่นดีรายล้อมด้วยแหล่งช้อปปิ้ง ร้านอาหารอร่อย ใกล้แหล่งงานภาครัฐและเอกชน  โครงการอยู่ด้านหลังห้างเซ็นทรัล อีสต์วิลล์ เพียง300 เมตร  แหล่งรวมสิ่งอำนวยความสะดวกในย่านเรียบด่วน  การเดินทางสะดวกใกล้จุดขึ้นลงทางด่วน และเข้าสู่กลางเมือง อย่างเอกมัย ทองหล่อ ก็ใช้เวลาไม่นาน   ส่วนไฮไลท์ของโครงการ บ้านอยู่เจริญ อีสต์วิลล์ ได้รับแรงบันดาลใจจากการใช้ชีวิตของผู้คนในในย่านสุดหรูของมหานครนิวยอร์ก อย่างย่าน Upper Eastside เช่น Madison, Lexington และ Park Avenue มาตอบโจทย์ผู้บริโภค ที่มีไลฟ์สไตล์ชอบการท่องเที่ยว และงานศิลปะ ด้านการออกแบบบ้านแฝดและทาวน์โฮม สามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชันให้ตรงตามต้องการ หรือแม้แต่การจัดเป็นโฮมออฟฟิศก็สามารถจัดทำได้เช่นกัน และยังคงความเป็นส่วนตัว สอดคล้องกับพฤติกรรมความต้องการของผู้อยู่อาศัย การออกแบบในสไตล์ Modern Palladian โดยแรงบันดาลใจจากการใช้ชีวิตของผู้คนในมหานครนิวยอร์ก และยังทันสมัยเพราะทุกหลัง Smart Home Automation  และ ชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า ทุกหลัง จุดเด่นของบ้านเป็นบ้านหน้ากว้าง 12 เมตรจอดรถสูงสุดได้ 4 คัน   “บ้านอยู่เจริญ อีสต์วิลล์”  มีความเป็นส่วนตัวสุง ด้วยจำนวนเพียง 28 ยูนิต โดยมีแบบบ้าน 2 รูปแบบ ได้แก่ ทาวน์โฮม 4 ชั้น 3 ห้องนอน ขนาดเริ่มต้น 40 ตารางวา จำนวน 20 หลัง และ บ้านแฝด 3 ชั้น และ 2 ชั้นลอย 3 ห้องนอน ขนาดเริ่มต้น 44.2 ตารางวา เพียง 8 หลัง ราคาเริ่มต้น ที่มาหน้ากว้าง 12 เมตรที่สามารถจอดรถได้ถึง 4 คัน 3 ห้องนอนและมีห้องสำหรับแม่บ้าน พร้อมฟังชั่นปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของทุกคน ส่วนกลาง พื้นที่ส่วนกลางมีพื้นที่สีเขียวพร้อมต้นไม้ใหญ่  โอบล้อมด้วยพืชพันธุ์ไม้หอมของไทย เช่น ลำดวน และปีป มีคลับเฮ้าส์ ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งสระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ ฟิตเนส และห้องประชุม รวมถึงสนามกว้างขวาง ที่รองรับกิจกรรมกลางแจ้งได้หลากหลาย มาพร้อม โคเวอคกิ้ง สเปส และ คุกกิ้งสเปส จัดปาร์ตี้บาร์บีคิวกันได้เลย   บ้านอยู่เจริญ อีสต์วิลล์ ตอนนี้บ้านตัวอย่างมีให้ชมครบทั้งบ้านแฝดและทาวน์โฮม  โครงการมูลค่ากว่า 1000 ล้าน ที่ตั้งใจยก มหานครนิวยอร์ก มาวางที่เรียบด่วนรามอินทรา สนใจเยี่ยมชมโครงการกันได้แล้ว     บทความน่าสนใจ One Atelier Phaholyothin ไพรเวท เรสซิเดนซ์ Luxury townhome เอกสิทธิ์เพียง 13 ครอบครัวเท่านั้น DEMI Sathu 49 บ้านที่พัฒนา มาเพื่อคุณ The Haute กาญจนา–สาทร Vertical Biz Villa บ้านที่เป็นได้ทุกอย่างในทุกจังหวะของชีวิต