Tag : Townhome

792 ผลลัพธ์
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้  วาง 3 แผนงานสร้างการโตไม่สิ้นสุด  จับเมกะเทรนด์ลุยธุรกิจทั่วไทย

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ วาง 3 แผนงานสร้างการโตไม่สิ้นสุด จับเมกะเทรนด์ลุยธุรกิจทั่วไทย

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ยกทัพ 5 ผู้บริหารบริษัทในเครือ ประกาศทิศทางธุรกิจปี 2566 “Origin Infinity” สู่เส้นทาง Well-Being Lifetime Company สร้างการเติบโตและดูแลบริโภคแบบไม่สิ้นสุด เปิดตัวโครงการบ้าน-คอนโดใหม่ 42 โครงการ มูลค่าโครงการ 50,000 ล้าน โรงแรม-อาคารสำนักงาน-มิกซ์ยูส มูลค่า REIT ประมาณการ 25,500 ล้าน โครงการโลจิสติกส์และคลังสินค้าอีก 4,500 ล้าน ครอบคลุมทุกเซ็กเมนท์ กระจายตัวใน 13 จังหวัดทั่วประเทศ     นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร  พร้อมทีมผู้บริหารระดับสูงของกลุ่มธุรกิจออริจิ้นร่วมกันแถลงแผนธุรกิจปี 2566 ที่ปีนี้ มาในแนวคิด “Origin Infinity” สร้างการเติบโตและการดูแลผู้บริโภคแบบไม่สิ้นสุด พัฒนาเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ให้กลายเป็น Well-Being Lifetime Company หรือองค์กรที่มีธุรกิจครอบคลุมการดูแลผู้บริโภคตลอดช่วงชีวิต ซึ่งมีทีมผู้บริหารร่วมแถลงข่าวครั้งนี้ ได้แก่ นายอภิสิทธิ์ สุนทรชูเกียรติ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น คอนโดมิเนียม จำกัด แกลุ่มธุรกิจสมาร์ทคอนโดมิเนียม นายปิติ จารุกำจร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด กลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) ผศ.นพ.ชวกิจ ภูมิบุญชู ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด  กลุ่มธุรกิจบริการด้านสุขภาพ นายปธาน สมบูรณสิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด กลุ่มโลจิสติกส์และคลังสินค้า (Logistics & Warehouse) ​ ออริจิ้น กับ 3 แผนงาน Origin Infinity สำหรับแผนงาน Origin Infinity ประกอบด้วยการขับเคลื่อน 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1.การขยายสินค้าและบริการให้ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ (Nationwide Serve) ยกทัพธุรกิจในเครือกระจายสู่ต่างจังหวัดเพื่อพัฒนาการใช้ชีวิตที่ดีขึ้น (Better Living) ให้แก่คนในพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เริ่มจากกลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อการขาย เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่แบบ All Time High รวมทั้งสิ้น 42 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 50,000 ล้านบาท ครอบคลุมพื้นที่ 13 จังหวัดทั่วประเทศ แบ่งเป็น โครงการคอนโดมิเนียม 22 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 27,500 ล้านบาท โครงการบ้านจัดสรร 20 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 22,500 ล้านบาท เริ่มพัฒนาโครงการโรงแรม อาคารสำนักงาน และศูนย์การค้าใหม่ในปีนี้ มูลค่า REIT ประมาณการรวม 25,500 ล้านบาท โครงการกลุ่มโลจิสติกส์และคลังสินค้า (Logistics & Warehouse) มูลค่า REIT ประมาณการรวม 4,500 ล้านบาท พร้อมทยอยนำธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ทั้งธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรในเครือบริษัท พรีโม​ เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) ธุรกิจบริการสุขภาพภายใต้ออริจิ้น เฮลท์แคร์ ไปให้บริการในต่างจังหวัดด้วย ไฮไลต์ของปีนี้ คือ การนำหลายแบรนด์ที่เราไม่ได้เปิดตัวมาระยะหนึ่ง กลับมาร่วมบุกตลาดเพื่อให้ครอบคลุมลูกค้าหลากเซ็กเมนท์และสอดคล้องกับสภาพความต้องการของตลาดในปีนี้ อาทิ แบรนด์ดิ ออริจิ้น กลับมาเจาะตลาดคอนโดมิเนียมเพื่อคน Gen Z และกลุ่มที่เพิ่งเริ่มต้นทำงานหรือ First Jobber  แบรนด์เบลกราเวีย กลับมาเจาะตลาดบ้านเดี่ยวลักชัวรีรองรับดีมานด์หลากทำเล ปีนี้จะมีการบุกไปยังจังหวัดใหม่ๆ ที่เราไม่เคยไปบุกมาก่อน รวมถึงมีโครงการไฮไลต์ เป็นโครงการมิกซ์ยูส กระจายตัวในหัวเมืองใหญ่หลายจังหวัด เช่น ภูเก็ต เชียงใหม่ ขอนแก่น โคราช ผสมผสานหลากหลายสูตร เช่น บ้าน คอนโด โรงแรม ศูนย์การค้า บริการสุขภาพ ต่อยอดความสำเร็จของการพัฒนาโครงการออริจิ้น ดิสทริค แหลมฉบัง-ศรีราชา และออริจิ้น สมาร์ท ซิตี้ ระยอง 2.การขยายจักรวาลธุรกิจใหม่ให้มีเส้นทางเติบโตอย่างต่อเนื่อง (Multiverse Expansion) มุ่งพัฒนาช่วงชีวิตที่ดีขึ้น (Better Lifetime) ต่อยอดจากแผน Origin Multiverse ในปี 2565 ด้วยการขยายธุรกิจนอกเหนือจากที่อยู่อาศัยให้มีเส้นทางการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ครอบคลุมการดูแลคนทุกเจเนอเรชั่น ทุกช่วงจังหวะของชีวิต ตั้งแต่ยังโสด เพิ่งแต่งงาน ครอบครัวขยายตัว จนเกษียณอายุ ทุกแพลตฟอร์ม ทั้งออฟไลน์และออนไลน์ นำพาบริษัทย่อยที่ดูแลธุรกิจใหม่ๆ เติบโตเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อย่างต่อเนื่องปีละ 1 บริษัท หลังจากนำบริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI และบริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PRI เข้าตลาดได้แล้วในปี 2564 และ 2565 (ตามลำดับ) ตามแผนงาน ในปี 2566 มีแผนส่งบริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด เป็นธุรกิจถัดไป ตามด้วยบริษัท แอลฟา อินดัสเทรียล โซลูชั่น จำกัด บริษัท ออริจิ้น เฮลท์แคร์ จำกัด และบริษัท ยูไนเต็ด โปรเจคต์  แมเนจเมนท์ จำกัด โดยวัน ออริจิ้น จะมีโครงการสร้างเสร็จใหม่ในปีนี้ทั้งโรงแรม อาคารสำนักงาน อย่างต่อเนื่อง ขณะที่กลุ่มเฮลท์แคร์จะเริ่มวางรากฐาน เปิดตัวธุรกิจใหม่ๆ อาทิ คลินิกทันตกรรม คลินิกความงาม คลินิกสัตว์เลี้ยง คลินิกเส้นผม กระจายตัวไปพร้อมกับโครงการที่อยู่อาศัยและมิกซ์ยูสเครือออริจิ้น โดยมีแผนเปิดสาขารวมทั้งหมด 25 แห่งในสิ้นปี 2566 3.การดูแลสังคม (Social Attention) ร่วมใส่ใจสังคมและสิ่งแวดล้อมในหลากหลายมิติ เพื่อสร้างสังคมที่ดีขึ้น (Better Society) ได้แก่ ด้านการพัฒนาบุคลากร (Talent Development) จับมือกับสถาบันการศึกษาต่างๆ สร้าง Origin Valley ร่วมกับสถาบันการศึกษานั้นๆ เพื่อเป็นพื้นที่พัฒนาทักษะคนรุ่นใหม่ให้มีความรู้ความสามารถที่ตรงกับความต้องการขององค์กรและตลาดแรงงาน รวมถึงแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เพื่อพัฒนาบุคลากรในเครือออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ที่มีมากกว่า 3,000 คน ให้พร้อมเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ด้านการพัฒนาชุมชน (Community Development) ดำเนินโครงการ Origin Give เพื่อสร้างโอกาสและส่งมอบสิ่งดีๆ แก่ชุมชน อาทิ การมอบทุนการศึกษา การมอบอุปกรณ์การแพทย์ การลงพื้นที่พัฒนาโรงเรียน ด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) ร่วมเดินหน้าแผน Net-Zero Emission 2044 เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในทุกมิติ อาทิการออกแบบโครงการที่ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การลดปริมาณขยะ การลดใช้ไฟฟ้าทั้งในออฟฟิศและสำนักงานขาย การเริ่มติดตั้ง Solar Roof และ EV Charger ในโครงการใหม่ๆ จากแผนงาน Origin Infinity บริษัทเชื่อมั่นว่าจะช่วยสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งในทุกมิติ และเป็นการกระจายการเติบโตพร้อมรับมือทุกสภาวะเศรษฐกิจ ปี 2566 นี้ จึงตั้งเป้าหมายยอดขายโครงการ ที่อยู่อาศัยไว้ที่ 45,000 ล้านบาท และเป้ารายได้รวมอยู่ที่ 19,000 ล้านบาท หรือเป็นเป้าหมายเติบโต All Time High จากวิสัยทัศน์ของบริษัทที่ต้องการขยายอาณาจักรธุรกิจ ไม่ใช่เพียงกลุ่มธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย แต่ครอบคลุมถึงเมกะเทรนด์ และธุรกิจใหม่ๆ เพื่อให้สามารถครอบคลุมทุกมิติการยกระดับการใช้ชีวิตของผู้บริโภค   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ โชว์ทุกผลงาน Q2/65 ทำ New High เล็งจ่ายปันผลระหว่างกาล หุ้นละ 0.15 บาท -“ออริจิ้น” ตุนยอดขายครึ่งปีแรก 51% ของเป้าทั้งปี เตรียมเปิดโครงการเพิ่มอีก 26,500 ล้าน
M Life สุขุมวิท–บางปู 87 บ้านแฝดหรูดีไซน์ใหม่ ตรงข้ามตากอากาศบางปู ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว

M Life สุขุมวิท–บางปู 87 บ้านแฝดหรูดีไซน์ใหม่ ตรงข้ามตากอากาศบางปู ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว

M Life สุขุมวิท–บางปู 87 บ้านแฝดหรูดีไซน์ใหม่ ตรงข้ามตากอากาศบางปู ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว Review Your Living พาไปชมโครงการ M Life สุขุมวิท-บางปู 87 โครงการบ้านแฝดพรีเมี่ยมสุดหรูสร้างสรรค์โดย บริษัท เมซัน ดีเวลลอปเม้นท์  โครงการนี้ตั้งอยู่ในทำเลศักยภาพอยู่ฝั่งตรงข้ามกับ สถานตากอากาศบางปู การเดินทางสะดวกสามารถเลือกเดินทางได้หลายหลายเส้นทาง M Life สุขุมวิท–บางปู 87 บ้านแฝดหรูดีไซน์ใหม่ ตรงข้ามตากอากาศบางปู ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว ด้วยที่ตั้งของโครงการที่อยู่บนถนนสุขุมวิท สามารถเชื่อมต่อไปยังถนนสายหลักต่างๆ เช่น ถนนศรีนครินทร์, ถนนบางนา-ตราด ทำให้การเข้าสู่ใจกลางเมืองสะดวกและประหยัดเวลาได้มาก เพียงข้ามสะพานภูมิพล (วงแหวนอุตสาหกรรม) ก็เข้าสู่ย่านพระราม3, สาทร, สีลมได้สะดวก นอกจากนี้ที่ตั้งของโครงการ M Life สุขุมวิท - บางปู ยังอยู่ใกล้รถไฟฟ้าสายสีเขียว ซึ่งจะมีสถานีบางปู (ส่วนต่อขยาย) อยู่ห่างจากหน้าโครงการไปแค่นิดเดียว ต่อไปการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าก็จะสะดวกมากยิ่งขึ้นไปอีก     เมื่อพูดถึงทำเล “บางปู” หลายคนจะมีภาพความเป็นชุมชนที่อยู่อาศัยและเป็นแหล่งงานที่ขนาดใหญ่ เป็นแหล่งรวมทั้งนิคมอุตสาหกรรมบางปู, นิคมอุตสาหกรรมบางพลี ที่มีคนทำงานหมุนเวียนนับแสนคนต่อวัน ทำให้บริเวณย่านบางปูมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน  ทั้งโรงเรียนชื่อดังอย่าง โรงเรียนสารสาสน์วิเทศ สมุทรปราการ, โรงเรียนอัสสัมชัญ สมุทรปราการ,โรงเรียนเซนต์โยเซฟทิพวัล, โรงเรียนเอี่ยมสุรีย์, วิทยาลัยเซาธ์อีสท์บางกอก, มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ   รวมถึงแหล่งช้อปปิ้งมากมายเช่น Mega Bangna, ikea, Market Village กิ่งแก้ว, โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ สมุทรปราการ, เทสโก้ โลตัสบางปู, บิ๊กซี ซูเปอร์ เซ็นเตอร์ สมุทรปราการ ขณะที่แหล่งท่องเที่ยวอย่างเมืองโบราณสมุทรปราการ และฟาร์มจระเข้สมุทรปราการก็อยู่ไม่ไกล รวมถึงสถานที่พักผ่อนชื่อดังประจำถิ่นอย่าง “สถานตากอากาศบางปู” ก็อยู่แค่ฝั่งตรงข้ามกับโครงการเท่านั้น โครงการ M Life สุขุมวิท – บางปู 87 จึงเป็นอีกหนึ่งโครงการที่พูดได้ว่า อยู่ในทำเลที่เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก ตอบโจทย์ของการอยู่อาศัยของทุกคนในครอบครัว   โครงการ M Life สุขุมวิท – บางปู 87 เป็นโครงการที่มีให้เลือกทั้งบ้านแฝด และทาวน์โฮม ออกแบบมาภายใต้แนวคิด “The Art of Timeless Living - การท่องผ่านกาลเวลา ความงามและคุณค่าในการอยู่อาศัย” ซึ่งจะเห็นได้จากแบบบ้านที่ดูหรูหราทันสมัยมากขึ้น สะดุดตาด้วยการเลือกใช้เส้นโค้งมนเพื่อการออกแบบให้แบบบ้านมีความน่าสนใจมากขึ้น     นอกจากนี้ Facility ส่วนกลางของทางโครงการก็จัดเตรียมไว้ให้มากมาย เช่น Club House ขนาดใหญ่ซึ่งมีทั้ง Co-Working Space เพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การทำงานในยุคปัจจุบัน, Kids Zone ห้องเด็กเล่น และฟิตเนสพร้อมอุปกรณ์ออกกำลังกายมากมาย ในขณะเดียวกัน พื้นที่สวนสีเขียวกลางแจ้งก็เหมาะกับการพักผ่อน ออกกำลังกาย เพราะมีทั้ง สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ, สนามบาสเกตบอล และสนามเด็กเล่นกลางแจ้งด้วย     M Life สุขุมวิท – บางปู 87  มียูนิตรวม 173 ยูนิต  โดยจะแบบบ้านให้เลือกด้วยกัน 3 แบบ ซึ่งต่างกันที่ขนาดพื้นที่ใช้สอย และ Layout ภายในตัวบ้าน ซึ่งจะมาตอบโจทย์การใช้งานที่ต่างกัน ตามความต้องการของแต่ละครอบครัว ซึ่งไฮไลท์ที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยคือ แบบบ้านแฝด ที่เพิ่มฟังก์ชั่นครัวไทย และห้องซักรีด มาให้พร้อมใช้งาน ซึ่งเราสามารถเลือกตกแต่งเพิ่มเติมได้ตามใจ หรืออาจจะลองดูในบ้านตัวอย่างไว้เป็นไอเดียกันก่อนได้     บ้านแบบ MD เป็นบ้านแฝด 2 ชั้น 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ จอดรถได้ 2 คัน ขนาดที่ดิน 36 – 44 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 155 ตร.ม. หน้าบ้านกว้างถึง 10.20 เมตร เป็นบ้านแฝดแต่ให้อารมณ์เหมือนบ้านเดี่ยว เนื่องจากโครงสร้างที่อิสระไม่มีผนังที่ติดกันจึงทำให้สามารถเข้าออกได้ 2 ทาง ทั้งด้านหน้าบ้านและด้านที่จอดรถจอดรถก็เดินเข้าบ้านได้เลย     ภายในบ้านให้บรรยากาศโอ่โถงด้วยเพดานสูง 2.5 เมตร พร้อมกับประตูกระจกบานเลื่อน และหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดรับแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ และยังมีพื้นที่สำหรับห้องอเนกประสงค์ที่มีกระจกเข้ามุมและหน้าต่างโดยรอบ ทำให้ภายในห้องไม่อัดอัดจนเกินไป และสามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามใจต้องการ ไม่ว่าจะเป็นห้องทำงาน, ห้องเกมส์, ห้องโฮมเธียเตอร์, ห้องออกกำลังกาย หรือจะปรับให้เป็นอีก 1 ห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุก็ได้เช่นกัน     ถัดไปจะเป็นในส่วนของห้องครัวบริเวณโซนด้านหลังของตัวบ้าน ทางโครงการต่อเติมให้เป็นครัวปิดพร้อมหน้าต่างระบายอากาศขนาดใหญ่ สามารถวางเฟอร์นิเจอร์ Built in เป็นชุดครัวรูปตัว L ได้เกือบเต็มพื้นที่ ในขณะที่ส่วนที่เป็นไฮไลท์ของแบบบ้านใหม่ คือ พื้นที่ห้องซักรีดที่อยู่ถัดไปทางด้านข้างของตัวบ้าน ซึ่งทางโครงการลงเสาเข็มเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ถ้าลูกบ้านต้องการต่อเติมให้เป็นห้องซักรีดแบบปิดก็เพียงแค่กั้นประตูทางเข้าออกเพิ่มเท่านั้น ก็จะได้พื้นที่การใช้สอยประโยชน์เพิ่มขึ้นอีก     ขึ้นไปที่บริเวณชั้น 2 จะแบ่งเป็น 3 ห้องนอน  2 ห้องน้ำ โดยที่ห้องนอนเล็กทั้ง 2 ห้อง ถูกตกแต่งเป็นห้องนอนสำหรับเด็กๆ ด้วยสีชมพูหวานๆ สำหรับสาวๆ กับห้องสไตล์เท่ห์ๆ เหมือนอยู่ในอวกาศแมนๆ ของเด็กผู้ชาย หากครอบครัวไม่ใหญ่ก็สามารถเปลี่ยนฟังก์ชั่นไปใช้งานในรูปแบบอื่นๆ ได้ เช่น ห้องแต่งตัว, สตูดิโอสำหรับ Live ขายของออนไลน์ หรือเลือกเป็นห้องพระก็ได้  ด้วยข้อดีของการออกแบบที่ให้ทุกห้องนอนมีหน้าต่างบานใหญ่รับแสงธรรมชาติ ทำให้ไม่ต้องเปิดไฟในเวลากลางวัน และยังช่วยถ่ายเทอากาศได้ดี รวมถึงห้องน้ำที่โถงชั้น 2 ก็ออกแบบให้แยกโซนเปียกแห้งไว้เรียบร้อย     สำหรับห้องนอนใหญ่สุด Master Bedroom เป็นห้องในโซนด้านหน้าเต็มความกว้างของตัวบ้าน แถมความสูงของเพดานถึง 2.9 เมตร จึงทำให้โปร่งโล่งสบายไม่อึดอัด พร้อมหน้าต่างบานใหญ่ 3 บานเพื่อรับแสงธรรมชาติและการถ่ายเทอากาศ นอกจากนี้พื้นที่ในห้อง Master Bedroom ยังมีขนาดกว้างมากพอที่จะแบ่งโซนสำหรับทำ Walk in Closet ได้เป็นสัดส่วน และมีห้องน้ำในตัวที่มีการแยกส่วนเปียกแห้ง พร้อมพัดลมระบายอากาศ ชุดอุปกรณ์ภายในห้องน้ำใช้เป็น HAFELE ทั้งหมด          สำหรับบ้านแบบ M1 จะเป็นบ้านทาวน์โฮม 2 ชั้น 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ที่จอดรถ บนที่ดินประมาณ 18 – 40 ตร.ว. มีพื้นที่ใช้สอย 123 ตร.ม. หน้ากว้าง 5.5 เมตร           บริเวณชั้น1 สามารถจอดรถได้ 1 คัน ภายในบ้านจะมีโซนที่เรียกว่า Multi Area จะเป็นห้องอเนกประสงค์ที่จะปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามความต้องการ ทางโครงการออกแบบให้เป็นร้านขายเสื้อผ้าเล็กๆ ไว้ให้เป็นไอเดีย เมื่อถัดเข้าไปด้านในจะพบกับ Living Area ซึ่งจัดเป็นห้องนั่งเล่นต่อเนื่องจนไปถึงโซนรับประทานอาหาร โดยเป็นการจัดพื้นที่ใช้สอยให้เชื่อมต่อถึงกันไปจรดกับพื้นที่ด้านหลังที่ต่อเติมเป็นห้องครัวและพื้นที่ซักรีด ซึ่งโครงการได้ลงเสาเข็มเผื่อการต่อเติมไว้ให้แล้ว     ขึ้นไปที่บริเวณชั้น 2 แบ่งเป็น 3 ห้องนอน 1ห้องน้ำ โดยมีฟังก์ชั่นห้องน้ำแยกสำหรับอาบน้ำกับห้องส้วมเพื่อความสะดวกในการใช้งานหากต้องการเข้าห้องน้ำในเวลาเดียวกัน ในส่วนของ Master Bedroom ซึ่งอยู่บริเวณด้านหน้าของตัวบ้านเป็นห้องหน้ากว้างเปิดรับแสงธรรมชาติได้เต็มที่ โดยพื้นที่ภายในห้องแบ่งเป็นห้องนอนกับพื้นที่แต่งตัวได้เป็นสัดส่วน       สำหรับห้องนอนเล็กอีก 2 ห้อง มีขนาดกว้างพอจะวางเตียง 3.5 ฟุต เพื่อใช้เป็นห้องนอนลูกๆ หรือจะปรับเปลี่ยนเป็นห้องทำงาน ห้องพระ หรือใช้ประโยชน์อื่นๆ ได้ตามต้องการ     บ้านแบบ M2 เป็นทาวน์โฮม 2 ชั้น 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ จอดรถได้ 2 คัน ที่ดิน 19-36 ตร.ว. พื้นที่ใช้สอย 123.7 ตร.ม. หน้ากว้าง 5.4 เมตร  บริเวณชั้น 1 เมื่อเข้ามาในตัวบ้านจะเจอกับ Living Area และ Dining Area ที่แบ่งพื้นที่การใช้งานได้อย่างลงตัว ในขณะเดียวกันยังมีห้องเอนกประสงค์ไว้อีก 1 ห้อง ซึ่งสามารถใช้เป็นอีกหนึ่งห้องนอน หรือตกแต่งใช้งานในรูปแบบอื่นๆ ได้ตามต้องการ ซึ่งจุดเด่นของห้องนี้คือมีกระจกเข้ามุมที่ช่วยเพิ่มแสงสว่างให้กับห้อง ทำให้ห้องดูกว้างขึ้นและไม่อึดอัดจนเกินไป ส่วนด้านในสุดของตัวบ้านเป็นพื้นที่ต่อเติมที่ทางโครงการได้ลงเสาเข็มไว้ให้แล้ว พร้อมรองรับการต่อเป็นห้องครัวและห้องซักผ้าตามแบบที่ทางโครงการทำไว้ให้ชมเป็นไอเดียเพิ่มเติม       ถัดขึ้นมาที่บริเวณชั้น 2 จะแบ่งพื้นที่ออกเป็น 3 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ โดยห้อง Master Bedroom เป็นห้องที่ใหญ่ที่สุดอยู่บริเวณด้านหน้าบ้าน มีหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดรับแสงธรรมชาติได้เป็นอย่างดี และต่างจากแบบบ้านก่อนหน้าคือมีห้องน้ำในตัว พร้อมตกแต่งให้มีพื้นที่บริเวณหน้าห้องน้ำเป็น Walk-in Closet ได้อีกด้วย ในขณะที่ห้องนอนเล็กอีก 2 ห้อง สามารถตกแต่งใช้ประโยชน์ได้หลายรูปแบบตามไลฟ์สไตล์ของผู้อาศัย ไม่ว่าจะใช้เป็นห้องนอนของเด็กๆ สำหรับครอบครัวที่มีลูก หรือจะปรับเป็นห้องทำงาน, ห้องแต่งตัว ฯลฯ  และโถงด้านบนจะมีห้องน้ำอีก 1 ห้อง โครงการ M Life สุขุมวิท– บางปู 87  เป็นอีกหนึ่งโครงการบ้านในย่านบางปูที่น่าสนใจมากๆ ด้วยแบบบ้านที่ออกแบบมาให้เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่วัยทำงานเริ่มสร้างครอบครัว หรือ ครอบครัวที่กำลังมองหาบ้านใหม่เพื่อขยับขยายการอยู่อาศัย หรือกลุ่มคนที่มีกิจการร้านออนไลน์เล็กๆ ก็น่าจะได้ฟังก์ชั่นบ้านที่ตอบโจทย์ได้มากขึ้น ประกอบกับที่ตั้งโครงการที่อยู่บนทำเลศักยภาพใกล้กรุงเทพฯ มีความพร้อมในเรื่องการเดินทางที่สะดวกและรวดเร็วทั้งการเดินทางด้วยรถไฟฟ้า และการใช้รถส่วนตัวก็มีเส้นทางให้เลือกได้หลายทาง นอกจากนี้แบบบ้านที่มีความสวยหรูและทันสมัย เลือกใช้วัสดุที่ได้มาตรฐาน และมีฟังก์ชั่นบ้านให้เลือกปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ง่าย พร้อมพื้นที่ส่วนกลางครบครัน ตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้อย่างครบทุกเพศทุกวัย ด้วยราคาที่คุ้มค่า เริ่มต้นเพียง 2.35 ถึง 3.59 ล้านบาท* จึงนับว่าเป็นอีกโครงการหนึ่งในย่านบางปูที่น่าสนใจ และน่าจับจองเป็นเจ้าของ     โครงการอื่นที่น่าสนใจ แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู บ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน สิวารมณ์ วิลเลจ สุขุมวิท-เทพารักษ์ ทาวน์โฮมดีใกล้รถไฟฟ้า M Life บางแค-สาทร พรีเมียมทาวน์โฮม ติดถนนกาญจนา พรีวิว สิวารมณ์ เนเจอร์พลัส 2 (สุขุมวิท-บางปู) สิวารมณ์ วิลเลจ สุขุมวิท-เทพารักษ์
อัปเดต ค่าใช้จ่ายซื้อบ้าน และคอนโด 2566 มีอะไรบ้าง?

อัปเดต ค่าใช้จ่ายซื้อบ้าน และคอนโด 2566 มีอะไรบ้าง?

ค่าใช้จ่ายซื้อบ้าน ใครวางแผนจะซื้อบ้าน หรือคอนโดมิเนียม ปี 2566 นี้ รู้หรือเปล่าว่าต้องเตรียมงบประมาณอะไรบ้าง เป็น ค่าใช้จ่ายในการซื้อบ้าน หรือคอนโดมิเนียมบ้าง เพราะปีนี้รัฐบาลมีมาตรการช่วยลดหย่อนค่าธรรม สำหรับกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ต่อเนื่องมาจากปีที่แล้วด้วย แต่ค่าลดหย่อนก็มีปรับเปลี่ยนไปบ้าง ลองมาอัปเดตกันดูว่า ถ้าจะซื้อบ้านหรือคอนโดในปีนี้ จะต้องเตรียม ค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง และไว้เท่าไร 1.เงินจองและทำสัญญา ค่าใช้จ่ายซื้อบ้าน  อย่างแรกเลยก็ต้องเตรียมเงินจอง และเงินทำสัญญา ซึ่งเงินส่วนนี้อาจจะไม่มากนัก ทั่ว ๆ ไปเงินจองก็อยู่ที่ 5,000-10,000 บาท และมีเงินทำสัญญาอีกก้อนหนึ่ง ก็หลักไม่กี่หมื่นเท่านั้น ขึ้นอยู่กับราคาบ้านที่เราจะซื้อด้วย 2.เงินดาวน์ 10-20% เงินดาวน์ใน 10-20% ของราคาบ้าน แต่ส่วนนี้อาจจะไม่ต้องเตรียมเป็นเงินก้อนไว้ทั้งหมด เพราะโครงการมักจะให้ผ่อนเป็นงวด ๆ ได้ ตามระยะเวลาก่อนที่บ้านหรือคอนโดจะพร้อมโอน แต่ผู้ซื้อก็ควรเตรียมเงินก้อนไว้ เพราะมักจะมีเงินดาวน์ที่เป็นก้อนใหญ่ ๆ หรือที่เรียกว่างวดบอลลูน ที่ต้องใช้เงินดาวน์มากกว่าผ่อนงวดปกติ รวมถึง บางครั้งในงวดสุดท้ายของการผ่อนดาวน์มักจะเป็นเงินก้อน ที่เป็นเงินจำนวนมากเพื่อให้ได้เงินดาวน์ 10-20% ของราคาบ้านหรือคอนโด ซึ่งมักจะเป็นการผ่อนดาวน์ในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ หรือโครงการใกล้จะก่อสร้างแล้วเสร็จและพร้อมโอน 3.ค่าใช้จ่ายขอสินเชื่อธนาคาร สำหรับใครที่มีความสามารถในการซื้อบ้านหรือคอนโด ด้วยเงินสดไม่ต้องกู้ธนาคาร ค่าใช้จ่ายในการขอสินเชื่อธนาคารก็จะไม่มี แต่คนส่วนใหญ่มักจะกู้เงินธนาคารมากกว่า จึงต้องมีการเตรียมค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ไว้ ยกเว้นว่าทางโครงการหรือทางธนาคาร มีการจัดแคมเปญยกเว้นค่าใช้จ่ายเหล่านี้ให้กับลูกค้า ​โดยค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ที่เกี่ยวกับการขอสินเชื่อมีดังนี้ ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ แล้วแต่ธนาคารเป็นคนกำหนด ค่าประเมินหลักทรัพย์ เริ่มต้น 3,210 บาท ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ 4.ค่าเบี้ยประกันภัย ในการขอสินเชื่อกับทางธนาคาร สิ่งหนึ่งที่มักจะเป็น ค่าใช้จ่ายซื้อบ้าน ตามมา คือ ค่าประกันอัคคีภัย และค่าประกันภัยพิบัติ ซึ่งธนาคารจะบังคับให้ลูกค้าทำไว้ เพื่อลดความเสี่ยงจากการเกิดเหตุไฟไหม้ หรือภัยพิบัติกับตัวบ้านหรือคอนโด เพราะถือว่าทรัพย์สินดังกล่าวยังเป็นของธนาคาร เนื่องจากเราเอาบ้านหรือคอนโด ไปเป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันเงินกู้ไว้นั่นเอง ​   ส่วนค่าประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ จะขึ้นอยู่กับความสมัครใจ ลูกค้าเลือกได้ว่าจะทำหรือไม่ทำ ซึ่งหากทำประกันชีวิต ก็มักจะได้อัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่าการไม่ทำ 5.ค่าจดจำนอง 0.01% ของราคาประเมิน โดยปกติค่าจดจำนอง จะมีอัตราการจัดเก็บอยู่ที่ 1% แต่ในปีนี้รัฐบาลได้มีมาตรการที่ออกมาช่วยกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯ และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชนที่ต้องการมีบ้านพักอาศัย จึงลดอัตราค่าจดจำนองเหลือเพียง 0.01% เท่านั้น 6.ค่าธรรมเนียมการโอน 1% ของราคาประเมิน ส่วนค่าธรรมเนียมการโอน ก็เป็นอีกหนึ่ง ค่าใช้จ่ายซื้อบ้าน หรือคอนโด ที่ผู้ซื้อต้องเสีย แต่ก็มีข่าวดีที่รัฐบาลช่วยลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้สำหรับปี 2566 จากที่ต้องเสีย 2% ก็เหลือเพียง 1% แม้ว่าปีที่ผ่านมาจะลดมากกว่านี้ คือ ลดให้เหลือ 0.01% เท่านั้น แต่ถือว่าค่าธรรมเนียมการโอนปีนี้ลดไปตั้ง 50% เลยทีเดียว 7.ค่ามิเตอร์น้ำ-ไฟฟ้า   สำหรับการอยู่บ้านใหม่ ก็ต้องมีการติดตั้งมิเตอร์น้ำประปา และไฟฟ้า แต่ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ผู้ประกอบการก็มักใจดี จัดแคมเปญช่วยออกให้กับผู้ซื้อ แต่สำหรับใครที่ไปซื้อโครงการที่ไม่ได้มีแคมเปญตรงนี้ไว้ ก็ต้องเตรียมเงินในส่วนนี้ไว้ด้วย ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับขนาดของมิเตอร์และพื้นที่ว่าอยู่ในเขตนครหลวง หรือส่วนภูมิภาค ซึ่งค่าใช้จ่ายแตกต่างกันเล็กน้อย 8.ค่าส่วนกลาง-เงินกองทุน อีกค่าใช้จ่ายหนึ่งที่ผู้ซื้อจะต้องแบกรับไปตลอดการอยู่อาศัยก็คือ ค่าส่วนกลาง ที่ต้องจ่ายทุกเดือน แต่ส่วนใหญ่มักจัดเก็บเป็นรายปี ขึ้นอยู่กับระดับความหรู พรีเมียม หรือการจัดพื้นที่ส่วนกลางของโครงการ ให้กับลูกบ้าน ราคาก็จะแตกต่างกันไป และก็แตกต่างตามขนาดพื้นที่ของบ้านและคอนโดด้วย นอกจากนี้ ยังต้องมีเงินก้อนอีกจำนวนหนึ่ง ที่ต้องจ่ายคือ เงินกองทุน สำหรับโครงการเอาไว้จัดตั้งนิติบุคคล เพื่อดูแลความเรียบร้อยของหมู่บ้านหรือคอนโด 9.ค่าตรวจบ้าน 2,000-9,000 บาท ก่อนจะรับมอบบ้าน หรือโอนบ้าน ผู้ซื้อก็ต้องตรวจบ้าน ดูความเรียบร้อยของงานก่อสร้าง และสเป็ควัสดุหรือตัวบ้านให้เป็นไปตามเงื่อนไขสัญญาที่ผู้ขายบอกเราไว้ตั้งแต่ต้น ทำให้เราจำเป็นต้องตรวจบ้านก่อน ซึ่งหากใครมีความรู้ หรือพอจะตรวจบ้านหรือคอนโดเองได้ ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ก็ไม่ต้องมี แต่บางครั้งเพื่อความมั่นใจ และมีการตรวจอย่างละเอียด ผู้ซื้อก็มักจะจ้างบริษัทหรือผู้ที่รับงานตรวจบ้านมาดำเนินการให้ ซึ่งค่าใช้จ่ายก็มักจะขึ้นอยู่กับขนาดพื้นที่เหมือนกัน สำหรับคอนโดราคาก็จะถูกกว่าบ้าน เพราะรายการที่ต้องตรวจมีน้อยกว่านั่นเอง 10.ค่าตกแต่ง ของใช้ และเฟอร์นิเจอร์ การอยู่อาศัยในบ้านหรือคอนโด ต่อให้ทางโครงกาตกแต่งจนสามารถเข้าอยู่ได้ แต่ส่วนใหญ่คนอยู่อาศัยก็ต้องมีการตกแต่ง หรือไม่ก็ซื้อของใช้ เฟอร์นิเจอร์ที่ชอบ เข้ามาไว้ในบ้าน ทำให้ต้องเตรียมงบประมาณส่วนนี้ไว้ด้วย จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความชอบและความต้องการของคนซื้อเลย เพราะเฟอร์นิเจอร์และของใช้มีหลากหลายชนิด หลายเกรด และคุณภาพ   ทั้งหมดนี้ ก็เป็น ค่าใช้จ่ายซื้อบ้าน​ ที่ผู้ซื้อบ้านต้องเตรียม และคำนวณให้เพียงพอต่อความต้องการ ซึ่งหลายรายการก็สามารถปรับเปลี่ยน หรือยืดหยุ่นได้ ตามความต้องการเพราะเป็นรายการที่เพิ่มขึ้นมา แต่หลาย ๆ รายการก็เป็นค่าใช้จ่ายจำเป็นที่จะต้องจ่ายก่อนที่เราจะเข้าอยู่ อย่างไรก็ต้องวางแผนให้ดี หรืออาจจะปรึกษากับทางฝ่ายสินเชื่อของธนาคารต่าง ๆ ก็ได้ ให้ช่วยคำนวณค่าใช้จ่าย และประเมินความสามารถในการกู้เงินของเราว่าจะได้วงเงินมากน้อยแค่ไหน เราจะได้วางแผนการเงินได้ถูกต้อง   ที่มา – กรมที่ดิน, ธอส, ธนาคารกสิกร   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนมกราคม 2566 แบงก์ไหนให้ดอกต่ำสุด
เอสซี แอสเสท เปิดแผนรายได้รวม 150,000 ล้าน การเติบโตด้วย 2 ENGINE ใน 5 ปี

เอสซี แอสเสท เปิดแผนรายได้รวม 150,000 ล้าน การเติบโตด้วย 2 ENGINE ใน 5 ปี

เอสซี แอสเสท มั่นใจโตเหนือชั้น เปิดแผนโรดแมป SC Thriving Beyond ตั้งเป้ารายได้ 5 ปี รวมมูลค่า 150,000 ลบ. ปี 2566 รุกเปิด 25 โครงการ รวมมูลค่า 40,000 ลบ. มุ่งสร้างคุณค่าสู่คนและโลก เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน   บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ผู้นำการเป็น Living Solutions Provider คุณภาพสูง โดยนายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดวิสัยทัศน์การพัฒนาธุรกิจและองค์กร ปี 2566 - 2570 ตั้งเป้ารายได้ 5 ปี ทะยานสู่รายได้ 150,000 ล้านบาท ขับเคลื่อนบนยุทธศาสตร์ SC Thriving Beyond เติบโต อย่างมีคุณภาพ แบบเหนือชั้น และยั่งยืน  มุ่งสร้างคุณค่า สู่คนและโลก ดำเนินธุรกิจภายใต้ 4 แกนหลัก คือ ลูกค้า พนักงาน สิ่งแวดล้อม และองค์กร  ลูกค้า SC มุ่งมั่นส่งมอบสินค้าและบริการคุณภาพสูง พัฒนาสินค้าทั้งบ้านและคอนโด สรรหาและคิดค้นนวัตกรรม เพื่อตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยหลากหลายราคา รูปแบบการใช้ชีวิต และเจเนอเรชั่น เพื่อลูกค้ามีคุณภาพชีวิตที่ดี ไร้ความกังวลในการใช้ชีวิต   ปี 2566 มีแผนการเปิดโครงการใหม่รวม 25 โครงการ มูลค่ารวม 40,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็น โครงการแนวราบ: เปิดใหม่ 22 โครงการ รวมมูลค่า 30,000 ล้านบาท รักษาสถานะผู้นำในตลาดบ้านเดี่ยวคุณภาพสูง ด้วยไฮไลท์โปรดักส์ คือ #No1LuxuryHome ปีนี้ SC พร้อมเผยโฉม “95E1” (ไนน์-ตี้-ไฟว์-อีสต์-วัน) แบรนด์บ้านใหม่ในเซกเมนต์ Ultimate Luxury ราคาเริ่มต้นสูงสุดที่เคยเปิดขายมา ด้วยราคาเริ่มต้น 100 ล้านบาท จำนวนจำกัดเพียง 10 ยูนิต มูลค่าโครงการ 970 ล้านบาท #OneSizeDoesNotFitAll ด้วยการตอบรับอย่างดีมากของ “บ้านคนโสด” ปีนี้ SC ตอกย้ำความเป็นผู้นำตลาดเรื่องการพัฒนาบ้านที่ออกแบบเพื่อไลฟ์สไตล์ที่มีความเฉพาะบุคคลด้วยการเปิดตัว #บ้านเกมเมอร์ (Gamer’s Home) บ้านที่ร่วมออกแบบโดยเกมเมอร์ชื่อดัง Willcomeback และ MNJ TV เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของเจ้าของบ้านในสายอาชีพยุคใหม่มาแรง อย่าง Streamer หรือ Content Creator ทั้งหลาย พร้อมเปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันที่ 20 มีนาคม 2566 ณ โครงการ Venue ID มอเตอร์เวย์-พระราม 9 ราคาเริ่มต้น 14.29 ล้านบาท และมีโครงการพัฒนาบ้านที่ออกแบบเฉพาะสำหรับคนที่มีไลฟ์สไตล์ Introvert และ Extrovert ในอนาคต  #SCHomesForAll สร้างบ้านตอบโจทย์ลูกค้าครอบคลุมทุกกลุ่มราคา ในปีนี้ SC จะมีสินค้าบ้านเปิดขายในราคาเริ่มต้นตั้งแต่ 2.5 ล้านบาท ไปจนถึงมากกว่า 150 ล้านบาท ด้วยการเปิดตัวบ้านซีรีส์ใหม่ของแต่ละ Sub-brand เพื่อลงแข่งขันครองความเป็นผู้นำบ้านเดี่ยว  โครงการแนวสูง: เปิดใหม่ 3 โครงการ รวมมูลค่า 10,000 ล้านบาท  ปีนี้ SC พร้อมลุยตลาดแนวสูง ส่ง 3 โครงการไฮไลท์ของปีลงแข่งขัน คือ เปิดตัวแบรนด์ใหม่ เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ เน้นพัฒนาพื้นที่ส่วนกลางที่เป็นส่วนหนึ่งของ Living Solutions เพื่อประสบการณ์การพักอาศัยที่ดีขึ้น ในสังคมที่เน้นความยั่งยืน บน 2 ทำเลศักยภาพ ได้แก่ ย่านรัชดา-พระราม 9 ใกล้ MRT ศูนย์วัฒนธรรม มูลค่าโครงการ 5,500 ล้านบาท ราคาเริ่ม 2 ล้านต้น ซึ่งเป็น Segment ใหม่ของ SC ทำเลแห่งที่สองคือ เกษตร-ศรีปทุม ตรงข้ามมหาวิทยาลัยศรีปทุม ติดรถไฟฟ้า 0 เมตร มูลค่าโครงการ 1,400 ล้านบาท เน้นงานดีไซน์และการออกแบบพื้นที่ส่วนกลาง เพื่อคนเมือง รุ่นใหม่ คอนโด SCOPE ประสานมิตร เจาะกลุ่มลูกค้า International Premium ที่ให้ความสำคัญกับทั้งคุณภาพและดีไซน์  ในระดับ World-class  ใช้ชีวิตในแบบ "Live the Finest Life" หรือชีวิตที่สุขสบายและสวยงามพร้อมไปด้วยบริการระดับ Premium ราคาเริ่มต้น 35 ล้านบาท มูลค่าโครงการ 2,600 ล้านบาท นอกจากการมุ่งพัฒนาสินค้าบ้านและคอนโดมิเนียมคุณภาพสูงที่มีฟังก์ชั่นตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยแล้ว ตลอดหลายปีที่ผ่านมา SC ยังคงสานต่อการสรรหาและคิดค้นนวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยีในการส่งมอบ Living Solutions แก้ไขปัญหาชีวิตประจำวัน เพื่อลูกค้าจะได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยแผนในปี 2566 คือ ติดตั้งชุดเทคโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยในบ้านและคอนโด ทั้งหมด 24 รายการ  ให้กับลูกค้า SC Asset ตามเป้าหมายคือไม่ต่ำกว่า 5,000 ครัวเรือนในปี 2566  เปิดตัว Morning Coin เชื่อมต่อลูกค้ากับโลกแห่งสิทธิพิเศษแบบเหนือชั้น ด้วยนวัตกรรม Blockchain โดยมีเป้าหมายเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น สะดวกสบายมากขึ้น และมีความมั่นใจปลอดภัยในคอมมูนิตี้ที่ดีของ “รู้ใจคลับ” พร้อมใช้งานกลางปี 2566 นี้ พนักงาน พนักงาน SC เจริญก้าวหน้า ได้ทำงานที่สร้างคุณค่า ปลดปล่อยศักยภาพได้อย่างเต็มที่ SC ให้ความสำคัญกับการลงทุนในทรัพยากรบุคคลเสมอมา เพราะบุคลากรในองค์กร คือ หัวใจสำคัญที่จะทำให้องค์กรเติบโตได้อย่างยั่งยืน  โดย SC ลงทุนใน Infrastructure ต่าง ๆ เชื่อมต่อระบบฐานข้อมูลต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ ทำให้ลดเวลาในการทำงาน เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน รองรับการเติบโตของธุรกิจ สร้างประสบการณ์ให้พนักงานมากกว่าแค่การทำงานรูปแบบเดิม ๆ มีการใช้ Morning Coin และระบบการสะสม NFTs ด้วยเทคโนโลยี Blockchain เพื่อคนทำงานได้พัฒนาตนเอง ปลดปล่อยศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ทำงานอย่างมีคุณค่า มีความภาคภูมิใจพร้อมเติบโตไปกับองค์กร พร้อมใช้งานมีนาคมนี้  เปิดตัว “Inside SC” บอกเล่าเรื่องราวในองค์กรเพื่อการสรรหาบุคลากรที่มีศักยภาพมาร่วมงานกับ SC อย่างยั่งยืน คว้ารางวัลอันดับที่ 17 จาก 50 องค์กรที่ทำงานในฝัน โดยเป็นอันดับหนึ่ง ในบริษัทอสังหาฯ จัดโดย WorkVenture  สิ่งแวดล้อม SC ประกาศพันธกิจ #SCeroMission ดำเนินธุรกิจเพื่อดูแลให้สิ่งแวดล้อมดีขึ้น ก๊าซเรือนกระจกลดลง ตั้งแต่การออกแบบผลิตภัณฑ์ คิดค้นนวัตกรรม และการจับมือร่วมกับคู่ค้าชั้นนำ ที่มีแนวคิดในการมุ่งลดก๊าซเรือนกระจก ครอบคลุมตั้งแต่กระบวนการ ออกแบบ สร้าง ใช้ ตั้งแต่ต้นน้ำจนปลายน้ำ ภายใต้ 8 ภารกิจย่อย  SC ตั้งเป้าหมายลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก 25% ภายในปี 2573   ตั้งแต่ปลายปี 2565 ได้มีการตั้งทีมพัฒนาการออกแบบ SC #บ้านLowCarbon ด้วยการทำการวิจัยจำลองการใช้พลังงานของบ้านพักอาศัย ร่วมกับคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง สาขาวิชาสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อส่งมอบสินค้าที่อยู่อาศัยที่ลดการทำร้ายโลก ลดปริมาณการใช้พลังงาน ลดค่าใช้จ่าย เพื่อสุขภาพกายใจที่ดีขึ้นของลูกค้าในอนาคต องค์กร องค์กรเติบโต จากหลากหลายเครื่องยนต์ธุรกิจ ทั้งบนธุรกิจหลัก Engine1 และธุรกิจ Engine2 ที่สร้างรายได้อย่างต่อเนื่อง (Recurring Income) พร้อมตั้งเป้าเพิ่มการลงทุนอย่างต่อเนื่องทุกปี  สำหรับแผนธุรกิจในปี 2566 SC มีการตั้งเป้าหมายตัวเลขสำคัญต่างๆดังนี้ โตต่อเนื่องด้วยยอดขาย 30,000 ล้านบาท เติบโต 23% โดยแบ่งเป็น โครงการเพื่อขายแนวราบ 65% และโครงการเพื่อขายแนวสูง 35% สร้างรายได้รวม 25,000 ล้านบาท เติบโต 16% ทั้งจาก โครงการเพื่อขาย และธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income) ในสัดส่วน 95 : 5 ตามลำดับ มูลค่าการลงทุนทั้งหมด 25,000 ล้านบาท โดยแบ่งสัดส่วนการลงทุน 80% โครงการเพื่อขายแนวราบ แนวสูง และ 20% ในธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ และเพื่อให้องค์กรเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และยั่งยืน SC วางแผนเพิ่มการลงทุน และเริ่มดำเนินธุรกิจที่สร้างรายได้ต่อเนื่อง (Recurring Income) เปิดตัวโรงแรม YANH ราชวัตร รับนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกภายใต้คอนเซ็ปต์ “Workcation Hotel” รองรับวิถี Remote Working ที่ยังเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเทศไทยหลัง โควิด-19 พร้อมเปิดให้เข้าพักแล้วในเดือนมีนาคม 2566  พัฒนาแบรนด์โรงแรมใหม่ บนถนนสุขุมวิท 29 มูลค่าการลงทุน 2,500 ล้านบาท และยังมีแผนในการขยายธุรกิจโรงแรมในทำเลพัทยา เพื่อไปให้ถึงเป้ารวมจำนวน 1,000 keys ปัจจุบัน SC บริหารพื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่า มีพื้นที่รวมกันถึง 120,000 ตร.ม.   หลังจากการประกาศความร่วมมือกับบริษัท Flash Express ไปเมื่อปี 2565 SC วางแผนขยายธุรกิจคลังสินค้าโดยตั้งเป้าหมายพัฒนาพื้นที่ Warehouse ให้ได้ 1,000,000 ตร.ม. ภายในปี 2573  SC Thriving Beyond คือเส้นทางการเติบโตอย่างยั่งยืนใน 5 ปีนี้ของ SC โดยหัวใจสำคัญ คือการสร้างคุณค่า เพื่อเติบโต “ร่วมกัน” ไปกับสิ่งแวดล้อม และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในธุรกิจของ SC คุณค่าจะกลับมาสร้างกำไรให้องค์กร และกำไรจะกลับไปสร้างคุณค่าให้ผู้คนรอบข้าง ต่อเนื่องอย่างยั่งยืน อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอสซี แอสเสท ตุนยอดขาย 6 เดือนกว่า 11,500 ล้าน เตรียมเปิด 15 โปรเจ็กต์ใหม่ดันเป้ารายได้
เสนา ดีเวลลอปเม้นท์  ไม่ขายบ้าน-คอนโดอย่างเดียวแล้ว  เปิด 10 ธุรกิจใหม่ 3กลุ่ม โฮลดิ้ง

เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ ไม่ขายบ้าน-คอนโดอย่างเดียวแล้ว เปิด 10 ธุรกิจใหม่ 3กลุ่ม โฮลดิ้ง

เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ ประกาศมูฟเม้นต์ ปี 2023 ชูจุดยืนธุรกิจองค์กรภายใต้วิชั่นของการเป็น Sustainable Business ผ่านคีย์เวิร์ด “SENA Multiplied” เบิกทางลงทุนพัฒนาโครงการและขยายโอกาสทางธุรกิจใหม่ ด้วยมูลค่า 55,000 กว่าล้านบาท ปูทางสร้างรากฐานตามแบบ “Lifelong Trusted Partner” เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีทุกช่วงอายุ พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงของโลก แจงแผนเปิด 26 โครงการ 24,000 ล้าน​ ตั้งเป้ายอดขาย 18,000 กว่าล้าน และยอดโอนรวม 16,500 ล้าน   ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจและสิ่งที่คนทั่วโลกต้องเผชิญมีทั้งเรื่องภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Economic Recession) เกิดจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นภาวะเงินเฟ้อ ราคาสินค้าแพงแต่รายได้เท่าเดิม และอัตราดอกเบี้ยปรับสูงขึ้น เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเจอไม่ต่างไปจากปีที่ผ่านมา ประกอบกับสถานการณ์โลกที่แปรปรวน และปัญหาสิ่งแวดล้อม (Climate Change) ถือเป็นความท้าทายหรือ Social Challenge ของภาคธุรกิจ ทั้งการบริหารสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน การบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อมและที่พักอาศัย ด้านสาธารณสุข รวมถึงปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม ทำให้ทุกภาคธุรกิจให้ความสำคัญและผลักดันเป็นยุทธศาสตร์หลักเพื่อขับเคลื่อนธุรกิจบนแนวคิดสร้างความยั่งยืน (Sustainability) ให้กับสังคม   ด้วย Core Business SENA พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยเพื่อขาย ได้แก่ บ้านเดี่ยว ทาวน์เฮ้าส์ อาคารพาณิชย์ ทาวน์โฮมและอาคารชุด ธุรกิจเช่า ได้แก่ อพาร์ทเม้นท์ให้เช่า ธุรกิจอาคารสำนักงาน ธุรกิจสนามกอล์ฟ ธุรกิจไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ธุรกิจบริหารงานนิติบุคคล ธุรกิจรับเหมาก่อสร้างที่พักอาศัย เป็นต้น วันนี้ SENA เรายกระดับ (ENHANCED) การพัฒนาโครงการบ้านติดโซลาร์สู่การพัฒนาบ้านพลังงานเป็นศูนย์ “ZERO ENERGY HOUSING” (ZEH)” ลดการใช้พลังงานได้ไม่ต่ำกว่า 20 % ในบ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียมของ SENA พร้อมขยายธุรกิจใหม่ (New Business) ที่หลากหลายและครอบคลุมตาม Mega Trend และ Social Challenge ผ่านแกนวิชั่นโครงสร้างองค์กรที่เป็นมากกว่า Property Developer สู่ “The Essential Lifelong Trusted Partner” เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี บนแกน “SENA Multiplied” อย่างไรก็ตาม ทาง SENA วางงบเพื่อการลงทุนในการพัฒนาสินค้าและขยายโอกาสสู่ธุรกิจใหม่ 9,084 ล้านบาท โดยประกอบด้วย New Business to Strengthen Core Business SENA มุ่งมั่นในการต่อยอดพัฒนาอสังหาฯ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตลูกบ้านให้มีความเป็นอยู่ที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม ประกอบด้วย   1.จับมือบริษัท เอ็นอีซี คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด หรือ NEC Thailand ที่ปรึกษาเทคโนโลยีด้านไอที บริษัทชั้นนำระดับโลก พัฒนาแพลตฟอร์ม “SMARTIFY” Smart Living Community เพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าและลูกบ้าน   2.ธุรกิจบริการทางการเงิน “เงินสดใจดี” เพื่อเพิ่มความสามารถในการเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยให้กับลูกค้า พร้อมให้คำปรึกษาและให้ความรู้ทางด้านการเงิน   3. ธุรกิจนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ เพื่อบริการขายและให้เช่าอสังหาริมทรัพย์   4.ธุรกิจบริหารนิติบุคคลโครงการที่อยู่อาศัยและทรัพย์สินแบบครบวงจร (Property Management)   5.ธุรกิจบ้านมือสอง “SENA SURE” โดยร่วมกับบริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM และบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM คัดเลือกทรัพย์และนำมาปรับปรุงให้มีคุณภาพ ทางเลือกหนึ่งให้คนที่ต้องการที่อยู่อาศัย New Business New Foundation ขณะเดียว SENA การขยายธุรกิจใหม่ ยกระดับคุณภาพชีวิตให้สะดวกสบาย (Convenience) ให้กับทุกคน และเน้นธุรกิจที่ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ใหม่ให้กับการใช้ชีวิตเพื่อช่วยกันลดการปล่อยคาร์บอน (Decarbonization Lifestyle) รวมถึงการนำเทคโนโลยีด้านบริการเข้าปรับใช้เพิ่มความสะดวกสบายให้กับทุกคนและในทุกช่วงชีวิต พุ่งเป้าหมายธุรกิจเมกะเทรนด์ (Mega Trends) ของโลก สร้างสังคมที่ยั่งยืน ทั้งด้านบริการครอบคลุมครบ ขณะเดียวกัน มองว่าเทรนด์การลงทุนในธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เราพุ่งเป้าไปธุรกิจที่ตอบรับเมกะเทรนด์ (Mega Trend) ทั้งความยั่งยืนในการประกอบธุรกิจที่เป็นมิตรต่อโลก สังคม สุขภาพ​ สิ่งแวดล้อม และเทคโนโลยี ประกอบด้วย   1. เตรียมขยายพอร์ตอสังหาริมทรัพย์ใหม่ Premium Segment   2. การบริหารจัดการด้าน Hospitality เต็มรูปแบบ “Hotel & Service Apartment Management” ผ่านการจัดการด้วยมืออาชีพเฉพาะด้าน   3. ธุรกิจสถานดูแลผู้สูงอายุและผู้ป่วยระยะฟื้นตัว (Nursing Home) “SJ HEALTHCARE” เพื่อรองรับการเติบโตของสังคมสูงอายุพัฒนา MEDICAL WELLNESS CENTER และ PRIMARY CARE สำหรับกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการและความกังวลด้านดูแลสุขภาพโดยเฉพาะ   4.ธุรกิจ WAREHOUSE ให้เช่าแบบครบวงจร “METROBOX” ซึ่งเป็นอาคารคลังสินค้ามาตรฐานสากลเพื่อผู้ประกอบการธุรกิจและอุตสาหกรรมต่างๆ เตรียมเปิด 2 ทำเล 1.บางนา บางพลี สมุทรปราการ และ 2.พหลโยธิน วังน้อย อยุธยา   5.จับมือบริษัท ชิเซ็น อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ Shizen เพื่อลงทุนและศึกษาโอกาสความเป็นไปได้ในการขยายตลาดด้านพลังงานหมุนเวียนร่วมกันในประเทศไทย นอกจากนี้ยังมองหาพันธมิตรในการติดตั้ง “โซลาร์แนวตั้ง” สำหรับอาคารสูงในประเทศไทยเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดให้มากที่สุด   6.เดินหน้าขยายพื้นที่ให้บริการชาร์จรถไฟฟ้า หรือ EV CHARGING STATION ด้วยการใช้พลังงานไฟฟ้าจากโซลาร์ เพื่อให้สอดคล้องไปกับการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน และแนวทางการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (SMARTCITY) ปัจจุบันติดตั้งในหมู่บ้านของ SENA ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการติดตั้งสถานีชาร์ตรถไฟฟ้า (EV Charging Station) เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับลูกบ้านในโครงการและลูกค้าทั่วไปในอนาคต   7.บริษัท SENA REFORESTATION ปลูกป่ารักษาโลก ตามเป้าเจตนารมณ์ 100,000 ไร่ New Project Launch ปี 2023 เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่ 26 โครงการ รวมมูลค่า 24,024 กว่าล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 9 โครงการ 7,471 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 17 โครงการ 16,553 ล้านบาท (ซึ่งใน 26 โครงการ แบ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับ ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป 22 โครงการ 21,210 ล้านบาท) ตอกย้ำพันธมิตรธุรกิจที่แข็งแกร่ง 8 ปี ร่วมกันพัฒนาโครงการรวม 45 โครงการ มูลค่า 69,554 ล้านบาท ทั้งนี้ วางเป้าหมายสร้างนิวเรคคอร์ดครั้งใหม่ของบริษัท ด้วยเป้ายอดขาย 18,242 ล้านบาท และเป้าโอนรวม 16,539 ล้านบาท โดยมีสินค้าที่เหลือขาย คิดเป็นมูลค่า 22,294 ล้านบาท เพื่อรอรับรู้รายได้ในอนาคต   แต่อย่างไรก็ตาม เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ยังมองถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจหลัก แผนเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้ และธุรกิจใหม่ รองรับ Mega Trend ที่พร้อมเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการพัฒนานวัตกรรมด้านสินค้าและการบริการ สานต่อจุดยืนขององค์กรที่เป็นมากกว่าคนพัฒนาอสังหาฯ ด้วยการเป็น “THE ESSENTIAL LIFELONG TRUSTED PARTNER” เพื่อสร้างความสุขและคุณภาพชีวิตที่ดีในทุกช่วงชีวิต   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เสนาฯ เปิดโมเดล​ บ้านพลังงานเป็นศูนย์ เดินหน้าสู่บริษัท ด้านความยั่งยืน -[PR News] เสนาเจ จับมือ NEC พลิกโฉม “Smart Living Community”
เทียบฟอร์มบิ๊กอสังหาฯ ใครจ่ายปันผล ปี 65 ให้ผู้ถือหุ้นสูงสุด

เทียบฟอร์มบิ๊กอสังหาฯ ใครจ่ายปันผล ปี 65 ให้ผู้ถือหุ้นสูงสุด

พลัส พร็อพเพอร์ตี้  เปิดผลการดำเนินงาน​บิ๊กอสังหาฯ ใครจ่ายปันผล ปี 65 ให้ผู้ถือหุ้นสูงสุด  พร้อมประเมินตลาดปีกระต่าย เศรษฐกิจฟื้นตัวเต็มที่   นายอนุกูล  รัฐพิทักษ์สันติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญที่พร้อมตอบโจทย์ทุกบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า ปี 2565 นับได้ว่าเป็นปีแรกที่เริ่มเห็นการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจน ภายหลังจากที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ปัจจัยสำคัญมาจากการได้รับวัคซีน รวมถึงการเปิดรับนักท่องเที่ยว ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาดำเนินการได้อย่างเต็มที่   ขณะที่ปี 2566 คาดการณ์ว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจเริ่มกลับมาเต็มที่ ทำให้มีทั้งโอกาสทางธุรกิจ อย่างไรก็ดียังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าติดตามและเตรียมรับมือในอีกหลายประเด็น ทั้งทิศทางการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ที่จะมีผลกระทบต่อประเทศไทย แนวโน้มราคาพลังงานและราคาโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้น กดดันให้ต้นทุนและอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ตลอดจนการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย   อย่างไรก็ดี แม้ปีที่ผ่านมาจะเป็นปีที่มีความท้าทายของการดำเนินธุรกิจภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน แต่ภาพรวมของธุรกิจอสังหาฯในปีที่ผ่านมา Top 5 อสังหาฯที่ทำกำไรได้สูงสุด ก็สามารถทำกำไรรวมได้เกือบ  30,000 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนหน้าถึง 28.3%   โดยบริษัทที่คว้าแชมป์กำไรสูงสุดคือ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ บริษัทที่มีการเติบโตของกำไรสูงสุดคือแสนสิริ บริษัทที่คว้าแชมป์รายได้สูงสุดและการเติบโตของรายได้สูงสุด คือ เอพี ไทยเลนด์ และบริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผลในอัตราสูงสุดคือ แสนสิริ พลัส พร็อพเพอร์ตี้ รวบรวมผลประกอบการปี 2565 ของยักษ์บริษัทอสังหาฯ  เปรียบเทียบให้เห็นว่า แต่ละบริษัท มีตัวเลขกำไร รายได้ และอัตราการเติบโตมากน้อยแค่ไหน และสิ่งนี้ส่งสัญญาณอะไรต่อตลาดอสังหาฯ ในปี 2566 ที่ยังต้องติดตาม แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กำไรสุทธิ 8,313 ล้านบาท รายได้รวม 36,732 ล้านบาท อัตราตอบแทนจ่ายปันผล 6.2%   แสนด์ แอนด์ เอ้าส์ (LH) กลับมาครองแชมป์เป็นบริษัทที่ทำกำไรสูงสุดอีกครั้ง โดยโชว์ผลงานกำไรสุทธิ 8,313 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมา 19.8% โดยมีรายได้ 36,732 ล้านบาท ซึ่งถือว่าอยู่ในอันดับสองของอุตสาหกรรม และเติบโตจากปีที่ผ่านมา 9.6% โดยประกาศจ่ายเงินปันผลประจำปีให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.60 บาท ปีนี้มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 17 โครงการ มูลค่า 35,000 ล้านบาท แสนสิริ กำไรสุทธิ 4,280 ล้านบาท รายได้รวม 34,983 ล้านบาท อัตราตอบแทนจ่ายปันผล 7.9%   แสนสิริ (SIRI) ตอกย้ำความแข็งแกร่งในธุรกิจอสังหาฯ โชว์ผลงานปี 65 กำไรสุทธิ 4,280 ล้านบาท โตก้าวกระโดด 112% ทุบสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์รอบ 38 ปีนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท อัตรากำไรสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 12.2% ของรายได้รวม โตขึ้นจากปีก่อนที่มีอัตรากำไรสุทธิ 6.8% โดยไฮไลท์กำไรในไตรมาส 4/65 ไตรมาสเดียวทะลัก 1,791 ล้านบาท โตถึง 422% สูงสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลประจำปีให้แก่ผู้ถือหุ้นในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท คิดเป็นอัตราผลตอบแทน (Dividend yield) 8% สูงสุดในกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ ขณะนี้ ขณะที่ยอดขายปี 65 ทะลุ 50,000 ล้านบาท โตจากปีก่อนเกือบ 50% กวาดรายได้รวม 34,983 ล้านบาท โตขึ้น 18% ผลงานรายได้จากการขายโครงการโดดเด่นทุกกลุ่มที่อยู่อาศัย ปีนี้มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 52 โครงการ มูลค่า 75,000 ล้านบาท เอพี ไทยแลนด์ กำไรสุทธิ 5,877 ล้านบาท รายได้รวม 38,706 ล้านบาท อัตราตอบแทนจ่ายปันผล 5.2%   ปีที่ผ่านมาสามารถสร้างรายได้สูงสุดในกลุ่มอุตสาหกรรม โดยรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม และธุรกิจอื่นๆ ได้ 38,706 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 21% หากเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีรายได้รวมเท่ากับ 31,981 ล้านบาท ด้านกำไรสุทธิ 5,877 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิรวมเท่ากับ 4,543 ล้านบาท เท่ากับ 29.4% นอกจากนั้นที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 21 ก.พ. 66 มีมติอนุมัติจ่ายปันผลจากกำไรสะสม เป็นเงินสดในอัตรา 0.65 บาท/หุ้น ปีนี้มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 58 โครงการ มูลค่า 77,000 ล้านบาท ศุภาลัย กำไรสุทธิ 8,173 ล้านบาท รายได้รวม 35,501 ล้านบาท อัตราตอบแทนจ่ายปันผล 6.3%   ศุภาลัย (SPALI) กวาดรายได้รวมเติบโตแบบก้าวกระโดดสูงถึง 35,501 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20% จากปี 2564 เกินเป้าหมายที่วางไว้ 29,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์ 34,221 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% จากปี 2564 แบ่งเป็นรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการแนวราบ 54% และคอนโดมิเนียม 46%  และสร้างผลกำไรสุทธิ 8,173 ล้านบาท มากเป็นอันดับสองในอุตสาหกรรมและโตกว่า 16% ส่งผลให้อัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ระดับเพียง 49% จากการเติบโตของยอดรายได้และกำไรดังกล่าว ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการงวดปี 2565 ให้แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 1.45 บาท จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้วในอัตราหุ้นละ 0.70 บาท คงเหลือจ่ายเงินปันผลสำหรับงวด 6 เดือนหลังของปี 2565 ในอัตราหุ้นละ 0.75 บาท ปีนี้มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 37 โครงการ มูลค่า 41,000 ล้านบาท พฤกษา กำไรสุทธิ 2,772 ล้านบาท รายได้รวม 28,640 ล้านบาท อัตราตอบแทนจ่ายปันผล 7.0%   ปี 2565 พฤกษา โฮลดิ้ง (PSH) ทำกำไรสุทธิ 2,772 ล้านบาท เติบโต 18% มีรายได้ 28,640 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 2564 รายได้จากวิมุตเติบโตอย่างก้าวกระโดดเพิ่มขึ้น 4.7 เท่า จากปี 2564 โดยปีนี้วางแผนเพิ่มการลงทุนเชิงกลยุทธ์ เพื่อสร้างรายได้ประจำอย่างต่อเนื่อง ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ วางแผนเพิ่มสัดส่วนโครงการในกลุ่มเซ็กเมนต์ระดับกลางไปสูง จับกลุ่มลูกค้าพรีเมียมมากขึ้น พร้อมวางแผนเปิดศูนย์สุขภาพแห่งใหม่ มอบบริการครอบคลุมทุกมุมเมือง ปีนี้มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ 23 โครงการ มูลค่า 23,500 ล้านบาท   ทั้งนี้ ตัวเลขของอสังหาฯ รายใหญ่ ทั้งหมดนี้จะเป็นสัญญาณของการพลิกฟื้นตัวที่รวดเร็วของอสังหาฯ ไทย ในปีนี้หรือไม่จึงเป็นสิ่งที่น่าติดตาม ขณะที่ทิศทางตลาดที่อยู่อาศัย ในปี 2566 REIC คาดการณ์ว่า อุปทานจะมีสภาวะทรงตัวถึงชะลอเล็กน้อย เนื่องจากได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในปี 2564 ตลาดที่อยู่อาศัยในปีนี้เชื่อว่า ยังคงทรงตัวและเป็นช่วงเวลาของการฟื้นตัวให้แข็งแรง เพื่อที่จะขยายตัวได้ดีในปี 2567 *ข้อมูลที่พลัสฯ รวบรวมนำเสนอยังไม่รวมข้อมูลบริษัทที่ยังไม่ได้แจ้งผลประกอบการ ณ สิ้นสุดวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2566   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] พฤกษา โฮลดิ้งโชว์ปี 65 กำไรโต 18% เตรียมผุดศูนย์สุขภาพ -เอพี ไทยแลนด์ เผยผลงานปี 65 ทำรายได้ 49,388 ล้าน พร้อมกวาดกำไรเติบโตกว่า 23%  
ริสแลนด์ โชว์ยอดขายปี 65 ทะลุเป้ากว่า 6,900 ล้านบาท

ริสแลนด์ โชว์ยอดขายปี 65 ทะลุเป้ากว่า 6,900 ล้านบาท

ริสแลนด์ ประเทศไทย กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ระดับโลกสัญชาติฮ่องกง โชว์ยอดขายปี 2565 กวาดรายได้รวมกว่า 6,900 ล้านบาท จากทั้งหมด 7 โครงการ พร้อมรุกตลาดออนไลน์เจาะกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ล่าสุดจัดงานเปิดตึกโครงการ คลาวด์ ทองหล่อ - เพชรบุรี คอนโดมิเนียมไฮไรส์ ราคาเริ่มต้น 3.2 ล้านบาท คาดปิดการขายได้ภายในไตรมาส 3 ปี 2567   นายสวี่ โจว ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายการขายและการตลาด ประจำภูมิภาคไทย บริษัท ริสแลนด์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ผลประกอบการในปี 2565 ที่ผ่านมา สามารถกวาดยอดขายได้กว่า 6,900 ล้านบาท จากทั้งหมด 7 โครงการ  ประกอบด้วยโครงการบ้านเดี่ยว 1 โครงการ โครงการคอนโดมิเนียม 4 โครงการ และโครงการมิกซ์ยูส 2 โครงการ   โดยปัจจัยความสำเร็จมาจากแนวคิดของริสแลนด์ ซึ่งกล้าที่จะลอง และกล้าที่จะเปลี่ยน จึงมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และแผนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยมีการปรับราคาบางส่วนให้เหมาะสมกับราคาตลาด รวมถึงนโยบายส่วนลดพิเศษอื่นๆ ที่ตอบโจทย์ความต้องของลูกค้าตามสภาพเศษฐกิจในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา และมุ่งเน้นทำการตลาด และการขายผ่านช่องทางออนไลน์ให้มากยิ่งขึ้น เพื่อรองรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป อีกทั้งยังเพิ่มช่องทางการขายผ่านตัวแทนขายในต่างประเทศเพื่ออำนวยความสะดวกให้กลุ่มลูกค้าต่างชาติ ในช่วงที่มีการควบคุมการเดินทางระหว่างประเทศ สำหรับปี 2566 บริษัทวางเป้าหมายรายได้รวมอยู่ที่ 6,808 ล้านบาท โดยยังไม่มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้  แต่มีการวางแผนในระยะยาวมองหาและสะสมที่ดินแปลงใหม่ๆ ที่มีศักยภาพเพื่อวางแผนที่จะเปิดตัวโครงการในอนาคตในช่วงเวลาที่เหมาะสม โดยในปี 2566 บริษัทมีแผนจะจัดอีเว้นท์ใหญ่รวมทุกโครงการ เช่นงานมหกรรมบ้านและคอนโดครั้งที่ 43 พร้อมรับข้อเสนอพิเศษต่างๆภายในงาน และงานเปิดตัวอาคารไฮไรส์ โครงการ เดอะลิฟวิ่น เพชรเกษม ในช่วงกลางปีนี้   สำหรับภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2566 ภาพรวมจะยังคงพัฒนาไปอย่างต่อเนื่อง แนวโน้มราคาจะเพิ่มขึ้นอย่างเหมาะสมประมาณร้อยละ 3 ถึง 8 เมื่อเทียบกับปี 2565 เพื่อป้องกันแรงกดดันจากเงินเฟ้อ โดยผลกระทบของเงินเฟ้อทำให้ต้นทุนหลัก เช่น ค่าก่อสร้าง ค่าแรงงาน ค่าไฟฟ้า และอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น ส่วนอุปทานคอนโดมิเนียมในย่านทองหล่อ เอกมัย โดยคาดการณ์ว่า ภายในสิ้นปี 2566 จะมีจำนวนคอนโดมิเนียมใหม่เปิดขายสะสมสูงประมาณ 6,000 ยูนิต มีอัตราการดูดซับของตลาดกว่า 70 - 80% และมีอัตราผลตอบแทนการลงทุนประมาณ 5-6 %   ล่าสุด ได้จัดงานเปิดตึกโครงการ คลาวด์ ทองหล่อ – เพชรบุรี คอนโดมิเนียมไฮไรส์บนถนนเพชรบุรี ให้ผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมตึกจริง ห้องจริง วิวจริง เป็นครั้งแรก จัดเต็มด้วยพื้นที่ส่วนกลางรวมกว่า 4,000 ตารางเมตร โดดเด่นด้วยความสูงถึง 55 ชั้น กว่า 202 เมตร พร้อม Sky Facilities Full Function และสระว่ายน้ำบนชั้นลอยฟ้ารับวิวเมืองรอบทิศทางแบบ 360 องศา ออกแบบให้ความหรูหราและเป็นส่วนตัวด้วยเพียง 14 ห้องต่อชั้น และในราคาเริ่มต้นเพียง 3.2 ล้านบาท อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ริสแลนด์ ไม่หวั่นสงครามราคาคอนโด อัพราคา 10%  “เดอะลิฟวิ่น รามคำแหง” -ริสแลนด์ ยังไปต่อด้วยกลยุทธ์ “Think Global, Act Local” ปั้นโปรเจ็กต์ปีละหมื่นล้านสู้โควิด-19
ธนาสิริ เดินแผนปี 66 เปิดขายบ้าน 2-20 ล้าน พร้อมรับร่วมทุนปั้นที่ดิน100ไร่ในภูเก็ต

ธนาสิริ เดินแผนปี 66 เปิดขายบ้าน 2-20 ล้าน พร้อมรับร่วมทุนปั้นที่ดิน100ไร่ในภูเก็ต

เปิดแผนธุรกิจ ธนาสิริ ปี 66 เตรียม 4 โครงการ รวมมูลค่า 3,300 ล้าน ขายบ้านแนวราบราคา 2-20 ล้าน หวังปั้นรายได้ 1,300 ล้าน ยอดขาย 1,800 ล้าน โต 30% พร้อมเปิดรับการร่วมทุน พัฒนาที่ดิน 100 ไร่ภูเก็ต ขณะที่ปีหน้าเล็งปั้นโครงการคอนโด จับคนต้องการตลาดบ้านหลังแรก   นายสุทธิรักษ์ เสถียรภาพอยุทธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ธนาสิริ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (THANA) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2566 ว่า ได้เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 4 โครงการ รวมมูลค่า 3,300 ล้านบาท ซึ่งมีระดับราคาตั้งแต่ 2-20 ล้านบาท จากเดิมที่บริษัทโฟกัสการทำตลาดในราคา 4-8 ล้านบาท โดยตั้งเป้าหมายผลการดำเนินงานในปี 2566 ว่า น่าจะทำรายได้อยู่ที่ 1,300 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อนประมาณ 30% โดยเป้ายอดขายอยู่ที่ 1,800 ล้านบาท ปัจจุบันบริษัทฯ มีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและขาย 5 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) ช่วงสิ้นปีที่ผ่านมาจำนวน 198 ล้านบาท   สำหรับการเปิดตัวโครงการใหม่ในปีนี้ บริษัทได้ขยายทำเลไปยังโซนตะวันออก ในพื้นที่โซนบางนา-บางบ่อ เนื่องจากเป็นทำเลมีศักยภาพ รองรับการเติบโต และการขยายตัวของกรุงเทพฯ กระจายไปยังพื้นที่ดังกล่าว และที่ผ่านมาบริษัทยังไม่มีโครงการที่พัฒนาในโซนดังกล่าว แต่พื้นที่เดิมที่บริษัททำตลาดหลัก ในพื้นที่โซนราชพฤกษ์ ปิ่นเกล้า บริษัทยังคงขยายโครงการอย่างต่อเนื่อง รวมถึงขยายพื้นที่ไปยังโซนใกล้เคียงด้วย   บริษัทจะเปิดตัวโครงการแรก ในช่วงไตรมาส 2 โครงการ ธนาสิริวิลเลจ บางนา-บางบ่อ มูลค่า 1,010 ล้านบาท จำนวน 348 ยูนิต บนที่ดิน 38 ไร่ เป็นประเภทบ้านแฝดและทาวน์โฮม ราคาเฉลี่ย 2.9 ล้านบาท ซึ่งเป็นการร่วมทุนกับพันธมิตร อนาบูกิ โคซัน นายสุทธิรักษ์ กล่าวอีกว่า บริษัทยังมีที่ดินซึ่งซื้อสะสมมากว่า 30 ปี จำนวน 100 ไร่ ในจังหวัดภูเก็ต ใกล้กับภูเก็ตแฟนตาซี ปัจจุบันยังไม่มีแผนพัฒนาโครงการ แต่พร้อมเปิดรับการร่วมทุนกับพันธมิตรต่าง ๆ ที่ต้องการพัฒนาโครงการร่วมกัน โดยไม่จำกัดว่าจะเป็นกลุ่มทุนคนไทยหรือต่างชาติ ขณะเดียวกัน บริษัทมีแผนขยายพอร์ตการพัฒนาโครงการประเภทคอนโดมิเนียม เพื่อรองรับแผนการเติบโตด้านรายได้ โดยกลุ่มเป้าหมายคนเจนใหม่วัยทำงานระดับกลาง-ล่าง ที่ต้องการอยู่อาศัยจริงเป็นบ้านหลังแรก ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาและจัดหาที่ดินที่เหมาะสม คาดว่าจะมีความชัดเจนในปีหน้า   สำหรับปีที่ผ่านมา บริษัทมุ่งเน้นกลยุทธ์การเติบโตอย่างสมดุล ความน่าอยู่และยั่งยืน พร้อมด้วยการพัฒนาโครงการที่ต่อเนื่องร่วมกับพันธมิตรกลุ่มต่างๆ และการขยายธุรกิจ อย่าง บริการลิฟวิ่ง โซลูชั่น (Living Solutions) ที่มุ่งเน้นบริการที่เข้าถึง เข้าใจตอบโจทย์ผู้อยู่อาศัยได้อย่างแท้จริง และธุรกิจเวลเนส (Wellness) ให้สอดคล้องกับเทรนด์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ ตามพฤติกรรมของผู้บริโภคและสภาวะของตลาด เพื่อเร่งหาโอกาสทางธุรกิจที่คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น และเพิ่มโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกัน ยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการที่สร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ไม่ได้ต้องการแค่ฟังก์ชั่นของบ้าน แต่ต้องการบ้านที่สะท้อนตัวตนของผู้อยู่อาศัย มุ่งมั่นส่งมอบบ้าน และ “สังคมน่าอยู่” ให้เหมาะกับคนทุกวัย   ด้านนายจรัญ เกษร ประธานเจ้าหน้าที่สายงานปฏิบัติการ กล่าวว่า ในปี 2565 บริษัทสามารถทำยอดขายได้ 1,422 ล้านบาท ทำรายได้จำนวน 1,024 ล้านบาท เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ และมีกำไรสุทธิกว่า 12% มากกว่าปีที่ผ่านมากว่า 3 เท่าตัว โดยทิศทางการเติบโตใน 3 ปีข้างหน้า บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตปีละ 30% สำหรับปัจจัยที่ส่งผลให้ การเติบโตในเชิงตัวเลขของยอดขาย และรายได้เป็นไปตามเป้าหมายวางไว้ มาจากการดำเนินธุรกิจผ่านกลยุทธ์ THANA GREEN เน้นตอบโจทย์ความคุ้มค่า ควบคู่คุณภาพในทุกโครงการที่พัฒนา เพื่อการอยู่อาศัย และการใช้ชีวิต ในสังคมแห่งการแบ่งปัน ตลอดจนการดูแลสิ่งแวดล้อม อันเป็นแนวคิดหลักของการทำธุรกิจที่ไม่ได้มุ่งเน้นแค่เชิงตัวเลข ควบคู่ไปด้วยคุณค่าของการอยู่อาศัยในแนวทาง “Total Green Real Estate Development – Service” เรามีพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแรงอย่าง อนาบูกิ โคซัน มีทีมบริหารที่มีศักยภาพ และเป็นมืออาชีพที่คร่ำหวอดในวงการมาเสริมความแข็งแกร่งขององค์กร ความพร้อมเหล่านี้ทำให้เรามีความเชื่อมั่นว่า ในอนาคตธนาสิริจะมีย่างก้าวที่เติบโตขึ้นอย่างมั่นคงและยั่งยืน (Return on Sustainability) เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้อยู่อาศัย
บริทาเนีย  วางเป้า 3 ปี ติดTop 5 ตลาดบ้าน  พร้อมลุยต่างจังหวัดจับคนระดับท็อป

บริทาเนีย วางเป้า 3 ปี ติดTop 5 ตลาดบ้าน พร้อมลุยต่างจังหวัดจับคนระดับท็อป

บริทาเนีย วางเป้าหมายใน 3 ปี ขึ้นแท่นเป็นผู้นำตลาดบ้านแนวราบ มีรายได้แตะ 20,000 ล้าน หลังปีที่ผ่านมาสร้างการเติบโตทำนิวไฮ กำไร 1,471 ล้าน รายได้กว่า 6,296 ล้าน กางแผนปี66 เดินหน้าเปิด 20 โครงการ รวม 22,500 ล้าน พร้อมลุยตลาดต่างจังหวัดมีศักยภาพ จับคนระดับท็อป มีรายได้สูงของจังหวัด   นายสุรินทร์ สหชาตโภคานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในรอบปี 2565 ที่ผ่านมา บริษัทสามารถสร้างรายได้ 6,296 ล้านบาทเติบโต 65% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า มี ยอดพรีเซลล์ 11,045 ล้านบาทเติบโต 32% และมีกำไรสุทธิ 1471 ล้านบาทเติบโต 144% โดยมีการเปิดโครงการใหม่เก้าโครงการมูลค่า 12,000 ล้านบาท   ปัจจุบันถือว่า บริทาเนียเป็นผู้นำตลาดบ้านแนวราบ ติดอันดับ 8-9 โดยเป้าหมายสำคัญภายในระยะ 3 ปีข้างหน้านับจากปีนี้ ต้องการเพิ่มรายได้มากขึ้น เพื่อจะก้าวสู่ผู้นำตลาดบ้านแนวราบติดอันดับท็อบ 5 ซึ่งจะมีรายได้เกือบ 20,000 ล้านบาท   โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้รวม 9,000 ล้านบาท มียอดขาย 13,000 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิเติบโต 18-18.5% โดยจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่รวม 20 โครงการมูลค่า 22,500 ล้านบาท ทั้งในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑลและต่างจังหวัด เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง นายสุรินทร์ กล่าวว่า ปีนี้จะขยายโครงการไปยังต่างจังหวัดเพิ่ม อีก 2 จังหวัด ได้แก่ จังหวัดขอนแก่นและอยุธยา จากปีที่ผ่านมาพัฒนาโครงการในจังหวัดอุดรธานี และจะมีการพัฒนาโครงการในจังหวัดเดิม ที่เคยพัฒนามาแล้วอีก 2 โครงการ ได้แก่ จังหวัดระยองและชลบุรี รวมปีนี้พัฒนาโครงการในต่างจังหวัดทั้งสิ้น 4 โครงการ   นอกจากนี้ บริษัทยังวางเป้าหมาย ในการขยายโครงการใหม่ ไปยังจังหวัดที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะจังหวัดที่มีรายได้ต่อหัวประชากรสูง และจังหวัดหัวเมืองหลักด้านการท่องเที่ยว อาทิ จังหวัดพิษณุโลก นครสวรรค์ สุราษฎร์ธานี และเชียงใหม่   ทั้งนี้ การพัฒนาโครงการในต่างจังหวัด จะมีทั้งการร่วมทุนกับเจ้าของที่ดิน และการซื้อที่ดินพัฒนาโครงการเอง โดยจับกลุ่มเป้าหมายผู้มีรายได้สูง หรือเจ้าของกิจการในแต่ละจังหวัด ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นได้ ว่าในจังหวัดเป้าหมายดังกล่าว มีปริมาณกลุ่มเป้าหมายมากเพียงพอที่จะรองรับการพัฒนาโครงการหรือไม่ กลยุทธ์ B To The Top สำหรับกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจในปี​ 2566 บริษัทวางแผนการดำเนินธุรกิจภายใต้กลยุทธ์  “B To The Top” สู่เป้าหมายผู้นำธุรกิจพัฒนาบ้านจัดสรร  ใน 3 มิติ ได้แก่ 1.B The Growth  นำพาองค์กรเติบโตสู่ระดับท็อปของตลาดด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่สูงที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท หรือ All Time High ภายใต้แบรนด์ในเครือทั้ง 4 แบรนด์  ได้แก่ เบลกราเวีย (Belgravia) แกรนด์ บริทาเนีย (Grand Britania) บริทาเนีย (Britania) และไบรตัน (Brighton) ร่วมบุกตลาดทุกเซ็กเมนท์ กระจายตัวบุกทั้งในกรุงเทพฯและปริมณฑล อาทิ สมุทรปราการ นนทบุรี ปทุมธานี เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC อย่างชลบุรี ระยอง ฉะเชิงเทรา ตลอดจนหัวเมืองใหญ่ในต่างจังหวัด นำร่องที่ขอนแก่นด้วยบริทาเนีย มะลิวัลย์  และบริทาเนีย อยุธยา   ประเมินว่าปีนี้บ้านทุกระดับราคา จะมีความต้องการต่อเนื่อง เป็นสาเหตุให้เรานำแบรนด์เบลกราเวีย ซึ่งเป็นแบรนด์ระดับลักชัวรีกลับมาร่วมบุกตลาดพร้อมกับอีก 3 แบรนด์ และจะมีทั้งโครงการบ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม ตลอดจนโครงการที่เป็นมิกซ์โปรดักส์ เปิดตัวอย่างต่อเนื่อง โดยปีนี้บริษัทโฟกัสไปที่ตลาดใหญ่ที่สุด ในกลุ่มบ้านราคา 5-10 ล้าน ซึ่งเป็นเซ็กเมนท์ที่มีกำลังซื้อแข็งแกร่ง   สำหรับโครงการที่นับเป็นไฮไลต์ของปีนี้ ได้แก่ เบลกราเวีย ราชพฤกษ์-นครอินทร์ (Belgravia Ratchapruek-Nakornin) และเบลกราเวีย พุทธมณฑล สาย 3 (Belgravia Phuttamonthon Sai 3) ถือเป็นการนำแบรนด์ บ้านเดี่ยวลักชัวรีของบริษัทกลับมาเจาะตลาดอีกครั้ง ในทำเลที่ประสบความสำเร็จและได้รับการตอบรับที่ดีอย่างมากในช่วงก่อนหน้านี้ โดยมีไฮไลต์หลักที่น่าสนใจคือ จำนวนยูนิตน้อย เพิ่มความเป็นส่วนตัวและความรู้สึกเอ็กซ์คลูซีฟ พื้นที่บ้านมากกว่า 100 ตร.วา มีฟังก์ชันภายในบ้านที่คำนึงถึงความเป็นอยู่ที่ดี (Wellness) ของครอบครัวที่มีสมาชิกหลากหลายเจเนอเรชัน (multi-generation family) พร้อมตอบโจทย์กิจกรรมและไลฟ์สไตล์ของทุกคนในครอบครัว บนทำเลที่เชื่อมต่อเมืองและการเดินทางได้สะดวก 2.B The Craft มุ่งมั่นสู่การเป็นแบรนด์บ้านจัดสรรระดับท็อปในใจผู้บริโภค (Top of Mind Brand) ด้วย Culture หรือวัฒนธรรมองค์กร Craft Mindset อย่างต่อเนื่อง พร้อมส่งมอบประสบการณ์ที่ลูกค้าให้คุณค่า (Customer Value) ในการสร้างสรรค์ ดูแล และบริการที่ยกระดับให้แก่ผู้บริโภค ผ่านนวัตกรรมการอยู่อาศัย พื้นที่ส่วนกลาง ที่ตั้งใจออกแบบจาก Customer Insight การดูแลความปลอดภัย ตอกย้ำวิสัยทัศน์ CRAFT a life you love ดีที่สุดคือใช้ชีวิตในแบบที่รัก ด้วยความเข้าใจและใส่ใจวิถีชีวิตของลูกค้าในทุกแบบบ้านอย่างลึกซึ้ง 3.B The Goodness  มุ่งมั่นเป็นองค์กรที่รับผิดชอบต่อสังคม ทั้งในโครงการและชุมชนรอบด้าน อาทิ โครงการ CRAFT PARK สร้างพื้นที่สีเขียวสาธารณะเพื่อชุมชน ซึ่งเป็นโมเดลความร่วมมือของภาคเอกชน ภาคสังคม และชุมชน ตั้งแต่จุดเริ่มต้นตั้งแต่การออกแบบ ลงมือทำ ตลอดจนเดินหน้าเพื่อสิ่งแวดล้อมภายใต้โครงการ B GREEN มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 ผ่านการดำเนินงานตลอดห่วงโซ่คุณค่าตั้งแต่ต้นน้ำ คือ การออกแบบ เลือกใช้วัสดุฉลากเขียว และการก่อสร้าง การเพิ่มพื้นที่สีเขียว การจัดการขยะ จนถึงปลายน้ำ คือ สนับสนุนการใช้พลังงานสะอาด ตั้งเป้าติดตั้งโซลาร์ รูฟท็อป ณ คลับเฮ้าส์ทุกโครงการ และติดตั้งจุดเชื่อมต่อ EV Charger ให้กับบ้านทุกหลัง เพื่อส่งต่อคุณค่าของความรู้สึกภาคภูมิใจ ในการเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยรักษาโลก จากการเลือกซื้อบ้านที่คำนึงถึงการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดี   ปัจจุบันบริษัทพัฒนาบ้านจัดสรรภายใต้คอนเซปต์ CRAFT a life you love ดีที่สุดคือใช้ชีวิตในแบบที่รัก พัฒนาทั้งบ้านเดี่ยว บ้านซีรีส์ใหม่ ทาวน์โฮม ครอบคลุมผู้บริโภคทุกเซ็กเมนท์ ภายใต้ 4 แบรนด์หลัก ได้แก่ เบลกราเวีย (Belgravia) บ้านเดี่ยวลักชัวรี ระดับราคา 20-50 ล้านบาท แกรนด์ บริทาเนีย (Grand Britania) บ้านเดี่ยวและบ้านแฝดระดับ High-End ราคา 8-20 ล้านบาท   บริทาเนีย (Britania) บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม ระดับ Mid-end ราคา 4-8 ล้านบาท ไบรตัน (Brighton) บ้านแฝด และทาวน์โฮม ระดับเริ่มต้น (Entry) ราคา 2.5-4 ล้านบาท   โดย ณ สิ้นปี 2565 พัฒนาโครงการมาแล้วทั้งสิ้น 30 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการสะสม 36,449 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -บริทาเนียปั้น 3 แบรนด์ใหม่ บุกตลาดแนวราบสร้างรายได้ 4,500 ล้าน  
นิปปอนเพนต์  เร่งแก้ 2 โจทย์ธุรกิจ  ปูทางสู่เบอร์ 1 ตลาดสี

นิปปอนเพนต์ เร่งแก้ 2 โจทย์ธุรกิจ ปูทางสู่เบอร์ 1 ตลาดสี

นิปปอนเพนต์ เดินหน้าแก้ 2 โจทย์ทางธุรกิจ การวางกลยุทธ์ที่ถูกต้อง การรับมือการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม ด้วยยุทธศาสตร์ “Inspired by you” กับแนวคิด “3C” ไขความพร้อมสู่การชนะใจลูกค้าหวังสร้างยอดขายเติบโต เพิ่มส่วนแบ่งการตลาดกลุ่มสีทาอาคาร ดันให้ภาพรวมขึ้นแท่นเบอร์ 1 ตามบริษัทแม่ หลังปีที่ผ่านมา​โชว์ผลงานสร้างประวัติศาสตร์​ ทำยอดขายสูงสุด ตั้งแต่ดำเนินธุรกิจในไทย     นิปปอนเพนต์ แบรนด์สีจากประเทศญี่ปุ่นที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยแล้วกว่า 56 ปี ถ้าเทียบอันดับในตลาดเอเชีย แบรนด์นิปปอนเพนต์ ถือว่าเป็นแบรนด์อันดับ 1 ติดต่อ 7 ปี มียอดขายล่าสุดปี 2563 จำนวน ​8,460 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นส่วนแบ่ง 20% ในตลาดสีของเอเชีย และยังเป็น​อันดับ 4 ของตลาดโลกด้วย ที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มผู้บริโภคทั่วไป และกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ที่ต้องใช้สี แต่สำหรับประเทศไทยแล้ว ปัจจุบันแบรนด์นิปปอนเพนต์ ยังไม่ได้ครองใจผู้บริโภค หรือกลุ่มธุรกิจ จนมียอดขายเป็นเบอร์ 1 ทั้ง ๆ ที่มีความพร้อมในหลาย ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเทคโนโลยี สินค้า หรือการสนับสนุนจากบริษัทแม่ แก้ 2 โจทย์ธุรกิจ สู่เบอร์ 1 ​นายวัชระ ศิริฤทธิชัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิปปอนเพนต์ เดคโคเรทีฟ โคทติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด  ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสีนิปปอนเพนต์ ในประเทศไทย เปิดเผยว่า สาเหตุสำคัญที่ปัจจุบันยอดขายของสีนิปปอนเพนต์ในประเทศไทย ไม่เป็นอันดับ 1 เหมือนในตลาดเอเชียมี 2 เรื่องหลัก ได้แก่ 1.การวางกลยุทธ์ทำธุรกิจไม่ถูกต้อง ในอดีตเมื่อ 20 ปีก่อนเคยวางกลยุทธ์การทำตลาดที่ถูกต้องมาก่อน จนสามารถครองยอดขายอันดับ 1 ได้ แต่จากกลยุทธ์ทางธุรกิจไม่ถูกต้องกับสภาพทางการตลาด ทำให้ยอดขายลดลงมาอย่างต่อเนื่อง 2.การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรม จากการเปลี่ยนแปลงทางการตลาดที่มีมาอย่างต่อเนื่อง โดยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค ทำให้รูปแบบการตลาดของเจ้าของสินค้าต้องปรับเปลี่ยนตาม ซึ่งช่วงที่ผ่านมาการเปลี่ยนแปลงสำคัญ คือ ช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า อย่างช่องทางโมเดิร์นเทรด เข้ามามีบทบาทสำคัญต่อการซื้อสินค้า เดิมผู้บริโภคนิยมซื้อสินค้าผ่านช่องทางตัวแทนจำหน่าย แต่การขยายตัวของร้านโมเดิร์นเทรด ทำให้ผู้บริโภคหันมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางนี้มากขึ้น ทำให้สีนิปปอนเพนต์ที่มีช่องทางหลัก คือ ร้านค้าตัวแทนจำหน่าย ต้องสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดให้กับคู่แข่ง ที่เข้าไปขายผ่านช่องทางร้านโมเดิร์นเทรด   อย่างไรก็ตาม สีนิปปอนเพนต์ ได้พยายามปรับกลยุทธ์และวิธีการทำตลาดมากขึ้น เพื่อให้ได้ส่วนแบ่งทางการตลาดกลับมาเพิ่มมากขึ้น และก้าวสู่เป็นเบอร์ 1 ในทุกกลุ่มสี โดยเฉพาะการผลักดันกลุ่มสีทาบ้านและอาคาร ที่ปัจจุบันสีนิปปอนเพนต์มีส่วนแบ่งทางตลาดในทุกผลิตภัณฑ์สี อาทิ สีทาอาคาร สีรถยนต์ และสีอุตสาหกรรม เป็นอันดับ  2 ​ ด้วยยอดขายเกือบ 10,000 ล้านบาท   แต่หากเป็นตลาดเฉพาะกลุ่มสีทาบ้านและอาคารและโรงงาน ปี 2564 มีมูลค่าตลาดรวม 24,000 ล้านบาท นิปปอนเพนต์มีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ ​ 4 หรือคิดเป็นส่วนแบ่งทางการตลาดเป็น 7%  ขณะที่ผู้นำตลาดเบอร์ 1  มีส่วนแบ่งตลาด 50% สำหรับภาพรวมตลาดสีทาบ้านและอาคารในปี 2565 น่าจะมีอัตราการเติบโต​ 12.5%  คิดเป็นมูลค่า 27,000 ล้านบาท ปัจจัยส่งเสริมให้ตลาดเติบโตมาจาก นโยบายภาครัฐที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดการใช้เพิ่มมากขึ้น การปรับปรุงซ่อมแซมบ้านของผู้บริโภค และราคาสินค้าที่ปรับเพิ่มขึ้นจากภาวะต้นทุนที่เพิ่มขึ้น   ปีที่ผ่ามานิปปอนเพนต์มีรายได้กลุ่มสีทาบ้านและอาคาร 1,800 ล้านบาท ปี 2566 นี้ตั้งเป้าเพิ่มรายได้เป็น 2,170 ล้านบาท หรือเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดเป็น 9-10% และบริษัทพยายามผลักดันส่วนแบ่งยอดขายกลุ่มสีทาบ้านและอาคารเพิ่มขึ้นเป็น 15% ภายใน 3-5 ปี เพื่อจะขยับจากอันดับ 4 ขึ้นมาเป็นอันดับ 2  ซึ่งจะส่งผลให้ภาพรวมของสีนิปปอนเพนต์ในทุกตลาดสีขึ้นมาเป็นเบอร์ 1 ให้ได้ภายใน 3-5 ปีด้วย ​​ โดยปัจจุบันตลาดสีรวมทุกผลิตภัณฑ์มีมูลค่ารวม ​ 50,000 ล้านบาท ตลอดระยะเวลา 56 ปีที่ผ่านมา สิ่งที่เราทำได้ไม่ดี คือ เราไม่ปรับตัว เราเริ่มมาปรับตัวได้ดีขึ้นในช่วง 4-5 ปีส่งผลให้ปีที่แล้วมีการเติบโตกว่า 30% สูงสุดนับตั้งแต่ทำธุรกิจในไทย ​โดยมีการพัฒนาช่องทางตัวแทนจำหน่ายให้เติบโตคู่กับช่องทางโมเดิร์นเทรด  การพัฒนาและเพิ่มช่องทางใหม่ๆ เช่นออนไลน์ 3C ยุทธศาสตร์ทำตลาดปี 66 สำหรับกลยุทธ์ในการทำตลาด และเพิ่มส่วนแบ่งทางการตลาดให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ สีนิปปอนเพนต์จะใช้ยุทธศาสตร์เดินหน้า “Inspired by you” กับแนวคิด “3C” ได้แก่ Customer Centric-Customized Solution-Concrete Innovation ชูกลยุทธ์การตลาดครบเครื่อง ยกระดับความมั่นใจ พร้อมตอบโจทย์ทุกปัญหาและความต้องการของลูกค้าทั้งกลุ่ม B2B และ B2C   โดยนายณรงค์ฤทธิ์ มาลัยนวล ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด กล่าวว่า กลยุทธ์การทำตลาดของนิปปอนเพนต์ในปี 2566 นี้ บริษัทยังคงเน้นเดินหน้าตอกย้ำความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสีทาบ้านและอาคาร หรือ The Coatings Expert ผ่าน Inspired by you กับแนวคิด “3C” ได้แก่ Customer Centric ตามปณิธานขององค์กร การยึดความต้องการของลูกค้าเพื่อเข้าใจ แก้ไขและป้องกันปัญหาสี เป็นสิ่งสำคัญ โดยนิปปอนเพนต์ต้องการสร้างความแตกต่าง เพื่อสร้างความประทับใจ การจดจำ และการบอกต่อถึงความเอาใจใส่ Customized Solution “เพราะความใส่ใจทำให้เราเชี่ยวชาญ” การศึกษาเพื่อให้เข้าใจถึงความต้องการลูกค้าแต่ละบุคคล แต่ละองค์กรอย่างถ่องแท้ พร้อมนำเสนอ Solution ที่เหมาะสมและตอบโจทย์ผ่านความเชี่ยวชาญที่นิปปอนเพนต์มีเสมอมาอย่างมากที่สุด เพื่อแก้ไขและป้องกันปัญหาสี Concrete Innovation การเดินหน้าคิดค้น วิจัยและพัฒนาเพื่อนำเสนอนวัตกรรมในทุกผลิตภัณฑ์สีอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อสิ่งใหม่ที่สร้างประโยชน์ แก้ปัญหาและป้องกันได้จริง สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา   นายณรงค์ฤทธิ์  กล่าวอีกว่า นิปปอนเพนต์เน้นการสร้าง Engagement กับลูกค้าในทุกกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ ผู้รับเหมา ช่างสี ฯลฯ รวมไปถึงโมเดิร์นเทรด หรือดีลเลอร์ และเพื่อรองรับดีมานด์ที่เกิดขึ้นในทุกๆกลุ่ม ในปีนี้จะเห็นการนำเสนอนวัตกรรมออกสู่ตลาดทั้งในกลุ่มสินค้าสีทาพื้น  ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าตลาดรวมกว่า 500 ล้านบาทมีการเติบโตต่อเนื่อง ขณะที่มีผู้ประกอบการรายใหญ่เพียงไม่กี่รายจึงเป็นตลาดที่มีศักยภาพและมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก  รวมทั้งยังมีแผนนำสินค้าที่เป็นเรือธงออกมาทำตลาดเพิ่มขึ้นในอนาคตด้วย ​ ปี 2566 ถือเป็นปีที่มีความท้าทายอย่างมากสำหรับนิปปอนเพนต์ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจจะเริ่มส่งสัญญาณดีขึ้น จากปัจจัยบวก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการบริโภคในประเทศ และภาคท่องเที่ยวที่เริ่มกลับมาคึกคักขึ้น หลังจีนเปิดประเทศให้นักท่องเที่ยวออกเดินทางท่องเที่ยวได้ ทำให้โรงแรม ร้านอาหาร สถานบันเทิงต่างๆ ต้องปรับปรุงตกแต่งอาคาร ร้านค้า เพื่อรองรับนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามา   นอกจากนี้กลุ่มนักท่องเที่ยวจีนยังมีความต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในเมืองไทย ทำให้คาดการณ์ว่า ตลาดคอนโดมิเนียมจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง อีกปัจจัยบวกคือการย้ายฐานการผลิตมาอยู่ในประเทศไทย ของผู้ประกอบการรายใหญ่ ทำให้เกิดการจ้างงานจำนวนมากและการใช้จ่ายที่จะตามมาในอนาคต ขณะที่ปัจจัยลบที่ต้องจับตามองคือ การเลือกตั้ง ซึ่งยังต้องรอดูนโยบายใหม่ของรัฐบาลว่าจะเดินหน้าอย่างไร   นายณรงค์ฤทธิ์  กล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้บริษัทยังมีความเชื่อมั่นว่าภาพรวมของเศรษฐกิจจะกลับมาดีขึ้น จากภาคการผลิตและภาคท่องเที่ยว โดยเฉพาะการเข้ามาของนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งนิยมซื้ออาคารสูงในไทยจะส่งผลให้ตลาดอาคารสูงกลับมาคึกคักและเดินหน้าก่อสร้างเพิ่มขึ้น ทำให้ตลาดสีทาบ้านและอาคารกลับมาเติบโตเพิ่มขึ้น ส่งผลให้นิปปอนเพนต์เองเติบโตตามไปด้วย โดยภาพรวมในปีนี้บริษัทตั้งเป้าหมายที่จะเติบโตเพิ่มขึ้น 25% พร้อมกับมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นและกลายเป็นผู้นำตลาดในที่สุด   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -นิปปอนเพนต์ ออกสีใหม่ “เวเธอร์บอนด์” สู้ตลาด 2 หมื่นล้านหดตัว 15%
แอล.พี.เอ็น.ใช้ 5 Transformation มัดใจลูกค้า พร้อมสร้างรายได้ 50,000 ล้าน

แอล.พี.เอ็น.ใช้ 5 Transformation มัดใจลูกค้า พร้อมสร้างรายได้ 50,000 ล้าน

แอล.พี.เอ็น. วางโรดแมป 5 ปี สู่เป้าหมายรายได้รวม 50,000 ล้าน พร้อมการกลับมานั่งในใจลูกค้า โดยวาง 5 กลยุทธ์สำคัญ Transformation เดินหน้าปั้นแบรนด์ 168 จับกลุ่มคนรุ่นใหม่ เลิกใช้แบรนด์ ลุมพินี   หลังจาก 4-5 ปีที่ผ่านมา ชื่อของ แอล.พี.เอ็น.แทบจะหายไปจากวงการอสังหาริมทรัพย์ การเปิดตัวโครงการใหม่มีน้อยมาก เพราะผู้บริหารได้มีการจัดพอร์ตธุรกิจและปรับการทำงานภายในใหม่ จากผลกระทบที่เกิดขึ้นจากหลาย ๆ ปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงของสภาพตลาด การเกิดไวรัสโควิด-19 แพร่ระบาด   แต่หลังจากได้จัดการปัญหาต่าง ๆ ภายในเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แอล.พี.เอ็น. ก็กลับมาใหม่อีกครั้ง กับแผนธุรกิจ 5 ปี ตั้งแต่ปี 2565-2569 ซึ่งมีโจทย์ทางธุรกิจสำคัญ คือ การกลับมาอยู่บนเวทีธุรกิจอสังหาฯ ที่เคยติดอันดับ Top10 และการเป็นแบรนด์ที่อยู่ในใจของผู้บริโภค ซึ่งมี 5 กลยุทธ์สำคัญที่พร้อมจะขยายธุรกิจนับจากนี้ แผน 5 ปีรายได้ 50,000 ล้าน นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยว่า ปี 2566 เป็นปีที่ท้าทายในการขับเคลื่อนองค์กร ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้ซื้อที่อยู่อาศัย ภายหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19​   โดยแอล.พี.เอ็น.กำหนดให้ปี 2566 เป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงเพื่อนำไปสู่การพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ดีตามแนวคิด “Transform for Better Living” เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของคนทุกวัย และขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นผ่านการพัฒนาและการออกแบบที่อยู่อาศัยที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของกลุ่มลูกค้าในทุกระดับ เพื่อสร้างรายได้รวม 50,000 ล้านบาท ตั้งแต่ปี 2565-2569 ตามแผนโรดแมป 5 ปี และมีกำไรสุทธิ 5,000 ล้านบาท ปี 2566 เป็นปีที่ต้องเผชิญกับความท้าทายในหลายมิติ ทั้งการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัสโควิด ที่ทำให้พฤติกรรมของลูกค้าเปลี่ยนแปลงไป รวมถึงภาวะเศรษฐกิจโลกที่มีโอกาสถดถอย อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มสูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่กำลังจะเกิดขึ้นหลังการเลือกตั้งในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ บริษัทจึงวางแผนยกระดับการบริหารจัดการ เพื่อการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืนให้เกิดขึ้นจริง ตั้งแต่การนำร่องเผยโฉมรูปลักษณ์ใหม่ของการพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ 168 ซึ่งเริ่มเห็นบ้างแล้วในช่วงปี 2565 ที่ผ่านมา รวมถึงแผนการขยายการพัฒนาที่อยู่อาศัย ไปสู่โครงการบ้านพักอาศัยระดับพรีเมี่ยม ซึ่งเป็นผลต่อเนื่อง จากการตอบรับที่ดีจากลูกค้าจนสามารถปิดการขายโครงการ BAAN 365 RAMA 3 ไปเป็นที่เรียบร้อย   โดยการก้าวสู่มิติใหม่ของแอล.พี.เอ็น.ที่ยึดความต้องการของลูกค้า (Customer Insight) เป็นศูนย์กลางในการพัฒนาองค์กรเป็นสำคัญ บริษัทจึงมุ่งมั่นตั้งใจสร้างสรรค์ประสบการณ์ที่ดีกับลูกค้าเป้าหมายมากยิ่งขึ้นเพื่อสร้างการรับรู้ใหม่ของแบรนด์ 168 รวมถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารจัดการภายในให้สามารถกระจายรายได้อย่างสม่ำเสมอ และมีการเติบโตของกำไรอย่างน้อย 10% ต่อปี ตามแผนการขับเคลื่อนองค์กร Turnaround ที่เริ่มมาตั้งแต่ปี 2565 ต่อเนื่องมาถึงปี 2566 แอล.พี.เอ็น ชู 5 กลยุทธ์ Transformation 1.Corporate Transformation การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจพัฒนาอสังหาฯ VS บริการ กลยุทธ์แรกในการผลักดันให้บริษัท ไปสู่เป้าหมายตามแผนธุรกิจ 5 ปี คือ การปรับองค์กร ทั้งในด้านภาพลักษณ์ให้ดูสดใหม่ และการปรับเชิงการบริหารธุรกิจ โดยแล้วเริ่มปรับตัวเองมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ซึ่งในอดีตกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ จะมุ่งเน้น 2 เรื่อง ​คือ Scale และ Speed   Scale คือ การพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ แต่ละปีมีจำนวนโครงการไม่มาก ประมาณ 10 โครงการ ทำให้การบริหารงานโครงการไม่มีความซับซ้อน มีเพียงหน่วยงานเดียว ก็สามารถบริหารจัดการพัฒนาทั้ง 10 โครงการได้ แต่จากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นต่าง ๆ ทำให้ ต้องมีการขยายพอร์ตธุรกิจให้มากขึ้น และการพึ่งพาธุรกิจคอนโดมิเนียมประเภทเดียวก็เป็นความเสี่ยงเกินไป   แม้ปัจจุบันจะมีธุรกิจบริการ อย่างบริษัท แอล.พี.พี.พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) ซึ่งก็เติบโตและขยายธุรกิจได้ต่อเนื่อง ปีที่ผ่านมาบริษัท​ได้มีการแยกโครงสร้างการบริหารเป็นอิสระ แต่แอล.พี.เอ็น.ยังคงถือหุ้น 100% ในอนาคตจะนำ LPP เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ต่อไปด้วย ทำให้​ในปัจจุบันแอล.พี.เอ็น.จึงดำเนินธุรกิจด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ทั้งการพัฒนาคอนโดและบ้านพักอาศัยอย่างครบวงจร ในทุกระดับราคา เพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ซื้อในทุกกลุ่มเป้าหมาย เราทำโครงการให้มีขนาดใหญ่ ทำให้พัฒนาโครงการไม่มาก 10 โครงการก็เพียงพอต่อการสร้างการเติบโต 20% เมื่อเปรียบเทียบกับบริษัทอื่น ต้องมี 20-30 โครงการ ถ้าจะเติบโตในอัตราดังกล่าว Speed การพัฒนาโครงการแม้จะเป็นโครงการขนาดใหญ่ แต่สามารถก่อสร้างได้อย่างรวดเร็ว บางโครงการที่ก่อสร้างตั้งแต่ช่วงต้นปี ประมาณปลายปีก็สามารถเข้าอยู่ได้ ในเชิงธุรกิจทำให้ควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ 2.Management Transformation การเปลี่ยนโครงสร้างบริษัท Business Unit ในปี 2565 แอล.พี.เอ็น.ได้มีการจัดโครงสร้างการบริหารภายใน สู่การบริหารในรูปแบบของหน่วยธุรกิจ (Business Unit) จาก 4 หน่วยธุรกิจ ที่ประกอบด้วย คอนโดมิเนียม บ้านพักอาศัยกลุ่ม Value บ้านพักอาศัยกลุ่ม Premium ธุรกิจเช่าอาศัย โดยในปี 2566 จะเพิ่มเป็น 5 หน่วยธุรกิจ โดยเพิ่มหน่วยธุรกิจเพื่อพัฒนาบ้านพักอาศัยกลุ่ม Value อีก 1 หน่วย เพื่อสอดคล้องกับแผนการขยายงานในปี 2566 และเพิ่มยอดขายจากการขายคอนโด​ พร้อมผู้เช่าผ่านงานบริการและการปล่อยเช่า เพื่อตอบโจทย์การขายนักลงทุนที่แสวงหาผลตอบแทนที่สูงกว่าเงินฝาก แต่ยังคงมีความเสี่ยงต่ำจากการบริหารงานอย่างมืออาชีพจากแอล.พี.เอ็น. 3.Project Development Transformation การพัฒนาโครงการภายใต้แนวคิด “น่าอยู่” แม้ว่าแบรนด์ลุมพินี ลูกค้าส่วนใหญ่จะให้การยอมรับ และเชื่อมั่นในแบรนด์ว่ามีคุณภาพ และชื่นชอบ แต่ต้องยอมรับว่ากลุ่มเป้าหมายเดิมตอนนี้อายุ 40-50 ปี เป็น Gen X , Baby Boomer แต่ปัจจุบันลูกค้าเริ่มเปลี่ยนเป็น Gen Y และอายุน้อยลงเรื่อย ๆ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่บริษัท พยายามปรับสินค้าให้​ตรงความต้องการของผู้บริโภค จึงมีการพัฒนาแบรนด์ 168 ซึ่งยังคงยึดแนวคิด “น่าอยู่” (Livable Community) เพื่อสร้างสรรค์โครงการต่างๆ ตอบรับไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้าในปัจจุบัน ซึ่งมีการออกแบบโครงการที่แตกต่างจากอดีต อาทิ การติดตั้ง EV Charger และ Solar Cell ในทุกโครงการ พร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวก เพื่อเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิตบนทำเลศักยภาพ   โดยชื่อของแบรนด์ 168 มีที่มาจากการนำเอาเลขที่ตั้งของ อาคารลุมพินี ทาวเวอร์ บนถนนพระราม 4 คือ 1168 ซึ่งเป็นโครงการแรกในช่วงการก่อตั้งบริษัทมาใช้ บ้านเลขที่ คือ 1168 โดยลดทอนเหลือเลข 168 เพราะมีความเชื่อมโยงในเรื่องของศาสตร์ตัวเลขที่เป็นมงคล เพราะมองว่าผู้บริโภคยุคใหม่ ส่วนใหญ่ให้ความสนใจเรื่อง ตัวเลขที่มีความเชื่อว่า​เป็นมงคล ซึ่ง 168 หมายถึง ฮก ลก ซิ่ว จึงเอามาเป็นชื่อ Master Brand ซึ่งจะเป็นแบรนด์ครอบคลุมบ้านและคอนโดทุกเซ็กเมนต์ ถ้ามีการวัด Trusted Brand เราเชื่อว่าแอล.พี.เอ็น.จะต้องติดอันดับ ซึ่งที่ผ่านมาเรามีเรื่องร้องเรียนในสคบ.ค่อนข้างน้อย ถ้ามีเราจะ Take action ทันที ทำให้ช่วง 4-5 ปีที่เราหายไป เราพยายามปรับภาพลักษณ์ใหม่ และช่วงปลายปี 2563 ทางคณะผู้บริหารนำเสนอแผนธุรกิจ 5 ปี มีโจทย์สำคัญคือการนำเอาแอล.พี.เอ็นกลับมายืนบนเวทีธุรกิจอสังหาฯ​ และยืนอยู่ในใจผู้บริโภคอีกครั้ง 4.Digital Transformation ใช้เทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุนการทำงาน แม้ว่าภาพลักษณ์ของแอล.พี.เอ็น. ปัจจุบันอาจจะไม่ได้ดูทันสมัย แต่ปัจจุบันได้มีการนำเอาเทคโนโลยีด้านดิจิทัลเข้ามาใช้ในองค์กรมากมาย การสื่อสารภายในด้วยเอกสารแทบจะไม่มีแล้ว แต่การไปสู่เป้าหมายการบริหารจัดการองค์กรแบบ “Fully Digital Organization” ก็เป็นเรื่องสำคัญต้องทำแบบ 100% บริษัทจึงตั้งเป้าหมายให้ในทุกหน่วยงานให้สมบูรณ์แบบภายในปี 2567 เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารงาน พร้อมทั้งสนับสนุนงานด้านการตลาด การขาย รวมไปถึงด้านการออกแบบและการบริการ รองรับการสร้างฐานลูกค้าให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้ลูกค้าในหลากหลายช่องทาง และตอบโจทย์กับการใช้ชีวิตของผู้คนในปัจจุบันและอนาคต 5.Brand Transformation ปรับภาพลักษณ์แบรนด์ เพื่อตอบโจทย์คนรุ่นใหม่ ในปี 2566 นี้จะเป็นปีแห่งการขยายการรับรู้ และสร้างประสบการณ์ใหม่ของแอล.พี.เอ็น. ทั้งกลุ่มเป้าหมายเดิมและขยายสู่กลุ่มเป้าหมายใหม่ ในฐานะผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพมาตลอด 34 ปี โดยเมื่อเดือนตุลาคม 2565 ที่ผ่านมา ได้มีการเปลี่ยนโลโก้ครั้งใหม่ ซึ่งถือเป็นครั้งที่ 3-4 ที่ได้มีการปรับเปลี่ยนโลโก้ จากครั้งล่าสุดเมื่อปี 2563 ซึ่งเป้าหมายสำคัญ คือ การเปลี่ยนไปตามการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภค และนำไปสู่ Top of Mind แบรนด์ในใจผู้บริโภคภายใน 3  ปี เราทำเรื่องแบรนด์มา 3-4 ครั้ง โลโก้ครั้งล่าสุดก็โอเค ซึ่งสะท้อนค่านิยมบางอย่าง เกี่ยวกับเรื่องความนิ่ง ๆ สะท้อนอะไรบางอย่างของผู้บริหารแต่ละรุ่น ล่าสุด มีการปรับโลโก้ จาก 6 เส้น มาเป็น 7 เส้น ซึ่งหมายถึงบริษัททั้งหมดของกลุ่มแอล.พี.เอ็น.และมีการออกแบบตามหลักฮวงจุ้ยด้วย และมีความพรีเมี่ยมมากขึ้น นอกจากเรื่องแบรนด์แล้ว ปีนี้แอล.พี.เอ็น.ยังพร้อมเปิดโอกาสในการสร้างความร่วมมือ กับคู่ค้าทางธุรกิจ (Collaboration & Partnership) ในด้านต่างๆ เพื่อเสริมสร้างแบรนด์ให้เข้าถึงลูกค้ามากขึ้น รวมถึงการปรับรูปแบบการทำงานภายในองค์กร อาทิ วิธีการทำงานที่สร้างแรงจูงใจให้พนักงานได้ใช้ความคิดสร้างสรรค์โดยยึดความต้องการลูกค้าเป็นหลัก และพร้อมดึงดูดคนรุ่นใหม่เข้าร่วมงานด้วยในอนาคต เปิด 17 โครงการ​ 14,000 ล้าน นายโอภาส กล่าวว่า ในปี 2566 แอล.พี.เอ็น. มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่รวม 17 โครงการ มูลค่ารวม 14,000 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ “168” แบ่งเป็น โครงการคอนโด​ 4 โครงการ มูลค่า 5,000 ล้านบาท โครงการบ้านพักอาศัย 13 โครงการ มูลค่า 9,000 ล้านบาท พร้อมเปิดพรีเซลล์ 3 โครงการที่พักอาศัยระดับพรีเมี่ยม ได้แก่ Residence 168 ราชพฤกษ์ / Maison 168 เมืองทอง และ Villa 168 เวสต์เกต พร้อมกันในวันที่ 25-26 กุมภาพันธ์นี้   นอกจากนี้ ในปีนี้มีโครงการเริ่มส่งมอบ​ จำนวน 14 โครงการ แบ่งเป็น คอนโด 2 โครงการ ได้แก่ ลุมพินี คอนโดทาวน์ เอกชัย 48 และลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต-คลอง 1 (เฟส 3) และบ้านพักอาศัย 12 โครงการ ได้แก่ Residence 168 ราชพฤกษ์, Residence 168 อ่อนนุช 46, Maison 168 เมืองทอง, Villa 168 เวสต์เกต, Venue 168 เวสต์เกต, Venue 168 คูคต สเตชั่น, Venue 168 ราชพฤกษ์, Haus 168 เวสต์เกต, Haus 168 คูคต สเตชั่น, Haus 168 ราชพฤกษ์, และโครงการใหม่จำนวน 2 โครงการ     โดยในปีนี้บริษัทได้วางเป้าหมายรายได้รวมไว้ที่ 7,600 ล้านบาท ซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงขึ้น 20 % จากปี 2565 ซึ่งมีรายได้รวม 6,136 ล้านบาท เติบโต 42% เมื่อ เทียบกับปี 2564 แบ่งเป็น โครงการคอนโด 3,769 ล้านบาท และโครงการบ้านพักอาศัย 2,064 ล้านบาท และรายได้จากการธุรกิจเช่า 303 ล้านบาท รวมทั้งยังมีรายได้พิเศษจากการขายอาคารสำนักงาน 2,590 ล้านบาท และมียอดรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่า 1,845 ล้านบาท ที่จะสร้างรายได้ในปี 2566-2568 และสินค้าคงเหลือ (Inventory) มูลค่า 7,000 ล้านบาท   นอกจากนี้ ปีนี้จะเป็นปีแรกในรอบ 5 ปีของแอล.พี.เอ็น.​ในการขยายการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยในต่างจังหวัดอีกครั้ง หลังจากที่เคยเปิดตัวโครงการคอนโดในจังหวัดอุดรธานี ชลบุรี พัทยา และชะอำ มาแล้ว เนื่องจากเห็นโอกาสในการขยายการลงทุนตามการขยายตัวของเมือง เส้นทางคมนาคม และความต้องการของผู้ซื้อ โดยแอล.พี.เอ็น.จะเน้นขยายการพัฒนาโครงการไปในจังหวัดที่มีศักยภาพในการขยายตัวและกำลังซื้อสูง โดยเฉพาะในทำเลเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor)   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -แอล.พี.เอ็น. เล็งเปิด 5 โปรเจ็กต์บ้านพรีเมียม 5,000 ล้าน บุกตลาดปี 66 จับกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง
เนอวานา กลับมาลุยตลาดบ้าน-คอนโดลักชัวรี่ งัดแลนด์แบงก์ปั้นโปรเจ็กต์ 40,000 ล้าน

เนอวานา กลับมาลุยตลาดบ้าน-คอนโดลักชัวรี่ งัดแลนด์แบงก์ปั้นโปรเจ็กต์ 40,000 ล้าน

เนอวานา สลัดภาพบริษัทร่วมทุนต่างชาติ กลับมาเป็นดีเวลลอปเปอร์ ปั้นโปรเจ็กต์อสังหาฯ เพื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลัก เตรียมขออนุมัติผู้ถือหุ้นใช้ชื่อเดิม “เนอวานา ดีเวลลอปเมนท์” พร้อมงันแลนด์แบงก์ปั้นโปรเจ็กต์ 40,000 ล้าน ประเดิมปี 66 เปิด 9 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 21,100 ล้าน สู่เป้ายอดขายเติบโตอย่างก้าวกระโดดเป็น 8,500 ล้าน   นายศรศักดิ์ สมวัฒนา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เนอวานา ไดอิ จำกัด (มหาชน) หรือ NVD เปิดเผยว่า หลังจากที่บริษัทได้ปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นและองค์กรในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อย บริษัทได้กลับมาขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างเต็มรูปแบบอีกครั้ง โดยนำเอาที่ดินที่ได้สะสมไว้ในช่วงที่ผ่านมา พัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัย ทั้งประเภทบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม คอนโดมิเนียม และโฮมออฟฟิศ ซึ่งปัจจุบันมีที่ดินสะสม และสามารถพัฒนาโครงการได้มูลค่า 40,000 ล้านบาท ในการขายและทำตลาดถึงปี 2568   ขณะเดียวกันได้เปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ เป็นบริษัท เนอวานา ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นชื่อเดิมตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจในช่วงปี 2548 หลังจากปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหม่ จึงจะมุ่งเน้นในการพัฒนาอสังหาฯ เป็นหลัก โดยจะมีการขออนุมัติจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นอีกครั้ง ในวันที่ 12 เมษายน 2566 เราจะเป็นดีเวลลอปเปอร์ทำสิ่งที่เราถนัน เชื่อว่าสินค้าเนอวานาตอบสนองลูกค้าได้ดี บนที่ดินศักยภาพ ซึ่งบางแปลงซื้อมา 4-5 ปีที่แล้ว ทำให้มีต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ทำให้วันนี้เนอวานากลับไปยืนในจุดที่ลูกค้าพอใจอีกครั้ง สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในปี 2566 ว่า บริษัทเตรียมงบลงทุน 4,370 ล้านบาท เพื่อเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาว์นโฮมและคอนโด จำนวน 9 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 21,100 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนโครงการใหม่ที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของบริษัท และโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวยังคงมุ่งเน้นกลุ่มเป้าหมายในตลาดระดับบนเป็นหลักด้วย โดยจะมีการพัฒนาโครงการภายใต้แบรนด์ใหม่เพิ่มเข้ามาทำตลาดด้วย ​ โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายรวม 8,500 ล้านบาท ซึ่งเติบโตอย่างก้าวกระโดดกว่า 160% จากปีก่อนหน้านี้ และรายได้ 4,500 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 75%” ปีนี้จะเป็นปีที่เนอวานาเก็บเกี่ยวสิ่งที่เราได้เตรียมความพร้อมสำหรับการดำเนินธุรกิจในทุกด้านและลงทุนซื้อที่ดินใหม่ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เรามั่นใจในตลาดที่อยู่อาศัยระดับบนที่ยังคงมีความต้องการอย่างต่อเนื่องและมีศักยภาพในการเติบโตหลังวิกฤตโควิด   สำหรับโครงการใหม่ที่จะเปิดในปีนี้ ได้แก่ โครงการบ้านเดี่ยวเนอวานา คอลเลคชั่น กรุงเทพกรีฑา (Nirvana Collection Krungthep Kreetha) โครงการบ้านเดี่ยวเนอวานา แอปโซลูท เอกมัยรามอินทรา (Nirvana Absolute Ekkamai Ramintra ) โครงการบ้านเดี่ยวเนอวานา แอปโซลูท กรุงเทพกรีฑา (Nirvana Absolute Krungthep Kreetha) โครงการทาว์นโฮมเนอวานา   ดีฟายน์ กรุงเทพกรีฑา(Nirvana Define Krungthep Kreetha) โครงการโฮมออฟฟิศ แอทเวิร์ค เนอวานาทาว์นชิพ (@Work Nirvana Township) โครงการโฮมออฟฟิศ แอทเวิร์ค กรุงเทพกรีฑา (@Work Krungthep Kreetha) โครงการโฮมออฟฟิศ แอทเวิร์ค ร่มเกล้า (@Work Romklao) เดอะโมส คอนโดมิเนียม รัตนาธิเบศร์ (The Most Condominium Rattanathibet) คอนโด สุขุมวิท 23 (Condominium Sukhumvit 23) เดินหน้าพัฒนาทาวน์ชิพ 30,000 ล้าน นายศรศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เนอวานา ยังคงมุ่งเน้นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในย่านกรุงเทพกรีฑาเป็นหลัก เนื่องจากเป็นทำเลของที่อยู่อาศัยในระดับบนที่มีการเติบโตอย่างสูง เปรียบเสมือน “เบเวอร์ลี ฮิลล์ ของกรุงเทพฯ ” ซึ่งถือเป็นทำเลศักยภาพของการอยู่อาศัย สามารถเชื่อมต่อกับถนนหลักเข้าสู่พื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นในได้หลายเส้นทาง เช่น ใช้เส้นทางทางด่วนถนนพระราม 9 สำหรับการเข้าถึงโครงข่ายระบบรางด้วยรถไฟฟ้าสายสีเหลือง และแอร์พอร์ตลิงค์ อีกทั้งยังมีโครงข่ายถนนวงแหวนรอบนอกและมอเตอร์เวย์ ใช้เดินทางไปยังโซนอื่น ๆ ได้อย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ยังอยู่ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ โรงเรียนนานาชาติ โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้าชั้นนำและสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ   โดยบริษัท มีที่ดินอยู่ในบริเวณกรุงเทพกรีฑากว่า 200 ไร่ ในโครงการเนอวานา ทาวน์ชิพ (Nirvana Township) ซึ่งสามารถพัฒนาโครงการได้ 12 โครงการ รวมมูลค่า 30,000 ล้านบาท โดยพัฒนาที่อยู่อาศัยไปแล้ว 3 โครงการ วางแผนพัฒนาในปีนี้อีก 3 โครงการ ประกอบไปด้วย โครงการที่อยู่อาศัยระดับอัลตราลักชัวรี โครงการที่อยู่อาศัยระดับไฮเอนด์ และ พรีเมี่ยมโฮมออฟฟิต พร้อมทั้งยังสร้างไลฟ์สไตล์มอลล์ ที่มีทั้งซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านค้าระดับไฮเอนด์ และสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ บริเวณด้านหน้าโครงการ เพื่อเติมเต็มการอยู่อาศัยที่สมบูรณ์แบบที่สุดในโครงการเนอวานา ทาวน์ชิพแห่งนี้ ซึ่งในอนาคตจะพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเพิ่มอีก 6 โครงการด้วย ในปีที่ผ่านมา เนอวานาให้ความสำคัญกับการรีฟอร์มในหลาย ๆ ด้าน ทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ตอบสนองต่อความต้องการของผู้ซื้อบ้านให้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีการซื้อที่ดินใหม่เข้ามาเป็นแลนด์แบงก์สำหรับพัฒนาโครงการในอนาคต โดยในปี 2565 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้นเท่ากับ 2,569 ล้านบาท และยอดขายรวม 3,260 ล้านบาท ซึ่ง 87% ของยอดขายมาจากบ้านแนวราบและ 13% มาจากคอนโด มีการเปิดตัวโครงการใหม่ 2 โครงการ คือ เนอวานา แอปโซลูท บางนา (Nirvana Absolute Bang Na) และเนอวานา ดีฟายน์ เอกมัย-รามอินทรา (Nirvana Define Ekkamai-Ramintra) ซึ่งสามารถทำยอดขายรวมกันได้ 720 ล้านบาท ในเวลาเพียง 2 สัปดาห์  ทำให้ปีนี้บริษัทมีโครงการออกมาขายและทำตลาดรวมมูลค่า 33,100 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -โฮมออฟฟิศติดรถไฟฟ้า ใกล้ทางด่วน Nirvana @WORK-เนอวานาแอทเวิร์ค : รีวิวโฮมออฟฟิศ -เนอวานา จับมือ คริสตี้ส์ ขายโครงการ “Banyan Tree Residence Riverside Bangkok” ให้กลุ่มเอ-ลิสต์ทั่วโลก
เอพี ไทยแลนด์  เผยผลงานปี 65 ทำรายได้ 49,388 ล้าน  พร้อมกวาดกำไรเติบโตกว่า 23%  

เอพี ไทยแลนด์ เผยผลงานปี 65 ทำรายได้ 49,388 ล้าน พร้อมกวาดกำไรเติบโตกว่า 23%  

เอพี ไทยแลนด์ เผยรายได้รวม 49,388 ล้าน เติบโตกว่า 23% ทำกำไรสุทธิกว่า 5,870 ล้าน เติบโตสูงกว่า 29% ย้ำเดินตามแผนเปิดตัวดุดันสุดในอุตสาหกรรม มีสัดส่วนหนี้สินต่อทุน NET D/E ต่ำสุดเพียง 0.58 เท่า พร้อมเดินหน้าตามแผน 2023 AP INCLUSIVE GROWTH เปิดตัว 58 โครงการใหม่  ดุดันสุดในอุตสาหกรรม มูลค่ากว่า 77,000 ล้านบาท พร้อมส่งไฮไลต์ประจำไตรมาส 1 กับ THE CITY บ้านโมเดลใหม่ 100 ตารางวา เดินตามเกมชิงแชร์ตลาดบ้านหรู 20 - 50 ล้านบาท นายวิทการ จันทวิมล  รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึง​ผลการดำเนินงานประจำปี 2565 ว่า บริษัทสามารถสร้างรายได้รวมจากสินค้าแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่นๆ ได้สูงถึง 49,388 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ที่มีรายได้รวมเท่ากับ 40,015  ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ     5,876 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.4% จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า ที่มีกำไรสุทธิรวมเท่ากับ 4,543 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนต่ำเพียง 0.58 เท่า   ทั้งนี้ ในไตรมาส 4 ปี 2565 บริษัทสามารถสร้างรายได้รวมจำนวน 11,822 ล้านบาท เติบโต 22% และกำไรสุทธิ 1,154 ล้านบาท เติบโต 16.1% หากเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า   สำหรับคีย์แฟกเตอร์ที่ส่งผลให้ปีที่ผ่านมา บริษัท มีการเติบโตดังกล่าว เป็นเพราะ​ 2 ปัจจัยสำคัญ ได้แก่ โครงการแนวราบพิสูจน์ให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่แข็งแกร่ง และยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในการสร้างรายได้ที่มากถึง 35,605 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 21.8% ธุรกิจคอนโดมิเนียม เริ่มกลับมาสดใสอีกครั้ง โดยปีที่ผ่านมาบริษัทฯ รับรู้รายได้เพิ่มจาก 3 คอนโดมิเนียมใหม่ที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ ได้แก่ LIFE สาทร เซียร์ร่า, RHYTHM เอกมัย เอสเตท และ ASPIRE เอราวัณ ไพร์ม ส่งผลให้ในปีที่ผ่านมาธุรกิจคอนโดมิเนียมสามารถขับเคลื่อนรายได้รวม (100% JV) ได้มากถึง 12,767 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.5% ส่วนแผนธุรกิจปี 2566 บริษัทพร้อมเดิมหน้าตามแผน AP INCLUSIVE GROWTH ที่สุดของปีกับการเติบโตร่วมกัน โดยใช้ความชำนาญที่มีมาสร้างโอกาส และข้อได้เปรียบให้เกิดขึ้นในหลากหลายมิติ ภายใต้ปรัชญาที่ต้องการส่งมอบชีวิตดี ๆ ที่ทุกคนเลือกเองได้ ผ่านการเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 58 โครงการ มูลค่าประมาณ 77,000 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นบ้านเดี่ยว 22 โครงการ มูลค่า 34,800 ล้านบาท ทาวน์โฮม 27 โครงการ มูลค่า 26,400 ล้านบาท คอนโด 4 โครงการ มูลค่า 11,800 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 5 โครงการ มูลค่า 4,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดขาย 58,000 ล้านบาท เป้ารายได้รวม 100% JV ที่ 57,500 ล้านบาท   โดยไฮไลต์ไตรมาสแรกคือ กลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยวกับการรุกเข้ากินแชร์ตลาดบ้านหรู ด้วยการเปิดตัว THE CITY บ้านเดี่ยวโมเดลใหม่ ขนาดพื้นที่ 100 - 127 ตารางวา พื้นที่ใช้สอยประมาณ 386 - 560 ตารางเมตร ใน 3 โครงการใหม่ ได้แก่ THE CITY จรัญฯ-ปิ่นเกล้า จำนวน 58 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,350 ล้านบาท THE CITY ปิ่นเกล้า-บรมฯ 3 จำนวน 68 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,420 ล้านบาท และ THE CITY สุขุมวิท-อ่อนนุช 2 จำนวน 64 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,380 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอพี ไทยแลนด์ ขนบ้าน-คอนโด ขายกว่า 1.65 แสนล้าน ลุยตลาดด้วยแผน INCLUSIVE GROWTH          
[PR News] พฤกษา โฮลดิ้งโชว์ปี 65 กำไรโต 18% เตรียมผุดศูนย์สุขภาพ

[PR News] พฤกษา โฮลดิ้งโชว์ปี 65 กำไรโต 18% เตรียมผุดศูนย์สุขภาพ

พฤกษา โฮลดิ้ง โชว์ปี 65  ทำกำไรสุทธิ 2,772 ล้านบาท โต 18% มีรายได้ 28,640 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 64 ขณะที่รายได้จากวิมุตเติบโตอย่างก้าวกระโดดเพิ่มขึ้น 4.7 เท่า พร้อมวางแผนเปิดศูนย์สุขภาพแห่งใหม่ มอบบริการครอบคลุมทุกมุมเมือง   นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยผลการดำเนินงานในปี 2565 ว่า พฤกษา โฮลดิ้ง มีกำไรสุทธิ 2,772 ล้านบาท เติบโต 18% เมื่อเทียบกับปี 2564 โดยมีรายได้ใกล้เคียงกับปี 2564 ที่ 28,640 ล้านบาท หรือ เติบโต 1% สามารถทำกำไรขั้นต้นได้ดีขึ้น 9% สะท้อนถึงการบริหารจัดการต้นทุนของสินค้าและบริการได้ดี จากการนำวิศวกรรมคุณค่ามาใช้ (Value Engineering) ทั้งเรื่องการพัฒนาใช้แผ่นพื้นคอนกรีตสำเร็จรูปชนิดมีรูกลวง (Hollow Core) การออกแบบคานคอดิน (Ground Beam) และการเชื่อมซีเมนต์ (Cement Jointing) แบบใหม่ในขั้นตอนการก่อสร้าง รวมถึงการนำเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) เข้ามาใช้เพื่อลดต้นทุนการก่อสร้าง จากปริมาณการใช้ซีเมนต์ที่ลดลง พร้อมกับลดค่าขนส่งและจำนวนชั่วโมงการทำงานที่ลดลงด้วย   ปีที่ผ่านมาพฤกษามุ่งเพิ่มสัดส่วนการสร้างรายได้ประจำต่อเนื่อง (Recurring Income) เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว จึงได้มีการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในธุรกิจใหม่ต่อเนื่องตลอดทั้งปี อาทิ การตั้งกองทุน Corporate Venture 3,500 ล้านบาท เพื่อลงทุนใน Prop Tech, Health Tech และ Sustainable Tech  และล่าสุดได้ร่วมกับแคปปิตอลแลนด์ อินเวสเม้นท์ กรุ๊ป  และ  แอลลี่ โลจิสติกส์ พร็อพเพอร์ตี้  จัดตั้งกองทุน “CapitaLand SEA Logistics Fund” ตั้งเป้ามูลค่าอสังหาริมทรัพย์โลจิสติกส์ภายใต้การจัดการ 1,000 ล้านเหรียญสิงคโปร์ เป็นต้น   ในขณะที่สถานะทางการเงินของพฤกษายังคงแข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนเงินกู้ยืมต่อหุ้นทุนสุทธิ (Net Gearing Ratio) อยู่ในระดับต่ำที่ 0.22 เท่า และจากผลการดำเนินงานในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถประกาศจ่ายเงินปันผลเท่ากับ 65 สตางค์ รวมเงินปันระหว่างกาลแล้วจ่ายทั้งสิ้นเท่ากับ 96 สตางค์ กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) ที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันที่ 10 มี.ค. โดยจะนำเสนอขออนุมัติต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นในเดือนเมษายน 2565 มีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนเท่ากับ 7.4% และกำหนดจ่ายเงินปันผลวันที่ 19 พ.ค.นี้   สำหรับปี 2566 คาดการณ์รายได้รวมของทั้งกลุ่มประมาณ 30,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 5% เมื่อเทียบจากปี 2565 โดยคาดว่าจะได้รับแรงสนับสนุนมาจากธุรกิจอสังหาฯ ที่จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 23 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 23,500 ล้านบาท และยังมีแผนการลงทุนในธุรกิจใหม่อีกราว 6,000 ล้านบาทด้วย ซึ่งการลงทุนในธุรกิจใหม่จะเริ่มมีความชัดเจน ทั้งธุรกิจโลจิสติกส์ รวมถึงการปรับโครงสร้างของธุรกิจพรีคาสท์ที่คาดว่าจะมีรายได้ขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามแผนงานการสร้างความยั่งยืนแก่องค์กรต่อไป ด้านนายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า ปี 2565 พฤกษาทำรายได้ 27,191 ล้านบาท เปิดโครงการใหม่รวม 19 โครงการ มูลค่า 11,100 ล้านบาท และในปี 2566 วางกลยุทธ์เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้พอร์ตโฟลิโอ (Portfolio)  มีแผนเปิดโครงการใหม่ 23 โครงการ แบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว  8 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 11 โครงการ และ คอนโดมิเนียม 4 โครงการ  รวมมูลค่าทั้งหมดราว 23,500 ล้านบาท มุ่งเพิ่มกลุ่มสินค้าที่จับกลุ่มลูกค้าในเซ็กเม้นต์ระดับกลางไปสูง โดยมีแผนเปิดบ้านเดี่ยวพรีเมียมถึง 3 โครงการ ได้แก่  เดอะปาล์มวัชรพล เดอะปาล์ม บางนาวงแหวน และ เดอะปาล์มพัฒนาการ  พร้อมมุ่งบริหารสินทรัพย์ที่มีในมือ โดยมีที่อยู่อาศัยโครงการปัจจุบันที่ยังเปิดขายอยู่ทั่วประเทศ รวมมูลค่าราว 69,900 ล้านบาท 158 โครงการ   ปี 2566 บริษัทตั้งเป้ายอดขายที่ 24,000 ล้านบาท และตั้งเป้ายอดโอนที่  28,000 ล้านบาท  มุ่งสร้างคุณค่าเพิ่มเพื่อลูกค้า (Customer Value) ด้วยการพัฒนาลิฟวิ่งโซลูชั่น (Living Solution) รองรับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปตามเมกะเทรนด์ของโลก โดยคำนึงถึงการสร้างความยั่งยืน (Sustainability) อย่างต่อเนื่อง และในปีนี้ มีแผนการซื้อที่ดินราว 5,000 ล้านบาท มุ่งเน้นทำเลที่มีศักยภาพเพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ในระดับพรีเมียมเพิ่มขึ้น และมุ่งผสานความร่วมมือระหว่างธุรกิจในเครือพฤกษาทั้งธุรกิจด้านสุขภาพ และธุรกิจอื่นในเครือที่กำลังจะเปิดตัวในปีนี้ด้วย ส่วนนายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โรงพยาบาลวิมุต โฮลดิ้ง จำกัด เปิดเผยผลการดำเนินงานปี 2565 ว่า วิมุตทำรายได้เติบโตแบบก้าวกระโดด 1,340 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 4.7 เท่า จากปี 2564  ซึ่ง 80% เป็นรายได้ที่ไม่เกี่ยวข้องกับโรคโควิด-19  แม้ว่ารายได้จากโรคที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ลดลงในปีที่ผ่านมา แต่สามารถทำรายได้เพิ่มขึ้น จากการขยายเครือข่ายระบบนิเวศ หรือ Ecosystem ของโรงพยาบาล ได้แก่ เวลเนสต์ เซ็นเตอร์ บ้านหมอวิมุต โรงพยาบาลเทพธารินทร์ บริการผ่านดิจิตัลแพลท์ฟอร์ม ทั้งแอพพลิเคชั่น  เทเลเมดิซีน ไปจนถึงความร่วมมือกับพันธมิตรต่าง ๆ เสริมทัพด้วยรายได้จากโรงพยาบาลเทพธารินทร์ ที่มีผลการดำเนินงานดีขึ้นด้วย ประกอบกับปีที่ผานมาวิมุตสร้างความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ต่างชาติ ทำให้จำนวนผู้ป่วยต่างชาติที่มาใช้บริการที่โรงพยาบาลมีจำนวนสูงขึ้น 3.2 เท่าด้วย  ในปี 2566 ทางกลุ่มมีแผนการลงทุนราว 2,500 ล้านบาท   มุ่งเน้นการสร้างและเปิดศูนย์สุขภาพ (Health Center) เพิ่มอีก 3 แห่ง และเตรียมงานพัฒนาโรงพยาบาลวิมุตที่ปิ่นเกล้า   นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมา พฤกษายังได้รับรางวัลเกียรติยศการันตีผลการดำเนินงานจากเวทีระดับนานาชาติ และระดับประเทศหลายแห่ง อาทิ รางวัลจากเวทีระดับอินเตอร์ ได้แก่ รางวัล 3G Excellence in Sustainable Development Award 2022 รางวัล 3G CSR Leadership Award 2022 และรางวัลระดับประเทศ ได้แก่ “รางวัลองค์กรโปร่งใส ครั้งที่ 10” จากสำนักคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)  รางวัล Thailand Top Company Awards รางวัล BCI Asia Top 10 Developers Awards และ รางวัล FINALIST ของกลุ่มรางวัล BEST BRAND PERFORMANCE ON SOCIAL MEDIA เป็นต้น
[PR News] เอสซีจี X เอสซี แอสเสท​ ติด Active AIR Quality บ้าน 1,000 ยูนิต​

[PR News] เอสซีจี X เอสซี แอสเสท​ ติด Active AIR Quality บ้าน 1,000 ยูนิต​

เอสซีจี  จับมือ เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น ติดตั้ง​ SCG Active AIR Quality เครื่องเติมอากาศดีสำหรับบ้านและคอนโด  รับความต้องการและพฤติกรรมที่หลากหลายของผู้บริโภคปัจจุบัน ที่มุ่งเน้นให้ความสนใจในด้านเทคโนโลยีทันสมัยและเรื่องสุขอนามัย  นำร่องติดตั้งเครื่องเติมอากาศดี กว่า 1,000 ยูนิต ภายในปี 2566     นายวชิระชัย คูนำวัฒนา Head of Smart System Solution Business ในธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เอสซีจี เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันเรื่องฝุ่น PM 2.5 ในประเทศไทยกำลังเข้าสู่ขั้นวิกฤต โดยเฉพาะในพื้นที่กรุงเทพมหานครติดอันดับต้น ๆ ของเมืองที่มีมลพิษมากที่สุดของโลก  เอสซีจีได้เล็งเห็นและเข้าใจถึงความสำคัญด้านสุขภาพ และความปลอดภัยของผู้บริโภค ไปสู่การพัฒนาสินค้าเพื่อยกระดับคุณภาพอากาศที่คนเมืองกำลังเผชิญ ด้วยเหตุนี้จึงได้พัฒนาสินค้านวัตกรรม SCG Active AIR Quality เครื่องเติมอากาศดีสำหรับบ้านและคอนโด ภายใต้แนวคิด Clean Air For All ผลักดันโซลูชันเพื่ออากาศสะอาดและคุณภาพชีวิตการอยู่อาศัยที่ดีสำหรับทุกคนในบ้าน โดยในปี 2566 เอสซีจีได้วางกลยุทธ์ให้สินค้านวัตกรรม SCG Active AIR Quality เดินหน้ารุกตลาด Housing Project ให้เครื่องเติมอากาศดีเป็นส่วนสำคัญของบ้าน  ด้วยการจับมือกับ SC Asset ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ของไทย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในการร่วมผลักดันสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับที่พักอาศัย โดยเฉพาะเรื่องคุณภาพอากาศ กับการติดตั้งเครื่องเติมอากาศดีให้กับโครงการบ้าน SC Asset จำนวน 1,000 ยูนิตภายในปีนี้ ซึ่งเอสซีจีมีทีมงาน Smart Living Solution Tech พร้อมร่วมออกแบบระบบ SCG Active AIR Quality ให้เหมาะสมกับงานโครงการแต่ละประเภท   พร้อมกันนี้ เอสซีจียังตั้งเป้าผลักดันยอดขาย SCG Active AIR Quality ที่ 100 ล้านบาทภายในปี 2566 โดยโฟกัสไปยังโครงการบ้าน รวมถึงเจ้าของบ้านทั่วประเทศ ที่ใส่ใจสุขภาพ และความปลอดภัย โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กเล็กในบ้าน กลุ่มเสี่ยงต่อโรคภูมิแพ้ ผู้สูงอายุ และยังรวมไปถึงบ้านที่มีสัตว์เลี้ยงอีกด้วย   สำหรับหลักการทำงานของ SCG Active AIR Quality คือ เติมอากาศดีเข้าบ้าน เป็นหลักการที่ช่วยให้เกิดอากาศกหมุนเวียนที่ดีอยู่ตลอดเวลา โดยอากาศใหม่นี้จะมีคุณภาพดีตั้งแต่แรกจากตัวกรอง 5 ชั้น เริ่มจากการกรองฝุ่น PM 2.5 กรองและกำจัดเชื้อโรค ไวรัส แบคทีเรีย รวมถึงไวรัสโคโรน่า สาเหตุของโรคโควิด-19 ได้ 99%   หลังจากนั้น สร้างอากาศแรงดันบวกภายในห้อง จากการที่มีอากาศสะสมภายในห้องมากขึ้น จึงเกิดเป็นแรงดันบวก หรือ Positive Pressure (กรณีในพื้นที่ปิด) ที่จะดันอากาศเสียสะสม มลภาวะ ฝุ่น เชื้อโรคที่ตกค้างในอากาศออกสู่ภายนอก จึงทำให้อากาศภายในห้องเป็นอากาศคุณภาพดีตลอดเวลา  เมื่ออากาศที่เข้าสู่ตัวบ้านมีคุณภาพดี จะเป็นการเติมออกซิเจนให้กับตัวบ้าน ช่วยลดปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอากาศที่เกิดจากการสะสมภายในห้องลดลงได้ถึง 70% ภายใน 1 ชั่วโมงอีกด้วย ด้านนายดิเรก ตยาคี Head of Tech Solutions บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC Asset กล่าวว่า ปัจจุบันเทรนด์และพฤติกรรมของผู้บริโภคมีความหลากหลายมากขึ้น มองหาสิ่งที่มาตอบโจทย์แตกต่างกัน สำหรับ SC Asset เราพัฒนาสินค้าและบริการแบบยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง (Human Centric) จึงมีการออกแบบดีไซน์ที่อยู่อาศัยเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอย่างตรงจุด อีกทั้งยังได้วางกลยุทธ์เพื่อพัฒนาในส่วนดังกล่าวอย่างใกล้ชิด   โดยจัดตั้งทีมเฉพาะ Design Core Team  ไปพร้อม ๆ กับการวางคอนเซปท์ H .O. U. S. E. S คือให้ความสำคัญต่อด้านดีไซน์และการอยู่อาศัย (H : Home is Everything) การเลือกใช้วัสดุคุณภาพ (O : Old) การใส่ใจในเรื่องสุขภาพ (U : Unhealthy) ความปลอดภัย (S : Safety) การดูแลรักษา (E : Expense) ตลอดจนด้านสินค้าและบริการของ SC Asset ต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (S : Scero House)   ในด้านพฤติกรรมและความสนใจของกลุ่มเป้าหมายส่วนใหญ่ในประเภทบ้านเดี่ยว ของปี 2566 อันดับต้น ๆ คือ ความต้องการด้านนวัตกรรมจัดการคุณภาพอากาศ มากถึง 83% รองลงมา Smart Home ด้านความปลอดภัย 75% และ ด้านความสะดวกสบาย 66% จะเห็นได้ว่ากลุ่มเป้าหมายปัจจุบันมองหาด้านเทคโนโลยีเพื่อตอบโจทย์ทุกมิติในชีวิตประจำวัน   สำหรับปี 2566 ทาง SC Asset ได้วางเป้าหมายติดตั้งเครื่องเติมอากาศดีสำหรับบ้านและคอนโด กว่า 1,000 ยูนิต ปัจจุบันนำร่องติดตั้งไปแล้ว จำนวน 8 โครงการแนวราบ 106 ยูนิต เพื่อส่งมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยและคุณภาพอากาศที่ดีในบ้านให้กับผู้บริโภค   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอสซีจี ลุย 2 ธุรกิจ “ให้คำปรึกษา-งานระบบอาคารแบบครบวงจร” รับเทรนด์ Well-being -เอสซี แอสเสท ชู 3 ยุทธศาสตร์  ปั้นรายได้แสนล้าน ประเดิมปี 65 ลุยเปิด 27 โปรเจ็กต์ใหม่
[PR News] เสนาเจ จับมือ NEC  พลิกโฉม “Smart Living Community”

[PR News] เสนาเจ จับมือ NEC พลิกโฉม “Smart Living Community”

เสนาเจ จับมือบิ๊กด้านไอทีจากญี่ปุ่น NEC Thailand ปั้นแพลตฟอร์มใหม่เพื่อที่อยู่อาศัย  พร้อมลงดีเทลโซลูชั่นด้านเซอร์วิส ตอบโจทย์ดิจิทัลไลฟ์สไตล์รอบด้าน สร้าง “Smart Living Community” เดินหน้าขยายฐานลูกค้าของทั้งสององค์กรสู่กลุ่มใหม่และเพื่อตอบโจทย์ธุรกิจสู่ความยั่งยืน   ผศ.ดร. เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เสนา เจ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ SENAJ เปิดเผยว่า ปี 2566 ถือว่าเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงของทางเสนาเจ ซึ่งจะยกระดับ มาพร้อมกับการให้บริการในเรื่องเกี่ยวกับสภาพแวดล้อม พลังงาน สุขภาพ และลดความเหลื่อมล้ำในทุกมิติของสังคม รวมถึงผลกระทบของภาวะโลกร้อน ซึ่งนับวันเป็นปัญหาที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น แม้เป็นเรื่องค่อนข้างใหม่สำหรับประเทศไทย แต่เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากเพราะเกี่ยวข้องกับการพัฒนาธุรกิจไปสู่ความยั่งยืน ทั้งหมดทั้งมวลล้วนทำให้บริบทของชีวิตและพฤติกรรมของคนเปลี่ยนไป ก่อให้เกิด Mega Trend ต่างๆ ที่เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาธุรกิจ เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายเชิงสังคม (Social Challenge) และเรื่องของวิกฤตสิ่งแวดล้อม (Environmental Crisis)   อย่างไรก็ดี เสนาเจ มุ่งมั่นสร้างสรรค์พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และการขยายบริการด้านที่อยู่อาศัยอย่างครอบคลุมและคุ้มค่า โดยมุ่งตอบโจทย์ New  Mega Trends ของโลก เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตด้วยความละเอียดใส่ใจ โดยแกนหลักเสนาเจ ให้ความสำคัญด้านความปลอดภัย(Safety) ,ความสะดวกสบาย (Convenience),ด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Heath care and wellbeing), โดยยึดหลักการดำเนินธุรกิจสู่ความยั่งยืน และปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ใหม่ให้กับการใช้ชีวิตที่จะช่วยกันลดการปล่อยคาร์บอน (Decarbonization lifestyle) ในรูปแบบของการนำเทคโนโลยีเข้าปรับใช้เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้า โดยเฉพาะบริการที่เกี่ยวกับการอยู่อาศัยให้ตอบโจทย์ทุกมิติของการใช้ชีวิต   SENAJ ร่วมกันกับทาง บริษัท เอ็นอีซี คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด หรือ NEC Thailand ที่ปรึกษาเทคโนโลยีด้านไอที บริษัทชั้นนำระดับโลกที่มีความเชี่ยวชาญมากกว่า 100 ปี ด้านนวัตกรรมเทคโนโลยีและการสื่อสารอย่างครบวงจร ร่วมพัฒนาแพลตฟอร์ม “Smart Living Community” ผ่าน Application ที่จะมาเพิ่มความสะดวกสบายให้กับลูกค้าและลูกบ้าน ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Smart Living and Health Care Solutions”   ความร่วมมือกันของทั้งสององค์กรในครั้งนี้ ถือเป็นการขยายโอกาสและเสริมฐานลูกค้าทางธุรกิจให้กันและกัน พร้อมเปิดมิติใหม่ของการอยู่อาศัยให้กับลูกบ้านเสนาด้วย   ด้านนายอิชิโร่ คูริฮารา ประธาน บริษัท เอ็นอีซี คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด หรือ NEC  Thailand กล่าวเพิ่มว่า NEC Thailand มีแนวความคิดร่วมกันกับ SENAJ ในเรื่อง Society Serve เพื่อให้ผู้คนได้มีสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อให้บรรลุเป้าหมายนี้สำหรับสังคมของเราในอนาคต เราเชื่อว่าการสร้างสรรค์ร่วมกับลูกค้าและผู้มีส่วนร่วมอื่น ๆ เป็นสิ่งจำเป็น และเรายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ก้าวแรกกับ SENAJ ด้วยเทคโนโลยี และนวัตกรรมและประสบการณ์ของเรา เรามุ่งมั่นที่จะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับ SENAJ เพื่อพัฒนาโซลูชั่นที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการทางสังคม เพื่อให้คนในสังคมของเรามีมาตรฐานการครองชีพที่สูงขึ้น NEC Thailand วางแผนที่จะพัฒนาโซลูชั่นการใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาดมากขึ้นเพื่อตอบสนองความต้องการที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาของสังคม   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เสนาฯ เปิดโมเดล​ บ้านพลังงานเป็นศูนย์ เดินหน้าสู่บริษัท ด้านความยั่งยืน
9 คำถามบ่อย ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน ใช้ลดหย่อนภาษียังไง​?

9 คำถามบ่อย ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน ใช้ลดหย่อนภาษียังไง​?

ลดหย่อนภาษี ตอนนี้ก็ถึงฤดูกาลเสียภาษีประจำปี 2565 กันแล้ว ซึ่งกรมสรรพากรให้ทุกคนที่มีรายได้ สามารถนำเอาค่าใช้จ่ายต่าง ๆ มาเป็นค่าลดหย่อนภาษีได้ ซึ่งมีหลายประเภทด้วยกัน หนึ่งในนั้น คือ ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน แต่หลายคนก็มักจะมีคำถามที่สงสัยว่าจะเอามาคิดค่าลดหย่อนได้ยังไง และเท่าไรกันบ้าง วันนี้ Reviewyourliving รวบรวมคำถามและคำตอบมาให้แล้ว กับ ​9 คำถามบ่อย ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน ใช้ลดหย่อนภาษียังไง​? 1.กู้ซื้อบ้านแบบไหน ลดหย่อนภาษี ได้บ้าง? การกู้ซื้อบ้านกับสถาบันการเงิน หรือกู้เพื่อปลูกสร้างบ้าน เพื่ออยู่อาศัยทุกประเภท นำดอกเบี้ยที่เกิดจากการกู้มาใช้เป็นค่าลดหย่อนภาษี ได้ตามจำนวนเงินที่จ่ายจริง แต่ลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท การกู้เงินเพื่อปลูกสร้างบ้านเอง บนที่ดินของตนเอง หรือที่ดินของคนอื่น เช่น ของบิดา หรือมารดา ที่มีการให้ความยินยอมในการปลูกสร้าง  นำเอาดอกเบี้ยเงินกู้ดังกล่าวมาใช้เป็นค่าลดหย่อนได้ตามเกณฑ์ที่กำหนด 2.กู้ซื้อบ้านลดหย่อนได้เท่าไร? ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน สามารถนำมาใช้เป็นค่าลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง ตลอดปี 2565  แต่สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท 3.ต้องกู้เงินกับแบงก์ ถึงจะลดหย่อนได้ใช่ไหม? ไม่ใช่ เพราะความจริงแล้ว การกู้เงินซื้อที่อยู่อาศัย ไม่จำเป็นต้องกู้กับธนาคารเท่านั้น สามารถกู้กับหน่วยงานหรือผู้ประกอบการอื่น ๆ ที่อยู่ในประเทศไทย และตามที่กรมสรรพากรรับรอง มีดังนี้ บริษัทตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน บริษัทประกันชีวิต สหกรณ์ นายจ้างที่จะมีกองทุนจัดสรรไว้สำหรับลูกจ้าง บรรษัทตลาดรองสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 4.กู้ซื้อบ้านมากกว่า 1 หลัง ลดหย่อนได้เท่าไร​ ถ้ากู้ซื้อบ้านมากกว่า 1 หลัง ให้เอาดอกเบี้ยที่จ่ายไปจริงในทุกหลังมาคิดรวมกัน โดยลดหย่อนตามเกณฑ์ คือ ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่รวมแล้วไม่เกิน 100,000 บาท 5.กู้ร่วมหลายคน​ ลดหย่อนได้เท่าไร? ตามที่จ่ายตามจริง โดยหารตามจำนวนผู้กู้ร่วม แต่รวมกันทุกคนได้ไม่เกิน 100,000 บาท  เช่น กู้ร่วมกับพี่น้อง รวมทั้งหมด 4 คน ในปีนี้เสียดอกเบี้ย 120,000 บาท ซึ่งตามหลักการแล้วลดหย่อนได้สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท ดังนั้น ต้องเอาดอกเบี้ยมาคิดแค่ 100,000 บาท แล้วหาร 4 คน ทำให้แต่ละคนมีสัดส่วนค่าลดหย่อนคนละ 25,000 บาทเท่านั้น ​ 6.สามีหรือภรรยา คิดค่าลดหย่อนยังไง? กรณีที่จดทะเบียนสมรส ไม่ว่าจะจดมาก่อนหน้าที่จะซื้อ หรือระหว่างปีภาษี มีหลักเกณฑ์ในการคิดค่าลดหย่อนภาษี ดังนี้ กู้ร่วมกัน ยื่นภาษีคนเดียว จ่ายตามจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท กู้ร่วมกัน ยื่นภาษีสองคน จ่ายตาม​จริงคนละครึ่ง แต่รวมกันไม่เกิน 100,000 บาท 7.จ่ายดอกเบี้ยไม่ครบ 1 ปี ลดหย่อนได้เท่าไร เริ่มตั้งแต่วันที่จ่ายจนถึงสิ้นปี ตามที่จ่ายจริง ​สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท  เช่น เริ่มกู้ซื้อบ้าน และเริ่มผ่อนชำระเดือนสิงหาคม ก็จะนำเอาดอกเบี้ยที่จ่ายไปตั้งแต่เดือนสิงหาคมถึงธันวาคม มาใช้เป็นส่วนลดหย่อน 8.บ้านที่รีไฟแนนซ์ ลดหย่อนได้ไหม? สามารถนำดอกเบี้ยมาใช้เป็นค่าลดหย่อนปกติ แต่ต้องวงเงินหนี้เท่าเดิม ไม่มีการกู้เงินเพิ่ม มีหลักคิดเช่นเดียวกันการกู้เงินซื้อที่อยู่อาศัยทั่วไป คือ ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่สูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท 9.ใช้เอกสารอะไรบ้าง? เอกสารที่ต้องเตรียมมี 2 อย่าง คือ สำเนาสัญญากู้ยืมเงิน และหนังสือรับรองหลักฐานการจ่ายดอกเบี้ยจากสถาบันการเงินหรือหน่วยงานที่กู้ ​   ทั้งหมดนี้ คือ ข้อสงสัย และข้อข้องใจของใครหลายคน เกี่ยวกับการนำเอาดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน มาใช้เป็นค่าลดหย่อนภาษีประจำปี หวังว่าการทุกท่านจะสามารถยื่นภาษีเงินได้ประจำปี 2565 ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และทันกำหนดเวลาที่กรมสรรพากรกำหนดไว้ ที่สำคัญสามารถยื่นได้ง่าย ๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ เว็บไซต์ของกรมสรรพากร ใครจะยื่นไปได้เลยที่นี่ https://www.rd.go.th/272.html   ที่มา : กรมสรรพากร, ธนาคารอาคารสงเคราะห์, ธนาคารทีทีบี, REIC   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนมกราคม 2566 -อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนมกราคม 2566 แบงก์ไหนให้ดอกต่ำสุด
8 บทสรุปแผนธุรกิจอนันดา ปี 66  ขนสต็อกคอนโด 45,000 ล้านขายต่างชาติ

8 บทสรุปแผนธุรกิจอนันดา ปี 66 ขนสต็อกคอนโด 45,000 ล้านขายต่างชาติ

อนันดา วางแผนธุรกิจปี 66 เตรียมขนสต็อกคอนโด 30 ทำเลทั่วกรุงเทพฯ​ มูลค่ากว่า 45,000 ล้านให้เอเย่นต์ทั่วโลกกว่า 224 รายออกขายต่างชาติ พร้อมมั่นใจทำยอดรับรู้รายได้ 14,500 ล้าน ขณะที่สต็อกโปรเจ็กต์ แอซตันอโศก 1,000 ล้าน ลูกค้าไทยและต่างชาติรอซื้อหลังคดีสิ้นสุด   ได้ฤกษ์เปิดแถลงข่าวแผนธุรกิจประจำปี 2566 ของบริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ANAN แล้วในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ หลังจากที่ดีเวลลอปเปอร์หลายราย ประกาศแผนธุรกิจกันไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยครั้งนี้ นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดาฯ ​และนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ออกมาร่วมแถลงข่าวแผนธุรกิจ โดยมีข้อสรุปดังนี้ 1.รับรุ้รายได้จากธุรกิจ Serviced Apartment ในปี 2566 นี้ มั่นใจว่าจะสามารถสร้างรายได้ประจำ อย่างต่อเนื่อง จาก ธุรกิจ Serviced Apartment ให้กับบริษัทในทุกทำเล ซึ่งเปิดให้บริการเต็มรูปแบบทั้ง 5 โครงการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว (โครงการซัมเมอร์เซ็ต พระราม 9 / โครงการแอสคอทท์ ทองหล่อ บางกอก / โครงการแอสคอทท์ เอ็มบาสซี สาทร / โครงการไลฟ์ สุขุมวิท 8 บางกอก / โครงการซัมเมอร์เซ็ต พัทยา) ด้วยปัจจัยบวกโดยตรงจากการเปิดประเทศต่างๆ ซึ่งประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพและพัทยา ก็เป็นเมืองที่นักท่องเที่ยวให้ความสนใจอยู่ในระดับต้นๆ ของโลก 2.มีแผนเปิดตัว Business Line ใหม่ โดยจะดำเนินงานในรูปแบบของ Professional Services and Management Consultancy รับดำเนินงานบริหาร และพัฒนาโครงการอสังหาฯ แบบ Total Solutions ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างการเจรจาข้อตกลงขั้นสุดท้าย กับบริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เพื่อบริหารและพัฒนาโครงการแรกบนทำเล Prime Area บริเวณสุขุมวิท 38 (ใกล้รถไฟฟ้าบีทีเอส สถานีทองหล่อ) ซึ่งจะเป็นโครงการในรูปแบบ Mix Used ที่ประกอบด้วยคอนโดมิเนียม เซอร์วิสอพาร์ทเม้นท์ และ Food and Beverages โดยในอนาคตอันใกล้คาดว่าจะมีความร่วมมือในโครงการอื่น ๆ ลักษณะเดียวกันนี้ทั้งกับทางแรบบิท โฮลดิ้งส์ และพันธมิตรรายอื่น ๆ ต่อไป 3.วางแผนพัฒนาด้าน Tech Education ด้วยการจัดตั้ง The Master Academy (TMA) ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์ที่จะสร้างทักษะและเสริมความคิดในทางธุรกิจผนวกกับเทคโนโลยีดิจิตอล โดยเริ่มจากการ upskill / reskill โครงการดังกล่าวเป็นความร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเพื่อเปิดตัวหลักสูตร The Data Master ทำหน้าที่ผลิตนักวิทยาศาสตร์ด้านข้อมูลหรือ Data 4.ขนสต็อกคอนโด 45,000 ล้านขายต่างชาติ วางแผนรองรับการกลับมาของตลาดอสังหาฯ และดีมานด์ของลูกค้าทั้งในประเทศและต่างชาติ  โดยการนำเสนอสินค้าพร้อมอยู่พร้อมโอน ซึ่งเตรียมนำสต็อกคอนโด ที่มีอยู่ใน 30 ทำเล ทั่วกรุงเทพฯ มู​ลค่าประมาณ 45,000 ล้านบาท นำมาขายให้กับชาวต่างชาติ เป็นการรองรับกับเทรนด์การเปิดประเทศ ผ่านเอเย่นต์ที่มีอยู่ 224 รายทั่วโลก และมี 25 เอเย่นต์ที่เป็นฟรีแลนซ์ ปัจจุบันลูกค้าชาวต่างชาติหลักของอนันดา เป็นชาวจีน ฮ่องกง ไต้หวัน และเมียนมาร์   สำหรับสต็อกโครงการคอนโด ที่มีอยู่ของอนันดา แบ่งตามพอร์ต​ เป็นโครงการที่เป็น RTM (READY TO MOVE) มูลค่า 34,880 ล้านบาท โครงการที่จะสร้างเสร็จ ในปีนี้  มูลค่า 10,012 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้ายอดรับรู้รายได้ 14,500 ล้านบาท  เติบโต 20% จากปีที่ผ่านมา เป้ายอดขาย 18,000 ล้านบาท  โดยอนันดาวางแผนการทำการตลาดในรูปแบบของ ANANDA URBAN CARAVAN ตลอดทั้งปี 5.เดินหน้าขายคอนโดแอซตัน อโศก เตรียมนำสต็อกคอนโด โครงการแอชตัน อโศก มูลค่า 800 ล้านบาท ปัจจุบันมูลค่าเพิ่มเป็น 1,000 ล้านบาท เตรียมออกมาขาย โดยอนันดาแจ้งว่ามีลูกค้ารอซื้ออยู่แล้วทั้งชาวไทยและต่างชาติ เพียงแต่รอคำสั่งศาลปกครอง ที่คาดว่าจะสรุปได้ภายในปีนี้ หากชนะคดีก็จะสามารถนำโครงการที่เหลือขายออกมาได้ทั้งหมด 6.เปิด 2 โครงการ มูลค่า 14,600 ล้านบาท 1.โครงการ ไอดีโอ พหล – สะพานควาย มูลค่าประมาณ 8,100 ล้านบาท หลังจากเลื่อนเปิดมา 3 ครั้งตั้งแต่ปี 2562 ซึ่งเดิมจะใช้ชื่อโครงการ ไอดีโอ คิว พหล-สะพานควาย มูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท มีราคาขายประมาณ 189,000 บาทต่อตารางเมตร แต่การเปิดตัวใหม่จะปรับราคาลงมาเหลือตารางเมตรละกว่า 100,000 บาท พร้อมปรับ Design Concept ใหม่ กับห้อง Hybrid New Series 2.โครงการ New Branded Residence ซอยสุขุมวิท 38 มูลค่าโครงการประมาณ 6,500 ล้านบาท ซึ่งจะร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลก (World Class Partner) ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่เปิดเผยไม่ได้ ถือได้ว่า จะเป็นที่สุดของความร่วมมือในการพัฒนาโครงการในรูปแบบ Branded Residence ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประเทศไทย ซึ่งจะเปิดขายในระดับราคา 250,000 บาทต่อตารางเมตร หรือต่อยูนิต 150-300 ล้านบาท 7.เตรียมงบซื้อที่ดิน 7,100 ล้านบาท เพื่อใช้ในการพัฒนาโครงการในอนาคต สำหรับแผนลงทุนในอนาคต 10 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 21,200 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการแนวราบ จำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 7,200 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียม จำนวน 4 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 10,000 ล้านบาท และธุรกิจ Serviced Apartments จำนวน 2 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,000 ล้านบาท โดยทั้งหมดคาดว่าจะเป็นโครงการร่วมทุน (JV) 8.ขยายไลน์ธุรกิจใหม่ สู่ APSMC เตรียมขยายไลน์ธุรกิจใหม่ สู่ APSMC(Ananda Professional Services and Management Consultancy) ในแบบ Total Solutions และเตรียมออกหุ้นกู้มูลค่า 5,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคตตามแผนที่วางไว้   ทั้งหมดนี้ คือแผนธุรกิจที่อนันดา เตรียมทำในปีนี้ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายรับรู้รายได้ 14,500 ล้านบาท พร้อมกลับมาทำกำไรในปีนี้ ส่วนผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไรติดตามข้อมูลได้ต่อเนื่องกับ Reviewyourliving   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -อนันดาฯ ขน 3 แบรนด์ใหม่ บ้าน-คอนโด รุกตลาด Q4 สร้างยอด 6,000 ล้าน -ถอดคำแถลงฯ CEO อนันดา กรณี ASHTON Asoke  
เอพี ไทยแลนด์  ขนบ้าน-คอนโด ขายกว่า 1.65 แสนล้าน  ลุยตลาดด้วยแผน INCLUSIVE GROWTH

เอพี ไทยแลนด์ ขนบ้าน-คอนโด ขายกว่า 1.65 แสนล้าน ลุยตลาดด้วยแผน INCLUSIVE GROWTH

เอพี ไทยแลนด์ ขนบ้าน-คอนโด มาขายในปี 66 มูลค่ากว่า 165,600 ล้านบาท หลังปีที่ผ่านมาสร้าง 3 สถิติสูงสุดในประวัติการณ์ ทั้งการเปิดตัวโครงการใหม่ ยอดพรีเซลล์ และยอดโอน  พร้อมเดินหน้าเปิดโปรเจ็กต์ใหม่อีก 77,000 ล้านบาท มากสุดในตลาด​ คาดทำยอดขายทะลุ 58,000 ล้านบาท   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยปีนี้ถือว่าเริ่มมีสัญญาณที่ดี หลายธุรกิจเริ่มขยับตัวขึ้น ถึงแม้จะยังต้องเผชิญกับปัจจัยลบด้านอื่นๆ อยู่ แต่เชื่อว่าจากปัจจัยบวกในเรื่องของการท่องเที่ยว และการบริโภคภายในประเทศจะกระตุ้นเซนติเมนต์ที่ดีให้เกิดขึ้น ในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เอง ถ้าดูจากกราฟการเปิดตัวโครงการใหม่ในปีที่ผ่านมา จะเห็นรูปแบบของกราฟที่เริ่มปรับตัวเป็นขาขึ้น สะท้อนได้ถึงภาพตลาดที่เริ่มฟื้นตัวคืนกลับ จึงมั่นใจได้ว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ปีนี้น่าจะสดใสและขับเคลื่อนไปต่อ 3 กลยุทธ์ที่สุดของปีกับการเติบโตร่วมกัน   ท้งนี้ จากปีที่ผ่านมากับการตั้งเป้าให้เป็นที่สุดของปีกับการเดินหน้าฝ่าทุกข้อจำกัด ด้วยแผนธุรกิจที่สร้างความตื่นเต้นและตอกย้ำความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม และในปีนี้บริษัทฯ พร้อมต้อนรับศักราชใหม่กักลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจภายใต้แผน 2023 AP INCLUSIVE GROWTH ที่สุดของปีกับการเติบโตร่วมกัน ด้วยแผนการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ควบคู่ไปกับการขยายภาคธุรกิจ โดยใช้ความชำนาญที่มีมาสร้างโอกาส และข้อได้เปรียบให้เกิดขึ้นในหลากหลายมิติ ภายใต้ปรัชญาที่ต้องการส่งมอบชีวิตดี ๆ ที่ทุกคนเลือกเองได้ โดยจะดำเนินงานผ่าน 3 มิติดังต่อไปนี้ 1.DIVE DEEPER IN PROPERTY BUSINESS ทำงานแบบเจาะลึก เข้มข้นยิ่งขึ้น เพื่อครองความเป็นผู้นำในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย  ผ่าน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจพัฒนาคอนโดมิเนียม กลุ่มธุรกิจพัฒนาบ้านเดี่ยว และกลุ่มธุรกิจพัฒนาทาวน์โฮม โดยปีนี้บริษัทฯ ยังคงตั้งเป้าการทำงานที่ท้าทายตัวเองมากยิ่งขึ้น ด้วยแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ที่มีมูลค่ามากที่สุดในตลาด จำนวน 58 โครงการ มูลค่ากว่า 77,000 ล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 22 โครงการ มูลค่า 34,800 ล้านบาท ทาวน์โฮมจำนวน 27 โครงการ มูลค่า 26,400 ล้านบาท คอนโดมิเนียม 4 โครงการ มูลค่า 11,800 ล้านบาท และโครงการในต่างจังหวัด 5 โครงการ มูลค่า 4,000 ล้านบาท ซึ่งส่งผลให้ทั้งปีเอพีจะมีโครงการพร้อมขายทั้ง กทม. และต่างจังหวัดมากกว่าถึง 192 โครงการ มูลค่ากว่า 165,600 ล้านบาท โดยตั้งเป้ายอดขาย 58,000 ล้านบาท เป้ารายได้รวม 100% JV  ที่ 57,500 ล้านบาท 2.HATCH NEW BUSINESS ต่อยอดความชำนาญในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ด้วยการค้นหาช่องว่างตลาดใหม่ โดยจะนำทรัพยากรที่บริษัทฯ มี ไปบ่มฟักนักคิด นักสร้างสรรค์รุ่นใหม่ เพื่อต่อยอดสร้างสรรค์ธุรกิจใหม่ๆ ที่สามารถนำกลับมาสนับสนุนธุรกิจในระยะยาวแบบองค์รวม ทั้งในมิติธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบใหม่ๆ หรือเพื่อเสริมธุรกิจอื่นๆ ในเครืออย่าง สมาร์ท เซอร์วิส แอนด์  แมเนจเมนท์ (SMART) หรือ บางกอก ซิตี้สมาร์ท (BC) พร็อพเพอร์ตี้โบรกเกอร์แบบครบวงจร เป็นต้น โดยที่ผ่านมา บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการเปิดตัว FitFriend เทรนเนอร์เดลิเวอรี่ ตอบโจทย์เทรนด์ในเรื่องของสุขภาพ ในปีที่ผ่านมา FitFriend มีคนใช้บริการมากกว่า 6,000 คลาส ซึ่งวันนี้ มีเทรนเนอร์อยู่ในระบบมากกว่า 100 คน ซึ่งทุกคนผ่านการรับรองจากสถาบันชั้นนำ และผ่านการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมจึงมั่นใจได้ในมาตรฐานของเทรนเนอร์ที่ไม่ต่างจากการใช้บริการในฟิตเนสชื่อดัง   นอกจากจะให้บริการแก่บุคคลทั่วไปผ่านระบบ Line Official-FitFriend แล้ว วันนี้ FitFirend ยังสเกลอัพไปเป็นอีกหนึ่งเซอร์วิส ภายใต้การบริหารจัดการของสมาร์ท เซอร์วิส แอนด์ แมเนจเมนท์ เพื่อให้บริการแก่ลูกบ้านที่สมาร์ทบริหารจัดการกว่า 370 โครงการอีกด้วย 3.PEOPLE & SOCIAL ร่วมขับเคลื่อนสังคมให้เติบโตไปร่วมกัน ด้วยการสานต่อความตั้งใจที่จะเป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับการพัฒนาศักยภาพ ‘คน’ ด้วยการมอบทักษะแห่งอนาคตแก่ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานในเครือ นิสิต นักศึกษา หรือบัณฑิตผู้พิการ เพื่อสนับสนุนให้ทุกคนมีชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้ ผ่านโครงการเพื่อสังคมต่างๆ ที่ทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็น AP OPEN HOUSE โปรแกรมฝึกงานในฝันของนิสิตนักศึกษาทั่วประเทศ ที่จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 จนได้รับการยอมรับว่าเป็นโปรแกรมการฝึกงานที่ดีที่สุดในประเทศไทย หรือแคมเปญ I AM POWER ที่จัดขึ้น เพื่อเอ็มพาวเวอร์บัณฑิตผู้พิการให้มีโอกาสเข้าถึงทักษะการทำงานใหม่ๆ เจาะแผน Inclusive Growth  ไฮไลท์กลุ่มธุรกิจทาวน์โฮม -ปีที่แล้ว พรีเซลล์ 17,097 ล้านบาท เติบโต 34% จากปีก่อนหน้าที่ทำได้ 12,797 ล้านบาท หากเปรียบเทียบช่วงก่อนเกิดโควิดปี 2562 เติบโตถึง 91%   -สิ่งที่ทำให้ปีที่แล้วเติบโต เป็นเพราะการเปลี่ยนวิธีการทำงานใหม่ ทั้งการพัฒนาโครงการ การพัฒนาสินค้า ภายใต้โจทย์ unlock vertical life แต่ละโครงการจะไม่ได้เห็นเพียงสินค้าประเภทเดียว จะมีความหลากหลายมากขึ้น ทำให้สามารถลูกค้าเลือกบ้านได้ตามความต้องการ   -แผนปีนี้ เปิดทาวน์โฮม 27 โครงการ มูลค่า 26,400 ล้านบาท ครอบคลุมทุกเซ็กเมนต์ ทุกแบรนด์ และทุกระดับราคา ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล   -ปีนี้จะเจาะตลาดบ้านแฝด มีจำนวน 14 โครงการ ทั้งรูปแบบบ้านแฝด 2 ชั้น และ 3 ชั้น ในช่วง 2-3 ปีหลังมีอัตราการเติบโตมาโดยตลอด ปัจจุบันถ้าเป็นบ้านแฝด 3 ชั้น เอพี มีส่วนแบ่งมากกว่า 60% ส่วนบ้านแฝด 2 ชั้น อยู่ในกลุ่มท็อป 3   -นอกจากนี้ ยังจะเน้นการทำตลาดทาวน์โฮมลักชัวรี่ในเมือง ภายใต้แบรนด์บ้านกลางเมือง คาเซ่ โดยจะเปิดในทำเล รัชโยธิน ในไตรมาส 3 ระดับ 25-35 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมาเปิดในทำเลสุขุมวิท 77 ไฮไลท์กลุ่มธุรกิจบ้านเดี่ยว -เปิดโครงการบ้านเดี่ยวมากที่สุด 22 โครงการ มูลค่า 34,800 ล้านบาท ซึ่งมีที่ดินพร้อมแล้วเปิดทั้งหมดแล้ว   -ปีที่ผ่านมาบ้านเดี่ยวมียอดขายจำนวน 20,847 ล้านบาท เติบโต 10% จากปีก่อนหน้าที่ทำได้ 19,019 ล้านบาท   -โอกาสทางการตลาดบ้านเดี่ยวในปีนี้ ตลาดกลุ่มบ้านซูปเปอร์ลักชัวรี่ระดับราคา 20-50 ล้านบาท ที่ปัจจุบันมีผู้เล่นไม่มาก ซึ่งเอพี จะขยายเพิ่มมากขึ้น หลังจากปีที่ผ่านมาได้รับการตอบรับที่ดี  โดยตลาดนี้มีผู้เล่นหลัก ๆ รวมมูลค่าถึง 20,000 ล้านบาท ปีนี้จะเน้นทำตลาดภายใต้แบรนด์บ้านกลางกรุง และ เดอะพาลาซโซ่   -เพิ่มส่วนแบ่งตลาดโมเดิร์นลักชัวรี่ ภายใต้แบรนด์เดอะซิตี้ ด้วยรูปแบบบ้านบนที่ดิน 100 ตร.ว. ไฮไลท์กลุ่มธุรกิจคอนโดมิเนียม -ปีที่ผ่านมากลุ่มคอนโดมียอดขาย 11,400 ล้านบาท เติบโตมากกว่าก่อนหน้า 418%   -ปีนี้ ตลาดคอนโด มองว่า ยอดขายน่าจะดีกว่า 2 ปีที่ผ่านมา เชื่อว่าตลาดกลับมาแล้ว ปัจจัยที่ตัวกระตุ้น คือ สภาพจราจรที่ติดเหมือนเดิม และค่าใช้จ่ายในด้านการเดินทางที่สูงขึ้น   -ความท้าทายของตลาดคอนโดปีนี้ คือ ภาวะดอกเบี้ยสูงขึ้น และการปรับตัวของต้นทุนที่สูงขึ้น ตลาดมีการแข่งขันที่ดุเดือดมากขึ้น   -คอนโดระดับราคา 3-10 ล้านบาท เป็นตลาดหลักของ เอพี   -ปีนี้เปิดตัวโครงการคอนโดใหม่ 4 โครงการ รวมมูลค่า 11,800 ล้านบาท   -พัฒนาคอนโดร่วมทุนกับ มิตซูบิชิเอสเตท ต่อเนื่องในปีนี้อีก 2 โครงการ รวมมูลค่า 8,000 ล้านบาท หลังจากที่ได้ร่วมมือกันมาปีนี้เป็นปีที่ 10 ซึ่งพัฒนาโครงการไปแล้ว 21 โครงการ จำนวน 21,300 ยูนิต รวมมูลค่า 103,300 ล้านบาท ปัจจุบันมีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จจำนวน 16 โครงการ   -มีโครงการพร้อมโอน 4 โครงการมูลค่า 16,200 ล้านบาท บทสรุปความสำเร็จปี 65 -เอพี ไทยแลนด์สามารถสร้างการเติบโตได้ในสินค้าทุกระดับราคา ด้วยอัตราการเติบโตมากถึง 91% กลุ่มระดับราคา 1-2 ล้านบาท เติบโตสูงสุด เกิดจากการทำตลาดของคอนโด 2-3 ล้านบาท การทำตลาดของทาวน์เฮ้าส์ในระดับราคา 3-5 ล้านบาท ส่วนบ้านเดี่ยวตลาดที่เติบโตดีคือระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาท   -ปีที่ผ่านมาเอพีเปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ เป็นการเปิดตัวแบบก้าวกระโดด จาก 19 โครงการ ในปี 2564 มูลค่า 22,540 ล้านบาท มาเป็น 52 โครงการในปี 2565 มูลค่า 63,600 ล้านบาท เติบโต 182%   -ยอดพรีเซลล์มากที่สุดในประวัติการณ์​ ปี 2565 มียอดพรีเซลล์ 50,415 ล้านบาท จากเป้าหมายเดิมที่คาดว่าจะทำได้ 50,000 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 44% จากปี 2564 ที่มีมูลค่า 35,049 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นยอดพรีเซลล์กลุ่มคอนโด 11,440 ล้านบาท และบ้านแนวราบ 38,975 ล้านบาท และเป็นปีที่ยอดพรีเซลล์กลับมาเกินระดับหมื่นล้านบาทในปีแรกหลักเจอโควิด และเป็นปีแรกทุกกลุ่มธุรกิจยอดขายเกินหมื่นล้านบาททั้งหมด   -ยอดโอนคาดว่าจะทำได้มากกว่า 48,000 ล้านบาท เติบโตจากเป้าหมายเดิมที่คาดว่าจะทำได้ 47,000 ล้านบาท     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอพี ไทยแลนด์ รายได้รวม 9 เดือนนิวไฮกว่า 37,560 ล้าน เดินหน้าเปิด 18 โครงการใหม่
เดอะเนสท์  เตรียมโกยรายได้ 2,700 ล้าน  จาก 2 คอนโดพร้อมโอนในปี 66 ​

เดอะเนสท์ เตรียมโกยรายได้ 2,700 ล้าน จาก 2 คอนโดพร้อมโอนในปี 66 ​

เดอะเนสท์ อสังหาฯ ตระกูล “มหากิจศิริ” เตรียมโกยรายได้ปี 66 จำนวน 2,700 ล้าน กับ 2 โครงการคอนโด และบ้านแนวราบ พร้อมเดินหน้าจับมือ KRD ยักษ์อสังหาฯ ญี่ปุ่นเปิดตัว เปิดอีก 2 โครงการใหม่กลุ่มบ้าน Luxury โซนศรีนครินทร์-กรุงเทพกรีฑา รวมมูลค่า 3,900 ล้านบาท   บริษัท เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด  ผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ของตระกูล “มหากิจศิริ” ที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2552 โดยนางสาวอุษณา มหากิจศิริ ลูกสาวของนายประยุทธ มหากิจศิริ ประธานกรรมการกลุ่ม บริษัท พีเอ็ม กรุ๊ป เจ้าของบริษัทไทยน็อคซ์ สเตนเลส และไทย คอปเปอร์ และเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของโรงงานผลิตเนสกาแฟในประเทศไทย   โดยนางสาวอุษณา ยังมีตำแหน่งเป็นประธานกรรมการฝ่ายปฏิบัติการของ PM Group และยังเป็นผู้ดูแลการดำเนินงานของโครงการกอล์ฟขนาดใหญ่ เช่น Mountain Creek Golf Resort, Lakewood Country Club และ Lakewood Links Golf Course อีกทั้งยังดำรงตำแหน่งเป็นคณะกรรมการของบริษัทร่วม บริษัทในเครือ และอีกหลายบริษัทภายใต้กลุ่มบริษัทด้วย นอกจากนี้ ​นางสาวอุษณายังได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในธุรกิจอาหาร เมื่อช่วงในปี 2560 จากการเข้าซื้อกิจการ Pizza Hut ประเทศไทย จากบริษัท Yum International และปัจจุบันเป็นผู้ถือแฟรนไชส์แต่เพียงผู้เดียวของ Pizza Hut ประเทศไทย   สำหรับวงการอสังหาฯ บริษัท เดอะเนสท์ฯ อาจจะยังมีขนาดธุรกิจไม่ใหญ่มากนัก แต่ก็เริ่มขยับการพัฒนาเพิ่มมากขึ้นต่อเนื่องทุกปี และมุ่งเน้นการพัฒนาจับตลาดที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี่ ไม่ว่าจะเป็นโครงการประเภทคอนโดมิเนียม หรือบ้านแนวราบก็ตาม   แผนธุรกิจในปี 2566 เดอะเนสท์ มีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 2 โครงการรวมมูลค่า 3,900 ล้านบาท ที่ร่วมทุนกับบริษัท คันเดน เรียลตี้ แอนด์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด หรือ KRD ได้แก่   1.โครงการ “เอเวียน ศรีนครินทร์-กรุงเทพกรีฑา” (AVIAN Srinakarin-Krungthepkreetha) บ้านเดี่ยว 2 ชั้นตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 42-0-54 ไร่ จำนวน 166 ยูนิต แต่ละยูนิตตั้งอยู่บนเนื้อที่ตั้งแต่ 50.37-111.7 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 230-290 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้น 12.9 ล้านบาท* จะเปิดตัวในเดือนสิงหาคม 2566 มีมูลค่าโครงการประมาณ 2,700 ล้านบาท   2.โครงการ “แอร์รี่ ศรีนครินทร์-สวนหลวง” (AERIE Srinakarin–Suan Luang) บ้านเดี่ยวหรู 3 ชั้น ตั้งอยู่บนเนื้อที่ดินกว่า 9​  ไร่ จำนวน 43 ยูนิต แต่ละยูนิตตั้งอยู่บนเนื้อที่ตั้งแต่ 52.8-74.22 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 313-370 ตารางเมตร ราคาขายเริ่มต้น 22.9 ล้านบาท* จะเปิดตัวในไตรมาส 4 มูลค่าโครงการประมาณ 1,200  ล้านบาท   นอกจากบ้านแนวราบแล้ว ยังมีโครงการคอนโด  ที่อยู่ระหว่างการหาทำเลที่ดินเพื่อการพัฒนาต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นทำเลในเมืองที่มีศักยภาพ แต่ต้องสามารถพัฒนาให้มีราคาที่เข้าถึงได้ง่ายด้วย ขณะที่ปี 2566 จะถือเป็นปีสำคัญที่สร้างรายได้ให้กับเดอะเนสท์ ซึ่งคาดว่าจะทำรายได้ถึง 2,700 ล้านบาท เพราะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการคอนโด 2 โครงการที่เปิดการขายมาก่อนหน้านี้แล้ว คือ โครงการเดอะเนสท์​ จุฬา-สามย่าน และโครงการเดอะเนสท์ สุขุมวิท 71 รวมถึงโครงการบ้านแนวราบที่เปิดตัวในปีที่ผ่านมา อย่าง​โครงการ AERIE ศรีนครินทร์-กรุงเทพกรีฑา และโครงการที่เปิดปีนี้ด้วย   โครงการ AERIE ศรีนครินทร์-กรุงเทพกรีฑา ซึ่งในปีนี้จะมีการทยอยสร้างบ้านเสร็จออกมาอย่างต่อเนื่องประมาณ 60 ยูนิต ซึ่งมีลูกค้าจองไปแล้วประมาณ 40%  ขณะที่โครงการใหม่อีก 2 โครงการ ที่จะเปิดในปีนี้ จะเป็นบ้านที่ทยอยสร้างเสร็จพร้อมขายและพร้อมโอนเช่นเดียวกัน   ความมั่นใจในเป้าหมายดังกล่าวนั้น นางสาวอุษณา มหากิจศิริ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เดอะเนสท์ พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด เล่าว่า เป็นเพราะ​ภาพรวมตลาดอสังหาฯ ปี 2566  มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีขึ้นต่อเนื่องจากปีที่แล้ว โดยมีแรงหนุนจากปัจจัยบวกต่าง ๆ ทั้งเม็ดเงินจากนักลงทุนต่างประเทศที่ยังไหลมาลงทุนในไทยผ่านตลาดทุนและการลงทุนในกลุ่มเรียลเซ็กเตอร์ ประกอบกับจีนมีนโยบายเปิดประเทศ ซึ่งทำให้ภาคธุรกิจท่องเที่ยวจะกลับมาคึกคักมากขึ้นอีกครั้ง ปัจจัยบวกเหล่านี้จะส่งผลดีต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศอย่างแน่นอน เราทำธุรกิจต้องมองทั้งมุมบวกและมุมลบเพื่อประกอบในการกำหนดนโยบาย และปีนี้เรายังคงเชื่อมั่นและร่วมลงทุนกับพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ หากภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศดีขึ้นบริษัทฯ เชื่อว่ายอดขายอสังหาฯ ตัวเลขจะต้องสูงขึ้นอย่างแน่นอน ขณะเดียวกันความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยแนวราบของผู้บริโภคในประเทศเองก็แข็งแกร่ง ซึ่งสะท้อนภาพได้จากยอดขายบ้านแนวราบของบริษัทฯ ที่ได้รับผลตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคภายในประเทศ รวมถึงผลประกอบการด้านยอดขายที่เพิ่มขึ้นในช่วงปี 2565 ของผู้ประกอบการอสังหาฯ รายใหญ่ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่เน้นเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบ ด้านนายเคนอิจิ ฟูจิโนะ ประธานกรรมการ บ KRD กล่าวว่า แม้ว่าตลาดอสังหาฯ ในประเทศไทยจะเผชิญกับความท้าทายบางประการ เช่น ต้นทุนการก่อสร้างที่สูงขึ้นจากราคาเหล็กที่พุ่งสูงขึ้น แต่เราเชื่อว่าการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว รวมถึงการยกเลิกข้อจำกัดการเดินทางสำหรับชาวจีน จะนำไปสู่การฟื้นตัวต่อไปของเศรษฐกิจไทยกับการฟื้นฟูตลาดอสังหาฯ เรารู้สึกเสมอว่า The Nest Property เป็นพันธมิตรที่เชื่อถือได้ เห็นได้จากความร่วมมือที่โครงการคอนโดมิเนียม 125Sathorn ที่ประสบความสำเร็จจนเป็นที่น่าพอใจ รวมถึงโครงการ AERIE ที่อยู่ริมถนนกรุงเทพกรีฑายังได้รับความนิยมและมียอดจองจำนวนมาก สำหรับ KRD เป็นกลุ่มบริษัทพลังงานแบบครบวงจรรายใหญ่ในญี่ปุ่น ได้มุ่งเน้นไปที่การพัฒนาชุมชนที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กำลังดำเนินการเกี่ยวกับ "Zero Energy House" ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยประเภทประหยัดพลังงาน และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และยังคงแบ่งปันความรู้ให้กับพันธมิตร The Nest Property เพื่อส่งมอบ และพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ดียิ่งขึ้นให้กับผู้บริโภคของประเทศไทย รวมถึงได้เลือกผลิตภัณฑ์หลายรายการจากผู้ผลิตญี่ปุ่น อีกทั้งได้ว่าจ้าง ALSOK ซึ่งเป็นบริษัทรักษาความปลอดภัยรายใหญ่ของญี่ปุ่น เพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับโครงการ AERIE นับเป็นครั้งแรกที่ ALSOK ให้บริการรักษาความปลอดภัยสำหรับที่อยู่อาศัยในประเทศไทย ภายใต้ชื่อบริษัท ALSOK Thai Security Service   นอกจาก โครงการร่วมทุน เดอะเนสท์ ยังมีโครงการที่บริษัทพัฒนา 100% อีก 5 โครงการคือ โครงการ The Nest Condo เพลินจิต, The Nest Condo Sukhumvit 22 , The Nest Condo Sukhumvit 64, The Nest Condo Sukhumvit 71 และโครงการ The Nest Condo Chula – Samyan   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เดอะเนสท์ เปิดโปรเจ็กต์ “จุฬาฯ-สามย่าน” ชูจุดขาย ผลตอบแทนการเช่า 6%
[PR News] พานาโซนิค เปิดตัวระบบควบคุมอากาศ ตรวจับ PM2.5  ประเดิมจับมือ ซื่อตรง ก่อนวางเป้าติดอีกกว่า 25 โครงการ

[PR News] พานาโซนิค เปิดตัวระบบควบคุมอากาศ ตรวจับ PM2.5 ประเดิมจับมือ ซื่อตรง ก่อนวางเป้าติดอีกกว่า 25 โครงการ

พานาโซนิค เปิดตัวระบบควบคุมอากาศ  “Panasonic Complete Air Management System” ชูเทคโนโลยีสร้างคุณภาพอากาศที่ดีกว่า  ตรวจจับ PM2.5 มุ่งเจาะตลาดโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับไฮเอ็นด์ จับมือ  “ซื่อตรง พร็อพเพอร์ตี้” ประเดมติดตั้งในบ้านในโครงการ “ซื่อตรง พรีเมี่ยม ไอแอม พระราม 2 – แสมดำ” เตรียมเดินหน้าบุกอีกกว่า 25 โครงการในปีนี้   นายฮิเดกิ คิตาซาวะ ผู้อำนวยการส่วนการตลาดเครื่องปรับอากาศ และฝ่ายขาย B2B บริษัท พานาโซนิค เอ.พี. เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบัน ผู้บริโภคหันมาให้ความสำคัญกับคุณภาพของอากาศมากขึ้น ซึ่งเทรนด์นี้ชัดเจนมากขึ้นในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 หรือเกิดวิกฤติฝุ่นพิษ PM2.5 พานาโซนิคในฐานะ Professional Solution Provider ของไทย จึงได้พัฒนา Panasonic Complete Air Management System (ระบบควบคุมอากาศสมบูรณ์แบบ) ซึ่งเป็นระบบควบคุมอากาศสมบูรณ์แบบ (Complete Air Management System) ที่จะมาตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่กังวลเรื่องคุณภาพอากาศ จุดเด่นของ Panasonic Complete Air Management System อยู่ที่เทคโนโลยีไฮบริดลิงค์ที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งจะประสานการทำงานกับเครื่องปรับอากาศ และการระบายอากาศ โดยใช้อัลกอริทึมของตัวเอง และเซ็นเซอร์ในตัว ตรวจจับคุณภาพอากาศ เช่น ความชื้น PM2.5, CO2 อุณหภูมิภายในอาคาร และใช้เทคโนโลยี nanoeTM X ที่ได้รับการพัฒนามายาวนานกว่า 20 ปี ทำให้อากาศสะอาดโดยยับยั้งไวรัส แบคทีเรีย มลพิษ กลิ่น ฝุ่น PM2.5 สารก่อภูมิแพ้ เชื้อรา ละอองเกสรดอกไม้ และยังควบคุมความสมดุลของอากาศ เพื่อให้ผิวและผมมีสุขภาพดี ไม่แห้งขาดน้ำ จึงเหมาะที่จะติดตั้งในห้องนอน ซึ่งเป็นที่ที่ทุกคนใช้เวลาอยู่นานกว่า 8 ชั่วโมง   สำหรับการเปิดตัวระบบควบคุมอากาศสมบูรณ์แบบ Panasonic Complete Air Management System ครั้งนี้ ทางบริษัทซื่อตรง พร็อพเพอร์ตี้ ได้นำ ระบบควบคุมอากาศสมบูรณ์แบบ ไปติดตั้งในบ้านในโครงการ ซื่อตรง พรีเมี่ยม ไอแอม พระราม 2 – แสมดำ นับเป็นโครงการนำร่องโครงการแรกในเมืองไทยที่มีการติดตั้งระบบควบคุมอากาศสมบูรณ์แบบในห้องนอนของบ้านทุกหลัง การร่วมมือครั้งนี้จะช่วยสร้างการรับรู้ และสร้างความมั่นใจให้กับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น และเรายังมีแผนที่จะติดตั้งระบบนี้ในโครงการใหม่ของซื่อตรง พร็อพเพอร์ตี้ รวมถึงโครงการอสังหาฯ  ระดับไฮเอ็นด์อื่น ๆ ประมาณ 25 โครงการ ภายในปีนี้ หลังจากนั้นมีแผนที่จะขยายตลาดไปยังกลุ่มเจ้าของบ้านด้วย​ ด้านนายรุ่งรัตน์ ลิ่มทองแท่ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทซื่อตรง พร็อพเพอร์ตี้ และบริษัทในเครือ กล่าวว่า ปัจจัยที่ผู้บริโภคให้ความสำคัญในการเลือกซื้อบ้าน นอกจากจะอยู่ที่ทำเล แบบบ้าน ราคา คุณภาพการก่อสร้างแล้ว ระบบปรับอากาศที่โครงการมอบให้ก็มีผลต่อการตัดสินใจเช่นกัน เพราะเป็นสิ่งจำเป็นที่ลูกค้าต้องติดตั้งก่อนเข้าพักอาศัย เมื่อบริษัท ซื่อตรง พร็อพเพอร์ตี้ สร้างโครงการ ซื่อตรง พรีเมี่ยม ไอแอม พระราม 2 – แสมดำ ซึ่งมีระดับราคาอยู่ที่ 7-12 ล้านบาท ลูกค้ากลุ่มนี้จะให้ความสำคัญกับสุขภาพ และคุณภาพอากาศในบ้าน ทางโครงการจึงมองหาผลิตภัณฑ์ที่จะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า จึงได้นำ Panasonic Complete Air Management System มาติดตั้งในบ้านทุกหลังในโครงการนี้ บริษัทซื่อตรง พร็อพเพอร์ตี้ กับ พานาโซนิคเป็นพันธมิตรที่ดีต่อกันมานาน บ้านในโครงการซื่อตรง พรีเมี่ยม ไอแอม พระราม 2 – แสมดำ เลือกใช้เครื่องปรับอากาศจากพานาโซนิค ครั้งนี้เป็นการจับมือกันอีกครั้ง เพื่อมอบความสมบูรณ์แบบของอากาศให้ลูกบ้าน เราอยากให้บ้านเป็นมากกว่าที่อยู่อาศัย ทำให้ลูกบ้านมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -Suetrong The Oxy Rangsit Klong 6-ซื่อตรง ดิ ออกซี่ รังสิต คลอง 6 : รีวิวบ้าน    
แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์  วางเป้า 5 ปีทำรายได้หมื่นล้าน  หลังเศรษฐกิจ-การท่องเที่ยวฟื้นตัว

แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ วางเป้า 5 ปีทำรายได้หมื่นล้าน หลังเศรษฐกิจ-การท่องเที่ยวฟื้นตัว

แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ รับสัญญาณเศรษฐกิจ-การท่องเที่ยวฟื้นตัว คาดปี 66 ทำรายได้ 6,000 ล้าน ก่อนเดินไปสู่เป้าหมาย 10,000 ล้านในอีก 5 ปี พร้อมกลับมาทำกำไรเป็นบวกในปีนี้   นายวิทวัส วิภากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แกรนด์ แอสเสท โฮเทลส์ แอนด์ พรอพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2566 บริษัทคาดว่าจะทำรายได้ 6,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากธุรกิจโรงแรม 3,000 ล้านบาท และรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 3,000 ล้านบาท ซึ่งมาจากโครงการร่วมทุนกับพันธมิตร 2,000 ล้านบาท และโครงการที่บริษัทพัฒนาขึ้นเองอีก 1,000 ล้านบาท ในภาพรวมการดำเนินธุรกิจในปีนี้ จะเป็นปีที่ดีสำหรับบริษัทจากปัจจัยการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ การเปิดประเทศ และการกลับมาของนักท่องเที่ยว ช่วง 2-3 เดือนเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัว ของภาวะเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว ซึ่งดีเกินคาด คาดว่าปีนี้จะเป็นปีที่ดีสำหรับบริษัท สามารถทำรายได้ All-Time High และมีผลกำไรเป็นบวก นอกจากนี้ บริษัทยังคาดว่าทิศทางในอนาคต ภายในระยะ 5 ปีนับจากนี้ จะมีรายได้รวมถึง 10,000 ล้านบาท จากทิศทางการฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ และแผนการพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันบริษัทยังอยู่ระหว่างการพิจารณาขยายการลงทุน ทั้งในส่วนของโรงแรม และเวลเนส ที่จังหวัดเชียงใหม่ การขยายโรงแรมในพัทยา จังหวัดชลบุรี รวมถึงการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยประเภทบ้านแนวราบ และโครงการคอนโดมิเนียม ที่ปัจจุบันมีที่ดินรองรับการพัฒนา และอยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไป   นายวิทวัส กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทยังได้เตรียมงบลงทุนไว้ 200 ล้านบาท เพื่อปรับปรุงพื้นที่ในส่วนของร้านอาหารโรงแรมรอยัล ออคิด เชอราตัน 2 แห่ง จำนวน 100 ล้านบาท การปรับปรุงพื้นที่ส่วนคิดส์คลับ โรงแรมเชอราตัน หัวหิน ทำสกาย บาร์ และบิซ บาร์ ที่โครงการอมาธารา เวลเลเชอร์ รีสอร์ท จังหวัดระยอง จำนวน 100 ล้านบาท   สำหรับเป้าหมายรายได้ธุรกิจอสังหาฯ ที่คาดว่าจะทำได้ในปีนี้ 3,000 ล้านบาท จะมาจากยอดขายของคอนโดโครงการไฮด์ เฮริเทจ ทองหล่อ ซึ่งเป็นโครงการ่วมทุนกับซูมิโตโม ฟอเรสทรี จำนวน 2,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันก่อสร้างแล้วเสร็จ โครงการไฮด์ สุขุมวิท 11 จำนวน 600 ล้านบาท และโครงการอมาธารา เรสซิเดนเซส ระยอง จำนวน 400 ล้านบาท ปัจจุบันโครงการไฮด์ เฮริเทจ ทองหล่อ ยังมียูนิตเหลือขายรวมมูลค่า 3,000 ล้านบาท ส่วนโครงการไฮด์ สุขุมวิท 11 มียูนิตเหลือขายประมาณ 700 ล้านบาท โดยทั้งสองโครงการมียอดขายรอรับรู้รายได้กว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะสามารถปิดโครงการได้ภายใน 2 ปีนี้   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -แกรนด์ แอสเสท โชว์รายได้ธุรกิจโรงแรมโต 307% พร้อมยอดขาย “ไฮด์ เฮอริเทจ ทองหล่อ” แล้ว 50%
[PR News] “สุริยน–จิตรดี พูลวรลักษณ์” เปิดโปรเจ็กต์แรก ลาวิสต้า เพรสทีจ วิลเลจ

[PR News] “สุริยน–จิตรดี พูลวรลักษณ์” เปิดโปรเจ็กต์แรก ลาวิสต้า เพรสทีจ วิลเลจ

ลาวิสต้า เพรสทีจ วิลเลจ เปิดตัวอย่างเป็นทางการ “บริษัท เอสพีเจ แลนด์ จำกัด” บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ก่อตั้งโดย “สุริยน-จิตรดี พูลวรลักษณ์” สองนักพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์โครงการหรูที่มีประสบการณ์กว่า 20 ปี ประเดิมเปิดตัวโปรเจกต์แรก “ลาวิสต้า เพรสทีจ วิลเลจ เอกมัย 10” (Lavista Prestige Village Ekkamai 10) โครงการบ้านเดี่ยวระดับ Ultimate Luxury ภายใต้แนวคิด “Redefined Prestigious Living” บนทำเลศักยภาพ Prime Location เอกมัย พร้อมชูจุดเด่นคอนเซ็ปต์ Prestige Community เน้นความเป็นส่วนตัวสูงสุดกับเอกสิทธิ์เฉพาะ 7 ครอบครัว ในราคาเริ่มต้นที่ 80 ล้านบาท เจาะกลุ่มผู้บริหารและเจ้าของกิจการรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จและมีไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว   นายสุริยน พูลวรลักษณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสพีเจ แลนด์ จำกัด  เปิดเผยว่า​ เอสพีเจ แลนด์ เป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้น ด้วยความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในรูปแบบ Prestige Luxury โดยโฟกัสกลุ่ม Niche Market Customer ที่ต้องการสินค้า Residential ที่แตกต่างและโดดเด่นจากสินค้าที่มีอยู่ในตลาด ตอบโจทย์ลูกค้า Selected Customer อย่างแท้จริง โดยนำเอาประสบการณ์ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่หลากหลายต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการระดับลักซ์ชัวรี ทั้งคอนโดมิเนียมแนวสูง โรงแรม และที่พักอาศัย โดยเฉพาะโครงการที่ผ่าน Mavista Prestige Village กรุงเทพกรีฑา เป็นโครงการที่มีเพียงแค่ 14 ยูนิต ที่ประสบความสำเร็จจากการขายเป็นอย่างมาก ได้รับผลตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี นำมาสู่การพัฒนาเป็นโครงการล่าสุด “ลาวิสต้า เพรสทีจ วิลเลจ เอกมัย 10” บนทำเลศักยภาพของเอกมัยที่ “ดีที่สุด” กับความเอ็กซ์คลูซีฟเพียง 7 ยูนิตเท่านั้น ถือเป็นนิยามใหม่แห่งการพักอาศัยที่หรูหรามีระดับภายใต้แนวคิด “Redefined Prestigious Living” “ด้วยความชำนาญและประสบการณ์ในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มากว่า 20 ปี เราจึงมีความเชี่ยวชาญและเข้าใจถึงความต้องการของกลุ่มลูกค้าในเซกเมนต์ระดับลักชัวรีได้เป็นอย่างดี บริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญในทุก ๆ องค์ประกอบ ด้วยแนวคิดสร้างสรรค์ มอบความเป็นส่วนตัวสูงสุด กับจำนวนยูนิตไม่มาก เสมือนการคัดสรรเพื่อนบ้านให้สังคมภายในโครงการด้วยคอนเซ็ปต์ Prestige Community ทั้งพื้นที่ใช้สอยและฟังก์ชันต่าง ๆ ที่ครบครัน มีดีไซน์ที่โดดเด่น ทันสมัย และที่สำคัญตั้งอยู่ในทำเลใจกลางเมืองที่สะดวกสบายทุกการเดินทาง ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของลูกค้าตลาดบนเฉพาะกลุ่ม (Niche Market-Selected Luxury Customer) และสร้าง Prestige Lifestyle ความภูมิใจในการเป็นเจ้าของ และสามารถส่งต่อรุ่นสู่รุ่นได้อย่างล้ำค่า นับเป็นการยกระดับมาตรฐานใหม่ของธุรกิจการพัฒนาที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรีได้อย่างแท้จริง”   นางจิตรดี พูลวรลักษณ์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสพีเจ แลนด์ จำกัด กล่าวว่า โครงการ“ลาวิสต้า เพรสทีจ วิลเลจ เอกมัย 10”  เกิดขึ้นจากการตอบโจทย์ของธุรกิจบริษัทในปัจจุบัน ที่มีความเปลี่ยนแปลงและเพื่อรองรับการขยายตัวของกลุ่มผู้อยู่อาศัย อาทิ กลุ่มเจ้าของกิจการ กลุ่มผู้บริหาร เจ้าของกิจการรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จและมีไลฟ์สไตล์เฉพาะตัว ด้วยทำเลทองใจกลางเอกมัย ที่สามารถเพิ่มมูลค่าและเป็นมรดกส่งต่อรุ่นสู่รุ่นได้ โดยการออกแบบพื้นที่ภายในบ้านใช้แนวคิดที่คำนึงถึงการใช้งานให้ครอบคลุมสำหรับสมาชิกทุกเจเนอเรชัน ให้สามารถใช้ชีวิตตามสไตล์ที่ชอบได้อย่างเต็มที่ ขณะเดียวกันก็มีหัวใจของบ้านที่เชื่อมโยงความสัมพันธ์ของคนในครอบครัวเข้าไว้ด้วยกัน บ้านเดี่ยวสุดไพรเวททั้ง 7 ยูนิต ของโครงการ “ลาวิสต้า เพรสทีจ วิลเลจ เอกมัย 10” มีขนาด 4 ชั้น มีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 429.97- 546.61 ตารางเมตร พร้อมลิฟท์ส่วนตัวภายในบ้าน โดยชั้น 1 เน้นการออกแบบที่ล้ำสมัยและฟังก์ชันที่จอด 4-6 คัน รองรับระบบ EV Charger สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100%  พร้อมโถงรับแขก Arriving Hall และมี Maid Pavilion ทั้งห้องนอนและห้องน้ำของแม่บ้าน สามารถเข้า-ออกทางหลังบ้าน ชั้น 2 เป็นรูปแบบ Gathering Area ศูนย์รวมการใช้งานขนาดใหญ่ เชื่อมโยงครัวเปิด Western Kitchen จากแบรนด์ RCD โปร่งสบาย เพดานสูงถึง 3 เมตร และห้องอเนกประสงค์สามารถจัดสรรปรับเป็นห้องฟิตเนสหรือห้องนอนได้ ส่วนชั้น 3 มีห้องนอน Grand Suite Master Bedroom เชื่อมต่อพื้นที่บริเวณโซนเตียงนอนกับ Walk-in Closet ขนาดใหญ่ และห้องน้ำแบบ Grand Master Bedroom แยกสัดส่วน Shower และโถสุขภัณฑ์อัตโนมัติ พร้อมพื้นที่อาบน้ำแบบ his&her และชั้น 4 เป็นห้อง Junior Master Bedroom และห้องอเนกประสงค์ที่สามารถจัดเป็นห้องอ่านหนังสือหรือห้องทำงานได้ พร้อมฟังก์ชันที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของลูกค้าตลาดบนเฉพาะกลุ่มได้อย่างสมบูรณ์แบบที่สุด   โดยโครงการ “ลาวิสต้า เพรสทีจ วิลเลจ เอกมัย 10” ตั้งอยู่ในซอยเอกมัย 10 หนึ่งในย่านพักอาศัยที่ดีที่สุดใจกลางสุขุมวิท รายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกทุกรูปแบบสำหรับทุกไลฟ์สไตล์ ทั้งห้างสรรพสินค้าชั้นนำ คอมมูนิตี้มอลล์ โรงพยาบาล และโรงเรียนนานาชาติ โดยเป็นทำเลที่เชื่อมต่อ 3 ถนนหลัก ได้แก่ สุขุมวิท 55 สุขุมวิท 63 และสุขุมวิท 71 ใกล้ 3 ทางขึ้นทางด่วนและสถานีรถไฟฟ้าที่ให้ความสะดวกสบายในการเดินทาง โครงการสร้างเสร็จสมบูรณ์ก่อนขาย พร้อมให้สัมผัสประสบการณ์ทั้งภายนอกและภายในตัวบ้านด้วยวัสดุจริง รวมถึงบรรยากาศโดยรวมทั้งหมด ซึ่งทุกหลังได้รับการตกแต่งภายในพร้อมสำหรับการเข้าพักอาศัย ด้วยราคาเริ่มต้น 80 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ประเดิมบ้านเดี่ยวระดับ Super Luxury “มาวิสต้า เพรสทีจ วิลเลจ กรุงเทพกรีฑา”
แสนสิริ  เปิดทำเลโครงการใหม่ปี 66  บักหมุดพื้นที่กรุงเทพฯ​ และอีก 6 จังหวัด

แสนสิริ เปิดทำเลโครงการใหม่ปี 66 บักหมุดพื้นที่กรุงเทพฯ​ และอีก 6 จังหวัด

ทำเลโครงการใหม่ เปิดทำเลโครงการใหม่ แสนสิริ ปี 66 กับแผนธุรกิจที่จะสร้างทุกสถิติ All-Time High กว่า 30 ปีตั้งแต่ตั้งบริษัท มั่นใจ 3 กลยุทธ์สู่ความสำเร็จ ทั้งเปิด 9 แบรนด์ใหม่ ขยายตลาดทั่วประเทศ พร้อมบุกต่างประเทศรับสัญญาณการฟื้นตัวของต่างชาติ   แสนสิริ ประกาศแผนธุรกิจปี 2566 เตรียมเปิดโครงการมากที่สุด นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทมากว่า 30 ปี โดยเตรียมเปิด 52 โครงการรวมมูลค่ากว่า  75,000 ล้านบาท นอกจากนี้ ยังวางเป้าหมายว่าจะทุบสถิติ ด้านผลประกอบการต่าง ๆ ที่เป็น All-Time High ทั้งรายได้ กับเป้าหมาย 40,000 ล้านบาท ยอดขาย 55,000 ล้านบาท และกำไรที่จะมากกว่าปี 2565 ที่ก็เชื่อว่ากำไรปีที่ผ่านมา จะสูงเป็นประวัติการณ์เช่นกัน   นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) (SIRI) เปิดเผยว่า ในปี 2566 บริษัทยังคงเดินหน้าเติบโตอย่างแข็งแกร่ง หลังจากปี 2565 เป็นปีแรกที่เริ่มเห็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยอย่างชัดเจน หลังจากที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ปัจจัยสำคัญมาจากการได้รับวัคซีน ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาดำเนินได้อย่างเต็มที่ รวมถึงการเปิดรับนักท่องเที่ยว   อย่างไรก็ดี การฟื้นตัวกลับมายังคงไม่เต็มที่ ทำให้มีทั้งโอกาสทางธุรกิจและปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าติดตามและเตรียมรับมือในอีกหลากหลายประเด็น ไม่ว่าจะเป็นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจของประเทศต่างๆ ที่จะมีผลกระทบต่อประเทศไทย แนวโน้มราคาพลังงานและราคาโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวสูงขึ้นกดดันให้ต้นทุนและอัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้น ตลอดจนการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย แม้ปีที่ผ่านมาจะเป็นปีที่มีความท้าทาย ของการดำเนินธุรกิจภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่ยังมีความไม่แน่นอน  แต่แสนสิริสามารถเดินหน้าอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ประสบความสำเร็จด้วยยอดขายรวมถึง 50,000 ล้านบาท โตขึ้นเกือบ 50% จากปีก่อนหน้า และยอดโอน 36,800 ล้านบาท เปิดทำเลโครงการใหม่ของแสนสิริ สำหรับแผนการเปิดตัวของแสนสิริในปี 2566 ยังคงมีโลเกชั่นหลักอยู่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เป็นหลัก แต่ขณะเดียวกันก็มีแผนขยายไปในตลาดต่างจังหวัดด้วยเช่นกัน โดยแผนการเปิดตัวโครงการใหม่ ที่ประกาศออกมาแล้ว มีทำเลโครงการใหม่ ดังนี้ -โครงการอณาสิริ มิกซ์โปรดักส์ บ้านและทาวน์โฮมในโครงการเดียว มี 9 ทำเล​ ได้แก่ กรุงเทพ-ปทุม 2 รังสิต-คลอง 3 ศรีนครินทร์-แพรกษา ชัยพฤกษณ์-วงแหวน พระราม 2 - วงแหวน พระเงิน ศาลายา เวสเกต พายัพ -โครงการในรูปแบบคอมมูนิตี้มอลล์ ที่มีหลายโครงการรวมอยู่ในพื้นที่ขนาด 500-600 ไร่ มี 8 ทำเลสำคัญ ได้แก่ กรุงเทพกรีฑา กรุงเทพ-ปทุมธานี รังสิต-บางพูน ราชพฤกษ์-346 เวสต์เกต พระราม 2-วงแหวน บางนา-เลค 26 ประชาอุทิศ 90 ส่วนทำเลในต่างจังหวัด เปิดตัวในปีนี้ มี 6 จังหวัด ได้แก่   เชียงใหม่ หัวหิน ภูเก็ต ขอนแก่น ชลบุรี หาดใหญ่ โครงการไฮไลท์ที่น่าสนใจ -แบรนด์สราญสิริ เปิด 4 โครงการ 9,900 ล้านบาท มีทำเลที่จะเปิดตัว ดังนี้ บางนา สุวรรณภูมิ เวสต์เกต ถนน 345 -แบรนด์บูก้าน เปิด 3 โครงการ รวมมูลค่า 3,600 ล้านบาท มี 3 ทำเล ดังนี้ กรุงเทพกรีฑา พัฒนาการ 32 พระราม 9-เหม่งจ๋าย -ดีคอนโด ในปีนี้มีแผนรีเฟรชแบรนด์ และเปิด 5 โครงการ ใน 5 ทำเลสำคัญ ได้แก่ จ.ภูเก็ต โครงการดีคอนโด รีฟ ภูเก็ต อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา โครงการดีคอนโด แซนด์ หาดใหญ่ รังสิต ศรีราชา จ.ชลบุรี ลาดกระบัง -New Luxury Condominium 2 โครงการ อารีย์ ราชเทวี -เศรษฐสิริ 10 โครงการ รวมมูลค่า 21,900 ล้านบาท บ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี ระดับราคา 12 – 25 ล้านบาท ที่เจาะกลุ่ม Target อายุน้อยลง ประสบความสำเร็จเร็ว เปิดตัวด้วยโครงการแรก “เศรษฐสิริ ดอนเมือง” ในโฉมใหม่ ดีไซน์ใหม่ล่าสุดของแบรนด์เศรษฐสิริ สไตล์ “Georgian” จอร์เจียน -โครงการนาราสิริ พหล – วัชรพล มูลค่าโครงการ 5,300 ล้านบาท 3 กลยุทธ์สร้างการเติบโต นายอุทัย  อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ เปิดเผยว่า ในปีนี้ แสนสิริจะก้าวแกร่งเติบโตอย่างยั่งยืนด้วย 3 กลยุทธ์​ สำคัญ ได้แก่ การสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง การบุกตลาดต่างประเทศ และการก้าวสู่ Net-Zero 3 กลยุทธ์แสนสิริ สร้าง All-Time High 1.ขยายการเติบโตอย่างต่อเนื่อง Continuous Expansion -ทั้งการเปิดตัวโครงการใหม่ ตามแผนในปีนี้แสนสิริวางงบประมาณซื้อที่ดินไว้ประมาณ 10,000 ล้านบาท พร้อมกับแผนเปิดตัวโครงการใหม่  52 โครงการ รวมมูลค่า​ 75,000 ล้านบาท เติบโต 74% และโตขึ้นจากช่วงเกิดโควิดถึง 1,000% หรือ 10 เท่าตัว ครอบคลุมทุกโปรดักส์ ทั้งคอนโดมิเนียม - บ้านเดี่ยว – บ้านแฝด – ทาวน์โฮม ทุกเซกเมนต์ระดับราคารองรับทุกความต้องการ และครอบคลุมในทุกทำเล เจาะกลุ่มเรียลดีมานด์​ -เปิดตัว 9 แบรนด์ใหม่ จากแสนสิริ ที่ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ เพื่อขยายในแต่ละ Portfolio  ให้แข็งแกร่งและครอบคลุมทุกความต้องการและระดับราคามากยิ่งขึ้น ตั้งแต่แบรนด์ที่อยู่ใน Sansiri Luxury Collection ที่จะขยายพอร์ตลักซ์ชัวรี เซกเมนต์ของแสนสิริให้โตขึ้นแบบก้าวกระโดด ได้แก่ No.19 (นัมเบอร์ นายทีน) และ Sirinsiri (สิริณสิริ) แบรนด์ใหม่ในระดับพรีเมียม เซกเมนต์ ได้แก่ Narinsiri (ณริณสิริ) และ Ombré (ออมเบร) รวมทั้งแบรนด์คอนโดใหม่ ได้แก่ HUB (ฮับ) และ Cabanas (กาบานาส) ทำเลหัวหิน ส่วนแบรนด์ใหม่ที่เหลือจะทยอยเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง​ -การรุกตลาดต่างจังหวัด แผนการขยายตลาดต่างจังหวัด ในปีนี้วางแผนเข้าไปพัฒนาโครงการใน 6 จังหวัด ในทำเลโครงการใหม่ ได้แก่  หัวหิน, ภูเก็ต, เชียงใหม่, หาดใหญ่, ขอนแก่น และชลบุรี  ที่จะเปิดตัวทั้งหมด 12 โครงการ มูลค่ารวม 8,500 ล้านบาท 2.การบุกตลาดต่างประเทศ (No.1 in International Market)   แสนสิริ มองว่าในปีนี้ตลาดต่างชาติกำลังกลับมา จึง​วางเป้าหมายยอดขายและยอดโอนตลาดต่างชาติ ในปีนี้ไว้กว่า 12,000 ล้านบาท เติบโตขึ้น 54% จากปีก่อน ที่มียอดขายจากตลาดต่างชาติ 7,800 ล้านบาท โดยกลยุทธ์การรุกตลาดต่างชาติในปีนี้ แสนสิริจะรุกตลาดในกลุ่ม CLMV (Cambodia, Laos, Myanmar, Vietnam) เพื่อขยายตลาดต่างชาติให้กว้างขึ้น และยังคงบุกตลาดในประเทศจีน ฮ่องกง ไต้หวัน สิงคโปร์ และรัสเซีย ซึ่งบริษัทมีฐานลูกค้าต่างชาติในกลุ่มนี้อยู่แล้ว 3.Net-Zero    แสนสิริยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าในพันธกิจสีเขียว โดยวางเป้าหมายเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายแรกของไทยที่เป็น Net-Zero องค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ โดยพันธกิจในปี 2566 บริษัทกำลังเดินหน้าพัฒนา “Low Energy Community Model” โดยยกโครงการ “บุราสิริ กรุงเทพกรีฑา” เป็นโครงการต้นแบบ ที่เริ่มพัฒนาบ้านด้วย Green Materials รวมทั้งติดตั้ง Solar Panel ในบ้านทุกหลัง, ติดตั้ง Solar Light บริเวณส่วนกลาง ติดตั้ง EV Charger ส่วนกลางและที่บ้าน ทดลองปลูกต้นไม้ยืนต้นและไม้พุ่มในสวนส่วนกลาง พัฒนาโดยทีมเฉพาะกิจที่จัดตั้งขึ้นมาโดยเฉพาะ หรือ “Dedicated team for Net Zero Home”   นอกจากนี้ ทุกโครงการของแสนสิริต้องใช้พลังงานสะอาด ด้วยแผนติดตั้ง Solar Panel ในส่วนกลางของโครงการใหม่ 100% รวมทั้ง ติดตั้ง Solar Panel ในบ้านทุกหลังของโครงการใหม่ ไฟในสวนต้องเป็นไฟพลังงานแสงอาทิตย์ 100% ทุกโครงการในปีนี้ โดยวางเป้าหมายติดตั้ง 1,100 หลังในปีนี้ และอีก 1,500 หลังในปีต่อไป รวมถึงส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยมีเป้าหมายติดตั้ง EV Charger ในทุกโครงการใหม่ของบริษัทในทุกเซ็กเมนท์ โดยวางเป้าหมายติดตั้ง EV Charger 650 หลังในปีนี้ และอีก 750 หลังในปีต่อไป     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -แสนสิริ เดินหน้าโปรเจ็กต์ “กรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้” เปิดอีก 3 โครงการ 9,300 ล้าน -แสนสิริ 5 เดือนแรกกวาดยอดแนวราบหมื่นล้าน พร้อมเปิด 6 โครงการใหม่ดันเป้า 24,000 ล้าน