Tag : Townhome

792 ผลลัพธ์
ศุภาลัย บุกตลาดต่างจังหวัดแห่งที่ 23  ปั้นคอนโด “ศุภาลัย บลูเวล หัวหิน”

ศุภาลัย บุกตลาดต่างจังหวัดแห่งที่ 23 ปั้นคอนโด “ศุภาลัย บลูเวล หัวหิน”

ศุภาลัย บุกตลาดต่างจังหวัดเพิ่ม ลุยเมืองท่องเที่ยวชายทะเล ปักหมุดจังหวัดประจวบฯ ปั้นโครงการคอนโด “ศุภาลัย บลูเวล หัวหิน” มูลค่าโครงการ 1,200 ล้าน  ชูจุดเด่น 10 เรื่อง พร้อมการันตีผลตอบแทน 6% ใน 3 ปี   ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า ได้ขยายตลาดต่างจังหวัด โดยเข้ามาพัฒนาโครงการที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ที่ถือเป็นจังหวัดใหม่ลำดับที่ 23 ของบริษัท ได้เข้ามาเปิดตัวโครงการ เริ่มต้นกับโครงการแรก “ศุภาลัย บลูเวล หัวหิน” (SUPALAI BLUE WHALE) ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 7 ไร่ เป็นคอนโดมิเนียมไฮไรซ์​ มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท สูง 28 ชั้น จำนวน 525 ยูนิต และร้านค้า 3 ยูนิต  มีรูปแบบห้องตั้งแต่ Studio - 3 Bedrooms โดยมีขนาดห้องตั้งแต่ 29.5 - 128 ตร.ม. โดยเน้นการออกแบบรองรับวิวรอบด้านด้วยระเบียงโค้งเฉียง เพื่อรับลม รับวิวทะเล วิวภูเขา  พร้อมสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า (EV Charging Station) เพิ่มความปลอดภัยแบบส่วนตัวในทุกห้องด้วยประตู Digital Door Lock และเข้า-ออกอาคารด้วยระบบ Face Scan อุ่นใจ 100 % กับระบบรักษาความปลอดภัยพร้อมกล้อง CCTV 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ ศุภาลัย บลูเวล หัวหิน ยังออกแบบตัวอาคารสร้างจาก Hybrid Concrete ไม่อมความร้อน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และมีการวางผังอาคารตามหลักทิศทางแสงและลม เพื่อช่วยประหยัดพลังงาน อีกทั้งมีการเลือกใช้ อิฐมวลเบาที่ลดการปล่อย CO2 ในกระบวนการผลิต และกระจกเขียวตัดแสง ที่ช่วยกรองแสงได้ถึง 40% ซึ่งทำให้ห้องพักเย็นสบาย แม้ไม่ได้เปิดแอร์ ประหยัดค่าใช้จ่ายด้วยการใช้สุขภัณฑ์ประหยัดน้ำ และหลอดไฟ LED ทั้งโครงการ อีกทั้งยังใส่ใจในการเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม กระเบื้องห้องน้ำและกระเบื้องระเบียง ที่ลดการใช้น้ำในการผลิตถึง 25% และท่อสุขาภิบาลสั่งตัดพอดีกับการใช้งาน เพื่อลดขยะจากการเสียเศษท่อน้ำ 10 ข้อดีของของโครงการ ศุภาลัย บลูเวล หัวหิน 1.มี “วาฬเจ้าสมุทร” หรือ ​“วาฬสีน้ำเงิน” (Blue Whale) อยู่บนยอดสูงสุดของอาคาร เป็นสถาปัตยกรรมที่ออกแบบให้มีลักษณะเป็นปลาวาฬ   2.ตึกสูง 28 ชั้น สามารถรับลมชมวิว จากห้องพักและระเบียงทุกยูนิต ออกแบบให้หันไปทางทะเล ทางทิศตะวันออก ทุกห้องจึงเห็นทะเลทั้งหมด การออกแบบเฉียง ๆ ตั้งฉากกับทะเลทุก 2 ชั้นจะเป็นพ็อกเก็ตการ์เดน ที่เจาะเป็นช่องโล่งเพื่อให้อากาศถ่ายเท และมีสวนในทุก ๆ ชั้น ซึ่งบริษัทสูญเสียรายได้ชั้นละ 2 ล้านบาท   3.สามารถดูภาพ Panoramic View ทั้งทะเล ภูเขา และสนามกอล์ฟ 4.Lighthouse Park สวนน้ำและสระว่ายน้ำขนาดใหญ่ รองรับกิจกรรมต่าง ๆ ของครอบครัว รวมถึงมี Adventure Kids สำหรับเด็ก ๆ   5.Island Fitness มีการออกแบบให้ห้องออกกำลังกาย อยู่บริเวณกลางสวนน้ำ ทำให้เห็นวิวสระว่ายน้ำ พื้นที่ส่วนกลางจะมีการออกแบบให้เหมาะกับการใช้รถเข็น ทั้งเด็กและผู้สูงอายุ   6.Facilities ออกแบบภายใต้เรื่องราวจากใต้ท้องทะเล (Under Water World)  ส่วนภายใต้สถาปัตยกรรมดังกล่าว จะออกแบบเป็น Sky Facility ที่มีทั้งโซน Paradise Living ห้อง Co-working ในชื่อ Paradise Working & Meeting และ Roof Garden   7.สามารถเห็นพระอาทิตย์ขึ้นยามเช้า   8.อยู่ในทำเลที่ดี ติดถนนใหญ่ อยู่ใจกลางหัวหิน มีศูนย์การค้า โรงเรียน สนามกอล์ฟ และสถานที่ยอดนิยมของหัวหิน   9.เปิดตัวโครงการด้วยการขายแบบ Fully Furnished ให้ทุกห้อง สามารถเข้าอยู่ได้ทันที เนื่องจากกลุ่มเป้าหมายของโครงการจะเป็นคนกรุงเทพฯ ที่ไม่ต้องเดินทางมาออกแบบตกแต่งเอง   10.ราคุ้มค่า เริ่มต้น 1.69 ล้านบาท สำหรบห้อง Fully Furnished หรือมีราคาเฉลี่ย 61,000 บาทต่อตร.ม. สามารถซื้อเป็นบ้านหลังแรก สำหรับคนในพื้นที่ หรือซื้อเป็นบ้านหลังที่สอง สำหรับคนในจังหวัดอื่น ๆ หรือกลุ่มคนเกษียณอายุ รวมถึงกลุ่มนักลงทุน การันตีผลตอบแทนจากการเช่า 6% 3 ปี ผู้ซื้ออยู่ฟรี 15 วันต่อปี โดยโครงการศุภาลัย บลูเวล หัว​หิน เปิดจองรอบ Online Booking วันที่ 18 พฤศจิกายน 2565 โดยสามารถรับชมห้องตัวอย่างในรูปแบบ 360 องศา Virtual Tour Online  และรับชมวิวจากห้องจริงแบบพาโนราม่าได้ที่  https://visualpanorama.com/Golive/supalai/bluewhale/  ส่วนลูกค้าที่สนใจเยี่ยมชมห้องตัวอย่างของจริงได้ในงานรอบ Pre-Sales วันที่ 26-27 พฤศจิกายน 2565 ณ สำนักงานขาย โครงการ ศุภาลัย บลูเวล หัวหิน  ​สามารถเข้ามาจับจอง พูดคุยได้ที่สำนักงานขาย โครงการ ศุภาลัย ไอคอน สาทร 6 เรื่องที่ศุภาลัย เลือกพัฒนาโครงการในเมืองหัวหิน ด้านนายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ  กล่าวว่า บริษัทเล็งเห็นศักยภาพของเมืองหัวหินในด้านการเป็นแหล่งท่องเที่ยวและเศรษฐกิจที่สำคัญ จึงได้เริ่มเข้ามาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมโครงการแรก “ศุภาลัย บลูเวล” ตั้งอยู่ใกล้ใจกลางเมืองหัวหิน ถนนเส้นหัวหิน-ห้วยมงคล เป็นทำเลที่มีจุดแข็งด้านการสัญจร เดินทางสะดวกไร้ปัญหารถติดเข้าสู่ใจกลางเมืองได้ภายใน 5 นาที และช่วงฝนตกหนักก็ยังไร้ปัญหาน้ำท่วมขังอีกด้วย  อีกทั้งยังรายล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกรอบโครงการ ใกล้ตลาดโต้รุ่งหัวหินเพียง 2 ก.ม. นอกจากนี้ยังใกล้สนามกอล์ฟ ศูนย์การค้า ตลาดนัด โรงพยาบาล โรงเรียน และสถานที่อื่นๆ อีกมากมาย   ส่วนปัจจัยสำคัญที่ทำให้ ศุภาลัย เลือกขยายการพัฒนาโครงการมายังเมืองหัวหิน เป็นเพราะเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีศักยภาพ และมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศ โดยมีเหตุผลสำคัญ ดังนี้ 1.เป็นเมืองท่องเที่ยวชายทะเลยอดนิยมของไทย 1 ใน 5 ที่คนไทยนิยมเดินทางมาท่องเที่ยว   2.หัวหินเป็นเมืองที่มีความสำคัญมากสำหรับ จังหวัดประจวบฯ เพราะสร้างรายได้ให้กับจังหวัดสัดส่วนถึง 94%   3.จำนวนประชากรท้องถิ่นอยู่มากที่สุดของจังหวัดประจวบฯ ในสัดส่วน 21%   4.เป็นจังหวัดที่มีความหนาแน่นของประชากรต่อพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตรยังน้อย เมื่อเทียบกับเมืองท่องเที่ยวอื่น ๆ   5.มีโครงการ Thailand Riviera มีถนนเลียบทางชายทะเล, ม มีโครงการทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง สายบางขุนเทียน-บ้านแพร้ว (เส้นพระราม2 ) สร้างเสร็จปี 2568 เส้นทางรถไฟรางคู่, ไฮสปีดเสร็จปี 2570 มอเตอร์เวย์ เส้นทางนครปฐม-ชะอำ สร้างเสร็จในปี 2575 โครงการต่าง ๆ เหล่านี้ จะทำให้การเดินทางมายังเมืองหัวหินได้สะดวกมากยิ่งขึ้น   6.การเปิดตัวช่วงปี 2561 มีจำนวนเยอะ แต่หลังจากนั้นลดลง ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีหลักไม่กี่ร้อยยูนิต และการซื้อขายยังไปได้ดี คอนโดจะเปิดมากที่ทำเลเขาตะเกียบ และหัวหิน ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา   นอกจาก ศุภาลัย จะพัฒนาคอนโดโครงการแรกแล้ว ยังวางแผนพัฒนาโครงการต่อเนื่อง โดยเป็นบ้านแนวราบอีก 2 โครงการ ได้แก่ ศุภาลัย วิวล์ และศุภาลัย ลากูน  ซึ่งจะเปิดตัวในปีหน้า   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -ส่องตลาดคอนโด ชะอำ-หัวหิน-เขาเต่า 5 เดือนแรกปี 63 ในภาวะโควิด-19 -อัปเดตตลาดคอนโด ครึ่งปีแรก 65 พื้นที่ชะอำ-หัวหิน-เขาเต่า กับ 9 ประเด็นสำคัญ -[PR News]ศุภาลัย จับมือ เอสซีจี ขับเคลื่อนที่อยู่อาศัยสีเขียว
อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนพฤศจิกายน 2565

อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนพฤศจิกายน 2565

อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ แม้ว่าตอนนี้หลายธนาคารจะมีการประกาศปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำที่ธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี หรือ MRR (Minimum Retail Rate) กันไปหลายธนาคารแล้ว จากการที่กนง. แบงก์ชาติประกาศขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเป็น 1% แต่ในภาพรวมแล้ว อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ ของธนาคารส่วนใหญ่ก็ยังไม่ได้ปรับเปลี่ยน ถือได้ว่าตอนนี้ก็เป็นจังหวะที่ดีถ้าใครคิดจะรีไฟแนนซ์บ้าน หรือคอนโดมิเนียม เพื่อบรรเทาภาระค่าดอกเบี้ย หรือเงินผ่อนแต่ละเดือนที่สูง   ลองมาดูกันว่าตอนนี้​ธนาคารไหน มีการคิดอัตราดอกเบี้ยยังไงกันบ้าง  ประจำเดือนประจำเดือนพฤศจิกายนนี้ ที่ Reviewyourliving ได้รวบรวมเอาไว้ให้แล้ว ลองเปรียบเทียบดูกันว่าธนาคารไหนให้อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโดได้คุ้มสุด อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโด 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ  มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการรีไฟแนนซ์บ้าน  กรณีหลักทรัพย์เป็นที่อยู่อาศัยทั่วไป เฉพาะวงเงินอนุมัติตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งอัตราดอกเบี้ยของเดือนพฤศจิกายนนี้ ​เว็บไซต์ธนาคารยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล โดยยังเป็นเอกสารที่ระบุข้อมูลถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565 คาดว่าอัตราดอกเบี้ยยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ย สำหรับการรีไฟแนนซ์บ้านและคอนโด ดังนี้ ​​ ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.325% (MRR-3.625%) กรณีไม่ทำประกัน  อัตราดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) หลังจากนั้น 4.45% ​(MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.12-3.20% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.66-3.72% ทางเลือกที่ 2 ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.825% (MRR-3.125%)  กรณีไม่ทำประกัน ดอกเบี้ย 3.075% (MRR-2.875%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.075% (MRR-2.875%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย  4.45% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.45-3.53% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.86-3.92% หมายเหตุ -กรณีแสดงวัตถุประสงค์ เช่น เพื่อการต่อเติม/ซ่อมแซม/ตกแต่งที่พักอาศัย ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา หรือการจัดหาสินค้าหรือบริการเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนตัว เป็นต้น -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคําขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2565 – 30 มิถุนายน 2565 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อและจดจำนองภายใน 2 เดือนนับแต่วันที่ ลงนามในสัญญากู้ -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบัน ตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 7 ธ.ค. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ย กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง หากลูกค้ายกเลิก และไถ่ถอนหลักประกัน ก่อนระยะเวลา 3 ปี ไม่ว่ากรณีชําระหนี้ด้วยเงินสด หรือ รีไฟแนนซ์ธนาคารจะเรียกคืนค่าธรรมเนียมจดจำนองจากผู้กู้ -ธนาคารจะโอนเงินคืนค่าสํารวจและประเมินหลักประกันเข้าบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ที่ลูกค้า ใช้หักชําระค่างวดกับธนาคารภายใน 60 วัน หลังจากลูกค้าได้รับอนุมัติและเบิกใช้สินเชื่อกับธนาคารแล้ว คําเตือน -ผู้ขอเอาประกันภัยที่สมัครทำประกัน โฮมเฟิสต์ พลัส (ฉบับปรับปรุง) ตั้งแต่ 1 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป จะได้รับความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ -เบี้ยประกันภัยสามารถนําไปหักลดหย่อน ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกําหนด -การทำประกันภัยไม่ใช่การฝากเงิน กรณีเวนคืนก่อนครบกําหนด ผู้เอาประกันภัยจะได้รับเงินคืนเป็นจำนวนน้อยกว่าเบี้ยประกันภัยที่จ่ายไปแล้ว ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เวนคืน -ผู้ขอเอาประกันภัยควรศึกษาและทำความเข้าใจเอกสารเสนอขายก่อน ก่อนตัดสินใจทำประกันภัย เมื่อได้รับกรมธรรม์แล้ว โปรดศึกษารายละเอียด ข้อกำหนดและเงื่อนไขในกรมธรรม์ -ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าประกันชีวิตที่เป็นผู้ชีช้องและจัดการบริการให้กับผู้ขอเอาประกันภัย เพื่อให้เกิดการทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น โดยการพิจารณาอนุมัติกรมธรรม์เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) -การแถลงสุขภาพเป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณารับประกันภัยหรือจ่ายเงินตามสัญญาประกันภัย -การตรวจสุขภาพเป็นไปตามเงื่อนไขของ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) -ผู้ขอเอาประกันภัยมีหน้าที่แถลงข้อความจริงในการขอเอาประกันภัย การปกปิดข้อความจริงหรือแถลงข้อความเป็นเท็จใดๆ อาจเป็นเหตุให้บริษัทผู้รับประกันภัยบอกล้างสัญญาประกันภัยและปฏิเสธไม่จ่ายค่าสินไหม ทดแทนตามสัญญาประกันภัย -ข้อกำหนดและเงื่อนไขของความคุ้มครองจะระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยที่ออกให้กับผู้ถือกรมธรรม์ -การสมัครประกันชีวิตคุ้มครองเครดิตโฮมเฟิสต์ พลัส เป็นทางเลือกสำหรับลูกค้า ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน แคมเปญ ดอกเบี้ยปีแรกเริ่มต้น 1% และแคมเปญธนาคารออกค่าธรรเนียมการจดจำนอง 1% ซึ่งไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า โดยมีรายละเอียดดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกัน* ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.60% (MRR-3.62%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = 4.00% ทางเลือก 2 ไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.70% (MRR-3.52%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = 4.04% ทางเลือก 3 ทำประกัน* ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.00% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.62% (MRR-2.60%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.72% (MRR-2.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.78% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = 4.04% ทางเลือก 4 ไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.25% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.67% (MRR-2.55%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.72% (MRR-2.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.88% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = 4.08% ดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน กรณีธนาคารออกค่าธรรมเนียมการจดจำนอ 1% ทางเลือก 1* แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  = 2.93% (MRR-3.29%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.93% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา =  4.12% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  = 3.03% (MRR-3.19%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.03% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.16% ทางเลือกที่ 3* ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 1.00% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย = 4.12% (MRR-2.10%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย = 4.22% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.11% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.15% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 1.25% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย = 4.17% (MRR-2.05%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  = 4.22% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.19% หมายเหตุ 1.การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ ทำ MRTA/GLTSP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี ทำ MRTA/GLTSP 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลากู้ ทำ MRTA/GLTSP 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ 2. อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR)** คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 4 ต.ค. 2565) 3.อัตราดอกเบี้ยแบบธนาคารออกค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% : ธนาคารออกค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% ของวงเงินรวม (สินเชื่อที่อยู่อาศัยรวมสินเชื่อ Home For Cash) ตามจำนวนเงินค่าจำนองในใบเสร็จของกรมที่ดินเท่านั้น (ไม่รวมค่าธรรมเนียมอื่น ๆ) สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อที่อยู่อาศัยภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ลงนามในสัญญากู้ทุกกรณี ลูกค้าต้องจ่ายค่าจดจำนองที่ธนาคารจ่ายให้คืนแก่ธนาคารทั้งจำนวน 4. สามารถขอสินเชื่อ Home For Cash แบบมีกำหนดระยะวลา (Term Loan) เพิ่มเติม สำหรับวัตถุประสงค์ : เพื่ออุปโภคบริโภค/ปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย/ชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย MRR ต่อปี ตลอดอายุสัญญา 5. เงื่อนไขอื่นๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2565 และทำนิติกรรมจำนองภายใน 30 วัน ทั้งนี้ ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขรายการส่งเสริมการขาย โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนก่อนหน้า ด้วยแคมเปญ อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.00% นาน 1 ปี หรือสามารถเลือกรับดอกเบี้ยทางเลือกฟรี ค่าจดจำนอง เมื่อซื้อประกันภัยคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ตามที่ธนาคารกำหนด และกรณีมีวงเงินเหลือ ยังมีแคมเปญที่สามารถกู้เพิ่ม สินเชื่อกรุงศรีโฮมฟอร์แคชได้อีกด้วย นอกจากนี้ ธนาคารยังมีโปรโมชั่น ฟรี ค่าประเมินหลักประกันมูลค่า 3,210 บาท ส่วนรายละเอียดของสินเชื่อรีไฟแนนซ์ มีดังนี้ วงเงินกู้ตั้งแต่ 1-1.5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.30% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.30% = 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.10%= 3.95% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.33% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.95% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.75% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย = 3.65% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-1.65%= 4.4% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 4.10% ทางเลือกที่ 3* ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.30% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.90% = 4.15% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.75% = 4.30% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.58% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 4.09% สำหรับวงเงินตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.175% = 2.875% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.88% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.60% ทางเลือก 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.00% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.45% = 3.60% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.20% = 3.85% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.71% ทางเลือก 3 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.50% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย = 3.50% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.80% = 4.25% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.42% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.87% ทางเลือก 4 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.70% = 3.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.35% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.35% ทางเลือกที่ 5 ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.925% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.12% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.74% หมายเหตุ -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พฤษภาคม​ 2563 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน ​–31 ธันวาคม​ 2565 โดยจดจำ​นองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 31 มกราคม​ 2566 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิดภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ -รายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติม สอบถามได้จากธนาคาร​ 4.ธนาคารกสิกรไทย อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้านของธนาคารกสิกรไทย  ข้อมูลของเว็บไซต์ธนาคารไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า และยังเป็นข้อมูลที่ระบุช่วงเวลาการยื่นกู้ตั้งแต่ วันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2565 มีรายละเอียด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.97% หมายเหตุ -MRR = 5.97% ( ณ วันที่ 22 พ.ค.63) อัตราดอกเบี้ยข้างต้นสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2565 5.ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ธนาคารเกียรตินาคินภัทร มีแคมเปญสินเชื่อสำหรับให้ลูกค้ารีไฟแนนซ์ คือ KKP Home Loan Refinance ให้วงเงินสูงสุด 50 ล้านบาท ดอกเบี้ยต่ำ สามารถกู้ร่วมกันได้สูงสุด 4 คนโดยเป็นบุคคลในครอบครัวเดียวกัน ฟรีค่าประเมินหลักประกัน* ซึ่งมีรายละเอียดของเดือนพฤศจิกายน เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ ทางเลือก ดอกเบี้ยแบบลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.84-3.04% เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมาคิดในอัตรา 2.59-2.79% ปีต่อไป MLR-1.50% =  5.275% เพิ่มขึ้น 0.25% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 5.025% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 3.04-3.24% เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมาคิดในอัตรา 2.79-2.99% ปีต่อไป MLR-1.50% = 5.275% เพิ่มขึ้น 0.25% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 5.025% เงื่อนไข -วงเงินคงเหลือต้องมากกว่า 500,000 บาท -บ้านต้องผ่อนกับสถาบันการเงินเท่านั้น -มีประวิติผ่อนชำระกับสถาบันการเงินเดิมไม่ต่ำกว่า 12 เดือน หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับกับปัจจัยอ้างอิง เช่น​ อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ​ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา​(MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ดังกล่าว​ โดยจะประกาศไว้ ณ ​ สถานที่ทำการที่ให้บริการ และเว็บไซต์ของ​ธนาคาร -MLR ณ วันที่ 7 ตุลาคม 2565 เท่า​กับ 6.775% ต่อปี -เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA) ผ่านธนาคารทุน​ประกันภัยเท่ากับวงเงิน กู้โดยมรีะยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปีกรณีที่ระยะเวลาการไถ่ถอนถึง​ 10 ปีให้ระยะเวลาเอา ประกันภัยเท่า​กับระยะเวลาการกู้ -กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปีแรก คิดค่า ​Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง -กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ย แบบฟรีค่าจดจำนอง​ หากลูกค้า​ Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อน​ระยะเวลาที่กำหนดไว้ทุก กรณีลูกค้าต้องชำระคืนค่าจดจำนองที่ธนาคาร สำรองจ่ายให้ธนาคาร -ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท ค่าอากรแสตมป์ร้อยละ 0.05 ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) -ค่าธรรมเนียมตดิ ตามทวงถามหนี้นค้างชำระ​ 1 งวด 50 บาท/รอบการทวงถามหนี้ค้างชำระมากกว่า ​1 งวด 100 บาท/รอบการทวงถามหนี้ -เบี้ยประกันอัคคีภัย เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด​ โดยผู้กู้สามารถเลือกทำ​ประกันกับบริษัท​ประกันที่น่าเชื่อถืออื่นใดก็ได้ ​ 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี มี อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโด ในเดือนพฤศจิกายน  2565 สำหรับ​ประเภทสินเชื่อรีไฟแนนซ์  กรณีไม่ขอวงเงินเพิ่ม  มีอัตราการคิดดอกเบี้ยไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา  ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำหรือเจ้าของกิจการ รายได้ 30,000 บาทขึ้นไป กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน น้อยกว่าหรือเท่ากับ 85% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.42% = 2.93% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.93% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.61% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.12% = 3.23% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.23% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.69% กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน มากกว่า 85% แต่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 100% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.22% = 3.13% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.13% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.67% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-3.92% = 3.43% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.43% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.75% กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน น้อยกว่าหรือเท่ากับ 85% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.% = 2.69% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.69% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.55% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.36% = 2.99% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.63% กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน มากกว่า 85% แต่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 100% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.46% = 2.89% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.60% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.16% = 3.19% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.19% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.68% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2564) กรณีขอวงเงินเพิ่ม สอบถามรายละเอียดกับทางธนาคารโดยตรง ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักทรัพย, ค่าอากรแสตมป์ และค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย 3 ปีแรก ทุกทางเลือก ยกเว้น ค่าจดจำนอง เฉพาะทางเลือก 1 และ 2 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบีมีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์  ประจำเดือนพฤศจิกายน ดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้น เฉลี่ย 3 ปีแรก 2.95% ต่อปี โดยมี​รายละเอียด​ไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-3.53% =2.75% หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย (MRR-1.63%)=4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.02% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.18%=3.1% หลังจากนั้น (MRR-1.63%)= 4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี อัตรา 3.10% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.14% ทางเลือก 3 (สมัครผลิตภัณฑ์ไม่ครบทั้ง 3 ประเภท) ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย (MRR-2.74%) = 3.54% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีดอกเบี้ย 3.54% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.29% สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อบ้าน สไมล์ โฮม หรือ สไมล์ โฮม พลัส 2.สมัครใช้บริการ หักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ทีทีบีเพื่อผ่อนช าระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ทีทีบี (กรณีที่มีบัตรเดบิต ทีทีบีแล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) ช่วยคุณประหยัดดอกเบี้ยได้มากขึ้น ผ่อนต่อเดือนน้อยลง และเป็นเจ้าของบ้านได้เร็วขึ้น เมื่อรีไฟแนนซ์บ้านกับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ยให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท  รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ นาน 3 ปี  ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท  ฟรี! ค่าจดทะเบียนจำนอง มูลค่า 1% ของเงินกู้สูงสุด 200,000 บาท  ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง หมายเหตุ  -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่ คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 3 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของธนาคาร -ธนาคารขอสงวนสิทธิเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แจ้งไว้ในเอกสารฉบับนี้ โดยไม่ ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ในกรณีที่ธนาคารเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนจำนองหลักประกันแทนผู้กู้หากผู้กู้มีความประสงค์จะไถ่ถอนหลักประกันและชำระหนี้คืนทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันเบิกใช้เงินกู้ ครั้งแรก ผู้กู้ตกลงคืนเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองหลักประกันตามจำนวนเงินที่ธนาคารได้ชำระไปให้แก่ธนาคาร ในวันที่ผู้กู้ได้ชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้น (ค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท) -ลูกค้าต้องสำรอง จ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ลูกค้าใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 30 วันทำการนับจากวันที่ลูกค้าจดจำนอง -MRR = 6.48% ตามประกาศธนาคาร https://www.ttbbank.com/th/rates/loan-interest-rates -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึง 31 ธันวาคม 2565 และจดจำนอง ภายใน 31 มกราคม 2565 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อทั่วไปที่รีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินอื่น โดยแคมเปญของธนาคารมีกำหนดระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 31 ธันวาคม ​2565 อัตราดอกเบี้ยจึงเท่ากับเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% ปีต่อไป MRR-0.72%= 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.242% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.90% ปีต่อไป MRR-0.72% = 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.174% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10 ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 21 กรกฎาคม​ 2565) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด -ระยะเวลาขอสินเชื่อ 1 กรกฎาคม ถึง ​31 ธันวาคม 2565 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำหรับธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส. ถือว่าเป็นธนาคารสำหรับการให้สินเชื่อเพื่อซื้อบ้านและคอนโด รวมถึงสินเชื่ออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรง มีสินเชื่อให้เลือกมากมายหลายประเภท สำหรับการรีไฟแนนซ์บ้านจากสถาบันการเงินอื่น มีสินเชื่อบ้านสุขสันต์ เพื่อให้ลูกค้าใช้บริการรีไฟแนนซ์  โดยอัตราดอกเบี้ยสำหรับเดือนนี้ ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา ​​โดยมีรายละเอียดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ แบบที่ 1 สำหรับกลุ่มลูกค้าสวัสดิการ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.25% (MRR-3.90%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.16%= 2.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.90%=3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.35% แบบที่ 2 สำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อย ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.35% (MRR-3.80%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย  MRR-3.06%= 3.09% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-2.80%=3.35% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.71% หมายเหตุ -นิยามคำว่า “อาคาร” หมายถึง บ้านเดี่ยว บ้านแฝดทาวน์เฮ้าส์ และอาคารพาณิชย์เพื่อที่อยู่อาศัย ยกเว้นแฟลต และบ้านเช่า -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ร้อยละ 0.1 ของวงเงินทำนิติกรรม -MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม​ 64 -กำหนดระยะเวลา ยื่นคำขอกู้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 – 30 ธันวาคม 2565 อนุมัติและทำนิติกรรม ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2565 (ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเต็มวงเงินของโครงการแล้ว) 10.ธนาคารยูโอบี สำหรับธนาคารยูโอบี มีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ UOB Home Loan – รีไฟแนนซ์ ​ ไม่รวมวงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์  ซึ่งอัตราดอกเบี้ยในเดือนพฤศจิกายน 65 มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า​ เนื่องจากมีการปรับอัตราดอกเบี้ย MRR ตามรายละเอียดดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.29%  (MRR-4.46%) อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.00% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.39% (MRR-4.36%) อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.04% ทางเลือก 3 แบบทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.39% (MRR-5.36%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.39% (MRR-2.36%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.39% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.99% ทางเลือก 4 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.49% (MRR-5.26%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.49% (MRR-2.26%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.49% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.03% หมายเหตุ -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น (Re-finance) ในช่วง​ระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้จะมีค่าปรับ​ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น​ ) -การอนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย​ MRR ปัจจุบัน เท่ากับ 7.75% ต่อปี (ตามประกาศธนาคาร ​​ณ วันที่ 3 ตุลาคม 2565) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้ และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตรา ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของ​ธนาคาร -ธนาคารยูโอบี ในฐานะนายหน้าประกันภัย​ (ใบอนุญาตประกันชวีติเลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศ​ภัย เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่นำเสนอ ผลิตภัณฑ์ประกันภัย และเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย​ และอำนายวความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิต ​โดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชวีติ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่า ประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็มม เอส ไอ จีประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จะเป็นผู้รับผิดชอบตาเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก ครั้ง​ 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ประจำเดือนพฤศจิกายน ซึ่งอัตราดอกเบี้ยยังไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า โดยมีรายละเอียดดังนี้ สำหรับผู้กู้รายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.59% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.35% = 2.00% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.55% = 3.80% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.56% แบบที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-4.75% = 2.60% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% สำหรับผู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป แบบที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.25% = 2.10% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.25% = 2.50% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.10% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.80% = 3.95% เพิ่มขึ้น 0.05% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด  3.90% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.85% เพิ่มขึ้น 0.15% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.47% เพิ่มขึ้น 0.84% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.63% แบบที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-4.95% = 2.79% เพิ่มขึ้น 0.09% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.70% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.79% เพิ่มขึ้น 0.09% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.47% เพิ่มขึ้น 0.78% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.69% ข้อกำหนดและเงื่อนไข -สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า Refinance ดอกเบี้ยพิเศษ เริ่ม 1.99% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป และเบิกรับเงินกู้ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2565 -วงเงินกู้เริ่มต้น 1 ล้านบาท และราคาประเมินหลักประกัน (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาท หรือ (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.5 ล้านบาท (โครงการจัดสรรทุกโครงการ) -อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขดังกล่าว สำหรับหลักประกันที่ได้รับการจัดสรรทุกโครงการในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ยกเว้น ที่ดินว่างเปล่า, อาคารพาณิชย์ -กรณีลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือสูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือเปลี่ยนแปลงสัญญาใดๆ ภายใน 5 ปีแรกทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำได้ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.75% (ณ วันที่ 19 ตุลาคม 2565) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -อัตราดอกเบี้ย หลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่นๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด 12 ธนาคารออมสิน อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สำหรับธนาคาออมสิน ประจำเดือนพฤศจิกายน  ​มีรายละเอียดอื่น ๆ ดังนี้ ​ สินเชื่อรีไฟแนนซ์ จากสถาบันการเงินอื่น สำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินกู้สินเชื่อต่ำกว่า 10 ล้านบาท แบบทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.99% (MRR-4.255%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.98% (MRR-3.265%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.144% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.24% (MRR-4.005%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 3.605%  (MRR-2.64%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.328% วงเงินกู้สินเชื่อมากกว่า 10 ล้านบาท  กลุ่มลูกค้าทั่วไป (เดือนที่ผ่านมาไม่ได้แยกวงเงินกู้) กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.99% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.755% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.5% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.089% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.24% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 3.38% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.00% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.274% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR = 6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท​ ระยะเวลา 20 ปี แบบผ่อนเท่ากันทุกงวด ​ -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่นๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไข โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า   ที่มา : Reviewyourliving รวบรวมจากข้อมูลเว็บไซต์แต่ละธนาคาร ณ วันที่ 2 พฤศจิกายน 2565   บทความที่เกี่ยวข้อง -อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนตุลาคม 2565 -อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนตุลาคม 2565  
เปิดเหตุผล  เซ็นทรัลพัฒนา  ทุ่ม 14,000 ล้าน ปั้นมิกยูสต์ 2 โปรเจ็กต์  ปักหมุด นครสวรรค์-นครปฐม

เปิดเหตุผล เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่ม 14,000 ล้าน ปั้นมิกยูสต์ 2 โปรเจ็กต์ ปักหมุด นครสวรรค์-นครปฐม

“เซ็นทรัลพัฒนา” ต่อยอดแผนธุรกิจ 5 ปี ปั้นมิกซ์ยูสโมเดลใหม่ยกระดับคุณภาพชีวิต ประกาศลงทุน รวม 14,000 ล้านบาท ขึ้น 2 โปรเจ็กต์ “เซ็นทรัล นครสวรรค์” และ “เซ็นทรัล นครปฐม” เตรียมเปิดให้บริการในปี ​2567 ปั้นเมืองศักยภาพ พาคู่ค้าเติบโตทั่วประเทศ   นายชนวัฒน์ เอื้อวัฒนะสกุล Chief Development and Commercial Officer บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ได้วางแผนต่อยอดแผนธุรกิจ 5 ปี (2565-2569) ด้วยการวางงบลงทุนรวม 14,000 ล้านบาท ในการพัฒนา 2 โครงการใหม่ ในจังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัดนครปฐม เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพ โดยเตรียมเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 1-2 ของปี 2567  ตามแผนธุรกิจ 5 ปี เราลงทุนในธุรกิจหลักของเรารวมกว่า 120,000 ล้านบาท และขยายโครงการกว่า 30 จังหวัดทั่วประเทศ จากความสำเร็จดังกล่าว จึงขยายโครงการใหม่ เซ็นทรัล นครสวรรค์ และ เซ็นทรัล นครปฐม ที่มีเป้าหมายเพื่อ สร้างเมืองใหม่-เจาะกลุ่มรายได้สูงมีไลฟ์สไตล์แบบคนเมือง-ขยายโอกาสธุรกิจเพื่อคู่ค้า ปักหมุดประตูสู่ภาคเหนือ “เซ็นทรัลนครสวรรค์” สำหรับจังหวัดนครสวรรค์ ซีพีเอ็นจะใช้งบประมาณ 5,800 ล้านบาท ในการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูส “เซ็นทรัล นครสวรรค์” ขนาดพื้นที่ 76,000 ตร.ม. บนที่ดิน 42 ไร่  ซึ่งนอกจากศูนย์การค้า จะยังมีโรงแรมขนาด 200 ห้อง, คอนโดมิเนียม และ Urban Park ขนาดใหญ่ 2 ไร่  และโรงพยาบาล​ โดยโครงการจะเปิดให้บริการช่วงไตรมาส 1/2567   โดยทางซีพีเอ็น วางแผนพัฒนา เซ็นทรัลนครสวรรค์ ให้เป็น แลนด์มาร์กใหม่เพื่อชีวิตที่มีคุณภาพ (Landmark of Quality Living) ซึ่งจะมีสวนขนาดใหญ่บนพื้นที่ 2 ไร่  “Urban Park” ซึ่งออกแบบให้เป็น Multi-Generation Space สำหรับทุกคนทุกวัยในครอบครัว ประกอบด้วย Playground, Pet’s Park และไฮไลท์อย่าง Longevity Hill ที่ดีไซน์ให้เป็น Vertical Walkway มี running track, bike track  มีการดีไซน์ Wellness Zone ภายในโครงการให้เชื่อมโยงกับ Neighbouring Component อย่างโรงพยาบาล ประกอบด้วย Fitness, Sport Anchors, Beauty Services เป็นต้น เป็นศูนย์การค้าที่มีคอนเซ็ปต์ดีไซน์ represent เมืองปากน้ำโพ ผสมผสาน Chinese meets Thai Culture เข้ามาในส่วนต่างๆ  ซึ่งมีสินค้าจากแบรนด์ต่าง ๆ รวมกว่า 400 แบรนด์ ซึ่งมีการออกแบบแต่ละโซนแบบ Holistic View ที่เชื่อมโยงแต่ละโซนอย่างเช่น Chinese Village ที่ประกอบด้วย Food Destination, Chinese Market, Authentic Café, Supermarket นอกจากนี้ยังมีร้านค้าแบรนด์ต่าง ๆ ในกลุ่มเซ็นทรัล ​ทั้งเซ็ลทรัลดีพาร์ทเมนท์สโตร์ ซูเปอร์สปอร์ต เพาเวอร์บาย ท็อปส์ บีทูเอส ออฟฟิศเมท ​และ go! WOW   โดยเหตุผลสำคัญที่ซีพีเอ็นลงทุนในจังหวัดนครสวรรค์ เป็นเพราะ 1.การเป็นเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจแห่งภาคเหนือตอนล่าง (New Rising Economic City) เป็นประตูสู่จังหวัดภาคเหนือ (Gateway to the north) และตั้งอยู่บนแนวพื้นที่พัฒนาเศรษฐกิจแนวเหนือ-ใต้ (North-South Economic Corridors (NSEC) และแผนเมกะโปรเจ็กต์ของภาครัฐ เช่น รถไฟความเร็วสูงสายเหนือ, รถไฟทางคู่สายนครสวรรค์-แม่สอด และส่วนต่อขยายของทางรถไฟสายเหนือ ศูนย์กลางด้านการขนส่งไปสู่จังหวัดภาคเหนือ (Logistic Hub)  นครสวรรค์เป็นจังหวัดศูนย์กลางด้านโลจิสติกส์ สำหรับการขนส่งสินค้าไปยังจังหวัดต่าง ๆ ในภาคเหนือ ซึ่งเซ็นทรัล นครสวรรค์ จะเป็นอีกหนึ่ง Hub สำคัญที่เชื่อมโยงโครงการของเซ็นทรัลพัฒนาในภาคกลางและภาคเหนือ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านโลจิสติกส์ให้กับคู่ค้าผู้เช่า ในการขยายโอกาสทางธุรกิจ 2.ศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยว (Hub of Cultural Tourism) นครสวรรค์ เป็นอีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยว และศูนย์รวมเอกลักษณ์วัฒนธรรมไทย-จีน เมืองปากน้ำโพ เพราะเป็นเมืองต้นกำเนิดแม่น้ำเจ้าพระยา มีชุมชนชาวจีนใหญ่เป็นอันดับ 3 ของประเทศ และเทศกาลตรุษจีนก็เป็นหนึ่งในเทศกาลใหญ่ของจังหวัด รองจากกรุงเทพฯ และภูเก็ต  เซ็นทรัลนครสวรรค์ จึงวางแผนดีไซน์ภายในศูนย์การค้าด้วยการชู Local Essence ผสมผสาน Thai-Chinese Culture เป็นอีกหนึ่ง Attraction ที่จะทำให้นครสวรรค์เป็นมากกว่าเมืองผ่าน สู่เมืองท่องเที่ยวที่ผู้คนต้องมาเยือน 3.มีกลุ่มครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีนที่กำลังซื้อสูง (Affluent Multi-Generation Families) กลุ่มครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน กำลังซื้อสูง หลากหลายช่วงวัย ไลฟ์สไตล์คนเมือง GPP หรือ ผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัว มีกว่า 120,000 บาทต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับจังหวัดขอนแก่น รายได้ต่อครัวเรือน (Household Income) มากกว่า 21,000 บาทต่อเดือน ซึ่งสูงกว่าจังหวัดเชียงราย มีกลุ่มครอบครัวคนรวย ซึ่งเป็นคนไทยเชื้อสายจีน (Multi-Generation Thai-Chinese Families) ครอบครัวคนไทยเชื้อสายจีน คนรวยนครสวรรค์ คือกลุ่มนักธุรกิจ คุ้นเคยกับ Urban lifestyle โดยจากข้อมูลที่เรามี ชาวนครสวรรค์เดินทางมาช้อปที่สาขาในกรุงเทพฯ จำนวนมาก อันดับหนึ่งคือ เซ็นทรัล ลาดพร้าว รองลงมาที่เซ็นทรัลเวิลด์ ประชากรในจังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัดใกล้เคียง ได้แก่ กำแพงเพชร, อุทัยธานี, ชัยนาท, ลพบุรี และพิจิตร มีรวมกว่า 1,000,000 คน อสังหาฯ ที่อยู่อาศัย (Housing Growth) เติบโต 6% ใน 5 ปี ราคาเฉลี่ยประมาณ 2.5 ล้านบาท พลิกที่ดิน 100 ไร่ ปั้น “เซ็นทรัลนครปฐม” 8,200 ล้าน แม้ว่าซีพีเอ็นจะมีโครงการใกล้เคียง ไม่ว่าจะเป็นเซ็นทรัล ศาลายา หรือเซ็นทรัล มหาชัย แต่ก็วางแผนพัฒนาโครงการ “เซ็นทรัล นครปฐม” มูลค่าโครงการ 8,200 ล้านบาท บนที่ดินเกือบ 100 ไร่ เพราะมองศักยภาพและโอกาสทางการตลาดของจังหวัดนครปฐม ที่สามารถพัฒนาโครงการออกมารองรับได้   โดยโครงการ เซ็นทรัล นครปฐม ประกอบไปด้วย ศูนย์การค้า ขนาดพื้นที่ 69,000 ตร.ม. โดยจะเปิดให้บริการช่วงไตรมาส 2/2567  โรงแรมขนาด 200 ห้อง โครงการคอนโดมิเนียม  หมู่บ้านจัดสรร และ Urban Park ขนาดใหญ่ 4 ไร่ ซึ่งเป็นการพัฒนาภายใต้แนวคิด เมืองคนรุ่นใหม่ ใส่ใจความยั่งยืนและพื้นที่ Co-Creation สำหรับทุกคน  ซึ่งเป็นการนำความสำเร็จในการสร้างพื้นที่ Semi-Public จากเซ็นทรัล จันทบุรีมาไว้ที่นี่ด้วย แต่ที่นครปฐมจะโดดเด่นด้วย พื้นที่กิจกรรมสำหรับทุกคนในครอบครัว, Community Leisure Park และพื้นที่งาน Art & Craft และพื้นที่ Co-Creation กับกลุ่มนักเรียน นักศึกษาหรือ Young Co-Creator / Younger Mind เซ็นทรัล นครปฐม ยังจะมีร้านค้าและแบรนด์สินค้าพันธมิตรธุรกิจในกลุ่มเซ็นทรัลเข้ามาเปิดบริหาร ได้แก่ บีทูเอส ออฟฟิศเมท  เพาเวอร์บาย ท็อปส์ มาร์เก็ต ซูเปอร์สปอร์ต และ​ go! WOW  นอกจากนี้ ยังมีโซนไฮไลท์อื่น ๆ อาทิ Pathom Landmark: สะท้อนความเจริญทางศิลปวัฒนธรรมและไลฟ์สไตล์ของคนนครปฐม, Pathom Samosorn: Authentic Lifestyle Food Destination กับพื้นที่ Semi-Outdoor Market และ Pathom Club เป็น Sport Fashion Destination ประกอบด้วยสินค้า Sport Fashion, Gadget, Fitness และ Running Track ที่เชื่อมต่อกับโซน Park ที่อยู่ใจกลางโครงการ สำหรับอาคารของโครงการ ยัง​ถูกพัฒนาภายใต้​มาตรฐาน Green Building มี Sustainable Design อาทิ Natural Light, Solar Roof ลดการใช้พลังงาน, Waste Management   ส่วนเหตุผลสำคัญที่ซีพีเอ็นเลือกพัฒนาโครงการในจังหวัดนครปฐม เป็นเพราะ 1.เป็นเมือง Strategic Move ในการขยายไปภาคตะวันตกโดยมีนครปฐมเป็น ประตูเชื่อมไปยังจังหวัดใกล้เคียงคือราชบุรี และกาญจนบุรี ทำเลที่ตั้งโครงการ อยู่ใกล้มหาวิทยาลัยและสถานที่สำคัญ ทำหน้าที่เป็น Center ของเมือง ตอบโจทย์ลูกค้าได้โดยไม่ต้องเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เดินทางสะดวกด้วยมอเตอร์เวย์ บางใหญ่-กาญจนบุรี และมอเตอร์เวย์ ชลบุรี-สระบุรี-นครปฐม ยุทธศาสตร์จังหวัด นครปฐมถูกวางให้เป็น Smart City และ Eco Industrial Town หรือเมืองอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ ที่สร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม สิ่งแวดล้อม และสังคมชุมชน 2.นครปฐมเมืองท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และธรรมชาติ (Heritage and Nature) Heritage: มีเสน่ห์ของเมืองเก่า และความรุ่งเรืองของ “อู่อารยธรรม” และแลนด์มาร์กสำคัญอย่างพระปฐมเจดีย์ โครงการเซ็นทรัล นครปฐมจึง เข้ามาต่อยอดความเป็นเมืองที่มีเสน่ห์และมีเรื่องราว Nature: เมืองที่มีพื้นที่สีเขียวตามธรรมชาติถึง 35-40% ของพื้นที่สีเขียวทั้งหมดของจังหวัด โครงการเซ็นทรัล นครปฐม ยังเพิ่มพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ให้กับเมืองด้วย 3.เป็นเมืองคนรุ่นใหม่ และมีรายได้สูง (Attractive & Powerful Spenders)   ติดอันดับ 10 จังหวัดที่มี GPP (ผลิตภัณฑ์จังหวัดต่อหัว) สูงที่กว่า 375,000 บาท มีความเติบโตทางเศรษฐกิจ รายได้ครัวเรือนสูง เติบโตจากปีที่แล้วถึง 5% อยู่ที่ประมาณ 34,000 บาท ต่อเดือน ประชากรกว่า 1,000,000 คน  ที่อยู่ในจังหวัดนครปฐม และยังขยาย New Catchment ไปราชบุรี กาญจนบุรี มีจำนวนคนในเมืองเดินทางเข้ามากว่า 200,000 คนในช่วงระหว่างสัปดาห์ คนในนครปฐม, คนทำงาน, นักเรียนนักศึกษา เป็น Universities Hub นับเป็นอีกหนึ่งกลุ่มประชากรหลักของเมือง เป็นกลุ่มที่ต้องใช้ชีวิต เรียนหนังสือ ไม่ได้แค่เดินทางไป-กลับ การเดินทางเข้ามาของนักท่องเที่ยวปีละกว่า 4 ล้านคน เป็นชาวไทย 97%, ต่างชาติ 3%ซึ่งจังหวัดนครปฐมตอบโจทย์นักท่องเที่ยว และนักเดินทางที่มาพักผ่อนในช่วงสุดสัปดาห์ อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เปิดงบลงทุน 120,000 ล้าน เซ็นทรัลพัฒนา ใช้ไปกับธุรกิจอะไรบ้าง -เซ็นทรัลพัฒนา ทุ่มงบ 120,000 ล้านบาทใน 5 ปี ตั้งเป้า องค์กร Mixed-use Developer รายแรกสู่ Net Zero ปี 2050
[Preview] M Life (สุขุมวิท – บางปู87) ทาวน์โฮมฟังก์ชั่นอารมณ์บ้านเดี่ยว

[Preview] M Life (สุขุมวิท – บางปู87) ทาวน์โฮมฟังก์ชั่นอารมณ์บ้านเดี่ยว

M Life (สุขุมวิท – บางปู87) ทาวน์โฮมฟังก์ชั่นอารมณ์บ้านเดี่ยว M Life (สุขุมวิท – บางปู87) ทาวน์โฮมฟังก์ชั่นอารมณ์บ้านเดี่ยวในทำเลใกล้รถไฟฟ้าสถานีบางปู ส่วนต่อขยาย (สายสีเขียว) ใกล้ห้างสรรพสินค้า อาทิ โลตัส บางปู บิ๊กซี โรบินสัน สมุทรปราการ และใกล้สถานศึกษา ตอบโจทย์การอยู่อาศัยได้หลายรูปแบบ โครงการใหม่ล่าสุดจาก Maison Development หรือ บริษัท เพลินพัฒน์ แอสเสท จำกัด     โครงการ M Life (สุขุมวิท – บางปู87) มีจุดเด่นที่แบบบ้านสวยสไตล์ Timeless Style เป็นบ้านทาวน์โฮมฟังก์ชั่นอารมณ์บ้านเดี่ยว ที่ให้มากถึง 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ 123 ตร.ว. พร้อมฟังก์ชั่นพิเศษภายในบ้านที่ให้มากกว่า เช่น ห้องนอน Master Bedroom มีห้องน้ำในตัว, ห้อง Multi Purpose และห้องรับรองพิเศษ Lounge Room ภายในโครงการมี Facility พร้อมทั้ง สวนสวย, สโมสร, ฟิตเนส และ สระว่ายน้ำระบบเกลือ รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชม.     แบบบ้านมีให้เลือกทั้งทาวน์โฮม 2 ชั้น และบ้านแฝด 2 ชั้น เพื่อตอบโจทย์ครอบครัวที่มีความต้องการหลากหลาย ในราคาเริ่มต้น 1.89 – 3.59 ลบ.*     ทำเลที่ตั้งใกล้สถานที่สำคัญ และสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย ห้างสรรพสินค้าชั้นนำ โลตัสบางปู (1.5 กม.) โรบินสันสมุทรปราการ (10.7 กม.) ตลาดบางปูใหม่ (1.3 กม.) โรงพยาบาล โรงพยาบาล รัทรินทร์ (3.8 กม.) สถานศึกษา โรงเรียนเอี่ยมสุรีย์ (0.5 กม.) วิทยาลัยเทคนิคสมุทรปราการ (5.2 กม.) สถานที่สำคัญ สถานตากอากาศบางปู (0.7 กม.)   โครงการอื่นๆ ที่น่าสนใจ สิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท-บางปู 58) บ้านสวยทำเลดีใกล้รถไฟฟ้า แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู บ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน ท่ามกลางบรรยากาศสุดชิล สิวารมณ์ วิลเลจ สุขุมวิท-เทพารักษ์ ทาวน์โฮมดีใกล้รถไฟฟ้า
อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนพฤศจิกายน 2565

อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนพฤศจิกายน 2565

ผลจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา ส่งผลให้ตอนนี้หลายธนาคารประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย MRR หรือ Minimum Retail Rate (อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำที่ธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี) กันหลายแห่งแล้ว แน่นอนส่งผลให้ อัตราดอกเบี้ยที่ธนาคารเรียกเก็บกับลูกค้ามีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย   สำหรับอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโดมิเนียม ในเดือนพฤศจิกายนนี้ มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง Reviewyourliving ได้รวบรวมมาให้เปรียบเทียบ สำหรับคนที่กำลังจะกู้เงินซื้อบ้าน หรือซื้อคอนโดกัน ซึ่งภาพรวมก็ปรับเพิ่มขึ้นหลายแห่งด้วยเหมือนกัน ลองไปดูกัน ​​ อัปเดต ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับธนาคารกรุงเทพ มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป  โดยอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ประจำเดือนพฤศจิกายน 2565 ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า เนื่องจากเอกสารที่ระบุอยู่ในเว็บไซต์ของธนาคาร ยังมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล โดยยังเป็นข้อมูลที่ใช้กับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม -30 มิถุนายน​ 2565  จึงคาดว่าธนาคารกรุงเทพ จะยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยเท่ากับช่วงเวลาดังกล่าว ​ซึ่งมีการคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.2% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป ลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.45% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.45%  (MRR-0.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.45% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.9% ลูกค้าทั่วไปวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.7%(MRR-1.25%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075%(MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58% -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก MRR-1.20% หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า 500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่  10 พฤษภาคม​ – 30 มิถุนายน​ 2565 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 7 ธันวาคม​ 2564 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข 2.ธนาคารกรุงไทย สำหรับธนาคารกรุงไทย ได้อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนที่ผ่านมา  โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ทางเลือกที่ 1 แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.77% (MRR-3.45%) ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 2.77% (MRR-3.45%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.77% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.22% ทางเลือกที่ 2 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.87% (MRR-3.35%) ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 2.87% (MRR-3.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี =2.87% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.26% ทางเลือกที่ 3 แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.92% (MRR-2.30%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.96% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.26% ทางเลือกที่ 4 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.25 ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.97% (MRR-2.25%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี =  3.06% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.30% เพิ่มขึ้น หมายเหตุ : 1.การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ *ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลากู้ -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี (การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ เป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการอนุมัติสินเชื่อ) 2.อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR)**คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,600 บาท/เดือน MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 4 ตุลาคม 2565) 3.สามารถขอสินเชื่อ Home For Cash แบบมีกำหนดระยะเวลา (Term Loan) เพิ่มเติม สำหรับวัตถุประสงค์ : เพื่ออุปโภคบริโภค / ปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย /ชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย MRR ต่อปี ตลอดอายุสัญญา 4.เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2565 และทำนิติกรรมจำนองภายใน 30 วัน ทั้งนี้ ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขรายการส่งเสริมการขาย โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี  เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมิน  และธนาคารยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยสำหรับการกู้ซื้อบ้านและคอนโด ยังคงเท่ากับเดือนที่ผ่านมา  เนื่องจากมีระยะเวลาการสิ้นสุดแคมเปญถึง 31 ธันวาคมนี้ โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.925% (MRR-2.125%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.93% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = 4.45% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 2.50%   เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 415% (MRR-1.9%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-1.5%) ปีที่ 3อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-1.5%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.14% ลดลง 0.07% จากเดือนที่ผ่านมาคิดอัตราดอกเบี้ย  4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.54% เพิ่มขึ้น 0.02% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.675% (MRR-2.375%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.675% (MRR-2.375%) ปีที่ 3อัตราดอกเบี้ย 3.675% (MRR-2.375%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.68% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.22% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.99%  เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.15%  (MRR-1.9%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.35% (MRR-1.7%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.35% (MRR-1.7%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.92% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.33% หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2563 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน​ – 31 ธันวาคม 2565 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป  ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยแบ่งการพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 30,000-50,000 บาท และกลุ่มลูกค้าที่มีรายได้ต่อเดือน 50,000 บาท ​โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ กลุ่มที่มีรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 30,000-50,000 บาท* อาชีพรายได้ประจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = MRR+0.93% = 6.9% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  6.90% ลดลง 0.82% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย 7.72% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 6.94% ลดลง 0.78% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย  7.72% ลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = MRR+1.43% = 7.4% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 7.40% ลดลง 0.82% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดอัตราดอกเบี้ย 8.22% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 7.44% ลดลง 0.78% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 8.22% กลุ่มที่มีรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไป** อาชีพรายได้ประจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = MRR-0.07% = 5.9% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  5.9% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.94% ลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = MRR+0.43% = 6.4% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 6.40% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 6.44% *หมายเหตุ -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่ 12 ตุลาคม 2565 - 30 ธันวาคม 2565 จดจำนองภายใน วันที่ 31 มกราคม 2566 -วงเงินกู้ไม่เกิน 80% ของราคาซื้อขาย และไม่เกิน 80% ของราคาประเมินหลักประกัน -อัตราดอกเบี้ยข้างต้นสำหรับลูกค้าที่มีรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 30,000 ถึงน้อยกว่า 50,000 บาทและทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อบ้านตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวใช้สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภท ยกเว้นการปล่อยกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า โดยสำหรับอาคารพาณิชย์ ต้องเป็นบ้านใหม่ / บ้านมือหนึ่ง / บ้านพร้อมโอน (ไม่รวมอาคารพาณิชย์สั่งสร้าง) **หมายเหตุ -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2565 - 30 ธันวาคม 2565 และจดจำนองภายใน วันที่ 31 มกราคม 2566 -วงเงินกู้ไม่เกิน 80% ของราคาซื้อขาย และไม่เกิน 80% ของราคาประเมินหลักประกัน -อัตราดอกเบี้ยข้างต้นสำหรับลูกค้าที่มีรายได้ต่อเดือนตั้งแต่ 50,000 บาทขึ้นไปและทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อบ้านตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวใช้สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภท ยกเว้นการปล่อยกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า โดยสำหรับอาคารพาณิชย์ ต้องเป็นบ้านใหม่ / บ้านมือหนึ่ง / บ้านพร้อมโอน  (ไม่รวมอาคารพาณิชย์สั่งสร้าง) 5.ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ธนาคารเกียรตินาคินภัทร มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (KKP Home Loan เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย) กรณี บ้านใหม่ : ซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด ซึ่งมีการคิดอัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนที่ผ่านมาเล็กน้อย โดยไม่มีการคิดอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ 1 ปีแล้ว มีเฉพาะดอกเบี้ยลอยตัว โดยมีอัตราดอกเบี้ย  ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.84-3.04% เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.4-3.062% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.04-3.24% เพิ่มขึ้น 0.25-0.562% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.5-2.75% หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่ 7 ตุลาคม​ 2563 เท่กับ 6.775% ต่อปี 3.เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง หากลูกค้า Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท  ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.ค่าธรรมเนียมติดตามทวงถามหนี้ ค้างชำระ 1 งวด 50 บาท/รอบการทวงถามหนี้ ค่างชำระมากกว่า 1 งวด 100 บาท/รอบการทวงถามหนี้ 8.เบี้ยประกันอัคคี เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด 30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู  ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เท่ากับเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารซีไอเอ็มบี มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.65% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.1%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.65% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.47% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย  4.55% (MRR-2.8%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.95% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.55% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 5.15% หมายเหตุ -สำหรับซื้อบ้านและคอนโดจากโครงการทั่วไป -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.75% ประกาศ ณ วันที่ 5 ตุลาคม 2565) 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป โดยยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยจากเดือนที่ผ่านมา มีรายละเอียดดังนี้ ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-2.23%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.66% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.6% (MRR-1.88%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.6% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.77% ทางเลือก 3 (ไม่สมัครผลิตภัณฑ์ครบ 3 รายการ) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.85% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.85% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา ดอกเบี้ย 4.85% รายละเอียดเงื่อนไข สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 3 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของธนาคาร -ธนาคารขอสงวนสิทธิเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แจ้งไว้ในเอกสารฉบับนี้ โดยไม่ ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ในกรณีที่ธนาคารเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนจำนองหลักประกันแทนผู้กู้หากผู้กู้มีความประสงค์จะไถ่ถอนหลักประกันและชำระหนี้คืนทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันเบิกใช้เงินกู้ ครั้งแรก ผู้กู้ตกลงคืนเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองหลักประกันตามจำนวนเงินที่ธนาคารได้ช าระไปให้แก่ธนาคาร ในวันที่ผู้กู้ได้ชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้น (ค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท) -กค้าต้องสำรอง จ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ลูกค้าใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 30 วันทำการนับจากวันที่ลูกค้าจดจำนอง -MRR = 6.48% ตามประกาศธนาคาร https://www.ttbbank.com/th/rates/loan-interest-rates -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึง 30 ธันวาคม 2565 และจดจำนอง ภายใน 31 มกราคม 2566 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา  คิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.95% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย แบบทำประกัน Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ 10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) -ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี (ประกาศ ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยะเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด -สมัครขอใช้สินเชื่อตั้งแต่ 1 กรกฎาคม – 31 ธันวาคม 2565 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2565  มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากแคมเปญสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2565  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.15% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.9% (MRR-2.25%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.4%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญา  5.4% หมายเหตุ -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม -30 ธันวาคม 2565   (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติมวงเงินของโครงการแล้ว) -อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินกู้และทุกบัญชีเงินกู้ภายใต้หลักประกันเดียวกัน 10.ธนาคารยูโอบี สำหรับธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโครงการหมู่บ้านทั่วไป  โดย อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด มีการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากปรับอัตราดอกเบี้ย MRR โดยคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.95% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.8%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.95% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.26% เพิ่มขึ้น 0.39% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.87% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.15% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.75% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.15% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.34% เพิ่มขึ้น 0.39% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.95% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.4% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 0.4% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  5.35% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.95% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.05% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.28% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.88% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.6% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.2% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.55% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 5.15% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.36% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.96% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาคารยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.75% ต่อปี (ตามประกาศธนาคาร วันที่ 3 ตุลาคม 2565) อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น (Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น) -การอนุมัติสินเชื่อ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย (ใบอนุญาตประกันชีวิต เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศภัย เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย สินเชื่อบ้าน โฮมโลน โดนใจ ที่คิดดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 1.9%  โดยเดือนนี้ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีการคิดอัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลงรายละเอียดจากช่วงเดือนที่ผ่านมาเล็กน้อย ดังนี้ แบบที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย  1.9% (MRR-5.85%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 2.30% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 1.9% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.75% ลดลง 0.1% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.85% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  2.65% เพิ่มขึ้น 0.1% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.41% เพิ่มขึ้น 0.87% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.54% แบบที่ 2 ปีที่ 1 ดอกเบี้ยคงที่ 1.99% ลดลง 0.51% จากเดือนที่ผ่านมาคิด 2.5% ปีที่ 2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.5% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.2% เพิ่มขึ้น 1.7% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.50% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.9% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.50% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.48% เพิ่มขึ้น 0.91% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.57% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.59% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.59% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.4% แบบที่ 4 ปีที่ 1 คงที่ 1.99% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.2% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.8% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46%   เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1%  ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใดๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำได้ -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 5.00% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.50% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.75% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.75% (ณ วันที่ 19 ต.ค. 65) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่างๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่วันนี้ - 31 ธันวาคม 2565 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีโปรโมชั่น สินเชื่อเคหะ สำหรับให้บริการผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไปซื้อบ้านหรือคอนโด  โดยปลอดชำระเงินงวด 6 เดือนแรก เมื่อพ้นระยะปลอดชำระหนี้ สามารถเลือกผ่อนต่ำ ล้านละ 3,500 บาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน ​ โดยมีรายละเอียดสำหรับสินเชื่อกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ประจำเดือนพฤศจิกายน ดังนี้ วงเงินกู้สินเชื่อต่ำกว่า 10 ล้านบาท  กลุ่มลูกค้าทั่วไป กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.99% เพิ่มขึ้น 0.04% จากเดือนที่ผ่านมาคิด 1.95% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.98% เพิ่มขึ้น 0.105% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 2.875% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.65% เพิ่มขึ้น 0.15% จากดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.5% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.144% เพิ่มขึ้น 0.059% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 4.085% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.24% เพิ่มขึ้น 0.04% จากเดือนก่อนหน้าคิด 2.20% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.605% ลดลง 0.02% จากเดือนก่อนหน้าคิด 3.625% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.15% คิดเท่ากับเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.328% เพิ่มขึ้น 0.001% จากเดือนที่ผ่านมาคิด  4.327% วงเงินกู้สินเชื่อมากกว่า 10 ล้านบาท  กลุ่มลูกค้าทั่วไป (เดือนที่ผ่านมาไม่ได้แยกวงเงินกู้) กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.99% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.755% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.5% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.089% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.24% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 3.38% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.00% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.274% เงื่อนไขการผ่อนชำระ -ปีที่ 1 ผ่อนชำระ 2,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 2 ผ่อนชำระ 4,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 3 ผ่อนชำระ 5,500 บาทต่อเดือน หมายเหตุ –การทำประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ เป็นการทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ โดยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด -เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อตามโปรโมชั่น สมัครบริการ MyMo และผลิตภัณฑ์/บริการอื่น อย่างน้อย 2 ประเภท ได้แก่ บัตรอิเล็กทรอนิกส์/ บัตรเครดิตหรือสินเชื่อบัตรเงินสด/ ชำระสินเชื่อหักผ่านบัญชี/ หน่วยงานหักเงินนำส่งชำระหนี้ / จ่ายตรงเงินเดือน / ประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ ทั้งนี้ หากลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นตามที่กำหนดอยู่แล้ว สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้ และกรณีไม่มี Smartphone ให้สมัครผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นของธนาคารตามที่กำหนดทดแทนได้ -การปลอดชำระเงินงวด คือ ระยะเวลาปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย เป็นระยะเวลาที่ธนาคารยังคงคิดดอกเบี้ยตามสัญญากู้เงิน -*กรณี ฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง ให้ตามที่จ่ายจริง (รวมทุกสัญญาที่กู้ในคราวเดียวกัน) โดยลูกค้าต้องสำรองจ่ายค่าธรรมเนียมจดจำนองแก่กรมที่ดินไปก่อน ทั้งนี้ กรณีจำนวนเงินที่จ่ายตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป ต้องเสียภาษี ณ ที่จ่าย ร้อยละ 1.00 ของเงินค่าจดจำนอง โดยธนาคารจะโอนเงินหลังหักภาษี ณ ที่จ่าย คืนเข้าบัญชีเงินฝากเผื่อเรียกของลูกค้าภายใน 30 วันทำการ นับจากวันที่จดจำนองแล้วเสร็จ -กรณีผู้กู้ชำระคืนเงินกู้ก่อนกำหนด เฉพาะกรณีไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด (Prepayment) เพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามที่ธนาคารกำหนด (ปัจจุบันร้อยละ 3.00 ของยอดเงินต้นคงเหลือ) ทั้งนี้ กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง หากผู้กู้ชำระหนี้ปิดบัญชีในทุกกรณี ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้จะต้องชำระค่าธรรมเนียมจดจำนองคืนแก่ธนาคารเต็มจำนวน -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่นๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ยื่นกู้ภายในวันที่ 15 มกราคม 2566 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566   หมายเหตุ Reviewyourliving รวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ธนาคาร ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2565   บทความที่เกี่ยวข้อง -อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนตุลาคม 2565 -อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนตุลาคม 2565
10 วิธีแก้ปัญหา ผ่อนบ้าน-ผ่อนคอนโด ไม่ไหว ?

10 วิธีแก้ปัญหา ผ่อนบ้าน-ผ่อนคอนโด ไม่ไหว ?

ผ่อนบ้านไม่ไหว การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบมากมายหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตประจำวัน การอยู่อาศัย การทำมาหากิน และภาพรวมเศรษฐกิจ ซึ่งทุกภาคส่วนต่างก็ได้รับผลกระทบแทบทั้งสิ้น แต่อาจจะได้รับผลกระทบแตกต่างกันออกไป   อย่างเรื่องการงานและรายได้ หลายคนอาจจะมีรายได้ลดลง จากระยะเวลาการทำงานลดลง หรือบางคนอาจจะได้รับผลกระทบหนัก จนถึงขั้นกับว่างงาน เพราะบริษัทเลิกจ้างหรือเลิกกิจการลงก็มีไม่น้อย แน่นอนว่าคนที่รายได้ลดลง ย่อมส่งผลต่อการจับจ่ายใช้สอยประจำเดือนแน่นอน ยิ่งคนไหนมีภาระต้องผ่อนบ้านหรือผ่อนคอนโดมิเนียม อาจจะผ่อนต่อไม่ไหว เริ่มมีปัญหาเงินไม่พอที่จะผ่อนบ้านหรือผ่อนคอนโด และบางคนจะได้รับผลกระทบหนัก จนขาดส่งติดต่อกันมาหลายเดือนแล้วก็ได้   อย่างไรก็ตาม​ สำหรับใครที่มีปัญหาด้านการเงิน และมีปัญหาเกี่ยวกับการผ่อนบ้านและคอนโด ต้องรีบวางแผนให้ดีตั้งแต่เนิน ๆ อย่าปล่อยให้ปัญหาลุกลามจนเสียประวัติ ติดแบล็กลิสต์ หรือรุนแรงจนถึงขั้นถูกยึดทรัพย์ ถูกฟ้องร้องจากสถาบันการเงินเลย หากเริ่มมีปัญหาต้องวางแผนและหาทางออกตั้งแต่เนิ่น ๆ หากผ่อนบ้านไม่ไหว หรือผ่อนคอนโด ไม่ไหวแล้ว   วันนี้ Reviewyourliving มีแนวทางสำหรับแก้ไขปัญหา ถ้าผ่อนบ้านไม่ไหว หรือแม้แต่ผ่อนคอนโดไม่ไหวก็ตาม มาแนะนำให้ทุกคนนำไปปรับใช้ให้เหมาะกับแต่ละบุคคล เพราะปัจจุบันแม้การแพร่ระบาดของโควิด-19 จะดีขึ้น แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้กลับมาเป็นปกติ ภาวะเศรษฐกิจก็เพิ่งจะเริ่มฟื้นตัวเท่านั้น หลายคนจึงยังอาจจะเผชิญกับปัญหาการเงินอยู่ และหากใครผ่อนบ้านหรือผ่อนคอนโดไม่ไหวจริง ๆ ทางออกก็มีหลายทาง ไม่ใช่แค่ให้ทางธนาคารยึดทรัพย์เท่านั้น ลองมาดูกันว่าทางออกที่ว่ามีอะไรบ้าง ​ เก็บบ้านไว้หรือปล่อยให้โดนยึด ก่อนอื่น เมื่อเริ่มมีปัญหาการเงิน ต้องวิเคราะห์ตัวเอง และสถานะทางการเงินของตัวเองว่า จะสามารถผ่อนบ้านหรือผ่อนคอนโดต่อไปได้อีกกี่เดือน อย่าปล่อยให้ปัญหาสะสมจนต้องเสียประวัติ หรือเสียเครดิต เพราะจะส่งผลต่อการเจรจราต่อรองกับทางธนาคาร หากต้องการได้รับการช่วยเหลือต่าง ๆ ดังนั้น แนวทางเริ่มต้นของการแก้ปัญหา ผ่อนบ้านไม่ไหว หรือผ่อนคอนโดไม่ไหว คือ ถามตัวเองว่าจะยังต้องการบ้านหรือคอนโดที่ผ่อนอยู่หรือไม่ ซึ่งวิธีการแก้ไขปัญหาจะแตกต่างกัน ดังนี้ 1.กรณีไม่ต้องการบ้านหรือคอนโดที่ผ่อนอยู่แล้ว สำหรับผู้ที่รู้สึกว่าไม่อยากจะเก็บบ้านหรือคอนโดไว้แล้ว เพราะอาจจะมีปัญหายังว่างงานอยู่ หรือมีภาระค่าใช้จ่ายสูงจนไม่สามารถผ่อนต่อไหว ไม่อยากเก็บบ้านหรือคอนโดไว้เป็นภาระด้านการเงิน ทางออกก็คงจะมีทางเลือกเดียว คือ การประกาศขายบ้านหรือคอนโดนั้น ซึ่งมี 2 วิธี ดังนี้ -ประกาศขายคอนโด หรือขายบ้านให้กับบุคคลทั่วไป -ขายคืนให้กับธนาคาร การขายบ้านคืนให้ธนาคาร  หลายคนอาจจะไม่รู้ว่า หากเราไม่สามารถผ่อนบ้านหรือผ่อนคอนโดกับทางธนาคารได้ไหว เรายังสามารถเอาบ้านหรือคอนโดที่เราผ่อนชำระอยู่ขายคืนให้กับธนาคารได้ ในราคาที่ผ่อนไปแล้ว แต่ทั้งนี้ การที่ธนาคารจะรับซื้อคืนหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่กับการพิจารณาของธนาคารเป็นหลักด้วย 2.กรณียังต้องการบ้านหรือคอนโดที่ผ่อนอยู่ต่อไป สำหรับคนที่ยังต้องการจะเก็บบ้านหรือคอนโดเอาไว้ เป็นทรัพย์สินหรือการอยู่อาศัย และพร้อมจะกลับมาผ่อนชำระให้เป็นปกติเมื่อมีรายได้ดีเหมือนเดิม อาจจะต้องใช้วิธีการเจรจากับทางธนาคารที่กู้ เพื่อหาทางออกร่วมกัน ว่าจะมีวิธีอะไรบ้างที่สามารถทำได้ ซึ่งเชื่อว่าธนาคารพร้อมจะหาหนทางให้กับผู้กู้ เพราะในความจริงแล้วธนาคารไม่ได้อยากได้บ้านหรือคอนโดนั้น แต่ต้องการเงินต้นและดอกเบี้ยคืนมากกว่า  ลองมาดูว่ามีวิธีการแก้ไขปัญหานี้อย่างไรบ้าง 1.พักชำระหนี้ วิธีการนี้ เป็นการขอหยุดชำระค่างวดผ่อนบ้านหรือผ่อนคอนโดไว้เป็นการชั่วคราว หรือบางกรณีที่มีวิกฤติทางเศรษฐกิจ ทางธนาคารก็มักจะออกมาตรการนี้มาช่วยเหลือลูกหนี้  เพื่อบรรเทาความเดือดร้อน  ซึ่งแม้ว่าเราจะไม่ต้องส่งเงินค่างวดให้ทางธนาคารภายในระยะเวลาที่ธนาคารกำหนด แต่ธนาคารยังคงคิดดอกเบี้ยของแต่ละงวดต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ได้หยุด และจะมาเรียกเก็บกับลูกหนี้ภายหลัง โดยอาจจะเรียกเก็บเงินค่างวดพร้อมดอกเบี้ยครั้งเดียว หรือเฉลี่ย ๆ เป็นงวดก็แล้วแต่เงื่อนไขของทางธนาคาร 2.ขอขำระค่าผ่อนบ้านต่ำกว่าปกติ หากค่าผ่อนบ้าน ผ่อนคอนโดในแต่ละเดือนสูงเกินกว่าที่เราจะผ่อนไหว การเจรจากับธนาคารเพื่อขอประนอมหนี้ลดเงินส่งต่อเดือนลงให้เหมาะสมกับรายได้ปัจจุบัน แต่เงื่อนไขนี้ ทางธนาคารมีหลักเกณฑ์พิจารณา คือ ยอดชำระต่อเดือนต้องสูงกว่ายอดดอกเบี้ยต่อเดือนอย่างน้อย 500 บาท และการขอประนอมหนี้วิธีนี้สามารำทำได้เพียงครั้งเดียว มีกำหนดระยะเวลาการผ่อนที่ต่ำกว่าปกติได้นานไม่เกิน 2 ปี ทั้งนี้ ผู้ขอจะต้องมีประวัติการผ่อนชำระที่ดีด้วย และเหมาะกับผู้ที่มีรายได้ประจำแต่รายได้ลดลง มากกว่าผู้ที่ไม่มีรายได้เลย 3.ขอชำระเฉพาะดอกเบี้ย ในบางช่วงบางกรณี เช่น เกิดวิกฤตเศรษฐกิจขนาดใหญ่ หรือช่วงนี้มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 หรือลูกหนี้อยู่ในพื้นที่ได้รับภัยพิบัติทางธรรมชาติ เช่น น้ำท่วมใหญ่ ธนาคารอาจจะมีมาตรการออกมาช่วยเหลือลูกหนี้ หรือลูกหนี้อาจจะเจรจากับทางธนาคาร เพื่อขอชำระค่างวดผ่อนบ้านหรือผ่อนคอนโด ในส่วนที่เป็นดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวก็ได้ แต่เกณฑ์การพิจารณาสำคัญก็อยู่กับแต่ละธนาคาร และลูกหนี้จะต้องมีประวัติการผ่อนชำระที่ดี เป็นผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหานั้นจริง ๆ ซึ่งวิธีนี้ธนาคารมักจะให้ผ่อนชำระได้สูงสุดไม่เกิน 12 เดือนและสามารถขอใช้วิธีนี้ได้เพียงครั้งเดียว 4.ขยายเวลาชำระหนี้ หากเรายังพอมีรายได้เข้ามา แต่ไม่เพียงพอจะชำระค่าผ่อนบ้าน หรือผ่อนคอนโด ในจำนวนเท่าเดิมได้ การขอขยายเวลาชำระหนี้ให้ยาวออกไป ก็จะช่วยทำให้ค่าผ่อนบ้าน หรือค่าผ่อนคอนโดในแต่ละเดือนลดลงได้ หรืออาจจะเหมาะสมกับรายได้ของลูกหนี้ในเวลานั้น  ซึ่งทางธนาคารสามารถขยายระยะเวลาให้ลูกหนี้ได้นานสูงสุดถึง 30 ปี แต่ทั้งนี้อายุของผู้กู้เมื่อรวมกับระยะเวลาการขอขยายจะต้องไม่เกิน 70 ปี ที่สำคัญหากมีค่าดอกเบี้ยที่ค้างอยู่ก็ต้องชำระให้หมดก่อนด้วย 5.เปลี่ยนตัวลูกหนี้ หากเรา ผ่อนบ้านไม่ไหว หรือ ผ่อนคอนโดไม่ไหวจริง ๆ อาจจะใช้วิธีการเปลี่ยนตัวลูกหนี้รายใหม่ ที่ทำสัญญาเงินกู้กับทางธนาคารแทนตัวเรา ซึ่งบุคคลที่มาเป็นลูกหนี้แทนเรานั้น อาจจะเป็นบุคคลที่เรารู้จัก หรือญาติพี่น้องกับเรา ที่มีการตกลงกันในรายละเอียดกันไว้ระหว่างเรากับคนที่จะมาเป็นลูกหนี้แทน ซึ่งเราต้องทำการแจ้งกับธนาคารเพื่อขอเปลี่ยนตัวลูกหนี้ ที่สำคัญผู้ที่จะเป็นลูกหนี้แทนเราก็คงต้องมีคุณสมบัติครบตามหลักเกณฑ์ของแต่ละธนาคาร และการพิจารณาก็ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคารด้วยว่าจะอนุมัติหรือไม่อย่างไร 6.หาคนช่วยผ่อน/ผู้กู้ร่วมเพิ่ม นอกจากการเปลี่ยนตัวลูกหนี้แล้ว อีกวิธีที่จะช่วยทำให้เรายังสามารถผ่านวิกฤตนี้ไปได้ คือ การหาคนมาช่วยผ่อน อาจจะเป็นญาติพี่น้อง พ่อ แม่ สามี ภรรยา ซึ่งต้องเป็นบุคคลที่มีความสัมพันธ์กัน โดยเป็นการเพิ่มชื่อเข้ามาในสัญญากู้เงินในลักษณะผู้กู้ร่วมนั่นเอง โดยเกณฑ์การพิจารณาก็เป็นไปตามเงื่อนไขของทางธนาคาร ซึ่งเราต้องเตรียมเอกสารของบุคคลนั้น พร้อมกับการแจ้งกับธนาคารที่เรากู้เงินอยู่ สามารถเพิ่มชื่อผู้กู้ร่วมได้สูงสุด 2 คน 7.รีเทนชั่น/ขอลดดอกเบี้ย วิธีนี้ อาจจะไม่เป็นที่รู้จักหรือคุ้นเคยกับคนส่วนใหญ่ เพราะเรามักจะได้ยินวิธีการรีไฟแนนซ์มากกว่า ซึ่งการรีเทนชั่น คือ วิธีการขอเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้กับธนาคารเดิม เพื่อลดอัตราดอกเบี้ยให้ต่ำลง หรือการขอลดดอกเบี้ยนั่นเอง แต่วิธีการนี้อัตราดอกเบี้ยไม่ได้ลดลงมากนัก จะอยู่ในช่วง 0.25-0.50% เท่านั้น ซึ่งหากเปรียบเทียบกับการรีไฟแนนซ์ อาจจะได้อัตราดอกเบี้ยที่ถูกกว่า เพราะมักจะมีโปรโมชั่นพิเศษมานำเสนอ และวิธีนี้กการพิจารณาของธนาคารก็ยังจะต้องดูคุณสมบัติ และประวัติของผู้กู้ประกอบการพิจารณาด้วย 8.รีไฟแนนซ์ เป็นหนึ่งวิธียอดฮิตที่ใคร ๆ หลายคนมักนิยมทำ หากผ่อนชำระไปครบกำหนด 3 ปีแล้ว และเห็นว่าอัตราดอกเบี้ยในขณะนั้นถูกกว่าตอนแรกที่กู้ซื้อบ้านหรือคอนโดมา หรือเห็นว่าราคาบ้านหรือคอนโด ขยับเพิ่มสูงมากขึ้นซึ่งสามารถจะทำการรีไฟแนนซ์เพื่อให้มีวงเงินเหลือ หรือการขยายระยะเวลาการผ่อนชำระให้นานขึ้น เพื่อให้ค่าผ่อนบ้านหรือคอนโดต่องวดลดต่ำลงให้เหมาะสมกับสถานะทางการเงินปัจจุบันของผู้กู้ 9.ขอโอนบ้านให้ธนาคารชั่วคราว เพื่อซื้อคืนภายหลัง ทางเลือกที่ยังจะทำให้เรามีบ้านหรือคอนโด แม้ว่าเราจะมีรายได้ลดหรือขาดรายได้จน ผ่อนบ้านไม่ไหว ก็คือการโอนบ้านหรือคอนโดให้กับธนาคารเป็นการชั่วคราว และจะกลับมาซื้อคืนภายหลัง ซึ่งปกติธนาคารจะรับโอนบานหรือคอนโด โดยหักนี้ในจำนวนไม่เกิน 90% ของราคาบ้านหรือคอนโด หากมีหนี้ส่วนเกินลูกหนี้จะต้องชำระหนี้ให้หมดในวันโอนด้วย   เมื่อโอนบ้านหรือคอนโดให้ธนาคารแล้ว เรายังคงอาศัยอยู่ต่อไปได้ปกติ ซึ่งวิธีการนี้มีลักษณะเหมือนการขายฝากบ้านหรือคอนโด และเราก็เช่าบ้านหรือคอนโดของตัวเองอยู่ โดยทางธนาคารจะมีอัตราค่าเช่าคิดเป็น 0.4-0.6% ของมูลค่าบ้านหรือคอนโด และมีกำหนดการทำสัญญาเป็นรายปี เป็นอีกวิธีที่จะช่วยให้เราผ่านวิกฤตนี้ไปได้ 10.การรวมหนี้ ลูกหนี้หลายคนอาจจะไม่ได้เป็นหนี้เฉพาะค่าผ่อนบ้านหรือผ่อนคอนโดเท่านั้น อาจจะมีหนี้อื่น ๆ เช่น ผ่อนสินค้า บัตรเครดิต ซึ่งอาจจะทำให้แต่ละเดือนจะต้องชำระหนี้หลายทาง และรวมกันเป็นเงินจำนวนมาก ทำให้ไม่สามารถผ่อนชำระหนี้ในแต่ละเดือนได้ไหว การรวมหนี้ไว้ก้อนเดียวกัน และชำระเพียงเจ้าหนี้รายเดียวก็จะช่วยทำให้อัตราการผ่อนต่อเดือนลดลง   วิธีการรวมหนี้ (Debt Consolidation) เป็นมาตรการล่าสุด เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2564 ที่ทางธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้นำออกมาช่วยเหลือลูกหนี้ทั้งหลาย ด้วยการรวมหนี้สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อรายย่อยประเภทอื่น ที่สามารถรวมหนี้ข้ามสถาบันการเงิน และ/หรือผู้ประกอบธุรกิจรายอื่นได้ จากเดิมที่รวมได้เฉพาะหนี้ในสถาบันการเงินเดียวกันเท่านั้น     ที่มา : ธปท., DDProperty, ThinkofLiving, Home.co.th,Monneyguru   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนตุลาคม 2565 -อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนตุลาคม 2565 -เคล็ดลับผ่อนบ้านให้หมดเร็ว ดอกเบี้ยลด หมดหนี้ไว -ผ่อนบ้านไม่ไหว ทำไงดี!  
“ศิริปันนา กรุ๊ป”  กวาดยอดกว่า 85% ​ วันเดอร์ เกษตร  หลังปรับแผนปั้นโปรเจ็กต์โลว์ไรส์สู้โควิด-19

“ศิริปันนา กรุ๊ป” กวาดยอดกว่า 85% ​ วันเดอร์ เกษตร หลังปรับแผนปั้นโปรเจ็กต์โลว์ไรส์สู้โควิด-19

“ศิริปันนา กรุ๊ป” กลุ่มทุนอสังหาฯ เชียงใหม่ โชว์ยอดขายคอนโดโปรเจ็กต์แรก ที่ลงทุนในกรุงเทพฯ  วันเดอร์ เกษตร มูลค่ากว่า 1,400 ล้านบาท กวาดยอดขายแล้วกว่า 85% หลังปรับแผนพัฒนาเป็นโปรเจ็กต์โลว์ไรส์ พร้อมเดินหน้าต่ออีก 2 โปรเจ็กต์ในปีหน้าทั้งคอนโดและบ้านแนวราบ   นายศุภมิตร กิจจาพิพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกภูมิทรัพย์ ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ในเครือศิริปันนา กรุ๊ป เปิดเผยว่า ในช่วงปลายปี 2563 บริษัทได้ขยายการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดมิเนียมที่จังหวัดกรุงเทพฯ เป็นครั้งแรก เนื่องจากมองเห็นโอกาสทางการตลาด และมีประสบการณ์การลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาฯ ประเภทโรงแรม และคอนโดในจังหวัดเชียงใหม่มาก่อนหน้านี้   โดยโครงการแรกที่บริษัทพัฒนาในจังหวัดกรุงเทพฯ คือ โครงการ วันเดอร์ เกษตร (ONEDER KASET) คอนโดโลว์ไรส์ สูง 8 ชั้น 3 อาคาร ตั้งอยู่ติดถนนใหญ่ งามวงศ์วาน บนเนื้อที่กว่า 4 ไร่ มูลค่ารวมกว่า 1,400 ล้านบาท มีห้องชุดพักอาศัยทั้งสิ้น 585 ยูนิต  มีห้องขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 21.50-36.05  ตร.ม. และ 7 ร้านค้า มีที่จอดรถประมาณ 35% โดยมีห้องชุดให้เลือก 4 แบบราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท นายศุภมิตร กล่าวว่า ในช่วงแรกที่ทำการศึกษาและวางแผนพัฒนาโครงการ ผลการศึกษามองศักยภาพของที่ดินเหมาะสมที่จะพัฒนาโครงการในรูปแบบไฮท์ไรส์ โดยมีขนาดห้องตั้งแต่ 24 ตร.ม.ขึ้นไป ราคาเริ่มต้น 2.5 ล้านบาท จับกลุ่มเป้าหมายพนักงานที่ทำงานในธุรกิจสายการบิน เนื่องจากทำเลที่ตั้งใกล้สนามบินนานาชาติดอนเมือง และธุรกิจการบินในขณะนั้นกำลังเติบโตสูง บริษัทจึงลงทุนกว่า 10 ล้านบาท ในการออกแบบ การยื่นขออนุญาตสิ่งแวดล้อม (EIA) รวมถึงการทำห้องตัวอย่าง แต่หลังจากนั้นเกิดปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ส่งให้บริษัทกลับมาทบทวนแผนธุรกิจใหม่ และตัดสินใจที่ปรับรูปแบบเป็นโครงการโลว์ไรซ์แทน ไม่กี่วันก่อนจะเปิดตัวโครงการ สถานการณ์โควิดระบาดรุนแรงมาก จึงตัดสินใจล้มกระดาน กลับมาศึกษาตลาดใหม่ ซึ่งเวลานั้นบ้านแนวราบขายดีมาก เพราะคนต้องการพื้นที่ จงหันมาทำโลวไรส์ เพิ่มพื้นที่สีเขียวกว่า 2 ไร่ และเพิ่มพื้นที่ส่วนกลางมากขึ้น คิดว่าเป็นการตัดสินใจถูก โดยนับตั้งแต่วันเปิดตัวขายใหม่ในวันที่ 28 พฤศจิกายน 2563 จนถึงปัจจุบัน บริษัทสามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า 85% คิดเป็นมูลค่ากว่า 900 ล้านบาท ซึ่งมียูนิตเหลือขายปัจจุบันไม่ถึง 100 ยูนิตเท่านั้น บริษัทจึงได้จัดโปรโมชั่นพิเศษ นำห้องชุด 20 ยูนิตมาจัดโปรโมชั่นแถมเฟอร์นิเจอร์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า ในราคาเริ่มต้น 2.1 ล้านบนาท สูงสุดประมาณ​ 3.8-3.9 ล้านบาท โดยเป็นการันตีผลตอบแทนจากการเช่า 6% เป็นเวลา 1 ปี ให้กับผู้ซื้อห้องชุดดังกล่าว เนื่องจากปัจจุบันมีลูกค้าที่ทำงานในพื้นที่ใกล้เคียงต้องการเช่าห้องของโครงการบ้างแล้ว นายศุภมิตร กล่าวอีกว่า สำหรับแผนงานในอนาคต บริษัทยังคงลงทุนต่อเนื่อง โดยในปีหน้าจะเปิดตัวโครงการใหม่อีก 2 โครงการ เป็นโครงการคอนโดโลว์ไรส์ 1 โครงการ และโครงการแนวราบอีก 1 โครงการ โดยพัฒนาในพื้นที่ใกล้เส้นทางรถไฟฟ้าเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ซึ่งจะเปิดตัวโครงการคอนโดก่อนในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า ​ การขยายฐานตลาดออกนอกพื้นที่จากเชียงใหม่ของ ศิริปันนา กรุ๊ป ถือว่าค่อนข้างประสบความสำเร็จลูกค้าให้การตอบรับดี  โดยกลุ่มลูกค้าที่ซื้อเป็นกลุ่มเรียลดีมานด์ ที่ต้องการอยู่อาศัยจริง และกลุ่มคนที่ซื้อลงทุนเพื่อปล่อยเช่า ซึ่งตรงกับเป้าหมายที่บริษัทฯ วางไว้ สำหรับโครงการวันเดอร์ เกษตร  มีห้องชุดให้เลือก 4 แบบราคาเริ่มต้น 1.99 ล้านบาท* Studio ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 21.50 - 23.55 ตร.ม. Studio Exclusive ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 23.75 – 25.35 ตร.ม. One Bedroom ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 27.95 – 28.85 ตร.ม. และ One Bedroom Plus ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 35.00 – 36.05 ตร.ม. ส่วนจุดขายสำคัญของ โครงการประกอบด้วย 3 องค์ประกอบหลักๆ ที่ได้กระแสตอบรับที่ดีจากลูกค้า ดังนี้ 1.รูปแบบการพัฒนาโครงการที่มีความเป็นยูนีคพรีเมียมเฉพาะตัว สะท้อนความต้องการของคนรุ่นใหม่ ด้วยคอนเซ็ปต์ Feel Evergreen in Wonderland ชวนหลงใหลไปกับการอยู่อาศัยรูปแบบใหม่ New Normal และ “7 ความมหัศจรรย์”   2.ทำเลที่ตั้งโครงการที่ติดถนนใหญ่งามวงศ์วาน เป็นย่านชุมชนเมืองขนาดใหญ่มีครบทั้งแหล่งงาน บ้านพักอาศัย โรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า มหาวิทยาลัย และอยู่ห่างจากรถไฟฟ้าสถานีบางเขนเพียง 200 เมตร, ใกล้รถไฟฟ้า 5 สาย ใช้เวลาเพียง 5 นาทีถึง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และ 6 นาทีถึง BTS ม.เกษตร ในอนาคตบนถนนงามวงศ์วานจะเกิดแนวเส้นทางของรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล ช่วงแคราย-ลำสาลี (บึงกุ่ม)   3.สิ่งอำนวยความสะดวก (Facilities) ภายในโครงการที่ครบครัน โดยแต่ละอาคารจะมี Facilities เป็นของตัวเอง พื้นที่สวนส่วนกลางขนาดใหญ่ และความร่มรื่นของโครงการ โดยเฉพาะพื้นที่สวนขนาด 1 ไร่ที่อยู่ตรงกลางระหว่างอาคารทั้ง 3 ตึก สร้างสรรค์ที่ว่างกลางโครงการด้วยเส้นสาย รูปทรงเรขาคณิตพื้นที่สีเขียวรวมเข้ากับทางเดินโค้งเชื่อมต่อกัน และอุโมงค์ต้นไม้ (Flow of Space) ให้ความรู้สึกมีเสน่ห์น่าหลงใหล แต่ยังคงลึกลับน่าค้นหา (Hide&Seek) อีกทั้งยังได้ออกแบบพื้นที่ส่วนกลางชั้นบน ให้คุณได้วิ่งชมสีสันท้องฟ้าและวิวเมืองทุกวันบน Sky Running และ Sky Garden เชื่อมต่อกับทุกอาคาร   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เจาะตลาดคอนโดฯ ทำเลรัชโยธิน เหมาะซื้ออยู่จริงหรือเพื่อลงทุน?    
การกลับมาของ “ไลโอเนล ลี” สามี “แป้ง-อรจิรา”  ปั้นวิลล่า อัลต้าลักชัวรี่ 1,400 ล้าน

การกลับมาของ “ไลโอเนล ลี” สามี “แป้ง-อรจิรา” ปั้นวิลล่า อัลต้าลักชัวรี่ 1,400 ล้าน

หลังจาก “ไลโอเนล ลี” อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอนแลนด์ จำกัด (มหาชน) ไม่ได้บริหารงาน เพราะมีการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นใหญ่ ไปสู่บริษัท เคพีเอ็นแลนด์ จำกัด ของตระกูล “ณงค์เดช” ที่ปัจจุบันเป็นผู้ถือหุ้นมากที่สุด 1 ล้านหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 23.97% โดยไรมอนแลนด์ปัจจุบันมี นายกฤษณ์ ณรงค์เดช ดำรงตำแหน่งประธานการรการบริหาร และนายกรณ์ ณรงค์เดช ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหาร   ล่าสุด “ไลโอเนล ลี” ปรากฏตัวอีกครั้งในฐานะผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อาลียาห์ คอร์ป จำกัด  ที่ได้จัดตั้งบริษัทขึ้นมาตั้งแต่ช่วง 2 ปีก่อนหน้านี้ พร้อมด้วยภรรยา “แป้ง-อรจิรา แหลมวิไล” ดารา-นักแสดง ในฐานะผู้ร่วมก่อตั้งและบริหารงาน กับการเปิดตัวโครงการ​อาลียาห์ รีเซิร์ฟ (ALIYAH RESERVE) วิลล่าระดับอัลตร้าลักชัวรี่ ย่านพัฒนาการ 32 จำนวน 6 ยูนิต มูลค่า 1,400 ล้านบาท ไลโอเนล ลี บุกตลาดอัลตร้า ลักชัวรี่ เหตุผลสำคัญที่ “ไลโอเนล ลี” ยังคงพัฒนาโครงการระดับอัลตร้า ลักชัวรี่ เป็นเพราะตลาดยังเติบโตและมีความต้องการ เห็นได้จากช่วงเวลากว่า 2 ปีที่เกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19  ซึ่งส่งผลกระทบทำให้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว แต่กลุ่มลูกค้าระดับบนจะไม่ได้รับผลกระทบ ต่อภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวดังกล่าวแต่อย่างใด   อีกสิ่งหนึ่งที่ยืนยันได้เป็นอย่างดี  คือ ตัวเลขยอดขายบ้านหรู ระดับลักชัวรี่ที่เปิดตัวจำนวนมากยังคงมียอดขาย​ที่ดี​ ข้อมูลจากซีบีอาร์อี ประเทศไทย  ระบุว่า  ช่วง 2 ปีที่ผ่านมาที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 โครงการบ้านแนวราบระดับลักชัวรี่และซูเปอร์ลักชัวรี่มียอดขายที่ดีมาก  โดยอัตราการขายมีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจาก 68% ในไตรมาสที่ 4 ของปี 2562 มาเป็น 75% ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 และเมื่อสิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2565 ตลาดบ้านแนวราบระดับลักชัวรี่และซูเปอร์ลักชัวรี่มีซัพพลายเหลือขายเพียง 745 ยูนิต จากจำนวนทั้งหมด 3,033 ยูนิต   ในช่วงที่ผ่านมาตลาดบ้านหรูจึงมีการเปิดตัวอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด มีโครงการบ้านวิลล่าหรูระดับอัลตร้าลักชัวรี่ เตรียมเปิดตัวพรีเซลล์ 26-27 พฤศจิกายนนี้ อีกหนึ่งโครงการ คือ โครงการอาลียาห์ รีเซิร์ฟ  มูลค่า 1,400 ล้านบาท จำนวน 6 ยูนิต ราคาขายเริ่มต้น 218-297 ล้านบาท เรามีความมั่นใจในตลาดที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี่ในกรุงเทพฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบ้านแนวราบที่ยังคงเติบโตแข็งแกร่งและได้รับผลบวกหลังเกิดสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้บ้านแนวราบเป็นที่ต้องการมากขึ้น สำหรับบริษัท อาลียาห์ คอร์ป ได้ก่อตั้งขึ้นเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา  โดยจะเน้นพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี่ในประเทศไทย ด้วยการนำเอาประสบการณ์กว่า 20 ปีในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มาพัฒนาโครงการ จากที่ผ่านมาพัฒนาโครงการต่าง ๆ ทั้งโครงการที่อยู่อาศัย โครงการเชิงพาณิชย์และโรงแรม มาแล้วมูลค่ากว่า 40,000 ล้านบาท ซึ่ง “ไลโอเนล ลี” เองยังมีประสบการณ์พัฒนาโครงการอสังหาฯ มาแล้วทั่วโลก ทั้งโครงการเชิงพาณิชย์และโรงแรมที่สหรัฐอเมริกา รวมทั้ง โครงการเชิงพาณิชย์ โรงแรมและที่อยู่อาศัยในสิงคโปร์ ออสเตรเลียและไทย อาลียาห์ รีเซิร์ฟ บ้านสำหรับทุกเจเนอเรชั่น โดยโครงการอาลียาห์ รีเซิร์ฟ เป็นวิลล่า 6 ยูนิต ที่มีสไตล์การออกแบบโดยถอดแบบมาจากวิลล่าหรูหลังใหญ่ในยุคเรอเนสซองค์ของอิตาลี ซึ่งห้องรับแขกหลักของตัวบ้านหรือที่เรียกว่า “เปียโน โนบิเล่” (Piano Nobile) อยู่บริเวณชั้นบนของบ้าน มีโซนนั่งเล่นและทานอาหารขนาดกว้าง มีการจัดแลนด์สเคปสีเขียวล้อมรอบ มีห้องสวีทส่วนตัวสไตล์อพาร์ตเมนต์ภายในบ้านหลังใหญ่ และพื้นที่สำหรับสมาชิกในครอบครัวใช้เวลาร่วมกัน ตอบโจทย์การอยู่อาศัยสำหรับทุกเจเนอเรชั่น เทรนด์คนรุ่นใหม่ที่ชอบอยู่บ้านมากขึ้น และเทรนด์ครอบครัวใหญ่ที่นิยมพักอาศัยร่วมกับผู้สูงอายุในบ้านหลังเดียวกัน เริ่มพบเห็นมากขึ้นเรื่อย ๆ และกลายเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน โดยพื้นที่ใช้สอยของบ้านจะมีขนาดตั้แต่ 1,370–1,900 ตารางเมตร บนที่ดินเนื้อที่ 175-200 ตารางวา สามารถจอดรถได้ 5-7 คัน พร้อม Park Connector กว่า 300 เมตรที่เชื่อมต่อสวนหลังบ้านทุกยูนิต  เจ้าของบ้านสามารถออกแบบบ้านในสไตล์ของตัวเองให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่ไม่เหมือนใคร และสามารถนำไลฟ์สไตล์ที่ต้องออกไปใช้นอกบ้าน เช่น การออกกำลังกายในฟิตเนส  การทำผม-ทำเล็บ เข้ามาใช้บริการที่บ้าน ด้วยพื้นที่ในบ้านที่จัดสรรไว้ เช่น ห้องออกกำลังกาย สำหรับเทรนเนอร์เข้ามาเทรนการออกกำลังกาย หรือพื้นที่สำหรับช่างทำผมและช่างทำเล็บเข้ามาให้บริการถึงที่บ้านได้   โครงการยังใช้การออกแบบที่ใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม อาทิ ระบบระบายอากาศ กระจกหน้าต่างแบบ Double Glaze ระบบบังแดด แผงโซลาร์เซลล์ แบตเตอรี่สำหรับเก็บไฟฟ้าที่ได้จากโซลาร์เซลล์ จุดชาร์จรถอีวี วัสดุที่ไม่มีสารระเหยที่เป็นพิษ ระบบเติมอากาศ Outdoor Air Processing Unit (OAU) ระบบปรับอากาศแบบ VRV (Variable Refrigerant Volume) การใช้ความร้อนจากระบบปรับอากาศมาช่วยผลิตน้ำร้อน และระบบกรองอากาศและฝุ่น PM 2.5 เป็นต้น   ไฮไลท์อื่น ๆ ของโครงการ ได้แก่ Raffles Reserve Club ซึ่งเป็นเวลเนสบาร์พร้อมบริการความช่วยเหลือส่วนตัวที่บริษัทเป็นผู้บริหารและให้บริการ มีป่าขนาดเล็กในโครงการ บ้านต้นไม้สไตล์โมเดิร์นสำหรับเด็ก ๆ และห้องพักรับรองแขก นอกจากนี้ ยังมีแอพพลิเคชั่นสำหรับเทคโนโลยีบ้านอัจฉริยะ ทั้งระบบโฮมออโตเมชั่น ตรวจเช็คน้ำรั่วภายในบ้าน ติดตามการใช้ไฟฟ้าและน้ำประปา เช็คสถานะการชาร์จไฟของรถอีวี เช็คแบตเตอรี่สำรอง จองบริการต่าง ๆ ในพื้นที่ส่วนกลาง และตรวจสอบระบบความปลอดภัยและการเข้าออกของแขกที่มาเยี่ยมบ้าน อาลียาห์เป็นภาษาฮิบรูโบราณ แปลว่า ‘ขึ้นสูง’ สะท้อนปรัชญาและที่มาในการก่อตั้งบริษัทของเรา ที่เราจะเอื้อมมือคว้าดวงดาวทุกครั้งที่เราเริ่มโครงการใหม่ เราต้องการนำเสนอสิ่งใหม่ ๆ ให้กับเจ้าของบ้านและตลาด ซึ่งไม่ใช่แค่การออกแบบ สถาปัตยกรรม และการวางผังที่มีนวัตกรรมเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการก่อสร้างด้วยวัสดุที่ดีที่สุดอีกด้วย   นอกจากนี้ จากรายงานการศึกษาวิจัยโดยซีบีอาร์อี ประเทศไทย  ยังพบเทรนด์การอยู่อาศัยใหม่ที่เกิดขึ้นหลังโควิด-19 ได้แก่ การใส่ใจสุขภาพและเวลเนส พื้นที่ใช้สอยที่ใหญ่และสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นได้หลากหลายรูปแบบ บ้านอัจฉริยะ และบริการความช่วยเหลือพิเศษตามความต้องการของลูกบ้านหรือ Concierge Services ซึ่งเกิดจากพฤติกรรมการใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้น ALIYAH RESERVE เป็นโครงการที่ตอบโจทย์เทรนด์ดังกล่าว ด้วยการออกแบบให้มีพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่และเป็นพื้นที่ที่ยืดหยุ่นที่สามารถจัดพื้นที่ใช้สอยได้ตามฟังก์ชั่นที่ต้องการ  ซึ่งคอนโดมิเนียมไม่ตอบโจทย์ความต้องการดังกล่าว   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เปิดแผนธุรกิจ ไรมอน แลนด์ ลุยตลาดเชิงรุก สู้วิกฤตโควิด-19 -“ไรมอน แลนด์” เปิดแผนปี 63 ปูทางสร้างรายได้หมื่นล้านใน 5 ปี
สิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท-บางปู 58) บ้านสวยทำเลดีใกล้รถไฟฟ้าสถานีเคหะฯ

สิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท-บางปู 58) บ้านสวยทำเลดีใกล้รถไฟฟ้าสถานีเคหะฯ

สิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท-บางปู 58) บ้านสวยทำเลดีใกล้รถไฟฟ้าสถานีเคหะฯ สิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท-บางปู 58) โครงการบ้านสวยสไตล์ Modern English Victorian ที่มีให้เลือกทั้งบ้านแฝดอารมณ์บ้านเดี่ยว และพรีเมี่ยมทาวน์โฮม เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตหลากหลายรูปแบบ บนทำเลอยู่อาศัย เดินทางสะดวกห่างจากรถไฟฟ้าสายสีเขียว (สถานีเคหะ) เพียงแค่ 3 นาที เชื่อมต่อเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างง่ายดาย ด้วยเส้นทางหลักทั้งถนนสุขุมวิท ถนนแพรกษา ถนนศรีนครินทร์ อีกทั้งยังใกล้ทางด่วนกาญจนาภิเษก วงแหวนรอบนอก หรือสามารถใช้เส้นทางปู่เจ้าฯ ขึ้นสะพานภูมิพล เพื่อเข้าสู่โซนพระราม 3 ได้ไม่ยาก อีกทั้งตัวโครงการตั้งอยู่ในบริเวณทางเชื่อมในซอยซึ่งสามารถเลือกเข้าออกได้ 2 ทาง ทั้งทางซอยบางปู 58 และ ซอยบางปู 60 (ซอยวัดอโศการาม) จึงถือว่าเป็นอีกซอยที่คึกคักพอสมควร เนื่องจากอยู่ในแหล่งชุมชนจึงมีร้านค้า ร้านกาแฟ รวมถึงตลาดนัดอยู่ในบริเวณใกล้ๆ อีกด้วย     ด้วยทำเลที่ตั้งโครงการ สิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท-บางปู 58) ที่แวดล้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น ห้างสรรพสินค้า โรบินสัน สมุทรปราการ, บิ๊กซี สมุทรปราการ, รวมถึงใกล้โรงพยาบาล สถานศึกษา หน่วยงานราชการ และแหล่งงานสำคัญอย่างนิคมอุตสาหกรรมบางปูอีกด้วย สำหรับใครที่กำลังมองหาบ้านเพื่อการขยายครอบครัว หรือมองหาบ้านหลังใหม่ที่สามารถตอบโจทย์สมาชิกครอบครัวได้มากขึ้น ด้วยลักษณะโครงการที่มีแบบบ้านให้เลือกหลากหลาย ซึ่งรีวิวฉบับนี้ เราจะพาไปชมบ้านตัวอย่างในรูปแบบต่างๆ รวมถึงพื้นที่ส่วนกลางของโครงการกัน ซึ่งปัจจุบันในเฟสแรกของโครงการก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเลยทีเดียว   2 แบบบ้านสไตล์ Modern English Victorian ที่โครงการ สิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท-บางปู 58) มีแบบบ้านหลักๆ ให้เลือกคือ บ้านแฝดสไตล์บ้านเดี่ยว และทาวน์โฮม ซึ่งบ้านแต่ละแบบก็มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่สามารถตอบโจทย์การอยู่อาศัยของสมาชิกครอบครัวที่หลากหลายมากขึ้น โดยพื้นที่ใช้สอยภายบ้านกว้างขวาง เหมาะกับการพักผ่อนอาศัยที่เงียบสงบ รวมถึงการทำงานในรูปแบบ work from home ก็มีพื้นที่เป็นสัดส่วนเพื่อการทำงานที่มีประสิทธิภาพ   เริ่มต้นกันด้วยบ้านตัวอย่างหลังแรกที่มีชื่อว่า “Austin” บ้านแฝดที่ให้บรรยากาศสไตล์บ้านเดี่ยว เพราะสามารถเดินได้รอบตัวบ้าน ด้วยตัวบ้านที่มีหน้ากว้างถึง 10.2 เมตร สามารถจอดรถได้ 2 คัน พร้อมพื้นที่ใช้สอยของตัวบ้าน 152 ตารางเมตร กับฟังก์ชันใหม่ขนาด 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ เพียงแค่เข้ามาในตัวบ้านก็จะพบกับห้องนั่งเล่นกว้างที่เชื่อมต่อกับพื้นที่ใช้สอยส่วนอื่นๆ ในบริเวณชั้น 1 ภายในบ้านให้บรรยากาศโอ่โถงไม่อัดอัดด้วยฝ้าเพดานที่สูงถึง 2.65 เมตร พร้อมกับประตูกระจก และหน้าต่างบานใหญ่ที่เปิดรับแสงธรรมชาติได้อย่างเต็มที่ ภายในบ้านจึงโปร่งสบายตาและทำให้ได้ใกล้ชิดกับพื้นที่สีเขียวของสวนรอบบ้านได้อีกด้วย     บริเวณชั้น 1 แบ่งเป็นห้องอเนกประสงค์ที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามความต้องการ ทั้งห้องทำงาน ห้องเกมส์ ห้องออกกำลังกาย หรือจะใช้เป็นอีกหนึ่งห้องนอนสำหรับผู้สูงอายุก็ได้เช่นกัน ภายในบ้านตัวอย่างต่อเติมส่วนพื้นที่ด้านหลังออกไปเป็นห้องครัวและพื้นที่ซักผ้าได้อย่างลงตัว ซึ่งหลายบ้านก็แนะนำไอเดียการต่อเติมครัวแบบนี้ได้อย่างน่าสนใจ ทำให้เราสามารถใช้ประโยชน์ในส่วนต่างๆ ของบ้านได้อย่างเต็มที่มากขึ้น แต่ทั้งนี้ก็ควรศึกษาโครงสร้างการต่อเติม และการเว้นระยะห่างจากพื้นที่โดยรอบตามที่กฎหมายกำหนดไว้ด้วย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมาภายหลัง     เมื่อขึ้นไปที่บริเวณชั้น 2 จะแบ่งออกเป็น 3 ห้องนอน โดยที่พื้นที่ของ Master Bedroom จะอยู่โซนด้านหน้าของบ้าน เป็นห้องใหญ่เต็มหน้ากว้างของตัวบ้าน ทำให้ภายในห้องกว้างขวางมากพอที่จัดสรรเป็น walk-in closet บริเวณหน้าห้องน้ำภายในห้อง ในขณะเดียวกันก็พื้นที่ภายในห้องยังคงกว้างขวางเหมาะกับการพักผ่อนได้อย่างเต็มที่ และโปร่งสบายตาด้วยความสูงของฝ้าเพดานถึง 2.9 เมตร ในขณะที่อีก 2 ห้องนอนในบ้านตัวอย่างตกแต่งเป็นห้องนอนสำหรับเด็กๆ ทั้งในสไตล์หวานๆ สำหรับเด็กผู้หญิง และสไตล์เท่ๆ แบบเด็กผู้ชาย ซึ่งแน่นอนว่าพื้นที่ของห้องนอนทั้ง 2 ห้องนี้ เจ้าของบ้านสามารถปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นการใช้งานได้ตามต้องการ เช่น การตกแต่งเป็นห้องแต่งตัว สตูดิโอสำหรับ Live ขายของออนไลน์ หรือห้องหนังสือก็ทำได้ เพราะทั้ง 2 ห้องมีหน้าต่างบ้านใหญ่เปิดรับแสงได้เป็นอย่างดี     ถัดมาที่บ้านตัวอย่างอีกแบบที่มีชื่อว่า “Charlotte” บ้านทาวน์โฮม 2 ชั้น ขนาดพื้นที่ใช้สอยภายใน 124 ตารางเมตร ตัวบ้านมีหน้ากว้างถึง 5.4 เมตร รองรับการจอดรถได้ถึง 2 คัน แบ่งเป็น 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ด้วย Layout ที่ลงตัว ทำให้บริเวณชั้น 1 ของบ้านมีพื้นที่กว้างและสามารถจัดสรรการใช้งานได้เป็นสัดส่วน เมื่อเปิดเข้ามาในบ้านจะพบกับบริเวณรับแขก เชื่อมต่อไปยังบริเวณโต๊ะกินข้าวและครัวที่ถูกต่อเติมเพิ่มตรงบริเวณพื้นที่ซักล้างด้านหลังของตัวบ้าน ซึ่งทางโครงการก็นำเสนอไอเดียการใช้สอยให้เป็นทั้งครัวและห้องซักผ้าไปในตัว นอกจากนี้บริเวณชั้น 1 ยังมีห้องเอนกประสงค์เพื่อการใช้งานที่หลากหลายมากขึ้น ไม่จำกัดว่าจะต้องเป็นห้องนอนเท่านั้น เจ้าของบ้านสามารถเลือกตกแต่งเป็นห้องดูหนัง ห้องพักผ่อน ห้องทำงาน หรือห้องอื่นๆ ได้อีกมากมายตามต้องการ     เมื่อขึ้นมาที่บริเวณชั้น 2 ของบ้านทาวน์โฮมหลังนี้ที่มีจุดเด่นพิเศษที่ห้อง Master Bedroom มีห้องน้ำในตัว เพิ่มความสะดวกในการใช้งานมากยิ่งขึ้น ในขณะที่บริเวณด้านหน้าห้องมีอีกหนึ่งห้องน้ำสำหรับการใช้งานร่วมกันกับอีก 2 ห้องนอนเล็ก ซึ่งในบ้านตัวอย่างตกแต่งเป็นห้องนอนใน 2 แบบ 2 สไตล์ ซึ่งการใช้ประโยชน์พื้นที่ของทั้ง 2 ห้องนี้สามารถปรับเปลี่ยนได้หลายรูปแบบตามความต้องการ และด้วยความสูงของฝ้าเพดานที่บริเวณชั้น 2 ที่สูงถึง 2.9 เมตร หากต่อเติมเฟอร์นิเจอร์บิ้วอินน่าจะช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บของได้ไม่น้อยเลยทีเดียว   สวนสไตล์อังกฤษจัดเต็มเพื่อทุกการพักผ่อนของครอบครัว นอกจากการจัดสรรพื้นที่ภายในบ้านที่น่าสนใจแล้ว บ้านทุกหลังในโครงการ สิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท-บางปู58) ยังมีระบบแจ้งเตือนสัญญาณกันขโมย (Smart Security System) ที่ติดตั้งมาให้เรียบร้อยแล้ว จึงมั่นใจในเรื่องความปลอดภัยได้อย่างแน่นอน รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยภายในทั้ง CCTV การเข้าออกด้วยระบบ Key Card และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตลอด 24 ชั่วโมง ก็ยิ่งเพิ่มความมั่นใจให้กับการอยู่อาศัยมากยิ่งขึ้น     พื้นที่ Facility ส่วนกลางนั้น ทางโครงการก็มีการจัดสรรไว้ให้อย่างเต็มที่ไม่แพ้กัน ทั้ง Club House ขนาดใหญ่ ที่รวม Co-Working Space, ห้องฟิตเนส และคิดส์รูมขนาดใหญ่พร้อมของเล่นเสริมสร้างพัฒนาการไว้เพื่อรองรับการทำกิจกรรมสำหรับครอบครัวที่มีเด็กๆ ในขณะที่พื้นที่กลางแจ้งก็ยังมีทั้ง สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ สนามเด็กเล่นพร้อมอุปกรณ์ และพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ที่สามารถเดินเล่น พักผ่อนหย่อนใจในสวนสไตล์อังกฤษ รวมถึงสามารถออกกำลังกายได้ด้วย เพราะทางโครงการได้จัดเตรียมอุปกรณ์ออกกำลังกายกลางแจ้งไว้ให้เรียบร้อย     สำหรับโครงการ สิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท-บางปู 58) จาก บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) ถือว่าเป็นอีกหนึ่งโครงการที่ปักหมุดทำเลย่านบางปูไว้อย่างเหนียวแน่น หลายโครงการในเครือมีความน่าสนใจและได้รับการตอบรับจากผู้ที่ต้องการบ้านในโซนทำเลนี้เป็นอย่างดี ด้วยความสวยงามและฟังก์ชั่นของตัวบ้าน รวมถึงพื้นที่ส่วนกลางและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ทำให้หลายๆ โครงการถูกจับจองหมดไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งโครงการนี้เองก็มีแบบบ้านให้เลือกด้วยกันถึง 2 แบบ ตามความต้องการที่อยู่อาศัยที่แตกต่างกันของแต่ละครอบครัว รวมถึงพื้นที่ปบริเวณด้านหน้าของโครงการ ยังแบบการจัดสรรเป็นอาคารพาณิชย์ไว้ด้วย (ปัจจุบันยังไม่มีการเปิดขายในส่วนนี้) เนื่องจากเป็นทำเลในเขตชุมชนที่เดินทางสะดวกและมีผู้คนสัญจรผ่านมากพอสมควร จึงเหมาะกับการเปิดกิจการค้าขาย ในขณะเดียวกับก็เหมาะกับการอยู่อาศัยด้วย เพราะบริเวณโดยรอบมีความอุดมสมบูรณ์ในเรื่องร้านค้าและอาหารการกิน และการเดินทางที่สะดวก ด้วยราคาเริ่มต้น 2.59-4.59 ล้านบาท*   ลงทะเบียนรับสิทธิพิเศษ https://sivaromvillage-bangpu58.com/ โครงการอื่นที่น่าสนใจ แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู บ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน สิวารมณ์ วิลเลจ สุขุมวิท-เทพารักษ์ ทาวน์โฮมดีใกล้รถไฟฟ้า M Life บางแค-สาทร พรีเมียมทาวน์โฮม ติดถนนกาญจนา    
อีซี่วิซ รับเทรนด์ชีวิตยุคดิจิทัล ลุยตลาดสินค้าโซลูชั่น สมาร์ทโฮม

อีซี่วิซ รับเทรนด์ชีวิตยุคดิจิทัล ลุยตลาดสินค้าโซลูชั่น สมาร์ทโฮม

อีซี่วิซ อีซี่วิซ เปิดตัวสินค้าโซลูชั่น “บ้านอัจฉริยะ” รับไลฟ์สไตล์ชีวิตยุคดิจิทัล ทั้งกลุ่มผลิตภัณฑ์กล้องวงจรปิดอัจฉริยะ กลุ่มอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยและเซ็นเซอร์ภายในบ้าน และกลุ่มสินค้าสมาร์ทโฮมอัจฉริยะ   นายวิคเตอร์ จาง ผู้อำนวยการฝ่ายขาย EZVIZ (อีซี่วิซ)  แบรนด์นวัตกรรมเทคโนโลยีสมาร์ทโฮมโซลูชั่น เปิดเผยว่า ปัจจุบันแนวคิดบ้านแบบ Smart Home ไม่ใช่เรื่องใหม่ เนื่องจากวิถีชีวิตของคนยุคปัจจุบันได้ปรับเปลี่ยนไป ดังนั้นบ้านจึงต้องปรับตามวิถีชีวิตของคนที่เปลี่ยนไปด้วย  โดยอีซี่วิซผลิตภัณฑ์นวัตกรรมสมาร์ทโฮมโซลูชั่นด้านความปลอดภัยภายในบ้าน  ได้จับกระแสสมาร์ทโฮมที่เติบโตอย่างต่อเนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคที่อยู่บ้านมากขึ้น   โดยได้มีการเปิดตัวสินค้าเพื่อพร้อมเปิดประสบการณ์ใหม่ของการใช้ชีวิตยุคดิจิทัล เปลี่ยนบ้านธรรมดา ให้เป็น “บ้านอัจฉริยะ” ผ่านอุปกรณ์นวัตกรรมสมาร์ทโฮมโซลูชั่นที่ครบครัน มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ตอบโจทย์ความต้องการที่หลากหลาย สามารถปรับแต่งการตั้งค่าได้ตามไลฟ์สไตล์ ช่วยเพิ่มความสะดวกสบายในการอยู่อาศัย ยกระดับความปลอดภัย ดูแลความเรียบร้อยในบ้านได้ตลอด 24 ชั่วโมง   สำหรับสินค้าภายใต้แบรนด์อีซีวิซ มีไลน์อัพผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย​ ที่จะเข้ามาช่วยเติมเต็มและยกระดับบ้านให้กลายเป็นบ้านอัจฉริยะ ตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้อยู่อาศัยในบ้านในด้านต่าง ๆ ดังนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์กล้องวงจรปิดอัจฉริยะ ที่ใช้เทคโนโลยี AI  อาทิ กล้องสมาร์ท Wi-Fi “C8W Pro” สำหรับการดูแลความปลอดภัยภายนอกบ้าน ด้วยภาพคมชัดระดับ 3K ความละเอียดกว่า 5 ล้านพิกเซล พร้อมฟีเจอร์การตรวจจับบุคคลและรถยนต์  กล้องสมาร์ทโฮมในบ้าน รุ่น “C6” กล้องที่สามารถตรวจจับเสียง จดจำ และแยกแยะการตรวจจับความเคลื่อนไหวของมนุษย์หรือสัตว์เลี้ยง  กล้องเบบี้แคร์อัจฉริยะ “Baby Monitor 1” (BM1)  สำหรับเฝ้าดูแลลูกน้อยผ่านจอภาพได้ตลอดเวลา มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่ขับเคลื่อนด้วย AI อัจฉริยะ ตัวกล้องมีแบตเตอรี่ในตัว ที่สามารถชาร์จจากแผงโซลาร์เซลล์ได้ และยังมีให้เลือกอีกหลากหลายรุ่นตามการใช้งาน ในราคาที่เหมาะสมกับคุณภาพและการใช้งานที่คุ้มค่า กลุ่มอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยและเซ็นเซอร์ภายในบ้าน  อุปกรณ์ประตูล็อกอัจฉริยะ (Smart Door Lock) ที่รองรับการปลดล็อกได้ทั้งลายนิ้วมือ รหัส คีย์การ์ด กุญแจ และแอปพลิเคชัน กริ่งประตูที่มาพร้อมกล้องวิดีโออัจฉริยะ ที่พร้อมจะแจ้งเตือนให้คุณรับรู้ได้ทันทีเมื่อมีคนยืนอยู่หน้าประตู ชุดอุปกรณ์สมาร์ทโฮมเซ็นเซอร์อัจฉริยะ (Home Sensor Kit) เกตเวย์เชื่อมต่อไร้สายในบ้าน เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว เซ็นเซอร์ตรวจจับการเปิด-ปิดประตูหรือหน้าต่าง และเซ็นเซอร์อัจฉริยะสำหรับดูแลผู้สูงอายุ ที่พร้อมทำหน้าที่เป็นปุ่มกดฉุกเฉินอัจฉริยะ ขอความช่วยเหลือได้ทันทีในกรณีฉุกเฉิน กลุ่มสินค้าสมาร์ทโฮมอัจฉริยะ อุปกรณ์ที่สามารถเปลี่ยนอุปกรณ์ไฟฟ้าให้ฉลาดขึ้นด้วยปลั๊กอัจฉริยะ (Smart Plug) ที่ควบคุมการปิด-เปิด หรือตั้งเวลาการใช้งาน ผลิตภัณฑ์นวัตกรรมแบบ 2in1 เป็นทั้งกล้องวงจรปิดและไฟติดผนังในตัว และผลิตภัณฑ์เครื่องฟองอากาศ เพื่อให้คุณและครอบครัวได้สูดอากาศบริสุทธิ์ภายใน สำหรับอุปกรณ์ของอีซีวิซ มีการทำงานด้วยระบบอัตโนมัติและเรียลไทม์ ช่วยให้การปกป้องดูแลบ้านให้ปลอดภัย  มีการพัฒนาระบบเพื่อเชื่อมโยงการสั่งงานผ่าน EZVIZ App ที่แอปเดียวสามารถควบคุมทุกอุปกรณ์ในบ้านได้จากทุกที่ทุกเวลาเพียงปลายนิ้วสัมผัสบนสมาร์ทโฟน   นอกจากนี้ ยังให้ความสำคัญกับการปกป้องความปลอดภัยของข้อมูลผู้ใช้งาน รวมถึงการเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ด้วยระบบการรักษาความปลอดภัยแบบ 4 ชั้น ผ่านระบบการเข้ารหัสลับแบบ AES 128 บิต และการยืนยันตัวตนหลายขั้นตอน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีของอีซี่วิซ บน EZVIZ CloudPlay สำหรับการบันทึกวิดีโออัตโนมัติและจัดเก็บอย่างปลอดภัย   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] “EZVIZ” รุ่น C6W คว้ารางวัลสุดยอดนวัตกรรมสมาร์ทโฮมโซลูชั่นอัจฉริยะภายในบ้านแห่งปี จาก “IoT Innovator Award 2021”
อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนตุลาคม 2565

อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนตุลาคม 2565

อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนตุลาคม 2565  หลังจากที่ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้านและคอนโดมิเนียม อยู่ในภาวะทรงตัวมาพักใหญ่ ตอนนี้ดอกเบี้ยก็เข้าสู่แนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นแล้ว เพราะดอกเบี้ยนโยบายตอนนี้ปรับขึ้นแล้วเป็น 1% ขึ้นมาแล้ว ซึ่งหลายธนาคารคงต้องพิจารณาปรับดอกเบี้ยกันใหม่ ซึ่งคงทำให้คนที่กู้เงินกับธนาคาร ก็ต้องยอมรับกับการเสียดอกเบี้ยมากขึ้นด้วย   แต่ตอนนี้หลายธนาคารก็ยังไม่ได้ปรับดอกเบี้ยขึ้น จึงถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ดี หากใครคิดจะกู้ซื้อบ้านหรือคอนโด หรือใครที่กำลังอยากจะแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่าย จากการผ่อนบ้านหรือผ่อนคอนโดให้ลดน้อยลง หรือกำลังจะหาเงินก้อนมาจับจ่ายใช้สอย ก็เอาบ้านหรือคอนโดไปกู้ขอสินเชื่อกับธนาคาร หรือไม่ก็รีไฟแนนซ์เพื่อลดดอกเบี้ย ไม่ก็ขอวงเงินเพิ่มได้ ถ้ามีความพร้อม มีคุณสมบัติครบตามที่ธนาคารกำหนด   ส่วนตอนนี้ธนาคารไหน มีการคิดอัตราดอกเบี้ยยังไงกันบ้าง โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโด ประจำเดือนตุลาคมนี้ Reviewyourliving ได้รวบรวมเอาไว้ให้แล้ว ลองเปรียบเทียบดูกันว่าธนาคารไหนให้อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโดได้คุ้มสุด อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโด 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ  มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการรีไฟแนนซ์บ้าน  กรณีหลักทรัพย์เป็นที่อยู่อาศัยทั่วไป เฉพาะวงเงินอนุมัติตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งอัตราดอกเบี้ยของเดือนกันยายน 2565 ​นี้  เว็บไซต์ธนาคารยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล โดยยังเป็นเอกสารที่ระบุข้อมูลถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565 คาดว่าอัตราดอกเบี้ยยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ย สำหรับการรีไฟแนนซ์บ้านและคอนโด ดังนี้ ​​ ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.325% (MRR-3.625%) กรณีไม่ทำประกัน  อัตราดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) หลังจากนั้น 4.45% ​(MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.12-3.20% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.66-3.72% ทางเลือกที่ 2 ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.825% (MRR-3.125%)  กรณีไม่ทำประกัน ดอกเบี้ย 3.075% (MRR-2.875%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.075% (MRR-2.875%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย  4.45% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.45-3.53% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.86-3.92% หมายเหตุ -กรณีแสดงวัตถุประสงค์ เช่น เพื่อการต่อเติม/ซ่อมแซม/ตกแต่งที่พักอาศัย ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา หรือการจัดหาสินค้าหรือบริการเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนตัว เป็นต้น -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคําขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2565 – 30 มิถุนายน 2565 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อและจดจำนองภายใน 2 เดือนนับแต่วันที่ ลงนามในสัญญากู้ -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบัน ตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 7 ธ.ค. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ย กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง หากลูกค้ายกเลิก และไถ่ถอนหลักประกัน ก่อนระยะเวลา 3 ปี ไม่ว่ากรณีชําระหนี้ด้วยเงินสด หรือ รีไฟแนนซ์ธนาคารจะเรียกคืนค่าธรรมเนียมจดจำนองจากผู้กู้ -ธนาคารจะโอนเงินคืนค่าสํารวจและประเมินหลักประกันเข้าบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ที่ลูกค้า ใช้หักชําระค่างวดกับธนาคารภายใน 60 วัน หลังจากลูกค้าได้รับอนุมัติและเบิกใช้สินเชื่อกับธนาคารแล้ว คําเตือน -ผู้ขอเอาประกันภัยที่สมัครทำประกัน โฮมเฟิสต์ พลัส (ฉบับปรับปรุง) ตั้งแต่ 1 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป จะได้รับความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ -เบี้ยประกันภัยสามารถนําไปหักลดหย่อน ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกําหนด -การทำประกันภัยไม่ใช่การฝากเงิน กรณีเวนคืนก่อนครบกําหนด ผู้เอาประกันภัยจะได้รับเงินคืนเป็นจำนวนน้อยกว่าเบี้ยประกันภัยที่จ่ายไปแล้ว ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เวนคืน -ผู้ขอเอาประกันภัยควรศึกษาและทำความเข้าใจเอกสารเสนอขายก่อน ก่อนตัดสินใจทำประกันภัย เมื่อได้รับกรมธรรม์แล้ว โปรดศึกษารายละเอียด ข้อกำหนดและเงื่อนไขในกรมธรรม์ -ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าประกันชีวิตที่เป็นผู้ชีช้องและจัดการบริการให้กับผู้ขอเอาประกันภัย เพื่อให้เกิดการทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น โดยการพิจารณาอนุมัติกรมธรรม์เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) -การแถลงสุขภาพเป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณารับประกันภัยหรือจ่ายเงินตามสัญญาประกันภัย -การตรวจสุขภาพเป็นไปตามเงื่อนไขของ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) -ผู้ขอเอาประกันภัยมีหน้าที่แถลงข้อความจริงในการขอเอาประกันภัย การปกปิดข้อความจริงหรือแถลงข้อความเป็นเท็จใดๆ อาจเป็นเหตุให้บริษัทผู้รับประกันภัยบอกล้างสัญญาประกันภัยและปฏิเสธไม่จ่ายค่าสินไหม ทดแทนตามสัญญาประกันภัย -ข้อกำหนดและเงื่อนไขของความคุ้มครองจะระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยที่ออกให้กับผู้ถือกรมธรรม์ -การสมัครประกันชีวิตคุ้มครองเครดิตโฮมเฟิสต์ พลัส เป็นทางเลือกสำหรับลูกค้า ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน  แคมเปญ ดอกเบี้ยปีแรกเริ่มต้น 1% โดยมีรายละเอียดดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกัน* ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.60% (MRR-3.62%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = 4.00% ทางเลือก 2 ไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.70% (MRR-3.52%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = 4.04% ทางเลือก 3 ทำประกัน* ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.00% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.62% (MRR-2.60%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.72% (MRR-2.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.78% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = 4.04% ทางเลือก 4 ไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.25% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.67% (MRR-2.55%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.72% (MRR-2.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.88% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = 4.08%  ดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน กรณีธนาคารออกค่าธรรมเนียมการจดจำนอ 1% ทางเลือก 1* แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  = 2.93% (MRR-3.29%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.93% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา =  4.12% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  = 3.03% (MRR-3.19%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.03% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.16% ทางเลือกที่ 3* ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 1.00% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย = 4.12% (MRR-2.10%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย = 4.22% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.11% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.15% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 1.25% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย = 4.17% (MRR-2.05%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  = 4.22% (MRR-2.00%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.19% หมายเหตุ 1.การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ ทำ MRTA/GLTSP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี ทำ MRTA/GLTSP 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลากู้ ทำ MRTA/GLTSP 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ 2. อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR)** คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.22% ต่อปี (ณ 4 ต.ค. 2565) 3.อัตราดอกเบี้ยแบบธนาคารออกค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% : ธนาคารออกค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% ของวงเงินรวม (สินเชื่อที่อยู่อาศัยรวมสินเชื่อ Home For Cash) ตามจำนวนเงินค่าจำนองในใบเสร็จของกรมที่ดินเท่านั้น (ไม่รวมค่าธรรมเนียมอื่น ๆ) สูงสุดไม่เกินรายละ 200,000 บาท กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อที่อยู่อาศัยภายใน 5 ปี นับแต่วันที่ลงนามในสัญญากู้ทุกกรณี ลูกค้าต้องจ่ายค่าจดจำนองที่ธนาคารจ่ายให้คืนแก่ธนาคารทั้งจำนวน 4. สามารถขอสินเชื่อ Home For Cash แบบมีกำหนดระยะวลา (Term Loan) เพิ่มเติม สำหรับวัตถุประสงค์ : เพื่ออุปโภคบริโภค/ปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย/ชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย MRR ต่อปี ตลอดอายุสัญญา 5. เงื่อนไขอื่นๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2565 และทำนิติกรรมจำนองภายใน 30 วัน ทั้งนี้ ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขรายการส่งเสริมการขาย โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรีมี สินเชื่อรีไฟแนนซ์ ด้วยแคมเปญ อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.00% นาน 1 ปี หรือสามารถเลือกรับดอกเบี้ยทางเลือกฟรี ค่าจดจำนอง เมื่อซื้อประกันภัยคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ตามที่ธนาคารกำหนด และกรณีมีวงเงินเหลือ ยังมีแคมเปญที่สามารถกู้เพิ่มสินเชื่อกรุงศรีโฮมฟอร์แคชได้อีกด้วย นอกจากนี้ ธนาคารยังมีโปรโมชั่น ฟรี ค่าประเมินหลักประกันมูลค่า 3,210 บาท ส่วนรายละเอียดของสินเชื่อรีไฟแนนซ์ มีดังนี้ วงเงินกู้ตั้งแต่ 1-1.5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.30% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.30% = 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.10%= 3.95% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.33% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.95% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.75% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย = 3.65% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-1.65%= 4.4% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 4.10% ทางเลือกที่ 3* ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.30% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.90% = 4.15% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.75% = 4.30% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.58% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 4.09% สำหรับวงเงินตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.175% = 2.875% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.88% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.60% ทางเลือก 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.00% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.45% = 3.60% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.20% = 3.85% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.71% ทางเลือก 3 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.50% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย = 3.50% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.80% = 4.25% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.42% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.87% ทางเลือก 4 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.70% = 3.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.35% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.35% ทางเลือกที่ 5 ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.925% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.12% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.74% หมายเหตุ -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พฤษภาคม​ 2563 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน ​–31 ธันวาคม​ 2565 โดยจดจำ​นองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 31 มกราคม​ 2566 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิดภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ -รายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติม สอบถามได้จากธนาคาร​ 4.ธนาคารกสิกรไทย อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้านของธนาคารกสิกรไทย  ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือกันยายน 2565 ที่ผ่านมา  โดยธนาคารกสิกรไทยมีบริการสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.97% หมายเหตุ -MRR = 5.97% ( ณ วันที่ 22 พ.ค.63) อัตราดอกเบี้ยข้างต้นสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม – 30 กันยายน 2565 5.ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ธนาคารเกียรตินาคินภัทร มีแคมเปญสินเชื่อสำหรับให้ลูกค้ารีไฟแนนซ์ คือ KKP Home Loan Refinance  ให้วงเงินสูงสุด 50 ล้านบาท ดอกเบี้ยต่ำ สามารถกู้ร่วมกันได้สูงสุด 4 คนโดยเป็นบุคคลในครอบครัวเดียวกัน ฟรีค่าประเมินหลักประกัน* ทางเลือก ดอกเบี้ยแบบลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.59-2.79% ปีต่อไป MLR-1.50% = 5.025% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.79-2.99% ปีต่อไป MLR-1.50% = 5.025% เงื่อนไข -วงเงินคงเหลือต้องมากกว่า 500,000 บาท -บ้านต้องผ่อนกับสถาบันการเงินเท่านั้น -มีประวิติผ่อนชำระกับสถาบันการเงินเดิมไม่ต่ำกว่า 12 เดือน หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับกับปัจจัยอ้างอิง เช่น​ อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ​ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา​(MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ดังกล่าว​ โดยจะประกาศไว้ ณ ​ สถานที่ทำการที่ให้บริการ และเว็บไซต์ของ​ธนาคาร -MLR ณ วันที่ 6 สิงหาคม 2565 เท่า​กับ 6.525% ต่อปี -เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA) ผ่านธนาคารทุน​ประกันภัยเท่ากับวงเงิน กู้โดยมรีะยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปีกรณีที่ระยะเวลาการไถ่ถอนถึง​ 10 ปีให้ระยะเวลาเอา ประกันภัยเท่า​กับระยะเวลาการกู้ -กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปีแรก คิดค่า ​Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง -กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ย แบบฟรีค่าจดจำนอง​ หากลูกค้า​ Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อน​ระยะเวลาที่กำหนดไว้ทุก กรณีลูกค้าต้องชำระคืนค่าจดจำนองที่ธนาคาร สำรองจ่ายให้ธนาคาร -ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท ค่าอากรแสตมป์ร้อยละ 0.05 ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) -ค่าธรรมเนียมตดิ ตามทวงถามหนี้นค้างชำระ​ 1 งวด 50 บาท/รอบการทวงถามหนี้ค้างชำระมากกว่า ​1 งวด 100 บาท/รอบการทวงถามหนี้ -เบี้ยประกันอัคคีภัย เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด​ โดยผู้กู้สามารถเลือกทำ​ประกันกับบริษัท​ประกันที่น่าเชื่อถืออื่นใดก็ได้ ​ 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี มี อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโด  ในเดือนตุลาคม​  2565 สำหรับ​ประเภทสินเชื่อรีไฟแนนซ์  กรณีไม่ขอวงเงินเพิ่ม  มีอัตราการคิดดอกเบี้ย ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำหรือเจ้าของกิจการ รายได้ 30,000 บาทขึ้นไป กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน น้อยกว่าหรือเท่ากับ 85% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.42% = 2.93% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.93% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.61% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.12% = 3.23% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.23% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.69% กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน มากกว่า 85% แต่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 100% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.22% = 3.13% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.13% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.67% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-3.92% = 3.43% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.43% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.75% กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน น้อยกว่าหรือเท่ากับ 85% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.% = 2.69% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.69% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.55% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.36% = 2.99% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.63% กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน มากกว่า 85% แต่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 100% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.46% = 2.89% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.60% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.16% = 3.19% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.19% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.68% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2564) กรณีขอวงเงินเพิ่ม สอบถามรายละเอียดกับทางธนาคารโดยตรง ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักทรัพย, ค่าอากรแสตมป์ และค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย 3 ปีแรก ทุกทางเลือก ยกเว้น ค่าจดจำนอง เฉพาะทางเลือก 1 และ 2 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบีมีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์  ประจำเดือนตุลาคม ดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้น เฉลี่ย 3 ปีแรก 2.95% ต่อปี โดยมี​รายละเอียด​ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-3.53% =2.75% หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย (MRR-1.63%)=4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.02% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.18%=3.1% หลังจากนั้น (MRR-1.63%)= 4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี อัตรา 3.10% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.14% ทางเลือก 3 (สมัครผลิตภัณฑ์ไม่ครบทั้ง 3 ประเภท) ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย (MRR-2.74%) = 3.54% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีดอกเบี้ย 3.54% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.29% สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อบ้าน สไมล์ โฮม หรือ สไมล์ โฮม พลัส 2.สมัครใช้บริการ หักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ทีทีบีเพื่อผ่อนช าระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ทีทีบี (กรณีที่มีบัตรเดบิต ทีทีบีแล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) ช่วยคุณประหยัดดอกเบี้ยได้มากขึ้น ผ่อนต่อเดือนน้อยลง และเป็นเจ้าของบ้านได้เร็วขึ้น เมื่อรีไฟแนนซ์บ้านกับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ยให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท  รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ นาน 3 ปี  ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท  ฟรี! ค่าจดทะเบียนจำนอง มูลค่า 1% ของเงินกู้สูงสุด 200,000 บาท  ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง หมายเหตุ : -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่ คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 3 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของธนาคาร -ธนาคารขอสงวนสิทธิเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แจ้งไว้ในเอกสารฉบับนี้ โดยไม่ ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ในกรณีที่ธนาคารเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนจำนองหลักประกันแทนผู้กู้หากผู้กู้มีความประสงค์จะไถ่ถอนหลักประกันและชำระหนี้คืนทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันเบิกใช้เงินกู้ ครั้งแรก ผู้กู้ตกลงคืนเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองหลักประกันตามจำนวนเงินที่ธนาคารได้ชำระไปให้แก่ธนาคาร ในวันที่ผู้กู้ได้ชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้น (ค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท) -ลูกค้าต้องสำรอง จ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ลูกค้าใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 30 วันทำการนับจากวันที่ลูกค้าจดจำนอง -MRR = 6.48% ตามประกาศธนาคาร https://www.ttbbank.com/th/rates/loan-interest-rates -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึง 31 ธันวาคม 2565 และจดจำนอง ภายใน 31 มกราคม 2565 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อทั่วไปที่รีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินอื่น โดยแคมเปญของธนาคารมีกำหนดระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 31 ธันวาคม ​2565 อัตราดอกเบี้ยจึงเท่ากับเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% ปีต่อไป MRR-0.72%= 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.242% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.90% ปีต่อไป MRR-0.72% = 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.174% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10 ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 21 กรกฎาคม​ 2565) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด -ระยะเวลาขอสินเชื่อ 1 กรกฎาคม ถึง ​31 ธันวาคม 2565 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำหรับธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส. ถือว่าเป็นธนาคารสำหรับการให้สินเชื่อเพื่อซื้อบ้านและคอนโด รวมถึงสินเชื่ออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรง มีสินเชื่อให้เลือกมากมายหลายประเภท สำหรับการรีไฟแนนซ์บ้านจากสถาบันการเงินอื่น มีสินเชื่อบ้านสุขสันต์ เพื่อให้ลูกค้าใช้บริการรีไฟแนนซ์  โดยอัตราดอกเบี้ยสำหรับเดือนตุลาคม 2565 ​​โดยมีรายละเอียดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ แบบที่ 1 สำหรับกลุ่มลูกค้าสวัสดิการ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.25% (MRR-3.90%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.16%= 2.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.90%=3.52% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย MRR-1.0%= 5.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.35% แบบที่ 2 สำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อย ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.35% (MRR-3.80%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย  MRR-3.06%= 3.09% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-2.80%=3.35% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย MRR-0.5%=5.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.71% หมายเหตุ -นิยามคำว่า “อาคาร” หมายถึง บ้านเดี่ยว บ้านแฝดทาวน์เฮ้าส์ และอาคารพาณิชย์เพื่อที่อยู่อาศัย ยกเว้นแฟลต และบ้านเช่า -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ร้อยละ 0.1 ของวงเงินทำนิติกรรม -MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม​ 64 -กำหนดระยะเวลา ยื่นคำขอกู้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 – 30 ธันวาคม 2565 อนุมัติและทำนิติกรรม ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2565 (ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเต็มวงเงินของโครงการแล้ว) 10.ธนาคารยูโอบี สำหรับธนาคารยูโอบี มีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ UOB Home Loan – รีไฟแนนซ์ ​ ไม่รวมวงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์  ซึ่งอัตราดอกเบี้ยในเดือนตุลาคม 65 มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า​ เนื่องาจากมีการปรับอัตราดอกเบี้ย MRR ตามรายละเอียดดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.29%  (MRR-4.46%) เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนที่ผ่านมาที่คิด 2.89% (MRR-4.46%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.29% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.00% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนที่ผ่านมาคิด 4.60% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.39% (MRR-4.36%) เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 2.99% (MRR-4.36%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.39% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.04% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.64% ทางเลือก 3 แบบทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.39% (MRR-5.36%) เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าคิด 1.99% (MRR-5.36%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.39% (MRR-2.36%) เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าคิด 4.99% (MRR-2.36%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.39% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.99% เพิ่มขึ้น 0.39% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.60% ทางเลือก 4 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 2.49% (MRR-5.26%) เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.09% (MRR-5.26%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.49% (MRR-2.26%) เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 5.09% (MRR-2.26%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.49% เพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.09% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.03% เพิ่มขึ้น 0.39% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.64% หมายเหตุ -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น (Re-finance) ในช่วง​ระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้จะมีค่าปรับ​ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น​ ) -การอนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย​ MRR ปัจจุบัน เท่ากับ 7.75% ต่อปี (ตามประกาศธนาคาร ​​ณ วันที่ 3 ตุลาคม 2565) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้ และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตรา ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของ​ธนาคาร -ธนาคารยูโอบี ในฐานะนายหน้าประกันภัย​ (ใบอนุญาตประกันชวีติเลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศ​ภัย เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่นำเสนอ ผลิตภัณฑ์ประกันภัย และเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย​ และอำนายวความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิต ​โดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชวีติ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่า ประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็มม เอส ไอ จีประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จะเป็นผู้รับผิดชอบตาเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก ครั้ง​ 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์  มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ประจำเดือนตุลาคม ซึ่งอัตราดอกเบี้ยยังไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า โดยมีรายละเอียดดังนี้ สำหรับผู้กู้รายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.59% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.35% = 2.00% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.55% = 3.80% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.56% แบบที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-4.75% = 2.60% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 2 สำหรับผู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.25% = 2.10% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.45% = 3.90% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-4.65% = 2.70% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% ข้อกำหนดและเงื่อนไข -สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า Refinance ดอกเบี้ยพิเศษ เริ่ม 2.00% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป และเบิกรับเงินกู้ตั้งแต่วันนี้ – 31 ตุลาคม 2565 -วงเงินกู้เริ่มต้น 1 ล้านบาท และราคาประเมินหลักประกัน (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาท หรือ (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.5 ล้านบาท (โครงการจัดสรรทุกโครงการ) -อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขดังกล่าว สำหรับหลักประกันที่ได้รับการจัดสรรทุกโครงการในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ยกเว้น ที่ดินว่างเปล่า, อาคารพาณิชย์ -กรณีลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือสูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือเปลี่ยนแปลงสัญญาใดๆ ภายใน 5 ปีแรกทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำได้ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.350% (ณ วันที่ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -อัตราดอกเบี้ย หลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่นๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด 12 ธนาคารออมสิน อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สำหรับธนาคาออมสิน ประจำเดือนตุลาคม  ​มีรายละเอียดอื่น ๆ ดังนี้ ​ สินเชื่อรีไฟแนนซ์ จากสถาบันการเงินอื่น สำหรับลูกค้าทั่วไป วงเงินกู้สินเชื่อต่ำกว่า 10 ล้านบาท แบบทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.99% (MRR-4.255%) เพิ่มขึ้น 0.04% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 1.95% (MRR-4.295%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.98% (MRR-3.265%) ลดลง 0.02% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 3.00% (MRR-3.245%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.144% เพิ่มขึ้น 0.001% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 4.143% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.24% (MRR-4.005%)  เพิ่มขึ้น 0.04% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 2.20% (MRR-4.045%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 3.605%  (MRR-2.64%) ลดลง 0.02% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 3.625% (MRR-2.62%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.328% เพิ่มขึ้น 0.001% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.327% วงเงินกู้สินเชื่อมากกว่า 10 ล้านบาท  กลุ่มลูกค้าทั่วไป (เดือนที่ผ่านมาไม่ได้แยกวงเงินกู้) กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 99% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 755% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 089% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 24% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 38% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 00% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 274% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR = 6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท​ ระยะเวลา 20 ปี แบบผ่อนเท่ากันทุกงวด ​ -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่นๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไข โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า   ที่มา : Reviewyourliving รวบรวมจากข้อมูลเว็บไซต์แต่ละธนาคาร ณ วันที่ 6 ตุลาคม 2565     บทความที่เกี่ยวข้อง -อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนกันยายน 65 -อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนตุลาคม 2565    
อนันดาฯ  ขน 3 แบรนด์ใหม่ บ้าน-คอนโด  รุกตลาด Q4 สร้างยอด 6,000 ล้าน

อนันดาฯ ขน 3 แบรนด์ใหม่ บ้าน-คอนโด รุกตลาด Q4 สร้างยอด 6,000 ล้าน

อนันดาฯ อนันดาฯ รุกตลาดอสังหาฯ ไตรมาส 4 ลุยเปิดตัว 6 โครงการใหม่ มูลค่ากว่า 21,627 ล้าน พร้อมเปิดตัว 3 แบรนด์ใหม่ บ้าน-คอนโด  มั่นใจสร้างยอดขายกว่า 6,000 ลบ.   นายชานนท์ เรืองกฤตยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในทิศทางของการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง การขยายตัวของภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยมีอัตราการขยายตัวและกลับมาฟื้นตัวได้ดี ผู้ประกอบการยังคงมั่นใจในแผนการลงทุนเดินหน้าเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางบนที่มีความอ่อนไหวต่อปัจจัยทางเศรษฐกิจไม่มากนัก บวกกับภาครัฐมีมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง หรือมาตรการผ่อนคลายเกณฑ์การกำกับการดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย (Loan - to - Value : LTV) ที่จะสิ้นสุดในปีนี้ จะเป็นอีกปัจจัยหนุนการฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯ ในครึ่งปีหลังได้เป็นอย่างดี ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าขณะนี้ทุกอย่างเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น สำหรับ อนันดาฯ จึงเตรียมดำเนินธุรกิจภายใต้แนวคิด “ ANANDA BIG MOVE” เพื่อให้สอดคล้องกับตลาดที่กำลังฟื้นตัว โดยที่ผ่านมา อนันดาฯ มุ่งเน้นตอบโจทย์ลูกค้าในเรื่องศักยภาพทำเลเป็นเรื่องหลัก แต่ปัจจุบันอาจจะไม่เพียงพอกับความต้องการของคนเมืองในยุคนี้ ที่ต้องการชีวิตเมืองที่สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทำเล (Location) การบริการ (Service) และสังคม (Community)   ดังนั้น อนันดาฯ จึงเร่งมอบประสบการณ์ที่ดีในชีวิตให้กับลูกค้า โดยการพัฒนาคอนโดมิเนียมผสมผสานการบริการต่างๆ ที่มีมาตรฐานระดับ World class ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือกับ ดุสิตธานี พัฒนา BRANDED RESIDENCE ซึ่งถือว่าเป็นครั้งแรกของอนันดาฯ  การจับมือกับ SCRATCH FIRST (FROM THE CREATORS OF WONDERFRUIT) ในการร่วมกันพัฒนาแบรนด์ CULTURE ซึ่งเป็นแบรนด์ใหม่ ของที่อยู่อาศัยแนวคิดใหม่ ให้ความสำคัญในเรื่องการอยู่อาศัยร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน ทั้งทำเลทองหล่อ และจุฬา รวมถึงความร่วมมือกับ Ascott ที่เข้ามาช่วยบริหารจัดการการอยู่อาศัยให้สะดวกสบายมากขึ้นในโครงการ Culture   ด้านนายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า  สถานการณ์ทุกอย่างเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น เห็นได้จากการฟื้นตัวทั้งยอดขาย ยอดโอน และยอดเปิดตัวโครงการใหม่ ขณะที่อนันดาฯ มีการฟื้นตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้นเช่นกัน ทั้งยอดขาย ยอดโอน และความสามารถในการทำกำไร โดยทำยอดขายในไตรมาส 3 สูงถึง 4,062 ล้านบาท และมั่นใจว่าจะโตต่อเนื่องในไตรมาส 4 อีกกว่า 5,000 - 6,000 ล้านบาท ทำให้ปีนี้สามารถทำตามเป้าหมายยอดขายได้ที่ 15,680 ล้านบาท ขณะที่ไตรมาส 3 มียอดโอน 4,423 ล้านบาท เติบโตจากไตรมาส 2 ถึง 27% และยังมีแผนการโอนต่อเนื่องในไตรมาส 4 จึงคาดว่าจะสามารถทำยอดโอนได้ตามเป้าหมายที่ปีนี้วางไว้มูลค่า 13,033 ล้านบาท  ส่วนการทำกำไร มีอัตราส่วนกำไรขั้นต้น (%Gross Profit) ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง 3 ไตรมาสติดต่อกัน   นอกจากนี้ จากช่วงที่ผ่านมาบริษัทมีการปรับตัว ด้วยการขยายสู่เซกเมนต์ลักชัวรี่ (Luxury Segment) ทำให้สามารถทำยอดขายเฉพาะ 9 เดือนแรกของปีนี้สูงกว่า 386% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา รวมถึงโครงการแนวราบยังคงเติบโตอย่างเห็นได้ชัด โดยมียอดขายเฉพาะแนวราบใน 9 เดือนแรกกว่า 3,289 ล้านบาท เติบโตถึง 64% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา และเป็นยอดขายสูงที่สุดของอนันดาฯ ที่เคยทำมา ทำให้สัดส่วนยอดขายของแนวราบจากเดิม 11% เพิ่มขึ้นเป็น 31%   สำหรับไตรมาส 4 นี้ อนันดาฯ ได้มีการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ 3 แบรนด์ ได้แก่ แบรนด์โคโค่ (COCO) แบรนด์คัลเจอร์ (CULTURE) และแบรนด์อันดา (ANDA) รวมถึงมีการเปิดตัวโครงการใหม่ 6 โครงการ มูลค่ากว่า 21,627 ล้านบาท ได้แก่ 1. โครงการ โคโค่ พาร์ค (COCO PARC) 2. โครงการ คัลเจอร์ ทองหล่อ (CULTURE THONGLOR) 3.โครงการ คัลเจอร์ จุฬา (CULTURE CHULA) 4.โครงการไอดีโอ รามคำแหง – ลำสาลี สเตชั่น (IDEO RAMKHAMHAENG LAMSALI STATION) 5. โครงการ อันดา ราชพฤกษ์ - แจ้งวัฒนะ (ANDA RATCHAPHRUEK-CHAENGWATTHANA) และ 6. โครงการ อาร์เทล อโศก - พระราม 9 (ARTALE ASOKE - RAMA 9) ขณะที่นายพงศ์อนันต์ สุขเกษม ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทได้เตรียมจัดงานใหญ่ในรอบ 5 ปี ในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ คืองาน “ANANDA URBAN PULSE 2022” ภายใต้แนวคิด “THE NEW CULTURE IS HERE” ระหว่างวันที่ 27-30 ตุลาคม 2565 ที่บริเวณชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน ซึ่งรวบรวมโครงการคอนโดมิฯ  บ้านเดี่ยวและ ทาวน์โฮม ทั้งโครงการใหม่ 6 โครงการ และโครงการพร้อมเข้าอยู่ทั่วกรุงเทพฯ  ซึ่งมีข้อเสนอพิเศษสุดและโปรโมชั่นมากมาย อาทิ ราคาพิเศษสุดแห่งปี* ส่วนลดพิเศษ* อยู่ฟรีสูงสุด 24 เดือน* และแพ็คเกจพร้อมอยู่ 24 รายการ* เป็นต้น   นอกจากนี้ ภายในงานยังมีห้องตัวอย่าง HYBRID ให้ลูกค้าเข้าชม​ พร้อมด้วยกิจกรรมเพื่อคนเมืองภายในงานมากมาย อาทิ กิจกรรม Grand Opening สุดยิ่งใหญ่ในวันที่ 27 ต.ค. พบศิลปินพิเศษ และกิจกรรม Urban Talk พูดคุยกับแขกรับเชิญพิเศษเรื่องราวการใช้ชีวิตของคนเมือง และกิจกรรม Urban Concert มินิคอนเสิร์ตในช่วงเย็นของทุกวัน และพลาดไม่ได้ เพียงลงทะเบียนเข้าร่วมงาน รับสิทธิ์ลุ้นรับรางวัลได้ทุกวัน ไม่ว่าจะเป็น GIFT CARD มูลค่า 5,000 บาท หรือ รางวัลใหญ่ ที่พัก 1 คืน พร้อมบัตรคอนเสิร์ตงาน TOSCANA LA FESTA     อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -อนันดา เตรียม take off รับเปิดเมือง กับ 6 เรื่องสร้างความมั่นใจโตก้าวกระโดด -อนันดา #LiveLifeUnique บ้านแนวราบที่เข้าใจไลฟ์สไตล์ยูนีคของคนยุคใหม่ พร้อมข้อเสนอที่ดีที่สุดในรอบปี อยู่ฟรีสูงสุด 3 ปี*
ณวรางค์ แอสเซท  เปิดคอนโด “ณ วรา พหลโยธิน 8” 300 ล้าน  ลุยตลาดอสังหาฯ ไตรมาสสุดท้าย

ณวรางค์ แอสเซท เปิดคอนโด “ณ วรา พหลโยธิน 8” 300 ล้าน ลุยตลาดอสังหาฯ ไตรมาสสุดท้าย

ณวรางค์ แอสเซท เดินหน้าปั้นโปรเจ็กต์ใหม่ “ณ วรา พหลโยธิน 8” มูลค่า 300 ล้าน จับกลุ่มลูกค้าเรียลดีมานด์ ชูจุดเด่นห้องไซส์ใหญ่ จำนวนเพียง 35 ยูนิต เล็งปั้นโปรเจ็กต์ต่อเนื่อง ยึดทำเลลาดปลาเค้า-พระราม 5-รพ.ศิริราช-สุขุมวิท ปูทางสู่การพัฒนาโครงการปีละ 1,000 ล้าน   นายอภิภู พรหมโยธี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ณวรางค์ แอสเซท จำกัด เปิดเผยว่า ได้เตรียมเปิดพรีเซลล์ โครงการ ณ วรา พหลโยธิน 8 มูลค่าโครงการรวม 300 ล้านบาท ในวันที่ 5-6 พฤศจิกายน 2565 นี้  ซึ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม Low rise จำนวน 8 ชั้น ระดับลักชัวรี่ ตั้งอยู่ในซอยพหลโยธิน 8  โดยตั้งเป้าหมายว่าภายในสิ้นปีจะสามารถสร้างยอดขาย 50% เนื่องจากยังมีความเชื่อมั่นตลาดอสังหาริมทรัพย์ของไทย โดยเฉพาะพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ยังมีกลุ่มลูกค้าต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่จริง  โดยภาพรวมตลาดอสังหาฯ ในพื้นที่ย่านพหล-อารีย์ ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ยังคงมีการพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง  ซึ่งทำเลนี้ยังมีอุปสงค์ (Demand) เพิ่มขึ้น ในขณะที่อุปทาน (Supply) ลดลง บริษัทจึงเล็งเห็นศักยภาพของทำเล และจากก่อนหน้านี้ เคยเข้ามาพัฒนาโครงการ ณ วีรา พหล-อารีย์ ซึ่งประสบความสำเร็จสามารถทำยอดขายได้ 40% จากการเปิดการขายช่วงพรีเซลภายในวันเดียว จุดแข็งของโครงการ ณ วรา พหลโยธิน 8 คือ การตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ มีการเติบโตเป็นย่านใจกลางธุรกิจได้ในอนาคต และมีจุดขายที่สำคัญ คือ ความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนเพียง 35 ยูนิต การเชื่อมต่อการเดินทางรถไฟฟ้าบีทีเอส ที่จอดรถมากถึง 80% ราคาขายเฉลี่ย 135,000 บาทต่อตร.ม. หรือเริ่มต้นราคา 6.6 ล้านบาท  นอกจากนี้ จากการพัฒนาโดยเน้นห้องขนาดใหญ่ ซึ่งมีพื้นที่เริ่มต้น 40 ตร.ม. และส่วนใหญ่จะเป็นขนาด 2 ห้องนอน พื้นที่ตั้งแต่ 50.50-77.50 ตร.ม. เป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้า ที่ต้องการอยู่ห้องขนาดใหญ่ ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่บ้าน ซึ่งโครงการส่วนใหญ่ที่พัฒนาอยู่ในปัจจุบัน จะมีห้องขนาดเล็กเริ่มต้น 28-32 ตร.ม. จึงถือว่าเป็นสินค้าที่หาได้ยากในพื้นที่ดังกล่าว  ​ สำหรับโครงการ ณ วรา พหลโยธิน 8 ตั้งอยู่บนพื้นที่ 0-1-95 ไร่ จำนวน 35 ยูนิต มีห้องให้เลือก 4 แบบ 1.แบบ 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอยเริ่มต้น 40-46 ตร.ม. 2.แบบ 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 50.50 ตร.ม. 3.แบบ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 53-77.50 ตร.ม. และ 4.แบบ ดูเพล็กซ์ 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 107.50-116 ตร.ม. โดยจะเริ่มก่อสร้างในช่วงต้นปีหน้า และคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 1 ปี 2567   นายอภิภู กล่าวอีกว่า ส่วนภาพรวมการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ที่ผ่านมาว่า ถือว่าเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ สามารถปิดโครงการ ณ วรา เรสซิเดนซ์ และ โครงการ ณ วีรา พหล-อารีย์ ได้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะที่โครงการ ณ รีวา เจริญนคร ปัจจุบันมียอดขายแล้วกว่า 50%  ซึ่งโครงการคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จ และเริ่มทยอยรับรู้รายได้ภายในปี 2567    สำหรับแผนการดำเนินงานในอนาคต บริษัทตั้งเป้าหมายพัฒนาโครงการให้ได้ปีละ 1,000 ล้านบาท หรือปีละ 2-3 โครงการ  โดยในปีหน้าวางแผนพัฒนาโครงการในย่านลาดปลาเค้า ใกล้มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ทำเลย่านโรงพยาบาลศิริราช ย่านพระราม 5 และทำเลย่านสุขุมวิทตอนปลายด้วย    อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -5 เหตุผล “ณวรางค์ แอสเซท” พัฒนาโครงการย่านเจริญนคร -“ณ วีรา พหลฯ-อารีย์” แอคทีฟแบบชีวิตติดเมือง สุขเต็มที่กับความเป็นส่วนตัว จาก “ณวรางค์ แอสเซท”  
ส่อง ตลาดที่อยู่อาศัยปี 66  การเติบโตท่ามกลางปัจจัยเสี่ยง ดอกเบี้ย-ต้นทุนพุ่ง

ส่อง ตลาดที่อยู่อาศัยปี 66 การเติบโตท่ามกลางปัจจัยเสี่ยง ดอกเบี้ย-ต้นทุนพุ่ง

ตลาดที่อยู่อาศัยปี 66 แม้ว่าตอนนี้ จะยังไม่สิ้นสุดปี 2565 แต่ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในช่วงเวลาที่เหลือสำหรับปีนี้ คงไม่ได้มีอะไรหวือหวา หรือแตกต่างไปกว่าช่วงระยะเวลาเกือบ 9 เดือนที่ผ่านมา  ซึ่งทางศูนย์วิจัยธนาคารกรุงไทย หรือ กรุงไทยคอมพาส (KrungthaiCOMPASS) ประเมินว่า ในปี 2565 มูลค่าตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะมีมูลค่า 604,000 ล้านบาท ฟื้นตัวจากปีก่อนหน้า 3.3%​ ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจากหลายปัจจัย แต่ขณะเดียวกันก็มีหลายปัจจัยสำคัญ ที่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตต่อเนื่องไปถึงตลาดอสังหาฯ ในปีหน้าด้วย โดยเฉพาะเรื่องของราคาวัสดุก่อสร้างและต้นทุนดอกเบี้ยขาขึ้น   สำหรับทิศทางในปี 2566 ตลาดบ้านและคอนโดจะเป็นอย่างไรนั้น กรุงไทยคอมพาส ได้นำเสนอบทวิเคราะห์ “ตลาดที่อยู่อาศัยปี 2565-2566 มีแนวโน้มฟื้นตัวท่ามกลางความเสี่ยงจากดอกเบี้ยขาขึ้น และต้นทุนพัฒนาโครงการยืนสูง” โดยนายคณิศ อ่ำสกุล นักวิเคราะห์ ซึ่งจะทำให้พอเห็นภาพและประเมินสถานการณ์ของตลาดที่อยู่อาศัยในปีหน้าได้ว่าจะเติบโตต่อเนื่อง หรือชะลอตัวลง ซึ่งมีรายละเอียดต่าง ๆ ดังนี้ ตลาดที่อยู่อาศัยปี 66 โต 4.2% กรุงไทยคอมพาส ประเมินว่า ในปี 2566 ตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะเติบโต 4.2%  จากปี 2565 ที่มีมูลค่า 604,000 ล้านบาท  ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนหลักมาจาก 3 เรื่องดังนี้​ 1.การฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ในปีนี้ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศ มีการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องหลังจากต้องเผชิญกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ซึ่งมองว่าการฟื้นตัวจะยังคงมีอย่างต่อเนื่องไปถึงปีหน้าด้วย   จากการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย ประกอบกับมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ทั้งการผ่อนปรน LTV และการลดค่าธรรมเนียมโอน-จำนอง ทำให้ภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2565 มีการฟื้นตัวในอัตรา 3.3%​ จากปีก่อนหน้า และคาดว่าจะมีมูลค่า 604,000 ล้านบาท   โดยที่อยู่อาศัยประเภทบ้านจัดสรร อาทิ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮ้าส์ ที่สามารถตอบโจทย์การทำงานจากที่บ้าน (WFH) ได้ดีกว่าคอนโดมิเนียมยังคงได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภคสะท้อนจากยอดโอนกรรมสิทธิ์ในครึ่งแรกของปี 2565 ที่ขยายตัว สูงถึง 7.2%   ทั้งนี้ สำหรับมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ทั้งการผ่อนปรน LTV ให้ ผู้กู้ทุกสัญญาสามารถกู้ได้เต็ม 100% และการลดค่าธรรมเนียมโอน-จำนองให้ เหลือรายการละ 0.01% สำหรับที่อยู่อาศัยไม่เกิน 3 ล้านบาท กระทรวงการคลัง และธปท. กำลังหารือถึงความเป็นไปได้ที่จะต่ออายุทั้ง 2 มาตรการต่อไปอีก 1 ปี จากที่จะสิ้นสุดลงปลายเดือนธันวาคม 2565 เป็นปลายปี 2566 แทน1 2.การกลับมาของกําลังซื้อต่างชาติ กรุงไทยคอมพาส ยังประเมินว่า ในปี 2566 กําลังซื้อต่างชาติจะกลับมา หลังจากสถานการณ์การเดินทางระหว่างประเทศที่เริ่มกลับเข้าสู่สภาวะปกติมากขึ้น จะส่งผลให้มูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑลขยายตัวในอัตราเร่งขึ้นที่ 4.2% เมื่อเทียบกับปี 2565 คิดเป็นมูลค่า 630,000 ล้านบาท  โดยคาดว่าจะมีจำนวนนักท่องเที่ยว 21.3 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปี 2565 ที่คาดว่าจะมีจำนวน 8.9 ล้านคน จะเป็นปัจจัยบวกสำคัญต่อตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2566 เพราะทำให้ความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยในไทย ของชาวต่างชาติเติบโตตาม โดยเฉพาะจากชาวจีนซึ่งคิดเป็นครึ่งหนึ่งของกาลังซื้อต่างชาติทั้งหมด   ข้อมูล Juwai.com เว็บไซต์ซื้อขายยอสังหาฯ ในต่างประเทศที่ใหญ่ที่สุดของจีน แสดงให้เห็นว่าชาวจีนยังคงให้ความสนใจในภาคอสังหาฯ ไทย  เพราะอสังหาฯ ไทยยังได้รับการค้นหาและมีคำสั่งซื้ออยู่ใน 3-4 อันดับแรกอย่างต่อเนื่อง ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ กลุ่มที่อยู่อาศัยที่จะได้ประโยชน์จากการกลับมาของกำลังซื้อต่างชาติมากที่สุดได้แก่ คอนโด ขนาด 40-50 ตร.ม. ราคา 4-5 ล้านบาทต่อยูนิต  ในทำเลยอดฮติ ของต่างชาติ อย่าง สุขุมวิท สาทร อโศก พระราม 9 และรัชดา เป็นต้น 3.การต่ออายุมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ในปี 2566 มีการคาดการณ์กันว่ารัฐบาลจะมีการต่ออายุมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ที่ใช้ในปีนี้ออกไปอีก 1 ปี เพื่อกระตุ้นภาพรวมของเศรษฐกิจประเทศให้ฟื้นตัวดีขึ้น ทั้งในส่วนของมาตรการผ่อนปรน LTV และ มาตรการลดค่าธรรมเนียมโอน-จำนอง จากที่กำหนดสิ้นสุดในปลายเดือนธันวาคม 2565 โดยปัจจุบันกระทรวงการคลังกำลังอยู่ใน ระหว่างการหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งหากมีการต่ออายุมาตรการดังกล่าวไปอีก 1 ปี จะส่งผลต่อ การเติบโตของตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2566 ปี 66 อสังหาฯ เปิดใหม่ 1 แสนยูนิต ด้านจำนวนการเปิดตัวใหม่ของตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2565-2566 กรุงไทยคอมพาส ประเมินว่า มีแนวโน้มการเปิดตัวสูงขึ้นจากปีที่ผ่านมา โดยคาดว่าจะอยู่ในระดับ 90,000-100,000 ยูนิต ซึ่งสูงกว่าปี 2564 ที่เปิดใหม่ประมาณ 56,800 ยูนิต   ที่อยู่อาศัยที่เปิดใหม่ แบ่งเป็น บ้านจัดสรร 40,000-45,000 ยูนิต และคอนโด 50,000-55,000 ยูนิต เนื่องจากผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยต้องเร่งตุน Backlog ให้กับตนเอง โดยหลังจากช่วงการระบาดของโควิด-19 ในปี 2563-2564 ผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยส่วน ใหญ่ตัดสินใจที่จะรักษาสภาพคล่องด้วยวิธีการเน้นขายสต็อกเก่าที่สร้างเสร็จแล้ว และเลื่อนการเปิดโครงการใหม่ออกไปจนกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น ส่งผลให้หน่วยเปิดใหม่ในช่วงเวลาดังกล่าวจึงอยู่ในระดับต่ำเพียงปีละ 65,000 ยูนิต เท่านั้น   แนวโน้มจำนวนยูนิตเปิดใหม่ที่จะปรับตัวสูงขึ้นในปี 2565-2566 สอดคล้องแผนงานของดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่ (Top Developers) ที่เกือบทั้งหมดมีแผนจะเปิดโครงการใหม่ในปี 2565 ในระดับที่สูงขึ้นจากปี 2564 เช่น  เอพี​ ในปีนี้มีแผนจะเปิดโครงการใหม่ 60 โครงการ มูลค่า 75,000 ล้านบาท สูงขึ้นจากปี 2564 ที่มีโครงการเปิดใหม่จำนวน 19 โครงการ มูลค่า 22,540 ล้านบาท และ แสนสิริ ที่ตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ในปีนี้ จำนวน 46 โครงการ มูลค่า 50,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จากปี 2465 ที่เปิดโครงการใหม่จำนวน 15 โครงการ มูลค่าเกือบ 8,100 ล้านบาท (รูปที่ 2)   ทั้งนี้  จำนวนเปิดใหม่ที่สูงขึ้นในกลุ่มบ้านจัดสร รซึ่งโดยทั่วไปมักใช้ระยะเวลาก่อสร้างค่อนข้างเร็วที่ 6-12 เดือน ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสนับสนุนให้มูลค่าตลาดที่อยู่อาศัยในปี 2566 มีแนวโน้มเติบโตในอัตราที่เร่งขึ้นจากปีนี้เช่นกัน   ส่วนในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 ​ตลาดที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีจำนวนยูนิตเปิดใหม่ราว 51,500 ยูนิต สูงขึ้นกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับทั้งปีที่ผ่านมา แบ่งเป็น บ้านจัดสรร 21,500 ยูนิต และคอนโด 30,500 ยูนิต โดยกลุ่มที่อยู่อาศัยแต่ละประเภท ที่ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภค ซึ่งสะท้อนจากการมียอดขาย (Pre-sale) อยู่ในระดับสูง เป็นกลุ่มที่อยู่อาศัยดังนี้ บ้านเดี่ยว ราคามากกว่า 20 ล้านบาท มียอดขาย 18.9% บ้านแฝด ราคา 5-10 ล้านบาท มียอดขาย 23.4% ทาวน์เฮ้าส์ ราคา 5-10 ล้านบาท มียอดขาย 57.8% คอนโด กลุ่มที่ได้รับความนิยมสุดคือ ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท หรือ กลุ่มที่เน้นการมอบความคุ้มค่าให้ผู้บริโภค โดยมียอด มียอดขาย 37.4% สำหรับกลุ่มผู้นำตลาดอสังหาฯ 10 อันดับแรก (Top 10 Developers) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย3 ยังคงมีผลการดำเนินงานที่โดดเด่นและเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวมในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้มูลค่า 105,617 ล้านบาท ขยายตัว 3.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า  ซึ่งถือเป็นระดับที่สูงกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ที่มีมูลค่า 103,128 ล้านบาทในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 อยู่ในอัตรา 2.4%   โดยรายได้ที่สูงขึ้นส่วนใหญ่เป็นผลมาจาก ที่อยู่อาศัยในกลุ่มบ้านจัดสรร อาทิ บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์เฮ้าส์ ได้รับการตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค เนื่องจากเป็นประเภทของที่อยู่อาศัยที่มีขนาดและพื้นที่ที่ตอบโจทย์การ WFH ​มากกว่าคอนโด  เห็นได้จากจากรายได้ในกลุ่มบ้านจัดสรรของผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยที่ขยายตัวได้ดีในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้  ​อาทิ เอพี ขยายตัวถึง 21.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา เอสซีแอสเสท ขยายตัว 11.7% ศุภาลัย ขยายตัว 22.1%​ แม้ว่าดีเวลลอปเปอร์หลายรายจะมีรายได้เติบโต แต่ก็มีผู้ประกอบการบางรายที่รายได้ลดลงเช่นกัน (รูปที่ 3)   ส่วนด้านการทำกำไร พบว่า ดีเวลลอปเปอร์ผู้นำตลาด 10 อันดับแรก มีอัตรากําไรสุทธิเฉลี่ยที่สูงขึ้นจาก 12.5% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 มาอยู่ที่ 12.9% ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ เป็นผลจากการลดความรุนแรงในการแข่งขันทำโปรโมชั่นทางการตลาดลง แต่ความสามารถในการกำไรโดยเฉลี่ยยังต่ำกว่าช่วงก่อนโควิด-19 อยู่พอสมควร ซึ่งช่วงครึ่งปีแรกของปี 2562 มีกำไรสุทธิเฉลี่ยในที่ 15.5% 2 ปัจจัยกระทบตลาดที่อยู่อาศัยปี 2566 แม้ว่าแนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยในปีหน้าจะฟื้นตัวดีขึ้นจากช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา จาก 3 ปัจจัยดังกล่าวข้างต้น แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีปัจจัยลบที่อาจจะกระทบตต่อธุรกิจอสังหาฯ ได้เช่นกัน คือ 1. เทรนด์ดอกเบี้ยขาขึ้น และ 2.ต้นทุนการพัฒนาโครงการที่ยังสูง  ซึ่งเป็นปัจจัยลบสำคัญต่อต้นทุนการดำเนินงานของผู้พัฒนาที่อยู่อาศัย  ถือเป็น 2 สิ่งที่ควรจับตามองในปี 2566 1.อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น กรุงไทยคอมพาส คาดว่าอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่เหลือของปี 2565 จนถึงปี 2566 จะอยู่ในทิศทางปรับตัวสูงขึ้นโดยมีแรงผลักดัน หลักจาก -คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) มีแนวโน้มปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีก 2 ครั้งจากปัจจุบันที่ 0.75% เป็น 1.25% ในปี 2565 ก่อนปรับขึ้นอีก 3 ครั้งเป็น 2% ใน ปี 2566   -การปรับขึ้นค่าธรรมเนียมนําส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน หรือ FIDF ที่ใน 1 มกราคม 2566 จะกลับมาจ่ายในอัตราเดิมที่ 0.46% จากอัตราปัจจุบันที่ 0.23%4 ส่งผลให้ตลาดที่อยู่อาศัยทั้งฝั่งผู้บริโภคและผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยจะได้รับ ผลกระทบผ่านต้นทุนการกู้ยืมที่ทั้ง Minimum Retail Rate (MRR) และ MinimumLoanRate(MLR)ที่มีแนวโน้มปรบัตัวสูงขึ้นตาม   สำหรับอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น จะส่งผลกระทบกับ 2 เรื่องหลัก ๆ ดังนี้ 1.กระทบต่อผู้บริโภค โดยจะมี 2 กลุ่มผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น ได้แก่ ​ -กลุ่มที่กําลังผ่อนชําระที่อยู่อาศัยอยู่ในปัจจุบัน แม้จะมีค่างวดที่ต้องชาระต่อเดือนไม่เปลี่ยนไป แต่ค่างวดดังกล่าวจะถูกนำไปชำระดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น และเหลือส่วนต่างที่จะนำไปตัดเงินต้นได้ลดลง หมายความว่า ผลกระทบของผู้บริโภคในกลุ่มนี้จะอยู่ในรูปแบบของระยะเวลาในการผ่อนชำระที่มีโอกาสนานขึ้นหากอัตราดอกเบี้ยยังคงเป็นขาขึ้นอย่างต่อเนื่อง   -ผู้ที่มีความสนใจจะขอสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยในช่วง 1-2 ปีนี้ การลดลงของมูลค่าที่อยู่อาศัยสูงสุดที่สามารถซื้อได้ โดยเราคาดว่าทุก ๆ การขึ้นดอกเบี้ย 1% มีแนวโน้มจะทำให้มูลค่าที่อยู่อาศัยสูงสุดที่ผู้บริโภคสามารถซื้อได้ลดลงไปราว 10%6 ยกตัวอย่างเช่น ที่อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 5% ผู้บริโภคที่มีกำลังผ่อน 6,000 บาท/เดือน จะสามารถกู้ซื้อที่อยู่อาศัยได้ในราคาสูงสุด ราว 1 ล้านบาท แต่หากอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยขึ้นเป็น 6% ผู้บริโภคจะต้องมี กำลังผ่อน 6,700 บาท/เดือน ถึงจะสามารถกู้ซื้อที่อยู่อาศัยในราคาเดิมได้ ดังนั้นหากผู้บริโภคมีกำลังผ่อนเท่าเดิมที่ 6,000 บาท/เดือน ก็จำเป็นต้องซื้อที่อยู่อาศัยในราคาที่ถูกลงมาที่ 900,000บาทเป็นการทดแทน   2.ผลต่อผู้พัฒนาที่อยู่อาศัย การขึ้นอัตราดอกเบี้ยจะส่งผลให้ผู้พัฒนาที่อยู่อาศัย มีต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น โดยเมื่อกําหนดให้ปัจจัยอื่น ๆ คงที่ Krungthai COMPASS คาดว่าทุก ๆ การขึ้นอัตราดอกเบี้ย 1% จะส่งผลให้ผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยมี Net Profit Margin ลดลงโดยเฉลี่ยที่ -0.56% เทรนด์ดอกเบี้ยขาขึ้น​ใน 1-2 ปีนี้จึงเป็นปัจจัยกดดันต่อการทำกําไรของผู้พัฒนําที่อยู่อําศัย (รูปที่ 6)   อย่างไรก็ดี ผลกระทบของการขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ Net Profit Margin ของผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยแต่ละรายยังขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย อาทิ สัดส่วนการพึ่งพาแหล่งเงินทุนจากสินเชื่อ (Loan) และหุ้นกู้ (Bond) ต่อ ส่วนของเจ้าของ สัดส่วนของสินเชื่อและหุ้นกู้ที่กำหนดให้จ่ายดอกเบี้ยใน อัตราผันแปร (Float Rate) รวมถึงการครบกำหนดชำระของหุ้นกู้  โดยหากผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยรายใดมีการใช้แหล่งเงินทุนจาก Loan และ Bond ในรูปแบบ Float Rate ที่มาก หรือมีความจำเป็นที่จะต้อง Rollover หุ้นกู้ เพื่อนำมาชำระหุ้นกู้เดิมก็มีโอกาสที่จะได้รับผลกระทบจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยรายอื่น ๆ 2.ต้นทุนพัฒนายังสูงต่อเนื่อง ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 ราคาวัสดุก่อสร้างหลายรายการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นมาก จากปัจจัยในเรื่องของราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น  โดยเฉพาะเหล็กและปูนซีเมนต์ เช่นเดียวกับราคาที่ดินซึ่งยังเติบโตต่อเนื่องแม้จะอยู่ในภาวะการแพร่ระบาด ของโควิด-19 หรือ แม้ในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ได้เติบโตเร็วนักก็ตาม   ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ​ราคาวัสดุก่อสร้างโดยรวม ปรับตัวสูงขึ้นไปแล้ว 5.8% จากปี 2564 เพิ่มขึ้นกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปีย้อนหลังที่เพิ่มขึ้นปีละ 1.9% อย่างเห็นได้ชัด โดยราคาเหล็ก ปรับเพิ่มขึ้นมากสุดที่ 10.3% รองลงมาได้แก่ ปูนซีเมนต์ 5.3% ไม้และผลิตภัณฑ์ไม้ 4.2%กระเบื้อง 4% และอุปกรณ์ไฟฟ้าและประปา7 3.8%   สำหรับวัสดุก่อสร้างหลักอย่าง ราคาเหล็ก คาดว่าจะปรับตัวลดลงแรงในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้  แม้สถานการณ์ภาคอสังหาฯ ของจีน จะทำให้ความต้องการใช้เหล็กลดลดก็ตาม ​ แต่ราคาเหล็กโดยเฉลี่ยในปี 2565-66 คาดว่า จะยังยืนอยู่ในระดับสูงที่ 23,500-24,000 บาท/ตัน เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยใน 5 ปีที่ผ่านมาซึ่งมีราคา​ 20,800 บาท/ตัน เช่นเดียวกับราคาวัสดุก่อสร้างอื่น ๆ ที่มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องในช่วง 1-2 ปีนี้  จากต้นทุนพลังงานและวัตถุดิบที่ยังอยู่ใน ระดับสูงกว่าในอดีต   ส่วนด้านราคาที่ดินยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง  จากดัชนีราคาที่ดินในกรุงเทพฯ และปริมณฑลในช่วงครึ่งปีแรกที่ยังสูงขึ้น 2.6% จากค่าเฉลี่ยปี 2564 ส่งผลต่อการพัฒนาโครงการใหม่จะมีต้นทุนที่สูงขึ้นด้วย (รูปที่ 7)  ขณะที่การปรับขึ้นค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ คาดว่าจะกระทบภาคอสังหาฯ บ้าง แต่มีแนวโน้มที่จะไม่มากนัก เนื่องจากค่าจ้างแรงงานในธุรกิจก่อสร้างที่อยู่อาศัย โดยสวนใหญ่จะสูงเกินค่าแรงขั้นต่ำอยู่ก่อนแล้ว และในปัจจุบันยังมีการใช้เทคโนโลยีก่อสร้างบ้านด้วยระบบ Precast มากขึ้น ซึ่งช่วยลดการใช้จำนวนแรงงานได้ในระดับหนึ่ง   อย่างไรก็ดี ยังคงต้องจับตาปัจจัยด้านดอกเบี้ยขาขึ้น และต้นทุน การพัฒนาโครงการที่อยู่ในระดับสูงอย่างใกล้ชิด เนื่องจากทั้ง 2 ปัจจัยจะส่งผล โดยตรงต่อการซื้อ ของผู้บริโภคและความสามารถในการทำกำไรของผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยในระยะ 1-2 ปีนี้ 3 บทสรุปตลาดที่อยู่อาศัยปี 66 กรุงไทยคอมพาส มองตลาดที่อยู่อาศัยในช่วงปี 2565-66 ดังนี้ 1.ตลาดที่อยู่อาศัยจะอยู่ในทิศทางขยายตัวทั้งในฝั่งของความต้องการซื้อจากการเติบโตของภาวะเศรษฐกิจและการ กลับมาของกำลังซื้อต่างชาติ เช่นเดียวกับการเปิดโครงการใหม่ๆ ของผู้พัฒนาที่ อยู่อาศัยที่จะกลับมาอยู่ในระดับปีละ 90,000-100,000 ยูนิต อีกครั้งเพื่อชดเชย การเปิดโครงการใหม่ในระดับต่ำเมื่อ 1-2 ปีที่ผ่านมา   2.ตลาดที่อยู่อาศัยยัง มี Upside จากมาตรการสนับสนุนของภาครัฐทั้งมาตรการผ่อนปรน LTV และ มาตรการลดค่าธรรมเนียมโอน-จำนองที่มีโอกาสจะต่ออายุอีก 1 ปี จากเดิมที่กำลัง จะหมดอายุลงในปลายปี 2565 นี้ โดยในปัจจุบัน กระทรวงการคลังกำลังอยู่ใน ระหว่างการหารือกับ ธปท.   3.อย่างไรก็ดี ยังต้องจับตา Downside ของตลาดที่อยู่ อาศัย ทั้ง 1.ปัจจัยดอกเบี้ยขาขึ้น ซึ่งประเมินว่าทุก ๆ การขึ้นดอกเบี้ย 1% จะทำให้มูลค่า ที่อยู่อาศัยสูงสุดที่ผู้บริโภคสามารถซื้อได้ลดลงไปราว 10% และทำให้ผู้พัฒนาที่อยู่ อาศัยมีกำไรสุทธิลดลง -0.56% ผ่านต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น  และ 2.ต้นทุน พัฒนาโครงการที่ยังอยู่ในระดับสูงจากราคาวัสดุก่อสร้างที่ยังยืนสูง และราคาที่ดิน ที่ปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง  
อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนตุลาคม 2565

อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนตุลาคม 2565

อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน หลังจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน หรือ กนง. ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ได้ประชุมครั้งที่ 5/2565  เมื่อวันที่ 28 กันยายนที่ผ่านมา  ก็มีมติเป็นเอกฉันท์ให้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25%  ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายจาก 0.75% ปรับขึ้นเป็น 1.00% ต่อปีโดยมีผลทันที   ​ทำให้มีธนาคาาพาณิชย์บางแห่งเริ่มประกาศอัตราดอกเบี้ย MRR หรือ Minimum Retail Rate (อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำที่ธนาคารเรียกเก็บจากลูกค้ารายย่อยชั้นดี)  กันใหม่บ้างแล้ว ซึ่งได้ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์มีการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ที่บางธนาคารปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา ขณะที่บางธนาคารแม้ว่าจะยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย MRR แต่เชื่อว่าในอีกไม่ช้าก็ต้องประกาศปรับแน่นอน ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยที่ลูกค้าต้องแบกรับเปลี่ยนแปลงไป   ส่วนในเดือนตุลาคมอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง แบงก์ไหนปรับเพิ่ม แบงก์ไหนปรับลดลง เรามาอัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนตุลาคม 2565 กันซึ่ง Reviewyourliving ได้รวบรวมและอัปเดทเอาไว้ให้แล้ว ​ อัปเดต ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับธนาคารกรุงเทพ สินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป  โดยอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ประจำเดือนตุลาคม 2565 เอกสารที่ระบุอยู่ในเว็บไซต์ของธนาคาร ยังมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล โดยยังเป็นข้อมูลที่ใช้กับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม -30 มิถุนายน​ 2565  จึงคาดว่าธนาคารกรุงเทพ จะยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยเท่ากับช่วงเวลาดังกล่าว ​ซึ่งมีการคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.2% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป ลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.45% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.45%  (MRR-0.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.45% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.9% ลูกค้าทั่วไปวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.7%(MRR-1.25%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075%(MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58% -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก MRR-1.20% หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า 500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่  10 พฤษภาคม​ – 30 มิถุนายน​ 2565 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา  -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 7 ธันวาคม​ 2564 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข -ข้อมูล ณ วันที่ 3 ตุลาคม 2565   2.ธนาคารกรุงไทย อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด สำหรับธนาคารกรุงไทย ในเดือนตุลาคม  ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากช่วงเดือนสิงหาคม และเดือนกันยายนที่ผ่านมา และข้อมูลยังเป็นการยื่นขอสินเชื่อภายในวันที่ 30 กันยายน โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ ทางเลือกที่ 1 แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.77% (MRR-3.45%) ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 2.77% (MRR-3.45%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.77% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.22% ทางเลือกที่ 2 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.87% (MRR-3.35%) ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 2.87% (MRR-3.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี =2.87% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.26% ทางเลือกที่ 3 แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1% เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า 0.25% ที่คิด 0.75% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.92% (MRR-2.30%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.96% เพิ่มขึ้น 0.08% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 2.88% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.26% เพิ่มขึ้น 0.03% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 4.23% ทางเลือกที่ 4 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.25  ลดลงจากเดือนก่อนหน้า 0.25% ที่คิดอัตราดอกเบี้ย 1.00% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.97% (MRR-2.25%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี =  3.06% เพิ่มขึ้น 0.08% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 2.98% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.30% เพิ่มขึ้น 0.03% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย  4.27% หมายเหตุ : 1.การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ *ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลากู้ -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี (การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ เป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการอนุมัติสินเชื่อ) 2.อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR)**คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,600 บาท/เดือน MRR = 6.22% ต่อปี 3.สามารถขอสินเชื่อ Home For Cash แบบมีกำหนดระยะเวลา (Term Loan) เพิ่มเติม สำหรับวัตถุประสงค์ : เพื่ออุปโภคบริโภค / ปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย /ชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย MRR ต่อปี ตลอดอายุสัญญา 4.เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 กันยายน 2565 และทำนิติกรรมจำนองภายใน 30 วัน ทั้งนี้ ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขรายการส่งเสริมการขาย โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี  เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมิน  และธนาคารยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยสำหรับการกู้ซื้อบ้านและคอนโด ยังคงเท่ากับเดือนที่ผ่านมา  เนื่องจากมีระยะเวลาการสิ้นสุดแคมเปญถึง 31 ธันวาคมนี้ โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.925% (MRR-2.125%) เพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งมีการคิดอัตราดอกเบี้ยแตกต่างกันในแต่ละปี โดยหากเปรียบเทียยกับปีที่ 1 ของเดือนที่ผ่านมาจะเพิ่มขึ้น 1.025% ซึ่งเดือนที่แล้วคิดเอัตราดอกเบี้ย 2.9% ( MRR-3.15%) หากเปรียบเทียบกับปีที่ 2 จะมีอัตราดอกเบี้ยลดลง 0.125% ซึ่งเดือนที่ผ่านมาดอกเบี้ยปีที่ 2  อัตรา 4.05% (MRR-2.00%) หากเปรียบกับปีที่ 3  จะลดลง 1.025% จากเดือนที่แล้วคิดอัตราดอกเบี้ย ปีที่ 3 อัตรา 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.93% ลดลง 0.04% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 3.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = 4.45% เพิ่มขึ้น 0.06% จากเดือนที่ผ่านมา คิดอัตรา  4.39% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 2.50% เพิ่มขึ้น 1.0% จากเดือนที่ผ่านมาคิดอัตรา 1.50% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 415% (MRR-1.9%) ลดลง 0.3% จากเดือนที่ผ่านมาคิดอัตรา 4.45% (MRR-1.60%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-1.5%) ลดลง 0.15% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) ปีที่ 3อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-1.5%) ลดลง 0.4% จากเดือนที่ผ่านมา คิดดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.14% ลดลง 0.07% จากเดือนที่ผ่านมาคิดอัตราดอกเบี้ย  4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.54% เพิ่มขึ้น 0.02% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.675% (MRR-2.375%) เพิ่มขึ้น  1.125% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 2.55%  (MRR-3.50%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.675% (MRR-2.375%) เพิ่มขึ้น 0.375% จากเดือนที่ผ่านมาคิด อัตราดอกเบี้ย 3.3%  (MRR-2.75%) ปีที่ 3อัตราดอกเบี้ย 3.675% (MRR-2.375%) ลดลง 1.025% จากเดือนที่ผ่านมา คิดดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.68% เพิ่มขึ้น 0.16% จากเดือนที่ผ่านมา คิดดอกเบี้ย 3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.22% เพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนที่ผ่านมา คิดดอกเบี้ย 4.02% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.99% เพิ่มขึ้น 0.74% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 1.25%  เเดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.15%  (MRR-1.9%) เพิ่มขึ้น 0.05% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย  4.1% (MRR-1.95%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.35% (MRR-1.7%) เพิ่มขึ้น 0.05% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 4.3% (MRR-1.75%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.35% (MRR-1.7%) เพิ่มขึ้น 0.35% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย   4.7%  (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.92% เพิ่มขึ้น 0.03% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 3.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.33% เพิ่มขึ้น 0.1% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอัตราดอกเบี้ย 4.23% หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พฤษภาคม 2563 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน​ – 31 ธันวาคม 2565 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป โดยพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ ซึ่งเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ข้อมูลในเว็บไซต์ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 7.72% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 7.72% สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 8.22% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 8.22% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% (ประกาศ ณ วันที่ 22 พฤษภาคม​ 2563) ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ย MRR ให้อ้างอิงอัตราดอกเบี้ยตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ลูกค้ายื่นใบสมัครสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม​– 30 กันยายน​ 2565 โดยสามารถยื่นกู้ได้สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภท ยกเว้นการกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม 0.25% ในปีแรก หากทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อบ้านตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -กรณียื่นกู้บ้านในโครงการจัดสรรที่ธนาคารสนับสนุน ธนาคารฯ มีอัตราดอกเบี้ยพิเศษ สอบถามรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ K-Contact Center 02-8888888 ต่อ 887 5.ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ธนาคารเกียรตินาคินภัทร มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (KKP Home Loan เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย) กรณี บ้านใหม่ : ซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด ซึ่งมีการคิดอัตราดอกเบี้ยเปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนที่ผ่านมาเล็กน้อย โดยไม่มีการคิดอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ 1 ปีแล้ว มีเฉพาะดอกเบี้ยลอยตัว โดยมีอัตราดอกเบี้ย  ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.4-3.062% เพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาที่คิดอัตราดอกเบี้ย 2.4-2.75% ปีต่อไป 5.025% (MLR-1.50%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.5-2.75% ปีต่อไป 5.025% (MLR-1.50%) หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่ 6 สิงหาคม 2563 เท่กับ 6.525% ต่อปี 3.เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5. กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง หากลูกค้า Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร  6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท  ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.ค่าธรรมเนียมติดตามทวงถามหนี้ ค้างชำระ 1 งวด 50 บาท/รอบการทวงถามหนี้ ค่างชำระมากกว่า 1 งวด 100 บาท/รอบการทวงถามหนี้ 8.เบี้ยประกันอัคคี เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด 30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู  ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เท่ากับเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารซีไอเอ็มบี มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.1%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-2.8%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.15% หมายเหตุ -สำหรับซื้อบ้านและคอนโดจากโครงการทั่วไป -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2564) -ธนาคารยังมีอัตราดอกเบี้ยสำหรับพนักงานประจำรายได้ 30,000-50,000 หรือเจ้าของกิจการรายได้ 50,000 บาทขึ้นไปไว้พิจารณาด้วย รวมถึงสินเชื่อสำหรับโครงการที่ธนาคารเป็นผู้สนับสนุน 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป ภายใต้แคมเปญดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้นเฉลี่ย 3 ปีแรก 4.25% ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา 0.20% เพราะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย MRR ใหม่เท่ากับ 6.48% ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 แต่การขอสินเชื่อในเดือนนี้ยังจะได้รับฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าจดทะเบียนจำนอง และค่าประเมินหลักทรัพย์ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนตุลาคม มีรายละเอียด ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-2.23%) เพิ่มขึ้น 0.20% จากเดือนที่ผ่านมา หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.85% (MRR-1.63%) เพิ่มขึ้น 0.20% จากเดือนที่ผ่านมา ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% เพิ่มขึ้น 0.20% จากเดือนที่ผ่านมา ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.66% เพิ่มขึ้น 0.20% จากเดือนที่ผ่านมา ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.6% (MRR-1.88%) เพิ่มขึ้น 0.20% จากเดือนที่ผ่านมา หลังจากนั้น 4.85% (MRR-1.63%) เพิ่มขึ้น 0.20% จากเดือนที่ผ่านมา ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.6% เพิ่มขึ้น 0.20% จากเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.77% เพิ่มขึ้น 0.20% จากเดือนที่ผ่านมา ทางเลือก 3 (ไม่สมัครผลิตภัณฑ์ครบ 3 รายการ) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.85% (MRR-1.63%) เพิ่มขึ้น 0.20% จากเดือนที่ผ่านมา หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.85% (MRR-1.63%) เพิ่มขึ้น 0.20% จากเดือนที่ผ่านมา ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.85% เพิ่มขึ้น 0.20% จากเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา ดอกเบี้ย 4.85% เพิ่มขึ้น 0.20% จากเดือนที่ผ่านมา รายละเอียดเงื่อนไข สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส  2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท  -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 3 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของธนาคาร -ธนาคารขอสงวนสิทธิเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แจ้งไว้ในเอกสารฉบับนี้ โดยไม่ ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ในกรณีที่ธนาคารเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนจำนองหลักประกันแทนผู้กู้หากผู้กู้มีความประสงค์จะไถ่ถอนหลักประกันและชำระหนี้คืนทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันเบิกใช้เงินกู้ ครั้งแรก ผู้กู้ตกลงคืนเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองหลักประกันตามจำนวนเงินที่ธนาคารได้ช าระไปให้แก่ธนาคาร ในวันที่ผู้กู้ได้ชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้น (ค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท) -กค้าต้องสำรอง จ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ลูกค้าใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 30 วันทำการนับจากวันที่ลูกค้าจดจำนอง -MRR = 6.48% ตามประกาศธนาคาร https://www.ttbbank.com/th/rates/loan-interest-rates  -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565 ถึง 30 ธันวาคม 2565 และจดจำนอง ภายใน 31 มกราคม 2565 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา  คิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.95% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย แบบทำประกัน Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ 10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) -ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี (ประกาศ ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยะเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2565  มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากแคมเปญสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2565  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.15% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.9% (MRR-2.25%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.4%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญา  5.4% หมายเหตุ -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 2 มกราคม -30 ธันวาคม 2565   (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติมวงเงินของโครงการแล้ว) -อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินกู้และทุกบัญชีเงินกู้ภายใต้หลักประกันเดียวกัน 10.ธนาคารยูโอบี สำหรับธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโครงการหมู่บ้านทั่วไป  โดย อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.8%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.75% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย  3.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.95% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  4.95% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.88% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.2% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.96% หมายเหตุ -ขอสินเชื่อตั้งแต่ 1  กรกฎาคม -30 กันยายน 2565 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายใน 31 ตุลาคม 2565 -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาคารยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.35% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น (Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น)  -การอนุมัติสินเชื่อ เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร  -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ  7.35% ต่อปี (ตามประกาศธนาคารณ วันที่  9 กรกฎาคม 2564) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้  -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร  -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย (ใบอนุญาตประกันชีวิต เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศภัย เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย สินเชื่อบ้าน โฮมโลน โดนใจ ที่คิดดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 1.9%  โดยเดือนนี้ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีการคิดอัตราดอกเบี้ยมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดจากช่วงเดือนที่ผ่านมาเล็กน้อย ดังนี้  แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย  1.9% (MRR-5.45%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.85% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.54% แบบที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.50% (MRR-4.85%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.50% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ล้านละ 3,500 บาท  กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่** -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 4.60% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.10% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.35% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่าง ๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่วันนี้- 30 ตุลาคม 2565 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีโปรโมชั่น สินเชื่อเคหะ สำหรับให้บริการผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไปซื้อบ้านหรือคอนโด  โดยปลอดชำระเงินงวด 6 เดือนแรก เมื่อพ้นระยะปลอดชำระหนี้ สามารถเลือกผ่อนต่ำ ล้านละ 3,500 บาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน ​ โดยมีรายละเอียดสำหรับสินเชื่อกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนตุลาคม ดังนี้  วงเงินกู้สินเชื่อต่ำกว่า 10 ล้านบาท  กลุ่มลูกค้าทั่วไป  กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.99% เพิ่มขึ้น 0.04% จากเดือนที่ผ่านมาคิด 1.95%   ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.98% เพิ่มขึ้น 0.105% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 2.875%   ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.65% เพิ่มขึ้น 0.15% จากดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 2.5%   อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.144% เพิ่มขึ้น 0.059% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 4.085%   กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.24% เพิ่มขึ้น 0.04% จากเดือนก่อนหน้าคิด 2.20%   ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.605% ลดลง 0.02% จากเดือนก่อนหน้าคิด 3.625%   ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.15% คิดเท่ากับเดือนที่ผ่านมา อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.328% เพิ่มขึ้น 0.001% จากเดือนที่ผ่านมาคิด  4.327%  วงเงินกู้สินเชื่อมากกว่า 10 ล้านบาท  กลุ่มลูกค้าทั่วไป (เดือนที่ผ่านมาไม่ได้แยกวงเงินกู้) กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.99%   ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.755%   ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.5%   อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.089%   กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.24%   ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 3.38%   ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.00%   อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.274%   เงื่อนไขการผ่อนชำระ -ปีที่ 1 ผ่อนชำระ 2,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 2 ผ่อนชำระ 4,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 3 ผ่อนชำระ 5,500 บาทต่อเดือน หมายเหตุ -การทำประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ เป็นการทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ โดยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด -เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อตามโปรโมชั่น สมัครบริการ MyMo และผลิตภัณฑ์/บริการอื่น อย่างน้อย 2 ประเภท ได้แก่ บัตรอิเล็กทรอนิกส์/ บัตรเครดิตหรือสินเชื่อบัตรเงินสด/ ชำระสินเชื่อหักผ่านบัญชี/ หน่วยงานหักเงินนำส่งชำระหนี้ / จ่ายตรงเงินเดือน / ประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ ทั้งนี้ หากลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นตามที่กำหนดอยู่แล้ว สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้ และกรณีไม่มี Smartphone ให้สมัครผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นของธนาคารตามที่กำหนดทดแทนได้ -การปลอดชำระเงินงวด คือ ระยะเวลาปลอดชำระเงินต้นและดอกเบี้ย เป็นระยะเวลาที่ธนาคารยังคงคิดดอกเบี้ยตามสัญญากู้เงิน -*กรณี ฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง ให้ตามที่จ่ายจริง (รวมทุกสัญญาที่กู้ในคราวเดียวกัน) โดยลูกค้าต้องสำรองจ่ายค่าธรรมเนียมจดจำนองแก่กรมที่ดินไปก่อน ทั้งนี้ กรณีจำนวนเงินที่จ่ายตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป ต้องเสียภาษี ณ ที่จ่าย ร้อยละ 1.00 ของเงินค่าจดจำนอง โดยธนาคารจะโอนเงินหลังหักภาษี ณ ที่จ่าย คืนเข้าบัญชีเงินฝากเผื่อเรียกของลูกค้าภายใน 30 วันทำการ นับจากวันที่จดจำนองแล้วเสร็จ -กรณีผู้กู้ชำระคืนเงินกู้ก่อนกำหนด เฉพาะกรณีไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด (Prepayment) เพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามที่ธนาคารกำหนด (ปัจจุบันร้อยละ 3.00 ของยอดเงินต้นคงเหลือ) ทั้งนี้ กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง หากผู้กู้ชำระหนี้ปิดบัญชีในทุกกรณี ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้จะต้องชำระค่าธรรมเนียมจดจำนองคืนแก่ธนาคารเต็มจำนวน -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่นๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไขโดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ยื่นกู้ภายในวันที่ 15 มกราคม 2566 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2566 หมายเหตุ Reviewyourliving รวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ธนาคาร ณ วันที่ 3 ตุลาคม 2565   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกันยายน 2565 -อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนกันยายน 65
ไวด์เฮ้าส์ลุยตลาดรับสร้างบ้าน 2 แสนล้านประเดิมปีแรกทำรายได้ 60 ล้าน

ไวด์เฮ้าส์ลุยตลาดรับสร้างบ้าน 2 แสนล้านประเดิมปีแรกทำรายได้ 60 ล้าน

ไวด์เฮ้าส์ ดีไซน์ แอนด์ บิลด์ ลุยธุรกิจรับสร้างบ้าน 200,000 ล้าน ​ชูจุดเด่นด้านงานดีไซน์ พร้อมตอบสนองความต้องการของลูกค้า มั่นใจเปิดตัวปีแรกทำรายได้ 60 ล้าน ก่อนทะยานโต 300% ในปี 66 เล็งขยายสาขาเพิ่มในต่างจังหวัดรับดีมานด์โตต่อเนื่อง ​   นายธนัชพงศ์ จิระชาติชัยวงษ์ กรรมการบริหาร บริษัท ไวด์เฮ้าส์ ดีไซน์ แอนด์ บิลด์ จำกัด หรือ WIDE HOUSE เปิดเผยว่า ได้มองเห็นโอกาสทางการตลาดของธุรกิจรับสร้างบ้านที่มีมูลค่ารวมกว่า 200,000 ล้านบาท ซึ่งมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคระดับกลางถึงสูง ที่ต้องการปลูกสร้างบ้านด้วยตนเอง ตามรูปแบบงานดีไซน์ ไลฟ์สไตล์ และพฤติกรรมการอยู่อาศัยเป็นของตนเอง ทีมผู้บริหารจึงได้จัดตั้งบริษัทขึ้นเมื่อช่วงเดือนเมษายน 2565 ที่ผ่านมา เพื่อดำเนินธุรกิจรับสร้างบ้าน   โดยทีมผู้บริหารที่รวมตัวจัดตั้งบริษัทครั้งนี้ เป็นทีมบริหารจากบริษัท ศ.ศิวะ การช่าง จำกัด เอสดับเบิ้ล ยู สตูดิโอ (SW STUDIO) และ SWA and Associate Co.,ltd. ซึ่งผู้ที่ดำเนินธุรกิจด้านงานก่อสร้าง งานออกแบบ และดีไซน์มานานกว่า 20 ปี มีกลุ่มลูกค้าสำคัญเป็นกลุ่มธุรกิจรีสอร์ท โรงแรม และบ้านพักอาศัยที่มีระดับมูลค่างานกว่า 50 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งบริษัทจะนำเอาประสบการณ์และความชำนาญดังกล่าว มาปรับใช้และตอบสนองกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสร้างบ้านในสไตล์ และฟังก์ชั่นการใช้งานของบ้านในแบบของตนเอง โดยจับกลุ่มลูกค้าระดับกลางขึ้นไป   ทั้งนี้ ไวด์เฮ้าส์ จะทำงานร่วมกันกับสถาปนิกและวิศวกรมืออาชีพมากประสบการณ์ ซึ่งผ่านประสบการณ์ออกแบบให้กับโรงแรม รีสอร์ตระดับสากลมาแล้วกว่า 10 ปี จากบริษัทชั้นนำในเครือ เอสดับเบิ้ล ยู สตูดิโอ (SW STUDIO) รวมพื้นที่ก่อสร้าง 561,026 ตารางเมตร จากกว่า 80 โครงการ  ครอบคลุมบริการด้านงานออกแบบและปรับแบบ, บริการให้คำปรึกษาในการสร้างบ้านอย่างครบวงจร ดำเนินงานก่อสร้างและควบคุมโดยวิศวกรจาก บริษัท ศ.ศิวะ การช่าง จำกัด  ผู้นำด้านงานรับเหมาก่อสร้างแบบครบวงจร นายธนัชพงศ์  กล่าวว่า บริษัทได้เริ่มทำการตลาดเปิดตัวครั้งแรกในงานสถาปนิก 65 ครั้งที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีเกินกว่าที่คาดไว้ โดยมีลูกค้าเซ็นต์สัญญาจ้างงานแล้ว 5 ราย มีผู้สนใจลงทะเบียนให้ข้อมูลไว้กว่า 500 ราย และปัจจุบันยังมีลูกค้าอีก 20 รายที่อยู่ระหว่างการออกแบบบ้าน จึงทำให้มั่นใจว่าภายในสิ้นปีนี้จะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 60 ล้านบาท ส่วนในปีหน้าคาดว่าจะสร้างยอดขายเติบโตได้ 300% โดยวางแผนขยายสาขาเพิ่มอีก 1 แห่ง ในต่างจังหวัดด้วย   ความแตกต่างที่ผู้บริโภคจะได้รับเมื่อใช้บริการของ ไวด์เฮ้าส์ คือ การเปิดกว้างและอิสระทางความคิดในการดีไซน์บ้านตามสไตล์ที่ตนเองชอบ ไม่ตีกรอบลูกค้าให้เลือกใช้เฉพาะแบบบ้านที่มี ลูกค้าสามารถครีเอทฟังก์ชันตามไลฟ์สไตล์ได้อย่างเต็มที่ร่วมกับทีมสถาปนิกมืออาชีพของ WIDE HOUSE พร้อมด้วยทีมนักออกแบบภายในจากบริษัทพาร์ทเนอร์ SW STUDIO       สำหรับการรับสร้างบ้านบริษัทมีแบบให้ลูกค้าเลือกเป็นมาตรฐานด้วยกัน 4 แบบ ประกอบด้วย บ้านสไตล์มินิมอล ที่เน้นความเรียบง่ายแต่ดูทันสมัย บ้านสไตล์โมเดิร์น ลอฟท์ ที่เน้นผนังปูนเปลือย เหล็ก และกระจก บ้านสไตล์ทรอปิคอล เน้นการออกแบบให้มีสเปซขนาดใหญ่ และความโปร่งโล่ง และบ้านสไตล์คลาสสิค คอนเทมโพรารี ที่ผสมผสานความเป็นโมเดิร์นและคลาสสิคเข้าด้วยกัน แน้นพื้นที่เปิดโล่ง โดยราคาขายเริ่มต้นตารางเมตรละ 25,000 บาท หรือราคาเริ่มต้นหลังละ 5 ล้านบาท ซึ่งแม้ว่าจะมีแบบมาตรฐาน แต่กลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่จะมีการปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่น การใช้งานของบ้าน ให้สอดคล้องกับรูปแบบที่ดิน   ปัจจุบัน WIDE HOUSE มีกลุ่มเป้าหมายทางธุรกิจแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ ทั้งครอบครัวขยายที่รวมสมาชิกภายในบ้านไม่เกิน 2 เจนเนอเรชัน และครอบครัวเดี่ยว ครอบครัวขนาดใหญ่ที่มีสมาชิกภายในบ้านมากกว่า 3 เจนเนเรชันขึ้นไป ประกอบด้วยบ้านหลายหลังที่อยู่ในบริเวณเดียวกัน โดยลูกค้าส่วนใหญ่ของ WIDE HOUSE จะมีที่ดินเดิมอยู่แล้ว โดยเป็นที่ดินมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น และต้องการสร้างบ้านหลังใหม่ทดแทนหลังเดิมที่ปลูกสร้างมาตั้งแต่รุ่นคุณปู่คุณย่าหรือรุ่นพ่อแม่ โดยฟังก์ชันบ้านของลูกค้ากลุ่มนี้มักจะเป็นการขยับขยายครอบครัว ซึ่งส่วนใหญ่จะมีผู้สูงอายุอาศัยอยู่ร่วมด้วย 1-2 เจนเนอเรชันขึ้นไป ส่วนอีกกลุ่มที่เป็นครอบครัวคนรุ่นใหม่ที่แยกตัวออกมาเป็นครอบครัวขยาย มีกำลังซื้อค่อนข้างสูง มักจะมองหาที่ดินในเมือง อาจมีพื้นที่ไม่มากนัก อยู่ในซอย แต่ไม่ต้องออกไปถึงแถบชานเมือง และมีสไตล์บ้านที่ตนเองชื่นชอบอยู่แล้ว มีฟังก์ชันการใช้งานที่ต้องการเป็นพิเศษอย่างชัดเจน สิ่งที่สัมผัสได้คือโจทย์ความต้องการที่มีความแตกต่างกันออกไป แต่ละครอบครัวมีความต้องการที่ชัดเจนก่อนจะเดินเข้ามาหาเรา เมื่อมีการมานั่งพูดคุยกันกับทีมสถาปนิก WIDE HOUSE จึงออกมาในรูปแบบการระดมและแลกเปลี่ยนมุมมองความคิด  เพื่อใช้เป็นโจทย์ตั้งต้นให้เราสร้างสรรค์บ้านดีไซน์ใหม่ให้แก่ลูกค้าแต่ละครอบครัวโดยเฉพาะ   อย่างไรก็ตาม แม้ช่วงการสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ผ่านมาจะส่งผลให้ธุรกิจรับสร้างบ้านของไทยต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่ ทำให้เกิดการชะลอการตัดสินใจในระยะสั้นโดยเฉพาะกลุ่มบ้านราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยสถาบันการเงินและปัญหาสภาพคล่อง แต่ปัจจุบันสถานการณ์เริ่มคลี่คลาย จึงเชื่อว่าความต้องการสร้างบ้านในกลุ่มนี้จะกลับมาดีขึ้นกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมา แต่ที่น่าจับตาคือ  กลุ่มบ้านราคา 10 ล้านบาทขึ้นไปที่ไม่ได้รับผลกระทบใดๆ  เพราะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีความพร้อมด้านงบประมาณอยู่แล้ว และเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพทางการเงินสูง   อ่านข่าวเพิ่มเติม -รับสร้างบ้านปี 63 ยังทรงตัว 5G จะเข้ามาเปลี่ยนโฉมธุรกิจ -[PR News] ปิดฉากงานรับสร้างบ้าน ยอดขายต่ำเป้า สมาคมหวังโค้งท้ายฟื้นตัวจบปีตลาดโต 5-8%
สัมมากร ส่งโครงการมิตติ จับตลาดบ้าน 4-7 ล้าน  ประเดิมโซน​ ชัยพฤกษ์-วงแหวน

สัมมากร ส่งโครงการมิตติ จับตลาดบ้าน 4-7 ล้าน ประเดิมโซน​ ชัยพฤกษ์-วงแหวน

สัมมากร เดินหน้าลุยเปิด โครงการบ้านเดี่ยว-บ้านแฝด แบรนด์มิตติ วางเป้าทั้งปี 3 โครงการรวมกว่า 2,000 ล้าน ประเดิม ​“โครงการมิตติ ชัยพฤกษ์-วงแหวน” มูลค่า 800 ล้าน รับดีมานด์กลุ่มคนชั้นกลาง คาดปิดโครงการได้ภายใน 2 ปี พร้อมเดินหน้าเตรียมเปิดต่ออีก 2 โปรเจ็กต์     นายณพน เจนธรรมนุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) หรือ SAMCO เปิดเผยว่า ในปีนี้ได้วางแผนเปิดตัวโครงการมิตติ (MITTI) ซึ่งจับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการบ้านระดับราคา  4-7 ล้านบาท ด้วยกัน 3 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท โดยล่าสุด เปิดตัว​ โครงการมิตติ ชัยพฤกษ์-วงแหวน จำนวน 126 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 800 ล้านบาท และจะเปิดเพิ่มอีก 2 โครงการในทำเลถนน 346 และรังสิต คลอง 6 ส่วนในปีหน้าเบื้องต้นจะเปิดอีก 1 โครงการในโซนท่าอิฐ โครงการมิตติ​ ชัยพฤกษ์-วงแหวน เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายอยู่ในระดับ Middle class ช่วงอายุ 30-55 ปี อาทิ กลุ่มคนทำงานระดับพนักงานอาวุโส​ ระดับผู้จัดการ​ เจ้าของกิจการ SME รวมถึงกลุ่มครอบครัวเริ่มต้นไปจนถึงครอบครัวขยาย สำหรับโครงการมิตติ มาจากคำว่า “มิตร + มิติ” ซึ่งหมายถึง การออกแบบพื้นที่ที่เป็นมิตรต่อการอยู่อาศัยอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นไหนก็ตาม พื้นที่ภายในโครงการและตัวบ้าน จะสามารถตอบโจทย์ทุกการอยู่อาศัยในทุกมิติ  ตรงตามคอนเซปต์ “ความสุขที่ไม่มีวันหมดอายุ” (Happiness Never Expires) หรือหมายความว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน บ้านหลังนี้ยังคงตอบโจทย์การอยู่อาศัยในระยะยาว โดยเป็นเหมือนที่พักผ่อนอย่างแท้จริงของทุกคนในบ้านในการใช้ช่วงเวลาดีๆ ไปด้วยกัน ซึ่งโครงการมีทั้งหมด   สำหรับโครงการมิตติ ​ชัยพฤกษ์-วงแหวน เป็นโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ตั้งอยู่บนพื้นที่ทั้งหมด 26-2-28.8 ไร่ จำนวน 126 ยูนิต มีบ้านเดี่ยว 2 ชั้น 2 รูปแบบ คือ 1.แบบบ้าน Emmaline (เอมมาลิน) เป็นภาษาเยอรมันซึ่งแปลว่า “บ้านที่สงบสุข” จำนวน  66 ยูนิต ขนาดที่ดินเริ่มต้น 50.20 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 136.41 ตารางเมตร ภายในบ้านมี 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ  1 ห้องนั่งเล่น 1 ห้องอเนกประสงค์ 1 ห้องครัว 1 ส่วนรับประทานอาหาร และ 2 ที่จอดรถ 2.แบบบ้าน Merak (เมอแรค) ซึ่งเป็นภาษาเซอร์เบียที่มีความหมายว่า “ความสุขแบบเรียบง่ายเมื่อได้อยู่พร้อมกัน” จำนวน 28 ยูนิต ขนาดที่ดินเริ่มต้น 53.20 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 176.93 ตารางเมตร มี 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น 1 ห้องอเนกประสงค์  1 ห้องครัว 1 ส่วนรับประทานอาหาร และ 2 ที่จอดรถ และ บ้านแฝด 2 ชั้น จำนวน 32 ยูนิต ขนาดที่ดินเริ่มต้นที่ 35.30 ตารางวา   สำหรับแบบบ้าน Emmaline ทาง สัมมากรได้พันธมิตรอย่าง “จุสก์ ประเทศไทย” (JYSK Thailand) ไลฟ์สไตล์เฟอร์นิเจอร์ชื่อดังระดับโลกสไตล์สแกนดิเนเวียนมาร่วมส่งมอบความสุขที่ไม่วันหมดอายุ ด้วยการนำเฟอร์นิเจอร์มาตกแต่งบ้านตัวอย่าง เพื่อเป็นไกด์ไลน์การตกแต่งบ้านแบบ Modern Minimal อีกด้วย ขณะเดียวกันบ้านเดี่ยวอีกแบบบ้าน คือ นายนภพ กล่าวอีกว่า ในพื้นที่โซนถนน 345 เป็นทำเลที่มีศักยภาพ และตลาดยังมีความต้องการ เนื่องจากมีการขยายความเจริญออกมาในทำเลด้านนอก ซึ่งจากพัฒนาโครงการมาก่อนหน้าในทำเลดังกล่าว ก็ได้รับการตอบรับที่ดีสามารถปิดโครงการได้ภายใน 3 ปี ขณะที่ราคาที่ดินก็มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยประมาณ 10% ปัจจุบันราคาที่ดินติดถนนใหญ่จะมีราคาประมาณ​150,000 บาทต่อตารางวา   โดยโครงการมิตติ เตรียมเปิด Pre-Sale วันเสาร์ที่ 10 - วันจันทร์ที่ 12 กันยายนนี้ ด้วยราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท  พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับผู้จองในงาน อาทิ ฟรีค่าใช้จ่าย ณ วันโอน, บัตรกำนัลจาก JYSK Thailand สำหรับซื้อของตกแต่งบ้านในมูลค่า 40,000 บาท และระบบ Home Automation ซึ่งคาดว่าจะสามารถปิดการขายโครงการได้ภายใน 2 ปี และน่าจะก่อสร้างโครงการทั้งหมดแล้วเสร็จภายในปี 2567   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -สัมมากร สวนกระแสตลาด ทำรายได้ปี’62 สูงสุดในรอบ 50 ปี -สัมมากร ลุยตลาดลักชัวรี่ขายบ้าน 30 ล้าน สู้โควิด-19 เดินหน้าปั๊มยอดขายทั้งปีโต 20%  
อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนกันยายน 65

อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนกันยายน 65

อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโดมิเนียม  เดือนกันยายน 65 สำหรับคนที่กำลังมองหาแหล่งเงิน โดยใช้ทรัพย์สินของตนเอง เพื่อนำเงินมาหมุนเวียนธุรกิจ หรือเสริมสภาพคล่องภายในครอบครัว ซึ่งเดือนนี้ภาพรวมอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโด ยังถือว่าทรงตัวจากเดือนที่ผ่านมา   แต่หากย้อนกลับไปดูช่วงต้นปี จะเห็นอัตราดอกเบี้ยหลายธนาคารขยับเพิ่มขึ้นแล้ว หลังจากนี้เชื่อว่าดอกเบี้ยคงอยู่ในภาวะขาขึ้น ใครจะรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโด คงต้องรีบตัดสินใจกันหน่อย ส่วนแบงก์ไหนมีเรทอัตราดอกเบี้ยเท่าไร ลองไปดูกันเลย อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด  1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ  มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการรีไฟแนนซ์บ้าน  กรณีหลักทรัพย์เป็นที่อยู่อาศัยทั่วไป เฉพาะวงเงินอนุมัติตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งอัตราดอกเบี้ยของเดือนกันยายน 2565 ​นี้  เว็บไซต์ธนาคารยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล โดยยังเป็นเอกสารที่ระบุข้อมูลถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565 คาดว่าอัตราดอกเบี้ยยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ย สำหรับการรีไฟแนนซ์บ้านและคอนโด ดังนี้ ​​ ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.325% (MRR-3.625%) กรณีไม่ทำประกัน  อัตราดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) หลังจากนั้น 4.45% ​(MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.12-3.20% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.66-3.72% ทางเลือกที่ 2 ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.825% (MRR-3.125%)  กรณีไม่ทำประกัน ดอกเบี้ย 3.075% (MRR-2.875%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.075% (MRR-2.875%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย  4.45% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.45-3.53% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.86-3.92% หมายเหตุ -กรณีแสดงวัตถุประสงค์ เช่น เพื่อการต่อเติม/ซ่อมแซม/ตกแต่งที่พักอาศัย ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา หรือการจัดหาสินค้าหรือบริการเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนตัว เป็นต้น -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคําขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2565 - 30 มิถุนายน 2565 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อและจดจำนองภายใน 2 เดือนนับแต่วันที่ ลงนามในสัญญากู้ -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบัน ตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 7 ธ.ค. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ย กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง หากลูกค้ายกเลิก และไถ่ถอนหลักประกัน ก่อนระยะเวลา 3 ปี ไม่ว่ากรณีชําระหนี้ด้วยเงินสด หรือ รีไฟแนนซ์ธนาคารจะเรียกคืนค่าธรรมเนียมจดจำนองจากผู้กู้ -ธนาคารจะโอนเงินคืนค่าสํารวจและประเมินหลักประกันเข้าบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ที่ลูกค้า ใช้หักชําระค่างวดกับธนาคารภายใน 60 วัน หลังจากลูกค้าได้รับอนุมัติและเบิกใช้สินเชื่อกับธนาคารแล้ว คําเตือน -ผู้ขอเอาประกันภัยที่สมัครทำประกัน โฮมเฟิสต์ พลัส (ฉบับปรับปรุง) ตั้งแต่ 1 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป จะได้รับความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ -เบี้ยประกันภัยสามารถนําไปหักลดหย่อน ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกําหนด -การทำประกันภัยไม่ใช่การฝากเงิน กรณีเวนคืนก่อนครบกําหนด ผู้เอาประกันภัยจะได้รับเงินคืนเป็นจำนวนน้อยกว่าเบี้ยประกันภัยที่จ่ายไปแล้ว ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เวนคืน -ผู้ขอเอาประกันภัยควรศึกษาและทำความเข้าใจเอกสารเสนอขายก่อน ก่อนตัดสินใจทำประกันภัย เมื่อได้รับกรมธรรม์แล้ว โปรดศึกษารายละเอียด ข้อกำหนดและเงื่อนไขในกรมธรรม์ -ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าประกันชีวิตที่เป็นผู้ชีช้องและจัดการบริการให้กับผู้ขอเอาประกันภัย เพื่อให้เกิดการทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น โดยการพิจารณาอนุมัติกรมธรรม์เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) -การแถลงสุขภาพเป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณารับประกันภัยหรือจ่ายเงินตามสัญญาประกันภัย -การตรวจสุขภาพเป็นไปตามเงื่อนไขของ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) -ผู้ขอเอาประกันภัยมีหน้าที่แถลงข้อความจริงในการขอเอาประกันภัย การปกปิดข้อความจริงหรือแถลงข้อความเป็นเท็จใดๆ อาจเป็นเหตุให้บริษัทผู้รับประกันภัยบอกล้างสัญญาประกันภัยและปฏิเสธไม่จ่ายค่าสินไหม ทดแทนตามสัญญาประกันภัย -ข้อกำหนดและเงื่อนไขของความคุ้มครองจะระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยที่ออกให้กับผู้ถือกรมธรรม์ -การสมัครประกันชีวิตคุ้มครองเครดิตโฮมเฟิสต์ พลัส เป็นทางเลือกสำหรับลูกค้า ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน  มีแคมเปญ ดอกเบี้ยปีแรกเริ่มต้น 0.75% ต่อปี  ฟรี ค่าธรรมเนียมยื่นกู้  ธนาคารออกค่าจดจำนองให้ 1%* และผ่อนนานสูงสุด 40 ปี ดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน กรณีฟรีค่าธรรมเนียมยื่นกู้ ทางเลือก 1* แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  = 2.60% (MRR-3.62%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย = 4.72% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา =  4.00% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  = 2.70% (MRR-3.52%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย = 4.72% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.04% ทางเลือกที่ 3* ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 0.75% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย = 3.62% (MRR-2.60%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย = 3.72% (MRR-2.50%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย = 4.72% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.01% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 1.00% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย = 3.67% (MRR-2.55%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  = 3.72% (MRR-2.50%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย = 4.72% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.05% หมายเหตุ 1.การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ ทำ MRTA/GLTSP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี ทำ MRTA/GLTSP 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลากู้ ทำ MRTA/GLTSP 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ 2. อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR)** คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR = 6.22% ต่อปี 3. สามารถขอสินเชื่อ Home For Cash แบบมีกำหนดระยะวลา (Term Loan) เพิ่มเติม สำหรับวัตถุประสงค์ : เพื่ออุปโภคบริโภค/ปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย/ชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย MRR ต่อปี ตลอดอายุสัญญา 4. เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 กันยายน 2565 และทำนิติกรรมจำนองภายใน 30 วัน ทั้งนี้ ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขรายการส่งเสริมการขาย โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรีมี สินเชื่อรีไฟแนนซ์ ด้วยแคมเปญ อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.00% นาน 1 ปี หรือสามารถเลือกรับดอกเบี้ยทางเลือกฟรี ค่าจดจำนอง เมื่อซื้อประกันภัยคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ตามที่ธนาคารกำหนด และกรณีมีวงเงินเหลือ ยังมีแคมเปญที่สามารถกู้เพิ่มสินเชื่อกรุงศรีโฮมฟอร์แคชได้อีกด้วย นอกจากนี้ ธนาคารยังมีโปรโมชั่น ฟรี ค่าประเมินหลักประกันมูลค่า 3,210 บาท ส่วนรายละเอียดของสินเชื่อรีไฟแนนซ์ มีดังนี้ วงเงินกู้ตั้งแต่ 1-1.5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.30% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.30% = 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.10%= 3.95% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.33% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.95% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.75% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย = 3.65% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-1.65%= 4.4% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 4.10% ทางเลือกที่ 3* ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.30% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.90% = 4.15% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.75% = 4.30% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.58% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 4.09% สำหรับวงเงินตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.175% = 2.875% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.88% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.60% ทางเลือก 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.00% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.45% = 3.60% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.20% = 3.85% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.71% ทางเลือก 3 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.50% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย = 3.50% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.80% = 4.25% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.42% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.87% ทางเลือก 4 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.70% = 3.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.35% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.35% ทางเลือกที่ 5 ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.925% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.12% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.74% หมายเหตุ -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พฤษภาคม​ 2563 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน ​–31 ธันวาคม​ 2565 โดยจดจำ​นองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 31 มกราคม​ 2566 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิดภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ -รายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติม สอบถามได้จากธนาคาร​ 4.ธนาคารกสิกรไทย อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้านของธนาคารกสิกรไทย  ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนกรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา  โดยธนาคารกสิกรไทยมีบริการสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.97% หมายเหตุ -MRR = 5.97% ( ณ วันที่ 22 พ.ค.63) อัตราดอกเบี้ยข้างต้นสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม - 30 กันยายน 2565 5.ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ธนาคารเกียรตินาคินภัทร มีแคมเปญสินเชื่อสำหรับให้ลูกค้ารีไฟแนนซ์ คือ KKP Home Loan Refinance  ให้วงเงินสูงสุด 50 ล้านบาท ดอกเบี้ยต่ำ สามารถกู้ร่วมกันได้สูงสุด 4 คนโดยเป็นบุคคลในครอบครัวเดียวกัน ฟรีค่าประเมินหลักประกัน* ทางเลือก ดอกเบี้ยคงที่ 1 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.59% ปีต่อไป MLR-1.50% = 5.025% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.79% ปีต่อไป MLR-1.50% = 5.025% ทางเลือก ดอกเบี้ยแบบลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.79% ปีต่อไป MLR-1.50% = 5.025% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.99% ปีต่อไป MLR-1.50% = 5.025% เงื่อนไข -วงเงินคงเหลือต้องมากกว่า 500,000 บาท -บ้านต้องผ่อนกับสถาบันการเงินเท่านั้น -มีประวิติผ่อนชำระกับสถาบันการเงินเดิมไม่ต่ำกว่า 12 เดือน หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับกับปัจจัยอ้างอิง เช่น​ อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ​ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา​(MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ดังกล่าว​ โดยจะประกาศไว้ ณ ​ สถานที่ทำการที่ให้บริการ และเว็บไซต์ของ​ธนาคาร -MLR ณ วันที่ 15 กรกฎาคม 2564 เท่า​กับ 6.525% ต่อปี -เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA) ผ่านธนาคารทุน​ประกันภัยเท่ากับวงเงิน กู้โดยมรีะยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปีกรณีที่ระยะเวลาการไถ่ถอนถึง​ 10 ปีให้ระยะเวลาเอา ประกันภัยเท่า​กับระยะเวลาการกู้ -กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปีแรก คิดค่า ​Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง -กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ย แบบฟรีค่าจดจำนอง​ หากลูกค้า​ Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อน​ระยะเวลาที่กำหนดไว้ทุก กรณีลูกค้าต้องชำระคืนค่าจดจำนองที่ธนาคาร สำรองจ่ายให้ธนาคาร -ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท ค่าอากรแสตมป์ร้อยละ 0.05 ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) -ค่าธรรมเนียมตดิ ตามทวงถามหนี้นค้างชำระ​ 1 งวด 50 บาท/รอบการทวงถามหนี้ค้างชำระมากกว่า ​1 งวด 100 บาท/รอบการทวงถามหนี้ -เบี้ยประกันอัคคีภัย เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด​ โดยผู้กู้สามารถเลือกทำ​ประกันกับบริษัท​ประกันที่น่าเชื่อถืออื่นใดก็ได้ ​ 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี มี อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์  ในเดือนกันยายน 2565 สำหรับ​ประเภทสินเชื่อรีไฟแนนซ์  กรณีไม่ขอวงเงินเพิ่ม  มีอัตราการคิดดอกเบี้ย ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำหรือเจ้าของกิจการ รายได้ 30,000 บาทขึ้นไป กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน น้อยกว่าหรือเท่ากับ 85% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.42% = 2.93% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.15% = 5.20% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.93% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.61% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.12% = 3.23% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.15% = 5.20% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.23% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.69% กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน มากกว่า 85% แต่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 100% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.22% = 3.13% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.15% = 5.20% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.13% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.67% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-3.92% = 3.43% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.15% = 5.20% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.43% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.75% กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน น้อยกว่าหรือเท่ากับ 85% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.% = 2.69% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.15% = 5.20% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.69% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.55% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.36% = 2.99% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.15% = 5.20% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.63% กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน มากกว่า 85% แต่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 100% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.46% = 2.89% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.15% = 5.20% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.60% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.16% = 3.19% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.15% = 5.20% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.19% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.68% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2564) กรณีขอวงเงินเพิ่ม สอบถามรายละเอียดกับทางธนาคารโดยตรง ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักทรัพย, ค่าอากรแสตมป์ และค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย 3 ปีแรก ทุกทางเลือก ยกเว้น ค่าจดจำนอง เฉพาะทางเลือก 1 และ 2 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบีมีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ ซึ่งเดือนกันยายนนี้ เอกสารที่ระบุในเว็บไซต์ยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง โดยข้อมูลเอกสารดังกล่าวยังเป็นข้อมูลระบุ การยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมถึง 30 มิถุนายน 2565 จึงคาดว่าในเดือนกันยายนนี้ ยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้าที่ผ่านมา ​ซึ่งมีประเภทสินเชื่อให้บริการดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-3.53% =2.75% หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย (MRR-1.63%)=4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.02% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.18%=3.1% หลังจากนั้น (MRR-1.63%)= 4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี อัตรา 3.10% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.14% ทางเลือก 3 (สมัครผลิตภัณฑ์ไม่ครบทั้ง 3 ประเภท) ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย (MRR-2.74%) = 3.54% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีดอกเบี้ย 3.54% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.29% สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อบ้าน สไมล์ โฮม หรือ สไมล์ โฮม พลัส 2.สมัครใช้บริการ หักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ทีทีบีเพื่อผ่อนช าระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ทีทีบี (กรณีที่มีบัตรเดบิต ทีทีบีแล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) ช่วยคุณประหยัดดอกเบี้ยได้มากขึ้น ผ่อนต่อเดือนน้อยลง และเป็นเจ้าของบ้านได้เร็วขึ้น เมื่อรีไฟแนนซ์บ้านกับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ยให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท  รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ นาน 3 ปี  ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท  ฟรี! ค่าจดทะเบียนจำนอง มูลค่า 1% ของเงินกู้สูงสุด 200,000 บาท  ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง หมายเหตุ : -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -MRR (Minimum Retail Rate: อัตราดอกเบี้ย ลูกค้ารายย่อยชั้นดี) = 6.28% ต่อปี ณ วันที่ 7 พ.ค. 2564 -การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการ พิจารณาสินเชื่อ -สำหรับลูกค้าที่ยื่นที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคา ​-30 มิถุนายน 2565 และจดจำนองภายในวันที่ 31 กรกฎาคม​ 2565 อัพเดทข้อมูลจากเว็บไซต์ ณ วันที่ 5 กันยายน 2565 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อทั่วไปที่รีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินอื่น โดยแคมเปญของธนาคารมีกำหนดระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 31 ธันวาคม ​2565 อัตราดอกเบี้ยจึงเท่ากับเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% ปีต่อไป MRR-0.72%= 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.242% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.90% ปีต่อไป MRR-0.72% = 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.174% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10 ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร.1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 9 สิงหาคม​ 2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด -ระยะเวลาขอสินเชื่อ 1 กรกฎาคม ถึง ​31 ธันวาคม 2565 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำหรับธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส. ถือว่าเป็นธนาคารสำหรับการให้สินเชื่อเพื่อซื้อบ้านและคอนโด รวมถึงสินเชื่ออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรง มีสินเชื่อให้เลือกมากมายหลายประเภท สำหรับการรีไฟแนนซ์บ้านจากสถาบันการเงินอื่น มีสินเชื่อบ้านสุขสันต์ เพื่อให้ลูกค้าใช้บริการรีไฟแนนซ์  โดยอัตราดอกเบี้ยสำหรับเดือนกันยายน 2565 ​​โดยมีรายละเอียดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ แบบที่ 1 สำหรับกลุ่มลูกค้าสวัสดิการ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.25% (MRR-3.90%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.16%= 2.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.90%=3.52% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย MRR-1.0%= 5.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.35% แบบที่ 2 สำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อย ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.35% (MRR-3.80%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย  MRR-3.06%= 3.09% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-2.80%=3.35% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย MRR-0.5%=5.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.71% หมายเหตุ -นิยามคำว่า “อาคาร” หมายถึง บ้านเดี่ยว บ้านแฝดทาวน์เฮ้าส์ และอาคารพาณิชย์เพื่อที่อยู่อาศัย ยกเว้นแฟลต และบ้านเช่า -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ร้อยละ 0.1 ของวงเงินทำนิติกรรม -MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พ.ค. 64 -กำหนดระยะเวลา ยื่นคำขอกู้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 - 30 ธันวาคม 2565 อนุมัติและทำนิติกรรม ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2565 (ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเต็มวงเงินของโครงการแล้ว) 10.ธนาคารยูโอบี สำหรับธนาคารยูโอบี มีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ UOB Home Loan – รีไฟแนนซ์ ​ ไม่รวมวงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์  ซึ่งอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน ​ 65 ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า​ รายละเอียดดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.89% (MRR-4.46%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.60% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-4.36%) = 2.99% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.64% ทางเลือก 3 แบบทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย (MRR-5.36%) = 1.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.36%) = 4.99% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.60% ทางเลือก 4 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย (MRR-5.26%) 2.09% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.26%) = 5.09% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.09% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.64% หมายเหตุ -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น (Re-finance) ในช่วง​ระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้จะมีค่าปรับ​ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น​ ) -การอนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย​ MRR ปัจจุบัน เท่ากับ 7.35% ต่อปี (ตามประกาศธนาคาร ​​ณ วันที่ 9 กรกฎาคม​ 2564) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้ และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตรา ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของ​ธนาคาร -ธนาคารยูโอบี ในฐานะนายหน้าประกันภัย​ (ใบอนุญาตประกันชวีติเลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศ​ภัย เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่นำเสนอ ผลิตภัณฑ์ประกันภัย และเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย​ และอำนายวความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิต ​โดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชวีติ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่า ประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็มม เอส ไอ จีประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จะเป็นผู้รับผิดชอบตาเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก ครั้ง​ 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์  มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ดอกเบี้ยต่ำ เริ่มต้น​ 2.00% ต่อปี* (เฉลี่ย 3 ปี 2.60%) กู้ได้ 100% ผ่อนนานสูงสุด 35 ปี โดยรับทุกโครงการจัดสรร ซึ่งมีโปรโมชั่นฟรี​ ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย และค่าจดจำจอง* สำหรับการยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันนี้ - 30 กันยายน 2565 โดยมีรายละเอียดดอกเบี้ยต่าง ๆ ดังนี้ สำหรับผู้กู้รายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.59% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.35% = 2.00% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.55% = 3.80% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.56% แบบที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-4.75% = 2.60% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 2 สำหรับผู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.25% = 2.10% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.45% = 3.90% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-4.65% = 2.70% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ยคงที่ MRR-3.27% = 4.08% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% ข้อกำหนดและเงื่อนไข -สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า Refinance ดอกเบี้ยพิเศษ เริ่ม 2.00% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป และเบิกรับเงินกู้ตั้งแต่วันนี้ - 30 กันยายน 2565 -วงเงินกู้เริ่มต้น 1 ล้านบาท และราคาประเมินหลักประกัน (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาท หรือ (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.5 ล้านบาท (โครงการจัดสรรทุกโครงการ) -อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขดังกล่าว สำหรับหลักประกันที่ได้รับการจัดสรรทุกโครงการในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ยกเว้น ที่ดินว่างเปล่า, อาคารพาณิชย์ -กรณีลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือสูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือเปลี่ยนแปลงสัญญาใดๆ ภายใน 5 ปีแรกทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำได้ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.350% (ณ วันที่ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -อัตราดอกเบี้ย หลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่นๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด 12 ธนาคารออมสิน อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สำหรับธนาคาออมสิน ประจำเดือนกันยายน ทางธนาคารมี แคมเปญสินเชื่อ ผ่อนต่ำ 6 เดือนแรก ล้านละ 4,000 บาท/เดือน ฟรี ค่าบริการสินเชื่อ ค่านิติกรรมสัญญา ฟรี ค่าธรรมเนียมจดจำนอง* สำหรับกรณีรีไฟแนนซ์​วงเงินกู้สินเชื่อเคหะตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป และมีรายละเอียดอื่น ๆ ดังนี้ ​ สินเชื่อรีไฟแนนซ์ จากสถาบันการเงินอื่น สำหรับลูกค้าทั่วไป แบบทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.95% (MRR-4.295%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.245% = 3.00% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.143% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.20% (MRR-4.045%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.62%) = 3.625% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.327% อัตราดอกเบี้ยกรณีรีไฟแนนซ์ และ ฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง* สำหรับวงเงินกู้ตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แบบทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR - 3.995% = 2.25% ปีที่ 2 - 3 อัตราดอกเบี้ย MRR – 2.930% = 3.315% เฉลี่ย 3 ปี อัตราดอกเบี้ย = 2.960% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.260% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR - 3.745% = 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR – 2.305%= 4.94% เฉลี่ย 3 ปี อัตราดอกเบี้ย = 3.460% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.441% หมายเหตุ -ยื่นกู้ภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2565 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน 2565 -อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR = 6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท​ ระยะเวลา 15 ปี แบบผ่อนเท่ากันทุกงวด ​ -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่นๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไข โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า   ที่มา : Reviewyourliving รวบรวมจากข้อมูลเว็บไซต์แต่ละธนาคาร ณ วันที่ 5 กันยายน 2565   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกันยายน 2565 -อัปเดต ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนสิงหาคม 2565  
อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกันยายน 2565

อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกันยายน 2565

อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกันยายน 2565 ภาพรวมดอกเบี้ยยังคงอัตรเดิม มีเพียงธนาคารกรุงศรี ที่ปรับเปลี่ยนดอกเบี้ยจากเดือนที่ผ่านมา แต่ยังเป็นจังหวะดี สำหรับคนที่เตรียมกู้ซื้อบ้านและคอนโด  ก่อนดอกเบี้ยปรับขึ้น   เชื่อว่าตอนนี้หลายคนคงจะบ่นกันมาก ถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิต ที่ปรับเพิ่มสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำมัน หรือค่าไฟฟ้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึง ค่าครองชีพอื่น ๆ ที่ปรับตัวสูงขึ้นตามมาด้วย แถมอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทางกนง. หรือ คณะกรรมการนโยบายการเงิน ได้ปรับขึ้นแล้ว 0.25% ต่อปี ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายจากที่มีอัตรา 0.5% เพิ่มขึ้นเป็น 0.75% ต่อไป ซึ่งมีผลทันที่หลังการประชุมกนง. ครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา ​ แถมแว่ว ๆ มาอีกว่า ดอกเบี้ยนโยบายนี้มีแนวโน้ม อาจจะปรับเพิ่มขึ้นอีกครั้งด้วย ต้องรอลุ้นกันว่าจริงหรือไม่   แม้ว่าดอกเบี้ยนโยบายมีการปรับเพิ่มขึ้น แต่ดูเหมือนอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโดมิเนียม ตอนนี้จะยังไม่เปลี่ยนแปลงเท่าไร ส่วนใหญ่จะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม จึงถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนที่จะเลือกซื้อบ้านหรือคอนโด เพราะผลกระทบของค่าพลังงานที่เพิ่มขึ้น ทำให้ราคาวัสดุก่อสร้างปรับเพิ่มสูงขึ้นด้วย ตอนนี้หลายโครงการ ที่สร้างบ้านใหม่มีการปรับราคาขึ้นบ้างแล้ว ถ้าใครมีความพร้อมทางด้านการเงิน และต้องการซื้อจริง ๆ ก็ต้องรีบกันหน่อย แต่จะเลือกกู้ซื้อบ้านกับธนาคารไหน วันนี้เรามาอัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ประจำเดือนกันยายน 2565 กันว่าใครเสนอดอกเบี้ยเท่าไรกันบ้าง ​อัปเดต ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับธนาคารกรุงเทพ สินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป  โดยอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ประจำเดือนกันยายน 2565 ตามข้อมูลที่ระบุไว้ในเอกสาร ภายในเว็บไซต์ของธนาคาร  ระบุข้อมูลสำหรับผู้ยื่นกู้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565  จึงคาดว่าธนาคารกรุงเทพ จะยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยเท่ากับเดือนที่ผ่านมา ซึ่งมีการคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.2% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป ลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.45% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.45%  (MRR-0.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.45% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.9% ลูกค้าทั่วไปวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.7%(MRR-1.25%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075%(MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58%   -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก MRR-1.20% หลังจากนั้น​คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า ​500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า ​คิดอัตราดอกเบี้ย​ MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย ​MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา   หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่  10 พ.ค. – 30 มิ.ย. 65 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ​และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา ​ -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ​ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ​ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 7 ธ.ค. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข -ข้อมูล ณ วันที่ 2 กันยายน 2565 ในเว็บไซต์ธนาคารยังไม่ได้ทำการเปลี่ยนแปลง 2.ธนาคารกรุงไทย อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด สำหรับธนาคารกรุงไทย ในเดือนกันยายน ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ​ โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย ​​ดังนี้ ทางเลือกที่ 1 แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.77% (MRR-3.45%) ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 2.77% (MRR-3.45%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.77% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.22% ทางเลือกที่ 2 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.87% (MRR-3.35%) ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 2.87% (MRR-3.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี =2.87% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.24% ทางเลือกที่ 3 แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.92% (MRR-2.30%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.97% (MRR-2.25%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.88% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.23% ทางเลือกที่ 4 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.00% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.98% (MRR-2.25%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.98% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.27%   หมายเหตุ : 1.การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ *ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลากู้ -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี (การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ เป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการอนุมัติสินเชื่อ) 2.อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR)**คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,600 บาท/เดือน MRR = 6.22% ต่อปี 3.สามารถขอสินเชื่อ Home For Cash แบบมีกำหนดระยะเวลา (Term Loan) เพิ่มเติม สำหรับวัตถุประสงค์ : เพื่ออุปโภคบริโภค / ปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย /ชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย MRR ต่อปี ตลอดอายุสัญญา 4.เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 กันยายน 2565 และทำนิติกรรมจำนองภายใน 30 วัน ทั้งนี้ ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขรายการส่งเสริมการขาย โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี  เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมิน  และธนาคารยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยสำหรับการกู้ซื้อบ้านและคอนโด ยังคงเท่ากับเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.925% (MRR-2.125%) เพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งมีการคิดอัตราดอกเบี้ยแตกต่างกันในแต่ละปี โดยหากเปรียบเทียยกับปีที่ 1 ของเดือนที่ผ่านมาจะเพิ่มขึ้น 1.025% ซึ่งเดือนที่แล้วคิดเอัตราดอกเบี้ย 2.9% ( MRR-3.15%) หากเปรียบเทียบกับปีที่ 2 จะมีอัตราดอกเบี้ยลดลง 0.125% ซึ่งเดือนที่ผ่านมาดอกเบี้ยปีที่ 2  อัตรา 4.05% (MRR-2.00%) หากเปรียบกับปีที่ 3  จะลดลง 1.025% จากเดือนที่แล้วคิดอัตราดอกเบี้ย ปีที่ 3 อัตรา 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.93% ลดลง 0.04% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 3.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = 4.45% เพิ่มขึ้น 0.06% จากเดือนที่ผ่านมา คิดอัตรา  4.39% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 2.50% เพิ่มขึ้น 1.0% จากเดือนที่ผ่านมาคิดอัตรา 1.50% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 415% (MRR-1.9%) ลดลง 0.3% จากเดือนที่ผ่านมาคิดอัตรา 4.45% (MRR-1.60%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-1.5%) ลดลง 0.15% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) ปีที่ 3อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-1.5%) ลดลง 0.4% จากเดือนที่ผ่านมา คิดดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.14% ลดลง 0.07% จากเดือนที่ผ่านมาคิดอัตราดอกเบี้ย  4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.54% เพิ่มขึ้น 0.02% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.675% (MRR-2.375%) เพิ่มขึ้น  1.125% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 2.55%  (MRR-3.50%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.675% (MRR-2.375%) เพิ่มขึ้น 0.375% จากเดือนที่ผ่านมาคิด อัตราดอกเบี้ย 3.3%  (MRR-2.75%) ปีที่ 3อัตราดอกเบี้ย 3.675% (MRR-2.375%) ลดลง 1.025% จากเดือนที่ผ่านมา คิดดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.68% เพิ่มขึ้น 0.16% จากเดือนที่ผ่านมา คิดดอกเบี้ย 3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.22% เพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนที่ผ่านมา คิดดอกเบี้ย 4.02% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.99% เพิ่มขึ้น 0.74% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 1.25%  เเดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.15%  (MRR-1.9%) เพิ่มขึ้น 0.05% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย  4.1% (MRR-1.95%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.35% (MRR-1.7%) เพิ่มขึ้น 0.05% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 4.3% (MRR-1.75%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.35% (MRR-1.7%) เพิ่มขึ้น 0.35% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย   4.7%  (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.92% เพิ่มขึ้น 0.03% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 3.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.33% เพิ่มขึ้น 0.1% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอัตราดอกเบี้ย 4.23%   หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ​ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พ.ค. 63 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.​​​​– 31 ธ.ค. 65 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป โดยพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ ซึ่งเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 7.72% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 7.72% สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 8.22% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 8.22% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% (ประกาศ ณ วันที่ 22 พ.ค. 63) ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ย MRR ให้อ้างอิงอัตราดอกเบี้ยตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ลูกค้ายื่นใบสมัครสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. – 30 ก.ย.65 โดยสามารถยื่นกู้ได้สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภท ยกเว้นการกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม 0.25% ในปีแรก หากทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อบ้านตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -กรณียื่นกู้บ้านในโครงการจัดสรรที่ธนาคารสนับสนุน ธนาคารฯมีอัตราดอกเบี้ยพิเศษ สอบถามรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ K-Contact Center 02-8888888 ต่อ 887 5.ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ธนาคารเกียรตินาคินภัทร มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (KKP Home Loan เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย) กรณี บ้านใหม่ : ซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด ซึ่งมีการคิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับเดือนที่ผ่านมา  ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.4-2.75% ปีต่อไป 5.025% (MLR-1.50%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.5-2.75% ปีต่อไป 5.025% (MLR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยคงที่ 1 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.5-2.85% ปีต่อไป 5.025% (MLR-1.50%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.75-3.062% ปีต่อไป 5.025% (MLR-1.50%) หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ​เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่​ 18 สิงหาคม 2563 เท่กับ​ 6.525% ต่อปี 3.เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา​​​​​​ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า​ Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.​กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง ​​หากลูกค้า Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท  ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคี ​เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด ​โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ ​ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน​ 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด ​30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู  ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เท่ากับเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารซีไอเอ็มบี มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.1%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-2.8%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.15% หมายเหตุ -สำหรับซื้อบ้านและคอนโดจากโครงการทั่วไป -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2564) -ธนาคารยังมีอัตราดอกเบี้ยสำหรับพนักงานประจำรายได้ 30,000-50,000 หรือเจ้าของกิจการรายได้ 50,000 บาทขึ้นไปไว้พิจารณาด้วย รวมถึงสินเชื่อสำหรับโครงการที่ธนาคารเป็นผู้สนับสนุน 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป ภายใต้แคมเปญดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้นเฉลี่ย 3 ปีแรก 4.05% ต่อปี จะได้รับฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าจดทะเบียนจำนอง และค่าประเมินหลักทรัพย์ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 2 กันยายน ภายในเว็บไซต์ยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง เอกสารแสดงข้อมูลสำหรับผู้ยื่นกู้ภายในวันที่ 30 มิถุนายน จึงคาดว่าธนาคารยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยเท่ากับช่วงที่ผ่านมา ​ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.23%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.4% (MRR-1.88%) หลังจากนั้น 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.4% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือก 3 (ไม่สมัครผลิตภัณฑ์ครบ 3 รายการ) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา ดอกเบี้ย 4.65% รายละเอียดเงื่อนไข สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส ​ 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท​ -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 3 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของธนาคาร -ธนาคารขอสงวนสิทธิเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แจ้งไว้ในเอกสารฉบับนี้ โดยไม่ ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ในกรณีที่ธนาคารเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนจำนองหลักประกันแทนผู้กู้หากผู้กู้มีความประสงค์จะไถ่ถอนหลักประกันและชำระหนี้คืนทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันเบิกใช้เงินกู้ ครั้งแรก ผู้กู้ตกลงคืนเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองหลักประกันตามจำนวนเงินที่ธนาคารได้ช าระไปให้แก่ธนาคาร ในวันที่ผู้กู้ได้ชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้น (ค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท) -กค้าต้องสำรอง จ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ลูกค้าใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 30 วันทำการนับจากวันที่ลูกค้าจดจำนอง -MRR = 6.28% ตามประกาศธนาคาร https://www.ttbbank.com/th/rates/loan-interest-rates -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.65 ถึง 30 มิ.ย. 65 และจดจำนอง ภายใน 31 ก.ค.​65 -ข้อมูลในเว็บไซต์ธนาคาร ณ วันที่ 3 ส.ค.​65 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา  คิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.95% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยะเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2565 ​มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากแคมเปญสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2565  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.15% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.9% (MRR-2.25%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.4%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญา  5.4% หมายเหตุ -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.-30 ธ.ค.65   (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติมวงเงินของโครงการแล้ว) -อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินกู้และทุกบัญชีเงินกู้ภายใต้หลักประกันเดียวกัน 10.ธนาคารยูโอบี สำหรับธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโครงการหมู่บ้านทั่วไป  โดยอัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.8%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.75% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย  3.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.95% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  4.95% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.88% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.2% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.96% หมายเหตุ -ขอสินเชื่อตั้งแต่ 1  ก.ค.-30 ก.ย.65 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายใน 31 ต.ค. 65 -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาคารยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.35% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ​(Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น)​ -การอนุมัติสินเชื่อ​เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ  7.35% ต่อปี ​(ตามประกาศธนาคารณ วันที่  9 ก.ค. 64) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย​ MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้​ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ​เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร​ -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย ​(ใบอนุญาตประกันชีวิต​เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศภัย​ เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ​จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 1.9% หรือผ่อนล้านละ 3,500 บาท โดยเดือนนี้ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีการคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนที่ผ่านมา ดังนี้​ แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย  1.9% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.85% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.54% แบบที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.65% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.50% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.50% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 4 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.70% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.7% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ล้านละ 3,500 บาท  กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่** -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 4.60% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.10% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.35% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่าง ๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่วันนี้- 30 ก.ย. 65 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีสินเชื่อเคหะ สำหรับให้บริการผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไปซื้อบ้านหรือคอนโด  โดยฟรีค่าบริการสินเชื่อ ค่านิติกรรมสัญญา ฟรีค่าธรรมเนียมการจดจำนอง และผ่อนต่ำ 6 เดือนแรก ล้านละ 4,000 บาทต่อเดือน ซึ่งข้อมูลยังเป็นการนำเสนอสำหรับยื่นกู้ภายในวันที่ 31 สิงหาคม อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาภายใน 30 กันยายน 2565  โดยมีรายละเอียด ​ดังนี้​ กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.95% ลดลง 0.05% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 2.0% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.875% ลดลง 0.025% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.9% ​ ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.5% ลดลง 0.1% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.6% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.085% ลดลง 0.041% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.126% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.20% ลดลง 0.05% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.25% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.625% เพิ่มขึ้น 0.1% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.525% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.15% ลดลง 1.845% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.327% เพิ่มขึ้น 0.017% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.31% เงื่อนไขการผ่อนชำระ -ปีที่ 1 ผ่อนชำระ 2,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 2 ผ่อนชำระ 4,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 3 ผ่อนชำระ 5,500 บาทต่อเดือน หมายเหตุ -การทำประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ เป็นการทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ โดยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด -เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อตามโปรโมชั่น สมัครบริการ MyMo และผลิตภัณฑ์/บริการอื่น อย่างน้อย 2 ประเภท ได้แก่ บัตรอิเล็กทรอนิกส์/ บัตรเครดิตหรือสินเชื่อบัตรเงินสด/ ชำระสินเชื่อหักผ่านบัญชี/ หน่วยงานหักเงินนำส่งชำระหนี้ / จ่ายตรงเงินเดือน / ประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ ทั้งนี้ หากลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นตามที่กำหนดอยู่แล้ว สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้ และกรณีไม่มี Smartphone ให้สมัครผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นของธนาคารตามที่กำหนดทดแทนได้ -*กรณี ฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง ให้ตามที่จ่ายจริง (รวมทุกสัญญาที่กู้ในคราวเดียวกัน) โดยลูกค้าต้องสำรองจ่ายค่าธรรมเนียมจดจำนองแก่กรมที่ดิน ไปก่อน ทั้งนี้ กรณีจำนวนเงินที่จ่ายตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป ต้องเสียภาษี ณ ที่จ่าย ร้อยละ 1.00 ของเงินค่าจดจำนอง โดยธนาคารจะโอนเงินหลังหักภาษี ณ ที่จ่าย คืนเข้าบัญชีเงินฝากเผื่อเรียกของลูกค้าภายใน 30 วันทำการ นับจากวันที่จดจำนองแล้วเสร็จ -กรณีผู้กู้ชำระคืนเงินกู้ก่อนกำหนด เฉพาะกรณีไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด (Prepayment) เพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามที่ธนาคารกำหนด (ปัจจุบันร้อยละ 3.00 ของยอดเงินต้นคงเหลือ) ทั้งนี้ กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง หากผู้กู้ชำระหนี้ปิดบัญชีในทุกกรณี ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้จะต้องชำระค่าธรรมเนียมจดจำนองคืนแก่ธนาคารเต็มจำนวน -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่นๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไข โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า   หมายเหตุ Reviewyourliving รวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ธนาคาร ณ​ วันที่ 3 กันยายน 2565     บทความที่เกี่ยวข้อง -อัปเดต ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกรกฎาคม 2565 อัปเดต ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนสิงหาคม 2565
เปิดอินไซต์ตลาดอสังหาฯ ไทย ไตรมาส 2  กับ 7 ปัจจัยเสี่ยงยังกระทบธุรกิจปี 2565

เปิดอินไซต์ตลาดอสังหาฯ ไทย ไตรมาส 2 กับ 7 ปัจจัยเสี่ยงยังกระทบธุรกิจปี 2565

ตลาดอสังหาฯ ดูเหมือนว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ผ่านช่วงเวลาครึ่งปีแรกในปี 2565 ไปได้ด้วยดี หากดูจากผลการดำเนินงานของหลายบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ต่างก็มีรายได้และกำไรเติบโตตามเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้ แสดงให้เห็นว่าตลาดอสังหาฯ ไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบมากเท่ากับช่วงปีที่ผ่านมา   โดยล่าสุด ทางศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) หรือ REIC ได้จัดทำดัชนีรวมตลาดหลักทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย) พร้อมกับรายงานสถานการณ์ตลาดอสังหาฯ ช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา รวมถึงวิเคราะห์ตลาดกับแนวโน้มในช่วงเวลาที่เหลือของครึ่งปีหลัง ว่าทิศทางธุรกิจอสังหาฯ ไทยในปีนี้ จะเติบโตดีขึ้น หรือแย่ลงกว่าช่วงที่ผ่านมา เพราะยังมีปัจจัยอีกสารพัดเข้ามากระทบกับธุรกิจ ภาวะตลาดอสังหาฯ ไตรมาส 2 ช่วงไตรมาส 2 ของปี 2565 ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยขยายตัว 2.5% จากการแถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) โดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ถือว่าปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสแรก ที่มีการขยายตัว​ 2.3% ส่งผลให้ภาพรวมช่วงครึ่งแรกของปี 2565 เศรษฐกิจไทย ขยายตัว  2.4%   ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีความเห็นในทิศทางที่สอดคล้องกันคือ ในไตรมาสที่ 2 ปี 2565 เศรษฐกิจไทยปรับดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน โดยการบริโภคภาคเอกชนปรับเพิ่มขึ้นจากหมวดบริการเป็นสำคัญ รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดของโควิด​​-19 และมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ ส่งผลให้ภาคการค้าและภาคบริการฟื้นตัว และการลงทุนภาคเอกชนปรับดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ สอดคล้องกับการประเมินภาพรวมด้านการลงทุนในภาคพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย   ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ประเมินว่ากลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยที่ทำงานในภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี 2564 ทำให้เกิดกำลังซื้อใหม่ ๆ ผู้ประกอบการยังคงมีการออกโปรโมชั่น การลดราคาขาย การให้ของแถมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการสร้างกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อการลงทุน แต่ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระมัดระวัง จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลัง สภาวะการจ้างงานและการมีรายได้ของประชาชนในภาคการท่องเที่ยวและภาคบริการยังคงอยู่ในภาวะการฟื้นตัวช้า ภาวะหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับที่สูงถึงประมาณ 90% ของ GDP ทำให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางในกลุ่มอาชีพอิสระจะเข้าถึงสินเชื่อได้ยากเช่นเดียวกับช่วงปีที่ผ่านมา ภาวะการเพิ่มขึ้นของ NPL ของสถาบันการเงิน อาจจะส่งผลให้สถาบันการเงินระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อต่อไป ต้นทุนค่าก่อสร้างสูงขึ้น ทำให้ราคาที่อยู่อาศัยโครงการใหม่อาจจะมีการปรับราคาขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง   ดัชนีรวมฯ ไตรมาส 2 ลดลง 0.92% สำหรับดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย) ในไตรมาส 2 ปี 2565 มีค่าดัชนีเท่ากับ 86.0 ปรับตัวลดลง 0.92% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าซึ่งมีค่าดัชนี 86.8 แต่เพิ่มขึ้น 13.3%  เมื่อเที่ยบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีค่าดัชนี 75.9   โดย REIC คาดว่าปี 2565 จะมีดัชนีรวมฯ จะอยู่ที่ 81.2 จุด เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ที่ผ่านมา 9.1% ในกรณีปรับตัวย่อลงเป็น Worst Case จะอยู่ที่  77.0 จุด ขยายตัว 3.4% หรือ อาจปรับตัวดีขึ้นกว่าที่คาดไว้เป็นกรณี Best Case จะอยู่ที่ 85.4 จุด ขยายตัว 14.7% การออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินลดลง ดร. วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า เมื่อเข้าสู่ไตรมาส 2 ปี 2565 ภาคธุรกิจอสังหาฯ ยังคงต้องเผชิญกับทั้งปัจจัยลบซึ่งเป็นผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ภาพรวมทั้งประเทศมีการขออนุญาตจัดสรรลดลง   โดย REIC พบการเปลี่ยนแปลงในส่วนของการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั่วประเทศ ณ ไตรมาส 2/2565 มีจำนวนทั้งสิ้น 156 โครงการ รวม 15,999 ยูนิต จำนวนโครงการลดลง​ 1.3% และจำนวนยูนิตลดลง 5.5%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 ในจำนวนดังกล่าวประกอบด้วย บ้านเดียว 7,162 ยูนิต ทาวน์เฮ้าส์ 5,358 ยูนิต บ้านแฝด 3,054 ยูนิต ที่ดินจัดสรร 240 ยูนิต อาคารพาณิชย์ 158 ยูนิต หากพิจารณารายพื้นที่พบว่า พื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง 3 พื้นที่นี้มีจำนวนการออกใบอนุญาตจัดสรรเพิ่มขึ้น สำหรับแนวโน้มการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั่วประเทศในปีนี้ คาดว่าจะมีประมาณ 72,497 ยูนิต โดยเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 5.8% ซึ่งมีจำนวน 68,540 ยูนิต ซึ่งเป็นปีที่มีการอออกใบอนุญาตจัดสรรต่ำที่สุดในรอบ 15 ปี นับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา แต่ก็ยังสูงกว่าปี 2549 ที่เกิดรัฐประหาร ซึ่งในปีนั้นมีการออกใบอนุญาตจำนวน 50,109 ยูนิต อย่างไรก็ตาม การออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั่วประเทศในปีนี้ อาจจะปรับขึ้นมากกว่าปีที่ผ่านมา หรือน้อยกว่าปีที่ผ่านมาก็ได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยบวกและปัจจัยลบต่า ๆ ที่จะมากระทบ แต่แนวโน้มความเป็นไปได้ การออกใบอนุญาตจะอยู่ในกรอบ -4.8%-16.4% โอนที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น 9.0%  ด้านสถานการณ์ซัพพลายที่อยู่อาศัย จากข้อมูลการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยไตรมาส 2 ปี 2565 พบว่า มีจำนวนการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ  95,316 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2564  9.0% ซึ่งมีจำนวน  87,485 ยูนิต ประกอบด้วย  โอนกรรมสิทธิ์โครงการแนวราบ 70,426 ยูนิต โครงการอาคารชุด หรือคอนโดมิเนียมจำนวน 24,890 ยูนิต  มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ 257,009 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 ซึ่งมีมูลค่า 240,048 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวเป็นมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์โครงการแนวราบ 192,392 ล้านบาท และโครงการคอนโด 64,617 ล้านบาท ทั้งนี้ ยูนิตและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยของทุกภาคเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น   สำหรับปี 2565 คาดว่าสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์จะทรงตัว แต่ดีขึ้นกว่าปี 2564 เล็กน้อย เนื่องจากปัญหาเงินเฟ้อ ค่าครองชีพที่สูงขึ้น และอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ประกอบกับมีบ้านที่ทยอยสร้างเสร็จเข้ามาสู่ตลาดเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าปี 2565 จะมียูนิตโอนกรรมสิทธิ์ประมาณ 349,253 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากปี 2564   1.6% หรืออยู่ในช่วง  -9.9% ถึง 10.5% แนวราบจะเพิ่มขึ้น 1.8% หรืออยู่ในช่วง -8.4% ถึง 12.0% คอนโดจะเพิ่มขึ้น 1.1% หรืออยู่ในช่วง  -14.1% ถึง 6.1% ด้านมูลค่าคาดว่าปี 2565 จะมีมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ประมาณ 948,471 ล้านบาท จะเพิ่มขึ้นจากปี 2564 0.4% หรืออยู่ในช่ว -10.4% ถึง 9.9% แนวราบจะเพิ่มขึ้น 0.4% หรืออยู่ในช่วง  -9.7% ถึง 10.4% คอนโดจะเพิ่มขึ้น  0.6% หรืออยู่ในช่วง  -12.5% ถึง 8.6% ปัจจัยบวก-ลบ และสิ่งที่ต้องระวัง จากการประเมินสถานการณ์โดยภาพรวม โดยคาดการณ์ว่าในปี 2565 จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมากกว่าปี 2564 บ้านแนวราบน่าจะได้รับการตอบรับจากผู้ซื้อมากกว่า ในขณะที่คอนโดจะค่อยๆ ฟื้นตัว เนื่องจากสต๊อกที่ลดลง และราคาที่ดินที่แพงขึ้นทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องสร้างคอนโดเพื่อให้สอดคล้องกำลังซื้อ ผู้ประกอบการฯ บ้านใหม่จะยังคงมีโปรโมชั่นส่วนลดและของแถมเพื่อจูงใจให้เกิดการจัดสินใจซื้อ แต่ไม่ลดราคามากเท่ากับปี 2564 เนื่องจากมีต้นทุนของการก่อสร้างที่สูงขึ้น ตลาดยังเป็นของผู้ซื้อ โดยสรุปในปีนี้ยังถือว่ามีปัจจัยบวก ที่ส่งผลดีต่อภาพรวมของตลาดอสังหาฯ ดังนี้ 3 ปัจจัยบวกในปี 2565 แม้ว่าในปีนี้จะมีปัจจัยลบมากมาย แต่ในมุมของปัจจัยบวก ที่จะเข้ามาส่งเสริมตลาดและช่วยกระตุ้นธุรกิจก็ยังมีให้เห็น ซึ่งทาง REIC มองว่า มี 3 ปัจจัยหลักดังนี้ 1.ขยายเวลามาตรการอสังหาฯ มาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐ (ลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนองเหลือ รวมถึง การขยายไปสู่บ้านมือสองด้วย) ยังคงมีผลถึงสิ้นปี 2565 2.มาตรการผ่อนปรน LTV มาตรการผ่อนปรน LTV ของ ธปท. จะช่วยให้มีการซื้อบ้านสัญญาที่ 2 และ 3 เพื่อการอยู่อาศัยและเพื่อการลงทุนมีโอกาสขยายตัวมากขึ้น 3.สภาพคล่องของแบงก์ยังสูง สภาพคล่องของธนาคารมีมากพอสำหรับสินเชื่อปล่อยใหม่ และเริ่มมีการแข่งขันการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น 4.การฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ สภาพเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศที่ค่อยๆ ฟื้นตัวจากมาตรการต่างๆ ของรัฐ และการเปิดประเทศ ซึ่งทำให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากภาคธุรกิจการค้าและการท่องเที่ยว 5.กลุ่มผู้ซื้อใหม่จากภาคอุตสาหกรรม กลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยที่ทำงานในภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี 2564 ทำให้เกิดกำลังซื้อใหม่ๆ 6.ดีเวลลอปเปอร์อัดโปรโมชั่นต่อเนื่อง ผู้ประกอบการยังคงมีการออกโปรโมชั่น การลดราคาขาย การให้ของแถมต่างๆ ต่อเนื่อง รวมถึงการสร้างกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อการลงทุน 7 ปัจจัยเสี่ยงในปี 2565 ขณะเดียวกันปัจจัยเสี่ยงในเป็นเสมือนเหรียญอีกด้านของปัจจัยเสี่ยง ที่มักจะมาคู่กันเสมอ โดยในปีนี้ยังคงมีหลายปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง และติดตามสถานการณ์ เพราะสามารถเข้ามามีผลกระทบกับตลาดอสังหาฯ และธุรกิจในภาพรวมได้เช่นกัน ดังนี้ 1.ดอกเบี้ยขาขึ้น อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง 2.โควิดยังระบาดต่อเนื่อง การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด - 19 ยังคงมีผลในการฉุดรั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ แม้ว่าความรุนแรงจะลดลง 3.การขาดแคลนแรงงาน อาจจะส่งผลให้การก่อสร้างล่าช้า และอาจทำให้แผนการส่งมอบล่าช้า ซึ่งอาจจะส่งผลต่อการระบาย backlog ของผู้ประกอบการ นอกจากนี้ การมีรายได้ของประชาชนในภาคการท่องเที่ยวและภาคบริการยังคงอยู่ในภาวะการฟื้นตัวช้า ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ 4.การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจต่ำ ที่อาจจะได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ จากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น จะทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น และส่งผลต่อความต้องการซื้ออสังหาฯ ได้ ภาวะหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับที่สูงถึงประมาณ 90% ของ GDP ทำให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางในกลุ่มอาชีพอิสระจะเข้าถึงสินเชื่อได้ยากเช่นเดียวช่วงปีที่ผ่านมา 5.การ Refinance เพิ่มขึ้น ภาวะการเพิ่มขึ้นของ NPL ของสถาบันการเงิน อาจจะส่งผลให้สถาบันการเงินระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อต่อไป และหากมีการเกิด NPL เพิ่มขึ้น สถาบันการเงินอาจจะมีนโยบายสินเชื่อที่เข้มงวดต่อในปี 2565 จะส่งผลต่อกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยที่มีความไม่แข็งแรงในสถานะการเงิน แต่อาจจะมีการขยายตัวของการ Refinance เพิ่มขึ้น 6.บ้านมือสองแย่งตลาดบ้านใหม่ ต้นทุนค่าก่อสร้างแพงขึ้น ทำให้ราคาที่อยู่อาศัยโครงการใหม่อาจจะมีการปรับราคาขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง  ซึ่งอาจจะทำให้บ้านมือสอง อาจจะเป็นสินค้าทดแทนบ้านใหม่ ผู้ประกอบการบ้านใหม่ ต้องให้ความสนใจศึกษาตลาดก่อนการพัฒนา 7.สงครามยังไม่สงบ กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เป็นกำลังซื้อคอนโดยังคงเข้ามาในประเทศน้อยจากผลกระทบของโควิด-19 และสงครามระหว่างยูเครนและรัสเซียทำให้ความต้องการซื้อคอนโดในภาพรวมฟื้นช้า 3 ปรากฎการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2565 1.การเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ย อัตราดอกเบี้ยที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้นในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นในกรอบ 0.25-0.5 บาท ซึ่งจะทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยในดภาพรวมมีการปรับตัวลงเล็กน้อยในไตรมาส 3 และค่อยปรับตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาส 4 (ในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 มีการขยายของตลาดที่สูงกว่าระดับคาดการณ์ปกติ -ซึ่งเป็นกรณี Best Case) ซึ่งจะมีผลให้ไตรมาส 3 ปรับตัวย่อลง 2.คอนโดเปิดเพิ่มมากขึ้น ที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ประเภทคอนโดกลับมามีสัดส่วนของจำนวนยูนิตเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 (ประมาณ​40%) ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ไม่เกิน 3 ล้านบาท สัดส่วนเกือบ 80% แต่มีข้อสังเกตว่า คอนโด 10 ล้านบาทขึ้นไปมีสัดส่วนของมูลค่าประมาณเกือบ 50% 3.บ้านแพงครองตลาดส่วนใหญ่ จำนวนที่อยู่อาศัยประเภทบ้านจัดสรรมีสัดส่วนประมาณ 40% แต่มีสัดส่วนมูลค่าในตลาดถึง 60% แต่มีข้อสังเกตว่ามีการพัฒนาที่อยู่อาศัยราคาแพงอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยบ้าน 10 ล้านบาทขึ้นไปมีสัดส่วนวของมูลค่าประมาณเกือบ 70%   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -เปิด ยอดขายบ้าน-คอนโด เจ้าไหนทำได้เยอะสุด ใน 6 เดือนแรกปี 65 -ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ แนะตลาดบ้าน-คอนโด ต้องต้องเฝ้าระวัง  5 เรื่องนี้
สรุปไทม์ไลน์ 25 ปี มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ  จากวิกฤตต้มยำกุ้งถึงพิษโควิด-19  ตอนที่ 3

สรุปไทม์ไลน์ 25 ปี มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ จากวิกฤตต้มยำกุ้งถึงพิษโควิด-19  ตอนที่ 3

มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ หลังจากประเทศได้ผ่านพ้นวิกฤติเศรษฐกิจ และพิษการเมืองต่าง ๆ ก็เข้าสู่การฟื้นฟูประเทศ การกระตุ้นเศรษฐกิจ และเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ เพื่อการแข่งขันกับต่างชาติ รวมถึงการพยายามดึงดูดให้ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ด้วยหลากหลายวิธีการ หนึ่งในอุตสาหกรรมสำคัญ ที่มักจะถูกใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็คงเป็นอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ เพราะมีขนาดใหญ่และสามารถดึงเม็ดเงินได้จำนวนมหาศาล   ทศวรรษที่ 3 ของมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ​ กับเริ่มต้นปี 2561 ดูเหมือนตลาดกำลังไปได้สวย ตลาดอสังหาฯ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมเติบโตดีมาก ต่างชาติสำคัญอย่างจีน เข้ามาซื้อ และบางส่วนก็เข้ามาลงทุนพัฒนาร่วมกับคนไทย ความร้อนแรงของตลาดคอนโด จึงทำให้หน่วยงานภาครัฐเป็นห่วงว่าจะเกิดฟองสบู่ในธุรกิจอสังหาฯ  จากการมีกลุ่มลูกค้าเก็งกำไร หลังจากนั้นในช่วงปี 2562 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงต้องออกใช้มาตรการ LTV เบรกไม่ให้ธุรกิจอสังหาฯ ร้อนแรงเกินไป   ทศวรรษนี้ ตลาดอสังหาฯ ยังต้องเผชิญกับภาวะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการอยู่อาศัยสำหรับคนยุคปัจจุบัน รวมถึงแนวทางการพัฒนาอสังหาฯ ของผู้ประกอบการที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ   ในบทความนี้ ก็จะมาสู่ตอนที่ 3 วิฤกตโควิด สู่ชีวิต New Normal ของ​ สรุปไทม์ไลน์ 25 ปี มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ จากวิกฤตต้มยำกุ้งถึงพิษโควิด-19 ที่แม้ว่าจะผ่านมาแค่ครึ่งทศวรรษ แต่ธุรกิจอสังหาฯ ก็ต้องได้รับการกระตุ้น และพยุงให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปด้วยมาตารการและเครื่องมือต่าง ๆ โดยมีมาตรการสำคัญตามไทม์ไลน์ที่ได้สรุปมาให้แล้ว ปี 2561 รัฐบาลมีนโยบายต้องการให้ประชาชนได้มีบ้านเป็นของตนเอง โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย คนวัยทำงาน คนที่เริ่มต้นสร้างครอบครัว รวมถึงผู้สูงอายุ  ที่ประชุมครม. จึงได้มีมติให้ ​ ธอส. จัดทำ "โครงการบ้านล้านหลัง" ภายใต้วงเงิน รวม 60,000 ล้านบาท  ซึ่งระยะแรก ธอส.เตรียมวงเงินสินเชื่อไว้ 50,000 ล้านบาท มีเงื่อนไขกำหนดราคาที่อยู่อาศัยไม่เกินยูนิตละ 1 ล้านบาท ให้เวลาผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 40 ปี โดยคิดดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษ แบ่งเป็น ​ 2 กรณี   -หากมีรายได้ไม่เกินเดือนละ 25,000 บาท จะคิดดอกเบี้ยคงที่ 5 ปี ในอัตรา 3% จากนั้นจะคิดดอกเบี้ยถ้าเป็นรายย่อยคือ MRR- 0.75% หากเป็นสินเชื่อสวัสดิการคิด MRR-1% และถ้าเป็นสินเชื่อเพื่อซื้ออุปกรณ์จะคิดดอกเบี้ยอัตราเท่ากับ MRR -หากผู้มีรายได้น้อยมีรายได้เกินเดือนละ 25,000 บาท จะคิดดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี ในอัตรา 3% จากนั้นรายย่อยคิด MRR-0.5% หากเป็นสินเชื่อสวัสดิการคิดดอกเบี้ย MRR-1% หากเป็นสินเชื่อเพื่อซื้ออุปกรณ์ คิดดอกเบี้ย MRR   ธอส. เริ่มโครงการภายในเดือนธันวาคม 2561 โดยจะเปิดให้ประชาชนจองสิทธิ์สินเชื่อหรือ จองสิทธิ์สินเชื่อเพื่อเลือกซื้อทรัพย์ที่พร้อมเข้าอยู่อาศัยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2562 จำนวนกว่า 30,000 ยูนิต ปี 2562 เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม​ 2562 ครม. ได้เห็นชอบมาตรการด้านอสังหาฯ โดยออกมาตรการลดค่าธรรมเนียม จดทะเบียนการโอน จากเดิม 2% และลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาฯ จาก 1% เหลือ 0.01% สำหรับซื้อที่อยู่อาศัยราคา​ไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งต้องมีการจดทะเบียนการโอน การจดจำนองในคราวเดียวกัน เริ่มตั้งแต่วันที่ประกาศกระทรวงมหาดไทยจนถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2563   ด้านกระทรวงการคลังยังมีมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ ​ด้วยการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินที่ซื้อที่อยู่อาศัยในราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท สามารถนำเงินที่ซื้อจริงมาลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 200,000 บาท โดยจะต้องโอนที่อยู่ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 เมษายน-31 ธันวาคม 2562  บ้านที่ซื้อต้องไม่เคยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านมาก่อนหรือเป็นบ้านหลังแรก และเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 5 ปี   นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังมีโครงการบ้านในฝัน รับปีใหม่ ​ซึ่งเป็นโครงการสำหรับประชาชนที่สนใจซื้อที่อยู่อาศัยในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ภายใต้แคมเปญ ซื้อปุ๊บ โอนปั๊บ รับทันที 3 สิทธิพิเศษ โดยสิทธิที่ 1 กู้ ธอส. ดอกเบี้ยคงที่ 2.5% นาน 3 ปี วงเงิน 50,000 ล้านบาท  สิทธิที่ 2 ฟรีค่าโอนและค่าจดจำนอง และสิทธิที่ 3 รับโปรโมชั่นลดแลกแจกแถม พร้อมส่วนลดสุดพิเศษจากโครงการที่เข้าร่วม   ส่วนวันที่ 26 พฤศจิกายน​ 2562  ครม. ยังมีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเป็นของขวัญให้กับประชาชนในช่วงปลายปี กับโครงการบ้านดีมีดาวน์ ด้วยการช่วยค่าผ่อนดาวน์ให้กับผู้ซื้อบ้าน จำนวน 50,000 บาทต่อราย จำนวน 100,000 รายที่เข้าร่วมโครงการ ปี 2563 ในปี 2563 ธปท.  ได้มีการปรับใช้มาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือ​อัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน ​(LTV : Loan to Value: LTV)  ใหม่อีก​ครั้ง​ ด้วยการให้ผู้กู้ซื้อบ้านหลังแรกที่มีราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งกู้ได้ 100% อยู่แล้ว สามารถกู้เพิ่มได้อีก 10% ของมูลค่าบ้าน เพื่อใช้ในการตกแต่ง ซ่อมแซม หรือต่อเติม เพราะที่ผ่านมามีการกู้ยืมสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีดอกเบี้ยแพงมาใช้ในส่วนนี้ ทำให้คาดว่าค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยจะปรับลดลงประมาณ 2,000 บาทต่อเดือน สำหรับการกู้บ้านหลังแรกที่มีราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป กำหนดให้วางดาวน์น้อยลงจาก 20% เป็น 10% ของราคาบ้านด้วย ซึ่งการปรับมาตรการ LTV ใหม่ครั้งนี้ มีผลทันทีตั้งแต่ 20 มกราคม 2563   หลังจากก่อนหน้านี้ ธปท. ได้ออกประกาศใช้มาตรการ LTV ​หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเป็น “การกำหนดเงินดาวน์ขั้นต่ำ” ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา เพื่อลดความร้อนแรงของตลาดที่อยู่อาศัยมีทั้งในเรื่องเงินทอน และเก็งกำไร เสี่ยงเกิดผลกระทบต่อระบบการเงินและเศรษฐกิจไทย ได้ส่งผลให้กลุ่มนักเก็งกำไร หรือกลุ่มผู้ลงทุนบางส่วนหายออกไปจากตลาด เพราะธปท. กังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดกับระบบเศรษฐกิจได้ หรือเกิดปัญหาฟองสบู่แตก   โด่ย​ ธปท.ได้ติดตามผล การรับฟังข้อเสนอแนะจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่ามาตรการที่ออกไปมีความเหมาะสมและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ คือ ช่วยดูแลการเก็งกำไร ขณะเดียวกันก็ไม่ส่งผลกระทบต่อภาคประชาชนที่มีความต้องการซื้อบ้านที่อยู่อาศัยจริงโดยเฉพาะบ้านหลังแรก และพร้อมปรับมาตรการหากพบว่าไม่เป็นตามวัตถุประสงค์ หรือส่งผลข้างเคียงที่มากเกินควร ซึ่ง ธปท. ได้มีการผ่อนเกณฑ์การกู้ร่วมไปแล้วครั้งหนึ่งในเดือนสิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบของผู้กู้ร่วมที่ไม่ได้มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย ให้ได้รับสินเชื่อตามความเหมาะสม   ด้านธอส. ได้จัดทำ “โครงการบ้าน ธอส. เราไม่ทิ้งกัน” อัตราดอกเบี้ย 1.99% ต่อปี คงที่นานถึง 2 ปีแรก ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.75% ต่อปี ปีที่ 4 อัตราดอกเบี้ย MRR-2% ต่อปี (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส.เท่ากับ 6.150% ต่อปี) หลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาล ร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจ สร้างโอกาสให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้มีบ้าน โดยเตรียมวงเงินไว้ 20,000 ล้านบาท   โดยจะให้กู้สำหรับบุคคลในครอบครัวของประชาชน ที่ได้รับสิทธิตามโครงการเราไม่ทิ้งกันของรัฐบาล (มาตรการเงินเยียวยา 5,000 บาท) หรือบุคคลในครอบครัวของลูกค้า ธอส.ที่ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการบรรเทาผลกระทบจากปัญหาโควิด-19 ทั้ง 10 มาตรการ วงเงินให้กู้ไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อหลักประกัน เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ขยาย ซ่อมแซม และซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัย  ผู้กู้ยังได้รับสิทธิพิเศษ ​ยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ และคิดค่าประเมินราคาหลักประกันอัตราพิเศษ ผ่อนชำระได้นานสูงสุด 40 ปี โดยยื่นคำขอกู้และทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563   คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มีมติให้การส่งเสริม “กิจการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย” โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์เฉพาะการยกเว้นภาษี เงินได้นิติบุคคล เป็นระยะเวลา 3 ปี เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสร้างที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพดี โดยมีหลักเกณฑ์ อาทิ ​ กรณีอาคารชุดต้องมีพื้นที่ใช้สอยต่อหน่วยไม่น้อยกว่า 24 ตารางเมตร กรณีบ้านแถวหรือบ้านเดี่ยว ต้องมีพื้นที่ใช้สอยต่อหน่วยไม่น้อยกว่า 70 ตารางเมตร โดยมีราคาขายต่อหน่วย ไม่เกิน 1.2 ล้านบาท (รวมค่าที่ดิน) กรณีที่ตั้งอยู่ในจังหวัดกรุงเทพฯ ​นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร และไม่เกิน 1 ล้านบาท (รวมค่าที่ดิน) ในกรณีตั้งในจังหวัดอื่นๆ เป็นต้น โดย​โครงการต้องได้รับความเห็นชอบจากธอส.ก่อนยื่นขอรับการส่งเสริมซึ่งกำหนดให้ยื่นคำขอภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 ปี 2564 ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังมีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รัฐบาลได้มีการขยายระยะเวลามาตรการลดค่าโอน ค่าจดจำนอง ต่อเนื่องไปสิ้นสุด ธันวาคม 2564   หลังกระทรวงมหาดไทยออกประกาศกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 รวม 2 ฉบับ กำหนดให้ลดหย่อนค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนโอน และจดทะเบียนจำนองเหลือ 0.01% สำหรับกรณีการโอนและการจำนองอสังหาฯ ​ที่ดินพร้อมอาคารที่อยู่อาศัยประเภท บ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านแถว หรืออาคารพาณิชย์ จากผู้จัดสรรที่ดินตามกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดิน หรือที่ดำเนินการจัดสรรที่ดินโดยทางราชการ หรือองค์การของรัฐบาล ราคาซื้อขายไม่เกิน 3 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 3 ล้านบาท  และกรณีการโอนและการจำนองห้องชุดในอาคารชุด จากผู้ประกอบการที่ขอจดทะเบียนอาคารชุด ราคาซื้อขายไม่เกิน 3 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยให้มีผลตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา หรือวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564   ธปท.ได้ผ่อนคลายเกณฑ์มาตรการ  LTV เป็นการชั่วคราว โดยขยายเพดานขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้ถึง 100% กู้เงินได้เต็มมูลค่าหลักประกัน ไม่ต้องมีเงินดาวน์ ครอบคลุมทุกกลุ่มทั้งบ้านใหม่ บ้านมือสอง รีไฟแนนซ์ และสินเชื่อเพิ่มเติมด้วย ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม​ 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565   มาตรการ LTV ของเดิม หากเป็นบ้านหลังแรกมีมูลค่าไม่เกิน 10 ล้านบาท จะปล่อยสินเชื่อ 100% แต่เกิน 10 ล้านบาท ปล่อยไม่เกิน 90% ส่วนบ้านหลังที่ 2 ปล่อยสินเชื่อ 80-90% ขณะที่บ้านหลังที่ 3 ขึ้นไปจะปล่อยสินเชื่อ 70% ของมูลค่าหลักประกัน ทำให้ในส่วนที่เหลือจะต้องมีเงินดาวน์ ปี 2565 ครม.ได้มีการขยายระยะเวลามาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และนิติกรรมจาก 2% เหลือ 0.01% ค่าจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01%  ออกไปอีก 1 ปี  โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ครอบคลุมที่อยู่อาศัยประเภทบ้านมือสอง/ปรับปรุงโครงสร้างหนี้นอกจากบ้านใหม่เพื่อกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯ ให้เติบโตได้ต่อไป   เมื่อปี 2563  ธปท. ได้มีการปรับปรุงมาตรการ LTV ที่ให้ซื้อบ้านหลังแรก ราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท สามารถกู้เพิ่มได้อีก 10% ของมูลค่าบ้านสำหรับใช้เป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการเข้าอยู่อาศัย เช่น การซื้อเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน  และกรณีซื้อบ้านหลังที่ 2  ให้วางดาวน์ขั้นต่ำที่ 10% หากผ่อนหลังแรกมาแล้ว 2 ปีขึ้นไป จากเดิมต้องผ่อนหลังแรกมาแล้ว 3 ปี   นอกจากนี้ กรณีของการกู้ร่วม หากผู้กู้ร่วมไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย จะยังไม่นับสัญญานั้นว่าเป็นสัญญาของผู้กู้ร่วม ซึ่งธปท. เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวมยังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จึงมีการผ่อนคลายมาตรการ LTV ชั่วคราว สำหรับสัญญาเงินกู้ที่ทำตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2564  ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565   โดยผ่อนคลายมาตรการ LTV ชั่วคราว ด้วยการกำหนดให้ LTV เป็น 100%  หรือสามารถกู้ได้ 100% นั่นเอง ทั้งในส่วนของบ้านราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 2 เป็นต้นไป และบ้านราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 1 เป็นต้นไป   อย่างไรก็ตาม ในส่วนของมาตรการ LTV มีข้อเรียกร้องจากภาคเอกชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ให้ขยายระยะเวลาของมาตรการออกไปจนถึงสิ้นปี 2566 แต่เรื่องดังกล่าวยังต้องรอนำเสนอมเข้าสู่ครม.ให้อนุมัติเห็นชอบในหลักการอีกครั้ง   ด้านกรมธนารักษ์ได้เลื่อนการประกาศใช้ราคาประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่ออกไปอีก 1 ปี  โดยจะประกาศราคาใหม่วันที่ 1 มกราคม 2566 ทำให้ราคาประเมินที่ใช้ในปี 2565 ยังเป็นราคาประเมินในรอบปี 2559 – 2562 อยู่ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และธุรกิจ จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และผลกระทบจากไวรัสโควิด-19   นอกจากนี้ ยังมีมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ในกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ ด้วยกการให้ต่างชาติสามารถซื้อที่อยู่อาศัยในพื้นที่ 1 ไร่ได้ หากเข้ามาลงทุนในประเทศไทยด้วยมูลค่าการลงทุนตั้งแต่ 40 ล้านบาท ซึ่งในแนวทางนี้ยังอยู่ระหว่างการนำเสนอเข้าครม.เพื่อพิจารณาเห็นชอบในหลักการเช่นกัน   ทั้งหมดนี้ ก็คือมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ที่มีออกมาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 25 ปี โดยเชื่อว่า ในปีต่อ ๆ ไป รัฐบาลยังคงต้องหาแนวทางและมาตรการอีกหลายอย่าง ออกมาเพื่อทำให้ตลาดอสังหาฯ ยังคงเติบโตต่อไปได้ เพราะอุตสาหกรรมอสังหาฯ เป็นหนึ่งในตัวกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้เป็นอย่างดี ส่วนในอนาคตจะมีมาตรการอะไรออกมาบ้าง เราจะมาอัปเดตให้อย่างต่อเนื่อง   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -สรุปไทม์ไลน์ 25 ปี มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ จากวิกฤตต้มยำกุ้งถึงพิษโควิด-19 ตอนที่ 1 -สรุปไทม์ไลน์ 25 ปี มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ จากวิกฤตต้มยำกุ้งถึงพิษโควิด-19 (ตอนที่ 2)
เปิด ยอดขายบ้าน-คอนโด เจ้าไหนทำได้เยอะสุด ใน 6 เดือนแรกปี 65

เปิด ยอดขายบ้าน-คอนโด เจ้าไหนทำได้เยอะสุด ใน 6 เดือนแรกปี 65

ยอดขายบ้าน แม้ว่าตอนนี้ จะยังมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อยู่ แต่ละวันก็ยังมีผู้ติดเชื้ออยู่ต่อเนื่อง แต่ในภาพรวมแล้วก็ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ การแพร่ระบาดไม่ได้รุนแรงเหมือนช่วงที่ผ่านมา ขณะเดียวกันมีทิศทางที่ดีขึ้นด้วย จนตอนนี้​ทางศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ​ศบค.เตรียมผ่อนคลายมาตรการกักตัวลดลงเหลือแค่ 10 วัน และมาตรการผ่อนคลายอื่น ๆ ที่จะตามมาอีก   โดยต้องยอมรับว่าปี 2565 ทิศทางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้หลายธุรกิจก็เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ปีนี้ก็เห็นภาพบวกจากช่วงปีที่ผ่านมาอย่างชัดเจน  ซึ่งจะเห็นว่าในปัจจุบัน หลายบริษัทก็สามารถทำยอดขายบ้านและคอนโดมิเนียม ได้เพิ่มมากขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา   จากการรายงานผลประกอบการของธุรกิจอสังหาฯ ของกลุ่มดีเวลลอปเปอร์ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์  โดยภาพรวมส่วนใหญ่จะมีทิศทางที่ดี มีผลประกอบการเป็นบวก ไม่ว่าจะเป็นในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2565 และช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ส่วนบริษัทไหนที่ยังเป็นเจ้าตลาด สามารถครองแชมป์ยอดขายบ้าน และคอนโดได้มากสุด บทความนี้ได้รวบรวมจัดอันดับมาให้แล้ว กับ 10 บริษัทอสังหาฯ ที่มียอดขายบ้าน และคอนโดมากสุด ทั้งไตรมาส 2 และช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่งบทความนี้จะนำเอาเฉพาะรายได้ในส่วนของยอดขายอสังหาฯ (บ้านและคอนโด) เท่านั้น ไม่รวมรายได้อื่น หรือธุรกิจอื่นมารวมด้วย เอพี เบอร์ 1 ยอดขายบ้าน-คอนโดเยอะสุดใน Q2 สำหรับยอดขายบ้าน และคอนโดในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัทที่ทำยอดขายได้มากที่สุด ก็คือ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ AP โดยมีรายได้เฉพาะในส่วนของการขายบ้าน และคอนโด จำนวน 9,260.33 ล้านบาท เติบโตขึ้น 18.18% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่มีจำนวน 7,835.62 ล้านบาท ขึ้นแท่นอันดับ 1 บริษัทอสังหาฯ ที่มีรายได้มากที่สุดในส่วนของการขายบ้านและคอนโด   ส่วนบริษัทอื่น ๆ ที่มีรายได้จากการขายบ้านและคอนโด รองลงมา อีก 9 อันดับ ได้แก่ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH มีรายได้จำนวน 8,360.01 ล้านบาท ลดลง 1.24% บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)หรือ SPALI มีรายได้จำนวน 8,135.66 ล้านบาท เติบโต 14.99% บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)หรือ SIRI มีรายได้จำนวน 6,595.52 ล้านบาท ลดลง 9.02% บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH มีรายได้จำนวน 5,101.44 ล้านบาท ลดลง 19.47% บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ SC มีรายได้จำนวน 4,975.11 ล้านบาท เติบโต 9.44% บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT มีรายได้จำนวน 3,155.22 ล้านบาท เติบโต 7.08% บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)หรือ ORI มีรายได้จำนวน ล้านบาท 2,914.14% ลดลง 5.55% บริษัท คิวเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH มีรายได้จำนวน 1,970.04 ล้านบาท เติบโต 0.35% บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF มีรายได้จำนวน 1,956.90% ล้านบาท ลดลง 8.99% ครึ่งปีแรก เอพี ทำรายได้ทะลุ 20,000 ล้าน นอกจาก เอพี จะสามารถขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมาแล้ว ในภาพรวมเอพี สามารถทำผลงานได้ดีมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่แล้ว มาจนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้ช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ เอพี มียอดขายบ้าน และคอนโด มากที่สุด ด้วยรายได้กว่า 20,241.05 ล้านบาท เติบโต 21.10% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งทำได้ 16,714.52 ล้านบาท และเป็นบริษัทเดียวที่มีรายได้จากการขายบ้าน และคอนโด ที่ทะลุ 20,000 ล้านบาท   ส่วนอีก 9 บริษัทที่ติดอันดับ Top 10 มียอดขายบ้าน และคอนโด มากสุดในช่วง 6 เดือนแรกปี 2565 มีดังนี้ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) มีรายได้จำนวน 15,325.68 ล้านบาท ลดลง 1.79% บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) มีรายได้จำนวน 13,507.89  ล้านบาท เติบโต 26.51% บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) มีรายได้จำนวน 10,883.16 ล้านบาท ลดลง 18.13% บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) มีรายได้จำนวน 10,780.34 ล้านบาท ลดลง 18.47% บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มีรายได้จำนวน 8,584.09 ล้านบาท เติบโต 3.61% บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีรายได้จำนวน 5,955.61 ล้านบาท ลดลง 8.82% บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มีรายได้จำนวน 5,713.83 ล้านบาท ลดลง 6.47% บริษัท คิวเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) มีรายได้จำนวน 3,884.74 ล้านบาท เติบโต 1.40% บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) มีรายได้จำนวน 3,496.77 ล้านบาท ลดลง 15.02% แลนด์แอนด์เฮ้าส์ กำไรเบอร์ 1 มาดูในส่วนของการทำกำไร ว่าบริษัทไหนมีความสามารถในการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนมีกำไรเติบโตกันบ้าง เพราะบางครั้งยอดขายหรือรายได้ที่เติบโตหรือเพิ่มมากขึ้น อาจจะไม่ได้สะท้อนในเรื่องของกำไรก็เป็นไปได้ ลองมาดูกันว่า 10 บริษัทอสังหาฯ ไหน มีกำไรจากการดำเนินธุรกิจมากที่สุด ซึ่งกำไรทั้งหมดที่รายงานออกมานั้น ไม่ได้เป็นผลจากการดำเนินธุรกิจการขายบ้าน และคอนโดอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นกำไรที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจในภาพรวมของบริษัทนั้น ๆ ซึ่งหลายบริษัทมีธุรกิจอื่น ๆ รวมอยู่ด้วย เช่น ธุรกิจบริการ ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจให้เช่าพื้นที่สำนักงาน เป็นต้น   โดยในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัทที่ทำกำไรได้สูงสุดในกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาฯ คือ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ด้วยจำนวน 2,137.23 ล้านบาท เติบโต 14.68% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรจำนวน 1,863.57 ล้านบาท   ส่วนอีก 9 บริษัทที่อยู่ใน Top 10 กลุ่มธุรกิจอสังหาฯ ที่ทำกำไรมากที่สุดในช่วงไตรมาส 2 มีดังนี้ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 1,573.09 ล้านบาท เติบโต 41.10% บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 1,367.27 ล้านบาท ลดลง 26.19% บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 1,266.58 ล้านบาท เติบโต 39.31% บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 890.01 ล้านบาท เติบโต 38.55% บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 680.22 ล้านบาท เติบโต 48.05% บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 578.14 ล้านบาท เติบโต 11.77% บริษัท คิวเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 515.22 ล้านบาท เติบโต 6.96% บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 439.21ล้านบาท เติบโต 0.16% บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI มีกำไรจำนวน 376.37 ล้านบาท เติบโต 139.68% แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ทำกำไรทะลุ 4,000 ล้าน สำหรับช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทที่ถือว่ามีความสามารถในการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพจนทำกำไรมากที่สุด ยังคงเป็น แลนด์แอนด์เฮ้าส์ กับจำนวนกำไรมากที่สุดถึง 4,069.30 ล้านบาท เติบโต 12.85% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำกำไรได้ 3,605.98 ล้านบาท ซึ่งถือได้ว่าเป็นบริษัทเดียวที่มีกำไรระดับ 4,000 ล้านบาท   ส่วนบริษัทที่ติดอันดับ Top 10 มีกำไรมากที่สุดในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ อีก 9 บริษัท ได้แก่ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 3,303.66 ล้านบาท เติบโต 12.85% บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 3,298.39 ล้านบาท เติบโต 32.09% บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 2,109.08 ล้านบาท เติบโต 18.67% บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 1,163.88 ล้านบาท เติบโต 16.26% บริษัท คิวเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 1,100.03 ล้านบาท เติบโต 20.51% บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 1,002.21 ล้านบาท ลดลง 5.00% บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 991.16 ล้านบาท เติบโต 2.21% บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 962.64 ล้านบาท เติบโต 3.37% บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 728.86 ล้านบาท เติบโต 153.34% อย่างไรก็ตาม บางบริษัทในกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ ยังผลการดำเนินงานในธุรกิจอื่น ที่ยังเติบโตดีกว่าธุรกิจขายบ้านและคอนโด ซึ่งบทความนี้ไม่ได้กล่าวถึง ซึ่งหากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเข้าไปตรวจสอบได้จากรายงานผลการดำเนินงานของแต่ละบริษัท ที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ www.set.or.th   หมายเหตุ -บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผลการดำเนินงานรอบเดือนเมษายน-มิถุนายน 2565 จะเป็นไตรมาส 3 ปี 2565 ตามรอบบัญชีบริษัท -บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) เดิมเป็นหนึ่งในธุรกิจของบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) แต่ภาพหลังได้เข้าจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จึงแยกผลการดำเนินงานออกเป็น 2 บริษัท​ -ผลการดำเนินงานบางบริษัท ไม่รวมรายได้จากการร่วมทุนทางธุรกิจ ที่มา งบการเงินรวมของแต่ละบริษัท, SET   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ​โชว์กำไร 6 เดือน เฉียดพันล้าน หลังใช้ธุรกิจเชิงรุก -ผลดีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ -เอพี ไทยแลนด์ โชว์ครึ่งปีแรกกวาดรายได้ 25,276 ล้าน พร้อมผลงานทำกำไรโต 31% -ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ โชว์ทุกผลงาน Q2/65 ทำ New High เล็งจ่ายปันผลระหว่างกาล หุ้นละ 0.15 บาท
สิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท-บางปู58) – บ้านสวยสไตล์อังกฤษ ติดรถไฟฟ้าสายสีเขียว

สิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท-บางปู58) – บ้านสวยสไตล์อังกฤษ ติดรถไฟฟ้าสายสีเขียว

สิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท-บางปู58) โครงการ สิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท-บางปู58) เป็นโครงการใหม่ล่าสุดจาก บริษัท สิวารมณ์ เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) บนทำเลคุณภาพบนถนนสุขุมวิท-บางปู ใกล้กับรถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีเคหะฯ เพียงแค่ 3 นาที ก็สามารถเดินทางเชื่อมต่อเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างสะดวก และยังใกล้กับสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น ห้างสรรพสินค้า โรบินสัน สมุทรปราการ, บิ๊กซี สมุทรปราการ, รวมถึงใกล้โรงพยาบาล สถานศึกษา หน่วยงานราชการ และแหล่งงานสำคัญอย่างนิคมอุตสาหกรรมบางปูอีกด้วย   ที่โครงการ สิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท-บางปู58) นี้เป็นโครงการบ้านสวยสไตล์ Modern English Victorian ที่รวมแบบบ้านไว้ทั้ง บ้านแฝดอารมณ์บ้านเดี่ยว พรีเมี่ยมทาวน์โฮม และอาคารพาณิชย์ไว้ด้วยกัน ตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่หลากหลายรูปแบบ ทั้งการอยู่อาศัยและการทำธุรกิจส่วนตัวในพื้นที่บ้าน พร้อมพื้นที่ส่วนกลางที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ครบครัน อาทิ สระว่ายน้ำระบบน้ำเกลือ ฟิตเนส คิดส์รูม คลับเฮ้าส์ สนามเด็กเล่น พื้นที่ออกกำลังกายกลางแจ้ง Co-Working Space รวมถึงสวนขนาดใหญ่       Charlotte - บ้านทาวน์โฮม 2 ชั้น ฟังก์ชันใหม่ขนาด 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องครัวในบ้าน และ 2 ที่จอดรถ ตัวบ้านมีหน้ากว้าง 5.4 เมตร บนที่ดินขนาด 18.9 ตารางวา พร้อมพื้นที่ใช้สอย 124 ตารางเมตร บ้านทาวน์โฮม Charlotte มีจุดเด่นที่เป็นบ้านทาวน์โฮม พิเศษห้อง Master Bedroom พร้อมห้องน้ำในตัว บริเวณชั้น 1 มีห้องอเนกประสงค์เพื่อการใช้งานที่หลากหลายความต้องการ สามารถใช้เป็นห้องนอนเล็ก หรือจะใช้เป็นห้องทำงานก็ได้  ขณะเดียวกันฝ้าเพดานภายในตัวบ้านบริเวณชั้น 1 สูง 2.65 เมตร และบริเวณชั้น 2 สูงโปร่งด้วยความสูง 2.9 เมตร พร้อมระบบแจ้งเตือน สัญญาณกันขโมย (Smart Security System) ทุกหลัง       Austin - บ้านแฝด 2 ชั้น ฟังก์ชันใหม่ขนาด 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องครัวในบ้าน และ 2 ที่จอดรถ ตัวบ้านมีหน้ากว้าง 10.2 เมตร บนที่ดินขนาด 38.5 ตารางวา พร้อมพื้นที่ใช้สอย 152 ตารางเมตร บ้านแฝด Austin ฟังก์ชั่นบ้านเดี่ยวสามารถเดินได้รอบบ้าน บริเวณชั้น 1 มีห้องอเนกประสงค์เพื่อตอบโจทย์การใช้งานตามไลฟ์สไตล์ ส่วนความสูงของฝ้าเพดานภายในตัวบ้านบริเวณชั้น 1 สูง 2.65 เมตร และบริเวณชั้น 2 สูง 2.9 เมตร พิเศษห้อง Master Bedroom พร้อมห้องน้ำในตัว และมีระบบแจ้งเตือนสัญญาณกันขโมย (Smart Security System) ทุกหลัง   โครงการ สิวารมณ์ วิลเลจ (สุขุมวิท-บางปู58) เตรียมเปิดจอง 24-25 ก.ย. นี้  พิเศษ PRE-SALE เริ่ม 2.59 - 4.59 ล้านบาท* สนใจลงทะเบียนรับสิทธิ์ VIP ก่อนใครที่ https://sivaromvillage-bangpu58.com/   โครงการอื่นที่น่าสนใจ แกรนด์ สิวารมณ์ สุขุมวิท-บางปู บ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน สิวารมณ์ วิลเลจ สุขุมวิท-เทพารักษ์ ทาวน์โฮมดีใกล้รถไฟฟ้า M Life บางแค-สาทร พรีเมียมทาวน์โฮม ติดถนนกาญจนา
สรุปไทม์ไลน์ 25 ปี มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ  จากวิกฤตต้มยำกุ้งถึงพิษโควิด-19 (ตอนที่ 2)

สรุปไทม์ไลน์ 25 ปี มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ จากวิกฤตต้มยำกุ้งถึงพิษโควิด-19 (ตอนที่ 2)

มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ในตอนที่ 1 เราได้เห็นจุดเริ่มต้นของมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่เกิดขึ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจปี ​ 2540 หรือวิกฤตต้มยำกุ้ง ที่เกิดฟองสบู่ในธุรกิจอสังหาฯ มีบ้านและคอนโดมิเนียม เหลือเป็นซัพพลายในตลาดจำนวนมาก เพราะผู้ประกอบการได้รับผลกระทบภาวะเศรษฐกิจ และค่าเงินบาทถูกปรับลดลง รวมถึงสถาบันการเงินหลายแห่งที่ปิดตัวลง รัฐบาลจึงต้องออกมาตรการมาพยุงเศรษฐกิจ และกระตุ้นตลาดให้มีอัตราการเติบโต เพราะธุรกิจอสังหาฯ มีบทบาทสำคัญและมีความเกี่ยวโยงกับหลายธุรกิจ มาสู่ทศวรรษที่ 2 ของ มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ในช่วงปี 2550-2559 เป็นช่วงเวลา 10 ปีที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับเหตุการณ์และการเปลี่ยนแปลงสำคัญ ทั้งผลกระทบจากวิฤตแฮมเบอร์เกอร์ หรือวิฤตสินเชื่อซับไพรม์ในปี 2551 และเหตุการณ์สำคัญในประเทศอย่าง ความไม่มั่นคงทางด้าน​การเมือง  อาทิ เหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองที่แยกราชประสงค์  และเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่ส่งผลต่อธุรกิจอสังหาฯ อย่างมาก และกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการพัฒนาหลายอย่างด้วยกัน  โดยตลอดระยะเวลา 10 ปี รัฐบาลได้มีมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ออกมาเป็นระยะ ๆ  ซึ่งมีไทม์ไลน์ดังนี้ ตอนที่ 2 วิกฤตการเมืองไทย สลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ปี 2550 มีการขยายผลของมาตรการ ด้านค่าลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ประกาศใช้ในปี 2543 ด้วยการปรับเพิ่มวงเงินค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จาก 50,000 บาท เป็น 100,000 บาท กรณีดอกเบี้ยเงินกู้ยืม เพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างที่อยู่อาศัย ปี 2551 รัฐบาลได้นำเอาออกมาตรการลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ จาก 2% เหลือ 0.01% และค่าจดทะเบียนการจำนอง อสังหาฯ จาก 1% เหลือ 0.01% เพื่อใช้เป็น มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ อีกครั้ง โดยไปสิ้นสุดวันที่ 28 มีนาคม 2552  หลังจากนั้นก็ได้ขยายระยะเวลามาตรการดังกล่าว ไปสิ้นสุดวันที่ 28 มีนาคม​ 2553 ปี 2552 มีการนำเอามาตรการด้านการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามาใช้อีกครั้ง  ซึ่งครั้งนี้ได้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ให้แก่ผู้ที่จ่ายเงินค่าซื้ออสังหาฯ ที่ไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน โดยกรณีโอนกรรมสิทธิ์อสังหาฯ ดังกล่าวภายในปี 2552 ให้ได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับเงินได้ พึงประเมิน เป็นจำนวนเท่ากับมูลค่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 300,000 บาท ซึ่งมาตรการตามเสนอ เป็นมาตรการเพิ่มเติมจากที่ให้หักค่าลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้ยืมซื้อบ้านเป็นจำนวนไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี ไปก่อนหน้านี้แล้ว ปี 2553 เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2553 ครม. ได้เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการออกประกาศกระทรวงมหาดไทย เพื่อขยายเวลามาตรการลดการจัดเกิดบค่าธรรมเนียมการโอน และค่าจดจดนำนองเหลือ 0.01% จากเดิมตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม 2552 ถึงวันที่ 28 มีนาคม 2553 ไปเป็นสิ้นสุดวันที่ 31 พฤษภาคม 2553 และยังได้ให้กรมที่ดินเปิดให้บริการในวันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม และวันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม 2553 ด้วย   ต่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2553 ครม.ยังได้มีมติเห็นชอบในหลักการขยายระยะเวลาของมาตรการดังกล่าวไปสุ้นิสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2553 โดยให้กรมที่ดิน ออกกฎหมายเพื่อให้มีผลบังคับต่อไป ซึ่งเป็นผลกระทบจาก เหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองบริเวณแยกราชประสงค์ ของแนวทางร่วมประชาธิปไตยต่อต้าน เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2553 เป็นต้นมา ซึ่งได้ทวีความรุนแรงส่งผลให้ต้องมีการประกาศวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ ระหว่างวันที่ 17-21 มีนาคม 2553 ทำให้การดำเนินธุรกรรม การปล่อยสินเชื่อและการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมอสังหาฯ ​ตามมาตรการต้องหยุดชะงักลง  ส่งผลกระทบต่อประชาชนและผู้ประกอบการทั่วไป กระทรวงการคลังจึงเห็นควร ขยายระยะเวลามาตรการดังกล่าวออกไป​ ปี 2554 เป็นปีที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลเกิดปัญหาน้ำท่วมใหม่ในหลายพื้นที่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อบ้านเรือนประชาชน และธุรกิจจำนวนมาก และยังส่งผลต่อการพัฒนาที่อยู่อาศัย ที่หันมาให้ความสำคัญกับปัญหาน้ำท่วม และการพัฒนาโครงการคอนโดเพิ่มมากขึ้นด้วย   ส่วนวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 ครม.เห็นชอบโครงการบ้านธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก หรือโครงการบ้นานหลังแรก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยกำหนดวงเงินปล่อยกู้ของโครงการ จำนวน 25,000 ล้านบาท โดยโครงการบ้านหลังแรก เป็นโครงการของรัฐบาล ที่มุ่งช่วยเหลือประชาชน ที่ไม่เคยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองให้สามารถซื้อบ้านหลังแรกเป็นของตนเองได้อย่างทั่วถึง ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และในจังหวัดภูมิภาคทั่วประเทศ   โดยโครงการดังกล่าว มีเงื่อนไข พิเศษที่มอบให้แก่ผู้กู้หลายประการ เช่น ให้อัตราดอกเบี้ยต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ 0% 2 ปีแรก นอกจากนี้ รัฐบาลช่วยแบ่งเบาภาระค่าธรรมเนียมการโอนครึ่งหนึ่ง จากค่าโอนปกติ 2% ของราคาประเมิน​ และไม่ต้องเสียค่าจดจำนอง 1% โดยธอส.ได้เริ่มเปิดให้ประชาชนยื่นกู้ได้ตั้งแต่ วันที่ 9 พฤษภาคม 2554 เป็นต้นไป ซึ่งโครงการสิ้นสุดในเดือนกันยายน 2555 ปี 2555 หลังจากเกิดน้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลในช่วงปี 2554 ที่ผ่านมา รัฐบาลจึงมีมาตรการออกมากระตุ้นธุรกิจอสังหาฯ หลังจากได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม นอกจากการออกโครงการบ้านหลังแรกแล้ว ยังมีมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับผู้ซื้อบ้านราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท โดยนำเงินมาลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 500,000 บาท ​ ปี 2558 เนื่องจากภาวการณ์ชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยซึ่งส่งผลให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยมีกำลังซื้อที่อยู่อาศัย ลดลง ประกอบกับตลาดอสังหาฯ ​ของประเทศในภาพรวมมีสต็อกคงค้างในตลาดจำนวนมาก ทั้งในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งเมืองสำคัญในภูมิภาค เช่น พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ อุดรธานี และขอนแก่น เป็นต้น วันที่ 13 ตุลาคม 2558 ครม.จึงได้มีมติเห็นชอบมาตรการการเงินการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาฯ รวม 2 มาตรการ ดังนี้ 1.มาตรการการเงิน ให้ธอส. ปล่อยกู้กับผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยวงเงินให้สินเชื่อเบื้องต้นรวม 10,000 ล้านบาท กำหนดระยะเวลาขอกู้ภายใน 1 ปี  นับตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2558 แต่ให้ ธอส. สามารถขยายระยะเวลาได้ตามความเหมาะสม  โดยกลุ่มเป้าหมายหลักที่จะได้รับสินเชื่อครั้งนี้ เป็นผู้ที่มีรายได้สุทธิต่อเดือนไม่เกิน 30,000 บาท โดยเกณฑ์หลักประกันเป็นไปตามระเบียบปฏิบัติงานสินเชื่อของ ธอส.  มีระยะเวลาการกู้ไม่เกิน 30 ปี 2.มาตรการการคลัง -การลดค่าธรรมเนียมการโอน จาก​เดิม  2%  และค่าจดจำนอง อสังหาฯ ของราคาประเมินทุนทรัพย์ 1%  ของ มูลค่าที่จำนอง แต่ไม่เกิน 200,000 บาท ในกรณีการจำนองฯ เหลือ 0.01%  เป็นเวลา 6 เดือน -การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับรายได้ที่จ่ายไปเพื่อซื้ออสังหาฯ ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย ของตนเองเป็นจำนวน 20%  ของมูลค่าอสังหาฯ ​โดยผู้ได้รับสิทธิจะต้องไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในอสังหาฯ  มาก่อน และมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอสังหาฯ ที่ซื้อเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 5 ปี   สรุป​คือ ต้องเป็นการซื้อครั้งแรกและเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยจริง โดยใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อเนื่องกัน 5 ปีภาษี นับแต่ ปีภาษีที่มีการจดทะเบียนการโอน​ โดยให้แบ่งใช้สิทธิเป็น จำนวนเท่าๆ กันในแต่ละปีภาษี ทั้งนี้ ต้องจ่ายค่าซื้ออสังหาฯ และจดทะเบียนโอน​ ตั้งแต่วันที่ครม.​มีมติเห็นชอบถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2559 ​ ติดตามตอนที่ 3   วิฤกตโควิด สู่ชีวิต New Normal   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -สรุปไทม์ไลน์ 25 ปี มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ จากวิกฤตต้มยำกุ้งถึงพิษโควิด-19 ตอนที่ 1