สถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 (Particulate Matters 2.5) ครองเมืองปกคลุมทั่วท้องฟ้าในบ้านเรา นับวันก็ยิ่งถี่ขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่ฝุ่นเพิ่มมากขึ้นจนส่งผลกระทบต่อสุขภาพของใครหลายคน โดยฝุ่น PM 2.5 คือ ฝุ่นละอองขนาดเล็กเส้นผ่าศูนย์กลางไม่เกิน 2.5 ไมครอน ลองนึกภาพตามนะครับว่า เส้นผมของคนเราทั่วๆ ไปจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ที่ 50-70 ไมครอน นั่นหมายความว่าฝุ่น PM 2.5 มีขนาดเล็กยิ่งกว่าเส้นผมถึง 20 เท่าเลยทีเดียว ฉะนั้นขนจมูกของมนุษย์ที่ทำหน้าที่กรองฝุ่นจะไม่สามารถดักจับได้ เมื่อเราหายใจเข้าสู่ปอด ซึมผ่านผนังปอดเข้าสู่กระแสเลือด ทำให้มีความเสี่ยงก่อให้เกิดโรคตามมา เช่น หอบหืด ภูมิแพ้ หากสะสมในระยะยาวอาจทำให้เป็น ถุงลมโป่งพอง มะเร็งปอด โรคหัวใจ โรคสมอง เป็นต้น
หนทางป้องกันตัวเองที่ดีที่สุดคงหนีไม่พ้นการใส่หน้ากากอนามัยชนิดที่สามารถป้องกันฝุ่น PM 2.5 ได้ เมื่อต้องออกนอกบ้านอยู่เสมอ เพราะการใส่หน้ากากอนามัย นอกจากจะช่วยป้องกันไม่ให้เชื้อโรคแพร่กระจายขณะที่เราป่วยแล้วมีอาการไอหรือจามเท่านั้น หน้ากากยังสามารถป้องกันฝุ่นหรือสารเคมีจากสิ่งแวดล้อมภายนอก ไม่ให้เข้าสู่ระบบทางเดินหายใจได้ด้วย ซึ่งระยะหลังก็มีหน้ากากกันฝุ่น PM 2.5 หรือที่เรียกกันว่า หน้ากากอนามัย N95 ออกมาขายตามท้องตลาดให้เลือกกันหลายรุ่น หลายยี่ห้อ แต่จะมีวิธีเลือกอย่างไรให้เหมาะกับตัวเรา ต้องมาชมกันใน Infographic นี้ครับ
หน้ากากอนามัยก็ต้องมีการรับรองคุณภาพ โดยมาตรฐานที่ได้รับการยอมรับแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่
ทั้ง 3 มาตรฐานนี้ก็จะมีหลายรุ่นที่มีคุณสมบัติแตกต่างกันออกไป ซึ่งควรเลือกแบบที่ป้องกันได้ 94%-95% ขึ้นไป โดยต้องพลิกอ่านรายละเอียดบนกล่องกันสักนิดนะครับ
หน้ากากแต่ละรุ่นออกแบบมาหน้าตาแตกต่างกันออกไป เราควรเลือกแบบที่สามารถปรับรูปทรงโค้งกระชับเข้ากับใบหน้าได้ ขอบด้านข้างสามารถปิดรอบได้มิดชิดมากที่สุด โดยต้องครอบตั้งแต่จมูกจนถึงใต้คาง ตรงจมูกควรจะมีแถบอลูมิเนียมที่สามารถดัดให้เข้ากับรูปทรงจมูกได้แนบชิด ในบางรุ่นก็มีการบุโฟมบางๆ เพื่อให้รู้สึกใส่สบายขึ้น และเป็นหน้ากากที่มีโครงแข็งแรงมากพอที่จะไม่ยุบตัวเวลาหายใจ
เชื่อว่าหลายคนต้องประสบปัญหา ใส่หน้ากากแล้วอึดอัดหายใจไม่ออก โดยเฉพาะหน้ากากกันฝุ่น PM 2.5 ที่ว่านี้ เพราะมีเนื้อผ้าที่หนา และกระชับรอบใบหน้ามากกว่า เพื่อป้องกันฝุ่นขนาดเล็กมากเช่นนี้ จึงได้มีหน้ากากรุ่นที่มีวาล์ว (exhalation valve) ด้านข้าง สำหรับเป็นช่องให้หายใจได้สะดวก และยังช่วยระบายความร้อนจากลมหายใจของเรา ไม่ให้รู้สึกอับชื้นจนเกินไป สำหรับคนใส่แว่นจะช่วยป้องกันไม่ให้แว่นเป็นฝ้า เวลาลมหายใจออกทางด้านบนหน้ากากด้วย แต่หน้ากากลักษณะนี้มีราคาแพงกว่าแบบที่ไม่มีวาล์วครับ
โดยทั่วไปแล้วหน้ากากจะมีสายรัดอยู่ 2 แบบ คือ
เป็นแบบที่เราเห็นกันทั่วไป สะดวกเวลาใช้งาน แต่ต้องดูที่สายรัดด้วย หากสายไม่กระชับก็อาจทำประสิทธิภาพของหน้ากากกันฝุ่น PM 5 ลดลงบ้าง
เป็นสายที่ต้องรัดรอบศีรษะ แบบนี้สามารถป้องกันฝุ่น PM 2.5 ได้มากกว่า เพราะมีความกระชับกว่าแบบเกี่ยวกับหู แต่เวลาใส่-ถอดออกจะลำบากกว่า
ฝุ่น PM 2.5 เป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้ามไปได้เลยนะครับ เพราะเราต้องเผชิญกับสภาพอากาศอยู่ทุกวัน ไม่ว่าจะอยู่นอกบ้านหรือไม่ก็ตาม ฉะนั้นเราต้องเริ่มป้องกันตัวเองกันก่อนจะเกิดอันตรายต่อสุขภาพ ซึ่งส่งผลเสียในระยะยาวแน่นอน โดยเฉพาะในวัยเด็กที่ส่งผลถึงพัฒนาการของสมอง อย่ารอช้าครับ! สถานการณ์แบบนี้รีบซื้อหน้ากากกันฝุ่น PM 2.5 เตรียมเอาไว้ติดบ้านอยู่ตลอดจะดีกว่า