Tag : Home

816 ผลลัพธ์
เปิดเหตุผล พราว เรียลเอสเตท บุกตลาดกทม. กับวิธีทางสร้างรายได้ 15,000 ล้าน

เปิดเหตุผล พราว เรียลเอสเตท บุกตลาดกทม. กับวิธีทางสร้างรายได้ 15,000 ล้าน

พราว เรียลเอสเตท พราว เรียลเอสเตท ลดความเสี่ยงธุรกิจ ขยายตลาดแนวราบ-โลว์ไรส์ ปักหมุดทำเลย่านธุรกิจกรุงเทพฯ ประเดิม 2 โปรเจ็กต์ จับตลาดเรียลดีมานด์กลุ่มลักชัวรี่ รวมมูลค่ากว่า 4,000 ล้าน หวังสร้างโรดแมปรายได้ 5 ปี 15,000 ล้าน   ใครที่ชื่นชอบโครงการ ของ พราว เรียลเอสเตท ซึ่งพัฒนาขึ้นที่เมืองหัวหิน หรือเป็นลูกค้า อย่างโครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน แล้วตั้งตารอว่าเมื่อไร  จะขยายการพัฒนาโครงการในรูปแบบดังกล่าว ในกรุงเทพฯ บ้าง เพราะชื่นชอบในรูปแบบ สไตล์  แนวคิดของการพัฒนา ตรงกับความชอบและไลฟ์สไตล์ของตัวเอง   ลูกค้าหรือผู้สนใจ ปีนี้เตรียมตัว เตรียมเงิน ไปจับจองกับโครงการใหม่ของพราว เรียลเอสเตท ได้เลย เพราะกำลังจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการกับ  2 โครงการใหม่ในกรุงเทพฯ ซึ่งยังคงจับตลาดลักชัวรี่เหมือนเคย และครั้งนี้จะปักหมุดปั้นโครงการบ้านเดี่ยว และคอนโดมิเนียไฮไรส์  ในย่านทำเลศักยภาพของกรุงเทพฯ ด้วย นางสาวพราวพุธ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน)  หรือ PROUD ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่  เปิดเผยว่า หลังจากบริษัทได้พัฒนา 2 โครงการในเมืองหัวหิน ได้แก่ โครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน แบรนด์เด็ดเรสซิเดนซ์เซส โครงการแรกและแห่งเดียวที่ติดชายหาด ใจกลางหัวหิน และโครงการเวหา (VEHHA) คอนโดมิเนียมไฮไรส์​ ติดสวนน้ำวานา นาวา หัวหิน ซึ่งทุกโครงการของบริษัทจะพัฒนาภายใต้แนวคิด “More Than Just Living”  เพื่อสร้างประสบการณ์และความแตกต่างให้ลูกค้า และสังคม   ในปีนี้บริษัทวางแผนการพัฒนาโครงการต่อเนื่อง โดยเตรียมเปิดตัว 2 โครงการใหม่ มูลค่า 4,407 ล้านบาท ในกรุงเทพฯ ประกอบด้วย ​โครงการแรก คือ โครงการวี อารีย์ (VI ARI) บ้านเดี่ยวใจกลางอารีย์ อยู่ในซอย 3  มูลค่ารวม 507 ล้านบาท ราคา​ขายต่อหลังประมาณ 70 ล้านบาท คาดจะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 4/2565  ส่วนโครงการที่ 2 เป็นโครงการคอนโดมิเนียม ย่านคอนแวนต์ มูลค่ารวม 3,900 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างการตั้งชื่อและวางแผนพัฒนา คาดว่ามีจำนวนห้องไม่เกิน 200 ยูนิต และเป็นห้องขนาดใหญ่ มีไซส์เริ่มต้นมากกว่า 30 ตารางเมตร พราว เรียลเอสเตท บุกตลาดโลว์ไรส์  สำหรับเหตุผลที่ พราว เรียลเอสเตท เตรียมพัฒนาโครงการใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ นั้น มาจาก 2 เหตุผลสำคัญ คือ 1.กระจายความเสี่ยง จาก 2 โครงการแรกที่พราว เรียลเอสเตท พัฒนาและเปิดขายอยู่ในปัจจุบัน จะเป็นโครงการคอนโดไฮไลท์ และอยู่ในพื้นที่ของเมืองหัวหินเป็นหลัก ทำให้บริษัทต้องมองมีการบริหารพอร์ตสินค้า เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการับรู้รายได้โครงการไฮไลท์เพียงอย่างเดียว เพราะการขยายสินค้ามาสู่โครงการบ้านเดี่ยว และคอนโดโลวไรส์จะช่วยทำให้สามารถรับรู้รายได้ได้เร็วขึ้น มีกระแสเงินสดคืนกลับมาเร็ว 2.การหาโอกาสทางการตลาด ต้องยอมรับว่า กรุงเทพฯ และปริมณฑล คือ ตลาดหลักของสินค้าประเภทที่อยู่อาศัย ที่มีการพัฒนาโครงการจำนวนมาก เพื่อรองรับกับความต้องการของคนที่เข้ามาอยู่อาศัย และทำงานในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จึงทำให้เป็นพื้นที่ที่มีความต้องการสูงกว่าหัวเมืองท่องเที่ยว  ซึ่งในพื้นที่ของกรุงเทพฯ ตลาดยังเปิดกว้างในการเข้ามาพัฒนาโครงการ  แม้ว่าการแข่งขันจะมีสูง แต่หากพัฒนาสินค้าตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้ และจับกลุ่มลูกค้าได้ถูกต้อง พื้นที่กรุงเทพฯ ก็ยังมีโอกาสทางการตลาด นายพสุ  ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร  มองว่า การมุ่งเน้นพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่ บนทำเลที่มีศักยภาพ ด้วยจำนวนการเปิดโครงการไม่มาก แต่เน้นการออกแบบและบริการที่ดีที่สุด มีมูลค่าเหมาะสมกับกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูงที่เป็นเรียลดีมานด์ เพื่อการอยู่อาศัยจริงและเพื่อการลงทุน จะสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่มากกว่า และเป็นจุดแข่งขันที่บริษัทนำมาใช้ จึงน่าจะเป็นโอกาสทางการตลาดที่สร้างการเติบโตให้กับบริษัทได้   การเข้ามาพัฒนาโครงการในกรุงเทพฯ เป็นการเข้าหาโอกาส และเรียลดีมานด์  ซึ่งจะใช้จุดแข็งในการทำธุรกิจมาแข่งขัน อย่างในช่วงที่เปิดโครงการที่หัวหิน เป็นช่วงเกิดโควิด-19 แต่ก็มียอดขายเยอะมาก แสดงให้เห็นว่าโครงการที่พัฒนามีเรียลดีมานด์รองรับ โดยโจทย์ต่อไป คือ จะทำอย่างไรให้สินค้าสอดคล้องกับเรียลดีมานด์  ซึ่งในพื้นที่กรุงเทพฯ คิดมานาน เมื่อมีโอกาสและศักยภาพในการทำธุรกิจ จึงเข้ามาเปิดโครงการ    5 ปีวางโรดแมพรายได้รวม 15,000 ล้าน พราว เรียลเอสเตท ถือว่าเป็นดีเวลลอปเปอร์รายเล็ก โครงสร้างของบริษัททั้งหมดมีพนักงานแค่ 48 คนเท่านั้น และพัฒนาโครงการค่อนข้างน้อยปีละ 1-2 โครงการ ซึ่งหากย้อนดูพอร์ตการพัฒนาที่ผ่านมาจนถึงปีนี้ มีเพียง 4 โครงการรวมมูลค่า 10,515 ล้านบาทเท่านั้น และจะทยอยสร้างการรับรู้รายได้ตั้งแต่ปีนี้ ไปจนถึงปี 2569 โดยมีไทม์ไลน์แผนสร้าง การรับรู้รายได้ ดังนี้ โครงการอินเตอร์คอน เรสซิเดนซ์ หัวหิน มูลค่าโครงการ 3,818 ล้านบาท รับรู้รายได้ในปีนี้ 91% และอีก 9% รับรู้รายได้ในปีหน้า โครงการเวหา หัวหิน มูลค่าโครงการ 2,290 ล้านบาท เริ่มรับรู้รายได้ในปี 2568 โครงการคอนโด ไฮไลท์ในซอยคอนเวนต์ มูลค่าโครงการ 3,900 ล้านบาท เริ่มรับรู้รายได้ในปี 2569 โครงการวีอารีย์ มูลค่าโครงการ 507 ล้านบาท เริ่มรับรู้รายได้ในปี 2566 อย่างไรก็ตาม บริษัทตั้งเป้าหมายการรับรู้รายได้ในระยะ 5 ปี ตั้งแต่ปี 2565-2569 จะมีรายได้รวมอยู่ที่ 15,000 ล้านบาท  โดยปัจจุบันมียอดรายรอรับรู้รายได้แล้ว 3,400 ล้านบาท ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวจะมาจากโครงการที่พัฒนาอยู่ในปัจจุบัน และโครงการที่จะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในอนาคต   นายภูมิพัฒน์ สินาเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวว่า ทิศทางธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังจะเห็นการเติบโตของรายได้อย่างเด่นชัด โดยจะสามารถพลิกกลับมาเป็นกำไรได้ในช่วงไตรมาส 3/2565  ซึ่งในปีนี้บริษัทเป้าหมายรับรู้รายได้ 3,400 ล้านบาท  จากโครงการอินเตอร์คอนติเนนตัล เรสซิเดนเซส หัวหิน ที่ปัจจุบันมียอดขายกว่า 3,500 ล้านาท และจะสามารถล้างการขาดทุนสะสมที่อยู่ให้หมดลง พร้อมกับเริ่มจ่ายปันผลให้กับผู้ถือหุ้นได้ในช่วงต้นปีหน้าด้วย เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในปีนี้บริษัทยังวางงบลงทุน 5,000 ล้านบาท สำหรับการหาซื้อที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการในปี 2566-2567 ส่วนในปีนี้ใช้งบลงทุนซื้อที่ดินแล้วประมาณ 1,000 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -พราว เรียลเอสเตท ปั้นโปรเจ็กต์ “เวหา” 2,290 ล้าน ชู 6 ไฮไลท์คอนโดลักชัวรี่สูงสุดในหัวหิน -2 เดือนอินเตอร์คอนติเนนตัลฯ หัวหินขาย 2,000 ล้าน เศรษฐีไทย หนี้ซื้อบ้านหลังที่ 2    
 “MITTI”  ความสุขที่ไม่มีวันหมดอายุ

 “MITTI”  ความสุขที่ไม่มีวันหมดอายุ

MITTI ชัยพฤกษ์-วงแหวน สัมมากร ส่งความสุขด้วยบ้าน “MITTI ชัยพฤกษ์-วงแหวน” โครงการบ้านเดี่ยว-แฝดบนทำเล กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก ภายใต้คอนเซปต์ “ความสุขที่ไม่มีวันหมดอายุ” (Happiness Never Expires) MITTI ชัยพฤกษ์-วงแหวน มาจากคำว่า “มิตร + มิติ” คือ   การออกแบบพื้นที่ที่เป็นมิตรต่อการอยู่อาศัยอย่างลงตัว สามารถตอบโจทย์ทุกการอยู่อาศัยในทุกมิติ ทุกคนในครอบครัว   MITTI ชัยพฤกษ์-วงแหวน เป็นโครงการบ้านสไตล์ Modern Semi Minimal อยู่บนทำเล กรุงเทพฯ ฝั่งตะวันตก ชัยพฤกษ์ที่เดินทางเข้า-ออกเมือง เชื่อมต่อการเดินทางได้หลายเส้นทางไม่ว่าจะเป็น ถนนชัยพฤกษ์ ถนนราชพฤกษ์ ถนน 345 ถนนแจ้งวัฒนะ ถนนรัตนาธิเบศร์ หรือ ถนนกาญจนาภิเษก ทางพิเศษ   ศรีรัช ทางพิเศษอุดรรัถยา และทางด่วนบางปะอิน-แจ้งวัฒนะ รวมถึงรถไฟฟ้าสายสีม่วง สถานีคลองบางไผ่ และรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีแยกปากเกร็ด” ที่จะเปิดให้ใช้ในอนาคต   MITTI ชัยพฤกษ์-วงแหวน MITTI ชัยพฤกษ์-วงแหวน ตั้งอยู่บนพื้นที่ทั้งหมด 26-2-28.8 ไร่ จำนวน 126 ยูนิต มี 2 รูปแบบ Emmaline (เอมมาลิน) เป็นภาษาเยอรมันซึ่งแปลว่า “บ้านที่สงบสุข” จำนวน  66 ยูนิต ขนาดที่ดินเริ่มต้น 50.20 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 136.41 ตารางเมตร ภายในบ้านมี 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ  1 ห้องนั่งเล่น 1 ห้องอเนกประสงค์ 1 ห้องครัว 1 ส่วนรับประทานอาหาร และ2 ที่จอดรถ ความพิเศษได้บ้านตัวอย่าง ได้ “จุสก์ ประเทศไทย” (JYSK Thailand) นำเฟอร์นิเจอร์มาตกแต่งบ้านตัวอย่าง เพื่อเป็นไกด์ไลน์ในการตกแต่ง Merak (เมอแรค) ซึ่งเป็นภาษาเซอร์เบียที่มีความหมายว่า “ความสุขแบบเรียบง่ายเมื่อได้อยู่พร้อมกัน” จำนวน 28 ยูนิต ขนาดที่ดินเริ่มต้น 53.20 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 176.93 ตารางเมตร มี 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น 1 ห้องอเนกประสงค์ 1 ห้องครัว 1 ส่วนรับประทานอาหาร และ 2 ที่จอดรถ และ  2.บ้านแฝด 2 ชั้น จำนวน 32 ยูนิต ขนาดที่ดินเริ่มต้นที่ 35.30 ตารางวา ส่วนของส่วนกลาง โครงการมีพื้นที่สีเขียวกับบรรยากาศธรรมชาติอันร่มรื่นถึง 3 แห่ง จากการวางแผนด้านหน้าของโครงการที่มี    ต้นจามจุรีทอดยาวไปถึงวงเวียนต้นไม้ สวนขนาดเล็กอีก 2 แห่ง บ้านทุกหลังหันหน้าบ้านไปทางทิศเหนือและทิศใต้   เพื่อรับลมประจำฤดูเลี่ยงแสงแดด สิ่งอำนวยความสะดวกครบ  คลับเฮาส์แบบ Semi-Open ฟิตเนสแบบ Glass House  สระว่ายน้ำ ระบบน้ำเกลือ พร้อมเครื่องออกกำลังกายในสวน เครื่องเล่นสนามสำหรับเด็ก ระบบกล้องวงจรปิด และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง   ความสะดวกรอบโครงการ โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ราชพฤกษ์, อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์ ชัยพฤกษ์, เดอะคริสตัล ชัยพฤกษ์ และห้างสรรพสินค้าทั้งเซ็นทรัล เวสต์เกต อิเกีย บางใหญ่ รวมถึงสถานศึกษา โรงเรียนสารสาสน์วิเทศ ราชพฤกษ์, โรงเรียนนานาชาติดีบีเอส, โรงเรียนอนุบาลเด่นหล้า, โรงเรียนเตรียมอุดมน้อมเกล้า นนทบุรี โรงพยาบาลปากเกร็ด 2, โรงพยาบาลวิภาราม ปากเกร็ด, โรงพยาบาลเกษมราษฎร์   รัตนาธิเบศร์     บทความน่าสนใจ คุณาลัยพาร์โก้ บ้านสไตล์อิตาเลียน ที่ “บางบัวทอง” สัมมากร ส่งโครงการมิตติ จับตลาดบ้าน 4-7 ล้าน ประเดิมโซน​ ชัยพฤกษ์-วงแหวน สัมมากร ลุยตลาดลักชัวรี่ขายบ้าน 30 ล้าน สู้โควิด-19 เดินหน้าปั๊มยอดขายทั้งปีโต 20%
สัมมากร ส่งโครงการมิตติ จับตลาดบ้าน 4-7 ล้าน  ประเดิมโซน​ ชัยพฤกษ์-วงแหวน

สัมมากร ส่งโครงการมิตติ จับตลาดบ้าน 4-7 ล้าน ประเดิมโซน​ ชัยพฤกษ์-วงแหวน

สัมมากร เดินหน้าลุยเปิด โครงการบ้านเดี่ยว-บ้านแฝด แบรนด์มิตติ วางเป้าทั้งปี 3 โครงการรวมกว่า 2,000 ล้าน ประเดิม ​“โครงการมิตติ ชัยพฤกษ์-วงแหวน” มูลค่า 800 ล้าน รับดีมานด์กลุ่มคนชั้นกลาง คาดปิดโครงการได้ภายใน 2 ปี พร้อมเดินหน้าเตรียมเปิดต่ออีก 2 โปรเจ็กต์     นายณพน เจนธรรมนุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) หรือ SAMCO เปิดเผยว่า ในปีนี้ได้วางแผนเปิดตัวโครงการมิตติ (MITTI) ซึ่งจับกลุ่มลูกค้าที่ต้องการบ้านระดับราคา  4-7 ล้านบาท ด้วยกัน 3 โครงการ รวมมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท โดยล่าสุด เปิดตัว​ โครงการมิตติ ชัยพฤกษ์-วงแหวน จำนวน 126 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 800 ล้านบาท และจะเปิดเพิ่มอีก 2 โครงการในทำเลถนน 346 และรังสิต คลอง 6 ส่วนในปีหน้าเบื้องต้นจะเปิดอีก 1 โครงการในโซนท่าอิฐ โครงการมิตติ​ ชัยพฤกษ์-วงแหวน เน้นเจาะกลุ่มเป้าหมายอยู่ในระดับ Middle class ช่วงอายุ 30-55 ปี อาทิ กลุ่มคนทำงานระดับพนักงานอาวุโส​ ระดับผู้จัดการ​ เจ้าของกิจการ SME รวมถึงกลุ่มครอบครัวเริ่มต้นไปจนถึงครอบครัวขยาย สำหรับโครงการมิตติ มาจากคำว่า “มิตร + มิติ” ซึ่งหมายถึง การออกแบบพื้นที่ที่เป็นมิตรต่อการอยู่อาศัยอย่างลงตัว ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นไหนก็ตาม พื้นที่ภายในโครงการและตัวบ้าน จะสามารถตอบโจทย์ทุกการอยู่อาศัยในทุกมิติ  ตรงตามคอนเซปต์ “ความสุขที่ไม่มีวันหมดอายุ” (Happiness Never Expires) หรือหมายความว่าไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน บ้านหลังนี้ยังคงตอบโจทย์การอยู่อาศัยในระยะยาว โดยเป็นเหมือนที่พักผ่อนอย่างแท้จริงของทุกคนในบ้านในการใช้ช่วงเวลาดีๆ ไปด้วยกัน ซึ่งโครงการมีทั้งหมด   สำหรับโครงการมิตติ ​ชัยพฤกษ์-วงแหวน เป็นโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ตั้งอยู่บนพื้นที่ทั้งหมด 26-2-28.8 ไร่ จำนวน 126 ยูนิต มีบ้านเดี่ยว 2 ชั้น 2 รูปแบบ คือ 1.แบบบ้าน Emmaline (เอมมาลิน) เป็นภาษาเยอรมันซึ่งแปลว่า “บ้านที่สงบสุข” จำนวน  66 ยูนิต ขนาดที่ดินเริ่มต้น 50.20 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 136.41 ตารางเมตร ภายในบ้านมี 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ  1 ห้องนั่งเล่น 1 ห้องอเนกประสงค์ 1 ห้องครัว 1 ส่วนรับประทานอาหาร และ 2 ที่จอดรถ 2.แบบบ้าน Merak (เมอแรค) ซึ่งเป็นภาษาเซอร์เบียที่มีความหมายว่า “ความสุขแบบเรียบง่ายเมื่อได้อยู่พร้อมกัน” จำนวน 28 ยูนิต ขนาดที่ดินเริ่มต้น 53.20 ตารางวา พื้นที่ใช้สอย 176.93 ตารางเมตร มี 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 1 ห้องนั่งเล่น 1 ห้องอเนกประสงค์  1 ห้องครัว 1 ส่วนรับประทานอาหาร และ 2 ที่จอดรถ และ บ้านแฝด 2 ชั้น จำนวน 32 ยูนิต ขนาดที่ดินเริ่มต้นที่ 35.30 ตารางวา   สำหรับแบบบ้าน Emmaline ทาง สัมมากรได้พันธมิตรอย่าง “จุสก์ ประเทศไทย” (JYSK Thailand) ไลฟ์สไตล์เฟอร์นิเจอร์ชื่อดังระดับโลกสไตล์สแกนดิเนเวียนมาร่วมส่งมอบความสุขที่ไม่วันหมดอายุ ด้วยการนำเฟอร์นิเจอร์มาตกแต่งบ้านตัวอย่าง เพื่อเป็นไกด์ไลน์การตกแต่งบ้านแบบ Modern Minimal อีกด้วย ขณะเดียวกันบ้านเดี่ยวอีกแบบบ้าน คือ นายนภพ กล่าวอีกว่า ในพื้นที่โซนถนน 345 เป็นทำเลที่มีศักยภาพ และตลาดยังมีความต้องการ เนื่องจากมีการขยายความเจริญออกมาในทำเลด้านนอก ซึ่งจากพัฒนาโครงการมาก่อนหน้าในทำเลดังกล่าว ก็ได้รับการตอบรับที่ดีสามารถปิดโครงการได้ภายใน 3 ปี ขณะที่ราคาที่ดินก็มีการปรับราคาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยประมาณ 10% ปัจจุบันราคาที่ดินติดถนนใหญ่จะมีราคาประมาณ​150,000 บาทต่อตารางวา   โดยโครงการมิตติ เตรียมเปิด Pre-Sale วันเสาร์ที่ 10 - วันจันทร์ที่ 12 กันยายนนี้ ด้วยราคาเริ่มต้น 5.99 ล้านบาท  พร้อมข้อเสนอสุดพิเศษสำหรับผู้จองในงาน อาทิ ฟรีค่าใช้จ่าย ณ วันโอน, บัตรกำนัลจาก JYSK Thailand สำหรับซื้อของตกแต่งบ้านในมูลค่า 40,000 บาท และระบบ Home Automation ซึ่งคาดว่าจะสามารถปิดการขายโครงการได้ภายใน 2 ปี และน่าจะก่อสร้างโครงการทั้งหมดแล้วเสร็จภายในปี 2567   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -สัมมากร สวนกระแสตลาด ทำรายได้ปี’62 สูงสุดในรอบ 50 ปี -สัมมากร ลุยตลาดลักชัวรี่ขายบ้าน 30 ล้าน สู้โควิด-19 เดินหน้าปั๊มยอดขายทั้งปีโต 20%  
อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนกันยายน 65

อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด เดือนกันยายน 65

อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโดมิเนียม  เดือนกันยายน 65 สำหรับคนที่กำลังมองหาแหล่งเงิน โดยใช้ทรัพย์สินของตนเอง เพื่อนำเงินมาหมุนเวียนธุรกิจ หรือเสริมสภาพคล่องภายในครอบครัว ซึ่งเดือนนี้ภาพรวมอัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโด ยังถือว่าทรงตัวจากเดือนที่ผ่านมา   แต่หากย้อนกลับไปดูช่วงต้นปี จะเห็นอัตราดอกเบี้ยหลายธนาคารขยับเพิ่มขึ้นแล้ว หลังจากนี้เชื่อว่าดอกเบี้ยคงอยู่ในภาวะขาขึ้น ใครจะรีไฟแนนซ์บ้าน และคอนโด คงต้องรีบตัดสินใจกันหน่อย ส่วนแบงก์ไหนมีเรทอัตราดอกเบี้ยเท่าไร ลองไปดูกันเลย อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ บ้านและคอนโด  1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับการธนาคารกรุงเทพ  มีสินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการรีไฟแนนซ์บ้าน  กรณีหลักทรัพย์เป็นที่อยู่อาศัยทั่วไป เฉพาะวงเงินอนุมัติตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งอัตราดอกเบี้ยของเดือนกันยายน 2565 ​นี้  เว็บไซต์ธนาคารยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงข้อมูล โดยยังเป็นเอกสารที่ระบุข้อมูลถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565 คาดว่าอัตราดอกเบี้ยยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีอัตราดอกเบี้ย สำหรับการรีไฟแนนซ์บ้านและคอนโด ดังนี้ ​​ ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.325% (MRR-3.625%) กรณีไม่ทำประกัน  อัตราดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 2.575% (MRR-3.375%) หลังจากนั้น 4.45% ​(MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.12-3.20% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.66-3.72% ทางเลือกที่ 2 ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 กรณีทำประกัน Home 1st Plus ดอกเบี้ย 2.825% (MRR-3.125%)  กรณีไม่ทำประกัน ดอกเบี้ย 3.075% (MRR-2.875%) ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.075% (MRR-2.875%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย  4.45% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.45-3.53% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 3.86-3.92% หมายเหตุ -กรณีแสดงวัตถุประสงค์ เช่น เพื่อการต่อเติม/ซ่อมแซม/ตกแต่งที่พักอาศัย ซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า เฟอร์นิเจอร์ ค่าใช้จ่ายด้านการศึกษา หรือการจัดหาสินค้าหรือบริการเพื่อการอุปโภคบริโภคส่วนตัว เป็นต้น -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคําขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่ 10 พฤษภาคม 2565 - 30 มิถุนายน 2565 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อและจดจำนองภายใน 2 เดือนนับแต่วันที่ ลงนามในสัญญากู้ -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบัน ตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 7 ธ.ค. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ย กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง หากลูกค้ายกเลิก และไถ่ถอนหลักประกัน ก่อนระยะเวลา 3 ปี ไม่ว่ากรณีชําระหนี้ด้วยเงินสด หรือ รีไฟแนนซ์ธนาคารจะเรียกคืนค่าธรรมเนียมจดจำนองจากผู้กู้ -ธนาคารจะโอนเงินคืนค่าสํารวจและประเมินหลักประกันเข้าบัญชีเงินฝากสะสมทรัพย์ที่ลูกค้า ใช้หักชําระค่างวดกับธนาคารภายใน 60 วัน หลังจากลูกค้าได้รับอนุมัติและเบิกใช้สินเชื่อกับธนาคารแล้ว คําเตือน -ผู้ขอเอาประกันภัยที่สมัครทำประกัน โฮมเฟิสต์ พลัส (ฉบับปรับปรุง) ตั้งแต่ 1 มีนาคม 2564 เป็นต้นไป จะได้รับความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลจากอุบัติเหตุ -เบี้ยประกันภัยสามารถนําไปหักลดหย่อน ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามหลักเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกําหนด -การทำประกันภัยไม่ใช่การฝากเงิน กรณีเวนคืนก่อนครบกําหนด ผู้เอาประกันภัยจะได้รับเงินคืนเป็นจำนวนน้อยกว่าเบี้ยประกันภัยที่จ่ายไปแล้ว ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เวนคืน -ผู้ขอเอาประกันภัยควรศึกษาและทำความเข้าใจเอกสารเสนอขายก่อน ก่อนตัดสินใจทำประกันภัย เมื่อได้รับกรมธรรม์แล้ว โปรดศึกษารายละเอียด ข้อกำหนดและเงื่อนไขในกรมธรรม์ -ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าประกันชีวิตที่เป็นผู้ชีช้องและจัดการบริการให้กับผู้ขอเอาประกันภัย เพื่อให้เกิดการทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น โดยการพิจารณาอนุมัติกรมธรรม์เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) -การแถลงสุขภาพเป็นปัจจัยหนึ่งในการพิจารณารับประกันภัยหรือจ่ายเงินตามสัญญาประกันภัย -การตรวจสุขภาพเป็นไปตามเงื่อนไขของ บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) -ผู้ขอเอาประกันภัยมีหน้าที่แถลงข้อความจริงในการขอเอาประกันภัย การปกปิดข้อความจริงหรือแถลงข้อความเป็นเท็จใดๆ อาจเป็นเหตุให้บริษัทผู้รับประกันภัยบอกล้างสัญญาประกันภัยและปฏิเสธไม่จ่ายค่าสินไหม ทดแทนตามสัญญาประกันภัย -ข้อกำหนดและเงื่อนไขของความคุ้มครองจะระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัยที่ออกให้กับผู้ถือกรมธรรม์ -การสมัครประกันชีวิตคุ้มครองเครดิตโฮมเฟิสต์ พลัส เป็นทางเลือกสำหรับลูกค้า ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ 2.ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงไทย มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์บ้าน  มีแคมเปญ ดอกเบี้ยปีแรกเริ่มต้น 0.75% ต่อปี  ฟรี ค่าธรรมเนียมยื่นกู้  ธนาคารออกค่าจดจำนองให้ 1%* และผ่อนนานสูงสุด 40 ปี ดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้าน กรณีฟรีค่าธรรมเนียมยื่นกู้ ทางเลือก 1* แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  = 2.60% (MRR-3.62%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย = 4.72% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา =  4.00% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  = 2.70% (MRR-3.52%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย = 4.72% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.04% ทางเลือกที่ 3* ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 0.75% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย = 3.62% (MRR-2.60%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย = 3.72% (MRR-2.50%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย = 4.72% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.01% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 1.00% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย = 3.67% (MRR-2.55%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  = 3.72% (MRR-2.50%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย = 4.72% (MRR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.80% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.05% หมายเหตุ 1.การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ* : ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ ทำ MRTA/GLTSP เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี ทำ MRTA/GLTSP 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลากู้ ทำ MRTA/GLTSP 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี ทั้งนี้ การทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อเป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ 2. อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR)** คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,500 บาท/เดือน ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR = 6.22% ต่อปี 3. สามารถขอสินเชื่อ Home For Cash แบบมีกำหนดระยะวลา (Term Loan) เพิ่มเติม สำหรับวัตถุประสงค์ : เพื่ออุปโภคบริโภค/ปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย/ชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย MRR ต่อปี ตลอดอายุสัญญา 4. เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 กันยายน 2565 และทำนิติกรรมจำนองภายใน 30 วัน ทั้งนี้ ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขรายการส่งเสริมการขาย โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรีมี สินเชื่อรีไฟแนนซ์ ด้วยแคมเปญ อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2.00% นาน 1 ปี หรือสามารถเลือกรับดอกเบี้ยทางเลือกฟรี ค่าจดจำนอง เมื่อซื้อประกันภัยคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ตามที่ธนาคารกำหนด และกรณีมีวงเงินเหลือ ยังมีแคมเปญที่สามารถกู้เพิ่มสินเชื่อกรุงศรีโฮมฟอร์แคชได้อีกด้วย นอกจากนี้ ธนาคารยังมีโปรโมชั่น ฟรี ค่าประเมินหลักประกันมูลค่า 3,210 บาท ส่วนรายละเอียดของสินเชื่อรีไฟแนนซ์ มีดังนี้ วงเงินกู้ตั้งแต่ 1-1.5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.30% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.30% = 3.75% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.10%= 3.95% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.33% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.95% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.75% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย = 3.65% ปีที่ 3 ดอกเบี้ย MRR-1.65%= 4.4% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 4.10% ทางเลือกที่ 3* ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.30% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.90% = 4.15% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.75% = 4.30% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.58% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 4.09% สำหรับวงเงินตั้งแต่ 1.5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.175% = 2.875% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 2.88% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.60% ทางเลือก 2 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.00% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.45% = 3.60% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.20% = 3.85% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.71% ทางเลือก 3 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย = 2.50% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย = 3.50% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-1.80% = 4.25% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.42% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.87% ทางเลือก 4 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.70% = 3.35% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.35% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.35% ทางเลือกที่ 5 ฟรีค่าจดจำนอง ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.925% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3.12% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง ดอกเบี้ย 3.74% หมายเหตุ -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พฤษภาคม​ 2563 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน ​–31 ธันวาคม​ 2565 โดยจดจำ​นองและเบิกรับเงินกู้ภายในวันที่ 31 มกราคม​ 2566 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิดภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ -รายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติม สอบถามได้จากธนาคาร​ 4.ธนาคารกสิกรไทย อัตราดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์บ้านของธนาคารกสิกรไทย  ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนกรกฎาคม 2565 ที่ผ่านมา  โดยธนาคารกสิกรไทยมีบริการสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.97% หมายเหตุ -MRR = 5.97% ( ณ วันที่ 22 พ.ค.63) อัตราดอกเบี้ยข้างต้นสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้สินเชื่อบ้านตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม - 30 กันยายน 2565 5.ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ธนาคารเกียรตินาคินภัทร มีแคมเปญสินเชื่อสำหรับให้ลูกค้ารีไฟแนนซ์ คือ KKP Home Loan Refinance  ให้วงเงินสูงสุด 50 ล้านบาท ดอกเบี้ยต่ำ สามารถกู้ร่วมกันได้สูงสุด 4 คนโดยเป็นบุคคลในครอบครัวเดียวกัน ฟรีค่าประเมินหลักประกัน* ทางเลือก ดอกเบี้ยคงที่ 1 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.59% ปีต่อไป MLR-1.50% = 5.025% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ย 2.79% ปีต่อไป MLR-1.50% = 5.025% ทางเลือก ดอกเบี้ยแบบลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.79% ปีต่อไป MLR-1.50% = 5.025% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3  ดอกเบี้ย 2.99% ปีต่อไป MLR-1.50% = 5.025% เงื่อนไข -วงเงินคงเหลือต้องมากกว่า 500,000 บาท -บ้านต้องผ่อนกับสถาบันการเงินเท่านั้น -มีประวิติผ่อนชำระกับสถาบันการเงินเดิมไม่ต่ำกว่า 12 เดือน หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับกับปัจจัยอ้างอิง เช่น​ อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ​ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา​(MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย ดังกล่าว​ โดยจะประกาศไว้ ณ ​ สถานที่ทำการที่ให้บริการ และเว็บไซต์ของ​ธนาคาร -MLR ณ วันที่ 15 กรกฎาคม 2564 เท่า​กับ 6.525% ต่อปี -เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA) ผ่านธนาคารทุน​ประกันภัยเท่ากับวงเงิน กู้โดยมรีะยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปีกรณีที่ระยะเวลาการไถ่ถอนถึง​ 10 ปีให้ระยะเวลาเอา ประกันภัยเท่า​กับระยะเวลาการกู้ -กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปีแรก คิดค่า ​Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง -กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ย แบบฟรีค่าจดจำนอง​ หากลูกค้า​ Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อน​ระยะเวลาที่กำหนดไว้ทุก กรณีลูกค้าต้องชำระคืนค่าจดจำนองที่ธนาคาร สำรองจ่ายให้ธนาคาร -ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท ค่าอากรแสตมป์ร้อยละ 0.05 ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) -ค่าธรรมเนียมตดิ ตามทวงถามหนี้นค้างชำระ​ 1 งวด 50 บาท/รอบการทวงถามหนี้ค้างชำระมากกว่า ​1 งวด 100 บาท/รอบการทวงถามหนี้ -เบี้ยประกันอัคคีภัย เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด​ โดยผู้กู้สามารถเลือกทำ​ประกันกับบริษัท​ประกันที่น่าเชื่อถืออื่นใดก็ได้ ​ 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี มี อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์  ในเดือนกันยายน 2565 สำหรับ​ประเภทสินเชื่อรีไฟแนนซ์  กรณีไม่ขอวงเงินเพิ่ม  มีอัตราการคิดดอกเบี้ย ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำหรือเจ้าของกิจการ รายได้ 30,000 บาทขึ้นไป กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน น้อยกว่าหรือเท่ากับ 85% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.42% = 2.93% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.15% = 5.20% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.93% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.61% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.12% = 3.23% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.15% = 5.20% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.23% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.69% กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน มากกว่า 85% แต่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 100% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.22% = 3.13% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.15% = 5.20% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.13% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.67% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-3.92% = 3.43% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.15% = 5.20% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.43% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.75% กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน น้อยกว่าหรือเท่ากับ 85% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.% = 2.69% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.15% = 5.20% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.69% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.55% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.36% = 2.99% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.15% = 5.20% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.63% กรณีสัดส่วนวงเงินกู้ต่อมูลค่าหลักประกัน มากกว่า 85% แต่น้อยกว่าหรือเท่ากับ 100% แบบทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.46% = 2.89% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.15% = 5.20% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.60% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-4.16% = 3.19% ระยะเวลาที่เหลือ ดอกเบี้ย MRR-2.15% = 5.20% อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.19% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.68% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2564) กรณีขอวงเงินเพิ่ม สอบถามรายละเอียดกับทางธนาคารโดยตรง ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักทรัพย, ค่าอากรแสตมป์ และค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย 3 ปีแรก ทุกทางเลือก ยกเว้น ค่าจดจำนอง เฉพาะทางเลือก 1 และ 2 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบีมีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ ซึ่งเดือนกันยายนนี้ เอกสารที่ระบุในเว็บไซต์ยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง โดยข้อมูลเอกสารดังกล่าวยังเป็นข้อมูลระบุ การยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคมถึง 30 มิถุนายน 2565 จึงคาดว่าในเดือนกันยายนนี้ ยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้าที่ผ่านมา ​ซึ่งมีประเภทสินเชื่อให้บริการดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-3.53% =2.75% หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย (MRR-1.63%)=4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.02% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.18%=3.1% หลังจากนั้น (MRR-1.63%)= 4.65% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี อัตรา 3.10% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.14% ทางเลือก 3 (สมัครผลิตภัณฑ์ไม่ครบทั้ง 3 ประเภท) ปีที่ 1-3 คิดอัตราดอกเบี้ย (MRR-2.74%) = 3.54% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีดอกเบี้ย 3.54% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.29% สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อบ้าน สไมล์ โฮม หรือ สไมล์ โฮม พลัส 2.สมัครใช้บริการ หักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ทีทีบีเพื่อผ่อนช าระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ทีทีบี (กรณีที่มีบัตรเดบิต ทีทีบีแล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) ช่วยคุณประหยัดดอกเบี้ยได้มากขึ้น ผ่อนต่อเดือนน้อยลง และเป็นเจ้าของบ้านได้เร็วขึ้น เมื่อรีไฟแนนซ์บ้านกับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ยให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท  รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษ นาน 3 ปี  ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท  ฟรี! ค่าจดทะเบียนจำนอง มูลค่า 1% ของเงินกู้สูงสุด 200,000 บาท  ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท ฟรี! ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท ฟรี! ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรมจำนอง หมายเหตุ : -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -MRR (Minimum Retail Rate: อัตราดอกเบี้ย ลูกค้ารายย่อยชั้นดี) = 6.28% ต่อปี ณ วันที่ 7 พ.ค. 2564 -การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ ทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการ พิจารณาสินเชื่อ -สำหรับลูกค้าที่ยื่นที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคา ​-30 มิถุนายน 2565 และจดจำนองภายในวันที่ 31 กรกฎาคม​ 2565 อัพเดทข้อมูลจากเว็บไซต์ ณ วันที่ 5 กันยายน 2565 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อทั่วไปที่รีไฟแนนซ์จากสถาบันการเงินอื่น โดยแคมเปญของธนาคารมีกำหนดระยะเวลาตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม ถึง 31 ธันวาคม ​2565 อัตราดอกเบี้ยจึงเท่ากับเดือนที่ผ่านมา ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% ปีต่อไป MRR-0.72%= 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.242% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.90% ปีต่อไป MRR-0.72% = 5.275% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.90% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.174% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10 ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร.1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 9 สิงหาคม​ 2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด -ระยะเวลาขอสินเชื่อ 1 กรกฎาคม ถึง ​31 ธันวาคม 2565 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำหรับธนาคารอาคารสงเคราะห์ หรือ ธอส. ถือว่าเป็นธนาคารสำหรับการให้สินเชื่อเพื่อซื้อบ้านและคอนโด รวมถึงสินเชื่ออื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องโดยตรง มีสินเชื่อให้เลือกมากมายหลายประเภท สำหรับการรีไฟแนนซ์บ้านจากสถาบันการเงินอื่น มีสินเชื่อบ้านสุขสันต์ เพื่อให้ลูกค้าใช้บริการรีไฟแนนซ์  โดยอัตราดอกเบี้ยสำหรับเดือนกันยายน 2565 ​​โดยมีรายละเอียดอัตราดอกเบี้ย ดังนี้ แบบที่ 1 สำหรับกลุ่มลูกค้าสวัสดิการ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.25% (MRR-3.90%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.16%= 2.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-2.90%=3.52% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย MRR-1.0%= 5.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.35% แบบที่ 2 สำหรับกลุ่มลูกค้ารายย่อย ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.35% (MRR-3.80%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย  MRR-3.06%= 3.09% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  MRR-2.80%=3.35% หลังจากนั้น ดอกเบี้ย MRR-0.5%=5.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.71% หมายเหตุ -นิยามคำว่า “อาคาร” หมายถึง บ้านเดี่ยว บ้านแฝดทาวน์เฮ้าส์ และอาคารพาณิชย์เพื่อที่อยู่อาศัย ยกเว้นแฟลต และบ้านเช่า -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ร้อยละ 0.1 ของวงเงินทำนิติกรรม -MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พ.ค. 64 -กำหนดระยะเวลา ยื่นคำขอกู้ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2565 - 30 ธันวาคม 2565 อนุมัติและทำนิติกรรม ภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2565 (ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเต็มวงเงินของโครงการแล้ว) 10.ธนาคารยูโอบี สำหรับธนาคารยูโอบี มีแคมเปญสินเชื่อบ้านรีไฟแนนซ์ UOB Home Loan – รีไฟแนนซ์ ​ ไม่รวมวงเงินกู้เพิ่มอเนกประสงค์  ซึ่งอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน ​ 65 ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า​ รายละเอียดดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.89% (MRR-4.46%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.60% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-4.36%) = 2.99% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.64% ทางเลือก 3 แบบทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย (MRR-5.36%) = 1.99% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.36%) = 4.99% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.99% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.60% ทางเลือก 4 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย (MRR-5.26%) 2.09% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.26%) = 5.09% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.09% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.64% หมายเหตุ -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น (Re-finance) ในช่วง​ระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้จะมีค่าปรับ​ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น​ ) -การอนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย​ MRR ปัจจุบัน เท่ากับ 7.35% ต่อปี (ตามประกาศธนาคาร ​​ณ วันที่ 9 กรกฎาคม​ 2564) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้ และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตรา ค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของ​ธนาคาร -ธนาคารยูโอบี ในฐานะนายหน้าประกันภัย​ (ใบอนุญาตประกันชวีติเลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศ​ภัย เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่นำเสนอ ผลิตภัณฑ์ประกันภัย และเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย​ และอำนายวความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิต ​โดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชวีติ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่า ประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็มม เอส ไอ จีประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) จะเป็นผู้รับผิดชอบตาเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก ครั้ง​ 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์  มีสินเชื่อรีไฟแนนซ์ ดอกเบี้ยต่ำ เริ่มต้น​ 2.00% ต่อปี* (เฉลี่ย 3 ปี 2.60%) กู้ได้ 100% ผ่อนนานสูงสุด 35 ปี โดยรับทุกโครงการจัดสรร ซึ่งมีโปรโมชั่นฟรี​ ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย และค่าจดจำจอง* สำหรับการยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันนี้ - 30 กันยายน 2565 โดยมีรายละเอียดดอกเบี้ยต่าง ๆ ดังนี้ สำหรับผู้กู้รายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.59% ต่อปี แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.35% = 2.00% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.55% = 3.80% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.56% แบบที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-4.75% = 2.60% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.60% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 2 สำหรับผู้มีรายได้ตั้งแต่ 20,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย MRR-5.25% = 2.10% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.45% = 3.90% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.63% แบบที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-4.65% = 2.70% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ยคงที่ MRR-3.27% = 4.08% ปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR-2.25%=5.10% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.70% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% ข้อกำหนดและเงื่อนไข -สิทธิพิเศษสำหรับลูกค้า Refinance ดอกเบี้ยพิเศษ เริ่ม 2.00% ต่อปี สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ตั้งแต่ 75,000 บาทต่อเดือนขึ้นไป และเบิกรับเงินกู้ตั้งแต่วันนี้ - 30 กันยายน 2565 -วงเงินกู้เริ่มต้น 1 ล้านบาท และราคาประเมินหลักประกัน (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2 ล้านบาท หรือ (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.5 ล้านบาท (โครงการจัดสรรทุกโครงการ) -อัตราดอกเบี้ยและเงื่อนไขดังกล่าว สำหรับหลักประกันที่ได้รับการจัดสรรทุกโครงการในเขตกรุงเทพและปริมณฑล ยกเว้น ที่ดินว่างเปล่า, อาคารพาณิชย์ -กรณีลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือสูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือเปลี่ยนแปลงสัญญาใดๆ ภายใน 5 ปีแรกทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำได้ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างอัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.350% (ณ วันที่ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -อัตราดอกเบี้ย หลักเกณฑ์และเงื่อนไขอื่นๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด 12 ธนาคารออมสิน อัปเดตดอกเบี้ยรีไฟแนนซ์ สำหรับธนาคาออมสิน ประจำเดือนกันยายน ทางธนาคารมี แคมเปญสินเชื่อ ผ่อนต่ำ 6 เดือนแรก ล้านละ 4,000 บาท/เดือน ฟรี ค่าบริการสินเชื่อ ค่านิติกรรมสัญญา ฟรี ค่าธรรมเนียมจดจำนอง* สำหรับกรณีรีไฟแนนซ์​วงเงินกู้สินเชื่อเคหะตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป และมีรายละเอียดอื่น ๆ ดังนี้ ​ สินเชื่อรีไฟแนนซ์ จากสถาบันการเงินอื่น สำหรับลูกค้าทั่วไป แบบทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 1.95% (MRR-4.295%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR-3.245% = 3.00% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.143% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 2.20% (MRR-4.045%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย (MRR-2.62%) = 3.625% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.15% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.327% อัตราดอกเบี้ยกรณีรีไฟแนนซ์ และ ฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง* สำหรับวงเงินกู้ตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แบบทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR - 3.995% = 2.25% ปีที่ 2 - 3 อัตราดอกเบี้ย MRR – 2.930% = 3.315% เฉลี่ย 3 ปี อัตราดอกเบี้ย = 2.960% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.260% แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย MRR - 3.745% = 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย MRR – 2.305%= 4.94% เฉลี่ย 3 ปี อัตราดอกเบี้ย = 3.460% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา = 4.441% หมายเหตุ -ยื่นกู้ภายในวันที่ 31 สิงหาคม 2565 อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน 2565 -อัตราดอกเบี้ยขั้นต่ำ MRR = 6.245% (ตั้งแต่วันที่ 25 พฤษภาคม 2563) -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 1 ล้านบาท​ ระยะเวลา 15 ปี แบบผ่อนเท่ากันทุกงวด ​ -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่นๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไข โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า   ที่มา : Reviewyourliving รวบรวมจากข้อมูลเว็บไซต์แต่ละธนาคาร ณ วันที่ 5 กันยายน 2565   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกันยายน 2565 -อัปเดต ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนสิงหาคม 2565  
อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกันยายน 2565

อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกันยายน 2565

อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกันยายน 2565 ภาพรวมดอกเบี้ยยังคงอัตรเดิม มีเพียงธนาคารกรุงศรี ที่ปรับเปลี่ยนดอกเบี้ยจากเดือนที่ผ่านมา แต่ยังเป็นจังหวะดี สำหรับคนที่เตรียมกู้ซื้อบ้านและคอนโด  ก่อนดอกเบี้ยปรับขึ้น   เชื่อว่าตอนนี้หลายคนคงจะบ่นกันมาก ถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิต ที่ปรับเพิ่มสูงมาก ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำมัน หรือค่าไฟฟ้า ซึ่งส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึง ค่าครองชีพอื่น ๆ ที่ปรับตัวสูงขึ้นตามมาด้วย แถมอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ทางกนง. หรือ คณะกรรมการนโยบายการเงิน ได้ปรับขึ้นแล้ว 0.25% ต่อปี ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายจากที่มีอัตรา 0.5% เพิ่มขึ้นเป็น 0.75% ต่อไป ซึ่งมีผลทันที่หลังการประชุมกนง. ครั้งที่ 4 เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2565 ที่ผ่านมา ​ แถมแว่ว ๆ มาอีกว่า ดอกเบี้ยนโยบายนี้มีแนวโน้ม อาจจะปรับเพิ่มขึ้นอีกครั้งด้วย ต้องรอลุ้นกันว่าจริงหรือไม่   แม้ว่าดอกเบี้ยนโยบายมีการปรับเพิ่มขึ้น แต่ดูเหมือนอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโดมิเนียม ตอนนี้จะยังไม่เปลี่ยนแปลงเท่าไร ส่วนใหญ่จะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้เท่าเดิม จึงถือเป็นโอกาสที่ดีสำหรับคนที่จะเลือกซื้อบ้านหรือคอนโด เพราะผลกระทบของค่าพลังงานที่เพิ่มขึ้น ทำให้ราคาวัสดุก่อสร้างปรับเพิ่มสูงขึ้นด้วย ตอนนี้หลายโครงการ ที่สร้างบ้านใหม่มีการปรับราคาขึ้นบ้างแล้ว ถ้าใครมีความพร้อมทางด้านการเงิน และต้องการซื้อจริง ๆ ก็ต้องรีบกันหน่อย แต่จะเลือกกู้ซื้อบ้านกับธนาคารไหน วันนี้เรามาอัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ประจำเดือนกันยายน 2565 กันว่าใครเสนอดอกเบี้ยเท่าไรกันบ้าง ​อัปเดต ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด 1.ธนาคารกรุงเทพ สำหรับธนาคารกรุงเทพ สินเชื่อบ้านบัวหลวง ที่ให้บริการลูกค้า 2 กลุ่ม คือ ลูกค้าพนักงานที่มีรายได้ประจำ และลูกค้าทั่วไป  โดยอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ประจำเดือนกันยายน 2565 ตามข้อมูลที่ระบุไว้ในเอกสาร ภายในเว็บไซต์ของธนาคาร  ระบุข้อมูลสำหรับผู้ยื่นกู้ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2565  จึงคาดว่าธนาคารกรุงเทพ จะยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยเท่ากับเดือนที่ผ่านมา ซึ่งมีการคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท  (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.2% (MRR-1.75%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.65% อัตราดอกเบี้ยเฉพาะพนักงานที่มีรายได้ประจำ วงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45% (MRR-1.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% (MRR-0.75%) อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3  อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.48% อัตราดอกเบี้ยพิเศษสำหรับลูกค้าทั่วไป ลูกค้าทั่วไป วงเงินตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป แต่ไม่เกิน 5 ล้านบาท (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.50% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.00%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.45% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.45%(MRR-1.50%) หลังจากนั้น 5.45%  (MRR-0.50%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.45% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.9% ลูกค้าทั่วไปวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป (คำนวณจากวงเงินสินเชื่อ 5 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี) ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.00% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.7%(MRR-1.25%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075%(MRR-1.875%) ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 4.075% (MRR-1.875%) หลังจากนั้น คิดอัตราดอกเบี้ย 5.2% อัตราดอกเบี้ยแท้จริงต่อปีตลอดอายุสัญญา 4.58%   -กรณีวงเงิน ตั้งแต่ 500,000 บาทแต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท คิดอัตราดอกเบี้ย คงที่ปีแรก MRR-1.20% หลังจากนั้น​คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีวงเงินต่ำกว่า ​500,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย MRR-0.50% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันสิทธิการเช่า ​คิดอัตราดอกเบี้ย​ MRR-0.75% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา -กรณีหลักประกันที่ดินเปล่าเพื่อการอยู่อาศัย คิดอัตราดอกเบี้ย ​MRR-0.25% ต่อปี ตลอดอายุสัญญา   หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับผู้ที่ยื่นคำขอสินเชื่อพร้อมเอกสารครบถ้วน ตั้งแต่วันที่  10 พ.ค. – 30 มิ.ย. 65 โดยผู้กู้ต้องลงนามในสัญญากู้ภายใน 1 เดือน นับตั้งแต่วันที่อนุมัติสินเชื่อ​และจดทะเบียนจำนองพร้อมเบิกเงินกู้งวดแรกหรือทั้งหมดภายใน 2 เดือน นับตั้งแต่วันที่ลงนามในสัญญา ​ -พนักงานที่มีรายได้ประจำ หมายถึง พนักงานที่มีรายได้หลัก หรือ มีความสามารถในการชำระคืนหลัก จากรายได้ประจำ -รูปแบบการชำ​ระแบบคงที่ เลือกผ่อนได้ทุกทางเลือก/รูปแบบการผ่อนชำ​ระแบบขั้นบันได เลือกผ่อนได้เฉพาะทางเลือกที่ 1 -อัตราส่วนวงเงินกู้สูงสุดและมูลค่าหลักประกันให้เป็นไปตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย -อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ 7 ธ.ค. 64 เท่ากับ 5.95% ต่อปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยรวมทั้งหลักเกณฑ์และเงื่อนไข -ข้อมูล ณ วันที่ 2 กันยายน 2565 ในเว็บไซต์ธนาคารยังไม่ได้ทำการเปลี่ยนแปลง 2.ธนาคารกรุงไทย อัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด สำหรับธนาคารกรุงไทย ในเดือนกันยายน ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปจากช่วงเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ​ โดยมีการคิดอัตราดอกเบี้ย ​​ดังนี้ ทางเลือกที่ 1 แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.77% (MRR-3.45%) ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 2.77% (MRR-3.45%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.77% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.22% ทางเลือกที่ 2 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.87% (MRR-3.35%) ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 2.87% (MRR-3.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี =2.87% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.24% ทางเลือกที่ 3 แบบทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 0.75% ปีที่ 2 ดอกเบี้ย 3.92% (MRR-2.30%) ปีที่ 3 ดอกเบี้ย 3.97% (MRR-2.25%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.88% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.23% ทางเลือกที่ 4 แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.00% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.98% (MRR-2.25%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 2.98% ดอกเบี้ยจริงตลอดอายุสัญญา 4.27%   หมายเหตุ : 1.การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ *ทำประกันทางเลือกใด ทางเลือกหนึ่ง ดังนี้ -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) เต็มวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 10 ปี -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลากู้ -ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ (MRTA / GLTSP) 70% ของวงเงินกู้ และระยะเวลาทำประกันขั้นต่ำ 15 ปี (การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ เป็นไปตามความสมัครใจของลูกค้า และไม่มีผลต่อการอนุมัติสินเชื่อ) 2.อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (EIR)**คำนวณจากวงเงินกู้ 1.00 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี ผ่อนชำระ 6,600 บาท/เดือน MRR = 6.22% ต่อปี 3.สามารถขอสินเชื่อ Home For Cash แบบมีกำหนดระยะเวลา (Term Loan) เพิ่มเติม สำหรับวัตถุประสงค์ : เพื่ออุปโภคบริโภค / ปรับปรุง ต่อเติม ซ่อมแซมที่อยู่อาศัย /ชำระค่าเบี้ยประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย MRR ต่อปี ตลอดอายุสัญญา 4.เงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด การพิจารณาสินเชื่ออยู่ภายใต้ดุลยพินิจของธนาคาร ยื่นสมัครสินเชื่อ ภายในวันที่ 30 กันยายน 2565 และทำนิติกรรมจำนองภายใน 30 วัน ทั้งนี้ ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขรายการส่งเสริมการขาย โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า 3.ธนาคารกรุงศรี ธนาคารกรุงศรี มีสินเชื่อบ้านกรุงศรี  เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (บ้านใหม่/บ้านมือสอง) สำหรับลูกค้าทั่วไป โดยมีแคมเปญฟรี ค่าธรรมเนียมสำรวจ และค่าประเมิน  และธนาคารยังไม่ได้ปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยสำหรับการกู้ซื้อบ้านและคอนโด ยังคงเท่ากับเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับการกู้ในวงเงิน 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.925% (MRR-2.125%) เพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมา ซึ่งมีการคิดอัตราดอกเบี้ยแตกต่างกันในแต่ละปี โดยหากเปรียบเทียยกับปีที่ 1 ของเดือนที่ผ่านมาจะเพิ่มขึ้น 1.025% ซึ่งเดือนที่แล้วคิดเอัตราดอกเบี้ย 2.9% ( MRR-3.15%) หากเปรียบเทียบกับปีที่ 2 จะมีอัตราดอกเบี้ยลดลง 0.125% ซึ่งเดือนที่ผ่านมาดอกเบี้ยปีที่ 2  อัตรา 4.05% (MRR-2.00%) หากเปรียบกับปีที่ 3  จะลดลง 1.025% จากเดือนที่แล้วคิดอัตราดอกเบี้ย ปีที่ 3 อัตรา 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี = 3.93% ลดลง 0.04% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 3.97% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง = 4.45% เพิ่มขึ้น 0.06% จากเดือนที่ผ่านมา คิดอัตรา  4.39% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 2.50% เพิ่มขึ้น 1.0% จากเดือนที่ผ่านมาคิดอัตรา 1.50% เดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 415% (MRR-1.9%) ลดลง 0.3% จากเดือนที่ผ่านมาคิดอัตรา 4.45% (MRR-1.60%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-1.5%) ลดลง 0.15% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) ปีที่ 3อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-1.5%) ลดลง 0.4% จากเดือนที่ผ่านมา คิดดอกเบี้ย 4.95% (MRR-1.10%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.14% ลดลง 0.07% จากเดือนที่ผ่านมาคิดอัตราดอกเบี้ย  4.21% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.54% เพิ่มขึ้น 0.02% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 4.52% สำหรับการกู้เงินในวงเงินตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ทางเลือกที่ 1 ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.675% (MRR-2.375%) เพิ่มขึ้น  1.125% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 2.55%  (MRR-3.50%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.675% (MRR-2.375%) เพิ่มขึ้น 0.375% จากเดือนที่ผ่านมาคิด อัตราดอกเบี้ย 3.3%  (MRR-2.75%) ปีที่ 3อัตราดอกเบี้ย 3.675% (MRR-2.375%) ลดลง 1.025% จากเดือนที่ผ่านมา คิดดอกเบี้ย 4.7% (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.68% เพิ่มขึ้น 0.16% จากเดือนที่ผ่านมา คิดดอกเบี้ย 3.52% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.22% เพิ่มขึ้น 0.2% จากเดือนที่ผ่านมา คิดดอกเบี้ย 4.02% ทางเลือกที่ 2 ปีที่ 1 เดือนที่ 1-6 อัตราดอกเบี้ย 1.99% เพิ่มขึ้น 0.74% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 1.25%  เเดือนที่ 7-12 ดอกเบี้ย 4.15%  (MRR-1.9%) เพิ่มขึ้น 0.05% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย  4.1% (MRR-1.95%) ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 4.35% (MRR-1.7%) เพิ่มขึ้น 0.05% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 4.3% (MRR-1.75%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.35% (MRR-1.7%) เพิ่มขึ้น 0.35% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย   4.7%  (MRR-1.35%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.92% เพิ่มขึ้น 0.03% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอกเบี้ย 3.89% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.33% เพิ่มขึ้น 0.1% จากเดือนที่ผ่านมาคิดดอัตราดอกเบี้ย 4.23%   หมายเหตุ * อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงการแสดงตัวอย่าง โดยคำนวณจากฐานวงเงินกู้ 2 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 1 ล้านบาท แต่ไม่ถึง 5 ล้านบาท และฐานวงเงินกู้ 5 ล้านบาท สำหรับวงเงินกู้ที่ได้รับอนุมัติตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป ด้วยระยะเวลาการกู้ 10 ปี ในกรณีที่ลูกค้า ซื้อ MRTA/MLTA หากค่าเบี้ย MRTA/MLTA เปลี่ยนแปลง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงอาจเปลี่ยนแปลงได้ เงื่อนไขการรับสิทธิพิเศษสาหรับลูกค้าที่ซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ (MRTA/MLTA) -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.25% ต่อปี เฉพาะในปีที่ 1 จากอัตราดอกเบี้ยทุกทางเลือก ลูกค้าต้องซื้อ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการตามเงื่อนไขดังนี้ 1.ผลิตภัณฑ์ MRTA/MLTA ที่ร่วมรายการได้แก่ MRTA : แผนกรุงศรี เซฟตี้โลน 1 พลัส หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 1 หรือ กรุงศรี เซฟตี้โลน 2 / MLTA : กรุงศรี รักบ้าน รักคุณ หรือกรุงศรี รักบ้าน รักคุณ พลัส เท่านั้น 2.กรณีผู้กู้หลักเป็นพนักงานเงินเดือนที่มีรายได้ ประจำ​ต้องซื้อ MRTA/MLTA 100% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี หรือซื้ออย่างน้อย 70% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความ คุ้มครองไม่ต่ำกว่า 20 ปี 3.กรณีผู้กู้หลักเป็นผู้ประกอบธุรกิจส่วนตัว ต้องซื้อ MRTA/MLTA อย่างน้อย 80% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือซื้อย่างน้อย 50% ของวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาความคุ้มครองไม่ต่ำกว่า 15 ปี 4.กรณีมีผู้กู้ร่วม สามารถซื้อ MRTA/MLTA เฉพาะผู้กู้หลักเพียงคนเดียวได้ หรือหากผู้กู้ร่วมประสงค์ที่จะซื้อ MRTA/MLTA ด้วย ผู้กู้หลักและผู้กู้ร่วมทุกคนจะต้องมีทุนประกันขั้นต่ำในสัดส่วนที่เท่ากัน ขอสงวนสิทธิ์ในการปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย เป็นอัตราดอกเบี้ยปกติตามที่ลูกค้าได้เลือกไว้ โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า ในกรณีที่บริษัทประกันไม่ อนุมัติ MRTA/MLTA หรือในกรณีที่ลูกค้าขอยกเลิก MRTA/MLTA -ตามประกาศธนาคาร ณ วันที่ 21 พ.ค. 63 อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.05% ต่อปี -อัตราดอกเบี้ยนี้สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.​​​​– 31 ธ.ค. 65 -ค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร -การพิจารณา อนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -วงเงินกู้อนุมัติสูงสุดเป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด และไม่เกินกว่า วงเงินกู้สูงสุดต่อมูลค่าหลักประกัน (ราคาซื้อขาย) ตามหลักเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าเบี้ยปรับกรณีปิด ภาระหนี้ก่อนกำหนด (กรณีที่ลูกค้ารีไฟแนนซ์ไปสถาบันการเงินอื่นภายใน 3 ปีแรกนับจากวันทำสัญญา) คิดเป็น 3% ของยอดหนี้คงเหลือ 4.ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกสิกรไทย มีสินเชื่อกู้ซื้อบ้านสำหรับบ้านใหม่ให้กับลูกค้าทั่วไป โดยพิจารณาเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีรายได้ประจำ และกลุ่มลูกค้าผู้ประกอบการ ซึ่งเดือนนี้อัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับลูกค้าที่มีรายได้ระจำ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 7.72% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 7.72% สำหรับลูกค้าผู้ประกอบการ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย = n.a. อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 8.22% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 8.22% หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ย MRR = 5.97% (ประกาศ ณ วันที่ 22 พ.ค. 63) ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ย MRR ให้อ้างอิงอัตราดอกเบี้ยตามประกาศของธนาคาร ณ วันที่ลูกค้ายื่นใบสมัครสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวสำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. – 30 ก.ย.65 โดยสามารถยื่นกู้ได้สำหรับที่อยู่อาศัยทุกประเภท ยกเว้นการกู้เพื่อซื้อที่ดินเปล่า -รับส่วนลดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มเติม 0.25% ในปีแรก หากทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองสินเชื่อบ้านตามเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด -กรณียื่นกู้บ้านในโครงการจัดสรรที่ธนาคารสนับสนุน ธนาคารฯมีอัตราดอกเบี้ยพิเศษ สอบถามรายละเอียดและเงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่ K-Contact Center 02-8888888 ต่อ 887 5.ธนาคารเกียรตินาคินภัทร ธนาคารเกียรตินาคินภัทร มีสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย (KKP Home Loan เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย) กรณี บ้านใหม่ : ซื้อบ้านจากบริษัทพัฒนา อสังหาริมทรัพย์ที่ธนาคารกำหนด ซึ่งมีการคิดอัตราดอกเบี้ยเท่ากับเดือนที่ผ่านมา  ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยลอยตัว แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.4-2.75% ปีต่อไป 5.025% (MLR-1.50%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.5-2.75% ปีต่อไป 5.025% (MLR-1.50%) อัตราดอกเบี้ยคงที่ 1 ปี แบบทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.5-2.85% ปีต่อไป 5.025% (MLR-1.50%) แบบไม่ทำประกัน ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.75-3.062% ปีต่อไป 5.025% (MLR-1.50%) หมายเหตุ 1.อัตราดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับปัจจัยอ้างอิง เช่น อัตราดอกเบี้ยลูกค้ารายใหญ่ชั้นดี ประเภทเงินกู้แบบมีระยะเวลา (MLR) ซึ่งธนาคารจะแจ้งให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว  โดยจะประกาศไว้ ณ สถานที่ทำการให้บริการและ​เว็บไซต์ของธนาคาร 2.MLR ณ วันที่​ 18 สิงหาคม 2563 เท่กับ​ 6.525% ต่อปี 3.เลือกทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ​(MRTA)ผ่านธนาคาร ทุนประกันภัยเท่ากับวงเงินกู้โดยมีระยะเวลาเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ปี กรณีที่ระยะเวลาการกู้ไม่ถึง 10 ปี ให้ระยะเวลาเอา​​​​​​ประกันภัยเท่ากับระยะเวลาการกู้ 4.กรณี Refinance ไปสถาบันการเงินอื่นก่อนครบ 3 ปี แรก คิดค่า​ Prepayment Penalty 3% ของเงินต้นคงค้าง 5.​กรณีเลือกใช้เงื่อนไขอัตราดอกเบี้ยแบบฟรีค่าจดจำนอง ​​หากลูกค้า Re-Finance หรือชำระปิดบัญชีก่อนระยะเวลาที่กำหนดไว้ ลูกค้าต้องชำระค่าจดจำนองที่ธนาคาร เคยสำรองจ่ายให้แก่ธนาคาร​ 6.ค่าประเมินหลักประกันเริ่มต้น 3,210 บาท  ค่าอากรแสตมป์ 0.05% ของวงเงินกู้ (สูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท) 7.เบี้ยประกันอัคคี ​เป็นไปตามที่บริษัทประกันภัยกำหนด ​โดยผู้กู้สามารถเลือกทำประกันกับบริษัทที่น่าเชื่อถือใดก็ได้ ​ a.อัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุด ต่อหลักประกัน 100% ของราคาซื้อขายจริง หรือราคาประเมินธนาคาร แล้วแต่ราคาใดต่ำกว่า ยกเว้นธนาคารมีกำหนดเงื่อนไขพิเศษอื่น ๆ สำหรับบางโครงการ อาจจะได้รับอัตราส่วนวงเงินกู้ยืมสูงสุดต่อหลักประกัน​ 100% b.ระยะเวลากู้สูงสุด ​30 ปี (อายุผู้รวมระยะเวลากู้ไม่เกิน 65 ปี สำหรับพนักงานเงินเดือนประจำ และไม่เกิน 70 ปี สำหรับเจ้าของกิจการ/ธุรกิจส่วนตัว) 6.ธนาคารซีไอเอ็มบี ธนาคารซีไอเอ็มบี สินเชื่อบ้าน โฮมโลนฟอร์ยู  ให้กับพนักงานประจำ ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ ผู้ประกอบการ และเจ้าของกิจการ  โดยคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เท่ากับเดือนที่ผ่านมา ซึ่งธนาคารซีไอเอ็มบี มีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ สำหรับพนักงานประจำ รายได้ 15,000 บาท หรือเจ้าของกิจการรายได้ 30,000 บาท ประเภททำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% (MRR-3.1%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.25% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 5.07% แบบไม่ทำประกันชีวิต ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.55% (MRR-2.8%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.15% หมายเหตุ -สำหรับซื้อบ้านและคอนโดจากโครงการทั่วไป -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินกู้ 2 ล้านบาท ระยะเวลากู้ 15 ปี (MRR=7.35% ประกาศ ณ วันที่ 9 ธันวาคม 2564) -ธนาคารยังมีอัตราดอกเบี้ยสำหรับพนักงานประจำรายได้ 30,000-50,000 หรือเจ้าของกิจการรายได้ 50,000 บาทขึ้นไปไว้พิจารณาด้วย รวมถึงสินเชื่อสำหรับโครงการที่ธนาคารเป็นผู้สนับสนุน 7.ธนาคารทีทีบี ธนาคารทีทีบี มีสินเชื่อบ้านใหม่ สำหรับการซื้อบ้านหรือคอนโดจากโครงการทั่วไป ภายใต้แคมเปญดอกเบี้ยพิเศษเริ่มต้นเฉลี่ย 3 ปีแรก 4.05% ต่อปี จะได้รับฟรีค่าเบี้ยประกันอัคคีภัย ค่าจดทะเบียนจำนอง และค่าประเมินหลักทรัพย์ ซึ่งอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 2 กันยายน ภายในเว็บไซต์ยังไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง เอกสารแสดงข้อมูลสำหรับผู้ยื่นกู้ภายในวันที่ 30 มิถุนายน จึงคาดว่าธนาคารยังคงใช้อัตราดอกเบี้ยเท่ากับช่วงที่ผ่านมา ​ดังนี้ สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ทางเลือก 1 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.05% (MRR-2.23%) หลังจากนั้น อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.05% ดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.46% ทางเลือก 2 (ฟรีค่าจดจำนอง) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.4% (MRR-1.88%) หลังจากนั้น 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 4.4% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.57% ทางเลือก 3 (ไม่สมัครผลิตภัณฑ์ครบ 3 รายการ) ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ย 4.65% (MRR-1.63%) ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 4.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา ดอกเบี้ย 4.65% รายละเอียดเงื่อนไข สมัครผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท ได้แก่ 1.สมัครประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ สไมล์โฮม หรือ สไมล์โฮม พลัส ​ 2.สมัครใช้บริการหักบัญชีอัตโนมัติผ่านบัญชีออมทรัพย์ ทีทีบี เพื่อผ่อนชำระสินเชื่อบ้าน 3.สมัครบัตรเดบิต ttb (กรณีที่คุณมีบัตรเดบิต ttb แล้ว ไม่ต้องสมัครเพิ่ม) กู้ซื้อบ้าน คอนโดใหม่ กับทีทีบี รับข้อเสนอพิเศษ ด้วยอัตราดอกเบี้ย ให้เลือก 2 แบบ ดังนี้ แบบที่ 1 สมัครพร้อมผลิตภัณฑ์เสริม 3 ประเภท -รับอัตราดอกเบี้ยพิเศษนาน 3 ปี -ฟรีประกันอัคคีภัยมูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรีค่าจดทะเบียนจำนอง 1% ของเงินกู้สูงสุดถึง 200,000 บาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง แบบที่ 2 สมัครผลิตภัณฑ์เสริมไม่ครบทั้ง 3 ประเภท​ -ฟรีประกันอัคคีภัย มูลค่าประมาณ 1,000 บาทต่อปี ต่อราคาบ้าน 1 ล้านบาท -ฟรี ค่าธรรมเนียมธนาคารของสินเชื่อบ้านทุกประเภท: ค่าประเมินราคาหลักทรัพย์, ค่าดำเนินการสินเชื่อ, ค่าทำนิติกรรม จำนอง หมายเหตุ -อัตราดอกเบี้ยค่าธรรมเนียมรวมถึงสิทธิพิเศษต่าง ๆ เป็นไปตามประกาศของธนาคาร การทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อบ้าน (MRTA) ไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อทำเพื่อประโยชน์หากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นกับผู้กู้ในขณะที่ยังชำระหนี้ไม่ครบถ้วน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงของผู้กู้และธนาคาร และไม่มีผลต่อการพิจารณาสินเชื่อ -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา คำนวณจากวงเงินสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย 3 ล้านบาท อายุสัญญา 20 ปี -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการพิจารณาอนุมัติวงเงินกู้และอัตราดอกเบี้ยตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของธนาคาร -ธนาคารขอสงวนสิทธิเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่แจ้งไว้ในเอกสารฉบับนี้ โดยไม่ ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -ในกรณีที่ธนาคารเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมในการจดทะเบียนจำนองหลักประกันแทนผู้กู้หากผู้กู้มีความประสงค์จะไถ่ถอนหลักประกันและชำระหนี้คืนทั้งหมดภายในระยะเวลา 5 ปี นับแต่วันเบิกใช้เงินกู้ ครั้งแรก ผู้กู้ตกลงคืนเงินค่าธรรมเนียมจดจำนองหลักประกันตามจำนวนเงินที่ธนาคารได้ช าระไปให้แก่ธนาคาร ในวันที่ผู้กู้ได้ชำระหนี้ทั้งหมดเสร็จสิ้น (ค่าธรรมเนียมจดจำนอง 1% สูงสุดไม่เกิน 200,000 บาท) -กค้าต้องสำรอง จ่ายค่าจดจำนองแก่กรมที่ดินก่อน โดยธนาคารจะโอนเงินคืนเข้าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ที่ลูกค้าใช้หักชำระค่างวดกับธนาคารภายใน 30 วันทำการนับจากวันที่ลูกค้าจดจำนอง -MRR = 6.28% ตามประกาศธนาคาร https://www.ttbbank.com/th/rates/loan-interest-rates -สำหรับลูกค้าที่ยื่นกู้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.65 ถึง 30 มิ.ย. 65 และจดจำนอง ภายใน 31 ก.ค.​65 -ข้อมูลในเว็บไซต์ธนาคาร ณ วันที่ 3 ส.ค.​65 8.ธนาคารไทยพาณิชย์ ธนาคารไทยพาณิชย์ มีสินเชื่อบ้านสำหรับลูกค้าทั่วไป โดยคิดอัตราดอกเบี้ย เท่ากับช่วงเดือนที่ผ่านมา  คิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ แบบไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.995% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.995% แบบทำประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ มากกว่าหรือเท่ากับ 70% ของวงเงินกู้ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 5.95% ปีต่อไป MRR = 5.995% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 5.95% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 5.983% หมายเหตุ -กรณีใช้ดอกเบี้ย​แบบทำประกัน​ Credit Life 70% กำหนดให้ทำทุนประกันไม่น้อยกว่า 70% ของวงเงินกู้และระยะเวลาเอาประกัน 70% ของระยะเวลากู้ตามสัญญา โดยกำหนดให้เอาระยะเวลาขั้นต่ำ 10  ปี (กรณีระยะเวลากู้ตามสัญญาต่ำ​10 ปี กำหนดให้ระยะเวลาเอาประกันเท่ากับระยะเวลากู้ตามสัญญา) ​-ประกันชีวิตคุ้มครองสินเชื่อ รับประกันภัยโดย บมจ. ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต บริษัทนเครือกลุ่มเอฟดับบลิวดี หากต้องการสอบถามรายละเอียด เกี่ยวกับการประกันภัยเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ ศูนย์บริการลูกค้า โท​ร. 1315 ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00 – 20.00 น. -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครอง เงื่อนไข ​​ก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุก​ ธนาคารเป็นเพียงนายหน้าผู้ชี้ช่อง หรือจัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันภัยเท่านั้น ​การพิจารณารับประกัน ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขการรับประกันภัย ของบริษัทประกันภัย -อัตราดอกเบี้ย MRR ของธนาคารไทยพาณิชย์ เท่ากับ 5.995% ต่อปี ​(ประกาศ ณ วันที่ 9 สิงหาคม 2564) ซึ่งอาจะเปลี่ยนแปลงได้ตามประกาศธนาคาร -อัตราดอกเบี้ยแท้จริงที่ระบุในตารางเป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในฉบับนี้เท่านั้น ​ซึ่งอาจะมีความแตกต่างกัน ตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีลูกค้าบอกเลือกประกันชีวิต หรือขอเวนคืนกรมธรรม์ หรือทำประกันไม่ครบกำหนดตามระยะเวลาที่กำหนดไว้ ​ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ยวงเงินกู้ เป็นอัตราดอกเบี้ยทั่วไป  ตามประกาศธนาคาร ระยะเวลากู้ตามสัญญา วงเงิน ระยะเวลาผ่อนชำระ อัตราดอกเบี้ย คุณสมบัติ เอกสารปรกอบการพิจารณา และการอนุมัติเป็นไปตามเงื่อนไข หลักเกณฑ์ที่ธนาคารกำหนด 9.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์  หรือ ธอส. มีสินเชื่อสำหรับการซื้อบ้านหลากหลายประเภท โดยประเภทสินเชื่อโครงการบ้าน ธอส. เพื่อคุณ ปี 2565 ​มีการคิดอัตราดอกเบี้ย ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากแคมเปญสิ้นสุดเดือนธันวาคม 2565  โดยมีดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ดังนี้ ปีที่ 1 อัตราดอกเบี้ย 3.15% ปีที่ 2 อัตราดอกเบี้ย 3.9% (MRR-2.25%) ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.75% (MRR-1.4%) หลังจากนั้น ดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญา  5.4% หมายเหตุ -ยื่นคำขอกู้และอนุมัติตั้งแต่วันที่ 2 ม.ค.-30 ธ.ค.65   (ธนาคารสงวนสิทธิ์ในการกำหนดระยะเวลาสิ้นสุดโครงการก่อนกำหนด หากธนาคารให้สินเชื่อเติมวงเงินของโครงการแล้ว) -อัตราดอกเบี้ย MRR = 6.15% ประกาศ ณ วันที่ 25 พฤษภาคม 2563 -ยกเว้น ค่าธรรมเนียมยื่นกู้ 0.1% ของวงเงินกู้และทุกบัญชีเงินกู้ภายใต้หลักประกันเดียวกัน 10.ธนาคารยูโอบี สำหรับธนาคารยูโอบี มีสินเชื่อบ้านสำหรับโครงการหมู่บ้านทั่วไป  โดยอัปเดตดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด ไม่มีการเปลี่ยนแปลงจากเดือนที่ผ่านมา โดยคิดอัตราดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน ดังนี้ ทางเลือก 1 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.55% (MRR-3.8%) อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.87% ทางเลือกที่ 2 ไม่ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 3.75% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย  3.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.95% ทางเลือกที่ 3 ทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย  4.95% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ดอกเบี้ย 3.65% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.88% ทางเลือกที่ 4 ไม่ทำประกันคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย 3.2% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 5.15% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.85% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 4.96% หมายเหตุ -ขอสินเชื่อตั้งแต่ 1  ก.ค.-30 ก.ย.65 และจดจำนองหลักประกันกับธนาคารภายใน 31 ต.ค. 65 -อัตราดอกเบี้ยแบบทำประกันชีวิตคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ ผ่านธนาคารยูโอบี >ทุนประกันเต็มวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันขั้นต่ำ 10 ปี หรือ >ทุนประกันขั้นต่ำ 80% ของวงเงินกู้ และมีระยะเวลาเอาประกันเต็มตามระยะเวลากู้ -อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 1 ล้านบาท อายุสัญญา 15 ปี MRR=7.35% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้น เป็นเพียงตัวอย่างที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในสื่อโฆษณาเท่านั้น อัตราดอกเบี้ยสำหรับการทำสัญญากู้ยืมของลูกค้าแต่ละรายอาจะมีความแตกต่างกันตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -กรณีไถ่ถอนจำนองเพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ​(Re-finance) ในช่วงระยะเวลา 3 ปีแรก นับจากวันที่กู้ จะมีค่าปรับ 3% ของยอดเงินต้นคงค้าง (เฉพาะวงเงินสินเชื่อที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดหาที่อยู่อาศัยเท่านั้น)​ -การอนุมัติสินเชื่อ​เป็นไปตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร​ -เพื่อเป็นข้อมูลเบื้องต้น อัตราดอกเบี้ย MRR ปัจจุบันเท่ากับ  7.35% ต่อปี ​(ตามประกาศธนาคารณ วันที่  9 ก.ค. 64) อนึ่ง ธนาคารสามารถประกาศปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ย​ MRR ได้ตามเกณฑ์ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดอนุญาตไว้​ -อัตราค่าธรรมเนียมและค่าบริการต่าง ๆ​เป็นไปตามประกาศที่ธนาคารจัดทำไว้  และประกาศให้ทราบตามระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยธนาคารอาจเปลี่ยนแปลงอัตราค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ได้โดยจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 30 วัน โดยการปิดประกาศไว้ ณ ที่ทำการ หรือเว็บไซต์ของธนาคาร​ -ธนาคารยูโอบีในฐานะนายหน้าประกันภัย ​(ใบอนุญาตประกันชีวิต​เลขที่ ช.00026/2545 และใบอนุญาตประกันวินาศภัย​ เลขที่ ว.00020/2546) ทำหน้าที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ด้านประกันภัยและเป็นผู้จัดการให้บุคคลเข้าทำสัญญาประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย และอำนวยความสะดวกในการรับชำระเบี้ยประกันเท่านั้น  รับประกันชีวิตโดยบริษัท พรูเด็นเชียลประกันชีวิต (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), รับประกันวินาศภัยโดย บริษัท ประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด (มหาชน), บริษัท แอกซ่าประกันภัย จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอ็ม เอส ไอ จี ประกันภัย (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ​จะเป็นผู้รับผิดชอบตามเงื่อนไข ความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ตามที่ได้ระบุไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย -ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนการตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง 11.ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีสินเชื่อเพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำเริ่มต้น 1.9% หรือผ่อนล้านละ 3,500 บาท โดยเดือนนี้ธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ มีการคิดอัตราดอกเบี้ยไม่เปลี่ยนแปลงจากช่วงเดือนที่ผ่านมา ดังนี้​ แบบที่ 1 ปีที่ 1-2 อัตราดอกเบี้ย  1.9% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.85% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี  2.55% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.54% แบบที่ 2 ปีที่ 1-2 ดอกเบี้ยคงที่ 2.0% ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 4.25% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.75% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.65% แบบที่ 3 ปีที่ 1-3 อัตราดอกเบี้ย 2.50% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.50% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.57% แบบที่ 4 ปีที่ 1-3 ดอกเบี้ยคงที่ 2.70% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.7% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงตลอดอายุสัญญา 3.69% เงื่อนไข กรณีลูกค้าเลือกทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร : 1.กรณีที่ลูกค้าทำประกัน MRTA/MLTA ผ่านธนาคาร ธนาคารทดรองจ่ายค่าจดจำนองให้ 1% ของวงเงินกู้อนุมัติ หรือ สูงสุดไม่เกิน 2 แสนบาท (ทั้งนี้ธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเรียกเก็บเงินทดรองจ่ายค่าจดจำนองดังกล่าวคืนจากลูกค้า กรณีลูกค้าปิดบัญชีสินเชื่อ หรือ เปลี่ยนแปลงสัญญาใด ๆ ภายใน 5 ปีแรก ทุกกรณี นับจากวันทำนิติกรรมจดจำนอง) 2.กรณีสมัครทำประกันชีวิต ต้องสมัครทำ MRTA/MLTA ทุนประกัน 100% ของวงเงินสินเชื่อ ระยะความคุ้มครองขั้นต่ำ 10 ปี หมายเหตุ -โครงการจัดสรรในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล เท่านั้น* -ราคาซื้อขายของหลักประกันต้องมีราคา (แนวราบ) ไม่น้อยกว่า 2.00 ล้านบาท , (แนวสูง) ไม่น้อยกว่า 2.50 ล้านบาท -ลูกค้าสามารถเลือกใช้อัตราการผ่อนชำระขั้นต่ำ ล้านละ 3,500 บาท  กรณีเลือกอัตราดอกเบี้ยคงที่** -ยกเว้น ค่าประเมินราคาหลักประกัน (โครงการจัดสรรทุกโครงการที่มีราคาซื้อขาย 2 ล้านบาทขึ้นไป)*** -ระยะเวลากู้สูงสุด 40 ปี รวมอายุผู้กู้ไม่เกิน 70 ปี**** -วงเงินกู้เพิ่มสูงสุด 10% จากสัญญาซื้อขาย เพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ ตกแต่งบ้าน อัตราดอกเบี้ย 1) ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.75% = 4.60% หรือ 2) ไม่ทำประกัน MRTA/MLTA : ปีที่ 1-3 : MRR – 2.25% = 5.10% , หลังจากนั้นปีที่ 4 เป็นต้นไป MRR = 7.35% ***** -อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง อัตราดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อที่อยู่อาศัยวงเงิน 3 ล้านบาท อายุสัญญา 10 ปี MRR = 7.35% (ณ 1 เม.ย. 64) ที่คำนวณตามเงื่อนไขที่ใช้ในโฆษณาฉบับนี้เท่านั้น ซึ่งอาจมีความแตกต่างตามเงื่อนไขการกู้ยืมของลูกค้าแต่ละราย -การพิจารณาคุณสมบัติของลูกค้าแต่ละรายให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามที่ธนาคารกำหนด -ธนาคารขอสงวนสิทธิ์การพิจารณาสินเชื่อ โดยอยู่ในดุลยพินิจของธนาคาร ทั้งนี้เงื่อนไขต่าง ๆเป็นไปตามประกาศธนาคาร โดยมิต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า -อัตราดอกเบี้ย และโปรโมชั่น (มีวงเงินสินเชื่อจำกัด) สำหรับลูกค้าที่ยื่นขอสินเชื่อ โดยเบิกรับเงินกู้ ตั้งแต่วันนี้- 30 ก.ย. 65 12.ธนาคารออมสิน ธนาคารออมสิน มีสินเชื่อเคหะ สำหรับให้บริการผู้ที่ต้องการกู้เงินเพื่อไปซื้อบ้านหรือคอนโด  โดยฟรีค่าบริการสินเชื่อ ค่านิติกรรมสัญญา ฟรีค่าธรรมเนียมการจดจำนอง และผ่อนต่ำ 6 เดือนแรก ล้านละ 4,000 บาทต่อเดือน ซึ่งข้อมูลยังเป็นการนำเสนอสำหรับยื่นกู้ภายในวันที่ 31 สิงหาคม อนุมัติและจัดทำนิติกรรมสัญญาภายใน 30 กันยายน 2565  โดยมีรายละเอียด ​ดังนี้​ กรณีทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 1.95% ลดลง 0.05% จากเดือนก่อนหน้าที่คิด 2.0% ปีที่ 2-3 อัตราดอกเบี้ย 2.875% ลดลง 0.025% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.9% ​ ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 2.5% ลดลง 0.1% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.6% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.085% ลดลง 0.041% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.126% กรณีไม่ทำประกัน ปีที่ 1 ดอกเบี้ย 2.20% ลดลง 0.05% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 2.25% ปีที่ 2-3 ดอกเบี้ย 3.625% เพิ่มขึ้น 0.1% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 3.525% ดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี 3.15% ลดลง 1.845% จากเดือนก่อนหน้าคิดดอกเบี้ย 4.995% อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง 4.327% เพิ่มขึ้น 0.017% จากเดือนก่อนหน้าที่คิดดอกเบี้ย 4.31% เงื่อนไขการผ่อนชำระ -ปีที่ 1 ผ่อนชำระ 2,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 2 ผ่อนชำระ 4,500 บาทต่อเดือน ปีที่ 3 ผ่อนชำระ 5,500 บาทต่อเดือน หมายเหตุ -การทำประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ เป็นการทำประกันชีวิตเพื่อคุ้มครองวงเงินสินเชื่อ โดยหลักเกณฑ์ เงื่อนไข เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด -เงื่อนไขการใช้อัตราดอกเบี้ยสินเชื่อตามโปรโมชั่น สมัครบริการ MyMo และผลิตภัณฑ์/บริการอื่น อย่างน้อย 2 ประเภท ได้แก่ บัตรอิเล็กทรอนิกส์/ บัตรเครดิตหรือสินเชื่อบัตรเงินสด/ ชำระสินเชื่อหักผ่านบัญชี/ หน่วยงานหักเงินนำส่งชำระหนี้ / จ่ายตรงเงินเดือน / ประกันชีวิตเพื่อประกันสินเชื่อ ทั้งนี้ หากลูกค้าใช้ผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นตามที่กำหนดอยู่แล้ว สามารถใช้อัตราดอกเบี้ยดังกล่าวได้ และกรณีไม่มี Smartphone ให้สมัครผลิตภัณฑ์ / บริการอื่นของธนาคารตามที่กำหนดทดแทนได้ -*กรณี ฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง ให้ตามที่จ่ายจริง (รวมทุกสัญญาที่กู้ในคราวเดียวกัน) โดยลูกค้าต้องสำรองจ่ายค่าธรรมเนียมจดจำนองแก่กรมที่ดิน ไปก่อน ทั้งนี้ กรณีจำนวนเงินที่จ่ายตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป ต้องเสียภาษี ณ ที่จ่าย ร้อยละ 1.00 ของเงินค่าจดจำนอง โดยธนาคารจะโอนเงินหลังหักภาษี ณ ที่จ่าย คืนเข้าบัญชีเงินฝากเผื่อเรียกของลูกค้าภายใน 30 วันทำการ นับจากวันที่จดจำนองแล้วเสร็จ -กรณีผู้กู้ชำระคืนเงินกู้ก่อนกำหนด เฉพาะกรณีไถ่ถอนจำนองก่อนครบกำหนด (Prepayment) เพื่อไปใช้บริการกับสถาบันการเงินอื่น ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้ต้องเสียค่าธรรมเนียมตามที่ธนาคารกำหนด (ปัจจุบันร้อยละ 3.00 ของยอดเงินต้นคงเหลือ) ทั้งนี้ กรณีฟรีค่าธรรมเนียมจดจำนอง หากผู้กู้ชำระหนี้ปิดบัญชีในทุกกรณี ภายในระยะเวลา 3 ปี นับแต่วันที่ทำสัญญากู้เงิน ผู้กู้จะต้องชำระค่าธรรมเนียมจดจำนองคืนแก่ธนาคารเต็มจำนวน -หลักเกณฑ์เงื่อนไขอื่นๆ ให้เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด โดยธนาคารขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์เงื่อนไข โดยไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า   หมายเหตุ Reviewyourliving รวบรวมข้อมูลจากเว็บไซต์ธนาคาร ณ​ วันที่ 3 กันยายน 2565     บทความที่เกี่ยวข้อง -อัปเดต ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนกรกฎาคม 2565 อัปเดต ดอกเบี้ยกู้ซื้อบ้าน และคอนโด เดือนสิงหาคม 2565
เปิดอินไซต์ตลาดอสังหาฯ ไทย ไตรมาส 2  กับ 7 ปัจจัยเสี่ยงยังกระทบธุรกิจปี 2565

เปิดอินไซต์ตลาดอสังหาฯ ไทย ไตรมาส 2 กับ 7 ปัจจัยเสี่ยงยังกระทบธุรกิจปี 2565

ตลาดอสังหาฯ ดูเหมือนว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ผ่านช่วงเวลาครึ่งปีแรกในปี 2565 ไปได้ด้วยดี หากดูจากผลการดำเนินงานของหลายบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ต่างก็มีรายได้และกำไรเติบโตตามเป้าหมายที่ได้วางเอาไว้ แสดงให้เห็นว่าตลาดอสังหาฯ ไม่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบมากเท่ากับช่วงปีที่ผ่านมา   โดยล่าสุด ทางศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) หรือ REIC ได้จัดทำดัชนีรวมตลาดหลักทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย) พร้อมกับรายงานสถานการณ์ตลาดอสังหาฯ ช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา รวมถึงวิเคราะห์ตลาดกับแนวโน้มในช่วงเวลาที่เหลือของครึ่งปีหลัง ว่าทิศทางธุรกิจอสังหาฯ ไทยในปีนี้ จะเติบโตดีขึ้น หรือแย่ลงกว่าช่วงที่ผ่านมา เพราะยังมีปัจจัยอีกสารพัดเข้ามากระทบกับธุรกิจ ภาวะตลาดอสังหาฯ ไตรมาส 2 ช่วงไตรมาส 2 ของปี 2565 ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยขยายตัว 2.5% จากการแถลงตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) โดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ถือว่าปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสแรก ที่มีการขยายตัว​ 2.3% ส่งผลให้ภาพรวมช่วงครึ่งแรกของปี 2565 เศรษฐกิจไทย ขยายตัว  2.4%   ขณะที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีความเห็นในทิศทางที่สอดคล้องกันคือ ในไตรมาสที่ 2 ปี 2565 เศรษฐกิจไทยปรับดีขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาสก่อน โดยการบริโภคภาคเอกชนปรับเพิ่มขึ้นจากหมวดบริการเป็นสำคัญ รวมถึงจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาดของโควิด​​-19 และมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ ส่งผลให้ภาคการค้าและภาคบริการฟื้นตัว และการลงทุนภาคเอกชนปรับดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ สอดคล้องกับการประเมินภาพรวมด้านการลงทุนในภาคพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย   ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ประเมินว่ากลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยที่ทำงานในภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี 2564 ทำให้เกิดกำลังซื้อใหม่ ๆ ผู้ประกอบการยังคงมีการออกโปรโมชั่น การลดราคาขาย การให้ของแถมอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการสร้างกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อการลงทุน แต่ทั้งนี้ ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องระมัดระวัง จากการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในช่วงครึ่งปีหลัง สภาวะการจ้างงานและการมีรายได้ของประชาชนในภาคการท่องเที่ยวและภาคบริการยังคงอยู่ในภาวะการฟื้นตัวช้า ภาวะหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับที่สูงถึงประมาณ 90% ของ GDP ทำให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางในกลุ่มอาชีพอิสระจะเข้าถึงสินเชื่อได้ยากเช่นเดียวกับช่วงปีที่ผ่านมา ภาวะการเพิ่มขึ้นของ NPL ของสถาบันการเงิน อาจจะส่งผลให้สถาบันการเงินระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อต่อไป ต้นทุนค่าก่อสร้างสูงขึ้น ทำให้ราคาที่อยู่อาศัยโครงการใหม่อาจจะมีการปรับราคาขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง   ดัชนีรวมฯ ไตรมาส 2 ลดลง 0.92% สำหรับดัชนีรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ (หมวดที่อยู่อาศัย) ในไตรมาส 2 ปี 2565 มีค่าดัชนีเท่ากับ 86.0 ปรับตัวลดลง 0.92% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าซึ่งมีค่าดัชนี 86.8 แต่เพิ่มขึ้น 13.3%  เมื่อเที่ยบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีค่าดัชนี 75.9   โดย REIC คาดว่าปี 2565 จะมีดัชนีรวมฯ จะอยู่ที่ 81.2 จุด เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ที่ผ่านมา 9.1% ในกรณีปรับตัวย่อลงเป็น Worst Case จะอยู่ที่  77.0 จุด ขยายตัว 3.4% หรือ อาจปรับตัวดีขึ้นกว่าที่คาดไว้เป็นกรณี Best Case จะอยู่ที่ 85.4 จุด ขยายตัว 14.7% การออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินลดลง ดร. วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่า เมื่อเข้าสู่ไตรมาส 2 ปี 2565 ภาคธุรกิจอสังหาฯ ยังคงต้องเผชิญกับทั้งปัจจัยลบซึ่งเป็นผลกระทบจากราคาน้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลให้ภาพรวมทั้งประเทศมีการขออนุญาตจัดสรรลดลง   โดย REIC พบการเปลี่ยนแปลงในส่วนของการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั่วประเทศ ณ ไตรมาส 2/2565 มีจำนวนทั้งสิ้น 156 โครงการ รวม 15,999 ยูนิต จำนวนโครงการลดลง​ 1.3% และจำนวนยูนิตลดลง 5.5%เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 ในจำนวนดังกล่าวประกอบด้วย บ้านเดียว 7,162 ยูนิต ทาวน์เฮ้าส์ 5,358 ยูนิต บ้านแฝด 3,054 ยูนิต ที่ดินจัดสรร 240 ยูนิต อาคารพาณิชย์ 158 ยูนิต หากพิจารณารายพื้นที่พบว่า พื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง 3 พื้นที่นี้มีจำนวนการออกใบอนุญาตจัดสรรเพิ่มขึ้น สำหรับแนวโน้มการออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั่วประเทศในปีนี้ คาดว่าจะมีประมาณ 72,497 ยูนิต โดยเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 5.8% ซึ่งมีจำนวน 68,540 ยูนิต ซึ่งเป็นปีที่มีการอออกใบอนุญาตจัดสรรต่ำที่สุดในรอบ 15 ปี นับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา แต่ก็ยังสูงกว่าปี 2549 ที่เกิดรัฐประหาร ซึ่งในปีนั้นมีการออกใบอนุญาตจำนวน 50,109 ยูนิต อย่างไรก็ตาม การออกใบอนุญาตจัดสรรที่ดินทั่วประเทศในปีนี้ อาจจะปรับขึ้นมากกว่าปีที่ผ่านมา หรือน้อยกว่าปีที่ผ่านมาก็ได้ ขึ้นอยู่กับปัจจัยบวกและปัจจัยลบต่า ๆ ที่จะมากระทบ แต่แนวโน้มความเป็นไปได้ การออกใบอนุญาตจะอยู่ในกรอบ -4.8%-16.4% โอนที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้น 9.0%  ด้านสถานการณ์ซัพพลายที่อยู่อาศัย จากข้อมูลการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยไตรมาส 2 ปี 2565 พบว่า มีจำนวนการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ  95,316 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2564  9.0% ซึ่งมีจำนวน  87,485 ยูนิต ประกอบด้วย  โอนกรรมสิทธิ์โครงการแนวราบ 70,426 ยูนิต โครงการอาคารชุด หรือคอนโดมิเนียมจำนวน 24,890 ยูนิต  มีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ 257,009 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 ซึ่งมีมูลค่า 240,048 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวเป็นมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์โครงการแนวราบ 192,392 ล้านบาท และโครงการคอนโด 64,617 ล้านบาท ทั้งนี้ ยูนิตและมูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยของทุกภาคเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น   สำหรับปี 2565 คาดว่าสถานการณ์การโอนกรรมสิทธิ์จะทรงตัว แต่ดีขึ้นกว่าปี 2564 เล็กน้อย เนื่องจากปัญหาเงินเฟ้อ ค่าครองชีพที่สูงขึ้น และอัตราดอกเบี้ยขาขึ้น ประกอบกับมีบ้านที่ทยอยสร้างเสร็จเข้ามาสู่ตลาดเพิ่มขึ้น โดยคาดว่าปี 2565 จะมียูนิตโอนกรรมสิทธิ์ประมาณ 349,253 ยูนิต เพิ่มขึ้นจากปี 2564   1.6% หรืออยู่ในช่วง  -9.9% ถึง 10.5% แนวราบจะเพิ่มขึ้น 1.8% หรืออยู่ในช่วง -8.4% ถึง 12.0% คอนโดจะเพิ่มขึ้น 1.1% หรืออยู่ในช่วง  -14.1% ถึง 6.1% ด้านมูลค่าคาดว่าปี 2565 จะมีมูลค่าโอนกรรมสิทธิ์ประมาณ 948,471 ล้านบาท จะเพิ่มขึ้นจากปี 2564 0.4% หรืออยู่ในช่ว -10.4% ถึง 9.9% แนวราบจะเพิ่มขึ้น 0.4% หรืออยู่ในช่วง  -9.7% ถึง 10.4% คอนโดจะเพิ่มขึ้น  0.6% หรืออยู่ในช่วง  -12.5% ถึง 8.6% ปัจจัยบวก-ลบ และสิ่งที่ต้องระวัง จากการประเมินสถานการณ์โดยภาพรวม โดยคาดการณ์ว่าในปี 2565 จะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ เพิ่มขึ้นมากกว่าปี 2564 บ้านแนวราบน่าจะได้รับการตอบรับจากผู้ซื้อมากกว่า ในขณะที่คอนโดจะค่อยๆ ฟื้นตัว เนื่องจากสต๊อกที่ลดลง และราคาที่ดินที่แพงขึ้นทำให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องสร้างคอนโดเพื่อให้สอดคล้องกำลังซื้อ ผู้ประกอบการฯ บ้านใหม่จะยังคงมีโปรโมชั่นส่วนลดและของแถมเพื่อจูงใจให้เกิดการจัดสินใจซื้อ แต่ไม่ลดราคามากเท่ากับปี 2564 เนื่องจากมีต้นทุนของการก่อสร้างที่สูงขึ้น ตลาดยังเป็นของผู้ซื้อ โดยสรุปในปีนี้ยังถือว่ามีปัจจัยบวก ที่ส่งผลดีต่อภาพรวมของตลาดอสังหาฯ ดังนี้ 3 ปัจจัยบวกในปี 2565 แม้ว่าในปีนี้จะมีปัจจัยลบมากมาย แต่ในมุมของปัจจัยบวก ที่จะเข้ามาส่งเสริมตลาดและช่วยกระตุ้นธุรกิจก็ยังมีให้เห็น ซึ่งทาง REIC มองว่า มี 3 ปัจจัยหลักดังนี้ 1.ขยายเวลามาตรการอสังหาฯ มาตรการกระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐ (ลดค่าธรรมเนียมการโอนและค่าจดจำนองเหลือ รวมถึง การขยายไปสู่บ้านมือสองด้วย) ยังคงมีผลถึงสิ้นปี 2565 2.มาตรการผ่อนปรน LTV มาตรการผ่อนปรน LTV ของ ธปท. จะช่วยให้มีการซื้อบ้านสัญญาที่ 2 และ 3 เพื่อการอยู่อาศัยและเพื่อการลงทุนมีโอกาสขยายตัวมากขึ้น 3.สภาพคล่องของแบงก์ยังสูง สภาพคล่องของธนาคารมีมากพอสำหรับสินเชื่อปล่อยใหม่ และเริ่มมีการแข่งขันการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยมากขึ้น 4.การฟื้นตัวของภาวะเศรษฐกิจ สภาพเศรษฐกิจภาพรวมของประเทศที่ค่อยๆ ฟื้นตัวจากมาตรการต่างๆ ของรัฐ และการเปิดประเทศ ซึ่งทำให้เศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจากภาคธุรกิจการค้าและการท่องเที่ยว 5.กลุ่มผู้ซื้อใหม่จากภาคอุตสาหกรรม กลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยที่ทำงานในภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกฟื้นตัวต่อเนื่องจากปี 2564 ทำให้เกิดกำลังซื้อใหม่ๆ 6.ดีเวลลอปเปอร์อัดโปรโมชั่นต่อเนื่อง ผู้ประกอบการยังคงมีการออกโปรโมชั่น การลดราคาขาย การให้ของแถมต่างๆ ต่อเนื่อง รวมถึงการสร้างกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยเพื่อการลงทุน 7 ปัจจัยเสี่ยงในปี 2565 ขณะเดียวกันปัจจัยเสี่ยงในเป็นเสมือนเหรียญอีกด้านของปัจจัยเสี่ยง ที่มักจะมาคู่กันเสมอ โดยในปีนี้ยังคงมีหลายปัจจัยเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง และติดตามสถานการณ์ เพราะสามารถเข้ามามีผลกระทบกับตลาดอสังหาฯ และธุรกิจในภาพรวมได้เช่นกัน ดังนี้ 1.ดอกเบี้ยขาขึ้น อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง 2.โควิดยังระบาดต่อเนื่อง การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด - 19 ยังคงมีผลในการฉุดรั้งการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ แม้ว่าความรุนแรงจะลดลง 3.การขาดแคลนแรงงาน อาจจะส่งผลให้การก่อสร้างล่าช้า และอาจทำให้แผนการส่งมอบล่าช้า ซึ่งอาจจะส่งผลต่อการระบาย backlog ของผู้ประกอบการ นอกจากนี้ การมีรายได้ของประชาชนในภาคการท่องเที่ยวและภาคบริการยังคงอยู่ในภาวะการฟื้นตัวช้า ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ 4.การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจต่ำ ที่อาจจะได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อ จากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น จะทำให้ค่าครองชีพสูงขึ้น และส่งผลต่อความต้องการซื้ออสังหาฯ ได้ ภาวะหนี้ครัวเรือนอยู่ในระดับที่สูงถึงประมาณ 90% ของ GDP ทำให้กลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางในกลุ่มอาชีพอิสระจะเข้าถึงสินเชื่อได้ยากเช่นเดียวช่วงปีที่ผ่านมา 5.การ Refinance เพิ่มขึ้น ภาวะการเพิ่มขึ้นของ NPL ของสถาบันการเงิน อาจจะส่งผลให้สถาบันการเงินระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อต่อไป และหากมีการเกิด NPL เพิ่มขึ้น สถาบันการเงินอาจจะมีนโยบายสินเชื่อที่เข้มงวดต่อในปี 2565 จะส่งผลต่อกลุ่มผู้ซื้อที่อยู่อาศัยที่มีความไม่แข็งแรงในสถานะการเงิน แต่อาจจะมีการขยายตัวของการ Refinance เพิ่มขึ้น 6.บ้านมือสองแย่งตลาดบ้านใหม่ ต้นทุนค่าก่อสร้างแพงขึ้น ทำให้ราคาที่อยู่อาศัยโครงการใหม่อาจจะมีการปรับราคาขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง  ซึ่งอาจจะทำให้บ้านมือสอง อาจจะเป็นสินค้าทดแทนบ้านใหม่ ผู้ประกอบการบ้านใหม่ ต้องให้ความสนใจศึกษาตลาดก่อนการพัฒนา 7.สงครามยังไม่สงบ กลุ่มนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เป็นกำลังซื้อคอนโดยังคงเข้ามาในประเทศน้อยจากผลกระทบของโควิด-19 และสงครามระหว่างยูเครนและรัสเซียทำให้ความต้องการซื้อคอนโดในภาพรวมฟื้นช้า 3 ปรากฎการณ์ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2565 1.การเพิ่มขึ้นของดอกเบี้ย อัตราดอกเบี้ยที่ทยอยปรับเพิ่มขึ้นในไตรมาส 3 และไตรมาส 4 คาดว่าจะปรับเพิ่มขึ้นในกรอบ 0.25-0.5 บาท ซึ่งจะทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยในดภาพรวมมีการปรับตัวลงเล็กน้อยในไตรมาส 3 และค่อยปรับตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาส 4 (ในไตรมาส 1 และไตรมาส 2 มีการขยายของตลาดที่สูงกว่าระดับคาดการณ์ปกติ -ซึ่งเป็นกรณี Best Case) ซึ่งจะมีผลให้ไตรมาส 3 ปรับตัวย่อลง 2.คอนโดเปิดเพิ่มมากขึ้น ที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ประเภทคอนโดกลับมามีสัดส่วนของจำนวนยูนิตเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับก่อนเกิดการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 (ประมาณ​40%) ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่ไม่เกิน 3 ล้านบาท สัดส่วนเกือบ 80% แต่มีข้อสังเกตว่า คอนโด 10 ล้านบาทขึ้นไปมีสัดส่วนของมูลค่าประมาณเกือบ 50% 3.บ้านแพงครองตลาดส่วนใหญ่ จำนวนที่อยู่อาศัยประเภทบ้านจัดสรรมีสัดส่วนประมาณ 40% แต่มีสัดส่วนมูลค่าในตลาดถึง 60% แต่มีข้อสังเกตว่ามีการพัฒนาที่อยู่อาศัยราคาแพงอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยบ้าน 10 ล้านบาทขึ้นไปมีสัดส่วนวของมูลค่าประมาณเกือบ 70%   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -เปิด ยอดขายบ้าน-คอนโด เจ้าไหนทำได้เยอะสุด ใน 6 เดือนแรกปี 65 -ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ แนะตลาดบ้าน-คอนโด ต้องต้องเฝ้าระวัง  5 เรื่องนี้
สรุปไทม์ไลน์ 25 ปี มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ  จากวิกฤตต้มยำกุ้งถึงพิษโควิด-19  ตอนที่ 3

สรุปไทม์ไลน์ 25 ปี มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ จากวิกฤตต้มยำกุ้งถึงพิษโควิด-19  ตอนที่ 3

มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ หลังจากประเทศได้ผ่านพ้นวิกฤติเศรษฐกิจ และพิษการเมืองต่าง ๆ ก็เข้าสู่การฟื้นฟูประเทศ การกระตุ้นเศรษฐกิจ และเพิ่มขีดความสามารถของประเทศ เพื่อการแข่งขันกับต่างชาติ รวมถึงการพยายามดึงดูดให้ชาวต่างชาติเข้ามาลงทุนในประเทศไทย ด้วยหลากหลายวิธีการ หนึ่งในอุตสาหกรรมสำคัญ ที่มักจะถูกใช้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็คงเป็นอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ เพราะมีขนาดใหญ่และสามารถดึงเม็ดเงินได้จำนวนมหาศาล   ทศวรรษที่ 3 ของมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ​ กับเริ่มต้นปี 2561 ดูเหมือนตลาดกำลังไปได้สวย ตลาดอสังหาฯ โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมเติบโตดีมาก ต่างชาติสำคัญอย่างจีน เข้ามาซื้อ และบางส่วนก็เข้ามาลงทุนพัฒนาร่วมกับคนไทย ความร้อนแรงของตลาดคอนโด จึงทำให้หน่วยงานภาครัฐเป็นห่วงว่าจะเกิดฟองสบู่ในธุรกิจอสังหาฯ  จากการมีกลุ่มลูกค้าเก็งกำไร หลังจากนั้นในช่วงปี 2562 ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จึงต้องออกใช้มาตรการ LTV เบรกไม่ให้ธุรกิจอสังหาฯ ร้อนแรงเกินไป   ทศวรรษนี้ ตลาดอสังหาฯ ยังต้องเผชิญกับภาวะการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการอยู่อาศัยสำหรับคนยุคปัจจุบัน รวมถึงแนวทางการพัฒนาอสังหาฯ ของผู้ประกอบการที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ   ในบทความนี้ ก็จะมาสู่ตอนที่ 3 วิฤกตโควิด สู่ชีวิต New Normal ของ​ สรุปไทม์ไลน์ 25 ปี มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ จากวิกฤตต้มยำกุ้งถึงพิษโควิด-19 ที่แม้ว่าจะผ่านมาแค่ครึ่งทศวรรษ แต่ธุรกิจอสังหาฯ ก็ต้องได้รับการกระตุ้น และพยุงให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปด้วยมาตารการและเครื่องมือต่าง ๆ โดยมีมาตรการสำคัญตามไทม์ไลน์ที่ได้สรุปมาให้แล้ว ปี 2561 รัฐบาลมีนโยบายต้องการให้ประชาชนได้มีบ้านเป็นของตนเอง โดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย คนวัยทำงาน คนที่เริ่มต้นสร้างครอบครัว รวมถึงผู้สูงอายุ  ที่ประชุมครม. จึงได้มีมติให้ ​ ธอส. จัดทำ "โครงการบ้านล้านหลัง" ภายใต้วงเงิน รวม 60,000 ล้านบาท  ซึ่งระยะแรก ธอส.เตรียมวงเงินสินเชื่อไว้ 50,000 ล้านบาท มีเงื่อนไขกำหนดราคาที่อยู่อาศัยไม่เกินยูนิตละ 1 ล้านบาท ให้เวลาผ่อนชำระสูงสุดไม่เกิน 40 ปี โดยคิดดอกเบี้ยต่ำเป็นพิเศษ แบ่งเป็น ​ 2 กรณี   -หากมีรายได้ไม่เกินเดือนละ 25,000 บาท จะคิดดอกเบี้ยคงที่ 5 ปี ในอัตรา 3% จากนั้นจะคิดดอกเบี้ยถ้าเป็นรายย่อยคือ MRR- 0.75% หากเป็นสินเชื่อสวัสดิการคิด MRR-1% และถ้าเป็นสินเชื่อเพื่อซื้ออุปกรณ์จะคิดดอกเบี้ยอัตราเท่ากับ MRR -หากผู้มีรายได้น้อยมีรายได้เกินเดือนละ 25,000 บาท จะคิดดอกเบี้ยคงที่ 3 ปี ในอัตรา 3% จากนั้นรายย่อยคิด MRR-0.5% หากเป็นสินเชื่อสวัสดิการคิดดอกเบี้ย MRR-1% หากเป็นสินเชื่อเพื่อซื้ออุปกรณ์ คิดดอกเบี้ย MRR   ธอส. เริ่มโครงการภายในเดือนธันวาคม 2561 โดยจะเปิดให้ประชาชนจองสิทธิ์สินเชื่อหรือ จองสิทธิ์สินเชื่อเพื่อเลือกซื้อทรัพย์ที่พร้อมเข้าอยู่อาศัยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2562 จำนวนกว่า 30,000 ยูนิต ปี 2562 เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม​ 2562 ครม. ได้เห็นชอบมาตรการด้านอสังหาฯ โดยออกมาตรการลดค่าธรรมเนียม จดทะเบียนการโอน จากเดิม 2% และลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาฯ จาก 1% เหลือ 0.01% สำหรับซื้อที่อยู่อาศัยราคา​ไม่เกิน 3 ล้านบาท ซึ่งต้องมีการจดทะเบียนการโอน การจดจำนองในคราวเดียวกัน เริ่มตั้งแต่วันที่ประกาศกระทรวงมหาดไทยจนถึงวันที่ 24 ธันวาคม 2563   ด้านกระทรวงการคลังยังมีมาตรการกระตุ้นภาคอสังหาฯ ​ด้วยการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินที่ซื้อที่อยู่อาศัยในราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท สามารถนำเงินที่ซื้อจริงมาลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 200,000 บาท โดยจะต้องโอนที่อยู่ให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 30 เมษายน-31 ธันวาคม 2562  บ้านที่ซื้อต้องไม่เคยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านมาก่อนหรือเป็นบ้านหลังแรก และเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 5 ปี   นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังมีโครงการบ้านในฝัน รับปีใหม่ ​ซึ่งเป็นโครงการสำหรับประชาชนที่สนใจซื้อที่อยู่อาศัยในราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ภายใต้แคมเปญ ซื้อปุ๊บ โอนปั๊บ รับทันที 3 สิทธิพิเศษ โดยสิทธิที่ 1 กู้ ธอส. ดอกเบี้ยคงที่ 2.5% นาน 3 ปี วงเงิน 50,000 ล้านบาท  สิทธิที่ 2 ฟรีค่าโอนและค่าจดจำนอง และสิทธิที่ 3 รับโปรโมชั่นลดแลกแจกแถม พร้อมส่วนลดสุดพิเศษจากโครงการที่เข้าร่วม   ส่วนวันที่ 26 พฤศจิกายน​ 2562  ครม. ยังมีมติเห็นชอบมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อเป็นของขวัญให้กับประชาชนในช่วงปลายปี กับโครงการบ้านดีมีดาวน์ ด้วยการช่วยค่าผ่อนดาวน์ให้กับผู้ซื้อบ้าน จำนวน 50,000 บาทต่อราย จำนวน 100,000 รายที่เข้าร่วมโครงการ ปี 2563 ในปี 2563 ธปท.  ได้มีการปรับใช้มาตรการกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย หรือ​อัตราส่วนสินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน ​(LTV : Loan to Value: LTV)  ใหม่อีก​ครั้ง​ ด้วยการให้ผู้กู้ซื้อบ้านหลังแรกที่มีราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งกู้ได้ 100% อยู่แล้ว สามารถกู้เพิ่มได้อีก 10% ของมูลค่าบ้าน เพื่อใช้ในการตกแต่ง ซ่อมแซม หรือต่อเติม เพราะที่ผ่านมามีการกู้ยืมสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีดอกเบี้ยแพงมาใช้ในส่วนนี้ ทำให้คาดว่าค่าใช้จ่ายโดยเฉลี่ยจะปรับลดลงประมาณ 2,000 บาทต่อเดือน สำหรับการกู้บ้านหลังแรกที่มีราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป กำหนดให้วางดาวน์น้อยลงจาก 20% เป็น 10% ของราคาบ้านด้วย ซึ่งการปรับมาตรการ LTV ใหม่ครั้งนี้ มีผลทันทีตั้งแต่ 20 มกราคม 2563   หลังจากก่อนหน้านี้ ธปท. ได้ออกประกาศใช้มาตรการ LTV ​หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเป็น “การกำหนดเงินดาวน์ขั้นต่ำ” ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา เพื่อลดความร้อนแรงของตลาดที่อยู่อาศัยมีทั้งในเรื่องเงินทอน และเก็งกำไร เสี่ยงเกิดผลกระทบต่อระบบการเงินและเศรษฐกิจไทย ได้ส่งผลให้กลุ่มนักเก็งกำไร หรือกลุ่มผู้ลงทุนบางส่วนหายออกไปจากตลาด เพราะธปท. กังวลว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดกับระบบเศรษฐกิจได้ หรือเกิดปัญหาฟองสบู่แตก   โด่ย​ ธปท.ได้ติดตามผล การรับฟังข้อเสนอแนะจากภาคส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจว่ามาตรการที่ออกไปมีความเหมาะสมและเป็นไปตามวัตถุประสงค์ คือ ช่วยดูแลการเก็งกำไร ขณะเดียวกันก็ไม่ส่งผลกระทบต่อภาคประชาชนที่มีความต้องการซื้อบ้านที่อยู่อาศัยจริงโดยเฉพาะบ้านหลังแรก และพร้อมปรับมาตรการหากพบว่าไม่เป็นตามวัตถุประสงค์ หรือส่งผลข้างเคียงที่มากเกินควร ซึ่ง ธปท. ได้มีการผ่อนเกณฑ์การกู้ร่วมไปแล้วครั้งหนึ่งในเดือนสิงหาคม 2562 ที่ผ่านมา เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบของผู้กู้ร่วมที่ไม่ได้มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย ให้ได้รับสินเชื่อตามความเหมาะสม   ด้านธอส. ได้จัดทำ “โครงการบ้าน ธอส. เราไม่ทิ้งกัน” อัตราดอกเบี้ย 1.99% ต่อปี คงที่นานถึง 2 ปีแรก ปีที่ 3 อัตราดอกเบี้ย 3.75% ต่อปี ปีที่ 4 อัตราดอกเบี้ย MRR-2% ต่อปี (ปัจจุบันอัตราดอกเบี้ย MRR ธอส.เท่ากับ 6.150% ต่อปี) หลังจากนั้นอัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด เพื่อสนับสนุนนโยบายรัฐบาล ร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจ สร้างโอกาสให้ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ได้มีบ้าน โดยเตรียมวงเงินไว้ 20,000 ล้านบาท   โดยจะให้กู้สำหรับบุคคลในครอบครัวของประชาชน ที่ได้รับสิทธิตามโครงการเราไม่ทิ้งกันของรัฐบาล (มาตรการเงินเยียวยา 5,000 บาท) หรือบุคคลในครอบครัวของลูกค้า ธอส.ที่ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการบรรเทาผลกระทบจากปัญหาโควิด-19 ทั้ง 10 มาตรการ วงเงินให้กู้ไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อหลักประกัน เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ขยาย ซ่อมแซม และซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อประโยชน์ในการอยู่อาศัย  ผู้กู้ยังได้รับสิทธิพิเศษ ​ยกเว้นค่าธรรมเนียมการยื่นกู้ และคิดค่าประเมินราคาหลักประกันอัตราพิเศษ ผ่อนชำระได้นานสูงสุด 40 ปี โดยยื่นคำขอกู้และทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563   คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) มีมติให้การส่งเสริม “กิจการที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย” โดยให้ได้รับสิทธิประโยชน์เฉพาะการยกเว้นภาษี เงินได้นิติบุคคล เป็นระยะเวลา 3 ปี เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการสร้างที่อยู่อาศัยที่มีคุณภาพดี โดยมีหลักเกณฑ์ อาทิ ​ กรณีอาคารชุดต้องมีพื้นที่ใช้สอยต่อหน่วยไม่น้อยกว่า 24 ตารางเมตร กรณีบ้านแถวหรือบ้านเดี่ยว ต้องมีพื้นที่ใช้สอยต่อหน่วยไม่น้อยกว่า 70 ตารางเมตร โดยมีราคาขายต่อหน่วย ไม่เกิน 1.2 ล้านบาท (รวมค่าที่ดิน) กรณีที่ตั้งอยู่ในจังหวัดกรุงเทพฯ ​นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร และไม่เกิน 1 ล้านบาท (รวมค่าที่ดิน) ในกรณีตั้งในจังหวัดอื่นๆ เป็นต้น โดย​โครงการต้องได้รับความเห็นชอบจากธอส.ก่อนยื่นขอรับการส่งเสริมซึ่งกำหนดให้ยื่นคำขอภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2563 ปี 2564 ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังมีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รัฐบาลได้มีการขยายระยะเวลามาตรการลดค่าโอน ค่าจดจำนอง ต่อเนื่องไปสิ้นสุด ธันวาคม 2564   หลังกระทรวงมหาดไทยออกประกาศกระทรวงมหาดไทย ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2564 รวม 2 ฉบับ กำหนดให้ลดหย่อนค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนโอน และจดทะเบียนจำนองเหลือ 0.01% สำหรับกรณีการโอนและการจำนองอสังหาฯ ​ที่ดินพร้อมอาคารที่อยู่อาศัยประเภท บ้านเดี่ยว บ้านแฝด บ้านแถว หรืออาคารพาณิชย์ จากผู้จัดสรรที่ดินตามกฎหมายว่าด้วยการจัดสรรที่ดิน หรือที่ดำเนินการจัดสรรที่ดินโดยทางราชการ หรือองค์การของรัฐบาล ราคาซื้อขายไม่เกิน 3 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 3 ล้านบาท  และกรณีการโอนและการจำนองห้องชุดในอาคารชุด จากผู้ประกอบการที่ขอจดทะเบียนอาคารชุด ราคาซื้อขายไม่เกิน 3 ล้านบาท และวงเงินจำนองไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยให้มีผลตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษา หรือวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564 ตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2564   ธปท.ได้ผ่อนคลายเกณฑ์มาตรการ  LTV เป็นการชั่วคราว โดยขยายเพดานขอสินเชื่อที่อยู่อาศัยได้ถึง 100% กู้เงินได้เต็มมูลค่าหลักประกัน ไม่ต้องมีเงินดาวน์ ครอบคลุมทุกกลุ่มทั้งบ้านใหม่ บ้านมือสอง รีไฟแนนซ์ และสินเชื่อเพิ่มเติมด้วย ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม​ 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565   มาตรการ LTV ของเดิม หากเป็นบ้านหลังแรกมีมูลค่าไม่เกิน 10 ล้านบาท จะปล่อยสินเชื่อ 100% แต่เกิน 10 ล้านบาท ปล่อยไม่เกิน 90% ส่วนบ้านหลังที่ 2 ปล่อยสินเชื่อ 80-90% ขณะที่บ้านหลังที่ 3 ขึ้นไปจะปล่อยสินเชื่อ 70% ของมูลค่าหลักประกัน ทำให้ในส่วนที่เหลือจะต้องมีเงินดาวน์ ปี 2565 ครม.ได้มีการขยายระยะเวลามาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์และนิติกรรมจาก 2% เหลือ 0.01% ค่าจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01%  ออกไปอีก 1 ปี  โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 18 มกราคม 2565 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ครอบคลุมที่อยู่อาศัยประเภทบ้านมือสอง/ปรับปรุงโครงสร้างหนี้นอกจากบ้านใหม่เพื่อกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯ ให้เติบโตได้ต่อไป   เมื่อปี 2563  ธปท. ได้มีการปรับปรุงมาตรการ LTV ที่ให้ซื้อบ้านหลังแรก ราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท สามารถกู้เพิ่มได้อีก 10% ของมูลค่าบ้านสำหรับใช้เป็นค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการเข้าอยู่อาศัย เช่น การซื้อเฟอร์นิเจอร์ตกแต่งบ้าน  และกรณีซื้อบ้านหลังที่ 2  ให้วางดาวน์ขั้นต่ำที่ 10% หากผ่อนหลังแรกมาแล้ว 2 ปีขึ้นไป จากเดิมต้องผ่อนหลังแรกมาแล้ว 3 ปี   นอกจากนี้ กรณีของการกู้ร่วม หากผู้กู้ร่วมไม่มีกรรมสิทธิ์ในที่อยู่อาศัย จะยังไม่นับสัญญานั้นว่าเป็นสัญญาของผู้กู้ร่วม ซึ่งธปท. เห็นว่าภาวะเศรษฐกิจโดยรวมยังได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จึงมีการผ่อนคลายมาตรการ LTV ชั่วคราว สำหรับสัญญาเงินกู้ที่ทำตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2564  ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565   โดยผ่อนคลายมาตรการ LTV ชั่วคราว ด้วยการกำหนดให้ LTV เป็น 100%  หรือสามารถกู้ได้ 100% นั่นเอง ทั้งในส่วนของบ้านราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 2 เป็นต้นไป และบ้านราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป ตั้งแต่สัญญากู้หลังที่ 1 เป็นต้นไป   อย่างไรก็ตาม ในส่วนของมาตรการ LTV มีข้อเรียกร้องจากภาคเอกชนและผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ให้ขยายระยะเวลาของมาตรการออกไปจนถึงสิ้นปี 2566 แต่เรื่องดังกล่าวยังต้องรอนำเสนอมเข้าสู่ครม.ให้อนุมัติเห็นชอบในหลักการอีกครั้ง   ด้านกรมธนารักษ์ได้เลื่อนการประกาศใช้ราคาประเมินที่ดินและสิ่งปลูกสร้างใหม่ออกไปอีก 1 ปี  โดยจะประกาศราคาใหม่วันที่ 1 มกราคม 2566 ทำให้ราคาประเมินที่ใช้ในปี 2565 ยังเป็นราคาประเมินในรอบปี 2559 – 2562 อยู่ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชน และธุรกิจ จากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และผลกระทบจากไวรัสโควิด-19   นอกจากนี้ ยังมีมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ในกลุ่มนักลงทุนต่างชาติ ด้วยกการให้ต่างชาติสามารถซื้อที่อยู่อาศัยในพื้นที่ 1 ไร่ได้ หากเข้ามาลงทุนในประเทศไทยด้วยมูลค่าการลงทุนตั้งแต่ 40 ล้านบาท ซึ่งในแนวทางนี้ยังอยู่ระหว่างการนำเสนอเข้าครม.เพื่อพิจารณาเห็นชอบในหลักการเช่นกัน   ทั้งหมดนี้ ก็คือมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาฯ ที่มีออกมาอย่างต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 25 ปี โดยเชื่อว่า ในปีต่อ ๆ ไป รัฐบาลยังคงต้องหาแนวทางและมาตรการอีกหลายอย่าง ออกมาเพื่อทำให้ตลาดอสังหาฯ ยังคงเติบโตต่อไปได้ เพราะอุตสาหกรรมอสังหาฯ เป็นหนึ่งในตัวกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศได้เป็นอย่างดี ส่วนในอนาคตจะมีมาตรการอะไรออกมาบ้าง เราจะมาอัปเดตให้อย่างต่อเนื่อง   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -สรุปไทม์ไลน์ 25 ปี มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ จากวิกฤตต้มยำกุ้งถึงพิษโควิด-19 ตอนที่ 1 -สรุปไทม์ไลน์ 25 ปี มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ จากวิกฤตต้มยำกุ้งถึงพิษโควิด-19 (ตอนที่ 2)
พาไปดู โปรเจ็กต์หมื่นล้าน “ไวส์พาร์ค มีนบุรี”  มิกซ์ยูสใหญ่สุดของ แอสเสทไวส์ ในรอบ 10 ปี

พาไปดู โปรเจ็กต์หมื่นล้าน “ไวส์พาร์ค มีนบุรี” มิกซ์ยูสใหญ่สุดของ แอสเสทไวส์ ในรอบ 10 ปี

ไวส์พาร์ค แอสเสทไวส์ ปั้นโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส์ หมื่นล้าน ใหญ่สุดรอบ 10 ปี เจาะพื้นที่ มีนบุรี รองรับเส้นทางรถไฟฟ้า 2 สาย “ชมพู-เหลือง” ประเดิม “แอทโมซ โฟลว์ มีนบุรี” มูลค่า​ 1,350 ล้าน พร้อมวางโรดแมปพัฒนาจบใน 6 ปี กับ 4,500 ยูนิตที่พักอาศัย   ถ้าย้อนดูโครงการที่บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) พัฒนามาตลอดระยะเวลา 9 ปี นับตั้งแต่ก่อตั้งธุรกิจในปี 2556 โครงการที่นับมีขนาดใหญ่พื้นที่ใหญ่สุด และมูลค่ามากที่สุด ก็คือ โครงการเคฟทาว์ รังสิต ด้วยมูลค่าโครงการรวม 9,100 ล้านบาท มีจำนวนยูนิตรวม 5,000 ยูนิต บนเนื้อที่ 60 ไร่ จากจำนวนโครงการที่พัฒนามาทั้งสิ้น 44 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 46,700 ล้านบาท   แต่ก้าวขึ้นสู่ปีที่ 10 ในปี 2565 แอสเซทไวส์ ก็ได้พัฒนาโครงการที่มีมูลค่ามากที่สุดในประวัติศาสตร์การดำเนินธุรกิจ กับ “ไวส์พาร์ค มีนบุรี” (WISEPARK Minburi) โครงการมิกซ์ยูส ขนาดใหญ่บนพื้นที่ 33 ไร่ ย่านมีนบุรี มูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท หลังจากได้ซื้อที่ดินมาในช่วง 2 ปีก่อนหน้านี้ นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร แอสเซทไวส์ เล่าว่า ได้ตัดสินใจซื้อที่ดินแปลงนี้มา ซึ่งมีขนาดใหญ่แต่อยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ เพราะอยู่ใกล้สถานนีรถไฟฟ้าสายสีชมพู สถานีตลาดมีนบุรี และรถไฟฟ้าสายสีส้ม สถานีมีนบุรี  และมองเห็นศักยภาพของที่ดิน ในการพัฒนาโครงการให้เป็นรูปแบบมิกซ์ยูส เพราะมีประสบการณ์การพัฒนาในรูปแบบดังกล่าวมาแล้ว จากโครงการเคฟทาวน์รังสิต ที่ได้กระแสตอบรับที่ดี ไวส์พาร์ค มีนบุรี โปรเจ็กต์หมื่นล้าน สำหรับโครงการไวส์พาร์ค มีนบุรี จะมีมูลค่ารวม 10,000 ล้านบาท ประกอบไปด้วยโครงการคอนโดมิเนียม ทั้งรูปแบบโลว์ไรส์ และไฮไลท์ คอมมูนิตี้มอลล์ พื้นที่อาคารสำนักงานให้เช่า และพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่ ซึ่งในโครงการจะแบ่งการพัฒนาออกเป็นเฟส ใช้ระยะเวลาการพัฒนาและก่อสร้างประมาณ 6 ปี ซึ่งภายในโครงการมีรายละเอียดดังนี้ 1.”มิงเกิ้ล มีนบุรี” คอมมูนิตี้ มอลล์ บริเวณด้านหน้าโครงการฝั่งซ้ายมือเมื่อหันหน้าเข้าโครงการ จะถูกพัฒนาเป็นคอมมูนิตี้มอลล์  “มิงเกิ้ล มีนบุรี”  ขนาดพื้นที่อาคาร 8,857 ตร.ม. มูลค่าโครงการประมาณ 300 ล้านบาท คาดว่าจะเปิดให้บริการได้ในปีหน้า ภายในคอมมูนิตี้มอลล์ จะประกอบด้วยร้านอาหาร ร้านค้า และร้านสะดวกซื้อต่าง ๆ อาทิ สุกี้ตี๋น้อย โลตัส โก เฟรช เป็นต้น   ส่วนบริเวณด้านหน้าฝั่งขวามือ ปัจจุบัน คือ  ไวส์พาร์ค พาวิลเลี่ยน ซึ่งเป็นสำนักงานขายของโครงการ ที่ออกแบบและพัฒนาให้มีพื้นที่สีเขียวบนอาคาร ซึ่งทำให้สามารถใช้เป็นสวนส่วนกลางสำหรับลูกบ้าน หรือคนในชุมชนใกล้เคียงได้ทั้งปัจจุบันและในอนาคตด้วย ขณะที่ทั้งโครงการมีพื้นที่สีเขียวรวมกว่า 12 ไร่ เพื่อให้ลูกบ้านได้ใช้บริการด้วย 2.มิกซ์ยูสคอนโด+ออฟฟิศ ถัดจากคอมมูนิตี้มอลล์เข้ามา แอสเซทไวส์ วางแนวทางการพัฒนาเป็นโครงการขนาดสูง 45 ชั้น 1 อาคาร ที่จะประกอบไปด้วยส่วนพักอาศัยและพื้นที่สำนักงาน  ส่วนที่พักอาศัยเบื้องต้นจะใช้แบรนด์โมดิซ แต่ทั้งนี้อาจจะปรับเปลี่ยนแบรนด์ได้ในอนาคต โดยพิจารณาสภาวะตลาดและผลการตอบรับจากกลุ่มลูกค้าอีกครั้งหนึ่ง   สำหรับพื้นที่ออฟฟิศได้วางสัดส่วนไว้ประมาณ 10-15% ของอาคาร มีการจัดพื้นที่แยกกับส่วนพักอาศัย ด้วยการมีลิฟต์ส่วนตัว มีการจดทะเบียนเป็นพื้นที่พาณิชย์ ที่ผู้ซื้อสามารถจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทได้ โดยเป็นการขายพื้นที่ไม่ได้เป็นการให้เช่า​ ซึ่งแอสเซสไวส์มองกลุ่มเป้าหมายเป็นผู้ประกอบการขนาดเล็ก หรือกลุ่ม SME ที่มีพนักงานไม่เกิน 10 คน สามารถทำงานออนไลน์ได้ 3.พื้นที่พักอาศัย 3 โปรเจ็กต์คอนโด ในพื้นที่ด้านหลังโครงการ ถูกจัดวางไว้เป็นพื้นที่ส่วนพักอาศัย ซึ่งจะเป็นโครงการคอนโดโรว์ไรส์  2 โครงการ และไฮไลท์ 1 โครงการ อยู่บริเวณด้านหลังสุด มีขนาดความสูงประมาณ 33 ชั้น คาดว่าจะพัฒนาภายใต้แบรนด์โมดิซ โดยวายแผนเปิดตัวในอนาคตอีกครั้ง   ก่อนถึงคอนโดไฮไลท์ ปัจจุบันพัฒนาเป็นโครงการ “แอทโมซ โฟลว์ มีนบุรี” (Atmoz Flow Minburi)  ซึ่งได้เปิดตัวโครงการไปก่อนหน้านี้แล้ว  โดยโครงการพัฒนาในรูปแบบคอนโดมิเนียมสไตล์รีสอร์ท มูลค่าโครงการ 1,350 ล้านบาท ขนาดพื้นที่ 6-0-13 ไร่ จำนวน 3 อาคาร รวม 739 ยูนิต  ซึ่งเริ่มเปิดจองแล้ว ในราคาเริ่มต้น 1.65 ล้านบาท  และพื้นที่ด้านหน้าโครงการแอทโมซ โฟลว์ ยังวางแผนพัฒนาเป็นโครงการคอนโดโลว์ไรส์อีก 1 โครงการเช่นกัน ภายใรต้แบรนด์โมดิซ โครงการไวส์พาร์ค จะมีส่วนพักอาศัยทั้งหมดของโครงการภายใต้แบรนด์ต่าง ๆ จำนวนรวม 4,500 ยูนิต ใช้ระยะเวลาการก่อสร้างและพัฒนาประมาณ 6 ปี ระยะเวลาการเปิดตัว และการใช้แบรนด์ที่มาพัฒนา จะมีการพิจารณาจากสภาวะตลาดและการตอบรับของกลุ่มลูกค้าเป็นเกณฑ์ในการพิจารณา แต่เบื้องต้นโครงการแอทโมช โฟลว์ มีนบุรี คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จได้ในช่วงปลายปีหน้า ซึ่งใกล้เคียงกับการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีชมพู   สำหรับคอนเซ็ปต์ของ ไวส์พาร์ค มีนบุรี ภายใต้แนวคิด “WISECOLOGY” มีจุดเด่นของการอยู่อาศัยแห่งอนาคต 3 ด้าน ได้แก่ Smart Living, Sustainable Life และ Environment Friendly  ​   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] แอสเซทไวส์ กวาดยอดขาย Q1 กว่า 3,250 ล้าน เดินหน้าไตรมาส 2 เปิดอีก 3 โปรเจ็กต์ใหม่ -แอสเซทไวส์ เปิด 5 กลยุทธ์ความสำเร็จแบรนด์เคฟ แคมปัสคอนโด จับกลุ่มนศ.มหาลัย-นักลงทุน
เปิด ยอดขายบ้าน-คอนโด เจ้าไหนทำได้เยอะสุด ใน 6 เดือนแรกปี 65

เปิด ยอดขายบ้าน-คอนโด เจ้าไหนทำได้เยอะสุด ใน 6 เดือนแรกปี 65

ยอดขายบ้าน แม้ว่าตอนนี้ จะยังมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อยู่ แต่ละวันก็ยังมีผู้ติดเชื้ออยู่ต่อเนื่อง แต่ในภาพรวมแล้วก็ถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ การแพร่ระบาดไม่ได้รุนแรงเหมือนช่วงที่ผ่านมา ขณะเดียวกันมีทิศทางที่ดีขึ้นด้วย จนตอนนี้​ทางศูนย์บริหารสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ​ศบค.เตรียมผ่อนคลายมาตรการกักตัวลดลงเหลือแค่ 10 วัน และมาตรการผ่อนคลายอื่น ๆ ที่จะตามมาอีก   โดยต้องยอมรับว่าปี 2565 ทิศทางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ก็ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ต้นปีเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้หลายธุรกิจก็เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่ปีนี้ก็เห็นภาพบวกจากช่วงปีที่ผ่านมาอย่างชัดเจน  ซึ่งจะเห็นว่าในปัจจุบัน หลายบริษัทก็สามารถทำยอดขายบ้านและคอนโดมิเนียม ได้เพิ่มมากขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา   จากการรายงานผลประกอบการของธุรกิจอสังหาฯ ของกลุ่มดีเวลลอปเปอร์ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์  โดยภาพรวมส่วนใหญ่จะมีทิศทางที่ดี มีผลประกอบการเป็นบวก ไม่ว่าจะเป็นในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2565 และช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ส่วนบริษัทไหนที่ยังเป็นเจ้าตลาด สามารถครองแชมป์ยอดขายบ้าน และคอนโดได้มากสุด บทความนี้ได้รวบรวมจัดอันดับมาให้แล้ว กับ 10 บริษัทอสังหาฯ ที่มียอดขายบ้าน และคอนโดมากสุด ทั้งไตรมาส 2 และช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่งบทความนี้จะนำเอาเฉพาะรายได้ในส่วนของยอดขายอสังหาฯ (บ้านและคอนโด) เท่านั้น ไม่รวมรายได้อื่น หรือธุรกิจอื่นมารวมด้วย เอพี เบอร์ 1 ยอดขายบ้าน-คอนโดเยอะสุดใน Q2 สำหรับยอดขายบ้าน และคอนโดในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัทที่ทำยอดขายได้มากที่สุด ก็คือ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ AP โดยมีรายได้เฉพาะในส่วนของการขายบ้าน และคอนโด จำนวน 9,260.33 ล้านบาท เติบโตขึ้น 18.18% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ที่มีจำนวน 7,835.62 ล้านบาท ขึ้นแท่นอันดับ 1 บริษัทอสังหาฯ ที่มีรายได้มากที่สุดในส่วนของการขายบ้านและคอนโด   ส่วนบริษัทอื่น ๆ ที่มีรายได้จากการขายบ้านและคอนโด รองลงมา อีก 9 อันดับ ได้แก่ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH มีรายได้จำนวน 8,360.01 ล้านบาท ลดลง 1.24% บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน)หรือ SPALI มีรายได้จำนวน 8,135.66 ล้านบาท เติบโต 14.99% บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน)หรือ SIRI มีรายได้จำนวน 6,595.52 ล้านบาท ลดลง 9.02% บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSH มีรายได้จำนวน 5,101.44 ล้านบาท ลดลง 19.47% บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)หรือ SC มีรายได้จำนวน 4,975.11 ล้านบาท เติบโต 9.44% บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT มีรายได้จำนวน 3,155.22 ล้านบาท เติบโต 7.08% บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน)หรือ ORI มีรายได้จำนวน ล้านบาท 2,914.14% ลดลง 5.55% บริษัท คิวเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ QH มีรายได้จำนวน 1,970.04 ล้านบาท เติบโต 0.35% บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) หรือ PF มีรายได้จำนวน 1,956.90% ล้านบาท ลดลง 8.99% ครึ่งปีแรก เอพี ทำรายได้ทะลุ 20,000 ล้าน นอกจาก เอพี จะสามารถขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในช่วงไตรมาส 2 ที่ผ่านมาแล้ว ในภาพรวมเอพี สามารถทำผลงานได้ดีมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่แล้ว มาจนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้ช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ เอพี มียอดขายบ้าน และคอนโด มากที่สุด ด้วยรายได้กว่า 20,241.05 ล้านบาท เติบโต 21.10% จากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งทำได้ 16,714.52 ล้านบาท และเป็นบริษัทเดียวที่มีรายได้จากการขายบ้าน และคอนโด ที่ทะลุ 20,000 ล้านบาท   ส่วนอีก 9 บริษัทที่ติดอันดับ Top 10 มียอดขายบ้าน และคอนโด มากสุดในช่วง 6 เดือนแรกปี 2565 มีดังนี้ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) มีรายได้จำนวน 15,325.68 ล้านบาท ลดลง 1.79% บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) มีรายได้จำนวน 13,507.89  ล้านบาท เติบโต 26.51% บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) มีรายได้จำนวน 10,883.16 ล้านบาท ลดลง 18.13% บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) มีรายได้จำนวน 10,780.34 ล้านบาท ลดลง 18.47% บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มีรายได้จำนวน 8,584.09 ล้านบาท เติบโต 3.61% บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีรายได้จำนวน 5,955.61 ล้านบาท ลดลง 8.82% บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มีรายได้จำนวน 5,713.83 ล้านบาท ลดลง 6.47% บริษัท คิวเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) มีรายได้จำนวน 3,884.74 ล้านบาท เติบโต 1.40% บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) มีรายได้จำนวน 3,496.77 ล้านบาท ลดลง 15.02% แลนด์แอนด์เฮ้าส์ กำไรเบอร์ 1 มาดูในส่วนของการทำกำไร ว่าบริษัทไหนมีความสามารถในการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนมีกำไรเติบโตกันบ้าง เพราะบางครั้งยอดขายหรือรายได้ที่เติบโตหรือเพิ่มมากขึ้น อาจจะไม่ได้สะท้อนในเรื่องของกำไรก็เป็นไปได้ ลองมาดูกันว่า 10 บริษัทอสังหาฯ ไหน มีกำไรจากการดำเนินธุรกิจมากที่สุด ซึ่งกำไรทั้งหมดที่รายงานออกมานั้น ไม่ได้เป็นผลจากการดำเนินธุรกิจการขายบ้าน และคอนโดอย่างเดียวเท่านั้น แต่เป็นกำไรที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจในภาพรวมของบริษัทนั้น ๆ ซึ่งหลายบริษัทมีธุรกิจอื่น ๆ รวมอยู่ด้วย เช่น ธุรกิจบริการ ธุรกิจโรงแรม ธุรกิจให้เช่าพื้นที่สำนักงาน เป็นต้น   โดยในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา บริษัทที่ทำกำไรได้สูงสุดในกลุ่มผู้ประกอบการอสังหาฯ คือ แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ด้วยจำนวน 2,137.23 ล้านบาท เติบโต 14.68% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรจำนวน 1,863.57 ล้านบาท   ส่วนอีก 9 บริษัทที่อยู่ใน Top 10 กลุ่มธุรกิจอสังหาฯ ที่ทำกำไรมากที่สุดในช่วงไตรมาส 2 มีดังนี้ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 1,573.09 ล้านบาท เติบโต 41.10% บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 1,367.27 ล้านบาท ลดลง 26.19% บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 1,266.58 ล้านบาท เติบโต 39.31% บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 890.01 ล้านบาท เติบโต 38.55% บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 680.22 ล้านบาท เติบโต 48.05% บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 578.14 ล้านบาท เติบโต 11.77% บริษัท คิวเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 515.22 ล้านบาท เติบโต 6.96% บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 439.21ล้านบาท เติบโต 0.16% บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI มีกำไรจำนวน 376.37 ล้านบาท เติบโต 139.68% แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ทำกำไรทะลุ 4,000 ล้าน สำหรับช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทที่ถือว่ามีความสามารถในการดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพจนทำกำไรมากที่สุด ยังคงเป็น แลนด์แอนด์เฮ้าส์ กับจำนวนกำไรมากที่สุดถึง 4,069.30 ล้านบาท เติบโต 12.85% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำกำไรได้ 3,605.98 ล้านบาท ซึ่งถือได้ว่าเป็นบริษัทเดียวที่มีกำไรระดับ 4,000 ล้านบาท   ส่วนบริษัทที่ติดอันดับ Top 10 มีกำไรมากที่สุดในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ อีก 9 บริษัท ได้แก่ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 3,303.66 ล้านบาท เติบโต 12.85% บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 3,298.39 ล้านบาท เติบโต 32.09% บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 2,109.08 ล้านบาท เติบโต 18.67% บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 1,163.88 ล้านบาท เติบโต 16.26% บริษัท คิวเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 1,100.03 ล้านบาท เติบโต 20.51% บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 1,002.21 ล้านบาท ลดลง 5.00% บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 991.16 ล้านบาท เติบโต 2.21% บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 962.64 ล้านบาท เติบโต 3.37% บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) มีกำไรจำนวน 728.86 ล้านบาท เติบโต 153.34% อย่างไรก็ตาม บางบริษัทในกลุ่มธุรกิจอสังหาฯ ยังผลการดำเนินงานในธุรกิจอื่น ที่ยังเติบโตดีกว่าธุรกิจขายบ้านและคอนโด ซึ่งบทความนี้ไม่ได้กล่าวถึง ซึ่งหากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถเข้าไปตรวจสอบได้จากรายงานผลการดำเนินงานของแต่ละบริษัท ที่แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ www.set.or.th   หมายเหตุ -บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ผลการดำเนินงานรอบเดือนเมษายน-มิถุนายน 2565 จะเป็นไตรมาส 3 ปี 2565 ตามรอบบัญชีบริษัท -บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) เดิมเป็นหนึ่งในธุรกิจของบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) แต่ภาพหลังได้เข้าจดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จึงแยกผลการดำเนินงานออกเป็น 2 บริษัท​ -ผลการดำเนินงานบางบริษัท ไม่รวมรายได้จากการร่วมทุนทางธุรกิจ ที่มา งบการเงินรวมของแต่ละบริษัท, SET   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ​โชว์กำไร 6 เดือน เฉียดพันล้าน หลังใช้ธุรกิจเชิงรุก -ผลดีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ -เอพี ไทยแลนด์ โชว์ครึ่งปีแรกกวาดรายได้ 25,276 ล้าน พร้อมผลงานทำกำไรโต 31% -ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ โชว์ทุกผลงาน Q2/65 ทำ New High เล็งจ่ายปันผลระหว่างกาล หุ้นละ 0.15 บาท
 “ดิ อิเธอร์นิตี้ โกร์ฟ สายไหม-พหลฯ” แบบบ้านใหม่เพื่อคน Gen Y

 “ดิ อิเธอร์นิตี้ โกร์ฟ สายไหม-พหลฯ” แบบบ้านใหม่เพื่อคน Gen Y

ดิ อิเธอร์นิตี้ โกร์ฟ สายไหม-พหลฯ . “ดิ อิเธอร์นิตี้ โกร์ฟ สายไหม-พหลฯ” (THE ETERNITY GROVE SAIMAI-PHAHOL) บนทำเล ถนนสายไหม ใกล้สนามบินดอนเมือง และรถไฟฟ้า BTS สายสีเขียว สถานีคูคต และสถานีแยก คปอ. ใกล้จุดเชื่อมต่อเส้นทางรถไฟฟ้ามากถึง 3 สาย สายสีเขียว, สายสีชมพู และสายสีแดง ใกล้และครบทุกความสะดวกสบาย ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล ร้านอาหาร และสถานศึกษา   ดิ อิเธอร์นิตี้ โกร์ฟ สายไหม-พหลฯ ภายในโครงการ มาพร้อมส่วนกลางสุดหรู 3 ชั้น Grand Clubhouse ฟังก์ชันครบ Lagoon Pool สระว่ายน้ำสไตล์ลากูน Fitness ห้องออกกำลังกายที่มาพร้อมอุปกรณ์ที่ครบครัน Co-Working Space พื้นที่สำหรับนั่งทำงานและอ่านหนังสือ Active & Passive Space พื้นที่กลางแจ้ง ประกอบด้วย Educational Playground, Outdoor Gym และ Amphitheatre . ดิ อิเธอร์นิตี้ โกร์ฟ สายไหม-พหลฯ พื้นที่โครงการ 12-2-67.6 ไร่ เป็น บ้านดีไซน์ใหม่ 92 ยูนิต  แบบบ้าน 2 แบบให้เลือกที่ตามความต้องการพื้นที่ใช้สอย แบบ   WELLNESS   มีจำนวน 42 หลัง เป็นบ้านหน้ากว้าง 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 155 ตารางเมตร 3 ที่จอดรถ ขนาดที่ดินเริ่มต้น 35.8 ตารางวา ฟังก์ชั่น 2 ห้องนอน 1 ลิฟวิ่งรูม 3 ห้องน้ำ มาสเตอร์เบดรูม 1, ชั้นบน 1, ชั้นล่าง 1  ฟังก์ชั่นที่ว้าวคือจอดรถได้จุใจ 3 คัน ราคาเปิดตัว 6.3 ล้านบาท BALANCE    บ้านแนวลึก 2 ชั้น ที่มาพร้อมพื้นที่ใช้สอย 162 ตารางเมตร โดยประกอบด้วย 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ และที่จอดรถสำหรับ 2 คันจำนวน 50 หลัง  มีฟังก์ชั่น 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ บนที่ดิน 36 ตารางวา จุดสะดุดสายตาคือบ้านไทป์นี้ประตูด้านหน้าเป็นประตูไม้ให้วิวสัมผัสหรูฟู่มากขึ้น จัดวางฟังก์ชั่นลิฟวิ่งรูม ห้องรับประทานอาหาร ครัวแพนทรี่ ส่วนชั้นบนมีเอกลักษณ์นอกจากห้องนอน ยังเพิ่มห้องแฟมิลี่ลิฟวิ่งรูมขนาดใหญ่ . ทั้งนี้ โครงการ ดิ อิเธอร์นิตี้ โกร์ฟ สายไหม-พหลฯ (THE ETERNITY GROVE SAIMAI-PHAHOL) มีกำหนดเปิดจองอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 สิงหาคมนี้ ณ สำนักงานขายโครงการฯ ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนติดต่อเข้ารับชมโครงการ ได้ที่ www.se-thai.com หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร. 02 007 5555  . The Eternity Grove สายไหม-พหลฯ จาก บริษัท สถาพร เอสเตท จำกัด โครงการบ้านสไตล์ใหม่สุด Exclusive เพียง 92 หลัง มาพร้อมที่จอดรถถึง 3 คัน มูลค่าโครงการ 560 ล้านบาท ภายใต้แนวคิด “Make it yours” โดยห่างจากรถไฟฟ้าสายสีเขียวทั้ง สถานีคูคต และสถานี กม.25 ประมาณ 3 กม.* ในราคาเริ่มต้น 5.9 ล้านบาท* ซึ่งมีกำหนดเปิด Presale ในเดือน ก.ค.นี้   โครงการน่าสนใจ NUE CROSS KHU KHOT STATION  ชีวิตคูลๆ ที่คูคต M Life ลำลูกกา-คลอง 4 ทาวน์โฮมหรู 2 ชั้น ดีไซน์ใหม่ไม่ซ้ำใคร ใกล้รถไฟฟ้าคูคต Ozone ดีๆ มีที่รังสิต คลอง3 – ชวนชื่น ทาวน์ รังสิต-คลอง3 [VDO]
สรุปไทม์ไลน์ 25 ปี มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ  จากวิกฤตต้มยำกุ้งถึงพิษโควิด-19 (ตอนที่ 2)

สรุปไทม์ไลน์ 25 ปี มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ จากวิกฤตต้มยำกุ้งถึงพิษโควิด-19 (ตอนที่ 2)

มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ในตอนที่ 1 เราได้เห็นจุดเริ่มต้นของมาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่เกิดขึ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจปี ​ 2540 หรือวิกฤตต้มยำกุ้ง ที่เกิดฟองสบู่ในธุรกิจอสังหาฯ มีบ้านและคอนโดมิเนียม เหลือเป็นซัพพลายในตลาดจำนวนมาก เพราะผู้ประกอบการได้รับผลกระทบภาวะเศรษฐกิจ และค่าเงินบาทถูกปรับลดลง รวมถึงสถาบันการเงินหลายแห่งที่ปิดตัวลง รัฐบาลจึงต้องออกมาตรการมาพยุงเศรษฐกิจ และกระตุ้นตลาดให้มีอัตราการเติบโต เพราะธุรกิจอสังหาฯ มีบทบาทสำคัญและมีความเกี่ยวโยงกับหลายธุรกิจ มาสู่ทศวรรษที่ 2 ของ มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ในช่วงปี 2550-2559 เป็นช่วงเวลา 10 ปีที่ประเทศไทยต้องเผชิญกับเหตุการณ์และการเปลี่ยนแปลงสำคัญ ทั้งผลกระทบจากวิฤตแฮมเบอร์เกอร์ หรือวิฤตสินเชื่อซับไพรม์ในปี 2551 และเหตุการณ์สำคัญในประเทศอย่าง ความไม่มั่นคงทางด้าน​การเมือง  อาทิ เหตุการณ์ชุมนุมทางการเมืองที่แยกราชประสงค์  และเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่ส่งผลต่อธุรกิจอสังหาฯ อย่างมาก และกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในการพัฒนาหลายอย่างด้วยกัน  โดยตลอดระยะเวลา 10 ปี รัฐบาลได้มีมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ออกมาเป็นระยะ ๆ  ซึ่งมีไทม์ไลน์ดังนี้ ตอนที่ 2 วิกฤตการเมืองไทย สลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ปี 2550 มีการขยายผลของมาตรการ ด้านค่าลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่ประกาศใช้ในปี 2543 ด้วยการปรับเพิ่มวงเงินค่าลดหย่อนในการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จาก 50,000 บาท เป็น 100,000 บาท กรณีดอกเบี้ยเงินกู้ยืม เพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างที่อยู่อาศัย ปี 2551 รัฐบาลได้นำเอาออกมาตรการลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ จาก 2% เหลือ 0.01% และค่าจดทะเบียนการจำนอง อสังหาฯ จาก 1% เหลือ 0.01% เพื่อใช้เป็น มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ อีกครั้ง โดยไปสิ้นสุดวันที่ 28 มีนาคม 2552  หลังจากนั้นก็ได้ขยายระยะเวลามาตรการดังกล่าว ไปสิ้นสุดวันที่ 28 มีนาคม​ 2553 ปี 2552 มีการนำเอามาตรการด้านการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามาใช้อีกครั้ง  ซึ่งครั้งนี้ได้ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ให้แก่ผู้ที่จ่ายเงินค่าซื้ออสังหาฯ ที่ไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน โดยกรณีโอนกรรมสิทธิ์อสังหาฯ ดังกล่าวภายในปี 2552 ให้ได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับเงินได้ พึงประเมิน เป็นจำนวนเท่ากับมูลค่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 300,000 บาท ซึ่งมาตรการตามเสนอ เป็นมาตรการเพิ่มเติมจากที่ให้หักค่าลดหย่อนดอกเบี้ยเงินกู้ยืมซื้อบ้านเป็นจำนวนไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี ไปก่อนหน้านี้แล้ว ปี 2553 เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2553 ครม. ได้เห็นชอบให้กระทรวงมหาดไทยดำเนินการออกประกาศกระทรวงมหาดไทย เพื่อขยายเวลามาตรการลดการจัดเกิดบค่าธรรมเนียมการโอน และค่าจดจดนำนองเหลือ 0.01% จากเดิมตั้งแต่วันที่ 29 มีนาคม 2552 ถึงวันที่ 28 มีนาคม 2553 ไปเป็นสิ้นสุดวันที่ 31 พฤษภาคม 2553 และยังได้ให้กรมที่ดินเปิดให้บริการในวันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม และวันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม 2553 ด้วย   ต่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2553 ครม.ยังได้มีมติเห็นชอบในหลักการขยายระยะเวลาของมาตรการดังกล่าวไปสุ้นิสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2553 โดยให้กรมที่ดิน ออกกฎหมายเพื่อให้มีผลบังคับต่อไป ซึ่งเป็นผลกระทบจาก เหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองบริเวณแยกราชประสงค์ ของแนวทางร่วมประชาธิปไตยต่อต้าน เผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ตั้งแต่วันที่ 12 มีนาคม 2553 เป็นต้นมา ซึ่งได้ทวีความรุนแรงส่งผลให้ต้องมีการประกาศวันหยุดราชการเป็นกรณีพิเศษ ระหว่างวันที่ 17-21 มีนาคม 2553 ทำให้การดำเนินธุรกรรม การปล่อยสินเชื่อและการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมอสังหาฯ ​ตามมาตรการต้องหยุดชะงักลง  ส่งผลกระทบต่อประชาชนและผู้ประกอบการทั่วไป กระทรวงการคลังจึงเห็นควร ขยายระยะเวลามาตรการดังกล่าวออกไป​ ปี 2554 เป็นปีที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลเกิดปัญหาน้ำท่วมใหม่ในหลายพื้นที่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อบ้านเรือนประชาชน และธุรกิจจำนวนมาก และยังส่งผลต่อการพัฒนาที่อยู่อาศัย ที่หันมาให้ความสำคัญกับปัญหาน้ำท่วม และการพัฒนาโครงการคอนโดเพิ่มมากขึ้นด้วย   ส่วนวันที่ 3 พฤษภาคม 2554 ครม.เห็นชอบโครงการบ้านธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เพื่อที่อยู่อาศัยแห่งแรก หรือโครงการบ้นานหลังแรก ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยกำหนดวงเงินปล่อยกู้ของโครงการ จำนวน 25,000 ล้านบาท โดยโครงการบ้านหลังแรก เป็นโครงการของรัฐบาล ที่มุ่งช่วยเหลือประชาชน ที่ไม่เคยมีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองให้สามารถซื้อบ้านหลังแรกเป็นของตนเองได้อย่างทั่วถึง ทั้งในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล และในจังหวัดภูมิภาคทั่วประเทศ   โดยโครงการดังกล่าว มีเงื่อนไข พิเศษที่มอบให้แก่ผู้กู้หลายประการ เช่น ให้อัตราดอกเบี้ยต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ 0% 2 ปีแรก นอกจากนี้ รัฐบาลช่วยแบ่งเบาภาระค่าธรรมเนียมการโอนครึ่งหนึ่ง จากค่าโอนปกติ 2% ของราคาประเมิน​ และไม่ต้องเสียค่าจดจำนอง 1% โดยธอส.ได้เริ่มเปิดให้ประชาชนยื่นกู้ได้ตั้งแต่ วันที่ 9 พฤษภาคม 2554 เป็นต้นไป ซึ่งโครงการสิ้นสุดในเดือนกันยายน 2555 ปี 2555 หลังจากเกิดน้ำท่วมใหญ่ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลในช่วงปี 2554 ที่ผ่านมา รัฐบาลจึงมีมาตรการออกมากระตุ้นธุรกิจอสังหาฯ หลังจากได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำท่วม นอกจากการออกโครงการบ้านหลังแรกแล้ว ยังมีมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับผู้ซื้อบ้านราคาไม่เกิน 5 ล้านบาท โดยนำเงินมาลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 500,000 บาท ​ ปี 2558 เนื่องจากภาวการณ์ชะลอตัวของเศรษฐกิจไทยซึ่งส่งผลให้ประชาชนผู้มีรายได้น้อยมีกำลังซื้อที่อยู่อาศัย ลดลง ประกอบกับตลาดอสังหาฯ ​ของประเทศในภาพรวมมีสต็อกคงค้างในตลาดจำนวนมาก ทั้งในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมทั้งเมืองสำคัญในภูมิภาค เช่น พัทยา ภูเก็ต เชียงใหม่ อุดรธานี และขอนแก่น เป็นต้น วันที่ 13 ตุลาคม 2558 ครม.จึงได้มีมติเห็นชอบมาตรการการเงินการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาฯ รวม 2 มาตรการ ดังนี้ 1.มาตรการการเงิน ให้ธอส. ปล่อยกู้กับผู้มีรายได้น้อยและปานกลาง เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยวงเงินให้สินเชื่อเบื้องต้นรวม 10,000 ล้านบาท กำหนดระยะเวลาขอกู้ภายใน 1 ปี  นับตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม 2558 แต่ให้ ธอส. สามารถขยายระยะเวลาได้ตามความเหมาะสม  โดยกลุ่มเป้าหมายหลักที่จะได้รับสินเชื่อครั้งนี้ เป็นผู้ที่มีรายได้สุทธิต่อเดือนไม่เกิน 30,000 บาท โดยเกณฑ์หลักประกันเป็นไปตามระเบียบปฏิบัติงานสินเชื่อของ ธอส.  มีระยะเวลาการกู้ไม่เกิน 30 ปี 2.มาตรการการคลัง -การลดค่าธรรมเนียมการโอน จาก​เดิม  2%  และค่าจดจำนอง อสังหาฯ ของราคาประเมินทุนทรัพย์ 1%  ของ มูลค่าที่จำนอง แต่ไม่เกิน 200,000 บาท ในกรณีการจำนองฯ เหลือ 0.01%  เป็นเวลา 6 เดือน -การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับรายได้ที่จ่ายไปเพื่อซื้ออสังหาฯ ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัย ของตนเองเป็นจำนวน 20%  ของมูลค่าอสังหาฯ ​โดยผู้ได้รับสิทธิจะต้องไม่เคยมีกรรมสิทธิ์ในอสังหาฯ  มาก่อน และมีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในอสังหาฯ ที่ซื้อเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 5 ปี   สรุป​คือ ต้องเป็นการซื้อครั้งแรกและเพื่อเป็นที่อยู่อาศัยจริง โดยใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาต่อเนื่องกัน 5 ปีภาษี นับแต่ ปีภาษีที่มีการจดทะเบียนการโอน​ โดยให้แบ่งใช้สิทธิเป็น จำนวนเท่าๆ กันในแต่ละปีภาษี ทั้งนี้ ต้องจ่ายค่าซื้ออสังหาฯ และจดทะเบียนโอน​ ตั้งแต่วันที่ครม.​มีมติเห็นชอบถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2559 ​ ติดตามตอนที่ 3   วิฤกตโควิด สู่ชีวิต New Normal   อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -สรุปไทม์ไลน์ 25 ปี มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ จากวิกฤตต้มยำกุ้งถึงพิษโควิด-19 ตอนที่ 1
ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้  โชว์ทุกผลงาน Q2/65 ทำ New High  เล็งจ่ายปันผลระหว่างกาล หุ้นละ 0.15 บาท

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ โชว์ทุกผลงาน Q2/65 ทำ New High เล็งจ่ายปันผลระหว่างกาล หุ้นละ 0.15 บาท

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ โชว์ผลประกอบการ Q2/2565 คว้ากำไรสุทธิ New High 1,155 ล้าน พร้อมอัตรากำไรสุทธิ ทะลุ 28% หลังเมกะโปรเจกต์ “พาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ” เริ่มทยอยโอนตามแผน และธุรกิจบ้านจัดสรรทำ All Time High ทั้งพรีเซล ยอดโอนกรรมสิทธิ์ รายได้รวม และกำไรสุทธิ เล็งจ่ายปันผลระหว่างกาล หุ้นละ 0.15 บาท ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 26 สิงหานี้   นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI  เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2565 (เม.ย.-มิ.ย.2565) บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 4,102 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,155 ล้านบาท เติบโตจากไตรมาสที่ผ่านมา 57% และเติบโต 36% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 ถือเป็นกำไรสุทธิสำหรับไตรมาส สูงที่สุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท (New High) ขณะเดียวกัน จากผลการดำเนินงานดังกล่าว ส่งผลให้บริษัทมีอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ในไตรมาสนี้อยู่ที่ 28% สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม   ทั้งนี้ กำไรสุทธิดังกล่าว เป็นผลมาจากความสามารถในการโอนกรรมสิทธิ์ โครงการที่อยู่อาศัยทั้งกลุ่มโครงการคอนโดมิเนียม  และกลุ่มโครงการบ้านจัดสรรได้อย่างต่อเนื่อง โดยกลุ่มโครงการคอนโดมีโครงการระดับเมกะโปรเจกต์ 12,000 ล้านบาท อย่างพาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ (Park Origin Thonglor) และดิ ออริจิ้น อ่อนนุช (The Origin Onnut) เริ่มทยอยโอนกรรมสิทธิ์เป็นครั้งแรกในไตรมาสนี้ อีกทั้งยังมีโครงการดิ ออริจิ้น ราม 209 อินเตอร์เชนจ์ (The Origin Ram 209 Interchange) ที่ทยอยโอนกรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่องจากไตรมาส 1/2565 ขณะเดียวกัน กลุ่มธุรกิจบ้านจัดสรรภายใต้บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI มีผลประกอบการในระดับ All Time High ทั้งพรีเซล ยอดโอนกรรมสิทธิ์ รายได้รวม และกำไรสุทธิ เติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยมีโครงการใหม่ที่เพิ่งเริ่มโอนกรรมสิทธิ์เป็นครั้งแรกถึง 4 โครงการ   นอกจากนี้ จากผลการดำเนินงานที่มีเสถียรภาพและความสามารถในการปรับตัวให้พร้อมรับมือทุกความท้าทาย ส่งผลให้กลุ่มทุนทั้งไทยและต่างชาติยังคงให้ความสนใจในการพัฒนาโครงการร่วมทุน (Joint Venture Project) กับบริษัทอย่างต่อเนื่อง โดยไตรมาส 2/2565 ที่ผ่านมานี้ มีโครงการร่วมทุนกับพันธมิตรทั้งญี่ปุ่น ฮ่องกงและไทย เพิ่มขึ้นอีก 5 โครงการ รวมมูลค่า 9,885 ล้านบาท   ประกอบด้วย 1.โครงการที่ร่วมทุนกับโนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ 1 โครงการ คือ คอนโด ดิ ออริจิ้น เพลย์ ศรีอุดม สเตชั่น (The Origin Play Sri Udom Station) 2.โครงการที่ร่วมทุนกับโลฟิส (ไทยแลนด์) 2 โครงการ ได้แก่คอนโด  ออริจิ้น ปลั๊ก แอนด์ เพลย์ สิรินธร สเตชั่น (Origin Plug & Play Sririndhorn Station) และบ้านจัดสรร บริทาเนีย อมตะ-พานทอง (Britania Amata-Phanthong) และ 3.โครงการที่ร่วมทุนกับ โตคิว แลนด์ เอเชีย อีก 2 โครงการ ได้แก่ คลังสินค้า แอลฟา บางนา กม.19 (Alpha Bangna KM.19) และ แอลฟา รังสิต (Alpha Rungsit) ซึ่งเป็นการร่วมทุนครั้งแรกของกลุ่มบริษัทในธุรกิจพัฒนาคลังสินค้า   จากผลการดำเนินงานที่ยังรักษาระดับการเติบโตได้อย่างมั่นคง ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท มีมติเห็นชอบให้เสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นสามัญจ่ายปันผลสำหรับกำไรสะสม  และผลการดำเนินงานของบริษัทงวด 1 ม.ค.-30 มิ.ย. 65 ในอัตรา 0.15 บาทต่อหุ้น คิดเป็นเงินปันผลจ่ายเป็นเงินสดทั้งสิ้นไม่เกิน 368 ล้านบาท โดยขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่ 26 สิงหาคม 2565 กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 29 สิงหาคม 2565 และกำหนดจ่ายปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นภายในวันที่ 13 กันยายน 2565 นายพีระพงศ์​ กล่าวอีกว่า สำหรับการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปี 2565  โครงการพาร์ค ออริจิ้น ทองหล่อ จะยังคงทยอยโอนอย่างต่อเนื่องตามแผน ขณะเดียวกัน จะเริ่มโอนกรรมสิทธิ์โครงการใหม่ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการพาร์ค ออริจิ้น ราชเทวี และโครงการพาร์ค ออริจิ้น จุฬา-สามย่าน มูลค่าโครงการรวม 7,600 ล้านบาท โดยทั้ง 2 โครงการมียอดขายรอรับรู้รายได้ (แบ็คล็อก) เฉลี่ยถึง 97% ของมูลค่าโครงการ ขณะที่ภาพรวมบริษัทยังมีแบ็คล็อกทั้งกลุ่มรวมโครงการ JV และ Non-JV มูลค่ารวมกว่า 37,588 ล้านบาท คาดว่าจะมีส่วนสำคัญให้ยอดโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงครึ่งปีหลังเป็นไปตามเป้าหมาย และส่งผลให้รายได้รวมของบริษัทอยู่ที่ 17,500 ล้านบาทตามเป้า กำลังซื้ออสังหาฯ ของผู้บริโภค มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับช่วงสถานการณ์โควิด-19 ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา โดยออริจิ้นยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องทำเล คุณภาพ และความเข้าใจผู้บริโภค ส่งผลให้โครงการยังคงได้รับความไว้วางใจและมีการโอนกรรมสิทธิ์อย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ เพื่อให้แผนการเติบโตแบบพหุจักรวาล หรือ แผน Origin Multiverse ขับเคลื่อนไปได้อย่างแข็งแกร่งและราบรื่น บริษัทได้แต่งตั้ง 2 ผู้บริหารระดับสูง ขึ้นดำรงตำแหน่งใหม่ ประกอบด้วย นายปิติพงษ์ ไตรนุรักษ์ ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม (Co-CEO) บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ร่วมดูแลออริจิ้นกรุ๊ป และขับเคลื่อนกลุ่มธุรกิจใหม่ (New Business) ที่เกี่ยวข้องกับเมกะเทรนด์ระยะยาว และนายปิติ จารุกำจร ขึ้นดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) บริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด ดูแลภาพรวมของกลุ่มธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) ได้แก่ โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ตเมนท์ ธุรกิจอาคารสำนักงาน ธุรกิจค้าปลีก ตลอดจนการนำพาบริษัท วัน ออริจิ้น จำกัด เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย   ที่ผ่านมา นายปิติพงษ์ ไตรนุรักษ์ ถือเป็นผู้บริหารคนสำคัญของเครือออริจิ้น ในการขับเคลื่อนธุรกิจที่สร้างรายได้ประจำ (Recurring Income Business) และกลุ่มธุรกิจใหม่ (New Business) รวมถึงการเจรจาและพัฒนาความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ อาทิ การพัฒนาความร่วมมือกับโนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์, โตคิว แลนด์ เอเชีย และ Ci:z Investment LLP พันธมิตรยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่น จีเอส อีแอนด์ซี พันธมิตรอสังหาฯ ยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้ โลฟิส พันธมิตรจากฮ่องกง และพันธมิตรแลนด์ลอร์ดในประเทศ ได้แก่ บุญภา 2020 และแอสเซท บลูม การพัฒนาความร่วมมือกับพันธมิตรในกลุ่มธุรกิจบริการสุขภาพ (Healthcare) การร่วมทุนกับบริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรมแบบครบวงจร ขณะที่นายปิติ จารุกำจร ถือเป็นผู้บริหารที่มีความเชี่ยวชาญในธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์มาอย่างยาวนานกว่า 19 ปี และมีความชำนาญหลากหลายที่จะช่วยนำพาให้วัน ออริจิ้นเติบโตอย่างต่อเนื่อง   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -“ออริจิ้น” ตุนยอดขายครึ่งปีแรก 51% ของเป้าทั้งปี เตรียมเปิดโครงการเพิ่มอีก 26,500 ล้าน -ออริจิ้น​ เปิดคอนโดฯ 19 โปรเจ็กต์ 28,600 ล้าน ชู 2 กลยุทธ์ เจาะพื้นที่รถไฟฟ้า 8 สาย-EEC
สิงห์เอสเตท  ครึ่งปีแรกรายได้โต 92% พลิกมีกำไร 102 ล้าน

สิงห์เอสเตท  ครึ่งปีแรกรายได้โต 92% พลิกมีกำไร 102 ล้าน

สิงห์เอสเตท  สร้างรายได้ครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้น 92% มีมูลค่า 5,790 ล้าน รับอานิสงค์การทยอยฟื้นตัวของธุรกิจ ​ การควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ  โดยเฉพาะธุรกิจโรงแรมโตเกือบ 3 เท่าตัว ส่งผลภาพรวมพลิกทำกำไร 102 ล้าน   นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ S เปิดเผยว่า  ครึ่งปีแรกปี 2565 มีรายได้ 5,790 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 92% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตของรายได้ในทุกกลุ่มธุรกิจ และเริ่มรับรู้รายได้จากการขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมเป็นครั้งแรกในไตรมาส 2 รวมถึง เป็นผลสำเร็จจากการปรับโครงสร้างธุรกิจในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยมุ่งเน้นกลยุทธ์กระจายการลงทุนเพื่อสร้างความหลากหลายใน 4 กลุ่มธุรกิจที่เชื่อมโยงกัน   โดยธุรกิจโรงแรมมีรายได้ 3,761 ล้านบาท เติบโตขึ้นเกือบ 3 เท่าตัวจากครึ่งปีแรกปี 2564 ซึ่งโรงแรมทั้ง 2 แห่งในโครงการครอสโร้ด เฟส1 (CROSSROADS) สาธารณรัฐมัลดีฟส์ และพอร์ตโรงแรมในสหราชอาณาจักร ที่เติบโตขึ้น 128% จากช่วงครึ่งปีแรกปี 2564 ซึ่งสัดส่วนรายได้รวมกันคิดเป็น 75% ของรายได้รวมทั้งหมด   ขณะที่พอร์ตโรงแรมเอาท์ริกเกอร์ (Outrigger) และพอร์ตโรงแรมในประเทศไทย มีแนวโน้มการฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งมีรายได้เติบโตกว่า 8 เท่าตัวจากช่วงเดียวกันของปีก่อน และคิดเป็น 25% ของรายได้รวม แต่บริษัทตั้งเป้าหมายเพิ่มสัดส่วนรายได้เป็น 35% ของรายได้รวมในช่วงที่ธุรกิจดำเนินการได้ปกติ หรือกว่า 4,000 ล้านบาท จาก​สถานการณ์การท่องเที่ยวและการให้บริการเส้นทางบินต่าง ๆ สามารถดำเนินการได้อย่างเป็นปกติ   สำหรับรายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าที่ปรับตัวดีขึ้น 5% ซึ่งเป็นผลมาจากการรักษาอัตราการปล่อยเช่าโดยรวมไว้ที่ 88% และสามารถปรับเพิ่มอัตราค่าเช่าขึ้นได้แม้จะอยู่ระหว่างสถานการณ์ที่ท้าทาย ส่งผลให้รายได้จากการขายและให้บริการรวมเติบโตขึ้น 132% สู่ 4,371 ล้านบาท   ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการขาย มีรายได้รวม 1,419 ล้านบาท เติบโตขึ้น 25% จากช่วงครึ่งปีแรกปี 2564 สะท้อนความสำเร็จในการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมโครงการ ดิ เอส สิงห์ คอมเพล็กซ์ และดิ เอส อโศก  รวมถึงการรับรู้รายได้จากการขายที่ดินนิคมอุตสาหกรรมเป็นครั้งแรกในไตรมาส 2 ปี 2565 ด้วยการรับรู้รายได้จากการขายที่ดินให้กับโรงไฟฟ้า บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) จำนวน 77 ไร่ นอกจากนี้ เป็นผลจากการทยอยฟื้นตัวของธุรกิจอื่น ๆ และการควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ สิงห์เอสเตท พลิกรายงานกำไรสุทธิ 102 ล้านบาท นางฐิติมา กล่าวว่า  ไตรมาสที่ 2 ที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงเวลาเก็บเกี่ยวผลสำเร็จจากการปรับโครงสร้างธุรกิจของสิงห์เอสเตท โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเข้าลงทุนเพิ่มเติมในโรงแรมที่จะสร้างสมดุลรายได้ด้านฤดูกาลให้กับพอร์ตโฟลิโอของบริษัท โดยในไตรมาส 2 ถือเป็นช่วงเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวของสหราชอาณาจักรและสาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ รายได้ทั้ง 2 พอร์ตดังกล่าวเติบโตขึ้น 40% และ 100% จากไตรมาสก่อน นอกจากนั้นแล้ว การเข้าลงทุนในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมที่นอกจากจะช่วยเพิ่มสมดุลรายได้ด้านฐานลูกค้าให้กับสิงห์ เอสเตท แล้ว ยังเป็นธุรกิจที่สร้างโอกาสในการหารายได้จากทรัพย์สิน  (Recurring income) ให้บริษัทฯ ในระยะยาว ภาพรวมผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปีนี้ คาดว่าจะเติบโตขึ้นต่อเนื่องราว 30% จากในช่วงครึ่งปีแรก ผลักดันโดยรายได้จากธุรกิจโรงแรม และรายได้จากการขายบ้านและอาคารชุด ซึ่งบริษัทเห็นสัญญาณบวกที่เด่นชัดจากสถิติการดำเนินงานโรงแรมในเดือนกรกฎาคม 2565 โดยอัตราการเข้าพักเฉลี่ยของทั้งพอร์ตโฟลิโอปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 70% และคาดว่าจะมีทิศทางที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเช้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยวของสาธารณรัฐมัลดีฟส์ และประเทศไทยในไตรมาสที่ 4   นอกจากนี้ บริษัทใช้กลยุทธ์ในการปรับปรุงห้องพักของโรงแรม เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของพอร์ตโฟลิโอ ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการผลักดันอัตราค่าห้องพักต่อคืน (ADR) ให้เติบโตขึ้น โดยเฉพาะโรงแรมในโครงการ ครอสโร้ดส์ (CROSSROADS) และพอร์ตโรงแรมในสหราชอาณาจักร ที่คาดว่าจะมีอัตราค่าห้องพักต่อคืนที่สูงขึ้นกว่าปี 2562 ได้ถึง 41% และ 27% ตามลำดับ   สำหรับพอร์ตโรงแรมในประเทศไทย เริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวที่รวดเร็วตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นเดือนแรกในการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติเต็มรูปแบบ ส่งผลให้โรงแรม ทราย ลากูน่า ภูเก็ต (SAii Laguna Phuket) และโรงแรมทราย พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ (SAii Phi Phi Island Village) มีอัตราการเข้าพักที่ 68% และ 63% ตามลำดับ ด้วยจุดแข็งด้านที่ตั้งของโรงแรมทั้งหมดของบริษัทฯ ที่ล้วนแล้วแต่อยู่ในทำเลที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ ผนวกกับผลสำเร็จจากการสร้างการรับรู้ต่อแบรนด์ของบริษัท จึงมีความมั่นใจต่อแนวโน้มผลการดำเนินงานที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าพอร์ตโรงแรมในประเทศไทยจะสามารถสร้างรายได้ที่เติบโตขึ้นเกือบสองเท่าตัวในช่วงครึ่งปีหลังของปี บริษัทคาดการณ์ว่าการโอนกรรมสิทธิ์ของโครงการบ้านแนวราบ สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส จะมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นในครึ่งปีหลัง และการรับรู้รายได้จากบ้านเดี่ยวโครงการใหม่ ศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส (Siraninn Residences) ที่คาดว่าจะทยอยโอนกรรมสิทธิ์ได้ในไตรมาสที่ 4 ปี 2565 เป็นต้นไป จะช่วยสร้างการเติบโตของรายได้ธุรกิจที่พักอาศัยให้เพิ่มขึ้น 50% หรือกว่า 3,300 ล้านบาทในปี 2565 นี้   สำหรับโครงการศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส คาดว่าจะเปิดการขายภายในเดือนกันยายน 2565 ตั้งอยู่ในซอยพัฒนาการ 32 ซึ่งเป็นทำเลที่อยู่อาศัยสำหรับโครงการแนวราบเขตเมือง โครงการเป็นบ้านเดี่ยวแนบราบระดับลักชัวรี่ (Horizontal Luxury House) ในรูปแบบบ้านเดี่ยว 2 ชั้น จำนวน 28 แปลง ราคา 65 – 180 ล้านบาท และโฮมออฟฟิศ ราคา 20 ล้านบาท จำนวน 4 แปลง นอกจากนี้ บริษัทยังวางเป้าหมายการเปิดตัวโครงการที่พักอาศัยใหม่ ภายในระยะเวลา 5 ปี จะมีมูลค่าประมาณ 52,000 ล้านบาท โดยมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการแนวราบระดับลักชัวรี่ ผ่าน 3 เซ็กเมนท์ใหม่ ที่ครอบคลุมระดับราคาที่กว้างขึ้น ด้วยการปรับราคาลงมาในแต่ละโครงการตั้งแต่ 100 ล้าน สู่ 10 ล้านบาทต่อยูนิต  โดยบ้านเดี่ยวโครงการใหม่ในอีก 2 เซ็กเมนท์ จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการภายในปี 2565   ทั้งนี้ บริษัทมีที่ดินที่พร้อมพัฒนาแล้ว 2 แปลง และอยู่ระหว่างรอโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินเพิ่มเติม เพื่อเดินหน้าพัฒนา 4 โครงการที่พร้อมเปิดขายในปี 2566 พร้อมตั้งเป้าหมายในการซื้อที่ดินในทำเลศักยภาพอีกจำนวน  5 - 7 แห่งต่อปีสำหรับการพัฒนาและทยอยเปิดตัวโครงการตั้งแต่ปี 2566 อย่างต่อเนื่อง ปีละกว่าหมื่นล้านบาท   สำหรับความคืบหน้าของการนำพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าระยะยาว แก่กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอส ไพรม์ โกรท (SPRIME) นั้น เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2565 ได้ปล่อยเช่าส่วนพื้นที่ค้าปลีก ในโครงการอาคารซันทาวเวอร์ส มูลค่า 213 ล้านบาท โดยพื้นที่ดังกล่าวที่ เอส ไพรม์  เข้าลงทุนเพิ่มเติมนั้น ปัจจุบันมีอัตราการเช่าสูงถึง 98% จึงมั่นใจได้ว่า เอสไพรม์ เข้าลงทุนเพิ่มเติมในอสังหาริมทรัพย์ที่มีศักยภาพและจะช่วยเพิ่มผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวให้แก่กองทรัสต์ SPRIM ต่อไป   อย่างไรก็ตาม แผนในการให้เช่าระยะยาวในส่วนอาคารสำนักงานสิงห์ คอมเพล็กซ์ ได้ถูกพิจารณาเลื่อนออกไป เนื่องจากสภาวะตลาดทุนที่ผันผวน และสภาพเศรษฐกิจที่ยังถูกกดดันจากแนวโน้มการปรับตัวของอัตราดอกเบี้ย ภาวะเงินเฟ้อ ราคาน้ำมัน โรคระบาด ตลอดจนประเด็นความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างประเทศต่าง ๆ โดยยังคงมีความเชื่อมั่นในผลการดำเนินงานของอาคารสำนักงาน สิงห์ คอมเพล็กซ์ ที่สร้างกำไรจากการดำเนินงานให้แก่บริษัทราว 400 ล้านบาทต่อปี   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -สิงห์ เอสเตท ขอท้าทายตัวเอง กับกลยุทธ์ RISE ABOVE พร้อมแผน 5 ปีปั้นโปรเจ็กต์บ้านหรู 52,000 ล้าน
วิลล่า คุณาลัย  ทำรายได้ครึ่งปีแรกโตกว่า​ 22%  หลังได้ผลบวกจากมาตรการภาครัฐ​

วิลล่า คุณาลัย ทำรายได้ครึ่งปีแรกโตกว่า​ 22%  หลังได้ผลบวกจากมาตรการภาครัฐ​

วิลล่า คุณาลัย ทำรายได้รวม 6 เดือนแรก​ แตะ 545.4 ล้าน เติบโต​ 22.3%  พร้อมตุนกำไรสุทธิที่ 75.9 ล้าน เพิ่มขึ้น 10.8%  ขณะที่กวาดยอดขายครึ่งปีแรกแล้ว 44% ของเป้ายอดทั้งปีที่คาดว่าจทำได้ 1,700 ล้าน หลังได้อานิสงค์โควิด-19 ทำให้คนอยากอยู่บ้านแนวราบ และมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ภาครัฐ​   นางประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ KUN เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกปี 2565 บริษัทมีรายได้รวม 545.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน  และมีกำไรสุทธิ 75.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.8% ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส  2/2565  มีรายได้รวม   278 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9%  และกำไรสุทธิ  37.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.5%   ปัจจัยที่ส่งผลให้ผลการดำเนินงานครึ่งปีแรก 2565 เติบโตอย่างต่อเนื่องจากปี 2564 เกิดจากความต้องการบ้านแนวราบยังมีต่อเนื่อง  จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิค-19 ที่ส่งผลให้ลูกค้ามีความต้องที่อาศัย ที่สามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้ครบทุกมิติ ประกอบกับความกังวลว่าที่อยู่อาศัยมีโอกาสปรับราคาสูงขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งเป็นผลจากราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับเพิ่มขึ้นตั้งแต่ต้นปี 2565 ที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน  มีปัจจัยสนับสนุนจากมาตรการภาครัฐ  ทั้งมาตรการผ่อนคลายมาตรการ  LTV  และ การลดค่าจดทะเบียนการโอนและค่าจดทะเบียนจำนอง สำหรับผู้ซื้ออสังหาริมทรัพย์ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท จะสิ้นสุดในปี2565 ทั้งนี้ จากปัจจัยดังกล่าวในข้างต้นช่วยกระตุ้นการซื้อของกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น ส่งผลให้ยอดขายในงวด 6 เดือนแรก อยู่ที่ 745.9 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2564 ที่ทำได้ 730.2 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 2.15 % และคิดเป็น 44 % ของเป้ายอดขาย (Pre-Sale) ทั้งปี ที่บริษัทตั้งไว้ที่ 1,700 ล้านบาท   โดยในช่วงครึ่งปีแรก 2565 บริษัทรับรู้รายได้ จากโครงการที่ได้เปิดขายไปแล้ว ประกอบด้วย โครงการคุณาลัย พรีม ซึ่งรับรู้รายได้เข้ามาแล้วกว่า 64% โครงการคุณาลัย บีกินส์ 2  สามารถรับรู้รายได้แล้วกว่า17%  ส่วน โครงการคุณาลัย พาร์โก้  โครงการคุณาลัย จอย ออน 314 และโครงการคุณาลัย คอร์ทยาร์ด มีการรับรู้รายได้เข้ามาร่วมกันเฉลี่ยกว่า 19 % ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวอีกว่า จากผลการดำเนินงานในครึ่งปีแรก สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพการบริหารงาน รวมถึงความมุ่งมั่นในการสร้างอัตราการเติบโตของบริษัท  จึงเชื่อมั่นว่าภาพรวมผลการดำเนินงานสำหรับปี 2565  มีแนวโน้มที่จะเติบโตเพิ่มขึ้น 10 – 15% ตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับเป้ายอด Pre-Sale ที่แตะระดับ 1,700 ล้านบาท หากผลการดำเนินงานได้ตามเป้าที่วางไว้  ถือว่าเป็นการทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ใหม่ ต่อเนื่องจากปี 2564 ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโต New High 2 ปีซ้อน         สำหรับโครงการคุณาลัย เดซี่  ล่าสุด  สามารถทำยอดขายได้แล้ว 125 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องจากโครงการคุณาลัย พรีม ที่ขายดี โดยจะเริ่มโอนในไตรมาส 4 ของปีนี้ ​ ขณะที่โครงการคุณาลัย พาร์โก้ ที่เปิดตัวไปช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา ก็เริ่มทยอยรับรู้รายได้เข้ามาต่อเนื่อง ซึ่งทั้ง 2 โครงการดังกล่าวได้การตอบรับจากกลุ่มลูกค้าอย่างมาก ซึ่งบริษัทตั้งเป้ารายได้จากทั้ง 2 โครงการนี้ในปีนี้ไว้ที่ 300 ล้านบาท   สำหรับทิศทางในครึ่งปีหลัง บริษัทได้วางกลยุทธ์การทางตลาดเพื่อกระตุ้นการขาย รวมถึงกำลังซื้อที่คาดว่าจะฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง  ด้วยการออกแคมเปญโปรโมชั่น  อาทิ โปรฟ้าลั่น ฟรีของแถม 15 รายการ สำหรับโครงการคุณาลัย บีกินส์ 2 ซึ่งเป็นบ้านทาวน์โฮม  นอกจากนี้ยังอยู่ระหว่างการทยอยออกแคมเปญอื่นๆ ออกมาต่อเนื่อง   ส่วนปัจจัยแนวโน้มดอกเบี้ยที่อยู่ในช่วงขาขึ้น ยอมรับว่า จะส่งผลกระทบต่อการกู้ซื้อบ้าน โดยดอกเบี้ยที่เพิ่มทุก1% จะทำให้ภาระการผ่อนสินเชื่อบ้านปรับขึ้นอีกประมาณ 5% - 13% ของยอดผ่อนต่อเดือน (ขึ้นกับระยะเวลาในการผ่อน) ทำให้ผู้ซื้อบ้านมีค่าผ่อนบ้านสูงขึ้นกว่าเดิม หรือถ้าจะคงค่าผ่อนเท่าเดิมก็จะต้องใช้เวลาในการผ่อนยาวขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อการตัดสินใจซื้อบ้านของลูกค้า   ขณะเดียวกัน ยังมีปัจจัยบวก จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่คาดว่าจะฟื้นตัว และมาตรการกระตุ้นของภาครัฐ โดยเฉพาะเรื่องการผ่อนคลายมาตรการ  LTV  ที่ช่วยกระตุ้นการตัดสินใจในการซื้อบ้านของลูกค้าได้ในระดับหนึ่ง   นางประวีรัตน์ กล่าวตอนท้ายว่า ในไตรมาส 4 ปีนี้ ​บริษัทเตรียมเปิดโครงการคุณาลัย นาวาร่า โซนบางขุนเทียน พระราม 2 มูลค่า 3,500  ล้านบาท และคาดว่าจะเปิดขายได้ในไตรมาส 1 ปี 2566 ซึ่งโซนบางขุนเทียน มีการพัฒนาพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ทั้งการปรับปรุงห้างสรรพสินค้าเดิม รวมถึงการก่อสร้างห้างสรรพสินค้าแห่งใหม่   นอกจากนี้ มีการก่อสร้างเส้นทางคมนาคมใหม่ๆ อาทิ ทางด่วนสายพระราม 3-ดาวคะนอง-วงแหวนตะวันตกและทางยกระดับลอยฟ้าบางขุนเทียน-เอกชัย-บ้านแพ้ว โดยทั้ง 2 โครงการคาดว่าจะเปิดใช้งานได้ในปี 2567 และปี 2568 ซึ่งจะทำให้การเดินทางเข้าไปในโซนเมืองสะดวกมากขึ้น ซึ่งปัจจัยดังกล่าว คาดว่าจะส่งผลให้โครงการได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ส่งผลให้โครงการคุณาลัย นาวาร่า จะเป็นอีกหนึ่งโครงการแฟลกชิป (Flagship) ของบริษัท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -วิลล่า คุณาลัย ชู 3 กลยุทธ์ ลุยตลาดอสังหาฯ แนวราบ ปั้นยอดขาย 1,800 ล้าน รายได้โต 15-20%
Malton Gates กรุงเทพกรีฑา – The Gates to Well-Living บ้านเพื่อชีวิตที่สมบูรณ์แบบ

Malton Gates กรุงเทพกรีฑา – The Gates to Well-Living บ้านเพื่อชีวิตที่สมบูรณ์แบบ

Malton Gates กรุงเทพกรีฑา  ถ้าเอ่ยถึง “กรุงเทพกรีฑา” เชื่อว่าตอนนี้หลายๆ คนคงไม่มีใครที่ไม่รู้จักชื่อนี้ ยิ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ย่านกรุงเทพกรีฑามีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว หรือแทบจะเรียกว่าก้าวกระโดดเลยก็ว่าได้ ราคาที่ดินขยับตัวสูงขึ้นจนน่าตกใจ ถ้าเทียบกับเมื่อ 10 ปีที่แล้ว ราคาที่ดินในย่านนี้ราคาปรับสูงขึ้นเกิน 100% เลยทีเดียว ด้วยหลายปัจจัยทั้งการขยายตัวของเมืองก็ดี ทำเลที่ตั้งที่ไม่ไกลจากแหล่งเศรษฐกิจสำคัญ ความหลากหลายในเรื่องของการเดินทาง ถนนตัดใหม่ที่เชื่อมต่อไปยังพื้นที่ต่างๆ รวมถึงโครงการรถไฟฟ้าที่ตัดผ่านถึง 3 สาย จึงไม่น่าแปลกใจถ้า Developer รายใหญ่ๆ ต่างครอบครองที่ดินจำนวนหลายร้อยไร่ในย่านนี้เพื่อการพัฒนาโครงการต่างๆ โดยเฉพาะโครงการบ้านเดี่ยวในระดับ Super Luxury และ Ultra Luxury ที่มีให้เลือกเป็นจำนวนมากในปัจจุบัน จนหลายคนต่างยกพื้นที่ในย่านกรุงเทพกรีฑาเป็น Prime Location ของบ้านหรู แถมยังเคยมีคนเรียกว่าเป็น Beverly Hills เมืองไทยกันเลยทีเดียว   “กรุงเทพกรีฑา” Prime Location เพื่อการอยู่อาศัย สำหรับทำเลกรุงเทพกรีฑาจะอยู่ในโซนตะวันออกของกรุงเทพมหานคร ซึ่งถัดจากโซนพระราม 9, พระโขนง, บางกะปิ, มีนบุรี, ประเวศ และเมื่อถนนศรีนครินทร์-ร่มเกล้า หรือที่เรียกติดปากกันว่า “ถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่” ถนน 6-8 เลนที่เชื่อมตั้งแต่ถนนศรีนครินทร์ ช่วงรามคำแหง 24 ไปจนถึงถนนร่มเกล้าตัดกับถนนเจ้าคุณทหาร ก็ยิ่งทำให้การเดินทางต่อไปยังถนนสายหลักที่สำคัญได้อีกมากมาย รวมถึงเชื่อมต่อกับถนนกาญจนาภิเษก (วงแหวนรอบนอกตะวันออก) และสามารถไปออกมอเตอร์เวย์ (กรุงเทพฯ-ชลบุรี) ได้ด้วย ทำให้ระบบโครงข่ายถนนมีการเชื่อมต่อกันได้ดียิ่งขึ้น     นอกจากการเดินทางที่สะดวกด้วยรถยนต์ส่วนตัวแล้ว ยังมีโครงการรถไฟฟ้าตัดผ่านมากถึง 3 สาย ซึ่งปัจจุบันมี Airport Rail Link เปิดให้บริการแล้ว และยังมีรถไฟฟ้าอีก 2 สายที่อยู่ระหว่างก่อสร้าง รถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-สำโรง) และรถไฟฟ้าสายสีส้ม (บางขุนนนท์-มีนบุรี) ทำให้ในอนาคตผู้อาศัยในย่านกรุงเทพกรีฑาจะมีทางเลือกในการเดินทางเข้าออกเมืองได้สะดวกขึ้นกว่าปัจจุบันอีกหลายเท่าตัว รวมถึงการเดินทางไปยังสนามบินสุวรรณภูมิก็สะดวกเช่นกัน เนื่องจากเป็นทำเลที่อยู่ไม่ไกลและถนนกรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ก็ช่วยเลี่ยงความหนาแน่นจากเส้นทางมอเตอร์เวย์ได้เป็นอย่างดี     สำหรับการอยู่อาศัย นอกจากการเลือกทำเลที่มีการเดินทางที่สะดวกสบายแล้ว ปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน และในย่านกรุงเทพกรีฑาเองก็เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย สามารถตอบโจทย์ทุกคนในครอบครัวได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้าและ Community Mall ขนาดใหญ่อย่าง The Mall บางกะปิ, Seacon Square, Paradise Park, The Park กรุงเทพกรีฑา, Market Place กรุงเทพกรีฑา, Market Today, Kurve 7 รวมถึงซุปเปอร์มาร์เก็ต ร้านอาหารและคาเฟ่อีกมากมาย ในขณะที่ยังรายล้อมไปด้วยโรงเรียนนานาชาติและมหาวิทยาลัยชื่อดัง เช่น Brighton College Bangkok, Wellington College International School Bangkok, Ascot International School Bangkok, International Montessori Center, Stamford International University, มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เป็นต้น และยังใกล้โรงพยาบาลเอกชนชั้นนำ อย่างโรงพยาบาลสมิติเวช ศรีนครินทร์, โรงพยาบาลรามคำแหง และโรงพยาบาลวิภาราม ฯลฯ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนที่ต้องการย้ายออกจากเมือง และกำลังมองหาบ้านใหม่เพื่อขยายครอบครัวเห็นว่าทำเลนี้เป็นโซนที่น่าอยู่ น่าลงทุน อีกทั้งเป็นหนึ่งในพื้นที่สำคัญที่ความสะดวกสบาย ความทันสมัย ความเจริญของเศรษฐกิจจะเติบโตอย่างรวดเร็ว สังเกตได้จากราคาขายบ้านเดี่ยวในย่านนี้ที่ปัจจุบันแทบจะไม่มีราคาต่ำกว่า 10+ ล้านบาทให้เห็นแล้ว Malton Gates – The Gates to Well-Living การเลือกบ้านซักหลังมีหลายปัจจัยที่ต้องให้ความสำคัญ นอกจากเรื่องของทำเลที่ตั้งและการเดินทางที่สะดวกสบายแล้ว คุณภาพของโครงการ บ้าน และสภาพแวดล้อมรอบๆ ก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ยิ่งในปัจจุบันไลฟ์สไตล์การเลือกบ้านต้องเป็นมากกว่าการอยู่อาศัย บ้านจึงต้องสามารถรองรับการเปลี่ยนทุกช่วงวัยของคนในบ้านและตอบโจทย์ชีวิตประจำวันของคนในครอบครัวได้อย่างรอบด้าน เพราะบ้านเป็นที่ที่สะท้อนตัวตนของเจ้าของบ้าน คือรางวัลที่เจ้าของบ้านมีความภาคภูมิใจ   “Malton Gates กรุงเทพกรีฑา” เป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับ Luxury แบรนด์ใหม่ล่าสุดจาก Major Development ที่ปักหมุดบนทำเลส่วนต่อขยายจากใจกลางเมือง (Extended CBD) ผ่านแบบบ้านเดี่ยว 3 Type ที่จะมาตอบโจทย์การอยู่อาศัยแบบ Well-Living ที่ผสานความหรูหราของการใช้ชีวิตที่เหนือระดับครอบคลุมทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้ Timeless Design ในการออกแบบบ้านและการเลือกใช้วัสดุระดับ Top Notch Quality ซึ่งเน้นเรื่องคุณภาพมาเป็นอันดับแรก และด้วยจำนวนยูนิตที่จำกัด มีความเป็นส่วนตัวสูงสุดเพียง 49 ยูนิตเท่านั้น จึงพร้อมสำหรับการสร้างสังคมคุณภาพที่พิเศษกว่าใคร นอกจากนี้การจัดสรรพื้นที่เพื่อการดูแลสุขภาพ รวมถึงการเลือกใช้เทคโนโลยีต่างๆ ทั้งภายในและนอกบ้านก็เพื่อเติมเต็มแนวคิดของการใช้ชีวิตแบบ Well-Living ได้อย่างครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ซึ่งภายใต้แนวคิด 4 แกนหลัก อันได้แก่ Prime Pride Privacy Perfection ถือเป็นองค์ประกอบหลักในการออกแบบโครงการเพื่อรองรับการใช้ชีวิตในวันนี้และอนาคต     Prime ทำเล Prime Location ตามที่เราเกริ่นไปก่อนหน้านี้ ทั้งเรื่องทำเลหรูแห่งใหม่ที่ได้ชื่อว่าเป็น Beverly Hills เมืองไทย ที่มีความสะดวกในการเดินทาง และเป็นศูนย์รวมโครงการระดับพรีเมี่ยม พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกรอบด้าน   Pride การสะท้อนตัวตนผ่านดีไซน์ Classic-Medern Timeless ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของแบบบ้าน ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากเอกลักษณ์ของเมือง Malton ใน North Yorkshire ประเทศอังกฤษ โดยรวมบรรยากาศความเป็นชุมชนชั้นสูง ที่มีความอุดมสมบูรณ์ด้วยภูมิทัศน์อันสวยงาม ประกอบกับบ้านทุกแบบมีเอกลักษณ์ที่อาคารรูปทรงเหลี่ยมย่อมุม เน้นหน้าต่างกรอบลูกฟักสีดำทรงสูงที่ให้ความรู้สึกเรียบหรู สง่างาม เหนือกาลเวลา โดยมีให้เลือกด้วยกันถึง 3 Type 3 ขนาดที่จะมาตอบโจทย์ทุกช่วงวัยของชีวิต   Smithson บ้านเดี่ยว 3 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 403 ตารางเมตร บนที่ดิน 71-90 ตารางวา พร้อมฟังก์ชัน 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ห้องน้ำ (Powder Room) 2 ห้องนั่งเล่น 1 ห้องแม่บ้าน จอดรถได้ 3 คัน     Middleton บ้านเดี่ยว 3 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 448 ตารางเมตร บนที่ดิน 90-108 ตารางวา พร้อมฟังก์ชัน 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 ห้องน้ำ (Powder Room) 2 ห้องนั่งเล่น 1 ห้องแม่บ้าน จอดรถได้ 4 คัน     Livingston บ้านเดี่ยว 3 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 544 ตารางเมตร บนที่ดิน 102-137 ตารางวา พร้อมฟังก์ชัน 5 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 1 ห้องน้ำ (Powder Room) 2 ห้องนั่งเล่น 2 ห้องแม่บ้าน จอดรถได้ 5 คัน     พื้นที่ภายในบ้านทุกหลังชูจุดเด่นด้านการออกแบบมาเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในทุกช่วงวัย ด้วย Multi-Functions Space, Multi-Functions Private Courtyard, Double Volume Living & Dining Area, พื้นที่ชั้น 1 ที่ออกแบบให้สะดวกต่อการใช้ Wheelchair, โถง Foyer ทางเข้าบ้านและห้องเก็บรองเท้า, ลิฟต์ส่วนตัว* รวมถึงพื้นที่ห้องนอนกว้างขวางพร้อมห้องน้ำในตัว เพื่อการอยู่อาศัยแบบ Multi-Generations เป็นครอบครัวใหญ่ Privacy ด้วย Target หลักของโครงการ Malton Gates เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ มีไลฟ์สไตล์ที่โดดเด่น ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ชอบงานสังสรรค์ เข้างานสังคม แต่ในขณะเดียวกันก็ยังต้องการรักษาความเป็นส่วนตัวไว้ด้วย ดังนั้นทางโครงการจึงให้ความสำคัญกับพื้นที่ส่วนกลางที่ต้องให้ทั้งความสวยงาม สงบ และปลอดภัยในทุกพื้นที่ เริ่มตั้งแต่การวางผังที่ดินให้ในแต่ละโซนบ้านมีจำนวนเพียง 2-4 หลังต่อซอย การนำระบบสายไฟฟ้าภายในโครงการลงใต้ดินทั้งหมด จึงทำให้ทัศนียภาพของโครงการดูสวยงามสบายตา รวมถึงการออกแบบถนนในโครงการที่กว้างขวางพร้อมฟุตบาทที่ร่มรื่นด้วยแนวแนวต้นไม้สีเขียวตลอดทางเดิน ซึ่งนอกจากจะให้ร่มเงาแล้วยังช่วยเรื่องการพรางสายตา และลดทอนเสียงรบกวนจากถนนได้อีกทาง และสำคัญที่สุดกับระบบรักษาความปลอดภัยระดับสูงด้วย Double Gates Security บริเวณทางเข้าหลักของโครงการ   ขณะเดียวกัน Facility ส่วนกลางภายในโครงการ Malton Gates ก็ถูกออกแบบมาเพื่อตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ ทุกเพศ ทุกวัย ภายใน Club House ระดับพรีเมี่ยมที่มีครบทุกสิ่งที่ต้องการ โดยแบ่งเป็น 3 โซนหลักดังนี้ Club House A ที่เน้นสำหรับกิจกรรมที่ต้องการความเป็นส่วนตัว Main Lobby Lounge Study Rooms Meeting Room Private Spa Fitness Private Gym   Club House B พื้นที่สำหรับกิจกรรมที่ต้องการพบปะแลกเปลี่ยนแรงบันดาลใจกับเพื่อนบ้านที่มาใช้พื้นที่ร่วมกัน Co-Kitchen Co-Working Space     และโซนสุดท้ายจะเป็น Public Area ซึ่งเน้นกิจกรรมสำหรับครอบครัว ทั้งการออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ และการผักผ่อนอย่างแท้จริง Swimming Pool Kid’s Pool Pool Garden Lounge Kid’s Playground Gates Pavilion Main Park Jogging Trail Pocket Garden Court Perfection อีกหัวใจหลักสุดท้ายของโครงการ Malton Gates กรุงเทพกรีฑา ที่จะให้คุณภาพการใช้ชีวิตสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นคือ การมีสุขภาพที่ดี ได้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ และมี Smart Technology ที่คอยอำนวยความสะดวกในชีวิตประจำวัน รวมถึงการเลือกใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม (Eco Friendly) เช่น การออกแบบบ้านที่เป็นมิตรกับการใช้รถเข็น (Universal Design), การเลือกใช้ Wellness Materials อย่าง Absorption Floor วัสดุปูพื้นที่ช่วยในการลดแรงกระแทก ในกรณีเกิดการหกล้มของเด็กและผู้สูงอายุ รวมถึงการเลือกใช้สีทาบ้านแบบ Low Voc ที่มีสารอินทรีย์ระเหยต่ำ   นอกจากนี้ยังมีการเลือกใช้นวัตกรรม Hygiene Technology – UV Care254 Airflow มาฆ่าเชื้อโรคในอากาศโดยใช้รังสี UV-C ซึ่งปลอดภัยต่อคนและสัตว์, การติดตั้ง Solar Attic ระบบบ้านเย็นที่จะมาช่วยระบายความชื้นใต้หลังคา รวมถึงการกรองเชื้อโรค ฟอกอากาศ และลด PM2.5 อีกทั้งยังเติมออกซิเจนให้ภายในบ้าน และส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้ในบ้านปัจจุบัน คือ การติดตั้ง Home Automation เพื่อความสะดวกภายในบ้าน ตลอดจนการติดตั้ง Touchless Technology สำหรับสุขภัณฑ์ภายในห้องน้ำ เพื่อลดการสัมผัสกับเชื้อโรค และการเตรียม EV Charger มาพร้อมตัวบ้าน เพื่อรองรับการใช้รถไฟฟ้าอย่างแพร่หลายในอนาคตอีกด้วย   ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ นับเป็นรายละเอียดสำคัญที่ทำให้บ้านของโครงการ Malton Gates กรุงเทพกรีฑา แตกต่างจากบ้านโครงการอื่นๆ ในระดับเดียวกัน ซึ่งเป็นความใส่ใจในการออกแบบเพื่อการอยู่อาศัยที่เป็นมิตรกับทุกคน และยังตอบโจทย์การใช้ชีวิตด้วยความลงตัวในทุกมิติได้อย่างแท้จริง   ประตูสู่สังคมเหนือระดับ Malton Gates กรุงเทพกรีฑา บ้านเดี่ยว Super Luxury ในราคาเริ่มต้น 38 ล้านบาท* บ้านที่ตอบโจทย์คุณภาพชีวิตที่เหนือระดับได้อย่างสมบูรณ์แบบทั้งการพักผ่อน การอยู่อาศัย และทุกกิจกรรมของทุกช่วงวัยในครอบครัว ท่ามกลางสังคมคุณภาพสุด Exclusive เพียง 49 ยูนิต บนทำเล Extended CBD ที่เพียบพร้อมไปด้วยความสะดวกสบายรอบด้าน เพื่อทุกไลฟ์สไตล์อย่างแท้จริง พร้อมเปิดขาย กันยายน 2565 สนใจลงทะเบียนล่วงหน้า คลิก https://bit.ly/3OLIZWM     โครงการอื่นๆ ที่น่าสนใจ แสนสิริ เดินหน้าโปรเจ็กต์ “กรุงเทพกรีฑา คอมมูนิตี้” เปิดอีก 3 โครงการ รีวิวบ้านเดี่ยว พฤกษา “The Palm Krungthep กรุงเทพกรีฑา-วงแหวน” รีวิว บ้าน Nirvana BEYOND พระราม 9-กรุงเทพกรีฑา  
พฤกษา ลุย  3 ธุรกิจหลัก สร้างการเติบโตยั่งยืน  โชว์ผลงาน Q2 ทำรายได้ 5,389 ล้าน

พฤกษา ลุย 3 ธุรกิจหลัก สร้างการเติบโตยั่งยืน โชว์ผลงาน Q2 ทำรายได้ 5,389 ล้าน

พฤกษา จับมือ กันกุล ตั้งบริษัทร่วมทุนให้บริการด้านโซลาร์เซลล์ เดินหน้าตามแผนกลยุทธ์การลงทุน  พร้อมสานต่อพันธกิจด้านสุขภาพเปิดบริการ “วิมุต เวลเนส” แห่งแรกในชุมชนพฤกษา อเวนิว ย่านบางนา-วงแหวน  โชว์ผลงานไตรมาส 2 มีรายได้รวม 5,389 ล้าน​ มีกำไรสุทธิที่ 430 ล้านบาท ​   นายอุเทน โลหชิตพิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท พฤกษา โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงผลประกอบการของบริษัทในไตรมาส 2 ปี 2565 มีรายได้รวมที่ 5,389 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้น 31.0% และมีกำไรสุทธิที่ 430 ล้านบาท ดีขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว  โดยมีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยสุทธิต่อทุนต่ำ (Net Gearing Ratio) ที่ 0.39 เท่า   ในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มียอดขาย (Presale) อยู่ที่ 6,342 ล้านบาท เติบโตจากไตรมาสก่อน 19% และยอดโอน (Revenue) รวม 5,101 ล้านบาท ทำอัตรากำไรขั้นต้นได้ดีขึ้นที่ 32.4 % และรายงานกำไรสุทธิอยู่ที่ 527 ล้านบาท และจากผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรก พฤกษาจึงได้พิจารณาอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลประจำปี 2565  ให้กับผู้ถือหุ้นได้ในอัตราหุ้นละ 0.31 บาท สำหรับในช่วงครึ่งปีแรกเปิดโครงการใหม่  8 โครงการ มูลค่ารวม 3,627 ล้านบาท สำหรับในครึ่งปีหลัง 2565 มีแผนเปิดโครงการใหม่อีก 23 โครงการ แบ่งเป็นโครงการทาวน์เฮาส์ 15 โครงการ บ้านเดี่ยว 5 โครงการ และ คอนโดมิเนียม 3 โครงการ มูลค่ารวม 12,700 ล้านบาท   โดยพฤกษามุ่งดำเนินงานเพื่อสร้างความเติบโตอย่างยั่งยืน ภายใต้กรอบแนวคิด “พฤกษา...ใส่ใจเพื่อทั้งชีวิต Tomorrow. Reimagined.” ให้ความสำคัญต่อ 3 แกนหลักที่เปลี่ยนแปลงตามเมกะเทรนด์โลก ได้แก่ เทรนด์วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลง (lifestyle Disruption)  เทรนด์ความใส่ใจเรื่องสุขภาพ (Health & Wellness) และการพัฒนาธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) โดยวางกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นโมเดลธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ล่าสุด ได้จับมือร่วมกับ บริษัท กันกุล เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด (มหาชน) จัดตั้งบริษัทร่วมทุนภายใต้ชื่อ “บริษัท ปัน นิวเอนเนอจี จำกัด” สัดส่วนการถือหุ้น 50:50  ความร่วมมือกับกันกุลเอ็นจิเนียริ่งในครั้งนี้ ถือเป็นการต่อยอดและสร้างจุดแข็งใหม่สำหรับโครงการของพฤกษา โดยมีเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจ จำหน่ายและติดตั้ง Solar Roof มูลค่าโครงการร่วม 1,500 ล้านบาท ทั้งการขายติดตั้งแบบเบ็ดเสร็จ ( EPC)  และการซื้อขายพลังงานแสงอาทิตย์  มีผลตอบแทนส่วนลดค่าไฟในระยะยาว (PPA) เพื่อช่วยลูกค้าลดเงินลงทุน และได้ใช้ไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด   โดยมีการคิดค่าไฟฟ้าที่ช่วยลดค่าใช้จ่ายให้ลูกค้าได้ด้วย และสามารถให้บริการลูกค้าได้กว่า 12,500 ครัวเรือน ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ประมาณ 126,000 ตัน ภายในระยะเวลา 5 ปี นอกจากนี้ยังมีแผนทดลองโมเดลหมู่บ้านที่ใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ทดแทนการใช้ไฟฟ้า ไปจนถึงการขยายสู่ธุรกิจด้านเทคโนโลยีจัดเก็บพลังงานในอนาคตอีกด้วย ถือเป็นการสร้างประโยชน์ต่อลูกบ้านในการประหยัดค่าไฟฟ้าและช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมในระยะยาว   สำหรับพันธกิจว่าด้วยเรื่องสุขภาพ (Health & Wellness)  โรงพยาบาลวิมุตผ่านการรับรองคุณภาพจากสถาบันรับรองคุณภาพสถานพยาบาล (องค์การมหาชน) HA ขั้นที่2  โดยในไตรมาส 2 ปี 2565  มีรายได้ส่วนโรงพยาบาลวิมุต พหลโยธิน 203 ล้านบาท เติบโตจากไตรมาสก่อน 26%  นอกเหนือจากบริการในโรงพยาบาลที่ได้ทีมแพทย์และเครื่องมือแพทย์เฉพาะทางเพิ่มขึ้นหลายศูนย์ วิมุตยังขยายบริการไปนอกโรงพยาบาล เพื่อช่วยยกระดับการดูแลสุขภาพของคนไทย โดยใช้เงินลงทุน 90 ล้านบาท ในการสร้างศูนย์ดูแลและฟื้นฟูสุขภาพสำหรับครอบครัวและผู้สูงอายุ “วิมุต เวลเนส”  แห่งแรก เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่ 12 สิงหาคม 2565 เป็นต้นไป ด้วยแนวคิดของ “อยู่ดี มีสุข” (Live Well, Stay Well)  เป็นจุดเริ่มต้นของการมีชีวิตที่ดีทั้งในวันนี้และอนาคต พฤกษาจึงได้นำ วิมุต เวลเนส มาร่วมในการพัฒนาพฤกษา อเวนิว บางนา วงแหวน พัฒนาที่อยู่อาศัยตั้งแต่การออกแบบบ้านให้เป็นบ้านเพื่อสุขภาพ (Healthy Home) สำหรับทุกวัย ไปจนถึงให้บริการดูแลสุขภาพถึงบ้านด้วยแพทย์เฉพาะทาง รวมทั้งบริการผ่านระบบออนไลน์ (Telemedicine) เพื่อจะสร้างโครงการให้เป็นชุมชนสุขภาพดี (Wellness Living Community) อย่างครบวงจรแห่งแรกในวงการอสังหาริมทรัพย์   วิมุต เวลเนสแห่งนี้ให้บริการในรูปแบบโรงพยาบาลกายภาพบำบัด บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป เจาะเลือด ตรวจสุขภาพ ฉีดวัคซีน กายภาพบำบัด ธาราบำบัด มีบริการดูแลผู้สูงอายุ รายวัน / รายสัปดาห์ / รายเดือน โดยทีมแพทย์เวชศาสตร์ครอบครัว แพทย์โรคหัวใจ และสหสาขาวิชาชีพ 24 ชั่วโมง  ถือเป็นการลงทุนต่อยอดบริการด้านสุขภาพที่ตอบโจทย์การเข้าถึงบริการสุขภาพตั้งแต่อยู่ที่บ้าน ทำให้ผู้อยู่อาศัยในโครงการ และชุมชนใกล้เคียงอุ่นใจ เพราะมีโรงพยาบาลอยู่ใกล้แค่เอื้อม เป็นอีกหนึ่งสเต็ปที่เข้ามาเติมเต็มโมเดลการพัฒนาบ้านสุขภาพดีของพฤกษาที่มุ่งผสานความแข็งแกร่งจาก 2 ธุรกิจได้แก่ เรียลเอสเตท และ เฮลท์แคร์ นายอุเทน กล่าวตอนท้ายว่า ด้านเทรนด์การอยู่อาศัยภายใต้ไลฟ์สไตล์ใหม่ เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับชีวิตคนอย่างเห็นได้ชัด พฤกษาจึงให้ความสำคัญกับพันธกิจด้านนวัตกรรมเพื่อการใช้ชีวิตและการมีสุขภาพดี ที่ผ่านมาได้ร่วมลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพไทยด้าน Prop Tech และ Health Tech ผ่านโครงการการลงทุนในกิจการสตาร์ทอัพ ( Corporate Venture) โดยในครึ่งปีแรก ได้ลงทุนใน “ Naluri (นัลลูรี่)“ ผู้ให้บริการด้านการดูแลสุขภาพดิจิทัล (Digital Preventive Wellness )  เฮลท์เทคจากมาเลเซีย และ “AMILI” บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพด้านจุลชีพในระบบทางเดินอาหารที่มีความแม่นยำแห่งแรกและแห่งเดียวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จากสิงคโปร์   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -9 บทสรุป ผลประกอบการพฤกษา Q1/65 และทิศทางไปต่อ -พฤกษา เตรียมงบลงทุน 10,000 ล้านปี 65 พร้อมขยายธุรกิจ “พร็อพเทค-เฮลท์เทค” ​
เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้  ​โชว์กำไร 6 เดือน เฉียดพันล้าน  หลังใช้ธุรกิจเชิงรุก -ผลดีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ​โชว์กำไร 6 เดือน เฉียดพันล้าน หลังใช้ธุรกิจเชิงรุก -ผลดีการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ

เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ​ประกาศผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกปี​ 65 ทำรายได้​ 7,788 ล้าน กำไรเฉียดพันล้าน ตามเป้า อานิสงค์ประยุกต์ใช้แผนกลยุทธ์ธุรกิจเชิงรุก  และการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจภายในประเทศ ขณะที่ผลงานรอบเม.ย.-มิ.ย. ทำรายได้ 4,374 ล้าน กำไร 680 ล้าน ครึ่งปีหลังเตรียมเปิดโครงการที่อยู่อาศัยอีก​ 12 โครงการ   นายธนพล ศิริธนชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (Country Chief Executive Officer) บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ FPT  เปิดเผยถึง​ผลการดำเนินงานรอบ 6 เดือนแรกของปีนี้ (มกราคม-มิถุนายน 2565) ว่า สามารถสร้างรายได้จำนวน 7,788 ล้านบาท มีกำไรสุทธิ 991 ล้านบาท  ส่วนรายได้รวมในรอบ 3 เดือน (เมษายน-มิถุนายน 2565) ในจำนวน 4,374 ล้านบาท คิดเป็นกำไรสุทธิจำนวน 680 ล้านบาท  และสามารถรับรู้อัตรากำไรขั้นต้นในสัดส่วนที่สูงขึ้น 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่แล้ว   ผลการดำเนินงานดังกล่าวบริษัทพอใจและเป็นไปตามที่วางแผนไว้ ซึ่งไตรมาสที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่บริษัทได้เริ่มเก็บเกี่ยวผลสำเร็จ จากความพยายามของในการปรับตัว ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจ ผ่านแผนกลยุทธ์การรุกตลาด และการจับกลุ่มลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น   โดยบริษัทจะยังคงมุ่งเน้นให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมสินค้าและบริการที่ทันสมัย เพื่อส่งมอบประสบการณ์และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา พร้อมกับสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์ “เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย” ให้เป็นแบรนด์ในใจลูกค้า ในภาพรวมของรอบปฎิทินไตรมาสที่สอง ปี 2565 บริษัทฯ ได้ออกหุ้นกู้ในมูลค่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งได้รับความสนใจจากนักลงทุนกลุ่มผู้มีความมั่งคั่งสูง (High Net Worth Individuals) และ กลุ่มสหกรณ์อย่างล้นหลาม สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในศักยภาพของแพลตฟอร์มอสังหาฯ ครบวงจร และผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของเฟรเซอร์ โดยบริษัทฯจะนำเงินที่ได้จากครั้งนี้ไปชำระคืนเงินกู้ รวมถึงใช้เป็นเงินทุนขยายธุรกิจ และเงินทุนหมุนเวียนในปี 2565   สำหรับ "เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม" กลุ่มธุรกิจอสังหาฯ เพื่อที่อยู่อาศัย มีการปรับกลยุทธ์ธุรกิจ ด้วยการ พัฒนาโครงการบ้านเดี่ยวเพิ่มมากขึ้น เพื่อขยายเซ็กเมนต์ของกลุ่มลูกค้ากำลังซื้อสูง  ซึ่งในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ได้เปิดโครงการไปแล้ว  6 โครงการ มูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท  มีระดับราคา  2-35 ล้านบาท จากทั้งหมด 18 โครงการ  ซึ่งในช่วงครึ่งหลังของปี 2565  บริษัทมีแผนเปิดโครงการบ้านเดี่ยว บ้านแฝด  ทาวน์โฮม และโครงการต่างจังหวัด อีก 12 โครงการ   กลุ่มธุรกิจ “เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล” และ กลุ่มธุรกิจ “เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ คอมเมอร์เชียล” ในครึ่งปีแรกมีรายได้ที่ 597 ล้านบาท โดยธุรกิจโรงงานและคลังสินค้ายังมีอัตราการเช่ารวมสูงถึง  85.4%  และยังได้รับอานิสงส์จากการชะลอการส่งออก ที่ทำให้มีดีมานด์เช่าคลังสินค้าระยะสั้นเข้ามาเพิ่ม  ซึ่งคาดการณ์ว่าจะส่งผลยาวถึงสิ้นปี 2565   สำหรับไตรมาสที่ผ่านมา เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ อินดัสเทรียล ได้เพิ่มสัดส่วนการลงทุนเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ของโครงการคลังสินค้าสมัยใหม่ที่ประเทศอินโดนีเซีย  ตั้งอยู่ในเมืองคาราวัง เมืองมากัซซาร์ และ เมืองบันจาร์มาซิน ทำให้พอร์ตโฟลิโอในต่างประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 150,000 ตารางเมตร  ทำให้มีพอร์ต อสังหาฯ  เพื่ออุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นเป็น 3.25 ล้านตารางเมตร นอกจากนี้ ยังมีการทยอยขายทรัพย์ให้กับทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาฯ และสิทธิการเช่าอสังหาฯ เพื่ออุตสาหกรรม FTREIT ซึ่งส่งผลให้ไตรมาสล่าสุดมีรายได้พิเศษรวมเป็นจำนวน 622 ล้านบาท ด้านธุรกิจอสังหาฯ  เพื่อพาณิชยกรรม สามารถรักษาอัตราการเช่าได้ในระดับสูง ในส่วนอาคารสำนักงานสามารถรักษาระดับผู้เช่าไว้ได้กว่า 90% โดยมุ่งเน้นการให้บริการแบบใหม่ Core & Flex ที่ผสานการให้บริการพื้นที่สำนักงานแบบมาตรฐานและแบบยืดหยุ่น เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้เช่าได้อย่างครอบคลุม   สำหรับ 2 โครงการมิกซ์ยูส “สีลมเอจ” ที่อยู่ระหว่างการพัฒนา บริษัทพัฒนาได้คืบหน้าตามเป้าหมาย โดยจะเปิดให้บริการเป็นครั้งแรกในเดือนกันยายน 2565 นี้  ซึ่งเป็นช่วงระยะเวลาเดียวกับที่บริษัทจะส่งมอบโครงการศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ให้แก่ บริษัท เอ็น.ซี.ซี. แมนเนจเม้นท์ แอนด์ ดิเวลลอปเม้นท์ จำกัด ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ การเดินหน้าเปิดประเทศยังขับเคลื่อนให้ประชาชนมีการจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น จะส่งผลให้ธุรกิจศูนย์การค้า สามย่านมิตรทาวน์กลับมาคึกคัก และธุรกิจโรงแรมเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮม ปรับแผนธุรกิจปี 65 เพิ่มพอร์ต บ้านหรู ปูทางโตอย่างยั่งยืน เล็งรายได้คอนโด 20% -เฟรเซอร์สฯ ชู 4 กลยุทธ์ลุยธุรกิจรีเทล เตรียมเปิด “สีลมเอจ” เพิ่มพื้นที่ 24 ชั่วโมง
สรุปไทม์ไลน์ 25 ปี มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ  จากวิกฤตต้มยำกุ้งถึงพิษโควิด-19 (ตอนที่ 1)

สรุปไทม์ไลน์ 25 ปี มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ จากวิกฤตต้มยำกุ้งถึงพิษโควิด-19 (ตอนที่ 1)

มาตรการกระตุ้นอสังหาฯ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ถือเป็นธุรกิจที่มีมูลค่ามหาศาล และช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ รวมถึงยังเกี่ยวข้องกับหลายธุรกิจ มีคนจำนวนมากในอุตสาหกรรมนี้ คาดว่ามีการจ้างงานรวมกว่า 2.8 ล้านคน ​ซึ่งธุรกิจอสังหาฯ มีหลากหลายประเภทมาก อาทิ ธุรกิจโรงแรม สำนักงานให้เช่า นิคมอุตสาหกรรม ที่พักอาศัย เฟอร์นิเจอร์และวัสดุก่อสร้าง เป็นต้น ด้วยความที่ธุรกิจอสังหาฯ มีมูลค่าตลาดสูง และเกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก ทำให้ทุกรัฐบาลต่างก็ให้ความสำคัญ พยายามส่งเสริม และกระตุ้นให้ธุรกิจนี้มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวหรือเกิดภาวะวิกฤต​ รัฐบาลมักจะมีมาตรการออกมาช่วยเหลือ และกระตุ้นให้ธุรกิจอสังหาฯ มีการเติบโตต่อเนื่อง   โดยตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ของประเทศ อย่างวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 หรือวิกฤตต้มยำกุ้ง  จนถึงปัจจุบัน ซึ่งเกิดปัญหาการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 รัฐบาลได้ออกมาตรการทางด้านภาษี และด้านการเงิน มาช่วยพยุงเศรษฐกิจ รวมถึงธุรกิจอสังหาฯ ที่ได้รับผลกระทบอย่างมาก โดยรัฐบาลคาดหวังว่าจะช่วยพยุงไม่ให้ธุรกิจต้องชะลอตัวลงมาก และต้องการให้ภาพรวมเศรษฐกิจมีอัตราการเติบ หรืออย่างน้อยไม่ทรุดตัวลงหนัก   นับตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้ง จนถึงปัจจุบัน  มีระยะเวลายาวนานถึง 25 ปีแล้ว ซึ่งตลอดระยะเวลาทั้งหมด  ธุรกิจอสังหาฯ ต้องเผชิญกับปัญหาด้านเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ที่ทำให้ธุรกิจต้องได้รับการช่วยเหลือ เพื่อให้ยังเดินหน้า หรือไม่ชะลอตัวลง โดยส่วนใหญ่เมื่อเกิดปัญหาที่มากระทบกับธุรกิจ ทำให้รัฐบาลต้องออกมาตรการมาช่วยเหลือเสมอ   ส่วนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีมาตรการอะไรบ้าง ที่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการพยุงเศรษฐกิจและธุรกิจอสังหาฯ  มาดูไทม์ไลน์ตลอดระยะเวลา 25 ปี กับบทสรุปไทม์ไลน์ มาตรการกระตุ้นอสังหา จากวิกฤตต้มยำกุ้งถึงพิษโควิด-19 โดยเนื้อหาจะแบ่งออกเป็น 3 ตอน ตอนที่ 1  จากต้มยำกุ้งถึง การตั้งศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ก่อนหน้าที่จะเกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ต้องยอมรับว่าธุรกิจอสังหาฯ บูมสุด ๆ โดยเฉพาะในช่วงปี 2537-2538 เรียกได้ว่าเป็นยุคทองคำของตลาดอสังหาฯ แต่ก็เกิดภาวะฟองสบู่ในธุรกิจอสังหาฯ ช่วงปี 2539 พอถึงปี 2540 ได้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในเอเชีย ซึ่งส่งผลกระทบมาถึงประเทศไทย และในช่วงปีนั้นรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้ประกาศลดค่าเงินบาท​ ​ทำให้หลายธุรกิจได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง โดยเฉพาะสถาบันการเงิน และธุรกิจอสังหาฯ  ​   โดยวิกฤตต้มยำกุ้งได้ส่งผลกระทบอย่างต่อเนื่องยาวนานหลายปี  ทำให้รัฐบาลต้องมีมาตรการออกมากระตุ้น และพยายามสร้างการเติบโตให้กับเศรษฐกิจของไทย ส่วนธุรกิจอสังหาฯ ซึ่งมีซัพพลายเหลือจำนวนมาก รัฐบาลก็มีมาตรการสำคัญ ๆ ออกมาหลายช่วงปีด้วยกัน รวมถึงการศึกษาและจัดตั้งศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ ขึ้นมาเพื่อเป็นหน่วยงานสำคัญในการจัดเก็บและบริหารข้อมูลในธุรกิจอสังหาฯ  ส่วนมาตรการกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯ ในแต่ละปีมีดังนี้ ​ ปี 2540 มีการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยดอกเบี้ยต่ำ อัตรา 9% ผ่านธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) และธนาคารออมสิน ปี 2541 ได้มีการเพิ่มสัดส่วนการถือครองอาคารชุด (คอนโดมิเนียม) ของคนต่างชาติจากเดิมที่ให้สัดส่วน 40% ของพื้นที่ทั้งหมด ของโครงการ  เป็นสัดส่วน 49% เนื่องจากต้องการกำลังซื้อจากชาวต่างชาติเข้ามาช่วยกระตุ้นธุรกิจอสังหาฯ ให้เติบโตมากขึ้น โดยสัดส่วนดังกล่าวใช้มาจนถึงปัจจุบัน   นอกจากนี้ ยังมีการใช้มาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยจากอัตรา 2% ลดลงเหลือ 0.01% และลดค่าจดทะเบียนการจดจำนองจากอัตรา 1%  เหลือ 0.01% ซึ่งมีระยะเวลาการบังคับใช้สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2542 ปี 2542 รัฐบาลได้ให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ออกพันธบัตรวงเงิน  46,000 ล้านบาท เพื่อใช้ในการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยของธอส. โดยแบ่งเป็นวงเงิน จำนวน 21,000 ล้านบาท  ธอส. ปล่อยให้กับประชาชนเข้ามากู้ ซึ่งสามารถผ่อนชําระได้นานถึง 30 ปี คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ทุก 3 หรือ 5 ปี ส่วนวงเงินที่เหลืออีก 25,000 ล้านบาท ให้ ธอส. ปล่อยกู้แก่สถาบันการเงินอื่นเพื่อนําไปปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัย   นอกจากนี้  บรรษัทตลาดรองสินเชื่อที่อยู่อาศัย ยังได้ออกพันธบัตรวงเงิน 4,000 ล้านบาท เพื่อนํามาซื้อ สินเชื่อที่อยู่อาศัยจากสถาบันการเงินอื่น ๆ ไปบริหารต่อด้วย และให้การเคหะแห่งชาติ (กคช.) รับซื้อโครงการที่อยู่อาศัยที่ก่อสร้างเกินกว่า 50% แต่ยังพัฒนาไม่เสร็จมาดำเนินการต่อจนแล้วเสร็จ ภายในวงเงินลงทุนไม่เกิน 15,000 ล้านบาท  พร้อมกับขยายระยะเวลามาตรการลดหย่อนค่าจดทะเบียนโอนอสังหาฯ จาก 2% เหลือ 0.01% ของราคาประเมิน ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2543 ปี 2543 จากสภาพเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ซึ่งภาพรวมยังไม่เติบโตเป็นปกติ รัฐบาลจึงได้ขยายระยะเวลามาตรการ การลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาฯ จาก 2% เหลือ 0.01% ไปสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม​ 2544 และขยายขอบข่ายการลดค่าธรรมเนียมดังกล่าวให้รวมถึงการโอนที่ดินเปล่า ที่ได้รับอนุญาตจัดสรร และการโอนอาคาร หรือที่ดินโดย กคช. หรือหน่วยงานราชการที่มี อำนาจทำการจัดสรรที่ดินตามกฎหมายอีกด้วย   นอกจากนี้ ยังมีมาตรการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อ เช่าซื้อ หรือสร้างอาคาร ที่อยู่อาศัย เพิ่มเติมจากเดิมที่ยกเว้นภาษีฯ ให้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท เป็นไม่เกิน 50,000 บาท และขยายสิทธิประโยชน์ข้างต้นให้ครอบคลุมถึงการซื้อ หรือเช่าซื้ออาคาร ที่อยู่อาศัยมากกว่า 1 หลัง รวมถึงดอกเบี้ยที่เกิดจากการกู้ยืมใหม่เพื่อชดใช้เงินกู้ยืมเดิม (Refinance) มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2543   รวมถึงยังมีการใช้มาตรการลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะสำหรับรายรับจากการขายอสังหาฯ ที่เป็นทางการค้าหรือหากำไร ทุกประเภท จาก 3.3%  เหลือ 0.11%  ของรายรับก่อนหักรายจ่าย โดยให้มีผลบังคับใช้ ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2544  และการขยายระยะเวลาการถือครองอสังหาฯ ของสถาบันการเงินที่ได้รับโอนมาก่อนวันที่ 1มกราคม​ 2540 ออกไปอีก 5 ปี นับจากวันที่ครบกำหนดต้องจำหน่าย หรือวันที่ครบกำหนดผ่อนผัน และในปีนี้เองรัฐบาลได้ประกาศให้มีการเริ่มดำเนินการโครงการศึกษาเพื่อจัดตั้งศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติขึ้น ปี 2544 รัฐบาลยังคงดำเนินนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านธุรกิจอสังหาฯ ต่อเนื่อง โดยได้มีการอนุมัติให้ธอส.ปล่อยสินเชื่อ100% สำหรับข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ เพื่อซื้อที่อยู่อาศัย รวมถึงยัง​ปล่อยสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยให้กับข้าราชการสมาชิกกบข. และยังได้​ขยายระยะเวลามาตรการ การลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาฯ จาก 2% เหลือ 0.01%  และค่าจดทะเบียน การจำนองอสังหาฯ จาก 1%  เหลือ 0.01% โดยไปสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2545 ปี 2545 มีการขยายเวลาการลดอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะที่เรียกเก็บจากการขายอสังหาฯ ในอัตรา  3.3%  ลงเหลือ​ 0.11%  จากเดิมที่สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2546 และขยายเวลาการเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิ และนิติกรรมตามประมวลกฎหมาย ที่ดิน และกฎหมายว่าด้วยอาคารชุด ในอัตรา  0.01%  จากเดิมที่สิ้นสุด 31 ธ.ค. 2545 ออกไปอีก 1 ปี และ   นอกจากนี้ ยังมีการออกมาตรการ​ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่เรียกเก็บจากเงินได้จากการขายอสังหาฯ เพื่อนำรายได้ไป ซื้ออสังหาฯ ที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ ทั้งนี้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกินมูลค่าอสังหาฯ ที่ซื้อใหม่ โดยผู้ขายต้องใช้อสังหาฯ ที่ขายเป็นที่อยู่อาศัย ต้องมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี นับถึงวันที่ได้ขายอสังหาฯ นั้น และผู้ขายต้องซื้ออสังหาฯ ที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยใหม่ก่อนหรือ หลังการขายอสังหาริมทรัพย์ดังกล่าว ภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 ปี ปี 2547 หลังจากเกิดวิกฤตการณ์ทางการเงินในปี 24540 ซึ่งธุรกิจอสังหาฯ มีบ้านและคอนโดเหลือค้างอยู่ในตลาดจำนวนมาก และเป็นหนึ่งในสาเหตุของการเกิดวิกฤตขึ้น ทำให้รัฐบาลมองเห็นความสำคัญของระบบข้อมูล ที่ควรจะมีเพื่อเป็นเครื่องเตือนผู้ประกอบการ จึงควรจะมีการจัดตั้ง ”ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์” ขึ้นในประเทศไทย เพื่อเป็นหน่วยงานกลางให้ทำหน้าที่หลักในการจัดเก็บรวบรวมข้อมูล​ ที่กระจายอยู่ตามหน่วยงานต่าง ๆ มาประมวลผลเป็นข้อมูลภาพรวมของประเทศ และนำมาเผยแพร่​ เพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดวิกฤตในอนาคต   ในวันที่ 17 สิงหาคม 2547  ครม.จึงมีมติ ภายใต้การนำเสนอของกระทรวงการคลัง​ จัดตั้ง”ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์” ขึ้น โดยเป็นหน่วยงานอิสระระดับสายงานภายใต้การกำกับดูแลของธนาคารอาคารสงเคราะห์ การดำเนินงานอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของคณะกรรมการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังขึ้น​  โดยได้เริ่มดำเนินงานอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2547 ปี 2548 มีการออกมาตรการภาษีและค่าธรรมเนียมเพื่อส่งเสริมตลาดบ้านมือสอง การลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาฯ จาก​ 2% เหลือ 0.01% และค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาฯ จาก 1%  เหลือ 0.01% โดยมีระยะเวลาสิ้นสุดในวันที่ 31ธันวาคม​ 2550   นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลนายหน้าอสังหาริมทรัพย์ภายใต้การกำกับของกระทรวงการคลัง  เพื่อขึ้นบัญชีรายชื่อบริษัทตัวแทนและนายหน้า ไว้ที่ศูนย์ข้อมูลนายหน้าอสังหาริมทรัพย์  และให้มีการยกร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับตัวแทนและนายหน้าอสังหาริมทรัพย์   ติดตามต่อตอนที่ 2  วิกฤตการเมืองไทย สลายการชุมนุมคนเสื้อแดง ที่มา - ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธอส. อ่านบทความที่เกี่ยวข้อง -ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ แนะตลาดบ้าน-คอนโด ต้องต้องเฝ้าระวัง  5 เรื่องนี้
เอพี ไทยแลนด์ โชว์ครึ่งปีแรกกวาดรายได้ 25,276 ล้าน พร้อมผลงานทำกำไรโต 31%

เอพี ไทยแลนด์ โชว์ครึ่งปีแรกกวาดรายได้ 25,276 ล้าน พร้อมผลงานทำกำไรโต 31%

เอพี ไทยแลนด์ โชว์รายได้ครึ่งปีแรก 25,276 ล้าน โตกว่า 23% ขายดีทั้งบ้านและคอนโด แถมตุนกำไรกว่า 3,304 ล้าน  โต 31% ครึ่งปีหลังยังขน 160 โครงการมูลค่ากว่า 122,350 ล้าน สร้างรายได้ต่อเนื่อง มั่นใจทำได้ตามเป้า 47,000 ล้าน   นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน)  เปิดเผยว่า ในครึ่งปีแรกบริษัทสามารถสร้างรายได้รวม  จากสินค้าแนวราบ กลุ่มคอนโดมิเนียม (100% JV) และธุรกิจอื่น ๆ สูงสุดถึง 25,276 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 23% หากเทียบกับครึ่งปีแรกของปี 2564 ที่ทำได้ 20,506 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิมากถึง  3,304  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31%  จากงวดเดียวกันของปีก่อนหน้าที่มีกำไรสุทธิรวมเท่ากับ 2,518 ล้านบาท  ขณะที่สัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเท่ากับ 0.51 เท่า พร้อมกับมีวงเงินสด (Availably Credit Line ) พร้อมใช้กว่า 13,607 ล้านบาท เอพี ยังคงสร้างการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง สะท้อนได้จากอัตราการเติบโตทางตัวเลขที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขรายได้รวม กำไร ยอดขาย ตลอดจนจำนวนการเปิดตัวโครงการใหม่ที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งทั้งหมดคือความสำเร็จจากการเตรียมองค์กรให้พร้อมตั้งรับกับทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น   ทั้งนี้ กลุ่มสินค้าแนวราบทั้งบ้านเดี่ยว และทาวน์โฮมยังคงเป็นคีย์ไดร์ฟสำคัญ ในการสร้างรายได้ให้กับเอพี ควบคู่กับการกลับมาของตลาดคอนโด ที่มีการรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในไตรมาส 3 นี้บริษัทเตรียมรับรู้รายได้เพิ่ม จากการโอนกรรมสิทธิ์ 2 คอนโดใหม่ที่ก่อสร้างเสร็จ ได้แก่ RHYTHM เอกมัย เอสเตท และ LIFE สาทร เซียร์รา ซึ่ง ณ วันที่ 31 กรกฎาคม บริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) มากถึง 33,637 ล้านบาท จึงมั่นใจว่าจะสามารถสร้างรายได้รวม ได้ตามเป้าหมายรายได้ทั้งปี 47,000 ล้านบาท ตามที่วางไว้ได้อย่างแน่นอน ถึงแม้จะต้องดำเนินธุรกิจท่ามกลางความผันผวน ไม่ว่าจะเป็นภาวะเงินเฟ้อ การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมัน ตลอดจนการปรับตัวขึ้นของต้นทุนด้านต่าง ๆ แต่บริษัทยังคงสร้างนิวเรคคอร์ดด้านตัวเลขอย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นเดือนกรกฎาคม เอพีมียอดขายมากถึง 29,960 ล้านบาท หรือคิดเป็น 60% ของเป้ายอดขายที่ตั้งไว้ที่ 50,000 ล้านบาท  ซึ่งคิดเป็นยอดขายที่เติบโตขึ้นกว่า 45% หากเทียบกับครึ่งปีก่อนหน้า โดยมีสินค้าซูเปอร์สตาร์อย่างบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮมที่ขับเคลื่อนการเติบโตแบบก้าวกระโดด ขณะที่ยอดขายกลุ่มธุรกิจคอนโดก็ปรับตัวดีขึ้น ถือเป็นภาพสะท้อนถึงดีมานด์ตลาดคอนโดที่เริ่มฟื้นคืนกลับ อีกทั้งยังเป็นการส่งสัญญาณที่ดีให้กับตลาดคอนโดในภาพรวมอีกด้วย   สำหรับครึ่งปีหลังบริษัทยังคงเดินหน้าตามแผน BREAKTHROUGH ทุกข้อจำกัด  ซึ่งจะมีโครงการพร้อมขายกระจายทั่วกรุงเทพฯ และในต่างจังหวัดรวมกันมากถึง 160 โครงการ มีมูลค่าพร้อมขายกว่า 122,350 ล้านบาท โดยทิศทางในการพัฒนาโครงการในต่างจังหวัด เอพียังคงใช้สินค้าแนวราบ ทั้งบ้านเดี่ยวและทาวน์โฮม ภายใต้แบรนด์อภิทาวน์   โดยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา​ อภิทาวน์ ได้เปิดโครงการไปแล้วใน 5 จังหวัด ได้แก่ ขอนแก่น ระยอง นครศรีธรรมราช เชียงราย และอยุธยา และในครึ่งปีหลังนี้จะเปิดเพิ่มอีก 3 จังหวัด ได้แก่ อภิทาวน์ อุดรธานี, อภิทาวน์ ฉะเชิงเทรา และอภิทาวน์ อุบลราชธานี รวมถึงโครงการใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ อีกจำนวนมาก ประกอบด้วยทาวน์โฮม 16 โครงการ มูลค่า 16,440 ล้านบาท บ้านเดี่ยวจำนวน 18 โครงการ มูลค่า 24,030 ล้านบาท และคอนโด  3 โครงการ มูลค่า 10,400 ล้านบาท   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอพี ไทยแลนด์ กับ 4 ไฮไลท์ลุยตลาดบ้านเดี่ยวครึ่งปีหลัง เปิดตัว โมเดน แบรนด์ใหม่เจาะราคา 3-5 ล้าน -เอพี ไทยแลนด์ กวาดยอดขายครึ่งปีแรกกว่า 25,530 ล้าน เดินหน้าลุยเปิด 40 โครงการใหม่ ​
แอล.พี.เอ็น  ลุยแผนเทิร์นอะราวด์​สู่รายได้ 20,000 ล้าน  ฝ่าปัจจัยลบเปิด6โครงการใหม่ครึ่งปีหลัง

แอล.พี.เอ็น ลุยแผนเทิร์นอะราวด์​สู่รายได้ 20,000 ล้าน ฝ่าปัจจัยลบเปิด6โครงการใหม่ครึ่งปีหลัง

แอล.พี.เอ็น. เดินหน้าขับเคลื่อนธุรกิจตามแผน Turnaround สู่รายได้และยอดขาย  20,000 ล้าน​ ในปี 69 ลุยเปิดโปรเจ็กต์ใหม่ครึ่งปีหลังอีก ​ 6 โครงการใหม่ มูลค่า 6,700 ล้านบาท พร้อม Re-design และ Re-branding ​แบรนด์ “168” จับตลาดคนรุ่นใหม่ หวังสร้างยอดขายปี 65 แตะ 13,000 ล้าน   นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวล ลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ LPN เปิดเผยถึงแผนธุรกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 ว่า  ได้เตรียมเปิดตัว  6 โครงการใหม่​​ มูลค่า 6,700 ล้านบาท ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังนี้ ยังจะเผชิญกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว หรืออาจถึงขั้นถดถอย (Recession)  ซึ่งเป็นผลต่อเนื่องจากสถานการณ์วิกฤติซ้อนวิกฤติ ทั้งจากการแพร่ระบาดที่ยาวนานของโคโรน่าไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 (COVID-19) และสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ทำให้ระดับราคาน้ำมัน ราคาสินค้า และอัตราเงินเฟ้อ ทั่วโลกรวมทั้งในประเทศไทยปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะในประเทศไทยที่อัตราเงินเฟ้อปรับตัวสูงเกิน  5% ทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีแนวโน้มที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยให้สูงขึ้นในช่วงครึ่งหลังประมาณ 0.25-0.5% เพื่อลดผลกระทบจากสถานการณ์เงินเฟ้อที่สูงขึ้น แต่บริษัทยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการตามแผนที่วางไว้มูลค่ารวม 13,700 ล้านบาท และวางเป้าหมายยอดขายไม่น้อยกว่า 13,000 ล้านบาท   ในช่วงครึ่งแรกปี 2565 บริษัทมีการเปิดตัวโครงการใหม่ 4 โครงการ มูลค่า 7,000 ล้านบาท ประกอบด้วย โครงการ เพลส 168 ปิ่นเกล้า , โครงการลุมพินี เพลส แจ้งวัฒนะ - ปากเกร็ด สเตชั่น , โครงการลุมพินี ทาวน์ชิป รังสิต - คลอง 1 เฟส 3 และโครงการลุมพินี วิลล์ จรัญ – ไฟฉาย เฟสใหม่     นายโอภาส กล่าวอีกว่า ตามแผนในช่วงครึ่งหลังนี้ ​บริษัทมีแผนเปิดตัว 2 โครงการคอนโดมิเนียม มูลค่า 3,000 ล้านบาท ประกอบด้วยโครงการที่บริเวณราชพฤกษ์ ซอย 5 ใกล้มหาวิทยาลัยสยาม และโครงการที่อ่อนนุช ซอย 19   พร้อมเปิดตัวโครงการบ้านพักอาศัย 4 โครงการ ประกอบด้วย เวนู 168 ราชพฤกษ์ , เวนู 168  เวสต์เกต และเวนู 168 คูคต สเตชั่น และโครงการเรสซิเดนซ์ 168 ราชพฤกษ์ ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีมูลค่ารวม  3,700 ล้านบาท โดยทุกโครงการที่เปิดตัวในช่วงครึ่งหลัง จะเปิดตัวภายใต้แบรนด์ใหม่ คือ “168” ซึ่งเป็นแบรนด์ที่ถูกออกแบบเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปภายใต้แนวคิด “น่าอยู่”  (Livable Home) มากขึ้น ผ่านการออกแบบที่ตอบสนองการใช้ชีวิตวันนี้ ทั้งอาคารชุดและบ้านพักอาศัย ที่ตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ ให้ความสำคัญกับเรื่องการผสานการใช้งาน (Function) และการดึงอารมณ์ ความรู้สึก (Emotion) ตามความชอบ บุคลิก ที่เรียกว่าต้องเข้าใจ Insight ของลูกค้า   "เราปรับการออกแบบทุกโครงการและทุกยูนิตภายใต้แบรนด์ ”168” ให้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยนำผลวิจัยทุกความต้องการของลูกค้าของแอล.พี.เอ็น.​มา Re-Design ทุกโครงการใหม่ของเราให้มีรูปแบบที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ปรับฟังก์ชั่นการใช้งานให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย  และเลือกใช้เทคโนโลยี่ที่เหมาะสมกับการใช้งานในแต่ละโครงการ ซึ่งเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญของยุทธศาสตร์ 5 ปี (2565-2569) Turnaround ขององค์กร"   โดยครึ่งปีแรกที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายรวม ​ 4,800 ล้านบาท ​ เติบโต​ 17% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 ซึ่งยอดขายดังกล่าวคิดเป็นสัดส่วน​ 37% ของเป้าหมายยอดขายทั้งปี และมียอดการรับรู้รายได้อยู่ที่ 4,190.74 ล้านบาท เติบโต 50% และมีกำไรสุทธิ 338.78 ล้านบาท เติบโต 39% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564  ซึ่งในปี 2565 บริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ 10 โครงการ มูลค่ารวม 13,700 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการอาคารชุดพักอาศัย 6 โครงการ มูลค่า 10,000 ล้านบาท และ โครงการบ้านพักอาศัย 4 โครงการ มูลค่า 3,700 ล้านบาท ทั้งนี้ บริษัทยังคงเป้าหมายการเปิดตัวโครงการ และเป้าหมายยอดขายไว้เท่าเดิม แม้เศรษฐกิจจะชะลอตัวหรือถดถอยในช่วงครึ่งหลังของปี  แต่ตลาดยังคงมีกำลังซื้อ แม้ว่าผู้ซื้ออาจจะปรับลดงบประมาณในการซื้อที่อยู่อาศัย เพราะไม่แน่ใจรายได้ในอนาคตได้ก็ตาม  โดยราคาที่อยู่อาศัยที่ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท  ยังคงมีแนวโน้มเติบโตทั้งคอนโดและบ้านแนวราบ  เนื่องจากตอบโจทย์ความต้องการและอยู่ในงบประมาณของผู้ซื้อที่มีรายได้ระดับกลางถึงสูง เราได้มีการประเมินสถานการณ์ความเสี่ยง การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและมีการปรับตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้เรายังคงดำเนินการได้ตามแผนที่วางไว้ อย่างไรก็ตาม แม้ว่าในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 จะเผชิญกับปัจจัยลบหลายปัจจัย ที่เป็นความเสี่ยงของธุรกิจอสังหาฯ อาทิ กฎหมายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่มีผลบังคับใช้ และการจัดเก็บภาษีแบบเต็มจำนวนในปีนี้ ในมุมหนึ่ง​ทำให้ผู้ประกอบการมีต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น สำหรับที่ดินและสินค้าที่ยังคงเหลืออยู่ ​แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นปัจจัยบวก  จากการที่ทำให้เจ้าของที่ดินยอมที่จะขายที่ดินออกมาในระดับราคาที่เหมาะสม เพื่อลดภาระการถือครองที่ดิน เป็นจังหวะที่ดีในการซื้อที่ดินของผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่จะนำมาใช้ในการพัฒนาโครงการในอนาคต   ในปีนี้บริษัทวางงบประมาณในการซื้อที่ดินไว้ 4,000 ล้านบาท ซึ่งช่วงครึ่งปีแรกได้ลงทุนซื้อที่ดินไปแล้ว 1,400 ล้านบาท และในช่วงครึ่งหลังมีแผนที่จะซื้อที่ดินเพิ่มอีก 2,600 ล้านบาท นายโอภาส กล่าวในตอนท้ายว่า  ปีนี้เป็นปีที่บริษัทเดินหน้าการทำธุรกิจเต็มสูบ หลังจากที่ชะลอแผนการลงทุนต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2561 เพื่อที่จะสร้างสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มคนรุ่นใหม่ และสร้างฐานเพื่อการรับรู้รายได้ตามแผนยุทธศาสตร์ที่จะสร้างยอดขายแตะระดับ 20,000 ล้านบาทในปี 2569 ด้วยการเปิดตัวและพัฒนาโครงการใหม่ให้ครอบคลุมในทุกกลุ่มเป้าหมายและในทุกทำเลในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -[PR News] LPN เปิดตัวโครงการใหม่ 1,200 ล้าน “ลุมพินี เพลส แจ้งวัฒนะ – ปากเกร็ด สเตชั่น”
[PR News] เอสซี เตรียมขน 17 โปรเจ็กต์ใหม่ เปิดตัวครึ่งปีหลังดันเป้ารายได้ 22,000 ล้าน

[PR News] เอสซี เตรียมขน 17 โปรเจ็กต์ใหม่ เปิดตัวครึ่งปีหลังดันเป้ารายได้ 22,000 ล้าน

เอสซี เดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ครึ่งปีหลัง เตรียมอีก 17 โปรเจ็กต์ลุยตลาด ดันเป้ารายได้ 22,000 ล้าน ล่าสุด เปิดตัวแบรนด์เวนิว ไอดี ทำเล พหลโยธิน-รังสิต บ้านระดับราคา 5-10 ล้าน จับตลาดคนรุ่น Gen Y   นายณัฏฐกิตติ์ ศิริรัตน์ หัวหน้าสายงานการตลาด บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC เปิดเผยถึงทิศทางการดำเนินธุรกิจช่วงครึ่งปีหลังว่า ได้เตรียมเปิดตัวโครงการใหม่อีก 17 โครงการ แบ่งเป็นแนวราบ 16 โครงการ และคอนโดมิเนียมอีก 1 โครงการ หลังจากช่วงครึ่งปีแรกเปิดตัวโครงการแนวราบไปแล้ว 9 โครงการและคอนโด 1 โครงการ   โดยแผนธุรกิจในปี 2565 บริษัทมีแผนเปิดโครงการรวม 27 โครงการ มูลค่ารวม 41,000 ล้านบาท แบ่งเป็นประเภทคอนโด 2 โครงการ และโครงการแนวราบ 25 โครงการ มูลค่า 35,000 ล้านบาทเพื่อผลักดันยอดขายและรายได้ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ ที่มูลค่า 22,000 ล้านบาท ซึ่งช่วงครึ่งปีแรกสามารถทำยอดขายได้ 12,020 ล้นบาท เป็นยอดขายสูงสุดเท่าที่เคยดำเนินธุรกิจมา ล่าสุด ได้เปิดตัวโครงการใหม่  เวนิว ไอดี พหลโยธิน-รังสิต มูลค่าโครงการ 1,900 ล้านบาท ที่ได้แรงบันดาลใจการดีไซน์มาจากมหานครลาสเวกัส (Las Vegas)  ซึ่งมีแบบบ้านให้เลือก 4 สไตล์ ได้แก่ แบบบ้าน Jolly พื้นที่ใช้สอย 193 ตร.ม. บนที่ดินเริ่มต้น 53.9 ตร.ว. ประกอบด้วย 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 Family Area และ 2 ที่จอดรถ แบบบ้าน Jovial พื้นที่ใช้สอย 212 ตร.ม. บนที่ดินเริ่มต้น 56.1 ตร.ว. ประกอบด้วย 4 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ 1 Family Area และ 2 ที่จอดรถ แบบบ้าน Joyous พื้นที่ใช้สอย 276 ตร.ม. บนที่ดินเริ่มต้น 64 ตร.ว. ประกอบด้วย 5 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 1 Family Area และ 3 ที่จอดรถ แบบบ้าน Jubilant พื้นที่ใช้สอย 313 ตร.ม. บนที่ดินเริ่มต้น 74.1 ตร.ว. ประกอบด้วย 5 ห้องนอน 5 ห้องน้ำ 1 Family Area และ 3 ที่จอดรถ โดยแบรนด์ เวนิว ไอดี ในปีนี้จะเปิดตัวทั้งหมด​  4 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 6,500 ล้านบาท ซึ่งโครงการที่เปิดไปก่อนหน้านี้แล้ว คือ โครงการเวนิว ไอดี ปิ่นเกล้า – ศาลายา มูลค่าโครงการ 1,300 ล้านบาท  และจะเปิดต่ออีก 2 โครงการ ได้แก่  โครงการ เวนิว ไอดี มอเตอร์เวย์ - พระราม 9 มูลค่าโครงการ 1,850 ล้านบาท  และโครงการ เวนิว ไอดี วิภาวดี - พหลโยธิน มูลค่าโครงการ 1,450 ล้านบาท สำหรับแบรนด์เวนิว ไอดี เป็นโครงการบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด ที่มีระดับราคา 5-10 ล้านบาท  ยมีกลุ่มหมายเป็นคน Gen Y อายุ 20-35 ปี ที่ทำงานในบริษัทเอกชนหรือประกอบธุรกิจส่วนตัว เช่น ขายสินค้าออนไลน์ ที่ต้องการพื้นที่การอยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้น โดยปีนี้บริษัทคาดว่าจะสามารถทำยอดขายแบรนด์เวนิว ทั้ง 4 โครงการได้ 1,000 ล้านบาท จากปัจจุบันมียอดขายแล้ว 500 ล้านบาท  อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอสซี แอสเสท ตุนยอดขาย 6 เดือนกว่า 11,500 ล้าน เตรียมเปิด 15 โปรเจ็กต์ใหม่ดันเป้ารายได้  
คฤหาสน์ 100 ล้าน  Lake Legend บางนา – สุวรรณภูมิ

คฤหาสน์ 100 ล้าน  Lake Legend บางนา – สุวรรณภูมิ

Lake Legend บางนา – สุวรรณภูมิ บ้านคงใช้กับที่นี้ไม่ได้ คงต้องเรียกว่า คฤหาสน์จะเหมาะกว่า โครงการใหม่ ระดับ Super Luxury ของ Property Perfect ราคาเริ่มต้น 95 ล้านบาท คงคอนเซ็ปบ้านติดทะเลสาบ 100 ไร่  พื้นที่ตัวโครงการ 83 ไร่ 127  ยูนิต   . Lake Legend บางนา – สุวรรณภูมิ คฤหาสน์ 100 ล้าน  Lake Legend บางนา – สุวรรณภูมิ การเดินทางสะดวก เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย เพราะ ใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ เพียง 5 นาที  เชื่อมต่อเข้าเมืองด้วยถนนสายหลัก  ถ.บางนา-ตราด, ถนนกาญจนาภิเษก, Motorway และรถไฟฟ้า Airport Rail Link สถานีลาดกระบัง  ส่วนความสะดวกสบาย ใกล้แหล่งช้อป Mega&IKEA บางนา และ Central Village  มีโรงเรียนนานาชาติ Concordian International School, Bangkok Patana School, Berkeley International School, Thai-Singapore International School เรื่องสุขภาพ มีโรงพยาบาล รพ.พริ้นซ์ สุวรรณภูมิ,สมิติเวช ศรีนครินทร์, ศิครินทร์   คฤหาสน์ 100 ล้าน  Lake Legend บางนา – สุวรรณภูมิ ได้รับแรงบันดาลใจมาจาก “Lake Como” เมืองตากอากาศริมทะเลสาบ ในประเทศอิตาลี  เลยได้แนวคิด “Modern Italian Lakeside Villa” มีความทันสมัย ด้วยเทคโนโลยีก่อสร้างแบบเดียวกันกับการสร้างสนามบินสุวรรณภูมิ   ที่ช่วยป้องกันการทรุดตัว และน้ำท่วม . Lake Legend บางนา  สุวรรณภูมิ  มีบ้าน 2 คอนเซ็ปท์ คือ เลคไซด์วิลล่า (Lakeside Villa) และ การ์เด้นวิลล่า (Garden Villa) ซึ่งไฮไลท์ของโครงการคือ เลคไซด์วิลล่า เป็นคฤหาสน์ 3 ชั้นเล่นระดับริมทะเลสาบ พื้นที่ใช้สอย 563-656 ตร.ม. ราคาเริ่ม 99 ล้านบาท 5 ห้องนอน ที่จอดรถ 8  คัน เป็นคฤหาสน์เล่นระดับบนเนินริมทะเลสาบ ห้องโถงขนาดใหญ่ Double Volume Living Room สูงถึง 6.5 เมตร ที่มี Lake Terrace ที่เชื่อมต่อสระว่ายน้ำ และมีลิฟท์ในบ้าน   การ์เด้นวิลล่า เป็นคฤหาสน์หรู 2 ชั้น พื้นที่ใช้สอย 391-489. ตร.ม. ราคาเริ่ม 42 ล้านบาท ขนาด 4 ห้องนอน ที่จอดรถ 4 คัน มีพื้นที่สีเขียวกว้างขวางอยู่ภายในบ้าน ให้ความรู้สึกใกล้ชิดธรรมชาติ และมีความเป็นส่วนตัวสูง  ทั้ง 2 แบบ มีห้องนอนชั้นล่างเพื่อผู้สูงอายุ ห้องเอนกประสงค์ ทั้งระบบ Smart Home Automation ติดตั้ง EV Charger รวมถึงระบบรักษาความปลอดภัยจาก SECOM     Lake Legend บางนา – สุวรรณภูมิ สำหรับสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ คลับเฮ้าส์ขนาดใหญ่ริมทะเลสาบ สระว่ายน้ำยาว 35 เมตร ฟิตเนสพร้อมอุปกรณ์ชั้นนำระดับโลก ห้อง Private Dining ห้อง Executive Lounge  สวนพักผ่อนริมทะเลสาบขนาดใหญ่กว่า 4 ไร่ พร้อมระบบรักษาความปลอดภัยด้วย Double Security Gateและกล้อง CCTV ทั่วโครงการ เพื่อทัศนียภาพระบบไฟฟ้าลงดินทั้งโครงการ     Lake Legend บางนา – สุวรรณภูมิ คฤหาสน์ ริมทะเลสาบ 100 ไร่ ขายไปแล้ว 14 ยูนิต  เข้าชมบ้านตัวอย่างที่พื้นที่โครงการจริงได้แล้ววันนี้   กรุณานัดหมายเพื่อเยี่ยมชมโครงการเท่านั้น คลิกลงทะเบียนที่นี่ 👉 https://www.pf.co.th/N7Dy9RL       คฤหาสน์ ที่น่าสนใจ LAKE LEGEND แจ้งวัฒนะ บ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ บรรยากาศริมทะเลสาบ Malton Private Residences สุขุมวิท 31 บ้านหรูระดับซูเปอร์ลักชัวรี่ “ศุภาลัย เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี 121” Luxury แบรนด์ใหม่จาก บมจ.ศุภาลัย    
ลุมพินี วิสดอม  คาดปี 65 เปิดบ้าน-คอนโดเพิ่ม 20-25% ดีเวลลอปเปอร์ไม่หวันปัจจัยลบ​

ลุมพินี วิสดอม คาดปี 65 เปิดบ้าน-คอนโดเพิ่ม 20-25% ดีเวลลอปเปอร์ไม่หวันปัจจัยลบ​

ลุมพินี วิสดอม เผยข้อมูลครึ่งปีแรก 65 ดีเวลลอปเปอร์ เปิดโปรเจ็กต์ใหม่ 51,946 ยูนิต มูลค่ากว่า 1.88 แสนล้าน หลังชะลอแผนเปิดตัวตั้งแต่ปี 63 คาดทั้งปีเปิดตัวใหม่เติบโตไม่น้อยกว่า 20-25% ถึงแม้เศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอตัวในช่วงครึ่งหลังของปี   บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด  รายงานว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2565 (มกราคม-มิถุนายน 2565) ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ มีการเปิดตัวโครงการใหม่ 163 โครงการ มีจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งสิ้น 51,946 ยูนิต เพิ่มขึ้น 121% จากช่วงเดียวกันของปี 2564 จำนวนที่เปิดทั้งหมดคิดเป็นมูลค่า 188,373 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 45% คอนโดเปิดเพิ่ม 231% จำนวนโครงการใหม่ที่เปิดตัวทั้งหมด แบ่งเป็น -โครงการคอนโดมิเนียม (อาคารชุดพักอาศัย) 48 โครงการ  มีจำนวนหน่วยทั้งสิ้น  30,579 ยูนิต เพิ่มขึ้น 231% จำนวนที่เปิดตัวทั้งหมดคิดเป็นมูลค่า 78,078 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40%  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 และมีอัตราการขายเฉลี่ยที่  33%  ต่อโครงการต่อเดือน   -โครงการบ้านพักอาศัยมีจำนวน 115 โครงการ มีจำนวนหน่วยเปิดตัวทั้งสิ้น  21,367 ยูนิต เพิ่มขึ้น 49% จำนวนเปิดตัวทั้งหมดคิดเป็นมูลค่า 110,295 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48%  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 และ มีอัตราการขาย เฉลี่ย 12% ต่อโครงการต่อเดือน   บ้านพักอาศัยที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากตลาด เป็นบ้านพักอาศัยประเภททาวน์เฮ้าส์ ที่มีระดับราคา 2-5 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการที่มีจำนวนหน่วยเปิดตัวและหน่วยขายได้สูงที่สุดของบ้านพักอาศัยทุกประเภท โดยมีอัตราการขายเฉลี่ย 12% ต่อโครงการต่อเดือน   สำหรับทำเลที่มีการเปิดตัวทาวน์เฮ้าส์สูงสุด อยู่ในย่านรังสิต-ลำลูกกา รองลงมา คือ เพชรเกษม-อ้อมน้อย และทำเลศรีนครินทร์-บางนา-สุวรรณภูมิ ส่วนบ้านแฝด ระดับราคา 3-6 ล้านบาท เป็นกลุ่มที่มีอัตราขายเฉลี่ย 11% เปิดตัวสะสมสูงสุดในทำเลบางใหญ่-ราชพฤกษ์ รองลงมา คือ บางนา-ตราด-สุวรรณภูมิ และบ้านเดี่ยว เปิดใหม่ระดับราคา 6-10 ล้านบาท อัตราขายเฉลี่ย 13% เปิดตัวสะสมในทำเล บางใหญ่-ราชพฤกษ์ รองลงมา คือ ประชาอุทิศ-พุทธบูชา   ในขณะที่แนวโน้มการเปิดตัวโครงการที่พักอาศัยในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 จากการสำรวจของ  ลุมพินี วิสดอม  พบว่า ผู้ประกอบการอสังหาฯ ยังคงมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง ถึงแม้แนวโน้มเศรษฐกิจในช่วงครึ่งหลังของปี 2565 จะชะลอตัวซึ่งเป็นผลมาจากสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ที่ผลักดันในราคาน้ำมัน และราคาสินค้าอุปโภคและบริโภค ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกปรับตัวสูงขึ้น ในขณะที่อัตราเงินเฟ้อในประเทศไทยแตะระดับ 7.66% ในเดือนมิถุนายน 2565 ซึ่งเป็นอัตราเงินเฟ้อที่สูงที่สุดในรอบ 13 ปี ทำให้อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยครึ่งปีแรก 2565 อยู่ที่ 5.61%  ส่งผลให้ราคาวัสดุก่อสร้างปรับตัวสูงขึ้นไม่น้อยกว่า 5%  ก็ตาม   อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการอสังหาฯ​​ ยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑลอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเปิดตัวอาคารชุดพักอาศัย เนื่องจากผู้ประกอบการได้มีการชะลอแผนการเปิดตัวโครงการมาตั้งแต่ปี 2563-2564 ทำให้จำนวนสินค้าที่พร้อมขายในตลาดลดลง จำเป็นที่จะต้องเปิดตัวโครงการใหม่ เพื่อสร้างฐานลูกค้าและรายได้ในปี 2565-2567 เพราะโครงการต้องใช้ระยะเวลาก่อสร้างและส่งมอบ 18-24 เดือน 3 สถานการณ์ดีสุดไปแย่สุด ทั้งนี้ จาก​ สถานการณ์ความไม่แน่นอนของการแพร่ระบาดของโคโรน่าไวรัส สายพันธ์ใหม่ 2019 (COVID-19) สายพันธ์โอมิครอน BA.4-BA.5 และความผันผวนของเศรษฐกิจที่เกิดจากสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ส่งกระทบต่อระดับราคาน้ำมันและราคาสินค้าอุปโภค บริโภค รวมทั้งภาคการส่งออก และการท่องเที่ยวของไทย ทำให้  ลุมพินี วิสดอม ได้มีการจัดทำความเป็นไปได้ของตลาดอสังหาฯ​ ​ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล โดยคำนึงถึง การเติบโตทางเศรษฐกิจ สถานการณ์สงคราม และการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็น 3 สถานการณ์ ​ ดังนี้​ 1.กรณีที่ดีที่สุด (Best Case) เศรษฐกิจเติบโตที่ 3.5-4% อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีต่ำกว่า 5% สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนคลี่คลาย ระดับราคาน้ำมันต่ำกว่า 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล การเปิดตัวโครงการอสังหาฯ ใหม่ ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล จะอยู่ที่ 90,000-102,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าประมาณ 333,000-408,000 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 25-54%เมื่อเทียบกับปี 2564 เป็นอัตราเติบโตที่ใกล้เคียงกับปี 2562 ซึ่งเป็นช่วงเวลาก่อนเกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 2.กรณีเติบโตปกติ (Base Case) เศรษฐกิจเติบโตที่ 2.5-3% อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ 5-7% สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนคลี่คลายในไตรมาส 4 ของปี  ระดับราคาน้ำมันไม่เกิน  120 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล การเปิดตัวโครงการอสังหาฯ ใหม่ ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล จะอยู่ที่ 78,000-84,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าประมาณ 288,000-336,000 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 9-27% เมื่อเทียบกับปี 2564 3.กรณีแย่ที่สุด (Worst Case) เศรษฐกิจเติบโตต่ำกว่า 2% อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั้งปีสูงกว่า 7% สถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนยังไม่คลี่คลาย ระดับราคาน้ำมันสูงกว่า  120 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล การเปิดตัวโครงการอสังหาฯ ใหม่ ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล จะอยู่ที่ 60,000-72,000 ยูนิต คิดเป็นมูลค่าประมาณ 240,000-288,000 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 5% ถึงอาจจะติดลบ 10% ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ เมื่อเทียบกับปี 2564   นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุมพินี วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด บริษัทด้านวิจัยและพัฒนาในเครือบริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) หรือ ลุมพินี วิสดอม​ เปิดเผยถึงแนวโน้มการเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในปี 2565 ว่า ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ยังคงเดินหน้าเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยทั้งอาคารชุดและบ้านพักอาศัยอย่างต่อเนื่อง โดยความเป็นไปได้จาก 3 สถานการณ์ที่ประเมิน คาดว่า มีความเป็นไปได้ที่การเปิดตัวโครงการใหม่ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล จะมีอัตราการเติบโตได้ตามกรณีอัตราการเติบโตปกติ (Base Case) เนื่องจากผู้ประกอบการจำเป็นที่จะต้องเปิดตัวโครงการใหม่โดยเฉพาะอาคารชุดพักอาศัย เพื่อชดเชยกับจำนวนสินค้าคงเหลือที่ลดลง และเพิ่มปริมาณสินค้าเข้าสู่ตลาดเพื่อสร้างรายได้ในอนาคตให้กับองค์กร ในขณะที่ความต้องการซื้อในตลาดยังคงมีอยู่โดยเฉพาะที่อยู่อาศัยที่ระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อยูนิต   อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -คาดตลาดอสังหาฯ ปี 65 โต 15-20% ได้ผลบวกเศรษฐกิจ-เปิดประเทศ-คลายล็อก LTV -อัพเดท ตลาดอสังหาฯ ไทยครึ่งปีแรก เปิดใหม่ลด18%สต็อกกว่า2.2แสนยูนิต
เอพี ไทยแลนด์  กับ 4 ไฮไลท์ลุยตลาดบ้านเดี่ยวครึ่งปีหลัง  เปิดตัว โมเดน แบรนด์ใหม่เจาะราคา 3-5 ล้าน

เอพี ไทยแลนด์ กับ 4 ไฮไลท์ลุยตลาดบ้านเดี่ยวครึ่งปีหลัง เปิดตัว โมเดน แบรนด์ใหม่เจาะราคา 3-5 ล้าน

เอพี ลุยตลาดบ้านเดี่ยวครึ่งปีหลัง ขน 18 โครงการเปิดตัวใหม่ พร้อมเปิดแบรดน์ โมเดน บุกตลาดบ้านระดับราคา 3-5 ล้าน  เดินหน้าเจาะทำเลใหม่ทั้ง 3 โซนปริมณฑล และ 3 จังหวัดใหม่ มั่นใจสิ้นปีปิดยอดพรีเซล 38,000 ล้าน   ต้องยอมรับว่าปีนี้บ้านแนวราบยังคงมาแรงต่อเนื่อง  เพราะคนส่วนใหญ่ต้องการมีพื้นที่การอยู่อาศัยมากขึ้น  ไม่ใช่แค่การพักผ่อน แต่เพื่อใช้ทำกิจกรรมต่าง ๆ ภายในบ้าน โดยเฉพาะเรื่องการทำงานจากที่บ้าน หรือ Work from Home ซึ่งเป็นไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปจากการได้รับผลกระทบของการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมา   เมื่อคนส่วนใหญ่ต้องการมีพื้นที่ทำกิจกรรมในแต่ละวันมากขึ้น บ้านแนวราบจึงเป็นทางเลือกในการซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งตอบโจทย์คนในยุคปัจจุบันมากที่สุด ตลาดบ้านแนวราบท่ามกลางการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จึงเติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ชะลอตัว สำหรับผู้ประกอบการที่ถือว่ารุกตลาดบ้านแนวราบมากที่สุดแห่งปี คงหนีไม่พ้นบริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเปิดตัวโครงการมากที่สุดในวงการ และนับตั้งแต่เคยดำเนินธุรกิจมาเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะกลุ่มบ้านเดี่ยว ซึ่งวางแผนเปิดทั้งสิ้น 23 โครงการ รวมมูลค่า ​32,650 ล้านบาท   โดยช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาได้เปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวไปแล้ว 5 โครงการ ในช่วงครึ่งปีหลังจะเปิดอีก 18 โครงการ ซึ่งครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เอพี ก็สามมรถสร้างผลงานได้อย่างดี ด้วยผลตอบรับจากยอดขายถึง 20,572 ล้านบาท เติบโตจากช่วงเดียวกันอของปีก่อนถึง 25.2% และคิดเป็นสัดส่วน 54% จากเป้าหมายยอดขายทั้งปีนี้ที่ตั้งเป้าว่าจะทำได้ 38,000 ล้านบาท   นายรัชต์ชยุตม์ นันทโชติโสภณ รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าบ้านเดี่ยว บริษัท เอพี ไทยแลนด์ฯ เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมาถึงแม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่ยอดขายแนวราบของเอพี ไม่ได้ลดลงไปแต่กลับเติบโตเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่ง เห็นได้จากผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา และมั่นใจว่าในปีนี้จะทำผลการดำเนินงานไม่ต่ำกว่าเป้าหมายที่ได้วางไว้ 4 ไฮไลท์แผนธุรกิจเอพี ครึ่งปีหลัง​ สำหรับทิศทางการดำเนินธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังของกลุ่มบ้านเดี่ยวเอพีนั้น มีแผนงาน แผนการตลาด และไฮไลท์สำคัญสรุปได้ดังนี้ 1.ขยายตลาดบ้านเซ็กเมนต์ 3-5 ล้าน ในช่วงครึ่งปีหลัง เอพี จะเปิดตัวบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ คือ โมเดน (MODEN) เป็นบ้านที่จับกลุ่มตลาดคนรุ่นใหม่ Gen Z ด้วยระดับราคา 3-5 ล้านบาท โดยจะเปิดตัวด้วยกัน 3 โครงการ ใน 3 ทำเล ได้แก่ โมเดน พระราม 2 โมเดน บางนา-เทพารักษ์ และโมเดน ศรีนครินทร์  ซึ่งจะเปิดตัวในช่วงเดือนธันวาคม เราไม่สามารถสร้างการเติบโตในเซ็กเมนต์เดิม ๆ ได้ ต้องขยายไปเซ็กเมนต์ใหม่ ๆ ซึ่งปีนี้เป็นครั้งแรกที่จะลงไปเล่นในตลาดบ้านระดับ 3-5 ล้านบาท ถือเป็นความท้าทายในการทำตลาด ภายใต้ภาวะต้นทุนบ้านที่ใกล้เคียงกับกลุ่มบ้านแพง 2.ขยาย 3 ทำเลใหม่ นอกจากการขยายตลาดในกลุ่มเดิมและทำเลเดิมที่เอพี มีความแข็งแกร่งแล้ว ปีนี้เอพี จะขยายตลาดไปยังทำเลใหม่เพิ่มเติมเพื่อสร้างการเติบโตให้มากขึ้น โดยทำเลใหม่ในปีนี้ จะมีทั้งในส่วนของพื้นที่ปริมณฑล 3 โซนใหม่ ได้แก่ 1.ทำเลเทพารักษ์ 2.ทำเลบางบ่อ จ.สมุทรปราการ และ 3.พันท้ายนรสิงห์ จ.สมุทรสาคร   ส่วนตลาดจังหวัดในปีนี้จะขยายเพิ่มใน 3 จังหวัดสำคัญ ได้แก่ จ.ฉะเชิงเทรา จ.อุดรธานี และจ.อุบลราชธานี จาก 2-3 ปีก่อนหน้าที่บริษัทได้ขยายไปยัง 5 จังหวัดแล้ว ได้แก่ จ.เชียงราย จ.อยุธยา จ.ขอนแก่น จ.ระยอง และจ.นครศรีธรรมราช 3.เพิ่ม 17 แบบบ้านใหม่ กลยุทธ์สำคัญที่ทำให้โครงการของ เอพี ประสบความสำเร็จด้านยอดขาย และการตอบรับจากกลุ่มลูกค้า คือ 2  กลุยุทธ์นี้ ได้แก่ 1.การออกแบบบ้านให้ตรงความต้องการของลูกค้า โดยแนวคิดการพัฒนาจะเน้นพื้นที่และฟังก์ชั่นการใช้งานจริง ก่อนออกแบบรูปร่างหน้าตาของบ้าน หรือสไตล์ของบ้าน และ 2.การจัดแพ็คเกจราคาที่เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายในแต่ละแบรนด์ และแต่ละโลเกชั่น   ในช่วงครึ่งปีหลังนี้ เอพี ยังคงใช้ 2 กลยุทธ์สำคัญดังกล่าวเช่นเคย แต่จะมุ่งเน้นการตอบโจทย์และความต้องการด้านการอยู่อาศัยของกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น จึงได้คิดและวางแผนเปิดตัวบ้านดีไซน์ใหม่อีก 17 แบบ ซึ่งจะอยู่ในแบรนด์บ้านเดี่ยวต่าง ๆ ของเอพี ​ 4.เดินหน้ารักษาส่วนแบ่งตลาดอันดับ 1 ตั้งแต่ปี 2558-2564 ที่ผ่านมา ถือได้ว่า เอพี เป็นผู้นำตลาดในกลุ่มบ้านเดี่ยว เพราะมีจำนวนยอดขายบ้านเดี่ยวมากที่สุดในกลุ่มผู้ประกอบการที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์  โดยมี​จำนวนบ้านที่ขายได้มากถึง 5,590 ยูนิต ทิ้งห่างผู้ประกอบการในอันดับที่ 2 ที่ขายได้จำนวน 4,421 ยูนิต และอันดับ 3 ขายได้จำนวน 3,967 ยูนิต   ในช่วงครึ่งปีหลัง เอพี ยังคงวางเป้าหมายรักษาความเป็นผู้นำตลาดเช่นเดิม จากแผนการเปิดตัวโครงการทั้งหมด และแผนการตลาดที่วางเอาไว้ในครึ่งปีหลังนี้ ในปีนี้เป็นปีที่ท้าทายมาก เอพี เปิดบ้านเดี่ยวมากที่สุดที่เคยทำตลา ที่ผ่านมาเปิดเฉลี่ยปีละ 10-15 โครงการเท่านั้น แต่ทุก ๆ การเปิดตัวเอพีได้รับการตอบรับที่ดี จึงมั่นใจว่าแผนในปีนี้จะเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง -เอพี ไทยแลนด์ เดินแผนธุรกิจปี 65 ที่สุดตลาด เปิดตัว 65 โครงการ มูลค่า 78,000 ล้าน